Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore พุทธมนต์บำบัด_ฉบับอโรคยาศาล

พุทธมนต์บำบัด_ฉบับอโรคยาศาล

Published by pakamas3008, 2020-04-08 22:53:35

Description: พุทธมนต์บำบัด_ฉบับอโรคยาศาล

Search

Read the Text Version

วันทันโตหงั (ตหี ัง)* จะรสิ สามิ สังฆัสโสปฏปิ นั นะตงั , ขา้ พเจา้ ผไู้ หวอ้ ยจู่ กั ประพฤตติ ามซง่ึ ความปฏบิ ตั ดิ ขี องพระสงฆ์ นตั ถิ เม สะระณัง อญั ญัง สังโฆ เม สะระณัง วะรงั , สรณะอน่ื ของข้าพเจา้ ไมม่ ี พระสงฆเ์ ปน็ สรณะอนั ประเสรฐิ ของขา้ พเจา้ , เอเตนะ สัจจะวชั เชนะ วัฑเฒยยัง สัตถุ สาสะเน, ด้วยการกลา่ วคำ�สจั จน้ี ขา้ พเจ้าพึงเจรญิ ใน พระศาสนาของพระศาสดา สงั ฆงั เม วนั ทะมาเนนะ (มานายะ)* ยัง ปุญญงั ปะสุตัง อธิ ะ, ข้าพเจา้ ผู้ไหว้อย่ซู งึ่ พระสงฆ์ ไดข้ วนขวายบญุ ใดในบัดนี้ สัพเพปิ อนั ตะรายา เม มาเหสุง ตัสสะ เตชะสา.ฯ อันตรายทัง้ ปวง อยา่ ได้มแี ก่ขา้ พเจ้า ด้วยเดชแห่งบุญนัน้ (หมอบกราบ) กาเยนะ วาจายะ วะ เจตะสา วา, ด้วยกายกด็ ี ด้วยวาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี สังเฆ กุกัมมัง ปะกะตัง มะยา ยงั , กรรมน่าตเิ ตยี นอนั ใด ทขี่ า้ พเจ้าได้กระทำ�แลว้ ในพระสงฆ์ สงั โฆ ปะฏิคคณั หะตุ อจั จะยันตงั , ขอพระสงฆ์ จงงดซึง่ โทษล่วงเกินอันนั้น กาลนั ตะเร สงั วะริตงุ วะ สงั เฆ.ฯ เพ่ือการส�ำ รวมระวงั ในพระสงฆ์ ในกาลต่อไป. (จบค�ำ ท�ำ วตั รเยน็ ) ๕๐ พุทธมนตบ์ ำ�บดั อโรคยาศาล จ.ชยั ภูมิ

เมื่อเรารสู้ ึกเหนอ่ื ยจากการสวดมนต์ หมายความว่าเราได้ปฏิบัติหนา้ ท่ขี องชาวพทุ ธ อยา่ งน่ายกย่อง... ค�ำ นมัสการพระอรหนั ต์ ๘ ทศิ (นำ�) หันทะ มะยัง สะระภญั เญนะ พทุ ธะ มังคะละคาถาโย ภะณามะ เส. ฯ (รับ) สมั พทุ โธ ทปี ะทงั เสฏโฐ นิสนิ โน เจวะ มชั ฌิเม โกณฑัญโญ ปพุ พะภาเค จะ อาคะเณยเย จะกัสสะโป สารปี ตุ โต จะ ทักขิเณ หะระตเิ ย อุปาลี จะ ปจั ฉิเมปิ จะ อานนั โท พายัพเพ จะ คะวัมปะติ โมคคัลลาโน จะอตุ ตะเร อสิ าเนปิ จะ ราหุโล อิเม โข มงั คะลา พุทธา สัพเพ อธิ ะ ปะตฏิ ฐิตา วนั ทติ า เต จะ อัมเหหิ สักกาเรหิ จะ ปชู ติ า เอเตสงั อานภุ าเวนะ สพั พะโสตถี ภะวนั ตโุ น ฯ อิจเจวะมัจจัน ตะนะมัสสะเนยยงั นะมสั สะมาโน ระตะนตั ตะยัง ยัง ปญุ ญาภสิ ันทัง วปิ ุลัง อะลตั ถงั ตัสสานภุ าเว – นะหะตันตะราโย.ฯ พระธาตรี อปุ ปฺ ลวณฺโณ วัดปา่ กดุ ฉนวนอดุ มพร ๕๑

คนขาดธรรม น�้ำ ใจ ใฝแ่ ต่วุ่น บาปหรอื บญุ ไม่พนิ จิ คิดเหลวไหล คนขาดธรรม ไม่คิดสรา้ ง -ความจัญไร นานนานไป กไ็ ร้คา่ ราคาคน อตตี ปจั จเวกขณปาฐะวธิ ี (น�ำ ) หนั ทะ มะยงั อะตีตะปจั จะเวกขะณะปาฐัง ภะณามะ เส. ฯ (ว่าดว้ ยจวี ร) อชั ชะ มะยา อะปจั จะเวกขิตวา ยัง จวี ะรงั ปะริภตุ ตัง, จวี รใด อนั เรานุ่งห่มแล้วไมท่ นั พิจารณาในวันนี้, ตัง ยาวะเทวะ สตี ัสสะ ปะฏิฆาตายะ, จีวรน้นั เรานงุ่ ห่มแล้วเพียงเพื่อบำ�บดั ความหนาว, อุณหัสสะ ปะฏฆิ าตายะ, เพ่ือบ�ำ บัดความรอ้ น, ฑงั สะมะกะสะวาตาตะปะสิรงิ สะปะสมั ผัสสานงั ปะฏิฆาตายะ, เพอ่ื บำ�บัดสมั ผสั อนั เกดิ จากเหลือบ ยงุ ลม แดด และสตั ว์ เลือ้ ยคลานทั้งหลาย, ยาวะเทวะ หริ โิ กปนิ ะปะฏจิ ฉาทะนัตถัง.ฯ และเพียงเพือ่ ปกปิด อวัยวะ อนั ใหเ้ กิดความละอาย, (ข้อวา่ ด้วยบณิ ฑบาต) อชั ชะ มะยา อะปจั จะเวกขติ วา โย ปณิ ฑะปาโต ปะริภตุ โต, บณิ ฑบาตใด อนั เราฉันแล้วไม่ทันพิจารณา ในวันน้,ี ๕๒ พุทธมนต์บำ�บดั อโรคยาศาล จ.ชยั ภูมิ

โส เนวะ ทวายะ, บิณฑบาตนั้น เราฉันแลว้ ไมใ่ ช่เป็นไปเพ่อื ความ เพลิดเพลิน สนุกสนาน, นะมะทายะ, ไมใ่ ชเ่ ปน็ ไปเพอื่ ความเมามัน เกิดก�ำ ลงั พลงั ทางกาย, นะ มณั ฑะนายะ, ไมใ่ ช่เป็นไปเพื่อประดบั , นะ วภิ ูสะนายะ, ไม่ใช่เป็นไปเพ่ือตกแต่ง, ยาวะเทวะ อมิ สั สะ กายสั สะ ฐิตยิ า, แต่ให้เปน็ ไปเพยี งเพ่อื ความ ตง้ั อยไู่ ด้แห่งกายน้,ี ยาปะนายะ, เพ่อื ความเปน็ ไปไดข้ องอตั ตภาพ, วิหงิ สปุ ะระติยา, เพอื่ ความสิ้นไป แหง่ ความล�ำ บากทางกาย, พรัหมะจะริยานคุ คะหายะ, เพือ่ อนเุ คราะห์ แก่การประพฤตพิ รหมจรรย์, อิติ ปุราณญั จะ เวทะนังปะฏหิ งั ขาม,ิ ดว้ ยการท�ำ อย่างนี้ เรายอ่ มระงับเสียได้ ซ่งึ ทกุ ขเวทนาเกา่ คอื ความหิว, นะวัญจะ เวทะนัง นะ อุปปาเทสสามิ และไม่ทำ�ทกุ ขเวทนาใหม่ ให้เกดิ ขึ้น, ยาตรา จะ เม ภะวิสสะติ อะนะวัช ชะตา จะ ผาสุวิหาโร จาต.ิ ฯ อนึง่ ความเป็นไปโดยสะดวกแห่งอตั ตภาพนีด้ ว้ ย ความเปน็ ผู้หาโทษมไิ ด้ด้วย และความเปน็ อยู่โดยผาสุกดว้ ย จกั มีแก่เรา ดงั น้.ี (วา่ ด้วยเสนาสนะ) อัชชะ มะยา อะปัจจะเวกขติ ตวา ยังเสนาสะนังปะรภิ ตุ ตงั , เสนาสนะใด อันเราใชส้ อยแล้วไม่ทันพิจารณาในวันนี,้ ตัง ยาวะเทวะ สีตสั สะ ปะฏิฆาตายะ, เสนาสนะนนั้ เราใช้สอยแลว้ เพียงเพื่อบ�ำ บดั ความหนาว, พระธาตรี อปุ ปฺ ลวณฺโณ วดั ป่ากดุ ฉนวนอดุ มพร ๕๓

อณุ หสั สะ ปะฏิฆาตายะ, เพือ่ บำ�บดั ความร้อน, ฑงั สะมะกะสะวาตาตะปะสิรงิ สะปะสมั ผัสสานงั ปะฏิฆาตายะ, เพ่อื บ�ำ บัดสัมผัสอนั เกิดจากเหลอื บ ยุง ลม แดด และสตั วเ์ ล้ือยคลานทัง้ หลาย, ยาวะเทวะ อุตปุ ะรสิ สะยะวโิ นทะนงั ปะฏิสัลลานารามตั ถัง.ฯ เพียงเพอ่ื บรรเทา อันตรายอันจะพึงมีจากดินฟา้ อากาศ, และเพื่อความเปน็ ผยู้ ินดีอยู่ไดใ้ นที่หลกี เรน้ ส�ำ หรบั ภาวนา. (วา่ ด้วยคิลานเภสัช) อชั ชะ มะยา อะปจั จะเวกขติ วา โยคลิ านะปจั จะยะ เภสัชชะ ปะรกิ ขาโร ปะรภิ ุตโต, คิลานเภสชั บริขารใด อันเราบรโิ ภคแล้ว ไม่ทนั พจิ ารณาในวันน้ี โส ยาวะเทวะ อปุ ปันนานงั เวยยาพาธิกานัง เวทะนานงั ปะฏิฆาตายะ, คลิ านเภสชั บริขารนั้น เราบรโิ ภคแล้ว เพียงเพอ่ื บ�ำ บัด ทุกขเวทนา อันบงั เกิดขึ้นแลว้ มีอาพาธตา่ ง ๆ เปน็ มูล, อัพยาปัชฌะปะระมะตายาติ, เพ่อื ความเป็นผู้ไมม่ ีโรคเบียดเบยี น เปน็ อยา่ งยิง่ ดงั น้.ี ๕๔ พทุ ธมนตบ์ ำ�บัด อโรคยาศาล จ.ชัยภมู ิ

อุททิสสะนาธฏิ ฐานะคาถา (กรวดนำ้�ตอนเยน็ ) (น�ำ ) หนั ทะ มะยัง อุทิสสะนาธฏิ ฐานะคาถาโย ภะณามะ เส ฯ. อิมนิ า ปญุ ญะกัมเมนะ ด้วยบุญนี้ อทุ ิศให ้ อุปชั ฌายา คณุ ุตตะรา อปุ ชั ฌาย์ ผเู้ ลิศคณุ อาจะรยิ ูปะการา จะ แลอาจารย์ ผู้เก้ือหนนุ มาตา ปติ า จะ ญาตะกา ทงั้ พ่อ แม่ แลปวงญาติ สรุ โิ ย จนั ทมิ า ราชา สูรย์จนั ทร์ แลราชา คณุ ะวันตา นราปิ จะ ผู้ทรงคุณ หรือสูงชาติ พรัหมะมารา จะ อนิ ทา จะ พรหมมารและอนิ ทราช โลกะปาลา จะ เทวะตา ท้ังทวยเทพ และโลกบาล ยะโม มติ ตา มะนุสสา จะ ยมราช มนุษย ์ มติ ร มชั ฌตั ตา เวริกาปิ จะ ผ้เู ปน็ กลาง ผู้จอ้ งผลาญ สพั เพ สัตตา สขุ ี โหนตุ ขอใหเ้ ปน็ สขุ ศานตท์ิ กุ ทวั่ หนา้ อย่าทกุ ข์ทน ปุญญานิ ปะกะตานิ เม บญุ ผอง ท่ขี ้าพเจา้ ทำ� จงชว่ ย อำ�นวยศภุ ผล สุขัง จะ ติวธิ งั เทนตุ ให้สุข สามอยา่ งลน้ ขิปปัง ปาเปถะ โว มะตงั ใหล้ ถุ ึง นพิ พานพลัน อิมนิ า ปุญญะกัมเมนะ ด้วยบญุ น้ี ทเ่ี ราทำ� อมิ นิ า อทุ ทเิ สนะ จะ แลอทุ ิศ ให้ปวงสตั ว์ ขิปปาหงั สลุ ะเภ เจวะ เราพลนั ได้ ซึง่ การตัด ตัณหปุ าทานะเฉทะนัง ตวั ตณั หา อุปาทาน พระธาตรี อปุ ฺปลวณโฺ ณ วัดปา่ กุดฉนวนอุดมพร ๕๕

เย สนั ตาเน หนิ า ธมั มา สิ่งชั่ว ในดวงใจ ยาวะ นิพพานะโต มะมงั กว่าเราจะถึงนพิ พาน นสั สันตุ สพั พะทา เยวะ มลายสิน้ จากสันดาน ยตั ถะ ชาโต ภะเว ภะเว ทุก ๆ ภพที่เราเกิด อุชุจิตตัง สะตปิ ญั ญา มจี ติ ตรง และสติ ทง้ั ปญั ญา อันประเสรฐิ สัลเลโข วิรยิ มั หนิ า พร้อมทง้ั ความเพยี รเลศิ เป็นเครือ่ งขูด กิเลสหาย มารา ละภนั ตุ โนกาสงั โอกาสอยา่ พึงมี แก่หมู่มาร สิน้ ท้ังหลาย กาตุญจะ วริ ิเยสุ เม เป็นช่อง ประทษุ ร้าย ท�ำ ลาย ล้างความเพยี รจม พุทธาทิปะวะโร นาโถ พระพทุ ธเจา้ ผบู้ วรนาถ ธมั โม นาโถ วะรุตตะโม พระธรรมเป็นทพ่ี ึง่ อันอุดม นาโถ ปัจเจกะพุทโธ จะ พระปัจเจกพทุ ธสมทบ สังโฆ นาโถตตะโร มะมงั พระสงฆ์ ที่พึ่งผยอง เตโสตตะมานุภาเวนะ ดว้ ยอานุภาพนนั้ มาโรกาสงั ละภันตุ มา ขอหมมู่ าร อย่าไดช้ ่อง ทะสะปุญญานุภาเวนะ ด้วยเดชบุญ ทั้งสบิ ปอ้ ง มาโรกาสัง ละภนั ตุ มา. ฯ อย่าเปดิ โอกาสแกม่ าร เทอญ. ฯ ๕๖ พทุ ธมนต์บ�ำ บัด อโรคยาศาล จ.ชัยภมู ิ

ทวตั ตงิ สาการปาฐะ (หันทะ มะยงั ทว๎ ัตติงสาการะปาฐัง ภะณามะ เส) อะยงั โข เม กาโย กายของเราน้แี ล อุทธงั ปาทะตะลา เบื้องบนแต่พืน้ เทา้ ขึน้ มา อะโธ เกสะมัตถะกา เบอื้ งตำ่�แต่ปลายผมลงไป ตะจะปะรยิ ันโต มีหนงั หุม้ อยู่เปน็ ท่สี ดุ รอบ ปูโรนานัปปะการสั สะ อะสุจิโน เต็มไปดว้ ยของไมส่ ะอาด มปี ระการตา่ ง ๆ อัตถิ อมิ สั มิง กาเย มีอยูใ่ นกายน้ี เกสา คือผมท้ังหลาย โลมา คือขนท้ังหลาย นะขา คือเล็บท้งั หลาย ทนั ตา คอื ฟนั ท้ังหลาย ตะโจ หนงั มงั สัง เน้อื นะหารู เอ็นทัง้ หลาย อัฏฐี กระดกู ท้ังหลาย อฏั ฐมิ ิญชงั เย่ือในกระดกู วักกงั ไต หะทะยัง หัวใจ ยะกะนงั ตับ กิโลมะกัง พังผืด ปหิ ะกงั ม้าม ปปั ผาสัง ปอด อันตงั ไสใ้ หญ่ อันตะคณุ งั สายรดั ไส้ อทุ ะริยงั อาหารใหม่ กะรสี ัง อาหารเก่า ปิตตัง น้�ำ ดี พระธาตรี อปุ ฺปลวณฺโณ วดั ปา่ กุดฉนวนอดุ มพร ๕๗

