48 Highlights ผลงานเดน่ • กจิ กรรมเฉลิมพระเกยี รติ พระราชพิธบี รมราชาภิเษก • รางวัลแห่งความภมู ใิ จ • ผลงานวจิ ยั สกู่ ารประยกุ ตใ์ ชใ้ นสถาบนั การศกึ ษา เพ่ือเสรมิ สรา้ งความซอื่ ตรง ในเยาวชน • การเสริมสรา้ งความเป็นพลเมือง • ยุทธศาสตร์ที่ ๑ • ยทุ ธศาสตรท์ ี่ ๒ • ยุทธศาสตร์ที่ ๓ • ยทุ ธศาสตรท์ ี่ ๔ • ยทุ ธศาสตร์ที่ ๕ • ยทุ ธศาสตร์ที่ ๖
รายงานประจ�ำปี ๒๕๖๒ 49 ส่วนท่ี ๒ ผลงานเดน่ กิจกรรมเฉลิมพระเกียรติ พระราชพิ ธีบรมราชาภิเษก เน่ืองในวโรกาสมหามงคลที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวิชราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์แห่งประเทศไทย พร้อมทั้งเฉลิมพระปรมาภิไธย เป็น พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหากษตั รยิ ์ ลำ� ดบั ท่ี ๑๐ แหง่ ราชวงศจ์ กั รี โดยตลอดปงี บประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ สถาบนั พระปกเกลา้ ไดร้ ว่ มเฉลมิ พระเกียรติ ตลอดจนแสดงความจงรกั ภกั ดีผ่านการจดั กจิ กรรมต่างๆ อาทิ
50 ปาฐกถาพิเศษ โดย ศาสตราจารยก์ ิตตคิ ณุ ดร.วษิ ณุ เครอื งาม หน่วยแพทย์อาสาฯ • การจัดปาฐกถาพเิ ศษ “พระราชพิธีบรมราชาภิเษก ความรทู้ ่ปี วงชนชาวไทยควรทราบ” จัดขึ้นโดยความร่วมมือระหว่างสถาบันพระปกเกล้าและสมาคมแห่งสถาบันพระปกเกล้า ได้รับเกียรติจาก ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.วิษณุ เครืองาม (รองนายกรัฐมนตรี) มาเป็น องคป์ าฐก เพอ่ื ใหค้ วามรอู้ นั เกยี่ วเนอ่ื งกบั พระราชพธิ บี รมราชาภเิ ษกในรชั สมยั กรงุ รตั นโกสนิ ทร์ เปน็ ตน้ มา • โครงการหนว่ ยแพทยอ์ าสาเฉพาะทางรว่ มใจเฉลมิ พระเกยี รตฯิ ครงั้ ท่ี ๗ จงั หวดั เพชรบรุ ี สถาบันพระปกเกล้า ร่วมกับ มูลนิธิธรรมาภิบาลทางการแพทย์ แพทยสภา กระทรวง สาธารณสขุ นกั ศกึ ษาหลกั สตู รธรรมาภบิ าลทางการแพทยส์ ำ� หรบั ผบู้ รหิ ารระดบั สงู รนุ่ ท่ี ๗ (ปธพ.๗) และภาคเี ครอื ขา่ ย จดั โครงการ “หนว่ ยแพทยอ์ าสาเฉพาะทางรว่ มใจเฉลมิ พระเกยี รติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในโอกาสพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช ๒๕๖๒” ในระหว่างวันที่ ๑๐ - ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๖๒ ณ โรงพยาบาลพระจอมเกล้า และโรงเรียน เบญจมเทพอทุ ศิ จังหวดั เพชรบุรี
รายงานประจ�ำปี ๒๕๖๒ 51 งานเสวนาในนทิ รรศการหมุนเวยี น สัปดมราชา บรมราชาภิเษก รายการโทรทศั น์ The Key • เสวนา “พธิ ีพราหมณใ์ นงานพระราชพธิ บี รมราชาภเิ ษก” พพิ ธิ ภณั ฑพ์ ระบาทสมเดจ็ พระปกเกลา้ เจา้ อยหู่ วั จดั เสวนา “พธิ พี ราหมณใ์ นงานพระราชพธิ ี บรมราชาภเิ ษก” โดยจดั ขนึ้ เพอ่ื ประกอบนทิ รรศการหมนุ เวยี น “สปั ดมราชา บรมราชาภเิ ษก” ซงึ่ ไดร้ บั เกยี รตจิ าก พระมหาราชครพู ธิ ศี รวี สิ ทุ ธคิ ณุ วบิ ลุ ยเ์ วทยบ์ รมหงส์ พรหมพงศ์ พฤฒาจารยิ ์ ผู้ท่ีมีความรู้ความเช่ียวชาญในด้านพิธีพราหมณ์ งานเสวนาในครั้งนี้มีผู้สนใจเข้าร่วมงาน อาทิ ขา้ ราชการ เจา้ หนา้ ทที่ างดา้ นศลิ ปวฒั นธรรมตลอดจนประชาชนทวั่ ไปทใี่ หค้ วามสนใจ • การผลติ รายการโทรทศั นต์ อนพเิ ศษ ผา่ นรายการโทรทศั น์ “The Key ไขการเมอื ง... เรอื่ งใกลต้ วั ” ปี ๓ ตอน พระราชพธิ บี รมราชาภเิ ษก โดยมี The Key Man : ศาสตราจารยพ์ เิ ศษธงทอง จนั ทรางศุ ประธานกรรมการพพิ ธิ ภณั ฑ์ พระบาทสมเดจ็ พระปกเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เปน็ แขกรบั เชญิ ออกอากาศ ทางสถานโี ทรทศั น์ TNN ช่อง ๑๖
52 รางวัลแห่งความภาคภูมิใจ 1. รางวัล Museum Thailand Awards 2019 ประเภทพพิ ธิ ภัณฑ์ด้านสงั คม ศลิ ปะ และวัฒนธรรม ดีเด่น ดา้ นการจดั แสดง จาก สถาบนั พพิ ธิ ภณั ฑก์ ารเรยี นรแู้ หง่ ชาติ โดย นางสวุ รรณี คำ� มน่ั เลขานกุ ารรฐั มนตรวี า่ การ กระทรวงการอดุ มศกึ ษา วทิ ยาศาสตร์ วจิ ยั และนวตั กรรม เปน็ ประธานในพธิ กี ารมอบรางวลั ณ หอ้ งประชมุ สยามสมาคมในพระบรมราชูปถัมภ์ ถนนอโศก กรุงเทพฯ 2. รางวัล Museum Thailand Popular Vote 2019 จากคะแนนความนิยมของประชาชน ผู้เข้าใช้บริการเว็บไซต์มิวเซียมไทยแลนด์ สถาบัน พพิ ธิ ภณั ฑก์ ารเรยี นรแู้ หง่ ชาติ พพิ ธิ ภณั ฑฯ์ เปน็ ๑ ใน ๑๐ พิพิธภัณฑ์ที่ได้รับรางวัล Museum Thailand Popular Vote 2019 จากคะแนนความนิยม ของประชาชนในการลงคะแนนจากประชาชนท่ี ชื่นชอบพิพิธภัณฑ์ผ่านเว็บไซต์มิวเซียมไทยแลนด์
รายงานประจ�ำปี ๒๕๖๒ 53 การขึ้นทะเบียนภาพยนตร์รัชกาลท่ี ๗ เร่ือง “พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ เลียบมณฑลฝ่ายเหนือ พ.ศ. ๒๔๖๙” ใหเ้ ปน็ มรดกภาพยนตรข์ องชาติ ประจำ� ปี ๒๕๖๒ โดย หอภาพยนตร์ (องคก์ ารมหาชน) ไดป้ ระกาศ ข้ึนทะเบียนมรดกภาพยนตร์ของชาติ ครั้งที่ ๙ ประจ�ำปี ๒๕๖๒ ซึ่งพิพิธภัณฑ์ฯ ในฐานะ ผู้อนุรักษ์ภาพยนตร์ที่ได้รับการข้ึนทะเบียน ถื อ เ ป ็ น ภ า พ ย น ต ร ์ ท่ี มี ค ว า ม ส� ำ คั ญ ท า ง ประวัติศาสตร์และภาพยนตร์ส่วนพระองค์ชุดแรกท่ีพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ ทรงถ่ายด้วยพระองค์เองระหว่างการเสด็จเลียบมณฑลฝ่ายเหนือหลังเสด็จขึ้นครองราชย์ 3. การประเมินผลคุณธรรมและความโปร่งใสในการ ด�ำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (Integrity and Transparency Assessment: ITA) สถาบนั เขา้ รว่ ม โครงการการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสใน การด�ำเนินงาน ของหน่วยงานภาครัฐ ประจ�ำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ (Integrity and Transparency Assessment : ITA) เพ่ือเป็นส่วนหน่ึงในการส่งเสริมให้การบริหารราชการเป็นไปอย่างมีคุณธรรมและ ความโปร่งใส โดยส�ำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติที่ออกแบบเคร่ืองมือ การประเมิน เป็น ๓ ส่วน ได้แก่ การประเมินของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียภายใน (IIT) อยู่ในระดับดี (Good) การประเมินของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียภายนอก (EIT) อยู่ในระดับดีมาก (Very Good) และการประเมินจาก การเปิดเผยข้อมูลสาธารณะ (OIT) ซ่ึงอยู่ในระดับยอดเยี่ยม (Excellence) ซ่ึงสถาบันได้รับผลคะแนนจาก การเข้ารับประเมินในปีแรก จากทั้ง ๓ ส่วน เท่ากับ ๙๐.๓๓ คะแนน ระดับผลการประเมิน อยู่ในระดับ A โดยดา้ นท่ไี ด้รับคะแนนสงู สดุ ได้แก่ ดา้ นการเปิดเผยข้อมูลและดา้ นการปอ้ งกนั การทจุ ริต
54 ดังน้ัน จึงเป็นการยืนยันได้ว่าสถาบันได้ปฏิบัติงาน โดยยึดมั่นด้านคุณธรรมและความโปร่งใส ตามหลัก ธรรมาภิบาล ที่ผู้บริหารฯ พนักงาน และเจ้าหน้าท่ีของสถาบัน ร่วมกันธ�ำรงรักษาไว้ได้เป็นอย่างดีย่ิงเสมอมา ตลอดระยะเวลากวา่ ๒๐ ปี ผลงานวิจัย สู่การประยุกต์ใช้ในสถาบันการศึกษา เพื่ อเสริมสร้างความซื่อตรงในเยาวชน การมกี ารเมอื งทมี่ คี วามซอ่ื ตรงถอื วา่ เปน็ ประเดน็ สำ� คญั ของการเสรมิ สรา้ งธรรมาภบิ าลในสงั คมไทย สถาบนั พระปกเกล้า โดยส�ำนักวิจัยและพัฒนา ตระหนักถึงความส�ำคัญของความซ่ือตรงจึงได้ริเริ่มด�ำเนินโครงการวิจัย เรื่อง “การศึกษาเพื่อเสริมสร้างความซื่อตรงในสังคมไทย” ขึ้นในปี ๒๕๕๔ จากนั้นจึงได้น�ำผลงานวิจัยและตัวช้ีวัด มาจดั ทำ� เปน็ หนงั สอื เลม่ เลก็ ในชอ่ื เรอื่ ง มารจู้ กั กบั คำ� วา่ “ความซอ่ื ตรง” กนั เถอะ และนำ� มาปรบั ใชร้ ว่ มกบั กระบวนการ ระดมความคิดเห็นและการจัดท�ำแผนเป็นหลักสูตรระยะสั้นเพื่อให้เกิดกิจกรรมรณรงค์เสริมสร้างความซื่อตรงใน สถาบันการศึกษาท่ีสนใจเข้ามาร่วมเป็นเครือข่าย ตลอดจนเผยแพร่ไปยังเครือข่ายและผู้สนใจอื่นๆ งานวิจัยจึงได้รับ การพัฒนาและน�ำไปประยุกตใ์ ชใ้ นรูปแบบของการขับเคล่อื นภายใต้ชอื่ โครงการเสรมิ สรา้ งเครอื ข่ายความซือ่ ตรง โครงการนใ้ี ชก้ ารถา่ ยทอดความรผู้ า่ นการใหค้ วามรพู้ นื้ ฐาน มกี ารทำ� กจิ กรรมรว่ มกนั การระดมความคดิ เหน็ ด้วยเทคนิคการมสี ่วนรว่ มทหี่ ลากหลาย เช่น บัตรความคิด และนำ� ขอ้ มูลเหลา่ นัน้ มาใช้ในการจัดท�ำแผนงาน แลว้ น�ำ ไปรณรงค์ภายในโรงเรียนเป็นเวลาประมาณ ๓ เดือน จากน้ันจึงสรุปผลการท�ำกิจกรรม พร้อมทั้งน�ำผลงานมาเสนอ ให้เพื่อนๆ และคณะกรรมการได้ฟัง และถอดบทเรียนการท�ำกิจกรรมร่วมกันอีกคร้ังเม่ือสิ้นสุดโครงการ ส�ำหรับ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ มกี ารขบั เคลือ่ นโรงเรยี นแหง่ ความซื่อตรงร่วมกับสถาบันการศึกษา ๓ แห่ง คอื 1. โรงเรียนบ้านสารจิตร จังหวัดสุโขทัย มีนักเรียนระดับประถมศึกษาปีท่ี ๕ เข้าร่วมจ�ำนวน ๕๗ คน แบ่งเป็น ๖ กลุ่ม ประกอบด้วย กจิ กรรมเดก็ ดีไม่เลย้ี งแกะ กิจกรรมสารจติ รร่วมใจสรา้ งวินยั การท้งิ ขยะ กจิ กรรมชดิ ขวาหนา้ ตรง กจิ กรรมเขา้ เรยี นตรงเวลาเพอ่ื พฒั นาตนเอง กจิ กรรมเดก็ ไทยหา่ งไกลอบายมขุ และ กิจกรรม ส.จ.รกั ษ์สง่ิ แวดล้อม 2. โรงเรียนโคกกระท้อนกิตติวุฒิวิทยา จังหวัดสระบุรี มีนักเรียนระดับมัธยมศึกษาปีที่ ๑, ๒, ๔ และ ๕ เข้าร่วมจ�ำนวน ๕๐ คน แบ่งการด�ำเนินกิจกรรมเป็น ๑๐ กลุ่มย่อย ประกอบด้วย กิจกรรมส่งงาน ตรงเวลานา่ ชนื่ ชม กจิ กรรมเพอื่ นชว่ ยเพอื่ นตวิ เตอรม์ อื โปร กจิ กรรมเพอ่ื นซอื่ ตรง สรา้ งสามคั คี เขตพนื้ ท่ี
รายงานประจ�ำปี ๒๕๖๒ 55 รับผิดชอบความสะอาด กิจกรรมเปล่ียนพฤติกรรมด้านการเรียน กิจกรรมถูกระเบียบแล้วสบาย กจิ กรรมมวี นิ ยั ใสใ่ จลงถงั กจิ กรรมแคย่ าวกห็ ลอ่ แลว้ กจิ กรรมนทิ านเตอื นใจ กจิ กรรมสรา้ งระเบยี บวนิ ยั ในตนเองด้านการแตง่ กาย และกิจกรรมสร้างเด็กใหม่ 3. โรงเรียนเกษมพิทยา กรุงเทพมหานคร มีนักเรียนระดับมัธยมศึกษาปีท่ี ๑ และ ๒ เข้าร่วมกิจกรรม จ�ำนวน ๖๐ คน แบ่งการท�ำกิจกรรมออกเป็น ๖ กลุ่มย่อย ประกอบด้วย กิจกรรม Tomorrow by Together กิจกรรม Nothing Impossible กิจกรรมเกษมพอเพียงคงความซื่อตรง กิจกรรม เกษมศรัทธาคุณธรรมจริยธรรม กิจกรรมเยาวชนช่วยกันน�ำประเทศสู่ความซ่ือตรง และกิจกรรม ตรงตอ่ เวลา ผลของโครงการน้ี คือ ตวั แบบของการนำ� แนวคิดไปสู่การปฏบิ ัติจริง โครงการทเ่ี ยาวชนสามารถคดิ และ ปฏิบัติได้เอง ตลอดจนจิตส�ำนึกเร่ืองความซื่อตรงในหมู่เยาวชน เกิดส�ำนึกรับผิดชอบในฐานะพลเมืองในระบอบ ประชาธปิ ไตยและเปน็ การฝกึ นำ� แนวคดิ ประชาธปิ ไตยแบบมสี ว่ นรว่ มมาสกู่ ารปฏบิ ตั ิ โดยไมต่ อ้ งสอนวา่ ประชาธปิ ไตย คอื อะไร แตเ่ ยาวชนจะเขา้ ใจด้วยตนเองผ่านการรว่ มกิจกรรมกบั โครงการนี้ การเสริมสร้างความเป็นพลเมือง สถาบันพระปกเกล้า ได้ยกระดับการพัฒนาและสร้างความเป็นพลเมืองจากพลเมืองที่ตระหนักรู้ (Concerned Citizen) สู่พลเมอื งทกี่ ระตอื รือรน้ โดยเนน้ ให้มีการลงมือทำ� (Active Citizen) ผ่านโครงการและ เครอื ขา่ ยต่างๆ ของสถาบนั พระปกเกลา้ ๑. โครงการ New Voters เป็นโครงการดีเด่นในปี ๒๕๖๒ ซ่ึงออกแบบเนื้อหาและกระบวนการ อบรมให้เหมาะสมกับผู้มีสิทธิเลือกต้ังคร้ังแรก โดยเน้น การสร้างความตระหนักรู้ในบทบาทหน้าที่ของตัวเอง ในฐานะพลเมืองตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๖๐ โดยเฉพาะการออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งภายใต้ระบบใหม่อย่างมี คุณภาพในวันท่ี ๒๔ มีนาคม ๒๕๖๒ โครงการ New Voters เร่ิมจากการให้ความรู้ ความเข้าใจ เสริมทักษะ และเจตคตทิ ีด่ ีต่อการเลอื กต้ัง โดยจดั ขน้ึ ใน ๔๘ จังหวดั ทั่วประเทศ มผี ู้ผ่านการอบรมจำ� นวนกว่า ๕๐,๐๐๐ คน ซ่ึงหลังจากการอบรม พบว่า ผู้มีสิทธิเลือกตั้งครั้งแรกมีความรู้ความเข้าใจในระบบการเลือกต้ังแบบใหม่อย่างดี มีทักษะในการคิด วิเคราะห์อย่างมีคุณภาพ นอกจากน้ี มหาวิทยาลัยและชุมชนหลายแห่งยังได้น�ำโครงการนี้ ไปขยายผลอกี เปน็ จำ� นวนมาก อาทิ มหาวทิ ยาลยั อบุ ลราชธานี มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษณิ และมหาวิทยาลัยนเรศวร เปน็ ต้น
