Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ทักษะชีวิตเพื่อการจัดการตนเองตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง

ทักษะชีวิตเพื่อการจัดการตนเองตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง

Published by yaowaluck590, 2022-05-27 07:35:10

Description: ทักษะชีวิตเพื่อการจัดการตนเองตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง

Search

Read the Text Version

𴄬³¸ª·˜Á¡°Éº „µ¦‹—´ „µ¦˜œÁ°Š˜µ¤ž¦´µ…°ŠÁ«¦¬“„‹· ¡°Á¡¥¸ Š …°Šœ„´ «¹„¬µ ¤®µª·š¥µ¨¥´ «·¨žµ„¦ ×¥ œµŠ­µª„´œ¥r­œ· ¸ ž{ µ°£ª· Š«r ªš· ¥µœ¡· œ›rœ¸ÊÁžœ} ­nªœ®œ¹ÉŠ…°Š„µ¦«¹„¬µ˜µ¤®¨„´ ­˜¼ ¦ž¦·µ«„¹ ¬µ«µ­˜¦¤®µ–´ ”˜· ­µ…µª·µ¡´•œ«¹„¬µ £µ‡ª· µ¡œºÊ “µœšµŠ„µ¦«„¹ ¬µ ´–”˜· ª·š¥µ¨¥´ ¤®µª·š¥µ¨¥´ «·¨žµ„¦ ž„e µ¦«¹„¬µ 2557 ¨·…­·š›…Í· °Š´–”·˜ªš· ¥µ¨¥´ ¤®µª·š¥µ¨´¥«¨· žµ„¦

ทกั ษะชีวติ เพอ่ื การจัดการตนเองตามปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง ของนักศึกษา มหาวิทยาลยั ศิลปากร โดย นางสาวกนั ย์สินี ปัญญาอภวิ งศ์ วทิ ยานิพนธ์นีเ้ ป็ นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลกั สูตรปริญญาศึกษาศาสตรมหาบณั ฑิต สาขาวชิ าพฒั นศึกษา ภาควชิ าพนื้ ฐานทางการศึกษา บัณฑิตวทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั ศิลปากร ปี การศึกษา 2557 ลขิ สิทธ์ิของบัณฑติ วทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั ศิลปากร

ทกั ษะชีวติ เพอ่ื การจัดการตนเองตามปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง ของนักศึกษา มหาวทิ ยาลยั ศิลปากร โดย นางสาวกนั ย์สินี ปัญญาอภวิ งศ์ วทิ ยานิพนธ์นีเ้ ป็ นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลกั สูตรปริญญาศึกษาศาสตรมหาบณั ฑิต สาขาวชิ าพฒั นศึกษา ภาควชิ าพนื้ ฐานทางการศึกษา บัณฑิตวทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั ศิลปากร ปี การศึกษา 2557 ลขิ สิทธ์ิของบัณฑติ วทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั ศิลปากร

LIFE SKILLS FOR SELF-DETERMINING BASED ON SUFFICIENCY ECONOMIC PHILOSOPHY OF BACHELOR’S DEGREE STUDENT IN SILPAKORN UNIVERSITY By Miss Kunsinee Punya-apiwong A Thesis Submitted in Partial Fulfillment of the Requirements for the Degree Master of Education Program in Development Education Department of Education Foundations Graduate School, Silpakorn University Academic Year 2014 Copyright of Graduate School, Silpakorn University

บณั ฑิตวิทยาลยั มหาวิทยาลยั ศิลปากร อนุมตั ิให้วิทยานิพนธ์เรื่อง “ทกั ษะชีวิตเพ่ือ การจดั การตนเองตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของนกั ศึกษา มหาวทิ ยาลยั ศิลปากร” เสนอโดย นางสาวกนั ยส์ ินี ปัญญาอภิวงศ์ เป็ นส่วนหน่ึงของการศึกษาตามหลักสูตรปริญญาศึกษาศาสตร มหาบณั ฑิต สาขาวชิ าพฒั นศึกษา ........................................................................ (รองศาสตราจารย์ ดร.ปานใจ ธารทศั นวงศ)์ คณบดีบณั ฑิตวทิ ยาลยั วนั ที่..........เดือน.....................พ.ศ.............. อาจารยท์ ี่ปรึกษาวทิ ยานิพนธ์ 1. รองศาสตราจารย์ ดร.นรินทร์ สังขร์ ักษา 2. ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.นพพร จนั ทรนาชู 3. ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร. ไชยยศ ไพวทิ ยศิริธรรม คณะกรรมการตรวจสอบวทิ ยานิพนธ์ ....................................................ประธานกรรมการ (รองศาสตราจารย์ ดร.คณิต เขียววชิ ยั ) ................./......................./................... .......................................................กรรมการ .........................................................กรรมการ (อาจารย์ ดร. สมชาย ลกั ขณานุรักษ)์ (รองศาสตราจารย์ ดร.นรินทร์ สงั ขร์ ักษา) ................./......................./................... ................./......................./................... .......................................................กรรมการ .......................................................กรรมการ (ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.นพพร จนั ทรนาชู) (ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร. ไชยยศ ไพวิทยศิริธรรม) ................./......................./................... ................./......................./...................

55260208: สาขาวชิ าพฒั นศึกษา คาสาคญั : ทกั ษะชีวติ /การจดั การตนเอง/ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง กนั ยส์ ินี ปัญญาอภิวงศ:์ ทกั ษะชีวติ เพ่อื การจดั การตนเองตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของนกั ศึกษา มหาวิทยาลยั ศิลปากร. อาจารยท์ ี่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ : รศ. ดร. นรินทร์ สังขร์ ักษา ผศ. ดร. นพพร จนั ทรนาชู และ ผศ. ดร. ไชยยศ ไพวทิ ยศิริธรรม. 177 หนา้ การวจิ ยั คร้ังน้ีเป็ นการวิจยั แบบผสมผสานวิธี เก็บรวบรวมขอ้ มูลท้งั การวจิ ยั เชิงปริมาณและการวจิ ยั เชิง คุณภาพ วตั ถุประสงคเ์ พ่ือ 1) ศึกษาระดบั ทกั ษะชีวติ เพื่อการจดั การตนเองตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของ นกั ศึกษา มหาวทิ ยาลยั ศิลปากร 2) เปรียบเทียบทกั ษะชีวติ เพอ่ื การจดั การตนเองตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ของนกั ศึกษา มหาวิทยาลยั ศิลปากร จาแนกตามปัจจยั ส่วนบุคคล 3) ศึกษาปัจจยั ที่มีผลต่อทกั ษะชีวิตเพ่ือการ จดั การตนเองตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี งของนกั ศึกษา มหาวทิ ยาลยั ศิลปากร และ 4) ศึกษาแนวทางในการ พฒั นาทักษะชีวิตเพ่ือการจดั การตนเองตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของนักศึกษา มหาวิทยาลยั ศิลปากร เครื่องมือที่ใชใ้ นการวิจยั คร้ังน้ีเป็ นแบบสอบถาม และการสัมภาษณ์เชิงลึก โดยเก็บขอ้ มูลเชิงปริมาณจากกลุ่ม ตวั อยา่ งจานวน 377 คน โดยการสุ่มแบบแบ่งช้นั ภูมิ การวเิ คราะห์ขอ้ มูลเชิงปริมาณ ไดแ้ ก่ การแจกแจงความถ่ี ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบค่าที (t-test) ทดสอบค่าเอฟ (F-test) วิเคราะห์การถดถอย พหุคูณ (Stepwise Multiple Regression Analysis) เก็บขอ้ มูลเชิงคุณภาพจากผูใ้ ห้ขอ้ มูลสาคญั คือ นกั ศึกษา มหาวทิ ยาลยั ศิลปากร จานวน 10 คน ใชว้ ธิ ีการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Selection) ผลการวจิ ยั พบวา่ 1. ระดับทกั ษะชีวิตเพื่อการจดั การตนเองตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของกลุ่มตวั อย่างโดย รวมอยใู่ นระดบั มาก 2. การเปรียบเทียบระดบั ทกั ษะชีวิตเพื่อการจดั การตนเองตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง พบว่า เพศ ระดบั ช้นั ปี กลมุ่ การเรียน และเกรดเฉลี่ยท่ีแตกต่างกนั ไม่มีผลต่อระดบั ทกั ษะชีวติ เพื่อการจดั การตนเองตาม ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง 3. ปัจจยั ท่ีมีผลต่อทกั ษะชีวิตเพื่อการจดั การตนเองตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงโดยรวมอย่ใู น ระดบั มาก เม่ือพจิ ารณารายดา้ นโดยเรียงลาดบั ตามจากมากไปหานอ้ ยได้ ดงั น้ี ดา้ นการมีส่วนร่วมทางสังคม ดา้ น ความภาคภูมิใจในตนเอง ดา้ นการเชื่ออานาจควบคุมตนเอง และดา้ นการสนบั สนุนทางสงั คม สามารถร่วมทานาย ระดบั ทกั ษะชีวติ เพอ่ื การจดั การตนเองตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงได้ ร้อยละ 18.88 4. แนวทางการพฒั นาทักษะชีวิตเพื่อการจัดการตนเองตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงพบว่า นกั ศึกษาควรมีการเรียนรู้อยา่ งสม่าเสมอ ครอบครัวตอ้ งหมนั่ ดูแลและเอาใจใส่ในตวั นกั ศึกษา สถาบนั การศึกษา ควรจดั กิจกรรมเสริมสร้างทกั ษะชีวิตในดา้ นต่างๆ และชุมชนควรจดั โครงการท่ีเป็ นประโยชน์เพ่ือสร้างความ สามคั คีภายในชุมชน ภาควชิ าพ้นื ฐานทางการศึกษา บณั ฑิตวทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั ศิลปากร ลายมือช่ือนกั ศึกษา................................................................. ปี การศึกษา 2557 ลายมือช่ืออาจารยท์ ี่ปรึกษาวทิ ยานิพนธ์ 1. ................................. 2. ................................... 3. ............................ ง

55260208: MAJOR: DEVELOPMENT EDUCATION KEY WORDS: LIFE SKILLS/SELF-DETERMINING/SUFFICIENCY ECONOMIC PHILOSOPHY KUNSINEE PUNYA-APIWONG: LIFE SKILLS FOR SELF-DETERMINING BASED ON SUFFICIENCY ECONOMIC PHILOSOPHY OF BACHELOR’S DEGREE STUDENT IN SILPAKORN UNIVERSITY. THESIS ADVISORS: ASSOC. PROF. NARIN SANGRAGSA, Ed.D., ASST. PROF. NOPPORN JUNTORNNUMCHU, Ed.D. AND ASST. PROF. CHAIYOS PAIWITHAYASIRITHAM, Ed.D. 177 pp. The purpose of this research were 1) study life skills for self-determining based on sufficiency economic philosophy of bachelor’s degree student in Silpakorn university 2) compare study life skills for self- determining based on sufficiency economic philosophy of bachelor’s degree student in Silpakorn university by personal factors, and 3) identify factors that affect life skills for self-determining based on sufficiency economic philosophy of bachelor’s degree student in Silpakorn university, and 4) study the development of life skills for self-determining based on sufficiency economic philosophy of bachelor’s degree student in Silpakorn university. The sample groups were 377. The statistics were used frequency distribution, percentage, mean, standard deviation, t-test for independent, F-test for independent, multiple regression analysis and qualitative analysis for 10 specific persons that students in Silapakorn university. The results of this research indicated that: 1. The overall life skills for self-determining based on sufficiency economic philosophy of sample groups is high level. 2. A comparison of the life skills for self-determining based on sufficiency economic philosophy that gender class group of learning and GPA. did not affect the life skills. 3. The overall factors affecting life skills were high level, considering the sorted according to descending below: the social participation, the self-esteem, locus of control and the social the spport could be able to predict the life skills for self-determining based on sufficiency economic 18.88 percent. 4. The development of life skills for self-determining based on sufficiency economic philosophy that students should had always learned, family must take care of the students, universities should strengthen life skills activities in various and community must create projects should be helpful for establish the unity of the community. Department of Education Foundations Graduate School, Silpakorn University Student’s signature ……….……….…….….…….…………………………………….…. Academic Year 2014 Thesis Advisors’ signature 1. 2. 3................................................................... ................................................................ ................................................................ จ

กติ ตกิ รรมประกาศ วิทยานิพนธ์ฉบบั น้ีสาเร็จลงได้ ด้วยความกรุณาจากคณาจารยผ์ ูท้ รงคุณวุฒิท่ีคอยให้ คาปรึกษาช้ีแนะขอ้ คิดเห็นต่างๆ ที่เป็ นประโยชน์และให้ความช่วยเหลือผูว้ ิจยั มาโดยตลอด อนั มี ส่วนทาให้วิทยานิพนธ์ฉบบั น้ีสมบูรณ์มากยิ่งข้ึน ขอขอบพระคุณรองศาสตราจารย์ ดร.นรินทร์ สังข์รักษา อาจารยท์ ่ีปรึกษาวิทยานิพนธ์และให้ความช่วยเหลือแนะนาแกไ้ ขขอ้ บกพร่องต่างๆให้ สาเร็จไดด้ ว้ ยดี ขอขอบพระคุณรองศาสตราจารย์ ดร.คณิต เขียววชิ ยั ประธานกรรมการในการสอบ วิทยานิพนธ์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นพพร จันทรนาชู และผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ไชยยศ ไพวทิ ยศิริธรรม ผูใ้ ห้คาปรึกษาแนะนาในส่วนต่างๆ อาจารย์ ดร.สมชาย ลกั ขณานุรักษ์ กรรมการ ผทู้ รงคุณวุฒิ ขอบพระคุณอาจารย์ ดร. นิรุทธ์ วฒั โนภาส ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร. วรรณวีร์ บุญคุม้ และอาจารย์ ดร. ยุวรี ผลพนั ธิน ผูเ้ ช่ียวชาญในการตรวจเคร่ืองมือวิจยั รวมไปถึงเจา้ หนา้ ที่บณั ฑิต วทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั ศิลปากรทุกทา่ นท่ีใหค้ วามอนุเคราะห์งานวจิ ยั ฉบบั น้ีและเผยแพร่สู่สงั คม ขอกราบขอบพระคุณคุณแม่ท่ีมอบโอกาสและทุกๆสิ่งท่ีดีที่สุดแก่ผูว้ ิจยั มาโดยตลอด ขอบขอบคุณความรัก ความห่วงใยจากบรรดาญาติพ่ีนอ้ งทุกท่านที่เป็ นกาลงั ใจท่ีสาคญั ในการศึกษา ตอ่ ในคร้ังน้ี ขอบคุณเพื่อนๆพี่ๆนอ้ งๆนกั ศึกษา ปริญญาโท สาขาพฒั นศึกษาทุกท่านท่ีมีส่วนร่วมให้ การทาวทิ ยานิพนธ์ฉบบั น้ีสามารถสาเร็จลุล่วงไปไดด้ ว้ ยดี ขอบคุณนักศึกษามหาวิทยาลัยศิลปากรท่ีเป็ นกลุ่มตัวอย่างทุกท่านในการตอบ แบบสอบถามและใหข้ อ้ มูลต่างๆอนั เป็นประโยชน์ต่องานวจิ ยั ทา้ ยท่ีสุดน้ี ผวู้ ิจยั หวงั เป็ นอย่างยิ่งวา่ ผลจากการศึกษาในคร้ังน้ีคงเป็ นประโยชน์กบั ผูท้ ี่ เก่ียวขอ้ งท้งั ภาครัฐและเอกชน ท่ีจะนาขอ้ มูลไปเป็นแนวทางในการส่งเสริมและพฒั นาต่อไป ฉ

สารบญั หนา้ ง บทคดั ยอ่ ภาษาไทย ………………………………………………………………………... จ บทคดั ยอ่ ภาษาองั กฤษ …………………………………………………………………….. ฉ กิตติกรรมประกาศ ………………………………………………………………………… ฎ สารบญั ตาราง ……………………………………………………………………………… ฐ สารบญั แผนภาพ …………...……………………………………………………………… บทท่ี 1 1 1 บทนา....................................................................................................................... 5 ความเป็นมาและความสาคญั ของปัญหา........................................................... 5 วตั ถุประสงคก์ ารวจิ ยั ........................................................................................ 5 สมมติฐานการวจิ ยั …………………………………………………………... 6 ขอบเขตการวจิ ยั ............................................................................................... 8 นิยามศพั ทเ์ ฉพาะ.............................................................................................. 9 ประโยชน์ที่ไดร้ ับ............................................................................................. 10 23 2 วรรณกรรมท่ีเกี่ยวขอ้ ง ……………………………………………………………. 24 แนวคิดเก่ียวกบั ทกั ษะชีวติ …………………………………………………… 27 แนวคิดเก่ียวกบั การจดั การตนเอง ……………………………………………. 30 แนวคิดเก่ียวกบั การเช่ืออานาจควบคุมตนเอง …………………….. 33 แนวคิดเก่ียวกบั ความภาคภมู ิใจในตนเอง ………………………… 37 แนวคิดเกี่ยวกบั การมีส่วนร่วมทางสงั คม ………………………… 53 แนวคิดเกี่ยวกบั การสนบั สนุนทางสังคม …………………………. 57 แนวคิดเก่ียวกบั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง ……………………………... 62 แนวคิดเก่ียวกบั ความรู้ ……………………………………………………… 65 แนวคิดเก่ียวกบั พฤติกรรม …………………………………………………... 65 บริบทของมหาวทิ ยาลยั ศิลปากร …………………………………………..... 76 งานวจิ ยั ที่เก่ียวขอ้ ง ............................................................................................ งานวจิ ยั ในประเทศ ........................................................................... งานวจิ ยั ต่างประเทศ........................................................................... ช

บทท่ี หนา้ กรอบแนวคิดการวจิ ยั ....................................................................................... 95 96 3 วธิ ีการดาเนินงานวจิ ยั ............................................................................................... 97 การวจิ ยั เชิงปริมาณ ........................................................................................... 97 ประชากรและกลุ่มตวั อยา่ ง ................................................................ 98 ตวั แปรท่ีศึกษา ………………………………………….………… 99 เครื่องมือที่ใชใ้ นการวจิ ยั .................................................................... 100 การสร้างและตรวจสอบคุณภาพเคร่ืองมือ ......................................... 102 การเก็บรวบรวมขอ้ มูล....................................................................... 102 การวเิ คราะห์ขอ้ มูลและสถิติที่ใชใ้ นการวจิ ยั ...................................... 103 การวจิ ยั คุณภาพ ................................................................................................ 105 105 4 ผลการวเิ คราะห์ขอ้ มูล.............................................................................................. ผลการวเิ คราะห์ขอ้ มูลปัจจยั ส่วนบุคคล ........................................................... 107 ผลการวเิ คราะห์ปัจจยั สนบั สนุนของทกั ษะชีวติ เพ่อื การจดั การตนเองตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง 114 ของนกั ศึกษา มหาวทิ ยาลยั ศิลปากร ................................................ ผลการเปรียบเทียบระดบั ทกั ษะชีวติ เพ่ือการจดั การตนเอง 117 เพอ่ื การจดั การตนเองตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง ของนกั ศึกษา มหาวทิ ยาลยั ศิลปากร ................................................ 119 ผลการวเิ คราะห์ปัจจยั ท่ีมีผลต่อระดบั ทกั ษะชีวติ เพ่อื การจดั การตนเอง 121 ตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของนกั ศึกษา 131 มหาวทิ ยาลยั ศิลปากร ....................................................................... 132 ปัญหา/อุปสรรค และขอ้ เสนอแนะเก่ียวกบั ทกั ษะชีวติ 134 เพอ่ื การจดั การตนเองตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง ของนกั ศึกษา มหาวทิ ยาลยั ศิลปากร ................................................ การวเิ คราะห์ขอ้ มูลเชิงคุณภาพ ......................................................................... 5 สรุป อภิปรายผล และขอ้ เสนอแนะ ........................................................................ สรุปผลการวจิ ยั ................................................................................................ อภิปรายผลการวจิ ยั .......................................................................................... ซ

บทท่ี หนา้ ขอ้ เสนอแนะการวิจยั ........................................................................................ 139 ขอ้ เสนอแนะเพื่อนาผลการวิจยั ไปใช้ ................................................ 139 ขอ้ เสนอแนะเพ่ือการวิจยั คร้ังต่อไป .................................................. 141 142 รายการอา้ งอิง ........................ ........................................................................................ 153 ภาคผนวก ........................ .............................................................................................. 154 156 ภาคผนวก ก........................ .............................................................................. 160 ภาคผนวก ข........................ .............................................................................. 168 ภาคผนวก ค........................ .............................................................................. 177 ภาคผนวก ง....................................................................................................... ประวตั ิผวู้ ิจยั ................................................................................................................ ญ

