- ๔๘ - มาตรา ๑๑๔ ในการดำเนินการทางวินยั แก่ข้าราชการตำรวจ หากปรากฏข้อเทจ็ จรงิ วา่ คดมี ีมลู เหตุแห่งความผิดทางอาญาและไดม้ ีการดำเนินคดีอาญาดว้ ย ไมเ่ ป็นเหตุใหต้ ้องชะลอการดำเนินการ ทางวินยั แมว้ า่ จะเปน็ การดำเนนิ คดอี าญาในเร่ืองเดียวกนั หรือเก่ยี วเนอื่ งกนั กต็ าม ในกรณที ่ีไดม้ ีการดำเนนิ การลงโทษทางวินยั แกข่ ้าราชการตำรวจไปแล้ว และต่อมาศาลได้มี คำพิพากษาถงึ ท่ีสดุ แตกต่างไปจากผลการดำเนินการทางวินยั หากผลของคำพิพากษาว่าจำเลยกระทำ ความผดิ และการลงโทษทางวนิ ยั ทีไ่ ด้ดำเนนิ การไปแลว้ เบากว่าผลของคำพิพากษา ใหผ้ ู้บังคับบญั ชา พิจารณาทบทวนการลงโทษทางวนิ ยั ใหม่เพื่อใหส้ อดคล้องกับผลของคำพิพากษาดังกลา่ ว โดยให้นำ คำพิพากษานัน้ มาพิจารณาเพ่ือส่งั ลงโทษ แตห่ ากเป็นกรณีท่ไี ด้มีการลงโทษทางวินยั โดยสัง่ ปลดออก หรือไลอ่ อก แลว้ ศาลไดม้ ีคำพิพากษาถึงทสี่ ดุ ว่าการกระทำของจำเลยไมเ่ ป็นความผิดอาญาหรอื จำเลย มิไดก้ ระทำความผิด ให้ผบู้ งั คับบัญชาพจิ ารณาทบทวนการดำเนินการทางวินยั ท่ไี ด้ดำเนินการไปแลว้ ใหม่ โดยนำคำพิพากษาดังกล่าวมาประกอบการพิจารณาด้วย หากผลการพิจารณาสอดคล้องกับผลของคำพิพากษา กใ็ หแ้ ก้ไขคำสงั่ ใหถ้ ูกต้อง และมีคำส่ังให้รับข้าราชการตำรวจผนู้ ั้นกลบั เขา้ รบั ราชการ แตถ่ ้าผู้นนั้ พน้ จาก ราชการไปก่อนแลว้ ก็ให้เยยี วยาชดเชยตามสมควรความเป็นธรรมแก่กรณี มาตรา ๑๑๕ เมือ่ มเี หตจุ ำเป็นจะต้องกักตัวข้าราชการตำรวจซ่ึงถูกกลา่ วหาไวเ้ พื่อประโยชน์ ในการสอบสวน เช่น จะหลบหนหี รือจะไปทำร้ายหรือขม่ ขู่ผเู้ สียหายหรอื พยาน ใหผ้ ู้บังคับบญั ชามอี ำนาจ กักตัวขา้ ราชการตำรวจนั้นระหวา่ งดำเนินการสอบสวนได้เท่าท่ีจำเป็นแก่การสอบสวน แตต่ อ้ งไม่เกนิ อำนาจลงโทษกกั ขงั ของผสู้ ัง่ กักตวั และต้องไมเ่ กนิ สิบหา้ วัน ในกรณีท่ีขา้ ราชการตำรวจตามวรรคหน่งึ ถูกลงโทษกักยามหรือกักขัง ให้หกั จำนวนวัน ท่ถี กู กกั ตวั ออกจากระยะเวลากกั ยามหรือกักขงั ดว้ ย และในกรณที ี่ถกู ลงโทษทัณฑกรรม ให้ถือว่า การถกู กกั ตัวเปน็ การรบั โทษสำหรับความผิดนนั้ แลว้ มาตรา ๑๑๖ ขา้ ราชการตำรวจผใู้ ดกระทำผดิ วินยั อยา่ งไม่รา้ ยแรง ใหผ้ ูบ้ ังคบั บัญชา สงั่ ลงโทษภาคทณั ฑ์ ทัณฑกรรม กกั ยาม กกั ขัง หรือตัดเงินเดือนตามควรแก่กรณีให้เหมาะสมกบั ความผิด ถ้ามเี หตุอนั ควรลดหยอ่ นจะนำมาประกอบการพจิ ารณาลดโทษกไ็ ด้ แตส่ ำหรับการลงโทษภาคทณั ฑ์ ใหใ้ ช้ เฉพาะกรณีกระทำผดิ วนิ ยั เล็กนอ้ ยหรือมเี หตอุ ันควรลดหย่อน ซงึ่ ยงั ไม่ถึงกับจะต้องถูกลงโทษทณั ฑกรรม ถ้าผู้บงั คับบญั ชาเห็นวา่ ผู้กระทำผิดวนิ ยั ควรได้รับโทษสูงกว่าทต่ี นมีอำนาจสง่ั ลงโทษ ให้รายงานตอ่ ผบู้ งั คบั บัญชาของตนท่ีมอี ำนาจเพ่ือให้พิจารณาดำเนนิ การเพื่อลงโทษตามควรแก่กรณี ในกรณีกระทำผดิ วินยั เลก็ น้อยและมีเหตุอนั ควรงดโทษ จะงดโทษใหโ้ ดยให้ทำทัณฑบ์ น เป็นหนังสือหรอื ว่ากลา่ วตักเตือนก็ได้ การลงโทษตามมาตราน้ี ผบู้ ังคับบัญชาจะมีอำนาจส่ังลงโทษผอู้ ยู่ใตบ้ ังคบั บัญชาในสถานโทษ และอัตราโทษได้เพียงใด ใหเ้ ปน็ ไปตามท่กี ำหนดในกฎ ก.ตร. มาตรา ๑๑๗ ขา้ ราชการตำรวจผู้ใดกระทำผดิ วนิ ัยอย่างร้ายแรง ใหผ้ ูม้ ีอำนาจตามมาตรา ๙๗ สง่ั ลงโทษปลดออกหรือไล่ออกตามความรา้ ยแรงแห่งกรณี ถ้ามเี หตุอันควรลดหยอ่ นจะนำมาประกอบ การพิจารณาลงโทษก็ได้ แตห่ ้ามมใิ หล้ ดโทษต่ำกว่าปลดออก
- ๔๙ - การพจิ ารณาสง่ั ลงโทษของผู้มีอำนาจตามมาตรา ๙๗ (๒) (๓) และ (๔) ใหผ้ มู้ ีอำนาจดงั กล่าว ต้งั คณะกรรมการเพ่ือเสนอแนะว่าจะลงโทษในสถานใด โดยคณะกรรมการดังกล่าวอย่างน้อยตอ้ งประกอบดว้ ย รองหวั หนา้ หน่วยงานนัน้ ทุกคน ตามหลกั เกณฑ์ท่ีกำหนดในกฎ ก.ตร. และตอ้ งพิจารณาเสนอแนะภายใน สามสบิ วนั นับแตว่ นั ท่ไี ดร้ บั สำนวนการสอบสวนจากผู้บงั คบั บญั ชา ใหผ้ ้บู งั คับบัญชาลงโทษตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการตามวรรคสอง แล้วรายงาน ให้ ก.ตร. ทราบ ผู้ถูกลงโทษปลดออกตามมาตราน้ี ให้มีสทิ ธิได้รบั บำเหน็จบำนาญเสมือนวา่ ผนู้ ้ันลาออก จากราชการ มาตรา ๑๑๘ เมื่อผู้บังคบั บัญชาได้ดำเนินการทางวินัยแก่ขา้ ราชการตำรวจผู้ใดแลว้ ใหร้ ายงาน การดำเนนิ การทางวนิ ยั ต่อผบู้ ังคับบญั ชาทม่ี ีตำแหน่งเหนือผู้ดำเนินการทางวนิ ยั และผู้บญั ชาการตำรวจ แห่งชาติ ในกรณีทผี่ ู้บังคับบญั ชาท่ีไดร้ ับรายงานตามวรรคหนง่ึ เหน็ ว่าการยตุ เิ ร่ือง การงดโทษ หรอื การลงโทษ เปน็ การไม่ถูกต้องหรอื ไมเ่ หมาะสม ก็ใหม้ ีอำนาจส่ังลงโทษ เพ่ิมโทษเป็นสถานโทษ หรืออัตราโทษทหี่ นักขนึ้ ลดโทษลงเป็นสถานโทษหรอื อัตราโทษท่เี บาลง งดโทษโดยให้ทำทัณฑบ์ น เป็นหนังสือหรอื ว่ากลา่ วตักเตือน หรอื ยกโทษใหถ้ ูกต้องหรือเหมาะสมตามควรแก่กรณี ตลอดจนแก้ไข เปลย่ี นแปลงข้อความในคำส่งั เดิมให้ถูกตอ้ งเหมาะสมได้ดว้ ย และในกรณีท่ีเหน็ ว่าควรดำเนนิ การอยา่ งใด เพิ่มเติมเพ่ือประกอบการพิจารณาใหไ้ ด้ความจรงิ และยตุ ิธรรม กใ็ หม้ ีอำนาจดำเนินการหรือสัง่ ดำเนินการ ไดต้ ามควรแก่กรณี โดยการสั่งลงโทษหรอื เพม่ิ โทษเปน็ สถานโทษทหี่ นกั ข้นึ ต้องไมเ่ กนิ อำนาจของตน ตามมาตรา ๑๑๖ และการเพิ่มอัตราโทษเม่ือรวมกับอัตราโทษเดิมต้องไมเ่ กนิ อำนาจน้นั ด้วย ถ้าเกนิ อำนาจ ของตน กใ็ ห้รายงานต่อผู้บงั คับบัญชาของผ้นู ั้นตามลำดับเพื่อให้พิจารณาดำเนินการตามควรแกก่ รณี ทง้ั นี้ ถ้าเหน็ ว่าการจะส่ังลงโทษหรือเพิ่มโทษนนั้ กรณีเป็นการกระทำผิดวนิ ัยอย่างรา้ ยแรง กใ็ ห้รายงาน ตอ่ ผู้บญั ชาการตำรวจแหง่ ชาติเพื่อใหพ้ ิจารณาดำเนินการ ในกรณีทีผ่ บู้ งั คบั บญั ชาสง่ั ลงโทษตามมาตรา ๑๑๖ ส่ังยุติเร่ือง หรือสั่งงดโทษขา้ ราชการตำรวจ ผ้ใู ดไปแล้ว แต่ผบู้ ัญชาการตำรวจแหง่ ชาติเห็นวา่ กรณีเป็นการกระทำผดิ วนิ ัยอย่างร้ายแรง หรอื เมื่อได้รับ รายงานท่ผี บู้ ังคับบัญชาตามวรรคสองเห็นวา่ กรณเี ป็นการกระทำผิดวินัยอย่างรา้ ยแรง ก็ใหผ้ บู้ ัญชาการ ตำรวจแหง่ ชาติมอี ำนาจดำเนินการตามมาตรา ๑๑๑ แต่ถ้าเปน็ กรณที ่ีไดม้ ีการแต่งตัง้ คณะกรรมการ สอบสวนตามมาตรา ๑๑๑ ไวแ้ ลว้ ก็ให้ดำเนนิ การตามมาตรา ๑๑๗ เมื่อมีกรณีเพิ่มโทษ ลดโทษ งดโทษ หรอื ยกโทษ ใหผ้ สู้ ่ังมคี ำส่ังใหม่ และในคำส่ังดังกล่าว ใหส้ ่ังยกเลกิ คำส่งั ลงโทษเดิมด้วย พร้อมท้ังระบุวิธีการดำเนินการให้ผถู้ กู ลงโทษตามคำส่งั เดมิ รับโทษ ทเี่ พ่มิ ข้นึ หรอื กลับคืนสูฐ่ านะเดิม แลว้ แต่กรณี ตามหลักเกณฑแ์ ละวธิ กี ารท่กี ำหนดในกฎ ก.ตร. มาตรา ๑๑๙ เมอื่ ผู้บงั คบั บัญชาได้ดำเนินการทางวินัยอยา่ งรา้ ยแรงหรอื สงั่ ให้ข้าราชการ ตำรวจออกจากราชการในเรือ่ งใดไปแลว้ ให้รายงาน ก.ตร. เพ่อื ทราบ แตใ่ นกรณีที่ ก.ตร. มีเหตอุ นั สมควร ก.ตร. จะส่ังเปลยี่ นแปลงแก้ไขการดำเนินการหรือคำส่ังของผบู้ ังคบั บญั ชา หรือให้ผู้บังคับบญั ชาดำเนินการ อยา่ งหนึง่ อย่างใดให้ถูกตอ้ งกไ็ ด้
- ๕๐ - การรายงานตามวรรคหนึ่งใหเ้ ป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธกี ารท่ี ก.ตร. กำหนด มาตรา ๑๒๐ ใหผ้ สู้ บื สวนและกรรมการสอบสวนเปน็ เจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา และให้กรรมการสอบสวนมอี ำนาจเชน่ เดียวกบั พนักงานสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธพี จิ ารณา ความอาญา เพยี งเทา่ ท่ีเกีย่ วกับอำนาจและหน้าทข่ี องกรรมการสอบสวน และโดยเฉพาะให้มอี ำนาจ เรยี กให้กระทรวง ทบวง กรม หน่วยส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานอนื่ ของรัฐ ห้างหนุ้ ส่วน บรษิ ัท หรอื บุคคลใด ๆ มาให้ถ้อยคำหรือชี้แจงข้อเท็จจริง ส่งเอกสารและหลักฐานทเี่ กยี่ วขอ้ ง ส่งผูแ้ ทนหรอื บุคคล ในสงั กัดมาชี้แจงหรอื ให้ถอ้ ยคำเกย่ี วกบั เรอ่ื งทส่ี อบสวน มาตรา ๑๒๑ ข้าราชการตำรวจผใู้ ดซึ่งออกจากราชการอนั มิใช่เพราะเหตตุ าย มีกรณี ถกู กล่าวหาเป็นหนังสือก่อนออกจากราชการวา่ ขณะรบั ราชการได้กระทำหรือละเว้นกระทำการใด อันเป็นความผิดวนิ ัยอยา่ งร้ายแรง ถ้าเป็นการกลา่ วหาต่อผู้บังคับบัญชาของผู้น้ัน หรอื ต่อผมู้ หี น้าที่ สบื สวนสอบสวนหรือตรวจสอบตามกฎหมายหรือระเบยี บของทางราชการ หรอื เปน็ การกล่าวหาของ ผู้บงั คับบญั ชาของผู้นนั้ หรอื มีกรณีถูกฟอ้ งคดีอาญาหรือต้องหาคดีอาญาก่อนออกจากราชการว่า ในขณะ รับราชการไดก้ ระทำความผิดอาญาอนั มิใชเ่ ปน็ ความผิดทไ่ี ด้กระทำโดยประมาทท่ีไมเ่ กยี่ วกับราชการ หรือความผดิ ลหุโทษ ผู้มอี ำนาจดำเนินการทางวนิ ยั มีอำนาจดำเนินการสอบสวนหรือพจิ ารณาดำเนนิ การ ทางวินัย และสั่งลงโทษตามท่ีบญั ญตั ไิ วใ้ นหมวดน้ีตอ่ ไปได้เสมอื นว่าผูน้ ้ันยงั มไิ ดอ้ อกจากราชการ แตต่ อ้ งสงั่ ลงโทษภายในสามปีนับแต่วันทีผ่ ู้นั้นออกจากราชการ กรณีตามวรรคหน่ึง ถา้ เปน็ การกล่าวหาหรอื ฟ้องคดอี าญาหรอื ต้องหาคดีอาญา หลังจากที่ ข้าราชการตำรวจผใู้ ดออกจากราชการแลว้ ใหผ้ ู้มอี ำนาจดำเนนิ การทางวินยั มีอำนาจดำเนินการสอบสวน หรอื พิจารณาดำเนนิ การทางวินยั และส่ังลงโทษตามที่บัญญัติไวใ้ นหมวดน้ีตอ่ ไปได้เสมือนวา่ ผนู้ ั้นยงั มไิ ด้ ออกจากราชการ โดยตอ้ งเริ่มดำเนนิ การสอบสวนภายในหนึ่งปนี บั แต่วันทีผ่ นู้ ้ันออกจากราชการ และต้อง ส่งั ลงโทษภายในสามปีนบั แต่วันทผ่ี นู้ ั้นออกจากราชการ สำหรบั กรณที ่เี ป็นความผดิ ทีป่ รากฏชัดแจ้ง ตามมาตรา ๑๑๒ วรรคสาม จะต้องสั่งลงโทษภายในสามปีนับแต่วนั ทผ่ี ูน้ น้ั ออกจากราชการ ในกรณีท่ีศาลปกครองมคี ำพิพากษาถงึ ทสี่ ดุ ให้เพกิ ถอนคำสัง่ ลงโทษ หรือ ก.พ.ค.ตร. มมี ตใิ ห้เพกิ ถอนคำสั่งลงโทษตามวรรคหนง่ึ หรอื วรรคสอง เพราะเหตกุ ระบวนการดำเนนิ การทางวินัย ไมช่ อบด้วยกฎหมาย ใหผ้ ู้มอี ำนาจดำเนินการทางวินยั ดำเนินการทางวนิ ัยใหแ้ ลว้ เสร็จภายในสองปี นับแตว่ นั ท่ีมคี ำพิพากษาถงึ ที่สดุ หรอื มีคำวินิจฉัยของ ก.พ.ค.ตร. แลว้ แต่กรณี การดำเนนิ การทางวินัยตามวรรคหน่งึ วรรคสอง และวรรคสาม ถ้าผลการสอบสวนพจิ ารณา ปรากฏว่าผู้น้นั กระทำผิดวินยั อยา่ งไม่รา้ ยแรง ก็ใหง้ ดโทษ มาตรา ๑๒๒ ในกรณีท่ีคณะกรรมการป้องกนั และปราบปรามการทุจรติ แห่งชาติ หรอื คณะกรรมการป้องกนั และปราบปรามการทจุ ริตในภาครฐั มมี ติช้มี ลู ความผิดขา้ ราชการตำรวจผู้ใด ซึ่งออกจากราชการแล้ว การดำเนนิ การทางวนิ ัยและสง่ั ลงโทษแก่ขา้ ราชการตำรวจผนู้ ัน้ ใหเ้ ป็นไปตาม หลกั เกณฑ์และเง่อื นไขท่ีกำหนดไว้ในกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าดว้ ยการปอ้ งกันและปราบปราม
- ๕๑ - การทุจริตหรอื กฎหมายว่าด้วยมาตรการของฝา่ ยบริหารในการปอ้ งกันและปราบปรามการทุจริต แลว้ แตก่ รณี การดำเนินการทางวินยั ตามวรรคหนงึ่ หากปรากฏว่าผูน้ นั้ กระทำผิดวินัยอยา่ งไมร่ ้ายแรง ก็ใหง้ ดโทษ มาตรา ๑๒๓ ขา้ ราชการตำรวจผู้ใดมีกรณถี ูกกลา่ วหาว่ากระทำผิดวินยั อยา่ งร้ายแรง จนถกู ต้ังกรรมการสอบสวน หรือต้องหาวา่ กระทำความผิดอาญาหรือถูกฟ้องคดีอาญา เว้นแตเ่ ปน็ ความผิด ทีไ่ ดก้ ระทำโดยประมาทหรอื ความผดิ ลหุโทษ ผู้มีอำนาจตามมาตรา ๙๗ หรือผบู้ ังคบั บัญชาอ่นื ตามท่ี กำหนดในระเบียบ ก.ตร. มีอำนาจสั่งพักราชการหรือสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน เพ่ือรอฟงั ผลการสอบสวน พจิ ารณาทางวนิ ัยได้ แต่ถ้าภายหลังปรากฏผลการสอบสวนพิจารณาทางวินยั ว่าผ้นู ้นั มิไดก้ ระทำผิด หรอื กระทำผิดไม่ถงึ กบั ถูกลงโทษปลดออกหรือไล่ออก และไม่มีกรณีท่ีจะต้องออกจากราชการดว้ ยเหตุอ่ืน ก็ใหผ้ มู้ อี ำนาจดงั กลา่ วสง่ั ใหผ้ ู้นัน้ กลบั เขา้ รบั ราชการในตำแหนง่ เดมิ หรือตำแหนง่ ในระดับเดียวกนั ทผ่ี นู้ นั้ มคี ุณสมบัติตรงตามคุณสมบัติเฉพาะสำหรับตำแหนง่ นนั้ เมื่อได้มกี ารสงั่ ใหข้ ้าราชการตำรวจผู้ใดพักราชการหรือออกจากราชการไว้ก่อนตามวรรคหนึ่งแลว้ หากภายหลังปรากฏว่าผนู้ นั้ มีกรณถี ูกกล่าวหาวา่ กระทำผิดวินยั อยา่ งร้ายแรงในกรณีอื่นอีก ผูม้ อี ำนาจ ตามมาตรา ๙๗ หรอื ผบู้ ังคับบัญชาอ่ืนตามทก่ี ำหนดในระเบียบ ก.ตร. มอี ำนาจดำเนนิ การสบื สวน หรอื พจิ ารณาตามมาตรา ๑๐๙ และแต่งตง้ั คณะกรรมการสอบสวนตามมาตรา ๑๑๑ ตลอดจนดำเนนิ การ ทางวนิ ยั ตามทีบ่ ัญญัตไิ ว้ในหมวดนต้ี อ่ ไปได้ ในกรณีทีผ่ ู้ถกู สงั่ ให้ออกจากราชการไวก้ ่อนไดร้ ับคำสัง่ ให้กลบั เขา้ รบั ราชการหรือได้รบั คำส่ัง ใหอ้ อกจากราชการดว้ ยเหตุใด ๆ ท่ีมใิ ช่เป็นการลงโทษ ให้ผู้นั้นมีสถานภาพเป็นข้าราชการตำรวจ ตลอดระยะเวลาระหวา่ งท่ถี ูกสง่ั ใหอ้ อกจากราชการไวก้ อ่ น เม่อื มีการดำเนินการทางวนิ ยั แกข่ า้ ราชการตำรวจซึ่งถูกสั่งพกั ราชการหรือสงั่ ให้ออกจาก ราชการไวก้ อ่ นแล้วเสร็จ ใหผ้ ู้มอี ำนาจตามมาตรา ๙๗ สงั่ ลงโทษตามความร้ายแรงแห่งกรณี ถ้ามเี หตุ อนั ควรลดหยอ่ น จะนำมาประกอบการพิจารณาลดโทษก็ได้ และให้มคี ำส่ังลงโทษยอ้ นหลงั ไปถงึ วนั ท่ี ถูกส่ังพักราชการหรือถูกส่ังให้ออกจากราชการไวก้ อ่ น เงนิ เดือน เงนิ อ่นื ทจี่ ่ายเปน็ รายเดอื น และเงินช่วยเหลืออยา่ งอืน่ และการจ่ายเงินดังกล่าว ของผูถ้ ูกสงั่ พักราชการและผู้ถูกส่ังให้ออกจากราชการไวก้ ่อน ใหเ้ ป็นไปตามกฎหมายหรือระเบียบ ว่าด้วยการนั้น หลักเกณฑแ์ ละวิธีการเก่ยี วกับการสัง่ พักราชการ การส่ังให้ออกจากราชการไวก้ อ่ น ระยะเวลาให้พักราชการและใหอ้ อกจากราชการไว้กอ่ น และการดำเนินการเพื่อใหเ้ ป็นไปตามผล การสอบสวนพจิ ารณา ให้เปน็ ไปตามท่กี ำหนดในกฎ ก.ตร. ใหน้ ำความในมาตรา ๑๒๑ มาใช้บงั คบั แก่ข้าราชการตำรวจซ่ึงถกู สั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน ตามมาตราน้ดี ว้ ยโดยอนุโลม แตร่ ะยะเวลาใหน้ บั แต่วนั ท่ีพ้นจากราชการดว้ ยเหตอุ ่นื ที่มใิ ชเ่ หตกุ ารสั่งให้ ออกจากราชการไว้กอ่ น
- ๕๒ - มาตรา ๑๒๔ ขา้ ราชการตำรวจซึ่งโอนมาตามมาตรา ๘๖ (๑) ผใู้ ดมีกรณีกระทำผดิ วินยั อยู่ก่อนวนั โอนมาบรรจุ ใหผ้ บู้ ังคับบัญชาของข้าราชการตำรวจผูน้ ั้นดำเนนิ การทางวนิ ยั ตามหมวดนี้ โดยอนุโลม แตถ่ า้ เปน็ เร่ืองที่อยใู่ นระหวา่ งการสืบสวนหรือพจิ ารณา หรอื สอบสวนของผบู้ ังคบั บัญชาเดมิ ก่อนวันโอน กใ็ หส้ ืบสวนหรือพิจารณาหรือสอบสวนต่อไปจนเสรจ็ แลว้ ส่งเรอ่ื งให้ผ้บู ังคับบญั ชาของ ข้าราชการตำรวจผูน้ ั้นพจิ ารณาดำเนนิ การต่อไปตามหมวดนีโ้ ดยอนโุ ลม แต่ทั้งนี้ ในการสง่ั ลงโทษทางวินยั ให้พิจารณาตามความผิดและการลงโทษตามกฎหมายวา่ ดว้ ยระเบียบข้าราชการหรอื ระเบียบบริหาร งานบุคคลสว่ นทอ้ งถ่นิ ท่ีโอนมานนั้ แลว้ แต่กรณี หมวด ๘ การออกจากราชการ มาตรา ๑๒๕ ขา้ ราชการตำรวจออกจากราชการเมื่อ (๑) ตาย (๒) พ้นจากราชการตามกฎหมายว่าดว้ ยบำเหนจ็ บำนาญข้าราชการ (๓) ได้รบั อนุญาตใหล้ าออกหรือการลาออกมผี ลตามมาตรา ๑๒๗ (๔) ถูกส่งั ให้ออกตามมาตรา ๖๗ มาตรา ๑๒๓ มาตรา ๑๒๖ มาตรา ๑๒๘ มาตรา ๑๒๙ มาตรา ๑๓๐ หรอื มาตรา ๑๓๑ (๕) ถูกส่ังลงโทษปลดออกหรือไล่ออก วันออกจากราชการตาม (๔) และ (๕) ใหเ้ ป็นไปตามทก่ี ำหนดในระเบยี บ ก.ตร. การออกจากราชการของขา้ ราชการตำรวจเฉพาะผู้ทต่ี ้องรับราชการตามกฎหมายว่าดว้ ย การรบั ราชการทหาร ใหเ้ ปน็ ไปตามกฎหมายวา่ ดว้ ยการน้ัน มาตรา ๑๒๖ ผู้ใดไดร้ ับบรรจุเข้าเป็นข้าราชการตำรวจ หากภายหลังปรากฏว่าขาดคุณสมบัติ หรือมลี ักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๖๓ หรอื ขาดคุณสมบตั เิ ฉพาะสำหรบั ตำแหน่งตามมาตรา ๖๑ ต้งั แต่ ก่อนได้รับการบรรจุ ใหผ้ ู้มีอำนาจตามมาตรา ๙๗ สัง่ ให้ออกจากราชการ แต่ท้งั น้ี ไมก่ ระทบกระเทือน ถงึ การใดที่ผนู้ ้นั ไดป้ ฏิบัติไปตามหน้าท่แี ละอำนาจ และการรับเงินเดือนหรือผลประโยชนอ์ ื่นใดที่ไดร้ ับจาก ทางราชการก่อนมีคำสงั่ ให้ออกน้ัน และถา้ การเขา้ รบั ราชการเปน็ ไปโดยสุจริตแล้ว ให้ถอื ว่าเป็นการส่งั ใหอ้ อกเพ่ือรับบำเหน็จบำนาญเหตทุ ดแทนตามกฎหมายว่าด้วยบำเหน็จบำนาญขา้ ราชการ มาตรา ๑๒๗ ข้าราชการตำรวจผ้ใู ดประสงค์จะลาออกจากราชการ ใหย้ ่นื หนงั สือขอลาออก ต่อผูบ้ ังคบั บัญชาเหนือข้ึนไปชั้นหน่ึง เพื่อใหผ้ มู้ ีอำนาจตามมาตรา ๙๗ หรือผบู้ ังคับบญั ชาอ่ืนตามท่ีกำหนด ในระเบยี บ ก.ตร. เปน็ ผูพ้ ิจารณาอนญุ าต ในกรณที ี่ขา้ ราชการตำรวจขอลาออกเพ่ือดำรงตำแหนง่ ท่ีกำหนดโดยรฐั ธรรมนูญ ตำแหนง่ ทางการเมือง หรือเพื่อสมัครรบั เลอื กต้งั หรือรับเลือกเป็นสมาชกิ รัฐสภาสภาผแู้ ทนราษฎร สมาชกิ วุฒิสภา สมาชิกสภาทอ้ งถิ่น หรือผบู้ ริหารทอ้ งถนิ่ ใหก้ ารลาออกมผี ลนับตง้ั แต่วันท่ีผนู้ ้นั ขอลาออก
- ๕๓ - นอกจากกรณตี ามวรรคสอง ถ้าผู้มอี ำนาจตามมาตรา ๙๗ หรอื ผบู้ ังคับบัญชาอนื่ ตามท่ีกำหนด ในระเบยี บ ก.ตร. เห็นวา่ จำเป็นเพ่อื ประโยชน์แก่ราชการ จะยบั ย้ังการลาออกไว้เปน็ เวลาไม่เกนิ เกา้ สบิ วนั นบั แตว่ นั ขอลาออกก็ได้ ในกรณเี ช่นนั้น ถา้ ผู้ขอลาออกมิได้ถอนใบลาออกก่อนครบกำหนดระยะเวลา การยับยัง้ ให้ถือวา่ การลาออกนน้ั มผี ลเมอ่ื ครบกำหนดเวลาตามที่ได้ยับยัง้ ไว้ ในกรณีทผ่ี ู้มีอำนาจตามมาตรา ๙๗ หรือผู้บงั คับบญั ชาอน่ื ตามที่กำหนดในระเบียบ ก.ตร. มิได้ยับยง้ั ตามวรรคสาม ให้การลาออกนั้นมผี ลต้ังแตว่ ันขอลาออก หลักเกณฑแ์ ละวิธกี ารเกีย่ วกับการลาออก การพจิ ารณาอนุญาตใหล้ าออก และการยบั ยั้ง การลาออกจากราชการ ใหเ้ ป็นไปตามทีก่ ำหนดในระเบียบ ก.ตร. มาตรา ๑๒๘ ผ้มู อี ำนาจตามมาตรา ๙๗ มีอำนาจสงั่ ให้ขา้ ราชการตำรวจออกจากราชการ เพือ่ รบั บำเหนจ็ บำนาญตามกฎหมายว่าด้วยบำเหน็จบำนาญข้าราชการได้ แตใ่ นการส่ังให้ออกจากราชการ เพื่อรับบำเหนจ็ บำนาญเหตทุ ดแทน นอกจากให้ทำไดใ้ นกรณีทร่ี ะบุไว้ในมาตราอื่นแหง่ พระราชบัญญตั ิน้ี หรือในกฎหมายวา่ ด้วยบำเหน็จบำนาญขา้ ราชการแล้ว ใหท้ ำได้ในกรณดี ังต่อไปนีด้ ว้ ย (๑) เมื่อข้าราชการตำรวจผูใ้ ดเจ็บป่วยไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ราชการของตนได้โดยสม่ำเสมอ (๒) เม่ือขา้ ราชการตำรวจผู้ใดสมคั รไปปฏบิ ตั ิงานใด ๆ ตามความประสงคข์ องทางราชการ (๓) เมือ่ ขา้ ราชการตำรวจผูใ้ ดขาดคณุ สมบัติทัว่ ไปตามมาตรา ๖๓ (๑) หรือ (๔) หรอื ขาด คณุ สมบตั หิ รือมีลักษณะตอ้ งหา้ มตามท่ีกำหนดในกฎ ก.ตร. (๔) เมอ่ื ข้าราชการตำรวจผใู้ ดไมส่ ามารถปฏบิ ตั ริ าชการใหม้ ีประสทิ ธิภาพและเกดิ ประสิทธผิ ล ในระดับอันเป็นที่พอใจของทางราชการ ท้งั น้ี ตามหลักเกณฑแ์ ละวิธกี ารทก่ี ำหนดในกฎ ก.ตร. มาตรา ๑๒๙ ข้าราชการตำรวจผใู้ ดมีกรณถี ูกกล่าวหาหรอื มเี หตอุ ันควรสงสยั วา่ หยอ่ นความสามารถในอันที่จะปฏบิ ัตหิ น้าทีร่ าชการ บกพร่องในหนา้ ทรี่ าชการ หรอื ประพฤติตน ไม่เหมาะสมกบั ตำแหน่งในอันทีจ่ ะปฏบิ ตั หิ นา้ ที่ราชการ และผบู้ ังคับบัญชาตำแหนง่ ตัง้ แต่ผ้กู ำกบั การ หรือเทียบเทา่ ผู้กำกบั การข้ึนไปเหน็ วา่ กรณมี มี ลู ถ้าให้ผ้นู ้ันรับราชการต่อไปจะเป็นการเสียหายแกร่ าชการ ก็ให้ผมู้ ีอำนาจดังกล่าวสง่ั แต่งตงั้ คณะกรรมการสอบสวนโดยไม่ชักช้า ในการสอบสวนนจ้ี ะต้องแจง้ ขอ้ กล่าวหาและสรุปพยานหลักฐานทส่ี นบั สนนุ ข้อกล่าวหาเท่าที่มใี หผ้ ู้ถูกกล่าวหาทราบ โดยจะระบุ หรอื ไม่ระบุชอื่ พยานก็ได้ และตอ้ งใหโ้ อกาสผู้ถูกกล่าวหาชี้แจงและนำสบื แก้ข้อกล่าวหาได้ด้วย เมื่อได้มีการ สอบสวนแล้ว ถ้าคณะกรรมการหรอื ผู้สั่งแต่งตง้ั คณะกรรมการพจิ ารณาเห็นวา่ สมควรให้ออกจากราชการ ก็ใหผ้ สู้ ่ังแตง่ ตัง้ คณะกรรมการเสนอเร่ืองต่อผูม้ ีอำนาจตามมาตรา ๙๗ เพ่อื พิจารณาส่ังให้ผู้น้นั ออกจาก ราชการเพ่ือรับบำเหนจ็ บำนาญเหตทุ ดแทนได้ ในกรณีที่ผู้บงั คับบัญชาได้แตง่ ตั้งคณะกรรมการเพ่อื ทำการสอบสวนผูถ้ กู กล่าวหา ตามมาตรา ๑๑๑ ในเร่อื งท่จี ะตอ้ งสอบสวนตามวรรคหน่ึง และคณะกรรมการสอบสวนตามมาตรา ๑๑๑ ไดส้ อบสวนไว้แล้ว ผมู้ อี ำนาจตามวรรคหนึ่งจะใชส้ ำนวนการสอบสวนน้นั มาพจิ ารณาดำเนินการโดยไม่ต้อง แตง่ ต้งั คณะกรรมการสอบสวนตามวรรคหน่งึ ก็ได้ หลักเกณฑ์และวธิ ีการเกยี่ วกับการสอบสวนพจิ ารณา ใหเ้ ป็นไปตามท่ีกำหนดในกฎ ก.ตร.