56 ๒. โครงการจบั ตาการเลอื กตงั้ ๒๕๖๒ (KPI Election’62 Watch) เปน็ อกี โครงการดเี ดน่ ทด่ี ำ� เนนิ การ ควบคู่ไปกับโครงการ New Voters ซ่ึงสถาบันพระปกเกล้า ได้ร่วมกับศูนย์พัฒนาการเมืองภาคพลเมือง ๕๑ จงั หวดั ซงึ่ เปน็ เครอื ขา่ ยของสถาบนั พระปกเกลา้ ดำ� เนนิ การเกบ็ ขอ้ มลู ชดุ ความรู้ ความเขา้ ใจ และเสยี งสะทอ้ น จากประชาชนผู้มีสทิ ธิเลือกต้งั ใน ๗๗ จงั หวดั ทั่วประเทศ ครั้งละ ๑,๕๔๐ ตัวอย่าง ท้งั ก่อนและหลงั การเลอื กตง้ั ที่เรียกว่า (Quick Survey) น้ัน เป็นการรวบรวมและสะท้อนความคิดเห็นของประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งต่อ การเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร อีกทั้งยังสะท้อนข้อสังเกต ปัญหา และอุปสรรคต่างๆ ท่ีเกิดข้ึนจากระบบ การเลอื กตงั้ เพอื่ พฒั นากระบวนการเลอื กตงั้ ทม่ี ปี ระสทิ ธภิ าพยงิ่ ขนึ้ ในอนาคต โดยดำ� เนนิ การสำ� รวจความคดิ เหน็ ของประชาชนจ�ำนวน ๕ คร้ัง ตลอดระยะเวลา ๓ เดือน ซ่ึงมีผลการศึกษาที่น่าสนใจและสามารถน�ำไปพัฒนา ระบบการเลือกตัง้ ใหม้ คี ุณภาพได้ตอ่ ไป ๓. ผลการด�ำเนินงานของศูนย์การเมืองภาคพลเมือง ไม่เพียงความส�ำเร็จในช่วงการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไปในช่วงต้นปี ๒๕๖๒ ท่ีผ่านมา ศูนย์พัฒนาการเมืองภาคพลเมือง สถาบันพระปกเกล้า ทั้ง ๕๑ จังหวัด ยังได้จัดท�ำโครงการต่างๆ ในจังหวัดของตนเอง ส่งผลให้เกิด ความส�ำเร็จอ่ืนๆ ไม่ว่าจะเป็นการป้องกัน หรือการแก้ปัญหาของชุมชน และที่ส�ำคัญได้มีส่วนร่วม ในการพัฒนาและเสนอนโยบายสาธารณะที่เกิดจากความต้องการของกลุ่มเป้าหมายและชุมชน ท�ำให้เกิด การเปลี่ยนแปลงไปในทางทด่ี ขี นึ้ กลา่ วได้ว่า ปี ๒๕๖๒ ศูนยพ์ ัฒนาการเมอื งภาคพลเมอื ง สถาบันพระปกเกลา้ เป็นเครือข่ายท่ีส�ำคัญในการพัฒนาและสร้างความเป็นพลเมือง ซึ่งได้มีกิจกรรมหลากหลายรูปแบบ รวมท้ังสิ้น ๖๗ โครงการ ต้ังแต่การให้ความรู้ความเข้าในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข การจัดเวทีสาธารณะ การลงมือปฏิบัติจริงเพ่ือแก้ปัญหา และการเสนอนโยบายสาธารณะแบบ มีส่วนร่วมจากภาคพลเมือง จนเกิดเป็นแผนพัฒนาจังหวัดฉบับประชาชนเพื่อสร้างการมีส่วนร่วมในการพัฒนา จงั หวดั นครศรธี รรมราช จงั หวดั รอ้ ยเอด็ และจงั หวดั สพุ รรณบรุ ี นอกจากน้ี ศนู ยพ์ ฒั นาการเมอื งภาคพลเมอื ง ยงั ให้ ความส�ำคัญกับการจัดกิจกรรมเก่ียวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจนเกิดชุมชนท่องเท่ียวเชิงนิเวศน์
รายงานประจ�ำปี ๒๕๖๒ 57 ตำ� บลมว่ งกลวง จงั หวดั ระนอง และตำ� บลบาโหย จงั หวดั สงขลา เกดิ ศนู ยเ์ รยี นรปู้ า่ ตน้ นำ้� และศนู ยเ์ รยี นรทู้ รพั ยากร ทางทะเลและชายฝั่ง จังหวัดสุราษฎร์ธานี เกิดเครือข่ายเยาวชนติดตามตรวจสอบคุณภาพอ่างเก็บน้�ำ จังหวัด ระยอง และเครือข่ายเฝ้าระวัง และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จังหวัดน่าน และเพชรบุรี และ เกิดชุมชนต้นแบบการจัดการขยะ ๗ ชุมชน ในจังหวัดตราดในประเด็นของการศึกษา ศูนย์พัฒนาการเมือง ภาคพลเมอื ง จงั หวัดเลยไดร้ ่วมกันผลักดนั การปฏิรปู การศกึ ษาเพอื่ สรา้ งความเป็นพลเมอื ง จงั หวัดเลย เป็นตน้ เพื่อให้เห็นภาพรวมผลการด�ำเนินงานของศูนย์พัฒนาการเมืองภาคพลเมือง สถาบันพระปกเกล้า ท้ัง ๕๑ จงั หวัด สามารถจัดกล่มุ การดำ� เนินงานและความสำ� เรจ็ ไดเ้ ปน็ ๖ ด้าน ไดแ้ ก่ ๑. ความสำ� เรจ็ ในการเสรมิ สรา้ งความรคู้ วามเขา้ ใจและการมสี ว่ นรว่ มของประชาชนใหม้ วี ถิ วี ฒั นธรรม ประชาธปิ ไตยอนั มพี ระมหากษตั รยิ ท์ รงเปน็ ประมขุ ซง่ึ จดั ขนึ้ ในจงั หวดั เชยี งใหม่ พะเยา แพร่ พษิ ณโุ ลก ขอนแกน่ อดุ รธานี บุรรี ัมย์ สมทุ รสงคราม และสตูล ๒. ความสำ� เรจ็ ในการสรา้ งธรรมาภบิ าล การตรวจสอบการใชอ้ ำ� นาจรฐั และการลดความเหลอื่ มล้�ำ ในสังคม ซ่ึงจัดข้ึนในจังหวดั ลำ� พูน กาฬสินธุ์ เลย ตราด และปตั ตานี ๓. ความส�ำเร็จในการเสนอนโยบายสาธารณะและกฎหมายโดยภาคประชาชน ซ่ึงเกิดข้ึนในจังหวัด ลำ� ปาง รอ้ ยเอด็ สกลนคร หนองคาย สุพรรณบุรี ลพบรุ ี สิงหบ์ ุรี กาญจนบรุ ี นครศรธี รรมราช และภูเกต็ ๔. ความส�ำเร็จในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมแบบมีส่วนร่วม ซึ่งมีตัวอย่าง ในจังหวัดน่าน นครราชสีมา พระนครศรีอยุธยา อุทัยธานี ระยอง นครนายก สมุทรสาคร ชุมพร กระบ่ี และ สุราษฎรธ์ านี ๕. ความส�ำเร็จในการส่งเสริมสุขภาวะและการมีคุณภาพชีวิตที่ดี ซ่ึงด�ำเนินการในจังหวัดอุตรดิตถ์ อบุ ลราชธานี สระแก้ว เพชรบุรี ระนอง และพัทลงุ ๖. ความสำ� เรจ็ ในการสรา้ งความเขม้ แขง็ ของชมุ ชนและเครอื ขา่ ยภาคพลเมอื ง ซง่ึ มตี วั อยา่ งในจงั หวดั ก�ำแพงเพชร แม่ฮ่องสอน เชยี งราย ศรสี ะเกษ นครพนม ชยั นาท ราชบุรี จนั ทบรุ ี ปทุมธานี และสงขลา ผลการด�ำเนนิ งานศนู ย์พฒั นาการเมืองภาคพลเมอื ง สถาบนั พระปกเกลา้ ๒๕๖๒
58 ผลงานเด่น จ�ำแนกตามยุทธศาสตร์ ยทุ ธศาสตรท์ ี่ ๑ การพั ฒนาองค์ความรู้ เพ่ือการพัฒนาประชาธปิ ไตย ธรรมาภบิ าล และสันตวิ ธิ ี ในปี ๒๕๖๒ สถาบันได้ศึกษาวิจัยเพื่อ พัฒนาองค์ความรู้ในหลายด้านท่ีส�ำคัญ ได้แก่ การศึกษาวิจัยเกี่ยวกับพฤติกรรมการเลือกตั้ง สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรในแตล่ ะพนื้ ท่ี ซง่ึ การเลอื กตงั้ ในปี ๒๕๖๒ นับเป็นเหตุการณ์ที่ส�ำคัญยิ่งใน ประวัติศาสตร์การเมืองไทย กล่าวคือ การเลือกต้ัง ในคร้ังน้ีเป็นการเลือกตั้งครั้งแรกในรอบ ๘ ปี
รายงานประจ�ำปี ๒๕๖๒ 59 ซึ่งประเทศไทยไม่ได้มีการเลือกต้ังมายาวนาน เน่ืองจากความขัดแย้งทางการเมือง โดยระยะ เวลายาวนานดงั กลา่ วไดเ้ กดิ การเปลย่ี นแปลงในโครงสรา้ งทางอำ� นาจ และโครงสรา้ งของสถาบนั การเมอื ง อกี ทงั้ มกี ารบงั คบั ใชร้ ฐั ธรรมนญู ฉบบั ใหม่ ซงึ่ สง่ ผลตอ่ ระบบการเลอื กตงั้ และกฎหมาย ที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี และแผนการปฏิรูปประเทศ ๑๓ ด้าน ซ่ึงเป็น กตกิ าทส่ี ง่ ผลตอ่ การเปลย่ี นแปลงอยา่ งยงิ่ การศกึ ษาจะทำ� ใหท้ ราบถงึ พฤตกิ รรม ความคดิ เหน็ ของประชาชนผมู้ สี ิทธิเลือกต้ัง ตลอดจนบคุ คล หนว่ ยงาน องคก์ รทเ่ี ก่ยี วข้อง นอกจากนไ้ี ดม้ กี ารศกึ ษาในเรอื่ งสทิ ธเิ สรภี าพ ความเสมอภาค การเขา้ ถงึ ขอ้ มลู ขา่ วสาร การจัดบริการสาธารณะ เพื่อลดความเหล่ือมล้�ำโดยศึกษาเปรียบเทียบกับประเทศต่างๆ ตลอดจนการบริหารท้องถ่ิน และการบริหารโครงการ เพ่ือลดความเหลื่อมล�้ำโดยศึกษา เปรยี บเทยี บกบั ประเทศต่างๆ ตลอดจนการบรหิ ารทอ้ งถน่ิ และการบรหิ ารโครงการ การศกึ ษาวจิ ยั ของสถาบนั นอกจากเปน็ การสรา้ งองคค์ วามรใู้ หม่ ตอ่ ยอดองคค์ วามรเู้ ดมิ อันเป็นการเผยแพร่ผลงานวิชาการสู่สาธารณะ โดยผลงานวิชาการของสถาบันได้เผยแพร่ ในเวทีวิชาการระดับชาติและระดับนานาชาติ นอกจากน้ียังมีงานวิจัยด้านความเป็นพลเมือง และส่งเสริมพลเมืองท่ีกระตือรือร้นในการมีส่วนร่วมทางการเมืองนั้น ส�ำนักส่งเสริมการเมือง ภาคพลเมืองให้ความส�ำคัญกับพฤติกรรมของพลเมืองท้ังในระดับพ้ืนท่ีในการเข้ามีส่วนร่วม และการพฒั นาพฤตกิ รรมพลเมอื งทก่ี ระตอื รอื รน้ และคำ� นงึ ถงึ การเปลย่ี นแปลงของเทคโนโลยี ดิจิทัล (Technology Disruption) ที่ส่งผลต่อพฤติกรรมและรูปแบบของการมีส่วนร่วมของ พลเมอื งทมี่ เี ทคโนโลยแี ละสอ่ื สงั คมออนไลนเ์ ปน็ เครอื่ งมอื งานศกึ ษาของสำ� นกั สง่ เสรมิ การเมอื ง ภาคพลเมืองในปี ๒๕๖๒ จึงเน้นข้อมูลเชิงประจักษ์ของพฤติกรรมพลเมืองในการมีส่วนร่วม ท้ังส่วนร่วมในการเสนอนโยบายและการมีส่วนร่วมผ่านส่ือสังคมออนไลน์ เพ่ือน�ำไปสู่ การออกแบบกลไกท่เี หมาะสมและพฒั นาการส่งเสรมิ ความเปน็ พลเมอื งทเี่ หมาะสมตอ่ ไป งานวิจัยเชิงส�ำรวจได้ด�ำเนินการศึกษาวิจัยด้านสันติวิธีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งได้รับ ความสนใจจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในพ้ืนท่ีชายแดนภาคใต้เพื่อเป็นข้อมูลสนับสนุน แนวทางการสร้างสันติภาพชายแดนใต้ต่อคณะรัฐบาล มากไปกว่านั้นคณะพูดคุยเพื่อ สันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ น�ำโดย พลเอก วัลลภ รักเสนาะ ได้เข้ารับฟังผลการวิจัย ณ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี เพื่อน�ำข้อมูลไปประกอบการด�ำเนิน
60 กระบวนการพูดคุยเพ่ือเจรจาสันติสุขต่อไป ผลการวิจัยเกิดประโยชน์ท้ังต่อผู้ขับเคล่ือนนโยบาย ผู้ท�ำงานด้านสันติภาพ และภาคประชาสังคมท่ีท�ำงานด้านการสร้างสันติภาพ/สันติสุขในสามจังหวัด ชายแดนใต้ นอกจากนี้ ยังน�ำไปใช้ในการเรียนการสอนในสถาบันการศึกษาหลายแห่ง เช่น สถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล หลักสูตรปริญญาโทและปริญญาเอก สาขาสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย ท้ังหลักสูตรภาษาไทยและนานาชาติ และได้น�ำเสนอเวทีสาธารณะ “จับชีพจรสังคมไทย ประเด็นท้าทายและโอกาสในการสร้างสันติสุข ในสังคม” วันท่ี ๗ มกราคม ๒๕๖๓ อีกทั้ง น�ำเสนอในงานสัมมนาทางวิชาการคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ประจำ� ปี ๒๕๖๓ ครง้ั ท่ี ๔๒ หวั ขอ้ “ชวี ติ ทเี่ หลอื่ มลำ�้ : เหลอ่ื มลำ้� ตลอดชวี ติ ” วันท่ี ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ รวมถึงเป็นข้อมูลประกอบการท�ำงานร่วมกับเครือข่ายด้านสันติภาพ ในประเทศไทย นอกจากนน้ั สภาความมนั่ คงแหง่ ชาตไิ ดน้ ำ� ผลของการศกึ ษาวจิ ยั ไปประกอบการจดั ทำ� ตวั ชว้ี ดั ดา้ นความมนั่ คงแหง่ ชาติ และการวจิ ยั เชงิ ปฏบิ ตั กิ ารและวจิ ยั ถอดบทเรยี น เพอื่ แสวงหาองคค์ วามรู้ จากการปฏิบตั จิ ริงและน�ำความรู้ ไปใช้จริงในแตล่ ะพน้ื ท่ี ทั้งนเ้ี พอื่ พฒั นาคณุ ภาพชวี ิตประชาชน และ คณุ ภาพประชาธปิ ไตยเพอื่ เปน็ ประโยชนท์ างวชิ าการ และเปน็ ขอ้ มลู ในการออกแบบนโยบายทส่ี อดคลอ้ ง กับการปฏิบตั ิงานต่อไป การพัฒนาองคค์ วามรเู้ พื่อการพัฒนา ประชาธิปไตย ธรรมาภบิ าล และสนั ติวธิ ี งานวิจยั งานวจิ ยั งานวิจยั สร้างองค์ความรู้ เชงิ สำ� รวจ เชงิ ปฏิบัติการ
รายงานประจ�ำปี ๒๕๖๒ 61 งานวิจัยสร้างองค์ความรู้ ๑. ชุดโครงการวิจัยการศึกษาความเคล่ือนไหว ทางการเมืองและพฤติกรรมการเลือกตั้งสมาชิก สภาผู้แทนราษฎร ๒๕๖๒ การเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเม่ือวันท่ี ๒๔ มีนาคม ๒๕๖๒ เป็นการเลือกต้ังที่เกิดข้ึนภายหลังจากที่ประเทศไทยมิได้มี การเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมาเป็นระยะเวลาเกือบ ๘ ปี ในชว่ งระยะเวลาดงั กลา่ ว ไดเ้ กดิ การเปลยี่ นแปลงในโครงสรา้ งของความ สัมพันธ์ทางอ�ำนาจของประเทศไทยหลายประการ รวมถึงโครงสร้าง ของสถาบันการเมืองไทย โดยเฉพาะในส่วนท่ีเกี่ยวข้องกับระบบ การเลือกต้ัง ผ่านการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญอีก ๓ ฉบบั ไดแ้ ก่ พระราชบญั ญตั ปิ ระกอบรฐั ธรรมนญู วา่ ดว้ ยคณะกรรมการ การเลอื กตง้ั พ.ศ. ๒๕๖๐ พระราชบญั ญตั ปิ ระกอบรฐั ธรรมนญู วา่ ดว้ ย ภาพปกส่วนหนึ่งของชดุ โครงการวจิ ยั พรรคการเมอื ง พ.ศ. ๒๕๖๐ และพระราชบญั ญตั ปิ ระกอบรฐั ธรรมนญู วา่ ดว้ ยการเลอื กตง้ั สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๖๑ กฎหมายท้ังสี่ฉบับนี้ ได้ส่งผลให้การเลือกต้ังท่ีเกิดข้ึนแตกต่างไปจากการเลือกต้ังท่ีผ่านมาตั้งแต่ หลังปี ๒๕๔๔ หลายประการ เช่น การเลือกต้ังแบบบัตรใบเดียว โดยใช้การค�ำนวณคะแนนแบบ “จัดสรร ปันส่วนผสม” ซ่ึงก่อเกิดกติกาหรือบทบัญญัติใหม่ที่จะส่งผลต่อโครงสร้างการเมือง สถาบันการเมืองและองค์กร ท่เี กย่ี วขอ้ งตา่ งๆ สถาบนั พระปกเกลา้ จงึ ไดจ้ ดั ทำ� ชดุ โครงการวจิ ยั เกย่ี วกบั การเลอื กตง้ั สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร ๒๕๖๒ ขนึ้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความเคลื่อนไหวทางการเมืองและพฤติกรรมการเลือกต้ังของประชาชน ศึกษา ผลของการนำ� ระบบการเลอื กตงั้ แบบใหมไ่ ปใช้ ปญั หาอปุ สรรคทเ่ี กดิ ขน้ึ และขอ้ เสนอแนะทพ่ี งึ มี โดยเปน็ กรณศี กึ ษา รายจังหวัดท่ีอาจมีประเด็นความน่าสนใจท่ีโดดเด่นแตกต่างกันไป อาทิ จังหวัดเชียงใหม่ สุรินทร์ สุพรรณบุรี ชลบรุ ี ขอนแกน่ กาฬสินธุ์ รอ้ ยเอด็ กาญจนบุรี สงขลา และกรงุ เทพมหานคร เปน็ ตน้