สารบัญตาราง หนา้ ตารางที่ 19 1 ทกั ษะชีวติ กบั พฤติกรรมบ่งช้ีความสามารถในการคิดการตดั สินใจ 64 และการปรับตวั …………………………………………………….………… 79 82 2 จานวนนกั ศึกษาของมหาวทิ ยาลยั ศิลปากร ปี การศึกษา 2556 .................................. 85 3 งานวจิ ยั ในประเทศเก่ียวกบั ทกั ษะชีวติ .................................................................... 88 4 งานวจิ ยั ในประเทศเกี่ยวกบั การจดั การตนเอง .......................................................... 5 งานวจิ ยั ในประเทศเกี่ยวกบั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ...................................... 91 6 งานวจิ ยั ตา่ งประเทศเกี่ยวกบั ทกั ษะชีวติ .................................................................. 92 7 งานวจิ ยั ต่างประเทศเก่ียวกบั การจดั การตนเองและปรัชญา 94 97 ของเศรษฐกิจพอเพียง ……………………………..……………………….. 102 8 สรุปตวั แปรในงานวจิ ยั ของในประเทศ ................................................................... 9 สรุปตวั แปรในงานวจิ ยั ของต่างประเทศ................................................................... 106 10 จานวนประชากรและจานวนกลุ่มตวั อยา่ งในการวจิ ยั ............................................. 11 การวเิ คราะห์คา่ ความเช่ือมนั่ ของแบบสอบถาม .................................................... 107 12 จานวนและร้อยละของปัจจยั ส่วนบุคคลของนกั ศึกษา มหาวทิ ยาลยั ศิลปากร 107 ที่เป็นกลุ่มตวั อยา่ ง ......................................................................................... 13 ผลรวมรายดา้ นของคา่ เฉล่ีย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าระดบั 108 ปัจจยั สนบั สนุนในภาพรวม…………………………………….………….. 109 14 ผลรวมรายดา้ นของค่าเฉลี่ย ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน และคา่ ระดบั 110 ทกั ษะชีวติ ในภาพรวม................................................................................... 15 คา่ เฉลี่ย ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน และคา่ ระดบั ปัจจยั สนบั สนุน 111 ดา้ นการเช่ืออานาจควบคุมตนเอง ................................................................. 16 คา่ เฉลี่ย ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน และค่าระดบั ปัจจยั สนบั สนุน ดา้ นดา้ นความภาคภมู ิใจในตนเอง................................................................. 17 ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และคา่ ระดบั ปัจจยั สนบั สนุน ดา้ นการมีส่วนร่วมทางสงั คม ....................................................................... 18 คา่ เฉลี่ย ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน และคา่ ระดบั ปัจจยั สนบั สนุน ดา้ นการสนบั สนุนทางสังคม ........................................................................ ฎ

ตารางที่ หนา้ 19 ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และคา่ ระดบั ทกั ษะชีวติ ดา้ นการคิด ................. 112 20 ค่าเฉล่ีย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และคา่ ระดบั ทกั ษะชีวติ ดา้ นเจตคติ ................. 113 21 คา่ เฉล่ีย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าระดบั ทกั ษะชีวติ ดา้ นการกระทา ........... 114 22 การวเิ คราะห์ความแตกตา่ งของระดบั ทกั ษะชีวติ เพอ่ื การจดั การตนเอง ตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของนกั ศึกษา มหาวทิ ยาลยั ศิลปากร จาแนกตามเพศ ............................................................................................. 115 23 การเปรียบเทียบระดบั ทกั ษะชีวติ เพ่ือการจดั การตนเองตามปรัชญาของเศรษฐกิจ พอเพยี งของนกั ศึกษา มหาวทิ ยาลยั ศิลปากร จาแนกตามช้นั ปี ..................... 115 24 การเปรียบเทียบระดบั ทกั ษะชีวติ เพอ่ื การจดั การตนเองตามปรัชญาของเศรษฐกิจ พอเพยี งของนกั ศึกษา มหาวิทยาลยั ศิลปากร จาแนกตามกลุ่มการเรียน ....... 116 25 การเปรียบเทียบระดบั ทกั ษะชีวติ เพื่อการจดั การตนเองตามปรัชญาของเศรษฐกิจ พอเพยี งของนกั ศึกษา มหาวิทยาลยั ศิลปากร จาแนกตามเกรดเฉล่ีย .............. 116 26 การวเิ คราะห์ปัจจยั ที่มีผลต่อทกั ษะชีวติ เพือ่ การจดั การตนเองตามปรัชญาของเศรษฐกิจ พอเพียงของนกั ศึกษา มหาวทิ ยาลยั ศิลปากร ................................................. 117 27 ปัญหาและอุปสรรคเก่ียวกบั ทกั ษะชีวติ เพือ่ การจดั การตนเองตามปรัชญาของเศรษฐกิจ พอเพยี งของนกั ศึกษา มหาวทิ ยาลยั ศิลปากร ................................................. 119 28 ขอ้ เสนอแนะเกี่ยวกบั ทกั ษะชีวติ เพ่ือการจดั การตนเองตามปรัชญาของเศรษฐกิจ พอเพียงของนกั ศึกษา มหาวิทยาลยั ศิลปากร ................................................ 120 29 สรุปประเด็นสาคญั ของสภาพทว่ั ไปและขอ้ มูลตา่ งๆเกี่ยวกบั ทกั ษะชีวติ เพือ่ การจดั การตนเองตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี งของนกั ศึกษา มหาวทิ ยาลยั ศิลปากร ....……………………………………………………. 129 30 ผลการตรวจสอบเคร่ืองมือแบบสอบถาม (IOC) เกี่ยวกบั ปัจจยั สนบั สนุน ของทกั ษะชีวติ เพ่อื การจดั การตนเองตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง ของนกั ศึกษา มหาวทิ ยาลยั ศิลปากร โดยผเู้ ชี่ยวชาญ ..................................... 161 31 ผลการตรวจสอบเคร่ืองมือแบบสอบถาม (IOC) เก่ียวกบั ระดบั ทกั ษะชีวติ เพ่อื การจดั การตนเองตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี งของนกั ศึกษา มหาวทิ ยาลยั ศิลปากร โดยผเู้ ชี่ยวชาญ .......................................................... 165 ฏ

สารบัญภาพ หนา้ แผนภาพที่ 23 1 กรอบแนวคิดแสดงความสัมพนั ธ์ระหวา่ งทกั ษะชีวติ และการป้ องกนั พฤติกรรม 43 ท่ีเป็นปัญหา ..................................................................................................... 44 48 2 ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง.................................................................................. 95 3 เศรษฐกิจพอเพียงเชิงระบบ ..................................................................................... 4 ตวั อยา่ งการวางแผนทางการเงิน............................................................................... 130 5 กรอบแนวคิดของการวจิ ยั ............................................................................................ 6 แนวทางในการพฒั นาทกั ษะชีวติ เพือ่ การจดั การตนเองตามปรัชญาของเศรษฐกิจ พอเพยี งของนกั ศึกษา มหาวทิ ยาลยั ศิลปากร ................................................. ฐ

บทท่ี 1 บทนำ ควำมเป็ นมำและควำมสำคญั ของปัญหำ ภาวการณ์เปล่ียนแปลงไปสู่ความทนั สมยั (Modernization) ของระบบทุนนิยม ไดส้ ร้างการ แข่งขนั ในระบบเศรษฐกิจท้งั ภายในและภายนอกประเทศอย่างมหาศาล โดยแต่ละประเทศต่าง ตอ้ งการมุ่งสู่ความเป็นผนู้ าทางดา้ นเศรษฐกิจ รวมถึงการเชื่อมโยงโลกเขา้ ดว้ ยกนั ของระบบทุนนิยม น้ี ทาให้เกิดการแพร่ของกระแสวฒั นธรรมและสังคมของโลกตะวนั ตกหรือประเทศที่พฒั นาแลว้ เขา้ สู่ประเทศในภมู ิภาคตา่ งๆ รวมถึงประเทศไทย ผลจากการแนวทางการพฒั นาประเทศไปสู่ความ ทนั สมยั ไดก้ ่อให้เกิดการเปล่ียนแปลงแก่สังคมไทยอย่างมากในทุกด้าน โดยคร้ังแรกท่ีเกิดกบั ประเทศไทย เป็ นช่วงท่ีประเทศกาลังมีการพฒั นาประเทศตามแผนพฒั นาเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติ ฉบบั ท่ี 3 (พ.ศ.2515 – 2519) ส่งผลใหป้ ระเทศมีหน้ีที่เกิดจากการที่รัฐบาลไดก้ ูเ้ งินจาก ต่างประเทศ เพื่อนามาขบั เคล่ือนนโยบายตามแผนพฒั นาเศรษฐกิจฯ และอีกคร้ังในปี 2540 เมื่อ ประเทศไทยได้ประสบกบั ภาวะวิกฤตเศรษฐกิจคร้ังใหญ่ ท่ีเป็ นผลมาจากการพฒั นาเศรษฐกิจ กระแสหลกั โดยไม่คานึงถึงระดบั ความเหมาะสมและศกั ยภาพของประเทศ เห็นไดว้ า่ จากกระแส การพฒั นาดงั กล่าว ประเทศไทยได้มุ่งเน้นเศรษฐกิจเพียงด้านเดียวเป็ นหลกั โดยมิได้คานึงถึง ศกั ยภาพและความพร้อมของชุมชนและสังคม ดงั น้นั ทุกคนจึงตกอยภู่ ายใตก้ ระแสโลกาภิวตั น์ตาม ระบบทุนนิยม (นรินทร์ สังขร์ ักษา, 2556: 110) กระน้นั ประเทศไทยก็สามารถรอดพน้ ช่วงวิกฤตเศรษฐกิจอนั เลวร้ายน้นั มาได้ท้งั 2 คร้ัง ดว้ ยพระปรีชาสามารถของอริยบุคคลของประเทศไทย พระนามว่า พระเจา้ อยู่หัวภูมิพลอดุลเดช มหาราช ที่ทรงช้ีแนะแนวทางในการดาเนินชีวิตอย่างเหมาะสมตามกาลงั และความสามารถของ บุคคลน้นั ๆอยา่ งมีสติและปัญญา ควบคูก่ บั การใชห้ ลกั คุณธรรม จริยธรรม เพ่ือให้เกิดความสามารถ ในการพ่ึงตวั เองให้ไดม้ ากที่สุด ดงั พระบรมราโชวาท ในปี 2517 ความว่า “การพฒั นาประเทศ จาเป็นตอ้ งทาตามลาดบั ข้นั ตอ้ งสร้างพ้ืนฐาน คือ ความพอมี พอกิน พอใชข้ องประชาชนส่วนใหญ่ เบ้ืองตน้ ก่อน โดยใช้วิธีการและอุปกรณ์ที่ประหยดั แต่ถูกต้องตามหลักวิชาการ เม่ือได้พ้ืน ฐานเศรษฐกิจ ความมน่ั คง พร้อมพอสมควรและปฏิบตั ิไดแ้ ลว้ จึงค่อยสร้างความเจริญและฐานะ ทางเศรษฐกิจ ความมน่ั คงข้ึนสูงโดยลาดบั ต่อไป” ดว้ ยเหตุน้ี ประเทศไทยจึงไดม้ ีการปรับเปล่ียน วสิ ยั ทศั นแ์ ละกลยทุ ธ์ในการพฒั นาประเทศ โดยไดม้ ีการอญั เชิญหลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (The Sufficiency Economy Philosophy) ของพระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ วั เพื่อนามาประยกุ ตใ์ ชใ้ ห้ 1

2 เขา้ กบั บริบทของประเทศไทย โดยใชเ้ ป็ นแนวทางการปฏิบตั ิเพื่อใหช้ ีวติ ดาเนินไปในทางสายกลาง ที่เหมาะสมสอดคลอ้ งกบั วถิ ีความเป็ นอยูอ่ นั เรียบง่ายของคนไทย ซ่ึงสามารถนามาประยุกตใ์ ชใ้ ห้ เหมาะสมกบั คนทุกระดบั ท้งั ระดบั บุคคล ครอบครัว ชุมชน องคก์ ร และระดบั ประเทศ (สานกั งาน คณะกรรมการพฒั นาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, 2550: 14) เนื่องจากหลกั ปรัชญาเศรษฐกิจ พอเพียงเป็ นแนวทางการปฏิบตั ิโดยยึดเส้นทางสายกลางของความพอประมาณในการดารงชีวิต ความมีเหตุผลในการตดั สินใจกระทาการต่างๆ และมีภูมิคุม้ กนั ทางดา้ นจิตใจท่ีต่อความไม่แน่นอน ของสถานการณ์รอบดา้ น ภายใตเ้ ง่ือนไขของการมีความรอบรู้ รอบคอบและระมดั ระวงั อนั จะ นามาใช้ในการพิจาณา ไตร่ตรอง และปฏิบัติในการบริ หารจัดการต่อผลกระทบจากการ เปลี่ยนแปลง ประกอบกบั การมีคุณธรรมประจาใจ เช่น ความซ่ือสัตย์ ความอดทน ความเพียร การมี สติปัญญา เป็นตน้ อนั จะเป็นสิ่งที่ค้าชูจิตใจใหด้ าเนินชีวติ ดว้ ยความไม่ประมาท เพอ่ื สร้างสมดุลและ พร้อมรับต่อการเปลี่ยนแปลงท้งั ทางด้านวตั ถุ สังคม สิ่งแวดลอ้ ม และวฒั นธรรม ที่เป็ นไปอย่าง รวดเร็วของกระแสโลกาภิวตั น์เช่นปัจจุบนั แต่ ณ ปัจจุบนั สภาพเศรษฐกิจและสังคมไดม้ ีการเปลี่ยนแปลงไปอยา่ งรวดเร็ว โดยเฉพาะ ทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ จึงทาให้วิถีการดาเนินชีวิตเปล่ียนจากสังคมแบบด้ังเดิมเป็ น วิทยาศาสตร์มากข้ึน กระแสวฒั นธรรมและนวตั กรรมของความเจริญจากต่างประเทศไดแ้ พร่เขา้ สู่ ประเทศไทยอยา่ งไร้พรมแดน สิ่งเหล่าน้ีทาใหค้ นไทยตกอยใู่ นกระแสบริโภคนิยม ที่ให้ความสาคญั กบั วตั ถุเป็ นหลกั จนทาให้ความตระหนกั ในเรื่องคุณธรรมและจริยธรรมท่ีอยู่ภายในบกพร่องลด น้อยลง การท่ีวตั ถุนิยมมีอิทธิพลเหนือคุณธรรมน้ี สะทอ้ นให้เห็นสภาพความเป็ นอยู่ของคนใน สังคมท่ีไม่ยึดถือคุณธรรมเป็ นแนวทางในการดาเนินชีวิต ซ่ึงแทท้ ่ีจริงแลว้ ในการพฒั นาประเทศให้ เจริญกา้ วหนา้ จะตอ้ งคานึงถึงคุณภาพและคุณธรรมไปพร้อมๆกนั เพราะคุณภาพจะสร้างความเจริญ ทางวตั ถุ ส่วนคุณธรรมจะสร้างความเจริญทางจิตใจ (คมกฤช ใจคาปัน, 2544: 1) แต่เพราะคนส่วน ใหญ่ยงั มีค่านิยมและความเขา้ ใจวา่ กระแสโลกาภิวตั นก์ บั การดาเนินชีวติ แบบพอเพียงไปในทิศทาง ที่ตรงกนั ขา้ มกนั แต่แทจ้ ริงแลว้ ความพอเพียงกบั ทุนนิยมสามารถหล่อหลอมและปลูกฝังใหค้ นทุก คนไดร้ ู้และซึมซบั ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง จะก่อให้เกิดการรังสรรคค์ วามสมดุลในชีวิต ชุมชนก็ สามารถจดั การกบั องคค์ วามรู้ในชุมชน เกิดการเปลี่ยนแปลงกระบวนทศั น์ (paradigm shift) และ เจตคติท่ีดีต่อชีวิตและสังคม มิใช่เป็ นการปฏิเสธระบบทุนนิยม แต่ใหร้ ู้เท่าทนั กบั การเปล่ียนแปลง ของโลก มีความรอบรู้ในการดาเนินชีวติ การผลิตแบบพอเพียง เพ่ือความผาสุก ความอยเู่ ยน็ เป็ นสุข มีการใหค้ วามสาคญั ในมิติทางสังคม “ดชั นีความสุข (happiness index)” ท่ีหมายถึง การมีสภาพชีวิต ที่เป็ นสุข อนั เป็ นผลมาจากความสามารถในการจดั การปัญหาในการดาเนินชีวิต มีศกั ยภาพที่จะ พฒั นาตนเองเพ่ือคุณภาพชีวิตที่ดี รวมถึงความดีงามภายในจิตใจ ควบคู่กบั “คุณธรรมนาความรู้”

3 (นรินทร์ สังขร์ ักษา, 2544: 4) กล่าวไดว้ า่ การดารงชีวติ ในสภาพสังคมปัจจุบนั มีความจาเป็ นอยา่ ง ยิ่งท่ีตอ้ งอาศยั ทกั ษะในการดาเนินชีวิต อนั เป็ นความสามารถในการเขา้ ใจสังคมและส่ิงแวดลอ้ ม นามาควบคุมและจดั การกบั สถานการณ์รอบตวั อยา่ งรู้เท่าทนั และพร้อมรับกบั การเปล่ียนแปลงใน - อนาคต ดงั น้นั มนุษยใ์ นยคุ น้ีจึงจาเป็นที่จะตอ้ งมีความสามารถที่จะดารงชีวิตใหอ้ ยใู่ นสิ่งแวดลอ้ มที่ เป็ นโลกาภิวตั น์ไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพและปลอดภยั จากความเส่ียงต่างๆ ที่อาจข้ึนไดจ้ ากสาเหตุท่ี สังคมของมนุษยเ์ ปลี่ยนแปลงไปอยา่ งรวดเร็วและสลบั ซบั ซอ้ นยิง่ ข้ึน ทกั ษะชีวิตที่ไดร้ ับการพฒั นา จากระดบั ท่ีมนุษยส์ ามารถพ่ึงพาตนเองได้ จนกระทงั่ ทาใหเ้ ป็ นที่พ่ึงพาต่อสังคมไดจ้ ึงเป็ นสิ่งสาคญั ต่อการศึกษาในยคุ น้ีเป็นอยา่ งยงิ่ (วนิดา ขาวมงคล เอกแสงศรี, 2546: 4) ผลการวจิ ยั “มิติทางสังคมวฒั นธรรมที่ส่งผลต่อความรุนแรงในเด็กและเยาวชน” ของคณะ สังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหิดล (2551) ที่มีวตั ถุประสงค์เพื่อศึกษาสถานการณ์ ปัญหา ความหมาย และรูปแบบของพฤติกรรมความรุนแรงในเด็กและเยาวชน โดยทาการศึกษาใน ชุมชนและโรงเรียนมธั ยมท้งั 4 ภาคในประเทศไทย พบวา่ ความรุนแรงในเด็กและเยาวชนมีหลาย รูปแบบ ซ่ึงพฤติกรรมความรุนแรงมกั ฝังอยูใ่ นชีวิตประจาวนั ของเด็กและเยาวชน จนกลายเป็ นสิ่ง ปกติธรรมดาไป (เพญ็ จนั ทร์ ประดบั มุข – เชอนร์เรอร์ และคณะ, 2551) สอดคลอ้ งกบั ผลการวิจยั “ผลกระทบของอินเตอร์เน็ตตอ่ สุขภาพกายและสุขภาพจิตของเด็กและเยาวชนไทย“ ที่แสดงให้เห็น วา่ การใชอ้ ินเตอร์เน็ตมากเกินไปน้นั จะทาให้เกิดผลกระทบต่อร่างกายและจิตใจตามมา ถึงแมจ้ ะมี พฤติกรรมการรับสื่ออินเตอร์เน็ตในดา้ นบนั เทิงเพ่ือคลายเครียด แต่ในบางกรณีกลบั พบว่า วิธีการ แกป้ ัญหาแบบน้ันจะทาให้ติดและเกิดปัญหาอื่นๆตามมา ไม่ว่าจะเป็ นดา้ นการเรียนหรือปัญหา สุขภาพ ในบางคร้ังถึงกบั เกิดอาการกระวนกระวายเมื่อไม่ได้เล่น (ประพิมพพ์ รรณ สุวรรณกูฏ และอจั ศรา ประเสริฐสิน, 2552) จากผลการวิจยั ดงั กล่าว ช้ีให้เห็นถึงสภาพปัญหาของเด็กและ เยาวชนไทยว่า เด็กและเยาวชนไทยอนั เป็ นทรัพยากรบุคคลท่ีสาคญั ของชาติมีภูมิคุม้ กนั ต่อปัญหา จากปัจจยั ท้งั ภายนอกและภายในขาดประสิทธิภาพ ทาให้ความระมดั ระวงั และรอบคอบในการ ตดั สินใจเก่ียวกบั ปัญหาหรือผลกระทบต่างๆที่ตอ้ งเผชิญบกพร่อง อีกท้งั ภาวการณ์ปัจจุบนั ที่ให้ ความสาคญั กบั วตั ถุเป็นหลกั ท้งั จากสภาพแวดลอ้ ม ส่ือส่ิงพมิ พ์ และระบบออนไลน์ต่างๆ ส่งผลให้ เดก็ และเยาวชนเหล่าน้นั ห่างไกลจากคาวา่ คุณธรรมและจริยธรรมไปโดยปริยาย กล่าวไดว้ า่ เด็กและ เยาวชนขาดซ่ึงทักษะชีวิตท่ีจาเป็ นในการเตรี ยมพร้อมและรองรับสถานการณ์ต่างๆใน ชีวติ ประจาวนั นนั่ เอง ดงั น้นั การนอ้ มนาปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงที่มีเป้ าหมายหลกั กล่าวถึง ความ พอดี ท้งั ในแง่รูปธรรมและนามธรรม มาเป็ นแนวทางในการพฒั นาทกั ษะชีวิตในดา้ นต่างๆ นบั ได้ ว่าเป็ นแนวความคิดที่ดี ดงั จะเห็นได้จากปราชญ์เกษตรของแผ่นดิน ประจาปี 2554 คือ จนั ทร์ที ประทุมภา ที่เป็ นผูน้ าความรู้เรื่องเกษตรทฤษฎีใหม่ รวมถึงความรู้ในหลกั 3 ห่วง 2 เง่ือนไขของ