เสมหงั น�้ำ เสลด ปุพโพ น้�ำ เหลอื ง โลหิตัง นำ�้ เลือด เสโท น้ำ�เหงอื่ เมโท น้�ำ มนั ขน้ อัสสุ น้ำ�ตา วะสา นำ�้ มนั เหลว เขโฬ นำ้�ลาย สงิ ฆาณกิ า น้�ำ มกู ละสกิ า น�้ำ มนั ไขข้อ มุตตงั น�้ำ มตู ร มัตถะเกมตั ถะลงุ คงั เยื่อในสมอง เอวะมะยังเม กาโย กายของเรานี้อยา่ งนี้ อทุ ธังปาทะตะลา เบอื้ งบนแต่พน้ื เทา้ ขนึ้ มา อะโธเกสะมตั ถะกา เบอ้ื งต่ำ�แต่ปลายผมลงไป ตะจะปะริยันโต มีหนังหุม้ อยเู่ ปน็ ทีส่ ดุ รอบ ปโู รนานปั ปะการัสสะ อะสจุ ิโน เต็มไปดว้ ยของไม่สะอาด มีประการต่างๆ อย่างน้แี ลฯ ๕๘ พทุ ธมนต์บ�ำ บดั อโรคยาศาล จ.ชัยภมู ิ

พระคาถาอาการะวัตตาสตู ร พระพทุ ธเจ้าทง้ั หลาย ๒๘ พระองค์ท่ีลว่ งไปแล้วกด็ ี พระพุทธเจ้าใน ปัจจบุ นั กด็ ี ได้ทรงกระทำ�ตามกันมาทุกๆพระองคพ์ ระสตู รนี้เป็นพระสตู รอัน ใหญย่ ่งิ หาสตู รอื่นมาเปรียบมิได้ ดว้ ยมีท้งั พระสตู ร พระวนิ ัย พระปรมตั ถ์ พระปฎิ ก ขอทา่ นทง้ั หลายอย่าได้ทงิ้ วางในทอ่ี ันไมส่ มควรเลย จงท�ำ การ สักการะบูชา สวดมนต์ ภาวนา ฟงั ตามสตกิ �ำ ลังดว้ ยเทอญ (ตั้งนะโม ๓ จบ) เอวัมเม สตุ งั เอกงั สะมะยงั ภะคะวา ราชะคะเห วิหะระติ คชิ ฌะ กเู ฏ ปพั พะเต เตนะ โข ปะนะ สะมะเยนะ สัพพะสตั ตานงั พทุ ธะคโุ ณ ธมั มะคโุ ณ สังฆะคุโณ อายัสมา อานนั โท อะนรุ ุทโธ สารปี ุตโต โมคคัลลาโน อะหิทธิโก มะหานภุ าเวนะ สตั ตานงั เอตะทะโวจะฯ ๑. อติ ิปโิ สภะคะวา อะระหงั อติ ิปโิ สภะคะวา สัมมาสมั พทุ โธ อติ ิปโิ สภะคะวา วชิ ชาจะระณะสมั ปนั โน อิตปิ ิโสภะคะวา สคุ ะโต อติ ิปโิ สภะคะวา โลกะวิทู อติ ปิ โิ สภะคะวา อะนตุ ตะโรปุรสิ ะธัมมะสาระถิ อิติปโิ สภะคะวา สัตถาเทวะมะนสุ สานัง อติ ิปโิ สภะคะวา พุทโธ อิตปิ โิ สภะคะวา ภะคะวาติ (พทุ ธะคณุ ะวัคโค ปะฐะโม) ๒. อติ ิปิโสภะคะวา อะภินิหาระ ปาระมสิ มั ปนั โน อิตปิ ิโสภะคะวา อุฬารัชฌาสะยะ ปาระมิสัมปนั โน อิตปิ ิโสภะคะวา ปะนิธานะ ปาระมิสมั ปันโน อิตปิ โิ สภะคะวา มะหากะรุณา ปาระมิสมั ปนั โน อติ ิปิโสภะคะวา ญาณะ ปาระมสิ มั ปนั โน อิติปโิ สภะคะวา ปะโยคะ ปาระมิสมั ปนั โน พระธาตรี อปุ ปฺ ลวณฺโณ วัดป่ากดุ ฉนวนอุดมพร ๕๙

อิตปิ ิโสภะคะวา ยตุ ิ ปาระมสิ ัมปันโน อิตปิ ิโสภะคะวา ชตุ ิ ปาระมิสัมปนั โน อติ ิปโิ สภะคะวา คพั ภะโอกกันติ ปาระมิสัมปันโน อิตปิ ิโสภะคะวา คพั ภะฐติ ิ ปาระมสิ มั ปนั โน (อะภินหิ าระวัคโค ทุติโย) ๓.อติ ปิ ิโสภะคะวา คัพภะวุฏฐานะ ปาระมสิ มั ปันโน อิติปโิ สภะคะวา คพั ภะมะละวริ ะหิตะ ปาระมิสัมปนั โน อิตปิ ิโสภะคะวา อุตตะมะชาติ ปาระมิสมั ปันโน อิตปิ โิ สภะคะวา คะติ ปาระมสิ มั ปนั โน อิตปิ ิโสภะคะวา อะภิรปู ะ ปาระมสิ มั ปนั โน อิตปิ ิโสภะคะวา สวุ ัณณะ ปาระมสิ มั ปนั โน อิตปิ โิ สภะคะวา มะหาสริ ิ ปาระมิสมั ปันโน อติ ิปโิ สภะคะวา อาโรหะ ปาระมิสัมปนั โน อติ ิปโิ สภะคะวา ปะรนิ าหะ ปาระมิสมั ปันโน อติ ิปโิ สภะคะวา สนุ ฏิ ฐะ ปาระมิสัมปนั โน (คัพภะวฏุ ฐานะวัคโค ตะตโิ ย) ๔. อติ ปิ ิโสภะคะวา อะภสิ ัมโพธิ ปาระมิสัมปนั โน อิตปิ ิโสภะคะวา สลี ะขันธะ ปาระมสิ มั ปนั โน อิติปโิ สภะคะวา สะมาธขิ นั ธะ ปาระมสิ มั ปันโน อติ ิปโิ สภะคะวา ปัญญาขนั ธะ ปาระมิสัมปนั โน อติ ิปโิ สภะคะวา ทะวตั ติงสะมะหาปรุ สิ ะลกั ขะณะ ปาระมสิ ัมปนั โน (อะภิสมั โพธวิ คั โค จะตฏุ โฐ) ๕. อติ ปิ ิโสภะคะวา มะหาปญั ญา ปาระมิสัมปันโน อติ ปิ โิ สภะคะวา ปุถปุ ญั ญา ปาระมิสัมปันโน อติ ิปิโสภะคะวา หาสะปัญญา ปาระมสิ มั ปนั โน อติ ิปโิ สภะคะวา ชะวะนะปัญญา ปาระมิสมั ปันโน อิติปโิ สภะคะวา ติกขะปญั ญา ปาระมสิ มั ปนั โน อติ ิปิโสภะคะวา ปัญจะจกั ขุ ปาระมสิ มั ปนั โน ๖๐ พุทธมนต์บำ�บัด อโรคยาศาล จ.ชัยภูมิ

อิตปิ โิ สภะคะวา อัฏฐาระสะพทุ ธะกะระ ปาระมสิ ัมปนั โน (มะหาปัญญาวคั โค ปญั จะโม) ๖. อติ ิปโิ สภะคะวา ทานะ ปาระมสิ ัมปนั โน อติ ิปิโสภะคะวา สลี ะ ปาระมสิ ัมปนั โน อิตปิ โิ สภะคะวา เนกขมั มะ ปาระมิสัมปนั โน อติ ิปโิ สภะคะวา ปญั ญา ปาระมิสัมปนั โน อติ ิปโิ สภะคะวา วิรยิ ะ ปาระมิสัมปันโน อิตปิ ิโสภะคะวา ขันตี ปาระมิสมั ปันโน อติ ปิ ิโสภะคะวา สจั จะ ปาระมิสมั ปนั โน อติ ิปิโสภะคะวา อะธิษฐานะ ปาระมิสัมปนั โน อิตปิ โิ สภะคะวา เมตตา ปาระมิสมั ปนั โน อติ ิปิโสภะคะวา อเุ ปกขา ปาระมิสัมปนั โน (ปาระมวิ คั โค ฉัฏโฐ) ๗. อติ ปิ ิโสภะคะวา ทะสะ ปาระมิสมั ปันโน อติ ิปิโสภะคะวา ทะสะอปุ ะ ปาระมิสมั ปันโน อิติปโิ สภะคะวา ทะสะปะระมัตถะ ปาระมิสมั ปันโน อติ ปิ โิ สภะคะวา สะมะตงิ สะ ปาระมสิ มั ปนั โน อิตปิ โิ สภะคะวา ตงั ตงั ฌานะฌานังคะ ปาระมสิ มั ปันโน อติ ิปิโสภะคะวา อะภญิ ญาณะ ปาระมิสัมปันโน อติ ิปโิ สภะคะวา สะติ ปาระมสิ ัมปันโน อิตปิ ิโสภะคะวา สะมาธิ ปาระมสิ ัมปันโน อิตปิ โิ สภะคะวา วมิ ตุ ติ ปาระมิสัมปนั โน อติ ปิ โิ สภะคะวา วิมตุ ติญาณะ ปาระมิสัมปันโน (ทะสะปาระมิวัคโค สัตตะโม) ๘. อิติปโิ สภะคะวา วชิ ชาจะระณะวิปสั สะนาวชิ ชา ปาระมสิ ัมปนั โน อติ ิปโิ สภะคะวา มะโนมะยิทธวิ ชิ ชา ปาระมิสมั ปนั โน อิติปิโสภะคะวา อิทธวิ ิทธวิ ิชชา ปาระมิสัมปันโน อิติปโิ สภะคะวา ทิพพะโสตะวชิ ชา ปาระมิสมั ปนั โน พระธาตรี อปุ ปฺ ลวณฺโณ วัดปา่ กดุ ฉนวนอุดมพร ๖๑

อิติปโิ สภะคะวา ปะระจติ ตะวิชชา ปาระมิสัมปันโน อติ ิปโิ สภะคะวา ปพุ เพนวิ าสานุสสะตวิ ชิ ชา ปาระมสิ ัมปนั โน อติ ปิ ิโสภะคะวา ทพิ พะจกั ขวุ ิชชา ปาระมสิ ัมปนั โน อติ ิปโิ สภะคะวา จะระณะวิชชา ปาระมิสมั ปันโน อติ ปิ ิโสภะคะวา จะระณะธมั มะวิชชา ปาระมสิ ัมปันโน อติ ปิ ิโสภะคะวา อะนปุ ุพพะวหิ าระ ปาระมิสัมปนั โน (วชิ ชาวัคโค อฏั ฐะโม) ๙. อติ ิปิโสภะคะวา ปะรญิ ญา ปาระมสิ มั ปันโน อติ ิปโิ สภะคะวา ปะหานะ ปาระมสิ มั ปันโน อิติปิโสภะคะวา สัจฉิกริ ิยา ปาระมิสมั ปันโน อิตปิ โิ สภะคะวา ภาวะนา ปาระมสิ มั ปันโน อิตปิ ิโสภะคะวา ปะริญญาปะหานะสัจฉกิ ิริยาภาวะนา ปาระมสิ มั ปันโน อติ ิปโิ สภะคะวา จะตุธัมมะสจั จะ ปาระมิสมั ปันโน อติ ปิ โิ สภะคะวา ปะฏสิ ัมภทิ าญาณะ ปาระมสิ ัมปันโน (ปะรญิ ญานะวคั โค นะวะโม) ๑๐. อติ ปิ ิโสภะคะวา โพธปิ กั ขิยะธัมมะ ปาระมสิ ัมปนั โน อิตปิ ิโสภะคะวา สะตปิ ัฏฐานะปญั ญา ปาระมิสมั ปนั โน อติ ปิ ิโสภะคะวา สมั มัปปะทานะปญั ญา ปาระมสิ มั ปนั โน อิตปิ ิโสภะคะวา อทิ ธิปาทะปญั ญา ปาระมิสมั ปันโน อิตปิ ิโสภะคะวา อินทรียะปัญญา ปาระมสิ ัมปนั โน อิตปิ ิโสภะคะวา พะละปัญญา ปาระมิสมั ปันโน อิติปโิ สภะคะวา โพชฌังคะปญั ญา ปาระมสิ ัมปันโน อิติปโิ สภะคะวา อัฏฐงั คิกะมคั คะธมั มะ ปาระมิสมั ปันโน อิตปิ ิโสภะคะวา มะหาปรุ ิสะสัจฉกิ ิรยิ า ปาระมสิ มั ปนั โน อิติปโิ สภะคะวา อะนาวะระณะวโิ มกขะ ปาระมิสัมปนั โน อติ ปิ โิ สภะคะวา อะระหัตตะพะละวิมุตติ ปาระมสิ ัมปนั โน (โพธปิ กั ขิยะวัคโค ทะสะโม) ๖๒ พทุ ธมนต์บ�ำ บัด อโรคยาศาล จ.ชัยภมู ิ

๑๑. อิตปิ ิโสภะคะวา ทะสะพะละญาณะ ปาระมสิ ัมปนั โน อติ ิปโิ สภะคะวา ฐานาฐานะญาณะ ปาระมิสัมปนั โน อิตปิ ิโสภะคะวา วิปากะญาณะ ปาระมิสมั ปันโน อติ ิปิโสภะคะวา สัพพตั ถะคามนิ ีปะฏปิ ะทา ปาระมิสัมปนั โน อิติปโิ สภะคะวา นานาธาตุญาณะ ปาระมิสัมปนั โน อติ ิปโิ สภะคะวา นานาธิมุตติกะญาณะ ปาระมิสัมปนั โน อติ ิปิโสภะคะวา อินทริยะปะโรปะริยตั ตะญาณะ ปาระมสิ ัมปนั โน อิติปโิ สภะคะวา นิโรธะวุฏฐานะญาณะ ปาระมิสัมปันโน อิตปิ ิโสภะคะวา ปพุ เพนิวาสานุสสะตญิ าณะ ปาระมิสมั ปันโน อิตปิ โิ สภะคะวา จุตูปะปาตะญาณะ ปาระมสิ มั ปนั โน อติ ิปโิ สภะคะวา อาสะวักขะยะญาณะ ปาระมสิ ัมปนั โน (ทะสะพะละญาณะวัคโค ทะสะโม) ๑๒ . อิตปิ ิโสภะคะวา โกฏิสะหัสสานังปะกะติสะหัสสานงั หัตถีนงั พะ ละธะระ ปาระมสิ มั ปันโน อติ ปิ โิ สภะคะวา ปรุ ิสะโกฏิทะสะสะหสั สานังพะละธะระ ปาระมิสมั ปนั โน อิติปโิ สภะคะวา ปญั จะจักขุญาณะ ปาระมสิ ัมปันโน อติ ปิ ิโสภะคะวา ยะมักกะญาณะ ปาระมสิ มั ปนั โน อติ ิปิโสภะคะวา สีละคณุ ะ ปาระมิสัมปันโน อติ ิปิโสภะคะวา คณุ ะปาระมิสะมาปตั ติ ปาระมิสัมปนั โน (กายะพะละวคั โค ทะวาทะสะโม) ๑๓. อิติปโิ สภะคะวา ถามะพะละ ปาระมิสมั ปนั โน อติ ิปโิ สภะคะวา ถามะพะละญาณะ ปาระมสิ มั ปันโน อิตปิ ิโสภะคะวา พะละ ปาระมสิ ัมปนั โน อิตปิ โิ สภะคะวา พะละญาณะ ปาระมิสัมปันโน อติ ิปิโสภะคะวา ปุริสะ ปาระมิสัมปนั โน อติ ิปโิ สภะคะวา อะตุละยะ ปาระมสิ มั ปันโน อติ ปิ ิโสภะคะวา ญาณะ ปาระมิสัมปันโน อิตปิ ิโสภะคะวา อุสาหะ ปาระมิสมั ปนั โน พระธาตรี อุปฺปลวณโฺ ณ วดั ปา่ กุดฉนวนอดุ มพร ๖๓