62 การศึกษานี้เป็นการศึกษาเชิงคุณภาพในระดับพื้นที่ และมีการศึกษาเชิงปริมาณโดยการส�ำรวจ ความคิดเห็นของประชาชนท้ังก่อนและหลังการเลือกตั้ง จากกลุ่มตัวอย่างผู้มีสิทธิเลือกตั้งคือผู้ที่มีอายุ ๑๘ ปี ขนึ้ ไป จำ� นวน ๑,๕๓๗ ตวั อยา่ ง ทจี่ ะทำ� ใหร้ บั ทราบความเหน็ ของประชาชนในประเดน็ อาทิ ปจั จยั สำ� คญั ทจี่ ะทำ� ให้ ไปลงคะแนนเสยี งเลอื กตงั้ การรบั รแู้ ละความพงึ พอใจตอ่ นโยบายตา่ งๆ ของพรรคการเมอื ง การตดิ ตามและแหลง่ ของข้อมูลข่าวสารทางการเมือง ความรู้ความเข้าใจทางการเมืองโดยท่ัวไป ตลอดจนปัจจัยส�ำคัญในการตัดสินใจ เลอื กผู้สมคั รและพรรคการเมืองของประชาชน เปน็ ตน้ นอกจากนี้ ยังได้ท�ำการศึกษาในประเด็นเฉพาะ เช่น ระบบตรวจสอบและวินิจฉัยชี้ขาดการเลือกตั้งท่ี เท่ียงธรรมและน่าเชื่อถือ เป็นต้น ผลการศึกษาเหล่านี้จะเป็นข้อมูลเพ่ือการศึกษาวิเคราะห์ระบบการเลือกตั้ง แบบใหม่ ตลอดจนเป็นฐานข้อมูลอา้ งอิงด้านการพฒั นาประชาธปิ ไตยของประเทศไทยอกี ดว้ ย ๒. เคร่ืองมือปกป้องสิทธิเสรีภาพของประชาชนและชุมชนตามรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๕๑ การศึกษาวิเคราะห์ระบบการรับรองสิทธิเสรีภาพของปวงชนชาวไทย และกลไกการปกป้องคุ้มครอง สิทธิเสรีภาพของประชาชนหรือชุมชนตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๕๑ ที่เน้นเรื่องสิทธิเสรีภาพของประชาชน ในการฟอ้ งรอ้ งหนว่ ยงานของรฐั และกฎหมายทเี่ กยี่ วขอ้ ง โดยศกึ ษาวเิ คราะหเ์ ปรยี บเทยี บกบั ระบบของตา่ งประเทศ อีก ๗ ประเทศ ได้แก่ สเปน เม็กซิโก โคลอมเบีย เปรู เอลซาวาดอร์ เอกวาดอร์ และชิลี เพื่อให้เห็นมิติ เปรียบเทียบ รวมท้ังประเมินผลการบังคับใช้ระบบและกลไกการปกป้องคุ้มครองสิทธิของประชาชนหรือชุมชน ในการตดิ ตามและเร่งรัดให้รฐั ด�ำเนนิ การ ผลการศึกษาพบว่า แนวทางส�ำคัญท่ีอาจจะน�ำมาใช้ประกอบการพิจารณาของหน่วยงานรัฐท่ีเก่ียวข้อง และศาลรัฐธรรมนูญประกอบด้วย การยื่นค�ำร้องต้องด�ำเนินการตามหลักเกณฑ์ที่ก�ำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ คดที จี่ ะรบั ไวพ้ จิ ารณาตอ้ งไมใ่ ชค่ ดที อ่ี ยใู่ นอำ� นาจชขี้ าดขอ้ พพิ าทขององคก์ รอนื่ และหากเปน็ กรณเี กดิ ความทบั ซอ้ น เกยี่ วกบั อำ� นาจจะพจิ ารณาจากความมงุ่ หมายของผลผกู พนั คำ� วนิ จิ ฉยั ทจ่ี ะเกดิ ขน้ึ จากคำ� พพิ ากษา อกี ทง้ั คำ� วนิ จิ ฉยั
รายงานประจ�ำปี ๒๕๖๒ 63 ต้องหลีกเล่ียงไม่ก�ำหนดให้เกิดการปฏิบัติหน้าท่ีของรัฐท่ีสัมพันธ์กับ การใช้จ่ายหรือลงทุนด้วยงบประมาณแผ่นดิน และผู้ถูกร้องในศาล ที่นอกเหนือจากหน่วยงานของรัฐแล้ว จะรวมถึงคณะรัฐมนตรีด้วย ในฐานะทเี่ ปน็ ผนู้ ำ� และผมู้ บี ทบาทอำ� นาจสำ� คญั โดยใหค้ วามสำ� คญั กบั การด�ำเนินการตามหน้าท่ีของรัฐอย่างเป็นรูปธรรม (หรือด�ำเนินการ ตามหน้าท่ีในเชิงรุก) เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์ในการพัฒนาประเทศ ตามวตั ถปุ ระสงค์ ผลการศกึ ษาสามารถนำ� ขอ้ เสนอแนะไปเปน็ แนวทาง การพัฒนาระบบและกลไกการปกป้องคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของ ประชาชนใหค้ รบถว้ นสมบรู ณ์ ๓. การลดความเหลื่อมล้ำ� และสรา้ งความเปน็ ธรรม: กรณบี ัตรสวสั ดกิ ารแห่งรัฐ “โครงการบตั รสวสั ดกิ ารแหง่ รฐั ” เปน็ หนงึ่ ในนโยบายทไี่ ดร้ บั การกลา่ วถงึ อยา่ งเปน็ รปู ธรรมวา่ เกดิ ขน้ึ เพอ่ื ลดความเหล่ือมล�้ำทางสงั คม และสร้างโอกาส ในการเขา้ ถงึ บรกิ ารของรฐั โดยมรี ปู แบบคลา้ ย กับโครงการสวัสดิการส่วนใหญ่ในอดีต โดย เจาะจงทค่ี นจน มจี ดุ ยนื สำ� คญั คอื ประสทิ ธภิ าพ การใช้จ่ายของรัฐ หลีกเลี่ยงการบิดเบือน ตลาดเสรี และการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก แต่ยังขาดความชัดเจนในการแก้ไขปัญหา ความเหล่ือมล้�ำ การใช้เงินจากงบกลาง และ การวางแผน รวมถึงประเมินผลสัมฤทธ์ิใน
64 ระยะยาว งานวจิ ยั นจ้ี งึ มงุ่ ศกึ ษาทมี่ า แนวคดิ และปญั หาของโครงการบตั รสวสั ดกิ ารแหง่ รฐั ตลอดจนแนวคดิ และ กรณีศึกษาของการจัดสวัสดิการในประเทศก�ำลังพัฒนา ได้แก่ อินโดนีเซีย จีน และอินเดีย ประเทศพัฒนาแล้ว ไดแ้ ก่ สหราชอาณาจักรและสวีเดน เพือ่ เทยี บเคยี งและทบทวนขอ้ สงั เกตเพ่อื นำ� ไปสู่การเสนอแนะ ผลการศึกษาพบว่า การใช้นโยบายสวัสดิการแบบเจาะจงท่ีคนจน ท้ังในประเทศก�ำลังพัฒนาและ ประเทศพฒั นาไมไ่ ดน้ ำ� ไปสกู่ ารแกไ้ ขปญั หาการเหลอื่ มลำ�้ แตก่ ลบั เพมิ่ ตน้ ทนุ ในการคดั กรองและบรหิ ารฐานขอ้ มลู และการใชอ้ ำ� นาจบดิ เบอื นกระบวนการจดั สรรประโยชน์ จนทำ� ใหน้ โยบายถกู ใชผ้ ดิ วตั ถปุ ระสงค์ ขอ้ คน้ พบทง้ั หมด ยงั สะทอ้ นใหเ้ หน็ วา่ ควรมกี ารทบทวนโครงการตง้ั แตฐ่ านคดิ จนถงึ กระบวนการดำ� เนนิ งาน และวางแผนการจดั วาง สวัสดิการแบบเจาะจงทคี่ นจนกับภาพใหญ่ของระบบสวสั ดิการของประเทศไทยดว้ ยความระมดั ระวัง ๔. จุดเรม่ิ ต้นสถาปนา “การปกครองประชาธปิ ไตย มีพระมหากษัตริย์เปน็ ประมขุ ” งานวิจัยฉบับน้ีเป็นส่วนหน่ึงของโครงการศึกษาวิจัยเร่ือง “จากมวลชนปฏิวัติสู่มวลชนประชาธิปไตยกับพระมหากษัตริย์: การศกึ ษาพระราชดำ� รขิ องพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ภมู พิ ลอดลุ ยเดช ในกระแสการเปล่ียนแปลงของสังคมไทย” โดยมีวัตถุประสงค์เพ่ือ ศึกษาท่ีมาของแนวคิดเกี่ยวกับการจัดล�ำดับความสัมพันธ์ระหว่าง สถาบันพระมหากษัตริย์กับสถาบันการเมืองของระบอบใหม่ในช่วง ระยะเวลาที่ส�ำคัญมาก คือ ในช่วงต่อเนื่องระหว่างรัชกาลท่ี ๘ กับ รชั กาลท่ี ๙ ซ่งึ เปน็ ช่วงเวลาท่ีฝ่ายต่างๆ ในความขัดแย้งทางการเมือง มีโอกาสได้ปรับตัวและต้ังต้นการจัดบทบาทและพระราชอ�ำนาจของ พระมหากษตั รยิ ์ และจดั ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งสถาบนั พระมหากษตั รยิ ์ กับสถาบันการเมือง ซ่ึงการท�ำความเข้าใจเกี่ยวกับท่ีมาของแนวคิด ดังกล่าวท�ำให้สามารถท�ำความเข้าใจเก่ียวกับแนวพระราชด�ำริทาง
รายงานประจ�ำปี ๒๕๖๒ 65 การเมืองของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลท่ี ๙ ในระยะเวลาต่อมา รายงานการวิจัยดังกล่าวพบว่า ท่ีมา ของแนวคดิ ทส่ี ง่ ผลตอ่ การจดั ลำ� ดบั ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งสถาบนั พระมหากษตั รยิ ก์ บั สถาบนั ทางการเมอื งในระบอบ รัฐธรรมนูญ และการสร้างหรือฟื้นฟูสิทธิอ�ำนาจของพระมหากษัตริย์ มาจากแหล่งท่ีมา ๖ แหล่งที่ส�ำคัญ ได้แก่ ๑. ขอ้ เสนอเดมิ ในการปรบั ระบอบราชาธปิ ไตยสยามเพอื่ แกไ้ ขขอ้ จำ� กดั ทมี่ อี ยใู่ นตวั ระบบเอง และเพอ่ื ตอบสนอง ต่อข้อเรียกร้องเร่ืองความเจริญ ท้ังในทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคมวัฒนธรรม ๒. ความคิดเกี่ยวกับบทบาท และสิทธิอ�ำนาจของพระมหากษัตริย์ รวมทั้งพระราชานุกิจประจ�ำที่ทรงปฏิบัติอยู่ในระบอบเดิม ๓. การอบรม เรียนรู้ในช่วงเวลาการเตรียมพระองค์ให้พร้อมส�ำหรับการปฏิบัติหน้าท่ีพระมหากษัตริย์ภายใต้การเล้ียงดูและ อบรมดแู ลอยา่ งใกลช้ ดิ ของสมเดจ็ พระศรนี ครนิ ทราบรมราชชนนี ๔. ขอ้ เสนอของฝา่ ยราชานภุ าพทป่ี ระกอบดว้ ย คณะบคุ คลอาวโุ สทีท่ ำ� หนา้ ที่ถวายคำ� ปรกึ ษาแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอย่หู วั ๕. แนวพระราชด�ำริของพระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี ๘ เกี่ยวกับพระราชานุกิจของพระมหากษัตริย์ท่ีเหมาะสมกับระบอบใหม่ และ ๖. แนวพระราชด�ำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ ต้ังแต่เมื่อคร้ังยังเป็นสมเด็จพระอนุชาธิราช ท่ีทรงเตรียมบทบาทสนบั สนุนการปฏบิ ตั หิ นา้ ที่พระมหากษตั ริยข์ องสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช ๕. ประชานยิ มในโลกท่เี หลื่อมล�้ำ ความจำ� เปน็ ในการทำ� ความเขา้ ใจอยา่ งลกึ ซง้ึ ตอ่ ความหมายและ บทบาทของ “ประชานยิ ม” และความเชอ่ื มโยงทมี่ ตี อ่ “ความเหลอ่ื มลำ�้ ” ท้ังในมิติของประเทศไทยและต่อนานาชาติ ซึ่งงานวิจัยฉบับน้ีค้นพบว่า ประชานิยมคือรูปแบบวิธีการทางการเมืองท่ีอยู่บนฐานของการสร้าง ความแตกต่างทางศีลธรรมระหวา่ งประชาชนผเู้ ปน็ ฐานความชอบธรรม ทางการเมืองเพียงแหล่งเดียวกับชนช้ันน�ำที่มักจะถูกให้ภาพว่าเป็น ตวั แสดงทฉ๋ี อ้ ฉล บดิ เบอื นเจตนารมณท์ ว่ั ไปของประชาชน และการจดั สรร ทรัพยากรท่ีไม่เท่าเทียมไม่ได้เป็นท่ีมาของการเกิดขึ้นของประชานิยม ซง่ึ ขอ้ คน้ พบทง้ั สองประการนที้ ำ� ใหส้ ามารถนำ� มาสขู่ อ้ สรปุ ไดว้ า่ การเกดิ ขน้ึ
66 ของประชานิยมไม่จ�ำเป็นว่าจะต้องน�ำไปสู่การเรียกร้องของประชาชนให้สามารถกระจายทรัพยากรซึ่งน�ำไปสู่ การลดความเหลื่อมล้�ำทางเศรษฐกิจได้ เพราะข้ึนอยู่กับศักยภาพของรัฐในการน�ำนโยบายไปสู่การปฏิบัติ ทั้งนี้ กุญแจส�ำคัญในการต่อสู้กับปัญหาความเหล่ือมล้�ำนั้นอยู่ที่ “การพัฒนาขีดความสามารถของรัฐ” ทั้งในแง่ของ อ�ำนาจในการดึงทรัพยากรและการน�ำทรัพยากรนั้นไปด�ำเนินนโยบายในการพัฒนา และการกระจายทรัพยากร ไปปฏิบตั ิ ซ่งึ อยู่เหนือผลประโยชนท์ างการเมอื งในระยะสั้น งานวิจัยเชิงส�ำรวจ ๑. โครงการสำ� รวจความคดิ เหน็ ประชาชนตอ่ กระบวนการสนั ตภิ าพจงั หวดั ชายแดน ภาคใต้ (Peace Survey) ครงั้ ท่ี ๕ ภายใต้บริบทโลกท่ีเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วนั้น องค์ความรู้ท่ีมีอยู่จึงต้องได้รับการทบทวน และ สรา้ งองคค์ วามรใู้ หมๆ่ เพอื่ ใหท้ นั ตอ่ สถานการณแ์ ละความเปลยี่ นแปลงทเ่ี กดิ ขน้ึ อยา่ งฉบั พลนั อยตู่ ลอดเวลา โดย สำ� นกั สนั ตวิ ธิ แี ละธรรมาภบิ าล สถาบนั พระปกเกลา้ มคี วามมงุ่ หมายทจ่ี ะพฒั นาองคค์ วามรดู้ า้ นสนั ตวิ ธิ ที ที่ นั สมยั และสรา้ งงานวจิ ยั ทเี่ กดิ ผลประโยชนต์ อ่ ทกุ กลมุ่ องคก์ ร เพอื่ ใหง้ านถกู นำ� ไปใชใ้ นการนำ� เสนอทศิ ทางของสถานการณ์ และประเด็นสาธารณะในพื้นที่ โดยเฉพาะในพ้นื ที่ทค่ี วามขดั แยง้ ยังดำ� รงอยู่ เชน่ ในสามจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ การส�ำรวจความคิดเหน็ ของประชาชนตอ่ กระบวนการสันตภิ าพในจังหวดั ชายแดนใต้ (Peace Survey) เป็นโครงการวิจัยเพ่ือส�ำรวจทิศทางสถานการณ์เพ่ือวัดระดับอุณหภูมิสังคมและประเด็นการเมืองที่ส�ำคัญ ทม่ี วี ตั ถปุ ระสงคห์ ลกั เพอื่ รบั ทราบขอ้ คดิ เหน็ และพฒั นาการทางความคดิ ของประชาชนในจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ อนั เปน็ หลกั พนื้ ฐานของสนั ตภิ าพและประชาธปิ ไตยใชว้ ธิ วี ทิ ยาเชงิ สำ� รวจในการศกึ ษา ทมี่ ขี น้ั ตอนการสมุ่ ตวั อยา่ ง อย่างเป็นระบบ (Systematic Random Sampling) การส�ำรวจความคิดเห็นของประชาชนน้ีมีการท�ำมาตั้งแต่ ปี ๒๔๕๘ ในครั้งนี้เป็นครั้งที่ ๕ เร่ิมต้นเมื่อวันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๖๒ – ๑๕ ตุลาคม ๒๕๖๒ โดยมีจ�ำนวน กลมุ่ ตวั อยา่ ง ๑,๖๓๗ ตวั อยา่ ง จาก ๑๖๔ หมบู่ า้ น ในจงั หวดั ปตั ตานี ยะลา นราธวิ าส และสงขลาในอำ� เภอจะนะ เทพา นาทวี และสะบา้ ยอ้ ย ทง้ั นงี้ านวจิ ยั ดงั กลา่ วมคี วามนา่ สนใจเนอ่ื งจากเปน็ งานวจิ ยั ทร่ี ว่ มมอื กนั ในลกั ษณะของ