4 เศรษฐกิจพอเพียงมาปรับใชก้ บั ตนเองจนประสบความสาเร็จ และยงั สามารถถ่ายทอดความรู้และ ขยายผลใหแ้ ก่ชาวบา้ นจนประสบความสาเร็จ (กระทรวงเกษตรและสหกรณ์, 2555) มหาวิทยาลัยศิลปากร เป็ นสถาบนั การศึกษาท่ีมีวิสัยทศั น์ คือ การสมานสามคั คี เชิดชู ศิลปวฒั นธรรม มุง่ เนน้ อตั ลกั ษณ์องคก์ ร พฒั นาทรัพยากรบุคคล รณรงคส์ ร้างองคค์ วามรู้ บูรณาการ ศาสตร์และศิลป์ ผลิตบณั ฑิตตอบโจทยส์ ังคม ประเทศชาติ และสากล และพนั ธกิจกล่าวถึงว่า มหาวิทยาลยั ศิลปากร เป็ นมหาวิทยาลยั ที่ต้งั ข้ึนเพื่อเป็ นแกนนาในการสร้างองคค์ วามรู้ทางด้าน ศิลปะและการออกแบบของประเทศ โดยนาความรู้ของศิลปวฒั นธรรมซ่ึงเป็ นมรดกของชาติมาทา การสืบสาน เผยแพร่ รวมท้งั การผนวกเขา้ กบั องค์ความรู้จากสากล (ชยั ชาญ ถาวรเวช, 2555) ผลการวจิ ยั “การศึกษาพฤติกรรมการเรียนของนกั ศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ศิลปากร” พบว่า นกั ศึกษามีพฤติกรรมการเรียนท่ีเหมาะสม เป็ นผลมาจากการท่ีนกั ศึกษามีพฤติกรรมการ จดั การตนเองดา้ นการรวบรวมขอ้ มูลและกระตือรือร้นในการหาความรู้ ดา้ นความวิตกกงั วลเก่ียวกบั ปฏิบตั ิในการเรียน ดา้ นเจตคติ ดา้ นแรงจูงใจในการเรียน ดา้ นเทคนิคและอุปกรณ์ต่างๆช่วยเหลือใน การเรียน ดา้ นยุทธวธิ ีในการทดสอบและเตรียมตวั ในการสอบ (อรพิณ ศิริสัมพนั ธ์, 2550: 76-77) ซ่ึงสิ่งเหล่าน้ีมีความสัมพนั ธ์กบั ประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการเรียน กล่าวคือ นกั ศึกษาท่ีมี การจดั การพฤติกรรมในการเรียนดี ยอ่ มมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการเรียนที่ดี แสดงให้ เห็นว่า การจดั การตนเองในการเผชิญสถานการณ์ต่างๆในชีวิตประจาวนั ของผูเ้ รียนท่ีดี นับเป็ น สิ่งจาเป็นในสงั คมการศึกษายคุ ปัจจุบนั จากการท่ีมหาวทิ ยาลยั ศิลปากรเป็ นมหาวิทยาลยั ท่ีมีความเก่าแก่ ก่อต้งั มาอยา่ งยาวนานกวา่ 70 ปี มีความโดดเด่นทางด้านวิชาการหลากหลายแขนง เป็ นแหล่งเรียนรู้ทางวิทยาการและ ประสบการณ์ ที่สนบั สนุนส่งเสริมใหผ้ เู้ รียนไดศ้ ึกษาอยา่ งกวา้ งขวางและต่อเน่ือง มีการเสริมสร้าง ใหผ้ เู้ รียนเกิดกระบวนการเรียนรู้ และเป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้ ท้งั ยงั เป็นแหล่งคน้ ควา้ วิจยั ถ่ายทอด ความรู้ ซ่ึงเป็ นการบูรณการและเช่ือมโยงศิลปวฒั นธรรม วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีข้นั สูง เขา้ ดว้ ยกนั อยา่ งเป็นองคร์ วม เพือ่ ผลิตบณั ฑิตที่มีภมู ิปัญญา ความคิดสร้างสรรค์ ยดึ มนั่ ในคุณธรรม และ มีความรับผิดชอบต่อสังคม ซ่ึงเป็ นปัจจยั สาคญั ของการพฒั นาชุมชนและประเทศชาติ นอกจากน้ี มหาวิทยาลยั ศิลปากรยงั มีการขยายวิทยาเขตท้งั ในกรุงเทพมหานคร ปริมณฑล (นครปฐม) และ ต่างจงั หวดั (เพชรบุรี) เพ่ือเพ่ิมโอกาสทางการศึกษาให้ครอบคลุมภูมิภาคตะวนั ออกของประเทศ ดว้ ยเหตุน้ี ผวู้ จิ ยั ในฐานะนกั ศึกษามหาวทิ ยาลยั ศิลปากร จึงมีความสนใจที่จะศึกษาระดับทกั ษะชีวิต เพ่ือการจดั การตนเองตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของนกั ศึกษาภายในมหาวทิ ยาลยั ศิลปากร เพื่อเป็นแนวทางในการพฒั นาคุณภาพนกั ศึกษาของมหาวทิ ยาลยั ศิลปากรต่อไป

5 วตั ถุประสงค์กำรวจิ ัย 1. เพ่ือศึกษาระดบั ทกั ษะชีวติ เพอ่ื การจดั การตนเองตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของ นกั ศึกษา มหาวทิ ยาลยั ศิลปากร 2. เพ่ือเปรียบเทียบระดับทกั ษะชีวิตเพื่อการจดั การตนเองตามปรัชญาของเศรษฐกิจ พอเพียงของนกั ศึกษา มหาวทิ ยาลยั ศิลปากร จาแนกตามปัจจยั ส่วนบุคคล 3. เพื่อศึกษาปัจจยั ท่ีมีผลต่อระดับทกั ษะชีวิตเพ่ือการจัดการตนเองตามปรัชญาของ เศรษฐกิจพอเพียงของนกั ศึกษา มหาวทิ ยาลยั ศิลปากร 4. เพ่ือศึกษาแนวทางในการพฒั นาทกั ษะชีวิตเพ่ือการจดั การตนเองตามปรัชญาของ เศรษฐกิจพอเพียงของนกั ศึกษา มหาวทิ ยาลยั ศิลปากร สมมุตฐิ ำนกำรวจิ ัย 1. นักศึกษามหาวิทยาลัยศิลปากรท่ีมีปัจจยั ส่วนบุคคลต่างกนั จะมีทกั ษะชีวิตเพ่ือการ จดั การตนเองตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี งแตกตา่ งกนั 2. ปัจจยั สนับสนุนมีผลต่อทกั ษะชีวิตเพ่ือการจดั การตนเองตามปรัชญาของเศรษฐกิจ พอเพียง ของนกั ศึกษา มหาวทิ ยาลยั ศิลปากร ขอบเขตกำรวจิ ัย เพื่อให้การวิจยั คร้ังน้ีเป็ นไปตามวตั ถุประสงคท์ ่ีวางไว้ ผูว้ ิจยั ไดก้ าหนดขอบเขตการวิจยั เพ่ือศึกษาทักษะชีวิตเพ่ือการจัดการตนเองตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของนักศึกษา มหาวทิ ยาลยั ศิลปากร ดงั น้ี 1. ขอบเขตดา้ นประชากรและกลุ่มตวั อยา่ ง 1.1 ประชากร ประชากร (Population) ในการวิจยั คร้ังน้ี ผูว้ ิจยั ไดศ้ ึกษานกั ศึกษาในมหาวทิ ยาลยั ศิลปากร ปี การศึกษา 2556 รวม 22,716 คน (มหาวทิ ยาลยั ศิลปากร, 2556) 1.2 กลุ่มตวั อยา่ ง กลุ่มตวั อย่างคือ นักศึกษาท่ีไดจ้ ากการสุ่มตวั อย่าง โดยการเปิ ดตารางเครซ่ีและ มอร์แกน (Krejcie and Morgan, 1970) ไดข้ นาดกลุ่มตวั อยา่ ง 377 คน จากน้นั จึงจาแนกตามกลุ่ม การเรียน ได้แก่ กลุ่มศิลปะและการออกแบบ กลุ่มมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ และกลุ่ม วทิ ยาศาสตร์ ดว้ ยวธิ ีการสุ่มตวั อยา่ งแบบแบง่ ช้นั ภมู ิ (Stratified Random Sampling) ตามสัดส่วน

6 2. ขอบเขตดา้ นเน้ือหา การศึกษาคร้ังน้ี เป็ นการศึกษาระดบั ทกั ษะชีวิตเพ่ือการจดั การตนเองตามปรัชญาของ เศรษฐกิจพอเพียงของนักศึกษา มหาวิทยาลยั ศิลปากร ในประเด็นการเชื่ออานาจควบคุมตนเอง ความภาคภูมิใจในตนเอง การมีส่วนร่วมทางสงั คม และการสนบั สนุนทางสังคม 3. ตวั แปรท่ีศึกษา 3.1 ตวั แปรตน้ (Independent Variables) 3.1.1 ปัจจยั ส่วนบุคคล ไดแ้ ก่ เพศ ระดบั ช้นั ปี กลุ่มการเรียน และเกรดเฉลี่ย ของนกั ศึกษา มหาวทิ ยาลยั ศิลปากร 3.1.2 ปัจจยั สนบั สนุน ไดแ้ ก่ 3.1.2.1 การเช่ืออานาจควบคุมตนเอง 3.1.2.2 ความภาคภมู ิใจในตนเอง 3.1.2.3 การมีส่วนร่วมทางสังคม 3.1.2.4 การสนบั สนุนทางสงั คม 3.2 ตวั แปรตาม (Dependent Variable) 3.2.1 ทกั ษะชีวิตเพ่ือการจดั การตนเองตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของ นกั ศึกษา มหาวทิ ยาลยั ศิลปากร ประกอบดว้ ยทกั ษะ 3 ดา้ น คือ ทกั ษะดา้ นการคิด ทกั ษะดา้ นเจตคติ และทกั ษะดา้ นการกระทา 4. ขอบเขตดา้ นพ้ืนท่ี งานวิจยั น้ีทาการศึกษาเฉพาะนกั ศึกษามหาวิทยาลยั ศิลปากร 4 วิทยาเขต คือ มหาวิทยาลยั ศิลปากร วิทยาเขตตลิ่งชัน วิทยาเขตวงั ท่าพระ วิทยาเขตพระราชวงั สนามจนั ทร์ และวิทยาเขต สารสนเทศเพชรบุรี นิยำมศัพท์เฉพำะ ทกั ษะชีวิตเพ่ือการจดั การตนเองตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง หมายถึง ความสามารถ ของนกั ศึกษามหาวทิ ยาลยั ศิลปากรในการคิดและตดั สินใจแกป้ ัญหา เพ่ือจดั ระเบียบการดาเนินชีวติ ของ ตนเอง ใหส้ อดคลอ้ งกบั ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ทกั ษะชีวิต หมายถึง ความสามารถของนกั ศึกษามหาวิทยาลยั ศิลปากร ในการคิดและตดั สินใจ แกป้ ัญหา ตามสถานการณ์น้นั ๆ ได้อย่างเหมาะสม รวมถึงการรู้เท่าทนั การเปลี่ยนแปลงที่อาจจะเกิดข้ึนใน อนาคตเพอื่ ใหบ้ ุคคลน้นั สามารถท่ีจะอยรู่ ่วมกบั ผอู้ ่ืนในสงั คมไดอ้ ยา่ งมีความสุข

7 ทกั ษะดา้ นการคิดหมายถึงความสามารถในการคิดลกั ษณะต่างๆจากระดบั ความคิดพ้ืนฐานซ่ึง เป็ นทกั ษะการคิดที่เป็ นแกนหรือคิดในเร่ืองทวั่ ไป เช่น การระบุ การเช่ือมโยง การให้เหตุผล เป็ นตน้ ไปสู่ ความคิดข้นั สูงอย่างเป็ นระบบ โดยอาศัยทกั ษะการคิดท่ีเป็ นแกนหลายๆทกั ษะ เช่น การวิเคราะห์ การ สงั เคราะห์ การพยากรณ์ เป็นตน้ โดยมีหลกั ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเป็ นแนวทางในการคิด ทกั ษะดา้ นเจตคติ หมายถึงการรับรู้ความรู้สึกนึกคิดทางจิตใจรวมถึงความสนใจอารมณ์ เจตคติ คา่ นิยมและคุณธรรมโดยมีหลกั ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเป็ นแนวทางในการรับรู้ ทกั ษะดา้ นการกระทาหมายถึงความสามารถในการแสดงพฤติกรรมเพื่อปฏิบตั ิกิจกรรมต่างๆ อยา่ งเหมาะสม ซ่ึงมีเวลาและคุณภาพของผลงานเป็ นตวั วดั ระดบั โดยมีหลกั ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเป็ น แนวทางในการปฏิบตั ิ การเช่ืออานาจควบคุมตนเอง หมายถึง ความเชื่อหรือเจตคติของนักศึกษามหาวิทยาลัย ศิลปากรที่มีตอ่ ตนเองในการกระทาหรือแสดงพฤติกรรมตา่ งๆ ไดแ้ ก่ การเชื่ออานาจควบคุมตนเองภายใน หมายถึง การมีความเช่ือมนั่ วา่ ทุกสิ่งที่เกิด ข้ึนกบั ตนเองเป็นผลมาจากความสามารถ ทกั ษะ หรือการกระทาของตนเอง การเช่ืออานาจควบคุมตนเองภายนอก หมายถึง การมีความเชื่อมนั่ วา่ ทุกสิ่งที่ เกิดข้ึนกบั ตนเองข้ึนอย่กู บั โชคลาง ความบงั เอิญ อานาจเหนือธรรมชาติหรือข้ึนอยู่กบั อานาจของ ผอู้ ื่น ความภาคภูมิใจในตนเอง หมายถึง การท่ีนกั ศึกษามหาวทิ ยาลยั ศิลปากรมีเจตคติท่ีดีต่อตนเอง มีความรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่า มีความเช่ือมนั่ ในความสามารถและสติปัญญาของตนเอง ในการ กระทาสิ่งตา่ งๆใหป้ ระสบความสาเร็จไดต้ ามเป้ าหมาย ความมีส่วนร่วมทางสังคม หมายถึง การท่ีนกั ศึกษามหาวิทยาลยั ศิลปากร เขา้ ร่วมกิจกรรม หรือโครงการ ต้งั แต่เร่ิมตน้ ก่อต้งั จนกระท้งั สิ้นสุดกิจกรรมหรือโครงการดว้ ยความเต็มใจที่จะอุทิศ ตนเพ่ือประโยชน์ของส่วนร่วมและในฐานะของผูม้ ีส่วนไดส้ ่วนเสียต่อการประกอบกิจกรรมหรือ โครงการดงั กล่าว การสนบั สนุนทางสังคม หมายถึง การไดร้ ับความช่วยเหลือจากสังคม ต้งั แต่คนใกลช้ ิด ครอบครัว หมู่เพ่ือน และสังคมโดยรวม เพ่ือให้บุคคลที่ได้รับความช่วยเหลือสามารถยืนหยดั ใน สังคมและพร้อมรับการเปล่ียนแปลง การจดั การตนเอง หมายถึง การจดั ระเบียบใหก้ บั การดาเนินชีวิตของนกั ศึกษามหาวิทยาลยั ศิลปากรโดยอาศยั องคค์ วามรู้ท่ีมีประกอบกบั กระบวนทศั น์ ใชใ้ นการตดั สินใจกระทาการสิ่งต่างๆ ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง หมายถึง แนวทางการดารงชีวิตตามพระราชดารัสของ พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยูห่ ัว ท่ีทรงช้ีแนะให้ปฏิบตั ิตนอยูบ่ นความพอประมาณ มีเหตุผล และมี

8 ภูมิคุม้ กนั ในตวั ที่ดี ด้วยการใช้ความรู้และและคุณธรรมประกอบในการตดั สินใจ ประกอบดว้ ย หลกั การ 3 ห่วง และ 2 เงื่อนไข ดงั น้ี 1. ความพอประมาณ หมายถึง ความพอเหมาะและพอดี ไม่มากหรือนอ้ ยเกินไป 2. ความมีเหตุผล หมายถึง การใชห้ ลกั เหตุและผลที่เกิดจากสภาพการณ์ท่ีเป็ น จริงมาใชใ้ นการตดั สินใจในเร่ืองใดเรื่องหน่ึง 3. การมีภูมิคุม้ กนั ในตวั ท่ีดี หมายถึง การมีเกราะป้ องกนั ทางความคิด เพื่อให้มี ความเหมาะสมและความจาเป็นกบั ตนเอง ในการควบคุมการตดั สินใจและกระทาการใดๆ 4. เงื่อนไขความรู้ หมายถึง ความรู้ในวิชาการสาขาต่างๆ ท้งั ทางดา้ นทฤษฎีและ ปฏิบตั ิท่ีจะใชใ้ นการพิจารณาดว้ ยความละเอียดรอบคอบตามสถานการณ์น้นั ๆ ดว้ ยความระมดั ระวงั ในการตดั สินใจ 5. เง่ือนไขคุณธรรม หมายถึง หลกั คุณงามความดีที่พึงกระทาเพื่อประโยชน์สุข ต่อตนเองและผูอ้ ื่น เช่น ความซื่อสัตยส์ ุจริต ความอดทน การแบ่งปัน การมีสติและปัญญาในการ ดารงชีวติ นกั ศึกษามหาวิทยาลยั ศิลปากร หมายถึง ผทู้ ่ีทาการศึกษาในมหาวิทยาลยั ศิลปากร ระดบั ปริญญาตรี ปี การศึกษา 2556 ประโยชน์ทไี่ ด้รับ 1. ทาใหท้ ราบถึงระดบั ทกั ษะชีวติ เพ่ือการจดั การตนเองตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ของนกั ศึกษา มหาวทิ ยาลยั ศิลปากร 2. ทาใหท้ ราบความแตกต่างของระดบั ทกั ษะชีวิตของนกั ศึกษาที่มีปัจจยั ส่วนบุคคลและ ปัจจยั สนบั สนุนต่างกนั มีการจดั การตนเองตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงแตกต่างกนั 3. ทาให้ทราบปัจจยั ท่ีมีผลต่อทกั ษะชีวติ เพ่ือการจดั การตนเองตามปรัชญาของเศรษฐกิจ พอเพยี งของนกั ศึกษา มหาวทิ ยาลยั ศิลปากร 4. เป็ นแนวทางในการพฒั นาทกั ษะชีวิตเพื่อการจดั การตนเองตามปรัชญาของเศรษฐกิจ พอเพยี ง มหาวทิ ยาลยั ศิลปากร 5. นาผลการวจิ ยั ไปปรับปรุง/พฒั นาการจดั การเรียนการสอน และใชใ้ นการดารงชีวิตของ นกั ศึกษา มหาวทิ ยาลยั ศิลปากร

บทท่ี 2 วรรณกรรมทเี่ กย่ี วข้อง การวจิ ยั คร้ังน้ี เกบ็ รวบรวมขอ้ มูลท้งั เชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ไดท้ าการศึกษาทกั ษะชีวิต เพ่ือการจดั การตนเองตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของนกั ศึกษา มหาวิทยาลยั ศิลปากร โดย ผวู้ จิ ยั ไดศ้ ึกษาแนวคิด ทฤษฎี และงานวจิ ยั ท่ีเกี่ยวขอ้ ง เพ่ือนามาประยุกตใ์ ช้เป็ นแนวทางและสร้าง กรอบแนวคิดในการวจิ ยั ตามลาดบั ดงั น้ี 1. แนวคิดเก่ียวกบั ทกั ษะชีวติ 2. แนวคิดเก่ียวกบั การจดั การตนเอง 2.1 แนวคิดเกี่ยวกบั การเชื่ออานาจควบคุมตนเอง 2.2 แนวคิดเกี่ยวกบั ความภาคภมู ิใจในตนเอง 2.3 แนวคิดเก่ียวกบั การมีส่วนร่วมทางสังคม 2.4 แนวคิดเกี่ยวกบั การสนบั สนุนทางสงั คม 3. แนวคิดเก่ียวกบั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง 4. แนวคิดเกี่ยวกบั ความรู้ 5. แนวคิดเก่ียวกบั พฤติกรรม 6. บริบทของมหาวทิ ยาลยั ศิลปากร 7. งานวจิ ยั ที่เก่ียวขอ้ ง 8. กรอบแนวคิดในการวจิ ยั 9