อิตปิ โิ สภะคะวา คะเวสญิ าณะ ปาระมิสัมปนั โน (ถามะพะละวัคโค เตระสะโม) ๑๔. อติ ิปิโสภะคะวา จะรยิ า ปาระมสิ มั ปนั โน อิติปิโสภะคะวา จะรยิ าญาณะ ปาระมิสมั ปนั โน อิตปิ โิ สภะคะวา โลกัตถะจะริยา ปาระมิสมั ปนั โน อติ ปิ โิ สภะคะวา โลกัตถะจะรยิ าญาณะ ปาระมิสมั ปนั โน อิติปโิ สภะคะวา ญาณตั ถะจะรยิ า ปาระมสิ มั ปนั โน อิตปิ ิโสภะคะวา ญาณตั ถะจะริยาญาณะ ปาระมสิ มั ปนั โน อิตปิ โิ สภะคะวา พุทธะจะรยิ า ปาระมิสมั ปันโน อิติปโิ สภะคะวา พุทธะจะรยิ าญาณะ ปาระมิสมั ปันโน อิตปิ โิ สภะคะวา ตวิ ธิ ะจะริยา ปาระมิสมั ปนั โน อติ ิปโิ สภะคะวา ปาระมิอุปะปาระมิปะระมัตถะ ปาระมิสมั ปันโน (จะริยาวคั โค จะตรุ ะสะโม) ๑๕. อติ ปิ โิ สภะคะวา ปัญจปุ าทานกั ขนั เธสุอะนิจจะลักขะณะ ปาระมสิ ัมปันโน อิตปิ โิ สภะคะวา ปญั จุปาทานักขันเธสุทุกขะลักขะณะ ปาระมิสัมปนั โน อิตปิ ิโสภะคะวา ปญั จุปาทานกั ขนั เธสอุ ะนัตตะลักขะณะ ปาระมสิ มั ปนั โน อิตปิ โิ สภะคะวา อายตั ตะเนสุตลิ กั ขะณะญาณะ ปาระมสิ มั ปนั โน อิตปิ ิโสภะคะวา อัฏฐาระสะธาตสุ ุติลกั ขะณะญาณะ ปาระมิสมั ปนั โน อิตปิ ิโสภะคะวา วิปะรนิ ามะลักขะณะ ปาระมสิ มั ปันโน (ลักขะณะวคั โค ปัณณะระสะโม) ๑๖. อติ ปิ โิ สภะคะวา คะตัตถานะ ปาระมสิ ัมปนั โน อติ ปิ ิโสภะคะวา คะตตั ถานะญาณะ ปาระมสิ ัมปันโน อติ ิปิโสภะคะวา วะสติ ะ ปาระมิสมั ปนั โน อติ ิปิโสภะคะวา วะสติ ะญาณะ ปาระมสิ มั ปนั โน อติ ิปิโสภะคะวา สกิ ขา ปาระมสิ ัมปันโน อติ ปิ โิ สภะคะวา สิกขาญาณะ ปาระมิสมั ปันโน อติ ิปโิ สภะคะวา สังวะระ ปาระมิสัมปันโน อติ ปิ ิโสภะคะวา สังวะระญาณะ ปาระมสิ ัมปนั โน (คะตัตถานะวัคโค โสฬะสะโม) ๖๔ พุทธมนต์บำ�บัด อโรคยาศาล จ.ชยั ภมู ิ

๑๗. อิตปิ โิ สภะคะวา พทุ ธะปะเวณี ปาระมสิ ัมปนั โน อติ ิปโิ สภะคะวา พุทธะปะเวณญี าณะ ปาระมสิ ัมปันโน อิติปโิ สภะคะวา ยะมะกะปาฏหิ าริยะ ปาระมิสมั ปนั โน อติ ิปโิ สภะคะวา ยะมะกะปาฏิหารยิ ะญาณะ ปาระมิสมั ปันโน อติ ปิ ิโสภะคะวา จะตุพรหมวิหาระ ปาระมสิ ัมปันโน อติ ปิ โิ สภะคะวา อะนาวะระณะญาณะ ปาระมสิ ัมปันโน อิติปโิ สภะคะวา อะปะรยิ ันตะญาณะ ปาระมสิ มั ปันโน อิติปโิ สภะคะวา สพั พัญญุตะญาณะ ปาระมสิ ัมปนั โน อิติปโิ สภะคะวา จะตุวสี ะตโิ กฏิสะตะวชั ชิระ ปาระมสิ มั ปนั โน (ปะเวณวี คั โค สตั ตะระสะโม) พระธาตรี อุปปฺ ลวณฺโณ วดั ป่ากุดฉนวนอุดมพร ๖๕

ถวายพรพระ นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สมั มา สัมพทุ ธัสสะ. ฯ (ว่า ๓ หน) อิตปิ ิโส ภะคะวา อะระหงั สมั มา สัมพทุ โธ วิชชาจะระณะสมั ปันโน สคุ ะโต โลกะวทิ ู อะนตุ ตะโร ปรุ สิ ะทัมมะสาระถิ สัตถาเทวะ มะนสุ สานงั พทุ โธ ภะคะวาต.ิ ฯ สวากขาโต ภะคะวะตา ธมั โม สันทฏิ ฐิโก อะกาลิโก เอหิปสั สโิ ก โอปะนะยโิ ก ปจั จตั ตงั เวทติ ัพโพ วิญญหู ตี ิ.ฯ สปุ ะฏปิ ันโน ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ อุชปุ ะฏปิ นั โน ภะคะ วะโตสาวะกะสงั โฆ ญายะปะฏิปนั โน ภะคะวะโต สาวะกะ สงั โฆ สามีจปิ ะฏิปนั โน ภะคะวาโต สาวะกะสังโฆ ยะททิ งั จัตตาริ ปรุ ิ สะยคุ านิ อัฏฐะ ปุรสิ ะปุคคะลา เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะ สงั โฆ อาหุเนยโย ปาหเุ นยโย ทกิ ขเิ นยโย อญั ชะลกี ะระณีโย อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตงั โลกสั สาต.ิ (นำ�) พาหงุ สะหสั สะมะภินมิ มิตะสาวุธันตงั ครีเมขะลงั อุทติ ะโฆระสะเสนะมารงั ทานาทิธัมมะวธิ นิ า ชติ ะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ.ฯ มาราตเิ ร กะมะภิยุชฌติ ะสพั พะรตั ติง โฆรัมปะนาฬะวะกะ มกั ขะมะถัทธะ ยกั ขัง ขนั ตสี ุทนั ตะวิธนิ า ชติ ะวา มนุ นิ โท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต* ชะยะมงั คะลาน.ิ ฯ นาฬาคริ ิง คะชะวะรงั อตมิ ตั ตะภตู งั ทาวคั คิจกั กะมะสะนีวะ สุทารุณนั ตัง เมตตัมพุเสกะ วธิ ินา ชิตะวา มนุ นิ โท ตนั เตชะสา ภะวันตุ เต* ชะยะมังคะลานิ.ฯ ๖๖ พทุ ธมนต์บำ�บัด อโรคยาศาล จ.ชัยภมู ิ

อกุ ขติ ตะขคั คะมะตหิ ตั ถะสทุ ารณุ ันตัง ธาวันตโิ ยชะนะปะถังคุ ลิมาละวนั ตงั อทิ ธีภิสงั ขะตะมะโน ชติ ะวา มุนนิ โท ตนั เตชะสา ภะ วะตุ เต* ชะยะมงั คะลาน.ิ ฯ กตั วานะ กัฏฐะมทุ ะรัง อวิ ะ คัพภินยี า จิญจายะ ทฏุ ฐะวะจะ นัง ชะนะกายะมชั เฌ สันเตนะ โสมะวิธนิ า ชติ ะวา มุนนิ โท ตัน เตชะสา ภะวะตุ เต* ชะยะมงั คะลาน.ิ ฯ สจั จัง วหิ ายะ มะติสัจจะกะวาทะเกตงุ วาทาภิโรปติ ะมะนงั อะติอันธะภูตงั ปัญญาปะทีปะชะลโิ ต ชติ ะวา มุนนิ โท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิฯ นันโทปะนนั ทะภุชะคงั วิพุธัง มะหิทธิง ปตุ เตนะ เถระภุชะ เคนะ ทะมาปะยันโต อิทธูปะเทสะวิธนิ า ชติ ะวา มุนินโท ตนั เตชะ สา ภะวะตุ เต* ชะยะมังคะลาน.ิ ฯ ทุคคาหะทิฏฐภิ ชุ ะเคนะ สทุ ฏั ฐะหัตถัง พรัหมัง วสิ ุทธิชตุ ิ มิทธพิ ะกาภิธานัง ญาณาคะเทนะ วธิ ินา ชติ ะวา มุนินโท ตันเตชะ สา ภะวะตุ เต* ชะยะมังคะลาน.ิ ฯ เอตาปิ พุทธะชะยะมังคะละอัฏฐะคาถา โย วาจะโน ทินะ ทเิ น สะระเต มะตนั ที หติ วานะเนกะววิ ธิ านิ จุปัททะวาน ิ โมกขัง สุขงั อะธคิ ะเมยยะ นะโร สะปญั โญ. (นำ�) มะหาการุณโิ ก นาโถ หิตายะ สพั พะ ปาณินงั ปเู รตวา ปาระมี สพั พา ปัตโต สัมโพธมิ ตุ ตะมัง เอเตนะ สัจจะวชั เชนะ โหตุ เต ชะยะมงั คะลงั .ฯ ชะยันโต โพธยิ า มูเล สกั ยานงั นนั ทิ วฑั ฒะโน เอวงั ตวงั วิชะโย โหหิ* ชะยัสสุ ชะยะมงั คะเล อะปะราชติ ะปลั ลังเก สเี ส พระธาตรี อุปปฺ ลวณฺโณ วดั ปา่ กุดฉนวนอุดมพร ๖๗

ปะฐะวิโปกขะเร อะภเิ สเก สพั พะพุทธานงั อคั คัปปัตโต ปะโมทะติ สนุ กั ขัตตงั สมุ ังคะลัง สุปะภาตงั สุหฏุ ฐิตงั สุขะโณ สุมุหุตโต จะ สยุ ิฏฐงั พรหั มะจาริสุ ปะทักขิณงั กายะกัมมงั วาจากมั มัง ปะทกั ขณิ งั ปะทกั ขณิ ัง มะโนกมั มัง ปะณิธีเต ปะทักขณิ า ปะทักขณิ า นิ กัตวานะ ละภันตตั เถ ปะทกั ขเิ ณ.ฯ ภะวะตุ สพั พะมัลคะลัง รักขันตุ สพั พะเทวะตา สพั พะ พทุ ธานภุ าเวนะ สะทา โสตถี ภะวนั ตุ เต.ฯ ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รกั ขันตุ สัพพะเทวะตา สพั พะ ธมั มานุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เต.ฯ ภะวะตุ สพั พะมงั คะลงั รกั ขนั ตุ สพั พะเทวะตา สัพพะ สังฆานภุ าเวนะ สะทาโสตถี ภะวันตุ เต.ฯ คาถาโพธบิ าท (พระคาถากันภยั ทัง้ สบิ ทิศ) (น�ำ )บูระพารัสมงิ พระพทุ ธคุณงั บูระพารสั มงิ พระธัมเมตงั บรู พารัสมิง พระสังฆานัง ทกุ ขะโรคะภะยัง วิวญั ชัยเย สพั พะทกุ ข์ สพั พะโศก สพั พะโรค สัพพะภัย สพั พะเคราะห์ เสนยี ดจัญไร ววิ ัญชัยเย สพั พะธะนงั สพั พะลาพัง ภะวนั ตเุ ม* รกั ขันตุ สรุ ักขนั ตุ.ฯ อาคะเนย์รสั มงิ พระพุทธคณุ ัง อาคะเนยร์ สั มิง พระธมั เมตัง อาคะเนย์ รสั มิง พระสงั ฆานงั ทกุ ขะโรคะภะยัง วิวญั ชยั เย สัพพะ ทกุ ข์ สพั พะโศก สพั พะโรค สพั พะภัย สพั พะเคราะห์ เสนยี ดจัญไร ววิ ญั ชยั เย สพั พะธะนงั สัพพะลาพงั ภะวนั ตเุ ม รกั ขนั ตุ สุรักขันต.ุ ฯ ๖๘ พุทธมนต์บำ�บดั อโรคยาศาล จ.ชยั ภมู ิ

ทกั ษณิ รัสมิง พระพุทธคณุ งั ทกั ษณิ รสั มิง พระธมั เมตัง ทักษิณรสั มงิ พระสงั ฆานงั ทกุ ขะโรคะภะยัง วิวัญชยั เย สพั พะทุกข์ สัพพะโศก สพั พะโรค สัพพะภยั สพั พะเคราะห์ เสนียดจญั ไร วิวัญชัยเย สัพพะธะนัง สพั พะลาพัง ภะวันตเุ ม รกั ขนั ตุ สรุ ักขันตุ.ฯ หรดีรสั มิง พระพุทธคณุ งั หรดรี สั มิง พระธมั เมตงั หรดรี สั มิง พระสงั ฆานงั ทุกขะโรคะภะยงั วิวัญชยั เย สัพพะทุกข์ สพั พะโศก สพั พะโรค สัพพะภยั สัพพะเคราะห์ เสนยี ดจญั ไร วิวัญชยั เย สพั พะธะนงั สัพพะลาพัง ภะวนั ตเุ ม รักขันตุ สุรักขนั ต.ุ ฯ ปัจจมิ รสั มงิ พระพุทธคุณัง ปจั จิมรัสมิง พระธมั เมตัง ปจั จิมรสั มงิ พระสังฆานัง ทกุ ขะโรคะภะยัง วิวัญชยั เย สัพพะทุกข์ สัพพะโศก สัพพะโรค สพั พะภัย สัพพะเคราะห์ เสนียดจัญไร ววิ ญั ชยั เย สัพพะธะนัง สัพพะลาพัง ภะวันตเุ ม รกั ขนั ตุ สุรกั ขันตุ.ฯ พายัพรัสมงิ พระพุทธคณุ งั พายพั รสั มิง พระธมั เมตงั พายัพรัสมิง พระสงั ฆานงั ทุกขะโรคะภะยงั ววิ ัญชยั เย สพั พะทุกข์ สพั พะโศก สพั พะโรค สัพพะภัย สัพพะเคราะห์ เสนียดจญั ไร วิวญั ชยั เย สพั พะธะนงั สัพพะลาพงั ภะวนั ตเุ ม รกั ขนั ตุ สรุ กั ขนั ตุ ฯ. อุดรรัสมงิ พระพุทธคุณัง อดุ รรสั มงิ พระธมั เมตงั พระสังฆานัง ทกุ ขะโรคะภะยงั ววิ ญั ชัยเย สัพพะทกุ ข์ สพั พะโศก สพั พะโรค สพั พะภยั สพั พะเคราะห์ เสนียดจญั ไร วิวญั ชัยเย สพั พะธะนัง สัพพะลาพัง ภะวันตุเม รกั ขันตุ สรุ ักขนั ตุ.ฯ อิสานรัสมิง พระพุทธคณุ งั อสิ านรัสมงิ พระธมั เมตงั อสิ านรัสมงิ พระสังฆานงั ทุกขะโรคะภะยงั ววิ ัญชยั เย สัพพะทกุ ข์ พระธาตรี อุปปฺ ลวณฺโณ วัดป่ากุดฉนวนอุดมพร ๖๙