- ๕๔ - มาตรา ๑๓๐ เมอ่ื ข้าราชการตำรวจผูใ้ ดถกู กลา่ วหาว่ากระทำผิดวนิ ัยอย่างรา้ ยแรง และได้มี การสอบสวนตามมาตรา ๑๑๑ แตไ่ มไ่ ดค้ วามแนช่ ัดวา่ ผูน้ นั้ กระทำผดิ ทีจ่ ะถูกลงโทษปลดออกหรือไล่ออก แตม่ ีมลทินหรือมวั หมองในกรณีทีถ่ ูกสอบสวนนนั้ หากจะให้รบั ราชการตอ่ ไปจะเปน็ การเสียหายแก่ราชการ ก็ใหผ้ ู้มีอำนาจตามมาตรา ๙๗ ส่งั ใหผ้ ู้นัน้ ออกจากราชการเพอ่ื รบั บำเหนจ็ บำนาญเหตุทดแทนได้ มาตรา ๑๓๑ เมอื่ ขา้ ราชการตำรวจผู้ใดถูกจำคุกโดยคำพพิ ากษาถงึ ทส่ี ดุ ให้จำคกุ ในความผิด ที่ไดก้ ระทำโดยประมาทหรือความผดิ ลหุโทษ ซึ่งยังไม่ถงึ กับจะต้องถกู ลงโทษปลดออกหรือไล่ออก หากจะใหร้ บั ราชการต่อไปจะเปน็ การเสียหายแก่ราชการ ก็ให้ผมู้ ีอำนาจตามมาตรา ๙๗ สง่ั ใหผ้ นู้ ้นั ออกจากราชการเพื่อรบั บำเหน็จบำนาญเหตทุ ดแทนได้ มาตรา ๑๓๒ การพน้ จากตำแหนง่ ของข้าราชการตำรวจตำแหนง่ ผ้บู ัญชาการตำรวจ แหง่ ชาติ จเรตำรวจแห่งชาติ และรองผบู้ ัญชาการตำรวจแห่งชาติ หรือตำแหน่งเทียบเท่า ใหน้ ำความ กราบบังคมทลู เพ่ือทรงมพี ระบรมราชโองการให้พ้นจากตำแหน่ง เว้นแตก่ รณีที่พ้นจากตำแหนง่ เพราะความตาย เกษียณอายุ หรือพน้ จากราชการเพราะถกู ลงโทษ ในการออกจากราชการของข้าราชการตำรวจตำแหนง่ ตัง้ แต่ผบู้ งั คับการหรือตำแหนง่ เทยี บเท่าขึ้นไปนอกจากตำแหน่งตามวรรคหน่ึง ให้นายกรัฐมนตรีนำความกราบบงั คมทูลเพอ่ื ทรงทราบ เว้นแต่กรณีทีพ่ ้นจากตำแหน่งเพราะความตาย เกษยี ณอายุ หรอื พน้ จากราชการเพราะถกู ลงโทษ หมวด ๙ การอุทธรณ์ มาตรา ๑๓๓ ข้าราชการตำรวจผ้ใู ดถูกสั่งลงโทษหรือถกู สัง่ ให้ออกจากราชการ ตามพระราชบญั ญัตนิ ้ี ใหผ้ นู้ ้ันมสี ิทธอิ ุทธรณ์ได้ ดังต่อไปนี้ (๑) กรณีถกู สั่งลงโทษภาคทัณฑ์ ทณั ฑกรรม กักยาม กักขงั หรือตดั เงนิ เดือน ใหอ้ ุทธรณ์ คำสัง่ ดังกลา่ วต่อผบู้ ังคบั บัญชาของผ้บู ังคบั บัญชาทีส่ ง่ั ลงโทษ แต่ในกรณีท่ผี ู้บัญชาการตำรวจแหง่ ชาติ เปน็ ผสู้ ่ังลงโทษ ใหอ้ ทุ ธรณต์ ่อ ก.ตร. (๒) กรณีถูกสงั่ ลงโทษปลดออก หรอื ไล่ออก หรอื ถูกสง่ั ให้ออกจากราชการ ให้อทุ ธรณ์คำส่งั ดังกล่าวต่อ ก.พ.ค.ตร. การอุทธรณ์ตาม (๑) และ (๒) ใหอ้ ุทธรณ์ภายในสามสิบวนั นบั แตว่ ันทราบคำส่ัง การพิจารณาอุทธรณ์ตาม (๑) ใหพ้ จิ ารณาให้แลว้ เสร็จภายในหนึ่งร้อยยสี่ บิ วนั นับแตว่ ันที่ได้รับ อทุ ธรณ์ เว้นแต่มีเหตุจำเปน็ ขดั ข้องตามท่กี ำหนดในระเบียบ ก.ตร. ท่ที ำให้การพจิ ารณาไม่แลว้ เสรจ็ ภายใน ระยะเวลาดงั กล่าว ก็ให้ขยายระยะเวลาได้อีกไม่เกนิ สองคร้ัง โดยแต่ละคร้ังจะตอ้ งไม่เกนิ หกสบิ วนั และให้ บันทึกเหตขุ ัดข้องใหป้ รากฏไวด้ ้วย ท้ังนี้ การอทุ ธรณ์และการพิจารณาวนิ ิจฉัยอทุ ธรณ์ตาม (๑) ให้เป็นไป ตามทกี่ ำหนดในกฎ ก.ตร.
- ๕๕ - การพจิ ารณาวินิจฉยั อุทธรณต์ าม (๒) ให้ดำเนินการใหแ้ ล้วเสรจ็ ภายในหน่ึงร้อยย่สี ิบวนั นบั แตว่ นั ทไี่ ดร้ ับอุทธรณ์ เวน้ แตม่ ีเหตุขดั ขอ้ งที่ทำให้การพิจารณาไม่แล้วเสรจ็ ภายในระยะเวลาดงั กล่าว กใ็ หข้ ยายระยะเวลาได้อีกไม่เกินสองคร้ัง โดยแตล่ ะครั้งจะตอ้ งไมเ่ กินหกสบิ วนั และใหบ้ ันทกึ เหตขุ ัดขอ้ ง ใหป้ รากฏไวด้ ้วย ทงั้ น้ี การอุทธรณแ์ ละการพิจารณาวินจิ ฉัยอุทธรณ์ตาม (๒) ใหเ้ ปน็ ไปตามท่กี ำหนด ในกฎ ก.พ.ค.ตร. ในกรณีน้ี อาจกำหนดวธิ ีการช่วั คราวเพื่อการแก้ไขปัญหาหรือบรรเทาทุกข์ก่อนท่ี ก.พ.ค.ตร. จะมคี ำวินจิ ฉยั ดว้ ยก็ได้ ในกรณที ่ี ก.ตร. ตามวรรคสาม หรอื ก.พ.ค.ตร. ตามวรรคส่ี พิจารณาไม่แลว้ เสรจ็ ตามกำหนดเวลา ให้ผูอ้ ุทธรณ์ฟอ้ งคดตี ่อศาลปกครองไดภ้ ายในเกา้ สบิ วันนับแต่วนั ที่ครบกำหนดเวลา ดังกล่าว กฎ ก.ตร. ตามวรรคสาม และ กฎ ก.พ.ค.ตร. ตามวรรคสี่ ตอ้ งไมส่ รา้ งขนั้ ตอนหรอื วธิ ีการใด ทีท่ ำให้การพิจารณาวนิ จิ ฉัยอุทธรณ์เกดิ ความล่าชา้ มาตรา ๑๓๔ เม่ือ ก.พ.ค.ตร. พิจารณาวนิ ิจฉัยอุทธรณแ์ ล้ว ใหผ้ บู้ ังคบั บัญชาซึง่ สัง่ ลงโทษ ดำเนนิ การใหเ้ ปน็ ไปตามคำวินจิ ฉัยน้ันภายในสามสิบวนั นับแตว่ ันที่ ก.พ.ค.ตร. มีคำวนิ ิจฉัย ในกรณที ผี่ ู้อทุ ธรณ์ไม่เห็นด้วยกับคำวนิ ิจฉยั อุทธรณ์ของ ก.พ.ค.ตร. ให้ฟอ้ งคดีต่อ ศาลปกครองสงู สุดภายในเกา้ สบิ วนั นับแตว่ นั ท่ีทราบหรอื ถือวา่ ทราบคำวินิจฉัยของ ก.พ.ค.ตร. ผู้บงั คับบญั ชาผูใ้ ดไมป่ ฏบิ ตั ติ ามวรรคหนึ่ง ให้ถือว่าเป็นการจงใจละเว้นการปฏบิ ตั หิ น้าที่ โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอืน่ มาตรา ๑๓๕ ในการปฏบิ ัตหิ นา้ ทตี่ ามพระราชบัญญัตนิ ้ี ให้กรรมการ ก.พ.ค.ตร. เปน็ เจา้ พนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา และให้มอี ำนาจ ดังตอ่ ไปน้ี (๑) สั่งให้ผ้บู ังคับบัญชาซ่ึงส่งั ลงโทษหรอื สั่งให้ออกจากราชการอันเปน็ เหตุให้มกี ารอุทธรณ์ สง่ สำนวนการสอบสวนและการลงโทษให้ ก.พ.ค.ตร. ภายในเวลาท่ีกำหนด (๒) ส่ังให้สอบสวนใหม่หรือสอบสวนเพม่ิ เติม หรือสง่ ตัวขา้ ราชการตำรวจในสงั กดั มาใหถ้ ้อยคำ ในการน้ี จะกำหนดระยะเวลาในการสอบสวนใหมห่ รอื สอบสวนเพ่มิ เติมไว้ด้วยก็ได้ (๓) มคี ำสั่งให้ข้าราชการ พนักงาน หรือลกู จ้างของกระทรวง ทบวง กรม สว่ นราชการ รฐั วสิ าหกิจ และหนว่ ยงานอื่นของรัฐ หรอื องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือบุคคลใดท่ีเกี่ยวขอ้ ง มาใหถ้ ้อยคำ หรอื ใหส้ ง่ เอกสารหรือหลกั ฐานท่เี ก่ยี วข้อง (๔) เข้าไปในอาคารหรือสถานทีใ่ ด ๆ ทเี่ กยี่ วข้องกบั การปฏิบัตหิ นา้ ทีข่ อง ก.พ.ค.ตร. ทัง้ น้ี ในระหว่างพระอาทติ ย์ขึ้นถึงพระอาทติ ยต์ ก หรอื ในเวลาทำการของสถานท่นี น้ั (๕) สอบสวนใหม่หรอื สอบสวนเพ่ิมเติม มาตรา ๑๓๖ ในการพจิ ารณาวินจิ ฉัยอทุ ธรณ์ ให้ ก.พ.ค.ตร. มอี ำนาจไม่รับอุทธรณ์ ยกอุทธรณ์ หรือมคี ำวนิ จิ ฉัยใหแ้ กไ้ ขหรอื ยกเลิกคำส่งั ลงโทษ และใหเ้ ยยี วยาความเสยี หายให้ผู้อุทธรณ์ รวมทัง้ เรง่ รัดตดิ ตามการเยยี วยา หรอื ใหด้ ำเนนิ การอนื่ ใดเพื่อประโยชนแ์ หง่ ความยุติธรรม ตามระเบียบ ท่ี ก.พ.ค.ตร. กำหนด
- ๕๖ - การวนิ จิ ฉัยใหแ้ ก้ไขหรือใหด้ ำเนนิ การอน่ื ตามวรรคหนง่ึ ก.พ.ค.ตร. จะให้เพ่ิมโทษไม่ได้ มาตรา ๑๓๗ การคัดคา้ นกรรมการ ก.พ.ค.ตร. เหตแุ หง่ การคดั คา้ น วิธีการคดั ค้าน การพจิ ารณาคำคดั คา้ น และการถอนตัว ใหเ้ ป็นไปตามทีก่ ำหนดในกฎ ก.พ.ค.ตร. มาตรา ๑๓๘ ในกรณีท่ีศาลปกครองมีคำพิพากษาถงึ ท่สี ุดหรอื ผมู้ ีอำนาจพิจารณา ตามกฎหมายได้วินิจฉยั ถงึ ท่สี ดุ แล้ว ส่ังเพิกถอนหรือแก้ไขคำสง่ั ในเร่ืองใด ให้เป็นหน้าที่ของผูบ้ งั คับบัญชา ผู้มอี ำนาจ หรือ ก.ตร. แล้วแต่กรณี ในการส่งั การตามสมควรเพ่อื เยยี วยาและแก้ไขหรือดำเนินการ ตามควรแก่กรณเี พอ่ื ให้เป็นไปตามคำพิพากษาหรือคำวินจิ ฉยั นนั้ หมวด ๑๐ การร้องทุกข์ มาตรา ๑๓๙ ขา้ ราชการตำรวจผใู้ ดเหน็ วา่ ผู้บังคับบญั ชาใช้อำนาจหนา้ ท่ปี ฏิบัติต่อตน โดยไม่ถูกต้องหรือไมป่ ฏิบตั ติ ่อตนให้ถูกต้องตามระเบียบ กฎหมาย หรือเกิดจากการปฏิบัติโดยมิชอบ ของผู้บังคบั บัญชาต่อตน หรอื กฎ ก.ตร. ท่ีออกมาใช้บังคับขัดหรือแยง้ ต่อพระราชบญั ญัติน้ี หรือกอ่ ให้เกดิ ความไม่เป็นธรรม ผนู้ น้ั อาจร้องทุกข์ต่อผ้บู ังคบั บัญชาหรอื ก.พ.ค.ตร. แลว้ แต่กรณี เพื่อขอให้แกไ้ ขได้ เวน้ แต่เป็นกรณีที่มีสทิ ธิอุทธรณต์ ามหมวด ๙ การอทุ ธรณ์ ใหใ้ ช้สิทธอิ ทุ ธรณต์ ามทีก่ ำหนดไว้ในหมวดน้ัน มาตรา ๑๔๐ การรอ้ งทุกข์ที่เหตเุ กดิ จากผู้บังคบั บญั ชา ให้ร้องทุกข์ต่อผูบ้ ังคับบัญชา ช้ันเหนอื ขึ้นไป ตามลำดบั การรอ้ งทกุ ข์ที่เหตุเกดิ จากหัวหนา้ ส่วนราชการระดบั กองบัญชาการขึน้ ไป ให้ร้องทุกข์ ตอ่ ก.พ.ค.ตร. การร้องทกุ ขว์ ่ากฎ ก.ตร. ทอ่ี อกมาใช้บังคับก่อใหเ้ กิดความไมเ่ ป็นธรรม หรอื ขดั หรือแย้ง ตอ่ พระราชบัญญัตนิ ้ี ใหร้ ้องทุกข์ต่อ ก.พ.ค.ตร. ระยะเวลาการร้องทกุ ข์ การร้องทุกข์ และการพจิ ารณาวนิ จิ ฉยั เรอื่ งร้องทุกข์ ตามวรรคหน่ึง วรรคสอง และวรรคสาม ใหเ้ ป็นไปตามที่กำหนดในกฎ ก.พ.ค.ตร. มาตรา ๑๔๑ ในการพจิ ารณาวินิจฉยั เร่อื งร้องทุกข์ ให้ผบู้ ังคบั บัญชาซ่ึงพจิ ารณาวนิ ิจฉัย เรื่องร้องทกุ ข์ และ ก.พ.ค.ตร. มีอำนาจไมร่ ับเรอื่ งร้องทุกข์ ยกคำร้องทุกข์ หรอื มีคำวินิจฉัยให้แก้ไข หรอื ยกเลกิ คำส่ัง และให้เยยี วยาความเสียหายใหผ้ ู้รอ้ งทุกข์ หรือใหด้ ำเนินการอ่ืนใดเพ่ือประโยชน์ แห่งความยุติธรรมตามระเบียบที่ ก.พ.ค.ตร. กำหนด เมื่อผบู้ ังคับบัญชาซึง่ พจิ ารณาวนิ จิ ฉัยคำร้องทุกข์ หรือ ก.พ.ค.ตร. ไดพ้ จิ ารณาวนิ จิ ฉยั เรอ่ื งรอ้ งทกุ ข์ประการใดแล้ว ให้ผ้มู หี น้าที่ปฏิบัตดิ ำเนนิ การใหเ้ ป็นไปตามคำวินิจฉยั น้นั
- ๕๗ - ผู้รอ้ งทุกขผ์ ู้ใดไมพ่ อใจคำวินิจฉยั ของผบู้ ังคบั บัญชาซ่ึงมอี ำนาจพจิ ารณาวนิ ิจฉยั เรื่องรอ้ งทุกข์ มสี ทิ ธอิ ุทธรณ์ต่อ ก.พ.ค.ตร. ไดภ้ ายในสามสบิ วนั นบั แต่วันที่ได้รับแจ้งคำวนิ ิจฉยั และใหน้ ำความใน มาตรา ๑๔๐ วรรคสี่ มาใชบ้ ังคับโดยอนโุ ลม คำวนิ จิ ฉยั ของ ก.พ.ค.ตร. ใหเ้ ป็นทสี่ ดุ หมวด ๑๑ การคมุ้ ครองระบบคุณธรรม มาตรา ๑๔๒ ในกรณที ่ี ก.พ.ค.ตร. เหน็ วา่ กฎกระทรวง กฎ ก.ตร. ระเบยี บ ขอ้ บงั คบั ข้อกำหนด ประกาศ มติ หรือคำสงั่ ใดท่ีออกตามพระราชบัญญัตินี้และมุง่ หมายให้ใชบ้ งั คับเปน็ การทั่วไป ไม่สอดคลอ้ งกบั ระบบคุณธรรมตามมาตรา ๕๓๕๒ ให้ ก.พ.ค.ตร. แจ้งใหผ้ มู้ อี ำนาจออกกฎกระทรวง กฎ ก.ตร. ระเบียบ ข้อบังคับ ขอ้ กำหนด ประกาศ มติ หรือคำส่งั ดงั กลา่ วทราบ เพ่ือดำเนินการแก้ไข หรือยกเลกิ ตามควรแก่กรณี หมวด ๑๒ เคร่ืองแบบตำรวจ มาตรา ๑๔๓ ลักษณะ ชนดิ และประเภทของเครื่องแบบตำรวจและข้าราชการตำรวจ ท่ีไม่มยี ศ รวมท้ังการแต่งวา่ จะสมควรอยา่ งไร เม่ือไร และโดยเงอื่ นไขประการใดนน้ั ใหเ้ ป็นไปตามท่กี ำหนด ในกฎกระทรวง มาตรา ๑๔๔ ผู้ใดแตง่ เครื่องแบบตำรวจโดยไมม่ สี ิทธิ ต้องระวางโทษจำคุกต้งั แต่สามเดือน ถงึ หา้ ปี ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคหน่ึง ไดก้ ระทำภายในเขตซึ่งประกาศใช้กฎอัยการศึก หรอื ประกาศภาวะฉุกเฉิน หรือเพ่ือกระทำความผดิ อาญา ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หน่งึ ปีถึงสบิ ปี มาตรา ๑๔๕ ขา้ ราชการตำรวจผใู้ ดแต่งเคร่ืองแบบตำรวจในขณะกระทำความผดิ อย่างใดอยา่ งหนง่ึ ตามทีบ่ ัญญัตไิ วใ้ นประมวลกฎหมายอาญาซ่ึงมีกำหนดโทษจำคุกอย่างสูงตั้งแต่หนง่ึ ปี ขนึ้ ไป ต้องระวางโทษจำคุกต้งั แตห่ น่ึงปถี งึ เจ็ดปี มาตรา ๑๔๖ ผ้ใู ดแตง่ กายโดยใช้เคร่ืองแต่งกายคลา้ ยเครื่องแบบตำรวจ และกระทำการใด ๆ อนั ทำใหร้ าชการตำรวจถกู ดหู มน่ิ หรือถูกเกลียดชัง หรอื ทำให้เกดิ ความเสื่อมเสยี แกร่ าชการตำรวจ หรอื ทำให้บุคคลอื่นหลงเชื่อว่าตนเป็นตำรวจ ต้องระวางโทษจำคกุ ไมเ่ กนิ สามเดอื น หรือปรบั ต้ังแต่ หนึง่ พนั บาทถึงหน่ึงหมน่ื บาท หรือท้งั จำท้ังปรบั
- ๕๘ - ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคหนงึ่ ไดก้ ระทำภายในเขตซ่ึงประกาศใช้กฎอัยการศึก หรอื ประกาศภาวะฉุกเฉิน หรือเพ่ือกระทำความผิดอาญา ผู้กระทำตอ้ งระวางโทษจำคุกตั้งแตห่ นง่ึ ปีถงึ สิบปี มาตรา ๑๔๗ ในการแสดงภาพยนตร์ ละคร หรือการแสดงอืน่ ใดทำนองเดียวกนั ทป่ี ระสงค์ จะเผยแพร่ต่อสาธารณชน หากผ้แู สดงประสงค์จะแตง่ เคร่ืองแบบตำรวจ หรอื แต่งกายโดยใชเ้ ครือ่ งแต่งกาย คล้ายเครื่องแบบตำรวจ ใหผ้ ู้ซ่งึ มีหนา้ ท่รี ับผดิ ชอบการแสดงนัน้ หรือผซู้ ึ่งไดร้ บั มอบหมายแจง้ ต่อหัวหนา้ สถานตี ำรวจแห่งท้องท่ีทจ่ี ะทำการแสดงเช่นวา่ นน้ั ทราบ ทั้งนี้ ตามหลกั เกณฑ์ทีก่ ำหนดในกฎกระทรวง ลักษณะ ๘ กองทุนเพ่ือการสบื สวน สอบสวน การป้องกนั และปราบปรามการกระทำความผิดทางอาญา มาตรา ๑๔๘ ใหจ้ ดั ตั้งกองทุนข้ึนกองทนุ หนง่ึ ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรยี กว่า “กองทนุ เพอ่ื การสืบสวน สอบสวน การป้องกนั และปราบปรามการกระทำความผดิ ทางอาญา” โดยมีวตั ถุประสงค์ เพื่อใช้จ่ายในงานสืบสวน สอบสวน และการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผดิ ทางอาญา ในสว่ นท่ีมีงบประมาณไม่เพียงพอหรือไมอ่ าจใช้จากเงินงบประมาณได้ มาตรา ๑๔๙ กองทุนประกอบด้วย (๑) ทรพั ย์สินท่ีได้รบั โอนมาตามมาตรา ๑๖๘ (๒) เงนิ อดุ หนนุ จากรัฐบาล (๓) เงินและทรพั ยส์ ินที่กองทุนได้รับจากหน่วยงานของรฐั รฐั วสิ าหกจิ ราชการสว่ นท้องถน่ิ หรือมูลนธิ ิ เวน้ แตเ่ งนิ อุดหนุนตามมาตรา ๗ วรรคสอง (๔) ดอกผลที่เกิดจากกองทุน คณะรฐั มนตรีจะอนมุ ัตใิ ห้นำเงนิ คา่ เปรยี บเทยี บปรับคดีอาญาทเี่ ป็นอำนาจของขา้ ราชการ ตำรวจ เงินค่าปรบั ตามกฎหมายว่าด้วยการจราจรทางบก เฉพาะส่วนท่ีจะต้องนำสง่ เป็นรายได้แผน่ ดนิ และเงนิ ค่าปรบั ทางปกครองท่ีขา้ ราชการตำรวจสงั่ ปรับตามกฎหมาย ให้เปน็ ของกองทนุ โดยไมต่ ้องนำส่ง เป็นรายได้แผ่นดินกไ็ ด้ เงนิ ดอกผล และทรพั ย์สนิ ตามวรรคหนึ่งและวรรคสอง ให้ส่งเข้ากองทนุ โดยไมต่ ้องนำส่ง เป็นรายไดแ้ ผน่ ดนิ มาตรา ๑๕๐ เงนิ ดอกผล และทรัพยส์ ินทปี่ ระกอบขึน้ เป็นกองทุนจะต้องจัดการเพื่อประโยชน์ ภายในขอบวตั ถุประสงค์ของกองทนุ มาตรา ๑๕๑ ใหม้ ีคณะกรรมการบรหิ ารกองทุนคณะหนึง่ ประกอบดว้ ย ผู้บัญชาการตำรวจ แห่งชาติ เปน็ ประธานกรรมการ จเรตำรวจแห่งชาติ ผู้แทนกรมบัญชีกลาง ผ้แู ทนสำนกั งานอัยการสงู สดุ
- ๕๙ - ผู้แทนสำนักงบประมาณ และรองผบู้ ญั ชาการตำรวจแห่งชาตหิ รือผชู้ ่วยผูบ้ ัญชาการตำรวจแหง่ ชาติซงึ่ ไดร้ ับ มอบหมายจากผู้บญั ชาการตำรวจแหง่ ชาตจิ ำนวนสองคน เป็นกรรมการ ใหป้ ระธานกรรมการแต่งตงั้ ข้าราชการตำรวจเปน็ เลขานกุ ารคนหน่งึ และผ้ชู ่วยเลขานุการ จำนวนไมเ่ กินสองคน มาตรา ๑๕๒ คณะกรรมการบรหิ ารกองทนุ มีหน้าทแ่ี ละอำนาจ ดงั ต่อไปนี้ (๑) บรหิ ารกองทนุ ให้เป็นไปตามวตั ถปุ ระสงค์ของกองทนุ และตามนโยบายที่ ก.ตร.ก.ต.ช. กำหนด (๒) ออกระเบยี บกำหนดหลักเกณฑ์การจา่ ยเงินกองทนุ เพอ่ื สนบั สนนุ การปฏบิ ตั ิงานของ ข้าราชการตำรวจในการทำหนา้ ทเ่ี กย่ี วกบั การสืบสวน สอบสวน การป้องกนั และปราบปรามการกระทำ ความผดิ ทางอาญา ระเบียบดังกล่าว เม่ือไดร้ ับความเห็นชอบจาก ก.ตร.ก.ต.ช. แลว้ ใหใ้ ช้บังคับได้ (๓) จัดวางระบบบัญชใี ห้เปน็ ไปตามมาตรฐานตามท่ีผู้แทนสำนกั งบประมาณการบัญชี ภาครัฐและผูแ้ ทนกรมนโยบายการบัญชีกลางเสนอแนะภาครัฐทก่ี ระทรวงการคลังกำหนด (๔) กำหนดหลกั เกณฑ์และวิธีการในการรบั เกบ็ รักษา และจ่ายเงนิ ของกองทนุ (๕) ออกระเบยี บกำหนดคา่ ใช้จ่ายในการดำเนินงานของกองทุน (๖) แต่งตัง้ คณะอนุกรรมการเพือ่ ปฏบิ ัตงิ านตามที่คณะกรรมการบรหิ ารกองทนุ มอบหมาย (๗) ออกระเบยี บ ข้อบังคบั ประกาศ และคำสั่งในการบรหิ ารกองทุน (๘) รายงานสถานะการเงนิ และบริหารกองทุนต่อ ก.ตร.ก.ต.ช. มาตรา ๑๕๓ ให้คณะกรรมการบริหารกองทุนจดั ทำงบการเงนิ และบญั ชี สง่ ผู้สอบบญั ชี ตรวจสอบภายในหนง่ึ รอ้ ยยี่เก้าสบิ วันนับแต่วันส้นิ ปีปฏทิ นิ ทุกปี ให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเป็นผสู้ อบบัญชขี องกองทุนทุกรอบปี แลว้ ทำรายงาน ผลการสอบบัญชีของกองทุนเสนอต่อ ก.ตร.ก.ต.ช. และกระทรวงการคลัง บทเฉพาะกาล มาตรา ๑๕๔ ให้ส่วนราชการทจี่ ัดต้ังขน้ึ ตามพระราชกฤษฎีกาแบง่ ส่วนราชการสำนักงาน ตำรวจแหง่ ชาติ พ.ศ. ๒๕๕๒ และทแี่ ก้ไขเพ่ิมเติม และกฎกระทรวงแบ่งสว่ นราชการเป็นกองบังคับการ หรอื ส่วนราชการอยา่ งอืน่ ในสำนกั งานตำรวจแหง่ ชาติ พ.ศ. ๒๕๕๒ และทีแ่ ก้ไขเพ่ิมเติม เปน็ สว่ นราชการ ตามพระราชบัญญตั นิ ี้จนกวา่ จะมีพระราชกฤษฎีกาหรือกฎกระทรวงที่ออกตามมาตรา ๑๑ แตท่ ั้งน้ี ตอ้ งไมเ่ กนิ หนงึ่ ปนี บั แตว่ ันที่พระราชบัญญัตินใ้ี ช้บังคับ มาตรา ๑๕๕ เมอ่ื ครบหนึ่งปีนบั แตว่ ันท่พี ระราชบญั ญตั ิน้ีใช้บงั คบั ให้กองบังคบั การตำรวจ รถไฟเป็นอนั ยุบ และใหโ้ อนเงินงบประมาณของการรถไฟแห่งประเทศไทยในสว่ นทีไ่ ด้รบั จากงบประมาณ