10 1. แนวคิดเกย่ี วกบั ทกั ษะชีวติ ทกั ษะชีวติ (life skills) เป็นความสามารถของบุคคลในการปรับตวั ใหเ้ ขา้ กบั สภาพแวดลอ้ ม ต่างๆในชีวิตประจาวนั ได้อย่างเหมาะสม ดงั น้ัน บุคคลท่ีสามารถมีความเป็ นอยู่ไดอ้ ย่างปกติสุข และไม่ก่อใหเ้ กิดปัญหาแก่สังคมหรือบุคคลอื่นก็คือ บุคคลท่ีสามารถจดั การกบั การเปลี่ยนแปลงท่ีมา จากภายนอกไดน้ น่ั เอง ความหมายของทกั ษะชีวติ องคก์ ารอนามยั โลก (WHO, 1997: 1) ใหค้ วามหมายวา่ ทกั ษะชีวติ เป็ นความสามารถใน การปรับตวั และการมีพฤติกรรมท่ีถูกตอ้ ง ซ่ึงจะทาใหบ้ ุคคลสามารถจดั การกบั ความตอ้ งการและสิ่ง ทา้ ทายต่างๆท่ีเกิดในชีวติ ประจาวนั ไดอ้ ยา่ งเหมาะสม องคก์ ารศึกษาวิทยาศาสตร์และวฒั นธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO, 1999 : 90) ให้ ความหมายวา่ ทกั ษะชีวติ คือ ความสามารถในการปรับตวั และพฤติกรรมที่ถูกตอ้ งเหมาะสมกบั การ เผชิญกบั ปัญหาต่างๆในชีวติ ประจาวนั สานกั งานปลดั กระทรวงศึกษาธิการ (2551: 62) ให้ความหมายว่า ทกั ษะชีวิต หมายถึง คุณลกั ษณะหรือความสามารถเชิงสังคมจิตวทิ ยา (Psychosocial Competence) ที่เป็ นทกั ษะภายในที่ จะช่วยให้บุคคลสามารถเผชิญสถานการณ์ต่างๆที่เกิดข้ึนในชีวิตประจาวนั ไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ และเตรียมความพร้อมสาหรับการปรับตวั ในอนาคต ไมว่ า่ จะเป็ นเรื่องการดูแลสุขภาพ เอดส์ ยาเสพ ติด ความปลอดภยั สิ่งแวดลอ้ ม คุณธรรม จริยธรรม ฯลฯ เพื่อใหส้ ามารถมีชีวิตอยใู่ นสังคมไดอ้ ยา่ ง มีความสุข ทองคูณ หงส์พนั ธุ์ (2543: 24) ให้ความหมายวา่ ทกั ษะชีวิต เป็ นทกั ษะภายในที่ช่วยให้เรา เผชิญกบั สถานการณ์ต่างๆท่ีเกิดข้ึนได้ เป็ นความสามารถในเชิงสังคมจิตวิทยา ที่จะทาให้คนเรามี ชีวติ อยใู่ นโลกอยา่ งมีความสุข ไม่เป็ นภาระต่อสังคม แกไ้ ขปัญหาต่างๆได้ มีความสามารถพ้ืนฐาน ท้งั ดา้ นความรู้ เจตคติ ทกั ษะการปฏิบตั ิต่างๆ โสภณ จุโลทก (2543: 7) ใหค้ วามหมายวา่ ทกั ษะชีวติ เป็นความสามารถพ้ืนฐานของบุคคล ในการจดั การท่ีเหมาะสมกับตวั เองและสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ตวั เองมีความปกติสุขและอยู่รอด ปลอดภยั จากภยั สังคม ท้งั ในปัจจุบนั และอนาคต เทพ สงวนกิตติพนั ธ์ (2545: 7) ใหค้ วามหมายวา่ ทกั ษะชีวติ หมายถึง ความรู้ความสามารถ ความเช่ียวชาญที่จะช่วยให้ความเป็ นอยู่ หรือการดาเนินกิจกรรมต่างๆที่เกี่ยวขอ้ งกบั ร่างกาย สังคม และจิตใจของบุคคล ใหส้ ามารถดาเนินชีวติ ไดอ้ ยา่ งมีความสุขและประสบความสาเร็จในชีวติ วนิดา ขาวมงคล เอกแสงศรี (2546: 1-2) ใหค้ วามหมายของ ทกั ษะชีวติ ดงั น้ี ความสามารถของมนุษยท์ ี่ติดตวั มาแตก่ าเนิด

11 1. ความสามารถที่มนุษยส์ ามารถเรียนรู้จากตนเองและผอู้ ื่น ซ่ึงรวมถึงสภาพแวดลอ้ มทาง เป็นผสู้ ร้างข้ึน 2. ความสามารถที่ประกอบดว้ ยความรู้ เจตคติ ทกั ษะการจดั การกบั ชีวิตของตนเองกบั ปัญหากบั สภาพแวดลอ้ มต่างๆได้ 3. ความสามารถท่ีมนุษยค์ วรจะพฒั นาไดจ้ นบรรลุจุดสูงสุดในชีวิต คือ ความเป็ นมนุษยท์ ่ี สมบรู ณ์ตามศกั ยภาพของแต่ละบุคคล โบรลิน (Brolin: 1989) ใหค้ วามหมายวา่ ทกั ษะชีวิต เป็ นทกั ษะและความรู้ที่มีความจาเป็ น และมีความสาคญั ในการดาเนินชีวิต ตลอดจนเป็ นสิ่งท่ีทาให้บุคคลประสบความสาเร็จในการ ดารงชีวติ ท้งั ปัจจุบนั และอนาคต โดยเป็ นการที่บุคคลเรียนรู้ท่ีจะพฒั นาตนเองในดา้ นต่างๆ ท้งั ดา้ น ชีวติ ส่วนตวั ชีวติ ครอบครัว กลุ่มเพ่ือน โรงเรียน และชุมชน กล่าวโดยสรุป ทกั ษะชีวิต หมายถึง ความสามารถของบุคคลในการปรับความคิดและ พฤติกรรม ตามสถานการณ์น้ันๆได้อย่างเหมาะสม รวมถึงความสามารถในการพร้อมรับการ เปลี่ยนแปลงที่อาจจะเกิดข้ึนในอนาคตต่อบุคคลน้นั ๆ ความสาคญั ของทกั ษะชีวติ ทกั ษะชีวติ เป็ นความสามารถของบุคคลในการควบคุมและจดั การกบั สถานการณ์ต่างๆท่ี ตอ้ งเผชิญในชีวิตประจาวนั ท้งั ในเร่ืองของการปรับตวั ในส่วนของพฤติกรรม เพ่ือให้เป็ นไปใน ทิศทางที่เหมาะสม ความสามารถในการคิด วิเคราะห์ ตามหลกั เหตุและผลของสิ่งที่ควรจะเป็ นใน เหตุการณ์น้นั ๆ เพ่ือให้บุคคลน้นั สามารถที่จะดารงอยูท่ ่ามกลางภาวการณ์เปลี่ยนแปลงต่างๆ ได้ อยา่ งมีความสุข มหาวทิ ยาลยั สุโขทยั ธรรมาธิราช (2552: 8) ไดอ้ ธิบายเพิ่มเติมวา่ ทกั ษะชีวิตมีความสัมพนั ธ์ กบั จิตมนุษย์ 3 ดา้ น คือ 1. ดา้ นการฝึกฝนดา้ นสติปัญญา (IQ) 2. ดา้ นอารมณ์ (EQ) 3. แรงจงู ใจดา้ นการหล่อหลอมบุคลิกภาพในดา้ นมโนธรรมและคุณธรรม (MQ) ดงั น้นั การฝึกฝนใหบ้ ุคคลมีทกั ษะชีวิตจึงเป็ นประโยชน์ในการพฒั นาบุคลิกภาพท้งั ภายใน และภายนอก ส่งผลให้บุคคลมีความรู้ความสามารถสูงในการปฏิบตั ิงานให้เกิดผลสาเร็จในทุกๆ ดา้ น ซ่ึงจาแนกผลจากการฝึกฝนทกั ษะกบั การพฒั นาคนไดด้ งั น้ี 1. มีความเป็ นเลิศทางปัญญา หรือคนเก่ง หมายถึง การพฒั นาดา้ นสติปัญญาในส่วนท่ี เกี่ยวขอ้ งกบั ความจา การคิดหาเหตุผล การตดั สินใจ การแกป้ ัญหา การวิเคราะห์ปัญหา มีความคิด สร้างสรรค์ การเรียนรู้ มีความเชื่อมนั่ ในตนเอง มีการใฝ่ หาความรู้ ทนั โลก ทนั เหตุการณ์

12 2. ดารงตนเป็ นคนดี หมายถึงมีเจตคติอนั เกิดการเรียนรู้ทางดา้ นอารมณ์และความรู้สึกของตนเอง ในดา้ นการอยูร่ ่วมกนั ในสังคมโดยรวม ซ่ึงก่อให้เกิดมโนมติ มีคุณธรรมประจาตน มีจิตสานึกในสิทธิและ หน้าท่ีของตนเองท่ีมีต่อสังคมโดยรวม ความรู้สึกท่ีเห็นคุณค่าในตนเองและการสะทอ้ นความรู้สึกท่ีเห็น คุณค่าผอู้ ื่นรู้จกั การแสดงออกไดอ้ ยา่ งเหมาะสม 3. มีความสุขในการดารงชีวิต หมายถึง มีความมนั่ คงทางจิตใจ มีบุคลิกภาพดี มีการปรับตวั มี ทกั ษะในการส่ือสารระหว่างบุคคลให้เป็ นไปอย่างราบร่ืน เป็ นผลดีในด้านการบริหารการจดั การอย่างมี ประสิทธิภาพและมีความสามารถปฏิบตั ิงานใหเ้ กิดผลสาเร็จ วนิดา ขาวมงคล เอกแสงศรี (2546: 3-4) อธิบายเพ่ิมเติมวา่ ทกั ษะชีวิตเป็ นสิ่งสาคญั และ จาเป็ นสาหรับการศึกษาในโลกปัจจุบนั (ศตวรรษที่ 21) เน่ืองจากมนุษยใ์ นยุคน้ี จาเป็ นจะตอ้ งมี ความสามารถที่จะดารงชีวิตให้อยู่ในสิ่งแวดล้อมท่ีเป็ นโลกาภิวตั น์ไดอ้ ย่างมีประสิทธิภาพและ ปลอดภยั จากความเส่ียงต่างๆ ที่อาจเกิดข้ึนไดจ้ ากสาเหตุท่ีสังคมมนุษยเ์ ปล่ียนแปลงไปอยา่ งรวดเร็ว และสลบั ซบั ซอ้ นยงิ่ ข้ึน กล่าวโดยสรุป ทกั ษะชีวติ มีความจาเป็นสาหรับทุกกิจกรรมในการดาเนินชีวิต เนื่องจากทา ใหบ้ ุคคลน้นั สามารถท่ีจะอยรู่ ่วมกบั ผอู้ ่ืนในสงั คมไดอ้ ยา่ งมีความสุข องค์ประกอบของทกั ษะชีวติ องคก์ รอนามยั โลก (WHO, 1997: 1-3) ไดก้ าหนดองคป์ ระกอบของทกั ษะชีวติ ไว้ 10 ขอ้ คือ 1. การตดั สินใจ (Decision making) เป็ นทกั ษะท่ีช่วยเหลือ เพ่ือก่อให้เกิดการตดั สินใจ เกี่ยวกบั สิ่งตา่ งๆในชีวติ ถา้ บุคคลมีการตดั สินใจอยา่ งมีประสิทธิภาพ ในการกระทาต่างๆที่เกี่ยวขอ้ ง กบั สุขภาพ โดยการประเมินทางเลือกหลายๆทาง และผลที่จะเกิดข้ึนในแต่ละทางเลือกน้นั จะมีผล ตอ่ สุขภาพอนามยั ของบุคคลน้นั 2. การแกป้ ัญหา (Problem solving) เป็ นความสามารถในการต่อสู้กบั ปัญหาต่างๆในชีวติ โดยเฉพาะปัญหาที่ไม่สามารถแกไ้ ขได้ ซ่ึงเป็นสาเหตุทาใหเ้ กิดการเจบ็ ป่ วยท้งั ทางร่างกายและจิตใจ 3. ความคิดสร้างสรรค์ (Creative thinking) นาไปสู่การตดั สินใจและแกไ้ ขปัญหา โดยการ กาหนดทางเลือกหลายๆทางเลือก ท่ีจะกระทาหรือไม่กระทา ช่วยให้สามารถมองยอ้ นไปถึง ประสบการณ์ตรง และเหตุเหตุการณ์ต่างๆ เพื่อช่วยในการตดั สินใจและแกไ้ ขปัญหา ก่อใหเ้ กิดการ ปรับตวั และตอ้ งมีความยดื หยนุ่ ในสถานการณ์ตา่ งๆในชีวติ ประจาวนั 4. ความคิด วเิ คราะห์ วจิ ารณ์ (Critical thinking) เป็ นความสามารถในการวเิ คราะห์ขอ้ มูล ข่าวสาร และประสบการณ์ ซ่ึงช่วยในการจดจาและประเมินปัจจยั ต่างๆท่ีมีอิทธิพลต่อเจตคติและ พฤติกรรม

13 5. การส่ือสารอย่างมีประสิทธิภาพ (Effective communication) เป็ นการแสดงออกของ บุคคล ท้ังวัจนภาพและอวัจนภาพท่ีเหมาะสมกับวัฒนธรรมและสถานการณ์ รวมไปถึง ความสามารถในการแสดงออกซ่ึงความคิดเห็น ความปรารถนา ความตอ้ งการ ความกลวั และการ ขอความช่วยเหลือในเวลาท่ีตอ้ งการ 6. ทกั ษะการสร้างสมั พนั ธภาพ (Interpersonal relationship skills) เป็ นทกั ษะที่ช่วยให้เกิด สัมพนั ธภาพที่ดีระหวา่ งบุคคล โดยการสร้างและรักษาไวซ้ ่ึงความสัมพนั ธ์ที่ดี เป็ นทกั ษะท่ีสาคญั ที่ ก่อใหเ้ กิดความสุขทางดา้ นจิตใจและสังคม ท้งั ยงั เป็นการรักษาสมั พนั ธภาพที่ดีในครอบครัว ซ่ึงเป็ น แหล่งสนบั สนุนทางสังคมที่สาคญั 7. ความตระหนกั รู้ในตน (self-awareness) เป็ นการรู้จกั ตนเอง ไม่วา่ จะเป็ นขอ้ ดี-ขอ้ ดอ้ ย สิ่งท่ีพึงปรารถนาและไม่พงึ ปรารถนา การพฒั นาความตระหนกั รู้ในตน สามารถช่วยให้บุคคลจดจา สิ่งต่างๆได้ เมื่อตนรู้สึกเครียด หรืออยู่ภายใตค้ วามกดดนั อีกท้งั ความตระหนักรู้เป็ นสิ่งท่ีจาเป็ น ก่อนที่จะนาไปสู่การสื่อสารอยา่ งมีประสิทธิภาพ 8. ความเห็นใจผอู้ ื่น (Empathy) เป็ นความสามารถในการจินตนาการว่า ชีวิตของบุคคล อื่นเป็นเช่นไร ในสถานการณ์ที่บุคคลอื่นไม่เหมือนกบั ตน ช่วยให้เกิดความเขา้ ใจและยอมรับบุคคล อ่ืนที่มีความแตกต่างไปจากตนเอง และยงั สามารถพฒั นาปฏิสมั พนั ธ์ทางสงั คมไดด้ ว้ ย 9. การจดั การกบั อารมณ์ (Coping with emotion) เกี่ยวกบั การรู้จกั และเขา้ ใจอารมณ์ของ ตนเองและบุคคลอื่น ตระหนักถึงอารมณ์ท่ีมีอิทธิพลต่อพฤติกรรม ทาให้สามารถตอบสนองต่อ อารมณ์ต่างๆไดอ้ ยา่ งเหมาะสม 10. การจดั การกบั ความเครียด (Coping with stress) เป็ นการรู้จกั สาเหตุของความเครียด และรู้จกั แนวทางในการจดั การ เพ่อื ช่วยควบคุมในแต่ละระดบั ของความเครียด ซ่ึงจะช่วยลดสาเหตุ ของความเครียดลง กระทรวงสาธารณสุข (2543: 310-312) กล่าวว่า องค์ประกอบของทกั ษะชีวิตที่องค์กร อนามยั โลกได้ทาการแบ่งเป็ น 10 องค์ประกอบน้ัน ยงั สามารถจดั แบ่งตามพฤติกรรมการเรียนรู้ เพ่ือให้เหมาะสมกบั สภาพสังคมและวฒั นธรรมไทยที่อยู่ในช่วงเปลี่ยนผา่ นและสับสนในเจตคติ และคา่ นิยม โดยแบ่งได้ 3 ดา้ น ดงั น้ี 1. องคป์ ระกอบของทกั ษะชีวติ ดา้ นพทุ ธพิสยั มีองคป์ ระกอบร่วม ไดแ้ ก่ 1.1 ความคิดสร้างสรรค์ หมายถึง ความสามารถในการคิดออกไปอยา่ งกวา้ งขวาง โดย ไม่ยดึ ติดอยใู่ นกรอบ 1.2 ความคิดวจิ ารณญาณ หมายถึง ความสามารถที่แยกแยะขอ้ มูลข่าวสาร ปัญหา และ สถานการณ์ต่างๆรอบตวั

14 2. ดา้ นจิตพสิ ัย หรือเจตคติ ประกอบดว้ ยองคป์ ระกอบร่วม ไดแ้ ก่ 2.1 ความตระหนกั รู้ในตน หมายถึง ความสามารถในการเขา้ ใจจุดดี จุดดอ้ ยของตนเอง และความแตกต่างของผอู้ ่ืน ไม่วา่ จะเป็ นในแง่ความสามารถ วยั อายุ เพศ ระดบั การศึกษา ศาสนา ทอ้ งถ่ิน ฯลฯ 2.2 ความเห็นใจผอู้ ื่น หมายถึง ความสามารถในการเขา้ ใจความรู้สึกและเห็นใจผอู้ ่ืนที่ แตกตา่ งจากตน ไม่วา่ จะเป็นในแง่ความสามารถ วยั อายุ เพศ ระดบั การศึกษา ศาสนา ทอ้ งถิ่น ฯลฯ 3. ดา้ นทกั ษะพิสยั หรือดา้ นการกระทา ประกอบดว้ ยองคป์ ระกอบ 3 คู่ คือ คู่ท่ี 1 การสร้างสมั พนั ธภาพและการส่ือสาร ทกั ษะการสร้างสัมพนั ธภาพและการสื่อสาร หมายถึง ความสามารถในการใช้ คาพดู และภาษาท่าทาง เพื่อส่ือสารความรู้สึกนึกคิดของตนและความสามารถในการรับรู้ความรู้สึก นึกคิดของอีกฝ่ าย ไม่วา่ จะเป็นการแสดงความตอ้ งการ ความชื่นชม การปฏิเสธ ฯลฯ คูท่ ี่ 2 การตดั สินใจและการแกไ้ ขปัญหา ทกั ษะการตดั สินใจและการแกไ้ ขปัญหา หมายถึงความสามารถในการรับรู้ปัญหา สาเหตุของปัญหา ทางทางเลือก วิเคราะห์ข้อดีข้อเสียของแต่ละทางเลือก ประเมินทางเลือก ตดั สินใจเลือกทางแกไ้ ขปัญหาที่เหมาะสม และลงมือแกป้ ัญหาไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ งเหมาะสม คู่ที่ 3 การจดั การกบั อารมณ์และการจดั การกบั ความเครียด ทักษะการจดั การอารมณ์และความเครียด เป็ นความสามารถในการประเมิน อารมณ์ รู้เท่าทนั อารมณ์วา่ มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของคน ใชว้ ิธีการที่จะจดั การกบั อารมณ์ท่ีเกิดข้ึน ได้เหมาะสม และเป็ นความสามารถที่จะรู้สาเหตุ พร้อมท้งั เบี่ยงเบนพฤติกรรมไปในทางที่พึง ประสงค์ สานักงานคณะกรรมการประถมศึกษาแห่งชาติ (2541) กล่าวว่า ความสาคัญและ องคป์ ระกอบของทกั ษะชีวติ มิไดม้ ีขอบเขตเพียงความรู้ หรือความจาในขอ้ มูลเท่าน้นั แต่หมายความ ถึง การมีทกั ษะชีวติ และคุณลกั ษณะที่จาเป็น 3 ประการ คือ 1. ทกั ษะชีวติ และคุณลกั ษณะดา้ นปัญญาและความคิด เป็นลกั ษณะและความสามารถทาง สมองของบุคคลในการเรียนรู้ เข้าใจสิ่งต่างๆ จากระดบั ความคิดพ้ืนฐานไปสู่ความคิดข้นั สูงอย่าง เป็ นระบบ เช่น การคิดอย่างมีวิจารณญาณ ซ่ึงเป็ นกระบวนการคิดที่ประมวลผ่านการพิจารณา กลนั่ กรอง ไตร่ตรอง ทบทวน ในแง่ความถูกตอ้ งตามความเป็ นจริงอยา่ งมีเหตุผลมีหลกั การ และ ตรงประเดน็ เป็นตน้ 2. ทกั ษะชีวติ และคุณลกั ษณะดา้ นจิตใจ เป็ นลกั ษณะความสามารถและความชานาญของ บุคคลท่ีมีทกั ษะชีวติ ในดา้ นจิตใจและอารมณ์อยใู่ นสภาพสงบและมีคุณภาพคุณลกั ษณะทางจิตใจท่ี