รายงานประจ�ำปี ๒๕๖๒ 67 องคก์ รเครอื ขา่ ย Peace Survey ทร่ี วมองคก์ รทที่ ำ� งานดา้ น สันติภาพทั้งองค์กรวิชาการ และองค์กรภาคประชาสังคม ท้ังนอกและในพื้นท่ีชายแดนใต้ จ�ำนวน ๒๔ องค์กร นบั เปน็ ดง่ั พน้ื ทก่ี ลางในการระดมสมองเพอื่ หาทางออกจาก ปัญหาโดยสันติวิธีท่ีหน่วยงานต่างๆ น�ำเอาไปท�ำแผน และน�ำไปอา้ งอิงในท่ีต่างๆ ผลการศึกษาสะท้อนให้เห็นว่าความเชื่อม่ัน ตอ่ รฐั บาลมผี ลตอ่ ความรสู้ กึ ของประชาชนอยา่ งมนี ยั สำ� คญั กลา่ วคอื นบั ตงั้ แตป่ ี ๒๕๕๖ เหตกุ ารณค์ วามไมส่ งบและระดบั ความรุนแรงของเหตุการณ์ในชายแดนภาคใต้มีแนวโน้ม ลดลง แต่จากการส�ำรวจความคิดเห็นของประชาชน ได้พบว่าร้อยละ ๗๒.๘ มองว่า สถานการณ์ความไม่สงบ ยงั เปน็ เชน่ เดมิ หรอื อาจจะแยล่ ง อยา่ งไรกต็ ามแมค้ วามรสู้ กึ ตอ่ สถานการณจ์ ะยงั เปน็ เชน่ เดมิ หรอื อาจจะแยล่ ง แตท่ ศั นคติ ของประชาชนต่อกระบวนการสันติภาพนั้นส่วนใหญ่ยังคง สนับสนุนการแก้ปัญหาด้วยแนวทางสันติวิธีอยู่ โดยร้อยละ ๕๕.๑ มองว่า การพูดคุยสันติภาพน้ันคือทางออก ของปัญหา แม้จะมีข้อกังวลว่าการพูดคุยอาจจะไม่สามารถยุติความรุนแรงได้แต่ประชาชนส่วนใหญ่ก็ยังมี ความหวงั ต่อกระบวนการสนั ติภาพในพ้นื ท่วี า่ จะเกิดขนึ้ ได้จริง ทั้งน้ี เสียงสะท้อนของประชาชนในพ้ืนที่นับเป็นหัวใจส�ำคัญของงานวิจัยช้ินนี้ เพื่อให้ผู้ที่เก่ียวข้องกับ การขับเคล่ือนสันติภาพได้มีข้อมูลท่ีสะท้อนความต้องการของประชาชนทุกกลุ่มและน�ำไปประกอบการตัดสินใจ ในระดับนโยบาย ตลอดจนเพ่ือเป็นส่วนหน่ึงในการสร้างและขยายพ้ืนที่ทางการเมืองให้ประชาชนมีส่วนร่วม ในการแสดงความคิดเห็นและความต้องการของตนเอง โดยรายงานวิจัยช้ินนี้ได้รับความสนใจจากสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรในพื้นที่ชายแดนภาคใต้เพ่ือเป็นข้อมูลสนับสนุนแนวทางการสร้างสันติภาพชายแดนใต้ต่อ คณะรัฐบาลมากไปกว่าน้ันคณะพูดคุยเพื่อสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ น�ำโดย พลเอก วลั ลภ รกั เสนาะ ไดเ้ ขา้ รบั ฟงั ผลการวจิ ยั ฉบบั น้ี ณ มหาวทิ ยาลยั สงขลานครนิ ทร์ วิทยาเขตปัตตานี เพ่ือน�ำข้อมูลไปประกอบการด�ำเนินกระบวนการพูดคุยเพื่อสันติสุข บนโต๊ะเจรจาต่อไปอันก่อให้เกิดประโยชน์ท้ังต่อผู้ขับเคล่ือนนโยบาย ผู้ท�ำงานด้าน สนั ตภิ าพ และภาคประชาสงั คมทท่ี ำ� งานดา้ นการสรา้ งสนั ตภิ าพ สนั ตสิ ขุ และประชาชน ในสามจังหวดั ชายแดนใต้อยา่ งแทจ้ ริง
68 ๒. โครงการดัชนีชี้วัดด้านสันติภาพของสังคมไทยและผลการวัดระดับสันติภาพ (Thai Peace Index) การวัดระดับสันติภาพในสังคมไทยจะเป็นประโยชน์ในการก�ำหนดนโยบายเพ่ือสร้างสันติภาพหรือ สันติสุขในสังคมไทย โดยเป็นประโยชน์ท้ังในการป้องกันความรุนแรงที่จะเกิดข้ึนและจัดการกับความรุนแรง ทเ่ี กดิ ขนึ้ เพอ่ื สำ� รวจองคค์ วามรเู้ กยี่ วกบั ดชั นแี ละตวั ชว้ี ดั ดา้ นสนั ตภิ าพทง้ั ในและตา่ งประเทศ รวมถงึ พฒั นาตวั ชว้ี ดั ด้านสันติภาพที่เหมาะสมกับบริบทของสังคมไทย และวัดระดับสันติภาพในสังคมไทยเพ่ือน�ำไปสู่ข้อเสนอแนะ ในการสร้างสันติภาพให้เกิดข้ึน ซ่ึงงานวิจัยน้ีมีตัวช้ีวัดหลัก ๔ ด้าน มีตัวช้ีวัดย่อย ๒๓ ตัวช้ีวัด ประกอบด้วย ๑. ไม่มีความรุนแรงทางกายภาพ ๒. ความปลอดภัยและ ความมนั่ คงในสงั คม ๓. การยอมรบั ความแตกตา่ งหลากหลาย การไมถ่ กู เลอื กปฏบิ ตั ิ การเคารพสทิ ธมิ นษุ ยชน ๔. มคี วาม เหล่ือมล�้ำในสังคมน้อยและมีการกระจายทรัพยากรที่ เปน็ ธรรม มกี ารเกบ็ ขอ้ มลู ทมี่ าจากแหลง่ ขอ้ มลู ทแี่ ตกตา่ งกนั ทง้ั ขอ้ มลู ทตุ ยิ ภูมทิ ่ีมหี นว่ ยงานอ่นื ไดส้ �ำรวจไว้อยู่แลว้ และ การเก็บข้อมูลปฐมภูมิจากแบบสอบถามท่ีผู้วิจัยได้พัฒนา ขึ้นมาโดยได้รับความอนุเคราะห์เก็บข้อมูลจากส�ำนักงาน สถติ แิ ห่งชาติ จ�ำนวน ๓๓,๔๒๐ ตัวอยา่ ง ผลการศึกษา พบว่า ระดับดัชนีสันติภาพ ของประเทศไทยส�ำหรับปี ๒๕๖๑ มีค่าเท่ากับ ๓.๒๓ คะแนน ถือว่า อยู่ในระดับปานกลาง ในส่วนของคะแนน ดชั นยี อ่ ยทงั้ ๔ ดา้ น ดา้ นทมี่ คี า่ คะแนนสนั ตภิ าพตำ�่ ทส่ี ดุ คอื ความเหลอ่ื มลำ้� ในสงั คมนอ้ ยและมกี ารกระจายทรพั ยากรที่ เปน็ ธรรม (๒.๗๕ คะแนน) สว่ นดา้ นทไ่ี ดค้ ะแนนมากทสี่ ดุ คอื การไมม่ ีความรนุ แรงทางกายภาพ ได้คะแนน (๓.๖๐ คะแนน) การศกึ ษาครัง้ นี้สะท้อนใหเ้ ห็นวา่ ระดับสนั ตภิ าพ ของประเทศไทยอยใู่ นระดบั ปานกลาง และหากพจิ ารณาในระดบั จงั หวดั จะพบวา่ มที ง้ั พน้ื ทที่ ม่ี รี ะดบั สนั ตภิ าพทส่ี งู และกลมุ่ ทม่ี รี ะดบั สนั ตภิ าพทตี่ ำ่� ความแตกตา่ งในลกั ษณะนส้ี ะทอ้ นใหเ้ หน็ วา่ การแกป้ ญั หาระดบั สนั ตภิ าพ ไมค่ วร ด�ำเนินการโดยมองจากภาพรวมเพียงอย่างเดียว การแก้ปัญหาในเชิงพ้ืนท่ีก็มีระดับความส�ำคัญเช่นกัน ผลจาก การศึกษาได้น�ำไปใช้ในการเรียนการสอนในสถาบันการศึกษา เช่น สถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา มหาวทิ ยาลยั มหดิ ล หลกั สตู รปรญิ ญาโทและปรญิ ญาเอก สาขาสนั ตศิ กึ ษา มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณร์ าชวทิ ยาลยั
รายงานประจ�ำปี ๒๕๖๒ 69 ท้ังหลักสูตรภาษาไทยและนานาชาติ น�ำเสนอเวทีสาธารณะ “จับชีพจรสังคมไทย ประเด็นท้าทายและโอกาส ในการสร้างสันติสุขในสังคม” เมื่อวันอังคารท่ี ๗ มกราคม ๒๕๖๓ อีกทั้ง น�ำเสนอในงานสัมมนาทางวิชาการ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ประจ�ำปี ๒๕๖๓ ครั้งท่ี ๔๒ หัวข้อ ชีวิตท่ีเหล่ือมล�้ำ : เหล่ือมล้�ำ ตลอดชวี ติ ๖ กมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๖๓ รวมถงึ เปน็ ขอ้ มลู ประกอบการทำ� งานรว่ มกบั เครอื ขา่ ยดา้ นสนั ตภิ าพในประเทศไทย นอกจากนน้ั สภาความมนั่ คงแหง่ ชาตไิ ดน้ ำ� ผลการศกึ ษาวจิ ยั ไปประกอบการจดั ทำ� ตวั ชว้ี ดั ดา้ นความมน่ั คงแหง่ ชาติ ๓. การส�ำรวจข้อมูลแผนทีค่ วามขัดแยง้ ของประเทศไทย (Conflict Mapping) การส�ำรวจข้อมูลจัดท�ำวิจัยแผนที่ความขัดแย้ง (Conflict Mapping) เปรียบเสมือนเคร่ืองมือพื้นฐาน ทใี่ ชใ้ นการวางแผนการจดั การความขดั แยง้ ดว้ ยการรวบรวมขอ้ มลู แตล่ ะจงั หวดั เพอื่ สรา้ งกระบวนความเขา้ ใจในมติ ิ และประเภทความขดั แยง้ ประเดน็ การขดั แยง้ การแจกแจงคขู่ ดั แยง้ ระดบั การรบั รขู้ องสงั คม สาเหตคุ วามขดั แยง้ คขู่ ดั แยง้ หลกั และจดุ ยนื ผเู้ กย่ี วขอ้ งอน่ื ระยะเวลา สถานะ พลวตั ระดบั ความรนุ แรงและวธิ กี ารแกไ้ ขสถานการณ์ ความขัดแยง้ และส่ิงสำ� คญั คอื การเข้าใจในการสร้างทางเลอื กต่างๆ ในการแกไ้ ขความขัดแยง้ เพื่อใหท้ กุ ฝ่ายเหน็ ภาพรวมของสถานการณ์ความขัดแย้งในในประเทศเป็นภาพท่ีตรงกัน ซ่ึงจะน�ำมาเป็นข้อมูลในการหาทางออก ร่วมกันในอนาคต แต่ละภูมิภาคของประเทศไทย โดยไดส้ ำ� รวจและจดั เกบ็ สถานการณข์ อ้ มลู แผนทค่ี วามขดั แยง้ ของประเทศ ในทุกๆ ๒ ปี เร่ิมท�ำคร้ังแรกต้ังแต่ปี ๒๕๕๘ จนถึงปัจจุบันได้พัฒนาข้อมูลและรูปแบบให้ทันสมัย เพอื่ เปน็ การสำ� รวจเชงิ คณุ ภาพ โดยแบง่ ดว้ ยมิติความขัดแย้ง (Conflict Dimension) ๔ มิติ คือ มิติความขัดแย้ง ทางการเมือง มิติความขัดแย้งทางเศรษฐกิจ มิติความขัดแย้งทางทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และ มติ ิความขัดแยง้ ดา้ นชาติพนั ธุ์ ภาษา ศาสนาและวฒั นธรรม การส�ำรวจข้อมูลแผนท่ีความขัดแย้งของประเทศไทย ในต่างประเทศให้ความสนใจเป็นอย่างมาก เนอ่ื งจากสภาวะการเขา้ ใจความขดั แยง้ ทย่ี งั ดำ� รงอยคู่ ลค่ี ลายดว้ ยพลวตั ทแี่ ตกตา่ งกนั มคี วามสำ� คญั ตอ่ กระบวนการ เรยี นรแู้ ละเขา้ ใจความขดั แยง้ ในบรบิ ททต่ี า่ งกนั และจากการทสี่ ำ� นกั สนั ตวิ ธิ แี ละธรรมาภบิ าล สถาบนั พระปกเกลา้ ได้ให้นักวิจัยในพ้ืนท่ีตามภูมิภาคต่างๆ ในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคใต้ และภาคกลาง ซึ่งผู้วิจัย
70 จึงได้ประยุกต์แนวคิดดังกล่าว เพื่อส�ำรวจ ศึกษา จัดเก็บ และรวบรวมข้อมูลประเด็นความขัดแย้งที่เกิดหรือ มผี ลมาจากการดำ� เนนิ โครงการพฒั นาตา่ งๆ ตามแนวนโยบายของรฐั ในทกุ ภมู ภิ าคของประเทศ โดยสรปุ ประเดน็ ความขดั แยง้ ทเ่ี ปน็ ปญั หาทสี่ ำ� คญั ในแตล่ ะภมู ภิ าค และความเรง่ ดว่ นของแตล่ ะพน้ื ทตี่ ลอดจนรว่ มกนั ตอ่ ยอดและ สนบั สนุนใหเ้ กิดการวจิ ัยเพอื่ การแกป้ ญั หาในพืน้ ท่ี และพฒั นาทอ้ งถิ่นนน้ั ๆ อยา่ งมีประสิทธภิ าพ และนอกจากน้ี เมอื่ การสำ� รวจเสรจ็ สน้ิ ในรอบปี สำ� นกั สนั ตวิ ธิ แี ละธรรมาภบิ าล ไดน้ ำ� ขอ้ มลู เขา้ สรู่ ะบบดจิ ทิ ลั โดยทา่ นสามารถเขา้ ชม ไดท้ ่ี https://conflictmapping-th.com/ อนั จะเปน็ ประโยชนต์ อ่ ผทู้ ส่ี นใจประเดน็ การแกไ้ ขปญั หาความขดั แยง้ ในประเทศไทย ๔. การส�ำรวจขอ้ มลู ธรรมาภิบาลในประเทศไทย (Good Governance Mapping) การสำ� รวจข้อมลู แผนที่ธรรมาภบิ าล (Good Governance Mapping) เป็นนวัตกรรมเครอื่ งมือพนื้ ฐาน ที่ใช้เป็นมุมมองในการจัดระดับธรรมาภิบาลของหน่วยงานต่างๆ ในประเทศไทยท้ังภาครัฐ ภาคเอกชน และ ภาคประชาสังคม ธรรมาภิบาล เป็นกรอบการท�ำงานของทุกหน่วยงาน โดยเฉพาะองค์กรและหน่วยงานต่างๆ ของประเทศ ทงั้ หนว่ ยงานภาครฐั ภาคเอกชน และภาคประชาสงั คมไดใ้ ชห้ ลกั ธรรมาภบิ าล เปน็ กรอบในการทำ� งาน และในปัจจุบันหลายหน่วยงานได้ด�ำเนินการให้ “รางวัลธรรมาภิบาล” อาทิ รางวัลบริการภาครัฐแห่งชาติ
รายงานประจ�ำปี ๒๕๖๒ 71 (Best Practices) ของสำ� นกั งานคณะกรรมการพฒั นาระบบราชการ (ก.พ.ร.) รางวลั องคก์ รโปรง่ ใส ของสำ� นกั งาน คณะกรรมการปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ รติ แหง่ ชาติ (ป.ป.ช.) รางวลั พระปกเกลา้ ทมี่ อบใหแ้ ก่ องคก์ รปกครอง ส่วนท้องถิ่น และรางวัล Thailand NGO Awards ขององค์กรพัฒนาเอกชน จัดรางวัลโดย The Resources Alliance เป็นต้น ซึ่งการมอบรางวัลเป็นการส่งเสริมให้หน่วยงานต่างๆ ได้เกิดความต่ืนตัว และพยายามพัฒนา หน่วยงานตนเอง สร้างสรรค์นวัตกรรม พัฒนาคุณภาพการให้บริการภายใต้หลักคุณธรรม นิติธรรม โปร่งใส ความรับผิดชอบ ความค้มุ ค่าและการมสี ่วนรว่ ม เพื่อกอ่ ใหเ้ กิดประโยชนส์ ุขแก่ประชาชน สถาบนั พระปกเกลา้ จดั ทำ� โครงการสำ� รวจขอ้ มลู ธรรมาภบิ าลในประเทศไทย หรอื Good Governance Mapping โดยโครงการนี้รวบรวมหน่วยงานต่างๆ ท่ีให้รางวัลธรรมาภิบาลในประเทศไทยและหน่วยงาน ที่ได้รับรางวัลธรรมาภิบาลในรูปแบบคลังข้อมูลแผนท่ีด้านธรรมาภิบาล (Good Governance Digital Based) ซงึ่ เปน็ การรวบรวมขอ้ มลู ธรรมาภบิ าลตามองคก์ ารภาครฐั ภาคเอกชน และภาคประชาสงั คม โดยขอ้ มลู จะปรากฏ โดยละเอียดว่าหน่วยงานต่างๆ ได้รางวัลด้านธรรมาภิบาลประเภทใดบ้างและได้จากหน่วยงานใด เพ่ือน�ำไปสู่ การสร้างฐานแท่น (Platform) ซ่ึงเป็นรูปแบบของ Good Governance Mapping ของสถาบันพระปกเกล้า เพื่อใช้ในการติดตามและประเมินผลการน�ำหลักธรรมาภิบาลไปปฏิบัติขององค์กรในประเทศไทยต่อไป โดยส�ำนักสันติวิธีและธรรมาภิบาล ในฐานะหน่วยงานขับเคล่ือนได้น�ำข้อมูลเข้าสู่ระบบดิจิทัล โดยท่านสามารถ เขา้ ชมไดท้ ่ี https://www.goodgovernance.kpi.ac.th/th/home
72 ๕. โครงการศึกษาวิจัยประเมินการกระจายอ�ำนาจท้องถิ่น ประจ�ำปี ๒๕๖๑ (Decentralization Report) การศกึ ษาสถานการณก์ ารกระจายอำ� นาจและการปกครองทอ้ งถนิ่ ทเ่ี กดิ ขนึ้ ในรอบ ๒ ทศวรรษทผี่ า่ นมา และส�ำรวจระดับความเป็นประชาธิปไตยท้องถ่ินของประเทศในปัจจุบัน โดยรวบรวมข้อมูล ข้อเท็จจริงท่ีค้นพบ จากการส�ำรวจระดับประชาธิปไตยท้องถิ่น ตลอดจน รายงานสถานการณ์การกระจายอ�ำนาจผ่านข้อมูลเชิง สถิติท่ีเกิดขึ้นในท้องถิ่น โดยน�ำเสนอเน้ือหาออกเป็น ๒ สว่ น คอื สว่ นที่ ๑ วา่ ดว้ ยเรอื่ ง ประชาธปิ ไตยทอ้ งถนิ่ : บทสำ� รวจความเปน็ ประชาธปิ ไตยทอ้ งถน่ิ ไทย ซงึ่ นำ� เสนอ ภาพรวมความเป็นประชาธิปไตยท้องถิ่นในฐานะ กลไกหน่ึงในการขับเคล่ือนไปสู่รากฐานประชาธิปไตย ในระดับประเทศ และส่วนที่ ๒ ว่าด้วยเรื่อง สถิติ และข้อมูล : สถานการณ์การกระจายอ�ำนาจและ การปกครองท้องถ่ิน เป็นการน�ำเสนอทิศทางและ แนวโน้มของสถานการณ์การกระจายอ�ำนาจและ การปกครองท้องถ่ินผ่านข้อมูลสถิติต่างๆ ต่อไปใน อนาคต ผลการศึกษาวิจัยสามารถน�ำมาพัฒนาให้เป็น ฐานข้อมลู ทีส่ ำ� คัญระดับประเทศ เก่ียวกับการกระจาย อำ� นาจและการปกครองทอ้ งถน่ิ ไทยในอนาคต โดยสะทอ้ น ใหเ้ หน็ ถงึ ศกั ยภาพของทอ้ งถน่ิ ไทย ซง่ึ ผกู้ ำ� หนดนโยบาย ระดับประเทศและระดับท้องถ่นิ สามารถนำ� ข้อมลู ไปใช้ ประกอบการก�ำหนดนโยบายการกระจายอ�ำนาจส่ทู อ้ งถ่ินได้