- ๖๐ - แผ่นดินสำหรบั เงินเดือน ค่าตอบแทน และคา่ ใชจ้ ่ายอนื่ ของข้าราชการตำรวจในกองบงั คับการตำรวจรถไฟ มาเปน็ ของสำนกั งานตำรวจแห่งชาติ ให้สำนกั งานตำรวจแห่งชาตินำอัตรากำลงั จากกองบังคับการตำรวจรถไฟตามวรรคหนง่ึ ไปดำเนินการจัดสรรเพื่อใหเ้ ป็นไปตามมาตรา ๑๒ มาตรา ๑๕๖ บรรดาหนา้ ท่แี ละอำนาจของขา้ ราชการตำรวจในกองบังคับการตำรวจรถไฟ ในสว่ นที่เกยี่ วกบั การสืบสวนหรือสอบสวนเร่อื งใดที่อยู่ในระหว่างดำเนินการก่อนยุบกองบังคบั การตำรวจ รถไฟ ใหโ้ อนไปเปน็ ของข้าราชการตำรวจในสถานตี ำรวจหรือในกองบังคบั การ ตามท่ีผู้บัญชาการตำรวจ แหง่ ชาตกิ ำหนด และให้ถือว่าการสืบสวนหรอื สอบสวนที่ไดด้ ำเนินการไปแล้วและทีจ่ ะดำเนนิ การต่อไป เป็นการดำเนินการโดยพนักงานสอบสวนผมู้ อี ำนาจตามกฎหมายแล้ว มาตรา ๑๕๗ ภายในสองปีนับแต่วนั ทพี่ ระราชบัญญตั นิ ใี้ ช้บงั คับ ให้ประธานคณะกรรมการ พฒั นาระบบราชการเชญิ ผ้บู ญั ชาการตำรวจแห่งชาตแิ ละหวั หน้าหนว่ ยงานท่ีรับผดิ ชอบปฏบิ ัตกิ าร ตามกฎหมายเกีย่ วกับทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสิ่งแวดล้อม อนั ได้แก่ กฎหมายว่าด้วยปา่ ไม้ กฎหมาย วา่ ดว้ ยป่าสงวนแหง่ ชาติ กฎหมายวา่ ด้วยอุทยานแห่งชาติ กฎหมายวา่ ดว้ ยการสงวนและคุ้มครองสตั วป์ ่า กฎหมายวา่ ด้วยการสง่ เสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝ่ัง กฎหมายว่าด้วยการประมง กฎหมายวา่ ดว้ ยการสง่ เสริมและรกั ษาคณุ ภาพสง่ิ แวดล้อม กฎหมายวา่ ดว้ ยนำ้ บาดาล กฎหมายว่าด้วย เล่อื ยโซย่ นต์ และกฎหมายเกี่ยวกับทรพั ยากรธรรมชาติและสิง่ แวดล้อมอ่ืน มารว่ มกันพิจารณา เพื่อดำเนินการให้หนว่ ยงานดังกลา่ วรับผิดชอบในการป้องกันและปราบปราม การสืบสวน และการสอบสวน การกระทำความผิดเก่ียวกับกฎหมายนัน้ ๆ ทัง้ หมดหรือบางส่วนตามท่จี ะได้ตกลงกัน โดยคำนงึ ถึง ประสทิ ธิภาพและการบรู ณาการในการปฏบิ ตั ิหนา้ ที่ และการแบ่งเบาภารกจิ ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และใหส้ ำนกั งานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการรายงานความคบื หนา้ ต่อคณะรัฐมนตรเี พื่อทราบ ทุกสามเดือน เมอ่ื ไดข้ ้อยตุ ิประการใดแลว้ ให้ตราพระราชกฤษฎกี ายุบหรือเปล่ียนแปลงกองบังคบั การ ปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสงิ่ แวดล้อมของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้สอดคล้องกัน และในกรณีทีย่ ุบกองบังคบั การดังกล่าว ให้นำความในมาตรา ๑๕๕ วรรคสอง มาใช้บังคับ โดยอนโุ ลม ในพระราชกฤษฎีกาดงั กล่าวให้กำหนดขนั้ ตอนการถ่ายโอนงาน การโอนและรบั โอน ขา้ ราชการระหวา่ งหน่วยงานทีเ่ กยี่ วข้อง รวมตลอดท้งั หน้าทีแ่ ละอำนาจในการดำเนนิ การเกี่ยวกับคดี หรือเรอ่ื งท่ีอยใู่ นระหว่างดำเนินการด้วย โดยใหน้ ำความในมาตรา ๖ วรรคสาม มาใชบ้ ังคับดว้ ยโดยอนุโลม เม่อื พ้นกำหนดเวลาตามวรรคหนง่ึ หรือวรรคสองแลว้ ถา้ ปรึกษาหารือกันยังไม่ไดข้ ้อยุติ ให้กองบงั คบั การปราบปรามการกระทำความผิดเกยี่ วกับทรัพยากรธรรมชาตแิ ละส่ิงแวดล้อมเปน็ อันยบุ ไป และให้นำอัตรากำลังไปดำเนินการจัดสรรเพ่ือให้เปน็ ไปตามมาตรา ๑๒ ตอ่ ไป และให้รฐั มนตรีผ้รู ักษาการ ตามกฎหมายตามวรรคหนึ่งดำเนินการให้พนักงานเจา้ หน้าทท่ี เ่ี กี่ยวข้องเปน็ ผู้รับผดิ ชอบในการปอ้ งกัน และปราบปราม การสบื สวน และการสอบสวนการกระทำความผิดเก่ียวกบั กฎหมายนนั้ ๆ ท้งั หมด และใหต้ ราพระราชกฤษฎีกาเพ่ือกำหนดข้ันตอนการถา่ ยโอนงาน การโอนและรับโอนขา้ ราชการระหว่าง
- ๖๑ - หนว่ ยงานทเ่ี ก่ียวข้อง รวมตลอดทง้ั หน้าที่และอำนาจในการดำเนนิ การเกี่ยวกบั คดีหรือเรื่องที่อยูใ่ นระหวา่ ง ดำเนนิ การและเรอ่ื งอืน่ ทเี่ ก่ยี วข้องหรือจำเปน็ ในการถา่ ยโอนงานดว้ ย มาตรา ๑๕๘ ภายในห้าปีนับแตว่ นั ทีพ่ ระราชบัญญตั นิ ีใ้ ช้บังคบั ใหโ้ อนงานจราจร ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ และทแี่ กไ้ ขเพ่ิมเติม เฉพาะในส่วนทเี่ กี่ยวกบั การอำนวย ความสะดวกในการให้สัญญาณจราจร การทำ ตดิ ตั้ง หรือทำใหป้ รากฏซึ่งสัญญาณจราจรหรอื เคร่ืองหมาย จราจร การกวดขนั วินัยจราจร และการบังคบั ใช้กฎหมายวา่ ดว้ ยการจราจรทางบกในความผดิ ฐานจอดรถ โดยฝ่าฝนื หรือไมป่ ฏิบัตติ ามกฎหมายให้เป็นไปด้วยความเรียบรอ้ ย ให้แก่กรุงเทพมหานคร เมืองพัทยา และเทศบาลนคร นอกจากหน้าทแ่ี ละอำนาจตามพระราชบัญญัติการจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ และที่แก้ไข เพิม่ เติม ทีม่ ิได้โอนไปตามวรรคหนึง่ แลว้ การโอนอำนาจตามวรรคหน่ึงไม่กระทบตอ่ หน้าท่ีและอำนาจของ สำนกั งานตำรวจแห่งชาติตามมาตรา ๖ (๑) ในกรณีเชน่ นัน้ หน่วยงานทีร่ บั โอนตามวรรคหน่งึ ต้องปฏิบตั ิ ตามคำสั่งของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาตินำอัตรากำลังในสว่ นทีเ่ ก่ยี วกบั การปฏบิ ัติงานจราจรตามวรรคหนงึ่ ไปดำเนินการจดั สรรเพ่ือให้เป็นไปตามมาตรา ๑๒ มาตรา ๑๕๙ ภายในหา้ ปีนับแต่วันทพ่ี ระราชบญั ญตั ินีใ้ ช้บังคบั ให้ ก.ตร.ก.ต.ช. พจิ ารณา ทบทวนหนา้ ทีแ่ ละอำนาจของสำนักงานตำรวจแหง่ ชาติหรือขา้ ราชการตำรวจในสว่ นที่มีกฎหมาย กำหนดใหส้ ำนักงานตำรวจแหง่ ชาตหิ รอื ข้าราชการตำรวจมีหนา้ ท่เี กี่ยวกับการอนุญาตหรือการจดทะเบียน หากพจิ ารณาแล้วเหน็ ว่ามีความจำเปน็ ตอ้ งกำหนดใหส้ ำนักงานตำรวจแห่งชาตหิ รือข้าราชการตำรวจ มีหน้าทีแ่ ละอำนาจตามกฎหมายดงั กล่าวไว้ ให้รายงานเหตุผลและความจำเปน็ ต่อคณะรัฐมนตรี และรัฐสภาเพ่ือพจิ ารณา ในกรณีท่ี ก.ตร.ก.ต.ช. ไมด่ ำเนนิ การหรอื ดำเนินการไมแ่ ลว้ เสร็จภายในกำหนดเวลา ตามวรรคหน่งึ ให้หน้าทีแ่ ละอำนาจของสำนักงานตำรวจแห่งชาติหรือข้าราชการตำรวจในการอนุญาต หรือการจดทะเบียนตามวรรคหนงึ่ เป็นอันสน้ิ สดุ ลง เว้นแต่คณะรฐั มนตรแี ละรัฐสภาจะมีมตใิ หส้ ำนกั งาน ตำรวจแห่งชาติหรอื ข้าราชการตำรวจยังคงมหี น้าท่ีและอำนาจดงั กลา่ วตามกฎหมายนั้นต่อไป การโอนหนา้ ที่และอำนาจตามกฎหมายตามวรรคหนึ่งและวรรคสองไปเป็นของหน่วยงานใด ใหเ้ ปน็ ไปตามท่ีคณะรัฐมนตรีกำหนดโดยให้ตราเป็นพระราชกฤษฎกี า มาตรา ๑๖๐ ระยะเวลาตามท่ีกำหนดในมาตรา ๑๕๗ และมาตรา ๑๕๘ หากมีความจำเป็น อันไม่อาจหลีกเล่ยี งได้ คณะรฐั มนตรีโดยข้อเสนอแนะของ ก.ตร.ก.ต.ช. จะขยายเวลาออกไปครั้งละหนง่ึ ปีก็ได้ แตจ่ ะขยายได้ไม่เกนิ สามคร้งั มาตรา ๑๖๑ กรอบอัตรากำลงั ตามทบี่ ัญญัติไวใ้ นมาตรา ๑๒ วรรคส่ี เฉพาะในส่วนที่ เกีย่ วกบั สถานตี ำรวจ กองบงั คบั การตำรวจนครบาล และตำรวจภธู รจงั หวดั ในวาระเรมิ่ แรกไม่เกินสองปี นับแตว่ นั ที่พระราชบัญญัติน้ีใชบ้ งั คับ ให้หมายถงึ เฉพาะกรอบอตั รากำลงั พนื้ ฐานท่ี ก.ตร. กำหนดให้
- ๖๒ - สถานีตำรวจ กองบังคบั การตำรวจนครบาล และตำรวจภูธรจงั หวัดพงึ ตอ้ งมเี ปน็ อยา่ งน้อย ซ่งึ ต้องกำหนด ให้แลว้ เสร็จภายในสองร้อยสี่สบิ วันนับแตว่ ันที่พระราชบัญญัตินี้ใชบ้ งั คับ และภายในกำหนดเวลาสองปี ดังกล่าว ให้ ก.ตร. ปรบั ปรุงกรอบอตั รากำลังของสถานีตำรวจ กองบังคับการตำรวจนครบาล และตำรวจภูธร จังหวัดใหมใ่ หเ้ หมาะสมกับภารกจิ และงบประมาณที่จะพึงได้รบั การจดั สรร และใหส้ ำนักงานตำรวจ แห่งชาตดิ ำเนินการให้เปน็ ไปตามมาตรา ๑๒ วรรคสี่ ภายในสามปีนบั แตว่ นั ท่ีครบกำหนดสองปีดงั กล่าว มาตรา ๑๖๒ ผู้ใดเปน็ ข้าราชการตำรวจตามพระราชบญั ญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ และทแี่ ก้ไขเพิ่มเติม อยู่ในวันก่อนวนั ที่พระราชบัญญัตนิ ี้ใชบ้ งั คบั ให้ผนู้ ั้นเปน็ ขา้ ราชการตำรวจ ตามพระราชบัญญตั นิ ้ีต่อไป ผซู้ ึง่ เคยรับราชการเป็นข้าราชการตำรวจอยกู่ ่อนวนั ที่พระราชบัญญัตนิ ้ใี ชบ้ งั คบั ใหถ้ ือวา่ ผู้นั้น เป็นผซู้ ่งึ เคยรับราชการเปน็ ขา้ ราชการตำรวจตามพระราชบัญญัตนิ ี้ มาตรา ๑๖๓ ผู้ใดมียศตำรวจหรือว่าท่ียศตำรวจลำดบั ใดตามท่ีระบไุ ว้ในพระราชบญั ญัติ ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ และท่แี ก้ไขเพิ่มเติม หรือกฎหมายอ่นื อยู่ในวันก่อนวันทีพ่ ระราชบญั ญตั ิน้ี ใชบ้ งั คับ ใหถ้ ือวา่ มยี ศตำรวจหรือวา่ ที่ยศตำรวจลำดบั นัน้ ตามพระราชบญั ญัตนิ ี้ มาตรา ๑๖๔ ความในมาตรา ๘ (๒) มิใหม้ ีผลกระทบตอ่ ข้าราชการตำรวจท่ีดำรงตำแหน่ง และมียศอยู่ในวนั ก่อนวนั ท่ีพระราชกฤษฎีกาตามมาตรา ๘ วรรคสอง มีผลใช้บังคบั และเมื่อมี พระราชกฤษฎีกาดังกล่าวแลว้ ใหม้ ีสิทธิใชย้ ศตามเพียงเทา่ ที่ดำรงอยู่ในวันทพ่ี ระราชกฤษฎกี าดังกล่าว ใชบ้ ังคบั ได้ต่อไป มาตรา ๑๖๔/๑ ในวาระเร่มิ แรก ในระหวา่ งทีย่ งั ไม่มีกรรมการนโยบายตำรวจแหง่ ชาติ ผูท้ รงคณุ วุฒติ ามมาตรา ๑๓/๑ (๔) ให้ ก.ต.ช. ประกอบดว้ ย ประธานกรรมการและกรรมการ ตามมาตรา ๑๓/๑ (๑) (๒) (๓) และ (๕) เพอื่ ปฏิบตั หิ น้าที่ ก.ต.ช. เพียงเทา่ ทจ่ี ำเป็นเป็นการชั่วคราว ไปพลางกอ่ น ใหด้ ำเนินการเลือกกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติผู้ทรงคุณวฒุ ิให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งร้อย ยี่สิบวนั นับแตว่ ันทพี่ ระราชบัญญัตนิ ้ใี ชบ้ ังคบั เมือ่ ดำเนินการตามวรรคสองและได้กรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติผู้ทรงคุณวุฒิ ตามมาตรา ๑๓/๑ (๔) แลว้ ใหเ้ ลขานุการ ก.ต.ช. นำเรือ่ งที่ดำเนนิ การไปแล้วตามวรรคหนึง่ เสนอต่อ ก.ต.ช. เพ่ือทราบและพิจารณา หาก ก.ต.ช. เห็นวา่ เร่ืองใดสมควรแกไ้ ขหรอื ปรับปรุงเพ่ือใหเ้ ปน็ ไปตาม พระราชบญั ญัตินี้หรอื เพอื่ ใหเ้ หมาะสมย่งิ ข้นึ ให้ ก.ต.ช. มีมติหรือดำเนนิ การตามหน้าท่ีและอำนาจโดยพลัน มาตรา ๑๖๕ ในวาระเริ่มแรก ในระหว่างท่ียังไม่มีกรรมการขา้ ราชการตำรวจผทู้ รงคุณวฒุ ิ ตามมาตรา ๑๔ (๕) ให้ ก.ตร. ประกอบด้วย ประธานกรรมการและกรรมการตามมาตรา ๑๔ (๑) (๒) และ (๓) และ (๔) เพ่ือปฏบิ ตั ิหน้าท่ี ก.ตร. เพียงเท่าที่จำเป็นเป็นการช่วั คราวไปพลางก่อน ให้ดำเนินการเลือกกรรมการข้าราชการตำรวจผทู้ รงคุณวุฒใิ ห้แล้วเสร็จภายในหน่งึ รอ้ ย แปดสิบวนั นบั แตว่ ันทพี่ ระราชบญั ญตั ิน้ีใช้บังคับ
- ๖๓ - การใดที่ ก.ตร. ตามวรรคหน่ึงไดด้ ำเนินการไปแลว้ เมอื่ มีการดำเนินการตามวรรคสอง และได้กรรมการข้าราชการตำรวจผ้ทู รงคุณวฒุ ิตามมาตรา ๑๔ (๕) แลว้ ให้เลขานุการ ก.ตร. นำเรอื่ ง ท่ีดำเนินการไปแลว้ ดังกลา่ วแจง้ ให้ตามวรรคหนึ่ง เสนอต่อ ก.ตร. เพอ่ื ทราบและพิจารณา หาก ก.ตร. เหน็ ว่าเร่อื งใดสมควรแกไ้ ขหรือปรบั ปรงุ เพ่อื ใหเ้ ปน็ ไปตามพระราชบัญญัตนิ ห้ี รือเพื่อใหเ้ หมาะสมยิ่งขนึ้ ให้ ก.ตร. มมี ติหรือดำเนนิ การต่อไปตามหนา้ ทแี่ ละอำนาจโดยพลนั มาตรา ๑๖๖ ให้ ก.ตร. กำหนดตำแหน่งข้าราชการตำรวจตามกลุ่มสายงานและระดับ ตำแหนง่ ใหเ้ ปน็ ไปตามพระราชบัญญตั นิ ี้ให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งรอ้ ยแปดสิบวนั นบั แต่วันที่มีกรรมการ ขา้ ราชการตำรวจผู้ทรงคุณวุฒติ ามพระราชบัญญตั ิน้ี และเมอ่ื ก.ตร. ไดก้ ำหนดตำแหนง่ เสร็จแลว้ ใหถ้ ือวา่ ผู้ทดี่ ำรงตำแหน่งหรือเคยดำรงตำแหน่งดังกลา่ วอยูใ่ นวันกอ่ นวันท่ีพระราชบัญญัตินใี้ ชบ้ งั คบั อยูใ่ นกลุม่ สายงานน้นั มากอ่ นวันทพ่ี ระราชบัญญัตินใี้ ช้บงั คับ สำหรบั ขา้ ราชการตำรวจที่ไม่มียศตามมาตรา ๘ (๒) ให้ ก.ตร. ดำเนนิ การและกำหนด ตำแหน่งข้าราชการตำรวจท่ีไมม่ ียศให้แล้วเสร็จภายใน ๑หนงึ่ ปี ข้าราชการตำรวจผูใ้ ดดำรงตำแหน่งและปฏิบตั ิหน้าที่ในตำแหนง่ พนกั งานสายงานสืบสวน สายงานสอบสวนหรอื ตำแหน่งสายงานอื่นในกลุ่มสายงานป้องกันและปราบปรามอยู่ในวันกอ่ นวันท่ี พระราชบัญญัตินี้ใชบ้ งั คบั ให้ถือวา่ เปน็ ขา้ ราชการตำรวจในกลุ่มสายงานสบื สวนสอบสวนหรือกล่มุ สายงาน ปอ้ งกนั และปราบปราม แลว้ แต่กรณี ตามพระราชบัญญตั นิ ้ี จนกวา่ จะมีการแตง่ ตั้งดำเนนิ การตามวรรคสี่ ภายใต้บังคับวรรคสาม ใหส้ ำนกั งานตำรวจแหง่ ชาตดิ ำเนินการให้มกี ารแตง่ ต้งั ข้าราชการ ตำรวจทกุ ตำแหน่งเขา้ ดำรงตำแหน่งตามกลุ่มสายงานตามวรรคหนึง่ ให้แล้วเสรจ็ ภายในหนึง่ ปีนบั แต่การ ดำเนนิ การตามวรรคหนึ่งเสรจ็ สิ้น โดยคำนงึ ถงึ ตำแหนง่ หนา้ ท่ีทีผ่ ้นู น้ั ปฏบิ ัติอย่เู ดิม คณุ สมบัตเิ ฉพาะสำหรับ ตำแหน่ง และอตั รากำลงั ของแต่ละกลมุ่ สายงาน ให้ ก.ตร. กำหนดใหม้ หี ลกั เกณฑแ์ ละวธิ ีการประเมินความพงึ พอใจในบริการทปี่ ระชาชน ไดร้ ับตามมาตรา ๗๔ วรรคสอง ใหแ้ ลว้ เสรจ็ ภายในหนึ่งปีนับแต่วนั ทพี่ ระราชบัญญตั นิ ใ้ี ช้บังคับ มาตรา ๑๖๗ เมอ่ื ดำเนินการเลอื กกรรมการข้าราชการตำรวจผ้ทู รงคุณวุฒิตามมาตรา ๑๖๕ แลว้ เสรจ็ ใหด้ ำเนินการคัดเลือกผู้ที่เหมาะสมเพื่อดำรงตำแหน่งกรรมการ ก.ร.ตร. ผทู้ รงคุณวฒุ ิ ตามมาตรา ๓๕ ใหแ้ ลว้ เสร็จและประกาศในราชกจิ จานเุ บกษาภายในสองร้อยสีส่ ิบวนั นบั แตว่ นั ที่ พระราชบญั ญัติน้ีใชบ้ งั คบั มาตรา ๑๖๘ ให้โอนบรรดากิจการ ทรพั ย์สนิ สทิ ธิ หน้าท่ี หนี้ ภาระผูกพนั และเงนิ งบประมาณของกองทุนเพ่ือการสืบสวนและสอบสวนคดอี าญาตามพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ และท่แี ก้ไขเพ่ิมเติม ท่ีมีอยใู่ นวันก่อนวนั ทพ่ี ระราชบัญญตั นิ ้ใี ชบ้ งั คับ ไปเปน็ ของกองทนุ เพื่อการสบื สวน สอบสวน การปอ้ งกันและปราบปรามการกระทำความผิดทางอาญาตามพระราชบัญญตั นิ ้ี มาตรา ๑๖๙ ให้ขา้ ราชการตำรวจซึ่งรบั ราชการอยูใ่ นวันก่อนวนั ทีพ่ ระราชบญั ญตั ินใี้ ชบ้ ังคับ ไดร้ ับเงนิ เดือน เงนิ ประจำตำแหนง่ เงนิ เพมิ่ คา่ ครองชีพ หรือค่าตอบแทนอื่นใดตามท่ีได้รับอยู่ในวนั ก่อน
- ๖๔ - วันท่ีพระราชบญั ญัตนิ ใ้ี ช้บังคับ เวน้ แต่ผทู้ ีไ่ ด้รับเงนิ เดือนต่ำกว่าข้นั ต่ำของระดบั ให้ปรับใหไ้ ด้รบั เท่ากบั อัตราขน้ั ตำ่ ของระดับตง้ั แตว่ ันท่ีพระราชบัญญัตนิ ใ้ี ชบ้ งั คับ มาตรา ๑๖๙/๑ ภายในห้าปนี ับแต่วันทีพ่ ระราชบญั ญตั นิ ้ีใชบ้ ังคับ การคดั เลือกหรือแตง่ ตั้ง ขา้ ราชการตำรวจเล่ือนตำแหนง่ สูงขน้ึ ต้ังแตร่ ะดบั รองผูบ้ ญั ชาการตำรวจแห่งชาตแิ ละจเรตำรวจแหง่ ชาติ ตามมาตรา ๖๙ (๒) ลงมาถงึ ระดบั สารวตั รตามมาตรา ๖๙ (๑๐) นอกจากจะพิจารณาตามหลักเกณฑ์ ท่กี ำหนดไว้ในมาตรา ๖๙ แล้ว ให้พจิ ารณาจากระยะเวลาการดำรงตำแหน่งดังต่อไปน้ีด้วย (๑) ตำแหน่งรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติและจเรตำรวจแห่งชาติ จะต้องดำรงตำแหน่ง หรอื เคยดำรงตำแหน่งผชู้ ่วยผู้บญั ชาการตำรวจแหง่ ชาติหรือรองจเรตำรวจแหง่ ชาติมาแลว้ ไมน่ ้อยกวา่ หนึ่งปี (๒) ตำแหน่งผ้ชู ่วยผู้บญั ชาการตำรวจแห่งชาติและรองจเรตำรวจแห่งชาติ จะต้องดำรงตำแหนง่ หรือเคยดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการหรอื จเรตำรวจมาแล้วไมน่ ้อยกว่าหนึ่งปี (๓) ตำแหน่งผูบ้ ญั ชาการและจเรตำรวจ จะต้องดำรงตำแหน่งหรอื เคยดำรงตำแหนง่ รองผบู้ ญั ชาการหรือรองจเรตำรวจมาแล้วไม่นอ้ ยกว่าสองปี (๔) ตำแหน่งรองผ้บู ัญชาการและรองจเรตำรวจ จะตอ้ งดำรงตำแหน่งหรือเคยดำรงตำแหน่ง ผู้บังคับการมาแล้วไม่น้อยกว่าสามปี (๕) ตำแหน่งผ้บู งั คบั การ จะต้องดำรงตำแหนง่ หรือเคยดำรงตำแหน่งรองผู้บังคับการมาแล้ว ไมน่ อ้ ยกวา่ สปี่ ี (๖) ตำแหนง่ รองผู้บังคับการ จะต้องดำรงตำแหน่งหรือเคยดำรงตำแหนง่ ผู้กำกบั การมาแลว้ ไม่น้อยกวา่ ส่ีปี (๗) ตำแหน่งผ้กู ำกับการ จะต้องดำรงตำแหนง่ หรือเคยดำรงตำแหน่งรองผู้กำกบั การมาแลว้ ไมน่ อ้ ยกวา่ สี่ปี (๘) ตำแหนง่ รองผูก้ ำกบั การและสารวตั รใหญ่ จะต้องดำรงตำแหน่งหรอื เคยดำรงตำแหน่ง สารวัตรมาแลว้ ไม่น้อยกว่าห้าปี (๙) ตำแหน่งสารวตั ร จะต้องดำรงตำแหนง่ หรอื เคยดำรงตำแหน่งรองสารวัตรมาแล้ว ไม่นอ้ ยกว่าเจ็ดปี ในกรณที ี่ไม่มผี ู้ใดดำรงตำแหน่งหรอื เคยดำรงตำแหนง่ ตามระยะเวลาที่กำหนดตามวรรคหนงึ่ ให้แต่งต้ังจากผ้ทู ี่มรี ะยะเวลาการดำรงตำแหน่งหรอื เคยดำรงตำแหนง่ ดังกล่าวนานที่สดุ เรียงตามลำดับ ระยะเวลาตามวรรคหน่ึง ใหน้ ับระยะเวลาทด่ี ำรงตำแหน่งจริง มิใหน้ บั ระยะเวลาทวีคณู โดยให้นับสิบสองเดือนเป็นหนึ่งปี เว้นแต่ (๑) ข้าราชการตำรวจที่ไดร้ บั การบรรจแุ ตง่ ตงั้ หรือแต่งต้งั เลอื่ นชน้ั เป็นสญั ญาบัตรครัง้ แรก หากนับระยะเวลาต้งั แต่วนั ทเ่ี ร่มิ เป็นข้าราชการตำรวจชน้ั สญั ญาบัตรถงึ วนั ที่ ๓๐ กนั ยายน มีระยะเวลา รวมแล้วไม่น้อยกว่าแปดเดือน ใหน้ ับเป็นหนึ่งปี (๒) ข้าราชการตำรวจช้ันสัญญาบัตรทไ่ี ด้รับการแต่งต้ังเล่อื นตำแหนง่ สงู ขนึ้ ในวาระประจำปี ไมว่ า่ จะไดร้ ับการแต่งต้งั เม่ือใดก็ตาม ให้นบั ระยะเวลาการดำรงตำแหน่งถึงวันท่ี ๓๐ กนั ยายน เป็นหน่งึ ปี
