Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore คู่มือการใช้งาน โครงการสร้างและถ่ายทอดองค์ความรู้พระไตรปิฎก

คู่มือการใช้งาน โครงการสร้างและถ่ายทอดองค์ความรู้พระไตรปิฎก

Published by ปภัสสร ทองสุข, 2020-02-10 09:07:11

Description: ฉบับแปลสู่ชุมชนโลก

Search

Read the Text Version

คูมือการใชงาน โครงการสรา งแฉลบะับถแาปยทลสอูชดุมองชคนคโวลากมรพู ระไตรปฎก ระยะที่ 3

ค่มู อื การใช้งาน โครงการสรา้ งและถ่ายทอดองคค์ วามรู้พระไตรปฎิ ก ฉบบั แปลสชู่ มุ ชนโลก ระยะที่ 3 Project for Creation and Transfer Knowledge on Translated Buddhism Tipitaka to Global Community Phase 3

สารบัญ หนา้ หัวข้อ บทท่ี 1 เหตผุ ลความสาคญั /ทีม่ าของโครงการ 4 บทท่ี 2 พระสตุ ตนั ตปิฎก ทฆี นิกาย สลี ขันธวรรค พระไตรปฎิ กฉบบั แปล เลม่ 9 17 พระสูตร เลม่ 1 79 บทที่ 3 พระสตุ ตันตปฎิ ก ทฆี นิกาย มหาวรรค พระไตรปิฎกฉบบั แปล เลม่ 10 143 พระสตู ร เล่ม 2 บทท่ี 4 พระสตุ ตันตปฎก ทีฆนิกาย ปาฎิกวรรค (ปาติกวรรค) พระไตรปิฎกฉบบั แปล เลม่ 11 พระสตู ร เลม่ 3

1 1. เหตุผลความสาคัญ/ท่มี า ของโครงการ (โดยสรุป) ท่ามกลางกระแสและการเปล่ียนแปลงของการดาเนินชีวิตมนุษย์ในพุทธศตวรรษที่ 26 จะ เห็นไดว้ ่าเปน็ ผลกระทบทเี่ กิดจากการพฒั นาเทคโนโลยีท่กี ้าวหน้าไปอย่างไม่หยุดย้ัง เพื่อเป้าหมายของ การก่อใหเ้ กดิ ความผาสุกสะดวกสบาย และประหยัดแรงงานของมนุษย์ จนทาให้ทั้งโลกก้าวย่างสู่การ เป็นโลกของการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน (Drastically Disruptive World) โลกมนุษย์จึงมี เทคโนโลยีที่ทันสมัยไม่ว่าจะเป็นระบบโทรศัพท์อัจฉริยะ (Smart Phone), ผลิตภัณฑ์ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence Products), สรรพส่ิงด้วยอินเทอร์เน็ต (Internet of Things) เป็นต้น แต่ยัง เห็นวา่ ถึงแมม้ นุษยจ์ ะมคี วามกา้ วหน้าในการผลิตเครื่องอานวยความสะดวกจนถึงที่สุดในปัจจุบัน ส่ิงที่ เราจะพบเห็นกันอยู่ในชีวิตประจาวัน ก็คือ ความทุกข์ ที่เป็นความเส่ือมถอยทางศีลธรรม อันเกิดจาก ความยากจนและความเลื่อมล้าทางเศรษฐกิจ ความไม่สงบทางสังคม ที่มีการเข่นฆ่า อาชญากรรมท่ี รนุ แรงทีย่ งั ไม่ปรากฏอยู่ทั่วไป จนทาให้องค์กรสหประชาชาติ (UN) มีการประชุมใหญ่ในปี พ.ศ. 2558 เพื่อจัดทาแผนพัฒนาสันติภาพ และความผาสุกของประชาชนและของโลก สาหรับประเทศสมาชิก ทั้งหลายขึ้น เรียกว่า “วาระ 2030 เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน” (The 2030 Agenda for Sustainable Development) ประกอบดว้ ยเปา้ หมายหลักสาหรับการพัฒนา 17 เป้าหมาย (17 SDGs) หน่ึงใน 17 เปา้ หมาย คือ เป้าหมายท่ี 16 ได้ระบุไว้ว่าเป็นเป้าหมาย “ส่งเสริมสังคมที่สงบสุข และครอบคลุมเพ่ือ การพัฒนาที่ยั่งยืนให้ทุกคนเข้าถึงความยุติธรรม และสร้างสถาบันที่มีประสิทธิผล รับผิดชอบและ ครอบคลุมในทุกระดับ (Goal 16, Justice and Strong institutions – Promote peaceful and inclusive societies for sustainable development, provide access to justice for all and build effective, accountable and inclusive institutions at all levels)1 และยังกาหนด มาตรการต่าง ๆ ในการแก้ปัญหาสงั คมดงั กลา่ ว ให้สามารถลลุ ่วงไปได้ ในทางพุทธศาสนา หนทางและแนวทางแก้ไขความเส่ือมถอยถือเป็นเป้าหมายหลักของการ ประกาศพระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้า ซ่ึงวัตถุประสงค์ก็เพ่ือให้ทุกคน ได้สามารถรอดพัน จาก ความทุกขแ์ ละความคบั แค้น ขัดสนท้ังปวง ทั้งในปัจจุบันและในอนาคต คาสอนหรือพระธรรมคาสอน ของพระพุทธองค์ จึงเป็นส่ิงที่ชาวพุทธทุกคน และผู้สนใจใฝ่หาสันติสุขพึงความจะศึกษาให้เข้าใจถ่อง แท้และนาไปปฏิบัติให้ถูกต้อง ดังน้ัน การทาความเข้าใจในหลักธรรมของพุทธศาสนา จึงเป็นเบ้ืองต้น สาหรับชาวพุทธทุกคนและบคุ คลทั่วไป และในการทาความเข้าใจในพระธรรมคาสอน จะเกิดข้ึนได้นั้น ความเข้าใจภาษาท่ีพระพุทธองค์ทรงใช้เทศนา คือ ภาษาบาลี จึงเป็นส่ิงแรกที่ทุกคนต้องทาความ เข้าใจ และตามด้วยการดาเนนิ ตามรอยพระพุทธองค์ คอื ช่วยกนั เผยแพรพ่ ระธรรมคาสอนต่อไป จากงานวจิ ยั และการจัดทาเอกสานเผยแพร่หลักธรรมและแนวปฏิบัติในการสร้างสันติสุขให้ เกิดขึ้นอย่างย่ังยืนได้มีปรากฏอยู่ในผลงานที่มีการนาไปใช้ประโยชน์ในโครงการ “โครงการเผยแพร่ พระไตรปิฎก นาพระพทุ ธศาสนาสู่สากล ระยะท่ี 1 และระยะท่ี 2” ซึง่ เป็นการจะทาการแปล

2 พระไตรปิฎก ฉบับบาลี จานวน 45 เล่ม ออกเป็นภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ชนิดคาต่อคา (Word by Word Translation)2 แล้วนาไปดาเนินการเป็นเน้ือหาในการจัดการความรู้และถ่ายทอด เทคโนโลยี โดยได้รับการสนับสนุนด้านงบประมาณดาเนินงานจากสานักงานคณะกรรมการวิจัย แห่งชาติ ประเภททุนกิจกรรมส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัย (เชิงชุมชน/สังคม) อย่างไรก็ตาม จาก การศึกษาถึงการดาเนินกรของคณะผู้รับผิดชอบโครงการดังกล่าว ยังมีพระไตรปิฎกฉบับบาลีของ ต้นฉบับประเทศศรีลังกาอีก 11 เล่ม ท่ีจะต้องดาเนินการแปลเป็นภาษาอังกฤษ เน่ืองจากจานวนเล่ม ของพระไตรปิฎก ฉบับบาลี ที่จัดทาในประเทศไทย 45 เล่ม จะแบ่งเป็น 56 เล่ม ในฉบับของประเทศ ศรีลังกา ที่ผู้ร่วมดาเนินโครงการต่อจะต้องนามาทาการแปลให้สมบูรณ์ครบถ้วนเท่ากัน เพ่ือใช้ในการ เผยแพร่ต่อไป โดยจะต้องเผยแพร่ให้มากข้ึนและทุกช่องทางของสื่อผสมเพ่ือให้การเผยแพร่สู่สากล ประสบผลสาเร็จ 2. วตั ถปุ ระสงค์ของโครงการ 1. เพื่อให้มกี ารจดั ทาการแปลพระไตรปิฎก จานวน 11 เล่ม เป็นภาษาอังกฤษในลักษณะคาต่อ คา (Word by Word Translation) เพอื่ ใหค้ รบองค์ของพระไตรปฎิ ก ฉบบั บาลีทส่ี มบรู ณ์ 2. เพ่ือให้มีการจัดทาคู่มือ สาหรับถ่ายทอดองค์ความรู้จากพระไตรปิฎกในพระพุทธศาสตรา ดว้ ยการนาเน้ือหาจากการแปลพระไตรปิฎก ออกเป็นฉบับภาษาไทย และภาษาอังกฤษ จากโครงการ ที่อ้างอิงใน 1 รวมกบั ฉบับแปลจากวตั ถุประสงค์ข้อ 1 ท่ดี าเนนิ การแปลมา 3. เพื่อให้มีการจัดทาบทเรียนฉบับแปลทั้งท่ีเป็นภาษาไทยและภาษาอังกฤษ มาประกอบการ จัดทาองค์ความรู้และถ่ายทอดเทคโนโลยี ทั้งในรูปของเอกสารท่ีเป็นสื่อส่ิงพิมพ์ และท่ีเป็นสื่อ อิเล็กทรอนกิ ส์ออนไลน์

3 ตัวอย่างการจัดเรียงหนา้ กระดาษในเอกสารส่งิ พมิ พ์

บทที่ 1 พระไตรปิฎก บทนำ พระไตรปิฎก ถือเป็นคัมภีร์สำคัญทำงพระพุทธศำสนำที่ใช้เป็นบทศึกษำเล่ำเรียนสำหรับ พระภิกษุ สำมเณร และพุทธศำสนิกชน ด้วยมุ่งหมำยเพื่อให้ผู้ท่ีศึกษำได้รู้ทั่วถึงพระธรรมวินัย และ ปฏบิ ตั ติ ำมพระธรรมคำสอนของพระสมั มำสัมพุทธเจ้ำไดอ้ ย่ำงถูกตอ้ ง คำว่ำพระไตรปิฎก เป็นพระคัมภีร์ท่ีหมำยถึง ปิฎก 3, กระจำด ตะกร้ำ กระบุง หรือตำรำ 3, ประมวลแห่งคัมภีร์ที่รวบรวมพระธรรมวินัย 3 หมวด หรือ 3 ชุด (Tipitaka : The Three Baskets; the Pali Canon)1 พระไตรปิฎกเปน็ ภำษำมคธซ่ึงสมบูรณ์ด้วยอรรถและพยัญชนะ2 ผู้ท่ีจะเรียนรู้พระไตรปิฎกได้ จะตอ้ งเรียนรูอ้ กั ขระวธิ ีของภำษำมคธเป็นเบอ้ื งตน้ ซ่ึงตำมหลักภำษำศำสตร์ กำรเรียนรู้ภำษำในกรณีมี ตัวเขียนน้ัน อักขระวิธีจึงเป็นเบ้ืองแรกในกำรศึกษำ แต่เนื่องจำกภำษำมคธที่ปรำกฏเป็นภำษำท่ีใช้ใน พระไตรปฎิ ก เปน็ ภำษำที่ใชพ้ ูดกนั ในแคว้นที่ใหญท่ ่ีสุดของอนิ เดียตอนเหนือในสมัยพุทธกำล คือแคว้น มคธ ไม่มีตวั เขียน ดงั นั้น กำรเรยี นรู้อักขระวธิ ีจงึ ไมม่ กี ำรศกึ ษำเลำ่ เรยี น พระพุทธองค์ได้ทรงใช้ภำษำท่ี ใชใ้ นแควน้ีมคธประกำศศำสนำพทุ ธโดย กำรกำหนดแบบแผนของกำรเรียนรู้ด้วยกำรท่องจำปำกเปล่ำ ต่อ ๆ กันมำ ภำษำท่ีพระพุทธเจ้ำทรงใช้ในกำรเทศนำสั่งสอน เรียกว่ำ บำลี (Pa.li) แปลว่ำ “แบบ แผน” และกลำยกำรเรียกชื่อ มำเป็น ภำษำบำลี แทนภำษำมคธในท่ีสุด ถึงแม้ว่ำในสมัยพุทธกำล มี ภำษำท่ีมีอักขระวิธีที่เรียกว่ำอักษรเทวนำครี ใช้ในกำรศึกษำภำษำท่ีเรียกว่ำ สันสกฤต (แปลว่ำ “ส่ิงท่ี ได้จัดระเบียบและขัดเกลำเรียบร้อยดีแล้ว”) ท่ีนักปรำชญ์ชำวอินเดียช่ือ “ปำณินิ” ผู้ศึกษำคัมภีร์พระ เวทอย่ำงแตกฉำน ไดน้ ำเนือ้ หำมำจัดแจงวำงหลักเกณฑ์ใหเ้ ป็นระเบียบและรัดกุม ในรูปแบบของตำรำ ไวยำกรณช์ ือ่ ว่ำ “อษั ฏำธยำยี” ถอื ไดว้ ่ำเป็นตำรำไวยำกรณ์เลม่ แรกและแตง่ ได้ดีที่สุดในโลก ซึ่งต่อมำมี ผู้เรียกภำษำท่ี ปำณินิได้จัดระเบียบไว้อย่ำงสมบูรณ์น้ีว่ำ สันสกฤต ที่พระพุทธองค์ทรงเลือกใช้ภำษำ ของแคว้นมคธในกำรประกำศพระพุทธศำสนำ ก็เนื่องจำกว่ำภำษำสันสกฤต ถึงแม้จะมีจะมีตัวอักษร และกำรเรียบเรยี งไวยำกรณ์ (ระเบียบของภำษำ) ไว้อย่ำงดีก็ตำม แต่ภำษำสันสกฤตถือว่ำเป็นภำษำท่ี ศักดิ์สิทธ์ิ ใช้ในหมู่นักปรำชญ์ โดยเฉพำะวรรณะกษัตริย์และพรำหมณ์ท่ีเป็นบุรุษเพศเท่ำน้ัน จึงเป็น 1 พจนำนกุ รมพทุ ธศำสตร์ ฉบบั ประมวลธรรม : Dictionary of Buddhism, พระรำชวรมนุ ี (ประยทุ ธ์ ปยุตโฺ ต) พิมพ์เผยแพรเ่ ป็นธรรม ทำน, มหำจฬุ ำลงกรณร์ ำชวิทยำลยั 2528 2 รำยละเอยี ดอำ่ นในคำปรำรภของหนงั สอื พระไตรปิฎกภำษำไทยฉบับมหำจฬุ ำลงกรณรำชวทิ ยำลัย

6 ภำษำต้องห้ำมสำหรับกำรนำมำใช้โดยท่ัวไป สำหรับวิวัฒนำกำรของภำษำสันสกฤต ท่ีเข้ำมำใน ประเทศอนิ เดีย พรหมคุณำภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) ได้เขียนไว้ในหนังสือ “กำลำนุกรม : พระพุทธศำสนำ ในอำรยธรรมโลก” ไว้ในตอนหนึ่งของหนังสือ คือตอนที่ว่ำด้วย “ก่อนพุทธกำล อำรยธรรมชมพู ทวีบ” ไว้วำ่ “1500-1200 B.C. (900-600 ปีก่อน พ.ศ.) ชนเผ่ำอำรยันยกจำกท่ีรำบสูงอิหร่ำนหรือเปอร์เซีย เขำ้ มำรกุ รำนและครอบครองตลอดลงไปถึงลุ่มแม่น้ำคงคำ พร้อมทั้งนำศำสนำพรำหม์ ภำษำสันสกฤต และระบบวรรณะเขำ้ มำดว้ ย” ดงั นน้ั ภำษำทใี่ ชใ้ นประเทศอินเดีย โดยเฉพำะในสมัยพทุ ธกำล นกั ปรำชญท์ ำงภำษำ ได้แบ่งภำษำ ในอนิ เดีย ท่เี รียกวำ่ ภำษำตระกลู อำรยันออกเป็น 3 สมัยคอื 1. ภำษำอำรยันสมัยเก่ำ เป็นภำษำท่ีใช้ในคัมภีร์พระเวทท้ัง 3 คือ ฤคเวท ยชุรเวท สำมเวท และอำถรรพเวท และคัมภีร์อุปนิษัท ได้แก่ ภำษำสันสกฤต ตัวอักษรที่ใช้คือ ตัวอักษรเท วนำครี 2. ภำษำอำรยันสมัยกลำง เป็นภำษำถิ่นท่ีใช้กันตำมท้องถิ่นต่ำงๆของประเทศ เรียกว่ำภำษำ ปรำกฤต ซง่ึ เรยี กอกี ชื่อหน่ึงว่ำภำษำกำรละคร เพรำะนำไปใช้เป็นภำษำพูดของตัวละคร บำง ตัว ในบทละครภำษำสันสกฤต เช่น ภำษำมำคธี (พูดในแคว้นมคธ) ภำษำมหำรำษฎร์ ภำษำ เศำรเสนี ฯลฯ ภำษำบำลีจงึ เปน็ ภำษำอำรยนั สมยั กลำง 3. ภำษำอำรยันสมัยใหม่ เป็นภำษำที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน เป็นภำษำท่ีเชื่อว่ำสืบมำจำกภำษำ ปรำกฤต ถึงแม้ว่ำลักษณะของภำษำและควำมเข้ำใจ จะแตกต่ำงกันออกไป เน่ืองด้วยกำร คมนำคม กำรตดิ ตอ่ คำ้ ขำยทำให้มีอิทธิพลของภำษำอื่นเขำ้ มำปะปน ภำษำอำรยันสมัยใหม่ท่ี ใช้ส่ือสำรกันในปัจจุบันได้แก่ ภำษำฮินดี เบงกำลี ปัญจำปี มรำฐี เนปำลี เป็นต้น ตัวอักษรท่ี ใช้คอื ตัวอักษรท่สี บื มำจำกตวั อักษรเทวนำครี จำกกำรสืบสำนทำงประวัติศำสตร์ ภำษำบำลี นับได้ว่ำเป็นภำษำปรำกฤตหนึ่ง ที่มีวิวัฒนำกำรมำ จำกภำษำพระเวท ใช้พูดกันในแคว้นมคธ เรียกว่ำภำษำมำคธี พระพุทธเจ้ำ ได้เลือกภำษำมำคธี ประกำศศำสนำของพระองค์ โดยมีกำรเรียบเรียงแบบแผนให้เป็นที่เข้ำใจโดยทั่วไป เรียกว่ำ ปำลิ (แบบแผน) และได้กลำยกำรเรียกช่ือมำเป็น ภำษำปำลิ (ภำษำประกำศพุทธศำสนำของพระพุทธเจ้ำ) ในท่ีสุด ในสมัยน้ัน แบบแผนของภำษำที่พระองค์ทรงใช้จะมีภำษำ 2 ประเภท ตำมที่นักปรำชญ์ของ อินเดียได้ทำกำรศึกษำไว้ คือประเภทหน่ึง เป็นภำษำมำคธี ที่ชื่อว่ำ สุทธมำคธี เป็นภำษำของกษัตริย์ หรือภำษำรำชกำร อีกประเภทหน่ึงเป็นภำษำ “เทสิยำ” หรือ “ปรำกฤต” เป็นภำษำประจำถิ่นของ แควน้ มคธสมัยนน้ั

7 พระไตรปฎิ กภำษำบำลี เนือ่ งจำกภำษำบำลีซึ่งเป็นภำษำที่พระพุทธเจ้ำใช้ในกำรประกำศพุทธศำสนำ ไม่มีตัวอักษรใช้ กำรรวบรวมคำสอนของพระพุทธเจ้ำจึงเป็นกำรจำปำกเปล่ำ ท่ีเรียกว่ำ มุขปำฐะ กำรรวบรวมคำสอน ของพระพุทธเจ้ำที่มีกำรรวบรวมท่ีเป็นแบบแผน เรียกว่ำ สังคำยนำ แปลว่ำ กำรสวดพร้อมกัน ใน หนงั สอื “พจนำนุกรมพุทธศำสนำ ฉบับประมวลศัพท์” โดยพระพรหมคุณำภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) ฉบับ พ.ศ. 2558 ไดอ้ ธบิ ำย กำรสงั คำยนำ ไวว้ ่ำ เป็น “กำรสวดพรอ้ มกัน, กำรรอ้ ยกรองพระธรรมวินัย, กำร ประชุมรวบรวมและจัดหมวดหมู่คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ำโดยพร้อมกัน จนยอมรับและวำงลงเป็น แบบแผนอนั หน่งึ อนั เดียวกัน” กำรรวบรวมคำสอนและกำรจดั หมวดหมูค่ ำสอนท่เี รียกว่ำ พระธรรมวินัย เกิดขึ้นเป็นแนวทำง และหลักกำรในสมยั พทุ ธกำล โดยพระอัครสำวกสำรีบุตรได้รับพุทธดำรัส มอบหมำยให้แสดงธรรมแก่ ภกิ ษสุ งฆใ์ นทเี่ ฉพำะพระพักตร์ อนั เปน็ ธรรมทงั้ หลำยทท่ี รงแสดงแล้ว ด้วยปัญญำอันย่ิง หมำยถึงธรรม 7 หมวด ที่มชี ื่อรวมวำ่ “โพธิปกั ขยิ ธรรม 37” ในครงั้ น้ัน พระสำรบี ตุ รไดแ้ นะนำให้สังคำยนำ พร้อมทั้ง ทำเป็นตัวอย่ำงโดยประมวลธรรมมำลำดับแสดง เป็นหมวดหมู่ ตั้งแต่หมวด 1 ถึงหมวด 103 เทศนำ ของพระสำรีบุตรในครั้งน้ันได้ชื่อว่ำ “สังคีตสูตร”4 เป็นพระสูตรว่ำด้วยกำรสังคำยนำที่ทำในสมัย พทุ ธกำล เม่ือพระพุทธเจำ้ ปรนิ ิพพำนแล้ว มกี ำรสังคำยนำตำมหลักกำรดังกลำ่ ว 5 คร้ังคือ 1. สังคำยนำครง้ั ท่ี 1 เปน็ กำรสงั คำยนำภำยหลังพระพุทธเจ้ำเสด็จปรินิพพำนแล้ว 3 เดือน พระ มหำกัสสปะผู้เป็นสังฆเถระ ได้ชักชวนพระอรหันต์ 500 รูป โดยมีพระมหำกัสปปะเป็นผู้ถำม พระอุบำลีเป็นผู้วิสัชนำพระวินัย พระอำนนท์เป็นผู้วิสัชนำพระธรรม ประชุมสังคำยนำที่ถ้ำ สัตตบรรณคูหำ ภูเขำเวภำรบรรพต เมืองรำชคฤห์ โดยมีพระเจ้ำอชำตศัตรู เป็นศำสนูปถัมภ์ สนิ้ เวลำ 7 เดือนจงึ เสร็จ 2. สังคำยนำคร้งั ที่ 2 พระยสกำกัณฑกบุตร เป็นผู้ชักชวนพระอรหันต์ 700 รูป โดยมีพระเรวตะ เป็นผู้ถำม พระสัพพกำมีเป็นผู้วิสัชนำ ประชุมที่วำลิกำรำม เมืองเวสำลี เมื่อ พ.ศ. 100 โดย พระเจ้ำกำลำโศกรำช เป็นศำนูปถมั ภ์ ใช้เวลำ 8 เดือน 3. สังคำยนำคร้ังที่ 3 มีพระอรหันต์ 1,000 รูป มีพระโมคคัลลีบุตรติสสเถระเป็นประธำน ประชุมท่ี อโศกำรำม เมืองปำฏลีบุตร เมื่อประมำณ พ.ศ. 234 โดยพระเจ้ำอโศก เป็น ศำสนูปถมั ภ์ ใชเ้ วลำ 9 เดอื น 3 พระพรหมคุณำภรณ์ ได้จัดลำดับหมวดหมู่ของหลกั ธรรมในหนงั สอื ของทำ่ นเร่อื ง “พจนำนกุ รมพุทธศำสตร์ ฉบับประมวลธรรม – Dictionary of Buddhism” 2558. 4 ท.ี ปำ. 11/221/222.