สพั พะโศก สัพพะโรค สพั พะภัย สพั พะเคราะห์ เสนียดจญั ไร ววิ ญั ชัยเย สัพพะธะนัง สัพพะลาพัง ภะวันตเุ ม รกั ขนั ตุ สรุ ักขันต.ุ ฯ อากาศรสั มงิ พระพุทธคณุ ัง อากาศรัสมงิ พระธมั เมตัง อากาศรัสมิงพระสังฆานงั ทุกขะโรคะภะยัง ววิ ญั ชยั เย สพั พะทกุ ข์ สพั พะโศก สัพพะโรค สัพพะภัย สพั พะเคราะห์ เสนยี ดจัญไร วิวญั ชยั เย สัพพะธะนัง สพั พะลาพงั ภะวนั ตเุ ม รกั ขนั ต ุ สรุ ักขันตุ.ฯ ปฐวีรัสมงิ พระพทุ ธคุณงั ปฐวีรัสมงิ พระธมั เมตงั ปฐวรี ัสมงิ พระสงั ฆานงั ทุกขะโรคะภะยัง ววิ ญั ชัยเย สัพพะทุกข์ สพั พะโศก สพั พะโรค สพั พะภยั สพั พะเคราะห์ เสนยี ดจญั ไร วิวัญชยั เย สัพพะธะนงั สพั พะลาพัง ภะวันตเุ ม รกั ขันตุ สรุ ักขนั ต.ุ ฯ พระคาถามงคลจักรวาล ท้งั แปดทศิ อิมัสสะมิงมงคลจักรวาฬทง้ั แปดทิศ ประสิทธิจงมาเปน็ กำ�แพง แกว้ ทั้งเจด็ ชัน้ มาปอ้ งกันห้อมล้อมรอบครอบท่วั อนัตตา ราชะ เสมา นาเขตเต สะมันตา สะตะโยชะนะ สะตะสะหัสสานิ พทุ ธะชาละปะ รกิ เขตเต รกั ขนั ตุ สรุ ักขนั ตุ.ฯ อิมสั สะมิงมงคลจักรวาฬทั้งแปดทศิ ประสิทธจิ งมาเป็นก�ำ แพง แกว้ ทง้ั เจ็ดชนั้ มาป้องกันห้อมลอ้ มรอบครอบท่ัวอนตั ตา ราชะ เสมา นาเขตเต สะมนั ตา สะตะโยชะนะ สะตะสะหัสสานิ ธมั มะชาละปะ รกิ เขตเต รักขันตุ สุรักขันตุ.ฯ อิมสั สะมงิ มงคลจักรวาฬทั้งแปดทิศ ประสทิ ธิจงมาเปน็ กำ�แพง แกว้ ทัง้ เจด็ ชน้ั มาปอ้ งกนั หอ้ มลอ้ มรอบครอบท่ัวอนตั ตา ราชะ เสมา ๗๐ พทุ ธมนตบ์ ำ�บัด อโรคยาศาล จ.ชัยภมู ิ

นาเขตเต สะมันตา สะตะโยชะนะ สะตะสะหสั สานิ ปัจเจกะพุทธ ชาละปะริกเขตเต รกั ขนั ตุ สรุ กั ขนั ตุ.ฯ อิมสั สะมิงมงคลจักรวาฬท้งั แปดทศิ ประสิทธิจงมาเป็นก�ำ แพง แก้วทงั้ เจ็ดชั้น มาป้องกันห้อมลอ้ มรอบครอบท่วั อนตั ตา ราชะ เสมา นาเขตเต สะมนั ตา สะตะโยชะนะ สะตะสะหสั สานิ สังฆะชาละปะ รกิ เขตเต รักขันตุ สรุ กั ขันต.ุ ฯ บทไหวบ้ าระมี ๓๐ ทัส (นำ�)หันทะ มะยัง มหาปาระมยี งั กะโรมะ เส.ฯ ๑. ทานะปาระมี สมั ปันโน ทานะ อปุ ะปาระมี สมั ปนั โน ทานะ ปะระมัตถะปาระมี สัมปันโน เมตตา ไมตรี กรณุ า มุทิตา อุเบกขา ปาระมี สมั ปันโน อิติปิโส ภะคะวา ๒. สีละปาระมี สมั ปันโน สีละ อุปะปาระมี สัมปันโน สลี ะ ปะระมตั ถะปาระมี สัมปนั โน เมตตา ไมตรี กรณุ า มุทิตา อุเบกขา ปาระมี สมั ปันโน อติ ปิ โิ ส ภะคะวา ๓. เนกขัมมะปาระมี สมั ปนั โน เนกขมั มะ อุปะปาระมี สัมปนั โน เนกขัมมะ ปะระมตั ถะปาระมี สัมปนั โน เมตตา ไมตรี กรณุ า มทุ ิตา อุเบกขา ปาระมี สัมปนั โน อิตปิ โิ ส ภะคะวา ๔. ปัญญาปาระมี สัมปันโน ปัญญา อปุ ะปาระมี สัมปันโน ปญั ญา ปะระมัตถะปาระมี สัมปนั โน เมตตา ไมตรี กรุณา มทุ ติ า อเุ บกขา ปาระมี สมั ปันโน อิติปโิ ส ภะคะวา ๕. วริ ิยะปาระมี สมั ปันโน วริ ิยะ อปุ ะปาระมี สมั ปันโน พระธาตรี อปุ ฺปลวณโฺ ณ วดั ปา่ กดุ ฉนวนอุดมพร ๗๑

วริ ิยะ ปะระมตั ถะปาระมี สัมปันโน เมตตา ไมตรี กรณุ า มทุ ติ า อุเบกขา ปาระมี สัมปนั โน อติ ปิ ิโส ภะคะวา ๖. ขันตปี าระมี สัมปนั โน ขนั ติ อุปะปาระมี สมั ปันโน ขันติ ปะระมัตถะปาระมี สัมปนั โน เมตตา ไมตรี กรณุ า มทุ ติ า อุเบกขา ปาระมี สมั ปนั โน อิติปิโส ภะคะวา ๗. สัจจะปาระมี สัมปนั โน สจั จะ อุปะปาระมี สัมปันโน สัจจะ ปะระมตั ถะปาระมี สมั ปันโน เมตตา ไมตรี กรุณา มุทิตา อเุ บกขา ปาระมี สมั ปันโน อิตปิ โิ ส ภะคะวา ๘. อะธิฏฐานะปาระมี สัมปันโน อะธษิ ฐานะ อปุ ะปาระมี สมั ปนั โน อะธิษฐานะ ปะระมตั ถะปาระมี สัมปนั โน เมตตา ไมตร ี กรุณา มทุ ิตา อเุ บกขา ปาระมี สัมปนั โน อติ ิปิโส ภะคะวา ๙. เมตตาปาระมี สมั ปันโน เมตตา อปุ ะปาระมี สมั ปันโน เมตตา ปะระมัตถะปาระมี สมั ปนั โน เมตตา ไมตรี กรณุ า มทุ ติ า อเุ บกขา ปาระมี สัมปนั โน อิตปิ โิ ส ภะคะวา ๑๐. อเุ บกขาปาระมี สมั ปนั โน อุเบกขา อปุ ะปาระมี สมั ปันโน อเุ บกขา ปะระมตั ถะปาระมี สัมปันโน เมตตา ไมตรี กรุณา มทุ ิตา อเุ บกขา ปาระมี สมั ปนั โน อิตปิ ิโส ภะคะวา ๑๑. ทะสะปาระมี สมั ปันโน ทะสะ อปุ ะปาระมี สมั ปนั โน ทะสะ ปะระมัตถะปาระมี สมั ปันโน เมตตา ไมตรี กรุณา มุทิตา อุเบกขา ปาระมี สัมปนั โน อติ ปิ โิ ส ภะคะวา ๑๒. พทุ ธงั สะระณัง คจั ฉามิ นะมามิหัง. ๗๒ พุทธมนตบ์ �ำ บดั อโรคยาศาล จ.ชัยภูมิ

อะภะยะปริตตัง (สวดก่อนนอนทำ�ให้ไม่ฝนั รา้ ย ) ยันทุนนิมติ ตังอะวะมังคะลญั จะโย จามะนาโป สะกณุ สั สะสัทโท ปาปคั คะโห ทุสสุปนิ ัง อะกันตัง พุทธานุภาเวนะ วนิ าสะเมนตุ.ฯ ยนั ทุนนมิ ติ ตังอะวะมงั คะลัญจะโย จามะนาโป สะกณุ ัสสะสัทโท ปาปัคคะโห ทุสสปุ ินงั อะกันตัง ธมั มานุภาเวนะ วินาสะเมนต.ุ ฯ ยันทนุ นิมติ ตงั อะวะมงั คะลัญจะโย จามะนาโป สะกณุ สั สะสทั โท ปาปัคคะโห ทุสสปุ นิ ัง อะกนั ตัง ปัจเจกพุทธานภุ าเวนะ วินาสะเมนต.ุ ฯ ยันทนุ นมิ ิตตังอะวะมังคะลญั จะโย จามะนาโป สะกณุ ัสสะสัทโท ปาปัคคะโห ทสุ สุปินัง อะกนั ตงั สงั ฆานุภาเวนะ วินาสะเมนต.ุ ฯ คาถาอณุ หสิ สวชิ ยั อัตถอิ ณุ หสิ สะ วิชะโย ธัมโม โลเก อะนตุ ตะโร สัพพะสัตตะหติ ตั ถายะ ตงั ตวัง คณั หาหิ เทวะเต ปะรวิ ัชเช ราชะทณั เฑ อะมะนุสเสหิ ปาวะเก พยัคเฆ นาเค วิเส ภเู ต อะกาละมะระเณนะ วา สพั พสั มา มะระณา มุตโต ฐะเปตวา กาละมารติ งั ตสั เสวะ อานภุ าเวนะ โหตุ เทโว สุขี สะทา สุทธะสลี งั สะมาทายะ ธัมมัง สุจะรติ ัง จะเร ตัสเสวะ อานุภาเวนะ โหตุ เทโว สุขี สะทา ลกิ ขิตัง จินตติ งั ปูชงั ธาระณัง วาจะนัง คะรุง ปะเรสัง เทสะนัง สตุ วา ตสั สะ อายุ ปะวฑั ฒะตตี ิ พระธาตรี อุปฺปลวณโฺ ณ วดั ป่ากุดฉนวนอดุ มพร ๗๓

พระคาถาโพชฌังคะปะริตตงั โพชฌังโค สะตสิ ังขาโต ธมั มานงั วจิ ะโย ตะถา วริ ยิ ัมปีติปสั สัทธิ โพชฌังคา จะตะถาปะเร มนุ นิ าสมั มะทกั ขาตา ภาวิตา พะหุลกี ะตา สงั วัตตันติ อะภิญญายะ นิพพานายะจะโพธิยา เอเตนะสจั จะวชั เชนะ โสตถิเตโหตสุ ัพพะทาฯ เอกัสมิง สะมะเย นาโถ โมคคัลลานัญจะ กัสสะปัง คิลาเนทกุ ขิตา ทสิ ะวา โรคามุจจิงสุ ตังจะเณ เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โสตถเิ ตโหตุ สัพพะทาฯ เอกะทาธัมมะราชาปิ เคลัญเญนาภปิ ีฬิโต จุนทตั เถเรนะ ตัญเญวะ ภะณาเปตะวานะ สาทะรัง สัมดมทติ ะวา จะอาพาธาตมั หา วุฏฐาสิ ฐานะโส เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โสตถิเตโหตุ สพั พะทาฯ ปะหนี า เตจะ อาพาธา ติณณันนัมปิ มะเหสนิ ัง มคั คาหะตะกเิ ลสาวะ ปัตตานุปัตติธัมมะตัง เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โสตถ เต โหตุ สพั พะทาฯ โพชฌงั คปรติ ร ถอื เปน็ พทุ ธมนตท์ ช่ี ว่ ยใหค้ นปว่ ยทไี่ ดส้ ดบั รบั ฟงั ธรรมบทนี้แล้วสามารถหายจากโรคภัยไข้เจ็บได้ที่เช่ืออย่างนี้เพราะ มีเร่อื งในพระไตรปิฎกเล่าวา่ พระสัมมาสมั พุทธเจา้ ได้เสด็จไปเยยี่ ม พระมหากัสสปะท่ีอาพาธพระองค์ทรงแสดงสัมโพชฌงค์แก่พระ มหากัสสปะ พบวา่ พระมหากสั สปะสามารถหายจากโรคไดอ้ กี ครั้ง หนึ่งพระองค์ได้ทรงแสดงธรรมบทนี้แก่พระโมคคัลลานะซึ่งอาพาธ ๗๔ พทุ ธมนต์บ�ำ บัด อโรคยาศาล จ.ชยั ภูมิ

หลงั จากนั้น พบว่าพระโมคคลั ลานะกห็ ายจากอาพาธไดใ้ นท่ีสุด เมื่อพระพทุ ธองคเ์ องทรงอาพาธ จึงตรสั ให้พระจุนทะเถระแสดง โพชฌงคถ์ วาย ซึ่งพบว่าพระพทุ ธเจา้ กห็ ายประชวร พุทธศาสนกิ ชนจึงพากนั เช่ือว่า โพชฌงค์น้นั สวดแลว้ ช่วยให้ หายโรคได้ ซง่ึ ในพระไตรปิฎกกล่าววา่ ธรรมทพ่ี ระองค์ทรงแสดง เปน็ ธรรมเกยี่ วกบั ปัญญา เป็นธรรมช้ันสงู ซึ่งเปน็ ความจริงในเร่อื ง การทำ�ใจใหส้ ว่าง สะอาดผอ่ งใส ซึ่งสามารถช่วยรกั ษาใจ เพราะ จิตใจมคี วามสมั พนั ธ์และเกีย่ วขอ้ งกับ “รา่ งกายเน่อื งจากกายกับใจเป็นส่งิ ทีอ่ าศัยกันและกนั จึงท�ำ ให้ หายจากโรคได้ ” พระถาคาชินบัญชร ก่อนท่เี จรญิ ภาวนาใหต้ ั้งนะโม ๓ จบ แล้วระลึกถึงและบูชา เจา้ ประคณุ สมเด็จพุฒาจารยโ์ ต (พรมหรงั ส)ี ดว้ ยค�ำ ว่า ปุตตะกาโมละเภปุตตัง ธะนะกาโมละเภธะนัง อัตถกิ าเยกายะญายะ เทวานงั ปยิ ะ ตังสุตตะวา อติ ิปโิ สภะคะวา ยะมะราชาโน ทา้ วเวสสวุ ัณโณ มรณังสุขัง อะระหัง สุคะโต นะโมพทุ ธายะ (นำ�) ๑. ชะยาสะนาคะตา พทุ ธา เชตะวา มารงั สะวาหะ นงั จะตสุ จั จาสะภัง ระสงั เยปวิ งิ สนุ ะราสะภา ๒. ตัณหงั กะราทะโย พุทธาอฏั ฐะวสี ะติ นายะกา สัพเพ ปะติฏฐติ า มยั หงั มัตถะเก เต มนุ ิสสะรา พระธาตรี อุปฺปลวณฺโณ วดั ป่ากุดฉนวนอดุ มพร ๗๕

๓. สเี ส ปะตฏิ ฐิโต มยั หงั พทุ โธ ธัมโม ทะวิโล จะเน สังโฆ ปะติฏฐิโต มัยหัง อุเร สัพพะ คณุ ากะโร ๔. หะทะเย เม อะนรุ ุทโธ สารปี ุตโต จะ ทกั ขิเณ โกณฑัญโญ ปิฏฐิภาคสั มิง โมคคลั ลาโน จะ วามะเก ๕. ทกั ขิเณ สะวะเน มัยหัง อาสงุ อานนั ทะราหุโล* กัสสะโป จะ มะหานาโม อุภาสงุ วามะโสตะเก ๖. เกสะโต* ปฏิ ฐิภาคัสมงิ สรุ ิโย วะ ปะภังกะโร นสิ ินโน สริ ิสัมปนั โน โสภโิ ต มนุ ิ ปุงคะโว ๗. กุมาระกสั สะโป เถโร มะเหสี จติ ตะวาทะโก โส มยั หงั วะทะเน นิจจัง ปะติฏฐาสิ คณุ ากะโร ๘. ปุณโณ อังคลุ ิมาโล จะ อปุ าลี นันทะ สีวะลี เถรา ปญั จะ อเิ มชาตา นะลาเต ติละกา มะมะ ๙. เสสาสตี ิ มะหาเถรา วิชติ า ชนิ ะสาวะกา เอเตสตี ิ มะหาเถรา ชติ ะวนั โต ชิโนระสา ชะลนั ตา สีละเตเชนะ อังคะมังเคสุ สณั ฐติ า ๑๐. ระตะนงั ปุระโต อาสิ ทกั ขเิ ณ เมตตะสุตตะกงั ธะชัคคงั ปจั ฉะโต อาสิ วาเม อังคุลิมาละกงั ๑๑. ขันธะโมระปะรติ ตญั จะ อาฏานาฎยิ ะ สุตตะกัง อากาเส ฉะทะนงั อาสิ เสสา ปาการะสัณฐติ า ๑๒. ชินาณา* วะระสงั ยุตตา สตั ตัปปาการะลังกะตา วาตะปิตตา ทิสัญชาตา พาหิรัช ฌตั ตปุ ัททะวา ๑๓. อะเสสา วินะยัง ยันต ุ อะนนั ตะชนิ ะเตชะสา วะสะโต เม สะกิจเจนะ สะทา สัมพทุ ธะ ปญั ชะเร ๗๖ พทุ ธมนตบ์ �ำ บดั อโรคยาศาล จ.ชยั ภูมิ