- ๖๕ - มาตรา ๑๗๐ ในระหวา่ งทย่ี ังมิไดต้ ราพระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง หรอื กฎ ก.ตร. ข้อบังคบั ระเบียบ หรือมติ ก.ตร. เพื่อปฏบิ ตั กิ ารตามพระราชบัญญัตนิ ี้ ให้นำพระราชกฤษฎกี า กฎกระทรวง กฎ ก.ตร. ข้อบังคบั หรือระเบียบ หรือมติ ก.ตร. ซง่ึ ใชอ้ ยู่เดิมมาใช้บงั คบั เทา่ ท่ีไม่ขัดหรือแย้ง กับพระราชบญั ญัติน้ี ในกรณีที่ไม่อาจนำพระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง กฎ ก.ตร. ข้อบังคับ ระเบยี บ หรือมติ ก.ตร. มาใชบ้ งั คับได้ตามวรรคหนึ่ง การจะดำเนินการประการใดใหเ้ ป็นไปตามที่ ก.ตร. กำหนด ซงึ่ ตอ้ งไม่ขัด หรือแยง้ กับพระราชบัญญตั ินี้ มาตรา ๑๗๑ ข้าราชการตำรวจผู้ใดมีกรณกี ระทำผดิ วินัยหรอื กรณีที่สมควรให้ออกจาก ราชการอยกู่ ่อนวันท่ีพระราชบญั ญตั นิ ีใ้ ช้บงั คบั ให้ผ้บู ังคับบัญชาตามพระราชบัญญตั นิ ้ี มีอำนาจส่ังลงโทษ ผู้นั้นหรอื สงั่ ให้ผูน้ ้ันออกจากราชการตามพระราชบญั ญตั ิตำรวจแหง่ ชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ และทแ่ี กไ้ ขเพ่ิมเติม ทใ่ี ชอ้ ยใู่ นขณะน้นั สว่ นการสอบสวน การพิจารณา และการดำเนินการเพ่ือลงโทษหรือใหอ้ อกจากราชการ ให้ดำเนนิ การตามพระราชบญั ญัตินี้ เวน้ แต่ (๑) กรณที ี่ผบู้ ังคบั บัญชาไดส้ งั่ ใหส้ อบสวนโดยถูกต้องตามกฎหมายที่ใชอ้ ยใู่ นขณะนัน้ ไปแล้ว กอ่ นวนั ที่พระราชบญั ญัตินีใ้ ช้บงั คับ และยังสอบสวนไมเ่ สร็จ ก็ให้สอบสวนตามกฎหมายนน้ั ต่อไปจนกวา่ จะแล้วเสร็จ (๒) ในกรณีทไี่ ด้มกี ารสอบสวนหรือพิจารณาโดยถูกต้องตามกฎหมายทใ่ี ช้อยู่ในขณะน้นั เสร็จไปแลว้ ก่อนวนั ท่พี ระราชบัญญตั นิ ี้ใชบ้ ังคับ ให้การสอบสวนหรือพจิ ารณา แลว้ แต่กรณี นัน้ เป็นอันใช้ได้ มาตรา ๑๗๒ เรื่องอุทธรณ์และร้องทุกขต์ ามพระราชบญั ญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ และท่แี ก้ไขเพ่ิมเติม ท่ีได้ยื่นไว้ก่อนวันท่ีพระราชบัญญัตินีใ้ ช้บงั คับและอยใู่ นอำนาจการพิจารณาของ ก.ตร. ให้ ก.ตร. พจิ ารณาตอ่ ไปจนกวา่ จะแลว้ เสรจ็ เร่ืองอุทธรณ์และร้องทุกข์ตามพระราชบัญญัติตำรวจแหง่ ชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ และที่แก้ไขเพ่ิมเติม ทไี่ ดย้ ่นื ก.ตร. ในวนั หรอื หลงั วนั ทพ่ี ระราชบญั ญัตนิ ้ีใชบ้ ังคับ ให้ ก.พ.ค.ตร. เปน็ ผ้พู ิจารณาดำเนนิ การต่อไป ในระหว่างทีย่ ังมิไดด้ ำเนินการใหม้ ี ก.พ.ค.ตร. ให้ ก.ตร. ทำหนา้ ที่ ก.พ.ค.ตร. ตามพระราชบญั ญัตนิ ี้ไปพลางก่อน จนกว่าจะได้แตง่ ตั้ง ก.พ.ค.ตร. ตามพระราชบญั ญัตนิ ้ี เว้นแตบ่ รรดา อำนาจหน้าที่และอำนาจของ ก.พ.ค.ตร. ในสว่ นท่ีเก่ียวกบั การพิจารณาวินิจฉยั อุทธรณ์หรือเรอ่ื งร้องทุกข์ ท่เี หตเุ กดิ จากกฎ ระเบียบ คำสง่ั หรือมติของ ก.ตร. ให้ผ้มู ีสิทธิอทุ ธรณห์ รือร้องทุกข์ฟ้องคดีตอ่ ศาลปกครองได้ การดำเนินการแตง่ ต้ัง ก.พ.ค.ตร. ให้กระทำให้แลว้ เสรจ็ ภายในหนงึ่ รอ้ ยแปดสบิ วนั นบั แต่ วนั ท่พี ระราชบัญญัตนิ ี้ใช้บังคับ ผู้รบั สนองพระบรมราชโองการ ......................................... นายกรฐั มนตรี
บัญชอี ัตราเงินเดือนขา้ ราชการตำรวจประเภทท่ีมียศ ๔๓.๕ ๕๔,๘๒๐ ๔๓.๐ ๕๓,๙๕๐ ๔๒.๕ ๕๓,๐๘๐ ๔๒.๐ ๕๒,๒๖๐ ๔๑.๕ ๕๑,๔๕๐ ๔๑.๐ ๕๔,๘๒๐ ๕๐,๖๔๐ ๔๐.๕ ๕๓,๙๕๐ ๔๙,๘๓๐ ๔๐.๐ ๕๓,๐๘๐ ๔๙,๐๑๐ ๓๙.๕ ๕๒,๒๖๐ ๔๘,๒๐๐ ๓๙.๐ ๕๑,๔๕๐ ๔๗,๓๘๐ ๓๘.๕ ๕๐,๖๔๐ ๔๖,๕๖๐ ๓๘.๐ ๔๙,๘๓๐ ๔๕,๗๕๐ ๓๗.๕ ๔๙,๐๑๐ ๔๔,๙๓๐ ๓๗.๐ ๔๘,๒๐๐ ๔๔,๑๓๐ ๓๖.๕ ๔๗,๓๘๐ ๔๓,๓๐๐ ๕๘,๓๙๐ ๓๖.๐ ๔๖,๕๖๐ ๔๒,๖๒๐ ๕๗,๕๐๐ ๓๕.๕ ๔๕,๗๕๐ ๔๑,๙๓๐ ๕๖,๖๑๐ ๓๕.๐ ๔๔,๙๓๐ ๔๑,๒๕๐ ๕๕,๗๒๐ ๓๔.๕ ๔๔,๑๓๐ ๔๐,๕๖๐ ๕๔,๘๒๐ ๓๔.๐ ๔๓,๓๐๐ ๓๙,๘๘๐ ๕๓,๙๕๐ ๓๓.๕ ๔๒,๖๒๐ ๓๙,๑๙๐ ๕๓,๐๘๐ ๓๓.๐ ๔๑,๙๓๐ ๓๘,๗๕๐ ๕๒,๒๖๐ ๓๒.๕ ๔๑,๒๕๐ ๓๘,๑๗๐ ๕๑,๔๕๐ ๓๒.๐ ๔๐,๕๖๐ ๓๗,๕๘๐ ๕๐,๖๔๐ ๗๐,๓๖๐ ๓๑.๕ ๓๙,๘๘๐ ๓๖,๙๙๐ ๔๙,๘๓๐ ๕๘,๓๙๐ ๖๙,๐๔๐ ๓๑.๐ ๓๙,๑๙๐ ๓๖,๔๐๐ ๔๙,๐๑๐ ๕๗,๕๐๐ ๖๘,๐๐๐ ๓๐.๕ ๓๘,๗๕๐ ๓๕,๘๑๐ ๔๘,๒๐๐ ๕๖,๖๑๐ ๖๖,๙๖๐ ๓๐.๐ ๓๘,๑๗๐ ๓๕,๒๒๐ ๔๗,๓๘๐ ๕๕,๗๒๐ ๖๕,๙๑๐ ๒๙.๕ ๓๗,๕๘๐ ๓๔,๖๘๐ ๔๖,๕๖๐ ๕๔,๘๒๐ ๖๔,๘๖๐ ๒๙.๐ ๓๖,๙๙๐ ๓๔,๑๑๐ ๔๕,๗๕๐ ๕๓,๙๕๐ ๖๓,๘๑๐ ๒๘.๕ ๓๖,๔๐๐ ๓๓,๕๖๐ ๔๔,๙๓๐ ๕๓,๐๘๐ ๖๒,๗๖๐ ๗๔,๓๒๐ ๒๘.๐ ๓๕,๘๑๐ ๓๓,๐๐๐ ๔๔,๑๓๐ ๕๒,๒๖๐ ๖๑,๘๐๐ ๗๓,๑๙๐ ๒๗.๕ ๒๑,๔๘๐ ๒๙,๖๙๐ ๓๕,๒๒๐ ๓๒,๔๕๐ ๔๓,๓๐๐ ๕๑,๔๕๐ ๖๐,๘๓๐ ๗๒,๐๖๐ ๒๗.๐ ๒๑,๑๖๐ ๒๙,๒๔๐ ๓๔,๖๘๐ ๓๑,๘๘๐ ๔๒,๖๒๐ ๕๐,๖๔๐ ๕๙,๕๐๐ ๗๐,๓๖๐ ๒๖.๕ ๒๐,๘๔๐ ๒๘,๗๙๐ ๓๔,๑๑๐ ๓๑,๓๔๐ ๔๑,๙๓๐ ๔๙,๘๓๐ ๕๘,๓๙๐ ๖๙,๐๔๐ ๒๖.๐ ๒๐,๕๑๐ ๒๘,๓๔๐ ๓๓,๕๖๐ ๓๐,๗๙๐ ๔๑,๒๕๐ ๔๙,๐๑๐ ๕๗,๕๐๐ ๖๘,๐๐๐ ๒๕.๕ ๒๐,๑๘๐ ๒๗,๘๙๐ ๓๓,๐๐๐ ๓๐,๒๒๐ ๔๐,๕๖๐ ๔๘,๒๐๐ ๕๖,๖๑๐ ๖๖,๙๖๐ ๒๕.๐ ๑๙,๘๕๐ ๒๗,๔๔๐ ๓๒,๔๕๐ ๒๙,๖๘๐ ๓๙,๘๘๐ ๔๗,๓๘๐ ๕๕,๗๒๐ ๖๕,๙๑๐ ๗๖,๘๐๐ ๒๔.๕ ๑๙,๕๒๐ ๒๖,๙๙๐ ๓๑,๘๘๐ ๒๙,๑๑๐ ๓๙,๑๙๐ ๔๖,๕๖๐ ๕๔,๘๒๐ ๖๔,๘๖๐ ๗๕,๕๖๐ ๒๔.๐ ๑๙,๒๖๐ ๒๖,๖๓๐ ๓๑,๓๔๐ ๒๘,๘๘๐ ๓๘,๗๕๐ ๔๕,๗๕๐ ๕๓,๙๕๐ ๖๓,๘๑๐ ๗๔,๓๒๐ ๒๓.๕ ๑๙,๐๒๐ ๒๖,๒๗๐ ๓๐,๗๙๐ ๒๘,๔๓๐ ๓๘,๑๗๐ ๔๔,๙๓๐ ๕๓,๐๘๐ ๖๒,๗๖๐ ๗๓,๑๙๐ ๒๓.๐ ๑๘,๗๗๐ ๒๕,๘๙๐ ๓๐,๒๒๐ ๒๗,๙๖๐ ๓๗,๕๘๐ ๔๔,๑๓๐ ๕๒,๒๖๐ ๖๑,๘๐๐ ๗๒,๐๖๐ ๒๒.๕ ๑๘,๕๓๐ ๒๕,๕๓๐ ๒๙,๖๘๐ ๒๗,๔๙๐ ๓๖,๙๙๐ ๔๓,๓๐๐ ๕๑,๔๕๐ ๖๐,๘๓๐ ๗๐,๓๖๐ ๒๒.๐ ๑๘,๒๗๐ ๒๕,๑๖๐ ๒๙,๑๑๐ ๒๖,๙๙๐ ๓๖,๔๐๐ ๔๒,๖๒๐ ๕๐,๖๔๐ ๕๙,๘๗๐ ๖๙,๐๔๐ ๒๑.๕ ๑๘,๐๒๐ ๒๔,๘๐๐ ๒๘,๘๘๐ ๒๖,๖๓๐ ๓๕,๘๑๐ ๔๑,๙๓๐ ๔๙,๘๓๐ ๕๘,๘๙๐ ๖๘,๐๐๐ ๒๑.๐ ๑๗,๗๙๐ ๒๔,๔๔๐ ๒๘,๔๓๐ ๒๖,๒๗๐ ๓๕,๒๒๐ ๔๑,๒๕๐ ๔๙,๐๑๐ ๕๗,๙๓๐ ๖๖,๙๖๐ ๒๐.๕ ๑๗,๕๔๐ ๒๔,๐๗๐ ๒๗,๙๖๐ ๒๕,๘๙๐ ๓๔,๖๘๐ ๔๐,๕๖๐ ๔๘,๒๐๐ ๕๖,๙๖๐ ๖๕,๙๑๐ ๒๐.๐ ๑๗,๒๙๐ ๒๓,๗๐๐ ๒๗,๔๙๐ ๒๕,๕๓๐ ๓๔,๑๑๐ ๓๙,๘๘๐ ๔๗,๓๘๐ ๕๖,๐๐๐ ๖๔,๘๖๐ ๗๖,๘๐๐ ๑๙.๕ ๑๗,๐๕๐ ๒๓,๔๐๐ ๒๖,๙๙๐ ๒๕,๑๖๐ ๓๓,๕๖๐ ๓๙,๑๙๐ ๔๖,๕๖๐ ๕๕,๐๑๐ ๖๓,๘๑๐ ๗๕,๕๖๐ ๑๙.๐ ๑๖,๗๙๐ ๒๓,๐๙๐ ๒๖,๖๓๐ ๒๔,๘๐๐ ๓๓,๐๐๐ ๓๘,๕๐๐ ๔๕,๗๕๐ ๕๔,๐๕๐ ๖๒,๗๖๐ ๗๔,๓๒๐ ๑๘.๕ ๑๖,๕๔๐ ๒๒,๗๙๐ ๒๖,๒๗๐ ๒๔,๔๔๐ ๓๒,๔๕๐ ๓๗,๘๓๐ ๔๔,๙๓๐ ๕๓,๐๘๐ ๖๑,๘๐๐ ๗๓,๑๙๐ ๑๘.๐ ๑๖,๒๙๐ ๒๒,๔๙๐ ๒๕,๘๙๐ ๒๔,๐๗๐ ๓๑,๘๘๐ ๓๗,๑๓๐ ๔๔,๑๓๐ ๕๒,๒๖๐ ๖๐,๘๓๐ ๗๒,๐๖๐ ๗๖,๘๐๐ ๑๗.๕ ๑๖,๐๔๐ ๒๒,๑๘๐ ๒๕,๕๓๐ ๒๓,๗๐๐ ๓๑,๓๔๐ ๓๖,๔๕๐ ๔๓,๓๐๐ ๕๑,๔๕๐ ๕๙,๘๗๐ ๗๐,๙๓๐ ๗๕,๕๖๐ ๑๗.๐ ๑๕,๘๐๐ ๒๑,๘๘๐ ๒๕,๑๖๐ ๒๓,๓๔๐ ๓๐,๗๙๐ ๓๕,๗๖๐ ๔๒,๖๒๐ ๕๐,๖๔๐ ๕๘,๘๙๐ ๖๙,๘๑๐ ๗๔,๓๒๐ ๑๖.๕ ๑๕,๕๔๐ ๒๑,๕๕๐ ๒๔,๘๐๐ ๒๒,๙๘๐ ๓๐,๒๒๐ ๓๕,๒๒๐ ๔๑,๙๓๐ ๔๙,๘๓๐ ๕๗,๙๓๐ ๖๘,๖๙๐ ๗๓,๑๙๐ ๑๖.๐ ๖,๗๙๐ ๑๕,๒๙๐ ๒๑,๒๕๐ ๒๔,๔๔๐ ๒๒,๖๐๐ ๒๙,๖๘๐ ๓๔,๖๘๐ ๔๑,๒๕๐ ๔๙,๐๑๐ ๕๖,๙๖๐ ๖๗,๕๖๐ ๗๒,๐๖๐ ๑๕.๕ ๖,๖๕๐ ๑๕,๐๖๐ ๒๐,๙๕๐ ๒๔,๐๗๐ ๒๒,๒๓๐ ๒๙,๑๑๐ ๓๔,๑๑๐ ๔๐,๕๖๐ ๔๘,๒๐๐ ๕๖,๐๐๐ ๖๖,๔๔๐ ๗๐,๙๓๐ ๑๕.๐ ๖,๕๓๐ ๑๔,๘๑๐ ๒๐,๖๔๐ ๒๓,๗๐๐ ๒๑,๘๘๐ ๒๘,๘๘๐ ๓๓,๕๖๐ ๓๙,๘๘๐ ๔๗,๓๘๐ ๕๕,๐๑๐ ๖๕,๓๑๐ ๖๙,๘๑๐ ๑๔.๕ ๖,๔๐๐ ๑๔,๕๖๐ ๒๐,๓๓๐ ๒๓,๓๔๐ ๒๑,๕๐๐ ๒๘,๔๓๐ ๓๓,๐๐๐ ๓๙,๑๙๐ ๔๖,๕๖๐ ๕๔,๐๕๐ ๖๔,๒๐๐ ๖๘,๖๙๐ ๑๔.๐ ๖,๒๗๐ ๑๔,๓๒๐ ๒๐,๐๓๐ ๒๒,๙๘๐ ๒๑,๑๔๐ ๒๗,๙๖๐ ๓๒,๔๕๐ ๓๘,๕๐๐ ๔๕,๗๕๐ ๕๓,๐๙๐ ๖๓,๐๗๐ ๖๗,๕๖๐ ๑๓.๕ ๖,๑๖๐ ๑๔,๐๖๐ ๑๙,๗๒๐ ๒๒,๖๐๐ ๒๐,๗๗๐ ๒๗,๔๙๐ ๓๑,๘๘๐ ๓๗,๘๓๐ ๔๔,๙๓๐ ๕๒,๑๒๐ ๖๑,๙๕๐ ๖๖,๔๔๐ ๑๓.๐ ๖,๐๕๐ ๑๓,๘๒๐ ๑๙,๔๒๐ ๒๒,๒๓๐ ๒๐,๔๐๐ ๒๗,๐๓๐ ๓๑,๓๔๐ ๓๗,๑๓๐ ๔๔,๑๓๐ ๕๑,๑๔๐ ๖๐,๘๔๐ ๖๕,๓๑๐ ๑๒.๕ ๕,๙๒๐ ๑๓,๕๗๐ ๑๙,๑๐๐ ๒๑,๘๘๐ ๒๐,๐๔๐ ๒๖,๕๘๐ ๓๐,๗๙๐ ๓๖,๔๕๐ ๔๓,๓๑๐ ๕๐,๑๗๐ ๕๙,๗๑๐ ๖๔,๒๐๐ ๑๒.๐ ๕,๘๑๐ ๑๓,๓๑๐ ๑๘,๗๙๐ ๒๑,๕๐๐ ๑๙,๖๖๐ ๒๖,๑๒๐ ๓๐,๒๒๐ ๓๕,๗๖๐ ๔๒,๔๙๐ ๔๙,๒๒๐ ๕๘,๕๙๐ ๖๓,๐๗๐ ๑๑.๕ ๕,๖๙๐ ๑๓,๐๗๐ ๑๘,๔๘๐ ๒๑,๑๔๐ ๑๙,๓๐๐ ๒๕,๖๖๐ ๒๙,๖๘๐ ๓๕,๐๙๐ ๔๑,๖๗๐ ๔๘,๒๙๐ ๕๗,๔๘๐ ๖๑,๙๕๐ ๑๑.๐ ๕,๕๘๐ ๑๒,๘๑๐ ๑๘,๑๙๐ ๒๐,๗๗๐ ๑๘,๙๕๐ ๒๕,๑๙๐ ๒๙,๑๑๐ ๓๔,๔๓๐ ๔๐,๘๙๐ ๔๗,๓๙๐ ๕๖,๓๘๐ ๖๐,๘๔๐ ๑๐.๕ ๕,๔๔๐ ๑๒,๕๖๐ ๑๗,๘๘๐ ๒๐,๔๐๐ ๑๘,๕๙๐ ๒๔,๗๓๐ ๒๘,๕๖๐ ๓๓,๗๗๐ ๔๐,๑๐๐ ๔๖,๔๗๐ ๕๕,๒๗๐ ๕๙,๗๑๐ ๑๐.๐ ๕,๓๔๐ ๑๒,๓๓๐ ๑๗,๕๗๐ ๒๐,๐๔๐ ๑๘,๒๓๐ ๒๔,๒๗๐ ๒๘,๐๓๐ ๓๓,๑๔๐ ๓๙,๓๖๐ ๔๕,๕๕๐ ๕๔,๑๗๐ ๕๘,๕๙๐ ๙.๕ ๕,๒๒๐ ๑๒,๐๙๐ ๑๗,๒๗๐ ๑๙,๑๐๐ ๑๗,๘๙๐ ๒๓,๘๒๐ ๒๗,๔๘๐ ๓๒,๕๑๐ ๓๘,๖๒๐ ๔๔,๖๘๐ ๕๓,๐๖๐ ๕๗,๔๘๐ ๙.๐ ๕,๑๐๐ ๑๑,๘๖๐ ๑๖,๙๖๐ ๑๘,๗๙๐ ๑๗,๕๕๐ ๒๓,๓๗๐ ๒๖,๙๘๐ ๓๑,๙๐๐ ๓๗,๘๘๐ ๔๓,๘๑๐ ๕๑,๙๖๐ ๕๖,๓๘๐ ๘.๕ ๔,๙๘๐ ๑๑,๖๓๐ ๑๖,๖๕๐ ๑๘,๔๘๐ ๑๗,๒๐๐ ๒๒,๙๒๐ ๒๖,๔๖๐ ๓๑,๒๙๐ ๓๗,๑๒๐ ๔๒,๙๕๐ ๕๐,๘๗๐ ๕๕,๒๗๐ ๘.๐ ๔,๘๗๐ ๑๑,๔๐๐ ๑๖,๓๔๐ ๑๘,๑๙๐ ๑๖,๘๘๐ ๒๒,๔๙๐ ๒๕,๙๗๐ ๓๐,๖๙๐ ๓๖,๔๑๐ ๔๒,๐๗๐ ๔๙,๗๖๐ ๕๔,๑๗๐ ๗.๕ ๔,๗๔๐ ๑๑,๑๘๐ ๑๕,๕๔๐ ๑๗,๘๘๐ ๑๖,๕๕๐ ๒๒,๐๔๐ ๒๕,๔๗๐ ๓๐,๑๐๐ ๓๕,๖๙๐ ๔๑,๑๙๐ ๔๘,๖๗๐ ๕๓,๐๖๐ ๗.๐ ๔,๖๒๐ ๑๐,๙๗๐ ๑๕,๒๙๐ ๑๗,๕๗๐ ๑๖,๒๔๐ ๒๑,๖๒๐ ๒๔,๙๗๐ ๒๙,๕๑๐ ๓๔,๙๘๐ ๔๐,๓๑๐ ๔๗,๕๘๐ ๕๑,๙๖๐ ๖.๕ ๔,๕๑๐ ๑๐,๗๖๐ ๑๕,๐๖๐ ๑๗,๒๗๐ ๑๕,๙๒๐ ๒๑,๑๙๐ ๒๔,๔๙๐ ๒๘,๙๓๐ ๓๔,๒๗๐ ๓๙,๔๔๐ ๔๖,๕๐๐ ๕๐,๘๗๐ ๖.๐ ๔,๔๐๐ ๑๐,๕๔๐ ๑๔,๘๑๐ ๑๖,๙๖๐ ๑๕,๖๑๐ ๒๐,๗๘๐ ๒๔,๐๑๐ ๒๘,๓๕๐ ๓๓,๕๕๐ ๓๘,๕๗๐ ๔๕,๔๑๐ ๔๙,๗๖๐ ๕.๕ ๔,๒๗๐ ๑๐,๒๘๐ ๑๔,๕๖๐ ๑๖,๖๕๐ ๑๕,๒๙๐ ๒๐,๓๖๐ ๒๓,๕๕๐ ๒๗,๘๐๐ ๓๒,๘๕๐ ๓๗,๗๐๐ ๔๔,๓๔๐ ๔๘,๖๗๐ ๕.๐ ๔,๑๖๐ ๑๐,๐๗๐ ๑๔,๓๒๐ ๑๖,๓๔๐ ๑๕,๐๐๐ ๑๙,๙๗๐ ๒๓,๐๘๐ ๒๗,๒๓๐ ๓๒,๑๑๐ ๓๖,๘๒๐ ๔๓,๒๕๐ ๔๗,๕๘๐ ๔.๕ ๓,๙๐๐ ๙,๙๑๐ ๑๔,๐๖๐ ๑๖,๐๓๐ ๑๔,๖๘๐ ๑๙,๕๘๐ ๒๒,๖๒๐ ๒๖,๖๖๐ ๓๑,๔๐๐ ๓๕,๙๕๐ ๔๒,๑๙๐ ๔๖,๕๐๐ ๔.๐ ๓,๖๗๐ ๙,๗๑๐ ๑๓,๘๒๐ ๑๕,๗๒๐ ๑๔,๓๘๐ ๑๙,๒๐๐ ๒๒,๑๗๐ ๒๖,๑๐๐ ๓๐,๗๐๐ ๓๕,๐๙๐ ๔๑,๑๔๐ ๔๕,๔๑๐ ๓.๕ ๓,๕๕๐ ๙,๕๒๐ ๑๓,๕๗๐ ๑๕,๔๔๐ ๑๔,๐๗๐ ๑๘,๘๑๐ ๒๑,๗๑๐ ๒๕,๕๓๐ ๒๙,๙๘๐ ๓๔,๒๒๐ ๔๐,๐๙๐ ๔๔,๓๔๐ ๓.๐ ๓,๔๗๐ ๙,๓๓๐ ๑๓,๓๑๐ ๑๕,๑๔๐ ๑๓,๗๗๐ ๑๘,๔๔๐ ๒๑,๒๔๐ ๒๔,๙๖๐ ๒๙,๒๘๐ ๓๓,๓๖๐ ๓๙,๐๙๐ ๔๓,๒๕๐ ๒.๕ ๓,๓๖๐ ๙,๑๕๐ ๑๓,๐๗๐ ๑๔,๘๕๐ ๑๓,๔๗๐ ๑๘,๐๖๐ ๒๐,๗๙๐ ๒๔,๔๐๐ ๒๘,๕๖๐ ๓๒,๕๑๐ ๓๘,๐๖๐ ๔๒,๑๙๐ ๒.๐ ๓,๒๗๐ ๘,๙๗๐ ๑๒,๘๑๐ ๑๔,๕๗๐ ๑๓,๑๖๐ ๑๗,๖๙๐ ๒๐,๓๒๐ ๒๓,๘๓๐ ๒๗,๘๕๐ ๓๑,๖๕๐ ๓๗,๐๖๐ ๔๑,๑๔๐ ๑.๕ ๓,๑๕๐ ๘,๘๐๐ ๑๒,๕๖๐ ๑๔,๓๑๐ ๑๒,๘๔๐ ๑๗,๓๑๐ ๑๙,๘๖๐ ๒๓,๒๗๐ ๒๗,๑๖๐ ๓๐,๘๒๐ ๓๖,๐๗๐ ๔๐,๐๙๐ ๑.๐ ๓,๐๗๐ ๘,๖๑๐ ๑๒,๓๓๐ ๑๔,๐๓๐ ๑๒,๕๓๐ ๑๖,๙๒๐ ๑๙,๔๑๐ ๒๒,๗๐๐ ๒๖,๔๖๐ ๒๙,๙๘๐ ๓๕,๐๙๐ ๓๙,๐๙๐ ๗๘,๐๓๐ ขน้ั พ.๑ ป.๑ ป.๒ ป.๓ ส.๑ ส.๒ ส.๓ ส.๔ ส.๕ ส.๖ ส.๗ ส.๘ ส.๙ ระดบั
บญั ชีอตั ราเงนิ ประจำตำแหน่งข้าราชการตำรวจ ๑. ประเภทบริหาร อัตรา (บาท/เดอื น) ตำแหน่ง ๒๑,๐๐๐ บริหารระดบั สงู ๑๔,๕๐๐ พล.ต.อ., พล.ต.ท. ๑๐,๐๐๐ พล.ต.ต. พ.ต.อ. อัตราเงนิ เดือน พ.ต.อ. (พเิ ศษ) บริหารระดบั กลาง ๕,๖๐๐ พ.ต.อ. ๒. ประเภทวิชาชพี เฉพาะ (วช.) หรือผเู้ ชีย่ วชาญเฉพาะ (ชช.) อัตรา (บาท/เดอื น) ตำแหน่ง ๑๕,๖๐๐ วช. และ ชช. ๑๓,๐๐๐ พล.ต.อ., พล.ต.ท. ๙,๙๐๐ พล.ต.ต. พ.ต.อ. อัตราเงนิ เดือน พ.ต.อ. (พเิ ศษ) วช. พ.ต.อ. ๕,๖๐๐ พ.ต.ท. ๓,๕๐๐ ๓. ประเภทวิชาการในโรงเรยี นตำรวจ อัตรา (บาท/เดือน) ตำแหน่ง ๑๓,๐๐๐ ศาสตราจารย์ ชน้ั ยศ พ.ต.อ. อัตราเงนิ เดือน พ.ต.อ. (พเิ ศษ) ขน้ึ ไป รองศาสตราจารย์ ชั้นยศ พ.ต.อ. อัตราเงนิ เดือน พ.ต.อ. (พิเศษ) ๙,๙๐๐ รองศาสตราจารย์ ชน้ั ยศ พ.ต.อ. และ พ.ต.ท. ๕,๖๐๐ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ช้ันยศ พ.ต.อ. ๕,๖๐๐ ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ช้นั ยศ พ.ต.ท. และ พ.ต.ต. ๓,๕๐๐
พิมพ์ท่ี : สำนักการพิมพ์ สำนักงานเลขาธิการสภาผ้แู ทนราษฎร
รายงาน ของ คณะกรรมาธิการวิสามัญ พจิ ารณารา่ งพระราชบญั ญัติประกอบรัฐธรรมนูญ วา่ ดว้ ยการเลอื กตั้งสมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร (ฉบับท่ี ..) พ.ศ. .... รฐั สภา สำนกั กรรมาธกิ าร ๒ สำนักงานเลขาธกิ ารสภาผแู้ ทนราษฎร
รายงานคณะกรรมาธกิ ารวสิ ามญั ตามที่ที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครั้งที่ ๖ (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง) วันพฤหัสบดีที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕ ที่ประชุมได้พิจารณาและลงมติรับหลักการแห่งร่างพระราชบัญญัติประกอบ รัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (คณะรัฐมนตรี เป็นผู้เสนอ) ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (นายชลน่าน ศรีแก้ว กับคณะ เป็นผู้เสนอ) ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ฉบบั ที่ ..) พ.ศ. .... (นายวิเชียร ชวลติ กบั คณะ เปน็ ผู้เสนอ) และร่างพระราชบัญญัติ ประกอบรฐั ธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตัง้ สมาชิกสภาผ้แู ทนราษฎร (ฉบบั ที่ ..) พ.ศ. .... (นายพิธา ล้ิมเจริญรตั น์ กับคณะ เป็นผู้เสนอ) โดยตั้งกรรมาธิการวิสามัญขึ้นคณะหนึ่งเพื่อพิจารณา กำหนดการแปรญัตติ ภายใน ๑๕ วัน โดยให้ถือเอาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญของคณะรัฐมนตรี เป็นหลักในการ พจิ ารณา ทงั้ น้ี ในคราวประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครง้ั ท่ี ๗ (สมัยสามัญประจำปคี รงั้ ท่ีสอง) วันศุกร์ท่ี ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕ ทปี่ ระชมุ ไดเ้ หน็ ชอบให้เปลี่ยนแปลงรายชื่อกรรมาธิการจาก นายมนญู สิวาภิรมย์รัตน์ เปน็ นายระวี มาศฉมาดล บัดนี้ คณะกรรมาธิการวิสามัญไดด้ ำเนินการแล้ว ปรากฏผลดงั น้ี ๑. คณะกรรมาธกิ ารวิสามัญไดม้ มี ตเิ ลอื กตั้ง (๑) นายสาธิต ปิตเุ ตชะ เป็นประธานคณะกรรมาธกิ าร (๒) นายมหรรณพ เดชวทิ ักษ์ เปน็ รองประธานคณะกรรมาธิการ คนทีห่ นึ่ง (๓) นายสามารถ แกว้ มีชัย เป็นรองประธานคณะกรรมาธิการ คนที่สอง (๔) นายอนนั ต์ ผลอำนวย เปน็ รองประธานคณะกรรมาธิการ คนที่สาม (๕) นายสมชาย แสวงการ เปน็ รองประธานคณะกรรมาธิการ คนที่สี่ (๖) นายธีรัจชัย พนั ธุมาศ เป็นรองประธานคณะกรรมาธิการ คนที่ห้า (๗) นายศภุ ชัย ใจสมุทร เป็นรองประธานคณะกรรมาธิการ คนทห่ี ก (๘) ศาสตราจารย์พเิ ศษกาญจนารตั น์ ลวี ิโรจน์ เป็นรองประธานคณะกรรมาธิการ คนทีเ่ จด็ (๙) นายชนิ วรณ์ บุณยเกียรติ เป็นรองประธานคณะกรรมาธิการ คนทีแ่ ปด (๑๐) นายกลา้ นรงค์ จันทกิ เปน็ กรรมาธกิ ารและทป่ี รึกษา (๑๑) นายเทอดพงษ์ ไชยนันทน์ เปน็ กรรมาธิการและทป่ี รกึ ษา (๑๒) รองศาสตราจารย์ชศู ักดิ์ ศิรินลิ เปน็ กรรมาธิการและที่ปรกึ ษา (๑๓) พลเอก ยอดยุทธ บญุ ญาธกิ าร เป็นกรรมาธกิ ารและที่ปรึกษา (๑๔) นายบุญสงิ ห์ วรินทร์รักษ์ เปน็ กรรมาธกิ ารและทีป่ รึกษา (๑๕) นายประยทุ ธ์ ศิริพานิชย์ เปน็ กรรมาธิการและทป่ี รกึ ษา (๑๖) พลเอก อกนิษฐ์ หม่นื สวัสดิ์ เปน็ กรรมาธิการและทปี่ รกึ ษา (๑๗) นายวนั มหู ะมดั นอร์ มะทา เปน็ กรรมาธิการและที่ปรึกษา (๑๘) นายกิตติ วะสนี นท์ เป็นกรรมาธกิ ารและทป่ี รึกษา (๑๙) นายประสทิ ธิ์ ปทุมารักษ์ เป็นกรรมาธิการและที่ปรึกษา
(๒) (๒๐) นายดเิ รกฤทธิ์ เจนครองธรรม เปน็ โฆษกคณะกรรมาธิการ (๒๑) รองศาสตราจารยร์ งค์ บญุ สวยขวัญ เป็นโฆษกคณะกรรมาธิการ (๒๒) รองศาสตราจารย์สมชยั ศรีสทุ ธยิ ากร เปน็ โฆษกคณะกรรมาธกิ าร (๒๓) นางสาวปิยฉัฏฐ์ วันเฉลมิ เป็นโฆษกคณะกรรมาธกิ าร (๒๔) นายอคั รเดช วงษพ์ ิทักษ์โรจน์ เป็นโฆษกคณะกรรมาธิการ (๒๕) นายสมคดิ เชื้อคง เปน็ โฆษกคณะกรรมาธกิ าร (๒๖) นายปดิพัทธ์ สนั ติภาดา เปน็ โฆษกคณะกรรมาธิการ (๒๗) นายนิกร จำนง เป็นเลขานุการคณะกรรมาธิการ (๒๘) นายจกั รพนั ธ์ พรนมิ ติ ร เป็นผ้ชู ว่ ยเลขานกุ ารคณะกรรมาธิการ ๒. คณะกรรมาธิการวิสามัญได้มีมติตั้ง นายรัฐภูมิ คำศรี นิติกรเชี่ยวชาญ กลุ่มงาน บรกิ ารเอกสารอา้ งอิง สำนกั กรรมาธิการ ๒ สำนกั งานเลขาธกิ ารสภาผ้แู ทนราษฎร เปน็ ผชู้ ่วยเลขานุการ ในคณะกรรมาธิการ ตามขอ้ บงั คบั การประชุมรัฐสภา พ.ศ. ๒๕๖๓ ข้อ ๗๐ ๓. ผู้ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้แจง้ ขอใหม้ าช้ีแจงแสดงความเหน็ คือ สำนักงานคณะกรรมการการเลอื กตง้ั ผอู้ ำนวยการสำนกั บรหิ ารการเลอื กตงั้ (๑) ว่าท่รี อ้ ยตรี ภาสกร สริ ภิ คยาพร และออกเสียงประชามติ ๑ (๒) นายกติ ติพล พยัคฆเดชาพนั รองผูอ้ ำนวยการสำนกั บรหิ าร การสนับสนนุ โดยรฐั (๓) นายโชคดี ดว้ งแป้น ผ้อู ำนวยการฝ่ายกิจการพรรคการเมอื ง (๔) นางสธุ าทิพย์ ชคทานนท์ ผู้อำนวยการฝา่ ยบริหารเลอื กต้งั และการออกเสียงประชามติ (๕) นายเมธา ไชยสุขัง พนักงานการเลือกต้ังชำนาญการ (๖) นางสาวศิวาพร อินทรสขุ นิตกิ รปฏบิ ัติการ ๔. ผูเ้ ขา้ รว่ มประชุม คอื นักกฎหมายกฤษฎีกาชำนาญการพเิ ศษ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎกี า นักกฎหมายกฤษฎีกาชำนาญการพเิ ศษ (๑) นางพรพมิ ล สัมฤทธ์ิผอ่ ง นกั กฎหมายกฤษฎกี าชำนาญการพเิ ศษ (๒) นางรชั นี รจุ ิขจรเดช นักกฎหมายกฤษฎกี าชำนาญการ (๓) นางสาวสนิ นี าถ ภะวัง (๔) นายศรศกั ดิ์ ตนั ติวรวทิ ย์ ๕. ผลการดำเนินการตามมาตรา ๗๗ ของรัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย คณะกรรมาธิการวิสามัญได้นำผลการรบั ฟังความคิดเห็นและการวเิ คราะหผ์ ลกระทบที่อาจ เกดิ ขนึ้ จากร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง (ฉบบั ท่ี ..) พ.ศ. .... ซึ่งคณะรัฐมนตรี ได้ส่งให้รัฐสภาตามหนังสือสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ นร ๐๕๐๓/๔๒๖๒ ลงวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕ เรือ่ ง ร่างพระราชบญั ญัติประกอบรฐั ธรรมนญู ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ฉบบั ที่ ..) พ.ศ. ....
(๓) และร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม ๒ ฉบับ และผลการรับฟังความคิดเห็นและการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากร่างพระราชบัญญัติประกอบ รัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกต้ังสมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎร (ฉบบั ที่ ..) พ.ศ. .... ซงึ่ นายชลน่าน ศรีแก้ว กับคณะ นายวิเชียร ชวลิต กับคณะ และนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ กับคณะ เป็นผู้เสนอ ซึ่งดำเนินการ โดยสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรมาประกอบการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญ อย่างรอบด้านตามมาตรา ๗๗ ของรฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยแลว้ ๖. ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญฉบับนี้ มีผเู้ สนอคำแปรญตั ติ จำนวน ๑๑ คน คือ (๑) ศาสตราจารยโ์ กวิทย์ พวงงาม (๒) นายขจติ ร ชัยนิคม (๓) นายนยิ ม เวชกามา (๔) นายปกรณว์ ฒุ ิ อุดมพพิ ฒั นส์ กุล (๕) นายประเสริฐ บุญเรือง (๖) นายปรดี า บญุ เพลิง (๗) นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ (๘) นายรงั สมิ ันต์ โรม (๙) นายวริ ตั น์ วรศสิริน (๑๐) พลตำรวจโท วิศณุ ม่วงแพรศรี (๑๑) นายเสรี สุวรรณภานนท์ ๗. ผลการพจิ ารณา ช่อื รา่ งพระราชบญั ญัตปิ ระกอบรัฐธรรมนญู ไม่มีการแก้ไข คำปรารภ ไมม่ กี ารแกไ้ ข มาตรา ๑ ไม่มกี ารแกไ้ ข มาตรา ๒ ไม่มกี ารแกไ้ ข มีผแู้ ปรญัตตขิ อสงวนคำแปรญัตติ นายรงั สมิ ันต์ โรม ขอแปรญัตตเิ พิม่ ความเป็นมาตรา ๒/๑ ดงั นี้ “มาตรา ๒/๑ ให้ยกเลิกความในบทนิยามคำว่า “เขตเลือกตั้ง” ในมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๖๑ และใหใ้ ชค้ วามต่อไปน้ีแทน ““เขตเลอื กตั้ง” หมายความวา่ ท้องทท่ี ่ีกำหนดเป็นเขตเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบแบง่ เขตเลอื กตง้ั หรือแบบบญั ชีรายชอ่ื แล้วแต่กรณี”” คณะกรรมาธกิ ารไม่เห็นดว้ ย ผแู้ ปรญัตตขิ อสงวน