รายงานประจ�ำปี ๒๕๖๒ 73 งานวิจัยเชิงปฏิบัติการ ๑. การวิจัยเชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนากลไกสนับสนุนการมีส่วนร่วมทางการเมือง ของพลเมืองสายพันธ์ุใหม่ในยคุ ดจิ ิทลั Digital Disruption หรอื สภาวะทนี่ วตั กรรมหรอื เทคโนโลยดี จิ ทิ ลั สง่ ผลกระทบและสรา้ งการเปลย่ี นแปลง อย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง รวมท้ังพฤติกรรมของพลเมืองที่เติบโตขึ้นพร้อมกับการพัฒนา ทางเทคโนโลยีดิจิทัล ซึ่งการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวน�ำไปสู่การปรับตัวและการสร้างโอกาสใหม่ของการพัฒนา ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมืองของพลเมืองเช่นกัน งานดา้ นการสง่ เสรมิ ความเปน็ พลเมอื งและการมสี ว่ นรว่ มทางการเมอื งในสภาวะใหมต่ อ้ งการขอ้ มลู พนื้ ฐานทส่ี ำ� คญั ซง่ึ ยงั ไมม่ กี ารศกึ ษาในประเทศไทย ไดแ้ ก่ พฤตกิ รรมการมสี ว่ นรว่ มทางการเมอื งของพลเมอื งยคุ ดจิ ทิ ลั เทคโนโลยี ที่ใช้และภาครัฐในการส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมืองผ่านเทคโนโลยีดิจิทัล งานวิจัยฉบับดังกล่าวจึงค้นหา ค�ำตอบและนำ� ผลการศกึ ษาไปพัฒนารูปแบบกลไกทเี่ หมาะสมกับการน�ำไปสู่การปฏบิ ตั ติ อ่ ไป ผลการศกึ ษาพบวา่ เทคโนโลยดี จิ ทิ ลั เปน็ เครอื่ งมอื และตวั กลางทส่ี ามารถใชป้ ระโยชนโ์ ดยพลเมอื งและรฐั เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการมีส่วนร่วมต้องเป็นพ้ืนท่ีเปิด มีประสิทธิภาพ และสอดคล้องกับผู้ใช้งานในหลายมิติ ด้านพลเมืองต้องพัฒนาจากการต้ังรับ (Passive) เพียงการไลก์ (Like) และแชร์ (Share) ไปสู่การมีส่วนร่วม อย่างกระตือรือร้น (Active) ด้วยการริเร่ิม ลงมือท�ำ ต้องมีความรู้ความเข้าใจทางการเมือง และการมีส่วนร่วม ด้วยความรู้ ความเข้าใจการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล รู้เท่าทันดิจิทัล (Digital Literacy) มีวิจารณญาณและใช้ดิจิทัล เพื่อการมีส่วนร่วมอย่างสร้างสรรค์ โดยเฉพาะในการติดตามตรวจสอบในด้านของรัฐ ต้องมีการบริหารจัดการ แบบรฐั เปิด (Open Government) เพอื่ เปิดเผยขอ้ มูล ขอ้ เทจ็ จริง และสามารถใช้เทคโนโลยีดิจทิ ลั ในการเข้าถงึ และให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมอย่างสร้างสรรค์ ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพ่ือประโยชน์ของประชาชน ท�ำให้เสียง ของประชาชนได้รับฟังด้วยการมีปฏิสัมพันธ์สะท้อนกับต่อการมีส่วนร่วมของประชาชน นอกจากน้ี ต้องสร้าง ความไวว้ างใจและมนั่ ใจในความปลอดภยั ของประชาชนตอ่ การใชเ้ ทคโนโลยี ดว้ ยการปรบั ปรงุ กฎหมายและบงั คบั ใชก้ ฎหมายใหเ้ อื้อตอ่ การมีส่วนรว่ ม และการปรับโครงสร้างและการทำ� งานของรฐั ให้สอดคลอ้ งกบั การมสี ่วนร่วม ทางการเมอื งผา่ นเทคโนโลยดี จิ ทิ ลั ของประชาชน โดยสรปุ คอื รฐั ยงั คงเปน็ กลไกหลกั ทส่ี ำ� คญั ทต่ี อ้ งขบั เคลอ่ื นดว้ ย แนวคดิ และวธิ กี ารการทำ� งานแบบรฐั เปดิ และใหค้ วามสำ� คญั กบั การมสี ว่ นรว่ ม พลเมอื งคอื ฟนั เฟอื งในการขบั เคลอ่ื นใหก้ ารมสี ว่ นรว่ มทางการเมอื งบรรลเุ ปา้ หมายของการเสรมิ พลงั พลเมือง (Empowerment) ส�ำหรับเทคโนโลยีดิจิทัลเป็นฟันเฟืองย่อยท่ีพลเมืองใช้ เป็นเคร่อื งมือในการขับเคลอ่ื นและรัฐใช้เป็นช่องทางในการสรา้ งการมีสว่ นรว่ มใหเ้ กิดข้ึน อยา่ งรวดเร็ว และมีประสทิ ธภิ าพ
74 ๒. โครงการวิจัยถอดบทเรียนการจัดท�ำแผนพัฒนาท้องถ่ินและงบประมาณแบบ มีส่วนร่วมท่ีค�ำนึงถึงมิติหญิงชาย (Gender Responsive Participatory Budgeting: GRPB) เพ่ือเสริมสร้างความเสมอภาคระหว่างเพศในประเทศไทย ในปี ๒๕๕๖ สถาบันพระปกเกล้า โดย ส�ำนักวิจัยและพัฒนา ด้วยการสนับสนุนขององค์การเพื่อการส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศ และเพิ่มพลัง ของผหู้ ญงิ แหง่ สหประชาชาติ หรอื ทรี่ จู้ กั กนั ในนาม UN Women รว่ มกบั กรมกจิ การสตรแี ละสถาบนั ครอบครวั กระทรวงพัฒนาสังคมและความม่ันคงของมนุษย์ ด�ำเนินโครงการการเสริมสร้างภาวะผู้น�ำของผู้หญิงและ การวางแผนและจดั ทำ� งบประมาณทค่ี ำ� นงึ ถงึ มติ หิ ญงิ ชาย (Promoting Women’s Empowerment in Thailand through Women’s Leadership & Participation and Gender Responsive Planning and Budgeting) ซงึ่ เปน็ การนำ� เอาแนวคดิ การจดั ทำ� งบประมาณทค่ี ำ� นงึ ถงึ มติ หิ ญงิ ชาย (Gender Responsive Budgeting: GRB) มาศกึ ษาวจิ ยั เพอื่ ประยกุ ตใ์ ชใ้ นประเทศไทย GRB ถอื ไดว้ า่ เปน็ เครอื่ งมอื ในการบรหิ ารพฒั นาการจดั ทำ� งบประมาณ เพ่ือสร้างความมั่นใจว่าจะมีการน�ำมิติหญิงชายเข้าสู่กระแสหลักของการพัฒนาและน�ำไปสู่การมีความเสมอภาค ในการบรหิ ารงบประมาณมติ หิ ญงิ ชาย และสง่ ผลใหเ้ กดิ การพฒั นาประเทศอยา่ งมปี ระสทิ ธผิ ลตอ่ ไป ซง่ึ สอดคลอ้ ง กับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน หรือ Sustainable Development Goals (SDGs) อันเป็นกรอบการพัฒนา แหง่ สหประชาชาติ ในเป้าหมายที่ ๕ ที่วา่ ด้วยความเสมอภาคระหว่างทางเพศอีกดว้ ย ผลจากการดำ� เนนิ โครงการวจิ ยั ขา้ งตน้ เปน็ สว่ นหนง่ึ ทผ่ี ลกั ดนั ใหเ้ กดิ การนำ� แนวคดิ นม้ี าบรรจใุ นรฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ ให้มีเร่ืองการจัดสรรงบประมาณโดยค�ำนึงถึงความแตกต่างของเพศ และวยั ไว้อยา่ งชัดเจนในมาตรา ๗๑ วรรค ๔ “...ในการจดั สรรงบประมาณ รฐั พึ งคำ� นงึ ถึง ความจ�ำเป็นและความต้องการทีแ่ ตกตา่ งกนั ของ เพศ วัย และสภาพของบคุ คล ท้ังนี้ เพื่ อความเป็นธรรม” สถาบันได้ท�ำการศึกษามาอย่างต่อเน่ือง หลังจากศึกษาวิจัยจนได้องค์ความรู้และแนวทางท่ีเหมาะสม กับบริบทไทย จึงท�ำการออกแบบหลักสูตรที่ให้เกิดการน�ำไปใช้ให้เป็นจริงโดยใช้กระบวนการแบบมีส่วนร่วม มาผสมผสานเขา้ กบั แนวคดิ การจดั ทำ� งบประมาณทคี่ ำ� นงึ ถงึ มติ หิ ญงิ ชาย เปน็ การจดั ทำ� งบประมาณแบบมสี ว่ นรว่ ม ทคี่ �ำนงึ ถงึ มติ ิหญงิ ชาย (Gender Responsive Participatory Budgeting: GRPB) และน�ำไปใหก้ ารศกึ ษาอบรม กบั องคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถนิ่ ทส่ี มคั รใจโดยดำ� เนนิ งานวจิ ยั เชงิ ปฏบิ ตั กิ ารภายใตช้ อ่ื โครงการวจิ ยั ถอดบทเรยี น การจัดท�ำแผนพัฒนาท้องถ่ินและงบประมาณแบบมีส่วนร่วมที่ค�ำนึงถึงมิติหญิงชาย มาจนถึงปัจจุบัน ท้ังน้ี
รายงานประจ�ำปี ๒๕๖๒ 75 เนื่องจากองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินเป็นหน่วยงานท่ีมีหน้าท่ีในการให้บริการสาธารณะแก่ประชาชนในพื้นท่ี มีความใกล้ชิดกับประชาชนและมีงบประมาณเพื่อพัฒนาในพ้ืนท่ีของตน ซ่ึงประชาชนย่อมมีความคาดหวังว่า จะมีโอกาสได้รับการบริการอย่างท่ัวถึง เสมอภาคและเป็นธรรม โครงการน้ีจึงเป็นตัวอย่างท่ีเป็นรูปธรรมของ กระบวนการจดั ทำ� งบประมาณทค่ี ำ� นงึ ถงึ มติ คิ วามเสมอภาคทอ่ี งคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถน่ิ ของประเทศไทยสามารถ น�ำไปประยกุ ตใ์ ช้ไดจ้ ริง ในปี ๒๕๖๒ โครงการยังคงด�ำเนินงานวิจัยอย่างต่อเน่ืองตามวัตถุประสงค์ข้างต้น โดยใช้รูปแบบของ การวจิ ยั เชงิ ปฏบิ ตั กิ าร (Action Research) โดยนำ� รปู แบบการอบรมเชงิ ปฏบิ ตั กิ าร (Training Module) ทค่ี ณะผวู้ จิ ยั พัฒนาขึ้นจากการศึกษาเอกสารที่เก่ียวข้อง ถ่ายทอดไปยังกลุ่มเป้าหมายผ่านกิจกรรมการอบรมเชิงปฏิบัติการ จากนนั้ กต็ ดิ ตามผลและถอดบทเรยี นผา่ นเครอื่ งมอื แบบสอบถาม การสมั ภาษณเ์ ชงิ ลกึ และการวเิ คราะหข์ อ้ บญั ญตั ิ งบประมาณ เพอื่ สรปุ ผลและปรบั ปรงุ รปู แบบการอบรมเชงิ ปฏบิ ตั กิ ารใหม้ คี วามเหมาะสมและใชไ้ ดจ้ รงิ กบั องคก์ ร ปกครองส่วนท้องถิ่นของประเทศไทยต่อไป ซ่ึงพ้ืนที่เป้าหมายของการศึกษาในครั้งนี้มีด้วยกัน ๕ พ้ืนที่ ได้แก่ เทศบาลตำ� บลกงไกรลาศ จงั หวดั สโุ ขทยั เทศบาลตำ� บลบางนำ�้ เปรย้ี ว เทศบาลตำ� บลศาลาแดง จงั หวดั ฉะเชงิ เทรา เทศบาลตำ� บลอมุ่ เมา้ จังหวัดร้อยเอ็ด และองค์การบรหิ ารสว่ นตำ� บลต�ำนาน จงั หวัดพัทลุง ผลการศกึ ษา พบวา่ ผเู้ ขา้ รว่ มการอบรมเชงิ ปฏบิ ตั กิ ารไดร้ บั ความรู้ มคี วามเขา้ ใจและตระหนกั ตอ่ แนวคดิ การจดั ทำ� งบประมาณทคี่ ำ� นงึ ถงึ ความเสมอภาคระหวา่ งเพศและวยั ดว้ ยกระบวนการมสี ว่ นรว่ มมากขนึ้ และคาดวา่ จะสามารถนำ� ไปประยกุ ตใ์ ชก้ บั การจดั ทำ� แผนชมุ ชนและแผนงบประมาณของหนว่ ยงานตนเองได้ ทง้ั นี้ ปจั จยั ทเี่ ออื้ ใหอ้ งคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถนิ่ สามารถนำ� แนวคดิ GRPB ไปประยกุ ตใ์ ชใ้ นการจดั ทำ� งบประมาณ ไดค้ อื นโยบายของ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนทอ้ งถิน่ ที่มวี สิ ยั ทัศน์ด้านการพัฒนา และเปดิ โอกาสใหผ้ มู้ ีสว่ นเกยี่ วขอ้ งทุกภาคส่วน เขา้ มามสี ว่ นรว่ มในการจดั ทำ� แผนงบประมาณ นอกจากน้ี บคุ ลากรขององคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถน่ิ และผเู้ กย่ี วขอ้ ง ในการจัดทำ� แผนงบประมาณกจ็ ำ� เปน็ ต้องมคี วามเข้าใจเก่ียวกบั แนวคดิ GRPB อย่างชัดเจน และมีความคดิ รเิ ริม่ สรา้ งสรรค์ มงุ่ ผลประโยชนต์ อ่ สว่ นรวมเปน็ สำ� คญั ตลอดจนการมสี ว่ นรว่ มของประชาชนกลมุ่ ตา่ งๆ ทหี่ ลากหลาย อยา่ งไรกต็ าม ยงั คงมอี ปุ สรรคหลายดา้ นในการนำ� เอาแนวคดิ GRPB ไปใชส้ ำ� หรบั องคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถนิ่ อาทิ เชน่ บคุ ลากรขององคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถน่ิ สว่ นใหญย่ งั ขาดความรคู้ วามเขา้ ใจเกยี่ วกบั แนวคดิ GRPB ในสว่ นของ บุคลกรท่ีพอจะมีความรู้ความเข้าใจก็ยังขาดประสบการณ์ในการคิดประยุกต์ใช้ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมเพราะ ยังคุ้นชินกับการคิดและการจัดท�ำงบประมาณแบบเดิม จึงมีข้อเสนอแนะว่าควรมีการเผยแพร่แนวคิด GRPB ในวงกว้างและในเชิงลึก ท้ังภาครัฐ เอกชน และภาคประชาชนให้มีการประชาสัมพันธ์อย่างท่ัวถึงเพื่อให้ GRPB เป็นที่รู้จักในทุกพ้ืนที่ ด้วยเหตุน้ี สถาบันพระปกเกล้า จึงจะด�ำเนินการศึกษาการจัดท�ำเครื่องมือในการอบรมที่ สามารถใหอ้ งคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถน่ิ และผสู้ นใจไดเ้ ขา้ ถงึ เพอื่ เรยี นรแู้ ละสามารถปฏบิ ตั ไิ ดจ้ รงิ ดว้ ยการขยายผล เปน็ การจดั ทำ� ชดุ ความรทู้ สี่ ามารถเรยี นรผู้ า่ นระบบดจิ ทิ ลั และมคี ลนิ กิ ชว่ ยแนะนำ� เสรมิ ความรใู้ นปงี บประมาณตอ่ มา
76 การสัมมนาเชงิ ปฏบิ ัตกิ ารการนำ� เอาแนวคิด GRPB ไปประยุกตใ์ ชเ้ พอ่ื การจัดทำ� งบประมาณของ เทศบาลต�ำบลกงไกรลาศ จังหวัดพษิ ณโุ ลก
รายงานประจ�ำปี ๒๕๖๒ 77 การสมั มนาเชิงปฏบิ ัติการการนำ� เอาแนวคิด GRPB ไปประยุกตใ์ ชเ้ พอ่ื การจัดทำ� งบประมาณของ เทศบาลตำ� บลบางนำ�้ เปรี้ยว จงั หวัดฉะเชงิ เทรา การสมั มนาเชิงปฏิบัตกิ ารการนำ� เอาแนวคดิ GRB ไปประยุกตใ์ ช้เพอ่ื การจดั ทำ� งบประมาณของ เทศบาลต�ำบลศาลาแดง จังหวดั ฉะเชิงเทรา
78 การสัมมนาเชงิ ปฏบิ ตั ิการการนำ� เอาแนวคิด GRB ไปประยกุ ตใ์ ช้เพือ่ การจดั ทำ� งบประมาณของ เทศบาลต�ำบลอ่มุ เม้า จังหวัดรอ้ ยเอด็ การสมั มนาเชงิ ปฏบิ ตั ิการการนำ� เอาแนวคดิ GRB ไปประยกุ ต์ใช้เพ่ือการจดั ทำ� งบประมาณของ องค์การบรหิ ารสว่ นตำ� บลต�ำนาน จงั หวัดพทั ลุง