๑๔. ชินะปัญชะระมัชฌัมหิ วิหะรนั ตัง มะฮีตะเล สะทาปาเลนตุ มงั สัพเพ เต มะหาปุรสิ าสะภา ๑๕. อิจเจวะมนั โต สุคุตโต สุรักโข ชินานภุ าเวนะ ชิตปุ ัททะโว ธมั มานภุ าเวนะ ชิตารสิ งั โฆ สังฆานภุ าเวนะ ชติ นั ตะราโย สัทธัมมานุภาวะปาลิโต จะรามิ ชินะปญั ชะเรติ.ฯ (ชนิ ะปญั ชะระคาถา นฏิ ฐิตา.) ค�ำ แปลคาถาชินบญั ชร (ฉบบั วดั ระฆงั โฆสติ าราม) พระพทุ ธเจา้ และพระนราสภา ทง้ั ๒๘ พระองค์ ทรงพระ นามตัณหงั กร เปน็ อาทิ ผูป้ ระทบั นงั่ แล้วบนชยั บังลังก์ ทรงช�ำ นะ พระยามาราธริ าชพรอ้ มดว้ ยเสนาราชพาหนะแลว้ ไดเ้ สวยอมตรสคอื จตุสัจธรรมอนั ประเสริฐ ขออัญเชิญพระพุทธเจ้าจงมาประดิษฐานอยู่เหนือเศียรเกล้า แห่งข้าพเจ้าขอพระธรรมจงประดิษฐ์อยู่ที่ตาท้ังสองของข้าพเจ้า ขอพระสงฆ์ องค์บ่อเกดิ แห่งความดีทงั้ ปวง จงประดิษฐานอยูท่ ีอ่ รุ ะ แหง่ ข้าพเจ้า ขอพระอนุรุทธะเถระ จงประดษิ ฐอ์ ย่ทู ่ดี วงหทยั แหง่ ข้าพเจา้ พระสารบี ุตรจงมาประดิษฐ์อยู่ ณ เบ้ืองขวา พระโมคคัลลานะจง มาอยู่ ณ ส่วนเบือ้ งซา้ ย และพระอญั ญาโกณฑญั ญะ จงมาอยู่ ณ เบื้องหลงั พระธาตรี อุปฺปลวณฺโณ วัดปา่ กุดฉนวนอุดมพร ๗๗

ขอพระอานนทแ์ ละพระราหลุ จงอยู่ ณ โสตเบอื้ งขวา พระกสั สะปะและพระมหานามะท้ังสองพระองค์ จงอยู่ ณ โสตเบอ้ื งซา้ ย ขอพระพุทธโสภิตจอมมุนี ทรงสมบูรณด์ ว้ ยสริ คิ วามสว่าง ดุจ ดวงอาทิตย์ สอ่ งอย่ทู ุกเสน้ ขน จงสถิตตลอดร่างทงั้ เบือ้ งหน้าและ เบื้องหลงั แหง่ ข้าพเจ้า ขอพระกมุ ารกัสสะปะเถระ ผู้มีวาทะอันไพจติ รเปน็ บอ่ เกดิ แห่ง คณุ ความดอี นั ยิ่งใหญ่ จงมาประดษิ ฐอ์ ยู่ทปี่ าก แห่งขา้ พเจ้าเป็น เนืองนิตย์ ขอใหพ้ ระเถระ คือ พระปุณณะ พระองคุลมิ าล พระอบุ าลี พระนันทะ และพระสีวลี ๕ องคน์ ี้ จงบังเกดิ เปน็ กระ แจะจณุ หรอื รอยเจิมท่ีนลาด (หนา้ ผาก) แห่งข้าพเจา้ ขอพระอสตี ิมหาเถระชนิ สาวกชโิ นรส ผูพ้ ิชิตช�ำ นะมารร่งุ โรจน์ อยูด่ ว้ ยเดชแห่งศลี จงมาสถติ อยู่ท่อี วยั วะน้อยใหญ่ (แห่งข้าพเจ้า) ขอพระรตั นสูตร จงอยเู่ บอ้ื งหน้า พระเมตตสูตร จงอยเู่ บอ้ื ง ขวา พระธชัคคสตู ร จงอยู่เบือ้ งหลัง พระอังคลุ ิมาลสตู ร จงอยู่ เบ้ืองซา้ ย พระขันธปริตร พระโมรปริตร และพระอาฏานาฏิยสูตร จงเปน็ เพดานกางก้ันในอากาศ ขอบรรดาพระสตู รอันประเสริฐต่างๆ ของพระชินเจ้าทง้ั หลาย ผู้ประกอบพรอ้ มดว้ ยก�ำ ลงั นานาชนิด มศี ีลาธิคณุ อันม่นั คง คือสตั ตะ ปราการ จงเป็นอาภรณม์ าตั้งลอ้ มเปน็ ก�ำ แพงคุ้มครอง เจด็ ชน้ั ขา้ พระพทุ ธเจา้ ได้รับการอภิบาล ด้วยคุณานภุ าพแหง่ สทั ธรรม จงึ ชนะเสยี ไดซ้ ่งึ อุปทั วะอนั ตรายใด ๆ ด้วยอานภุ าพแห่งพระชินะ พทุ ธเจ้า ทรงชนะขา้ ศึกดว้ ยอานุภาพแหง่ พระธรรม ชนะอนั ตราย ทง้ั ปวงดว้ ยอานุภาพแห่งพระสงฆ์ ซงึ่ ขา้ พระพทุ ธเจ้าจะไดป้ ฏิบตั ิ และรกั ษาดำ�เนนิ ไปโดยสวัสดเี ป็นนจิ นริ ันดรเทอญ.ฯ ๗๘ พุทธมนต์บำ�บัด อโรคยาศาล จ.ชยั ภมู ิ

คาถานกคุม่ ปอ้ งกันไฟป่า (วฏั กกปรติ ร) อัตถิ โลเก สลี ะคุโณ สัจจัง โสเจยยะนุททะยา เตนะ สัจเจนะ กาหามิ สัจจะกริ ิยะมะนุตตะรงั อาวัชชติ วา ธมั มะพะลัง สะริตวา ปพุ พะเก ชเิ น สัจจะพะละมะวัสสายะ สจั จะกิรยิ ะมะกาสะหงั สันติ ปกั ขา อะปัตตะนา สนั ติปาทา อะวญั จะนา มาตา ปติ า จะ นกิ ขนั ตา ชาตะเวทะ ปะฏกิ กะมะ สะหะ สัจเจ กะเต มยั หัง มะหาปัชชะลโิ ต สิขี วชั เชสิ โสฬะสะกะรสี านิ อทุ ะกงั ปตั วา ยะถา สขิ ี สัจเจนะ เม สะโม นัตถิ เอสา เม สจั จะปาระมีติฯ “คุณของศลี มอี ยู่ คุณของธรรมมีอยู่ คณุ ของสัจจะวาจานี้ก็มอี ยู่จรงิ ปีก ทัง้ สองข้างเรามอี ยู่ แต่ยงั บนิ ไมไ่ ด้ เทา้ เราทงั้ สองข้างมอี ยู่ แตย่ งั เดินไมไ่ ด้ บิดามารดาท้งั สองเรามีอยู่ แตบ่ ัดนีม้ ิไดอ้ ยกู่ ับเรา น้เี ปน็ สจั จะวาจาของเรา ไฟปา่ ทไี่ ม่มชี ีวิตเอ๋ย ดว้ ยเดชแห่งสัจจะวาจานี้ ขอไฟปา่ จงดบั ไป” ลกู นกคุม่ คดิ ว่า นอกจากศีลและสัจจะแล้ว ไมม่ ที พี่ ึง่ อนื่ จงึ กล่าวคาถา แปลความวา่ ปกี ทัง้ สองของเรากม็ ี แต่ยงั บินไม่ได้ เทา้ ท้ังสองของเราก็มี แต่ ยังเดินไมไ่ ด้ พ่อแมข่ องเราก็ออกจากรังไปเสยี แล้ว ไฟเอ๋ย! เจา้ จงกลับไปใน บดั นี้ ขาดคำ�อธิษฐานของนกค่มุ ไฟกด็ บั ลงฉับพลนั คาถานกคุ่ม ไม่เพยี งคมุ้ ชีวติ ตัวเองได้ ยังคุ้มกนั ไฟใหป้ ่าใหญ่ แห่งน้ันด้วย (คาถากนั ไฟ) นกคุ้มพระ โพธิสตั วท์ ่านได้อา้ งศีลกับสัจจะ อย่าลืมปฏบิ ัติกนั ให้มัน่ คง พระธาตรี อุปฺปลวณโฺ ณ วดั ป่ากุดฉนวนอุดมพร ๗๙

พระคาถานกยงู ทอง โมระปริตร (พระคาถาแคลว้ คลาด) ๑. อเุ ทตะยญั จกั ขมุ า เอกราชา หะริสสะวณั โณ ปะฐะวิปปะภาโส ตัง ตงั นะมสั สามิ หะรสิ สะวณั ณงั ปะฐะวิปปะภาสัง ตะยัชชะ คตุ ตา วิหะเรมุ ทวิ ะสงั ๒. เย พรหั ์มะณา เวทะคุ สพั พะธัมเม เต เม นะโม เต จะ มงั ปาละยนั ตุ นะมัตถุ พุทธานัง มะมตั ถุ โพธยิ า นะโม วมิ ุตตานัง นะโม วิมุตติยา อมิ ัง โส ปะรติ ตงั กตั วา โมโร จะระติ เอสะนา ๓ . อะเปตะยญั จกั ขมุ า เอกราชา หะริสสะวัณโณ ปะฐะวิปปะภาโส ตัง ตงั นะมัสสามิ หะรสิ สะวัณณัง ปะฐะวปิ ปะภาสัง ตะยชั ชะ คตุ ตา วหิ ะเรมุ รัตติง ๔ . เย พรัหม์ ะณา เวทะคุ สัพพะธัมเม เต เม นะโม เต จะ มัง ปาละยันตุ นะมัตถุ พุทธานงั มะมัตถุ โพธิยา นะโม วมิ ตุ ตานัง นะโม วมิ ุตติยา อิมัง โส ปะรติ ตงั กัตวา โมโร วาสะมะกัปปะยีติ ฯ ๘๐ พทุ ธมนตบ์ ำ�บัด อโรคยาศาล จ.ชัยภมู ิ

การแผเ่ มตตา ความหมายและคุณคา่ เมตตา หมายถงึ ความรัก ความปรารถนาดี ต้องการใหม้ ี ความสุขความเจรญิ ยิ่ง ๆ ขึ้นไปโดยปราศจากความอิจฉารษิ ยา และหมายถึงความมีไมตรีจิตต่อกันด้วยความจริงใจฐานมิตรดังน้ัน การแผ่เมตตาจึงได้แก่การส่งกระแสจิตของตนไปสู่ผู้อ่ืนท้ังท่ีเป็น เทวดา มนษุ ย์ และสตั วด์ ว้ ยความหวงั ดที จ่ี ะให้เขามีความสขุ ได้รบั ความสมหวงั ในชวี ติ เปน็ การแสดงออกซงึ่ น้ำ�ใจท่เี ป่ยี มดว้ ยเมตตา ธรรมของผแู้ ผ่เมตตา การแผ่เมตตา เป็นสงิ่ ทโ่ี บราณบณั ฑติ ท้งั หลายปฏบิ ัติต่อกัน มาตามลำ�ดับ เพราะเหน็ ประโยชนว์ า่ การแผ่เมตตานจ้ี ะทำ�ให้ผู้ ปฏบิ ัตเิ ปน็ ประจำ�มจี ิตใจออ่ นโยน เยอื กเยน็ ลงได้ และทำ�ให้มอง เห็นว่าการที่มนุษย์หวังดีต่อกันนั้นเป็นทางนำ�ให้โลกเกิดสันติสุขได้ และเม่ือตัวเองได้รับความสุขแม้เพียงเล็กน้อยก็ต้องการให้เพ่ือนร่วม โลกได้รับความสุขอย่างนนั้ บา้ ง จึงได้แผก่ ระแสจิตอนั เยอื กเยน็ และ อ่อนโยนนั้นไปยงั ผู้อน่ื ผ้ไู ดร้ บั เมตตาจิตนน้ั แล้วกจ็ ะพลอยมจี ิตออ่ น โยน เยอื กเย็น และได้พบกับความสขุ ทางใจไปด้วย ด้วยเหตแุ หง่ การแผ่เมตตาไปยังเพื่อนมนุษย์เช่นน้ีจึงทำ�ให้มนุษย์และสัตว์อยู่กัน ดว้ ยความมนี �้ำ ใจดตี อ่ กัน รกั ใคร่กนั ฉนั พ่ีนอ้ ง และหันหนา้ เขา้ หากนั ดว้ ยใบหน้าทีย่ ิ้มแยม้ แจ่มใส ทำ�ใหอ้ ยกู่ นั ดว้ ยความอบอุ่นไวว้ างใจกัน ปราศจากความระแวกันและกัน เปน็ เหตุให้ไมเ่ บียดเบยี นกนั แต่จะ อุดหนุนเกอื้ กูลกันและกันดว้ ยน้ำ�ใสใจจรงิ พระธาตรี อุปฺปลวณฺโณ วัดป่ากดุ ฉนวนอดุ มพร ๘๑

วธิ กี ารแผ่เมตตา ท่านสอนวา่ การแผ่เมตตานั้นควรแผใ่ หต้ นเองก่อน คอื ต้อง ปรารถนาความสุขให้แก่ตัวเองเสียก่อนโดยวิธีสร้างความรักตัวเอง ในทางทีถ่ ูกทคี่ วร คือไมท่ รมานตวั เองดว้ ยการกระท�ำ ดว้ ยความ คดิ ทผ่ี ิด ๆ ท�ำ ตัวเองให้มีอำ�นาจทางจิตด้วยความดีเสยี ก่อน แล้วค่อย ๆ ขยายวงเมตตาออกไปยังผอู้ ื่น สตั ว์อนื่ ตามลำ�ดบั แมผ้ นู้ ัน้ จะเปน็ ผู้ ทตี่ นไม่ชอบหรือเป็นศตั รกู นั ก็ตามเพราะถ้าหากสามารถแผ่เมตตาไป ใหแ้ กผ่ ู้ไม่ถกู กันได้ นั่นแสดงว่าผูน้ ้นั ได้ยกระดับจติ ให้พ้นจากอ�ำ นาจ ความโกรธเคืองหรือความอิจฉาริษยาได้แล้วด้วยเมตตาเพราะ เมตตานเี้ ป็นเคร่ืองกำ�จัดกิเลสคอื โกธะ ความโกรธ โทสะ ความประทุษรา้ ย อรติ ความไม่ชอบใจดว้ ย อำ�นาจของความอิจฉาริษยาเสียได้ ตอ่ ไปตวั เองกจ็ ะประสบความสุข ความสงบทางใจ ไมม่ ีความเดือดรอ้ นใจ ไมม่ คี วามกระวนกระวายใจ อะไรตอ่ ไปอกี เพราะปลอ่ ยวางความโกรธความไมพ่ อใจเสียไดแ้ ล้ว ซึง่ ผดิ กับตอนทย่ี ังโกรธอยู่ ยังอิจฉารษิ ยาเขาอยู่ ในตอนน้ันจติ ใจจะ มแี ตค่ วามรอ้ นรมุ่ กลมุ้ อก กระวนกระวายใจ และไมเ่ ปน็ อนั กนิ อนั นอนอยา่ งเหน็ ได้ชัด วิธีทีท่ ่านสอนมา ทา่ นใหแ้ ผเ่ มตตาทกุ วนั อย่างน้อยก็กอ่ นนอน ทกุ คนื ถา้ สามารถท�ำ ให้มากคร้งั ต่อวนั ได้ก็ยง่ิ จะเปน็ ก�ำ ไรชวี ติ เชน่ นึกแผเ่ มตตาทกุ อริ ิยาบถ ขณะเดินไปตามถนนหนทาง ขณะนั่งรถไป ทำ�งาน ขณะเดนิ ทางไปต่างจงั หวดั หรือขณะน่งั พักผอ่ น ณ ทใี่ ดท่ี หน่ึงหลังจากวา่ งงาน เพราะในขณะน้นั จิตใจจะปลอดโปร่งเหมาะ ๘๒ พุทธมนต์บ�ำ บดั อโรคยาศาล จ.ชัยภมู ิ