(๔) มาตรา ๓ แกไ้ ขมาตรา ๑๑ ไมม่ กี ารแกไ้ ข มีกรรมาธิการขอสงวนความเห็น และผแู้ ปรญัตติขอสงวนคำแปรญตั ติ นายธีรัจชัย พันธุมาศ นายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองศาสตราจารย์สมชัย ศรีสุทธิยากร และนายณัฐวุฒิ บัวประทุม (กรรมาธิการ) ขอสงวนความเห็น โดยขอให้แก้ไขเพิ่มเติมความในมาตรา ๓ เปน็ ดงั นี้ “มาตรา ๓ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๑๑ แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการเลือกต้งั สมาชกิ สภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๖๑ และใหใ้ ช้ความต่อไปนี้แทน “มาตรา ๑๑ เม่ือมีพระราชกฤษฎกี าใหม้ ีการเลอื กตัง้ ทว่ั ไปขึน้ ใช้บังคับ ใหค้ ณะกรรมการ ดำเนนิ การจดั ใหม้ ีการเลอื กตงั้ ดงั ตอ่ ไปน้ี (๑) การเลอื กตั้งสมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้งจำนวนส่รี ้อยคน ซึง่ เป็นการ ออกเสียงลงคะแนนเลอื กต้ังผ้สู มคั รเป็นรายบุคคลตามการแบง่ เขตเลอื กต้ังท่ีกำหนดเขตเลอื กตัง้ ละหนง่ึ คน (๒) การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายช่ือจำนวนหนง่ึ ร้อยคน ซึ่งเป็นการ ออกเสยี งลงคะแนนเลือกตั้งบัญชีรายช่ือผู้สมัครที่พรรคการเมืองจัดทำขึ้น โดยเลือกเพียงพรรคการเมืองเดียว ทงั้ ประเทศ (๓) อาจจดั ให้มีการออกเสยี งประชามตติ ามทคี่ ณะรัฐมนตรีขอให้ดำเนนิ การพร้อมกับ (๑) และ (๒) ทงั้ นี้ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการกำหนด”” นายรงั สิมันต์ โรม ขอแปรญัตตแิ ก้ไขเพิ่มเติมความในมาตรา ๓ เป็นดงั นี้ “มาตรา ๓ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๑๑ แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ วา่ ดว้ ยการเลอื กต้งั สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๖๑ และให้ใช้ความตอ่ ไปน้ีแทน “มาตรา ๑๑ เมอ่ื มพี ระราชกฤษฎีกาให้มกี ารเลือกตัง้ ทว่ั ไปข้ึนใชบ้ งั คบั ให้คณะกรรมการ ดำเนนิ การจดั ให้มีการเลือกตั้ง ดงั ตอ่ ไปน้ี (๑) จัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้งจำนวนสี่ร้อยคน ซึ่งเป็นการออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้งผู้สมัครเป็นรายบุคคลตามการแบ่งเขตเลือกตั้งที่กำหนด เขตเลอื กตงั้ ละหน่งึ คน (๒) จัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อจำนวนหนึ่งร้อยคน ซึ่งเป็นการออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้งบัญชีรายชื่อผู้สมัครที่พรรคการเมืองจัดทำขึ้น โดยเลือก เพยี งพรรคการเมืองเดยี วทง้ั และใช้เขตประเทศเป็นเขตเลือกต้ัง (๓) อาจจัดให้มีการออกเสียงประชามติตามกฎหมายว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ทั้งนี้ ให้เขตเลือกตัง้ เป็นเขตออกเสียงประชามติ และให้เจ้าพนักงานผูด้ ำเนินการเลือกตั้งเป็นเจ้าพนักงาน ผู้ดำเนนิ การออกเสยี ง”” คณะกรรมาธิการไม่เห็นดว้ ย ผูแ้ ปรญัตติขอสงวน มาตรา ๔ แกไ้ ขมาตรา ๑๒ (๔) ไมม่ ีการแก้ไข มผี ้แู ปรญตั ติขอสงวนคำแปรญัตติ นายรังสิมันต์ โรม ขอแปรญตั ตติ ดั มาตรา ๔ ออกทง้ั มาตรา คณะกรรมาธกิ ารไมเ่ หน็ ดว้ ย ผู้แปรญัตตขิ อสงวน
(๕) มาตรา ๕ แก้ไขมาตรา ๑๙ (๑) ไม่มกี ารแก้ไข มีผูแ้ ปรญัตติขอสงวนคำแปรญตั ติ นายรังสมิ นั ต์ โรม ขอแปรญัตตติ ัดมาตรา ๕ ออกทง้ั มาตรา คณะกรรมาธิการไมเ่ หน็ ด้วย ผแู้ ปรญัตติขอสงวน มาตรา ๖ แก้ไขมาตรา ๒๖ มกี ารแก้ไข มีผแู้ ปรญัตติขอสงวนคำแปรญตั ติ นายเสรี สุวรรณภานนท์ ขอแปรญตั ติแกไ้ ขความในมาตรา ๖ เปน็ ดังน้ี “มาตรา ๖ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๒๖ แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าดว้ ยการเลือกตง้ั สมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๖๑ และให้ใช้ความต่อไปนแี้ ทน “มาตรา ๒๖ การกำหนดจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่แต่ละจังหวัดจะพึงมี และการแบง่ เขตเลอื กตง้ั ใหด้ ำเนินการตามวธิ ีการ ดงั ตอ่ ไปนี้ (๑) ให้ใช้จำนวนราษฎรทั้งประเทศตามหลักฐานการทะเบียนราษฎรที่ประกาศในปีสุดท้าย ก่อนปีที่มีการเลือกตั้ง เฉลี่ยด้วยจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสี่ร้อยคน จำนวนที่ได้รับให้ถือว่า เปน็ จำนวนราษฎรต่อสมาชิกหนง่ึ คน (๒) จังหวัดใดมีราษฎรไม่ถึงเกณฑ์จำนวนราษฎรต่อสมาชิกหนึ่งคนตาม (๑) ให้มีสมาชิก สภาผแู้ ทนราษฎรในจงั หวัดนนั้ ไดห้ น่ึงคน โดยใหถ้ ือเขตจงั หวดั เป็นเขตเลอื กตั้ง (๓) จังหวัดใดมีราษฎรเกินจำนวนราษฎรต่อสมาชิกหนึ่งคน ให้มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในจงั หวดั นน้ั เพมิ่ ขึ้นอกี หนงึ่ คนทุกจำนวนราษฎรทีถ่ ึงเกณฑจ์ ำนวนราษฎรต่อสมาชกิ หนงึ่ คน (๔) เมื่อได้จำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของแต่ละจังหวัดตาม (๒) และ (๓) แล้ว ถ้าจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรยังไม่ครบสี่ร้อยคน จังหวัดใดมีเศษที่เหลือจากการคำนวณตาม (๓) มากที่สุด ให้จังหวัดนั้นมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน และให้เพิ่มสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ตามวิธีการดังกล่าวแก่จังหวัดที่มีเศษที่เหลือจากการคำนวณนั้นในลำดับรองลงมาตามลำดับจนครบ จำนวนสี่ร้อยคน (๕) จังหวัดใดมีการเลือกตั้งได้เกินหนึ่งคน ให้แบ่งเขตจังหวัดออกเป็นเขตเลือกต้ัง เท่าจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่พึงมี โดยต้องแบ่งพื้นที่ของเขตเลือกตั้งแต่ละเขตให้ติดต่อกันและต้อง จดั ให้มีจำนวนราษฎรในแต่ละเขตใกล้เคยี งกัน” คณะกรรมาธิการไมเ่ หน็ ดว้ ย ผ้แู ปรญตั ตขิ อสงวน นายรังสมิ นั ต์ โรม ขอแปรญตั ติแก้ไขเพมิ่ เตมิ ความในมาตรา ๖ เป็นดังน้ี “มาตรา ๖ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๒๖ แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าดว้ ยการเลอื กตงั้ สมาชกิ สภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๖๑ และใหใ้ ชค้ วามตอ่ ไปนี้แทน “มาตรา ๒๖ การกำหนดจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่แต่ละจังหวัดจะพึงมี และการแบ่งเขตเลือกตัง้ ใหด้ ำเนินการตามวธิ ีการ ดงั ต่อไปน้ี (๑) ให้ใช้จำนวนราษฎรทั้งประเทศตามหลักฐานการทะเบียนราษฎรที่ประกาศในปีสุดท้าย ก่อนปีที่มีการเลือกตั้ง เฉลี่ยด้วยจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสี่ร้อยคน จำนวนที่ได้รับให้ถือว่าเป็น จำนวนราษฎรตอ่ สมาชิกหนงึ่ คน
(๖) (๒) จังหวัดใดมีราษฎรไม่ถึงเกณฑ์จำนวนราษฎรต่อสมาชิกหนึ่งคนตาม (๑) ให้มีสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรในจงั หวัดนั้นได้หนึ่งคน โดยใหถ้ ือเขตจังหวดั เป็นเขตเลือกตั้ง (๓) จังหวัดใดมีราษฎรเกินจำนวนราษฎรต่อสมาชิกหนึ่งคน ให้มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในจังหวัดนัน้ เพ่มิ ขึ้นอีกหนึ่งคนทกุ จำนวนราษฎรท่ถี ึงเกณฑ์จำนวนราษฎรต่อสมาชกิ หนงึ่ คน (๔) เมื่อได้จำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของแต่ละจังหวัดตาม (๒) และ (๓) แล้ว ถ้าจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรยังไม่ครบสี่ร้อยคน จังหวัดใดมีเศษที่เหลือจากการคำนวณตาม (๓) มากที่สุด ให้จังหวัดนั้นมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน และให้เพิ่มสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ตามวิธีการดังกล่าวแก่จังหวัดที่มีเศษที่เหลือจากการคำนวณนั้นในลำดับรองลงมาตามลำดับจนครบ จำนวนสร่ี ้อยคนสมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรแบบแบง่ เขตเลือกตัง้ (๕) จงั หวดั ใดมีการเลือกตั้งได้เกินหน่ึงคน ใหแ้ บ่งเขตจังหวัดออกเป็นเขตเลือกตั้งเท่าจำนวน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่พึงมี โดยต้องแบ่งพื้นที่ของเขตเลือกตั้งแต่ละเขตให้ติดต่อกันและต้องจัดให้มี จำนวนราษฎรในแตล่ ะเขตใกล้เคยี งกัน”” คณะกรรมาธิการไม่เหน็ ด้วย ผ้แู ปรญตั ติขอสงวน ศาสตราจารยโ์ กวิทย์ พวงงาม ขอแปรญตั ตแิ ก้ไขเพิ่มเติมความในมาตรา ๖ เปน็ ดงั นี้ “มาตรา ๖ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๒๖ แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ วา่ ดว้ ยการเลอื กต้งั สมาชกิ สภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๖๑ และใหใ้ ช้ความตอ่ ไปน้ีแทน “มาตรา ๒๖ การกำหนดจำนวนสมาชกิ สภาผ้แู ทนราษฎรท่แี ต่ละจงั หวัดจะพงึ มแี ละการ แบ่งเขตเลือกตัง้ ใหด้ ำเนนิ การตามวิธกี าร ดังต่อไปนี้ (๑) ให้ใช้จำนวนราษฎรทั้งประเทศตามหลักฐานการทะเบียนราษฎรที่ประกาศในปีสุดท้าย ก่อนปีที่มีการเลือกตั้ง เฉลี่ยด้วยจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสี่ร้อยคน จำนวนที่ได้รับให้ถือว่า เปน็ จำนวนราษฎรตอ่ สมาชิกหนึง่ คน (๒) จังหวัดใดมีราษฎรไม่ถึงเกณฑ์จำนวนราษฎรต่อสมาชิกหนึ่งคนตาม (๑) ให้มี สมาชิกสภาผูแ้ ทนราษฎรในจังหวดั นั้นไดห้ น่งึ คน โดยใหถ้ ือเขตจังหวัดเปน็ เขตเลอื กตง้ั (๓) จังหวัดใดมีราษฎรเกินจำนวนราษฎรต่อสมาชิกหนึ่งคน ให้มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในจงั หวัดน้ันเพมิ่ ขึ้นอีกหน่ึงคนทุกจำนวนราษฎรทถี่ งึ เกณฑ์จำนวนราษฎรต่อสมาชิกหนง่ึ คน (๔) เมื่อได้จำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของแต่ละจังหวัดตาม (๒) และ (๓) แล้ว ถ้าจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรยังไม่ครบสี่ร้อยคน จังหวัดใดมีเศษที่เหลือจากการคำนวณตาม (๓) มากที่สุด ให้จังหวัดนั้นมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน และให้เพิ่มสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ตามวิธีการดังกล่าวแก่จังหวัดที่มีเศษที่เหลือจากการคำนวณนั้นในลำดับรองลงมาตามลำดับจนครบ จำนวนส่รี อ้ ยคน (๕) จังหวัดใดมีการเลือกตั้งได้เกินหนึ่งคน ให้แบ่งเขตจังหวัดออกเป็นเขตเลือกตั้ง เท่าจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่พึงมี โดยต้องแบ่งพื้นที่ของเขตเลือกตั้งแต่ละเขตให้ติดต่อกัน ตามลักษณะภูมิสังคม และต้องจัดให้มีจำนวนราษฎรในแต่ละเขตใกล้เคียงกัน โดยให้มีผลต่างไม่เกิน ร้อยละสบิ ”” คณะกรรมาธกิ ารไมเ่ หน็ ดว้ ย ผู้แปรญตั ตขิ อสงวน
(๗) มาตรา ๖/๑ เพม่ิ มาตรา ๓๐/๑ คณะกรรมาธกิ ารเพิม่ ขึ้นใหม่ มผี แู้ ปรญตั ติขอสงวนคำแปรญัตติ นายรังสมิ ันต์ โรม ขอแปรญัตติเพ่มิ ความเป็นมาตรา ๖/๑ ดงั นี้ “มาตรา ๖/๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา ๓๐/๑ แห่งพระราชบัญญัติประกอบ รัฐธรรมนญู ว่าดว้ ยการเลือกตง้ั สมาชกิ สภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๖๑ “มาตรา ๓๐/๑ การออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชี รายชอื่ ใหใ้ ชห้ น่วยเลือกตงั้ และทีเ่ ลอื กตัง้ เดียวกบั การเลอื กตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตัง้ ”” คณะกรรมาธิการไม่เห็นดว้ ย ผแู้ ปรญตั ติขอสงวน มาตรา ๖/๒ แก้ไขมาตรา ๓๖ คณะกรรมาธกิ ารเพมิ่ ข้ึนใหม่ มีกรรมาธิการขอสงวนความเห็น และผ้แู ปรญตั ตขิ อสงวนคำแปรญัตติ นายธีรจั ชยั พนั ธมุ าศ นายปดพิ ทั ธ์ สนั ติภาดา และนายณัฐวุฒิ บัวประทมุ (กรรมาธิการ) ขอสงวนความเหน็ โดยขอใหเ้ พ่ิมความเป็นมาตรา ๖/๒ ดงั น้ี “มาตรา ๖/๒ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๓๖ แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ วา่ ด้วยการเลือกตง้ั สมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๖๑ และใหใ้ ช้ความต่อไปน้ีแทน “มาตรา ๓๖ เมอื่ มกี ารประกาศกำหนดวันเลือกต้ังคร้ังใดแล้ว ให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง ประจำเขตเลือกตั้งหรือผู้ซึ่งคณะกรรมการมอบหมาย จัดทำบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งของแต่ละ หนว่ ยเลอื กตัง้ และปดิ ประกาศไว้ ณ ที่เลือกตัง้ หรอื บริเวณใกล้เคยี งกบั ทเ่ี ลอื กตงั้ หรือสถานท่ีท่ีประชาชน สะดวกในการตรวจสอบก่อนวนั เลือกตงั้ ไม่นอ้ ยกวา่ ย่สี ิบห้าวนั ให้แจ้งรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งในทะเบียนบ้านไปยังเจ้าบ้านให้ทราบก่อนวันเลือกต้ัง ไม่น้อยกว่ายสี่ ิบวัน และจัดใหม้ ีการตรวจสอบรายชื่อผมู้ ีสทิ ธิเลือกตั้งโดยวิธีการทางอเิ ล็กทรอนกิ ส์ บัญชีรายชื่อผู้มีสทิ ธิเลือกตั้งตามวรรคหนึ่ง มิให้ระบุเลขประจำตัวประชาชนของผู้มีสิทธิ เลือกตั้ง บัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่จัดทำขึ้นเพื่อประโยชน์ของเจ้าหน้าที่ในการตรวจสอบ ผู้มาใชส้ ทิ ธเิ ลอื กตั้ง ณ ทีเ่ ลอื กต้งั ใหร้ ะบเุ ลขประจำตวั ประชาชนของผ้มู ีสทิ ธเิ ลือกตงั้ ดว้ ย การจัดทำบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้ง การปิดประกาศ การแจ้งรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกต้ัง และการจัดให้มีการตรวจสอบรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ และวธิ ีการท่คี ณะกรรมการกำหนด”” รองศาสตราจารย์สมชัย ศรีสุทธิยากร (กรรมาธิการ) ขอสงวนความเห็น โดยขอให้ เพิ่มความเป็นมาตรา ๖/๓ ดังนี้ “มาตรา ๖/๓ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๔๖ แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ วา่ ด้วยการเลือกตั้งสมาชกิ สภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๖๑ และใหใ้ ชค้ วามตอ่ ไปนีแ้ ทน “มาตรา ๔๖ ให้เป็นหน้าที่ของผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้งที่จะต้อง ตรวจสอบการสมัครของผู้สมัครว่าได้ส่งเอกสารและหลักฐานตามมาตรา ๔๕ ถูกต้องครบถ้วนหรือไม่ ให้แล้วเสร็จภายในกำหนดเวลาเจ็ดวัน ถ้าเห็นว่าไม่ถูกต้องครบถ้วนให้คืนเอกสารและหลักฐานทั้งหมด ใหผ้ ู้สมคั รน้ัน
(๘) ในกรณีที่ผู้สมัครได้ส่งเอกสารและหลักฐานตามมาตรา ๔๕ ถูกต้องครบถ้วนและเมื่อ ล่วงพ้นกำหนดเวลาเจ็ดวนั ตามวรรคหน่งึ แล้ว ให้ผอู้ ำนวยการการเลือกตง้ั ประจำเขตเลอื กต้ังออกหลักฐาน การรับสมัครรับเลือกตั้งให้แก่ผู้สมัครนั้น และให้ทำสำเนาคู่ฉบับไว้เป็นหลักฐานและให้ประกาศรายช่ือ ผู้สมัครภายในเจ็ดวนั นับแต่วันปิดรับสมัครไว้โดยเปิดเผย ณ ที่เลือกตั้ง หรือบริเวณใกล้เคียงกับที่เลือกตัง้ หรือสถานทอี่ ื่นที่เหน็ สมควร เมื่อปิดรับสมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้งแล้ว ให้คณะกรรมการ เปิดรับสมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อของพรรคการเมือง ณ สถานที่สมัครตามที่ คณะกรรมการกำหนด โดยการสมัครในวันแรกหากมีตัวแทนจากพรรคการเมืองมาสมัครพร้อมกัน หลายพรรคและไม่อาจตกลงลำดับในการยื่นใบสมัครได้ ให้ใช้วิธีจับสลากระหว่างผู้แทนพรรคการเมือง ที่มาสมัครพร้อมกัน ให้คณะกรรมการออกหลักฐานการรับสมัครรับเลือกตั้งให้แก่ผู้สมัครน้ัน เรียงตามลำดับการยื่นสมัคร และให้ดำเนินการตามวรรคสอง โดยหมายเลขที่พรรคการเมืองได้รับนั้น ให้นำไปใชเ้ ปน็ หมายเลขของผสู้ มคั รแบบแบง่ เขตเลือกต้ังของพรรคการเมอื งนน้ั ในทุกเขตทม่ี ีการสง่ ผูส้ มคั ร ประกาศตามวรรคสองและวรรคสามอยา่ งนอ้ ยให้มชี ่อื ตัว ชอ่ื สกลุ และรูปถ่ายของผู้สมัคร พรรคการเมืองท่สี ังกดั และหมายเลขประจำตัวผสู้ มคั รตามวรรคสามทจ่ี ะใชใ้ นการออกเสยี งลงคะแนน”” นายสามารถ แก้วมีชัย รองศาสตราจารย์ชูศักดิ์ ศิรินิล นายประยุทธ์ ศิริพานิชย์ นายสมคดิ เช้อื คง นายกฤช เอื้อวงศ์ นายชลน่าน ศรีแกว้ นายพงศเ์ ทพ เทพกาญจนา และนายสุขุมพงศ์ โงน่ คำ (กรรมาธกิ าร) ขอสงวนความเห็น โดยขอใหเ้ พม่ิ ความเปน็ มาตรา ๖/๓ ดงั น้ี “มาตรา ๖/๓ ให้ยกเลิกมาตรา ๔๘ แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย การเลอื กต้งั สมาชกิ สภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๖๑” นายเสรี สุวรรณภานนท์ ขอแปรญตั ติเพม่ิ ความเปน็ มาตรา ๖/๓ และมาตรา ๖/๔ ดังน้ี “มาตรา ๖/๓ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๔๖ แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าดว้ ยการเลือกตงั้ สมาชกิ สภาผ้แู ทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๖๑ และใหใ้ ชค้ วามตอ่ ไปนแ้ี ทน “มาตรา ๔๖ ให้เป็นหน้าที่ของผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้งที่จะต้อง ตรวจสอบการสมัครของผู้สมัครว่าได้ส่งเอกสารและหลักฐานตามมาตรา ๔๕ ถูกต้องครบถ้วนหรือไม่ ให้แล้วเสร็จภายในกำหนดเวลาเจ็ดวัน ถ้าเห็นว่าไม่ถูกต้องครบถ้วนให้คืนเอกสารและหลักฐานทั้งหมด ใหผ้ สู้ มคั รนั้น ในกรณีที่ผู้สมัครได้ส่งเอกสารและหลักฐานตามมาตรา ๔๕ ถูกต้องครบถ้วนและเม่ือ ล่วงพ้นกำหนดเวลาเจ็ดวนั ตามวรรคหนึ่งแลว้ ใหผ้ อู้ ำนวยการการเลือกต้ังประจำเขตเลือกต้ังออกหลักฐาน การรับสมัครรับเลือกตั้งให้แก่ผู้สมัครนั้น และให้ทำสำเนาคู่ฉบับไว้เป็นหลักฐานและให้ประกาศรายช่ือ ผู้สมัครภายในเจ็ดวันนบั แต่วนั ปดิ รับสมัครไว้โดยเปดิ เผย ณ ที่เลือกตั้ง หรือบริเวณใกล้เคียงกับทีเ่ ลือกตง้ั หรอื สถานท่อี ่นื ท่ีเหน็ สมควร เมื่อปิดรับสมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้งแล้ว ให้คณะกรรมการ เปิดรับสมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อของพรรคการเมือง ณ สถานที่สมัคร ตามที่ คณะกรรมการกำหนด โดยการสมัครในวันแรกหากมีตัวแทนจากพรรคการเมืองมาสมัครพร้อมกัน หลายพรรคและไม่อาจตกลงลำดับในการยื่นใบสมัครได้ ให้ใช้วิธีจับสลากระหว่างผู้แทนพรรคการเมือง