15 เนน้ ให้เห็นความสาคญั ก็คือ การมีสุนทรียภาพความสงบสุขในจิตใจ ความมีสติสมาธิ ความเพียร ความรู้สึกผดิ ชอบชวั่ ดี และความเชื่อมนั่ ในตนเอง 3. ทกั ษะชีวิตและคุณลกั ษณะด้านการกระทา เป็ นลักษณะและความสามารถในการ ปฏิบตั ิกิจกรรมหรืองานตา่ งๆไดอ้ ยา่ งคล่องแคล่ว มีแบบแผนที่ชดั เจน โดยมีพ้ืนฐานสุขภาพทางกาย ที่สมบูรณ์ ภาวินี จนั ทร์สีสม (2542: 11 -14) ไดว้ เิ คราะห์คุณสมบตั ิของผปู้ ระสบความสาเร็จในชีวติ และพจิ ารณาถึงสภาพแวดลอ้ มท่ีเปลี่ยนแปลงอยา่ งรวดเร็ว ทาให้ประมวลไดว้ า่ บุคคลจาเป็ นตอ้ งมี ทกั ษะชีวติ 9 ประการ ดงั น้ี 1. การรู้จกั และเขา้ ใจตนเอง 1.1 การรู้ฐานะและบทบาทหนา้ ที่ของตน 1.2 การเขา้ ใจความตอ้ งการและความรู้สึกของตนเอง 1.3 การเขา้ ใจศกั ยภาพ จุดดี จุดดอ้ ยของตนเอง 1.4 การรู้จกั เลือกสิ่งตา่ งๆท่ีเหมาะสมกบั ตน 1.5 การรู้จกั ใชค้ วามสามารถของตนเองใหเ้ ป็นประโยชน์ รู้จกั ปลุกใจตนเอง 1.6 ความภาคภูมิใจ มนั่ ใจในตนเอง 1.7 การมีสติ รู้ตวั และควบคุมตนเองได้ 2. การรู้จกั แสวงหาขอ้ มูลความรู้ 2.1 การใฝ่ รู้ ใฝ่ ศึกษา รับรู้ขอ้ มูลขา่ วสารตา่ งๆตลอดเวลา 2.2 การรู้จกั ใชเ้ หตุผล หรือดุลยพินิจในการตดั สินความน่าเช่ือถือของขอ้ มลู 2.3 การรู้จกั นาความรู้ ขอ้ มลู ขา่ วสารตา่ งๆไปใชป้ ระโยชน์ 3. การรู้จกั คิด รู้จกั แกป้ ัญหา และรู้จกั ตดั สินใจ 3.1 คิดไดค้ ล่อง คิดไดเ้ ร็ว มีปฏิภาณ 3.2 คิดไดก้ วา้ ง มีความหลากหลาย 3.3 คิดไดล้ ะเอียด ลึกซ้ึง 3.4 คิดไดไ้ กล มีวสิ ยั ทศั น์ 3.5 คิดริเร่ิม สร้างสรรค์ มีจินตนาการแปลกใหม่ 3.6 คิดอยา่ งมีเหตุผล 3.7 คิดวเิ คราะห์ วจิ ารณ์ จาแนกแจกแจง 3.8 คิดสงั เคราะห์ คิดรวบยอด สรุปประเดน็ สาคญั ได้ 3.9 ตดั สินใจ แกป้ ัญหาไดอ้ ยา่ งรอบคอบ มีระบบ มีข้นั ตอน มีเหตุผล และมีขอ้ มูล

16 4. การสื่อสารและสร้างความสมั พนั ธ์กบั ผอู้ ื่น 4.1 การรู้จักแสดงออกด้วยคาพูด กิริยาท่าทางและการกระทาที่เหมาะสมกบั บุคล กาลเทศะ 4.2 การทาใหผ้ อู้ ื่นเขา้ ใจความรู้สึกและความตอ้ งการของตนเองได้ 4.3 การเขา้ ใจความตอ้ งการและความรู้สึกของผอู้ ื่น 4.4 การรู้จกั ช่วยเหลือ ส่งเสริมใหก้ าลงั ใจผอู้ ่ืน 4.5 การรู้จกั โนม้ นา้ ว ชกั จงู ใจผอู้ ่ืน 4.6 การรู้จกั ผกู มิตร สร้างจิตสมั พนั ธ์ 4.7 การรู้จกั ประนีประนอม ต่อรอง และขจดั ขอ้ ขดั แยง้ 4.8 การรู้จกั เป็นผนู้ าและผตู้ าม ไดเ้ หมาะสมกบั กรณี 5. การวางแผนการจดั การ 5.1 การรู้จักวางเป้ าหมายและวางแผนการเรี ยน การทางาน การใช้เวลาใน ชีวติ ประจาวนั ระยะส้ัน แต่ละวนั แตล่ ะเดือนได้ 5.2 การรู้จกั คิดถึงอนาคต มีเป้ าหมาย และรู้จกั วางแผนชีวิต การเรียน การทางานใน ระยะเวลายาวได้ 5.3 การรู้จกั ลาดบั ข้นั ตอนการทางาน และมีการเตรียมตวั เพ่ือภารกิจต่างๆ 5.4 การรู้จกั ควบคุมตนเองให้ปฏิบตั ิตามแผนที่กาหนดไว้ และมีการตรวจสอบผลท่ี เกิดข้ึน 5.5 การรู้จกั ใชเ้ วลาและทรัพยากรต่างๆ เช่น เงินทอง ขา้ วของต่างๆให้เป็ นประโยชน์ และคุม้ ค่า 5.6 การรู้จักยืดหยุ่นปรับแผนและวิธีการทางาน ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ท่ี เปลี่ยนแปลงไป 6. การทางานเป็นทีม 6.1 การรู้จกั บทบาทหนา้ ท่ีของตน ในภารกิจท่ีไดร้ ับมอบหมาย 6.2 การมีความสามคั คี ใหค้ วามร่วมมือแก่หม่คู ณะ 6.3 การยอมรับเขา้ ใจ และใหอ้ ภยั ซ่ึงกนั และกนั 6.4 มีความยตุ ิธรรม ไม่เอาเปรียบ ไม่เห็นแก่ตวั 6.5 เคารพมติของกลุ่มและกฎเกณฑ์ ระเบียบทางสังคม 7. การปรับตวั 7.1 รู้จกั สงั เกต และเรียนรู้การเปลี่ยนแปลงตา่ งๆ

17 7.2 รู้จกั ปรับความคิด ความรู้สึก เพ่ือลดความเครียด เมื่อเผชิญสถานการณ์แปลกใหม่ ยอมรับการเปล่ียนแปลง 7.3 รู้จกั มารยาท และสามารถปฏิบตั ิตนใหเ้ หมาะสมกบั บุคลและสิ่งแวดลอ้ มต่างๆ 8. การมีวสิ ยั ทศั น์ 8.1 ต่ืนตวั ต่อการรับรู้ขา่ วสารและการเปลี่ยนแปลงใหมๆ่ 8.2 มีจินตนาการ รู้จกั คาดการณ์ล่วงหนา้ เสมอ 8.3 ชอบคบหาสมาคมผรู้ ู้ และชอบหาประสบการณ์ใหม่ 9. ความกลา้ เสี่ยง 9.1 รู้สึกสนุก และทา้ ทายที่เผชิญกบั สิ่งแปลกๆใหมๆ่ 9.2 สามารถคาดคะเนเหตุการณ์ 9.3 กลา้ ทดสอบหรือพสิ ูจน์ขอ้ สงสัย โดยมีการหยงั่ เชิงและทดลองก่อนปฏิบตั ิจริง 9.4 กลา้ ตดั สินใจและกระทาสิ่งต่างๆก่อนผอู้ ่ืน วนิดา ขาวมงคล เอกแสงศรี (2546: 6) อธิบายเพ่ิมเติมว่า องคป์ ระกอบของทกั ษะชีวิตใน ด้านความคิด เป็ นองค์ประกอบที่มีความสาคัญมากที่สุด เพราะความคิดเป็ นลักษณะและ ความสามารถทางสมองของบุคคลในการเรียนรู้ รับรู้ และเขา้ ใจสิ่งตา่ งๆ ต้งั แตข่ ้นั พ้ืนฐานจนถึงองค์ ความรู้ โดยบุคคลใชค้ วามสามารถในทางสมองก่อใหเ้ กิดความคิดและปัญญาในการเรียนรู้ชีวิต มหาวทิ ยาลยั สุโขทยั ธรรมาธิราช (2552: 19 – 20) ไดจ้ าแนกทกั ษะชีวิตออกเป็ น 3 กลุ่ม ทกั ษะ ดงั น้ี 1. กลุ่มทกั ษะการคิด (Thinking Skill) หมายถึง กระบวนการทางจิตหรือกระบวนการทาง สมองในการบนั ทึกขอ้ มูลและเรื่องราว ทกั ษะการคิดประกอบดว้ ยความรู้ 3 ระดบั 1.1 ทกั ษะการคิดพ้นื ฐาน จดั เป็นทกั ษะที่มีความจาเป็ นในการดารงชีวติ ประจาวนั และ เป็ นทกั ษะที่นาไปสู่การคิดระดบั กลางและระดบั สูง เริ่มต้งั แต่การบนั ทึก การจดั ระบบขอ้ มูล การ เปรียบเทียบ การเรียงลาดบั ความสาคญั 1.2 ทกั ษะการคิดระดบั กลาง จดั เป็ นความรู้ท่ีสูงกว่าการคิดพ้ืนฐาน การคิดดงั กล่าว เป็นภาคความรู้ในการวเิ คราะห์หาเหตุผล แยกแยะความซบั ซอ้ น 1.3 ทกั ษะการคิดระดบั สูง จดั เป็ นทกั ษะที่มีความจาเป็ นในการศึกษาทุกระดบั ซ่ึงการ คิดระดบั สูงเป็ นการคิดที่ใชว้ ิจารณญาณ การไตร่ตรองอยา่ งรอบคอบ มีความคิดสร้างสรรคแ์ ละ แกป้ ัญหา การหาทางเลือกใหม่ การประเมินค่าและการตดั สินใจเพื่อเลือกปฏิบตั ิ และถ่ายทอดให้ ผอู้ ่ืนมีความเขา้ ใจไดเ้ ป็นอยา่ งดี

18 2. กลุ่มทกั ษะการตดั สินใจ การตดั สินใจเป็ นพฤติกรรมที่มีต่อส่ิงใดสิ่งหน่ึง ก่อให้เกิดผล เชิงประจกั ษ์ ทกั ษะการตดั สินใจจึงมีความสัมพนั ธ์ดา้ นเจตคติ ซ่ึงเป็ นพ้ืนฐานในการตดั สินใจเลือก ปฏิบตั ิในท่ามกลางท่ีสังคมมีความซับซ้อน ความสามารถในการจดั การกบั ชีวิตท่ามกลางความ เปลี่ยนแปลง การรู้จกั ทางเลือกที่เหมาะสมกบั การดารงชีวิต รวมท้งั ความตระหนกั ในปัญหาของ สังคมโดยรวม ความรู้สึกในดา้ นการเป็ นส่วนหน่ึงของครอบครัวและชุมชน ความรับผิดชอบต่อ ตนเองและสังคม การเขา้ ใจผอู้ ่ืน ความซาบซ้ึงในความดีความงามรอบตวั คุณลกั ษณะดงั กล่าวน้ีจะ ส่งผลในดา้ นการช่วยใหช้ ีวติ มีความสุข รวมท้งั การเป็ นคนดีของสังคม ทกั ษะการตดั สินใจเลือกสิ่ง ที่ดีประกอบดว้ ย 2.1 ความตระหนกั ในตนเอง เป็ นความสามารถของบุคคลในดา้ นการเขา้ ใจจุดดี จุด ดอ้ ยของตนและผอู้ ่ืน ผทู้ ี่มีความตระหนกั รู้ในตนจะเป็ นผทู้ ี่มีจิตใจดี มีสัมพนั ธภาพกบั คนรอบขา้ ง และสื่อสารกบั ผอู้ ่ืนอยา่ งเป็นมิตร 2.2 การจดั การกบั อารมณ์และความเครียด เป็ นความสามารถในการรู้จกั และเขา้ ใจ อารมณ์ของตนเองและผอู้ ื่น มีสุขภาพจิตดี รู้จกั การควบคุมอารมณ์ของตนเองไดอ้ ยา่ งเหมาะสม 2.3 ความเห็นอกเห็นใจผอู้ ่ืน เป็นความสามารถในการเขา้ ใจความรู้สึกและเห็นใจผอู้ ่ืน ยอมรับความแตกตา่ งของบุคคล มีจิตใจกวา้ ง มองโลกในแง่ดี 2.4 ความภาคภมู ิใจในตนเอง เป็นการแสดงตนในดา้ นความรู้สึกในการเห็นคุณค่าของ ตนเอง สามารถประกอบการงานไดส้ าเร็จ 3. กลุ่มทกั ษะการปรับตวั จดั เป็ นทกั ษะทางสังคมในการสื่อสารของบุคคล เพื่อสร้าง สัมพนั ธภาพ พร้อมท้งั การใชค้ วามสามารถทางดา้ นการใช้คาพูดเพื่อถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดได้ อยา่ งเหมาะสมกบั ประเพณีและวฒั นธรรม รู้จกั แสดงความคิดเห็น แสดงความปรารถนา การเตือน การปฏิเสธ การขอความช่วยเหลือในสถานการณ์ตา่ งๆ ไดส้ าเร็จและเป็นผลดีต่อการดารงชีวติ

19 ตารางที่ 1 ทกั ษะชีวติ กบั พฤติกรรมบ่งช้ีความสามารถในการคิด การตดั สินใจ และการปรับตวั ทกั ษะชีวติ พฤติกรรมบ่งชี้ความสามารถของบุคคล 1. การแกป้ ัญหา(Problem - ประเมินสถานการณ์ Solving)หรือการคิดอยา่ งมี - ประเมินสถานการณ์และศกั ยภาพของตนเอง วจิ ารณญาณ - วเิ คราะห์แกป้ ัญหาอยา่ งมีระบบ - ศึกษาคน้ ควา้ ขอ้ มูลเพอื่ สนบั สนุนการดาเนินการ 2. การคิดวเิ คราะห์ (Critical - ความสามารถในการวเิ คราะห์ขอ้ มูล Thinking) - เขา้ ใจและประเมินปัจจยั ที่เก่ียวขอ้ งกบั ปัญหา - ประเมินปัจจยั ที่มีอิทธิพลตอ่ ทศั นคติและพฤติกรรม 3. การคิดสร้างสรรค์ (Creative - ความสามารถในการประยุกต์แนวทางของการ Thinking) แกป้ ัญหาและตดั สินใจ - สารวจทางเลือกต่างๆที่คาดวา่ เป็นไปได้ - คาดผลของทางเลือก ท้งั ขอ้ ดีและขอ้ เสีย 4. การตดั สินใจ(Decision - ประเมินทางเลือกต่างๆ Thinking) - ชงั่ น้าหนกั ทางเลือกที่เหมาะสมที่สุด โดยคาดคะเนผล ที่เกิดข้ึนต่อการนาไปปฏิบตั ิจริงในชีวติ ประจาวนั 5. การสื่อสารอยา่ งมี - - การถ่ายทอดความคิด ทศั นคติ และความคิดรวบยอด ประสิ ทธิภาพ (Effective ของตนกบั คูส่ นทนาหรือตอ่ กลุ่มไดอ้ ยา่ งเขา้ ใจ Communication)หรือการส่ือสาร - ความสามารถในการนาเสนอความคิดของตนเองต่อ เพื่อสร้างสัมพนั ธภาพ กลุ่มและสาธารณชน - ระบุความตอ้ งการของตนเองที่เก่ียวขอ้ งกบั การกระทา - ขอขอ้ เสนอแนะท่ีเหมาะสม - ใหค้ าปรึกษาได้ เสนอแนวทางได้ 6. การรู้จกั ตนเอง(Self– - เขา้ ใจตนเอง (คุณลกั ษณะ นิสยั ความตอ้ งการ) Awareness)หรือการตระหนกั รู้ใน - รู้จกั ขอ้ ดี ขอ้ เสีย จุดเด่น และขอ้ บกพร่อง ตน - มีแนวทางในการพฒั นาศกั ยภาพ - รู้จกั และเขา้ ใจหนา้ ที่ บทบาทของตนเอง

20 ตารางที่ 1 ทกั ษะชีวติ กบั พฤติกรรมบง่ ช้ีความสามารถในการคิด การตดั สินใจและการปรับตวั (ต่อ) ทกั ษะชีวติ พฤติกรรมบ่งชี้ความสามารถของบุคคล 7. ทกั ษะการปฏิสัมพนั ธ์ - มีบุคลิกภาพทางบวกต่อการติดต่อและอยู่ร่วมกับคน (Relationship) หรื อการสร้าง อ่ืนในสงั คม สมั พนั ธภาพ - มีความสามารถในการรักษาสัมพันธภาพและตัด ความสมั พนั ธ์อยา่ งเหมาะสม 8. ทกั ษะในการควบคุม - สามารถเขา้ ใจสภาพอารมณ์ท่ีเกิดข้ึน อารมณ์ (CopingwithEmotion) - วเิ คราะห์ผลของอารมณ์ตอ่ การกระทา - มีแนวทางในการจดั การกบั อารมณ์ท่ีไม่พึงประสงค์ ตา่ งๆ 9. ทกั ษะชีวติ ในการควบคุม - ระบุสาเหตุของความเครียดและตน้ เหตุได้ ความเครียด(CopingwithStress) - มองเห็นผลของความเครียด และผลกระทบ - มีแนวทางท่ี จะ จัดก ารกับความเครี ย ดหรื อล ด ความเครียดอยา่ งเหมาะสม ท่ีมา:กรมสุขภาพจิตกระทรวงสาธารณสุข,หลกั การสอนทักษะชีวิต(2541)อา้ งถึงในเอกสารการสอนชุดวิชา ทกั ษะชีวติ มหาวทิ ยาลยั สุโขทยั ธรรมาธิราช (กรุงเทพ: อรุณการพิมพ,์ 2552),7. ไบเลย์และปาร์กเกอร์ (Bailey and Parker, 2002) ได้แบ่งทกั ษะชีวิตออกเป็ น 8 องคป์ ระกอบ ดงั น้ี 1. ทกั ษะการสร้างการตดั สินใจ (decision making skills) หมายถึง ความสามารถในการ สร้างทางเลือกหลายๆทาง เพ่ือการตดั สินใจ ประกอบดว้ ย การทารายการของทางเลือกก่อนการ ตดั สินใจ การคิดเก่ียวกบั สิ่งท่ีจะเกิดข้ึนเก่ียวกบั สิ่งที่ตดั สินใจ และการประเมินการตดั สินใจท่ีมี ประสิทธิภาพ 2. ทกั ษะการใช้ทรัพยากรอย่างฉลาด (wise use of resources skills) หมายถึง ความสามารถในการใชก้ ารคิดวิจารณญาณอยา่ งดี การไม่สิ้นเปลือง รู้จกั ความรับผิดชอบและการ จดั ลาดบั ความสาคญั ของส่ิงต่างๆ ประกอบดว้ ย การใชท้ รัพยากรตามธรรมชาติในสภาพแวดลอ้ ม ของตนไดอ้ ยา่ งชาญฉลาด การวางแผนการใชท้ รัพยากรทางดา้ นการเงินของตนเอง การใชเ้ วลาอยา่ ง มีคุณคา่ ในชีวติ และการดูแลในทรัพยส์ ินของตนเองได้ 3. ทกั ษะการส่ือสาร (communication skills) หมายถึง ความสามารถในการแลกเปล่ียน ความคิด ขอ้ มลู ขา่ วสาร หรือขอ้ ความระหวา่ งบุคคล การใชค้ าพดู การเขียน กริยาท่าทาง และศิลปะ

21 ของการแสดงออกทางอารมณ์และความคิด ประกอบด้วย การนาเสนอท่ีดี การเป็ นผูฟ้ ังท่ีมี ประสิทธิภาพ การส่ือสารท่ีชดั เจนท้งั ในดา้ นความคิด ความรู้สึก และการสื่อสารแผนการกบั บุคคล อื่นได้ 4. ทกั ษะการยอมรับความแตกต่าง (accepting differences skills) หมายถึง ความสามารถ ในการยอมรับ และยินดีในเรื่องความแตกต่างระหวา่ งบุคคล ประกอบดว้ ย การปฏิบตั ิตนกบั บุคคล อ่ืนที่แตกต่างกนั ดว้ ยความเคารพ การทางานหรือทากิจกรรมกบั บุคคลอื่นที่มีความแตกต่างกนั กบั ตนเอง และการสร้างมิตรภาพกบั บุคคลอ่ืนที่มีความแตกต่างจากตนเอง 5. ทกั ษะความเป็ นผนู้ า (leadership skills) หมายถึง ความสามารถท่ีจะช่วยเหลือกลุ่มใน การพบปะ ประชุม การแสดงความสามารถของการนากลุ่ม การใชอ้ ิทธิพลส่วนบุคคลในการแนะนา กลุ่มให้บรรลุวตั ถุประสงคข์ องกลุ่มได้ ประกอบดว้ ย การจดั การกลุ่มเพื่อให้ไปสู่เป้ าหมายที่กลุ่ม กาหนดไว้ การใชร้ ูปแบบของความเป็ นผูน้ าที่แตกต่างกนั ในการนากลุ่ม การกระตุน้ ในบุคคลอ่ืน สามารถแบ่งปันประสบการณ์ท่ีจะใชเ้ พอื่ เป็นประโยชนใ์ นกลุ่ม 6. ทกั ษะการใชป้ ระโยชน์ (useful/marketable skills) หมายถึง ความสามารถของบุคคล ประกอบดว้ ย การคี่คลายปัญหา การปฏิบตั ิตามคาสั่ง การให้การสนบั สนุนในฐานะสมาชิกของ ทีมงาน การยอมรับในความรับผิดชอบของงานที่ไดร้ ับมอบหมาย การจดบนั ทึกเก่ียวกบั ส่ิงต่างๆ ท่ี เป็นประโยชน์ตอ่ ตนเองและต่อการทางานอยา่ งถูกตอ้ ง 7. ทกั ษะการเลือกวิธีการดาเนินชีวิตท่ีดี (healthy lifestyle choices skills) หมายถึง ความสามารถในการเลือกวธิ ีการดารงชีวติ ท่ีดีและเหมาะสม เป็ นเงื่อนไขท่ีนาไปสู่การมีสุขภาพกาย และจิตท่ีดี การป้ องกนั จากโรคภยั ไขเ้ จ็บ ประกอบดว้ ย การเลือกรับประทานอาหารท่ีมีประโยชน์ การเลือกทากิจกรรมท่ีส่งเสริมสุขภาพร่างกายและสุขภาพใจที่ดี การจดั การความเครียดใน ชีวติ ประจาวนั และการหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงท่ีก่อใหเ้ กิดความเสียหายในดา้ นตา่ งๆ 8. ทกั ษะการรับผิดชอบในตนเอง (self-responsibility skills) หมายถึง การดูแลตนเอง การรับผดิ ชอบในพฤติกรรมและพนั ธะหนา้ ท่ีของตนเอง การแยกแยะในสิ่งที่ถูกตอ้ งและไม่ถูกตอ้ ง ได้ ประกอบดว้ ย การรู้จกั หนา้ ที่ของตนเองเม่ืออยู่ในกลุ่ม การยอมรับในขอ้ ผิดพลาดที่เกิดข้ึนจาก ตนเอง โดยไม่กล่าวโทษผูอ้ ่ืน การเข้าใจถึงการปฏิบตั ิตามคามน่ั สัญญาของตนเองได้และการ ควบคุมเป้ าหมายของตนเอง พระราชวรนุณี (ป.อ. ปยุตโต, 2530) อธิบายเพ่ิมเติมถึงการจดั องคป์ ระกอบของการพฒั นา ทกั ษะชีวติ ในลกั ษณะของศีล สมาธิ ปัญญา ดงั น้ี 1. คุณลกั ษณะของทกั ษะชีวติ ที่ใชศ้ ีลเป็ นแกนหลกั เป็ นลกั ษณะการพฒั นาทกั ษะชีวติ ใน ดา้ นพฤติกรรม ซ่ึงแสดงออกดว้ ยการกระทาทางกาย และวาจา ซ่ึง ศีล หมายถึง การฝึ กฝนตนเองให้