รายงานประจ�ำปี ๒๕๖๒ 79 ๓. โครงการวจิ ยั การบรหิ ารงานทเ่ี ปน็ เลศิ ของ องคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถนิ่ ประจำ� ปี ๒๕๖๑ โครงการวิจัยการบริหารงานที่เป็นเลิศขององค์กร ปกครองส่วนท้องถ่ิน ประจ�ำปี ๒๕๖๑ ได้ถอดบทเรียน การบริหารงานท่ีเป็นเลิศ (Best Practice) การจัดท�ำ บรกิ ารสาธารณะทโ่ี ดดเดน่ และการรเิ รม่ิ นวตั กรรมทสี่ รา้ งสรรค์ ขององค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินท่ีได้รับรางวัลพระปกเกล้า ประจ�ำปี ๒๕๖๐ ซ่ึงถือเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อนั ดบั ตน้ ของประเทศ จำ� นวนมากกวา่ ๒๐ แหง่ เพอ่ื เผยแพร่ องค์ความรู้ดังกล่าวให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินทั่วไป โดยผลของการศึกษาวิจัยน้ีได้น�ำมาจัดท�ำเป็นหนังสือที่อ่าน เข้าใจได้ง่าย และเผยแพร่ผ่านช่องทางที่หลากหลายเพ่ือให้ องค์ความรู้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด อาทิ ห้องสมุดของ สถาบนั การศกึ ษาทวั่ ประเทศ เวบ็ ไซตข์ องสถาบนั พระปกเกลา้ และการจัดส่งหนังสือให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นโดยตรง เป็นต้น โดยสถาบันได้ด�ำเนินการตีพิมพ์เป็น หนงั สอื “บนั ทกึ เรอ่ื งเดน่ รางวลั พระปกเกลา้ : เหลยี วหลงั แลหนา้ ทอ้ งถนิ่ ไทยกบั การจดั ทำ� บรกิ ารสาธารณะ” หนงั สอื เลม่ นน้ี ำ� เสนอตวั อยา่ งการจดั ทำ� บรกิ ารสาธารณะทโ่ี ดดเดน่ ในประเภทตา่ งๆ ขององคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถน่ิ ที่ได้รับรางวัลพระปกเกล้าในปี ๒๕๖๐ อาทิ ด้านการศึกษา ด้านคุณภาพชีวิตของเด็ก เยาวชน ผู้พิการ และ ผู้สูงอายุ ด้านสาธารณสุข ด้านสาธารณภัย ด้านการท่องเที่ยว ด้านส่ิงแวดล้อม ด้านเศรษฐกิจ และด้านชุมชน เข้มแข็ง เพื่อยกตัวอย่างท่ีเป็นรูปธรรมและจุดประกายความคิดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นท่ัวไปสามารถ สร้างสรรค์บริการสาธารณะหรือนวัตกรรมท่ีเป็นประโยชน์ต่อชุมชนท้องถิ่นอย่างครบวงจรต้ังแต่ครรภ์มารดา สู่เชิงตะกอน นอกจากน้ี หนังสือเล่มนี้จะเป็นประโยชน์ต่อการขยายมุมมองและปรับกลยุทธ์การท�ำงานของ องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินให้ด�ำเนินงานเท่าทันสถานการณ์ความเปล่ียนแปลงทั้งในเชิงรุกและรับ เพ่ือลด ผลกระทบและสร้างโอกาสท่ีเป็นประโยชน์ต่อประชาชนทุกกลุ่มทุกช่วงวัยและต่อชุมชนท้องถ่ิน รวมท้ัง ชว่ ยสรา้ งแรงบนั ดาลใจใหอ้ งคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถน่ิ รเิ รม่ิ การจดั ทำ� บรกิ ารสาธารณะ ทเี่ ปน็ นวตั กรรมเพอ่ื ตอบสนองตอ่ ความเปลยี่ นแปลงในพนื้ ทแ่ี ละเพอื่ สรา้ งประโยชนส์ ขุ ให้แก่ประชาชนอย่างแท้จริง หนังสือเล่มน้ีจึงช่วยตอบโจทย์การพัฒนาศักยภาพและ การท�ำงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน เรียกได้ว่า เป็นหนังสือห้ามพลาดส�ำหรับ องคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถิน่ ไทย
80 ๔. โครงการศกึ ษาวิจัยเพื่อศึกษาพฤตกิ รรมความเปน็ พลเมืองในสังคมไทย งานวิจัยด้านความเป็นพลเมืองและส่งเสริมพลเมือง และส่งเสริมพลเมืองท่ีกระตือรือร้น ในการมีส่วนร่วมทางการเมืองน้ัน ส�ำนักส่งเสริมการเมืองภาคพลเมืองศึกษาวิจัยบนฐานความคิดว่า การมสี ่วนรว่ มในกระบวนการนโยบายสาธารณะ (Participatory Public Policy) สามารถสรา้ งการเรยี นรู้ ให้ประชาชนมีพฤติกรรมความเป็นพลเมืองและสร้างชุมชนพลเมืองได้ โดยน�ำกระบวนการมีส่วนร่วม ในกระบวนการนโยบายสาธารณะดังกล่าวไปสู่การปฏิบัติจริงใน ๔ พ้ืนท่ี ๔ จังหวัด คือ จังหวัด กาฬสินธุ์ อ่างทอง สิงห์บุรี และกระบี่ ซึ่งกระบวนการเรียนรู้เกิดข้ึนผ่านการแก้ไขปัญหาที่เกิดข้ึน ในชมุ ชนของตนดว้ ยการเขา้ ไปมสี ว่ นร่วมในการแกไ้ ขปัญหานน้ั ในทกุ ขั้นตอน ตัง้ แต่ ร่วมคิด รว่ มตดั สนิ ใจ ร่วมท�ำ รว่ มตรวจสอบ และรว่ มรบั ประโยชนก์ บั ภาคส่วนต่างๆ และหนว่ ยงานรัฐทเ่ี กี่ยวข้อง ผลการศึกษา พบว่า กระบวนการนโยบายสาธารณะแบบมีส่วนร่วมเป็นกระบวนการที่ส่งเสริม ความเป็นพลเมืองและการแสดงออกของพฤติกรรมความเป็นพลเมือง ท้ังในด้านความเป็นพลเมือง ทางการเมือง (Political Citizen) การเปลี่ยนแปลงของประสิทธิภาพทางการเมือง (Political Efficacy) ท�ำให้ประชาชนมีพฤติกรรมความเป็นพลเมืองท่ีเชื่อม่ันในความสามารถของตนเอง เข้ามีส่วนร่วมอย่าง กระตือรือร้นในระดับท่ีต้องการเข้าไปมีอิทธิพลทางนโยบาย ซึ่งน�ำไปสู่ข้อเสนอท่ีส�ำคัญในระดับนโยบาย ว่าการก�ำหนดนโยบายสาธารณะของรัฐควรส่งเสริมให้ประชาชนในพื้นท่ีได้มีบทบาทในกิจกรรมต่างๆ ทางการเมอื งและเพม่ิ โอกาสใหม้ สี ว่ นรว่ มในการนำ� เสนอนโยบายความตอ้ งการตอ่ ภาครฐั หนว่ ยงานของรฐั อย่างท่วั ถึง ทั้งนี้เพื่อส่งเสริมให้เกิดความเป็นพลเมอื งในสงั คมไทย
รายงานประจ�ำปี ๒๕๖๒ 81 ๕. โครงการแนวทางการขบั เคลอ่ื นการปฏริ ปู ประเทศ ดา้ นการเขา้ ถงึ ขอ้ มลู ขา่ วสารเกยี่ วกบั ส่งิ แวดลอ้ มและสขุ ภาพของประชาชน ในปี ๒๕๔๔ - ๒๕๔๙ สถาบันพระปกเกล้าร่วมกับ เครือข่ายธรรมาภิบาลส่ิงแวดล้อม ศึกษาวิจัยเพ่ือประเมิน ธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อมในการจัดท�ำนโยบาย ยุทธศาสตร์ แผน โครงการและกจิ กรรมทสี่ ง่ ผลกระทบตอ่ สงิ่ แวดลอ้ มและ สขุ ภาพทค่ี วรใหป้ ระชาชนสามารถตรวจดไู ด้ โดยผลการศกึ ษา ทผ่ี า่ นมาพบวา่ การใหข้ อ้ มลู ขา่ วสารดา้ นสงิ่ แวดลอ้ มและสขุ ภาพ แก่ประชาชนยังประสบปัญหาความสับสนในการให้ข้อมูล ข่าวสาร งานวิจัยนี้จึงเกิดขึ้นเพ่ือจัดท�ำข้อเสนอแนวทาง การขบั เคลอ่ื นการปฏริ ปู ประเทศดา้ นการเขา้ ถงึ ขอ้ มลู ขา่ วสาร เก่ยี วกบั สงิ่ แวดล้อมและสุขภาพของประชาชน งานวิจัยท่ีศึกษาเพ่ือจัดท�ำข้อเสนอ แนวทางการ ขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร โดยมขี อบเขตและวธิ กี ารศกึ ษาในประเดน็ การทบทวนประเภท และรายการขอ้ มลู ขา่ วสารทคี่ วรจดั ไวใ้ หป้ ระชาชน ตรวจดไู ด้ โดยประเมนิ ความตอ้ งการของผใู้ ช้ การศกึ ษาทฤษฎี หลกั การ การใหข้ อ้ มลู ขา่ วสารของหนว่ ยงานภาครฐั และกรณีศึกษาที่ดีในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารทั้งในและต่างประเทศ เพ่ือตรวจสอบและเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร โดยหนว่ ยงานของรฐั ทร่ี บั ผดิ ชอบขอ้ มลู ใหจ้ ดั บรกิ ารใหส้ ามารถเขา้ ถงึ และนำ� ไปใชไ้ ด้ ตลอดจนเพอ่ื จดั ทำ� ขอ้ เสนอ แนวทางปรบั ปรงุ การเขา้ ถงึ ขอ้ มูลขา่ วสารเก่ยี วกับส่งิ แวดลอ้ มและสุขภาพ ผลการศึกษาพบว่า การเข้าถึงข้อมูลข่าวสารเก่ียวกับสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน ยังเผยแพร่ข้อมูลเชิงคุณภาพไม่เพียงพอ ไม่มีหลักการในการเผยแพร่ท่ีชัดเจน ข้อมูลมีข้อจ�ำกัดไม่สมบูรณ์ ขาดการวิเคราะห์ผล ขาดการบูรณาการระหว่างหน่วยงาน ท�ำให้ผู้ใช้ไม่สามารถน�ำข้อมูลไปใช้ได้ นอกจากนี้ ยังพบข้อจ�ำกัดด้านผู้ใช้ การศึกษานี้ท�ำให้เกิดข้อเสนอด้านต่างๆ ได้แก่ ด้านหลักการ ดา้ นขอ้ มลู และด้านผใู้ ช้ เพอื่ เป็นแนวทางในการปรับปรุงตอ่ ไป
82 ๖. โครงการวจิ ยั ถอดบทเรยี นและพัฒนาการบรกิ ารสาธารณะขององคก์ รปกครอง สว่ นทอ้ งถนิ่ และชมุ ชน (Guidebook องคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถนิ่ กบั การขบั เคลอื่ น การจัดการศกึ ษาเพื่อลดความเหลือ่ มล�้ำ) การถอดบทเรียนด้านการศึกษาเพื่อลดความ เหลอื่ มลำ�้ ขององคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถิน่ ท่ีโดดเดน่ และ น่าสนใจ จ�ำนวน ๖ แห่ง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็น แนวทางในการด�ำเนินงานด้านการจัดการศึกษา เพื่อลด ความเหลอื่ มล�้ำตามบรบิ ทของแต่ละท้องถน่ิ และเพอ่ื ให้ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถพัฒนาและต่อยอด การจัดการศึกษาเพื่อลดความเหล่ือมล้�ำให้ดียิ่งขึ้น โดยนำ� เสนอเปน็ ๓ สว่ น ประกอบดว้ ย ๑) สะทอ้ นมมุ มอง นักคิดต่อการจัดการศึกษาเพื่อลดความเหลื่อมล�้ำ นำ� เสนอสถานการณโ์ ลกจนถงึ สถานการณข์ องประเทศไทย และบทบาทขององค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินต่อการจัด การศึกษาเพื่อลดความเหล่ือมล้�ำ ๒) บริบท นโยบาย และกฎหมายท่ีเกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาเพื่อลด ความเหล่ือมล้�ำ น�ำเสนอนโยบาย กฎหมาย ปัญหา ความเหลื่อมล�้ำทางการศึกษา และแนวทางการจัด การศึกษาเพื่อลดความเหลื่อมล้�ำในท้องถิ่น และ ๓) ๖ กรณีศึกษาองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน ซ่ึงเป็นการถอด บทเรยี นกรณศี กึ ษาจำ� นวน ๖ แหง่ ทด่ี ำ� เนนิ การจดั การศกึ ษาเพอ่ื ลดความเหลอ่ื มลำ้� ใหแ้ กเ่ ดก็ และเยาวชนในพนื้ ท่ี ได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล มีผลงานเป็นรูปธรรม และแก้ปัญหาด้านความเหล่ือมล้�ำในประเด็นที่ แตกต่างกัน ผลการวิจัยน้ีสามารถใช้เป็นแนวทางให้องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสงั คมทม่ี สี ว่ นรว่ มในการจดั การศกึ ษานำ� ไปประยกุ ตใ์ ชแ้ ละพฒั นาตอ่ ยอดการจดั การศกึ ษาเพอื่ ลด ความเหลอื่ มลำ�้ และสรา้ งความเทา่ เทยี มในพน้ื ทไ่ี ดด้ ยี ง่ิ ขนึ้ และประสบความสำ� เรจ็ อยา่ งยง่ั ยนื โดยไมท่ งิ้ ใครไวข้ า้ งหลงั
รายงานประจ�ำปี ๒๕๖๒ 83 ๗. โครงการพลเมืองยุคใหม่ ชมุ ชนไรถ้ งั งานวิจัยถอดบทเรียนการด�ำเนินงานขององค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่นท้ัง ๖ แห่ง ท่ีได้น�ำความรู้และแนวคิด จาก “โครงการพลเมืองยุคใหม่ ชุมชนไร้ถัง” ของวิทยาลัย พฒั นาการปกครองทอ้ งถนิ่ ซง่ึ รเิ รม่ิ โครงการมาตงั้ แตป่ ี ๒๕๕๒ เพื่อน�ำเสนอทางเลือกในการบริหารจัดการขยะ ด้วยการ ท�ำงานเป็นเครือข่ายกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดย จดั การอบรมเชิงปฏิบตั กิ ารเพอ่ื การสร้างความรู้ความเขา้ ใจที่ ถูกต้องและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเก่ียวกับการจัดการขยะ สง่ เสรมิ ใหป้ ระชาชนมจี ติ สาธารณะ และมสี ว่ นรว่ มในการดแู ล จดั การปญั หาขยะของชมุ ชนทอ้ งถนิ่ ตนเอง ซงึ่ องคก์ รปกครอง สว่ นทอ้ งถนิ่ ทเี่ ขา้ รว่ มโครงการไดน้ ำ� หลกั คดิ และแนวทางของ โครงการพลเมืองยุคใหม่ ชุมชนไร้ถัง ไปพัฒนากลยุทธ์และ แนวทางการดำ� เนนิ งานตามบรบิ ทของทอ้ งถน่ิ ตนเอง จนสามารถ ลดปรมิ าณขยะ รวมถงึ คา่ ใชจ้ า่ ยในการบรหิ ารจดั การขยะลงได้ อย่างชัดเจน ตลอดจนสามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของ ประชาชนในท้องถิ่นให้มีความเป็นพลเมือง มีส่วนร่วมในการบริหารจัดการท้องถิ่น มีจิตสาธารณะ และคิดถึง ผลประโยชนส์ ว่ นรวม และไดจ้ ดั ทำ� เปน็ คมู่ อื การบรหิ ารจดั การขยะแบบ “พลเมอื งยคุ ใหม่ ชมุ ชนไรถ้ งั ” ในรปู แบบ ที่อ่านสนุก เข้าใจง่าย และสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้อ่านที่จะน�ำไปสู่การเปล่ียนแปลงตนเองและชุมชนท้องถ่ิน ทจ่ี ะเปน็ ประโยชนอ์ ยา่ งยงิ่ ตอ่ การขบั เคลอื่ นการบรหิ ารจดั การขยะแบบมสี ว่ นรว่ มของประชาชน อนั เปน็ จดุ เรม่ิ ตน้ ของความเปน็ พลเมอื งทก่ี ระตอื รือรน้
84 นอกจากนี้ สถาบันยังศึกษาและพัฒนาองค์ความรู้ต่างๆ ด้วยโครงการผลิตบทความและเอกสาร ทางวิชาการ โดยมุ่งหวังที่จะพัฒนาและศึกษาองค์ความรู้ต่างๆ ท่ีเกี่ยวกับการจัดบริการสาธารณะ และ การสอื่ สารประชาสมั พนั ธใ์ นยคุ ดจิ ทิ ลั ขององคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถนิ่ เพอื่ มงุ่ เนน้ ใหอ้ งคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถน่ิ และผู้สนใจท่ัวไป มีความรู้ ความเข้าใจในกระบวนการ ขั้นตอน ตลอดจนวิธีปฏิบัติ โดยการผลิตบทความและ เอกสารทางวิชาการเป็นหนังสือท่ีเน้นข้ันตอนและกระบวนการด�ำเนินงานท่ีง่ายต่อการน�ำไปใช้ (How to) เป็น แนวทางในการปฏิบัติงานในเร่ืองของการจัดบริการสาธารณะและการสื่อสารประชาสัมพันธ์ในองค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่นอยา่ งถูกตอ้ งและเหมาะสม ๑. ปรับเมืองเพ่ื อคนท้ังมวล (Universal Design) ส�ำหรับองค์กรปกครอง ส่วนทอ้ งถ่นิ โดย ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.ชมุ เขต แสวงเจรญิ น�ำเสนอแนวคิดการออกแบบสภาพแวดล้อมและ สิ่งอ�ำนวยความสะดวก ตลอดจนสิ่งของเคร่ืองใช้ โดยมีหลัก ในการออกแบบเพ่ือการใช้งานท่ีสะดวกสบาย ปลอดภัย ครอบคลุมส�ำหรับทุกคน และต้องไม่มีการดัดแปลงพิเศษ หรือเฉพาะเจาะจงเพื่อบุคคลกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง สอดคล้องกับ บรบิ ท วฒั นธรรม ทแ่ี ตกตา่ งหลากหลาย โดยเนน้ กระบวนการ และการมีส่วนร่วม ร่วมคิด ร่วมท�ำ ร่วมสร้างสรรค์ และ การออกแบบนั้น ต้องไม่เกิดการเลือกปฏิบัติ กีดกันใคร คนใดคนหนึง่ ออกจากสังคม