(๙) ที่มาสมัครพร้อมกัน ให้คณะกรรมการออกหลักฐานการรับสมัครรับเลือกตั้งให้แก่ผู้สมัครน้ัน เรียงตามลำดับการยื่นสมัคร และให้ดำเนินการตามวรรคสอง โดยหมายเลขที่พรรคการเมืองได้รับนั้น ใหน้ ำไปใชเ้ ป็นหมายเลขของผู้สมคั รแบบแบง่ เขตเลอื กต้ังของพรรคการเมืองนัน้ ในทุกเขตที่มกี ารสง่ ผ้สู มคั ร ประกาศตามวรรคสองและวรรคสามอยา่ งนอ้ ยให้มชี อื่ ตวั ชอ่ื สกลุ และรูปถ่ายของผสู้ มัคร พรรคการเมืองท่ีสงั กดั และหมายเลขประจำตัวผสู้ มัครตามวรรคสามทจี่ ะใช้ในการออกเสียงลงคะแนน” มาตรา ๖/๔ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๔๘ แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ วา่ ดว้ ยการเลือกต้ังสมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๖๑ และให้ใช้ความตอ่ ไปนแ้ี ทน “มาตรา ๔๘ เมือ่ ไดก้ ำหนดหมายเลขประจำตัวผูส้ มัครตามมาตรา ๔๖ แล้วจะเปลย่ี นแปลง หมายเลขประจำตวั ผสู้ มัครไมไ่ ดไ้ มว่ ่าด้วยประการใด”” คณะกรรมาธิการไมเ่ ห็นดว้ ย ผแู้ ปรญตั ตขิ อสงวน นายรงั สิมนั ต์ โรม ขอแปรญัตติเพมิ่ ความเป็นมาตรา ๖/๓ ดังนี้ “มาตรา ๖/๓ ให้ยกเลิกมาตรา ๔๘ แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย การเลือกตง้ั สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๖๑” คณะกรรมาธิการไมเ่ หน็ ด้วย ผแู้ ปรญัตตขิ อสงวน มาตรา ๗ แกไ้ ขมาตรา ๕๓ ไม่มีการแกไ้ ข มีผู้แปรญตั ติขอสงวนคำแปรญัตติ นายรังสิมนั ต์ โรม ขอแปรญัตติตดั มาตรา ๗ ออกท้งั มาตรา คณะกรรมาธิการไม่เห็นดว้ ย ผู้แปรญตั ตขิ อสงวน มาตรา ๘ แกไ้ ขมาตรา ๕๔ วรรคสอง ไม่มกี ารแก้ไข มผี ูแ้ ปรญตั ตขิ อสงวนคำแปรญตั ติ นายรงั สมิ นั ต์ โรม ขอแปรญตั ตติ ดั มาตรา ๘ ออกทัง้ มาตรา คณะกรรมาธกิ ารไม่เหน็ ดว้ ย ผแู้ ปรญัตติขอสงวน มาตรา ๙ แก้ไขมาตรา ๕๖ วรรคหนึง่ ไม่มีการแก้ไข มีกรรมาธิการขอสงวนความเหน็ และผแู้ ปรญตั ติขอสงวนคำแปรญตั ติ นายธรี ัจชัย พันธุมาศ นายปดพิ ทั ธ์ สนั ตภิ าดา และนายณฐั วุฒิ บัวประทมุ (กรรมาธกิ าร) ขอสงวนความเหน็ โดยขอให้แกไ้ ขเพมิ่ เติมความในมาตรา ๙ เปน็ ดงั นี้ “มาตรา ๙ ให้ยกเลิกความในวรรคหนึ่งของมาตรา ๕๖ แห่งพระราชบัญญัติประกอบ รฐั ธรรมนูญวา่ ดว้ ยการเลอื กต้ังสมาชกิ สภาผูแ้ ทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๖๑ และใหใ้ ช้ความต่อไปน้แี ทน “มาตรา ๕๖ พรรคการเมืองใดส่งผู้สมัครแบบแบ่งเขตเลือกตั้งแล้ว ให้มีสิทธิส่งผู้สมัคร แบบบญั ชรี ายชื่อไดพ้ รรคละหนงึ่ บัญชี มีจำนวนไม่เกนิ หนึง่ รอ้ ยรายชื่อ ตามหลกั เกณฑ์ดังต่อไปน้ี (๑) ดำเนินการสรรหาผู้สมัครแบบบัญชีรายชื่อตามวิธีการที่กำหนดไว้ในกฎหมาย ประกอบรัฐธรรมนูญวา่ ด้วยพรรคการเมือง
(๑๐) (๒) พรรคการเมืองจะเสนอรายชอื่ บุคคลใดต้องได้รับความยินยอมเป็นหนังสือจากบุคคลนั้น และบุคคลดังกลา่ วตอ้ งเป็นสมาชกิ ของพรรคการเมืองทจ่ี ะเสนอรายช่ือเพียงพรรคเดยี ว (๓) ให้จัดทำบัญชีรายชื่อตามแบบที่คณะกรรมการกำหนด โดยจัดเรียงลำดับรายชื่อ ผสู้ มัครตามลำดับหมายเลข (๔) รายชื่อในบัญชีผู้สมัครของพรรคการเมืองต้องไม่ซ้ำกับพรรคการเมืองอื่น และไม่ซ้ำ กับรายชอ่ื ผู้สมัครแบบแบง่ เขตเลอื กตง้ั การจัดทำบัญชีรายชื่อตามวรรคหนึ่งต้องให้สมาชิกของพรรคการเมืองมีส่วนร่วมในการ พิจารณาด้วย โดยต้องคำนึงถึงผู้สมัครรับเลือกตั้งจากภูมิภาคต่าง ๆ และความเท่าเทียมกันระหว่างเพศ ทง้ั น้ี ตามทีบ่ ญั ญัตไิ ว้ในกฎหมายประกอบรฐั ธรรมนญู ว่าดว้ ยพรรคการเมอื ง”” นายเสรี สุวรรณภานนท์ ขอแปรญัตตแิ ก้ไขเพิม่ เติมความในมาตรา ๙ เป็นดงั นี้ “มาตรา ๙ ให้ยกเลิกความในวรรคหนึ่งของมาตรา ๕๖ แห่งพระราชบัญญัติประกอบ รัฐธรรมนญู วา่ ด้วยการเลอื กตั้งสมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๖๑ และใหใ้ ชค้ วามตอ่ ไปน้ีแทน “มาตรา ๕๖ พรรคการเมืองใดส่งผู้สมัครแบบแบ่งเขตเลือกตั้งแลว้ ใหม้ ีสิทธิและส่งผู้สมัคร แบบบัญชีรายชื่อได้พรรคละหนึ่งบัญชี มีจำนวนไม่เกินหนึ่งร้อยรายชื่อ โดยได้สมัครตามมาตรา ๔๖ แล้ว การส่งผู้สมคั รแบบบัญชรี ายชือ่ ใหด้ ำเนินการตามหลกั เกณฑ์ดงั ตอ่ ไปน้ี (๑) ดำเนินการสรรหาผู้สมัครแบบบัญชีรายชื่อตามวิธีการที่กำหนดไว้ในกฎหมาย ประกอบรัฐธรรมนญู วา่ ด้วยพรรคการเมือง (๒) พรรคการเมืองจะเสนอรายชื่อบุคคลใดต้องได้รับความยินยอมเป็นหนังสือจาก บุคคลนนั้ และบุคคลดังกลา่ วตอ้ งเป็นสมาชกิ ของพรรคการเมืองทจี่ ะเสนอรายชอ่ื เพยี งพรรคเดียว (๓) ให้จัดทำบัญชีรายชื่อตามแบบที่คณะกรรมการกำหนด โดยจัดเรียงลำดับรายชื่อ ผสู้ มคั รตามลำดบั หมายเลข (๔) รายชื่อในบัญชีผู้สมัครของพรรคการเมืองต้องไม่ซ้ำกับพรรคการเมืองอื่นและไม่ซ้ำ กบั รายชื่อผู้สมัครแบบแบง่ เขตเลือกตง้ั ”” คณะกรรมาธิการไมเ่ ห็นดว้ ย ผแู้ ปรญัตติขอสงวน นายรังสิมันต์ โรม ขอแปรญัตตแิ ก้ไขเพม่ิ เติมความในมาตรา ๙ เป็นดงั น้ี “มาตรา ๙ ให้ยกเลิกความในวรรคหนึ่งของมาตรา ๕๖ แห่งพระราชบัญญัติประกอบ รฐั ธรรมนญู ว่าด้วยการเลอื กตั้งสมาชกิ สภาผูแ้ ทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๖๑ และใหใ้ ช้ความตอ่ ไปนี้แทน “มาตรา ๕๖ พรรคการเมืองใดส่งผู้สมัครแบบแบ่งเขตเลือกตั้งแล้ว ให้มีสิทธิส่งผู้สมัคร แบบบัญชีรายชื่อได้พรรคละหนึ่งบัญชี มีจำนวนไมเ่ กนิ หนงึ่ ร้อยรายชอ่ื ตามหลกั เกณฑ์ดงั ต่อไปนี้ (๑) ดำเนินการสรรหาผู้สมัครแบบบัญชีรายชื่อตามวิธีการที่กำหนดไว้ในกฎหมาย ประกอบรัฐธรรมนญู ว่าดว้ ยพรรคการเมอื ง (๒) พรรคการเมืองจะเสนอรายชื่อบุคคลใดต้องได้รับความยินยอมเป็นหนังสือจาก บคุ คลนั้น และบุคคลดงั กลา่ วต้องเปน็ สมาชิกของพรรคการเมืองท่จี ะเสนอรายชอ่ื เพยี งพรรคเดยี ว (๓) ให้จัดทำบัญชีรายชื่อตามแบบที่คณะกรรมการกำหนด โดยจัดเรียงลำดับรายชื่อ ผสู้ มัครตามลำดับหมายเลข
(๑๑) (๔) รายชื่อในบัญชีผู้สมัครของพรรคการเมืองต้องไม่ซ้ำกับพรรคการเมืองอื่นและไม่ซ้ำ กบั รายชือ่ ผสู้ มัครแบบแบง่ เขตเลอื กตงั้ การจัดทำบัญชีรายชื่อตามวรรคหนึ่งต้องให้สมาชิกของพรรคการเมืองมีส่วนร่วมในการ พิจารณาด้วย โดยต้องคำนึงถึงผู้สมัครรับเลือกตั้งจากภูมิภาคต่าง ๆ และความเท่าเทียมกันระหว่างเพศ ทง้ั น้ี ตามท่บี ัญญตั ไิ วใ้ นกฎหมายประกอบรฐั ธรรมนูญวา่ ดว้ ยพรรคการเมือง”” คณะกรรมาธกิ ารไมเ่ ห็นด้วย ผู้แปรญัตติขอสงวน มาตรา ๑๐ เพ่ิมมาตรา ๕๗ วรรคห้า ไม่มกี ารแก้ไข มีกรรมาธกิ ารขอสงวนความเหน็ และผ้แู ปรญตั ตขิ อสงวนคำแปรญตั ติ นายสามารถ แก้วมีชัย รองศาสตราจารย์ชูศักดิ์ ศิรินิล นายประยุทธ์ ศิริพานิชย์ นายสมคดิ เชอ้ื คง นายกฤช เออื้ วงศ์ นายชลนา่ น ศรีแกว้ นายพงศเ์ ทพ เทพกาญจนา และนายสุขุมพงศ์ โง่นคำ (กรรมาธิการ) ขอสงวนความเห็น โดยขอให้ตัดมาตรา ๑๐ ออกทั้งมาตรา และเพิ่มความเป็น มาตรา ๑๐/๑ ดงั นี้ “มาตรา ๑๐/๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นส่วนที่ ๓/๑ หมายเลขที่จะใช้ออกเสียงลงคะแนน แบบบัญชรี ายช่ือและแบบแบง่ เขตเลือกตง้ั มาตรา ๖๑/๑ มาตรา ๖๑/๒ และมาตรา ๖๑/๓ ของหมวด ๔ ผู้สมัครและการสมัครรับเลือกตั้ง แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิก สภาผแู้ ทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๖๑ “สว่ นที่ ๓/๑ หมายเลขที่จะใชอ้ อกเสียงลงคะแนนแบบบญั ชรี ายชอื่ และแบบแบ่งเขตเลือกต้งั มาตรา ๖๑/๑ ในกรณีที่เป็นการเลือกตั้งทั่วไป ให้คณะกรรมการกำหนดวันที่สอง ของวันรับสมัครเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งเป็นวันเริ่มรับสมัครเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ และให้ปิดรับสมัครเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อหนึ่งวันก่อนการปิดรับสมัครเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกต้ัง ให้พรรคการเมืองที่ส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อได้รับหมายเลขที่จะใช้ลงคะแนนเลื อกตั้ง แบบบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองนั้นเรียงตามลำดับก่อนหลังในการมาส่งบัญชีรายชื่อ ในกรณีที่มี พรรคการเมืองมาส่งบัญชีรายช่ือพร้อมกันและไม่อาจตกลงกนั ได้ ให้ใช้วิธีจับสลากระหว่างพรรคการเมอื ง ที่มาพร้อมกัน ทั้งนี้ ให้พรรคการเมืองหนึ่งได้รับหนึ่งหมายเลขและถ้าพรรคการเมืองใดส่งผู้สมัคร แบบแบ่งเขตเลือกตั้งด้วย ให้ใช้หมายเลขเดียวกับหมายเลขของผู้สมัครแบบบัญชีรายชื่อของ พรรคการเมืองที่ตนสังกัดเป็นหมายเลขประจำตัวผู้สมัครแบบแบ่งเขตเลือกตั้งของพรรคการเมืองนั้น ในทกุ เขตเลอื กต้ังทสี่ ่งสมคั รดว้ ย ถ้าพรรคการเมืองใดมิได้ส่งผู้สมัครแบบบัญชีรายชื่อ แต่ส่งผู้สมัครแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง เมื่อผู้สมัครของพรรคการเมืองนั้นยื่นใบสมัครในเขตเลือกตั้งใด ให้ได้รับหมายเลขประจำตัวผู้สมัคร ต่อจากหมายเลขสุดท้ายของหมายเลขแบบบัญชีรายชื่อตามวรรคหนึ่ง และเมื่อมีการยื่นใบสมัคร ของผู้สมัครของพรรคการเมืองอื่นที่ส่งผู้สมัครเฉพาะแบบแบ่งเขตเลือกตั้งอีกให้ได้รับหมายเลข ประจำตัวผู้สมัครเรียงลำดับถัดไปตามลำดับก่อนหลังในการมายื่นใบสมัคร แต่ถ้าผู้สมัครมาพร้อมกัน หลายคนและไม่อาจตกลงลำดับในการยนื่ ใบสมัครได้ ใหใ้ ชว้ ธิ ีจบั สลากระหว่างผู้สมัครท่ีมาพรอ้ มกัน
(๑๒) มาตรา ๖๑/๒ ในกรณีที่เป็นการเลือกตั้งแทนตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบแบ่งเขตเลือกตั้งซึ่งว่างลง ให้ผู้สมัครได้รับหมายเลขประจำตัวผู้สมัครเรียงตามลำดับก่อนหลัง ในการมายื่นใบสมัคร ถ้ามีผู้สมัครพร้อมกันหลายคนและไม่อาจตกลงกันได้ให้ใช้วิธีจับสลากระหว่าง ผ้สู มคั รท่มี าพรอ้ มกัน มาตรา ๖๑/๓ เมื่อได้กำหนดหมายเลขประจำตัวผู้สมัครแบบบัญชีรายชื่อและแบบ แบ่งเขตเลือกตั้งตามมาตรา ๖๑/๑ และมาตรา ๖๑/๒ แล้วจะเปลี่ยนแปลงหมายเลขประจำตัวผู้สมัครมิได้ ไม่ว่าดว้ ยประการใด ๆ”” นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ (กรรมาธิการ) ขอสงวนความเห็น โดยขอให้เพิ่มความเป็น มาตรา ๑๐/๑ ดงั นี้ “มาตรา ๑๐/๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นส่วนที่ ๓/๑ หมายเลขที่จะใช้ออกเสียงลงคะแนน แบบบัญชีรายช่ือและแบบแบง่ เขตเลือกตง้ั มาตรา ๖๑/๑ มาตรา ๖๑/๒ และมาตรา ๖๑/๓ ของหมวด ๔ ผู้สมัครและการสมัครรับเลือกตั้ง แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิก สภาผ้แู ทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๖๑ “สว่ นท่ี ๓/๑ หมายเลขทีจ่ ะใชอ้ อกเสยี งลงคะแนนแบบบญั ชีรายชอื่ และแบบแบ่งเขตเลอื กตัง้ มาตรา ๖๑/๑ ในการสมัครรับเลือกตั้งให้พรรคการเมืองที่ส่งผู้สมัครรับเลือกตั้ง แบบบัญชีรายชื่อได้รับหมายเลขที่จะใช้ออกเสียงลงคะแนนแบบบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองน้ัน เรียงตามลำดับก่อนหลังในการส่งบัญชีรายชื่อ ในกรณีที่มีพรรคการเมืองมาส่งบัญชีรายชื่อพร้อมกัน และไม่อาจตกลงกนั ได้ ให้ใช้วิธีจบั สลากระหว่างพรรคการเมืองท่ีมาพรอ้ มกัน ทั้งนี้ ให้พรรคการเมอื งหนึ่ง ได้รับหน่งึ หมายเลข และให้พรรคการเมืองที่ส่งผสู้ มัครแบบแบ่งเขตเลือกต้ังใชห้ มายเลขเดียวกับหมายเลข ของผู้สมัครแบบบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองที่ตนสังกัดเป็นหมายเลขประจำตัวผู้สมัครแบบ แบ่งเขตเลอื กต้งั ของพรรคการเมืองนน้ั ทกุ เขตเลือกตั้งท่ีส่งสมัครดว้ ย ถ้าพรรคการเมืองใดมิได้ส่งผู้สมัครแบบบัญชีรายชื่อ แต่ส่งผู้สมัครแบบแบ่งเขตเลือกต้ัง เมื่อผู้สมัครของพรรคการเมืองน้นั ย่ืนใบสมัครในเขตเลือกต้ังใด ให้ได้รับหมายเลขประจำตัวผู้สมัครต่อจาก หมายเลขสุดท้ายของหมายเลขแบบบัญชีรายชื่อตามวรรคหนึ่ง และเมื่อมีการยื่นใบสมัครของผู้สมัครของ พรรคการเมืองอื่นที่ส่งผูส้ มัครเฉพาะแบบแบ่งเขตเลือกต้ังอีก ให้ได้รบั หมายเลขเรยี งลำดับถัดไปจากลำดับ การสมัครก่อนหลัง แต่ถ้าผู้สมัครมาพร้อมกันหลายคนและไม่อาจตกลงกันได้ให้ใช้วิธีจับสลากระหว่าง ผู้สมัครท่ีมาพร้อมกนั มาตรา ๖๑/๒ ในกรณีที่เป็นการเลือกตั้งแทนตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบแบ่งเขตเลือกตั้งซึ่งว่างลง ให้ผู้สมัครได้รับหมายเลขประจำตัวผู้สมัครเรียงตามลำดับก่อนหลัง ในการมายื่นใบสมัคร ถ้ามีผู้สมัครพร้อมกันหลายคนและไม่อาจตกลงกันได้ให้ใช้วิธีจับสลากระหว่างผู้สมัคร ทมี่ าพรอ้ มกนั
(๑๓) มาตรา ๖๑/๓ เมื่อได้กำหนดหมายเลขประจำตัวผู้สมัครแบบบัญชีรายชื่อและแบบ แบง่ เขตเลือกตั้งตามมาตรา ๖๑/๑ และมาตรา ๖๑/๒ แล้วจะเปล่ียนแปลงหมายเลขประจำตัวผู้สมัครมิได้ ไมว่ า่ ด้วยประการใด ๆ”” นายเสรี สวุ รรณภานนท์ และนายรังสิมันต์ โรม ขอแปรญตั ตติ ัดมาตรา ๑๐ ออกทั้งมาตรา คณะกรรมาธิการไมเ่ ห็นด้วย ผู้แปรญตั ติขอสงวน นายนิยม เวชกามา และนายประเสริฐ บุญเรือง ขอแปรญัตติเพิ่มความเป็นมาตรา ๑๐/๑ ดงั น้ี “มาตรา ๑๐/๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นส่วนที่ ๓/๑ หมายเลขที่จะใช้ออกเสียงลงคะแนน แบบบัญชีรายชื่อและแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง มาตรา ๖๑/๑ มาตรา ๖๑/๒ และมาตรา ๖๑/๓ ในหมวด ๔ ผู้สมัครและการสมัครรับเลือกตั้ง แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิก สภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๖๑ “สว่ นท่ี ๓/๑ หมายเลขที่จะใชอ้ อกเสยี งลงคะแนนแบบบัญชรี ายช่ือและแบบแบ่งเขตเลอื กตั้ง มาตรา ๖๑/๑ ในการสมัครรับเลือกตั้งให้พรรคการเมืองที่ส่งผู้สมัครแบบบัญชีรายช่ือ ได้รบั หมายเลขทีจ่ ะใช้ออกเสียงลงคะแนนแบบบัญชรี ายชื่อของพรรคการเมืองน้ันเรียงตามลำดับก่อนหลัง ในการส่งบญั ชีรายช่อื ในกรณที ีม่ พี รรคการเมืองมาส่งบัญชรี ายชื่อพรอ้ มกนั และไมอ่ าจตกลงกันได้ให้ใช้วิธี จับสลากระหว่างพรรคการเมืองที่มาพร้อมกัน ทั้งนี้ ให้พรรคการเมืองหนึ่งได้รับหนึ่งหมายเลข และให้ พรรคการเมอื งทีส่ ง่ ผูส้ มคั รแบบแบ่งเขตเลอื กตัง้ ใช้หมายเลขเดยี วกับหมายเลขของผสู้ มัครแบบบญั ชีรายชื่อ ของพรรคการเมืองที่ตนสังกัดเป็นหมายเลขประจำตัวผู้สมัครแบบแบ่งเขตเลือกตั้งของพรรคการเมืองน้ัน ทุกเขตเลือกตัง้ ทส่ี ่งสมัครด้วย ถ้าพรรคการเมืองใดมิได้ส่งผู้สมัครแบบบัญชีรายชื่อ แต่ส่งผู้สมัครแบบแบ่งเขตเลือกต้ัง เมื่อผู้สมัครของพรรคการเมืองนั้นยื่นใบสมัครในเขตเลือกตั้งใด ให้ได้รับหมายเลขประจำตัวผู้สมัคร ต่อจากหมายเลขสุดท้ายของหมายเลขบัญชีรายชื่อตามวรรคหนึ่ง และเมื่อมีการยื่นใบสมัครของผู้สมัคร ของพรรคการเมืองอื่นที่ส่งผู้สมัครเฉพาะแบบแบ่งเขตเลือกตั้งอีก ให้ได้รับหมายเลขเรียงลำดับถัดไป จากลำดับการสมัครก่อนหลัง แต่ถ้าผู้สมัครมาพร้อมกันหลายคนและไม่อาจตกลงกันได้ ให้ใช้วิธีจับสลาก ระหว่างผสู้ มัครท่ีมาพรอ้ มกัน มาตรา ๖๑/๒ ในกรณีที่เป็นการเลือกตั้งแทนตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบแบ่งเขตเลือกตั้งซึ่งว่างลง ให้ผู้สมัครได้รับหมายเลขประจำตัวผู้สมัครเรียงตามลำดับก่อนหลัง ในการยื่นใบสมัคร ถ้ามีผู้สมัครพร้อมกันหลายคนและไม่อาจตกลงกันได้ให้ใช้วิธีจับสลากระหว่างผู้สมัคร ท่ีมาพรอ้ มกัน มาตรา ๖๑/๓ เมื่อได้กำหนดหมายเลขประจำตัวผู้สมัครแบบบัญชีรายชื่อและแบบ แบ่งเขตเลือกตัง้ ตามมาตรา ๖๑/๑ และมาตรา ๖๑/๒ แล้ว จะเปลี่ยนแปลงหมายเลขประจำตัวผู้สมัครมิได้ ไมว่ า่ ดว้ ยประการใด ๆ”” คณะกรรมาธิการไมเ่ ห็นด้วย ผูแ้ ปรญัตติขอสงวน