22 มีทกั ษะในดา้ นวนิ ยั ใหต้ นเอง เพอื่ ควบคุมพฤติกรรมของตนเองให้เหมาะสม ไม่เบียดเบียน ไม่สร้าง ความราคาญ ความเดือดร้อน ความลาบากใหแ้ ก่ตนเองและสังคม สามารถอยรู่ ่วมกบั ผอู้ ื่นไดด้ ว้ ยดี เป็นประโยชน์ต่อสงั คม ทกั ษะชีวติ ท่ีใชศ้ ีลเป็นแกนหลกั น้ี สามารถนาทกั ษะชีวติ ในดา้ นปัญญาและ กา้ นพฤติกรรมการกระทา โดยเนน้ ความสุจริตทางกายและวาจามารวมกนั เป็นองคป์ ระกอบหลกั 2. คุณลกั ษณะของทกั ษะชีวิตที่ใชส้ มาธิเป็ นแกนหลกั เป็ นลกั ษณะการพฒั นาทกั ษะชีวิต ทางดา้ นจิตใจ โดยการฝึ กฝนการควบคุมความนึกคิดให้อยู่ในสภาพท่ีมนั่ คง ใสสะอาดในความดี งาม ประกอบดว้ ยคุณธรรมต่างๆ เช่น ความรัก ความมีเมตตา กรุณา ความเป็ นมิตร ความมีน้าใจ ความมีสัมมาคารวะ การรู้จกั ยอมรับและเห็นความสาคญั ของผอู้ ่ืน ความกตญั ญู ความเพียรพยายาม ความซื่อสตั ยส์ ุจริต 3. คุณลกั ษณะของทกั ษะชีวิตท่ีใช้ปัญญาเป็ นแกนหลกั เป็ นการใช้ปัญญาหรือความคิด ตามแนวทางแห่งความเป็ นจริงของชีวิตมนุษยต์ ามธรรมชาติ การรู้จกั ใช้เหตุและผล โดยรู้สาเหตุ ของสิ่งท่ีเกิดข้ึน (ผลยอ่ มมาจากเหตุ) เม่ืออยากให้ผลของการกระทาออกมาดี เป็ นที่พึงประสงคแ์ ก่ ท้งั ของตนเองและส่วนรวม ก็ควรคิดกระทาเหตุท่ีจะทาให้เกิดผลดี เช่น การคิดรังสรรค์ในสิ่งท่ี แปลกแยกแตกต่างออกไป เพ่ือจุดประสงค์ที่จะพฒั นาชีวิตให้มีความเจริญกา้ วหน้า สามารถอยู่ ร่วมกนั อยา่ งสงบสุขในสังคมของมนุษย์ กล่าวโดยสรุป ทกั ษะชีวิต มีความจาเป็ นต่อคนทุกเพศทุกวยั เนื่องจากการมีทกั ษะชีวิตท่ีดี น้นั ทาใหส้ ามารถบริหารจดั การกบั ทุกเหตุการณ์ที่ผา่ นเขา้ มาในชีวติ ประจาวนั ไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง และ นามาซ่ึงความสงบสุขท้งั ตอ่ ตนเองและส่วนรวม ความสัมพนั ธ์ระหว่างทกั ษะชีวติ และการป้ องกนั พฤตกิ รรมทเ่ี ป็ นปัญหา องค์กรอนามยั โลก (WHO, 1997: 3-4) อธิบายกรอบแนวคิดของทกั ษะชีวิต ท่ีเป็ นจุด เช่ือมโยงระหวา่ งปัจจยั ดา้ นความรู้ ทศั นคติ และค่านิยม กบั พฤติกรรมทางสุขภาพท่ีดี ซ่ึงในที่น้ีจะ เป็นวธิ ีท่ีนาไปสู่การป้ องกนั ปัญหาตา่ งๆ ดา้ นสุขภาพอนามยั ในข้นั ตน้ ได้

23 แผนภาพท่ี 1 กรอบแนวคิดแสดงความสมั พนั ธ์ระหวา่ งทกั ษะชีวติ และการป้ องกนั พฤติกรรมที่เป็นปัญหา การไดม้ าซ่ึง การฝึ กฝนให้ การส่งเสริม หรือ การมี การป้ องกนั ความรู้ เกิดทกั ษะชีวติ การปรับเปล่ียน พฤติกรรม ปัญหาทาง (Knowledge ( Life skills เจตคติ คา่ นิยม สุขภาพที่ดี สุขภาพ acquisition) + acquisition + และพฤติกรรม (Positive (Prevention health including (Attitudes values behavior) of health practice) and behavior behavior) reinforcement or change) ที่มา : World Health Organization, Life skills education for children and adolescents in schools. (Geneva: World Health Organization, 1997), 183. อธิบายได้ว่า การไดม้ าซ่ึงความรู้จากแหล่งต่างๆ อาทิ การฟังบรรยาย การอ่านหนังสือ พร้อมกบั ไดร้ ับการฝึ กฝนซ่ึงทกั ษะต่างๆท่ีไดเ้ รียนรู้มา จะทาให้บุคคลน้นั เกิดกระบวนการเรียนรู้ จนเกิดทกั ษะชีวติ อีกท้งั มีบริบทรอบขา้ งท่ีเอ้ือต่อการส่งเสริมหรือปรับเปล่ียนเจตคติ ค่านิยม และ พฤติกรรม ไปในทางที่ดีงาม จะส่งผลให้บุคคลน้นั มีสุขภาพกายและใจท่ีดี อนั เป็ นภูมิตา้ นทานท่ี สาคญั ในการป้ องกนั ปัญหาทางสุขภาพกายและใจท่ีอาจเกิดข้ึนจากความเปล่ียนแปลงท่ีเกิดข้ึนได้ กล่าวโดยสรุป ทกั ษะชีวติ นบั เป็นสิ่งที่จาเป็นอยา่ งยงิ่ ในการดาเนินชีวิตในปัจจุบนั ท้งั น้ีเพราะการมี ทกั ษะชีวิตในดา้ นต่างๆ ทาให้บุคคลน้นั สามารถที่จะดารงตนอย่างเขม้ แข็ง และสามารถท่ีจะกา้ ว ผา่ นปัญหาและอุปสรรคตา่ งๆไปไดอ้ ยา่ งปลอดภยั ในการศึกษาคร้ังน้ี ผูว้ ิจยั ได้ยึดแนวคิดทกั ษะชีวิตตามแนวคิดขององค์การอนามยั โลก (WHO, 1997) มาประยกุ ตใ์ นการสร้างเครื่องมือในงานวจิ ยั โดยเห็นวา่ แนวคิดน้ีใหค้ วามชดั เจนใน รายละเอียดของทกั ษะชีวติ ครอบคลุมทุกดา้ นท้งั การคิด เจตคติ และการกระทา 2. แนวคิดเกยี่ วกบั การจัดการตนเอง แนวคิดเกี่ยวกบั การจดั การตนเอง เป็ นแนวคิดท่ีเก่ียวขอ้ งกบั บุคคลในการบริหารจดั การ ทรัพยากรท่ีตนมีอยไู่ ดอ้ ยา่ งเหมาะสม เพ่ือแกไ้ ขปัญหาท่ีอาจเกิดข้ึนและเพือ่ ใหเ้ กิดประโยชนสูงสุด แคนเฟอร์ (Kanfer, 1991) ใหค้ วามหมายวา่ การจดั การตนเอง เป็ นความเชื่อพ้ืนฐานของการ มีส่วนร่วมของบุคคล มีจุดเน้นท่ีความรับผิดชอบของบุคคลที่มีต่อพฤติกรรมของตนเองที่จะ แกป้ ัญหาในสถานการณ์ที่ตนเองเผชิญอยู่ เรียนรู้ทกั ษะใหม่และการจดั การสิ่งแวดลอ้ มของตนเอง

24 บาโธโลมิว และคณะ (Bartholomew et al., 1993) ให้ความหมายวา่ การจดั การตนเอง เป็ น การเปลี่ยนพฤติกรรมของบุคคล การส่งเสริมความสามารถในการทากิจวตั รประจาวนั ต่างๆให้ได้ ตามความสามารถท่ีจะทาได้ รวมถึงความสามารถใชก้ ลวธิ ีในการเผชิญปัญหา (coping strategies) กล่าวโดยสรุป การจดั การตนเอง เป็ นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตนเอง เพ่ือส่งเสริม ความสามารถในด้านต่างๆในชีวิตประจาวนั เช่น กระบวนการคิด การวางแผน การเตรียมการ รวมถึงการจดั การเงินทุนที่มีอยูใ่ ห้เกิดประโยชน์มากที่สุด โดยแนวคิดการจดั การตนเอง มีแนวคิด ต่างๆท่ีเกี่ยวขอ้ ง ดงั น้ี 2.1 แนวคิดเกยี่ วกบั การเช่ืออานาจควบคุมตนเอง การเช่ือในสิ่งใดสิ่งหน่ึงของบุคคล ลว้ นเกิดจากประสบการณ์ส่วนบุคคล การเรียนรู้ และการถ่ายทอดจากสังคม เป็ นผลใหเ้ กิดพฤติกรรมและการแสดงออก โดยการเช่ือดงั กล่าว อาจมี ที่มาจากตนเองหรือเกิดจากสิ่งแวดลอ้ มภายนอก ความหมายของการเช่ืออานาจควบคุมตนเอง รอตเตอร์ (Rotter,1960: 301) ให้ความหมายวา่ การเชื่ออานาจควบคุมตนเอง (self – determining) หมายถึง เจตคติหรือความเช่ือของบุคคลซ่ึงเป็ นสาเหตุของพฤติกรรม โดยมีปัจจยั มา จากตวั บุคคลและสิ่งแวดลอ้ ม ซ่ึงนาไปสู่รูปแบบของพฤติกรรมท่ีแตกตา่ งออกไป เลฟคอร์ท (Lefcourt, 1966: 206) ให้ความหมายว่า การเช่ืออานาจควบคุมตนเอง หมายถึง การที่บุคคลรับรู้วา่ เหตุการณ์ต่างๆ ท้งั ท่ีเป็นเหตุการณ์ท้งั ทางบวกและทางลบ เป็ นผลท่ีเกิด จากการกระทาของตนเอง และตนเองสามารถที่จะควบคุมได้ เมเยอร์ (Myers, 1996: 47) ให้ความหมายวา่ การเชื่ออานาจควบคุมตนเอง เป็ นการ อธิบายถึงผลลพั ธ์ของบุคคลวา่ เกิดจากการเช่ืออานาจควบคุมตนเองภายใน ซ่ึงเป็ นผลมาจากความ พยายามและการกระทาของตนเอง หรือเกิดจากการเช่ืออานาจควบคุมตนเองภายนอก ซ่ึงเป็ นผลมา จากการเปล่ียนแปลงสภาพแวดลอ้ ม เนลสันและควิก (Nelson and Quick, 1997) ให้ความหมายวา่ การเช่ืออานาจควบคุม ตนเอง เป็นการเชื่อของคนเกี่ยวกบั การต่อสู้ระหวา่ งการควบคุมภายใน (การควบคุมตนเอง) กบั การ ควบคุมภายนอก (การควบคุมตามสภาพแวดลอ้ ม) กลุ่มเอ็นซีอาร์อีแอล (North Central Religional Education Laboratory, 2007) ให้ ความหมายว่า การเชื่ออานาจควบคุมตนเอง เป็ นบุคลิกภาพของบุคคลที่เก่ียวขอ้ งกบั การรับรู้ถึง เหตุการณ์ต่างๆท่ีเกิดข้ึนวา่ เกิดจากพฤติกรรมของบุคคลน้นั เองหรือเกิดจากสภาพแวดลอ้ มภายนอก

25 กล่าวโดยสรุป การเชื่ออานาจควบคุมตนเอง เป็ นการเชื่อหรือเจตคติของบุคคลท่ีมีต่อ ตนเอง ในการกระทาหรือแสดงพฤติกรรมต่างๆ ในลกั ษณะเช่ือมนั่ ในความคิดของตนเองมากกวา่ สิ่งแวดลอ้ มภายนอก ประเภทของการเชื่ออานาจควบคุมตนเอง สตริคแลนด์ (Strickland, 1977) ไดแ้ บง่ ลกั ษณะของการเชื่ออานาจควบคุมตนเอง ดงั น้ี 1. การต่อตา้ นและการคลอ้ ยตามอิทธิพลต่อสังคม (Resistance and conformity of social influence) มีความสัมพนั ธ์กบั การคลอ้ ยตามผอู้ ่ืนและพฤติกรรมใหค้ วามร่วมมืออยา่ งใกลช้ ิด โดยบุคคลท่ีมีการเช่ืออานาจควบคุมตนเองภายใน จะมีการตดั สินใจท่ีมนั่ คงและเด็ดเดี่ยว ถึงแมจ้ ะ อยภู่ ายใตก้ ารกดดนั ของสังคม แต่บุคคลท่ีมีการเช่ืออานาจควบคุมตนเองภายนอกมกั จะยอมแพแ้ รง กดดนั ภายนอก โดยเฉพาะผทู้ ี่มีอานาจเหนือตน นอกจากน้ีบุคคลที่มีการเช่ืออานาจควบคุมตนเอง ภายในยงั มีความตอ้ งการท่ีจะรักษาอานาจของตนไว้ และปฏิเสธอิทธิพลต่างๆท่ีมาจากท่ีอื่น 2. การคน้ หาขอ้ มลู และการทางาน (Information seeking and performance) บุคคลท่ีมี การเชื่ออานาจควบคุมตนเองภายนอกจะตอบสนองความตอ้ งการของผอู้ ื่นมากกวา่ และมีความรู้สึก ไวตอ่ อิทธิพลของสงั คมทุกชนิดกวา่ บุคคลท่ีมีการเชื่ออานาจควบคุมตนเองภายใน แต่บุคคลท่ีมีการ เช่ืออานาจควบคุมตนเองภายในจะมุ่งอยทู่ ่ีการทางาน โดยไม่คานึงถึงอิทธิพลของสังคม และมกั จะ สนใจต่อการงานมากกวา่ ท่ีจะสนใจสิ่งแวดลอ้ ม 3. พฤติกรรมความสาเร็จและความสามารถ (Achievement and competent behavior) บุคคลที่มีการเช่ืออานาจควบคุมตนเองภายในจะมีความเก่ียวขอ้ งโดยตรงต่อพฤติกรรมความสาเร็จ นอกจากจะเป็นบุคคลท่ีสนใจต่อการเรียนรู้แลว้ ยงั ไดร้ ับคะแนนดีจากการเรียนน้นั อีก ซ่ึงเป็ นรางวลั อย่าง หน่ึ งที่ กร ะตุ้นใ ห้บุ คค ล ที่ มี ก าร เช่ื ออาน าจ คว บคุ มต นเ อง ภา ยใ นป ระ สบ คว าม สา เร็ จใ น การศึกษา เพราะมีการเช่ือว่าความสามารถของตนมากกวา่ บุคคลท่ีมีการเช่ืออานาจควบคุมตนเอง ภายนอกท่ีตอ้ งการความช่วยเหลือจากผอู้ ่ืน 4. พฤติกรรมระหว่างบุคคล (Interpersonal behavior) บุคคลท่ีมีการเช่ืออานาจ ควบคุมตนเองภายใน มีจะเป็ นคนท่ีมีสังคมดีในหมู่เพ่ือน และเขา้ กนั ไดด้ ีกบั บุคคลอื่นที่ไม่คุน้ เคย โดยไม่มีความรู้สึกลาบากใจ และมกั จะเป็ นผูท้ ่ีมีอารมณ์ดี ไม่โกรธง่าย มีสัมพนั ธภาพดี และเป็ น บุคคลที่ดึงดูดความสนใจ รอตเตอร์ (Rotter, 1966 cited Schultz, 1990: 484) ไดจ้ าแนกการเช่ืออานาจควบคุม ตนเอง ซ่ึงเกิดจากการเรียนรู้ประสบการณ์ทางสงั คมออกเป็น 2 ประเภท คือ 1. การเชื่ออานาจควบคุมตนเองภายใน (Internal Locus of Control) หมายถึง ความคิดท่ีเชื่อวา่ ความสาเร็จ ความลม้ เหลวหรือความเป็ นไปไดข้ องเหตุการณ์ต่างๆท่ีเกิดข้ึนกบั ตน

26 เป็ นผลมาจากความสามารถ ทกั ษะ หรือการกระทาของตนเอง ซ่ึงบุคคลที่มีการเชื่ออานาจควบคุม ตนเองภายใน จะเป็ นคนที่มีความกระตือรือร้น และเม่ือประสบความลม้ เหลวก็จะพยายามอยเู่ สมอ เพอื่ ใหป้ ระสบความสาเร็จ 2. การเช่ืออานาจควบคุมตนเองภายนอก (External Locus of Control) หมายถึง ความคิดท่ีเชื่อว่าความสาเร็จ ความล้มเหลวที่เกิดข้ึนกบั ตนเองข้ึนอยู่กับโชคลาง ความบงั เอิญ อานาจเหนือธรรมชาติหรือข้ึนอยกู่ บั อานาจของผอู้ ่ืน ซ่ึงบุคคลท่ีเชื่ออานาจควบคุมตนเองภายนอก จะเป็ นคนที่มีบุคลิกภาพเฉื่อยชา ไม่กระตือรือร้น ไม่ค่อยประสบความสาเร็จในชีวติ มีแรงจูงใจใฝ่ สมั ฤทธ์ิต่า วาเกอร์ และฮอลเลนบีค (Wager and Hollenbeck, 1992) ไดส้ รุปความแตกต่างของการ เช่ือท้งั สองแบบวา่ 1. บุคคลที่มีการเชื่ออานาจการควบคุมตนเองภายในมีแนวโนม้ จะถูกจูงใจไดง้ ่ายกวา่ บุคคลท่ีมีการเชื่ออานาจควบคุมตนเองภายนอก เพราะบุคคลที่มีการเช่ืออานาจควบคุมตนเองภายใน จะยอมรับความสมั พนั ธ์ระหวา่ งผลการปฏิบตั ิงานและรางวลั ดงั น้นั เมื่อมีระบบล่อใจ บุคคลที่มีการ เช่ืออานาจควบคุมตนเองภายในจะทางานไดด้ ีกวา่ บุคคลท่ีมีการเช่ืออานาจควบคุมตนเองภายนอก 2. บุคคลที่มีการเชื่ออานาจควบคุมตนเองภายในจะมีการจูงใจตนเอง และชอบวิธีท่ี ผบู้ งั คบั บญั ชาบริหารแบบมีส่วนร่วม ในขณะที่บุคคลท่ีมีการเช่ืออานาจควบคุมตนเองภายนอกจะ ชอบการควบคุมดูแลโดยตรงมากกวา่ 3. บุคคลที่มีการเชื่ออานาจควบคุมตนเองภายในจะเก็บขอ้ มูลและประมวลผลขอ้ มูล ไดด้ ีกวา่ บุคคลท่ีมีการเชื่ออานาจควบคุมตนเองภายนอก ดงั น้นั จะทางานซบั ซอ้ นไดด้ ีกวา่ แมว้ า่ จะมี ความสามารถทวั่ ๆไปเท่ากนั กต็ าม กล่าวโดยสรุป การเชื่ออานาจควบคุมตนเอง สามารถจาแนกเป็ นการควบคุมตนเอง ภายในและการเชื่ออานาจควบคุมตนเองภายนอก โดยบุคคลท่ีมีการเช่ืออานาจควบคุมตนเองภายใน จะเกิดไดจ้ ากการมีความเช่ือมนั่ ในตนเองวา่ สามารถกระทาการต่างๆไดด้ ว้ ยตนเอง มีเจตคติท่ีดีต่อ ตนเองและคนรอบขา้ ง ส่วนบุคคลท่ีมีการเชื่ออานาจควบคุมตนเองภายนอก จะเป็ นผูท้ ่ียอมโอน ออ่ นผอ่ นตามสภาพแวดลอ้ มภายนอก ขาดความเชื่อมน่ั ในตนเอง อทิ ธิพลของการเช่ืออานาจควบคุมตนเอง เมเยอร์ (Myer, 1996: 400-411) อธิบายถึงอิทธิพลของการเช่ืออานาจควบคุมตนเองที่มี ผลต่อพฤติกรรมบุคคลดงั น้ี 1. การแสวงหาขอ้ มูลข่าวสาร (Information seeking) มีความเกี่ยวเน่ืองกบั การเชื่อ อานาจควบคุมตนเอง ผทู้ ่ีมีการเช่ืออานาจควบคุมตนเองภายใน จะมีการแสวงหาขอ้ มูลข่าวสารสูง