8 4. สังคำยนำครั้งที่ 4 มีพระสงฆ์ 68,000 รูป มีพระมหินทเถระเป็นประธำนและเป็นผู้ถำม มี พระอริฏฐะเป็นผู้วิสัชนำ ประชุมที่ถูปำรำม เมืองอนุรำชบุรี ของลังกำทวีป เมื่อ พ.ศ. 236 โดยพระเจำ้ เทวำนมั ปิยตสิ สะ เปน็ ศำสนปู ถมั ภ์ ใชเ้ วลำ 10 เดอื น 5. สังคำยนำคร้ังท่ี 5 เป็นกำรสังคำยนำเพื่อจำรึกพระธรรมวินัยลงในใบลำนโดยมีพระอรหันต์ 500 รูป ประชุมกนั สวดซ้อมแล้วจำรพุทธพจน์ลงในใบลำน ณ อำโลกเลณสถำน มลยชนบท ในลังกำทวปี เมือ่ พ.ศ. 450 โดยพระเจ้ำวัฏฏคำมณีอภยั เปน็ ศำสนปู ถัมภ์ ส่วนกำรสังคำยนำที่เกิดขึ้นหลังจำกครั้งท่ี 5 กล่ำวคือจัดข้ึนหลังพุทธปรินิพพำนอย่ำงน้อย 1 ศตวรรษ จนถึงปัจจุบันไม่ถือว่ำเป็นกำรรวบรวมพระพุทธพจน์ แต่เน้นกำรรักษำพุทธพจน์และคำ สอนเดิม ที่ได้รวบรวมไว้แล้ว ในหนังสือ พจนำนุกรมศำสน์ ฉบับประมวลศัพท์ ของพระพรหม คุณำภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) ได้เขียนไวว้ ำ่ “สังคำยนำในยคุ หลังสบื มำจำกปัจจุบนั จงึ มีควำมหมำยว่ำ เป็นกำรประชุมตรวจชำระสอบทำน รักษำพระไตรปิฎกให้บริสุทธิ์ หมดจดจำกควำมผิดพลำด คลำดเคลอื่ น” เนื่องจำกภำษำบำลีไม่มีตัวอักษรและในสมัยพระเจ้ำอโศก ภำษำปรำกฤตเขียนด้วยอักษร พรำหมี ตวั อักษรที่บันทึกคัมภีร์ทำงพุทธศำสนำ ที่เป็นภำษำบำลีคร้ังแรก คือตัวอักษรสิงหล ของ ศรีลังกำ ต่อมำประเทศต่ำงๆท่ีนับถือพระพุทธศำสนำก็ถ่ำยทอดภำษำบำลีจำกพระไตรปิฎกเป็น ตวั อักษรของประเทศน้ันๆ ปัจจุบันมีหลักฐำนจำรึกภำษำบำลีด้วยอักษรต่ำงๆ เช่น อักษรพรำหมี อักษรเทวนำครี อักษรล้ำนนำ อกั ษรขอม อักษรไทย อกั ษรมอญ อกั ษรโรมนั เป็นต้น สำระสำคัญและกำรจัดหมวดหมขู่ องพระไตรปิฎก จำกควำมหมำยสำหรบั พระไตรปฎิ กที่สรุปไดว้ ่ำเป็น “คมั ภรี ท์ บี่ รรจุพุทธพจน์ คือคำสอนของ พระพทุ ธเจ้ำ” ออกเป็นหมวดหมู่ และซักซ้อมกันจนลงตัว แล้วถ่ำยทอดต่อกันมำ จนถึง พ.ศ. 450 จึง มีกำรจำรึกลงเป็นลำยลักษณ์อักษร ดังน้ันกำรถ่ำยทอดคำสอนของพระพุทธเจ้ำ ตั้งแต่สมัยพุทธกำล จนถงึ ปจั จบุ ันนับเป็นเวลำกว่ำ 2500 ปี พระไตรปฎิ กซ่ึงเป็นคมั ภรี พ์ ระพุทธศำสนำฝ่ำยเถรวำท จึงเป็น บันทึกคำสอนของพระพุทธเจ้ำที่เก่ำแก่ ด้ังเดิม และสมบูรณ์ท่ีสุด อีกทั้งยังมีควำมย่ังยืนสืบทอดมำ จนถึงปัจจุบนั ” ลักษณะตดั สนิ พระธรรมวนิ ยั ในกำรพิจำรณำว่ำ ธรรมหรือคำสอนใดเป็นคำสอนพระพุทธเจ้ำ หำกในกรณีมีข้อสงสัย ใน กำรศึกษำพระไตรปิฎก ซ่ึง อำจจะเกิดข้ึนในควำมคิดของผู้ศึกษำน้ัน ในหนังสือ “ลักษณะ แหง่ พระพุทธศำสนำ : Characteristic of Buddhism” ของพระพรหมคณุ ำภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺ โต) (หน้ำ 2-3) พ.ศ. 2558 ไดอ้ ธบิ ำยไวใ้ นหวั ข้อ “ลักษณะตัดสนิ ธรรมวนิ ัย 8” ไวว้ ่ำ

9 “ลกั ษณะตดั สินพระธรรมวนิ ัยนี้ เป็นหลักธรรมที่พระพทุ ธเจำ้ เอง ไดต้ รัสไว้แก่ พระนำงมหำป ชำบดโี คตมี ว่ำมีอยู่ 8 ประกำรด้วยกัน…” กลำ่ วคือ 1. เป็นไปเพื่อวริ ำคะ คือควำมคลำยหำยติด (สำนวนเก่ำวำ่ คลำยกำหนัด) 2. เปน็ ไปเพ่ือวิสงั โยค เพ่ือควำมคลำยกำรหลดุ จำกควำมทุกข์ ไม่ประกอบดว้ ยควำมทุกข์ 3. เปน็ ไปเพ่ืออปจยะ ควำมไม่พอกพูนกเิ ลส 4. เป็นไปเพ่ืออปั ปิจฉตำ ควำมมักน้อย 5. เป็นไปเพื่อสนั ตุฏฐี ควำมสันโดษ 6. เป็นไปเพื่อปวิเวก ควำมสงดั 7. เปน็ ไปเพื่อวริ ิยำรัมภะ กำรระดมควำมเพยี ร 8. เปน็ ไปเพ่ือสุภรตำ ควำมเลี้ยงง่ำย ซึ่งพระพรหมคุณำภรณ์ ไดอ้ ธิบำยไว้ว่ำ จำกกำรศึกษำหลักธรรมที่ว่ำด้วยลักษณะ ตัดสินธรรมวินัย ถ้ำ ไม่เป็นไปตำมหลัก 8 ประกำร ก็ถือว่ำไม่ใช่ธรรม ไม่ใช่วินัย ไม่ใช่สัตถุสำสน์ ไม่ใช่คำสอนของ พระพุทธเจ้ำ อกี ตอนหน่ึงในหนังสือเล่มเดียวกนั อธิบำยถงึ หลักธรรมตัดสนิ ธรรมวนิ ัย 7 ซึ่งเป็นหลักธรรมที่ พระพุทธเจำ้ ตรัสไว้แก่พระอุบำลี ซ่งึ เป็นพระเถระเอตทัคคะมีควำมเป็นเลิศทำงพระวินัย (พระวินัยธร) วำ่ ดว้ ยลกั ษณะตดั สนิ พระธรรมวินัย 7 ประกำรคือ ๑. เปน็ ไปเพื่อเอกนั ตนิพพทิ ำ ควำมหน่ำยสนิ้ เชิง ๒. เปน็ ไปเพ่ือวริ ำคะ ควำมคลำยควำมยึดตดิ ๓. เป็นไปเพื่อนิโรธะ ควำมดับทุกข์ ๔. เปน็ ไปเพ่ืออปุ สมะ ควำมเข้ำไปสงบระงับ ๕. เปน็ ไปเพ่ืออภญิ ญำ ควำมรู้ยิง่ เฉพำะ ๖. เป็นไปเพื่อสัมโพธะ ควำมตรสั รู้ ๗. เปน็ ไปเพ่ือนิพพำน ถ้ำเข้ำกบั หลักเหล่ำนี้ กเ็ รยี กว่ำเป็นธรรมวนิ ยั เปน็ คำสอนของพระพทุ ธเจ้ำ หมวดหมหู่ รือโครงสรำ้ งของพระไตรปิฎก ในภำพรวม พระไตรปิฎกมีกำรแปลไว้ ว่ำหมำยถึง “คัมภีร์ท่ีบรรจุพระพุทธพจน์และช้ันเดิม ของพระพทุ ธศำสนำ 3 ชุด หรือประมวลแห่งคัมภีร์ที่รวบรวมพระธรรมวินัย 3 หมวด” กล่ำวคือ วินัย

10 ปิฎก สุตตันตปิฎก และ อภิธรรมปิฎก5 ในประเทศไทย กำรจัดพิมพ์พระไตรปิฎกด้วยอักษรไทยมี 45 เลม่ ที่จดั พิมพ์ด้วยอักษรโรมนั มี 56 เล่ม ในจำนวน 45 เลม่ ของพระไตรปฎิ ก ท่จี ดั พิมพ์ดว้ ยอักษรไทย ที่แบง่ ออกเป็น 3 หมวด ประกอบด้วย 1. วนิ ัยปิฎก (หมวดพระวินัย, ประมวลสกิ ขำบท สำหรับภิกษุสงฆ์และภิกษณุ ีสงฆ์) แบง่ เป็น 3 หมวด หรอื 5 คัมภีร์ จัดพมิ พ์เปน็ อักษรไทย 8 เล่ม 2. สตุ ตันตปฎิ ก (หมวดพระสูตร, ประมวลพระธรรมเทศนำ, คำบรรยำยธรรม, และเรื่องเล่ำ ตำ่ งๆอนั ยักเย้ืองตำมบุคคลและโอกำส) แบง่ เป็น 5 นิกำย (แปลว่ำประมวลหรอื ชุมนุม) จดั พมิ พเ์ ป็น 25 เลม่ 3. อภธิ รรมปฎิ ก (หมวดอภธิ รรม, ประมวลหลักธรรมและคำอธบิ ำย ในรปู หลกั วิชำล้วนๆ ไมเ่ กยี่ วดว้ ยเหตกุ ำรณแ์ ละบุคคล) แบง่ เปน็ 7 คมั ภีร์ จัดพิมพเ์ ปน็ 12 เล่ม6 ในหนังสือ “พระไตรปิฎก : ส่ิงที่ชำวพุทธต้องรู้ (หน้ำ 33).” ได้แสดงภำพของโครงสร้ำงและ กำรจดั หมวดหมขู่ องพระไตรปิฎกเปน็ แผนผังภำพไว้ดังนี้ ปรยิ ตั ติ (คำสงั่ สอนอัน จะตอ้ งเล่ำเรียน) Pariyatti (Study) กระบวนกำรเรยี นรู้ Learning Process ปฎเิ วธ (ผลอนั จะพงึ เข้ำถึง) ปฎิปัตติ (ปฏปิ ทำอันจะตอ้ ง ปฏบิ ตั ิ) Paṭivedha (Penetration, Realization) Paṭipatti (Practice) 5 พจนำนกุ รมพุทธศำสน์ ฉบบั ประมวลคำศพั ท์ พระพรหมคณุ ำภรณ์ (ป.อ. ปยุตโฺ ต) หน้ำ 111. พ.ศ. 2558 6 คำอธิบำยและรำยละเอยี ดดใู นพจนำนกุ รมพทุ ธศำสน์ ฉบบั ประมวลธรรม พระพรหมคุณำภรณ์ (ป.อ. ปยตุ โฺ ต) พ.ศ. 2558 หน้ำ 88 และฉบับประมวลคำศพั ท์ ชดุ เดยี วกบั หนำ้ 111., ibid

11 ควำมสำคญั ของพระไตรปฎิ ก ต่อคำถำมที่ว่ำ ทำไมจะต้องมีกำรจัดกำรแปลพระไตรปิฎกคำต่อคำ หรือ ทำไมจะต้องศึกษำ พระไตรปิฎกท้ังหมด คำตอบสำหรับคำถำมนี้ จำกกำรศึกษำหนังสือเร่ือง “พระไตรปิฎก : ส่ิงท่ีชำว พุทธต้องรู้” โดย พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต) ที่ท่ำนได้อธิบำยถึงควำมสำคัญของพระไตรปิฎก ใน ประเดน็ ต่ำงๆสรปุ ได้ 3 ประเดน็ หลกั ดงั น้ี 1. พระไตรปิฎกเป็นที่รักษำพระรัตนตรัย เนื่องจำกพระไตรปิฎกเป็นกำรอธิบำยถึงพระธรรม วินัยของพระพุทธองค์ ดังนั้นกำรมีพระไตรปิฎกจึงเป็นเสมือนมีศำสดำแทนพระองค์ ดังท่ีเคยตรัสแก่ พระอำนนทก์ ่อนเสด็จปรินพิ พำนไวว้ ำ่ “โย โว อำนนทฺ มยำ ธมฺโม จ วินโย จ เทเสติ ปญฺญตโฺ ต โส โว มมจจ̣ เยน สตถฺ ำ ดูก่อนอำนนท์ แด่เธอทั้งหลำย อันธรรมและวินัยใดท่ีเรำแสดงแล้วและบัญญัติแล้ว ธรรมและ วินยั น้นั โดยกำลทเ่ี รำล่วงลบั ไปแลว้ จกั เปน็ ศำสดำของเธอท้งั หลำย” จึงเท่ำกับวำ่ พระไตรปิฎกเป็นทีส่ ถิตของพระพทุ ธเจ้ำ นับได้ว่ำเป็นพระพุทธ ในส่วนท่ีเป็นพระธรรม ก็ เนอื่ งจำกพระธรรมวนิ ยั หรือเรียกส้ันๆว่ำ พระธรรม ปรำกฏอยู่ในพระไตรปิฎก กำรมีพระไตรปิฎกจึง เท่ำกบั กำรมีพระธรรม และในส่วนที่เป็นพระสงฆ์ก็เนื่องจำกในพระไตรปิฎก ภิกษุท้ังหลำยบวชขึ้นมำ และอยู่ได้ด้วยพระวินัยอนั เกดิ จำกพุทธบญั ญัติ ท่ปี รำกฏในพระไตรปิฎก 2. พระไตรปิฎกเป็นหลักฐำนในกำรศึกษำเล่ำเรียน ท่ีครบองค์ประกอบทั้ง 3 ประกำร ของ แก่นศำสนำ คอื ปริยัติ (คำสั่งสอนอนั จะต้องเล่ำเรยี นได้แกพ่ ุทธพจน์) ปฏิบัติ (ปฏิปทำอันจะต้องปฏิบัติ ได้แก่ อัฏฐังคิกมรรคหรือไตรสิกขำ คือ ศีล สมำธิ ปัญญำ) และปฏิเวธ (คือผลอันจะพึงเข้ำถึงหรือ บรรลดุ ว้ ยกำรปฏบิ ตั ิได้แก่มรรค ผล และนิพพำน7) 3. พระไตรปิฎกเป็นหลักของพุทธบริษัทท้ัง 4 คือชำวพุทธ 4 กลุ่ม ได้แก่ ภิกษุ ภิกษุณี อบุ ำสกอุบำสิกำ ซง่ึ อยู่ในรูปของคัมภรี ์ ทจ่ี ะตอ้ งเรียนรเู้ ข้ำใจ เพ่อื ช่วยกนั ธำรงให้พระพุทธศำสนำดำรง อยู่ และเกิดประโยชน์ ซึ่งพุทธบริษัททั้ง 4 จะต้องเป็นผู้มีคุณสมบัติถูกต้อง ในกำรช่วยจรรโลงพระ ศำสนำไว้ โดยที่คณุ สมบตั ดิ งั กล่ำวได้แก่ 3.1 เป็นผ้มู คี วำมรู้ควำมเข้ำใจ ในหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้ำได้ดีและประพฤติปฏิบัติ ไดถ้ ูกต้องตำมคำสอน จึงต้องเรยี นรจู้ ำกพระไตรปิฎก 3.2 เป็นผ้สู ำมำรถบอกกลำ่ ว และนำสงั่ สอนผู้อนื่ จึงตอ้ งทำควำมเข้ำใจและประพฤติปฏิบัติ ให้เปน็ ตัวอยำ่ ง ซ่งึ จะต้องอำศัยพระไตรปิฎกเป็นฐำนในกำรสรำ้ งตนใหเ้ ป็นตน้ แบบ 7 วินย.อ. 1/264; ม.อ. 3/147,523; อง.ฺ อ. 3/391

12 3.3 เมือ่ มีคำจว้ งจำบ สอนคลำดเคลอ่ื นผดิ เพยี้ นจำกพระธรรมวินยั ก็สำมำรถช้ีแจงแกไ้ ขได้ จงึ ต้องอำศัยกำรศึกษำจำกพระไตรปฎิ ก อย่ำงเขำ้ ใจแจ่มแจ้งตลอดเวลำ ซ่ึงจำกกำรท่ีพระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต) ได้อธิบำยให้เห็นถึงควำมสำคัญของกำรศึกษำ พระไตรปิฎก ว่ำเป็นหลักฐำนในกำรศึกษำเล่ำเรียน ท่ีครบองค์ประกอบทั้ง 3 ของแก่นศำสนำ ทำให้ สำมำรถประจักษ์ได้ว่ำ นอกจำกกำรรับรู้ถึงควำมสำคัญในกำรท่ีจะต้องศึกษำพระไตรปิฎกแล้ว ยังทำ ให้ได้ทรำบอีกวำ่ กระบวนกำรเรยี นรทู้ พ่ี ระพทุ ธองค์ได้ตรัสสอนไว้ จะเป็นกระบวนกำรเรียนรู้ท่ีจะต้อง ดำเนินกำรให้ครบองค์ประกอบท้ัง 3 ของกระบวนกำรเรียนรู้ ท่ีจะก่อให้เกิดควำมรู้ควำมเข้ำใจ พระไตรปิฎกอย่ำงถ่องแท้ จนสำมำรถนำมำเป็นองค์ควำมรู้ในกำรถ่ำยทอดส่ือสำร ในกำรช่วยกันสืบ สำนพระพุทธศำสนำให้ย่ังยืนต่อไปได้ กระบวนกำรเรียนรู้ ศึกษำพระไตรปิฎกที่มีองค์ประกอบทั้ง 3 ทีส่ ำมำรถนำไปประยุกต์ใช้สรำ้ งกระบวนกำรเรียนรู้ศำสตร์ท้ังหลำยได้เช่นกัน อำจจะแสดงให้เห็นเป็น แผนผังขำ้ งล่ำงดงั น้ี ปริยัตติ (คำสั่งสอนอันจะต้องเล่ำ เรยี น) Pariyatti (Study) กระบวนกำรเรยี นรู้ Learning Process ปฎเิ วธ (ผลอนั จะพึงเขำ้ ถึง) ปฎิปตั ติ (ปฏิปทำอนั จะต้อง ปฏิบตั ิ) Paṭivedha (Penetration,Realization) Paṭipatti (Practice)

13 พระไตรปฎิ กฉบับแปลคำต่อคำ (Word-by-Word Tipitạ ka Translation) ในกำรจดั ทำคูม่ อื พระไตรปิฎกฉบับแปลในทนี่ ี้ เปน็ กำรนำเอำผลของโครงกำรถ่ำยทอดควำมรู้ สู่สำกล ที่ได้รับทุนอุดหนุนจำกสำนักงำนคณะกรรมวิจัยแห่งชำติ (วช.) (ในขณะนั้น) ระหว่ำง ปีงบประมำณ 2559-2560 ให้ดำเนินกำรโดยคณะสงฆ์และคณำจำรย์ของมหำจุฬำลงกรณ์รำช วิทยำลัย วิทยำเขตนครสวรรค์ และคณำจำรย์จำกมหำวิทยำลัย พุทธศำสนำต่ำงๆ จำกประเทศศรี ลังกำท่ีประกอบด้วย คณำจำรย์ประเภทภิกษุและประเภทคฤหัสถ์ ทุนอุดหนุนดังกล่ำวเป็นกำร สนับสนุนให้ทำกำรวิจัยในลักษณะของกำรได้ผลผลิต คือกำรถ่ำยทอดควำมรู้ ด้วยกำรแปล พระไตรปิฎกฉบับบำลีอักษรไทย และทำบำลีอักษรโรมัน จำนวน 45 เล่ม และจำนวน 56 เล่ม ตำมลำดับ ด้วยวัตถุประสงค์ เพ่ือนำเอำผลของกำรแปลในลักษณะคำต่อคำ (Word-by-Word) ท่ี ประกอบด้วยเนื้อหำ 84,000 พระธรรมขันธ์ รวมได้ 22,379 หน้ำ (บำลีฉบับสยำมรัฐ) เป็นตัวอักษร ประมำณ 24,300,000 ตวั 8 เน่ืองจำกวัตถุประสงค์ของกำรจัดทำคู่มือ เพ่ือจัดทำเอกสำรกำรแปล ให้ เหมำะสมกับกำร ถ่ำยทอด ดว้ ยกำรวิเครำะหแ์ ละปรบั ปรงุ แกไ้ ข ให้สำมำรถนำเป็นสือ่ ในกำรเรียนรู้และง่ำยต่อกำรศึกษำ จึงเป็นกำรดำเนินกำรปรับปรุงและพัฒนำให้บทแปลทั้งหมดสมบูรณ์เรียบร้อย ในสภำพส่ือกำรแปล และกำรเรียนรู้ ทำให้กำรดำเนินกำรในกำรจัดทำคู่มือไม่สำมำรถจะนำเอำเน้ือหำทั้งหมดจำก 45 เล่ม มำนำเสนอในครั้งเดียวได้ เนื่องจำกพระไตรปิฎกแต่ละเล่ม เม่ือนำฉบับแปลจำกโครงกำรเดิมมำ ปรับปรุง ได้พบว่ำจำนวนหน้ำในกำรจัดทำเป็นส่ือเป็นเล่มๆ จะเพ่ิมเป็น 4 เท่ำ ของจำนวนหน้ำใน ต้นฉบับ คณะผจู้ ดั ทำค่มู อื ฉบบั นี้ จึงได้แบ่งกำรจัดทำรู้เล่มออกเป็นส่วนๆ โดยให้รูปเล่มย่อยแต่ละเล่ม บรรจุจำนวนหน้ำไม่เกินกว่ำ 200 หน้ำ เพื่อควำมสะดวกในกำรศึกษำ และกำรพกพำ ในคู่มือจึงเป็น กำรนำเสนอตัวอย่ำงของกำรแปล เพื่อนำมำถ่ำยทอดที่เป็นควำมสะดวกของผู้ต้องกำรศึกษำและ สำมำรถศึกษำได้ท้ัง 45 เล่มโดยคณะผู้จัดทำ ได้จัดทำเป็นรูปเล่มไว้ในรูปแบบของเอกสำร และในรูป ของเอกสำรอเิ ลกทรอนิกส์ (E-books) ท่ผี สู้ นใจสำมำรถติดต่อรับไปศึกษำ และเข้ำถึงจำกอินเทอร์เน็ต ได้ ในกำรนำตัวอย่ำงจำกพระไตรปิฎกฉบับแปลมำจัดทำเป็นรูปเล่ม คณะผู้ดำเนินโครงกำร ได้ กำหนดประเด็นหัวข้อของกำรศกึ ษำดังนี้ 1. เป็นกำรศึกษำควำมหมำยของศัพท์บำลีคำต่อคำ เพื่อควำมเข้ำใจในควำมหมำยของภำษำ โดยเป็นกำรร่นระยะเวลำของกำรเปิดปทำนุกรม หรือพจนำนุกรมทีละตัว ทำให้สำมำรถ เขำ้ ใจควำมหมำยของศพั ทแ์ ตล่ ะคำได้ทันที 8 พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยตุ โฺ ต) พระไตรปฎิ กส่งิ ทช่ี ำวพทุ ธต้องรู้.

14 2. เป็นกำรศึกษำถึงเนื้อหำและหลักธรรมที่ปรำกฏอยู่ เนื้อหำของส่วนที่เป็นตัวอย่ำงท่ียกมำ ศึกษำจำนวนประมำณ 25 หน้ำ แปลเป็นไทย 25 หน้ำ แปลเป็นอังกฤษ 25 หน้ำของ พระไตรปฎิ กแตล่ ะเลม่ ดงั นี้ 2.1 เรื่องรำวเน้ือหำท่ีปรำกฏในบทแปลตัวอยำ่ ง 2.2 วธิ กี ำรศกึ ษำควำมหมำยของกำรแปล 2.3 หลักธรรมที่ปรำกฏในบทแปล 3. ตัวอย่ำงบทแปลท่ีนำมำศึกษำนำร่อง เป็นกำรคัดจำกพระไตรปิฎกจำนวน 3 เล่ม ฉบับแปล จำกบำลีอักษรไทยและบำลีอักษรโรมัน คือจำนวนประมำณเล่มละ 250 หน้ำ จำก พระไตรปิฎกเลม่ ต่ำงๆ คือ 3.1 สตุ ตันตปฎิ กท่ี ทีฆนิกำย สลี ขันธวรรค ชื่อพรหมชำลสูตร 3.2 สตุ ตนั ตปิฎกท่ี ทีฆนิกำย มหำวรรค ชือ่ มหำปทำนสตู ร 3.3 สตุ ตนั ตปฎิ กท่ี ทฆี นิกำย ปำฏิกวรรค ชือ่ ปำฎิกสูตร ลักษณะของคู่มอื เพ่ือกำรใช้ประโยชนจ์ ำกพระไตรปฎิ กฉบับแปล คู่มือท่ีคณะผู้ดำเนินกำรจัดทำขึ้นในครั้งน้ี ได้จัดทำเป็นคู่มือ 2 ส่วน ส่วนหนึ่งเป็นคู่มือ กำรศกึ ษำพระไตรปฎิ กจำกบทแปลเปน็ ภำษำไทย อีกสว่ นหน่ึงเป็นคู่มือกำรศึกษำพระไตรปิฎกจำกบท แปลเปน็ ภำษำองั กฤษ สำหรับรูปแบบของกำรแปลฉบับภำษำไทย คณะผู้ดำเนินกำรได้จัดทำเป็นรูปเล่มที่ผ่ำนกำร ตรวจสอบควำมถูกต้อง และควำมครบถ้วนของกำรแปลแล้ว เป็นกำรจัดทำคู่มือท่ีเป็นภำษำบำลี อักษรไทย ฉบบั มหำจุฬำเตปฎิ กโดยจะยกท่อนบำลีนำแล้วท่อนล่ำงจะเป็นกำรแปลคำต่อคำ หรือศัพท์ ต่อศัพท์ของคำศัพท์แต่ละตัว ตำมด้วยคำแปลที่เป็นภำษำไทยเพ่ือให้ผู้ศึกษำได้สำมำรถรู้ควำมหมำย จำกศพั ท์ได้ทนั ที ดงั ตวั อยำ่ งรปู แบบของกำรแปลจะอยใู่ นลกั ษณะดังน้ี “อิติปิ โส ภควำ อรห สมฺมำสมฺพุทฺโธ วิชฺชำจรณสมฺปนฺโน สุคโต โลกวิทู อนุตฺตโร ปุริสทมฺ มสำรถิ สตฺถำ เทวมนุสสฺ ำน พทุ โฺ ธ ภควำ ต9ิ ” อติ ปิ ิ – แม้เพรำะอยำ่ งนี/้ โส – พระองคน์ ัน้ / ภควำ – พระผูม้ โี ชคพร้อมมพี ระภำคเจ้ำ/ อรห – เป็นพระอรหนั ต์/ สมมฺ ำสมพฺ ทุ ฺโธ – เป็นผ้ตู รสั รชู้ อบเอง/ วชิ ฺชำจรณสมปฺ นโฺ น – ด้วยควำมรแู้ ละ ควำมประพฤติ เปน็ ผถู้ ึงพร้อม/ สคุ โต - เป็นผเู้ สด็จไปดีแลว้ / โลกวทิ ู - เป็นผรู้ ูแ้ จ้งโลก/ อนตุ ฺตโร – ไม่ มใี ครย่งิ ไปกวำ่ / ปุรสิ ทมฺมสำรถิ – เป็นสำรถฝี กึ บุรษุ ทฝี่ ึกได/้ สตถฺ ำ – เป็นศำสดำ/ เทวมนุสฺสำน – 9 บทพระพุทธคุณ จำกสำมญั ญผลสตู ร พระสตุ ตนั ตปฎิ ก ทฆี นิกำย สีลขันธวรรค ตอน หมอชีวกทลู พระเจ้ำอชำตศิ ตั รถู งึ บท สรรเสริญพระพทุ ธคณุ ของพระพุทธเจ้ำ

15 ของเทวดำและมนษุ ยท์ ้ังหลำย/ พทุ โฺ ธ - เป็นผูร้ ้ตู ื่นและเบิกบำนแลว้ / ภควำ – ทรงเปน็ ผู้มีโชค/ ติ – ทรงเปน็ / ในส่วนของกำรแปลเป็นภำษำอังกฤษ จำกพระไตรปิฎกฉบับภำษำบำลีตัวอักษรโรมัน คณะ ผู้ดำเนนิ กำรไดจ้ ดั ทำรปู เล่มในขนำดพกพำ และศึกษำได้ง่ำยเช่นเดียวกัน แต่เป็นกำรนำเอำอักษรบำลี โรมันอยู่ด้ำนบน และส่วนของกำรแปลคำต่อคำที่เป็นภำษำอังกฤษอยู่ด้ำนล่ำง โดนใช้สัญลักษณ์ (/) ค่ันคำศัพท์แต่ละคำเพ่ือสำมำรถเทียบกับศัพท์ที่ฉบับภำษำบำลีด้ำนบนได้ถ้ำเทียบกับบทแปลท่ีเป็น ภำษำไทย จะเห็นภำพกำรแปลเป็นภำษำองั กฤษดังน้ี \"itipi so bhagavā arahaṃ sammāsambuddho vijjācaraṇasampanno sugato lokavidū anuttaro purisadammasārathī6 satthā devamanussānaṃ buddho bhagavā” Thus indeed /is he/ the Fortunate One/ the Holy One/ the Fully Enlightened One/ the Perfect in knowledge and conduct/ the Well-gone/ the World Knower/ the incomparable Leader of men to be tamed/ the Teacher/ of gods and men/ the Awakened One/ the Fortunate One/ He is/ ซงึ่ ในบทต่อๆไป จะเปน็ กำรนำบทแปลจำกพระสตุ ตนั ตปิฎก 3 เลม่ ทก่ี ำหนดไวเ้ บื้องตน้ มำ ศึกษำในรำยละเอยี ดต่อไป

16 จริ ํ ติฏฐฺ ตุ โลกสมฺ ึ สมฺมาสมฺพทุ ธฺ สาสน.ํ ขอพระศาสนาของพระสมั มาสมั พุทธเจา้ จงดํารงอย่ใู นโลกส้ินกาลนาน