(๑๔) มาตรา ๑๑ แก้ไขมาตรา ๖๒ ไมม่ ีการแกไ้ ข มผี แู้ ปรญัตตขิ อสงวนคำแปรญตั ติ นายรังสิมันต์ โรม ขอแปรญัตติตัดมาตรา ๑๑ ออกท้งั มาตรา คณะกรรมาธกิ ารไม่เหน็ ด้วย ผแู้ ปรญตั ตขิ อสงวน มาตรา ๑๒ แก้ไขมาตรา ๗๓ วรรคหน่ึง มกี ารแก้ไข มกี รรมาธิการขอสงวนความเหน็ และผแู้ ปรญตั ติขอสงวนคำแปรญัตติ นายธีรจั ชัย พันธมุ าศ นายปดิพทั ธ์ สนั ติภาดา และนายณัฐวุฒิ บวั ประทมุ (กรรมาธกิ าร) ขอสงวนความเหน็ โดยขอให้แก้ไขเพ่มิ เตมิ ความในมาตรา ๑๒ เปน็ ดังนี้ “มาตรา ๑๒ ให้ยกเลิกความในวรรคหนึ่งของมาตรา ๗๓ แห่งพระราชบัญญัติประกอบ รัฐธรรมนูญวา่ ดว้ ยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๖๑ และให้ใช้ความตอ่ ไปน้แี ทน “มาตรา ๗๓ ห้ามมิให้ผู้สมัครหรือผู้ใดกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิ เลือกต้งั ลงคะแนนให้แก่ตนเองหรือผสู้ มัครอ่ืน หรอื บญั ชีรายชือ่ ของพรรคการเมืองใด ให้งดเวน้ การลงคะแนน ให้แก่ผู้สมัคร หรือบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองใด หรือการชักชวนให้ไปลงคะแนนไม่เลือกผู้ใด เป็นสมาชิกสภาผูแ้ ทนราษฎรหรอื ไมเ่ ลือกพรรคการเมืองใด ด้วยวธิ กี ารดงั ต่อไปน้ี (๑) จดั ทำ ให้ เสนอให้ สัญญาวา่ จะให้ หรือจัดเตรียมเพอื่ จะใหท้ รัพยส์ ิน หรือผลประโยชน์ อืน่ ใดอันอาจคำนวณเปน็ เงนิ ได้แก่ผู้ใด (๒) ให้ เสนอให้ หรือสัญญาว่าจะให้เงินทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดไม่ว่าจะโดยตรง หรือโดยออ้ มแก่ชมุ ชน สมาคม มูลนธิ ิ วดั สถานศึกษา สถานสงเคราะห์ หรือสถาบนั อ่นื ใด (๓) ทำการโฆษณาหาเสียงดว้ ยการจัดให้มมี หรสพหรอื การรน่ื เรงิ ต่าง ๆ (๔) เลยี้ งหรือรบั จะจัดเลี้ยงผใู้ ด (๕) หลอกลวง บังคับ ขูเ่ ข็ญ ใชอ้ ิทธิพลคกุ คาม ใส่รา้ ยดว้ ยความเท็จ หรือจูงใจให้เข้าใจผิด ในคะแนนนยิ มของผสู้ มัครหรอื พรรคการเมอื ง”” นายเสรี สุวรรณภานนท์ ขอแปรญตั ตแิ กไ้ ขเพม่ิ เติมความในมาตรา ๑๒ เป็นดงั นี้ “มาตรา ๑๒ ให้ยกเลิกความในวรรคหนึ่งของมาตรา ๗๓ แห่งพระราชบัญญัติประกอบ รฐั ธรรมนูญวา่ ด้วยการเลือกตงั้ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๖๑ และให้ใช้ความตอ่ ไปนแ้ี ทน “มาตรา ๗๓ ห้ามมิให้ผู้สมัครหรือผู้ใดกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิ เลือกตั้งลงคะแนนให้แก่ตนเองหรือผู้สมัครอื่น หรือบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองใด ให้งดเว้น การลงคะแนนให้แก่ผู้สมัคร หรือบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองใด หรือการชักชวนให้ไปลงคะแนน ไม่เลือกผใู้ ดเป็นสมาชกิ สภาผู้แทนราษฎร ดว้ ยวธิ ีการดงั ต่อไปน้ี (๑) จัดทำ ให้ เสนอให้ สัญญาว่าจะให้ หรือจัดเตรียมเพื่อจะให้ทรัพย์สิน หรอื ผลประโยชนอ์ ื่นใดอนั อาจคำนวณเป็นเงนิ ไดแ้ กผ่ ใู้ ด (๒) ให้ เสนอให้ หรือสัญญาว่าจะให้เงิน หรือทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดอันอาจ คำนวณเป็นเงินได้แก่ผู้ใดไม่ว่าจะโดยตรงหรือโดยอ้อมแก่ชุมชน สมาคม มูลนิธิ วัด สถานศึกษา สถานสงเคราะห์ หรือสถาบนั อนื่ ใด (๓) ทำการโฆษณาหาเสยี งดว้ ยการจัดให้มีมหรสพหรือการรื่นเรงิ ต่าง ๆ
(๑๕) (๔) เล้ียงหรือรบั จะจัดเลี้ยงผูใ้ ด (๕) หลอกลวง บงั คับ ข่เู ขญ็ ใชอ้ ิทธพิ ลคกุ คาม ใส่ร้ายดว้ ยความเทจ็ หรือจงู ใจให้เข้าใจผิด ในคะแนนนยิ มของผู้สมคั รหรือพรรคการเมอื ง”” คณะกรรมาธกิ ารไมเ่ หน็ ดว้ ย ผแู้ ปรญตั ตขิ อสงวน นายขจติ ร ชยั นคิ ม ขอแปรญัตติแกไ้ ขความในมาตรา ๑๒ เป็นดงั น้ี “มาตรา ๑๒ ให้ยกเลิกความในวรรคหนึ่งของมาตรา ๗๓ แห่งพระราชบัญญัติประกอบ รัฐธรรมนูญว่าดว้ ยการเลือกตั้งสมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๖๑ และใหใ้ ชค้ วามต่อไปนี้แทน “มาตรา ๗๓ ห้ามมิให้ผู้สมัครหรือผู้ใดกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิ เลือกตั้งลงคะแนนให้แก่ตนเองหรือผู้สมัครอื่น หรือบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองใด ให้งดเว้น การลงคะแนนให้แก่ผู้สมัคร หรือบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองใด หรือการชักชวนให้ไปลงคะแนน ไมเ่ ลอื กผใู้ ดเปน็ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ดว้ ยวธิ ีการดังตอ่ ไปน้ี (๑) จดั ทำ ให้ เสนอให้ สัญญาวา่ จะให้ หรือจัดเตรียมเพื่อจะให้ ทรพั ยส์ ิน หรือผลประโยชน์ อื่นใดอันอาจคำนวณเปน็ เงนิ ไดแ้ กผ่ ู้ใด (๒) ให้ เสนอให้ หรือสัญญาว่าจะให้เงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดไม่ว่าจะโดยตรง หรอื โดยออ้ มแกช่ ุมชน สมาคม มูลนิธิ วัด สถานศึกษา สถานสงเคราะห์ หรือสถาบนั อ่ืนใด (๓) ทำการโฆษณาหาเสยี งดว้ ยการจัดให้มีมหรสพหรือการรนื่ เรงิ ตา่ ง ๆ (๔) เลย้ี งหรอื รับจะจดั เลย้ี งผู้ใด (๕) หลอกลวง บงั คบั ขูเ่ ขญ็ ใช้อทิ ธิพลคกุ คาม ใสร่ ้ายด้วยความเท็จ หรือจงู ใจให้เข้าใจผิด ในคะแนนนยิ มของผสู้ มคั รหรอื พรรคการเมือง”” คณะกรรมาธิการไมเ่ หน็ ดว้ ย ผแู้ ปรญัตติขอสงวน ศาสตราจารยโ์ กวิทย์ พวงงาม ขอแปรญัตติแกไ้ ขเพม่ิ เตมิ ความในมาตรา ๑๒ เปน็ ดังนี้ “มาตรา ๑๒ ให้ยกเลิกความในวรรคหนึ่งของมาตรา ๗๓ แห่งพระราชบัญญัติประกอบ รัฐธรรมนญู วา่ ด้วยการเลอื กต้งั สมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๖๑ และให้ใชค้ วามตอ่ ไปน้ีแทน “มาตรา ๗๓ ห้ามมิให้ผู้สมัครหรือผู้ใดกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิ เลือกตั้งลงคะแนนให้แก่ตนเองหรือผู้สมัครอื่น หรือบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองใด ให้งดเว้น การลงคะแนนให้แก่ผู้สมัคร หรือบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองใด หรือการชักชวนให้ไปลงคะแนน ไม่เลือกผู้ใดเป็นสมาชกิ สภาผู้แทนราษฎร ดว้ ยวธิ กี ารดังตอ่ ไปน้ี (๑) จัดทำ ให้ เสนอให้ สญั ญาวา่ จะให้ หรือจดั เตรยี มเพ่ือจะให้ ทรพั ย์สิน หรอื ผลประโยชน์ อน่ื ใดอนั อาจคำนวณเปน็ เงนิ ไดแ้ กผ่ ูใ้ ด (๒) ให้ เสนอให้ หรือสัญญาว่าจะให้เงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดไม่ว่าจะโดยตรง หรอื โดยออ้ มแกช่ ุมชน สมาคม มลู นิธิ วดั สถานศึกษา สถานสงเคราะห์ หรอื สถาบันอ่นื ใด (๓) ทำการโฆษณาหาเสียงด้วยการจัดให้มีมหรสพหรือการรื่นเริงต่าง ๆ รวมท้ัง งานบุญตา่ ง ๆ ด้วย (๔) เลย้ี งหรอื รับจะจดั เล้ยี งผู้ใด
(๑๖) (๕) หลอกลวง บงั คบั ขเู่ ข็ญ ใชอ้ ทิ ธิพลคุกคาม ใส่รา้ ยดว้ ยความเท็จ หรือจงู ใจให้เข้าใจผิด ในคะแนนนยิ มของผ้สู มคั รหรือพรรคการเมอื ง”” คณะกรรมาธิการไมเ่ ห็นด้วย ผแู้ ปรญตั ตขิ อสงวน นายรังสิมันต์ โรม ขอแปรญัตติตัดมาตรา ๑๒ ออกทั้งมาตรา และเพิ่มความเป็น มาตรา ๑๒/๑ และมาตรา ๑๒/๒ ดังนี้ “มาตรา ๑๒/๑ ให้ยกเลิกมาตรา ๘๐ แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย การเลือกต้งั สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๖๑ มาตรา ๑๒/๒ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นส่วนที่ ๕ หมายเลขประจำตัวผู้สมัคร และ มาตรา ๘๓/๑ ในหมวด ๔ ผู้สมัครและการสมัครรับเลือกตั้ง แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ วา่ ด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๖๑ “ส่วนที่ ๕ หมายเลขประจำตวั ผสู้ มัคร มาตรา ๘๓/๑ ในกรณีที่การเลือกตัง้ เป็นการเลือกตั้งทั่วไป ให้พรรคการเมืองที่ส่งสมัคร รบั เลือกตั้งแบบบัญชีรายช่ือได้รับหมายเลขท่ีจะใช้ลงคะแนนเลือกตั้งแบบบัญชรี ายช่ือของพรรคการเมืองน้ัน เรียงตามลำดับก่อนหลังในการยื่นบัญชีรายชื่อ ในกรณีที่มีพรรคการเมืองมายื่นบัญชีรายชื่อพร้อมกัน และไม่อาจตกลงกันได้ ให้ใช้วิธีจับสลากระหว่างพรรคการเมืองที่มาพร้อมกัน ทั้งนี้ ให้พรรคการเมือง รับหนึ่งหมายเลข และถ้าพรรคการเมืองใดส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งด้วย ให้ใช้ หมายเลขเดียวกับหมายเลขของผู้สมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองที่ตนสังกัด เป็นหมายเลขประจำตวั ผู้สมคั รแบบแบง่ เขตเลือกต้งั ของพรรคการเมืองน้นั ทุกเขตเลอื กต้งั ท่ีส่งสมัครดว้ ย ถ้าพรรคการเมืองใดมิได้ส่งผู้สมัครแบบบัญชีรายชื่อ แต่ส่งผู้สมัครแบบแบ่งเขตเลือกต้ัง เมื่อผู้สมัครของพรรคการเมืองนั้นยื่นใบสมัครในเขตเลือกตั้งใด ให้ได้รับหมายเลขประจำตัวผู้สมัคร ต่อจากหมายเลขสุดท้ายของหมายเลขแบบบัญชีรายชื่อตามวรรคหนึ่ง และเมื่อมีการยื่นใบสมัคร ของผู้สมัครพรรคการเมืองอื่นที่ส่งสมัครเฉพาะแบบแบ่งเขตเลือกตั้งอีก ให้ได้รับหมายเลขเรียงลำดับ ถัดไปตามลำดับการสมัครก่อนหลัง แต่ถ้ามีผู้สมัครหลายคนและไม่อาจตกลงกันได้ให้ใช้วิธีจับสลาก ระหวา่ งผู้สมคั รท่ีมาพรอ้ มกัน ในกรณีที่เป็นการเลือกตั้งแทนตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้ง แบบแบ่งเขตเลือกต้ังซ่งึ ว่างลง ใหน้ ำความตามวรรคสองมาใช้บังคบั โดยอนโุ ลม”” คณะกรรมาธิการไม่เหน็ ด้วย ผู้แปรญตั ตขิ อสงวน มาตรา ๑๓ แก้ไขมาตรา ๘๔ ไม่มีการแกไ้ ข มีกรรมาธิการขอสงวนความเห็น และผู้แปรญตั ตขิ อสงวนคำแปรญตั ติ นายธรี จั ชยั พนั ธุมาศ นายปดิพัทธ์ สนั ติภาดา และนายณัฐวฒุ ิ บัวประทมุ (กรรมาธิการ) ขอสงวนความเหน็ โดยขอให้แก้ไขเพมิ่ เตมิ ความในมาตรา ๑๓ เปน็ ดังนี้
(๑๗) “มาตรา ๑๓ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๘๔ แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ วา่ ด้วยการเลอื กตงั้ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๖๑ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “มาตรา ๘๔ การออกเสียงลงคะแนนให้ใช้บัตรเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบละหนึง่ ใบ ซึง่ ตอ้ งมลี ักษณะแตกต่างทีส่ ามารถจำแนกออกจากกันไดอ้ ย่างชดั เจน บัตรเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งต้องมีช่องทำเครื่องหมายและหมายเลข ไม่น้อยกว่า จำนวนและชื่อพรรคการเมืองพร้อมภาพเครื่องหมายของพรรคการเมืองของผู้สมัครครบทุกคนในเขต เลือกตงั้ น้นั บัตรเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อต้องมีช่องทำเครื่องหมายและหมายเลขของบัญชีรายช่ือ ของพรรคการเมืองและชื่อพรรคการเมืองพร้อมภาพเครื่องหมายพรรคการเมืองครบทุกพรรคที่ส่งสมัคร รับเลือกตั้งแบบบัญชรี ายช่ือ บัตรเลือกตั้งตามวรรคสองและวรรคสามต้องมีช่องทำเครื่องหมายว่าไม่เลื อกผู้สมัครใด หรือบญั ชีรายชอ่ื ของพรรคการเมืองใด แลว้ แตก่ รณี ดว้ ย การออกเสยี งลงคะแนนใหเ้ ปน็ ไปตามวธิ กี ารท่ีคณะกรรมการกำหนด”” รองศาสตราจารย์สมชัย ศรีสุทธิยากร (กรรมาธิการ) ขอสงวนความเห็น โดยขอให้ แกไ้ ขเพมิ่ เติมความในมาตรา ๑๓ เป็นดังนี้ “มาตรา ๑๓ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๘๔ แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ วา่ ดว้ ยการเลอื กตงั้ สมาชกิ สภาผ้แู ทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๖๑ และให้ใชค้ วามตอ่ ไปนแี้ ทน “มาตรา ๘๔ การออกเสียงลงคะแนนให้ใช้บัตรเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบละหนึง่ ใบ ซึ่งต้องมีลกั ษณะแตกตา่ งทส่ี ามารถจำแนกออกจากกันได้อย่างชดั เจน บัตรเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งต้องมีช่องทำเครื่องหมายและหมายเลขไม่น้อยกว่า จำนวนผูส้ มัครในเขตเลอื กตง้ั น้นั บัตรเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อต้องมีช่องทำเครื่องหมายและหมายเลขของบัญชีรายช่ือ ของพรรคการเมืองและชื่อพรรคการเมืองพร้อมภาพเครื่องหมายพรรคการเมืองครบทุกพรรคที่ส่งสมัคร รบั เลือกตัง้ แบบบญั ชรี ายชอ่ื บัตรเลือกตั้งตามวรรคสองและวรรคสามต้องมีช่องทำเครื่องหมายว่าไม่เลือกผู้สมัครใด หรือบญั ชีรายชื่อของพรรคการเมืองใด แล้วแตก่ รณี ด้วย การออกเสียงลงคะแนนใหเ้ ป็นไปตามวิธกี ารที่คณะกรรมการกำหนด คณะกรรมการอาจกำหนดให้มีการออกเสียงลงคะแนนโดยวิธีอื่นก็ได้ หากการออกเสียง ลงคะแนนโดยวิธีนั้นสามารถป้องกันการทุจริตในการเลือกตั้งได้อย่างมีประสิทธิภาพและสะดวกกว่า การออกเสียงลงคะแนนด้วยบัตรเลือกตั้งและมีค่าใช้จ่ายที่คุ้มค่า และวิธีการนั้นเป็นการออกเสียง ลงคะแนนโดยตรงและลบั การออกเสียงลงคะแนนตามวรรคหนึ่ง วรรคสอง และวรรคหก ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ และวธิ ีการที่คณะกรรมการกำหนด ในกรณีที่คณะกรรมการกำหนดให้มีการออกเสียงลงคะแนนโดยวิธีอื่นที่มิใช่การลงคะแนน ดว้ ยบัตรเลือกต้ัง มิใหน้ ำความในมาตรา ๙๑ มาตรา ๙๓ มาตรา ๙๕ มาตรา ๙๖ มาตรา ๙๘ และมาตรา ๙๙ มาใชบ้ ังคบั ””
(๑๘) นายรังสิมนั ต์ โรม ขอแปรญตั ติแก้ไขเพมิ่ เติมความในมาตรา ๑๓ เปน็ ดงั นี้ “มาตรา ๑๓ ให้ยกเลิกความในวรรคหนึ่งของมาตรา ๘๔ แห่งพระราชบัญญัติประกอบ รฐั ธรรมนูญว่าด้วยการเลอื กตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๖๑ และให้ใช้ความตอ่ ไปนี้แทน “มาตรา ๘๔ การออกเสียงลงคะแนนให้ใช้บัตรเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบแบ่งเขตเลือกตั้งและแบบบัญชีรายชื่อ ให้ใช้บัตรเลือกตั้งแบบละหนึ่งใบ ซึ่งต้องมีลักษณะแตกต่าง ที่สามารถจำแนกออกจากกนั ไดอ้ ย่างชัดเจน บัตรเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งต้องมีช่องทำเครื่องหมายและหมายเลขไม่น้อยกว่า จำนวนผ้สู มคั รในเขตเลอื กตัง้ นนั้ บัตรเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อต้องมีช่องทำเครื่องหมายและหมายเลขของบัญชี รายช่ือของพรรคการเมืองและชือ่ พรรคการเมอื งพร้อมภาพเครื่องหมายพรรคการเมอื งครบทุกพรรค ท่ีสง่ สมคั รรับเลอื กตั้งแบบบญั ชีรายชอื่ บตั รเลอื กตง้ั ตามวรรคสองและวรรคสามตอ้ งมีช่องทำเครือ่ งหมายว่าไม่เลอื กผู้สมัครใด หรอื บญั ชีรายชือ่ ของพรรคการเมอื งใด แลว้ แตก่ รณี ดว้ ย การออกเสยี งลงคะแนนใหเ้ ป็นไปตามวิธกี ารทค่ี ณะกรรมการกำหนด”” คณะกรรมาธิการไมเ่ หน็ ดว้ ย ผูแ้ ปรญตั ติขอสงวน มาตรา ๑๔ แกไ้ ขมาตรา ๙๑ ไมม่ กี ารแก้ไข มผี ู้แปรญัตตขิ อสงวนคำแปรญัตติ นายรงั สิมันต์ โรม ขอแปรญตั ติแก้ไขความในมาตรา ๑๔ เปน็ ดังนี้ “มาตรา ๑๔ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๙๑ แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการเลอื กตัง้ สมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๖๑ และให้ใชค้ วามต่อไปนี้แทน “มาตรา ๙๑ การออกเสียงลงคะแนน ให้ทำเครื่องหมายกากบาทลงในช่องทำเครื่องหมาย ของหมายเลขผู้สมัครหรือบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองในบัตรเลือกตั้ง และในกรณีที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ประสงค์จะออกเสียงลงคะแนนไม่เลือกผู้สมัครผู้ใดหรือบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองใด ให้ทำ เครื่องหมายกากบาทลงในช่องทำเครื่องหมาย “ไม่เลือกผู้สมัครผู้ใด” หรือ “ไม่เลือกบัญชีรายชื่อของ พรรคการเมอื งใด”” คณะกรรมาธิการไม่เห็นด้วย ผู้แปรญตั ตขิ อสงวน มาตรา ๑๕ แก้ไขมาตรา ๙๓ มกี ารแก้ไข มีผ้แู ปรญัตติขอสงวนคำแปรญัตติ นายรงั สมิ ันต์ โรม ขอแปรญตั ตแิ ก้ไขเพมิ่ เตมิ ความในมาตรา ๑๕ เป็นดงั นี้ “มาตรา ๑๕ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๙๓ แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการเลือกต้งั สมาชกิ สภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๖๑ และให้ใชค้ วามตอ่ ไปน้ีแทน “มาตรา ๙๓ ภายใต้บังคับมาตรา ๙๒ เมื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งทำเครื่องหมายกากบาท ลงในบัตรเลือกตั้งแล้วให้พับบัตรเลือกตั้งเพื่อมิให้ผู้อื่นทราบว่าลงคะแน นอย่างไรเลือกผู้สมัครผู้ใด หรือพรรคการเมืองใด หรือลงคะแนนไม่เลือกผู้สมัครผู้ใดหรือพรรคการเมืองใด แล้วให้นำบัตรเลือกตั้งน้ัน ใส่ลงในหบี บัตรเลอื กตัง้ ด้วยตนเองต่อหนา้ กรรมการประจำหนว่ ยเลือกตัง้ ”” คณะกรรมาธกิ ารไมเ่ หน็ ด้วย ผู้แปรญตั ตขิ อสงวน