27 เน่ืองจากเช่ือมน่ั วา่ จะสามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ เพื่อผลลพั ธ์ที่น่าพอใจได้ ก่อนจะตดั สินใจแต่ ละคร้ัง บุคคลที่เช่ือในอานาจภายในจะพิจารณาอยา่ งรอบคอบ จะแสดงความชื่นชมต่อความสาเร็จ ในงานท่ียาก มีความต้งั ใจในการศึกษาหาความรู้และสามารถคน้ หาสิ่งแปลกใหม่ ซ่ึงนาไปสู่การ ตดั สินใจท่ีดี 2. การประสบความสาเร็จ (Achievement) จากการแสวงหาขอ้ มูลข่าวสาร รวมถึง สนใจต่อการทางาน จึงทาให้ผูท้ ี่มีการเชื่ออานาจควบคุมตนเองภายในมีแนวโน้มที่จะประสบ ความสาเร็จมากกว่าผูท้ ่ีเชื่ออานาจภายนอก เนื่องจากเป็ นผู้ที่เชื่อว่า ความสาเร็จน้ันเกิดจาก ความสามารถของตนเอง ดงั น้นั จะมีการช่ืนชมต่อความสาเร็จในงานท่ียาก โดยจะแสดงความไม่ พอใจเมื่อเกิดความผดิ พลาดในงานท่ีง่าย 3. การปฏิสัมพนั ธ์ระหวา่ งบุคคล (Interpersonal relationships) ผทู้ ่ีมีการเช่ืออานาจ ควบคุมตนเองภายในมีการสร้างความสัมพนั ธ์ระหว่างบุคคลท่ีดีมากกว่าผูท้ ี่มีการเชื่ออานาจ ภายนอก มกั เขา้ กนั ไดด้ ีกบั ผทู้ ่ีไม่คุน้ เคยกนั มาก่อน โดยไมม่ ีความรู้สึกลาบากใจ 4. ปฏิกิริยาต่ออิทธิพลทางสงั คม (Social influence) การเช่ืออานาจควบคุมตนเองจะมี ความสัมพนั ธ์กบั การคลอ้ ยตามผูอ้ ื่นและพฤติกรรมการให้ความร่วมมือ โดยบุคคลที่เช่ืออานาจ ควบคุมตนเองภายในจะมีการตดั สินใจที่มนั่ คงเด็ดเด่ียว แมอ้ ยภู่ ายใตค้ วามกดดนั ทางสังคม ทางาน อยา่ งเป็นระบบระเบียบ 5. ความกดดนั (Depression) ผทู้ ี่มีการเช่ืออานาจควบคุมตนเองภายใน จะจดั การกบั สิ่งที่ทาใหเ้ กิดความไมส่ บายใจไดด้ ีกวา่ ผทู้ ่ีเช่ืออานาจภายนอก เนื่องจากเป็ นผทู้ ี่เช่ือวา่ ทุกสิ่งเกิดจาก ความสามารถของตนเอง มีขอ้ มลู ข่าวสารท่ีดีกวา่ และมีความสามารถทางสังคมท่ีดีกวา่ บุคคลท่ีมีการ เชื่ออานาจภายนอก ทาให้สามารถพบแรงสนับสนุนทางสังคม เม่ือเจอกบั อุปสรรคในชีวิตและ นาไปสู่การแกป้ ัญหาอยา่ งมีประสิทธิภาพ กล่าวโดยสรุป การเชื่ออานาจควบคุมตนเองของบุคคลน้นั เกิดจากการไดร้ ับอิทธิพล มาจากความรู้สึกนึกคิด หรือเจตคติส่วนบุคคล ท่ีมีต่อการแสวงหาขอ้ มูลข่าวสารในการพฒั นา ตนเอง ความกระตือรือร้นต่อการประสบความสาเร็จ การมีปฏิสัมพนั ธ์กบั บุคคลอื่น การมีปฏิกิริยา ต่อสภาพสังคมขณะน้นั ๆ และความกดดนั ภายในจิตใจของแต่ละบุคคล 2.2 แนวคิดเกยี่ วกบั ความภาคภูมิใจในตนเอง ความภาคภูมิใจในตนเอง (self-esteem) ของบุคคลเป็ นเจตคติท่ีบุคคลน้นั มีต่อตนเอง และสิ่งแวดลอ้ ม ซ่ึงมีผลโดยตรงตอ่ การแสดงพฤติกรรมตา่ งๆ

28 กรมอนามยั โลก (WHO, 1996: 2) ให้ความหมายวา่ ความภาคภูมิใจในตนเอง คือ ความรู้สึกวา่ ตนเองมีคุณค่า เช่น ความมีน้าใจ รู้จกั ให้ รู้จกั รับ คน้ พบและภูมิใจในความสามารถของ ตน โดยไม่ไดม้ ุ่งสนใจในเร่ืองรูปร่างหนา้ ตา เสน่ห์ หรือความสามารถเทา่ น้นั มาสโลว์ (Maslow, 1970: 45) ให้ความหมายว่า ความภาคภูมิใจในตนเอง เป็ น ความรู้สึกของบุคคลท่ีมีความเชื่อมนั่ ในตนเอง รู้สึกวา่ ตนเองมีค่า มีความเขม้ แขง็ มีสมรรถภาพใน การกระทาสิ่งต่างๆ มีความเช่ียวชาญและมีความสามารถ คูเปอร์สมิธ (Coopersmith,1981: 4-5) ให้ความหมายวา่ ความภาคภูมิใจในตนเอง เป็ น การประเมินตนตามความตระหนกั รู้ของบุคคล แสดงออกในรูปเจตคติของการยอมรับตนเองใน เรื่องความสามารถ ความสาคญั การประสบความสาเร็จ และคุณค่าในตนเอง คอนฟิ ลด์ (Cornfield, 1998: 30) ให้ความหมายวา่ ความภาคภูมิใจในตนเอง เป็ นการ ประเมินตนเองภายใน อนั เป็ นลกั ษณะซ่ึงกาหนดว่าบุคคลเห็นคุณค่าของตน และมีความเชื่อใน ตนเองมากนอ้ ยเพยี งใด พจิ ารณาวา่ ตนเองสามารถเขา้ กบั โลกของตนเองอยา่ งเหมาะสมเพียงใด และ คิดวา่ ตนเองสามารถทาอะไรไดห้ รือทาอะไรไม่ได้ ซ่ึงส่งผลกระทบอยา่ งมากต่อความสาเร็จในการ ดาเนินชีวติ ของแตล่ ะบุคคล แบรนเดน (Branden, 1998: 23-24) ให้ความหมายว่า ความภาคภูมิใจในตนเอง คือ ประสบการณ์โดยรวมของบุคคลในดา้ นความสามารถในการแกไ้ ขปัญหาท่ีทา้ ทายในชีวติ ใหส้ าเร็จ และสามารถดารงชีวติ ไดอ้ ยา่ งมีความสุข กล่าวโดยสรุป ความภาคภูมิใจในตนเอง คือ ความรู้สึกที่บุคลมีความเชื่อมน่ั ในตนเอง ในการกระทาสิ่งต่างๆให้ประสบความสาเร็จ รวมถึงการตระหนกั ในคุณค่าของตนเอง ท่ีแสดง ออกมาในรูปเจตคติและการยอมรับ ความสาคญั ของความภาคภูมใิ จในตนเอง ความภาคภูมิใจในตนเองเป็ นส่ิงสาคญั ที่จะก่อให้เกิดพฤติกรรมท่ีมีประสิทธิภาพ บุคคลท่ีมีความภาคภูมิใจในตนเองสูงจะเป็ นบุคคลที่มีบุคลิกภาพดี มีความสุข ไม่เครียดหรือวิตก กังวลง่าย มีความเช่ือมั่นในตนเองสูง มีความกระตือรือร้นและความพยายามในการต่อสู้กับ อุปสรรค สามารถดารงชีวติ อยา่ งมีเหตุผล ยอมรับความแตกต่างระหวา่ งบุคคลได้ นอกจากน้ียงั เป็ น ผมู้ ีการสื่อสารที่เหมาะสม เน่ืองจากเป็ นผทู้ ่ีมีสุขภาพจิตที่ดี มีความชื่นชมและพึงพอใจตนเอง มอง ตนเองในทางบวก รู้ว่าตนเองมีค่า มีความสามารถ และใช้ศกั ยภาพของตนไดอ้ ย่างเต็มที่ในการ ดาเนินชีวติ อนั ก่อใหเ้ กิดประโยชนต์ อ่ ตนเองและสังคม (Gammon, 1991: 21) ดังน้ัน ความภาคภูมิใจในตนเองจึงมีความสัมพันธ์ท้ังทางด้านบุคลิกภาพและ สุขภาพจิต ซ่ึงเป็นสิ่งสาคญั อนั นาไปสู่การพฒั นาบุคคลใหม้ ีศกั ยภาพท่ีสมบรู ณ์ต่อไป

29 ปัจจัยทม่ี ีผลต่อความภาคภูมใิ จในตนเอง คูเปอร์สมิธ (Coopersmith, 1981: 118-148) อธิบายวา่ การที่บุคคลจะมีความภาคภูมิใจ ในตนเองน้นั ข้ึนอยกู่ บั ปัจจยั ดงั น้ี 1. ปัจจยั จากภายใน 1.1 ลกั ษณะทางกายภาพ เช่น ความงาม ความสูง ความแข็งแรง ความวอ่ งไว ซ่ึง ลกั ษณะทางกายภาพท่ีดี จะส่งผลใหบ้ ุคคลมีความภาคภมู ิใจในตนเองสูง 1.2 ประสิ ทธิ ภาพ ความสามารถ และผลงาน บุคคล ที่มีประสิ ทธิ ภาพ ความสามารถ และผลงานที่ดี จะส่งผลใหบ้ ุคคลมีความภาคภมู ิใจในตนเองสูง 1.3 สภาวะความรู้สึก เช่น การเก็บกดทางอารมณ์ ความวติ กกงั วล การรู้สึกดอ้ ยค่า ไม่มีความสามารถและไม่สาคญั จะทาใหค้ วามเชื่อมนั่ ในตนเองลดลง ทาใหบ้ ุคคลมีความภาคภูมิใจ ในตนเองอยรู่ ะดบั ต่า 1.4 ปัญหาสุขภาพกายและสุขภาพจิต บุคคลท่ีมีร่างกายอ่อนแอ มีความเครียดและ วติ กกงั วลสูง จะส่งผลใหบ้ ุคคลมีความภาคภมู ิใจในตนเองต่า 1.5 ค่านิยมส่วนบุคคล การลม้ เหลวในสิ่งท่ีบุคคลใหค้ วามสาคญั ยอ่ มจะส่งผลให้ บุคคลมีความภาคภูมิใจในตนเองต่า 1.6 ความปรารถนา บุคคลท่ีมีความภาคภูมิใจในตนเองสูงจะกาหนดเป้ าหมายหรือ ต้งั ความปรารถนาไวส้ ูงและพยายามทาสิ่งน้นั ๆให้สาเร็จ ในขณะท่ีบุคคลท่ีมีความภาคภูมิใจใน ตนเองระดบั ต่า จะเป็นผไู้ มเ่ ชื่อในความสามารถของตน ทาใหต้ ้งั ความปรารถนาไวต้ ่าและขาดความ เชื่อมน่ั ในการพยายามทาสิ่งน้นั ใหบ้ รรลุเป้ าหมาย 2. ปัจจยั จากภายนอก 2.1 สถาบนั ครอบครัว พ่อแม่ท่ีมีความภาคภูมิใจแห่งตนและมนั่ คงทางอารมณ์สูง จะมีวฒุ ิภาวะในการอบรมเล้ียงดูบุตรอยา่ งมีประสิทธิผล ทาใหเ้ กิดบรรยากาศและความสัมพนั ธ์ที่ดี ในครอบครัว และจะส่งผลใหส้ มาชิกในครอบครัวมีความภาคภูมิใจในตนเอง 2.2 สถาบนั การศึกษา สภาพแวดลอ้ มในสถาบนั การศึกษาท่ีสอนให้เรียนรู้ ใช้ ความคิด และการตดั สินใจดว้ ยตนเอง ยอ่ มจะส่งผลต่อการพฒั นาความภาคภมู ิใจในตนเอง 2.3 ความสัมพนั ธ์ทางสังคม บุคคลที่มีความสัมพนั ธ์ที่ดีกบั บุคคลรอบขา้ ง เป็ นท่ี ยอมรับ และเห็นความสาคญั จะส่งผลใหบ้ ุคคลมีความภาคภมู ิใจในตนเองสูง 2.4 สถานภาพทางสังคม บุคคลในช้ันสังคมระดับสูง มีชื่อเสียง เกียรติยศ และ ประสบความสาเร็จ จะมีความภาคภมู ิใจในตนเองสูงกวา่ บุคคลในช้นั สังคมระดบั ต่ากวา่

30 กล่าวโดยสรุป ปัจจยั ที่ส่งผลต่อความภาคภูมิใจในตนเองมี 2 องคป์ ระกอบใหญ่ๆคือ ปัจจยั จากภายในและปัจจยั จากภายนอก กล่าวคือ ปัจจยั จากภายใน ไดแ้ ก่ ลกั ษณะทางกายภาพ ประสิทธิภาพ ความสามารถ และผลงาน สภาวะความรู้สึก ปัญหาสุขภาพกายและสุขภาพจิต ค่านิยมส่วนบุคคล และความปรารถนา ส่วนปัจจัยจากภายนอก ได้แก่ สถาบันครอบครัว สถาบนั การศึกษา ความสัมพนั ธ์ทางสังคม และสถานภาพทางสงั คม 2.3 แนวคดิ เกยี่ วกบั การมสี ่วนร่วมทางสังคม การมีส่วนร่วมทางสังคม (Participation) เป็นแนวทางสาคญั ในการพฒั นาสังคม เพราะ การมีส่วนร่วมจะก่อให้เกิดความร่วมมือร่วมใจ การประสานงาน และเกิดความรับผดิ ชอบร่วมกนั ของคนในสังคม ปาริชาติ วลยั เสถียร และคณะ (2543: 135) อธิบายวา่ การมีส่วนร่วม มีความหมายใน 2 ลกั ษณะ คือ 1. การมีส่วนร่วมในลกั ษณะที่เป็ นกระบวนการของการพฒั นา โดยให้ประชาชนเขา้ มีส่วนร่วมในกระบวนการพฒั นา ต้งั แต่เร่ิมจนสิ้นสุดโครงการ ไดแ้ ก่ การร่วมกนั คน้ หาปัญหา การ วางแผน การตดั สินใจ การระดมทรัพยากร และเทคโนโลยีในท้องถิ่น การบริหารจดั การ การ ติดตามประเมินผล รวมท้งั การรับผลประโยชน์ที่เกิดข้ึนจากโครงการ 2. การมีส่วนร่วมในนยั ทางการเมือง แบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ 2.1 การส่งเสริมสิทธิและพลังอานาจของพลเมืองโดยประชาชนหรือชุมชน พฒั นาขีดความสามารถของตนในการจดั การ เพ่ือรักษาผลประโยชน์ของกลุ่ม ควบคุมการใชแ้ ละ การกระจายทรัพยากรของชุมชน อนั จะก่อใหเ้ กิดกระบวนการและโครงสร้างที่ประชาชนในชนบท สามารถแสดงออกซ่ึงความสามารถของตน และไดร้ ับผลผลประโยชนร์ ่วมกนั 2.2 การเปลี่ยนแปลงกลไกการพฒั นาโดยรัฐ มาเป็ นการพฒั นาท่ีประชาชนมี บทบาทหลกั โดยการกระจายอานาจในการวางแผนจากส่วนกลางมาเป็ นส่วนภูมิภาค เพ่ือให้ ภูมิภาคมีลกั ษณะเป็ นเอกเทศ ให้มีอานาจทางการเมือง การบริหาร มีอานาจต่อรองในการจดั สรร ทรัพยากรอยใู่ นมาตรฐานเดียวกนั โดยประชาชนสามารถตรวจสอบได้ สานกั งานมาตรฐานการศึกษา (2545: 113) ให้ความหมายวา่ การมีส่วนร่วม คือ การเขา้ ร่วมอยา่ งแขง็ ขนั ของกลุ่มบุคคล ที่มีส่วนไดส้ ่วนเสียในทุกข้นั ตอนของโครงการพฒั นาชนบท การมี ส่วนร่วมตอ้ งเป็นไปในรูปท่ีผรู้ ับการพฒั นา เขา้ มามีส่วนกระทาให้เกิดการพฒั นา มิใช่เป็ นผรู้ ับการ พฒั นาตลอดไป นรินทร์ชยั พฒั นพงศา (2547:4) ใหค้ วามหมายวา่ การมีส่วนร่วม คือ การที่ฝ่ ายหน่ึงฝ่ าย ใดท่ีไม่เคยไดเ้ ขา้ ร่วมกิจกรรมต่างๆ หรือเขา้ ร่วมการตดั สินใจ หรือเคยเขา้ ร่วมดว้ ยเล็กน้อย ไดเ้ ขา้

31 ร่วมดว้ ยมากข้ึน เป็ นไปอยา่ งมีอิสรภาพ เสมอภาค มิใช่เพียงมีส่วนร่วมอยา่ งผิวเผิน แต่เขา้ ร่วมดว้ ย แทจ้ ริงยง่ิ ข้ึน และการเขา้ ร่วมน้นั ตอ้ งเร่ิมต้งั แต่ข้นั แรกจนถึงข้นั สุดทา้ ยของโครงการ โกวิทย์ พวงงาม (2553: 214) ให้ความหมายว่า การมีส่วนร่วม เป็ นกระบวนการท่ีเปิ ด โอก าส ใ ห้ป ระช า ชนและ ผู้ที่ เกี่ ยวข้อง ทุ กภา คส่ วนข องสั ง คม ไ ด้เข้าม า มี ส่ วนร่ วมใ นระ บ อบ ประชาธิปไตย ในหลายรูปแบบ หลายกระบวนการ หลายสถานภาพ ท้งั น้ีโอกาสการมีส่วนร่วมของ ประชาชน ยงั มีองค์ประกอบสาคญั ในเรื่องกฎหมาย ท่ีเปิ ดโอกาสให้ประชาชนเขา้ มามีส่วนร่วม และระดบั การมีส่วนร่วมในแต่ละพ้นื ที่ซ่ึงมีความแตกตา่ งกนั กล่าวโดยสรุป การมีส่วนร่วม เป็ นการท่ีประชาชนมาเขา้ ร่วมกิจกรรมหรือโครงการ ต้งั แต่เริ่มตน้ ก่อต้งั จนกระท้งั สิ้นสุดกิจกรรมหรือโครงการ ด้วยความเต็มใจที่จะอุทิศตนเพ่ือ ประโยชนข์ องส่วนร่วม และในฐานะของผมู้ ีส่วนไดส้ ่วนเสียต่อการประกอบกิจกรรมหรือโครงการ ดงั กล่าว ความจาเป็ นของการมสี ่วนร่วม นรินทร์ชยั พฒั นพงศา (2547: 10-11) ได้อธิบายถึงความจาเป็ นของการมีส่วนร่วม โดยทวั่ ไปไวด้ งั น้ี 1. ประชาชนอยใู่ กลช้ ิดเหตุการณ์ รับทราบและเผชิญปัญหาน้นั ๆเอง 2. เม่ือประชาชนร่วมวเิ คราะห์ปัญหาแลว้ ต่อไปกค็ ิดแกไ้ ขโดยมกั พ่งึ ตนเอง 3. ทรัพยากรธรรมชาติมีอยจู่ ากดั ทุกคนมีความห่วงใย จึงตอ้ งเขา้ มามีส่วนร่วม ทาให้ ประหยดั งบประมาณลงได้ 4. เป็ นหลักการบริหารบนพ้ืนฐานของความสุจริตและยุติธรรม ภายใต้ระบอบ ประชาธิปไตย โดยการใหค้ วามเป็นธรรมแก่ประชาชนใหไ้ ดร้ ับประโยชน์จากการพฒั นาอยา่ งทวั่ ถึง 5. ทาให้เกิดฉันทามติที่คนท้งั หลายทราบเหตุผลของกนั และกนั ก็มกั เห็นพอ้ งท่ีจะ เลือกทางเลือกท่ีดีที่สุด 6. จาเป็ นตอ้ งมีตวั แทนประชาชนหลายฝ่ ายร่วมดูแลผลประโยชน์ของตน เพราะที่ ผา่ นมาผลประโยชน์จากการมีส่วนร่วมที่ผา่ นมา มกั ตกถึงเฉพาะคนบางกลุ่มเท่าน้นั 7. เพอ่ื ใหช้ ุมชนหรือกลุ่มต่างๆ สนบั สนุนต่อผลการตดั สินใจน้นั ๆ หรือในบางกรณีท่ี หน่วยงานของรัฐไม่อยใู่ นสถานะท่ีจะบงั คบั ใชก้ ารตดั สินใจน้นั ๆได้ หรือตอ้ งไดร้ ับความสมคั รใจ สนบั สนุนจากคนส่วนใหญ่ของชุมชน จึงจะสามารถดาเนินการได้ มิฉะน้นั กลุ่มที่คดั คา้ นอาจทาให้ โครงการลม้ เลิกไปได้ จึงตอ้ งใหช้ ุมชนสนบั สนุนโครงการใหม้ าก โครงการจึงยงั่ ยนื 8. เม่ือตอ้ งตดั สินใจอยา่ งไรแลว้ จะเกิดผลกระทบที่สาคญั ต่อบุคคลหรือกลุ่มบุคคล ได้ ดงั น้นั จึงตอ้ งรับทราบปัญหา และแนวทางแกไ้ ขปัญหาใหร้ อบดา้ น