รายงานประจ�ำปี ๒๕๖๒ 85 ๒. Design Thinking : กระบวนการคิดเชิงออกแบบเพ่ื อการพั ฒนาท้องถ่ิน โดย ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.พีรดร แล้วลาย “กระบวนการคิดเชิงออกแบบเพื่อการพัฒนาท้องถ่ิน (Design Thinking)” เป็นเคร่ืองมือท่ีท�ำให้ ทุกคนสามารถใช้วิธีคิดของนักออกแบบในการสร้างสรรค์ส่ิงใหม่ได้เหมือนกับนักออกแบบ การตั้งโจทย์และ การท�ำความเข้าใจกับปัจจัยที่เก่ียวข้อง การค้นหาความเป็นไปได้ในการแก้ปัญหา การหาทางออกที่สร้างสรรค์ การวิเคราะห์ความยากง่ายของทางเลือกจนถึงการพัฒนาต้นแบบเพ่ือการประเมินความเป็นไปได้ในการใช้งาน ทนี่ ำ� ไปสคู่ วามลม้ เหลวของโครงการอยา่ งรวดเรว็ เพอ่ื นำ� ความลม้ เหลวมาตงั้ เปน็ โจทยใ์ หมท่ ม่ี คี วามแมน่ ยำ� มากยงิ่ ขนึ้ การท�ำกระบวนการซ�้ำๆ จนลดความล้มเหลว จนสามารถน�ำแนวคดิ ไปท�ำเปน็ โครงการจริง โดยกระบวนการคดิ เชิงออกแบบมีการใช้อย่างแพร่หลายในภาคธุรกิจ และในช่วง ๕ ปีที่ผ่านมามีการใช้ เคร่ืองมือ กระบวนการคิดเชิงออกแบบอย่างกว้างขวางในต่างประเทศเพ่ือการพัฒนา ท้องถ่ินและบริการสาธารณะทตี่ อบสนองความต้องการของผรู้ บั บรกิ าร
86 ๓. สอ่ื สารยคุ ดจิ ทิ ลั สำ� หรบั องคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถน่ิ ” โดย ดร.มานะ ตรรี ยาภวิ ฒั น์ นำ� เสนอเร่อื งราวเก่ียวกับสอ่ื ในยคุ แหง่ การเปลยี่ นผา่ นของภมู ทิ ัศน์ส่อื จากสือ่ ดัง้ เดิม ไดแ้ ก่ หนังสอื พมิ พ์ วทิ ยุ โทรทศั น์ เปน็ สอ่ื ดจิ ทิ ลั ทำ� ใหก้ ารสอื่ สารประชาสมั พนั ธข์ ององคก์ รสว่ นทอ้ งถนิ่ จำ� ตอ้ งปรบั เปลยี่ นตามไปดว้ ย การบอกเล่าเรื่องราวดีๆ มากมายในชุมชนท้องถ่ิน ไม่จ�ำเป็นต้องส่ือสารผ่านทางส่ือสารมวลชนเพียงอย่างเดียว อกี ตอ่ ไป องคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถนิ่ สามารถเรยี นรกู้ ารวางแผนการสอ่ื สารประชาสมั พนั ธใ์ นรปู แบบใหม่ โดยใช้ สอ่ื สงั คมออนไลนเ์ ปน็ เครอื่ งมอื บอกเลา่ ขา่ วสาร เรอื่ งราวตา่ งๆ ของทอ้ งถน่ิ รวมถงึ การทำ� งานขององคก์ รปกครอง สว่ นทอ้ งถนิ่ ใหส้ าธารณชนไดร้ บั รจู้ ากกรณตี วั อยา่ งและรปู ภาพเพอ่ื ใหง้ า่ ยตอ่ ความเขา้ ใจ
รายงานประจ�ำปี ๒๕๖๒ 87
88 ยุทธศาสตร์ที่ ๒ การพัฒนาผนู้ �ำใหเ้ ปน็ ผู้น�ำทางความคิด และการท�ำงานเพ่ื อเผยแพร่การพัฒนา ประชาธปิ ไตย ธรรมาภบิ าล และสนั ตวิ ิธี “มิติใหม่” ของการจัด หลกั สตู รการเรยี นการสอน ของสถาบัน นับเป็นเวลามากกว่า ๒๐ ปี ที่สถาบัน พระปกเกล้า ได้จัดหลักสูตรการเรียนการสอนมา อยา่ งตอ่ เนอ่ื ง นบั แตป่ ี ๒๕๔๒ เปน็ ตน้ มาจนถงึ ปจั จบุ นั ซึ่งตลอดระยะเวลาท่ีผ่านมาสถาบันไม่หยุดน่ิงที่จะ
รายงานประจ�ำปี ๒๕๖๒ 89 พฒั นาการดำ� เนนิ งานดา้ นการจดั หลกั สตู รการศกึ ษาอบรม ไมว่ า่ จะเปน็ การพฒั นาหลกั สตู รใหมๆ่ เพอื่ ตอบโจทย์ ความตอ้ งการของสงั คม การปรบั ปรงุ เนอื้ หาการเรยี นการสอนใหส้ อดรบั กบั สถานการณก์ ารเปลย่ี นแปลงทเี่ กดิ ขนึ้ อกี ทงั้ การปรบั กระบวนการ วธิ กี ารเรยี นการสอนเพอื่ ใหก้ ารจดั หลกั สตู รการศกึ ษาอบรมของสถาบนั เกดิ ประสทิ ธภิ าพ มากย่ิงขึน้ ในปี ๒๕๖๒ เป็นอีกหนึ่งก้าว ท่ีสถาบันพยายามขับเคลื่อนภารกิจอันส�ำคัญในการผลิตนักศึกษา ที่มีความเป็นผู้น�ำตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เพื่อให้บรรลุตามเป้าหมาย ในการจัดการศึกษาอบรมของสถาบันพระปกเกล้า โดยได้พัฒนางานด้านการจัดการศึกษาอบรมตามทิศทาง ทไ่ี ด้วางไวใ้ นปี ๒๕๖๒ ดงั นี้ การขับเคลื่อน KPI DNA และ Wise Leadership เพื่อพัฒนาผนู้ ำ� ตามระบอบประชาธปิ ไตยอนั มพี ระมหากษตั รยิ ์ ทรงเป็นประมุข การจดั การเรยี นการสอนในหลกั สตู รตา่ งๆ ของสถาบนั ไมเ่ พยี งแตม่ งุ่ ใหค้ วามรทู้ างวชิ าการแตเ่ พยี งอยา่ งเดยี ว แตก่ ารจดั การเรยี นการสอนของสถาบนั ตา่ งมงุ่ เนน้ ทจ่ี ะใหน้ กั ศกึ ษาไดร้ บั ทงั้ ความรตู้ ามวตั ถปุ ระสงคข์ องหลกั สตู ร และสามารถนำ� ความรสู้ กู่ ารปฏบิ ตั จิ รงิ และปรบั เปลยี่ นทศั นติ พฤตกิ รรมใหส้ อดคลอ้ งกบั การเปน็ ผนู้ ำ� ตามระบอบ ประชาธปิ ไตยอนั มพี ระมหากษตั รยิ ท์ รงเปน็ ประมขุ โดยนำ� เครอื่ งมอื ทส่ี ถาบนั ไดพ้ ฒั นาขน้ึ ในปี ๒๕๖๑ มาขบั เคลอื่ น การพฒั นาผู้นำ� อยา่ งตอ่ เนอ่ื ง KPI DNA เป็นกรอบการคิดท่ีมาจากการระดมสมองระหว่างผู้บริหาร บุคลากร และบุคคลท่ีเก่ียวข้อง เพื่อรวบรวมคุณลักษณะร่วมกันท่ีเป็นอัตลักษณ์ของนักศึกษาท่ีเรียนจบจากหลักสูตรต่างๆ ของสถาบัน พระปกเกล้า ซ่ึงสถาบันประสบความส�ำเร็จในการออกแบบชุดแบบสอบถามเรื่อง KPI DNA ซึ่งช่วยให้นักศึกษา ใน ๓ หลกั สตู รนำ� รอ่ ง ไดแ้ ก่ หลกั สตู รประกาศนยี บตั รไทยและประชาคมอาเซยี นในเศรษฐกจิ การเมอื งโลก รนุ่ ที่ ๙ (TAG 9) หลกั สตู รประกาศนยี บตั รชนั้ สงู การเสรมิ สรา้ งสงั คมสนั ตสิ ขุ รนุ่ ที่ ๙ และ รนุ่ ท่ี ๑๐ (สสสส.๙ และ สสสส.๑๐) และหลักสูตรประกาศนียบัตรธรรมาภิบาลของผู้บริหารระดับกลางรุ่นที่ ๒๑ (ปธก.๒๑) และยังอยู่ในช่วงของ พฒั นาแนวทางการเรยี นร้ใู นรูปแบบโต้ตอบ (Interactive) โดยมกี ารพัฒนาเกม KPI - DNA จ�ำนวน ๓ กิจกรรม
90 ได้แก่ ๑. กิจกรรม Perspective ๒. กิจกรรม KPI Idol และ ๓. กิจกรรม Perspective Link เพื่อให้เกิด คา่ นยิ มอนั เปน็ เอกลกั ษณท์ งั้ ในมติ ขิ องการเปน็ ผมู้ คี วามรู้ มคี วามคดิ เพอ่ื สว่ นรวม มคี วามซอื่ สตั ยท์ งั้ ตอ่ ตวั เองและ ส่วนรวม อันเป็นคุณลักษณะส�ำคัญท่ีเป็นพ้ืนฐานของการเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย ท่ีมีธรรมาภิบาล และมงุ่ เน้นการท�ำเพ่ือประโยชนต์ อ่ สาธารณชน การสรา้ ง KPI DNA แก่นักศึกษาสถาบนั อนั เปน็ คุณลกั ษณะเฉพาะท่ีสถาบนั คาดหวงั ท่จี ะให้เกิดขน้ึ กับ นกั ศึกษาที่เข้ารับการศึกษาอบรมในหลกั สูตรของสถาบัน อันประกอบดว้ ยคณุ ลกั ษณะดงั นี้ K – Knowledge ความรทู้ ม่ี าจากการเรยี นรรู้ ว่ มกนั นอกเหนอื จากความรใู้ นหอ้ งเรยี น รวมถงึ การแลกเปล่ียนความคิด ทัศนคติ ซึ่งหัวใจส�ำคัญ คือ Knowledge Co - Creation P – Publicness การคดิ ถงึ สว่ นรวมมากกวา่ สว่ นตน การสรา้ งประโยชนใ์ หเ้ กดิ แกส่ าธารณะ และสังคมโดยสว่ นรวม I – Integrity ความถูกต้องชอบธรรม ความซ่ือสัตย์ รู้ว่าส่ิงใดควรทำ� ไม่ควรท�ำ ปฏิบัติ ในสง่ิ ท่ีถกู ตอ้ ง สุจริต และโปรง่ ใส Wise Leadership คือ ตัวแบบผู้น�ำทรงภูมิปัญญาที่มีปัญญาเชิงปฏิบัติ (Phronesis หรือ Practical Wisdom) โดย อิกูจิโร โนนากะ (Ikujiro Nonaka) และฮิโรทากะ ทาเคะอุชิ (Hirotaka Takeuchi) เพื่อสร้าง ตัวชวี้ ัดใหเ้ ป็นผทู้ ่สี ามารถตัดสนิ ใจได้อย่างลกึ ซึง้ รอบคอบ และทันเวลาว่าอะไรคือสง่ิ ทีด่ ี ส่ิงที่ถูกตอ้ ง ในสถานท่ี และสถานการณท์ เี่ หมาะสม และเลอื กทางปฏบิ ตั ทิ เ่ี กดิ ประโยชนต์ อ่ คนจำ� นวนมาก Wise Leadership เปน็ ตวั แบบ ที่สถาบันพระปกเกล้ามุ่งหวังให้นักศึกษาในหลักสูตรที่ต้ังเป้าหมายไว้สามารถน�ำไปประยุกต์ใช้ได้ท้ังกับหน้าท่ี การงาน และการด�ำรงชีวิต ซ่ึงสถาบันประสบความส�ำเร็จในการออกแบบชุดแบบสอบถามเพ่ือใช้เป็นตัวชี้วัด ลกั ษณะของ Wise Leadership ซง่ึ ชว่ ยใหน้ กั ศกึ ษาใน ๒ หลกั สตู รนำ� รอ่ ง ไดแ้ ก่ ประกาศนยี บตั รชนั้ สงู การเมอื ง การปกครองในระบอบประชาธปิ ไตยสำ� หรบั นกั บรหิ ารระดบั สงู รนุ่ ท่ี ๒๓ และหลกั สตู รประกาศนยี บตั รผนู้ ำ� ยคุ ใหม่ ในระบอบประชาธิปไตย รุ่นที่ ๙ ได้มีความรู้ความเข้าใจและสามารถน�ำตัวแบบนี้ไปประยุกต์ปฏิบัติได้ โดยได้มี การออกแบบหลกั สตู รทง้ั ในสว่ นของเนอ้ื หาวชิ าการ กระบวนการเรยี นการสอน และการศกึ ษาดงู าน ทสี่ อดคลอ้ ง กบั ตัวแบบดังกลา่ ว โดยด�ำเนนิ การพฒั นาต่อยอดกับการน�ำไปใชก้ ับหลักสตู รอืน่ ๆ ของสถาบนั ไดแ้ ก่
รายงานประจ�ำปี ๒๕๖๒ 91 การสรา้ งสมรรถนะความเป็นผู้นำ� ตามคุณลกั ษณะผนู้ ำ� ๖ ด้าน (Wise Leadership) ได้แก่ 1. ความสามารถในการกำ� หนดเปา้ หมายทดี่ แี ละตดั สนิ ใจเพอ่ื สง่ิ ทด่ี งี าม (Ability to Make Judgment on Goodness) 2. ความสามารถในการรู้ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นอย่างเป็นปัจจุบัน (Ability to Grasp the Essence of Particular Situations/Things) 3. ความสามารถในการสรา้ งพ้นื ท่ใี นการแลกเปลย่ี นข้อมลู (Ability to Create “BA”) 4. ความสามารถในการส่อื สารใหเ้ ปน็ ท่ีเข้าใจง่าย (Ability to Articulate the Essence) 5. ความสามารถในการใชอ้ ำ� นาจเพื่อขับเคล่ือนองคก์ ร (Ability to Exercise Political Power) 6. ความสามารถในการสรา้ งผ้นู ำ� ร่นุ ใหม่ (Ability to Foster Phronesis in Other) การสร้างผู้น�ำที่มี KPI DNA และ Wise Leadership ๑. หลกั สตู รประกาศนยี บตั รชนั้ สงู การเสรมิ สรา้ งสงั คมสนั ตสิ ขุ รนุ่ ท่ี ๙ (สสสส.๙) หลักสูตรประกาศนียบัตรชั้นสูงการเสริมสร้างสังคมสันติสุข รุ่นที่ ๙ ด�ำเนินกิจกรรมหลักสูตรต้ังแต่ เดอื นพฤษภาคม ๒๕๖๒ ถงึ เดอื นกมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๖๓ ซง่ึ การเรยี นการสอนของหลกั สตู รเนน้ การเรยี นการสอนแบบ Case Based โดยมีการเรียนสอนในห้องเรียนในแต่ละวิชาจะใช้เวลาแค่ ๑ ช่ัวโมง ๓๐ นาที และอีก ๑ ชั่วโมง ๓๐ นาที จะเป็นการแลกเปล่ียนเรียนรู้ระหว่างวิทยากรและนักศึกษา อีกท้ังเม่ือจบแต่ละกลุ่มวิชาจะให้โอกาส นกั ศกึ ษาไดแ้ ลกเปลย่ี นความรู้ ประสบการณ์ ผา่ นการประยกุ ตใ์ ชจ้ ากวชิ าทไี่ ดเ้ รยี นรตู้ ลอดกลมุ่ วชิ านน้ั ๆ นอกจากน้ี หลกั สตู รไดจ้ ดั การศึกษาดงู านตามภมู ิภาค จ�ำนวน ๔ คร้งั ซงึ่ พน้ื ทด่ี ูงานจะขน้ึ อยู่กบั ประเด็นท่ีจะศกึ ษาเปน็ หลกั (Issue - Oriented) โดยมีความมุ่งหมายส�ำคัญที่จะสร้างโอกาสให้นักศึกษาได้ลงพื้นท่ีจริง และได้ถอดบทเรียน แลกเปล่ยี นเรียนรกู้ นั ระหว่างนักศกึ ษา