(๑๙) นายขจิตร ชยั นิคม ขอแปรญตั ติแกไ้ ขเพิ่มเติมความในมาตรา ๑๕ เป็นดงั น้ี “มาตรา ๑๕ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๙๓ แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการเลอื กต้งั สมาชกิ สภาผ้แู ทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๖๑ และให้ใชค้ วามตอ่ ไปนแ้ี ทน “มาตรา ๙๓ ภายใต้บังคับมาตรา ๙๒ เมื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งทำเครื่องหมายกากบาทถูก ลงในบัตรเลือกตัง้ แล้วให้พบั บตั รเลือกตัง้ เพื่อมิให้ผู้อื่นทราบวา่ ลงคะแนนอย่างไร แลว้ ให้นำบัตรเลือกตั้งน้ัน ใส่ลงในหีบบตั รเลอื กตง้ั ด้วยตนเองตอ่ หนา้ กรรมการประจำหนว่ ยเลอื กตั้ง”” คณะกรรมาธกิ ารไมเ่ ห็นดว้ ย ผู้แปรญัตตขิ อสงวน มาตรา ๑๖ แก้ไขมาตรา ๙๙ ไมม่ ีการแกไ้ ข มกี รรมาธกิ ารขอสงวนความเหน็ และผแู้ ปรญตั ติขอสงวนคำแปรญตั ติ นายสามารถ แก้วมีชัย รองศาสตราจารย์ชูศักดิ์ ศิรินิล นายประยุทธ์ ศิริพานิชย์ นายสมคดิ เชอื้ คง นายกฤช เอื้อวงศ์ นายชลนา่ น ศรแี กว้ นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา และนายสุขุมพงศ์ โง่นคำ (กรรมาธกิ าร) ขอสงวนความเห็น โดยขอให้แกไ้ ขเพ่มิ เตมิ ความในมาตรา ๑๖ เป็นดังน้ี “มาตรา ๑๖ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๙๙ แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ วา่ ดว้ ยการเลอื กตง้ั สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๖๑ และให้ใช้ความต่อไปน้ีแทน “มาตรา ๙๙ ห้ามมิให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งนำบัตรเลือกตั้งที่ออกเสียงลงคะแนนแล้ว แสดงต่อผู้อื่น เพื่อให้ผู้อื่นทราบว่าตนเองได้ลงคะแนนอย่างไรเลือกหรือลงคะแนนไม่เลือกผู้สมัครผู้ใด หรือบัญชรี ายช่ือของพรรคการเมอื งใด”” นายดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม (กรรมาธิการ) ขอสงวนความเห็น โดยขอให้เพิ่มความ เป็นมาตรา ๑๖/๑ ดงั นี้ “มาตรา ๑๖/๑ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๑๐๑ แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ วา่ ด้วยการเลอื กตั้งสมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๖๑ และใหใ้ ช้ความต่อไปนี้แทน “มาตรา ๑๐๑ ห้ามมิให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งผู้ใดเรียกเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด สำหรับตนเองหรอื ผ้อู ่ืน เพื่อลงคะแนนหรอื งดเว้นไม่ลงคะแนน”” นายรังสิมันต์ โรม ขอแปรญตั ตแิ กไ้ ขเพิม่ เติมความในมาตรา ๑๖ เป็นดังนี้ “มาตรา ๑๖ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๙๙ แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ วา่ ด้วยการเลอื กต้ังสมาชกิ สภาผูแ้ ทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๖๑ และใหใ้ ชค้ วามตอ่ ไปนแ้ี ทน “มาตรา ๙๙ ห้ามมิให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งนำบัตรเลือกตั้งที่ออกเสียงลงคะแนนแล้ว แสดงต่อผู้อื่น เพื่อให้ผู้อื่นทราบว่าตนได้ลงคะแนนอย่างไรเลือกหรือลงคะแนนไม่เลือกผู้สมัครผู้ใด หรือพรรคการเมืองใด”” คณะกรรมาธิการไมเ่ ห็นด้วย ผแู้ ปรญัตติขอสงวน
(๒๐) มาตรา ๑๗ แก้ไขมาตรา ๑๑๓ วรรคสอง ไมม่ ีการแก้ไข มีกรรมาธกิ ารขอสงวนความเหน็ และผ้แู ปรญตั ตขิ อสงวนคำแปรญัตติ นายธีรจั ชยั พันธุมาศ นายปดพิ ทั ธ์ สันตภิ าดา และนายณัฐวุฒิ บัวประทุม (กรรมาธิการ) ขอสงวนความเห็น โดยขอให้แกไ้ ขเพิ่มเตมิ ความในมาตรา ๑๗ และเพ่ิมความเป็นมาตรา ๑๗/๑ ดังน้ี “มาตรา ๑๗ ให้ยกเลิกความในวรรคสองของมาตรา ๑๑๓ แหง่ พระราชบญั ญตั ปิ ระกอบ รฐั ธรรมนญู ว่าดว้ ยการเลือกต้งั สมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๖๑ และให้ใชค้ วามตอ่ ไปนี้แทน “ในการออกเสียงลงคะแนนนอกราชอาณาจักร คณะกรรมการโดยความเห็นชอบของ กระทรวงการต่างประเทศจะกำหนดให้มีดำเนินการนับคะแนนนอกราชอาณาจักร เว้นแต่มีเหตุจำเป็น ที่ทำให้ไม่สามารถนับคะแนนนอกราชอาณาจักรก็ได้ หากจะเป็นการสะดวก รวดเร็ว และมีค่าใช้จ่าย ที่น้อยกว่าการดำเนินการตามวรรคหนึ่ง ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการกำหนด หลักเกณฑ์ดังกล่าวจะกำหนดให้แตกต่างไปจากมาตรา ๑๙ วรรคหนงึ่ (๑) และ (๒) ตามความจำเป็น และเหมาะสมกไ็ ด้” มาตรา ๑๗/๑ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๑๑๔ แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการเลอื กตง้ั สมาชกิ สภาผูแ้ ทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๖๑ และให้ใชค้ วามตอ่ ไปนี้แทน “มาตรา ๑๑๔ ในกรณีการออกเสียงลงคะแนนก่อนวันเลือกตั้งหรือการออกเสียง ลงคะแนนนอกราชอาณาจักรที่ใด มิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม หรือหีบห่อที่ส่งบัตรเลือกตั้ง มีลักษณะถูกเปิดมาก่อน โดยมีเหตุเกิดจากการกระทำที่ไม่สุจริตหรือเที่ยงธรรม หรือมีบัตรเลือกต้ัง จากทีใ่ ดสญู หาย ใหค้ ณะกรรมการมีอำนาจสัง่ มิให้นบั คะแนนนนั้ โดยใหถ้ ือว่าเป็นบัตรเสยี ในกรณีที่มีการนับคะแนนนอกราชอาณาจกั ร ถ้าการออกเสียงลงคะแนนที่ใดมิได้เป็นไป โดยสจุ รติ หรือเทยี่ งธรรม ใหถ้ ือวา่ การนบั คะแนนนัน้ เปน็ โมฆะและใหถ้ ือว่าบตั รเหล่าน้ันเปน็ บัตรเสีย”” นายรังสิมันต์ โรม ขอแปรญัตติตัดมาตรา ๑๗ ออกทั้งมาตรา และเพิ่มความเป็น มาตรา ๑๗/๑ ดงั น้ี “มาตรา ๑๗/๑ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๑๑๔ แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการเลือกตงั้ สมาชกิ สภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๖๑ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “มาตรา ๑๑๔ ในกรณีการออกเสียงลงคะแนนกอ่ นวนั เลือกตั้งหรอื การออกเสยี ง ลงคะแนนนอกราชอาณาจักรที่ใดมิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม หรือหีบห่อที่ส่งบั ตรเลือกตั้ง มีลักษณะถูกเปิดมาก่อน โดยมีเหตุเกิดจากการกระทำที่ไม่สุจริตหรือเที่ยงธรรม หรือมีบัตรเลือกตั้ง จากทใ่ี ดสูญหาย ให้คณะกรรมการมอี ำนาจสง่ั มใิ หน้ ับคะแนนน้ันโดยให้ถือวา่ เปน็ บัตรเสยี ในกรณีที่มีการนับคะแนนนอกราชอาณาจกั ร ถ้าการออกเสียงลงคะแนนที่ใดมิได้เป็นไป โดยสุจริตหรือเทีย่ งธรรม ใหถ้ ือวา่ การนบั คะแนนนน้ั เป็นโมฆะและให้ถือว่าบตั รเหลา่ น้นั เปน็ บัตรเสีย”” คณะกรรมาธกิ ารไม่เหน็ ดว้ ย ผู้แปรญตั ตขิ อสงวน มาตรา ๑๘ แกไ้ ขมาตรา ๑๑๗ วรรคสอง มกี ารแก้ไข มีกรรมาธิการขอสงวนความเห็น และผู้แปรญตั ติขอสงวนคำแปรญัตติ นายธีรัจชัย พันธุมาศ นายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองศาสตราจารย์สมชัย ศรีสุทธิยากร และนายณัฐวุฒิ บัวประทุม (กรรมาธกิ าร) ขอสงวนความเหน็ โดยขอให้แก้ไขเพ่มิ เตมิ มาตรา ๑๘ เป็นดังน้ี
(๒๑) “มาตรา ๑๘ ให้ยกเลิกความในวรรคสองของมาตรา ๑๑๗ แห่งพระราชบัญญัติประกอบ รฐั ธรรมนญู วา่ ดว้ ยการเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๖๑ และให้ใชค้ วามต่อไปน้ีแทน “การนับคะแนนให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการกำหนดซึ่งต้อง กำหนดให้มีการนับคะแนนที่ผู้มีสิทธเิ ลอื กตั้งทำเครื่องหมายในช่องทำเครื่องหมาย “ไม่เลือกผู้สมัครผูใ้ ด” หรือ “ไม่เลือกบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองใด” ด้วย รวมทั้งต้องกำหนดให้มีการอำนวยความสะดวก ให้ประชาชนที่มาสังเกตการณ์การนับคะแนนสามารถเห็นบัตรเลือกตั้งและเครื่องหมายลงคะแนน บนั ทึกและเผยแพรภ่ าพและเสียงการนับคะแนนไดโ้ ดยไม่เป็นการขัดขวางการปฏบิ ตั ิหน้าท่ีของเจ้าพนักงาน ผดู้ ำเนินการเลอื กต้ัง”” นายอัครเดช วงษ์พิทกั ษ์โรจน์ (กรรมาธิการ) ขอสงวนความเห็น โดยขอใหแ้ กไ้ ขเพ่ิมเตมิ ความในมาตรา ๑๘ เป็นดังน้ี “มาตรา ๑๘ ให้ยกเลิกความในวรรคสองของมาตรา ๑๑๗ แห่งพระราชบัญญัติประกอบ รัฐธรรมนญู วา่ ดว้ ยการเลอื กตง้ั สมาชกิ สภาผูแ้ ทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๖๑ และให้ใชค้ วามตอ่ ไปนแ้ี ทน “มาตรา ๑๑๗ ภายใต้บังคับมาตรา ๑๒๑ การนับคะแนนให้กระทำ ณ ที่เลือกตั้ง โดยเปดิ เผยติดตอ่ กันจนเสรจ็ ส้นิ และหา้ มมใิ ห้เลอ่ื นหรอื ประวงิ การนบั คะแนน การนับคะแนนต้องให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการกำหนดซึ่งต้อง กำหนดให้มีการนับคะแนนโดยให้ประชาชนที่มาสังเกตการณ์การนับคะแนนสามารถเห็นบัตรเลือกต้ัง และเครื่องหมายลงคะแนนที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งทำเครื่องหมายในช่องทำเครื่องหมาย “ไม่เลือกผู้สมัครผู้ใด” หรือ “ไม่เลือกบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองใด” ด้วยอย่างชัดเจน โดยจุดที่ทำการนับคะแนนจะต้อง ห่างจากเส้นกำหนดหนว่ ยเลอื กต้งั ไม่เกนิ สองเมตร หา้ มมิใหผ้ ใู้ ดขัดขวางการบันทึกและการเผยแพรภ่ าพและเสยี งการนับคะแนนของประชาชน ท่ีมาสังเกตการณ์การนบั คะแนน”” นายวริ ัตน์ วรศสริ ิน ขอแปรญัตตแิ ก้ไขเพิม่ เตมิ ความในมาตรา ๑๘ เปน็ ดังนี้ “มาตรา ๑๘ ให้ยกเลิกความในวรรคสองของมาตรา ๑๑๗ แห่งพระราชบัญญัติประกอบ รัฐธรรมนูญว่าดว้ ยการเลือกต้ังสมาชิกสภาผ้แู ทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๖๑ และให้ใช้ความต่อไปนแ้ี ทน “มาตรา ๑๑๗ ภายใต้บังคับมาตรา ๑๒๑ การนับคะแนนให้กระทำ ณ ที่เลือกตั้ง โดยเปิดเผยตดิ ต่อกันจนเสร็จสิ้น และหา้ มไม่ใหเ้ ล่อื นหรือประวิงการนบั คะแนน ใหค้ ณะกรรมการจดั ให้มกี ารเผยแพร่ภาพและเสียงการนบั คะแนนผา่ นสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ในขณะการนับคะแนนโดยใหเ้ ห็นเคร่อื งหมายลงคะแนนได้อย่างชัดเจน หา้ มมใิ ห้ผใู้ ดขัดขวางการบันทึกและเผยแพร่ภาพและเสียงการนับคะแนนของประชาชน ท่มี าสงั เกตการณก์ ารนับคะแนน การนับคะแนนและการเผยแพรภ่ าพและเสยี งการนบั คะแนนผ่านส่อื อิเล็กทรอนกิ ส์ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการกำหนดซึ่งต้องกำหนดให้มีการนับคะแนนท่ี มีผู้มีสิทธิ เลือกตัง้ ทำเครื่องหมายในช่องทำเคร่ืองหมาย “ไมเ่ ลอื กผสู้ มคั รผ้ใู ด” หรือ “ไมเ่ ลือกบัญชรี ายชอื่ ของพรรคการเมอื งใด” ด้วย”” คณะกรรมาธกิ ารไมเ่ ห็นด้วย ผแู้ ปรญัตติขอสงวน
(๒๒) นายรังสิมนั ต์ โรม ขอแปรญัตติแก้ไขเพม่ิ เตมิ ความในมาตรา ๑๘ เป็นดังนี้ “มาตรา ๑๘ ใหย้ กเลิกความในวรรคสองของมาตรา ๑๑๗ แห่งพระราชบัญญตั ิประกอบ รฐั ธรรมนูญวา่ ด้วยการเลอื กต้ังสมาชิกสภาผูแ้ ทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๖๑ และใหใ้ ชค้ วามตอ่ ไปนแี้ ทน “มาตรา ๑๑๗ ภายใต้บังคับมาตรา ๑๒๑ การนับคะแนนให้กระทำ ณ ที่เลือกต้ัง โดยเปดิ เผยตดิ ตอ่ กนั จนเสรจ็ สิ้น และหา้ มมิใหเ้ ลือ่ นหรอื ประวงิ การนบั คะแนน การนบั คะแนนต้องให้ประชาชนที่มาสังเกตการณ์การนับคะแนนสามารถเห็นบัตรเลือกต้ัง และเครื่องหมายลงคะแนนอย่างชัดเจน หา้ มมใิ หผ้ ูใ้ ดขดั ขวางการบันทกึ และการเผยแพรภ่ าพและเสยี งของประชาชนทม่ี าสังเกตการณ์ การนบั คะแนน การนับคะแนนใหเ้ ปน็ ไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการท่ีคณะกรรมการกำหนดซ่ึงต้องกำหนด ให้มีการนับคะแนนที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งทำเครื่องหมายในช่องทำเครื่องหมาย “ไม่เลือกผู้สมัครผู้ใด” หรอื “ไมเ่ ลอื กบัญชรี ายชือ่ ของพรรคการเมืองใด” ด้วย”” คณะกรรมาธิการไม่เหน็ ด้วย ผู้แปรญัตตขิ อสงวน มาตรา ๑๙ แกไ้ ขมาตรา ๑๑๘ (๔) (๕) และ (๖) มีการแก้ไข มีผ้แู ปรญัตตขิ อสงวนคำแปรญตั ติ นายรังสิมนั ต์ โรม ขอแปรญัตตแิ กไ้ ขเพมิ่ เตมิ ความในมาตรา ๑๙ เปน็ ดังน้ี “มาตรา ๑๙ ให้ยกเลิกความใน (๔) (๕) และ (๖) ของมาตรา ๑๑๘ แห่งพระราชบัญญัติ ประกอบรฐั ธรรมนญู ว่าดว้ ยการเลือกตง้ั สมาชกิ สภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๖๑ และให้ใช้ความตอ่ ไปน้ีแทน “(๔) บัตรที่ทำเครื่องหมายลงคะแนนให้แก่ผู้สมัครเกินจำนวนหนึ่งคน หรือเลือกบัญชี รายช่ือของพรรคการเมอื งเกินจำนวนหนึง่ บญั ชีรายชอื่ พรรคการเมือง (๕) บัตรทีไ่ ม่อาจทราบไดว้ ่าลงคะแนนให้แก่ผู้สมัครหรือบัญชีรายชือ่ ของพรรคการเมืองใด เว้นแต่เป็นการทำเครื่องหมายในช่องลงคะแนน “ไม่เลือกผู้สมัครผู้ใด” หรือ “ไม่เลือกบัญชีรายชื่อของ พรรคการเมืองใด” (๖) บัตรท่ีได้ทำเครื่องหมายลงคะแนนใหแ้ กผ่ ู้สมัครหรือบญั ชีรายชื่อของพรรคการเมือง และทำเครื่องหมายในช่องทำเครื่องหมาย “ไม่เลือกผู้สมัครผู้ใด” หรือ “ไม่เลือกบัญชีรายชื่อของ พรรคการเมืองใด” ดว้ ย” คณะกรรมาธกิ ารไมเ่ หน็ ดว้ ย ผูแ้ ปรญัตตขิ อสงวน มาตรา ๑๙/๑ แก้ไขมาตรา ๑๒๐ วรรคหนึง่ คณะกรรมาธิการเพ่มิ ขึ้นใหม่ มกี รรมาธกิ ารขอสงวนความเห็น และผแู้ ปรญัตติขอสงวนคำแปรญตั ติ นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ (กรรมาธิการ) ขอสงวนความเห็น โดยขอให้เพิ่มความ เปน็ มาตรา ๑๙/๑ ดงั นี้ “มาตรา ๑๙/๑ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๑๒๐ แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ วา่ ด้วยการเลือกต้งั สมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๖๑ และให้ใช้ความตอ่ ไปนี้แทน “มาตรา ๑๒๐ เมื่อการนับคะแนน ณ ที่เลือกตั้งเสร็จสิ้นแล้ว ให้คณะกรรมการประจำ หน่วยเลือกตั้งประกาศผลการนับคะแนนของหน่วยเลือกตั้งนั้น จำนวนบัตรเลือกตั้งที่ใช้ และจำนวน
(๒๓) บัตรเลือกตั้งที่เหลือจากการออกเสียงลงคะแนน ทั้งนี้ ให้กระทำโดยเปิดเผย และรายงานผล การนบั คะแนนตอ่ คณะกรรมการการเลอื กตั้งประจำเขตเลือกต้ังโดยเร็ว การประกาศผลตามวรรคหนึ่ง ให้คณะกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้งบันทึกหลักฐาน เป็นข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ผ่านช่องทางที่คณะกรรมการกำหนด ทั้งนี้ ข้อมูลดังกล่าวต้องเผยแพร่ ให้ประชาชนต้องเข้าถึงได้โดยทั่วไปภายในวันเลือกตั้ง ยกเว้นการนับคะแนนไม่สามารถกระทำได้ ตามมาตรา ๑๒๑ เพือ่ ประโยชน์แก่การแจ้งข้อมลู การเลือกต้ังต่อประชาชนให้เกิดความรวดเร็วและโปร่งใส คณะกรรมการตอ้ งดำเนินการใหม้ กี ารรายงานผลการนับคะแนนอยา่ งไมเ่ ป็นทางการ การประกาศผลการนับคะแนน การรายงานผลการนับคะแนน และการรายงานผล การนบั คะแนนอยา่ งไม่เปน็ ทางการ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการทีค่ ณะกรรมการกำหนด”” นายรงั สมิ ันต์ โรม ขอแปรญัตตเิ พ่ิมความเป็นมาตรา ๑๙/๑ ดงั นี้ “มาตรา ๑๙/๑ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๑๒๐ แห่งพระราชบัญญัติประกอบ รัฐธรรมนญู ว่าดว้ ยการเลือกตง้ั สมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๖๑ และใหใ้ ชค้ วามต่อไปนแี้ ทน “มาตรา ๑๒๐ เมื่อการนับคะแนน ณ ที่เลือกตั้งเสร็จสิ้นแล้ว ให้คณะกรรมการประจำ หน่วยเลือกตั้งประกาศผลการนับคะแนนของหน่วยเลือกตั้งนั้น จำนวนบัตรเลือกตั้งที่ใช้ และจำนวน บัตรเลือกตั้งที่เหลือจากการออกเสียงลงคะแนน ทั้งนี้ ให้กระทำโดยเปิดเผย และรายงานผล การนับคะแนนตอ่ คณะกรรมการการเลอื กตงั้ ประจำเขตเลือกต้ังโดยเรว็ การประกาศผลตามวรรคหนึ่ง ให้คณะกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้งบันทึกหลักฐาน เป็นข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ผ่านช่องทางที่คณะกรรมการกำหนด ทั้งนี้ ข้อมูลดังกล่าวต้องเผยแพร่ ให้ประชาชนเข้าถึงได้โดยทั่วไปภายในวนั เลือกตั้ง ยกเว้นการนับคะแนนไม่สามารถกระทำได้ตามมาตรา ๑๒๑ เพือ่ ประโยชน์แก่การแจ้งข้อมลู การเลือกตั้งต่อประชาชนให้เกิดความรวดเร็วและโปร่งใส คณะกรรมการตอ้ งดำเนินการใหม้ ีการรายงานผลการนับคะแนนอยา่ งไมเ่ ป็นทางการ การประกาศผลการนับคะแนน การรายงานผลการนับคะแนน และการรายงานผล การนับคะแนนอยา่ งไมเ่ ปน็ ทางการ ใหเ้ ปน็ ไปตามหลกั เกณฑ์และวิธีการทค่ี ณะกรรมการกำหนด”” คณะกรรมาธิการไมเ่ หน็ ดว้ ย ผู้แปรญัตตขิ อสงวน มาตรา ๒๐ แกไ้ ขมาตรา ๑๒๒ มีการแก้ไข มกี รรมาธกิ ารขอสงวนความเห็น และผ้แู ปรญตั ตขิ อสงวนคำแปรญัตติ นายสามารถ แก้วมีชัย รองศาสตราจารย์ชูศักดิ์ ศิรินิล นายประยุทธ์ ศิริพานิชย์ นายสมคดิ เช้ือคง นายกฤช เอ้ือวงศ์ นายชลนา่ น ศรแี กว้ นายพงศเ์ ทพ เทพกาญจนา และนายสุขุมพงศ์ โง่นคำ (กรรมาธกิ าร) ขอสงวนความเห็น โดยขอให้แก้ไขเพิ่มเตมิ ความในมาตรา ๒๐ เป็นดังน้ี “มาตรา ๒๐ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๑๒๒ แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ วา่ ด้วยการเลอื กตง้ั สมาชกิ สภาผูแ้ ทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๖๑ และให้ใช้ความตอ่ ไปนแี้ ทน “มาตรา ๑๒๒ ในกรณีที่ผลการนับคะแนนปรากฏว่าจำนวนผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง ไม่ตรงกับจำนวนบัตรเลือกตั้งที่ใช้ออกเสียงลงคะแนน ให้คณะกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้งดำเนินการ ตรวจสอบความถูกต้อง หากยังไม่ตรงกันอีกให้รายงานความไม่ถูกต้องตรงกันพร้อมเหตุผล
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290