ท่ีจะนกึ แผเ่ มตตาอย่างยิ่ง และในขณะนัน้ เท่ากบั ว่าไดท้ �ำ กรรมฐาน ไปในตวั ด้วย เพราะการแผเ่ มตตาน้จี ัดเปน็ กรรมฐานประการหน่ึง ทจ่ี ะท�ำ ใหใ้ จสงบเยน็ ลงได้ และจะคอยควบคมุ จิตใจใหน้ ึกคิดไปใน ทางท่ีถกู ทีค่ วรได้รวดเรว็ ฉะนัน้ แม้ว่าผู้แผ่เมตตาจะทำ�ไดเ้ พยี งวัน ละเล็กวนั ละน้อย แตท่ ำ�ทุกวนั จนติดเปน็ นสิ ยั ก็จะได้รบั ประโยชน์ อยา่ งมหาศาลอยา่ งหนงึ่ เป็นแน่แท้ ค�ำ แผ่เมตตา ผู้ต้องการจะแผ่เมตตาให้นึกถึงคำ�ภาวนาต่อไปนี้แล้วนึกภาวนา ไป ๆ จะกเี่ ทย่ี วกต็ ามต้องการยงิ่ มากเทย่ี วก็จะยิ่งทำ�ให้จติ ใจสงบย่ิงขน้ึ ท�ำ ใหจ้ ติ มอี านุภาพมพี ลงั มากขนึ้ แบบทีห่ นงึ่ คำ�แผเ่ มตตาส�ำ หรบั ตนเอง อหํ สขุ ิโต โหมิ นทิ ทฺ กุ โฺ ข อเวโร อพยฺ าปชฺโฌ อนีโฆ สุขี อตตฺ านํ ปริหรามิ ฯ ขอข้าพเจา้ จงถึงความสขุ ปราศจากความทกุ ข์ ไมม่ เี วร ไมม่ ภี ยั ไม่มี ความคับแคน้ ใจ จงมีความสุขกายสขุ ใจ รักษาตนใหพ้ ้นจากทกุ ข์ภยั ทั้งปวง เถิด ฯ คำ�แผเ่ มตตาไปสผู่ ่อู ่นื สพฺเพ สตฺตา สขุ ิตา โหนฺตุ นิทฺทกุ ขฺ า อเวรา อพยฺ าปชฌฺ า สขุ ี อตตฺ านํ ปริหรนตฺ ุ ฯ ขอใหส้ ัตว์ท้งั หลายทงั้ ปวง จงถงึ ความสุข ปราศจากความทุกข์ ไม่มี เวร ไม่มีภัย ไมม่ ี ความคับแคน้ ใจ จงมคี วามสุขการสุขใจ รักษาตนให้พ้น จากทกุ ขภ์ ัยทั้งปวงเถิด ฯ พระธาตรี อุปปฺ ลวณโฺ ณ วัดป่ากุดฉนวนอดุ มพร ๘๓

แบบท่ีสอง คำ�แผเ่ มตตาแบบทวั่ ไป สพเฺ พ สตตฺ า สัตวท์ ั้งหลายทง้ั ปวงท่ีเป็นเพอ่ื นทุกข์ เกิดแก่ เจบ็ ตายด้วยกนั หมดท้ังสิ้น อเวรา จงเป็นสขุ เป็นสุขเถดิ อยา่ ไดม้ ีเวรแกก่ ันและกนั เลย สพเฺ พ สตฺตา สตั วท์ ้งั หลายทงั้ ปวงทเี่ ปน็ เพื่อนทุกข์ เกิดแก่ เจ็บ ตายดว้ ยกันหมดทง้ั สนิ้ อพยฺ าปชฌฺ า จงเปน็ สขุ เป็นสุขเถดิ อย่าได้เบยี ดเบยี นซงึ่ กัน และกันเลย อนีฆา จงเปน็ สุขเปน็ สขุ เถดิ อย่าได้มคี วามทกุ ข์กายทุกขใ์ จเลย สขุ ี อตตฺ านํ ปรหิ รนตฺ ุ จงมีความสุขกายสุขใจ รักษาตนใหพ้ ้น จากทุกขภ์ ัยอันตรายทงั้ สิ้นเถิด ฯ การแผเ่ มตตาทง้ั สองแบบน้ี จะใชเ้ พียงแบบใดแบบหน่ึงตาม ถนัดก็ได้หรือจะนึกภาวนาเฉพาะภาษาไทยหรือภาษาบาลีอย่างใด อย่างหน่งึ กไ็ ด้ หรือทั้งสองอยา่ งก็ได้ ฯ ๘๔ พุทธมนต์บ�ำ บัด อโรคยาศาล จ.ชัยภูมิ

อานิสงสข์ องการแผ่เมตตา สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ในพระบาลีอังคุตตรนิกายว่า ผแู้ ผเ่ มตตาเปน็ ประจ�ำ ยอ่ มไดร้ บั อานิสงส์ ๑๑ ประการ ดังนี้ ๑.หลบั เป็นสขุ คือ หลบั สบาย หลับสนิท ๒.ตื่นเปน็ สุข คือ เมอื่ ตืน่ ขึน้ มากส็ บายตวั สบายใจ หายอ่อนเพลยี ไม่มีอาการงว่ งติดตอ่ อกี ๓.ไม่ฝันร้าย คือ จะไมฝ่ นั เห็นสิง่ เลวร้ายทำ�ใหส้ ะดงุ้ ตื่นกลางคนั หรอื ไมฝ่ ันหวาดเสยี วตา่ ง ๆ ๔.เป็นทรี่ ักของคนทั่วไป คอื จะเป็นคนมเี สนห่ ์ ไปทใ่ี ดกป็ ราศ จากศรัตรูผู้คดิ รา้ ยแม้ผไู้ ม่ชอบใจก็จะกลบั มาชอบได้ ๕.เปน็ ที่รกั ของอมนุษย์ทวั่ ไป คอื แมส้ ัตวต์ า่ ง ๆ กร็ ักผู้แผ่ เมตตา ไมข่ บกดั ไม่ทำ�รา้ ยท�ำ ใหป้ ลอดภัยจากเขี้ยวงาทุกชนดิ ๖.เทวดารกั ษาคมุ้ ครอง คอื จะเดินทางไปไหนมาไหนเทวดา จะคุม้ ครองให้ความปลอดภยั ตลอดเวลา จะไม่ประสบอุปทั วภัยตา่ ง ๆ ท้งั ทางบก ทางน้�ำ และทางอากาศ ๗.ไฟ ศาสตรา ยาพษิ ไมแ่ ผ้วพาน คอื สิ่งเหลา่ น้จี ะท�ำ อันตรายมไิ ด้ จะปลอดภยั จากสิง่ เหลา่ น้ี ๘.จติ เปน็ สมาธิเรว็ คือ ผูแ้ ผ่เมตตาเป็นประจำ� ถา้ ทำ�สมาธิ จิต จะสงบนิง่ ไดเ้ ร็ว หรอื จะอ่านหนังสอื จะท�ำ งานอันใดกต็ าม จติ จะไม่ ฟุง้ ซา่ น ยอ่ มตัง้ ใจไดเ้ ร็ว ทำ�งานนัน้ สำ�เร็จสมประสงค์ ๙.หนา้ ตาผิวพรรณจะผ่องใส คือ ผู้มีเมตตาจติ เป็นประจ�ำ หน้าตาและผิวพรรณจะมีน้ำ�มีนวลมีเสน่ห์เรียกความสนใจได้จะดูอิ่มเอิบ พระธาตรี อุปฺปลวณฺโณ วัดปา่ กุดฉนวนอดุ มพร ๘๕

ตลอดเวลา แม้จะมีอายมุ าก แมร้ ปู รา่ งจะไม่สวยงาม แมจ้ ะไมไ่ ด้ รบั การแตง่ เติมดว้ ยเครื่องส�ำ อางใด ๆ หนา้ ตาผวิ พรรณก็ผ่องใสน่าดู น่าชมไดเ้ สมอ ๑๐.ไมห่ ลงเวลาตาย คอื เวลาใกล้ตาย จะไมห่ ลงเพ้อ ละเมอ หรือโวยวายอย่างน้ันอย่างนี้หรือไม่ด้ินทุรนทุรายเป็นท่ีน่าเวทนาของ ผู้พบเห็น จะส้ินใจอยา่ งสงบเหมือนนอนหลบั ไป ฉะนั้น ๑๑.เมื่อไม่อาจบรรลธุ รรมชัน้ สงู ยอ่ มเขา้ ถงึ พรหมโลก คือผู้มี เมตตาจติ เป็นประจำ�แมไ้ ม่ได้บรรลธุ รรมชน้ั สงู ขึ้นไปกวา่ น้ี ก็ย่อมจะ ไปบงั เกดิ ในพรหมโลกอันเป็นทเ่ี กิดของผไู้ ดฌ้ าน เพราะฉะน้ัน ผปู้ ระสงคเ์ ป็นท่รี กั เป็นท่ีนับถือของผู้อน่ื หรอื หวังความสุขความสงบความเยือกเย็นแห่งจิตใจจึงควรได้แผ่เมตตา กนั ดเู ถิด สร้างเมตตาธรรมไวใ้ นใจดีกว่าจะมานง่ั เดอื ดรอ้ นใจดว้ ยไฟ โกรธไฟริษยาอาฆาต และดีกว่าจะมาเสยี เวลาหานะหาเมตตามหา นิยม นะหน้าทอง เพอื่ เพม่ิ เสนห่ ์ใหแ้ ก่ตัวเอง เพราะวิธแผ่เมตตาน้ี ไมท่ ำ�ใหห้ นกั ตัวเพราะพกพาไป ไม่ต้องกลวั หาย และไม่ต้องกลัวถกู ลกั ขโมย เพราะมีติดตวั ติตใจประจ�ำ อยู่ตลอดเวลา ๘๖ พุทธมนตบ์ �ำ บดั อโรคยาศาล จ.ชยั ภูมิ

กรรมฐานโดยวธิ อี านาปานสั สตภิ าวนา แบบบรกิ รรม“พทุ โธ” ของ พระอาจารย์มน่ั ภูรทิ ตั โต การทำ�สมาธิแบบอานาปานัสสติที่พระอาจารย์มั่นได้อบรมส่ัง สอนน้นั สามารถกระท�ำ ไดท้ ัง้ อิริยาบถน่งั และเดินจงกรม วธิ นี ่งั สมาธิ การน่งั สมาธเิ ริ่มด้วยการนง่ั ขัดสมาธเิ อาขาขวาทับขาซ้าย เอามือขวาทับมอื ซา้ ย ตั้งกายให้ตรง ตัง้ จติ ใหต้ รง ส�ำ รวมจติ นกึ ว่า พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆอ์ ยู่ทีใ่ จ ไมก่ ังวลหรือนกึ คิดเรอ่ื งอนื่ การน่งั ควรหลับตา เพ่อื กันมิให้จติ ฟงุ้ ซา่ นไปข้างนอกทางสายตา แต่ ถา้ ผใู้ ดง่วงอาจลืมตามองทปี่ ลายจมกู ของตนได้ เริ่มต้นทางจิตภาวนาโดยต้ังความร้สู ึก คอื จติ ลงเฉพาะ หน้า หรือเรยี กว่าปัจจบุ นั ธรรม มสี ติระลึกอย่กู บั ใจ ตรวจจติ ตนเอง ว่า กำ�ลังติดอย่ใู นอารมณใ์ ด พิจารณาไม่ล�ำ เอยี งในความคดิ น่ารกั น่าชัง ตัง้ สติเอาไว้ตรงกลาง แลว้ นกึ บริกรรมภาวนาในใจคำ�ใดคำ� หนง่ึ เป็นตน้ วา่ “พุทโธ ธมั โม สังโฆ ๆ ๆ” สามจบ แล้วรวมลงใน คำ�เดียวว่า “พุทโธ ๆๆๆ” เป็นอารมณ์เฉพาะ ไมใ่ หเ้ ผลอจนจิตเข้าสู่ ภวังค์ ทั้งน้ีการบริกรรมภาวนาดังกลา่ วจะเปน็ ส่ิงก�ำ กบั ใจเพื่อเปน็ ท่ี ยดึ เหนย่ี วของใจในเวลาตอ้ งการความสงบในเบอ้ื งตน้ การกำ�หนดลมหายใจนัน้ ให้กำ�หนดความรู้สกึ ในลม หายใจเขา้ –ออก ซ่ึงในสว่ นนคี้ รู อาจารย์สายน้ีบางทา่ นก็ใหก้ �ำ หนด จิตพิจารณาลมหายใจเข้า–ออก โดยหายใจเข้าให้ภาวนา “พทุ ” พอหายใจออกใหภ้ าวนา “โธ” ฐานลมมี ๓ จดุ คอื ตน้ ลมคอื ปลาย พระธาตรี อปุ ปฺ ลวณฺโณ วัดป่ากุดฉนวนอดุ มพร ๘๗

จมูก กลางลมคอื ทา่ มกลางอก และปลายลมอยู่ทท่ี อ้ ง ในขณะท่ี ภาวนาอานาปานัสสตไิ ปนี้ ตอ่ มาเมอ่ื จติ เป็นสมาธิ ลมหายใจจะดบั ไปในความรู้สึก กล่าวคือ ลมละเอียด จิตรวมเปน็ หนง่ึ ในอารมณ์ เดยี วเรม่ิ เข้าสู่ภวงั ค์ การสังเกตว่าจติ เขา้ ส่ภู วงั คน์ ั้นจะมีอาการตา่ ง ๆ กนั บางคนรวมลงไปทันทีบางคนก็เกิดความสว่างขึ้นมาด้วยคำ�บริกรรม ภาวนาก็เลอื นหายไป แต่รู้สกึ กายเบา ใจเบา สบายปลอดโปร่ง เมอื่ เปน็ เช่นนี้ ใหห้ ยดุ ค�ำ ภาวนาและตงั้ มน่ั ในจติ ให้เป็นหนงึ่ อยู่กบั ท่ี ไม่ เผลอสติกำ�หนดอยูอ่ ยา่ งนนั้ จนกวา่ จะรสู้ กึ เหนอ่ื ย เรียกขน้ั ตอนน้ีว่า ภาวนาอย่างละเอยี ด การทเี่ กดิ ภวังคจิตนั้น อาจจะมีนมิ ิตต่าง ๆ มาปรากฏ ในขณะจติ นั้นให้ก�ำ หนดจติ ไวใ้ หด้ ี ไม่ตกใจหรือกลวั เพราะส่งิ ที่ ปรากฏมใิ ชส่ ่งิ เทย่ี งแท้ เป็นเพียงเงา ๆ พอเหน็ ปรากฏกจ็ ะหาย ไปเอง วิธกี ารแกน้ มิ ติ นั้นกระท�ำ ไดค้ อื นิง่ เฉยไม่หวัน่ ไหว แต่ครนั้ เม่ือสมาธิกล้าข้ึนก็ให้พิจารณาความไม่เที่ยงของนิมิตท่ีปรากฏจน กระทั่งยกข้ึนสู่การพิจารณาไตรลักษณ์ให้เห็นเป็นสภาวธรรมที่มีจิต เปน็ เพียงผูร้ ู้ ท�ำ จติ เปน็ อุเบกขา ละวางอารมณ์ต่าง ๆ เสีย ในการ น่ังสมาธิน้ีครูบาอาจารย์บางท่านอาจจะมีขั้นตอนเบ้ืองต้นให้ปฏิบัติ กอ่ นน่งั หลบั ตา คือ ให้สมาทานศีล สวดมนต์ร�ำ ลึกถึงพระรัตนตรัย แผ่เมตตาจิตไปยังมนษุ ย์และสรรพสัตวท์ ัง้ หลาย แลว้ รวมใจ ก�ำ หนด จิตทจ่ี ะทำ�สมาธิ ตดั ความกังวลในใจออกไป ๘๘ พทุ ธมนต์บำ�บดั อโรคยาศาล จ.ชัยภูมิ