92 กจิ กรรมสำ� คญั อกี อยา่ งหนงึ่ ของหลกั สตู ร คอื การใหน้ กั ศกึ ษาไดน้ ำ� ความรจู้ ากในหอ้ งเรยี น นอกหอ้ งเรยี น จดั ทำ� โครงการเพอ่ื การเสรมิ สรา้ งประสบการณเ์ ชงิ ประจกั ษ์ โดยการศกึ ษาประเดน็ ทน่ี า่ สนใจและสามารถทจ่ี ะนำ� ไป ขบั เคลอ่ื นไดจ้ รงิ สรา้ งผล Impact ใหก้ บั สงั คม และนำ� เสนอสสู่ าธารณะ ซงึ่ สำ� หรบั หลกั สตู รประกาศนยี บตั รชน้ั สงู การเสรมิ สรา้ งสงั คมสนั ตสิ ขุ รนุ่ ท่ี ๙ นกั ศกึ ษาสามารถเสนอเปน็ กฎหมายบญั ญตั ใิ นพระราชบญั ญตั อิ ทุ ยานแหง่ ชาติ พ.ศ. ๒๕๖๒ มาตราท่ี ๖๔ และ ๖๕ ด้วยกิจกรรมการเรยี นการสอนของหลักสตู รทเ่ี สริมสรา้ งกระบวนการตา่ งๆ ใหน้ กั ศกึ ษามคี วามรอบรู้ ความเขา้ ใจ มคี วามรว่ มมอื มกี ารประสานงาน และมปี ระสบการณใ์ นการจดั การความขดั แยง้ การนึกถึงส่วนรวม การทำ� ประโยชน์ใหก้ ับสังคมอย่างแทจ้ รงิ การเคารพตนเอง และเคารพซงึ่ กนั และกัน แม้จะมี ความคดิ เห็นต่างกัน ซ่งึ สอดคล้องกบั หลกั การของการสรา้ งนกั ศกึ ษาทมี่ คี วามเป็น KPI DNA อยา่ งแท้จริง ๒. หลักสูตรประกาศนียบัตรช้ันสูงการบริหารงานภาครัฐและกฎหมายมหาชน รนุ่ ท่ี ๑๘ (ปรม.๑๘) การจัดการศึกษาอบรม หลักสูตรประกาศนียบัตรช้ันสูง การบริหารงานภาครัฐและกฎหมายมหาชน นอกจากความมุ่งหวังที่จะให้ผู้เข้าอบรม ซึ่งเป็นผู้บริหารระดับสูงทั้งจากภาครัฐ ภาคเอกชนที่ผ่านหลักสูตรน้ี มคี วามรู้ ทกั ษะ และความสามารถทจ่ี ำ� เปน็ ของการเปน็ ผนู้ ำ� ในดา้ นการเสนอแนะนโยบาย การนำ� นโยบายไปปฏบิ ตั ิ และการเปน็ แบบอยา่ งทดี่ ใี นวงการตา่ งๆ เพอ่ื ทจี่ ะไดน้ ำ� พาประเทศชาตใิ หพ้ ฒั นากา้ วหนา้ สงิ่ สำ� คญั ประการหนง่ึ ที่มุ่งหวังและสอดคล้องกับนโยบายของสถาบัน คือ การปลูกฝังให้ผู้เข้าอบรม “คิด” และ “ท�ำ” เพ่ือสาธารณะ Publicness ผ่านการท�ำกิจกรรมเพื่อสังคม (CSR) ซง่ึ สอดแทรกในระหว่างการศกึ ษาอบรม หรือการศึกษาดูงาน โดยใหค้ วามสำ� คญั กบั ประโยชนส์ ว่ นรวม และสงั คม มากกวา่ ประโยชนส์ ว่ นตน สรา้ งสรรคส์ งิ่ ดงี าม สง่ เสรมิ ใหเ้ กดิ ความเท่าเทยี ม เปล่ยี นแปลงสังคมใหด้ ียิง่ ข้ึน และไปสสู่ ังคมทส่ี ันติสุขตอ่ ไป ส�ำหรับการศึกษาอบรมที่เน้นการสร้างองค์ความรู้ (Knowledge) ที่สถาบันมุ่งส่งเสริมความรู้ ดา้ นการบรหิ ารงานภาครฐั แนวนโยบายสาธารณะ การบรหิ ารจดั การกฎหมายมหาชน รว่ มถงึ การเสรมิ สรา้ งทศั นคตแิ ละ มมุ มองเกย่ี วกบั วฒั นธรรมและวถิ ชี วี ติ ทส่ี อดรบั กบั การเมอื งการปกครองในระบอบประชาธปิ ไตยอนั มพี ระมหากษตั รยิ ์ ทรงเปน็ ประมขุ รวมถงึ การสรา้ งเครอื ขา่ ยในการปฏริ ปู กจิ การบา้ นเมอื งทย่ี งั่ ยนื ทงั้ จากภายในหอ้ งเรยี นทสี่ ามารถ สรา้ งการแลกเปลยี่ นความคดิ เหน็ ระหวา่ งผเู้ รยี นกบั วทิ ยากรและเปดิ โอกาสใหม้ กี ารแลกเปลย่ี นความคดิ เหน็ ระหวา่ ง ผเู้ รยี นทมี่ ปี ระสบการณม์ ารว่ มแลกเปลยี่ นองคค์ วามรโู้ ดยนกั ศกึ ษาจะตอ้ งคำ� นงึ ถงึ การสรา้ งประโยชนต์ อ่ สว่ นรวม ทส่ี ถาบนั ใหค้ วามสำ� คญั ในการสรา้ งความเปน็ พลเมอื งทรี่ บั ผดิ ชอบตอ่ บา้ นเมอื งโดยยดึ หลกั ธรรมาภบิ าล นอกจาก การศึกษาภายในห้องเรียน หลักสูตรยังเปิดโอกาสให้นักศึกษาร่วมท�ำกิจกรรมเพื่อให้เกิดความร่วมแรงร่วมใจ ในการทำ� ความดผี า่ นกจิ กรรมทมี่ คี วามรบั ผดิ ชอบตอ่ สงั คมและสงิ่ แวดลอ้ ม โดยการประสานงานรว่ มกบั ภาคสว่ นตา่ งๆ ทแี่ ตล่ ะคนมีศกั ยภาพ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในยา่ งกา้ วของการพฒั นาที่ยง่ั ยนื ตอ่ ไป
รายงานประจ�ำปี ๒๕๖๒ 93 ๓. หลกั สตู รประกาศนยี บตั รผู้น�ำยคุ ใหมใ่ นระบอบประชาธปิ ไตย รุ่นที่ ๘ (ปนป.๘) หลักสูตรผู้น�ำยุคใหม่ในระบอบประชาธิปไตย กระบวนการเรียนรู้ของหลักสูตรที่ถือเป็นกุญแจส�ำคัญ ทน่ี ำ� ไปสกู่ ารสรา้ งผนู้ ำ� ภายใตก้ รอบแนวคดิ “ผนู้ ำ� กบั ความรบั ผดิ ชอบตอ่ สงั คม” คอื การกำ� หนดใหน้ กั ศกึ ษาจดั ทำ� โครงการกลุ่มเชิงปฏิบัติการ ผ่านกระบวนการ Project Base Learning เพ่ือขับเคลื่อนกิจกรรม โดยนักศึกษา ในกลุ่มจะเป็นผู้ริเร่ิมโครงการ และด�ำเนินโครงการที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม ซึ่งนักศึกษาหลักสูตร ปนป.๘ ได้จดั ท�ำโครงการและเกิดประโยชน์ตอ่ สาธารณะ จ�ำนวน ๑๐ โครงการ สำ� หรับโครงการที่มีความโดดเด่น ดงั น้ี • กิจกรรม Democ Day (โดยนักศึกษากลุ่มนกเค้าแมว) เป็นกิจกรรมท่ีมีเป้าหมายเพ่ือ กระตนุ้ ใหค้ นรนุ่ ใหม่ โดยเฉพาะเยาวชนและกลมุ่ ผมู้ สี ทิ ธเิ ลอื กตงั้ ครงั้ แรก (First Time Voter) ไดต้ ระหนกั ถงึ ความส�ำคัญใหม้ ีกระตอื รอื รน้ ทางการเมอื ง ซึง่ เปน็ กำ� ลงั สำ� คญั อย่างยง่ิ ในการ ขบั เคลอ่ื นประชาธปิ ไตย ใหเ้ ปน็ พลเมอื งทมี่ คี ณุ ภาพซงึ่ รรู้ บั ผดิ ชอบในสทิ ธแิ ละหนา้ ทข่ี องตน ตามระบอบประชาธปิ ไตยอนั มพี ระมหากษตั รยิ ท์ รงเปน็ ประมขุ ผา่ นการจดั กจิ กรรม “วนั สง่ เสรมิ ประชาธปิ ไตย (Democ Day)” ในวนั ที่ ๓ กมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๖๒ โดยจดั การประกวดโครงงาน ประชาธปิ ไตย (Democ Day Contest) อกี ทงั้ ไดร้ ว่ มกบั สำ� นกั งานคณะกรรมการการเลอื กตง้ั จดั เสวนา “วยั แรกโหวต - กาบตั รหวงั สงิ่ ใด” เปน็ การกระตนุ้ ใหค้ นรนุ่ ใหมต่ ระหนกั รถู้ งึ ความสำ� คญั และส่งเสริมประชาธิปไตยในมหาวิทยาลัยและชุมชน ซึ่งสอดคล้องกับบรรยากาศการเมือง การปกครองของประเทศไทย
94 • กจิ กรรม Voter Run วิ่งไปโหวต (โดยนักศกึ ษากลุ่มสงิ โต) กับการจัดกิจกรรม “VOTER RUN 2019 ว่ิงไปโหวต” ได้จัดข้ึนในวันท่ี ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ ซ่ึงกิจกรรมดังกล่าว เป็นการส่งเสริมประชาธิปไตยให้กับคนรุ่นใหม่ให้ออกไปใช้สิทธิเลือกต้ัง โดยเฉพาะกับ คนรุ่นใหม่ท่ีจะได้ใช้สิทธิเลือกตั้งเป็นครั้งแรกและยังน�ำรายได้ส่วนหนึ่งหลังหักค่าใช้จ่าย มอบใหม้ ลู นธิ โิ รงพยาบาลศรธี ญั ญา ซง่ึ ภายในงานมกี ารใหค้ วามรเู้ กย่ี วกบั การไปใชส้ ทิ ธเิ ลอื กตง้ั การจัดท�ำคูหาจ�ำลองการเลือกต้ังให้ผู้เข้าร่วมงานได้เรียนรู้ และท�ำความเข้าใจการเลือกต้ัง ซงึ่ ศลิ ปนิ และดาราจากคา่ ยตา่ งๆ มารว่ มวง่ิ ในฐานะคนรนุ่ ใหมท่ เี่ ปน็ สอื่ นำ� ในการใชส้ ทิ ธขิ อง คนรนุ่ ใหม่ไดอ้ ย่างดี
รายงานประจ�ำปี ๒๕๖๒ 95 • โครงการเปดิ โลกประชาธปิ ไตยใหบ้ คุ คลออทสิ ตกิ (โดยนกั ศกึ ษากลมุ่ ไกฟ่ า้ ) เปน็ โครงการ เพื่อให้บุคคลออทิสติกได้ตระหนักถึงสิทธิและหน้าท่ีในฐานะพลเมืองไทย และการรู้จัก การเลอื กตง้ั จนกระทง่ั สามารถเดนิ เขา้ คหู า และปฏบิ ตั ไิ ดจ้ รงิ และไมก่ อ่ ใหเ้ กดิ บตั รเสยี โดย การสรา้ งสอื่ ประสม (Toolkit) ทเี่ หมาะสมกบั บคุ คลออทสิ ตกิ ซงึ่ จดั ทำ� เปน็ สอื่ ทหี่ ลากหลาย รูปแบบ ได้แก่ การใช้ Flashcard เป็นส่ือในการสร้างความเข้าใจในเร่ือง สิทธิ และหน้าท่ี การใช้ Motion Graphic ถ่ายทอดเร่ืองการเลือกตั้ง และการใช้ Music VDO สร้าง ความเข้าใจเกี่ยวกับข้ันตอนการไปเลอื กตงั้ ๔. หลักสูตรประกาศนียบัตรธรรมาภิบาลส�ำหรับผู้บริหารระดับกลาง รุ่นที่ ๒๑ (ปธก.๒๑) หลักสตู รประกาศนียบตั รธรรมาภิบาลของผู้บริหารระดบั กลาง รนุ่ ท่ี ๒๑ ดำ� เนนิ กิจกรรมหลกั สูตรตง้ั แต่ เดือนมิถุนายน ถึงเดือนธันวาคม ๒๕๖๒ ซ่ึงลักษณะการเรียนการสอนของหลักสูตรจะเป็นรูปแบบการบรรยาย และกระบวนการศึกษาแบบมีส่วนร่วม ทั้งการถกแถลง การสัมมนาสังเคราะห์ และการโต้วาที โดยเปิดโอกาส ให้นักศึกษามีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างวิทยากรและนักศึกษา อีกทั้งเมื่อจบแต่ละกลุ่มวิชาจะให้โอกาส นกั ศกึ ษาได้ทบทวนความรู้ ประสบการณ์ ผ่านการประยุกตใ์ ชจ้ ากวิชาทีไ่ ดเ้ รียนร้ตู ลอดกลุ่มวิชาน้ันๆ นอกจากน้ี
96 หลกั สตู รกำ� หนดใหม้ กี ารศกึ ษาดงู านจากพนื้ ทจี่ รงิ เพอ่ื ศกึ ษาและแลกเปลยี่ นประสบการณก์ บั ผบู้ รหิ ารและผปู้ ฏบิ ตั งิ าน โดยตรง โดยมีความมุ่งหมายส�ำคัญท่ีจะสร้างโอกาสให้นักศึกษาได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ และถอดบทเรียน เพ่ือน�ำไปประยุกต์ใช้กับหน่วยงานของตนเอง ในปี ๒๕๖๒ การลงพ้ืนที่ศึกษาดูงาน ณ จังหวัดอุบลราชธานี เป็นช่วงเดียวกับวิกฤตอุทกภัยในพ้ืนที่ที่ศึกษาดูงาน นักศึกษาได้ตระหนักถึงการสร้างประโยชน์ต่อส่วนรวม จึงได้ร่วมกันท�ำกิจกรรมเพื่อช่วยเหลือชุมชนในพ้ืนที่ โดยระดมทุนซื้ออาหาร ยา และสิ่งของเคร่ืองใช้จ�ำเป็น ไปมอบใหห้ นว่ ยงานในพ้ืนท่ี เพอ่ื ด�ำเนินการสง่ ต่อไปยงั ผปู้ ระสบอทุ กภยั ดังกล่าว อีกกิจกรรมหนึ่งที่มีความส�ำคัญ คือ การจัดท�ำเอกสารวิชาการกลุ่มและการจัดท�ำเอกสารวิชาการ ส่วนบุคคลซ่ึงผู้เข้าอบรมจะต้องถ่ายทอดว่าได้น�ำความรู้ที่จากการศึกษาในหลักสูตรนี้ไปด�ำเนินการปรับใช้ หรือ น�ำไปแก้ปัญหาของหน่วยงานตนเองอย่างไรบ้าง ซ่ึงสอดคล้องกับปณิธานของสถาบันพระปกเกล้าในการสร้าง นักศึกษาให้มี KPI DNA (Knowledge, Publicness, Integrity) โดยสะท้อนผ่านการประเมินนักศึกษา ทม่ี ตี อ่ หลกั สตู ร และผลงานของนกั ศกึ ษาหลกั สตู รทมี่ ตี อ่ องคก์ รและสาธารณชน โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ ในหลกั สตู รนี้ มีจุดเด่นโดยธรรมชาติของนักศึกษา คือ เป็นผู้ซ่ือตรงต่อตนเองและผู้อื่น คือ มีวินัยเรื่องการเข้าศึกษาตามเวลา ท่กี �ำหนดและตรงตอ่ เวลา ซึง่ ผู้เขา้ อบรมสว่ นใหญม่ าจากหน่วยงานราชการตอ้ งลางานเพ่ือมาอบรม โดยสามารถ ดูจากผลการเขา้ เรียนของนกั ศกึ ษาทม่ี ีความรบั ผิดชอบในการเข้าศกึ ษาอบรมเปน็ อยา่ งดี ๕. หลักสูตรสัมฤทธิบัตรการให้บริการสาธารณะโดยการมีส่วนร่วมของประชาชน (People’s Audit) หลักสูตรสัมฤทธิบัตรการให้บริการสาธารณะโดยการมีส่วนร่วมของประชาชน (People’s Audit) ความเปน็ KPI DNA ของสถาบนั ทน่ี กั ศกึ ษาไดร้ บั จากการศกึ ษาอบรมในหลกั สตู รของสถาบนั และนำ� ความรทู้ ไี่ ดร้ บั ไปใช้ในการปฏิบัติงานให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผล โดยการมีส่วนร่วมของประชาชนคือใจความส�ำคัญ ในการเสริมสร้างประชาธิปไตยและธรรมาภิบาล นอกจากนี้ ในการบริหารรัฐกิจแนวใหม่รวมท้ังในยุคของ การปรับเปล่ียนสู่การด�ำเนินการท่ีสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ การมีส่วนร่วมของประชาชนในการให้บริการ สาธารณะเป็นสิ่งส�ำคัญ เพื่อให้ประชาชน องค์กรหรือหน่วยงานท่ีเข้าร่วมโครงการและผ่านการอบรมตาม หลักสูตร มีความรู้ เจตคติ และทักษะ ในเร่ืองการให้บริการสาธารณะโดยกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชน (People’s Audit) อนั นำ� ไปสกู่ ารสง่ เสรมิ จติ สำ� นกึ เรอ่ื งความเปน็ ประชาธปิ ไตย และเสรมิ สรา้ งธรรมาภบิ าล ใหเ้ กดิ ความตระหนกั และเขา้ ใจถงึ ความสำ� คญั ของการมสี ว่ นรว่ มในดา้ นการบรกิ ารสาธารณะ การยกระดบั การใหบ้ รกิ าร และใหผ้ ู้เขา้ รบั การอบรมสามารถประยุกตใ์ ช้การมีส่วนร่วมในรูปแบบตา่ งๆ ได้อยา่ งมปี ระสิทธิผล
รายงานประจ�ำปี ๒๕๖๒ 97 สถาบนั ไดม้ กี ารตดิ ตามประเมนิ ผลการฝกึ อบรมจากผผู้ า่ นการอบรมอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง พบวา่ ผผู้ า่ นการอบรม ทไี่ ดน้ ำ� ความรไู้ ปประยกุ ตใ์ ชส้ ง่ ผลใหเ้ กดิ การพฒั นาและยกระดบั การใหบ้ รกิ ารสาธารณะในเรอ่ื งตา่ งๆ ไมเ่ พยี งแต่ หน่วยงานของรัฐหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินที่มีหน้าที่ในการให้บริการสาธารณะเท่านั้น หากแต่ยังมี ภาคประชาชน ภาคประชาสงั คม และหนว่ ยงานภาคเอกชนทไ่ี ดน้ ำ� ความรจู้ ากโครงการ People’s Audit ไปประยกุ ต์ ใชใ้ หเ้ กดิ ประโยชนต์ อ่ การทำ� งานได้ ทง้ั น้ี ในปี ๒๕๖๒ สามารถยกตวั อยา่ งการนำ� ความรจู้ ากศกึ ษาไปประยกุ ตใ์ ช้ ภาคประชาสงั คม การน�ำองค์ความรู้จากการศึกษาอบรมไปใช้ในกระบวนการมีส่วนร่วมท่ี เรยี นรมู้ าและนำ� ไปใชใ้ นเรอื่ งการสรา้ งการมสี ว่ นรว่ ม ใชใ้ นกจิ กรรมหลาย ประการ อาทิ • การจัดท�ำแผนพัฒนาป่าชุมชน - การร่วมกันปลูกป่า รักษาป่า และ ตดิ ตามประเมนิ ผล • จดั ท�ำแผนพัฒนาคุณภาพการศกึ ษา “๑ ต�ำบล ๑ โรงเรียนคุณภาพ” • การรับฟังความคิดเห็นประชาชนเกี่ยวกับการบริหารจัดการโรงเรียน ขนาดเล็ก • จดั กจิ กรรม “การเลอื กตงั้ ทอ้ งถนิ่ ซอื่ ตรง โปรง่ ใส สจุ รติ ” ทจี่ ะมใี นอนาคต ผลการนำ� เทคนคิ การมสี ว่ นรว่ มไปใช้ ในกจิ กรรมขา้ งตน้ ทำ� ใหบ้ รรลวุ ตั ถปุ ระสงค์ ของกจิ กรรมดว้ ยการมสี ว่ นรว่ มของผเู้ ขา้ รว่ มกจิ กรรม ไมว่ า่ จะเปน็ การจดั ทำ� แผนแบบมีส่วนร่วมทั้งแผนการพัฒนาป่าชุมชนซ่ึงเป็นกิจกรรมต่อเนื่อง มผี ลเชงิ รปู ธรรม แผนการพฒั นาคณุ ภาพการศกึ ษาทไ่ี ดม้ าจากการจดั ทำ� ของ ผเู้ ขา้ ร่วมประชุมจากภาคส่วนต่างๆ รวมถึงกจิ กรรมการรบั ฟงั ความคิดเหน็ หรือการจัดเตรียมการเลือกตั้ง โดยใช้เทคนิคบัตรความคิดเพ่ือให้ทุกคน มสี ่วนรว่ มอย่างเท่าเทยี ม การน�ำความรู้ในเรื่องการสร้างการมีส่วนร่วม ไปใช้ในโครงการส่งเสริม พลเมืองดิจิทัลและการมีส่วนร่วมในการใช้เทคโนโลยีอย่างถูกต้องและ ปลอดภัยบนโลกออนไลน์ท่ีโรงเรียนฝั่งแดง นครพนม ด้วยเทคนิค ORID เชิงประยุกต์ร่วมกับบัตรความคิด ผลท่ีได้รับคือ นักเรียนโรงเรียนฝั่งแดงได้ มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นในเร่ืองความปลอดภัยบนโลกออนไลน์ ในมมุ มองของนักเรยี น ด้วยความกระตือรือรน้ และตัง้ ใจ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253