32 9. ประชาชนอาจเป็ นตน้ เหตุของความลม้ เหลวของโครงการได้ ถา้ ไม่ให้มีส่วนร่วม เพราะประชาชนตอ้ งเป็นผปู้ ฏิบตั ิ กล่าวโดยสรุป ประชาชนมีความจาเป็ นอยา่ งยิ่งในการมีส่วนร่วมในแง่ของการพฒั นา ชุมชนหรือท้องถิ่น เพราะประชาชนในพ้ืนที่เป็ นผูท้ ราบข้อมูลท่ีแท้จริงในเรื่องปัญหาและ ผลกระทบจากสถานการณ์ต่างๆ อนั จะเป็ นแรงผลกั ดนั ให้หน่วยงานท่ีเก่ียวขอ้ งเขา้ มาแกไ้ ขอยา่ ง ตรงประเดน็ ประโยชน์ ของการมีส่ วนร่ วม นรินทร์ชยั พฒั นพงศา (2547: 27-28) อธิบายถึงประโยชน์ของการมีส่วนร่วม ดงั น้ี 1. ทาใหม้ ีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ การมีส่วนร่วมทาให้แต่ละฝ่ ายไดเ้ รียนรู้ซ่ึงกนั และ กนั มีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ความคิดซ่ึงกนั และกนั จนไปสู่การยอมรับความแตกต่างใน รูปร่าง ความรู้ นิสยั คา่ นิยม ตา่ งๆ อนั เป็นรากฐานสาคญั ของประชาธิปไตย 2. ทาใหง้ านท่ียากบางอยา่ งสาเร็จข้ึนมาได้ งานหลายอยา่ งถา้ ทาเพียงคนเดียวหรือทา นอ้ ยคนอาจไม่สาเร็จ เช่น การสร้างบา้ น สร้างเจดีย์ เป็ นตน้ หรืองานบางอยา่ งตอ้ งการความร่วมมือ โดยตลอด เช่น การลดปริมาณขยะ จึงตอ้ งใหค้ นท้งั ชุมชนเห็นดว้ ยและร่วมกนั ปฏิบตั ิ 3. ทาใหบ้ ุคคลคิดช่วยตวั เอง เพราะถา้ รัฐเป็ นฝ่ ายทาให้ ก็จะรอความช่วยเหลือ หาก มาร่วมกนั พิจารณา อาจทาบางส่ิงไดเ้ อง และจะร่วมดูแลรักษาสิ่งน้นั มากข้ึน 4. ทาให้ความช่วยเหลือน้ันตรงกบั ที่ตอ้ งการ โดยเฉพาะการมีส่วนร่วมในข้นั การ ระบุประเด็นปัญหาและความตอ้ งการ จึงไม่เกิดปัญหาที่สร้างไวเ้ พื่อใชแ้ ลว้ ไม่ใชใ้ ห้เกิดประโยชน์ เช่น ท่ีอา่ นหนงั สือในหมูบ่ า้ น สะพานลอยใหค้ นขา้ ม ซ่ึงทาแลว้ ไมม่ ีผใู้ ชก้ ็เสียประโยชน์ 5. ทาใหป้ ระหยดั ทรัพยากรลงได้ เพราะการช่วยเหลือที่ตรงกบั ความตอ้ งการที่จะใช้ จะทา และยงั อามีแรงงานจากการมีส่วนร่วมมาช่วยได้ อาจมีบา้ งถา้ มีส่วนร่วมจนวุน่ วาย ไม่มีการ จดั การที่ดีก็อาจสิ้นเปลืองทรัพยากรมากกวา่ ที่ควร หรืออาจเกิดความเสียหายได้ 6. ทาให้รู้สึกเป็ นเจา้ ของ การมาร่วมคิดร่วมทา ทาให้รู้สึกเป็ นเจา้ ของ ก็มกั ร่วมกนั ดูแลรักษา ซ่อมแซม และมีความภาคภูมิใจในส่ิงที่ตนร่วมกนั ทาข้ึนมา สิ่งของที่บุคคลร่วมกนั ทา ข้ึนมาจึงคงทน 7. เพม่ิ ทางเลือกที่ดีเพื่อการตดั สินใจ การไดร้ ับรู้โครงการอยา่ งละเอียด ทาใหช้ ่วยกนั หาทางเลือก (ทางออก) หลายทางท่ีสมบรู ณ์และเหมาะสมท่ีสุด ทาใหเ้ กิดผลเสียหายนอ้ ยลงหรือเกิด ผลดีมากกวา่ การไมใ่ หเ้ ขา้ มามีส่วนร่วม

33 8. เกิดการสร้างฉนั ทามติ หรือการเห็นพอ้ งตอ้ งกนั ข้ึนมาได้ โดยในประเทศตะวนั ตก การมีส่วนร่วมของประชาชน มกั ทาใหเ้ กิดความเขา้ ใจระหวา่ งคู่กรณี เกิดการสร้างขอ้ ตกลงท่ีมนั่ คง ยนื ยงได้ 9. ทาให้ชุมชนหรือสังคมเขม้ แข็ง เพราะชุมชนที่เขม้ แข็งควรต้องมีส่วนร่วมกัน ตดั สินใจร่วมกนั ดูแลปกครอง พิทกั ษผ์ ลประโยชน์ของชุมชนหรือสังคมน้นั เอง โดยการมีส่วนร่วม คิดร่วมทากิจกรรมท่ีเป็นประโยชนต์ อ่ ส่วนรวมเสมอๆ ทาให้ชุมชนรู้สีกวา่ ไดค้ วบคุมโชคชะตาของ ตนเอง แทนที่จะเป็นผชู้ านาญที่อื่นที่ไมร่ ู้จกั หรือไมไ่ วใ้ จมาควบคุมสัง่ การ 10. ทาให้การดาเนินงานของชุมชนหรือสังคมน้นั โปร่งใส เพราะการมีส่วนร่วม เพ่ือ กิจการสาธารณะอยู่เสมอ ทาให้ผทู้ ่ีจะทุจริต คดโกง ก็หวนั่ เกรงกระทาไดย้ ากข้ึน กลวั พลงั การมี ส่วนร่วมของประชาสังคม 11. ทาให้บุคคลท่ีอาจยอมรับยาก ยอมรับโครงการน้ันได้ โดยยอมรับว่าเมื่อมี โครงการแล้ว ตนอาจเสียประโยชน์ไปบา้ ง แต่เม่ือมีค่าชดเชยท่ีเหมาะสมและคนอ่ืนๆยอมรับ โครงการน้นั กเ็ ห็นแก่ประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ 12. ทางการเกษตรพบวา่ การท่ีเกษตรกรเขา้ ร่วมกบั สมาชิกองค์กรการเกษตร ทาให้ เกิดการสื่อสารที่เป็ นประโยชน์แก่สมาชิก และไดร้ ับการบริการจากเจา้ หนา้ ที่ของรัฐมากกวา่ ผทู้ ่ีไม่ เป็ นสมาชิก กล่าวโดยสรุป การมีส่วนร่วมของประชาชน เป็ นประโยชน์อย่างยิ่งในการพฒั นาท้งั ภายในและภายนอก กล่าวคือ เป็ นการระดมความคิดท่ีเกิดจากภายในตัวบุคคล ทาให้เกิด กระบวนการเรียนรู้ ท้งั ยงั เป็ นการสร้างความสามคั คีปรองดองของคนในสังคม ส่งผลให้เกิดการ พฒั นาในรูปแบบตา่ งๆ นามาซ่ึงความเขม้ แขง็ ของชุมชนนนั่ เอง 2.4 แนวคิดเกย่ี วกบั การสนับสนุนทางสังคม การสนบั สนุนทางสังคม เกิดจากการที่บุคคลมีปฏิสัมพนั ธ์ระหวา่ งกนั ก่อให้เกิดความ ช่วยเหลือซ่ึงกนั และกนั ในการจดั การปัญหาตา่ งๆ ดวงเดือน มูลประดบั (2541: 42) กล่าววา่ แรงสนบั สนุนทางสังคม เป็ นความช่วยเหลือ ประคับประคองจากบุคคลอื่นท้ังด้านจิตใจ อารมณ์ สังคม วัตถุสิ่งของ การเงินข้อมูลจาก ปฏิสมั พนั ธ์กบั ผอู้ ่ืน ซ่ึงมีผลตอ่ การลดระดบั ความเครียดและวกิ ฤตการณ์ในชีวติ ได้ ทาใหบ้ ุคคลเกิด ความมนั่ คงในอารมณ์ และสามารถอยใู่ นสงั คมไดอ้ ยา่ งปกติสุข ปรียาภรณ์ ต้งั เพียร (2551: 17) กล่าววา่ การสนบั สนุนทางสังคม หมายถึง การที่บุคคล ได้รับการตอบสนองจากบุคคลอื่น ในรูปแบบของการให้ความช่วยเหลือในด้านต่างๆ ท้งั ทาง

34 อารมณ์ สติปัญญา ด้านร่างกาย และด้านสังคม เพื่อจะช่วยให้บุคคลสามารถเผชิญกบั ปัญหาและ ภาวะเครียด เมอเรยแ์ ละแซนเนอร์ (Murray and Zentner, 1993: 659) กล่าววา่ การสนบั สนุนทาง สังคม เป็ นกิจกรรมซ่ึงจะช่วยยกระดบั สุขภาพของบุคคลให้สูงข้ึนและมีความผาสุก เกิดศกั ยภาพท่ี สูงสุดของครอบครัว กลุ่มชน และสงั คม สมิธและแมคก้ี (Smith and Mackie, 2000: 443) กล่าววา่ การสนบั สนุนทางสังคม คือ ความสามารถในการจดั การกบั สถานการณ์ท้งั ทางด้านร่างกายและด้านอารมณ์โดยได้รับการ สนบั สนุนช่วยเหลือจากบุคคลอ่ืน โรเบิร์ท (Robert, 2004: 548) กล่าววา่ การสนบั สนุนทางสังคม คือ ความสะดวกสบาย ทางดา้ นสภาพร่างกายและดา้ นจิตวิทยา ท่ีผอู้ ่ืนเป็ นผปู้ ฏิบตั ิต่อเรา อีกท้งั ยงั เป็ นประโยชน์ในเวลาที่ เกิดความเครียด การสนับสนุนทางสังคมจะช่วยลดความเจ็บปวดและสามารถช่วยบรรเทาความ เจบ็ ปวดไดอ้ ยา่ งรวดเร็ว มอร์เออร์และคนอ่ืนๆ (Mohr and et.al, 2005: 473) กล่าววา่ การสนบั สนุนทางสังคม คือ การไดร้ ับความช่วยเหลือจากผอู้ ่ืนทางดา้ นอารมณ์ความรู้สึกและในดา้ นการแกไ้ ขปัญหา ซ่ึงการ สนบั สนุนทางสงั คมมีผลกระทบในทางบวกต่อสุขภาพทางดา้ นร่างกายและจิตใจ กล่าวโดยสรุป การสนบั สนุนทางสังคม เป็ นการไดร้ ับความช่วยเหลือจากสังคม ต้งั แต่ คนใกลช้ ิด ครอบครัว หมูเ่ พือ่ น และสงั คมโดยรวม เพื่อให้บุคคลที่ไดร้ ับความช่วยเหลือสามารถยนื หยดั ในสงั คมและพร้อมรับการเปลี่ยนแปลง ความสาคญั ของการสนับสนุนทางสังคม โอแรม (Orem, 1985) อธิบายวา่ การมีปฏิสัมพนั ธ์ทางสงั คม จะทาใหบ้ ุคคลไดร้ ับความ ช่วยเหลือทางดา้ นวตั ถุ มีความรักใคร่ผูกพนั มีความเป็ นเพื่อนและมีการแลกเปลี่ยนความคิดต่างๆ การไดร้ ับการสนบั สนุนทางสังคม ทาให้บุคคลมีความภาคภูมิใจและตระหนกั ถึงการมีคุณค่าใน ตนเอง ซ่ึงจะส่งเสริมบุคคลน้นั สามารถดูแลตวั เองไดด้ ียงิ่ ข้ึน เพนเดอร์ (Pender, 1996: 396) อธิบายว่า การสนบั สนุนทางสังคมจะส่งเสริมการ เจริญเติบโตและการทางานของระบบตา่ งๆในร่างกาย เป็ นการเพิ่มคุณค่าของตนเอง ทาใหม้ ีอารมณ์ มน่ั คง และมีความผาสุกในชีวิต ลดความเครียดที่เกิดข้ึนในชีวิต เป็ นการดารงไวซ้ ่ึงสุขภาพ มีการ ป้ อนกลบั ยนื ยนั รับรอง หรือทาให้เกิดความมน่ั ใจและคาดการณ์การกระทาของบุคคลน้นั วา่ เป็ นที่ ตอ้ งการของสังคม นอกจากน้ีแรงสนบั สนุนทางสังคมยงั เป็ นกนั ชนหรือเบาะรองรับเหตุการณ์ท่ี เป็นภาวะวกิ ฤติในชีวติ

35 กรีนเบิร์ค และบารอน (Greenberg and Baron, 2000: 229) อธิบายวา่ การที่บุคคลไดร้ ับ ความช่วยเหลือ การสนบั สนุนทางสังคม สามารถทาให้บุคคลรู้สึกดีข้ึนได้ อีกท้งั ยงั สามารถหาทาง แกไ้ ขปัญหาอยา่ งมีประสิทธิภาพไดอ้ ีกดว้ ย กล่าวโดยสรุป การสนับสนุนทางสังคม มีความสาคญั ต่อบุคคล เน่ืองเพราะ การ สนบั สนุนทางสังคมช่วยให้บุคคลภาคภูมิใจในการเป็ นตวั เองท่ีเป็ นส่วนหน่ึงของสังคม ก่อให้เกิด ความรู้สึกถึงการมีชีวติ ท่ีมีคุณค่า และมีภูมิคุม้ กนั ในการเผชิญปัญหาและอุปสรรคในชีวติ ไดอ้ ยา่ งดี ประเภทของการสนับสนุนทางสังคม ฉวีวรรณ แกว้ พรหม (2530: 22) กล่าวถึงประเภทของการสนบั สนุนทางสังคมว่าจะ ครอบคลุมความจาเป็นพ้ืนฐานของบุคคลท้งั 3 ดา้ น ดงั น้ี 1. ความจาเป็นดา้ นอารมณ์ ไดแ้ ก่ 1.1 การตอบสนองความตอ้ งการดา้ นอารมณ์ หมายถึง การไดร้ ับความรัก การดูแล เอาใจใส่ มีความใกลช้ ิดสนิทสนม ความผกู พนั แความไวว้ างใจซ่ึงกนั และกนั 1.2 การตอบสนองความตอ้ งการดา้ นการยอมรับ ยกยอ่ ง และมีผเู้ ห็นคุณค่า ไดร้ ับ การทกั ทายและความเคารพนบั ถือจากผอู้ ื่น และยอมรับต่อการแสดงออก การไดร้ ับการใหอ้ ภยั และ โอกาสในการปรับปรุงตวั เอง 2. ความจาเป็นพ้ืนฐานดา้ นสงั คม เป็นการตอบสนองในฐานะเป็นส่วนหน่ึงของสังคม ซ่ึงหมายถึง ความรู้สึกท่ีเป็ นส่วนหน่ึงของสังคม การปฏิรูปกบั สังคมและความรู้สึกเป็ นเจา้ ของใน สังคมของตน 3. การตอบสนองความจาเป็นพ้ืนฐานดา้ นร่างกาย ไดแ้ ก่ 3.1 การช่วยเหลือดา้ นข้อมูลข่าวสาร หมายถึง การได้รับขอ้ มูลข่าวสารหรือ คาแนะนาตา่ งๆ ซ่ึงเป็นประโยชน์ในการดาเนินชีวติ ประจาวนั 3.2 การช่วยเหลือดา้ นเงินทอง สิ่งของ แรงงาน หมายถึง การไดร้ ับความช่วยเหลือ ดา้ นเงินทอง ส่ิงของเคร่ืองใช้ ตลอดจนการช่วยทุน่ แรงตา่ งๆ ซาราฟี โน่ (Sarafino, 1994: 103) ไดแ้ บ่งการสนบั สนุนทางสังคมออกเป็ น 5 ประเภท ดงั น้ี 1. การสนบั สนุนดา้ นอารมณ์ (Emotion support) หมายถึง การเขา้ ไปเก่ียวขอ้ งกบั บุคคลโดยตรง มีความเขา้ อกเขา้ ใจ ใส่ใจดูแลทาใหส้ ุขสบาย ใหค้ วามปลอดภยั ความรัก และเวลา 2. การสนบั สนุนดา้ นการยอมรับและเห็นคุณค่าในตนเอง (Esteem support) หมายถึง การให้ความเคารพยกย่อง ช่ืนชมและยอมรับในความสามารถของบุคคล สนับสนุนให้กลา้ ที่จะ เผชิญปัญหาต่างๆ

36 3. การสนบั สนุนดา้ นสิ่งของเครื่องใช้ (Tangible or Instrumental support) หมายถึง การใหค้ วามช่วยเหลือทางดา้ นการเงิน อุปกรณ์ต่างๆ 4. การสนับสนุนด้านข้อมูลข่าวสาร (Information support) หมายถึง การให้ คาแนะนา การสอนให้กระทา การให้ขอ้ มูลยอ้ นกลบั เช่น ผูป้ ่ วยตอ้ งการขอ้ มูลจากครอบครัวและ แพทยว์ า่ ควรจะรักษาการเจบ็ ป่ วยอยา่ งไร 5. การสนบั สนุนดา้ นเครือข่ายทางสังคม (Network support) การทาให้รู้สึกว่าเป็ น สมาชิกในกลุ่ม ใหค้ วามสนใจและมีกิจกรรมทางสังคมร่วมกนั คินิคก้ี และเครทเนอร์ (Kinicki and Kreitner, 2001: 599-600) ไดอ้ ธิบายเพ่ิมเติมว่า เครือข่ายของการสนบั สนุนทางสังคม เป็ นการเช่ือมโยงบรรทดั ฐานทางวฒั นธรรม สถาบนั ทาง สังคม องคก์ ร กลุ่ม และบุคคล โดยแบง่ การสนบั สนุนทางสงั คมออกเป็น 4 ประเภท ไดแ้ ก่ 1. การสนบั สนุนดา้ นความเคารพนบั ถือ (Esteem Support) เป็ นการให้ขอ้ มูลท่ีบุคคล รู้สึกถึงการยอมรับและนบั ถือ โดยไมเ่ ก่ียวขอ้ งกบั ปัญหา 2. การสนบั สนุนดา้ นขอ้ มูล (Information Support) เพื่อประโยชน์ในการอธิบาย เขา้ ใจ และเผชิญกบั ปัญหาไดด้ ี 3. ความสัมพนั ธ์ทางสังคม (Social Support) เป็ นการใช้เวลากบั ผอู้ ่ืน เพื่อเป็ นการ พกั ผอ่ น 4. การสนบั สนุนดา้ นอุปกรณ์ (Instrument Support) เช่น ความช่วยเหลือดา้ นการเงิน วสั ดุอุปกรณ์หรือการบริการ นอกจากน้ี วอทแมน (Wortman, 1984: 25-34) ได้สรุปประโยชน์ของการสนับ สนบั สนุนทางสงั คมจากแนวคิดของนกั วชิ าการหลายทา่ น ดงั น้ี 1. การสนบั สนุนทางสังคมที่ไดร้ ับ จะส่งเสริมบุคคลในการเผชิญความเครียด โดย การกระตุน้ ใหผ้ รู้ ับเกิดความรู้สึกมีคุณคา่ ในตนเอง 2. การสนบั สนุนทางสังคมที่ไดร้ ับ จะทาให้บุคคลสามารถเปล่ียนแปลงวธิ ีการเผชิญ ความเครียด 3. การสนบั สนุนทางสังคมที่ไดร้ ับ จะทาให้สามารถเผชิญความเครียดไดด้ ีข้ึน จาก การท่ีไดร้ ับขอ้ มลู ต่างๆซ่ึงจะทาใหก้ ารรับรู้ของบุคคลดีข้ึน 4. การสนบั สนุนทางสังคมท่ีไดร้ ับ จะทาให้บุคคลได้รับคาแนะนาเก่ียวกบั วิธีการ เผชิญความเครียดแบบใหม่ ซ่ึงบุคคลไมเ่ คยรู้จกั มาก่อน 5. การสนับสนุนทางสังคมท่ีได้รับ จะทาให้บุคคลเกิดแรงจูงใจในการเปลี่ยน พฤติกรรม