บทที่ 2 พระสุตตันตปิฎก ทฆี นิกาย สลี ขนั ธวรรค พระไตรปฎิ กฉบบั แปล เลม่ 9 พระสตู รเลม่ 1 บทนา พระสุตตันตปิฎก ซ่ึงเป็นปิฎก 1 ใน 3 ของพระไตรปิฎก ดังท่ีได้กล่าวมาแล้วข้างต้น เป็น ประมวลพุทธพจน์ (คาสอนของพระพทุ ธเจา้ และอรหันตสาวก) ในหมวดพระสูตรซึง่ ประกอบด้วย พระ ธรรมเทศนา และ ธรรมบรรยายต่างๆที่ตรัสยักเย้ืองให้เหมาะกับบุคคล เหตุการณ์ และโอกาส ตลอดจนบทประพันธ์ เร่ืองเล่า และเร่ืองราวทั้งหลาย ท่ีเป็นชั้นเดิมในพระพุทธศาสนา เหตุผลที่เรียก พระธรรมเทศนา และธรรมบรรยายท้ังหลายในพระสุตตันตปิฎกว่า “สูตร”นั้น พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยตุ ฺโต) ในหนงั สือพจนานุกรมฉบับประมวลศัพท์ พ.ศ. 2558 (หน้า 466) ได้ให้ความหมายของ “สูตร” ไว้ว่า คือพระธรรมเทศนาหรือธรรมกถาเรื่องหนึ่งๆ ในพระสุตตันตปิฎก แสดงเจือด้วย บคุ ลาธิษฐาน ถ้าพูดว่าพระสูตรมักหมายถึง พระสุตตันตปิฎกท้ังหมด อีกหน่ึงความหมายของ “สูตร” ที่อธิบายไวใ้ น พระไตรปฎิ กภาษาไทย ฉบบั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ฉบับเฉลิมพระเกียรติสมเด็จ พระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ พุทธศักราช 2539 เล่มท่ี 9 ว่าด้วยพระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขนั ธวรรค ไดอ้ ธบิ ายถึงความหมายของ “สูตร” โครงสร้าง รูปแบบและหมวดหมู่ของพระสูตรไว้ใน บทนา (หน้า 7-12) โดยเขียนอธิบายว่า “สูตร” เป็นคาเรียกพระธรรมเทศนาและธรรมบรรยาย ทง้ั หลายในพระสตุ ตนั ตปิฎก โดยพระอรรถกถาจารย์ผ้รู จนาคมั ภรี ์สมนั ตปาสาทิกา อธิบายความหมาย วา่ “สตู ร” มคี วามหมาย 6 อยา่ ง กล่าวโดยสรุปคอื เรียก “สูตร” นั้น 1. เพราะบ่งถึงประโยชน์ (อตถฺ าน สูจนโต) 2. เพราะมอี รรถท่ตี รัสไวด้ ีแล้ว (สวุ ุตฺตโต) 3. เพราะผลติ ประโยชน์ (สวนโต) 4. เพราะหลง่ั ประโยชน์ (สูทนโต) 5. เพราะป้องกันดว้ ยดี (สุตตฺ าณา) 6. เพราะมีสว่ นเสมอด้วยเสน้ ด้าย (สตุ ฺ̣ตสภาคโต) สาหรับมูลเหตุที่พระพุทธองค์ (รวมทั้งพระอรหันตสาวก) ทรงแสดงธรรมท่ีเป็นพระสูตรท้ังหลาย มีอธิบายไว้ในอรรถกถาของพระอรรถกถาจารย์ จากคัมภีร์สุมังคลวิลาสินี ได้อธิบายไว้ว่า ทรงแสดง ธรรมทเ่ี ปน็ พระสูตรด้วยมลู เหตุ 4 ประการ สรุปไดด้ ังนี้

18 1. ทรงแสดงตามพระอัธยาศยั ของพระองค์เองโดยไม่ต้องมผี ้ใู ดทูลขอให้ทรงแสดง (อัตตัชฌาส ยะ) 2. ทรงแสดงตามพระอธั ยาศัยของผูอ้ ่ืนทท่ี รงตรวจดูดว้ ยพระญาณก่อนเสด็จไปโปรด (ปรัชฌาส ยะ) 3. ทรงแสดงตามคาทูลถาม (ปจุ ฉาวสกิ ะ) 4. ทรงแสดงตามเรื่องหรือเหตุการณท์ เี่ กดิ ขน้ึ ในขณะนัน้ ๆ (อัตถปุ ปตั ตกิ ะ) โครงสรา้ งของพระสตู ร จากการศึกษาพระสตุ ตนั ตปิฎกท้งั หมดในพระไตรปิฎก ผู้ศึกษาจะเห็นได้ว่า พระธรรมเทศนา และธรรมบรรยาย ที่เป็นพระสูตร จะมีโครงสร้างของพระสูตรท่ีมีองค์ประกอบอยู่ 3 ส่วน ซึ่งเป็น บรรทัดฐานของการพูดหรอื การเขียนทีศ่ ึกษาเล่าเรียนกันในปัจจุบัน องค์ประกอบท้ัง 3 ส่วนท่ีรวมเป็น โครงสรา้ งของพระสตู รได้แก่ 1. คาข้นึ ตน้ หรอื ข้อความเบ้อื งตน้ (นิทานวจนะ) ในพระสุตตันตปิฎก ท่ีเป็นพระสูตรต่างๆ มี ข้อความขึ้นต้นว่า “เอวม̣เม เม สุต” (เป็นเช่นน้ันที่ข้าพเจ้าได้สดับมา) เป็นข้อความที่ พระอานนท์กล่าว และต่อจากนั้น จะเป็นข้อความที่บอกถึงความเป็นมาของพระสูตร นน้ั ๆ 2. เน้ือหาของพระสูตรหรือข้อความที่เป็นพระพุทธสุภาษิตหรือสาวกภาษิตเป็นข้อความที่ ต่อจาก นทิ านวจนะ 3. คาลงท้ายหรือข้อสรุป (นิคมวจนะ) ได้แก่ข้อความท่ีต่อจากเนื้อหาของพระสูตร เช่น ขอ้ ความท่ีข้ึนตน้ ดว้ ย “อิทมโวจ ภควา” ลักษณะของพระธรรมเทศนา และธรรมบรรยายท่ีเปน็ พระสูตร ลักษณะของการแสดงพระธรรมเทศนาและธรรมบรรยายของพระพุทธเจ้าและอรหันตสาวก ท่ีปรากฏในพระสูตรแต่ละสตู ร เป็นคาสอนที่เรียกว่า “นวังคสัตถุศาสน์”1 คือคาสอนของพระศาสดามี องค์ 9 ซ่ึงหมายความว่า ในแต่ละสูตรมีรูปแบบอย่างหน่ึงหรือหลาบยอย่างในรูปแบบ 9 อย่างแห่ง พทุ ธพจน์ ไดแ้ ก่ 1 ศึกษารายละเอียดไดใ้ น พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร์ ฉบบั ประมวลธรรม พระพรหมคณุ าภรณ์ (ป.อ. ปยุตโฺ ต) พ.ศ. 2558 ข้อ (302)

19 1. สตุ ตะ คอื ระเบียบคาทีเ่ ปน็ ความเรียงแสดงหรือบรรยายข้อธรรมใหผ้ ้ฟู ังเหน็ ประจักษ์ 2. เคยยะ คือระเบียบคาทเี่ ป็นประเภทรอ้ ยกรองผสมคาประเภทรอ้ ยแกว้ 3. เวยยากรณะ คือระเบยี บคาท่เี ป็นประเภทรอ้ ยแกว้ ล้วน 4. คาถา คือระเบยี บคาที่เปน็ ประเภทร้อยกรองล้วน 5. อทุ าน คือพระถาหรือพระดารัสท่ีทรงเปล่งด้วยพระทัยแหง่ อนั สหรคต ดว้ ยโสมนัสสัปปยุต ด้วยญาณ 6. อติ วิ ตุ ตถะคือระเบียบคาท่ีมีการกลา่ วอา้ งข้อความอืน่ มาประกอบโดยมีคาวา่ “วุตตฺ เหต ภคว ตา” (สมจริงดังทีพ่ ระผมู้ ีพระภาคตรัสไว้) เปน็ คาเชื่อมความเพื่อนาเขา้ สู่คาถา หรือพทุ ธพจน์ 7. ชาตกะ คือระเบียบคาท่ีมุ่งเลา่ เรื่องในอดตี จะเปน็ คาประเภทร้อยกรองหรือคาถาล้วน 8. อัพภูตธัมมะ ระเบยี บคาท่ีแสดงถึงเรื่องทีน่ า่ อัศจรรย์ไม่เคยมมี า 9. เวทลั ละ คอื ระเบยี บคาแบบถามตอบ จะเห็นได้ว่าจากการศึกษาพระไตรปิฎกเก่ียวกับระเบียบและลักษณะของรูปแบบถ้อยคาที่ใช้ใน การแสดงธรรมหรือคาสอน ผู้ศึกษาจะได้รับความรู้เพ่ิมเติมเก่ียวกับ หลักการเขียน ท่ีสร้างภาษาให้ เป็นข้อความที่เป็นประโยชน์ ได้รบั ความเข้าใจและความพอใจ อกี โสดหนึง่ ด้วย หลกั การจดั หมวดหมใู่ ห้กับพระสตุ ตันตปฎิ กหรือพระสูตร จากแผนผังทีแ่ สดงถึงการจัดแบ่งพระไตรปฎิ กทีเ่ ปน็ พระสุตตนั ตปิฎกจะเหน็ วา่ แบ่งออกเป็น 5 นิกายคือ 1. ทีฆนกิ าย 2. มชั ฌมิ นกิ าย 3. สงั ยุตตนิกาย 4. อังคตุ รนิกาย 5. ขทุ ทกนิกาย ซงึ่ ความหมายของ “นิกาย” คือ “หมวดหรือหมู่” พระสุตตันตปิฎกท้ัง 5 นิกายมีอักษรย่อว่า “ที ม ส องฺ ขุ” สาหรบั การแบ่งออกเปน็ 5 นกิ ายนนั้ พระสังคีตกิ าจารย์ (พระเถระผู้ทาสังคายนาพระ ธรรมวินัย)2 ใชเ้ กณฑใ์ นการแบง่ พระสูตรออกเปน็ 5 นกิ ายคอื 1. แบง่ ตามความยาวของพระสูตร กลา่ วคอื พระสตู รท่คี วามยาวมาก จัดไว้เปน็ หมวดหรือหมู่ท่ี 1 เรยี กวา่ ทฆี นิกาย (หมวดยาว) พระสูตรที่มคี วามยาวปานกลาง จัดไวห้ มวดท่ี 2 เรียกว่า 2 ศกึ ษาเพม่ิ เติมในรายละเอยี ดจากบทนาของ พระสุตตนั ตปิฎก ทฆี นกิ าย สลี ขนั ธวรรค

20 มัชฌมิ นกิ าย (หมวดปานกลาง) ส่วนพระสูตรที่มีความยาวนอ้ ยกว่า จะจดั แบ่งไวใ้ นหมวดอน่ื หรือวิธอี ่นื 2. แบง่ ตามเน้ือหาสาระของพระสตู ร คอื ประมวลพระสตู รท่ีมเี นอ้ื หาสาระประเภทเดยี วกัน จดั ไว้เป็นหมวดเดียวกัน เรยี กว่า “สังยตุ ตนกิ าย” (หมวดประมวลเนือ้ หาสาระ) 3. แบ่งตามลาดบั จานวนองคร์ วม หรือหัวขอ้ ธรรมะ คือรวบรวมพระสูตรที่มหี ัวขอ้ ธรรมะเทา่ กัน ไวใ้ นหมวดเดียวกัน เรียกวา่ “องั คุตตรนิกาย” (หมวดยง่ิ ดว้ ยองค์) 4. จดั แยกพระสูตรที่ไมเ่ ขา้ เกณฑท์ ้งั 3 ข้างต้นไวเ้ ปน็ หมวดเดียวกนั เรียกว่า “ขทุ ทกนิกาย” (หมวดเล็กนอ้ ย) ในการจัดทาคู่มือในโครงการท่ีดาเนินการน้ี จะเป็นการนาเอาบางส่วนของพระสูตรทีมีการแปล ออกเป็นภาษาไทยและภาษาอังกฤษเพื่อการถ่ายทอดและศึกษาเรียนรู้ร่วมกัน คือจากพระสูตรหมวด ทีฆนิกาย 3 พระสูตรของแต่ละวรรค (ตอน) หรือแต่ละเล่ม เป็นการศึกษาเบ้ืองต้น เพ่ือจะได้เข้าใจ ตรงกัน ซึ่งต่อจากนั้นผู้ศึกษาพระไตรปิฎกท่ีสนใจในการศึกษาต่อเน่ืองก็จะได้มีการจัดทาคู่มือเพ่ือ ศึกษาในตอนอื่นๆต่อไป พระสุตตนั ตปิฎก ทีฆนิกาย สลี ขนั ธวรรค พรหมชาลสูตร ในคู่มือฉบับที่ได้นาเอาพระสูตร หมวดยาว (ทีฆนิกาย)3 ตอน (วรรค) ที่ 1 คือสีลขันธวรรค พรหมชาลสูตร ที่เป็นฉบับแปลมาแสดงเป็นตัวอย่างสาหรับการศึกษาความหมาย และศึกษาเน้ือหาที่ ปรากฏในพระสตู รทีน่ ามาเปน็ ตวั อยา่ ง จานวนประมาณ 25-30 หน้า จากพระบาลีอักษรไทยและพระ บาลอี กั ษรโรมนั ท่ีรวมบทแปลแล้ว ในบทน้ี นาเอาบทแปลทั้งท่ีเป็นภาษาไทยและที่เป็นภาษาอังกฤษ แสดงไว้ท้ายบท เพ่ือให้ผู้ศึกษาได้สามารถฝึกปฏิบัติและศึกษาการแปลด้วยตนเองต่อไปได้ หลังจากท่ี ทาความเข้าใจและวัตถุประสงค์ของการจัดแปลแบบคาต่อคาแล้ว จานวนของบทแปลท้ังที่เป็น ภาษาไทยและภาษาองั กฤษได้ตัดตอนของพระสูตร ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค พรหมชาลสูตร ที่พระผู้ มพี ระภาคตรัสถึงศีล 3 ชั้น คือ จูฬศีล มัชฌิมศีล และมหาศีล เนื่องจากพรหมชาลสูตรทั้งหมดมีความ ยาวมาก ไม่สามารถมาจัดทารูปเล่มรวมไว้คู่มือท้ังหมดได้ ดังนั้นผู้จะศึกษาต่อไปสามารถได้บทแปลที่ ครบสูตรได้จากคณะผู้ดาเนนิ กิจกรรม 3 ทฆี นกิ าย มพี ระสตู รรวม 34 สตู ร แบ่งออกเป็น 3 วรรค (ตอน) คอื ท.ี สี. 1. สีลขันธวรรค มี 13 สตู ร (พระสตู รเลม่ 1 หรือพระไตรปฎิ กเล่ม 9) ท.ี สี. ที.ม. 2 มหาวรรค มี 10 สตู ร (พระสตู รเลม่ 2 หรือพระไตรปิฎกเลม่ 10) ที.ม. ที.ปา. 3. ปาฏกิ วรรค มี 11 สตู ร (พระสตู รเลม่ 3 หรือพระไตรปฎิ กเลม่ 11) ที.ปา.

21 พระไตรปิฎก พระสุตตันตปฎิ ก ทฆี นิกาย สีลขนั ธรวรรค ว่าดว้ ย พรหมชาลสตู ร ในการศึกษาพระสูตรว่าด้วย พรหมชาลสูตรซึ่งเป็นพระสูตรท่ี 1 ของพระสุตตันตปิฎก ทีฆ นกิ าย สลี ขนั ธรวรรค4 (พระสตู รหมวดยาว ตอนสีลขันธวรรค) เป็นการกาหนดการทาความเข้าใจและ ขั้นตอนการศึกษา พระไตรปิฎกฉบับแปลดงั น้ี 1. ทาความเข้าใจเก่ียวกบั ทีม่ าของชือ่ พระสูตร 2. ทาความเข้าใจเก่ียวกับเนื้อหาทป่ี รากฏในพรหมชาลสตู ร 3. ลักษณะของการเรียบเรียงคาในพรหมชาลสูตร 4. สาระสาคัญทเ่ี ป็นหลกั ธรรมที่ปรากฏอยู่ในพรหมชาลสูตร 5. ศกึ ษาในรายละเอียดของความหมายของศัพท์และคาแปล 1. ทม่ี าของชอ่ื พระสูตร โดยความหมาย “พรหมชาลสตู ร” แปลวา่ “พระสูตรท่วี า่ ด้วยข่ายอันประเสริฐ” ซึ่งคาว่าข่าย อันประเสริฐหมายถึงพระสัพพัญญุตญาณของพระผู้มีพระภาค ท่ีเป็นเหตุให้ทรงรู้ทิฏฐิหรือลัทธิต่างๆ ซ่ึงแพร่หลายอยูใ่ นสมยั นน้ั เชน่ ทรงกล่าวแสดงธรรมให้พระภิกษุท้ังหลาย ถึงทิฏฐิ (ความเห็น) ต่างๆท่ี มีอยู่ในสมัยของพระพุทธองค์ ถึง 62 ทิฏฐิ ท่ีมีผู้ต้ังตัวเป็นเจ้าสานักหรือลัทธิในพรหมชาลสูตรข้อที่ 1025 ว่า “ก็สมณะหรือพราหมณ์เหลา่ นนั้ ทุกจาพวก ทก่ี าหนดขนั ธ์ส่วนอดีต ที่กาหนดขันธ์ส่วนอนาคต หรือท่ีกาหนดขันธ์ท้ังส่วนอดีตและอนาคต ล้วนมีความเห็นคล้อยตามขันธ์ท้ังส่วนอดีตและอนาคต ปรารภขนั ธ์ทั้งส่วนอดีตและอนาคต ประการวาทะแสดงทิฏฐิ ต่างๆด้วยมูลเหตุท้ัง 62 อย่างนี้หรือด้วย มลู เหตุอย่างใดอย่างหนึง่ 62 อยา่ งนี้ ไม่พ้นไปจากน้ี” ซง่ึ ในบทแปลทเี่ ปน็ ภาษาอังกฤษในคู่มือ จะเป็นตอนที่ 1.202 กลา่ วไว้เปน็ ภาษาบาลีอกั ษร โรมันวา่ “evameva kho bhikkhave ye hi keci samaṇā vā brāhmaṇā vā pubbantakappikā vā aparantakappikā vā pubbantāparantakappikā vā pubbantāparantānudiṭṭhino pubbantāparantaṃ ārabbha anekavihitāni adhivuttipadāni abhivadanti,” 4 จานวนพระสตู ร 13 สตู รในทีฆนิกาย สลี ขนั ธรวรรค คอื พรหมชาลสตู ร สามญั ญผลสตุ ร อมั พฏั ฐสูตร โสณทณั ฑสตู ร กฏู ทันตสูตร มหาลิสูตร ชาลยิ สูตร มหาสหี นาทสูตร โปฏฐปาทสูตร สภุ สูตร เกวฏั ฏสตู รร โลหิจจสูตร เตวชิ ชสูตร 5 ขอ้ (102) พระไตรปฎิ กภาษาไทย ฉบบั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั

22 เมื่อแปลเปน็ ภาษาอังกฤษคาต่อคาจะได้วา่ “Whatever/bhikkhus/recluses or Brahmins/who are speculators/about the past/or/are speculators about the future/or /are speculators /about both past and future/settled on the view about the past and the future/focusing the past and the future/various/ conceptual outgrowing” สาหรับชื่อพระสูตรท่ีช่ือพรหมชาลสูตรแล้ว ในตอนสุดท้ายของพระสูตร ซ่ึงนับว่าเป็นปิตม วจนะของการแสดงธรรม โดนปรากฏขอ้ ความท่ี (148)6 ทพี่ ระอานนทไ์ ด้ทูลถามว่า “ขา้ แก่พระองคผ์ ้เู จรญิ นา่ อัศจรรยจ์ รงิ ไม่เคยปรากฏ ธรรมบรรยายนีม้ ชี ่ือวา่ อะไร พระพทุ ธเจา้ ข้า” พระผู้มพี ระภาคตรัสตอบวา่ “อานนท์ เธอจงจาธรรมบรรยายน้ีว่า ข่ายแห่งประโยชน์ (อรรถ ชาละ) ก็ได้ ข่ายแห่งธรรม (ธรรมชาละ) ก็ได้ ข่ายแห่งสัพพัญญุตญาณอันประเสริฐ (พรหมชาละ) ก็ได้ ขา่ ยแหง่ ทฏิ ฐิ (ทิฏฐิชาละ) ก็ได้ ตาราพชิ ยั สงคราม (สังคามวชิ ัย) อันยอดเย่ียมก็ได้” จะเห็นได้วา่ พระพทุ ธเจา้ ได้ทรงประทานความหมายของชื่อพระสตู รนี้ นอกจากชอ่ื พรหม ชาลสูตรแล้ว ยงั ทรงประทานช่อื อกี 4 ชอ่ื สาหรบั พระสตู รนีค้ ือ 1. อัตถชาลสูตร – พระสูตรท่ีว่าด้วยขา่ ยแห่งประโยชน์ เพราะทรงจาแนกประโยชนใ์ นชาติ นแี้ ละประโยชน์ชาติหน้าไว้ 2. ธัมมชาลสูตร – พระสตู รทวี่ ่าด้วยขา่ ยแหง่ ธรรม เพราะจาแนกธรรมอนั เปน็ แบบแผนไว้ 3. ทิฏฐิชาลสตู ร – พระสตู รทีว่ ่าดว้ ยขา่ ยแห่งทฏิ ฐิหรือลัทธิ เพราะทรงจาแนกทฏิ ฐหิ รือลัทธิ ตา่ งๆไว้ถงึ 62 ลทั ธิ 4. สังคามวิชยั สตู ร – พระสตู รท่ีว่าด้วยตาราพชิ ัยสงคราม เพราะผ้ทู ่ีได้ฟงั พระสตู รน้จี บแล้ว จะสามารถย่าย่ีพวกมารท้ังท่ีเปน็ เทวบตุ รมาร ขนั ธมาร มัจจุมาร หรอื กิเลสมาร ให้พ่าย แพไ้ ด้ เนอ้ื หาทปี่ รากฏในพรหมชาลสูตร พรหมชาลสูตรเป็นพระสูตรท่ี 1 ในจานวน 12 พระสูตรของพระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีล ขันธวรรค ซ่ึงเป็นพระสูตรเล่มที่ 1 แต่เป็นพระไตรปิฎกเล่มที่ 9 หากจะนับตั้งแต่พระวินัยปิฎกเล่ม 1 เป็นพระไตรปิฎก เล่มที่ 1 ที่นับหมวดพระวินัยเป็นหมวดแรกของพระไตรปิฎก ซ่ึงพระวินัยจะมี ท้ังหมด 8 เลม่ ตามที่แสดงไวใ้ นผงั พระไตรปฎิ กในบทท่ี 1 ของคูม่ ือน้ี 6 ข้อ (148) พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบบั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย

23 ในพระสูตรท่ีชื่อพรหมชาลสูตร ซึ่งแปลว่าพระสูตรที่ว่าด้วยข่ายอันประเสริฐนั้น มีเร่ืองราวที่ ปรากฏในพระสูตรน้ีว่าเป็นเร่ืองที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสแก่ภิกษุประมาณ 500 รูป ขณะทรงพักแรม ณ พระตาหนักหลวงในพระราชอุทยานอัมพลัฏฐิกา ซ่ึงต้ังอยู่ระหว่างกรุงราชคฤห์กับเมืองนาลันทา โดย ทรงปรารภคาติเตียนพระรัตนตรัยของสุปปิยะ (สาวกของครูสัญชัย เวลัฎฐบุตร ซึ่งเป็นเจ้าสานักของ นักบวชปริพาชกนิกายหน่ึงที่นุ่งผ้าสีขาว) และคาสรรเสริญ พระรัตนตรัย ของพรหมทัตมาณพผู้เป็น ศิษย์ ท่พี วกภกิ ษุไดย้ นิ แล้วนามาสนทนากัน ดังปรากฏในเน้ือแปลท่วี า่ บาลี Tatra sudaṃ/ suppiyo/ paribbājako/ anekapariyāyena/ buddhassa/ avaṇṇaṃ bhāsati, / dhammassa/ avaṇṇaṃ bhāsati, / saṅghassa/ avaṇṇaṃ/ bhāsati. / แปล There/Suppiya/the wanderer/by many ways/of the Buddha/dispraise/speech/of the Dhamma/dispraise/speaks/of the Saṅgha/dispraise/ speech/ ซ่ึงเม่ือพระผู้มีพระภาคทรงทราบ จึงตรัสเตือนภิกษุท้ังหลายมิให้โกรธ เมื่อถูกตาหนิและมิให้ ยินดีจนเหลิง เมือได้รับคาสรรเสริญเยินยอ แต่ให้พิจารณาหาสาเหตุแห่งการติเตียน และ สรรเสริญน้ันๆ ตามความเป็นจริง แล้วชี้แจงให้เขาทราบว่าอะไรเป็นเรื่องจริง อะไรเป็นเร่ือง เทจ็ เนอื้ หาท่แี สดงถงึ คาตรัสดังกล่าว ปรากฏในภาษาบาลี และบทแปลดงั นี้ บาลี \"Mamaṃ vā bhikkhave pare avaṇṇaṃ bhāseyyuṃ, dhammassa vā avaṇṇaṃ bhāseyyuṃ, saṅghassa vā avaṇṇaṃ bhāseyyuṃ, saṅghassa vā avaṇṇaṃ bhāseyyuṃ,tatra tumhehi na āghāto na appaccayo na cetaso anabhiraddhi karaṇīyā. บทแปล Of me/ or/ /Bhikkhus/further/ dispraising/should speak,/of the Dhamma or/dispraising/should speak,/of the saṅgha /or/dispraising/should speak/there/by you/should not be angry/should not be displeased/should not/ in thought/ be upset/ acting/ เม่ือทรงตรสั เตอื นภกิ ษุทง้ั หลายแลว้ ตอ่ จากนน้ั ทรงแสดงให้ภิกษทุ ัง้ หลายเห็นวา่ หลกั ธรรม ของพระองคส์ ูงสง่ ยง่ิ กวา่ ลัทธิอน่ื ท้งั 62 ลทั ธทิ ี่ แพรห่ ลายอยู่ในสมยั นั้น ดงั ปรากฏในเนื้อหา ของพรหมชาลสูตรน้ีว่า บาลี “…sabbe te imeheva dvāsaṭṭhiyā vatthūhi antojālīkatā ettha sitā'va ummujjamānā ummujjanti,” บทแปล … all/ they are/with these/ sixty two/ grounds/trapped in the net/here /being attached/ in there being emerged,/

24 ลกั ษณะของการเรียบเรียงคาในพรหมชาลสูตร ในแตล่ ะพระสตู รของพระสุตตนั ตปิฏก ทฆี นกิ าย สีลขันธวรรค จะขึ้นตน้ แต่ละพระสตู รด้วย “Evaṃ me sutaṃ (เอวมเฺ ม สุต)” Thus/by me/have heard/ (เชน่ นที้ ขี่ า้ พเจา้ ได้ยินมา) (Thus I have heard) ซง่ึ เปน็ ขอ้ ความท่ีท่านพระอานนท์กลา่ ว หมายถึง เรือ่ งที่กลา่ วต่อไปนีเ้ ปน็ เรือ่ งทที่ า่ นไดฟ้ งั จากพระพุทธเจา้ หรือจากพระอรหนั ตสาวก ซ่งึ ในพรหมชาลสูตรก็จะเป็นการขึน้ ตน้ เช่นเดียวกนั สาหรบั การเรียบเรยี งคาท่ใี ชใ้ นพระสูตรน้ี เปน็ แบบธรรมบรรยายหรอื การบรรยายธรรมแบบพดู คนเดียวจน จบเรื่อง ซงึ่ จะเหน็ ได้วา่ มีข้อความที่พระอานนท์จะทลู ถาม พระพทุ ธเจ้าเมอ่ื ทรงบรรยายจบด้วยคาทูลถามวา่ บาลีอกั ษรไทย (เอวมฺ วตุ เฺ ต อายสมา อานนโฺ ท ภควนฺต เอตทโวจ: บทแปลภาษาไทย อจฺฉริย ภนฺเต, อปภุต ภนเฺ ต, โก นามย ภนเฺ ต ธมมฺ ปรยิ าโย? ติ เป็นเช่นน้นั / ท่ีกล่าวแลว้ / ท่านพระ/ อานนท/์ ต่อพระผมู้ พี ระภาค/ ได้ทูลถาม/ อศั จรรย์จรงิ / ขา้ แก่พระองค์ผู้เจริญ/ ไม่เคยปรากฏ/ ขา้ แก่พระองคผ์ ูเ้ จริญ/ อะไร/ คอื ชื่อ/ ข้าแก่พระองค์ผเู้ จรญิ / ของธรรมบรรยายน้ี?/ พระพทุ ธเจ้าข้า/) บาลอี กั ษรโรมัน “Evaṃ vutte āyasmā ānando bhagavantaṃ etadavoca: 'acchariyaṃ bhante, abbhutaṃ bhante, ko nāmāyaṃ bhante dhammapariyāyo?'Ti.” บทแปลภาษาองั กฤษ When thus/ was said/ Venerable/ Ānanda/ to the Fortunate One/this was said/ It is marvelous, Venerable/ it is wonderful./ Venerable, what/ is the name/Venerable/of this exposition of dhamma?\" (is this) ในส่วนของการเรียบเรียงคาท่ีเป็นธรรมบรรยายในพระสูตร พรหมชาลสูตรน้ี อาจจะกล่าว ได้ว่า เป็นรูปแบบของพระสูตร แบบสุตตะ คือเป็นความเรียงแสดงหรือบรรยายช่ือธรรม ให้ผู้ฟังเห็น ประจักษ์ หรืออาจะเรียกได้ว่าเป็นรูปแบบ ของเวยยากรณะ คือระเบียบคาท่ีเป็นร้อยแก้วล้วน ส่วน การเรียงรูปคามีหลายลักษณะ ข้ึนอยู่กับประเภทของรูปประโยค หรือชนิดของประโยคที่ผู้ศึกษา หลังจากเรียนรู้ความหมายของคาศัพท์แต่ละคาแล้ว ก็คงจะต้องศึกษาในรายละเอียดต่อไป ในที่นี้จะ ยกตวั อย่างของการเรียบเรยี งคาพอเป็นสงั เขปดงั นี้

25 ประโยคเด่ียว บาลอี กั ษรโรมัน Atha kho bhagavā tesaṃ bhikkhūnaṃ imaṃ saṅkhiyādhammaṃ viditvā yena maṇḍalamāḷo tenupasaṅkami. บทแปลภาษาองั กฤษ Then/ indeed/ the Fortunate One/of those/ bhikkhūs/this/ concise thing/having known/where/ the pavilion/approached there/ ซึ่งรปู แบบการเรยี บเรียงคา ถ้าพิจารณาดูวจภี าค ทาหนา้ ทีใ่ นการเรยี บเรียงคา จะเปน็ การ เรียงคาตามหน้าทด่ี ังน้ี วเิ ศษณ์ + ประธาน + คณุ ศัพท์ + นาม + คุณศัพท์ + นาม + กริยารอง1 + วเิ ศษณ์ + นาม (ประธาน2) / กริยา2 สว่ นการเรยี งคาในลักษณะทีเ่ ปน็ คาพูด หรือข้อความทอี่ ยูใ่ นเครอื่ งหมาย “ ” จะลงท้าย ดว้ ย “ti” หมายถึงวา่ ข้อความขา้ งหนา้ เปน็ ดังน้ี สาระสาคัญทเี่ ป็นหลักธรรมที่ปรากฏในพรหมชาลสตู ร หลักธรรมท่ีปรากฏในพระสูตรพรหมชาลสูตรน้ี พระพุทธเจ้าได้ตรัสถึงศีล 3 ช้ัน ท่ีเป็น สาเหตุให้คนท่ัวไปสรรเสริญพระองค์ ซ่ึงได้แก่ จูฬศีล (ศีลอย่างเล็กน้อย) เป็นข้อห้ามท่ีทรงงดเว้น ปฏบิ ัติ มี 26 ขอ้ เป็นศีลขั้นที่ 1 สาหรับศีลข้ันที่ 2 คือ มัชฌิมศีล ซึ่งเป็นข้อห้ามท่ีทรงงดเว้น ปฏิบัติมี 10 ขอ้ และศลี ข้ันท่ี 3 คือ มหาศีล ซ่ึงเป็นข้อห้ามท่ีทรงงดเว้นเกี่ยวกับการเล้ียงชีพ มี 7 ข้อ ที่ได้ทรง อธิบายไว้ว่าเป็นเดรัจฉานวิชา (วิชาท่ีขวางทางไปสู่สวรรค์ – นิพพาน = Low art) ซึ่งผู้ศึกษาศัพท์จะ พบว่า ในมหาศีลข้อที่ 1 ที่พระพุทธองค์ทรงเว้นขาดจากการเล้ียงชีพผิดทาง ด้วยเดรัจฉานวิชา มีอยู่ 30 อยา่ ง เช่น ทานายอวยั วะ ทานายตาหนิ ทานายโรคลาง ทานายฝัน ฯลฯ เปน็ ต้น ในมหาศีลข้อ 2 ได้ทรงอธิบายถึงเดรัจฉานวิชาท่ีพระองค์ทรงเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพผิด ทาง ที่ทาให้บุคคลท้ังหลายกล่าวยกย่องพระองค์ สาหรับเดรัจฉานวิชาในมหาศีลนี้ที่ทรงอธิบายถึงมี 27 อย่าง เช่น ทานายลกั ษณะแก้วมณี ลกั ษณะไมพ้ ลอง ลกั ษณะผา้ ลกั ษณะศาสตรา ฯลฯ เป็นตน้ ในมหาศีลข้อ 3 ทรงอธิบายถึงเดรัจฉานวิชาท่ีทรงเว้นขาดคือ การดูฤกษ์ยาตราทัพ 11 อยา่ ง เช่น ดูฤกษ์ว่าพระราชาจักเสด็จหรอื ไมเ่ สดจ็ พระราชาในอาณาจกั รจักล่าถอย ฯลฯ เปน็ ตน้ ในมหาศีลข้อ 4 ทรงอธิบายถึงเดรัจฉานวิชา ที่ทรงเว้นขาดจากการปฏิบัติ คือ เดรัจฉาน วิชาที่เป็นการพยากรณ์ มี 9 อย่าง เช่น พยากรณ์ว่า จักมีจันทรคราส สุริยคราส นักษัตรคราส ฯลฯ เป็นต้น

26 ในมหาศีลข้อ 5 ทรงอธิบายถึง เดรัจฉานวิชาท่ีเป็นการเลี้ยงชีพที่ผิด ท่ีทรงเว้นขาด จนทา ให้บุคคลท้ังหลายยกย่อง ซึ่งเดรัจฉานวิชาในมหาศีลข้อนี้ มีอยู่ 13 อย่าง เช่น วิชาฉันทลักษณ์ และ โลกายตศาสตร์ (ศลิ ปะแหง่ การเอาชนะผู้อืน่ ในเชงิ วาทศิลป์ ฯลฯ เป็นต้น) ในมหาศีลข้อ 6 เป็นธรรมบรรยายที่ทรงแสดงถึง เดรัจฉานวิชาที่เก่ียวกับการให้ฤกษ์ยาม และการรา่ ยมนต์เพอ่ื ทาพิธีต่างๆ มีอยู่ 20 อย่าง เช่น ให้ฤกษ์อาวาหมงคล ฤกษ์วิวาหมงคล ฤกษ์เรียง หมอน ฯลฯ เปน็ ต้น ในมหาศลี ขอ้ 7 ทรงอธิบายถงึ เดรจั ฉานวชิ าที่เป็นการเลี้ยงชีพท่ีผิด ท่ีพระพุทธองค์ทรงเว้น ขาด ได้แก่เดรัจฉานวิชาที่เก่ียวกับการทาพิธีกรรมต่างๆเช่น พิธีบนบาน พิธีแก้บน ร่ายมนต์ขับผี ต้ัง ศาลพระภมู ิ ฯลฯ เป็นตน้ มีอยู่ 26 อยา่ ง จะเห็นได้ว่า ในมหาศีลท้ัง 7 ข้อ เมื่อรวมเดรัจฉานวิชาท่ีทรงอธิบายจะมีอยู่ไม่น้อยกว่า 136 อยา่ งที่ทรงเวน้ ขาด ดว้ ยทรงอธิบายว่า นักบวชที่บิณฑบาตอาหารจากผู้คนแล้ว ยังหาเลี้ยงชีด้วย เดรัจฉานวิชาชีพ จะเป็นสิ่งท่ีไม่ทรงปฏิบัติ จึงทาให้พระองค์ได้รับยกย่องท่ีปุถุชนท้ังหลายกล่าวถึง พระองคใ์ นทางยกยอ่ ง รายละเอียดในการศกึ ษาพระไตรปฎิ กฉบบั แปล จากตัวอย่างการแปลคาต่อคาจากภาษาบาลีเปน็ ภาษาอังกฤษ โดยมีการแปลเป็นภาษาไทย ในภาคผนวกที่แนบ ก็ด้วยเจตนารมณ์ของขณะผู้แปลที่ต้องการจะให้เกิดความเข้าใจอันดี ใน การศึกษาพระไตรปิฎกและหลักธรรมทั้งหลายท่ีพระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสเทศนาไว้เมื่อ 2500 กว่าปี มาแล้วในอดีต เป็นสัจธรรม ถูกต้องกับความจริงและสถานการณ์ทุกยุคทุกสมัย ไม่ว่าสถานการณ์จะ เปลี่ยนไปอย่างไรก็ตาม และการกาหนดเป้าหมายท่ีหวังให้คนไทยและชาวโลก ได้มีความเข้าใจในแต่ ละคา ทีพ่ ระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ การแปลศัพท์คาต่อคาหรือศัพท์ต่อศัพท์ ซ่ึงเม่ือเข้าใจความหมายของ ศัพท์แต่ละคา โดยจะย่นระยะเวลามนการค้นหาความหมาย ทีละคาในปทานุกรม นอกจากน้ียังจะ เปน็ การกระตนุ้ ให้ผ้ศู ึกษามีความสนใจในการศึกษาโครงสรา้ งของภาษาบาลีต่อไป เน่ืองจากภาษาบาลีที่พระพุทธองค์ทรงใช้ในการเทศนา เป็นภาษาท่ีมีความแตกต่าง โดยเฉพาะอยา่ งยิง่ จากโครงสร้างทางภาษาที่ใชก้ นั อยู่ท่ัวไป เช่นภาษาอังกฤษ ซึ่งถึงแม้จะเป็นภาษาใน ตระกูลเดียวกัน ภาษาบาลีซ่ึงมีโครงสร้างใกล้เคียงกับ Old English แต่ก็เป็นโครงสร้างภาษาที่ เปล่ียนไปอย่างส้ินเชิงกับภาษาอังกฤษปัจจุบัน และหากจะแปลคาต่อคาเป็นภาไทยด้วยแล้ว ก็จะทา ให้เห็นความแตกตา่ งทางโครงสรา้ งภาษาอย่างชัดเจน เนอ่ื งจากภาษาบาลแี ละภาษาไทยเป็นภาษาต่าง ตระกูลกัน อย่างไรกต็ ามคณะผู้ดาเนนิ โครงการ ไดม้ ีความพยายามอย่างยิ่งในการเลือกใช้คาท่ีจะนามา แปล ด้วยวัตถุประสงค์ 2 ประการ คอื พยายามแปลใหเ้ ปน็ ท่ีเข้าใจสาหรับคาปัจจุบัน โดยการเลือกคา แปลท่อี าจจะต้องพิจารณาบริบท (context) ทีใ่ ชใ้ นภาษาบาลี เพ่ือเลือกคาแปลที่ให้เป็นท่ีเข้าใจ เช่น

27 คาว่า “vā” ในภาษาบาลีจะมีความหมายข้ึนอยู่กับจะวางไว้ตรงส่วนใดท่ีทาหน้าที่เป็นอะไร ใน บางคร้ัง จงึ แปลวา่ “หรอื ” (or) บางครงั้ ก็แปลวา่ “จริง” (indeed) เมือ่ ทาหน้าทเี่ ปน็ คายา้ เปน็ ตน้ วัตถุประสงค์อีกประการหนึ่งคือ คณะผู้จัดดาเนินการต้องการจะเลือกคาเพ่ือให้เหมาะสม กับคุณลักษณะ ของภาษาบาลีว่า แต่ละศัพท์ เป็นคาท่ีพระพุทธเจ้าตรัสด้วยความตั้งใจที่จะให้เข้าใจ ชัดเจน การเลอื กคามาใช้แปลจึงเป็นส่วนที่คณะผู้ดาเนินการ ได้ทาการประชุมตกลงกันว่า จะเลือกใช้ ความหมายใด จึงจะเป็นส่วนรักษาความหมายท่ีพระพุทธองค์ทรงมีพระประสงค์จะให้มีความหมาย เช่นนั้น เช่น คาว่า ภควา (Bhagavā) จะเลือกใช้เป็นภาษาไทยว่า “พระผู้มีพระภาค” ภาษาอังกฤษ ว่า “The Fortunate One” เป็นต้น ซ่ึงผู้ศึกษาจะได้เข้าใจว่า “ภควา” คือ “พระผู้มีโชค” ซ่ึงในบาง ตาราของการแปล จะใช้แปลเป็นภาษาอังกฤษว่า “Lord” บ้าง “The Blessed One” บ้าง ซึ่งคณะ ผู้ดาเนินการเห็นว่า พระพุทธเจ้า ทรงเป็นมากกว่า Lord และเป็นมากกว่า “ผู้ได้รับพร” เพราะทรง เหนอื กวา่ ทุกสง่ิ ในบทแปลทย่ี กมาเปน็ ตวั อยา่ ง จึงต้องการให้ผู้ท่ีสนใจในการศึกษาพระไตรปิฎก ได้ศึกษาดู ความหมาย ซึ่งพยายามทาให้เกิดความสะดวกมากทส่ี ุด ในการแปลเปน็ ภาษาไทย จึงเป็นการยกภาษา ลีมาก่อน ต่อจากนั้นก็แปลทีละคาเรียงต่อกันไป ส่วนภาษาอังกฤษก็ยกบาลีอักษรโรมัน ได้ทีละท่อน แล้วคาแปลแตล่ ะคาทีก่ ากบั โดยเครอ่ื งหมาย “/” ได้ทา้ ยคา เพือ่ แสดงวา่ เปน็ ความหมายเดียวกัน เช่น “yathā vā paneke” แปลว่า Where as / เปน็ ตน้ “Iti” แปลวา่ thus ในท่ีหนง่ึ แปลว่า these อกี ทหี่ นง่ึ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม จากตัวอย่างที่นามาแสดงในส่วนท่ีเป็นการแปลจากบาลีอักษรไทย เป็น ภาษาไทยนั้น ซึ่งในบทนี้ได้ยกพระบาลีอักษรไทย และพระบาลีอักษรโรมัน โดยได้นาเสนอบทแปล จากบาลีอักษรไทยเป็นภาษาไทยและจากบาลีอักษรโรมันเป็นภาษาอังกฤษ ชนิดคาต่อคา (word by word) โดยการแปลจากบาลอักษรไทยเป็นภาษาไทยน้ัน จะเป็นการเรียงคาจากต้นฉบับภาษาบาลีท่ี ต่างออกไป เน่ืองจากผู้แปลได้เห็นว่า โครงสร้างของภาษาบาลีและโครงสร้างภาษาไทย มีความ แตกต่างกัน ทั้งตระกูลของภาษาและระบบการเรียบเรียงคาในการแปลบางคร้ังเพื่อความเข้าใจของ การใชภ้ าษาไทย จงึ ยกเอาคาในภาษาบาลีมาเรียบเรียงใหม่เพ่ือให้เข้าใจดีขึ้น เช่น ในภาษาบาลี เรียบ เรียงคาวา่ “นโม ตสสฺ ภควโต อรหโต สมมฺ าสมฺพทุ ธฺ สสฺ ” ผู้แปลจะแปลโดยเรียงคาว่า “นโม /ขอนอบนอ้ ม ภควโต/พระผู้มีพระภาค อรหโต สมฺมาสมพฺ ุทฺธสฺส/อรหันตสมั มาสัม พุทธเจ้า ตสฺส/ พระองคน์ นั้ ” ดังน้ันในคู่มือฉบับนี้ จึงยกพระบาลีอักษรไทยมาแสดงไว้ด้านซ้ายและบทแปลไว้ด้านขวา เพ่ือหผู้ศึกษาได้เห็นท้ังต้นฉบับของภาษาบาลีและเห็นการเรียงคาที่ผู้แปลได้พยายามให้ผู้ศึกษาได

28 เข้าใจความหมายชัดเจนข้ึน ซึ่งเมื่อทราบความหมายแล้วในโอกาสต่อไปก็สามารถศึกษาความหมาย จากตน้ ฉบับทเ่ี ปน็ ภาษาบาลอี กั ษรไทยได้ เมื่อผศู้ ึกษาได้เข้าใจตรงกับวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของคณะผู้ดาเนินการแล้ว อาจจะ ศึกษาด้วยตนเองและสามารถทาความเข้าใจ กับโครงสร้างของภาษาได้ จะนับว่าเป็นความสาเร็จ ประการหน่ึงของผู้ศึกษา แต่ถ้าหากมีส่วนใดหรือคาใดท่ีสงสัย ก็อาจจะติดต่อสอบถามมายังคณะ ผู้ดาเนินการ ซ่ึงในอันดับต่อไป จะเป็นการนาเอาบทแปลในบริบทต่างๆ มาศึกษาร่วมกันในรูปแบบ ของการเรียนรทู้ ่ีเปน็ พระไตรปิฎกศกึ ษารว่ มกนั ได้ ทง้ั น้ีในรูปของคู่มือท่ีเป็นเอกสารและที่เป็นออนไลน์ ทางเวบ็ ไซตข์ องโครงการอย่ดู ว้ ยแลว้ จิร ติฏฐฺ ตุ โลกสมฺ ึ สมฺมาสมฺพุทธฺ สาสน ตราบกาลนาน ต้ังอยใู่ นโลก คือพระศาสดาของพระสัมมาสัมพทุ ธเจ้า ขอพระศาสนาของพระสมั มาสัมพทุ ธเจา้ จงดารงอยใู่ นโลกส้ินกาลนาน

ตัวอยา่ งบทแปล พระสุตตันตปิฎก เลม่ ท่ี ๙ สตุ ฺตนตฺ ปิฏเก – ในพระสุตตันตปฏิ ก/ ทฆี นกิ ายสฺส – แห่งทีฆนิกาย/ ปฐโม – ที่ ๑/ ภาโค – ภาค/ ___________ สีลกฺขนฺธวคฺโค – หมวดวา่ ด้วยกองแห่งศีล/ ปฐโม – หมวดท่ี ๑/ นโม – ขอความนอบนอ้ ม/ ตสฺส – พระองค์น้ัน/ ภควโต – แด่พระผู้มีพระภาคเจา้ / อรหโต – ผเู้ ปน็ พระอรหันต/์ สมฺมาสมพฺ ุทฺธสสฺ . – ผตู้ รัสร้ชู อบไดโ้ ดยพระองค์เอง/ ๑. พฺรหมฺ ชาลสตุ ตฺ ํ – พระสตู รวา่ ดว้ ยขา่ ยแห่งพระสพั พัญญุตญาณอนั ประเสริฐ/ ปฐมํ – สูตรที่ ๑/ (ปรพิ ฺพาชกกถา – วาจาวา่ ด้วยเรอ่ื งปรพิ พาชก)/ ๑. เอวํ – อย่างนี้/ เม – อันข้าพเจา้ / สุตํ – ไดส้ ดบั มาแล้ว/ เอกํ สมยํ – ในสมัยหน่ึง/ ภควา – พระผู้มีพระภาค/ อนฺตรา – ในระหว่าง/ จ – ดว้ ย/ รา ชคหํ – แหง่ กรงุ ราชคฤห์/ อนตฺ รา – ในระหว่าง/ จ – ด้วย/ นาฬนทฺ ํ – แห่งเมอื งนาลันทา/ อทฺธานมคคฺ ปฺปฏิปนฺโน – เปน็ ผู้เสด็จไปแล้วส่ทู างไกล/ โหติ – ย่อมเปน็ / มหตา – หมู่ใหญ่/ ภิกขฺ สุ งฺ เฆน – ดว้ ยหมู่แหง่ ภกิ ษุ/ สทฺธึ – พร้อมกบั / ปญจฺ มตเฺ ตหิ – ประมาณ (อนั คูณดว้ ย) ๕ รูป/ ภกิ ขฺ สุ เต หิ. – ด้วยร้อยแห่งภิกษุท้ังหลาย/ สปุ ปฺ ิโยปิ – ช่ือว่าสุปปิยะ+แม/้ โข – แล/ ปริพฺพาชโก – ปรพิ าชก/ อนตฺ รา – ในระหว่าง/ จ – ดว้ ย/ ราชคหํ – แหง่ กรุงราชคฤห/์ อนฺตรา – ในระหวา่ ง/ จ – ดว้ ย/ นาฬนฺทํ – แหง่ เมืองนาลนั ทา/ อทธฺ านมคฺคปปฺ ฏิปนฺโน – เป็นผู้เสดจ็ ไปแลว้ สูท่ างไกล/ โหติ – ย่อมเปน็ / สทฺธึ – พร้อมกบั / อนฺ เตวาสนิ า – ผู้เปน็ ศิษย/์ พฺรหฺมทตฺเตน – ชอ่ื ว่าพรหมทัต/ มาณเวน. – ด้วยมาณพ/ ตตรฺ – ในการเดินทางครง้ั นั้น/ สุทํ – ไดย้ นิ ว่า/ สปุ ฺปโิ ย – ช่ือว่าสุปปยิ ะ/ ปริพพฺ าชโก – ปรพิ าชก/ อเนกปรยิ าเยน – โดยปรยิ ายเปน็ อเนก/ พุทธฺ สฺส – ซงึ่ พระพทุ ธ/ อวณณฺ ํ – ซ่ึงคาติเตียน/ ภาสติ – ยอ่ มกล่าว/ ธมฺมสฺส – ซ่งึ แก่พระธรรม/ อวณฺณํ – ซง่ึ คาตเิ ตียน/ ภาสติ – ยอ่ มกล่าว/ สงฺฆสสฺ – ซง่ึ พระสงฆ/์ อวณฺณํ – ซึ่งคาติเตยี น/ ภาสติ; – ยอ่ มกลา่ ว/ สปุ ฺปิยสสฺ – ชื่อวา่ สุปปยิ ะ/ ปน – สว่ นว่า/ ปรพิ ฺพาชกสฺส – ของปรพิ าชก/ อนเฺ ตวาสี – ผู้ เปน็ ศษิ ย์/ พรฺ หฺมทตโฺ ต – ช่ือวา่ พรหมทตั / มาณโว – มาณพ/ อเนกปรยิ าเยน – โดยปรยิ ายเป็น อเนก/ พุทฺธสสฺ – ซง่ึ พระพุทธ/ วณฺณํ – ซึง่ คายกย่อง/ ภาสติ – ย่อมกล่าว/ ธมฺมสฺส – ซึ่งพระธรรม/ วณณฺ ํ – ซง่ึ คายกย่อง/ ภาสติ – ย่อมกลา่ ว/ สงฺฆสสฺ – ซ่งึ พระสงฆ/์ วณฺณํ – ซ่งึ คายกย่อง/ ภาสต.ิ – ยอ่ มกล่าว/ * ผแู้ ปล ดร.วฒั นะ กลั ยาณพ์ ัฒนกลุ ป,ธ.๙, พธ.ด. (พระพทุ ธศาสนา) อาจารยป์ ระจาบณั ฑติ ศกึ ษา มหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณ์ราชวิทยาลยั วิทยาเขตนครสวรรค.์

30 อติ หิ – ด้วยประการฉะนแี้ ล/ เต – เหลา่ น้ัน/ อุโภ – ทั้งสองคน/ อาจรยิ นเฺ ตวาสี – อาจารย์ กับศษิ ย์ทั้งหลาย/ อญฺญมญฺญสสฺ – ต่อกันและกัน/ อุชุวปิ จจฺ นกี วาทา – เปน็ ผมู้ ีถ้อยคาขดั แย้งใน ลกั ษณะตรงกันขา้ ม/ ภควนตฺ ํ – ซ่ึงพระผมู้ ีพระภาค/ ปิฏฐฺ โิ ต – ข้างหลงั / ปฏิ ฐฺ ิโต – ข้างหลัง/ อนุพนฺธา – เป็นผ้เู ดินตามไปแลว้ / โหนตฺ ิ – ยอ่ มเปน็ / ภกิ ฺขสุ งฺฆญฺจ. – ซึ่งหม่แู หง่ ภิกษุ+ด้วย/ ๒. อถ – ครงั้ นัน้ / โข – แล/ ภควา – พระผ้มู ีพระภาค/ อมฺพลฏฺฐิกายํ – ในพระราชอทุ ยาน อมั พลฏั ฐิกา/ ราชาคารเก – ณ พระตาหนักหลวง/ เอกรตฺตวิ าสํ – ซ่ึงการประทบั แรมหนง่ึ ราตร/ี อปุ คจฉฺ ิ – เสด็จเข้าไปแลว้ / สทธฺ ึ – พรอ้ มกับ/ ภกิ ขฺ สุ งเฺ ฆน. – ด้วยหม่แู หง่ ภิกษุ/ สุปฺปิโยปิ – ช่อื ว่าสุปปยิ ะ+แม้/ โข – แล/ ปริพฺพาชโก – ปริพาชก/ อมพฺ ลฏฺฐิกายํ – ใน พระราชอุทยานอมั พลัฏฐกิ า/ ราชาคารเก – ณ พระตาหนักหลวง/ เอกรตฺตวิ าสํ – อยรู่ กั แรมหนงึ่ ราตร/ี อุปคจฺฉิ – เขา้ ไปแลว้ / อนฺเตวาสนิ า – ผเู้ ปน็ ศิษย์/ พรฺ หฺมทตฺเตน – ชือ่ วา่ พรหมทัต/ มาณ เวน. – ดว้ ยมาณพ/ ตตรฺ ปิ – ณ ทน่ี ้ัน+แม้/ สทุ ํ – ได้ยินว่า/ สุปฺปิโย – ช่ือว่าสุปปิยะ/ ปริพฺพาชโก – ปรพิ าชก/ อเนกปริยาเยน – โดยปริยายเป็นอเนก/ พุทธฺ สฺส – ซ่งึ พระพุทธ/ อวณฺณํ – ซึ่งคาตเิ ตียน/ ภาสติ – ย่อมกลา่ ว/ ธมฺมสฺส – ซง่ึ พระธรรม/ อวณฺณํ – ซึง่ คาตเิ ตียน/ ภาสติ – ยอ่ มกล่าว/ สงฺฆสฺส – ซง่ึ พระสงฆ์/ อวณณฺ ํ – ซงึ่ คาติเตยี น/ ภาสติ; – ยอ่ มกล่าว/ สุปฺปยิ สฺส – ชอื่ ว่าสปุ ปยิ ะ/ ปน – ส่วนวา่ / ปริพฺพาชกสฺส – ของปริพาชก/ อนฺเตวาสี – ผู้ เป็นศิษย/์ พรฺ หฺมทตโฺ ต – ชือ่ วา่ พรหมทตั / มาณโว – มาณพ/ อเนกปริยาเยน – โดยปรยิ ายเปน็ อเนก/ พุทฺธสฺส – ซง่ึ พระพุทธ/ วณณฺ ํ – ซึ่งคายกย่อง/ ภาสติ – ย่อมกล่าว/ ธมฺมสฺส – ซ่ึงพระธรรม/ วณฺณํ – ซง่ึ คายกย่อง/ ภาสติ – ย่อมกล่าว/ สงฺฆสฺส – ซึง่ พระสงฆ์/ วณณฺ ํ – ซง่ึ คายกย่อง/ ภาสติ. – ย่อมกล่าว/ อติ หิ – ดว้ ยประการฉะน้แี ล/ เต – เหล่านน้ั / อุโภ – ท้ังสองคน/ อาจรยิ นเฺ ตวาสี – อาจารย์ กบั ศษิ ย์ท้งั หลาย/ อญฺญมญฺญสฺส – ตอ่ กันและกนั / อุชุวิปจฺจนกี วาทา – เป็นผู้มีถ้อยคาขัดแย้งใน ลกั ษณะตรงกันข้าม/ วหิ รนฺติ. – ย่อมอาศยั อย/ู่ ๓. อถ – ครั้งนนั้ / โข – แล/ สมฺพหุลานํ – หลายรูป/ ภกิ ขฺ ูนํ – แกภ่ ิกษุทงั้ หลาย/ รตฺติยา – แห่งราตร/ี ปจจฺ สู สมยํ – ในเวลาใกล้รงุ่ / ปจฺจฏุ ฐฺ ติ านํ – ลุกข้นึ แล้ว/ มณฑฺ ลมาเฬ – ในหอน่งั / สนนฺ ิ สินนฺ านํ – นงั่ พรอ้ มกันแล้ว/ สนนฺ ปิ ตติ านํ – ประชมุ กันแล้ว/ อยํ – นี/้ สงขฺ ยิ ธมฺโม – การสนทนา ธรรม/ อุทปาทิ – เกิดขึ้นแลว้ / “อจฺฉริยํ – นา่ อัศจรรยจ์ รงิ / อาวุโส – ทา่ นผู้มีอาย/ุ อพฺภุตํ – ไมเ่ คยปรากฏแลว้ / อาวุโส – ทา่ นผู้มีอายุ/ ยาวญจฺ ิทํ – เพยี งไร+ดว้ ย+เหตุน้/ี เตน – พระองค์นัน้ / ภควตา – อนั พระผูม้ ีพระภาค/ ชาน ตา – ผ้ทู รงรู้อย/ู่ ปสสฺ ตา – ผ้ทู รงเห็นอยู่/ อรหตา – เป็นพระอรหันต์/ สมฺมาสมฺพุทฺเธน – ผตู้ รสั รู้ ชอบไดโ้ ดยพระองคเ์ อง/ สตฺตานํ – แหง่ สัตวท์ ัง้ หลาย/ นานาธิมุตฺตกิ ตา – ความมอี ัธยาศัยต่างกัน/ สปุ ปฺ ฏิวทิ ิตา. – ทรงทราบแล้ว/

31 อยญฺหิ – น+ี้ จริงอยู่/ สุปฺปิโย – ชื่อวา่ สปุ ปิยะ/ ปริพพฺ าชโก – ปรพิ าชก/ อเนกปริยาเยน – โดยปรยิ ายเป็นอเนก/ พทุ ฺธสฺส – ซึ่งพระพทุ ธ/ อวณฺณํ – ซึง่ คาติเตยี น/ ภาสติ – ยอ่ มกล่าว/ ธมฺมสสฺ – ซงึ่ พระธรรม/ อวณณฺ ํ – ซึง่ คาตเิ ตยี น/ ภาสติ – ยอ่ มกล่าว/ สงฺฆสฺส – ซ่ึงพระสงฆ/์ อวณฺณํ – ซง่ึ คาตเิ ตยี น/ ภาสติ; – ยอ่ มกล่าว/ สปุ ปฺ ยิ สฺส – ช่ือว่าสุปปยิ ะ/ ปน – ส่วนวา่ / ปรพิ ฺพาชกสฺส – ของปรพิ าชก/ อนฺเตวาสี – ผู้ เปน็ ศิษย์/ พฺรหฺมทตฺโต – ชื่อว่าพรหมทัต/ มาณโว – มาณพ/ อเนกปริยาเยน – โดยปรยิ ายเปน็ อเนก/ พุทฺธสฺส – ซึ่งพระพุทธ/ วณณฺ ํ – ซงึ่ คายกย่อง/ ภาสติ – ยอ่ มกล่าว/ ธมฺมสฺส – ซ่งึ พระธรรม/ วณฺณํ – ซง่ึ คายกย่อง/ ภาสติ – ย่อมกล่าว/ สงฺฆสสฺ – ซง่ึ พระสงฆ/์ วณฺณํ – ซ่งึ คายกย่อง/ ภาสต.ิ – ย่อมกลา่ ว/ อติ หิ – ดว้ ยประการฉะนแ้ี ล/ เต – เหลา่ น้ัน/ อโุ ภ – ทัง้ สองคน/ อาจรยิ นฺเตวาสี – อาจารย์ กบั ศษิ ย์ทง้ั หลาย/ อญฺญมญฺญสฺส – ตอ่ กนั และกนั / อุชุวิปจฺจนกี วาทา – เปน็ ผ้มู ีถอ้ ยคาขัดแย้งใน ลักษณะตรงกนั ขา้ ม/ ภควนฺตํ – ซ่งึ พระผ้มู ีพระภาค/ ปิฏฺฐโิ ต – ขา้ งหลงั / ปฏิ ฺฐิโต – ขา้ งหลัง/ อนพุ นฺธา – เป็นผูเ้ ดินตามไปแลว้ / โหนฺติ – ยอ่ มเปน็ / ภิกขฺ สุ งฆฺ ญฺจา”ติ. – ซงึ่ หมแู่ ห่งภกิ ษ+ุ ด้วย” ดงั น/ี้ ๔. อถ – คร้ังนน้ั / โข – แล/ ภควา – พระผู้มพี ระภาค/ เตสํ – เหล่าน้นั / ภิกขฺ ูนํ – ของภิกษุ ทง้ั หลาย/ อิมํ – น/ี้ สงฺขยิ ธมฺมํ – ซึง่ การสนทนาธรรม/ วิทิตฺวา – ทรงทราบแลว้ / เยน – โดยทิศใด/ มณฺฑลมาโฬ – หอนั่ง/ เตนปุ สงกฺ มิ; – โดยทิศนน้ั +เสด็จเข้าไปแลว้ / อุปสงฺกมติ ฺวา – ครน้ั เสด็จเข้าไปแลว้ / ปญฺญตฺเต – ที่ปูลาดไวแ้ ลว้ / อาสเน – บนพทุ ธอาสน์/ นสิ ีท.ิ – ประทับน่งั แล้ว/ นสิ ชชฺ – คร้ันประทับนั่งแล้ว/ โข – แล/ ภควา – พระผู้มพี ระภาค/ ภิกฺขู – ซง่ึ ภิกษุ ทง้ั หลาย/ อามนฺเตสิ – รบั สั่งเรียกมาแลว้ / “กาย – อะไร/ นุตถฺ – หนอ+ย่อมเป็น/ ภกิ ขฺ เว – ดกู รภิกษทุ งั้ หลาย/ เอตรหิ – ในเวลาน/้ี กถาย – ดว้ ยเรื่อง/ สนนฺ ิสินฺนา – เปน็ ผนู้ ง่ั แล้ว/ สนฺนปิ ติตา – เป็นผ้ปู ระชุมกนั แล้ว/ กา – อะไร/ จ – ดว้ ย/ ปน – ก็/ โว – อนั เธอทั้งหลาย/ อนตฺ รากถา – อันตรากถา/ วิปฺปก ตา”ติ? – คา้ งไว้แลว้ ”ดังน้ี?/ เอวํ – เม่อื พระดารสั อยา่ งนี้/ วุตเฺ ต – อนั พระผ้มู ีพระภาคตรสั แล้ว/ เต – เหลา่ นั้น/ ภกิ ขฺ ู – ภกิ ษทุ ัง้ หลาย/ ภควนฺตํ – กบั พระผู้มีพระภาค/ เอตทโวํจุ – ซง่ึ เน้อื ความนี้+ได้กราบทลู แลว้ / “อธิ – น/้ี ภนฺเต – ข้าแต่พระองคผ์ ู้เจริญ/ อมหฺ ากํ – เมื่อขา้ พระพุทธเจ้าทั้งหลาย/ รตฺติยา – แหง่ ราตร/ี ปจจฺ ูสสมยํ – ในเวลาใกล้รงุ่ / ปจจฺ ฏุ ฺฐติ านํ – ลกุ ข้นึ แล้ว/ มณฑฺ ลมาเฬ – ในหอน่ัง/ สนฺ นสิ นิ นฺ านํ – น่ังพรอ้ มกนั แล้ว/ สนฺนปิ ติตานํ – ประชุมกันแล้ว/ อยํ – นี/้ สงขฺ ิยธมฺโม – การสนทนา ธรรม/ อุทปาทิ – เกดิ ขนึ้ แลว้ / ‘อจฺฉริยํ – นา่ อัศจรรย์จรงิ / อาวุโส – ท่านผมู้ ีอาย/ุ อพภฺ ุตํ – ไม่เคยปรากฏแล้ว/ อาวโุ ส – ท่านผมู้ ีอายุ/

32 ยาวญฺจิทํ – เพียงไร+ด้วย+เหตนุ ้ี/ เตน – พระองคน์ ้ัน/ ภควตา – อันพระผู้มพี ระภาค/ ชาน ตา – ผ้ทู รงรอู้ ยู/่ ปสฺสตา – ผูท้ รงเห็นอยู่/ อรหตา – เป็นพระอรหันต/์ สมฺมาสมฺพุทฺเธน – ผ้ตู รัสรู้ ชอบไดโ้ ดยพระองคเ์ อง/ สตฺตานํ – แหง่ สัตว์ท้ังหลาย/ นานาธิมุตฺติกตา – ความมีอัธยาศยั ต่างกนั / สปุ ฺปฏิวิทิตา. – ทรงทราบแล้ว/ อยญฺหิ – น้ี+จรงิ อยู่/ สุปปฺ ิโย – ช่อื ว่าสปุ ปยิ ะ/ ปริพฺพาชโก – ปรพิ าชก/ อเนกปรยิ าเยน – โดยปริยายเป็นอเนก/ พทุ ฺธสฺส – ซงึ่ พระพุทธ/ อวณณฺ ํ – ซ่ึงคาตเิ ตียน/ ภาสติ – ย่อมกลา่ ว/ ธมมฺ สสฺ – ซ่ึงพระธรรม/ อวณณฺ ํ – ซ่ึงคาตเิ ตยี น/ ภาสติ – ยอ่ มกล่าว/ สงฆฺ สสฺ – ซ่ึงพระสงฆ์/ อวณณฺ ํ – ซง่ึ คาตเิ ตยี น/ ภาสติ; – ย่อมกล่าว/ สปุ ปฺ ยิ สสฺ – ชอ่ื วา่ สปุ ปยิ ะ/ ปน – สว่ นวา่ / ปรพิ ฺพาชกสฺส – ของปริพาชก/ อนฺเตวาสี – ผู้ เป็นศษิ ย/์ พฺรหฺมทตโฺ ต – ช่อื ว่าพรหมทตั / มาณโว – มาณพ/ อเนกปรยิ าเยน – โดยปรยิ ายเป็น อเนก/ พุทธฺ สฺส – ซ่งึ พระพุทธ/ วณฺณํ – ซึ่งคายกย่อง/ ภาสติ – ยอ่ มกลา่ ว/ ธมฺมสสฺ – ซ่ึงพระธรรม/ วณฺณํ – ซึ่งคายกย่อง/ ภาสติ – ย่อมกล่าว/ สงฺฆสสฺ – ซงึ่ พระสงฆ์/ วณณฺ ํ – ซ่งึ คายกย่อง/ ภาสต.ิ – ยอ่ มกลา่ ว/ อิติหเม – ดว้ ยประการฉะน้ีแล+เหล่าน้ี/ เต – เหลา่ นน้ั / อุโภ – ทั้งสองคน/ อาจรยิ นเฺ ตวาสี – อาจารยก์ ับศิษย์ทั้งหลาย/ อญญฺ มญฺญสฺส – ต่อกันและกัน/ อุชุวปิ จจฺ นีกวาทา – เป็นผูม้ ถี ้อยคา ขัดแยง้ ในลักษณะตรงกันขา้ ม/ ภควนตฺ ํ – ซึง่ พระผู้มีพระภาค/ ปิฏฐฺ โิ ต – ข้างหลัง/ ปฏิ ฐฺ โิ ต – ขา้ ง หลงั / อนพุ นฺธา – เป็นผ้เู ดินตามไปแล้ว/ โหนฺติ – ยอ่ มเปน็ / ภิกขฺ สุ งฺฆญจฺ า’ต.ิ – ซง่ึ หมู่แห่งภกิ ษ+ุ ด้วย”ดงั นี/้ อยํ – น/ี้ โข – แล/ โน – อันขา้ พระพุทธเจา้ ทงั้ หลาย/ ภนเฺ ต – ข้าแตพ่ ระองค์ผู้เจรญิ / อนฺ ตรากถา – อนั ตรากถา/ วปิ ฺปกตา – คา้ งไว้แล้ว/ อถ – ครง้ั นั้น/ ภควา – พระผู้มีพระภาค/ อนปุ ปฺ ตฺ โต”ต.ิ – เสด็จมาถึงโดยลาดับแลว้ ”ดังนี/้ ๕. “มมํ – ซง่ึ ขา้ พเจ้า/ วา – หรอื วา่ / ภกิ ฺขเว – ดูกรภิกษุท้งั หลาย/ ปเร – คนท้ังหลายเหลา่ อื่น/ อวณณฺ ํ – ซึง่ คาติเตียน/ ภาเสยํฺยุ – พงึ กล่าว/ ธมมฺ สฺส – ซึง่ พระธรรม/ วา – หรือวา่ / อวณณฺ ํ – ซ่ึงคาติเตียน/ ภาเสยํฺยุ – พงึ กล่าว/ สงฺฆสฺส – ซ่ึงพระสงฆ์/ วา – หรอื ว่า/ อวณณฺ ํ – ซ่ึงคาตเิ ตียน/ ภาเสยํยฺ ุ – พงึ กล่าว/ ตตฺร – ในคนท้ังหลายเหล่านน้ั / ตมุ ฺเหหิ – อนั เธอทัง้ หลาย/ น – ไม่/ อาฆาโต – ความอาฆาต/ น – ไม่/ อปฺปจฺจโย – ความแคน้ เคือง/ น – ไม/่ เจตโส – แหง่ ใจ/ อนภริ ทฺธิ – ความขุ่นเคือง/ กรณียา. – พงึ กระทา/ มมํ – ซง่ึ ขา้ พเจ้า/ วา – หรอื ว่า/ ภิกขฺ เว – ดูกรภกิ ษทุ ้ังหลาย/ ปเร – คนทง้ั หลายเหลา่ อนื่ / อวณฺณํ – ซงึ่ คาติเตยี น/ ภาเสยํยฺ ุ – พึงกล่าว/ ธมฺมสฺส – ซึ่งพระธรรม/ วา – หรอื วา่ / อวณฺณํ – ซง่ึ คาติเตยี น/ ภาเสยํยฺ ุ – พงึ กล่าว/ สงฆฺ สสฺ – ซงึ่ พระสงฆ/์ วา – หรอื ว่า/ อวณณฺ ํ – ซ่ึงคาตเิ ตียน/ ภา เสยํฺยุ – พึงกลา่ ว/ ตตฺร – ในคนทั้งหลายเหลา่ นั้น/ เจ – หากว่า/ ตุมฺเห – เธอท้ังหลาย/ อสสฺ ถ – พึง เป็น/ กุปิตา – เปน็ ผโู้ กรธเคืองแล้ว/ วา – หรอื ว่า/ อนตฺตมนา – เป็นผูไ้ ม่พอใจแล้ว/ วา – หรือวา่ / ตมุ ฺหํเยวสสฺ – แก่เธอ+เท่านั้น+พงึ มี/ เตน – เพราะความโกรธเคืองนัน้ / อนฺตราโย. – อนั ตราย/

33 มมํ – ซง่ึ ขา้ พเจา้ / วา – หรอื วา่ / ภิกฺขเว – ดูกรภกิ ษทุ ั้งหลาย/ ปเร – คนทัง้ หลายเหล่าอนื่ / อวณณฺ ํ – ซึ่งคาตเิ ตยี น/ ภาเสยํฺยุ – พงึ กลา่ ว/ ธมฺมสฺส – ซ่ึงพระธรรม/ วา – หรือว่า/ อวณณฺ ํ – ซง่ึ คาตเิ ตยี น/ ภาเสยํยฺ ุ – พงึ กลา่ ว/ สงฆฺ สสฺ – ซ่งึ พระสงฆ/์ วา – หรือว่า/ อวณฺณํ – ซง่ึ คาติเตียน/ ภา เสยํฺยุ – พึงกลา่ ว/ ตตฺร – ในคนท้ังหลายเหล่านั้น/ เจ – หากวา่ / ตมุ ฺเห – เธอทงั้ หลาย/ อสฺสถ – พงึ เป็น/ กุ ปติ า – เปน็ ผู้โกรธเคืองแลว้ / วา – หรอื วา่ / อนตตฺ มนา – เป็นผ้ไู มพ่ อใจแล้ว/ วา – หรือวา่ / อปิ – บ้างหรือ/ นุ – หนอ/ ตมุ เฺ ห – เธอทั้งหลาย/ ปเรสํ – ของคนทง้ั หลายเหล่าอืน่ / สุภาสิตํ – ซึ่งคา สุภาษติ / ทพุ ฺภาสิตํ – ซ่ึงคาทุพภาษิต/ อาชาเนยฺยาถา”ต?ิ – พงึ รู้”ดงั น?้ี / “โน – ไม่/ เหตํ – ก็+ข้อน้นั / ภนฺเต”. – ข้าแต่พระองคผ์ ้เู จรญิ ”/ “มมํ – ซง่ึ ขา้ พเจ้า/ วา – หรอื วา่ / ภกิ ฺขเว – ดกู รภิกษุท้ังหลาย/ ปเร – คนทัง้ หลายเหล่า อ่ืน/ อวณณฺ ํ – ซึง่ คาตเิ ตยี น/ ภาเสยํยฺ ุ – พึงกล่าว/ ธมมฺ สฺส – ซึง่ พระธรรม/ วา – หรือวา่ / อวณฺณํ – ซงึ่ คาตเิ ตียน/ ภาเสยํฺยุ – พงึ กลา่ ว/ สงฺฆสฺส – ซึ่งพระสงฆ์/ วา – หรือวา่ / อวณฺณํ – ซึ่งคาตเิ ตียน/ ภาเสยํฺยุ – พึงกลา่ ว/ ตตรฺ – ในคนทั้งหลายเหล่านัน้ / ตุมฺเหหิ – อันเธอทั้งหลาย/ อภูตํ – เรอื่ งไม่จรงิ แลว้ / อภูตโต – โดยความเป็นเรอื่ งไม่จรงิ แล้ว/ นิพฺเพเฐตพฺพํ – ควรช้ีแจงให้เหน็ ชดั / ‘อิติเปตํ – แม้ดว้ ยประการฉะน้ี+เรอ่ื งน้/ี อภตู ํ – เปน็ เร่อื งไมจ่ รงิ แล้ว/ อิติเปตํ – แม้ดว้ ยประการฉะนี้+เรอ่ื งนี้/ อตจฉฺ ํ – เป็นเรือ่ งไมจ่ รงิ / นตฺถิ – ย่อมไม่มี/ เจตํ – หากว่า+คาติเตยี นนน้ั / อมฺเหสุ – ในข้าพเจ้าทั้งหลาย/ น – ไม/่ จ – ด้วย/ ปเนตํ – ก+็ คาติเตียนนนั้ / อมเฺ หสุ – ในข้าพเจ้าทั้งหลาย/ สวํ ิชชฺ ตี’ต.ิ – ย่อมปรากฏ’ดังน้ี/ ๖. “มมํ – ซง่ึ ข้าพเจ้า/ วา – หรือว่า/ ภิกขฺ เว – ดูกรภกิ ษุทง้ั หลาย/ ปเร – คนทง้ั หลายเหลา่ อื่น/วณณฺ ํ – ซึ่งคายกย่อง/ ภาเสยํยฺ ุ – พงึ กล่าว/ ธมมฺ สฺส – ซงึ่ พระธรรม/ วา – หรอื วา่ /วณณฺ ํ – ซง่ึ คายกย่อง/ ภาเสยํฺยุ – พงึ กลา่ ว/ สงฆฺ สฺส – ซ่ึงพระสงฆ์/ วา – หรอื ว่า/วณฺณํ – ซึ่งคายกย่อง/ ภา เสยํฺยุ – พงึ กลา่ ว/ ตตฺร – ในคนท้งั หลายเหล่าน้ัน/ ตุมฺเหหิ – อนั เธอท้ังหลาย/ น – ไม/่ อานนโฺ ท – ความร่นื เรงิ / น – ไม่/ โสมนสสฺ ํ – ความดใี จ/ น – ไม่/ เจตโส – แห่งใจ/ อปุ ฺปลิ าวติ ตฺตํ – ความกระหยิม่ / กรณีย.ํ – ควรทา/ มมํ – ซง่ึ ขา้ พเจ้า/ วา – หรอื วา่ / ภิกฺขเว – ดกู รภิกษทุ ั้งหลาย/ ปเร – คนทั้งหลายเหล่าอ่ืน/ วณณฺ ํ – ซึง่ คายกย่อง/ ภาเสยํฺยุ – พงึ กลา่ ว/ ธมมฺ สฺส – ซึง่ พระธรรม/ วา – หรือวา่ /วณณฺ ํ – ซงึ่ คา ยกย่อง/ ภาเสยํยฺ ุ – พงึ กลา่ ว/ สงฺฆสฺส – ซึ่งพระสงฆ์/ วา – หรือว่า/วณฺณํ – ซงึ่ คายกยอ่ ง/ ภาเสยํยฺ ุ – พึงกล่าว/ ตตฺร – ในคนท้ังหลายเหลา่ นั้น/ เจ – หากว่า/ ตุมเฺ ห – เธอทงั้ หลาย/ อสสฺ ถ – พงึ เปน็ / อานนฺทิโน – เป็นผู้มคี วามรน่ื เริง/ สุมนา – เป็นผ้ดู ใี จ/ อุปฺปิลาวิตา – เปน็ ผู้มีความกระหยมิ่ ใจ/ ตุมฺหํ เยวสสฺ – แกเ่ ธอ+เท่านน้ั +พึงม/ี เตน – เพราะความรื่นเรงิ ดีใจนนั้ / อนฺตราโย. – อนั ตราย/

34 มมํ – ซง่ึ ขา้ พเจ้า/ วา – หรอื ว่า/ ภกิ ขฺ เว – ดูกรภกิ ษุท้ังหลาย/ ปเร – คนท้งั หลายเหล่าอ่นื / วณณฺ ํ – ซึง่ คายกย่อง/ ภาเสยํฺยุ – พึงกลา่ ว/ ธมมฺ สฺส – ซ่งึ พระธรรม/ วา – หรือว่า/วณณฺ ํ – ซงึ่ คา ยกย่อง/ ภาเสยํฺยุ – พึงกลา่ ว/ สงฆฺ สสฺ – ซ่ึงพระสงฆ/์ วา – หรือว่า/ วณฺณํ – ซ่ึงคายกย่อง/ ภาเสยํฺยุ – พึงกล่าว/ ตตรฺ – ในคนทั้งหลายเหล่าน้ัน/ ตุมฺเหหิ – อนั เธอท้ังหลาย/ ภตู ํ – เรื่องจริงแลว้ / ภตู โต – โดยความเปน็ เร่อื งจริงแลว้ / ปฏิชานติ พฺพํ – ควรยนื ยันให้ร้ชู ดั / ‘อิตเิ ปตํ – แมด้ ้วยประการฉะน้ี+เรือ่ งน/้ี ภตู ํ – เป็นเรอื่ งจริงแล้ว/ อติ เิ ปตํ – แมด้ ้วยประการฉะน้+ี เรอื่ งน้/ี ตจฺฉํ – เปน็ เร่อื งจริง/ อตถฺ ิ – ย่อมมี/ เจตํ – หากวา่ +คาตเิ ตยี นนัน้ / อมฺเหสุ – ในขา้ พเจ้าทงั้ หลาย/ สํวิชชฺ ติ. – ย่อมปรากฏ/ จ – ดว้ ย/ ปเนตํ – ก็+คายกย่องนนั้ / อมฺเหสู’ติ. – ในข้าพเจา้ ทง้ั หลาย’ดงั น/้ี จฬู สีลํ – จูฬศลี / ๗. “อปปฺ มตตฺ กํ – เปน็ เร่ืองเลก็ นอ้ ย/ โข – แล/ ปเนตํ – ก็+ข้อน้ัน/ ภกิ ขฺ เว – ดกู รภิกษุ ทัง้ หลาย/ โอรมตตฺ กํ – เปน็ เรื่องต่าต้อย/ สลี มตตฺ กํ – เป็นเรอื่ งเพยี งเร่อื งระดับศลี / เยน – ด้วยเรอ่ื ง ใด/ ปุถุชฺชโน – ปุถุชน/ ตถาคตสสฺ – ซงึ่ ตถาคต/ วณณฺ ํ – ซึ่งคายกยอ่ ง/ วทมาโน – เมื่อกล่าว/ วเทยฺย. – พงึ กลา่ ว/ กตมญจฺ – เป็นอย่างไร+ก็/ ตํ – จฬู ศีลนัน้ / ภิกขฺ เว – ดกู รภิกษทุ งั้ หลาย/ อปฺปมตฺตกํ – เป็น เร่ืองเลก็ น้อย/ โอรมตตฺ กํ – เป็นเร่ืองต่าต้อย/ สลี มตฺตกํ – เปน็ เรอ่ื งเพียงเร่ืองระดบั ศีล/ เยน – ด้วย เรือ่ งใด/ ปถุ ุชชฺ โน – ปถุ ชุ น/ ตถาคตสฺส – ซ่งึ ตถาคต/ วณฺณํ – ซงึ่ คายกย่อง/ วทมาโน – เมื่อกลา่ ว/ วเทยฺย? – พงึ กลา่ ว?/ ๘. “ปาณาตปิ าตํ – ซงึ่ การฆ่าสัตว/์ ปหาย – ทรงละแล้ว/ ปาณาติปาตา – จากการฆ่าสตั ว์/ ปฏิวริ โต – ทรงเวน้ ขาดแล้ว/ สมโณ – พระสมณะ/ โคตโม – โคดม/ นิหิตทณฺโฑ – เป็นผู้ วางทณั ฑาวธุ แล้ว/ นิหิตสตฺโถ – เปน็ ผูว้ างศสั ตราวธุ แล้ว/ ลชฺชี – เปน็ ผ้มู คี วามละอาย/ ทยาปนโฺ น – เปน็ ผมู้ ีความเอ็นดู/ สพฺพปาณภูตหิตานกุ มฺปี – เปน็ ผูม้ ุ่งประโยชน์เก้ือกลู ต่อสรรพสตั ว์/ วหิ รตี’ติ – ย่อมอาศัยอยู่’ดงั น/้ี อติ ิ – ดังน้ี/ วา – หรือว่า/ หิ – ก/็ ภิกฺขเว – ดูกรภกิ ษุท้ังหลาย/ ปุถชุ ฺชโน – ปถุ ุชน/ ตถาคตสฺส – ซึ่งตถาคต/ วณณฺ ํ – ซ่งึ คายกยอ่ ง/ วทมาโน – เม่ือกล่าว/ วเทยยฺ . – พงึ กลา่ ว/ “อทนิ ฺนาทานํ – ซ่ึงการลกั ทรพั ย์/ ปหาย – ละแล้ว/ อทนิ นฺ าทานา – จากการลักทรัพย์/ ปฏวิ ริ โต – ทรงเว้นขาดแลว้ / สมโณ – พระสมณะ/ โคตโม – โคดม/ ทนิ ฺนาทายี – รบั เอาแต่ของที่ เขาให้/ ทินนฺ ปาฏิกงฺขี – มุ่งหวังแตข่ องที่เขาให้/ อเถเนน – ไมเ่ ปน็ ขโมย/ สุจภิ ูเตน – เปน็ คนสะอาด/ อตตฺ นา – มตี น/ ยอ่ มอาศยั อยู่’ดงั น้ี/ อติ ิ – ดงั น/้ี วา – หรอื วา่ / หิ – ก็/ ภิกขฺ เว – ดกู รภิกษุท้งั หลาย/ ปุถุชฺชโน – ปุถชุ น/ ตถาคตสสฺ – ซึง่ ตถาคต/ วณฺณํ – ซึ่งคายกยอ่ ง/ วทมาโน – เม่อื กล่าว/ วเทยฺย. – พึงกล่าว/