วิธีออกจากสมาธิ เม่ือจะออกจากสมาธิ ใหก้ �ำ หนดจติ ให้มีสตวิ า่ เบื้องตน้ เรา ไดท้ �ำ อะไรลงไป ตง้ั สติกำ�หนดจิตอยา่ งไร พิจารณาอย่างไร คร้นั เมือ่ ใจสงบได้สติแล้วก็กำ�หนดจิตออกจากสมาธิและควรจะประคองให้ดี ตลอดทกุ อริ ยิ าบถ นง่ั นอน ยนื เดนิ การเดนิ จงกรม การเดินจงกรมเปน็ อีกอริ ยิ าบถหนง่ึ ของการท�ำ สมาธิ วธิ ีการ เดนิ จงกรมตามแบบของพระอาจารยม์ ่นั มีหลกั เกณฑ์เบอ้ื งตน้ คอื -ทศิ ทางการเดินจงกรม ทา่ นไดอ้ า้ งยดึ เอาตามแนวอริยประเพณี ในสมัยพทุ ธกาล โดยท่านสอนให้เดนิ ไปตามตะวนั หรอื เย้อื งตะวันไป ทางทศิ เหนอื หรอื ทิศใต้ ซึ่งกค็ อื ตามแนวทศิ ตะวนั ตก – ตะวันออก และแนวทิศตะวันตกเฉยี งใต้ – ตะวนั ออกเฉยี งเหนอื สว่ นแนวทศิ เหนือ - ใต้ ทา่ นกลา่ ววา่ ไม่ควรเดนิ -ระยะทางสั้นยาวของทางเดินจงกรมน้นั ไม่ไดจ้ �ำ เพาะวา่ ควรเป็น เท่าใด ท้ังน้ขี ึ้นอยู่กับสถานทดี่ ้วย แตโ่ ดยความเหมาะสมท่ัวไป อย่าง ส้ันไมค่ วรต่�ำ กวา่ ๑๐ ก้าวเดิน ขนาดยาวระหว่าง ๒๕-๓๐ กา้ วเดิน -ในการเดนิ จงกรมอาจจะครองผา้ อย่างมดิ ชดิ หรอื เพยี งบางส่วน เชน่ นงุ่ ผ้าสบง ใสเ่ ฉพาะอังสะ ไมต่ ้องครองผ้าจวี รก็ได้ ตามแต่ ความเหมาะสมของสถานที่ เม่ือจะเร่ิมเดินจงกรมโดยกำ�หนดทิศทางไว้เรียบร้อยแล้วผู้เดิน ควรจะประนมมอื ระหวา่ งค้วิ ระลกึ ถึงคณุ ของพระรตั นตรยั คอื พระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ์ อนั เปน็ ทพ่ี ง่ึ ทรี่ ะลึกของจติ ใจตลอด พระธาตรี อปุ ฺปลวณโฺ ณ วัดป่ากุดฉนวนอุดมพร ๘๙

จนคุณของบิดามารดา อุปัชฌายอ์ าจารย์ ผมู้ อี ุปการคณุ ท้งั หลาย จากน้ันก็ต้ังจิตรำ�พึงถึงความมุ่งหมายที่จะได้บำ�เพ็ญเพียรด้วยการ เดนิ จงกรม เช่น ก�ำ หนดจติ ต้ังสตั ย์ อธษิ ฐานวา่ “ขา้ พเจ้าจะต้ังใจ ปฏิบัติเพื่อเป็นการปฏิบัติบูชาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับท้ัง พระธรรมและพระอริยสงฆ์สาวก ขอให้จิตใจของขา้ พเจ้าสงบระงับ ต้งั ม่นั เป็นสมาธิ มีปัญญาเฉลียวฉลาด รู้แจ้งแทงตลอดในคำ�สอน ของพระพทุ ธเจา้ ทุกประการเทอญ” แล้วปลอ่ ยมือลงเอามือขวาทับ มอื ซ้ายทาบกันไว้ใตส้ ะดือตามแบบพุทธร�ำ พึง ทอดสายตาลงต่ำ� ท่า ส�ำ รวม ตัง้ สตกิ ำ�หนดจิตและธรรมที่เคยนำ�มาบรกิ รรมกำ�กบั ใจ ตามแบบท่เี คยภาวนาในท่านั่งสมาธิหรือท่าอื่นๆ มาแล้ว จากน้นั ก็เดินจงกรมจากต้นทางไปถึงปลายทางท่ีกำ�หนดเดินกลับไปกลับ มา ในท่าสำ�รวมไม่เรว็ หรือช้าจนเกินไป มีสติอยูก่ บั บทธรรมหรือ สงิ่ ที่พจิ ารณาอยู่อยา่ งสมำ่�เสมอ ไมส่ ่งจิตไปท่อี ่ืน ไมเ่ ดินแกว่งแขน หรอื เอามอื ขัดหลัง ไมจ่ �ำ เป็นตอ้ งนบั กา้ วเดนิ เพราะบางครง้ั อาจจะ ต้องยนื นงิ่ เพื่อพิจารณาหรือร�ำ พึงธรรมใหเ้ ข้าใจแจ่มแจง้ กอ่ น จึงจะ ก้าวต่อไปกม็ ี ซงึ่ อาจจะใชเ้ วลานาน การเดนิ จงกรมโดยทว่ั ไปนี้ ไม่ ก�ำ หนดเวลาวา่ จะยาวนานแค่ไหน แต่ตามท่ีพระธดุ งค์สายท่านพระ อาจารยม์ นั่ กำ�หนดโดยมากครั้งละ ๑ ชั่วโมงขนึ้ ไป ๙๐ พทุ ธมนต์บ�ำ บัด อโรคยาศาล จ.ชยั ภมู ิ

บทสวดมหาสมยั สูตร เอวัมเม สุตงั . เอกัง สะมะยงั ภะคะวา สักเกสุ วิหะระติ กะปลิ ะวัตถสุ มิง มะหาวะเน มะหะตา ภกิ ขุสงั เฆนะ สัทธงิ ปัญจ ะมะเตหิ ภกิ ขสุ ะเตหิ สพั เพเหวะ อะระหันเตห.ิ ทะสะหิ จะ โลก ะธาตูหิ เทวะตา เยภยุ เยนะ สันนิปะติตา โหนติ ภะคะวนั ตัง ทสั สะ นายะ ภกิ ขุสังฆัญจะ. อะถะโขจะตนุ นัง สทุ ธาวาสะกายกิ านงั เทวานงั เอตะทะโหสิ. อะยงั โข ภะคะวา สักเกสุ วหิ ะระติ กะปลิ ะวัตถุสมงิ มะหาวะเน มะหะตา ภกิ ขสุ ังเฆนะ สทั ธงิ ปัญจะมัตเตหิ ภกิ ขสุ ะเตหิ สพั เพเหวะ อะระหันเตหิ ทะสะหิ จะ โลกะธาตูหิ เทวะตา เยภุยเยน ะ สนั นปิ ะตติ า โหนติ ภะคะวนั ตัง ทสั สะนายะ ภิกขุสงั ฆัญจะยันนูน ะ มะยัมปิ เยนะ ภะคะวา เตนุปะสงั กะเมยยามะ อุปะสงั กะมติ วา ภะคะวะโต สันตเิ ก ปัจเจกะคาถา ภาเสยยามาต.ิ อะถะโข ตา เทวะตา เสยยะถาปิ นามะ พะละวา ปรุ ิโส สัมมญิ ชิตัง วา พาหงั ปะสาเรยยะ ปาสารติ งั วา พาหงั สมั มญิ เชย ยะ เอวะเมวะ สุทธาวาเสสุ เทเวสุ อันตะระหิตา ภะคะวะโต ปุระ โต ปาตุระหงั สุ. อะถะโข ตา เทวะตา ภะคะวันตัง อะภิวาเทตวา เอกะมนั ตัง อฏั ฐังส.ุ เอกะมนั ตงั ฐิตา โข เอกา เทวะตา ภะคะวะ โต สันติเก อิมัง คาถงั อะภาสิมะ หาสะมะโย ปะวะนสั มิง เทวะ กายา สะมาคะตา อาคะตมั หะ อิมัง ธัมมะสะมะยงั ทกั ขติ าเยวะ อะปะราชิตะสังฆนั ต.ิ อะถะโข อะปะรา เทวะตา ภะคะวะโต สันติ เก อิมัง คาถัง อะภาส.ิ ตัตระ ภกิ ขะโว สะมาทะหงั สุ จติ ตงั อตั ตะ โน อชุ ุกะมะกงั สุ สาระถีวะ เนตตานิ คะเหตวา อินทริยานิ รกั ขันติ พระธาตรี อปุ ฺปลวณโฺ ณ วดั ปา่ กดุ ฉนวนอุดมพร ๙๑

ปัณฑิตาต.ิ อะถะโข อะปะรา เทวะตา ภะคะวะโต สนั ติเก อิมงั คาถงั อะภาสิ. เฉตวา ขลี ัง เฉตวา ปะลฆี ัง อินทะขลี ัง โอหจั จะมะ เนชา เต จะรนั ติ สทุ ธา วิมะลา จักขมุ ะตา สทุ นั ตา สุสู นาคาติ อะถะโข อะปะรา เทวะตา ภะคะวะโต สนั ตเิ ก อมิ ัง คาถัง อะภาส.ิ เย เกจิ พทุ ธงั สะระณงั คะตา เส นะ เต คะมิสสนั ติ อะปายะภูมงิ ปะหายะมานุสัง เทหงั เทวะกายงั ปะริปูเรสสันตีติ. อะถะโข ภะคะวา ภิกขู อามันเตสิ เยภยุ เยนะ ภกิ ขะเว ทะสะ สุ โลกะธาตูสุเทวะตา สันนปิ ะตติ า ตะถาคะตัง ทสั สะนายะ ภกิ ขุ สังฆัญจะ เยปิ เต ภิกขะเวอะเหสุง อะตีตะมัทธานงั อะระหนั โต สัมมาสัมพุทธา เตสัมปิ ภะคะวันตานงั เอตะปะระมาเยวะ เทวะตา สันนิปะตติ า อะเหสุง. เสยยะถาปิ มัยหัง เอตะระหิ เยปิ เต ภกิ ขะเว ภะวิสสันต.ิ อะ นาคะตะมัทธานงั อะระหนั โต สมั มาสัมพุทธา, เตสัมปิ ภะ คะวันตานงั เอตะปะ ระมาเยวะ เทวะตา สนั นิปะติตา ภะวสิ สนั ติ. เสยยะถาปิ มัยหัง เอตะระหิ อาจกิ ขิสสามิ ภกิ ขะเว เทวะกา ยานงั นามานิ. กติ ตะยสิ สามิ ภกิ ขะเว เทวะกายานงั นามานิ เทสิสสามิ ภกิ ขะเว เทวะกายานงั นามาน.ิ ตัง สุณาถะ สาธกุ ัง มะนะสิกะโร ถะภาสิสสามตี .ิ เอวัมภันเตติ โข เต ภิกขู ภะคะวะโตปจั จัสโสสงุ . ภะคะวา เอตะทะโวจะ. สิโลกะมะนุสกัสสามิยัตถะ ภมุ มา ตะทัสสติ า เย สติ า คริ คิ พั ภะรงั ปะหติ ตั ตาสะมาหติ าปถุ ูสหี าวะสลั ลนี าโลมะหงั หาภสิ มั ภิ โน โอทาตะมะนะสา สทุ ธาวิปปะสนั นะมะนาวิลา ภิยโย ปญั จะสะเต ๙๒ พุทธมนตบ์ ำ�บดั อโรคยาศาล จ.ชัยภูมิ

ญตั วาวะเน กาปิละวตั ถะเว ตะโต อามันตะยิ สัตถาสาวะเก สา สะเน ระเต เทวะกายา อะภกิ กนั ตาเต วชิ านาถะ ภกิ ขะเว เต จะ อาตัปปะมะกะรงุ สัตวา พุทธัสสะ สาสะนงั เตสมั ปาตุระหุ ญาณัง อะมะนสุ สานะ ทสั สะนัง อปั เปเก สะตะมัททกั ขุงสะหสั สงั อะถะ สัตตะริง สะตัง เอเก สะหสั สานังอะมะนุ สสานะมัททะสงุ อัปเป เกนันตะมทั ทกั ขุงทิสา สพั พา ผฏุ า อะหุง ตญั จะ สัพพงั อะภญิ ญา ยะวะวักขติ วานะ จกั ขุมา ตะโต อามนั ตะยิ สัตถาสาวะเก สาสะเน ระเต เทวะกายา อะภกิ กนั ตาเต วชิ านาถะ ภกิ ขะโว เย โวหัง กิต ตะยสิ สามิคริ าหิ อะนปุ ุพพะโสสัตตะสะหสั สา วะยักขาภุมมา กาปิ ละวัตถะวา อิทธมิ นั โต ชุตมิ ันโตวัณณะวนั โต ยะสัสสโิ น โมทะมา นา อะภิกกามงุ ภกิ ขูนัง สะมติ ิง วะนงั .ฉะสะหัสสา เหมะวะตา ยกั ขา นานัตตะวัณณโิ น อทิ ธิมนั โต ชุตมิ นั โตวัณณะวนั โต ยะสัสสโิ น โม ทะมานา อะภิกกามุงภิกขูนงั สะมิตงิ วะนงั . สาตาคิรา ตสิ ะหสั สายกั ขา นานัตตะวณั ณิโน อทิ ธิมันโต ชุติมันโตวณั ณะวันโต ยะสสั สโิ น โมทะมานา อะภิกกามงุ ภิกขูนัง สะมิติง วะนงั . อิจเจเต โสฬะสะสะหัสสายักขา นานตั ตะวณั ณิโน อิทธิมันโต ชตุ ิมันโตวัณณะวันโต ยะสัสสิโน โมทะมานา อะภิกกามงุ ภิกขนู งั สะมติ ิง วะนงั . เวสสามิตตา ปัญจะสะตายักขา นานตั ตะวัณณิโน อทิ ธิมนั โต ชตุ ิมนั โตวัณณะวันโต ยะสัสสโิ น โมทะมานา อะภกิ กามุงภกิ ขูนงั สะมิติง วะนัง. พระธาตรี อปุ ปฺ ลวณโฺ ณ วัดป่ากุดฉนวนอดุ มพร ๙๓

กมุ ภิโร ราชะคะหิโกเวปุ ลลสั สะ นเิ วสะนงั ภิยโย นงั สะ ตะสะหัสสังยกั ขานงั ปะยริ ุปาสะติ กุมภโิ ร ราชะคะหโิ กโสปาคะ สะมติ ิง วะนงั . ปุริมณั จะ ทสิ งั ราชาธะตะรัฏ โฐ ปะสาสติ คันธัพพานงั อาธิ ปะติมะหาราชา ยะสสั สิ โส ปุตตาปิ ตัสสะ พะหะโวอินทะนามา มะหัพพะลา อิทธมิ ันโต ชุตมิ นั โตวัณณะวันโต ยะสัสสิโน โมทะมา นา อะภิกกามุงภิกขนู งั สะมิติง วะนัง. ทักขณิ ญั จะ ทิสัง ราชาวิรฬุ โห ตปั ปะสาสะติ กมุ ภณั ฑานัง อาธปิ ะติมะหาราชา ยะสสั สิ โส ปุตตาปิ ตสั สะ พะหะโว อนิ ทะนา มา มะหัพพะลา อทิ ธมิ นั โต ชตุ มิ ันโตวัณณะวนั โต ยะสัสสิโน โมทะ มานา อะภกิ กามุง ภกิ ขนู ัง สะมติ งิ วะนัง. ปัจฉิมัญจะ ทิสงั ราชาวริ ปู กั โข ปะสาสติ นาคานงั อาธิปะติ มะหาราชา ยะสัสสิ โส ปุตตาปิ ตสั สะ พะหะโวอินทะนามา มะหพั พะลา อทิ ธิมันโต ชุตมิ นั โตวณั ณะวันโต ยะสัสสิโน โมทะมานา อะภิ กกามุง ภกิ ขนู งั สะมติ ิง วะนัง. อุตตะรญั จะ ทสิ งั ราชากเุ วโร ตัปปะสาสะติ ยกั ขานัง อาธิปะติ มะหาราชา ยะสสั สิ โส ปุตตาปิ ตัสสะ พะหะโวอนิ ทะ นามา มะหัพพะลา อทิ ธิมนั โต ชตุ มิ นั โต วัณณะวนั โต ยะสัสสิโน โมทะมานา อะภิกกามุง ภิกขูนงั สะมิติง วะนัง. ปรุ มิ ะทิ สัง ธะตะรัฏโฐทกั ขเิ ณนะ วริ ุฬหะโก ปจั ฉเิ มนะ วริ ูปกั โข กเุ วโร อตุ ตะรงั ทิสงั . จัตตาโร เต มะหาราชาสะมนั ตา จะตโุ ร ทสิ า ททั ทลั ละมานา อฏั ฐงั สุ วะเน กาปลิ ะวตั ถะเว. เตสัง มายาวิโน ทาสายาคู วัญจะนกิ า สะฐา มายา กุเฎณฑุ ๙๔ พทุ ธมนต์บ�ำ บัด อโรคยาศาล จ.ชัยภมู ิ