35 “อพรฺ หฺมจริยํ – ซึ่งพฤติกรรมอันเป็นข้าศกึ ต่อพรหมจรรย์/ ปหาย – ทรงละแลว้ / พรฺ หฺม จารี – ประพฤติพรหมจรรย์/ สมโณ – พระสมณะ/ โคตโม – โคดม/ อาราจารี – ประพฤตหิ ่างไกล/ วิรโต – ทรงเวน้ ขาดแลว้ / เมถุนา – จากเมถนุ ธรรม/ คามธมมฺ า’ติ – อันเป็นกจิ ของชาวบ้าน’ดังน้/ี อติ ิ – ดังน้/ี วา – หรอื วา่ / หิ – ก็/ ภิกฺขเว – ดกู รภิกษทุ ้งั หลาย/ ปุถชุ ฺชโน – ปุถุชน/ ตถาคตสสฺ – ซึ่งตถาคต/ วณฺณํ – ซึ่งคายกย่อง/ วทมาโน – เมอ่ื กลา่ ว/ วเทยฺย. – พึงกล่าว/ ๙. “มสุ าวาทํ – ซึ่งการพดู เท็จ/ ปหาย – ทรงละแล้ว/ มสุ าวาทา – จากการพูดเทจ็ / ปฏวิ ริ โต – ทรงเวน้ ขาดแลว้ / สมโณ – พระสมณะ/ โคตโม – โคดม/ สจจฺ วาที – พูดแต่คาสัตย์/ สจฺจสนโฺ ธ – ดารงความสตั ย์/ เถโต – มีถ้อยคาเป็นหลกั / ปจจฺ ยโิ ก – เชอ่ื ถือได้/ อวิสํวาทโก – ไม่หลอกลวง/ โลกสสฺ า’ติ – ต่อชาวโลก’ดังน/ี้ อติ ิ – ดงั น้/ี วา – หรือวา่ / หิ – ก/็ ภิกฺขเว – ดกู รภิกษทุ ง้ั หลาย/ ปุถุชฺชโน – ปุถุชน/ ตถาคตสฺส – ซง่ึ ตถาคต/ วณณฺ ํ – ซง่ึ คายกย่อง/ วทมาโน – เม่ือกลา่ ว/ วเทยฺย. – พึงกล่าว/ “ปิสณุ ํ – ซ่ึงคาส่อเสยี ด/ วาจํ – ซ่งึ การพดู / ปหาย – ทรงละแลว้ / ปสิ ุณาย – สอ่ เสียด/ วา จาย – จากวาจา/ ปฏิวิรโต – ทรงเว้นขาดแล้ว/ สมโณ – พระสมณะ/ โคตโม – โคดม/ อิโต – จากฝา่ ยน/ี้ สตุ วฺ า – ฟังแล้ว/ น – ไม่/ อมุตฺร – ในฝ่ายโนน้ / อกฺขาตา – เป็นผู้บอก/ อเิ มสํ – ซ่งึ ชนทั้งหลายฝา่ ยน/ี้ เภทาย – เพื่อการทาลาย/ อมุตรฺ – ในฝา่ ยโน้น/ วา – หรือวา่ / สตุ ฺวา – ฟังแลว้ / น – ไม่/ อิเมสํ – แก่ชนทั้งหลายฝ่ายน/้ี อกฺขาตา – เป็นผู้บอก/ อมูสํ – แกช่ นทั้งหลาย ฝา่ ยโนน้ / เภทาย. – เพอื่ การทาลาย/ อติ ิ – ดังน/ี้ ภินนฺ านํ – ซึ่งคนทั้งหลายผูแ้ ตกกันแลว้ / วา – หรอื วา่ / สนธฺ าตา – เป็นผูส้ มาน/ สหติ านํ – ซงึ่ คนทัง้ หลายทป่ี รองดองกนั / วา – หรือวา่ / อนุปฺปทาตา – เป็นผ้สู ง่ เสริม/ สมคฺ คาราโม – เปน็ ผ้ชู ื่นชมต่อผู้ท่สี ามัคคีกนั / สมคคฺ รโต – เปน็ ผู้ยินดตี ่อผูท้ ่ีสามัคคีกัน/ สมคคฺ นนฺที – เปน็ ผ้เู พลดิ เพลินต่อผ้ทู ่ีสามัคคีกนั / สมคคฺ กรณึ – ทสี่ ร้างสรรค์ความสามัคคี/ วาจํ – ซ่งึ ถอ้ ยคา/ ภาสิ ตา’ติ – เปน็ ผูต้ รัส’ดังนี/้ อติ ิ – ดงั นี/้ วา – หรือวา่ / หิ – ก็/ ภกิ ฺขเว – ดูกรภกิ ษุท้งั หลาย/ ปุถุชฺชโน – ปถุ ชุ น/ ตถาคตสสฺ – ซ่ึงตถาคต/ วณฺณํ – ซง่ึ คายกย่อง/ วทมาโน – เมอื่ กล่าว/ วเทยยฺ . – พงึ กล่าว/ “ผรุสํ – ซ่งึ คาหยาบ/ วาจํ – ซ่งึ การพูด/ ปหาย – ละเว้นแล้ว/ ผรุสาย – ซ่ึงคาหยาบ/ วา จาย – จากการพูด/ ปฏิวิรโต – ทรงเวน้ ขาดแลว้ / สมโณ – พระสมณะ/ โคตโม – โคดม/ ยา – ใด/ สา – นั้น/ วาจา – วาจา/ เนลา – อันไม่มโี ทษ/ กณณฺ สขุ า – อนั ไพเราะ/ เปมนี ยา – อันน่ารกั / หทยงคฺ มา – อันจับใจ/ โปรี – อันเป็นคาของชาวเมือง/ พหุชนกนตฺ า – อนั คน ส่วนมากรักใคร/่ พหุชนมนาปา – อันคนส่วนมากพอใจ/ ตถารูปึ – อันเชน่ นน้ั / วาจํ – ซง่ึ การพูด/ ภาสติ า’ติ – เปน็ ผตู้ รัส’ดงั น้ี/ อิติ – ดังน/้ี วา – หรือว่า/ หิ – ก/็ ภิกฺขเว – ดกู รภิกษทุ ั้งหลาย/ ปุถชุ ฺชโน – ปุถชุ น/ ตถาคตสสฺ – ซึ่งตถาคต/ วณณฺ ํ – ซงึ่ คายกย่อง/ วทมาโน – เมอ่ื กล่าว/ วเทยยฺ . – พึงกลา่ ว/

36 “สมผฺ ปปฺ ลาปํ – ซ่งึ คาเพ้อเจ้อ/ ปหาย – ทรงละแลว้ / สมฺผปปฺ ลาปา – จากคาเพ้อเจอ้ / ปฏิ วริ โต – ทรงเว้นขาดแลว้ / สมโณ – พระสมณะ/ โคตโม – โคดม/ กาลวาที – เปน็ ผู้ตรัสถูกเวลา/ ภตู วาที – เป็นผูต้ รัสคาจริง/ อตฺถวาที – เปน็ ผู้ตรัสอิงประโยชน์/ ธมมฺ วาที – เปน็ ผตู้ รสั อิงธรรม/ วินย วาที – เป็นผูต้ รสั อิงวินยั / นิธานวตึ – ท่ีมีหลักฐาน/ วาจํ – ซึ่งคา/ ภาสิตา – เป็นผตู้ รัส/ กาเลน – เหมาะแกเ่ วลา/ สาปเทสํ – มีที่อา้ งองิ / ปริยนตฺ วตึ – มีท่ีกาหนด/ อตถฺ สํหิต’นตฺ ิ – ประกอบแล้วดว้ ย ประโยชน์’ดงั น้/ี อติ ิ – ดงั น/ี้ วา – หรือว่า/ หิ – ก็/ ภิกขฺ เว – ดูกรภิกษุทัง้ หลาย/ ปุถุชฺชโน – ปุถุชน/ ตถาคตสฺส – ซ่ึงตถาคต/ วณณฺ ํ – ซ่ึงคายกย่อง/ วทมาโน – เมื่อกล่าว/ วเทยฺย. – พงึ กล่าว/ ๑๐. ‘พชี คามภตู คามสมารมฺภา – จากการพรากพืชคามและภูตคาม/ ปฏิวิรโต – ทรงเวน้ ขาดแล้ว/ สมโณ – พระสมณะ/ โคตโม’ติ – โคดม’ดังนี/้ อติ ิ – ดังน/ี้ วา – หรือว่า/ หิ – ก/็ ภกิ ขฺ เวฯเปฯ. – ดกู รภกิ ษทุ ง้ั หลาย ฯลฯ/ “เอกภตตฺ ิโก – เปน็ ผู้เสวยม้อื เดยี ว/ สมโณ – พระสมณะ/ โคตโม – โคดม/ รตฺตปู รโต – จากการเสวยในเวลากลางคืน/ วริ โต – ทรงเวน้ ขาดแลว้ / วิกาลโภชนา ฯเปฯ – จากการเสวยในเวลาวกิ าล ฯลฯ/ นจฺจคีตวาทิตวสิ กู ทสสฺ นา – จากการฟ้อนรา การขบั ร้อง การประโคมดนตรี และดู การละเล่นทเ่ี ปน็ ข้าศึกแก่กุศล/ ปฏวิ ริ โต – ทรงเว้นขาดแล้ว/ สมโณ – พระสมณะ/ โคตโม ฯเปฯ – โคดม ฯลฯ/ มาลาคนฺธวิเลปนธารณมณฑฺ นวภิ ูสนฏฺฐานา – จากการทดั ทรง การประดบั การตกแต่ง ร่างกายด้วยพวงดอกไม้ของหอมและเคร่ืองประทินผิวอันเป็นลักษณะแหง่ การแตง่ ตวั / ปฏิวริ โต – ทรงเว้นขาดแล้ว/ สมโณ – พระสมณะ/ โคตโม ฯเปฯ – โคดม ฯลฯ/ อจุ จฺ าสยนมหาสยนา – จากท่ีนอนสูงใหญ่/ปฏวิ ิรโต – ทรงเวน้ ขาดแล้ว/ สมโณ – พระ สมณะ/ โคตโม ฯเปฯ – โคดม ฯลฯ/ ชาตรปู รชตปฏิคฺคหณา – จากการรบั ทองและเงิน/ปฏวิ ริ โต – ทรงเวน้ ขาดแล้ว/ สมโณ – พระสมณะ/ โคตโม ฯเปฯ – โคดม ฯลฯ/ อามกธญฺญปฏิคคฺ หณา – จากการรับธัญญาหารดิบ/ ปฏวิ ิรโต – ทรงเว้นขาดแล้ว/ สมโณ – พระสมณะ/ โคตโม ฯเปฯ – โคดม ฯลฯ/ อามกมํสปฏคิ ฺคหณา – จากการรับเนอ้ื ดบิ / ปฏิวริ โต – ทรงเวน้ ขาดแลว้ / สมโณ – พระ สมณะ/ โคตโม ฯเปฯ – โคดม ฯลฯ/ อิตฺถิกุมาริกปฏิคฺคหณา – จากการรบั สตรแี ละกมุ ารี/ ปฏวิ ิรโต – ทรงเว้นขาดแล้ว/ สมโณ – พระสมณะ/ โคตโม ฯเปฯ – โคดม ฯลฯ/ ทาสทิ าสปฏิคฺคหณา – จากการรบั ทาสหญิงและทาสชาย/ปฏวิ ิรโต – ทรงเวน้ ขาดแล้ว/ สมโณ – พระสมณะ/ โคตโม ฯเปฯ – โคดม ฯลฯ/

37 อเชฬกปฏิคคฺ หณา – จากการรบั แพะและแกะ/ ปฏิวิรโต – ทรงเว้นขาดแลว้ / สมโณ – พระ สมณะ/ โคตโม ฯเปฯ – โคดม ฯลฯ/ กุกฺกฏุ สูกรปฏิคฺคหณา – จากการรบั ไกแ่ ละสุกร/ ปฏิวิรโต – ทรงเวน้ ขาดแลว้ / สมโณ – พระสมณะ/ โคตโม ฯเปฯ – โคดม ฯลฯ/ หตถฺ คิ วสฺสวฬวปฏคิ ฺคหณา – จากการรบั ชา้ ง โค มา้ และลา/ ปฏิวริ โต – ทรงเวน้ ขาดแล้ว/ สมโณ – พระสมณะ/ โคตโม ฯเปฯ – โคดม ฯลฯ/ เขตตฺ วตถฺ ปุ ฏิคคฺ หณา – จากการรับเรือกสวนไรน่ าและท่ีดิน/ ปฏวิ ิรโต – ทรงเว้นขาดแลว้ / สมโณ – พระสมณะ/ โคตโม ฯเปฯ – โคดม ฯลฯ/ ทเู ตยยฺ ปหิณคมนานโุ ยคา – จากการทาหน้าท่ีเป็นตัวแทนและผู้ส่ือสาร/ ปฏวิ ิรโต – ทรงเว้น ขาดแล้ว/ สมโณ – พระสมณะ/ โคตโม ฯเปฯ – โคดม ฯลฯ/ กยวิกฺกยา – จากการซ้ือขาย/ ปฏวิ ริ โต – ทรงเวน้ ขาดแลว้ / สมโณ – พระสมณะ/ โคตโม ฯเปฯ – โคดม ฯลฯ/ ตุลากฏู กสํ กฏู มานกูฏา – จากการโกงดว้ ยตาช่งั ดว้ ยของปลอมและดว้ ยเครื่องตวงวดั / ปฏวิ ิร โต – ทรงเว้นขาดแล้ว/ สมโณ – พระสมณะ/ โคตโม ฯเปฯ – โคดม ฯลฯ/ อกุ โฺ กฏนวญฺจนนกิ ตสิ าจโิ ยคา – จากการรบั สนิ บน การลอ่ ลวงและการตลบตะแลง/ ปฏวิ ริ โต – ทรงเวน้ ขาดแลว้ / สมโณ – พระสมณะ/ โคตโม ฯเปฯ – โคดม ฯลฯ/ เฉทนวธพนฺธนวปิ ราโมสอาโลปสหสาการา – จากการตัด (อวัยวะ) การฆ่า การจองจา การ ตีชงิ ว่ิงราว การปลน้ และการขู่กรรโชก/ ปฏวิ ริ โต – ทรงเว้นขาดแล้ว/ สมโณ – พระสมณะ/ โคตโม’ติ – โคดม’ดงั น้/ี อิติ – ดงั น้/ี วา – หรือวา่ / หิ – ก/็ ภกิ ฺขเว – ดูกรภกิ ษทุ ั้งหลาย/ ปุถชุ ฺชโน – ปถุ ุชน/ ตถาคตสสฺ – ซ่ึงตถาคต/ วณฺณํ – ซง่ึ คายกย่อง/ วทมาโน – เมอ่ื กลา่ ว/ วเทยยฺ . – พึงกลา่ ว/ จูฬสีลํ – จูฬศีล/ นิฏฐฺ ิตํ. – จบแลว้ / มชฺฌิมสลี ํ – มัชฌิมศลี / ๑๑. “ยถา – ฉนั ใด/ วา – หรอื ว่า/ ปเนเก – ก+็ บางพวก/ โภนฺโต – ผู้เจรญิ / สมณพฺ ราหมฺ ณา – สมณพราหมณ์ทง้ั หลาย/ สทธฺ าเทยฺยานิ – ทเ่ี ขาใหด้ ว้ ยศรทั ธา/ โภชนานิ – ซง่ึ โภชนาหารท้งั หลาย/ ภญุ ฺชิตวฺ า – ฉันแล้ว/ เต – สมณพราหมณ์ทั้งหลายเหลา่ น้นั / เอวรปู ํ – เหน็ ปานนี/้ พชี คามภูตคามสมารมฺภํ – ซง่ึ การพรากพชื คามและภูตคาม/ อนุยุตตฺ า – ผู้ตามประกอบ แล้ว/ วหิ รนฺติ – ย่อมอาศยั อยู่/ เสยฺยถิทํ – อย่างไร+นี้ (ได้แก)่ / มูลพชี ํ – พชื เกิดจากเหง้า/ ขนธฺ พชี ํ – พชื เกิดจากลาตน้ / ผฬพุ ีชํ – พืชเกิดจากตา/ อคคฺ พีชํ – พชื เกิดจากยอด/ พีชพีชเมว – พชื เกิดจากเมลด็ +นนั่ แหละ/ ปญจฺ มํ – เปน็ ประเภทท่ี ๕/ อติ ิ – ดงั นี/้ เอวรปู า – เห็นปานน้/ี พชี คามภตู คามสมารมฺภา – จากการพรากพชื คามและ ภูตคาม/ ปฏวิ ริ โต – ทรงเว้นขาดแลว้ / สมโณ – พระสมณะ/ โคตโม’ติ – โคดม’ดังน/้ี

38 อติ ิ – ดังน/้ี วา – หรือว่า/ หิ – ก/็ ภิกขฺ เว – ดูกรภกิ ษุทง้ั หลาย/ ปถุ ชุ ฺชโน – ปถุ ชุ น/ ตถาคตสสฺ – ซง่ึ ตถาคต/ วณณฺ ํ – ซ่ึงคายกยอ่ ง/ วทมาโน – เมอื่ กล่าว/ วเทยฺย. – พงึ กล่าว/ ๑๒. “ยถา – ฉันใด/ วา – หรือวา่ / ปเนเก – ก็+บางพวก/ โภนโฺ ต – ผู้เจรญิ / สมณพฺ ราหมฺ ณา – สมณพราหมณ์ทงั้ หลาย/ สทธฺ าเทยฺยานิ – ทีเ่ ขาใหด้ ้วยศรทั ธา/ โภชนานิ – ซง่ึ โภชนาหารทั้งหลาย/ ภญุ ฺชติ วฺ า – ฉันแลว้ / เต – สมณพราหมณ์ทง้ั หลายเหลา่ นั้น/ เอวรูปํ – เหน็ ปานนี/้ สนนฺ ธิ กิ ารปริโภคํ – ซ่ึงการบริโภคของท่สี ะสมไว/้ อนยุ ุตฺตา – ผ้ตู ามประกอบแลว้ / วหิ รนฺติ – ยอ่ มอาศยั อยู่/ เสยฺยถิทํ – อย่างไร+น้ี (ได้แก่)/ อนฺนสนนฺ ิธึ – ซ่งึ การสะสมขา้ ว/ ปานสนนฺ ิธึ – ซงึ่ การสะสม น้า/ วตถฺ สนนฺ ธิ ึ – ซ่งึ การสะสมผ้า/ ยานสนฺนิธึ – ซงึ่ การสะสมยาน/ สยนสนฺนิธึ – ซึ่งการสะสมที่ นอน/ คนธฺ สนนฺ ธิ ึ – ซ่งึ การสะสมเคร่ืองประทินผิว/ อามิสสนฺนธิ ึ – ซึ่งการสะสมของหอม/ ซึ่งการ สะสมอามิส/อิติ – วา – หรอื วา่ / อิติ – ดังน้ี/ เอวรูปา – เห็นปานน้/ี สนนฺ ิธกิ ารปริโภคา – จากการ บริโภคของที่สะสมไว้/ ปฏิวิรโต – ทรงเวน้ ขาดแลว้ / สมโณ – พระสมณะ/ โคตโม’ติ – โคดม’ดงั นี้/ อิติ – ดงั นี้/ วา – หรอื วา่ / หิ – ก็/ ภกิ ฺขเว – ดกู รภิกษทุ ั้งหลาย/ ปุถชุ ฺชโน – ปถุ ุชน/ ตถาคตสสฺ – ซงึ่ ตถาคต/ วณฺณํ – ซ่งึ คายกยอ่ ง/ วทมาโน – เม่ือกลา่ ว/ วเทยยฺ . – พงึ กล่าว/ ๑๓. “ยถา – ฉนั ใด/ วา – หรือว่า/ ปเนเก – ก+็ บางพวก/ โภนฺโต – ผเู้ จริญ/ สมณพฺ ราหฺมณา – สมณพราหมณ์ทั้งหลาย/ สทฺธาเทยยฺ านิ – ทเ่ี ขาให้ดว้ ยศรทั ธา/ โภชนานิ – ซง่ึ โภชนาหารทง้ั หลาย/ ภญุ ฺชิตวฺ า – ฉนั แลว้ / เต – สมณพราหมณ์ทงั้ หลายเหล่านน้ั / เอวรปู ํ – เห็น ปานน/้ี วสิ กู ทสฺสนํ – ซึ่งการดกู ารละเลน่ อันเป็นข้าศกึ ต่อกุศล/ อนุยตุ ฺตา – ผู้ตามประกอบแล้ว/ วิ หรนฺติ – ย่อมอาศัยอย/ู่ เสยฺยถทิ ํ – อยา่ งไร+น้ี (ไดแ้ ก)่ / นจจฺ ํ – ซึง่ การฟ้อน/ คีตํ – ซ่งึ การขับร้อง/ วาทิตํ – ซ่งึ การ ประโคมดนตร/ี เปกขฺ ํ – ซง่ึ การรา/ อกฺขานํ – ซึง่ การเล่านิทาน/ ปาณสิ สฺ รํ – ซึง่ การเล่นปรบมอื / เว ตาฬํ – ซ่ึงการเลน่ ปลกุ ผ/ี กุมภฺ ถูณํ – ซึง่ การเลน่ ตีกลอง/ โสภนกํ – ซึ่งการสรา้ งฉากบ้านเมืองให้ งดงาม/ จณฑฺ าลํ – ซึง่ การละเล่นของคนจณั ฑาล/ วํสํ – ซึ่งการเล่นกระดานหก/ โธวนํ – ซง่ึ การละเล่นหน้าศพ/ หตถฺ ยิ ุทฺธํ – ซง่ึ การแขง่ ชนช้าง/ อสฺสยุทธฺ ํ – ซง่ึ การแข่งมา้ / มหึสยุทฺธํ – ซง่ึ การ แข่งชนกระบือ/ อุสภยุทธฺ ํ – ซงึ่ การแขง่ ชนโค/ อชยุทฺธํ – ซ่ึงการแข่งชนแพะ/ เมณฑฺ ยุทฺธํ – ซง่ึ การ แข่งชนแกะ/ กุกฺกฏุ ยุทฺธํ – ซ่ึงการแข่งชนไก่/ วฏฺฏกยุทฺธํ – ซงึ่ การแข่งชนนกกระทา/ ทณฺฑยุทธฺ ํ – ซงึ่ การรากระบี่กระบอง/ มฏุ ฐฺ ยิ ุทฺธํ – ซึ่งมวยปลา้ / นพิ พฺ ุทฺธํ – ซึง่ การชกมวย/ อุยโฺ ยธกิ ํ – ซง่ึ การรบ/ พลคฺคํ – ซ่ึงการตรวจพลสวนสนาม/ เสนาพยฺ หู ํ – ซง่ึ การจัดกระบวนทัพ/ อนกี ทสฺสนํ – ซึ่งการตรวจ กองทัพ/ อติ ิ – ดงั น้ี/ วา – หรือว่า/ อิติ – ดังนี้/ เอวรูปา – เหน็ ปานน้ี/ วสิ ูกทสสฺ นา – จากการดู การละเลน่ อันเป็นข้าศกึ ต่อกุศล/ ปฏิวิรโต – ทรงเว้นขาดแล้ว/ สมโณ – พระสมณะ/ โคตโม’ติ – โค ดม’ดังน/ี้ อติ ิ – ดังน/้ี วา – หรือว่า/ หิ – ก/็ ภกิ ฺขเว – ดูกรภิกษทุ งั้ หลาย/ ปุถชุ ฺชโน – ปุถุชน/ ตถาคตสฺส – ซง่ึ ตถาคต/ วณณฺ ํ – ซง่ึ คายกย่อง/ วทมาโน – เมอ่ื กลา่ ว/ วเทยฺย. – พงึ กลา่ ว/

39 ๑๔. “ยถา – ฉนั ใด/ วา – หรือว่า/ ปเนเก – ก+็ บางพวก/ โภนฺโต – ผู้เจริญ/ สมณพฺ ราหมฺ ณา – สมณพราหมณ์ทั้งหลาย/ สทธฺ าเทยฺยานิ – ทเี่ ขาใหด้ ้วยศรทั ธา/ โภชนานิ – ซง่ึ โภชนาหารทั้งหลาย/ ภุญฺชติ วฺ า – ฉนั แลว้ / เต – สมณพราหมณ์ทงั้ หลายเหล่านั้น/ เอวรปู ํ – เหน็ ปานน/ี้ ชูตปฺปมาทฏฺฐานานุโยคํ – ซงึ่ การขวนขวายในการเลน่ การพนันอนั เป็นเหตุแหง่ ความ ประมาท/ อนุยุตฺตา – ผูต้ ามประกอบแลว้ / วิหรนฺติ – ยอ่ มอาศยั อย/ู่ เสยฺยถิทํ – อยา่ งไร+น้ี (ได้แก่)/ อฏฺฐปทํ – ซ่ึงการเล่นหมากรุกแถวละ ๘ ตา/ ทสปทํ – ซง่ึ การเล่นหมากรุกแถวละ ๑๐ ตา/ อากาสํ – ซึง่ การเลน่ หมากเกบ็ / ปริหารปถํ – ซงึ่ การเลน่ ดวด/ สนฺ ติกํ – ซ่ึงการเลน่ หมากไหว/ ขลิกํ – ซ่งึ การเลน่ โยนบ่วง/ ฆฏกิ ํ – ซึง่ การเลน่ ไมห้ งึ่ / สลากหตถฺ ํ – ซง่ึ การเล่นกาทาย/ อกฺขํ – ซึง่ การเล่นสะกา/ ปงคฺ จรี ํ – ซ่ึงการเล่นเป่าใบไม้/ วงกฺ กํ – ซ่ึงการเลน่ ไถเล็ก ๆ/ โมกขฺ จิกํ – ซึ่งการเลน่ หกคะเมน/ จงิ ฺคุลิกํ – ซ่งึ การเลน่ กงั หัน/ ปตตฺ าฬฺหกํ – ซ่งึ การเล่นตวง ทราย/ รถกํ – ซงึ่ การเลน่ รถเล็ก ๆ/ ธนกุ ํ – ซง่ึ การเลน่ ธนูเลก็ ๆ/ อกฺขรกิ ํ – ซง่ึ การเล่นเขียนทาย/ มเนสกิ ํ – ซึ่งการเล่นทายใจ/ ยถาวชฺชํ – ซึง่ การเลน่ ลอ้ เลียนคนพิการ/ อติ ิ – ดังน้ี/ วา – หรอื วา่ / อติ ิ – ดังน้ี/ เอวรปู า – เหน็ ปานน/้ี ชตู ปปฺ มาทฏฺฐานานโุ ยคา – จากการขวนขวายในการเล่นการพนันอนั เป็นเหตแุ ห่งความประมาท/ ปฏิวริ โต – ทรงเวน้ ขาดแล้ว/ สมโณ – พระสมณะ/ โคตโม’ติ – โคดม’ดังน/ี้ อติ ิ – ดังน้ี/ วา – หรือว่า/ หิ – ก/็ ภกิ ขฺ เว – ดกู รภกิ ษทุ ้งั หลาย/ ปถุ ชุ ฺชโน – ปถุ ชุ น/ ตถาคตสฺส – ซึ่งตถาคต/ วณณฺ ํ – ซึ่งคายกย่อง/ วทมาโน – เม่อื กลา่ ว/ วเทยฺย. – พงึ กลา่ ว/ ๑๕. “ยถา – ฉนั ใด/ วา – หรอื ว่า/ ปเนเก – ก+็ บางพวก/ โภนโฺ ต – ผ้เู จริญ/ สมณพฺ ราหฺมณา – สมณพราหมณ์ทั้งหลาย/ สทธฺ าเทยยฺ านิ – ทเ่ี ขาใหด้ ้วยศรทั ธา/ โภชนานิ – ซง่ึ โภชนาหารทงั้ หลาย/ ภญุ ชฺ ติ วฺ า – ฉันแลว้ / เต – สมณพราหมณ์ท้ังหลายเหลา่ น้ัน/ เอวรปู ํ – เหน็ ปานนี/้ อุจฺจาสยนมหาสยนํ – ซึง่ ที่นอนอันสงู ใหญ/่ อนยุ ุตฺตา – ผตู้ ามประกอบแล้ว/ วหิ รนตฺ ิ – ย่อม อาศัยอย่/ู เสยฺยถิทํ – อยา่ งไร+นี้ (ไดแ้ ก)่ / อาสนฺทึ – ซง่ึ เตยี งมเี ท้าสูงเกนิ ขนาด/ ปลฺลงฺกํ – ซง่ึ เตยี งมี เท้าเปน็ รูปสัตว์ร้าย/ โคนกํ – ซงึ่ พรมขนสัตว์/ จิตตฺ กํ – ซ่งึ เครื่องลาดขนแกะลายวิจติ ร/ ปฏกิ ํ – ซง่ึ เคร่อื งลาดขนแกะสขี าว/ ปฏลิกํ – ซงึ่ เครื่องลาดมลี ายรปู ดอกไม/้ ตูลกิ ํ – ซึ่งเครือ่ งลาดยดั นุ่น/ วิกตกิ ํ – ซึง่ เครอื่ งลาดขนแกะวจิ ติ รดว้ ยรูปสัตวร์ า้ ยเช่นสีหะและเสือ/ อุทฺทโลมึ – ซึง่ เคร่ืองลาดขนแกะมีขน ๒ ด้าน/ เอกนตฺ โลมึ – ซึ่งเครอื่ งลาดขนแกะมีขนด้านเดียว/ กฏฏฺ ิสสฺ ํ – ซ่งึ เครือ่ งลาดปักด้วยไหม ประดับรัตนะ/ โกเสยฺยํ – ซงึ่ เครอื่ งลาดผา้ ไหมประดบั รัตนะ/ กตุ ตฺ กํ – ซึง่ เคร่ืองลาดขนแกะขนาด ใหญ่ทีน่ างฟอ้ น ๑๖ คนรา่ ยราได/้ หตฺถตฺถรํ – ซึ่งเครอ่ื งลาดบนหลงั ชา้ ง/ อสฺสตฺถรํ – ซ่ึงเคร่อื งลาด บนหลังมา้ / รถตฺถรํ – ซงึ่ เคร่อื งลาดในรถ/ อชนิ ปฺปเวณึ – ซ่งึ เคร่ืองลาดทาด้วยหนังเสือ/ กทลิ มิคปวรปจฺจตฺถรณํ – ซ่งึ เครอ่ื งลาดหนังชะมด/ สอตุ ตฺ รจฺฉทํ – ซึ่งเคร่อื งลาดมเี พดาน/ อภุ โตโลหิต กูปธานํ – ซง่ึ เครื่องลาดมหี มอน ๒ ขา้ ง/ อิติ – ดังน้ี/ วา – หรือวา่ /

40 อิติ – ดงั น/้ี เอวรปู า – เห็นปานน้ี/ อุจฺจาสยนมหาสยนา – จากท่ีนอนอันสูงใหญ/่ ปฏวิ ริ โต – ทรงเว้นขาดแลว้ / สมโณ – พระสมณะ/ โคตโม’ติ – โคดม’ดังนี้/ อิติ – ดังนี/้ วา – หรอื ว่า/ หิ – ก/็ ภิกฺขเว – ดกู รภกิ ษุทงั้ หลาย/ ปุถชุ ฺชโน – ปถุ ุชน/ ตถาคตสสฺ – ซงึ่ ตถาคต/ วณฺณํ – ซึ่งคายกยอ่ ง/ วทมาโน – เมอ่ื กล่าว/ วเทยฺย. – พึงกลา่ ว/ ๑๖. “ยถา – ฉันใด/ วา – หรือว่า/ ปเนเก – ก+็ บางพวก/ โภนฺโต – ผูเ้ จริญ/ สมณพฺ ราหฺมณา – สมณพราหมณ์ทงั้ หลาย/ สทฺธาเทยฺยานิ – ทีเ่ ขาให้ดว้ ยศรทั ธา/ โภชนานิ – ซง่ึ โภชนาหารทั้งหลาย/ ภุญชฺ ิตวฺ า – ฉันแลว้ / เต – สมณพราหมณ์ทง้ั หลายเหล่านั้น/ เอวรูปํ – เห็น ปานน/้ี มณฺฑนวภิ สู นฏฺฐานานุโยคํ – ซ่งึ การขวนขวายในการประดบั ตกแต่งร่างกาย/ อนยุ ตุ ตฺ า – ผู้ ตามประกอบแล้ว/ วหิ รนตฺ ิ – ยอ่ มอาศัยอยู่/ เสยยฺ ถทิ ํ – อย่างไร+นี้ (ไดแ้ ก่)/ อจุ ฺฉาทนํ – ซง่ึ การอบผิว/ ปรมิ ททฺ นํ – ซึง่ การนวด/ นฺ หาปนํ – ซ่งึ การอาบน้าหอม/ สมฺพาหนํ – ซึ่งการเพาะกาย/ อาทาสํ – ซึ่งการส่องกระจก/ อญฺชนํ – ซง่ึ การแต้มตา/ มาลาคนธฺ วเิ ลปนํ – ซ่ึงการทัดพวงดอกไม้และการประทนิ ผวิ / มุขจุณฺณํ – ซ่ึงการผดั หนา้ / มขุ เลปนํ – ซึง่ การทาปาก/ หตถฺ พนฺธํ – ซ่งึ การประดับข้อมือ/ สขิ าพนฺธํ – ซึ่งการสวมเกีย้ ว/ ทณฺฑํ – ซง่ึ การใช้ไมถ้ ือ/ นาฬิกํ – ซงึ่ การใช้กลกั ยา/ อสึ – ซ่งึ การใชด้ าบและการใชพ้ ระขรรค/์ / ฉตตฺ ํ – ซ่งึ การใชร้ ่ม/ จติ รฺ ุปาหนํ – ซงึ่ การสวมรองเทา้ วิจติ ร/ อณุ หฺ สี ํ – ซึ่งการตดิ กรอบหน้า/ มณึ – ซึง่ การปักปนิ่ / วาลพีชนึ – ซ่ึงการใชพ้ ดั และแส้ขนหางจามร/ี โอทาตานิ – สีขาว/ วตถฺ านิ – ซง่ึ การ นงุ่ หม่ ผา้ ทง้ั หลาย/ ทฆี ทสานิ – มีชายยาว/ อิติ – ดังน้ี/ วา – หรอื ว่า/ อติ ิ – ดังนี/้ เอวรูปา – เหน็ ปานน้/ี มณฑฺ นวิภสู นฏฺฐานานุโยคา – จากการขวนขวายในการ ประดบั ตกแตง่ รา่ งกาย/ ปฏิวิรโต – ทรงเว้นขาดแลว้ / สมโณ – พระสมณะ/ โคตโม’ติ – โคดม’ดังน้/ี อิติ – ดงั น้ี/ วา – หรือวา่ / หิ – ก/็ ภกิ ขฺ เว – ดกู รภิกษุท้ังหลาย/ ปถุ ุชฺชโน – ปุถุชน/ ตถาคตสฺส – ซ่ึงตถาคต/ วณฺณํ – ซงึ่ คายกย่อง/ วทมาโน – เม่ือกล่าว/ วเทยฺย. – พงึ กลา่ ว/ ๑๗. “ยถา – ฉันใด/ วา – หรือว่า/ ปเนเก – ก+็ บางพวก/ โภนฺโต – ผู้เจริญ/ สมณพฺ ราหมฺ ณา – สมณพราหมณ์ทง้ั หลาย/ สทธฺ าเทยฺยานิ – ท่เี ขาใหด้ ้วยศรัทธา/ โภชนานิ – ซง่ึ โภชนาหารทัง้ หลาย/ ภุญฺชิตวฺ า – ฉนั แล้ว/ เต – สมณพราหมณ์ทัง้ หลายเหลา่ นน้ั / เอวรปู ํ – เหน็ ปานน/้ี ติรจฺฉานกถํ – ซึ่งเดรัจฉานกถา/ อนุยตุ ฺตา – ผตู้ ามประกอบแล้ว/ วิหรนตฺ ิ – ย่อมอาศยั อย/ู่ เสยยฺ ถิทํ – อย่างไร+น้ี (ได้แก)่ / ราชกถํ – ซึ่งการพดู เรื่องพระราชา/ โจรกถํ – ซง่ึ การพดู เรอื่ งโจร/ มหามตฺตกถํ – ซ่งึ การพูดเร่ืองมหาอามาตย์/ เสนากถํ – ซ่งึ การพดู เร่ืองกองทัพ/ ภยกถํ – ซึ่งการพูดเรอ่ื งภยั / ยทุ ฺธกถํ – ซ่ึงการพูดเรือ่ งการรบ/ อนฺนกถํ – ซงึ่ การพูดเรื่องขา้ ว/ ปานกถํ – ซง่ึ การพูดเร่ืองนา้ / วตฺถกถํ – ซึ่งการพดู เรือ่ งผ้า/ สยนกถํ – ซึ่งการพูดเร่อื งทีน่ อน/ มาลากถํ – ซง่ึ การ พดู เรอ่ื งพวงดอกไม้/ คนฺธกถํ – ซึง่ การพดู เร่ืองของหอม/ ญาตกิ ถํ – ซึง่ การพูดเรื่องญาต/ิ ยานกถํ – ซง่ึ การพดู เร่อื งยาน/ คามกถํ – ซงึ่ การพดู เรื่องบ้าน/ นิคมกถํ – ซึง่ การพดู เร่ืองนิคม/ นครกถํ – ซง่ึ การพูดเรื่องเมือง/ ชนปทกถํ – ซง่ึ การพดู เรื่องชนบท/ อิตฺถกิ ถํ – ซงึ่ การพดู เรื่องสตรีและการพูดเร่อื ง บรุ ษุ / สรู กถํ – ซง่ึ การพดู เรื่องคนกล้าหาญ/ วสิ ิขากถํ – ซ่งึ การพดู เรื่องตรอก/ กุมภฺ ฏฐฺ านกถํ – ซง่ึ

41 การพูดเรื่องท่านา้ / ปุพฺพเปตกถํ – ซ่งึ การพดู เร่ืองคนทีล่ ่วงลบั ไปแล้ว/ นานตฺตกถํ – ซึ่งการพดู เรื่อง เบด็ เตล็ด/ โลกกขฺ ายกิ ํ – ซึ่งการพูดเร่ืองโลก/ สมทุ ฺทกฺขายิกํ – ซ่งึ การพดู เร่ืองทะเล/ อิติภวาภวกถํ – ซ่งึ การพูดเรอื่ งความเจริญและความเสื่อม/ อติ ิ – ดงั น้/ี วา – หรือว่า/ อิติ – ดังนี้/ เอวรูปาย – เห็นปานน้ี/ ตริ จฉฺ านกถาย – จากเดรัจฉานกถา/ ปฏิวริ โต – ทรง เวน้ ขาดแลว้ / สมโณ – พระสมณะ/ โคตโม’ติ – โคดม’ดังน/ี้ อติ ิ – ดงั น้ี/ วา – หรือว่า/ หิ – ก/็ ภิกฺขเว – ดูกรภกิ ษุทงั้ หลาย/ ปุถุชฺชโน – ปุถุชน/ ตถาคตสฺส – ซึง่ ตถาคต/ วณฺณํ – ซึง่ คายกย่อง/ วทมาโน – เม่ือกล่าว/ วเทยยฺ . – พงึ กลา่ ว/ ๑๘. “ยถา – ฉนั ใด/ วา – หรอื ว่า/ ปเนเก – ก+็ บางพวก/ โภนโฺ ต – ผเู้ จริญ/ สมณพฺ ราหมฺ ณา – สมณพราหมณ์ท้ังหลาย/ สทธฺ าเทยฺยานิ – ท่ีเขาให้ดว้ ยศรทั ธา/ โภชนานิ – ซง่ึ โภชนาหารทง้ั หลาย/ ภุญฺชติ วฺ า – ฉันแล้ว/ เต – สมณพราหมณ์ทง้ั หลายเหล่าน้นั / เอวรปู ํ – เห็น ปานน้ี/ วคิ คฺ าหิกกถํ – ซึง่ การพดู ทุ่มเถียงแก่งแย่งกัน/ อนุยุตตฺ า – ผูต้ ามประกอบแล้ว/ วหิ รนตฺ ิ – ย่อมอาศัยอย่/ู เสยยฺ ถิทํ – อยา่ งไร+น้ี (ไดแ้ ก)่ / น – ไม่/ ตฺวํ – ทา่ น/ อิมํ – นี้/ ธมมฺ วินยํ – ซงึ่ พระธรรม วินัย/ อาชานาสิ – ย่อมรู้ทว่ั ถึง/ อหํ – ขา้ พเจ้า/ อิมํ – น/้ี ธมมฺ วินยํ – ซ่ึงพระธรรมวินัย/ อาชานามิ – ยอ่ มรทู้ วั่ ถงึ / กึ – ตฺวํ – ท่าน/ อมิ ํ – น/้ี ธมฺมวินยํ – ซึง่ พระธรรมวนิ ยั / อาชานิสสฺ สิ – จกั รทู้ ัว่ ถึง/ มิจฺฉา – ผดิ / ปฏปิ นโฺ น – เป็นผปู้ ฏิบตั ิแล้ว/ ตฺวมสิ – ท่าน+ยอ่ มเปน็ / อหมสฺมิ – ข้าพเจา้ +ย่อมเปน็ / สมฺมา – โดยชอบ/ ปฏปิ นโฺ น – เปน็ ผ้ปู ฏิบัติแล้ว/ สหิตํ – คาพูดมีประโยชน์/ เม – ของข้าพเจ้า/ อสหิตํ – คาพดู ไม่มีประโยชน์/ เต – ของทา่ น/ ปุเรวจนยี ํ – ซ่ึงคาที่ควรพดู กอ่ น/ ปจฺฉา – ใน ภายหลงั / อวจ – ได้พูดแลว้ / ปจฉฺ าวจนยี ํ – ซ่งึ คาพดู ภายหลงั / ปุเร – ในกาลกอ่ น/ อวจ – ไดพ้ ดู แลว้ / อธิจิณฺณํ – เรื่องท่ที า่ นเคยชนิ / เต – ของท่าน/ วิปราวตฺตํ – ได้ผนั แปรไปแล้ว/ อาโรปโิ ต – เป็นอนั ไดย้ กขน้ึ แล้ว/ เต – ของทา่ น/ วาโท – คาพูด/ นิคฺคหิโต – เปน็ อนั ข่มได้แล้ว/ ตฺวมสิ – ท่าน+ ย่อมเป็น/ จร – จงหาทางแก้/ วาทปปฺ โมกฺขาย – เพือ่ การเปล้ืองซ่ึงวาทะ/ นพิ เฺ พเฐหิ – จงช้ีแจงให้ เห็นชัด/ วา – หรอื วา่ / สเจ – ถา้ วา่ / ปโหสตี ิ – ย่อมสามารถ+ดังน/้ี อติ ิ – ดังน้ี/ วา – หรือว่า/ อติ ิ – ดงั น้/ี เอวรูปาย – เหน็ ปานน/้ี วิคฺคาหกิ กถาย – จากการพูดทุ่มเถยี งแกง่ แย่งกนั / ปฏิ วิรโต – ทรงเว้นขาดแล้ว/ สมโณ – พระสมณะ/ โคตโม’ติ – โคดม’ดังนี้/ อิติ – ดังนี้/ วา – หรอื วา่ / หิ – ก็/ ภิกฺขเว – ดกู รภิกษทุ ง้ั หลาย/ ปุถชุ ฺชโน – ปถุ ชุ น/ ตถาคตสฺส – ซึ่งตถาคต/ วณฺณํ – ซง่ึ คายกยอ่ ง/ วทมาโน – เมอื่ กล่าว/ วเทยฺย. – พงึ กล่าว/ ๑๙. “ยถา – ฉนั ใด/ วา – หรือวา่ / ปเนเก – ก+็ บางพวก/ โภนฺโต – ผูเ้ จรญิ / สมณพฺ ราหมฺ ณา – สมณพราหมณ์ทัง้ หลาย/ สทฺธาเทยฺยานิ – ทเ่ี ขาใหด้ ว้ ยศรทั ธา/ โภชนานิ – ซง่ึ โภชนาหารทั้งหลาย/ ภุญฺชิตวฺ า – ฉันแล้ว/ เต – สมณพราหมณ์ท้งั หลายเหลา่ นั้น/ เอวรปู ํ – เหน็ ปานนี้/ ทเู ตยยฺ ปหณิ คมนานุโยคํ – ซ่งึ การทาหน้าท่ีเปน็ ตวั แทนและผ้สู ่อื สาร/ อนุยุตฺตา – ผ้ตู าม ประกอบแลว้ / วิหรนฺติ – ยอ่ มอาศยั อย่/ู

42 เสยฺยถิทํ – อยา่ งไร+นี้ (ไดแ้ ก่)/ รญญฺ ํ – แก่พระราชาทงั้ หลาย/ ราชมหามตตฺ านํ – แก่ราชม หาอามาตย์ทง้ั หลาย/ ขตฺติยานํ – แก่กษตั รยิ ์ทง้ั หลาย/ พฺราหฺมณานํ – แกพ่ ราหมณ์ทงั้ หลาย/ คหปติ กานํ – แกค่ หบดที ง้ั หลาย/ กุมารานํ – แก่กมุ ารท้ังหลาย/ “อธิ – ในที่นี้/ คจฉฺ – จงไป/ อมุตฺราคจฺฉ – ในที่โน้น+จงมา/ อทิ ํ – ซึ่งสิ่งนี/้ หร – จง นาไป/ อมุตฺร – จากท่ีโน้น/ อิทํ – ซงึ่ สงิ่ น้ี/ อาหรา”ติ – จงนามา”ดงั นี้/ อติ ิ – ดงั นี/้ วา – หรือว่า/ อิติ – ดังน้ี/ เอวรูปา – เห็นปานน/ี้ ทูเตยยฺ ปหณิ คมนานุโยคา – จากการทาหนา้ ท่เี ปน็ ตัวแทนและผ้สู อ่ื สาร/ ปฏิวิรโต – ทรงเว้นขาดแล้ว/ สมโณ – พระสมณะ/ โคตโม’ติ – โคดม’ดงั นี/้ อิติ – ดังน้/ี วา – หรอื วา่ / หิ – ก็/ ภกิ ขฺ เว – ดูกรภกิ ษุทัง้ หลาย/ ปุถชุ ฺชโน – ปถุ ชุ น/ ตถาคตสฺส – ซึ่งตถาคต/ วณฺณํ – ซงึ่ คายกย่อง/ วทมาโน – เม่ือกล่าว/ วเทยฺย. – พึงกลา่ ว/ ๒๐. “ยถา – ฉนั ใด/ วา – หรือว่า/ ปเนเก – ก็+บางพวก/ โภนฺโต – ผู้เจริญ/ สมณพฺ ราหฺมณา – สมณพราหมณ์ทั้งหลาย/ สทฺธาเทยฺยานิ – ทีเ่ ขาใหด้ ้วยศรัทธา/ โภชนานิ – ซง่ึ โภชนาหารทงั้ หลาย/ ภุญชฺ ิตวฺ า – ฉันแล้ว/ เต – สมณพราหมณท์ ง้ั หลายเหล่านัน้ / กุหกา – เปน็ ผพู้ ูด หลอก/ จ – ดว้ ย/ โหนฺติ – ยอ่ มเปน็ / ลปกา – เปน็ ผ้ลู วง/ จ – ดว้ ย/ เนมติ ฺติกา – เปน็ ผเู้ ลยี บเคยี ง/ จ – ด้วย/ นปิ เฺ ปสกิ า – เป็นผู้พดู หวา่ นล้อม/ จ – ด้วย/ ลาเภน – ดว้ ยลาภ/ ลาภํ – ซง่ึ ลาภ/ นิชิคสึ ิ ตาโร – เปน็ ผพู้ ูดและเลม็ / จ – ดว้ ย/ อติ ิ – ดงั นี้/ เอวรูปา – เห็นปานนี้/ กหุ นลปนา – จากการพูดหลอกลวง/ ปฏิวริ โต – ทรง เวน้ ขาดแล้ว/ สมโณ – พระสมณะ/ โคตโม’ติ – โคดม’ดงั น้ี/ อิติ – ดงั น้ี/ วา – หรอื ว่า/ หิ – ก/็ ภกิ ขฺ เว – ดกู รภกิ ษทุ ั้งหลาย/ ปุถชุ ฺชโน – ปุถชุ น/ ตถาคตสฺส – ซึง่ ตถาคต/ วณฺณํ – ซ่ึงคายกยอ่ ง/ วทมาโน – เมื่อกล่าว/ วเทยยฺ . – พึงกลา่ ว/ มชฺฌิมสลี ํ – มชั ฌิมศลี / นิฏฺฐิตํ. – จบแล้ว/ มหาสีลํ – มหาศีล/ ๒๑. “ยถา – ฉนั ใด/ วา – หรอื วา่ / ปเนเก – ก็+บางพวก/ โภนฺโต – ผู้เจริญ/ สมณพฺ ราหมฺ ณา – สมณพราหมณ์ทั้งหลาย/ สทธฺ าเทยฺยานิ – ทเ่ี ขาให้ดว้ ยศรทั ธา/ โภชนานิ – ซง่ึ โภชนาหารท้งั หลาย/ ภุญฺชติ ฺวา – ฉันแล้ว/ เต – สมณพราหมณ์ทง้ั หลายเหลา่ นน้ั / เอวรปู าย – เห็น ปานน้ี/ ตริ จฉฺ านวชิ ชฺ าย – ด้วยเดรจั ฉานวชิ า/ มิจฺฉาชีเวน – ด้วยมจิ ฉาชีพ/ ชีวติ ํ – ซ่งึ ชวี ติ / กปเฺ ปนฺ ติ – ยอ่ มเลี้ยง/ เสยฺยถิทํ – อย่างไร+นี้ (ไดแ้ ก่)/ องฺคํ – การทานายอวยั วะ/ นิมิตตฺ ํ – การทานายตาหน/ิ อุปฺ ปาตํ – การทานายโชคลาง/ สุปนิ ํ – การทานายฝนั / ลกฺขณํ – การทานายลักษณะ/ มสู กิ จฉฺ ินฺนํ – การทานายหนูกัดผ้า/ อคฺคโิ หมํ – การทาพธิ บี ูชาไฟ/ ทพฺพิโหมํ – พิธีเบิกแวน่ เวียนเทยี น/ ถสุ โหมํ – พิธซี ัดแกลบบูชาไฟ/ กณโหมํ – พิธซี ัดราบูชาไฟ/ ตณฺฑุลโหมํ – พธิ ซี ัดขา้ วสารบชู าไฟ/ สปฺปิโหมํ – พิธเี ตมิ เนยบชู าไฟ/ เตลโหมํ – พิธีเติมน้ามันบชู าไฟ/ มขุ โหมํ – พิธพี น่ เครื่องเซ่นบูชาไฟ/ โลหติ โหมํ – พิธีพลกี รรมดว้ ยเลอื ด/ องคฺ วิชชฺ า – วชิ าดอู วัยวะ/ วตถฺ ุวิชฺชา – วิชาดูพนื้ ที/่ ขตฺตวชิ ฺชา – วชิ าการปกครอง/ สิววิชฺชา – วชิ าทาเสน่ห์/ ภูตวชิ ชฺ า – เวทมนตรไ์ ลผ่ ี/ ภรู วิ ชิ ฺชา – วชิ าต้งั ศาลพระ

43 ภูมิ/ อหิวิชชฺ า – วิชาหมอง/ู วิสวิชชฺ า – วิชาว่าดว้ ยพิษ/ วจิ ฉฺ ิกวิชชฺ า – วิชาวา่ ดว้ ยแมงปอ่ ง/ มูสิก วิชชฺ า – วิชาว่าดว้ ยหน/ู สกุณวิชฺชา – วิชาว่าดว้ ยเสียงนก/ วายสวชิ ฺชา – วชิ าวา่ ด้วยเสยี งกา/ ปกฺกชฌฺ านํ – วิชาทายอายุ/ สรปริตฺตาณํ – วชิ าป้องกันลูกศร/ มิคจกฺกํ – วิชาว่าด้วยเสยี งสตั ว์ร้อง/ อิติ – ดังน/้ี วา – หรอื วา่ / อิติ – ดงั น/ี้ เอวรปู าย – เหน็ ปานน/้ี ตริ จฺฉานวิชชฺ าย – ดว้ ยเดรจั ฉานวิชา/ มิจฺฉาชีวา – จากการเลย้ี งชพี ผดิ ทาง/ ปฏิวริ โต – ทรงเว้นขาดแลว้ / สมโณ – พระสมณะ/ โคตโม’ติ – โคดม’ ดังน/ี้ อิติ – ดังน้/ี วา – หรอื ว่า/ หิ – ก็/ ภิกฺขเว – ดกู รภิกษทุ ้ังหลาย/ ปุถชุ ฺชโน – ปุถชุ น/ ตถาคตสฺส – ซึ่งตถาคต/ วณณฺ ํ – ซง่ึ คายกยอ่ ง/ วทมาโน – เมอ่ื กล่าว/ วเทยยฺ . – พงึ กล่าว/ ๒๒. “ยถา – ฉันใด/ วา – หรือวา่ / ปเนเก – ก+็ บางพวก/ โภนฺโต – ผู้เจริญ/ สมณพฺ ราหฺมณา – สมณพราหมณ์ท้ังหลาย/ สทธฺ าเทยฺยานิ – ท่ีเขาให้ด้วยศรัทธา/ โภชนานิ – ซง่ึ โภชนาหารท้ังหลาย/ ภุญฺชิตฺวา – ฉันแลว้ / เต – สมณพราหมณ์ทงั้ หลายเหล่านน้ั / เอวรูปาย – เห็น ปานน/้ี ติรจฉฺ านวิชชฺ าย – ดว้ ยเดรัจฉานวชิ า/ มิจฺฉาชีเวน – ด้วยมิจฉาชพี / ชวี ติ ํ – ซ่งึ ชวี ติ / กปเฺ ปนฺ ติ – ยอ่ มเลยี้ ง/ เสยยฺ ถทิ ํ – อยา่ งไร+น้ี (ได้แก่)/ มณลิ กฺขณํ – การทานายลักษณะแกว้ มณี/ วตถฺ ลกขฺ ณํ – การทานายลักษณะผา้ / ทณฺฑลกขฺ ณํ – การทานายลกั ษณะไม้พลอง/ สตถฺ ลกฺขณํ – การทานาย ลกั ษณะศสั ตรา/ อสิลกขฺ ณํ – การทานายลกั ษณะดาบ/ อุสลุ กขฺ ณํ – การทานายลักษณะศร/ ธนลุ กฺขณํ – การทานายลักษณะธน/ู อาวธุ ลกฺขณํ – การทานายลกั ษณะอาวธุ / อิตถฺ ลิ กฺขณํ – การ ทานายลักษณะสตร/ี ปุรสิ ลกฺขณํ – การทานายลกั ษณะบรุ ุษ/ กมุ ารลกฺขณํ – การทานายลกั ษณะ เดก็ ชาย/ กุมารลิ กฺขณํ – การทานายลกั ษณะเด็กหญงิ / ทาสลกขฺ ณํ – การทานายลักษณะทาสชาย/ ทาสิลกฺขณํ – การทานายลกั ษณะทาสหญิง/ หตฺถิลกขฺ ณํ – การทานายลักษณะชา้ ง/ อสฺสลกขฺ ณํ – การทานายลกั ษณะมา้ / มหึสลกขฺ ณํ – การทานายลักษณะกระบือ/ อุสภลกขฺ ณํ – การทานาย ลกั ษณะโคอุสภะ/ โคลกขฺ ณํ – การทานายลกั ษณะโคสามัญ/ อชลกฺขณํ – การทานายลักษณะแพะ/ เมณฺฑลกฺขณํ – การทานายลกั ษณะแกะ/ กุกฺกฏุ ลกขฺ ณํ – การทานายลกั ษณะไก่/ วฏฺฏกลกฺขณํ – การทานายลักษณะนกกระทา/ โคธาลกฺขณํ – การทานายลักษณะเหี้ย/ กณณฺ กิ าลกฺขณํ – การ ทานายลักษณะตุ้มห/ู กจฉฺ ปลกขฺ ณํ – การทานายลักษณะเต่า/ มคิ ลกขฺ ณํ – การทานายลกั ษณะ มฤค/ อติ ิ – ดังน้ี/ วา – หรอื วา่ / อิติ – ดังน้/ี เอวรูปาย – เห็นปานน/ี้ ติรจฺฉานวิชชฺ าย – ด้วยเดรัจฉานวิชา/ มิจฉฺ าชีวา – จากการเลี้ยงชพี ผิดทาง/ ปฏิวริ โต – ทรงเว้นขาดแลว้ / สมโณ – พระสมณะ/ โคตโม’ติ – โคดม’ ดงั น้ี/ อิติ – ดังนี้/ วา – หรอื ว่า/ หิ – ก/็ ภกิ ขฺ เว – ดกู รภกิ ษทุ ั้งหลาย/ ปุถชุ ฺชโน – ปถุ ุชน/ ตถาคตสสฺ – ซ่งึ ตถาคต/ วณณฺ ํ – ซึ่งคายกย่อง/ วทมาโน – เม่ือกลา่ ว/ วเทยฺย. – พงึ กล่าว/

44 ๒๓ “ยถา – ฉันใด/ วา – หรอื วา่ / ปเนเก – ก็+บางพวก/ โภนโฺ ต – ผูเ้ จรญิ / สมณพฺ ราหฺมณา – สมณพราหมณ์ทง้ั หลาย/ สทฺธาเทยยฺ านิ – ท่เี ขาให้ด้วยศรัทธา/ โภชนานิ – ซง่ึ โภชนาหารทั้งหลาย/ ภุญฺชิตวฺ า – ฉันแลว้ / เต – สมณพราหมณท์ ้ังหลายเหล่านน้ั / เอวรปู าย – เหน็ ปานน/ี้ ตริ จฉฺ านวิชฺชาย – ดว้ ยเดรจั ฉานวชิ า/ มจิ ฺฉาชเี วน – ด้วยมจิ ฉาชพี / ชีวติ ํ – ซ่ึงชวี ิต/ กปเฺ ปนฺ ติ – ยอ่ มเล้ียง/ เสยฺยถทิ ํ – อยา่ งไร+นี้ (ได้แก่)/ รญฺญํ – แก่พระราชาท้ังหลาย/ นิยยฺ านํ – ฤกษ์ควรยาตรา ทพั / ภวิสสฺ ติ – จกั มี/ รญฺญํ – แกพ่ ระราชาทงั้ หลาย/ อนิยฺยานํ – ฤกษ์ไม่ควรยาตราทัพ/ ภวิสฺสติ – จักมี/ อพฺภนตฺ รานํ – ผอู้ ยใู่ นอาณาจกั ร/ รญฺญํ – แก่พระราชาทั้งหลาย/ อุปยานํ – การยกมา ประชดิ / ภวิสสฺ ติ – จกั มี/ พาหริ านํ – ผ้อู ยูน่ อกอาณาจกั ร/ รญฺญํ – แก่พระราชาท้ังหลาย/ อปยานํ – การล่าถอย/ ภวสิ ฺสติ – จักม/ี พาหิรานํ – ผอู้ ยนู่ อกอาณาจักร/ รญฺญํ – แก่พระราชาทัง้ หลาย/ อุป ยานํ – การยกมาประชดิ / ภวสิ ฺสติ – จกั ม/ี อพภฺ นฺตรานํ – ผู้อย่ใู นอาณาจกั ร/ รญฺญํ – แกพ่ ระราชา ท้งั หลาย/ อปยานํ – การลา่ ถอย/ ภวิสฺสติ – จกั ม/ี อพภฺ นฺตรานํ – ผูอ้ ยใู่ นอาณาจักร/ รญญฺ ํ – แก่ พระราชาทั้งหลาย/ ชโย – ชยั ชนะ/ ภวสิ สฺ ติ – จกั มี/ พาหิรานํ – ผอู้ ย่นู อกอาณาจกั ร/ รญญฺ ํ – แก่ พระราชาทั้งหลาย/ ปราชโย – ความปราชัย/ ภวสิ ฺสติ – จักม/ี พาหริ านํ – ผ้อู ยูน่ อกอาณาจักร/ รญญฺ ํ – แกพ่ ระราชาท้งั หลาย/ ชโย – ชยั ชนะ/ ภวิสฺสติ – จกั ม/ี อพภฺ นตฺ รานํ – ผ้อู ยู่ในอาณาจกั ร/ รญญฺ ํ – แก่พระราชาท้งั หลาย/ ปราชโย – ความปราชยั / ภวิสสฺ ติ – จกั มี/ อติ ิ – ดังน้/ี อมิ สฺส – แก่ พระราชาองค์น/ี้ ชโย – ชัยชนะ/ ภวสิ สฺ ติ – จกั มี/ อิมสฺส – แกพ่ ระราชาองค์น้/ี ปราชโย – ความ ปราชยั / ภวสิ ฺสติ – จกั ม/ี อิติ – ดังน้ี/ วา – หรอื ว่า/ อิติ – ดังนี้/ เอวรปู าย – เหน็ ปานน้ี/ ตริ จฉฺ านวชิ ชฺ าย – ดว้ ยเดรัจฉานวิชา/ มจิ ฺฉาชีวา – จากการเล้ียงชีพผิดทาง/ ปฏิวิรโต – ทรงเว้นขาดแล้ว/ สมโณ – พระสมณะ/ โคตโม’ติ – โคดม’ ดังน้/ี อิติ – ดังนี/้ วา – หรือวา่ / หิ – ก็/ ภิกขฺ เว – ดกู รภกิ ษทุ ั้งหลาย/ ปุถชุ ฺชโน – ปถุ ุชน/ ตถาคตสสฺ – ซ่ึงตถาคต/ วณฺณํ – ซง่ึ คายกยอ่ ง/ วทมาโน – เม่ือกล่าว/ วเทยฺย. – พึงกล่าว/ ๒๔. “ยถา – ฉันใด/ วา – หรือวา่ / ปเนเก – ก็+บางพวก/ โภนโฺ ต – ผ้เู จรญิ / สมณพฺ ราหฺมณา – สมณพราหมณ์ทัง้ หลาย/ สทฺธาเทยยฺ านิ – ที่เขาใหด้ ้วยศรทั ธา/ โภชนานิ – ซง่ึ โภชนาหารทัง้ หลาย/ ภุญฺชติ ฺวา – ฉนั แลว้ / เต – สมณพราหมณ์ทง้ั หลายเหลา่ นั้น/ เอวรปู าย – เห็น ปานนี้/ ติรจฉฺ านวิชฺชาย – ด้วยเดรัจฉานวชิ า/ มจิ ฺฉาชเี วน – ด้วยมจิ ฉาชีพ/ ชีวิตํ – ซึง่ ชวี ิต/ กปฺเปนฺ ติ – ย่อมเลี้ยง/ เสยฺยถิทํ – อยา่ งไร+น้ี (ไดแ้ ก่)/ จนฺทคฺคาโห – จันทรคราส/ ภวสิ สฺ ติ – จักมี/ สรู ิยคฺคาโห – สุรยิ คราส/ ภวิสสฺ ติ – จกั ม/ี นกฺขตฺตคคฺ าโห – นักษตั รคราส/ ภวสิ สฺ ติ – จกั มี/

45 จนทฺ ิมสูริยานํ – แห่งดวงจนั ทรแ์ ละดวงอาทติ ย์ทั้งหลาย/ ปถคมนํ – การโคจรถูกทาง/ ภวิสฺ สติ – จกั มี/ จนฺทมิ สรู ิยานํ – แห่งดวงจนั ทรแ์ ละดวงอาทิตย์ท้งั หลาย/ อุปฺปถคมนํ – การโคจรผกิ ทาง/ ภวิสสฺ ติ – จักมี/ นกขฺ ตตฺ านํ – แหง่ ดาวนกั ษตั รทงั้ หลาย/ ปถคมนํ – การโคจรถูกทาง/ ภวิสฺสติ – จักมี/ นกขฺ ตฺตานํ – แห่งดาวนกั ษตั รท้ังหลาย/ อุปฺปถคมนํ – การโคจรผิดทาง/ ภวสิ ฺสติ – จักม/ี อุกฺกาปาโต – อกุ กาบาต/ ภวิสสฺ ติ – จักม/ี ทิสาฑาโห – ดาวตก/ ภวสิ สฺ ติ – จักม/ี ภูมิจาโล – แผน่ ดนิ ไหว/ ภวิสสฺ ติ – จักมี/ เทวททุ รฺ ภิ – ฟ้ารอ้ ง/ ภวิสฺสติ – จกั มี/ จนฺทมิ สรู ิยนกฺขตฺตานํ – แห่งดวงจนั ทร์ ดวงอาทิตย์ และดาวนกั ษัตรท้งั หลาย/ อคุ คฺ มนํ – การขึน้ ไป/ โอคมนํ – การตกลง/ สกํ เิ ลสํ – ความมวั หมอง/ โวทานํ – ความแจม่ กระจ่าง/ ภวสิ สฺ ติ – จักมี/ เอวํวิปาโก – มีผลอยา่ งน้ี/ จนทฺ คฺคาโห – ดวงจันทร์โคจรถกู ทาง/ ภวสิ ฺสติ – จักมี/ เอวํวิปาโก – มีผลอยา่ งนี้/ สูรยิ คฺคาโห – ดวงอาทิตย์โคจรถกู ทาง/ ภวิสสฺ ติ – จักม/ี เอววํ ิปาโก – มผี ลอย่างน/้ี นกขฺ ตฺตคคฺ าโห – ดาวนกั ษัตรโคจรถกู ทาง/ ภวิสสฺ ติ – จักมี/ เอววํ ิปากํ – มผี ลอย่างนี้/ จนฺทมิ สรู ยิ านํ – แห่งดวงจนั ทรแ์ ละดวงอาทิตยท์ ้งั หลาย/ ปถคมนํ – การโคจรถกู ทาง/ ภวิสสฺ ติ – จกั ม/ี เอวํวิปากํ – มผี ลอยา่ งนี้/ จนทฺ ิมสรู ยิ านํ – แห่งดวงจนั ทรแ์ ละดวงอาทติ ย์ท้ังหลาย/ อุปปฺ ถ คมนํ – การโคจรผิดทาง/ ภวิสสฺ ติ – จกั มี/ เอววํ ิปากํ – มีผลอยา่ งนี้/ นกฺขตตฺ านํ – แหง่ ดาวนักษัตรทง้ั หลาย/ ปถคมนํ – การโคจรถกู ทาง/ ภวสิ ฺสติ – จกั ม/ี เอววํ ิปากํ – มีผลอยา่ งน้/ี นกขฺ ตตฺ านํ – แหง่ ดาวนักษตั รทง้ั หลาย/ อปุ ฺปถคมนํ – การโคจร ผดิ ทาง/ ภวสิ สฺ ติ – จกั มี/ เอวํวิปาโก – มีผลอย่างนี้/ อุกกฺ าปาโต – อกุ กาบาต/ ภวิสฺสติ – จักมี/ เอวํวิปาโก – มีผลอย่างน/ี้ ทิสาฑาโห – ดาวตก/ ภวสิ สฺ ติ – จกั ม/ี เอววํ ิปาโก – มผี ลอยา่ งน/ี้ ภมู ิจาโล – แผ่นดินไหว/ ภวสิ สฺ ติ – จักมี/ เอววํ ิปาโก – มีผลอยา่ งนี/้ เทวทุทรฺ ภิ – ฟ้าร้อง/ ภวสิ ฺสติ – จักมี/ เอววํ ิปากํ – มผี ลอย่างนี้/ จนทฺ ิมสรู ิยนกขฺ ตฺตานํ – แหง่ ดวงจนั ทร์ ดวงอาทติ ย์ และดาว นักษัตรทั้งหลาย/ อุคคฺ มนํ – การขนึ้ ไป/ โอคมนํ – การตกลง/ สกํ ิเลสํ – ความมวั หมอง/ โวทานํ – ความแจม่ กระจา่ ง/ ภวิสสฺ ติ – จกั ม/ี อติ ิ – ดงั น/้ี วา – หรอื วา่ / อติ ิ – ดังน้/ี เอวรปู าย – เห็นปานนี/้ ติรจฺฉานวิชฺชาย – ดว้ ย เดรจั ฉานวิชา/ มิจฉฺ าชีวา – จากการเล้ยี งชีพผดิ ทาง/ ปฏิวิรโต – ทรงเว้นขาดแล้ว/ สมโณ – พระ สมณะ/ โคตโม’ติ – โคดม’ดังนี/้ อติ ิ – ดังน้/ี วา – หรือว่า/ หิ – ก็/ ภกิ ขฺ เว – ดูกรภกิ ษทุ ั้งหลาย/ ปุถชุ ฺชโน – ปถุ ุชน/ ตถาคตสสฺ – ซ่ึงตถาคต/ วณฺณํ – ซง่ึ คายกย่อง/ วทมาโน – เม่อื กล่าว/ วเทยฺย. – พึงกลา่ ว/

46 ๒๕. “ยถา – ฉนั ใด/ วา – หรอื ว่า/ ปเนเก – ก็+บางพวก/ โภนโฺ ต – ผ้เู จรญิ / สมณพฺ ราหฺมณา – สมณพราหมณ์ท้งั หลาย/ สทธฺ าเทยยฺ านิ – ท่ีเขาให้ด้วยศรัทธา/ โภชนานิ – ซง่ึ โภชนาหารท้งั หลาย/ ภุญชฺ ิตฺวา – ฉนั แลว้ / เต – สมณพราหมณท์ ้ังหลายเหล่านั้น/ เอวรูปาย – เห็น ปานน/ี้ ติรจฺฉานวชิ ฺชาย – ดว้ ยเดรัจฉานวิชา/ มจิ ฺฉาชีเวน – ดว้ ยมจิ ฉาชพี / ชีวิตํ – ซง่ึ ชวี ติ / กปฺเปนฺ ติ – ย่อมเลยี้ ง/ เสยฺยถิทํ – อย่างไร+นี้ (ไดแ้ ก่)/ สุวฏุ ฺฐิกา – การพยากรณ์ว่าฝนจะด/ี ภวสิ ฺสติ – จกั ม/ี ทุพฺ พฏุ ฺฐกิ า – การพยากรณ์วา่ ฝนจะแลง้ / ภวสิ ฺสติ – จักมี/ สุภิกฺขํ – เมืองเปน็ ท่ีมภี ิกษาหารหาไดง้ ่าย/ ภวิสสฺ ติ – จกั ม/ี ทุพฺภกิ ฺขํ – เมอื งเป็นท่ีมภี ิกษาหารหาได้ยาก/ ภวสิ ฺสติ – จักมี/ เขมํ – เมืองเปน็ ท่ีมี ความสงบร่มเย็น/ ภวิสสฺ ติ – จักมี/ ภยํ – เมืองเป็นที่มีภยั / ภวสิ สฺ ติ – จกั ม/ี โรโค – โรค/ ภวสิ ฺสติ – จกั ม/ี อาโรคฺยํ – ความไม่มีโรค/ ภวิสฺสติ – จักม/ี มุทฺทา – การคานวณดว้ ยวิธนี ับน้ิว (มุททา)/ คณนา – การคานวณด้วยวิธคี ดิ ในใจ (คณนา)/ สงขฺ านํ – การคานวณดว้ ยวธิ ีอนุมานด้วยสายตา (สัง ขาน)/ กาเวยฺยํ – วชิ าฉนั ทลกั ษณ/์ โลกายตํ – โลกายตศาสตร/์ อติ ิ – ดงั น/ี้ วา – หรือว่า/ อติ ิ – ดงั น้ี/ เอวรูปาย – เห็นปานน้/ี ติรจฉฺ านวชิ ชฺ าย – ดว้ ยเดรจั ฉานวิชา/ มจิ ฉฺ าชีวา – จากการเล้ียงชพี ผิดทาง/ ปฏิวริ โต – ทรงเวน้ ขาดแลว้ / สมโณ – พระสมณะ/ โคตโม’ติ – โคดม’ดังน้ี/ อิติ – ดังน้/ี วา – หรอื วา่ / หิ – ก/็ ภกิ ฺขเว – ดูกรภิกษุทง้ั หลาย/ ปถุ ุชฺชโน – ปุถุชน/ ตถาคตสฺส – ซ่ึงตถาคต/ วณฺณํ – ซง่ึ คายกยอ่ ง/ วทมาโน – เมอ่ื กล่าว/ วเทยยฺ . – พึงกลา่ ว/ ๒๖. “ยถา – ฉนั ใด/ วา – หรอื ว่า/ ปเนเก – ก็+บางพวก/ โภนฺโต – ผเู้ จริญ/ สมณพฺ ราหมฺ ณา – สมณพราหมณ์ทัง้ หลาย/ สทฺธาเทยฺยานิ – ท่ีเขาให้ดว้ ยศรทั ธา/ โภชนานิ – ซง่ึ โภชนาหารท้ังหลาย/ ภุญชฺ ติ ฺวา – ฉนั แล้ว/ เต – สมณพราหมณท์ ้งั หลายเหล่าน้ัน/ เอวรูปาย – เหน็ ปานนี/้ ติรจฉฺ านวิชชฺ าย – ด้วยเดรัจฉานวชิ า/ มิจฉฺ าชเี วน – ดว้ ยมิจฉาชพี / ชวี ิตํ – ซงึ่ ชวี ิต/ กปฺเปนฺ ติ – ยอ่ มเลีย้ ง/ เสยยฺ ถิทํ – อยา่ งไร+น้ี (ไดแ้ ก่)/ อาวาหนํ – การใหฤ้ กษ์อาวาหมงคล/ วิวาหนํ – การให้ฤกษ์ วิวาหมงคล/ สํวรณํ – การใหฤ้ กษเ์ รียงหมอน/ วิวรณํ – การใหฤ้ กษห์ ยา่ รา้ ง/ สํกิรณํ – การให้ฤกษ์ รวบรวมทรัพย์/ วิกริ ณํ – การให้ฤกษ์ใชจ้ ่ายทรัพย์/ สุภคกรณํ – การทาใหโ้ ชคดี/ ทุพฺภคกรณํ – การ ทาใหเ้ คราะห์ร้าย/ วิรุทฺธคพฺภกรณํ – การให้ยาผดงุ ครรภ/์ ชวิ หฺ านพิ นธฺ นํ – การรา่ ยมนตรท์ าใหล้ ิน้ แข็ง/ หนุสํหนนํ – การทาให้คางแข็ง/ หตถฺ าภชิ ปฺปนํ – การทาให้มือสน่ั / หนุชปฺปนํ – การทาให้คาง ส่ัน/ กณณฺ ชปฺปนํ – การทาให้หูออื้ / อาทาสปญหฺ ํ – การเปน็ หมอดลู กู แกว้ / กุมาริกปญหฺ ํ – การใช้ หญงิ สาวเปน็ คนทรง/ เทวปญหฺ ํ – การใช้หญงิ ประจาเทวาลยั เป็นคนทรง/ อาทจิ จฺ ุปฏฺฐานํ – การ บวงสรวงดวงอาทิตย์/ มหตุปฏฐฺ านํ – การบวงสรวงท้าวมหาพรหม/ อพฺภุชฺชลนํ – การรา่ ยมนตร์พ่น ไฟ/ สิริวหฺ ายนํ – การทาพธิ ีเรยี กขวญั / อติ ิ – ดงั น/ี้ วา – หรอื วา่ / อิติ – ดงั น้/ี เอวรูปาย – เห็นปานน/ี้ ติรจฺฉานวชิ ชฺ าย – ด้วยเดรจั ฉานวิชา/ มิจฉฺ าชีวา – จากการเลี้ยงชีพผิดทาง/ ปฏิวริ โต – ทรงเว้นขาดแลว้ / สมโณ – พระสมณะ/ โคตโม’ติ – โคดม’ ดังน/้ี

47 อติ ิ – ดงั น้/ี วา – หรือว่า/ หิ – ก/็ ภิกขฺ เว – ดกู รภกิ ษุท้ังหลาย/ ปถุ ชุ ฺชโน – ปถุ ุชน/ ตถาคตสสฺ – ซ่ึงตถาคต/ วณฺณํ – ซงึ่ คายกย่อง/ วทมาโน – เมื่อกลา่ ว/ วเทยยฺ . – พงึ กลา่ ว/ ๒๗. “ยถา – ฉันใด/ วา – หรือว่า/ ปเนเก – ก็+บางพวก/ โภนโฺ ต – ผ้เู จรญิ / สมณพฺ ราหฺมณา – สมณพราหมณ์ท้ังหลาย/ สทฺธาเทยฺยานิ – ทีเ่ ขาใหด้ ว้ ยศรทั ธา/ โภชนานิ – ซง่ึ โภชนาหารทง้ั หลาย/ ภุญฺชติ วฺ า – ฉนั แล้ว/ เต – สมณพราหมณ์ท้ังหลายเหล่าน้ัน/ เอวรูปาย – เหน็ ปานน้/ี ติรจฺฉานวชิ ชฺ าย – ด้วยเดรัจฉานวิชา/ มิจฺฉาชีเวน – ด้วยมจิ ฉาชพี / ชวี ติ ํ – ซ่ึงชีวติ / กปเฺ ปนฺ ติ – ย่อมเลย้ี ง/ เสยฺยถิทํ – อย่างไร+น้ี (ได้แก่)/ สนฺติกมฺมํ – การทาพธิ ีบนบาน/ ปณิธิกมฺมํ – การพธิ แี ก้บน/ ภูตกมมฺ ํ – การรา่ ยมนตร์ขบั ผ/ี ภรู ิกมฺมํ – การตั้งศาลพระภูม/ิ วสสฺ กมมฺ ํ – การทากะเทยให้เป็นชาย/ โวสฺสกมฺมํ – การทาชายให้เปน็ กะเทย/ วตถฺ ุกมฺมํ – การทาพิธปี ลกู เรอื น/ วตฺถุปริกมมฺ ํ – พธิ ี บวงสรวงพ้ืนที/่ อาจมนํ – การพ่นนา้ มนตร/์ นหฺ าปนํ – การรดน้ามนตร์/ ชหุ นํ – การทาพิธบี ชู าไฟ/ วมนํ – การปรงุ ยาสารอก/ วิเรจนํ – การทายาถา่ ย/ อุทธฺ ํวเิ รจนํ – การทายาแก้โรคลมตีข้นึ เบ้ืองบน/ อโธวเิ รจนํ – การทายาแก้โรคลมตลี งเบอื้ งต่า/ สสี วิเรจนํ – การทายาแก้ปวดศรี ษะ/ กณณฺ เตลํ – การทาน้ามนั หยอดหู/ เนตฺตตปฺปนํ – การทานา้ มันหยอดตา/ นตฺถุกมฺมํ – การทายานัตถุ์/ อญฺชนํ – การทายาหยอดตา/ ปจฺจญฺชนํ – การทายาปา้ ยตา/ สาลากิยํ – การเปน็ หมอตา/ สลลฺ กตตฺ ยิ ํ – การ เปน็ หมอผ่าตัด/ ทารกติกิจฺฉา – การเป็นหมอรักษาเด็ก (กมุ ารเวช)/ มูลเภสชชฺ านํ – การให้สมุนไพร และยา/ อนุปฺปทานํ – เม่อื โรคหาย/ โอสธนี ํ – ซ่ึงยาท้งั หลาย/ ปฏิโมกโฺ ข – การลา้ งออก/ อิติ – ดงั น/้ี วา – หรอื วา่ / อติ ิ – ดงั นี้/ เอวรปู าย – เหน็ ปานน้ี/ ติรจฉฺ านวชิ ฺชาย – ดว้ ยเดรัจฉานวชิ า/ มิจฺฉาชีวา – จากการเลย้ี งชีพผิดทาง/ ปฏิวิรโต – ทรงเว้นขาดแลว้ / สมโณ – พระสมณะ/ โคตโม’ติ – โคดม’ ดงั น/้ี อติ ิ – ดังน/้ี วา – หรอื ว่า/ หิ – ก็/ ภิกฺขเว – ดกู รภิกษทุ ้งั หลาย/ ปุถชุ ฺชโน – ปถุ ุชน/ ตถาคตสสฺ – ซ่งึ ตถาคต/ วณฺณํ – ซ่ึงคายกยอ่ ง/ วทมาโน – เมอ่ื กล่าว/ วเทยยฺ . – พงึ กลา่ ว/ “อทิ ํ – มหาศลี ข้อนี้/ โข – แล/ ภิกขฺ เว – ดูกรภิกษุท้ังหลาย/ อปฺปมตตฺ กํ – เปน็ เรือ่ ง เล็กน้อย/ โอรมตฺตกํ – เป็นเรือ่ งต่าต้อย/ สีลมตฺตกํ – เป็นเรื่องเพียงเรอื่ งระดับศีล/ เยน – ด้วยมหา ศีลใด/ ปถุ ุชฺชโน – ปถุ ชุ น/ ตถาคตสฺส – ซง่ึ ตถาคต/ วณฺณํ – ซึง่ คายกย่อง/ วทมาโน – เม่ือกลา่ ว/ วเทยฺย. – พงึ กล่าว/ มหาสีล – มหาศลี / นฏิ ฐฺ ติ . – จบแลว้ /

DN I Namo tassa bhagavato arahato sammāsambuddhassa. Dīghanikāyo Sīlakkhandhavaggo Paribbākathā 1. Brahmajālasuttaṃ 1. Evaṃ me sutaṃ ekaṃ samayaṃ bhagavā antarā ca rājagahaṃ antarā ca nālandaṃ addhānamaggapaṭipanno hoti mahatā bhikkhusaṅghena saddhiṃ pañcamattehi bhikkhusatehi. Suppiyo’pi kho paribbājako antarā ca rājagahaṃ antarā ca nālandaṃ addhānamaggapaṭipanno hoti saddhiṃ antevāsinā brahmadattena māṇavena. Tatra sudaṃ suppiyo paribbājako anekapariyāyena buddhassa avaṇṇaṃ bhāsati, dhammassa avaṇṇaṃ bhāsati, saṅghassa avaṇṇaṃ bhāsati. Suppiyassa pana paribbājakassa antevāsī brahmadatto māṇavo anekapariyāyena buddhassa vaṇṇaṃ bhāsati, dhammassa vaṇṇaṃ bhāsati, saṅghassa vaṇṇaṃ bhāsati. Itiha te ubho ācariyantevāsī aññamaññassa ujuvipaccanīkavādā bhagavantaṃ piṭṭhito piṭṭhito anubaddhā honti bhikkhusaṅghaṃ ca. 2. Atha kho bhagavā ambalaṭṭhikāyaṃ rājāgārake ekarattivāsaṃ upagaṃchi saddhiṃ bhikkhusaṅghena. Suppiyo’pi kho paribbājako ambalaṭṭhikāyaṃ rājāgārake ekarattivāsaṃ upagaṃchi saddhiṃ antevāsinā brahmadattena māṇavena. Tatra’pi sudaṃ suppiyo paribbājako anekapariyāyena buddhassa avaṇṇaṃ bhāsati, dhammassa avaṇṇaṃ bhāsati, saṅghassa avaṇṇaṃ bhāsati. Suppiyassa pana paribbājakassa antevāsī brahmadatto māṇavo buddhassa vaṇṇaṃ bhāsati, dhammassa vaṇṇaṃ bhāsati, saṅghassa vaṇṇaṃ bhāsati. Itiha te ubho ācariyantevāsī aññamaññassa ujuvipaccanīkavādā viharanti. 3. Atha kho sambahulānaṃ bhikkhūnaṃ rattiyā paccūsasamayaṃ paccuṭṭhitānaṃ maṇḍalamāḷe sannisinnānaṃ sannipatitānaṃ ayaṃ saṅkhiyādhammo udapādi: \"acchariyaṃ āvuso, abbhutaṃ āvuso, yāvañcidaṃ tena bhagavatā jānatā passatā arahatā sammāsambuddhena sattānaṃ nānādhimuttikatā suppaṭividitā. Ayaṃ hi suppiyo paribbājako anekapariyāyena buddhassa avaṇṇaṃ bhāsati, dhammassa avaṇṇaṃ bhāsati, saṅghassa avaṇṇaṃ bhāsati. Suppiyassa pana paribbājakassa antevāsī brahmadatto māṇavo buddhassa vaṇṇaṃ bhāsati, dhammassa vaṇṇaṃ bhāsati, saṅghassa vaṇṇaṃ bhāsati. Itiha’me ubho ācariyantevāsī aññamaññassa ujuvipaccanīkavādā bhagavantaṃ piṭṭhito piṭṭhito anubaddhā honti bhikkhusaṅghaṃ cā\"ti.