เวเฏณฑุวฏิ ู จะ วฏิ โุ ต สะหะ จันทะโน กามะเสฏโฐ จะกิน นฆุ ัณฑุ นฆิ ณั ฑุ จะ ปะนาโท โอปะมญั โญ จะเทวะสูโต จะ มาตะลิ จติ ตะ เสโน จะ คนั ธัพโฑนะโฬราชา ชะโนสะโภ อาคู ปัญจะสโิ ข เจวะติม พะรู สรุ ยิ ะวัจฉะสา เอเต จัญเญ จะ ราชาโนคนั ธัพพา สะหะ รา ชภุ ิ โมทะมานา อะภิกกามงุ ภกิ ขนู ัง สะมิตัง วนิ งั . อะถาคู นาภะสา นาคาเวสา ลา สะหะตจั ฉะกา กัมพะลัส สะตะรา อาคปู ายาคา สะหะ ญาติภิ. ยามุนา ธะตะรฏั ฐา จะอาคู นาคา ยะสัสสิโน เอราวัณโณ มะหานาโคโสปาคะ สะมติ งิ วะนัง. เย นาคะราเช สะหะสา หะรนั ติ ทิพพา ทชิ า ปกั ขิ วสิ ุทธะ จักขู เวหายะสา เตวะนะมชั ฌะปตั ตา จิตรา สุปัณณา อติ ิ เตสะ นามัง อะภะยนั ตะทานา คะราชานะมาสิ สุปณั ณะโต เขมะมะกาสิ พทุ โธ สัณหาหิ วาจาหิ อุปะวะหะยันตา นาคา สุปณั ณา สะระณะ มะกังสุ พุทธงั . ชติ า วะชิระหตั เถนะสะมทุ ทัง อะสุรา สิตา ภาตะโร วาสะ วสั เสเตอิทธมิ นั โต ยะสสั สิโน กาละกัญชา มะหาภิสมาอะสรุ า ทา นะเวฆะสา เวปะจติ ติ สุจิตติ จะปะหาราโท นะมจุ ี สะหะ สะตัญ จะ พะลิปุตตานงั สัพเพ เวโรจะนามะกา สันนัยหติ วา พะลงิ เสนัง ราหุ ภัททะมปุ าคะมุง สะมะโยทานิ ภทั ทนั เตภกิ ขุนงั สะมิตงิ วนิ งั . อาโป จะ เทวา ปะฐะวี จะ เตโช วาโย ตะทาคะมงุ วะรณุ า วารณุ า เทวา โสโม จะ ยะสะสา สะหะเมตตากะรณุ ากา ยกิ า อาคู เทวา ยะสสั สิโน ทะเสเต ทะสะธา กายาสพั เพ นานตั ตะวณั ณิโน อิทธมิ ันโต ชุติมันโตวณั ณะวนั โต ยะสสั สโิ น โมทะมานา พระธาตรี อปุ ปฺ ลวณโฺ ณ วัดปา่ กุดฉนวนอุดมพร ๙๕

อะภกิ กามงุ ภกิ ขนู ัง สะมติ งิ วนิ ัง. เวณฑู จะ เทวา สะหะลี จะ อะสะมา จะ ทเุ ว ยะมา จนั ทัส สูปะนิสา เทวา จันทะมาคู ปรุ ักขติ า สรุ ยิ สั สูปะนิสา เทวา สุรยิ ะ มาคู ปุรกั ขิตา นักขัตตานิ ปรุ ักขติ วาอาคู มนั ทะพะลาหะกา วะสนู งั วาสะโว เสฏโฐ สักโก ปาคะ ปุรนิ ทะโท ทะเสเต ทะสะธา กายาสัพ เพ นานตั ตะวณั ณโิ น อทิ ธมิ นั โต ชตุ ิมันโต วัณณะวนั โต ยะสสั สโิ น โมทะมานา อะภิกกามงุ ภิกขูนงั สะมติ ิง วินงั . อะถาคู สะหะภู เทวา ชะละมัคคิสขิ ารวิ ะ อะรฏิ ฐะกา จะ โร ชา จะ อมุ มา ปปุ ผะนภิ าสิโน วะรุณา สะหะธัมมา จะ อจั จตุ า จะ อะเนชะกา สุเลยยะรจุ ริ า อาคู อาคู วาสะวะเนสโิ น ทะเสเต ทะสะธา กายา สพั เพ นานตั ตะวณั ณิโน อิทธิมนั โต ชุติมนั โต วณั ณะ วนั โต ยะสสั สิโน โมทะมานา อะภกิ กามงุ ภิกขนู งั สะมิตงิ วินัง. สะมา นา มะหาสะมานา มานสุ า มานุสุตตะมา ขฑิ ฑาปะทูสิ กา อาคอู าคู มะโนปะทสู กิ า อะถาคู หะระโย เทวาเย จะ โลหติ ะ วาสโิ น ปาระคา มะหาปาระคาอา คู เทวา ยะสสั สโิ น ทะเสเต ทะ สะธา กายาสพั เพ นานตั ตะวณั ณิโน อิทธมิ ันโต ชุติมันโตวัณณะวนั โต ยะสสั สิโน โมทะมานา อะภิกกามงุ ภกิ ขนู งั สะมิตงิ วนิ ัง. สกุ กา กะรมุ หา อะรุณาอาคู เวฆะนะสา สะหะ โอทาตะคัยหา ปาโมกขาอาคู เทวา วิจักขะณา สะทามัตตา หาระคะชามสิ สะกา จะ ยะสสั สิโน ถะนะยงั อาคา ปะชุนโนโย ทสิ า อะภวิ สั สะติ ทะเส เต ทะสะธา กายาสัพเพ นานัตตะวณั ณโิ น อิทธมิ ันโต ชุตมิ นั โต วณั ณะวันโต ยะสัสสิโน โมทะมานา อะภิกกามงุ ภกิ ขูนงั สะมิตงิ วนิ ัง. ๙๖ พทุ ธมนต์บ�ำ บัด อโรคยาศาล จ.ชัยภูมิ

เขมยิ า ตุสติ า ยามากัฏฐะกา จะ ยะสัสสโิ น ลมั พติ ะกา ลามะ เสฏฐาโชติมานา จะ อาสะวา นิมมานะระติโน อาคู อะถาคู ปะระ นิมมิตา ทะเสเต ทะสะธา กายา สพั เพ นานัตตะวัณณโิ น อิทธมิ นั โต ชตุ มิ ันโต วณั ณะวนั โต ยะสัสสิโน โมทะมานา อะภกิ กามุง ภิกขูนัง สะมติ ิง วนิ ัง. สฏั เฐเต เทวะนิกายาสัพเพ นานัตตะวณั ณโิ น นามันวะเยนะ อาคญั ฉุงเย จัญเญ สะทสิ า สะหะ ปะวุตถะชาติมักขลี ัง โอฆะติณ ณะมะนาสะวงั ทกั เข โมฆะตะรัง นาคงั จัน ทังวะ อะสติ าสิตัง สพุ รหั มา ปะระมตั โต จะ ปตุ ตา อิทธิมะโต สะหะ สนั นังกุมาโร ติสโส จะ โสปาคะ สะมิตงิ วะนัง. สะหสั สะพรัหมะโลกา นัง มะหาพรหั มาภติ ฏิ ฐะติ อุปะปนั โน ชุตมิ ันโต ภิสมากาโย ยะสัสสิ โส. ทะเสตถะ อสิ สะรา อาคู ปจั เจกะวะสะวัตติโน เตสัญจะ มัชธะโต อาคาหาริ โต ปะริวาริโต. เต จะ สัพเพ อะภิกกนั เต สนิ เท เทเว สะพรหั มะเก มาระ เสนา อะภิกกามิ ปสั สะ กณั หสั สะ มันทยิ ัง เอถะ คัณหะถะ พันธะถะ ราเคนะ พันธมัตถุ โว สะมันตา ปะรวิ าเรถะ มา โว มุญ จิตถะ โกจิ นงั . อิติ ตัตถะ มะหาเสโน กัณหะเสนงั อะเปสะยิ ปาณิ นา ตะละมาหจั จะ สะรัง กัตวานะ เภระวัง. ยะถา ปาวสุ สะโก เมโฆ ถะนะยันโต สะวิชชุโก ตะทา โส ปจั จมุ าวตั ติ สัง กุทโธ อะสะยงั วะเส. ตัญจะ สพั พัง อะภิญญายะ วิวักขิตวานะ จักจมุ า ตะโต อามันตะยิ สัตถา สาวะเก สาสะเน ระเต มาระเสนา อะภกิ กันตา เต วิชานาถะ ภิกขะโว. พระธาตรี อุปฺปลวณฺโณ วัดป่ากดุ ฉนวนอดุ มพร ๙๗

เต จะ อาตัปปะมะกะรงุ สตุ วา พทุ ธสั สะ สาสะนัง วีตะรา เคหิ ปกั กามงุ เนสัง โลมมั ปิ อิญชะยุง. สัพเพ วิชติ ะสงั คามา ภะ ยาตีตา ยะสสั สิโน โมทันติ สะหะ ภเู ตหิ สาวะกา เต ชะเนสตุ าติ มะหาสะ มะยะสตุ ตัง นิฏฐิตัง. เนอื้ หาโดย ย่อ ตำ�นานมหาสมัยสูตร มหาสมัยสูตรปรากฎความในพระสตุ ตนั ตปิฎก ทีฆนกิ ามหาวรรค ภายหลังการบรรลุอนุตราสัมมาสัมโพธิญาณของพระบรมศาสดา พระองคไ์ ดเ้ สดจ็ จาริกไปในสถานท่ีต่าง ๆ เพือ่ อนุเคราะห์ชาวโลก และเมื่อทราบทราบว่าพระเจ้าสุทโธทนะพระพุทธบิดาประชวรหนักจึง เสด็จกลับสู่กรุงกบิลพัสดุ์อีกคร้ังเพื่อเยี่ยมอาการพระพุทธบิดาพร้อม ด้วยพระสงฆ์สาวกเป็นจำ�นวนมากทรงถวายพยาบาลพระพุทธ บิดาตามพุทธวิสัยและโปรดให้พระพุทธบิดาได้บรรลุพระอรหันต์ พร้อมปฏิสัมภิทาท้ังหลายในกาลต่อมาพระพุทธบิดาก็ปรินิพพาน บนพระแท่นบรรทมภายใต้เศวตฉัตรนั้นเองภายหลังถวายพระเพลิงศพ พระพุทธบิดา พระพุทธองคต์ รสั วา่ “บุคคลใดมจี ติ ปรารถนาพระ โพธิญาณจงอุตสาหะภิบาลบำ�รุงบิดามารดาประพฤติกุศลสุจริต ธรรม จักสมปรารถนาทกุ ประการ” ร่งุ ขน้ึ อีกวนั ขณะท่ีพระองคป์ ระทับอยู่ทนี่ โิ ครธาราม กรุงกบิลพันด์ุเหล่าพระญาติข้างฝ่ายศากยะและโกลิยะที่ต้ังหลัก แหล่งอยู่สองฝ่ังแม่น้ำ�โรหิณีได้วิวาทกันเรื่องแย่งน้ำ�ทำ�นากษัตริย์ทั้ง สองจึงยกกองทัพออกไปจะทำ�สงครามกันเพราะไม่สามารถตกลง กันได้พระพุทธองค์ทรงทราบเหตุการณ์น้ันด้วยพระญาณทรงถือบาตร ๙๘ พทุ ธมนต์บ�ำ บดั อโรคยาศาล จ.ชยั ภูมิ

และจวี รดว้ ยพระองคเ์ องไม่ทรงแจ้งใหใ้ คร ๆ ทราบเสด็จพทุ ธ ด�ำ เนินแต่เพียงพระองคเ์ ดยี วไปประทบั นงั่ ขัดบลั ลงั กร์ ะหวา่ งกองทัพ กษตั รยิ ท์ งั้ สองนคร ครั้นกองทัพชาวเมืองกบิลพัสดุ์และชาวเมืองโกลิยะเห็น พระองค์นั้นตา่ งก็ คดิ วา่ พระศาสดาผูเ้ ปน็ พระญาติ ผู้ประเสริฐ ของพวกเราเสด็จมาจึงทิ้งอาวุธเขาไปเฝ้าพระพุทธองค์ท้ังที่พระองค์ ทรงทราบสถานการณ์ขณะนั้นดีแต่ก็ตรัสถามเร่ืองราวท่ีเกิดข้ึนแล้ว ตรสั สอนวา่ มหาบพติ รพวกพระองค์อาศัยนำ�้ ท่มี คี ่านอ้ ยแล้วท�ำ ให้ กษตั ริย์ซึง่ หาค่ามิไดใ้ ห้ฉิบหายทำ�ไมกัน ครั้นแล้วพระพุทธองค์ไดต้ รัส ผันทนชาดก ทุททภุ ายชาดก และลฏุกกิ ชาดกเพื่อระงบั การววิ าท ของพระญาติทั้งสองฝ่ายและตรัสรุกขธรรมชาดกและวัฏฏชาดกเพื่อ ให้เกดิ ความสามคั คีพร้อมเพรยี งกนั ว่า “หมญู่ าติยง่ิ มากย่งิ ดตี ้นไม้ ท่ีเกิดในป่าแม้จะโตเป็นเจ้าป่าถ้าตั้งอยู่โดดเดี่ยวย่อมถูกแรงลมพัด โคน่ ลงไดแ้ ละวา่ นกทง้ั หลายมคี วามสามคั คีพร้อมเพรียงกัน ย่อม พาตาขา่ ยไปได้” และในทสี่ ุดกต็ รัส อัตตทัณฑสูตรกษัตรยิ เ์ หลา่ น้ันได้สดับพระธรรมเทศนาแล้วเกิดความสังเวชพากันทิ้งอาวุธ กล่าวว่าหากพระบรมศาสดาไม่เสด็จมาพวกเราก็จะฆ่าฟันซึ่งกัน และกันเลือดไหลนองเป็นสายนำ้�ไม่มีโอกาสได้กลับบ้านเห็นหน้า ลูกเมียญาติพี่น้องกษัตริย์ท้ังสองพระนครจึงถวายพระราชกุมาร ๕๐๐ องค์คอื ฝ่ายละ ๒๕๐ องค์ ให้บรรพชาอปุ สมบทกบั พระผมู้ ี พระภาคเจ้าด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทาอรรถกถามหาสมัยสูตรเล่าถึง เหตกุ ารณ์ทีภ่ ิกษุราชกมุ ารเหลา่ นั้นบรรลุธรรมไวว้ า่ เมือ่ พระพุทธองค์ นำ�ภิกษุราชกุมารเหล่านั้นมาสู่ป่ามหาวันประทับนั่งบนพุทธอาสน์ ทภี่ ิกษปุ ูถวาย ในโอกาสทสี งัดตรัสบอกกัมมฏั ฐานแก่ภกิ ษุทัง้ หลาย พระธาตรี อุปปฺ ลวณโฺ ณ วดั ป่ากดุ ฉนวนอุดมพร ๙๙


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook