Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หลักสูตรสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม 2565

หลักสูตรสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม 2565

Published by นนนภรรท โสมณวัฒน์, 2022-08-24 04:18:05

Description: หลักสูตรสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม 2565

Search

Read the Text Version

195 โครงสรา้ งรายวิชา รหัสวิชา ส ๑๖๒๐๑ กลุม่ สาระการเรียนรสู้ งั คมศกึ ษาศาสนาและวัฒนธรรม วชิ าหน้าทพี่ ลเมือง ชั้นประถมศกึ ษาปที ี่ ๖ เวลา ๔๐ ชั่วโมง นำ้ หนัก ๑.๐ หนว่ ยกิต สดั ส่วนคะแนนระหว่างปกี ารศกึ ษา : ปลายปี = ๘๐ : ๒๐ ลำดบั ชื่อหน่วยการ ผลการเรยี นรู้ สาระสำคญั จำนวน นำ้ หนัก ท่ี เรยี นรู้ ชว่ั โมง คะแนน ๑ เราภมู ิใจ ๑. ปฏบิ ตั ิตนและชักชวนผอู้ ่ืน - การปฏิบตั ิตนเป็นผู้มมี ารยาท ๑๐ ๒๐ ในความเป็นไทย ใหม้ มี ารยาทไทย ไทยชกั ชวนผู้อน่ื ในการอนุรกั ษ์ ๒๐ ๒. มีส่วนรว่ มและชกั ชวน ทรัพยากรธรรมชาติ และ ๒๐ ผู้อืน่ ให้อนรุ กั ษ์ สง่ิ แวดลอ้ มและมีสว่ นรว่ มใน ทรัพยากรธรรมชาติ ขนบธรรมเนียมประเพณี และสิ่งแวดล้อม ศิลปวัฒนธรรม และภูมิปญั ญา ๓. มีสว่ นรว่ มใน ไทย ขนบธรรมเนยี มประเพณี ศิลปวัฒนธรรมและภมู ิ ปญั ญาไทย ๔. ปฏบิ ตั ติ นเปน็ ผ้มู ีวนิ ัย ในตนเอง ๒ เรารักชาติ ยึด ๕. เหน็ คณุ ค่าและแนะนำ - เรารักชาตยิ ึดมั่นในศาสนา ๑๐ ม่ันในศาสนา ผ้อู ่นื ใหแ้ สดงออกถึงความรกั และเทิดทูนสถาบนั และเทิดทูน ชาติ ยึดม่นั ในศาสนา พระมหากษตั รยิ ์ เพ่อื ให้ผ้เู รียนมี สถาบนั และเทดิ ทนู สถาบัน ลักษณะที่ดขี องคนไทยภาคภูมิใจ พระมหากษัตริย์ พระมหากษัตริย์ และรกั ษาไวซ้ ึ่งความเปน็ ไทย ๖. ปฏบิ ตั ติ นตามพระบรม ดำเนนิ ชวี ติ ตามวถิ ีประชาธปิ ไตย ราโชวาท หลักการทรงงาน อย่รู ่วมกบั ผอู้ ่นื อย่างสนั ติ และหลกั ปรัชญาเศรษฐกจิ สามารถจัดการความขัดแยง้ ด้วย พอเพียง สนั ติวิธี และมวี นิ ยั ในตนเอง ๗. ปฏิบตั ติ นเปน็ ผ้มู ีวนิ ัย ในตนเอง ๓ เราเปน็ พลเมือง ๘. ปฏบิ ตั ติ นและแนะนำผู้อื่น - ข้อตกลง กติกา กฎ ระเบยี บใน ๑๐ ดีในระบอบ ใหป้ ฏิบตั ิตามข้อตกลง หอ้ งเรียนและโรงเรียน ประชาธิปไตย กติกา กฎ ระเบยี บ - การใช้ส่ิงของ เครือ่ งใช้ วัสดุ อันมี ของห้องเรยี นและโรงเรียน อปุ กรณ์ และสถานท่ีของส่วนรวม พระมหากษัตริย์ ๙. เหน็ คุณค่าและปฏบิ ัตติ น - การดแู ลรกั ษาสิง่ ของ เครอื่ งใช้ ทรงเป็นประมุข ตามบทบาทหน้าท่ี วัสดอุ ุปกรณ์ และสถานที่ของ มสี ่วนรว่ ม สว่ นร่วม

196 ลำดับ ช่อื หนว่ ยการ ผลการเรยี นรู้ สาระสำคญั จำนวน น้ำหนกั ท่ี เรยี นรู้ ชว่ั โมง คะแนน และรบั ผดิ ชอบ ๔ เรามีความ ๑๐ ๒๐ ปรองดอง ในการตัดสนิ ใจในกิจกรรม สมานฉันท์ ๘๐ ของหอ้ งเรยี นและโรงเรียน ๒๐ ๑๐๐ ๑๐. ยอมรบั ความ - การอยรู่ ่วมกันในสังคมแหง่ หลากหลายทางสงั คม ความหลากหลายทง้ั วถิ ชี ีวิต วัฒนธรรมในประเทศไทย วัฒนธรรม ศาสนา และ และอยู่ร่วมกบั ผอู้ นื่ อยา่ งสันติ สิ่งแวดล้อมจำเป็นตอ้ งมีความ และพ่ึงพาอาศัยกนั เคารพซ่งึ กันและกัน รู้จกั สทิ ธิ และหน้าทข่ี องตนเอง เพ่อื ให้เกิด ความสนั ติ สังคมสามารถอยู่ รว่ มกนั และกา้ วหน้าต่อไปได้ อยา่ งสงบสขุ ระหว่างปี ปลายปี/ปลายภาค รวม

197  ผ้สู อนด้านการวดั และประเมินผลการเรียนรู้ ศึกษา/วเิ คราะห์ มาตรฐาน/ตัวชี้วดั จากหลกั สตู รสถานศึกษาและโครงสร้างรายวิชา - กำหนดภาระงาน/ชิน้ งาน ออกแบบหนว่ ยการเรียนรู้ และแผนการประเมิน - เลอื กวิธกี ารประเมิน ช้แี จงรายละเอียดของแผนการประเมินแกผ่ เู้ รียน - สร้าง/จัดหาเครื่องมอื / เกณฑก์ ารประเมนิ ประเมนิ วิเคราะหผ์ ู้เรียน สอนซ่อมเสริม ประเมนิ ความกา้ วหน้าระหวา่ งเรยี น ไมผ่ า่ น ประเมินความสำเร็จหลงั เรียน หน่วยท่ี๑ ผ่าน หน่วยท๒่ี ไมผ่ า่ น สอนซ่อมเสริม หน่วยท่ี … ผ่าน ประเมินผลปลายปี/ สอบแก้ตวั ปลายภาค ดำเนินการตาม ตดั สนิ ผลการเรยี น ระเบยี บ สถานศึกษา สง่ ผลการเรยี นให้ - ครปู ระจำช้ัน/ครทู ่ีปรึกษา เรยี นซำ้ รายวิชาตาม ระเบยี บสถานศึกษา - คณะอนกุ รรมการกลุ่มสาระ อนมุ ัตผิ ลการเรยี น รายงานผลการเรียนตอ่ ผ้เู กย่ี วข้อง แผนภาพท่ี ๔.๑ แสดงภารกจิ ของผู้สอนด้านการวัดและประเมินผลการเรียนรู้

198 การประเมินผลการเรียนรู้ในชั้นเรียนเป็นการดำเนินงานที่บูรณาการในกระบวนการเรียนการสอน ผลที่ได้จากการประเมินในชั้นเรียนสะท้อนทันทีถึงการจัดการสอนของผู้สอน และการเรียนรู้ของผู้เรียน การประเมินในชน้ั เรียนจงึ เป็นแหล่งขอ้ มูลทีม่ ีความสำคัญตอ่ การส่งเสริมการเรียนรบู้ นพ้ืนฐานของหลักฐานอัน เป็นผลมาจากการจดั การเรียนรู้ ดังนนั้ การประเมนิ ในช้นั เรียนจงึ มีความสำคัญต่อการพัฒนาคณุ ภาพการเรยี นรู้ ของผู้เรียน ทำอย่างไรท่ี จะทำให้การประเมินในชั้นเรียนซ่ึงอยู่ในความรับผิดชอบของผูส้ อนมีการดำเนินงาน ที่มีประสิทธิภาพที่สุด แผนภาพที่ ๔.๑ นำเสนอภารกิจของผู้สอนด้านการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่การทำความเข้าใจกับมาตรฐาน/ตัวช้ีวัด ซึ่งเป็นเปา้ หมายการเรียนรู้ จนถึงการดำเนินงาน ตามระเบียบสถานศึกษาว่าดว้ ยการวดั และประเมินผลการเรียนรู้  ตัวช้วี ดั : เปา้ หมายการเรียนรู้ประเภทตา่ ง ๆ หากถามวา่ ทา่ นต้องการให้นักเรยี นของทา่ นเกิดการเรยี นรู้อะไร ครทู ี่สอนตามหลกั สตู รแกนกลาง การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ จะไม่ลังเลที่จะชี้ไปที่มาตรฐานและตัวชี้วัด และหากถามต่อว่า ตัวชี้วัดเหล่านั้นจัดอยู่ในประเภทใดบ้าง หลายท่านคงจัดกลุ่มตัวชี้วัดด้วยความชำนาญเป็นด้านความรู้ (K) ด้านกระบวนการ (P) และเจตคติ (A) และถึงแม้จะมีการจัดประเภทเช่นนี้ แต่ก็เข้าใจกันอยู่แล้วว่าไม่ใช่ การจัดแบ่งที่ตายตัว เพราะในความเป็นจริงเป้าหมายการเรียนรู้หนึ่งอาจเหลื่อมซ้อนอยู่ในหลายประเภท เช่น ความรู้เป็นสิง่ ทตี่ ้องมมี ากอ่ นในทุกเปา้ หมาย ตวั ชว้ี ดั สอ่ื สารใหท้ ราบถึงส่ิงท่ีคาดหวงั ให้เกิดการเรียนรู้ที่ค่อนข้างเจาะจง ตัวช้ีวัดจึงเป็นพ้ืนฐาน ในการจดั การเรยี นรู้และสรา้ งภาระงานการประเมนิ และสะท้อนวา่ สง่ิ ทีจ่ ะวดั และประเมินน้นั จัดเป็นเป้าหมาย ประเภทใด การรู้และเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าตัวชี้วัดนั้นเป็นเป้าหมายการเรียนรู้ประเภทใดจะทำให้ผู้สอน สามารถออกแบบหนว่ ยการเรียนรู้หรอื แผนการสอน กำหนดกจิ กรรมการเรยี นรู้ กิจกรรมการประเมินได้อย่าง มปี ระสทิ ธิภาพ เพราะผสู้ อนจะไดภ้ าพทบี่ ง่ ช้ชี ัดเจนข้ึนวา่ ผ้เู รยี นควรรอู้ ะไร ทำอะไรได้ นอกจากการจัดกลุ่มตัวชี้วัดเป็นด้านความรู้ (K) ด้านกระบวนการ (P) และเจตคติ (A) ดังกล่าว ขา้ งต้นแลว้ Stiggins (๒๐๐๕) ได้จัดเป้าหมายการเรียนรู้ เป็น ๕ ดา้ น ประกอบด้วย ➢ เป้าหมายด้านความรู้ความเข้าใจ (Knowledge and Understanding Targets) เป็นเป้าหมายเกย่ี วกบั ความรคู้ วามเข้าใจในเน้อื หา ได้แก่ ข้อเทจ็ จรงิ เหตุการณ์ กรอบความคดิ กฎเกณฑ์ ➢ หลักการ ตลอดจนความรู้ว่ากระบวนการ วิธีการ ขั้นตอนกล่าวไว้ว่าอย่างไร คำสำคัญที่บ่ง บอกเป้าหมายด้านนี้ ได้แก่ อธิบาย เข้าใจ พรรณนา ระบุ บอก บอกชื่อ บอกรายการ นิยาม จับคู่ เลือก จำ ระลึกได้ เปน็ ต้น ➢ เป้าหมายด้านการคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผล (Reasoning Targets) เป็นเปา้ หมายท่ีเกีย่ วกบั ความสามารถในการคิด โดยกำหนดให้ต้องใช้ความรู้มาแก้ปัญหา ความรู้นี้จะได้มาจากการคิดอย่างลึกซึ้ง คิดด้วย รูปแบบต่าง ๆ ได้แก่ การวิเคราะห์ เปรียบเทียบความเหมือนความแตกต่าง ๆ สังเคราะห์ จัดประเภท อุปนัย

199 นิรนัย ตัดสิน ประเมินค่า เมื่อคิดแล้วต้องแสดงออกมาให้เหน็ วา่ รู้โดยผ่านผลผลิตท่ีเป็นได้ทั้งชิ้นงานหรือการ กระทำ ผลผลิตที่เป็นชิ้นงาน เช่น ประเด็นคำถามปลายเปิดที่ผู้เรียนสร้างขึ้นเพื่อสอบถามความคิดเห็น หรือการทำ คือสาธิตให้ดู ฉะนั้น เครื่องมือประเมินประเภทเลือกตอบ เช่น ข้อสอบแบบเลือกตอบ ไมเ่ พยี งพอทจ่ี ะบอกไดถ้ งึ กระบวนการคิดรูปแบบตา่ ง ๆ ขา้ งต้น ➢ เป้าหมายดา้ นทักษะการปฏบิ ัติ เปน็ เปา้ หมายท่เี กี่ยวกับความสามารถในการปฏิบัติหรือใช้ วิธีการต่าง ๆ ได้ดี เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ที่ยั่งยืน การประเมินการปฏิบัติมักประเมินผ่านการเห็นหรือได้ยิน คำสำคัญที่บ่งบอกเป้าหมายดา้ นนี้ ได้แก่ สังเกต ทดลอง แสดง ทำ ตั้งคำถาม ประพฤติ ทำงาน ฟัง อ่าน พูด ประกอบ ปฏิบัติ ใช้ สาธิต วัด สำรวจ เป็นแบบอย่าง รวบรวม การจะมีทักษะการปฏิบัติได้จะต้องผ่าน เป้าหมายด้านความรูม้ ากอ่ นเสมอ และในหลายกรณีต้องผ่านเปา้ หมายด้านการให้เหตผุ ลด้วย ➢ เปา้ หมายด้านผลผลติ เปน็ เป้าหมายทเ่ี ก่ียวกบั ความสามารถในการใชค้ วามรู้ การคิด ทักษะ เพอื่ สร้างผลผลติ สุดท้ายทีม่ ีคุณภาพและเป็นรูปธรรม เช่น งานเขยี น ชิ้นงานศลิ ปะ รายงาน แผน แบบจำลอง เป็นต้น คำสำคัญที่บ่งบอกเป้าหมายนี้ ได้แก่ ออกแบบ ทำ สร้าง ผลิต พัฒนา เขียน วาด ทำแบบจำลอง จัดนิทรรศการจดั แสดง ➢ เป้าหมายด้านจิตนิสัย (Disposition Targets) เป็นเป้าหมายที่มิใช่ผลสัมฤทธิ์ทางวิชาการ แต่เป็นสถานะทางด้านอารมณ์ ความรู้สึก เชน่ ทศั นคติตอ่ สง่ิ ต่าง ๆ ความม่นั ใจในตนเอง แรงจงู ใจ เปน็ ตน้ เมื่อได้พิจารณาเป้าหมายการเรียนประเภทต่าง ๆ แล้ว จะเห็นว่าตัวชี้วัดที่กำหนดในหลักสูตร แกนกลางการศกึ ษาขัน้ พื้นฐาน สามารถจดั อยใู่ นประเภทตา่ ง ๆ ไดเ้ หมาะสมและชัดเจนข้ึน ตารางที่ ๔.๑ ตัวอย่างตวั ชี้วัดในกล่มุ สาระต่าง ๆ ท่ปี ระกอบด้วยเป้าหมายการเรียนรู้ประเภทต่าง ๆ สาระ ความรู้ การคิด ทกั ษะการปฏบิ ัติ ผลผลิต จิตนิสัย ความเขา้ ใจ การให้เหตุผล (เจตคติ/คุณลักษณะ) ภาษาไทย พูดรายงานเรอื่ ง หรือ แต่งบทรอ้ ยกรอง จำแนกส่วนประกอบของ พูดแสดงความคิดเหน็ และ ประเดน็ ท่ีศึกษาคน้ คว้า ( ท ๔.๑ ป.๖/๕) ทอ่ งจำบทอาขยาน คณิตศาสตร์ ประโยค (ท ๔.๑ ป.๕/๒) ความรูส้ กึ จากเรอื่ งท่ฟี งั จากการฟัง การดู และ ท่ีมีคณุ คา่ ตามความ และดู (ท ๓.๑ ป.๓/๔) การสนทนา สนใจ (ท ๕.๑ ป.๔/๔) ว ิ ท ย า ศ า ส ต ร์ บอกจำนวนส่งิ ตา่ ง ๆ แสดง ( ท ๓.๑ ป.๖/๔) และเทคโนโลยี ส่ิงตา่ ง ๆ ตามจำนวนที่ เปรยี บเทียบ เรียงลำดับ วัดและเปรยี บเทียบ ใชข้ ้อมลู จากแผนภูมิ เลือกใชเ้ คร่อื งตวงที่ กำหนด อา่ นและเขยี น เศษส่วนและจำนวนคละท่ี ความยาวเป็นเมตรและ วงกลมในการหาคำตอบ เหมาะสม วดั และ ตวั เลขฮนิ ดอู ารบกิ ตัวเลข ตวั สว่ นตัวหนึ่งเปน็ พหคุ ณู เซนตเิ มตร ของโจทยป์ ญั หา เปรยี บเทียบปริมาตร ไทย แสดงจำนวนนับไม่ ของอีกตัวหน่งึ (ค 2.1 ป.2/2) (ค 3.1 ป.6/1) ความจเุ ปน็ ลิตรและ เกนิ 100 และ 0 (ค 1.๑ ป.4/4) มลิ ลลิ ิตร (ค 1.๑ ป.1/1) ใชเ้ ครือ่ งมือเพอ่ื วดั มวล (ค 2.๑ ป.๓/11) อธบิ ายแบบรูปเส้นทางการ เปรยี บเทียบความ และปริมาตรของสสาร ข้นึ และตกของดวงจนั ทร์ แตกตา่ งของดาว ท้ัง ๓ สถานะ สรา้ งแบบจำลองแสดง ตระหนักถงึ ความสำคัญ (ว ๓.๑ ป.๔/๑) เคราะหแ์ ละดาวฤกษ์ (ว ๒.๑ ป.๔/๔) องคป์ ระกอบของระบบ ของดวงอาทติ ย์ โดย จากแบบจำลอง สุรยิ ะ (ว ๓.๑ ป.๔/๓) บรรยายประโยชน์ของ (ว ๓.๑ ป.๕/๑) ดวงอาทิตย์ตอ่ ส่ิงมชี วี ิต (ว ๓.๑ ป.๓/๓)

200 สงั คมศึกษา บอกความหมาย วิเคราะห์ความสำคญั ปฏิบัตติ นตามหลกั ธรรม บอกวิธีและประโยชน์ เหน็ คณุ คา่ และปฏบิ ัติ ศาสนาและ ความสำคญั และเคารพ ของพระพุทธศาสนา ของศาสนาที่ตนนบั ถอื ของการใชท้ รพั ยากร ตนในศาสนพธิ ีพิธีกรรม วฒั นธรรม พระรตั นตรัย ปฏิบตั ิตาม หรือศาสนาที่ตนนับถอื เพอื่ การพฒั นาตนเอง อยา่ งยง่ั ยนื และวันสำคัญทาง หลกั ธรรมโอวาท ๓ ใน ในฐานะทเ่ี ป็นมรดกทาง และสงิ่ แวดลอ้ ม (ส ๓.๑ ป.๖/๓) ศาสนา ตามท่กี ำหนดได้ พระพทุ ธศาสนา หรือ วัฒนธรรมและหลกั ใน (ส ๑.๑ ป.๖/๑) ถูกตอ้ ง (ส ๑.๒ ป.๓/๒) หลกั ธรรมของศาสนาทตี่ น การพัฒนาชาติไทย นับถอื ตามทีก่ ำหนด (ส ๑.๑ ป.๕/๑) (ส ๑.๑ ป.๑/๓) สาระ ความรู้ การคดิ ทกั ษะการปฏิบัติ ผลผลิต จติ นสิ ยั (เจตคติ/คุณลักษณะ) สขุ ศึกษาและ ความเขา้ ใจ การใหเ้ หตผุ ล ออกกำลังกาย และเล่น เล่นกีฬาท่ีตนเองชอบ พลศกึ ษา เกมได้ดว้ ยตนเองอยา่ ง อย่างสมำ่ เสมอโดยสร้าง เล่นเกมและกีฬาด้วย อธิบายความสำคัญของ วเิ คราะห์ผลกระทบท่ี สนุกสนาน ทางเลือกในวธิ ีปฏิบตั ิ ความสามคั คแี ละ ศลิ ปะ ระบบสบื พันธุ์ ระบบ (พ ๓.๒ ป.๒/๑) ของตนเองอยา่ ง มีนำ้ ใจนกั กฬี า เกิดจากการระบาดของ หลากหลายและมีน้ำใจ (พ ๓.๒ ป.๖/๖) ไหลเวยี นโลหติ และระบบ ร้องเพลงไทยหรือเพลง นกั กีฬา โรคและเสนอแนว สากลหรอื เพลงไทย (พ ๓.๒ ป.๕/๒) จำแนกทศั นธาตขุ อง หายใจ ที่มีผลตอ่ สุขภาพ สากลที่เหมาะสมกับวัย แสดงท่าทางประกอบ สง่ิ ตา่ ง ๆ ในธรรมชาติ การเจรญิ เติบโตและ ทางการปอ้ งกัน (ศ 2.1 ป.5/5) เพลงตามรูปแบบ สงิ่ แวดล้อม และงาน นาฏศลิ ป์ ทัศนศลิ ป์ โดยเน้น พัฒนาการ โรคตดิ ต่อสำคญั ทพี่ บใน (ศ 3.1 ป.1/2) เรื่องเส้นสี รูปร่าง (พ ๑.๑ ป.๖/๑) รูปทรง พ้ืนผิว และ ประเทศไทย พื้นท่ีวา่ ง อภิปรายเกี่ยวกับอิทธิพล (ศ 1.1 ป.4/3) ของความเชอ่ื ความศรัทธา (พ ๔.๑ ป.๖/๒) ในศาสนาท่มี ีผลต่องาน ทัศนศลิ ปใ์ นท้องถ่นิ เปรยี บเทียบความ (ศ 1.2 ป.6/3) แตกต่างระหว่างงาน ทศั นศิลป์ ทส่ี ร้างสรรค์ ดว้ ยวสั ดอุ ุปกรณแ์ ละ วิธีการทต่ี า่ งกัน (ศ1.1 ป. 5/2) การงานอาชีพ อธบิ ายวธิ กี ารและ ใช้ทักษะการจดั การใน ใช้วัสดุ อปุ กรณ์ และ ทำงานเพอ่ื ชว่ ยเหลือ ใชพ้ ลงั งานและ เคร่อื งมอื ตรงกับ ตนเองและครอบครัว ทรพั ยากรในการทำงาน ภาษาต่าง ประโยชนก์ ารทำงาน การทำงาน อยา่ งเป็น ลกั ษณะงาน อย่างปลอดภัย อยา่ งประหยัด และ ประเทศ เพอื่ ช่วยเหลือตนเอง (ง ๑.๑ ป.๓/๒) (ง ๑.๑ ป.๒/๒) คุ้มคา่ (ง ๑.๑ ป.๔/๔) ครอบครวั และส่วนรวม ระบบ ประณีต และมี (ง ๑.๑ ป.๓/๑) ใช้ภาษาสือ่ สารใน พูด/เขยี นให้ข้อมูล เข้าร่วมกจิ กรรมทาง ความคิดสรา้ งสรรค์ สถานการณต์ า่ ง ๆ เกี่ยวกับตนเอง และ ภาษาและวัฒนธรรม ระบุตวั อกั ษรและเสียง ที่เกดิ ขึน้ ในหอ้ งเรียน เรื่องใกลต้ วั ตามความสนใจ ตวั อักษรของ (ง ๑.๑ ป.๕/๒) และสถานศกึ ษา (ต 1.3 ป.5/1 ) (ต 2.1 ป.6/3) ภาษาตา่ งประเทศและ (ต 4.1 ป. 6/1) ภาษาไทย (ต 2.2 ป.1/1) เปรยี บเทียบความ เหมือน/ความแตกตา่ ง ระหว่างเทศกาลและ ประเพณขี องเจา้ ของ ภาษากับของไทย (ต 2.2 ป.6/2)

201  ภารกจิ โดยสงั เขปของผูส้ อนดา้ นการวัดและประเมนิ ผลการเรียนรู้ ๑. ศึกษา วิเคราะหห์ ลกั สูตร มาตรฐานและตวั ช้ีวัดจากหลกั สูตรสถานศกึ ษา สดั สว่ นคะแนนระหว่าง เรียนกับคะแนนปลายปี/ปลายภาค เกณฑ์ต่าง ๆ ที่สถานศึกษากำหนด ตลอดจนต้องคำนึงถึงคุณลักษณะอัน พึงประสงค์ การอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียน รวมทั้งสมรรถนะต่าง ๆ ที่ต้องการให้เกิดขึ้นในตัวผู้เรียน เพ่ือ นำไปบูรณาการ สอดแทรกในระหว่างการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ทั้งนี้โดยคำนึงถึงธรรมชาติรายวิชา รวมถงึ จดุ เน้นของสถานศึกษา ๒. กำหนดหนว่ ยการเรยี นรู้และแผนการประเมนิ ๒.๑ วิเคราะห์ตัวชี้วัดในแต่ละมาตรฐานการเรียนรู้แล้วจัดกลุ่มตัวชี้วัด ซึ่งอาจใช้ การวิเคราะห์ ๕ ด้านตามแนวทางของ Stiggins หรือ อาจจัดเป็น ๓ ด้าน ได้แก่ ด้านการรับรู้ข้อเท็จจริง (Knowledge) ด้านทักษะกระบวนการ (Process) และด้านความรู้สึกนึกคดิ (Attitude) ดังตัวอย่างน้ี ตวั อยา่ งการวเิ คราะหม์ าตรฐานการเรยี นรู้กลุม่ สาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ตัวชว้ี ดั ความรู้ ทักษะ คณุ ลกั ษณะ (K) (P) (A)   ค ๑.๒ ป.๔/๑   บวก ลบ คูณ หาร และบวก ลบ คูณ หาร ระคนของจำนวนนับและศนู ย์พรอ้ มท้งั   - ตระหนกั ถงึ ความสมเหตุสมผลของคำตอบ ค ๑.๒ ป.๔/๒ วเิ คราะห์และแสดงวิธีหาคำตอบของโจทย์ และโจทยป์ ญั หาระคนของ  จำนวนนบั และศนู ยพ์ ร้อมท้ังตระหนักค่าความสมเหตสุ มผลของคำตอบและสร้างโจทย์ได้ ค ๑.๒ ป.๔/๓ บวกและลบเศษสว่ นทม่ี ตี ่อส่วนเท่ากนั ข้อพึงคำนงึ คือ ในความเปน็ จริงแลว้ เป้าหมายการเรยี นรูม้ คี วามเหลื่อมซอ้ นกนั เปา้ หมายท่ี เปน็ ความรูจ้ ะเปน็ พื้นฐานทตี่ อ้ งมมี ากอ่ นอยใู่ นทุกตวั ชี้วดั โดยทีต่ วั ชีว้ ดั เปน็ การชี้วัดความกา้ วหนา้ ในการเรียนรู้ เป็นการให้ข้อมูลย้อนกลับแก่ครูผู้สอน และช่วยให้ผู้เรียนสามารถติดตามผลการเรียนรู้ของตนเอง (Self-monitor) เปน็ การประเมินการปฏบิ ตั ิ เพือ่ นำสกู่ ารพัฒนาปรบั ปรุงการเรยี นต่อไป (Michael Fullan, Peter Hill and Cormel Crevola , ๒๐๐๖) การวิเคราะห์ตัวชี้วัดจึงช่วยผู้สอนในการกำหนดกิจกรรม การเรียนรแู้ ละการประเมนิ ใหพ้ ัฒนาไปได้ถึงลักษณะของตัวชวี้ ัดที่กำหนด ๒.๒ กำหนดหน่วยการเรียนร้โู ดยเลอื กมาตรฐาน/ตวั ชวี้ ัดท่ีสอดคลอ้ งสัมพนั ธ์กันหรือประเด็น ปัญหาที่อยู่ในความสนใจของผู้เรียน ซึ่งอาจจัดเป็นหน่วยเฉพาะวิชา (Subject unit) หรือหน่วยบูรณาการ (Integrated unit) ทั้งนี้ต้องคำนึงถึงคุณลักษณะอันพึงประสงค์ และสมรรถนะสำคัญของผู้เรียนในหน่วยการ เรียนรู้ด้วย ในขณะเดียวกันผู้สอนสามารถวางแผนการประเมินท่ีสอดคล้องกับมาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วัด ซึ่งในการประเมินนั้นควรใช้วิธีการประเมินที่หลากหลาย เพื่อสามารถประเมินผู้เรียนได้อย่างครอบคลุม และไม่ลำเอยี ง

202 ๒.๓ กำหนดสดั ส่วนเวลาเรยี นในแต่ละหนว่ ยการเรยี นรู้ ตามโครงสรา้ งหลกั สูตรโดยคำนึงถึง ความสำคญั ของมาตรฐานการเรียนรู้/ตวั ชว้ี ัด และสาระการเรยี นรู้ในหน่วยการเรียนรู้ ๒.๔ กำหนดภาระงานหรือชิ้นงานหรือกิจกรรมที่เป็นหลักฐานแสดงว่าผู้เรียนมีความรู้ ความสามารถสะท้อนตามตวั ชีว้ ัด ๒.๕ กำหนดเกณฑ์สำหรับประเมินภาระงาน/ชิ้นงาน/กิจกรรม โดยใช้เกณฑ์การประเมิน (Rubric) หรือกำหนดเปน็ ร้อยละ หรอื ตามท่ีสถานศึกษากำหนด ๓. ชี้แจงรายละเอียดของการวัดและประเมินผลให้ผู้เรียนเขา้ ใจ โดยปกติ ผู้เรียนมักจะมีความ วิตกกังวลว่าในรายวิชาที่ตนเรียนจะตัดสินผลการเรียนอย่างไร การอธิบายให้ผู้เรียนทราบว่าตนถูกคาดหวัง ให้เรียนรู้อะไรบา้ ง ทำอะไรบ้าง เช่น ต้องทำชิ้นงานอะไร จำนวนกี่ชิ้น การให้คะแนนเปน็ อย่างไร มีการสอบ เมอ่ื ใดบ้าง จะทำใหผ้ ูเ้ รียนมีการเตรยี มตัวดยี ่งิ ขนึ้ และหากเปดิ โอกาสใหผ้ เู้ รยี นได้ร่วมอภปิ รายเกี่ยวกับการเก็บ คะแนน เกณฑก์ ารให้คะแนน จะเปน็ การสรา้ งแรงจูงใจและความรับผดิ ชอบต่อการเรียนรยู้ ง่ิ ขนึ้ ดว้ ย  การเก็บหลกั ฐานการประเมิน ปัจจุบันผู้สอนจะได้รับการฝึกให้ออกแบบหน่วยการเรียนรู้โดยคิดถึงเป้าหมายการเรียนรู้ก่อน ว่า จะให้ผู้เรียนรู้อะไร ทำอะไรเป็น มีคุณลักษณะอันพึงประสงค์อย่างไร ทั้งนี้โดยมีมาตรฐาน/ตัวชี้วัด สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของหลักสูตรเป็นพื้นฐานในการกำหนด จากน้ัน จึงคดิ ว่าหลักฐานเชน่ ใดที่จะแสดงว่าผูเ้ รยี นบรรลุเป้าหมายการเรียนรู้ แลว้ จึงเลอื กวธิ กี ารและเครอ่ื งมอื ประเมิน ที่จะใช้เก็บรวบรวมผลการเรียนรู้ของแต่ละคนเพื่อให้เข้าใจผู้เรียนได้ดีขึ้น ผลการเรียนรู้ที่เก็บในชั้นเรียน แต่ละครั้งไม่ใช่สิ่งที่ต้องนำมาตัดสินผลให้คะแนนทุกครั้ง บางครั้งเป็นการตรวจสอบความก้าวหน้า บางคร้ัง เป็นการฝึกฝน บางครั้งเป็นการหาว่ามปี ัญหาอะไร เป็นต้น ฉะนั้น ในการเก็บหลักฐานการประเมินจึงขึน้ อยู่ กบั วตั ถุประสงคด์ ว้ ย การจัดประเภทของการประเมินตามวตั ถปุ ระสงคก์ ล่าวโดยสรุปดงั ตอ่ ไปนี้ ประเภทของการประเมินในชัน้ เรียนโดยท่ัวไปจะมีการใช้การประเมนิ ๓ ประเภทตอ่ ไปนี้ ➢ การประเมินเพื่อวินิจฉัย (Diagnostic Assessment) เป็นการเก็บข้อมูลเพื่อค้นหาว่า ผู้เรยี นรอู้ ะไรมาบ้างเกีย่ วกับสิ่งท่ีจะเรยี น สิง่ ที่รู้มากอ่ นน้ีถูกตอ้ งหรือไม่ จึงเปน็ การใช้ในลักษณะประเมินก่อน เรียน นอกจากน้ียังใช้เพือ่ หาสาเหตุของปัญหาหรืออปุ สรรคต่อการเรียนรู้ของผูเ้ รียนเป็นรายบคุ ลที่มักจะเป็น เฉพาะเรอ่ื ง เชน่ ปญั หาการออกเสียงไมช่ ัด แลว้ หาวิธีปรบั ปรงุ เพอื่ ใหผ้ เู้ รียนสามารถพัฒนาและเรยี นรู้ขั้นต่อไป วิธีการประเมนิ ใชไ้ ดท้ ั้งการสงั เกต การสอบพดู คยุ สอบถาม หรอื การใช้แบบทดสอบกไ็ ด้ ➢ การประเมินความก้าวหน้า (Formative Assessment) เป็นการประเมินเพื่อพัฒนาการ เรียนรู้ (assessment for learning) ที่ดำเนินการอย่างต่อเนื่องตลอดการเรียนการสอนโดยมิใช่ใช้ แต่การทดสอบระหว่างเรียนเป็นระยะ ๆ อย่างเดียว แต่เป็นการที่ครูเก็บข้อมูลการเรียนรู้ของผู้เรียน อย่างไม่เป็นทางการด้วย ขณะที่ให้ผ้เู รียนทำภาระงานตามทกี่ ำหนด ครูสังเกต ซักถาม จดบนั ทึก แลว้ วเิ คราะห์ ข้อมูลว่าผู้เรียนเกิดการเรียนรู้หรือไม่ จะต้องให้ผู้เรียนปรับปรุงอะไรหรือผู้สอนปรับปรุงอะไรเพื่อให้เกิด ความก้าวหน้าในการเรียนรู้ตามมาตรฐาน/ตัวชี้วัด การประเมินระหว่างเรียนดำเนินการได้หลายรูปแบบ

203 เช่น การให้ข้อแนะนำ ข้อสังเกตในการนำเสนอผลงาน การพูดคุยระหว่างผู้สอนกับผู้เรียนเป็นกลุ่ม หรือรายบุคคล การสมั ภาษณ์ ตลอดจนการวเิ คราะห์ผลการสอบ เปน็ ตน้ ➢ การประเมินสรุปผลการเรียนรู้ (Summative Assessment) มักเกิดข้ึนเมือ่ จบหน่วยการ เรียนรู้เพื่อตรวจสอบผลการเรียนรู้ของผู้เรียนตามตัวชี้วัด และยังใช้เป็นข้อมูลในการเปรียบเทียบ กบั การประเมนิ กอ่ นเรียนทำให้ทราบพัฒนาการของผู้เรียน การประเมนิ สรปุ ผลการเรียนรยู้ ังเปน็ การตรวจสอบ ผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนตอนปลายปี/ปลายภาคอีกด้วย การประเมินสรุปผลการเรียนรู้ใช้วิธีการและเครื่องมือ ประเมนิ ไดอ้ ยา่ งหลากหลาย โดยปกติ มกั ดำเนินการอย่างเปน็ ทางการมากกว่าการประเมนิ ระหว่างเรียน  วิธกี ารประเมิน ในการประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรยี น ผูส้ อนควรใชว้ ิธกี ารวดั และประเมนิ ผลอย่างหลากหลาย เหมาะสม สอดคล้องกับตัวชี้วัด/มาตรฐานการเรียนรู้ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่สะท้อนความรู้ความสามารถ และศกั ยภาพของผูเ้ รยี น โดยผสู้ อนสามารถเลือกวิธกี ารประเมินจากวิธีตา่ ง ๆ ตอ่ ไปนี้ ๑. การสังเกตพฤติกรรม เป็นการเก็บข้อมูลจากการดูการปฏิบัติกิจกรรมของผู้เรียนโดย ไม่ขัดจังหวะการทำงานหรือการคิดของผู้เรียน การสังเกตพฤติกรรมเป็นสิ่งที่ทำได้ตลอดเวลา แต่ควรมี กระบวนการที่ชัดเจน และมีจุดประสงค์ที่ชัดเจนว่าต้องการประเมินอะไร โดยอาจใช้เครื่องมือ เช่น แบบ ประเมินค่า แบบตรวจสอบรายการ สมุดจดบันทึก เพื่อประเมินผู้เรียนตามตัวชี้วัด และควรทำการสังเกต บ่อยครัง้ เพ่อื ขจดั ความลำเอียง ๒. การสอบปากเปล่า เป็นการให้ผู้เรียนได้แสดงออกด้วยการพูด ตอบประเด็นเกี่ยวกับการ เรียนรู้ตามมาตรฐาน ผู้สอนเก็บข้อมูล จดบันทึก รูปแบบการประเมินนี้ผู้สอนและผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์กัน สามารถมีการอภิปราย โต้แย้ง ขยายความ ปรับแก้ไขความคิดกันได้ มีข้อที่พึงระวังคือ อย่าเพิ่งขัดความคดิ ขณะทผี่ เู้ รียนกำลงั พดู ๓. การพูดคุย เป็นการสื่อสาร ๒ ทางอีกประเภทหนึ่งระหว่างผู้สอนกับผู้เรียน สามารถ ดำเนนิ การเป็นกลมุ่ หรอื รายบุคคลก็ได้ โดยทว่ั ไปมกั ใช้อย่างไมเ่ ป็นทางการเพื่อติดตามตรวจสอบว่าผู้เรียนเกิด การเรยี นรู้เพยี งใดเป็นขอ้ มูลสำหรับพัฒนา วิธีการนี้อาจใช้เวลา แต่มีประโยชน์ต่อการคน้ หา วนิ ิจฉัยข้อปัญหา ตลอดจนเรอ่ื งอืน่ ๆ ที่อาจเปน็ ปัญหา อุปสรรคตอ่ การเรียนรู้ เช่น วธิ ีการเรียนรูท้ ี่แตกต่างกัน เป็นต้น ๔. การใช้คำถาม การใชค้ ำถามเป็นเร่ืองปกติมากในการจัดการเรียนรู้ แต่ข้อมูลงานวิจัยบ่งชี้ว่า คำถามที่ครูใช้เป็นด้านความจำ และเปน็ เชงิ การจัดการท่ัว ๆ ไปเปน็ ส่วนใหญ่ เพราะถามง่าย แต่ไม่ท้าทายให้ ผู้เรียนต้องทำความเข้าใจและเรียนรู้ใหล้ ึกซึ้ง การพัฒนาการใช้คำถามใหม้ ปี ระสิทธิภาพแมจ้ ะเปน็ เร่ืองทีย่ าก แตส่ ามารถทำได้ผลรวดเร็วขนึ้ หากผู้สอนมกี ารเปล่ียนแปลงวธิ ีการประเมินในชนั้ เรียน โดยทำการประเมนิ เพื่อ พัฒนาให้แขง็ ขนั (Clarke, 2005) Clarke ยังไดน้ ำเสนอวธิ กี ารฝกึ ถามให้มปี ระสทิ ธภิ าพ ๕ วิธี ดังน้ี วิธีท่ี ๑ ให้คำตอบที่เป็นไปได้หลากหลาย เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการเริ่มต้นเปลี่ยนการถาม แบบความจำให้เปน็ คำถามที่ต้องใชก้ ารคดิ บา้ งเพราะมีคำตอบทีเ่ ป็นไปได้หลายคำตอบ (แต่พึงระวงั ว่าการใช้ คำถามหมายความว่าผู้เรียนต้องผ่านการเรียนรู้ มีความเข้าใจพื้นฐานตามตัวชี้วัดที่กำหนดให้เรียนรู้มาแล้ว)

204 คำถามแบบนี้ทำให้ผู้เรียนต้องใช้การตัดสินใจว่า คำตอบใดถูก หรือใกล้เคียงที่สุดเพราะเหตุใด และที่ไม่ถูก เพราะเหตุใด นอกจากนี้ การใช้คำถามแบบนี้จะทำให้ผู้เรียนเรียนรู้ยิ่งขึ้นอีกหากมีกิจกรรมให้ผู้เรียน ทำเพอ่ื พสิ ูจน์คำตอบ วิธที ี่ ๒ เปลี่ยนคำถามประเภทความจำให้เป็นคำถามประเภทที่ผู้เรียนต้องแสดง ความคิดเห็นพร้อมเหตผุ ล การใชว้ ิธีน้ีจะต้องให้ผู้เรยี นไดอ้ ภิปรายกัน ผูเ้ รียนตอ้ งใชก้ ารคิดท่ีสูงข้ึนกว่าวิธีแรก เพราะผเู้ รียนจะตอ้ งยกตวั อย่างสนบั สนุนความเหน็ ของตน เมอ่ื ให้ประโยคทผี่ เู้ รียนจะตอ้ งสะท้อนความคิดเห็น ผู้เรยี นจะต้องปกป้องหรืออธบิ ายทัศนะของตน การฝกึ ดว้ ยวิธีการน้บี ่อย ๆ จะเป็นการพฒั นาผเู้ รยี นให้เป็นผู้ฟัง ที่ดี มีจิตใจเปิดกว้างพร้อมรับฟัง และเปลี่ยนแปลงความคิดเห็นโดยผ่านกระบวนการอภิปราย ครูใช้วิธีการนี้ กดดันให้เกิดการอภิปรายอย่างมีคุณภาพสูงระหว่างเด็กต่อเด็ก และให้ข้อมูลเพื่อการพัฒนาแก่ทุกคน ในชั้นเรยี น วิธีที่ ๓ หาสิ่งตรงกันข้าม หรือสิ่งที่ใช่/ถูก สิ่งที่ไม่ใช่/ผิด และถามเหตุผล วิธีการนี้ใช้ได้ดี กับเนื้อหาที่เป็นข้อเท็จจริง เช่น จำนวนในวิชาคณิตศาสตร์ การสะกดคำ โครงสร้างไวยากรณ์ในวิชาภาษา เปน็ ตน้ เมอ่ื ไดร้ ับคำถามว่าทำไมทำเชน่ น้ถี กู แต่ทำเช่นน้ีผดิ หรือทำไมผลบวกน้ถี ูก แตผ่ ลบวกนีผ้ ิด หรือทำไม ประโยคนถี้ ูกไวยากรณแ์ ต่ประโยคนผ้ี ิดไวยากรณ์ เป็นต้น จะเปน็ โอกาสให้ผเู้ รยี นคดิ และอภิปรายมากกว่าเพียง การถามว่าทำไมโดยไม่มี การเปรียบเทียบกัน และวิธีการนี้จะใช้กับการทำงานคู่มากกว่าถามทั้งห้อง แลว้ ให้ยกมอื ตอบ วิธีที่ ๔ ให้คำตอบประเด็นสรุปแล้วตามด้วยคำถามให้คิด เป็นการให้ผู้เรียนต้องอธิบาย เพ่ิมเตมิ วิธที ่ี ๕ ตั้งคำถามจากจุดยืนที่เห็นต่าง เป็นวิธีที่ต้องใช้ความสามารถมากทั้งผู้สอนและ ผู้เรียน เพราะมีประเด็นที่ต้องอภิปรายโต้แย้งเชิงลึกเหมาะที่จะใช้อภิปรายในประเด็นที่เกี่ยวกับสภาพ เศรษฐกจิ สงั คม ปัญหาสขุ ภาพ ปญั หาเชิงจรยิ ธรรม เป็นตน้ นอกจากนี้ การใช้ Bloom’s Taxonomy เป็นกรอบแนวคิดในการตั้งคำถามก็เป็นวิธีการที่ดี ในการเก็บขอ้ มลู การเรียนรู้จากผเู้ รียน ๕. การเขียนสะท้อนการเรยี นรู้ (Journals) เป็นรูปแบบการบันทกึ การเขียนอีกรูปแบบหนึ่งที่ ให้ผู้เรียนเขียนตอบกระทู้ หรือคำถามของครู ซึ่งจะต้องสอดคล้องกับความรู้ ทักษะที่ก ำหนดในตัวชี้วัด การเขียนสะท้อนการเรียนรนู้ ้นี อกจากทำให้ผู้สอนทราบความกา้ วหนา้ ในผลการเรยี นรูแ้ ล้ว ยงั ใชเ้ ป็นเครื่องมือ ประเมินพฒั นาการด้านทักษะการเขยี นไดอ้ กี ด้วย ๖. การประเมินการปฏิบัติ (Performance assessment) เป็นวิธีการประเมินงานหรือ กจิ กรรมที่ผ้สู อนมอบหมายใหผ้ ู้เรยี นปฏิบตั งิ านเพ่อื ให้ทราบถึงผลการพฒั นาของผเู้ รยี น การประเมนิ ลักษณะน้ี ผู้สอนต้องเตรียมสิง่ สำคัญ ๒ ประการ คือ ภาระงาน (Tasks) หรอื กจิ กรรมทจี่ ะใหผ้ ู้เรยี นปฏิบัติ เช่น การทำ โครงการ /โครงงาน การสำรวจ การนำเสนอ การสรา้ งแบบจำลอง การทอ่ งปากเปล่า การสาธิต การทดลอง วิทยาศาสตร์ การจัดนิทรรศการ การแสดงละคร เป็นต้น และเกณฑ์การให้คะแนน (Scoring Rubrics) การประเมนิ การปฏิบตั ิ อาจจะปรับเปลย่ี นไปตามลกั ษณะงานหรือประเภทกจิ กรรม ดงั น้ี

205  ภาระงานหรือกจิ กรรมที่เน้นข้ันตอนการปฏบิ ตั ิและผลงาน เชน่ การทดลองวทิ ยาศาสตร์ การจัดนิทรรศการ การแสดงละคร แสดงเคลื่อนไหว การประกอบอาหาร การประดิษฐ์ การสำรวจ การนำเสนอ การจัดทำแบบจำลอง เป็นต้น ผู้สอนจะต้องสังเกตและประเมินวิธีการทำงานทีเ่ ป็นข้ันตอนและ ผลงานของผูเ้ รียน  ภาระงานหรือกิจกรรมที่มุ่งเน้นการสร้างลักษณะนิสัย เช่น การรักษาความสะอาด การรักษาสาธารณสมบัติ/สิ่งแวดล้อม กิจกรรมหน้าเสาธง เป็นต้น จะประเมินด้วยวิธีการสังเกต จดบันทึ ก เหตกุ ารณเ์ กี่ยวกบั ผเู้ รยี น  ภาระงานที่มีลักษณะเป็นโครงการ/โครงงาน เป็นกิจกรรมที่เน้นขั้นตอนการปฏบิ ัติและ ผลงานที่ต้องใช้เวลาในการดำเนินการ จึงควรมีการประเมินเป็นระยะ ๆ เช่น ระยะก่อนดำเนินโครงการ/ โครงงาน โดยประเมินความพร้อมการเตรียมการและความเป็นไปได้ในการปฏิบัติงาน ระยะระหว่างดำเนิน โครงการ/โครงงาน จะประเมินการปฏิบัติจริงตามแผนวิธีการและขั้นตอนที่กำหนดไว้ และ การปรับปรุง ระหว่างการปฏบิ ัติ สำหรับระยะสิ้นสุดการดำเนินโครงการ/โครงงาน โดยการประเมินผลงานผลกระทบและ วิธีการนำเสนอผลการดำเนินโครงการ/โครงงาน  ภาระงานที่เน้นผลผลิตมากกว่ากระบวนการขั้นตอนการทำงาน เช่น การจัดทำแผนผัง แผนที่ แผนภมู ิ กราฟ ตาราง ภาพ แผนผังความคดิ เป็นต้น อาจประเมนิ เฉพาะคุณภาพของผลงานกไ็ ด้ ในการประเมินการปฏิบัติงาน ผู้สอนต้องสร้างเครื่องมือเพื่อใช้ประกอบการประเมิน เช่น แบบมาตรประมาณคา่ แบบบนั ทกึ พฤติกรรม แบบตรวจสอบรายงาน แบบบนั ทกึ ผลการปฏิบตั ิ เปน็ ตน้ ๗. การประเมินด้วยแฟ้มสะสมงาน (Portfolio assessment) แฟ้มสะสมงานเป็นการเก็บ รวบรวมชิ้นงานของผู้เรยี นเพื่อสะท้อนความก้าวหน้าและความสำเร็จของผู้เรียน เช่น แฟ้มสะสมงานที่แสดง ความก้าวหน้าของผู้เรียน ต้องมีผลงานในช่วงเวลาต่าง ๆ ที่แสดงถึงความก้าวหน้าของผู้เรียน หากเป็นแฟ้ม สะสมงานดีเด่นต้องแสดงผลงานที่สะท้อนความสามารถของผู้เรียน โดยผู้เรียนต้องแสดงความคิดเห็น หรือเหตุผลที่เลือกผลงานนนั้ เก็บไวต้ ามวัตถปุ ระสงค์ของแฟ้มสะสมงาน แนวทางในการจดั ทำแฟม้ สะสมงานมีดงั น้ี  กำหนดวัตถุประสงค์ของแฟ้มสะสมงานว่าต้องการสะท้อนเกี่ยวกับความก้าวหน้า และความสำเรจ็ ของผเู้ รียนในเรื่องใดด้านใด ท้ังน้ีอาจพจิ ารณาจากตัวช้ีวดั /มาตรฐานการเรยี นรู้  วางแผนการจัดทำแฟ้มสะสมงานที่เนน้ การจัดทำชิ้นงาน กำหนดเวลาของการจัดทำแฟ้ม สะสมงาน และ เกณฑก์ ารประเมิน  จดั ทำแผนแฟ้มสะสมงานและดำเนนิ การตามแผนท่ีกำหนด  ใหผ้ เู้ รยี นเก็บรวบรวมชน้ิ งาน  ให้มีการประเมินชิ้นงานเพื่อพัฒนาชิ้นงาน ควรประเมินแบบมีส่วนร่วม โดย ผู้ประเมิน ได้แก่ ตนเอง เพอื่ น ผสู้ อน ผู้ปกครอง บคุ คลทเี่ กยี่ วขอ้ ง

206  ใหผ้ ้เู รียนคัดเลือกชนิ้ งาน ประเมินชิ้นงาน ตามเงอ่ื นไขทผ่ี ูส้ อนและผ้เู รยี นรว่ มกันกำหนด เช่น ชิ้นงานที่ยากที่สุด ช้ินงานที่ชอบที่สุด เป็นต้น โดยดำเนินการเป็นระยะ อาจจะเป็นเดือนละครั้งหรือ บทเรียนละครงั้ ก็ได้  ให้ผู้เรยี นนำช้ินงานท่ีคัดเลอื กแล้วจัดทำเป็นแฟม้ ท่ีสมบรู ณ์ ซงึ่ ควรประกอบด้วย หน้าปก คำนำ สารบญั ชน้ิ งาน แบบประเมินแฟ้มสะสมงาน และอนื่ ๆ ตามความเหมาะสม  ผู้เรียนตอ้ งสะทอ้ นความรู้สึกและความคดิ เหน็ ต่อชิน้ งานหรือแฟม้ สะสมงาน  สถานศึกษาควรจัดให้ผู้เรียนแสดงแฟ้มสะสมงานและชิ้นงานเมื่อสิ้นภาคเรียน/ปีการศึกษา ตามความเหมาะสม ๘. การวดั และประเมนิ ดว้ ยแบบทดสอบ เป็นการประเมินตัวชว้ี ดั ดา้ นองค์ความรู้ (Knowledge) เช่น ข้อมูล ความรู้ ขั้นตอน วิธีการ กระบวนการต่าง ๆ เป็นต้น ผู้สอนควรเลือกใช้แบบทดสอบให้ตรงตาม วตั ถปุ ระสงค์ของการวดั และประเมนิ น้ัน ๆ เช่น แบบทดสอบเลือกตอบ แบบทดสอบถูก-ผิด แบบทดสอบจับคู่ แบบทดสอบเตมิ คำ แบบทดสอบความเรยี ง เปน็ ตน้ ทัง้ นี้แบบทดสอบทีจ่ ะใชต้ อ้ งเป็นแบบทดสอบที่มีคุณภาพ มคี วามเทย่ี งตรง (Validity) และเช่ือม่ันได้ (Reliability) ๙. การประเมินด้านจิตพิสัย (Affective Domain) เป็นการประเมินคุณธรรม จริยธรรม คณุ ลักษณะและเจตคติ ท่ีควรปลูกฝงั ในการจัดการเรียนรู้ ซ่ึงวัดและประเมนิ เปน็ ลำดับข้ันจากต่ำสุดไปสูงสุด ดังนี้  ขัน้ รบั รู้ เป็นการประเมินพฤตกิ รรมท่แี สดงออกว่าร้จู ัก เตม็ ใจ สนใจ  ขั้นตอบสนอง เป็นการประเมินพฤติกรรมที่แสดงว่าเชื่อฟัง ทำตามอาสาทำพอใจ ที่จะทำ  ขั้นเหน็ คณุ ค่า (คา่ นิยม) เป็นการประเมินพฤติกรรมที่แสดงความเช่อื ซ่ึงแสดงออกโดย การกระทำหรือปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ ยกย่องชมเชย สนับสนุน ช่วยเหลือหรือทำกิจกรรมที่ตรงกับความเชอ่ื ของตนทำดว้ ยความเชื่อมน่ั ศรทั ธา และปฏเิ สธทจ่ี ะกระทำในส่งิ ทีข่ ัดแย้งกบั ความเชอื่ ของตน  ขั้นจัดระบบคุณค่า เป็นการประเมินพฤติกรรมการเข้าร่วมกิจกรรม อภิปราย เปรยี บเทยี บจนเกิดอดุ มการณ์ในความคดิ ของตนเอง  ขน้ั สร้างคุณลักษณะ เปน็ การประเมนิ พฤตกิ รรมท่ีมแี นวโนม้ ว่าจะประพฤตปิ ฏบิ ัตเิ ชน่ นัน้ อย่เู สมอในสถานการณ์เดยี วกนั หรือเกดิ เปน็ อปุ นสิ ยั การวัดและประเมินผลด้านจติ พิสัย ควรใช้การสังเกตพฤตกิ รรมการปฏิบัตเิ ป็นหลักและ สังเกตอย่างต่อเนื่องโดยมีการบันทึกผลการสังเกต ทั้งนี้อาจใช้เครื่องมือการวัดและประเมินผล เช่น แบบประเมนิ คา่ แบบตรวจสอบรายการ แบบบันทกึ พฤตกิ รรม แบบรายงานพฤตกิ รรมตนเอง เป็นต้น นอกจากน้ีอาจใช้แบบวัดความรู้และความรู้สึก เพื่อรวบรวมขอ้ มูลเพิ่มเตมิ เช่น แบบวัด ความรู้โดยสร้างสถานการณ์เชิงจริยธรรม แบบวัดเจตคติ แบบวัดเหตุผลเชิงจริยธรรม แบบวัดพฤติกรรมเชิง จรยิ ธรรม เปน็ ตน้

207 ๑๐. การประเมินตามสภาพจริง (Authentic assessment) เป็นการประเมินด้วยวิธีการที่หลากหลาย ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น เพื่อให้ได้ผลการประเมินที่สะท้อนความสามารถที่แท้จริงของผู้เรียน จึงควรใช้การ ประเมินการปฏิบัติ (Performance assessment) ร่วมกับการประเมินด้วยวิธีการอื่น ภาระงาน(Tasks) ควรสะท้อนสภาพความเป็นจริง หรือใกล้เคียงกับชีวิตจริงมากกว่าเป็นการปฏิบัติกิจกรรมทั่ว ๆ ไป ดังนั้น การประเมินสภาพจริงจะต้องออกแบบการจัดการเรียนรู้และการประเมินผลไปด้วยกัน และกำหนดเกณฑ์การ ประเมิน (Rubrics) ให้สอดคล้องหรือใกลเ้ คียงกับชวี ติ จริง ๑๑. การประเมินตนเองของผู้เรียน (Student self - assessment) การประเมินตนเอง นบั เปน็ ทัง้ เครื่องมือประเมินและเครอ่ื งมอื พัฒนาการเรียนรู้ เพราะทำใหผ้ เู้ รยี นได้คดิ ใคร่ครวญว่าได้เรยี นรู้อะไร เรียนรูอ้ ย่างไร และผลงานทีท่ ำน้ันดีแล้วหรอื ยัง การประเมินตนเองจงึ ใช้เป็นวิธีหนึง่ ที่จะช่วยพัฒนาผู้เรยี นให้ เป็นผู้ที่สามารถเรียนรู้ด้วยตนเอง การใช้การประเมินตนเองของผู้เรียนให้ประสบความสำเร็จได้ดีจะต้อง มี เป้าหมายการเรียนรู้ที่ชัดเจนมีเกณฑ์ที่บ่งบอกความสำเร็จของชิ้นงาน / ภาระงาน และมาตรการการปรับปรุง แก้ไขตนเอง เป้าหมายการเรียนรู้ที่กำหนดชัดเจนและผู้เรียนได้รับทราบหรือร่วมกำหนดด้วย จะทำให้ ผู้เรียนทราบว่าตนถูกคาดหวังให้รู้อะไร ทำอะไร มีหลักฐานใดที่แสดงการเรียนรู้ตามความคาดหวังนั้น หลักฐานทม่ี ีคณุ ภาพควรมีเกณฑ์เช่นไรเพ่อื เปน็ แนวทางให้ผเู้ รียนพิจารณาประเมนิ ซึ่งหากเกดิ จากการทำงาน ร่วมกันระหว่างผู้เรียนกับผู้สอนด้วยจะเป็นการเพิ่มแรงจูงใจในการเรียนรู้เพ่ิมมากขึ้น การที่ผู้เรียนได้ใช้การ ประเมินตนเองบ่อย ๆ โดยมีกรอบแนวทางการประเมินที่ชัดเจนนี้ จะช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียนประเมินได้ ค่อนข้างจริงและซื่อสัตย์ คำวิจารณ์ คำแนะนำของผูเ้ รียนมกั จะจริงจังมากกว่าของครู การประเมินตนเองจะ เกิดประโยชน์ยิ่งขึ้น หากผู้เรียนทราบสิ่งที่ต้องปรับปรุงแก้ไขได้ตั้งเป้าหมาย การปรับปรุงแก้ไขของตน แลว้ ฝึกฝน พัฒนาโดยการดูแล สนบั สนนุ จากผู้สอนและความร่วมมอื ของครอบครวั เครื่องมือที่ใช้ในการประเมินตนเองมีหลายรูปแบบ เช่น การอภิปราย การเขียนสะท้อน ผลงาน การใช้แบบสำรวจ การพูดคยุ กับผสู้ อน เปน็ ต้น ๑๒. การประเมินโดยเพื่อน (Peer assessment) เป็นเทคนิคการประเมินอีกรูปแบบหน่ึง ที่น่าจะนำมาใช้เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้เข้าถึงคุณลักษณะของงานที่มีคุณภาพ เพราะการที่ผู้เรียนจะบอกได้ว่า ชิ้นงานนั้นเป็นเช่นไร ผู้เรียนต้องมีความเข้าใจอย่างชัดเจนก่อนว่าเขากำลังตรวจสอบอะไรในงานของเพื่อน ฉะน้ัน ผูส้ อนต้องอธิบาย ผลทคี่ าดหวังให้ผเู้ รียนทราบก่อนที่จะลงมอื ประเมนิ การท่ีจะสร้างความมัน่ ใจวา่ ผู้เรยี นเข้าใจการประเมินรูปแบบน้ี ควรมีการฝึกผู้เรียนโดยผู้สอน อาจหาตัวอย่าง เช่น งานเขียน ให้นักเรยี นเป็นกลุม่ ตดั สินใจว่าควรประเมินอะไร และควรให้คำอธิบายเกณฑ์ ที่บ่งบอกความสำเร็จของภาระงานนั้น จากนั้นให้นักเรียนประเมินภาระงานเขียนนั้นโดยใช้เกณฑ์ที่ช่วยกัน สรา้ งขนึ้ หลงั จากนนั้ ครูตรวจสอบการประเมินของนกั เรยี นและให้ขอ้ มูลย้อนกลบั แก่นักเรยี นที่ประเมินเกนิ จรงิ การใช้การประเมินโดยเพื่อนอย่างมีประสิทธิภาพ จำเป็นต้องสร้างสิ่งแวดล้อมการเรียนรูท้ ่ี สนับสนุนให้เกิดการประเมินรปู แบบนี้ กล่าวคือ ผู้เรียนต้องรูส้ ึกผ่อนคลาย เชื่อใจกัน และไม่อคติ เพื่อการให้ ข้อมูลย้อนกลับจะได้ซ่ือตรง เป็นเชิงบวกที่ให้ประโยชน์ ผู้สอนที่ให้ผู้เรียนทำงานกลุ่มตลอดภาคเรียนแล้วใช้

208 เทคนิคเพ่ือนประเมนิ เพอื่ นเป็นประจำ จะสามารถพฒั นาผูเ้ รยี นให้เกิดความเข้าใจซงึ่ กนั และกัน อันจะนำไปสู่ การใหข้ อ้ มลู ยอ้ นกลับท่เี กง่ ขน้ึ ได้  เกณฑก์ ารประเมนิ (Rubrics) และตัวอยา่ งชิ้นงาน (Exemplars) จะประเมินภาระงานที่มีความซับซ้อนอย่างไรดี รู้ได้อย่างไรว่าภาระงานนั้นดีเพียงพอแล้ว เช่น การนำเสนอผลงานหน้าชั้นเรียนที่จะต้องดูทั้งความถูกต้องของเนื้อหาสาระ กระบวนการที่ใช้ในการทำงาน ความสามารถในการสื่อสาร การใช้ภาษา การออกเสียง เป็นต้น คำตอบก็คือใช้เกณฑ์การประเมิน เพราะเกณฑ์การประเมินเป็นแนวทางให้คะแนนที่ประกอบด้วยเกณฑ์ด้านต่าง ๆ เพื่อใช้ประเมินค่า ผลการปฏิบัติของผู้เรียนในภาระงาน/ชิ้นงาน ท่ีมีความซับซ้อน เกณฑ์เหล่านี้คือสิ่งสำคัญที่ผู้เรียนควรรู้ และปฏิบัติได้ นอกจากนี้ยังมีระดับคุณภาพแต่ละเกณฑ์และคำอธิบายคุณภาพทุกระดับ ดังตัวอย่างตาราง ท่ี ๔.๒ เป็นรปู แบบการสร้างเกณฑก์ ารประเมนิ แบบแยกประเด็น (Analytic rubrics) เป็นรปู แบบกลางผู้สอน สามารถนำไปปรบั ใช้ได้กับวชิ าต่าง ๆ ตารางท่ี ๔.๒ แสดงตัวอยา่ งการประเมินแบบแยกประเดน็ เกณฑ์ ระดับการประเมนิ ช่อื เร่อื ง ๔ ๓๒ ๑ ๐ เน้อื หา นา่ สนใจ ทนั สมยั ไม่มขี ้อมูลเพยี งพอ การลำดบั เหมาะสมกบั น่าสนใจแต่ ทว่ั ๆ ไป ไมเ่ กย่ี วข้องกบั ต่อการตัดสิน ใจความ เนอ้ื เรือ่ ง ไมท่ นั สมยั ไมน่ า่ สนใจ สาระท่ีเรยี น ไม่มีขอ้ มูลเพียงพอ ข้อมลู ถกู ต้อง ตอ่ การตัดสิน สมบูรณ์ สอดคลอ้ งกบั ไมส่ อดคล้อง ตรงประเด็น ไมม่ ขี ้อมูลเพยี งพอ ใจความชดั เจน เนอื้ หา กับเนอื้ หา ตอ่ การตัดสิน ลำดบั เหตุการณ์ สมเหตุ สมผล ขอ้ มูลถกู ตอ้ ง ตรง มขี อ้ มูลท่ีผดิ บ้าง ข้อมูลสว่ นใหญ่ ประเดน็ แต่ขาด และยงั ไมส่ มบรู ณ์ ไม่ถูกตอ้ งและ รายละเอยี ด ขาดหาย ใจความสบั สนบ้าง ใจความไม่ชดั เจน ไม่ต่อเนื่อง แต่ยงั สามารถ ขาดความสมเหตุ ขาดความ เข้าใจได้ ขาดความ สมผล สมเหตสุ มผล สมเหตุ สมผลไป บา้ ง

209 เกณฑ์ ๔ ๓ ระดบั การประเมิน ๑ ๐ ประโยคสมบูรณ์ เขียนประโยคได้ ๒ เขียนประโยค ไมม่ ีข้อมูลเพียงพอ หลกั เกณฑ์ ถกู ต้องตาม สมบรู ณ์ แต่ยดึ ผิดหลกั เกณฑท์ าง ตอ่ การตัดสนิ ทางภาษา หลกั เกณฑ์ หลกั เกณฑ์ทาง เขยี นประโยค ภาษา สอื่ ความ ทางภาษา ภาษา สอ่ื ความได้ สมบรู ณบ์ า้ ง ไม่ได้ สื่อความไดช้ ัดเจน ไม่สมบูรณ์บ้าง ผดิ หลกั เกณฑ์ทาง ภาษาอย่างมาก ส่อื ความไม่ชดั นอกจากเกณฑก์ ารประเมินแบบแยกประเดน็ แลว้ ยงั มีเกณฑ์การประเมินแบบภาพรวม (Holistic Rubric) เช่น ตอ้ งการประเมินการเขียนเรียงความแต่ไมไ่ ด้พจิ ารณาแยกแต่ละประเด็น ว่าเขียน นำเรอ่ื ง สรปุ เรอ่ื ง การผกู เรือ่ งแตล่ ะประเดน็ เป็นอย่างไร แต่เป็นการพิจารณาในภาพรวมและให้คะแนนในภาพรวม ดังตัวอย่าง ในตารางท่ี ๔.๓ ตารางท่ี ๔.๓ แสดงตวั อยา่ งเกณฑ์การประเมินแบบภาพรวมสำหรับประเมินการเขยี นเรียงความ คะแนน เกณฑ์ ๕ เขยี นบทนำและบทสรปุ ได้ดี ทำให้งานเขียนมีใจความสมั พนั ธ์กนั หัวข้อเรื่องมีรายละเอียด สนับสนุนอยา่ งชัดเจน การผูกเรอื่ งเปน็ ลำดับขน้ั ตอน รปู ประโยคถูกต้อง มสี ะกดคำผิดบ้าง ๔ เลก็ น้อย สำนวนภาษาสละสลวย ๓ ......................................................................... มีบทนำ บทสรุป เนื้อหาสอดคล้องกับหัวข้อเรื่อง รายละเอียดสนับสนุนน้อย เนื้อหา ๒ บางสว่ นไม่ชัดเจน การผกู เรอื่ งเป็นลำดับ รูปประโยคถูกต้อง มีสะกดคำผิดอยูบ่ ้าง สำนวน ๑ ภาษาสละสลวยบางแห่ง ......................................................................... ไม่มีบทนำและหรือบทสรุป เนื้อหาอ้อมค้อม ไม่ตรงประเด็นนัก มีรายละเอียดสนับสนุน นอ้ ย และไมส่ มเหตุสมผล เขียนสะกดคำผิดมาก เกณฑ์การประเมนิ นอกจากจะใช้เพื่อประเมนิ ชน้ิ งาน/ภาระงานแลว้ ยังสามารถใช้เป็นเคร่ืองมือ ในการสอนได้อย่างดี โดยให้ผู้เรียนได้รับทราบว่าผู้สอนคาดหวังอะไรบ้างจากชิ้นงานที่มอบหมาย หรอื ให้ผู้เรียนรว่ มในการสร้างเกณฑ์ก็จะทำให้เกิดการมีส่วนร่วมและรับผดิ ชอบ ผ้สู อนท่ใี ช้เกณฑ์การประเมิน เป็นประจำจะพูดตรงกันว่า เกณฑก์ ารประเมนิ ให้ภาพท่ีชัดเจนดีกวา่ คำสัง่ และหากมีตวั อยา่ งชิ้นงานประกอบ ให้ผู้เรียนได้ช่วยกันพิจารณา อภิปรายโดยใช้เกณฑ์ที่ร่วมกันสร้างขึ้น ก็จะยิ่งทำให้ผู้เรียนสามารถแยกแยะ ได้ว่าช้ินงานท่ีดีมีคณุ ภาพเปน็ อยา่ งไร

210 ตวั อยา่ งช้ินงาน (Exemplars) คือ ผลงานของผูเ้ รยี น ซ่ึงผูส้ อนอาจเกบ็ รวบรวมจากงานท่ีผู้เรียน ทำส่งในแต่ละปีการศึกษา เพื่อเป็นแบบอย่างให้เห็นว่าลักษณะงานแบบใดที่ดีกว่า ตัวอย่างชิ้นงานควร มีหลาย ๆ ระดับ เพ่ือผูเ้ รยี นจะไดเ้ ห็นความแตกต่าง เกณฑ์การประเมินยังใช้เป็นเครื่องมือสื่อสารระหว่างผู้สอนกับผู้เรียน ผู้สอนกับผู้ปกครอง และผู้เรียนกับผู้ปกครอง การมีภาพความคาดหวังที่ชัดเจนจะช่วยให้ผู้สอนสามารถให้ข้อมูลย้อนกลับ ทเี่ ปน็ ประโยชน์แกผ่ ้เู รียน และเปน็ ประเด็นสำหรบั พูดคุยเพ่อื การพฒั นาการเรยี นร้ไู ดด้ ยี ิง่ ขน้ึ  สมรรถนะสำคญั ของผูเ้ รยี น : ประเมินอย่างไร มักมคี ำถามเสมอว่าจะประเมินสมรรถนะสำคัญของผู้เรียนอยา่ งไร กอ่ นอนื่ ขอให้ผู้สอนพิจารณา คำถาม ๒ ขอ้ นี้กอ่ น ๑. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน อันประกอบด้วยความสามารถในการสื่อสาร ความสามารถ ในการคิด ความสามารถในการแก้ปัญหา ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต และความสามารถในการใช้ เทคโนโลยีน้ัน เปน็ เปา้ หมายการเรยี นรู้ท่มี คี วามแตกต่างจากตัวชวี้ ัด/มาตรฐานการเรยี นรูห้ รอื ไม่ ๒. การประเมนิ ผลการเรยี นรู้ท่ที ่านใชอ้ ยู่ในปัจจุบันเนน้ การประเมนิ แบบใด ใช้เครื่องมือประเภท ใหผ้ ู้เรียนเลือกตอบ หรอื ใช้เคร่อื งมือประเภทให้ผเู้ รยี นสร้างคำตอบเอง จากการพิจารณาคำถามข้อที่ ๑ จะเห็นว่าสมรรถนะสำคัญของผู้เรียน เป็นตัวแทนตัวชี้วัด/ มาตรฐานการเรียนรู้ที่กำหนดในการพัฒนาผูเ้ รียนนั่นเอง ดังนั้นจึงอยู่ที่คำถามข้อ ๒ การออกแบบภาระงาน การประเมิน ตอบสนองให้เกิดการพัฒนาผู้เรียนตามตัวชี้วัด/มาตรฐานการเรียนรู้หรือไม่ ผู้เรียนได้เป็นผู้ลงมือ ปฏิบตั แิ ละสรา้ งความรู้หรอื ไม่ และในกระบวนการเรยี นการสอนไดม้ กี ารใหข้ ้อมูลยอ้ นกลับที่จะนำให้ผู้เรียนได้ พัฒนาครอบคลุมมติ ติ า่ ง ๆ ของสมรรถนะสำคญั ของผเู้ รียนอยา่ งเพียงพอหรือไม่ จำเป็นต้องมีการเปล่ยี นแปลง ใดอกี เพ่อื ให้สามารถพฒั นาผเู้ รียนให้บรรลุผลตามตัวชี้วัดและมาตรฐานการเรยี นรู้ การประเมินสมรรถนะสำคัญของผู้เรียนจึงควรใช้วิธีการประเมินที่เน้นการปฏิบัติและบูรณาการอยู่ ในกระบวนการเรียนการสอนแลว้ ไม่เปน็ การแยกประเมินตา่ งหากอีก  การประเมินผลการเรยี นรตู้ ามกลมุ่ สาระการเรียนรู้ การประเมินผลการเรียนรู้ตามกลุ่มสาระการเรียนรู้ทั้ง ๘ กลุ่มสาระ เป็นการประเมินผลการเรียนรู้ ตามตัวชี้วัดในหลักสูตร ซึ่งจะนำไปสู่การสรุปผลการเรียนรู้ของผู้เรียนตามมาตรฐานการเรียนรู้ต่อไป ภารกจิ ของสถานศกึ ษาในการดำเนินการประเมนิ ผลการเรยี นร้ตู ามกลุ่มสาระการเรียนรู้ มรี ายละเอยี ดดังนี้ ๑. กำหนดสัดส่วนคะแนนระหว่างเรียนกับคะแนนปลายปี/ปลายภาค โดยให้ความสำคัญของคะแนน ระหว่างเรียนมากกว่าคะแนนปลายปี/ปลายภาค เชน่ ๖๐:๔๐ , ๗๐:๓๐ , ๘๐:๒๐ เปน็ ต้น ๒. กำหนดเกณฑ์การตัดสินผลการเรียน โดยพิจารณาความเหมาะสมตามระดับชัน้ เรยี น เช่น ระดับ ประถมศึกษาอาจกำหนดเป็นระดับผลการเรียน หรือระดับคุณภาพการปฏิบัติของผู้เรียนเป็นระบบตัวเลข

211 ระบบตัวอกั ษร ระบบร้อยละและระบบคุณภาพสะท้อนมาตรฐาน สำหรบั ระดบั มัธยมศึกษากำหนดเป็นระดับ ผลการเรียน ๘ ระดับ และกำหนดเงื่อนไขต่าง ๆ ของผลการเรียน เช่น การประเมินที่ยังไม่สมบูรณ์ (ได้ ร) การไม่มีสทิ ธิเข้ารับการสอบ (ได้ มส ) เป็นตน้ นอกจากนี้ สถานศกึ ษาอาจกำหนดคณุ ลกั ษณะของความสำเร็จ ตามมาตรฐานการศึกษาแตล่ ะชั้นปเี ปน็ ระดับคณุ ภาพเพม่ิ อกี กไ็ ด้ ๓. กำหนดแนวปฏบิ ัตใิ นการสอนซอ่ มเสรมิ การสอบแกต้ วั กรณีผู้เรยี นมรี ะดับผลการเรยี น “๐” และแนวดำเนินการกรณผี เู้ รียนมีผลการเรยี นที่มีเงอ่ื นไข คอื “ ร ” “ มส.” ๔. กำหนดแนวปฏบิ ัตใิ นการอนมุ ตั ผิ ลการเรยี น ๕. กำหนดแนวทางในการรายงานผลการประเมินตอ่ ผเู้ กี่ยวข้อง เช่น ผู้ปกครอง ๖. กำหนดแนวทาง วิธีการในการกำกับ ติดตามการบันทึกผลการประเมินในเอกสารหลักฐาน การศึกษาทั้งแบบที่หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ และแบบที่สถานศึกษา กำหนด  เกณฑ์การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ ๑. การตัดสนิ ผลการเรยี น หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ ได้กำหนดโครงสร้าง เวลาเรียน มาตรฐานการเรียนรู/้ ตวั ชี้วัด การอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียน คุณลกั ษณะอันพึงประสงค์และกิจกรรมพัฒนา ผู้เรียนที่สถานศึกษาต้องจัดให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ มีคุณภาพเต็มตามศักยภาพและให้สถานศึกษากำหนด หลกั เกณฑ์การวัดและประเมนิ ผลการเรยี นรู้ เพ่ือตดั สินผลการเรียนของผเู้ รยี น ดังนี้ ๑) ผูเ้ รยี นต้องมเี วลาเรียนไมน่ อ้ ยกว่าร้อยละ ๘๐ ของเวลาเรียนทงั้ หมด ๒) ผ้เู รียนตอ้ งไดร้ ับการประเมนิ ทกุ ตวั ชวี้ ัด และผ่านตามเกณฑท์ สี่ ถานศกึ ษากำหนด ๓) ผู้เรียนต้องไดร้ บั การตดั สินผลการเรยี นทุกรายวิชา ๔) ผู้เรียนต้องได้รับการประเมินและมีผลการประเมนิ ผา่ นตามเกณฑท์ ี่สถานศึกษากำหนด ในการอา่ น คดิ วิเคราะหแ์ ละเขยี น คุณลักษณะอนั พึงประสงค์ และกิจกรรมพัฒนาผ้เู รยี น ๒. การใหร้ ะดบั ผลการเรียน สถานศึกษาต้องกำหนดเกณฑ์การตัดสินผลการเรียน ซึ่งสามารถอธิบายผลการตัดสินว่า ผเู้ รยี นตอ้ งมีความรู้ ทักษะและคณุ ลกั ษณะโดยรวมอยู่ในระดับใด จึงจะยอมรับว่าผา่ นการประเมนิ การตัดสนิ ผลการเรียนรายวิชาของกล่มุ สาระการเรียนรู้ สถานศึกษาสามารถให้ระดับผลการ เรียน ๘ ระดับ หรือระดับคุณภาพการปฏิบัติของผู้เรียนเป็นระบบตัวเลข ระบบตัวอักษร ระบบ ร้อยละ และระบบทใี่ ช้คำสำคัญท่สี ะทอ้ นมาตรฐาน

212 กรณที ่ีสถานศึกษาให้ระดบั ผลการเรียนด้วยระบบตา่ ง ๆ สามารถเทยี บกนั ได้ดังน้ี คะแนนรอ้ ยละ ระบบตวั เลข ระบบคณุ ภาพ แบบ ๒ แบบ ๑ แบบ ๓ ดีเยี่ยม ดเี ยี่ยม ๘๐-๑๐๐ ๔ ๗๕-๗๙ ๓.๕ ดี ดี ๗๐-๗๔ ๓ ผา่ น ๖๕-๖๙ ๒.๕ พอใช้ ๖๐-๖๔ ๒ ผ่าน ๕๕-๕๙ ๑.๕ ผ่าน ๕๐-๕๔ ๑ ไม่ผ่าน ไม่ผ่าน ไมผ่ า่ น ๐-๔๙ ๐

213  การประเมินการอา่ น คิดวเิ คราะห์และเขยี น หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ กำหนดให้มีการประเมินการอ่าน คดิ วิเคราะห์และเขยี น ดงั น้นั สถานศกึ ษาตอ้ งวางแผนการพฒั นาความสามารถ ดา้ นการอา่ น คดิ วิเคราะห์และ เขียน ควบคู่ไปกับการจดั การเรยี นรู้ในรายวิชาตา่ ง ๆ สถานศกึ ษาอาจกำหนดขนั้ ตอนดำเนนิ การ ดังแผนภาพ ท่ี ๓.๒ ประชุมชี้แจงแนวการสง่ เสรมิ /พฒั นา กำหนดเกณฑ์ คณะกรรมการพฒั นาและประเมนิ การประเมินและแนวทางการวดั ผลประเมินผล การอ่าน คดิ วิเคราะห์และเขยี น ดำเนนิ การสง่ เสริม/พัฒนา ควบคู่กับการจัดกิจกรรม ครูผูส้ อน การเรียนรู้ ๘ กลุม่ สาระ/โครงการ/กจิ กรรมส่งเสริม ครูผสู้ อน ครทู ่ปี รึกษา/ครปู ระจำชั้น วัดผล ประเมนิ ผล บันทกึ ผล (สรุปผล) หรอื ผทู้ ีไ่ ดร้ ับมอบหมาย ประมวลผล สรปุ ผล คณะกรรมการพัฒนาและประเมินการอ่าน คดิ วเิ คราะห์ และเขยี น ไม่ผา่ น ผ่าน - ครูประจำชั้น ซอ่ มเสริม ดีเย่ียม - ครูทีป่ รกึ ษา ดี - นายทะเบยี น ผ่าน บันทกึ ผล

214  เกณฑ์การวดั และประเมินผลการเรียนรู้ ๑. การตัดสินผลการเรยี น หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ ได้กำหนดโครงสร้าง เวลาเรียน มาตรฐานการเรยี นรู้/ตัวชวี้ ดั การอา่ น คดิ วิเคราะห์และเขยี น คุณลักษณะอนั พงึ ประสงคแ์ ละกิจกรรมพัฒนา ผู้เรียน ที่สถานศึกษาต้องจัดให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ มีคุณภาพเต็มตามศักยภาพและให้สถานศึกษากำหนด หลักเกณฑ์การวัดและประเมนิ ผลการเรยี นรู้ เพื่อตัดสินผลการเรียนของผูเ้ รยี น ดังนี้ ๑) ผเู้ รยี นต้องมเี วลาเรยี นไม่นอ้ ยกวา่ รอ้ ยละ ๘๐ ของเวลาเรียนทัง้ หมด ๒) ผู้เรียนตอ้ งได้รบั การประเมินทกุ ตัวช้ีวดั และผ่านตามเกณฑ์ท่สี ถานศึกษากำหนด ๓) ผู้เรียนตอ้ งได้รับการตัดสนิ ผลการเรียนทุกรายวชิ า ๔) ผู้เรียนต้องได้รบั การประเมินและมีผลการประเมินผ่านตามเกณฑท์ ี่สถานศึกษากำหนด ในการอา่ น คดิ วิเคราะห์และเขยี น คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ และกิจกรรมพัฒนาผ้เู รยี น ๒. การใหร้ ะดับผลการเรียน สถานศึกษาต้องกำหนดเกณฑ์การตัดสินผลการเรียน ซึ่งสามารถอธิบายผลการตัดสินว่า ผู้เรยี นตอ้ งมีความรู้ ทกั ษะและคณุ ลกั ษณะโดยรวมอยใู่ นระดบั ใด จงึ จะยอมรับว่าผา่ นการประเมนิ การตัดสินผลการเรียนรายวิชาของกลุ่มสาระการเรียนรู้ สถานศึกษาสามารถให้ระดับผล การเรียน ๘ ระดับ หรือระดับคุณภาพการปฏิบัติของผู้เรียนเป็นระบบตัวเลข ระบบตัวอักษร ระบบ รอ้ ยละและระบบที่ใช้คำสำคัญที่สะท้อนมาตรฐาน กรณที ่ีสถานศกึ ษาใหร้ ะดับผลการเรียนด้วยระบบต่าง ๆ สามารถเทยี บกันได้ดงั น้ี คะแนนร้อยละ ระบบตวั เลข ระบบคณุ ภาพ แบบ ๒ แบบ ๑ แบบ ๓ ดีเยี่ยม ดีเยยี่ ม ๘๐-๑๐๐ ๔ ๗๕-๗๙ ๓.๕ ดี ดี ๗๐-๗๔ ๓ ผ่าน ๖๕-๖๙ ๒.๕ พอใช้ ๖๐-๖๔ ๒ ผ่าน ๕๕-๕๙ ๑.๕ ผ่าน ๕๐-๕๔ ๑ ไม่ผา่ น ไม่ผา่ น ไม่ผา่ น ๐-๔๙ ๐

215 การประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียน และคุณลักษณะอันพึงประสงค์นั้นให้ระดับผลการ ประเมนิ เปน็ ผา่ นและไมผ่ า่ น กรณที ี่ผ่านใหร้ ะดบั ผลการเรยี นเป็นดีเยีย่ ม ดีและผ่าน สถานศึกษาสามารถกำหนดความหมายของผลการประเมินคุณภาพดีเยี่ยม ดีและผา่ น ได้ดงั นี้ ๑. การประเมินอา่ น คิดวิเคราะหแ์ ละเขียน ดเี ยยี่ ม หมายถงึ สามารถจับใจความสำคญั ได้ครบถว้ น เขยี นวิพากษ์วิจารณ์ เขียนสรา้ งสรรค์ แสดงความคิดเห็นประกอบอย่างมเี หตผุ ล ไดถ้ กู ต้องและสมบรู ณ์ ใช้ภาษาสภุ าพและเรียบเรียง ได้สละสลวย ดี หมายถึง สามารถจับใจความสำคญั ได้ เขยี นวิพากษ์วิจารณ์ และเขยี นสร้างสรรคไ์ ดโ้ ดยใชภ้ าษาสภุ าพ ผ่าน หมายถงึ สามารถจับใจความสำคัญและเขยี นวิพากษ์วิจารณ์ ได้บ้าง ๒. การประเมนิ คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์ ดีเยี่ยม หมายถงึ ผเู้ รียนมคี ุณลักษณะในการปฏิบัตจิ นเปน็ นสิ ัยและ นำไปใช้ในชวี ิตประจำวันเพอ่ื ประโยชน์สขุ ของตนเองและสงั คม ดี หมายถึง ผู้เรยี นมคี ุณลักษณะในการปฏบิ ัตติ ามกฎเกณฑ์ เพอื่ ให้เปน็ ทีย่ อมรับของสงั คม ผา่ น หมายถึง ผเู้ รียนรับรู้และปฏบิ ตั ิตามกฎเกณฑ์และเงอ่ื นไข ทสี่ ถานศึกษากำหนด การประเมินกิจกรรมพฒั นาผู้เรียน จะต้องพิจารณาทัง้ เวลาการเข้าร่วมกิจกรรม การปฏิบัติกจิ กรรม และผลงานของผ้เู รียนตามเกณฑท์ ี่สถานศกึ ษากำหนดและใหผ้ ลการประเมนิ เป็นผ่านและไมผ่ า่ น

216 ภาคผนวก

217 อภธิ านคำศพั ท์ กตญั ญกู ตเวที ผรู้ ูอ้ ปุ การะท่ีทา่ นทำแลว้ และตอบแทน แยกออกเป็น ๒ ข้อ ๑. กตัญญู รคู้ ุณทา่ น ๒. กตเวที ตอบแทน หรือสนองคุณท่าน ความกตัญญูกตเวทีว่าโดยขอบเขตแยกได้ เป็น ๒ ระดับ คือ ๒.๑ กตัญญู-กตเวทตี อ่ บคุ คลผูม้ ีคุณความดี หรืออุปการะตอ่ ตนเปน็ ส่วนตวั ๒.๒ กตญั ญูกตเวทีต่อบุคคลผู้ ได้บำเพ็ญคุณประโยชนห์ รอื มีคุณความดี เกอ้ื กูลแก่ส่วนร่วม กตัญญูกตเวทีต่ออาจารย์ / โรงเรียน ในฐานะที่เป็นศิษย์ พึงแสดงความเคารพนับถืออาจารย์ ผู้เปรียบเสมือนทิศเบื้องขวา ดังนี้ ๑. ลูกต้อนรับ แสดงความเคารพ ๒. เข้าไปหา เพื่อบำรุง รับใช้ ปรึกษา ซักถาม รับคำแนะนำ เป็นต้น ๓. ฟังด้วยดี ฟังเป็น รู้จักฟัง ให้เกิดปัญญา ๔. ปรนนิบัติ ช่วยบริการ ๕. เรยี นศิลปวทิ ยาโดยเคารพ เอาจรงิ เอาจังถอื เป็นกิจสำคัญด้วยดี กรรม การกระทำ หมายถงึ การกระทำทีป่ ระกอบด้วยเจตนา คอื ทำดว้ ยความจงใจ ประกอบดว้ ยความจงใจ หรือจงใจทำดกี ็ตาม ชั่วกต็ าม เชน่ ขดุ หลมุ พรางดักคน หรือสัตว์ในตกลงไปตายเปน็ กรรม แต่ขุดบอ่ น้ำ ไว้กินไวใ้ ช้ สัตวต์ กลงไปตายเองไมเ่ ป็นกรรม (แตถ่ า้ รู้อยวู่ ่าบ่อน้ำที่ตนขดุ ไว้อยู่ในที่ ซึ่งคนจะพลัดตกได้ งา่ ยแลว้ ปลอ่ ยปละละเลย มคี นตกลงไปกไ็ มพ่ ้นกรรม) การกระทำที่ดเี รียกวา่ “กรรมดี” ที่ชั่วเรียกว่า “กรรมชั่ว” กรรม ๒ กรรมจำแนกตามคุณภาพ หรือตามธรรมที่เป็นมูลเหตุมี ๒ คือ ๑. อกุศลกรรม กรรมที่เป็นอกุศล กรรมช่ัว คอื เกดิ จากอกุศลมลู ๒. กศุ ลกรรม กรรมทีเ่ ปน็ กศุ ล กรรมดี คือกรรมท่เี กดิ จากกุศลมูล กรรม ๓ กรรมจำแนกตามทวาร คือ ทางที่กรรมมี ๓ คือ ๑. กายกรรม การกระทำทางกาย ๒. วจีกรรม การกระทำทางวาจา ๓. มโนกรรม การกระทำทางใจ กรรม ๑๒ กรรมจำแนกตามหลักเกณฑเ์ กยี่ วกับการใหผ้ ล มี ๑๒ อย่าง คอื หมวดที่ ๑ ว่าด้วยปากกาล คือจำแนกตามเวลาที่ให้ผล ได้แก่ ๑. ทิฏฐิธรรมเวทนียกรรม กรรมที่ ใหผ้ ล ในปจั จุบนั คอื ในภพนี้ ๒. อุปชั ชเวทนียกรรม กรรมทใี่ ห้ผลในภาพทจ่ี ะไปเกิด คือ ในภพหนา้ ๓. อปราบปริเวทนยี กรรม กรรมท่ีให้ผลในภพตอ่ ๆ ไป ๔. อโหสิกรรม กรรมเลิกให้ผล หมวดที่ ๒ ว่าโดยกิจ คือการให้ผลตามหน้าที่ ได้แก่ ๕. ชนกกรรม กรรมแต่งให้เกิด หรือกรรม ทเ่ี ป็นตวั นำไปเกดิ ๖. อปุ ตั ถัมภกกรรม กรรมสนับสนุน คือ เข้าสนบั สนนุ หรอื ซำ้ เติมต่อจากชนกกรรม ๗. อปุ ปฬี กกรรม กรรมบีบคั้น คือเข้ามาบีบคนั้ ผลแห่งชนกกรรม และอปุ ัตถัมภกกรรมนั้นให้แปรเปลี่ยน ทุเลาเบาลงหรือสั้นเข้า ๘. อุปฆาตกกรรม กรรมตัดรอน คือ กรรมแรงฝ่ายตรงข้ามที่เข้าตัดรอน ให้ผลของกรรมสองอย่างน้ันขาด หรอื หยดุ ไปทเี ดยี ว หมวดที่ ๓ ว่าโดยปานทานปริยาย คือ จำแนกตามลำดับความแรงในการให้ผล ได้แก่ ๙. ครุกรรม กรรมหนัก ให้ผลก่อน ๑๐. พหุลกรรม หรือ อาจิณกรรม กรรที่ทำมาก หรือกรรมชินให้ผลรองลงมา

218 ๑๑. อาสันนกรรม กรรมจวนเจียน หรือกรรมใกล้ตาย ถ้าไม่มีสองข้อก่อนก็จะให้ผลก่อนอื่น ๑๒. กตัตตา-กรรม หรือ กตัตตาวาปนกรรม กรรมสักว่าทำ คือเจตนาอ่อน หรือมิใช่เจตนาอย่างน้ัน ใหผ้ ลตอ่ เมื่อไมม่ ีกรรมอนื่ จะให้ผล กรรมฐาน ที่ตั้งแห่งการงาน อารมณ์เป็นที่ตั้งแห่งการงานของใจ อุบายทางใจ วิธีฝึกอบรมจิต มี ๒ ประเภท คอื สมถกรรมฐาน คือ อุบายสงบใจ วปิ ัสสนากรรมฐาน อุบายเรืองปญั ญา กุลจริ ัฏตธรรม ๔ ธรรมสำหรบั ดำรงความม่ันคงของตระกลู ให้ย่งั ยนื เหตุที่ทำใหต้ ระกูลมั่งคั่งตงั้ อยู่ได้นาน (พ.ธ. หน้า ๑๓๔) ๑. นัฏฐคเวสนา คือ ของหายของหมด รู้จักหามาไว้ ๒. ชิณณปฏิสังขรณา คือ ของเก่า ของชำรุด รู้จักบูรณะซ่อมแซม ๓. ปริมิตปานโภชนา คือ รู้จักประมาณในการกินการใช้ ๔. อธิปัจจสีลวนั ตสถาปนา คอื ต้งั ผ้มู ศี ีลธรรมเปน็ พอ่ บ้านแม่เรอื น กุศล บญุ ความดี ฉลาด ส่งิ ทด่ี ี กรรมดี กศุ ลกรรม กรรมดี กรรมทเี่ ป็นกุศล การกระทำท่ดี ีคอื เกิดจากกุศลมลู กุศลกรรมบถ ๑๐ ทางแห่งกรรมดี ทางทำดี กรรมดีอนั เป็นทางนำไปสสู่ คุ ติมี ๑๐ อย่างได้แก่ ก. กายกรรม ๓ (ทางกาย) ๑. ปาณาติปาตา เวรมณี เว้นจากการทำลายชีวิต ๒. อทินนาทานา เวรมณี เวน้ จากถอื เอาของทเี่ ขามิไดใ้ ห้ ๓. กาเมสมุ ิจฉาจารา เวรมณี เวน้ จากประพฤติผิดในกาม ข. วจีกรรม ๔ (ทางวาจา) ได้แก่ ๔. มุสาวาทา เวรมณี เว้นจากพูดเท็จ ๕. ปิสุณายวาจาย เวรมณี เว้นจากพูดส่อเสียด ๖. ผรุสาย วาจาย เวรมณี เว้นจากพูดคำหยาบ ๗. สัมผัปปลาปา เวรมณี เว้นจากพูดเพ้อเจอ้ ค. มโนกรรม ๓ (ทางใจ) ๘. อนภิชฌา ไม่โลกคอยจ้องอยากได้ของเขา ๙. อพยาบาท ไม่คิดร้าย เบียดเบยี นเขา ๑๐. สัมมาทฏิ ฐิ เห็นชอบตามคลองธรรม (พ.ศ. หนา้ ๒๑) กุศลมูล รากเหง้าของกศุ ล ต้นเหตขุ องกศุ ล ตน้ เหตขุ องความดี ๓ อย่าง ๑. อโลภะ ไมโ่ ลภ (จาคะ) ๒. อโทสะ ไม่ คดิ ประทษุ ร้าย (เมตตา) ๓. อโมหะ ไม่หลง (ปญั ญา) กุศลวิตก ความตรึกที่เป็นกุศล ความนึกคิดที่ดีงาม ๓ คือ ๑. เนกขัมมวิตก ความตรึกปลอดจากกาม ๒. อพยาบาทวิตก ความตรกึ ปลอดจากพยาบาท ๓. อวหิ สิ าวิตก ความตรกึ ปลอดจากการเบียดเบียน โกศล ๓ ความฉลาด ความเชี่ยวชาญ มี ๓ อย่าง ๑. อายโกศล คือ ความฉลาดในความเจริญ รอบรู้ทางเจริญ และเหตุของความเจริญ ๒. อปายโกศล คือ ความฉลาดในความเสื่อม รอบรู้ทางเสื่อมและเหตุของ ความเสื่อม ๓. อุปายโกศล คือ ความฉลาดในอุบาย รอบรู้วิธีแก้ไขเหตุการณ์และวิธีที่จะทำให้สำเรจ็ ทัง้ ในการป้องกันความเสือ่ มและในการสรา้ งความเจรญิ ขันธ์ กอง พวก หมวด หมู่ ลำตัว หมวดหนึ่ง ๆ ของรูปธรรมและนามธรรมทั้งหมดทีแ่ บ่งออกเป็นหา้ กอง ได้แก่ รูปขนั ธ์ คือ กองรูป เวทนาขันธ์ คือ กองเวทนา สญั ญาขันธ์ คอื กองสญั ญา สงั ขารขนั ธ์ คือ กองสังขาร วิญญาณขนั ธ์ คือ กองวิญญาณ เรยี กรวมวา่ เบญจขันธ์ คารวธรรม ๖ ธรรม คอื ความเคารพ การถอื เปน็ ส่งิ สำคญั ที่จะพึงใสใ่ จและปฏิบัตดิ ้วย ความเอ้ือเฟื้อ หรือ โดยความหนักแน่นจริงจังมี ๖ ประการ คือ ๑. สัตถุคารวตา ความเคารพในพระศาสดา หรือพุทธ

219 คารวตา ความเคารพในพระพุทธเจ้า ๒. ธัมมคารวตา ความเคารพในพระธรรม ๓. สังฆคารวตา ความเคารพในพระสงฆ์ ๔. สิกขาคารวตา ความเคารพในการศึกษา ๕. อัปปมาทคารวตา ความเคารพในความไม่ประมาท ๖. ปฏิสันถารคารวตา ความเคารพในการปฏิสนั ถาร คิหิสุข (กามโภคีสุข ๔) สขุ ของคฤหัสถ์ สุขของชาวบ้าน สุขทช่ี าวบ้านควรพยายามเข้าถึงให้ได้สม่ำเสมอ สุขอัน ชอบ-ธรรมที่ผู้ครองเรือนควรมี ๔ ประการ ๑. อตั ถิสุข สขุ เกิดจากความมีทรัพย์ ๒. โภคสุข สขุ เกิดจาก การใช้-จ่ายทรัพย์ ๓. อนณสุข สุขเกิดจากความไม่เป็นหนี้ ๔. อนวัชชสุข สุขเกิดจากความประพฤติ ไมม่ โี ทษ (ไมบ่ กพรอ่ งเสยี หายทง้ั ทางกาย วาจา และใจ) ฆราวาสธรรม ๔ ธรรมสำหรบั ฆราวาส ธรรมสำหรับการครองเรอื น หลกั การครองชวี ิตของคฤหสั ถ์ ๔ ประการ ได้แก่ ๑. สัจจะ คือ ความจริง ซื่อตรง ซื่อสัตย์ จริงใจ พูดจริง ทำจริง ๒. ทมะ คือ การฝึกฝน การข่มใจ ฝึกนิสัย ปรับตัว รู้จักควบคุมจิตใจ ฝึกหัด ดัดนิสัย แก้ไขข้อบกพร่อง ปรับปรุงตนให้ เจริญก้าวหน้าด้วยสติปัญญา ๓. ขันติ คือ ความอดทน ตั้งหน้าทำหน้าที่การงานด้วยความ ขยันหมั่นเพยี ร เข้มแขง็ ทนทาน ไมห่ วนั่ ไหว มน่ั ในจดุ หมาย ไม่ท้อถอย ๔. จาคะ คอื เสียสละ สละ กิเลส สละความสุขสบาย และผลประโยชน์ส่วนตนได้ ใจกว้าง พร้อมที่จะรับฟังความทุกข์ ความคิดเห็นและความต้องการของผู้อื่น พร้อมที่จะร่วมมือช่วยเหลือ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ไม่คับแคบ เห็นแก่ตัวหรอื เอาแตใ่ จตวั จติ ธรรมชาตทิ ่ีรอู้ ารมณ์ สภาพทน่ี กึ คิด ความคิด ใจ ตามหลักฝา่ ยอภิธรรม จำแนกจติ เป็น ๘๙ แบ่งโดยชาติ เป็นอกศุ ลจิต ๑๒ กศุ ลจติ ๒๑ วิปากจิต ๓๖ และกริ ิยาจิต ๘ เจตสกิ ธรรมท่ปี ระกอบกับจิต อาการหรอื คุณสมบัติต่าง ๆ ของจิต เชน่ ความโลภ ความโกรธ ความหลง ศรัทธา เมตตา สติ ปัญญาเป็นต้น มี ๕๒ อยา่ ง จัดเปน็ อญั ญสมานาเจตสกิ ๑๓ อกุศลเจตสิก ๑๔ โสภณเจตสิก ๒๕ ฉันทะ ๑. ความพอใจ ความชอบใจ ความยินดี ความต้องการ ความรักใคร่ในสิ่งนั้น ๆ ๒. ความยินยอม ความ ยอมให้ที่ประชุมทำกิจนั้น ๆ ในเมื่อตนมิได้ร่วมอยู่ด้วย เป็นธรรมเนียมของภิกษุที่อยู่ในวัด ซึ่งมีสีมา รวมกนั มีสิทธทิ ่ีจะเข้าประชุมทำกิจของสงฆ์ เว้นแตภ่ กิ ษนุ นั้ อาพาธ จะเข้าร่วมประชุมด้วยไม่ได้ ก็มอบ ฉันทะคือ แสดงความยนิ ยอมให้สงฆ์ทำกิจนัน้ ๆ ได้ ฌาน การเพง่ การเพ่งพนิ ิจด้วยจติ ท่ีเป็นสมาธิแน่วแน่ มี ๒ ประเภท คอื ๑. รปู ฌาน ๒. อรปู ฌาน ฌานสมบตั ิ การบรรลฌุ าน การเขา้ ฌาน ดรุณธรรม ธรรมทีเ่ ป็นหนทางแห่งความสำเร็จ คือ ข้อปฏิบตั ทิ ี่เปน็ ดุจประตูชัยอันเปิดออกไปสู่ความสุข ความ เจรญิ ก้าวหน้าแห่งชีวิต ๖ ประการ คือ ๑. อาโรคยะ คอื รกั ษาสุขภาพดี มิให้มโี รคท้งั จิต และกาย ๒. ศีล คือ มีระเบียบวนิ ยั ไม่ก่อเวรภัยแกส่ ังคม ๓. พทุ ธานมุ ัติ คอื ได้คนดีเป็นแบบอยา่ ง ศึกษาเยี่ยงนิยม

220 แบบอย่างของมหาบุรุษพุทธชน ๔. สุตะ คือ ตั้งเรียนรู้ให้จรงิ เล่าเรียนค้นคว้าให้รู้เชี่ยวชาญใฝ่สดบั เหตุการณ์ให้รูเ้ ท่าทัน ๕. ธรรมานวุ ัติ คือ ทำแต่สิ่งทีถ่ ูกต้องดีงาม ดำรงมั่นในสุจริต ทั้งชีวิตและงาน ดำเนินตามธรรม ๖. อลีนตา คือ มีความขยันหมั่นเพียร มีกำลังใจแข็งกล้า ไม่ท้อแท้เฉื่อยชา เพียร กา้ วหน้าเร่ือยไป หมายเหตุ หลักธรรมข้อนี้เรียกชื่ออีกย่างหนึ่งว่า “วัฒนมุข” ตรงคำบาลีว่า “อัตถทวาร” ประตูแห่ง ประโยชน์ ตณั หา (๑) ความทะยานอยาก ความด้ินรน ความปรารถนา ความเสน่หา มี ๓ คอื ๑. กามตัณหา ความทะยาน อยากในกาม อยากได้อารมณ์อันนา่ รักน่าใคร่ ๒. ภวตัณหา ความทะยานอยากในภพ อยากเป็นน่ันเป็น นี่ ๓. วภิ วตณั หา ความทะยานอยากในวภิ พ อยากไม่เป็นนั่นไม่เป็นน่ี อยากพรากพ้นดับสญู ไปเสีย ตันหา (๒) ธิดามารนางหน่ึงใน ๓ นาง ที่อาสาพระยามารผู้เปน็ บิดา เข้าไปประโลมพระพุทธเจ้าด้วยอาการต่าง ๆ ในสมยั ที่พระองคป์ ระทับอยู่ท่ีต้นอชปาลนโิ ครธ ภายหลงั ตรัสรใู้ หม่ ๆ (อกี ๒ นางคอื อรดกี บั ราคา) ไตรลักษณ์ ลักษณะสาม คือ ความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความไม่ใช่ตัวตน ๑. อนิจจตา (ความเปน็ ของไม่เที่ยง) ๒. ทกุ ขตา (ความเปน็ ทกุ ข)์ ๓. อนตั ตา (ความเป็นของไมใ่ ชต่ น) ไตรสิกขา สิกขาสาม ข้อปฏิบัติที่ต้องศึกษา ๓ อย่าง คือ ๑. อธิศีลสิกขา หมายถึง สิกขา คือ ศีลอันยิ่ง ๒. อธิจิตตสิกขา หมายถึง สิกขา คือ จิตอันยิ่ง ๓. อธิปัญญาสิกขา หมายถึง สิกขา คือ ปัญญอนั ย่งิ ใหญ่ เรยี กกนั ง่าย ๆ วา่ ศีล สมาธิ ปญั ญา ทศพธิ ราชธรรม ๑๐ ธรรม สำหรบั พระเจ้าแผ่นดิน คุณสมบัตขิ องนักปกครองท่ีดี สามารถปกครองแผ่นดินโดย ธรรม และยังประโยชน์สุขให้เกิดแก่ประชาชน จนเกิดความชื่นชมยินดี มี ๑๐ ประการ คือ ๑. ทาน การใหท้ รัพย์สนิ สิ่งของ ๒. ศลี ประพฤติดีงาม ๓. ปรจิ จาคะ ความเสียสละ ๔. อาชชวะ ความซื่อตรง ๕. มัททวะ ความอ่อนโยน ๖. ตบะ ความทรงเดช เผากิเลสตัณหา ไม่หมกมุ่นในความสุขสำราญ ๗. อักโกธะความไม่กริ้วโกรธ ๘. อวิหิงสา ความไมข่ ่มเหงเบยี ดเบียน ๙. ขนั ติ ความอดทนเข้มแข็ง ไมท่ อ้ ถอย ๑๐. อวโิ รธนะ ความไมค่ ลาดธรรม ทิฏธมั มกิ ัตถสังวัตตนิกธรรม ๔ ธรรมที่เป็นไปเพอ่ื ประโยชนใ์ นปัจจุบัน คือ ประโยชน์สขุ สามัญทม่ี องเห็นกันใน ชาตินี้ ที่คนทั่วไปปรารถนา เช่น ทรัพย์ ยศ เกียรติ ไมตรี เป็นต้น มี ๔ ประการ คือ ๑. อุฏฐาน สัมปทา ถึงพร้อมด้วยความหมั่น ๒. อารักขสัมปทา ถึงพร้อมด้วยการรักษา ๓. กัลยาณมิตตตา ความมเี พือ่ นเปน็ คนดี ๔. สมชีวติ า การเลย้ี งชพี ตามสมควรแก่กำลงั ทรพั ย์ทีห่ าได้ ทุกข์ ๑. สภาพที่ทนอยู่ได้ยาก สภาพที่คงทนอยู่ไม่ได้ เพราะถูกบีบคั้นด้วยความเกิดขึ้นและดับสลาย เนื่องจากต้องไปตามเหตุปัจจัยที่ไม่ขึ้นต่อตัวมันเอง ๒. สภาพที่ทนได้ยาก ความรู้สึกไม่สบาย ได้แก่ ทกุ ขเวทนา

221 ทุกรกิริยา กิริยาที่ทำได้ยาก การทำความเพียรอันยากที่ใคร ๆ จะทำได้ เช่น การบำเพ็ญเพียรเพื่อบรรลุธรรม วิเศษ ด้วยวิธที รมานตนต่าง ๆ เช่น กลนั้ ลมอัสสาสะ (ลมหายใจเข้า) ปัสสาสะ (ลมหายใจออก) และอด อาหาร เป็นตน้ ทุจริต ๓ ความประพฤติไม่ดี ประพฤติชั่ว ๓ ทาง ได้แก่ ๑. กายทุจริต ประพฤติชั่วทางกาย ๒. วจีทุจริต ประพฤตชิ ่ัวทางวาจา ๓. มโนทุจริต ประพฤตชิ ัว่ ทางใจ เทวทูต ๔ ทูตของยมเทพ สื่อแจ้งข่าวของมฤตยู สัญญาณที่เตือนให้ระลึกถึงคติธรรมดาของชีวิต มีให้มีความ ประมาท ได้แก่ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และสมณะ ๓ อย่างแรกเรียกเทวทูต ส่วนสมณะเรียกรวมเป็น เทวทูตไปด้วยโดยปริยายเพราะมาในหมวดเดยี วกนั แต่ในบาลีทา่ นเรยี กวา่ นิมิต ๔ ไมไ่ ด้เรียกเทวทตู ธาตุ ๔ สง่ิ ท่ีทรงภาวะอยเู่ องตามธรรมดาของเหตุปัจจัย ไดแ้ ก่ ๑. ปฐวีธาตุ หมายถึง สภาวะทแ่ี ผ่ไปหรือกินเนื้อท่ี เรยี กช่ือสามัญว่า ธาตุเข้มแข็ง หรอื ธาตุดนิ ๒. อาโปธาตุ หมายถงึ สภาวะท่ีเอิบอาบดูดซึม เรียกสามัญ วา่ ธาตเุ หลว หรือธาตนุ ำ้ ๓. เตโชธาตุ หมายถงึ สภาวะทที่ ำให้รอ้ น เรยี กสามัญว่า ธาตุไฟ ๔. วาโยธาตุ หมายถึง สภาวะท่ที ำให้เคล่ือนไหว เรียกสามญั วา่ ธาตลุ ม นาม ธรรมที่รู้จักกันด้วยชื่อ กำหนดรู้ด้วยใจเป็นเรื่องของจิตใจ สิ่งที่ไม่มีรูปร่าง ไม่มีรูป แต่น้อมมาเป็นอารมณ์ ของจติ ได้ นิยาม ๕ กำหนดอันแน่นอน ความเป็นไปอันมีระเบียบแน่นอนของธรรมชาติ กฎธรรมชาติ ๑. อุตุ (กฎธรรมชาติเกี่ยวกับอุณหภูมิ หรือปรากฏการณ์ธรรมชาติต่าง ๆ โดยเฉพาะ ดิน น้ำ อากาศและ ฤดกู าล อันเป็นส่งิ แวดลอ้ มสำหรับมนุษย)์ ๒. พชี นยิ าม (กฎธรรมชาติเกี่ยวกบั การสบื พนั ธม์ุ พี ันธุกรรม เป็นต้น) ๓. จิตตนิยาม (กฎธรรมชาติเกี่ยวกับการทำงานของจิต) ๔. กรรมนิยาม (กฎธรรมชาติ เกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์ คือ กระบวนการให้ผลของการกระทำ) ๕. ธรรมนิยาม (กฎธรรมชาติ เก่ียวกับความสมั พันธแ์ ละอาการทีเ่ ป็นเหตุ เปน็ ผลแก่กันแห่งสิ่งทั้งหลาย นวิ รณ์ ๕ ส่งิ ท่กี ัน้ จติ ไม่ใหก้ ้าวหน้าในคุณธรรม ธรรมทก่ี น้ั จิตไม่ให้บรรลุคุณความดี อกุศลธรรมท่ีทำจิตให้เศร้า หมองและทำปัญญาให้อ่อนกำลัง ๑. กามฉันทะ (ความพอใจในกาม ความต้องการกามคุณ) ๒. พยาบาท (ความคิดร้าย ความขัดเคืองแคน้ ใจ) ๓. ถนี มิทธะ (ความหดหู่และเซื่องซึม) ๔. อุทธัจจกุกกุจ จะ (ความ-ฟุง้ ซา่ นและรอ้ นใจ ความกระวนกระวายกลมุ้ กงั วล) ๕. วิจิกจิ ฉา (ความลังเลสงสัย) นิโรธ ความดับทุกข์ คือ ดับตัณหาได้สิ้นเชิง ภาวะปลอดทุกข์ เพราะไม่มีทุกข์ที่จะเกิดขึ้นได้ หมายถึง พระนพิ พาน บารมี คุณความดีที่บำเพ็ญอย่างยิ่งยวด เพ่ือบรรลจุ ุดหมายอนั สูงยิ่งมี ๑๐ คอื ทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขนั ติ สัจจะ อธิษฐาน เมตตา อเุ บกขา

222 บญุ กิรยิ าวัตถุ ๓ ทตี่ ้ังแหง่ การทำบุญ เรือ่ งท่ีจดั เป็นการทำความดี หลักการทำความดี ความดีมี ๓ ประการ คือ ๑. ทานมัย คือทำบุญด้วยการให้ปันสิ่งของ ๒. ศีลมัย คือ ทำบุญด้วยการรักษาศีล หรือประพฤติดีมี ระเบยี บวนิ ัย ๓. ภาวนมยั คือ ทำบุญด้วยการเจริญภาวนา คือ ฝึกอบรมจติ ใจ บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ที่ต้ังแหง่ การทำบญุ ทางความดี ๑. ทานมยั คอื ทำบญุ ดว้ ยการให้ปันสง่ิ ของ ๒. สีลมัย คือ ทำบุญด้วยการรักษาศีล หรือประพฤติดี ๓. ภาวนมัย คือ ทำบุญด้วยการเจริญภาวนา คือฝึกอบรม จิตใจ ๔. อปจายนมัย คือ ทบุญด้วยการประพฤตอิ อ่ นน้อมถอ่ มตน ๕. เวยยาวัจจมัย คือ ทำบุญด้วย การช่วยขวนขวายรับใช้ ๖. ปัตติทานมัย คือ ทำบุญด้วยการเฉลี่ยส่วนแห่งความดีให้แก่ผู้อื่น ๗. ปตั ตานุโมทนามยั คือ ทำบุญดว้ ยการยินดใี นความดีของผู้อ่ืน ๘. ธัมมสั สวนมยั คือ ทำบญุ ดว้ ยการฟัง ธรรม ศึกษาหาความรู้ ๙. ธัมมเทสนามัย คือทำบุญด้วยการสัง่ สอนธรรมให้ความรู้ ๑๐. ทิฏฐุชุกรรม คอื ทำบญุ ด้วยการทำความเห็นใหต้ รง บุพนิมิตของมัชฌิมาปฏิปทา บุพนิมิต แปลว่า สิ่งที่เป็นเคร่ืองหมายหรือสิ่งบ่งบอกล่วงหน้า พระพุทธองค์ตรสั เปรียบเทียบว่า ก่อนที่ดวงอาทิตย์จะขึ้น ย่อมมีแสงเงินแสงทองปรากฏให้เห็นก่อนฉันใด ก่อนที่ อริยมรรคซึ่งเป็นข้อปฏบิ ัติสำคัญในพระพุทธศาสนาจะเกิดขึ้น ก็มีธรรมบางประการปรากฏขึ้นก่อน เหมอื นแสงเงนิ แสงทองฉนั นั้น องค์ประกอบของธรรมดงั กล่าว หรอื บุพนิมติ แหง่ มัชฌมิ าปฏิปทา ได้แก่ ๑. กัลป์ยาณมติ ต-ตา ความมีกลั ยาณมิตร ๒. สีลสมั ปทา ถึงพร้อมด้วยศีล มวี ินยั มคี วามเป็นระเบียบ ในชีวิตของตนและในการอยู่รว่ มในสังคม ๓. ฉันทสัมปทา ถึงพร้อมด้วยฉันทะ พอใจใฝ่รักในปัญญา สัจธรรม ในจริยธรรม ใฝ่รู้ในความจรงิ และใฝ่ทำความดี ๔. อัตตสัมปทา ความถึงพร้อมด้วยการท่จี ะ ฝึกฝน พัฒนาตนเอง เห็นความสำคัญของการที่จะต้องฝึกตน ๕. ทิฏฐิสัปทา ความถึงพรอ้ มด้วยทิฏฐิ ยดึ ถือ เชือ่ ถอื ในหลกั การ และมีความเห็นความเข้าใจพืน้ ฐานที่มองสง่ิ ท้งั หลายตามเหตปุ ัจจยั ๖. อัปป มาทสัมปทา ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท มีความกระตือรือร้นอยู่เสมอ เห็นคุณค่าของกาลเวลา เหน็ ความเปล่ียนแปลงเปน็ สิง่ กระต้นุ เตือนใหเ้ รง่ รดั การคน้ หาให้เข้าถงึ ความจริง หรอื ในการทำชีวิตท่ีดี งามให้สำเร็จ ๗. โยนิโสมนสิการ รู้จัดคิดพิจารณา มองส่ิงทั้งหลายให้ได้ความรู้และไดป้ ระโยชน์ท่จี ะ เอามาใช้พัฒนาตนเองย่ิง ๆ ข้นึ ไป เบญจธรรม ธรรม ๕ ประการ ความดี ๕ อย่าง ที่ควรประพฤติคู่กนั ไปกับการรักษาเบญจศีลตามลำดับข้อ ดังนี้ ๑. เมตตากรุณา ๒. สัมมาอาชวี ะ ๓. กามสังวร (สำรวมในกาม) ๔. สัจจะ ๕. สตสิ มั ปชัญญะ เบญจศลี ศีล ๕ เวน้ ฆา่ สตั ว์ เวน้ ลกั ทรพั ย์ เวน้ ประพฤติผดิ ในกาม เว้นพดู ปด เวน้ ของเมา ปฐมเทศนา เทศนาครั้งแรก หมายถึง ธัมมจักรกัปปวัตตนสูตรที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่พระปัญจวัคคีย์ใน วันข้ึน ๑๕ ค่ำ เดอื น ๘ หลงั จากวันตรสั รู้สองเดอื น ทป่ี า่ อสิ ปิ ตนมฤคทายวนั เมอื งพาราณสี

223 ปฏิจจสมปุ บาท สภาพอาศยั ปัจจยั เกิดข้นึ การที่ส่ิงท้ังหลายอาศยั กันจึงมขี น้ึ การทท่ี กุ ขเ์ กดิ ข้ึนเพราะอาศัยปัจจัย ตอ่ เน่อื งกนั มา ปรยิ ตั ิ พทุ ธพจนอ์ ันจะพงึ เล่าเรยี น สง่ิ ทคี่ วรเลา่ เรียน การเล่าเรยี นพระธรรมวินยั ปธาน ๔ ความเพยี ร ๔ อย่าง ได้แก่ ๑. สังวรปธาน คอื การเพยี รระวงั หรอื เพยี รปดิ กนั้ (ยบั ยัง้ บาปอกศุ ลธรรมทยี่ งั ไม่เกิด ไม่ให้เกิดขึ้น) ๒. ปหานปธาน คือ เพียรละบาปอกุศลที่เกิดขึ้นแล้ว ๓. ภาวนาปธาน คือ เพยี รเจรญิ หรือทำกศุ ลธรรมท่ียังไมเ่ กิดใหเ้ กิดข้ึน ๔. อนรุ ักขนาปธาน คือ เพยี รรกั ษากศุ ลธรรมท่ีเกิดขึ้น แลว้ ไม่ใหเ้ สือ่ มไปและทำให้เพมิ่ ไพบูลย์ ปปัญจธรรม ๓ กิเลสเครื่องเนิ่นช้า กิเลสที่เป็นตัวการทำให้คิดปรุงแต่งยึดเยื้อพสิ ดาร ทำให้เขาห่างออกไปจาก ความเป็นจรงิ ง่าย ๆ เปดิ เผย กอ่ ให้เกดิ ปัญหาตา่ ง ๆ และขัดขวางไมใ่ ห้เข้าถึงความจริง หรอื ทำให้ไม่อาจ แก้ปัญหาอย่างถูกทางตรงไปตรงมา มี ๓ อย่าง คือ ๑. ตัณหา (ความทะยานอยาก ความปรารถนาท่จี ะ บำรุงบำเรอ ปรนเปรอตน ความอยากได้อยากเอา) ๒. ทิฏฐิ (ความคิดเห็น ความเชื่อถือ ลักธิ ทฤษฎี อุดมการณต์ ่าง ๆ ท่ยี ึดถอื ไว้โดยงมงาย หรอื โดยอาการเชดิ ชูว่าอย่างนีเ้ ท่านน้ั จรงิ อย่างอื่นเท็จท้ังนน้ั เป็น ตน้ ทำให้ปดิ ตัวแคบไม่ยอมรับฟังใคร ตดั โอกาสทีจ่ ะเจรญิ ปัญญา หรือคิดเตลดิ ไปข้างเดียว ตลอดจนเป็น เหตุแห่งการเบียดเบียน บีบคั้นผู้อ่ืนที่ไม่ถืออย่างตน ความยึดติดในทฤษฎี ฯลฯ คือความคิดเห็นเป็น ความจริง) ๓. มานะ (ความถือตัว ความสำคัญตนว่าเปน็ นั่นเป็นนี่ ถือสูง ถือต่ำ ยิ่งใหญ่ เท่าเทียม หรือ ดอ้ ยกวา่ ผอู้ ่ืน ความอยากเดน่ อยากยกชตู นให้ยง่ิ ใหญ)่ ปฏเิ วธ เขา้ ใจตลอด แทงตลอด ตรัสรู้ รทู้ ะลปุ รุโปร่ง ลลุ ว่ งด้วยการปฏิบตั ิ ปฏิเวธสทั ธรรม สัทธรรม คือ ผลอันจะพึงเข้าถึง หรอื บรรลดุ ว้ ยการปฏบิ ตั ไิ ด้แก่ มรรค ผล และนพิ พาน ปัญญา ๓ ความรอบรู้ เข้าใจ รู้ซึ้ง มี ๓ อย่าง คือ ๑. สุตมยปัญญา (ปัญญาเกิดแตก่ ารสดบั การเล่าเรื่อง) ๒. จนิ ตามนปญั ญา (ปญั ญาเกิดแต่การคิด การพิจารณาหาเหตุผล) ๓. ภาวนามยปญั ญา (ปัญญาเกิด แต่การ ฝึกอบรมลงมือปฏบิ ัต)ิ ปัญญาวุฒธิ รรม ธรรมเป็นเครื่องเจริญปัญญา คุณธรรมที่ก่อให้เกิดความเจริญงอกงามแห่งปัญญา ๑. สัปปรุ ิสสงั เสวะ คบหาสตั บรุ ุษ เสวนาทา่ นผูท้ รง ๒. สัทธมั มสั สวนะ ฟงั สทั ธรรม เอาใจใส่ เลา่ เรียนหา ความรู้จริง ๓. โยนิโสมนสิการ ทำในใจโดยแยบคาย คิดหาเหตุผลโดยถูกวิธี ๔. ธัมมานุธัมมปฏิบัติ ปฏิบัติธรรมถูกต้องตามหลัก คือ ให้สอดคล้องพอดี ขอบเขตความหมาย และวัตถุประสงค์ที่สัมพันธ์ กับธรรมข้ออื่น ๆ นำสิ่งที่ได้เล่าเรียนและตริตรองเห็นแล้วไปใช้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามความมุ่งหมาย ของสิ่งนนั้ ๆ ปาปณิกธรรม ๓ หลักพ่อค้า องค์คุณของพ่อค้ามี ๓ อย่าง คือ ๑ จักขุมา ตาดี (รู้จักสินค้า) ดูของเป็น สามารถ คำนวณราคา กะทุน เก็งกำไร แม่นยำ ๒. วิธูโร จัดเจนธุรกิจ (รู้แหล่งซื้อขาย รู้ความเคลื่อนไหวความ

224 ต้องการของตลาด สามารถในการจัดซือ้ จัดจำหน่าย รใู้ จและร้จู กั เอาใจลูกค้า) ๓. นสิ สยสัมปนั โน พร้อม ด้วยแหล่งทุนอาศัย (เป็นที่เชื่อถือไว้วางในในหมู่แหล่งทุนใหญ่ ๆ หาเงินมาลงทุนหรือดำเนินกิจการ โดยง่าย ๆ) ผัสสะ หรอื สมั ผสั การถกู ต้อง การกระทบ ความประจวบกนั แหง่ อายตนะภายใน อายตนะภายนอก และวญิ ญาณ มี ๖ คือ ๑. จักขุสัมผัส (ความกระทบทางตา คือ ตา + รูป + จักขุ - วิญญาณ) ๒. โสตสัมผัส (ความ กระทบทางหู คือ หู + เสียง + โสตวิญญาณ) ๓. ฆานสัมผัส (ความกระทบทางจมกู คือ จมูก + กลิ่น + ฆานวิญญาณ) ๔. ชิวหาสัมผัส (ความกระทบทางลิ้น คือ ลิ้น + รส + ชิวหาวิญญาณ) ๕. กายสัมผัส (ความกระทบทางกาย คอื กาย + โผฏฐัพพะ + กายวิญญาณ) ๖. มโนสมั ผัส (ความกระทบทางใจ คอื ใจ + ธรรมารมณ์ + มโนวิญญาณ) ผ้วู เิ ศษ หมายถึง ผสู้ ำเรจ็ ผมู้ วี ิทยากร พระธรรม คำสง่ั สอนของพระพุทธเจ้าทัง้ หลกั ความจรงิ และหลักความประพฤติ พระอนุพุทธะ ผ้ตู รัสร้ตู าม คอื ตรสั รู้ด้วยไดส้ ดับเล่าเรียนและปฏบิ ัติตามท่ีพระสัมมาสมั พทุ ธเจ้าทรงสอน พระปจั เจกพทุ ธะ พระพุทธเจา้ ประเภทหนง่ึ ซงึ่ ตรสั รู้เฉพาะตวั มไิ ด้ส่ังสอนผ้อู ืน่ พระพุทธคณุ ๙ คณุ ของพระพุทธเจา้ ๙ ประการ ไดแ้ ก่ อรหํ เปน็ ผ้ไู กลจากกเิ ลส ๒. สมมฺ าสัมพฺ ุทฺโธ เป็นผู้ตรัส รชู้ อบได้โดยพระองค์เอง ๓. วชิ ชฺ าจรณสมฺปนฺโน เป็นผถู้ งึ พรอ้ มดว้ ยวชิ ชาและ จรณะ ๔. สุคโต เป็นผู้ เสด็จไปแล้วดว้ ยดี ๕. โลกวทิ ู เป็นผรู้ ้โู ลกอย่างแจ่มแจง้ ๖. อนุตตฺ โร ปรุ ิสทมฺมสารถิ เป็นผู้สามารถฝึก บรุ ษุ ทส่ี มควรฝกึ ได้อย่างไมม่ ใี ครยิ่งกวา่ ๗. สตถฺ า เทวมนุสฺสานํ เปน็ ครูผสู้ อนเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ๘. พทุ โฺ ธ เป็นผรู้ ู้ ผ้ตู นื่ ผู้เบิกบาน ๙. ภควา เป็นผูม้ ีโชค มีความเจรญิ จำแนกธรรมส่งั สอนสตั ว์ พระพุทธเจ้า ผู้ตรัสรู้โดยชอบแล้วสอนผู้อื่นให้รู้ตาม ท่านผู้รู้ดี รู้ชอบด้วยตนเองก่อนแล้ว สอนประชุมชนให้ ประพฤตชิ อบด้วยกาย วาจา ใจ พระภกิ ษุ ชายผไู้ ด้อปุ สมบทแล้ว ชายทบี่ วชเป็นพระ พระผชู้ าย แปลตามรูปศพั ทว์ ่า ผขู้ อหรือผู้มองเห็นภัยใน สังขารหรือผู้ทำลายกิเลส ดูบริษัท ๔ สหธรรมิก บรรพชิต อุปสัมบัน ภิกษุสาวกรูปแรก ได้แก่ พระอญั ญาโกณฑญั ญะ พระรตั นตรยั รตั นะ ๓ แกว้ อนั ประเสริฐ หรือสิ่งลำ้ ค่า ๓ ประการ หลักทีเ่ คารพบูชาสงู สดุ ของพทุ ธศาสนิกชน ๓ อย่าง คือ ๑ พระพุทธเจ้า (พระผู้ตรัสรู้เอง และสอนให้ผู้อื่นรู้ตาม) ๒.พระธรรม (คำสั่งสอนของ พระพุทธเจ้า ทั้งหลักความจริงและหลักความประพฤติ) ๓. พระสงฆ์ (หมู่สาวกผู้ปฏิบัติตามคำส่ัง สอนของพระพุทธเจ้า) พระสงฆ์ หมู่ชนทฟ่ี ังคำส่ังสอนของพระพทุ ธเจา้ แลว้ ปฏิบัติชอบตามพระธรรมวนิ ยั หมสู่ าวกของพระพุทธเจ้า พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ หมายถึง ท่านผู้ตรัสรู้เอง และสอนผ้อู ่ืนใหร้ ู้ตาม

225 พระอนุพุทธะ หมายถึง ผู้ตรัสรู้ตาม คือ ตรัสรูด้วยได้สดับเล่าเรียนและปฏิบตั ิตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรง สอน ได้แก่ พระอรหันต์สาวกทั้งหลาย พระอรยิ บุคคล หมายถึง บคุ คลผเู้ ป็นอริยะ ทา่ นผู้บรรลุธรรมวเิ ศษ มโี สดาปตั ติผล เป็นตน้ มี ๔ คือ ๑. พระโสดาบัน ๒. พระสกทาคามี (หรือสกิทาคาม)ี ๓. พระอนาคามี ๔. พระอรหันต์ แบง่ พิสดารเปน็ ๘ คือ พระผตู้ ั้งอยูใ่ นโสดาปัตติมรรค และพระผู้ต้งั อยู่ในโสดาปัตติผลคู่ ๑ พระผู้ต้งั อยใู่ นสกทาคามิมรรค และพระผตู้ ั้งอยู่ในสกทาคามีผลคู่ ๑ พระผตู้ ง้ั อยใู่ นอนาคามิมรรค และพระผตู้ ้งั อยใู่ นอนาคามผิ ลคู่ ๑ พระผู้ตัง้ อยู่ในอรหตั ตมรรค และพระผตู้ ั้งอยู่ในอรหตั ตผลคู่ ๑ พราหมณ์ หมายถึง คนวรรณะหนึ่งใน ๔ วรรณะ คือ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร ; พราหมณ์เป็นวรรณะ นกั บวชและเป็นเจ้าพิธี ถอื ตนวา่ เป็นวรรณะสงู สดุ เกดิ จากปากพระพรหม พละ ๔ กำลัง พละ ๔ คือ ธรรมอนั เป็นพลงั ทำใหด้ ำเนนิ ชีวติ ดว้ ยความมนั่ ใจ ไมต่ ้องหวาดหว่ันภยั ต่าง ๆ ได้แก่ ๑. ปัญญาพละ กำลงั คือปัญญา ๒. วริ ยิ พละ กำลงั คอื ความเพียร ๓. อนวัชชพละ กำลังคือการกระทำ ท่ไี มม่ โี ทษ ๔. สงั คหพละ กำลังการสังเคราะห์ คือ เกอื้ กลู อยรู่ ว่ มกบั ผู้อื่นไดด้ ี พละ ๕ พละ กำลงั พละ ๕ คอื ธรรมอันเปน็ กำลงั ซ่ึงเปน็ เครอ่ื งเกื้อหนุนแก่อริยมรรค จัดอยใู่ นจำพวกโพธิปักขิย ธรรม มี ๕ คอื สัทธา วริ ิยะ สติ สมาธิ ปญั ญา พุทธกิจ ๕ พระพุทธองค์ทรงบำเพ็ญพุทธกิจ ๕ ประการ คือ ๑. ปุพฺพณฺเห ปิณฺฑปาตญฺจ ตอนเช้าเสด็จออก บิณฑบาต เพื่อโปรดสัตว์ โดยการสนทนาธรรมหรือการแสดงหลักธรรมให้เข้าใจ ๒. สายณฺเห ธมฺม เทสนํ ตอนเย็น แสดงธรรมแก่ประชาชนที่มาเฝ้าบริเวณที่ประทับ ๓. ปโทเส ภิกฺขุโอวาทํ ตอนค่ำ แสดงโอวาทแก่พระสงฆ์ ๔. อฑฺฒรตฺเต เทวปญฺหนํ ตอนเที่ยง คืน ทรงตอบปัญหาแก่พวกเทวดา ๕. ปจฺจูเสว คเต กาเล ภพฺพาภพฺเพ วิโลกนํ ตอนเช้ามืด จวนสว่าง ทรงตรวจพิจารณาสัตว์โลกว่าผู้ใดมี อปุ นิสัยทีจ่ ะบรรลธุ รรมได้ พุทธคุณ คุณของพระพุทธเจ้า คือ ๑. ปํญญาคุณ (พระคุณ คือ ปัญญา) ๒. วิสุทธิคุณ (พระคุณ คือ ความ บริสุทธ)์ิ ๓. กรณุ าคุณ (พระคณุ คอื พระมหากรณุ า) ภพ โลกเป็นที่อยู่ของสัตว์ ภาวะชีวิตของสัตว์ มี ๓ คือ ๑. กามภพ ภพของผู้ยังเสวยกามคุณ ๒. รูปภพ ภพของผเู้ ข้าถึงรูปฌาน ๓. อรูปภพ ภพของผูเ้ ข้าถงึ อรูปฌาน

226 ภาวนา ๔ การเจริญ การทำให้มีขึ้น การฝึกอบรม การพัฒนา แบ่งออกเป็น ๔ ประเภท ได้แก่ ๑. กายภาวนา ๒. สีลภาวนา ๓. จิตตภาวนา ๔. ปัญญาภาวนา ภูมิ ๓๑ ๑.พ้ืนเพ พื้นชั้นที่ดิน แผ่นดิน ๒. ชั้นแห่งจิต ระดับจิตใจ ระดับชีวิต มี ๓๑ ภูมิ ได้แก่ อบายภูมิ ๔ (ภูมิที่ปราศจากความเจริญ) - นิรยะ (นรก) – ติรัจฉานโยนิ (กำเนิดดิรัจฉาน) – ปิตติ วิสัย (แดนเปรต) - อสรุ กาย (พวกอสรู ) กามสุคตภิ ูมิ ๗ (กามาวจรภมู ทิ เ่ี ป็นสุคติ ภูมทิ ี่เปน็ สุคติ ซึ่ง ยังเกย่ี วข้องกบั กาม) - มนษุ ย์ (ชาวมนษุ ย์) – จาตุมหาราชิกา (สวรรคช์ ั้นที่ท้าวมหาราช ๔ ปกครอง) - ดาวดึงส์ (แดนแห่งเทพ ๓๓ มที ้าวสักกะเป็นใหญ)่ -ยามา (แดนแหง่ เทพผ้ปู ราศจากความทุกข์) - ดสุ ติ (แดนแหง่ ผเู้ อิบอ่มิ ด้วยสิริสมบตั ิของตน) - นิมมานรดี (แดนแห่งเทพผู้ยนิ ดีในการเนรมิต) - ปร นมิ มติ ว-สวัตตี (แดนแห่งเทพผยู้ งั อำนาจใหเ้ ปน็ ไปในสมบตั ิท่ีผอู้ ่นื นริ มิตให้) โภคอาทิยะ ๕ ประโยชน์ที่ควรถือเอาจากโภคทรพั ย์ ในการที่จะมี หรือเหตุผลในการทีจ่ ะมี หรือครอบครองโภค ทรัพย์ ๑. เลี้ยงตัว มารดา บิดา บุตร ภรรยา และคนในปกครองทั้งหลายให้เป็นสุข ๒. บำรุงมิตรสหาย และรว่ มกิจกรรมการงานใหเ้ ป็นสขุ ๓. ใช้ปอ้ งกันภยันตราย ๔. ทำพลี คอื ญาติพลี สงเคราะห์ญาติ อติถิ พลี ตอ้ นรบั แขก ปุพพเปตพลี ทำบญุ อทุ ิศให้ผ้ลู ่วงลับ ราชพลี บำรุงราชการ เสยี ภาษี เทวตาพลี สักการะ บำรงุ สงิ่ ทีเ่ ช่ือถือ ๕. อุปถัมภ์บำรุงสมณพราหมณ์ ผู้ประพฤตชิ อบ มงคล ส่ิงที่ทำให้มีโชคดีตามหลักพระพุทธศาสนา หมายถงึ ธรรมท่นี ำมาซึ่งความสขุ ความเจริญ มงคล ๓๘ ประการ หรือ เรียกเต็มว่า อดุ มมงคล (มงคลอนั สงู สุด) ๓๘ ประการ (ดรู ายละเอยี ดมงคลสตู ร) มิจฉาวณิชชา ๕ การค้าขายที่ผิดศีลธรรมไม่ชอบธรรม มี ๕ ประการ คือ ๑. สัตถวณิชชา ค้าอาวุธ ๒. สัตตวณิชชา คา้ มนษุ ย์ ๓. มงั สวณิชชา เลยี้ งสัตว์ไวข้ ายเน้อื ๔. มชั ชวณชิ ชา ค้าขายนำ้ เม ๕. วิสวณิชชา ค้าขายยาพิษ มรรคมีองค์ ๘ ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ เรียกเต็มว่า “อริยอัฏฐังคิกมรรค” ได้แก่ ๑. สัมมาทิฎฐิ เหน็ ชอบ ๒. สัมมาสังกัปปะ ดำรชิ อบ ๓. สมั มาวาจา เจรจาชอบ ๔. สมั มากัมมนั ตะ ทำการชอบ ๕. สมั มาอาชีวะ เลีย้ งชพี ชอบ ๖. สมั มาวายามะ เพียรชอบ ๗. สมั มาสติ ระลกึ ชอบ ๘. สมั มาสมาธิ ต้ัง จิตม่ันชอบ มิจฉัตตะ ๑๐ ภาวะท่ีผดิ ความเป็นส่ิงที่ผดิ ไดแ้ ก่ ๑. มจิ ฉทิฏฐิ (เหน็ ผิด ไดแ้ ก่ ความเห็นผดิ จากคลองธรรมตาม หลักกุศลกรรมบถ และความเห็นที่ไม่นำไปสู่ความพ้นทุกข์) ๒. มิจฉาสังกัปปะ (ดำริผิด ได้แก่ ความ ดำริที่เป็นอกุศลทง้ั หลาย ตรงขา้ มจากสัมมาสังกปั ปะ) ๓. มิจฉาวาจา (วาจาผดิ ได้แก่ วจีทุจริต ๔) ๔. มิจฉากัมมัน-ตะ (กระทำผิด ได้แก่ กายทุจริต ๓) ๕. มิจฉาอาชีวะ (เลี้ยงชีพผิด ได้แก่ เลี้ยงชีพ ในทางทจุ รติ ) ๖. มจิ ฉาวายามะ (พยายามผิด ได้แก่ ความเพียรตรงข้ามกับสัมมาวายามะ) ๗. มิจฉา สติ (ระลึกผิด ได้แก่ ความระลึกถึงเรื่องราวที่ล่วงแล้ว เช่น ระลึกถึงการได้ทรัพย์ การได้ยศ เป็นต้น

227 ในทางอกศุ ล อันจดั เป็นสติเทียม) เป็นเหตชุ กั นำใจให้เกิดกเิ ลส มโี ลภะ มานะ อสสา มัจฉริยะ เป็นต้น ๘. มิจฉาสมาธิ (ตั้งใจผิด ได้แก่ ตั้งจิตเพ่งเล็ง จดจ่อปักใจแน่วแน่ในกามราคะพยาบาท เป็นต้น หรือ เจริญสมาธิแลว้ หลงเพลิน ติดหมกมนุ่ ตลอดจนนำไปใช้ผดิ ทาง ไม่เป็นไปเพื่อญาณทัสสนะ และความ หลดุ พน้ ) ๙. มิจฉาญาณ (รผู้ ิด ได้แก่ ความหลงผดิ ทแี่ สดงออกในการคดิ อุบายทำความช่วั และในการ พิจารณาทบทวน ว่าความชั่วนั้น ๆ ตนกระทำได้อย่างดีแล้ว เป็นต้น) ๑๐. มิจฉาวิมุตติ (พ้นผิด ได้แก่ ยังไมถ่ ึงวิมตุ ติ สำคญั ว่าถึงวมิ ตุ ติ หรือสำคัญผิดในสง่ิ ที่มิใช่วมิ ตุ ต)ิ มิตรปฏริ ูป คนเทยี มมติ ร มิตรเทียม มิใชม่ ิตรแท้ มี ๔ พวก ไดแ้ ก่ ๑. คนปอกลอก มีลกั ษณะ ๔ คอื ๑.๑ คิดเอาได้ฝ่ายเดียว ๑.๒ ยอมเสยี แตน่ อ้ ยโดยหวังจะเอาให้ มาก ๑.๓ ตวั เองมภี ัย จงึ มาทำกิจของเพอื่ น ๑.๔ คบเพื่อนเพราะเหน็ แกป่ ระโยชนข์ องตวั ๒. คนดแี ต่พูด มลี ักษณะ ๔ คือ ๒.๑ ดแี ตย่ กเรอื่ งทีผ่ า่ นมาแลว้ มาปราศรัย ๒.๒ ดีแตอ่ ้างสิง่ ทีย่ ังมดี ี แต่อ้างสิ่งที่ยังไม่มีมาปราศรัย ๒.๓ สงเคราะห์ด้วยสิ่งที่ไร้ประโยชน์ ๒.๔ เมื่อเพื่อนมีกิจอ้างแต่ เหตขุ ดั ข้อง ๓. คนหวั ประจบมลี ักษณะ ๔ คือ ๓.๑ จะทำชวั่ กค็ ลอ้ ยตาม ๓.๒ จะทำดกี ็คล้อยตาม ๓.๓ ต่อหน้า สรรเสริญ ๓.๔ ลับหลังนนิ ทา ๔. คนชวนฉิบหายมีลักษณะ ๔ ๔.๑ คอยเป็นเพื่อนดื่มน้ำเมา ๔.๒ คอยเป็นเพื่อนเที่ยวกลางคืน ๔.๓ คอยเป็นเพอื่ นเท่ียวดกู ารเลน่ ๔.๔ คอยเป็นเพือ่ นไปเล่นการพนัน มิตรน้ำใจ ๑. เพื่อนมีทุกข์พลอยทุกข์ด้วย ๒. เพื่อนมีสุขพลอยดีใจ ๓. เขาติเตียนเพื่อน ช่วยยับย้ัง แก้ไขให้ ๔. เขาสรรเสริญเพอ่ื น ช่วยพดู เสริมสนบั สนนุ รูป ๑. สิ่งที่ต้องสลายไปเพราะปัจจัยต่าง ๆ อันขัดแย้ง สิ่งที่เป็นรูปร่างพร้อมทั้งลักษณะอาการของมัน ส่วน รา่ งกาย จำแนกเป็น ๒๘ คอื มหาภูตรปู หรอื ธาตุ ๔ และอุปาทายรูป ๒. อารมณ์ท่รี ูไ้ ด้ด้วยจักษุ สิ่งท่ี ปรากฏแก่ตา ข้อ ๑ ในอารมณ์ ๖ หรืออายตนะภายนอก ๓. ลักษณนามใช้เรียกพระภิกษุสามเณร เชน่ ภกิ ษรุ ูปหน่ึง วัฏฏะ ๓ หรือไตรวัฎฎ์ การวนเวียน การเวียนเกิด เวียนตาย การเวียนว่ายตายเกิด ความเวียนเกิด หรือ วนเวียนด้วยอำนาจกิเลส กรรม และวิบาก เช่น กิเลสเกิดขึ้นแล้วให้ทำกรรม เมื่อทำกรรมแล้วย่อม ได้ผลของกรรม เมื่อได้รับผลของกรรมแล้ว กิเลสก็เกิดอีกแล้ว ทำกรรมแล้วเสวยผลกรรมหมุนเวียน ต่อไป วาสนา อาการกายวาจา ที่เป็นลักษณะพิเศษของบุคคล ซึ่งเกิดจากกิเลสบางอย่าง และได้สัง่ สมอบรมมาเป็น เวลานานจนเคยชินติดเป็นพื้นประจำตัว แม้จะละกิเลสนั้นได้แล้ว แต่ก็อาจจะละอาการกายวาจาท่ี เคยชนิ ไมไ่ ด้ เชน่ คำพดู ติดปาก อาการเดนิ ท่ีเรว็ หรือเดนิ ตว้ มเตย้ี ม เปน็ ต้น ท่านขยายความวา่ วาสนา

228 ที่เปน็ กศุ ลกม็ ี เปน็ อกุศลกม็ ี เป็นอัพยากฤต คือ เป็นกลาง ๆ ไม่ดไี มช่ ่วั กม็ ี ที่เป็นกศุ ลกับอัพยากฤตน้ัน ไม่ต้องละ แต่ที่เป็นอกุศล ซึ่งควรจะละนัน้ แบ่งเป็น ๒ ส่วน คือ ส่วนที่จะเปน็ เหตุให้เขา้ ถึงอบายกบั ส่วนที่เป็นเหตใุ ห้เกดิ อาการแสดงออกทางกายวาจาแปลก ๆ ตา่ ง ๆ สว่ นแรกพระอรหันต์ทกุ องค์ละได้ แต่สว่ นหลังพระพุทธเจ้าเท่านน้ั ละได้ พระอรหนั ต์อ่นื ละไมไ่ ด้ จงึ มีคำกลา่ ววา่ พระพุทธเจ้าเท่าน้ันละกิเลส ท้งั หมดได้ พรอ้ มท้ังวาสนา; ในภาษาไทย คำวา่ วาสนามีความหมายเพี้ยนไป กลายเปน็ อำนาจบุญเก่า หรือกุศลท่ีทำให้ไดร้ ับลาภยศ (ไม่มีใน พ.ศ. ฉบับที่พิมพเ์ ป็นเล่ม แต่ค้นได้จากแผ่นซดี ีรอม พ.ศ. ของ สมาคมศษิ ยเ์ กา่ มหาจุฬาฯ) วติ ก ความตรกึ ตริ กายยกจิตข้ึนสอู่ ารมณ์ การคิด ความดำริ “ไทยใชว้ ่าเป็นห่วงกงั วล” แบง่ ออกเป็นกุศลวิตก ๓ และอกศุ ลวติ ก ๓ วิบัติ ๔ ความบกพรอ่ งแห่งองค์ประกอบต่าง ๆ ซ่ึงไม่อำนวยแกก่ ารที่กรรมดีจะปรากฏผล แต่กลับเปิดช่องให้ กรรมชั่วแสดงผล พูดสั้น ๆ ว่าส่วนประกอบบกพรอ่ ง เปิดช่องให้กรรมชั่ววิบตั ิมี ๔ คือ ๑. คติวิบัติ วิบัติแห่งคติ หรือคติเสีย คือเกิดอยูใ่ นภพภูมิ ถิ่น ประเทศ สภาพแวดล้อมที่ไมเ่ หมาะ ไม่เกื้อกูล ทาง ดำเนนิ ชวี ติ ถ่นิ ที่ไปไม่อำนวย ๒. อปุ ธวิ ิบตั ิ วบิ ัติแหง่ รา่ งกาย หรือ รปู กายเสยี เชน่ รา่ งกายพิกลพิการ อ่อนแอ ไมส่ วยงาม กริ ยิ าท่าทางน่าเกลียด ไม่ชวนชมตลอดจนสุขภาพที่ไม่ดี เจบ็ ป่วย มโี รคมาก ๓. กาล วิบัติ วบิ ัตแิ หง่ กาล หรอื กาลเสยี คอื เกิดอยู่ในยุคสมยั ที่บา้ นเมอื งมภี ยั พิบตั ไิ มส่ งบเรียบร้อย ผ้ปู กครอง ไมด่ ี สงั คมเสือ่ มจากศลี ธรรม มากดว้ ยการเบยี ดเบยี น ยกยอ่ งคนชวั่ บบี คน้ั คนดี ตลอดจนทำอะไรไม่ถู กาลเวลา ไมถ่ ูกจังหวะ ๔. ปโยควิบัติ วบิ ตั แิ หง่ การประกอบ หรอื กิจการเสยี เช่น ฝักใฝ่ในกิจการหรือ เรอ่ื งราวท่ผี ดิ ทำการไมต่ รง ตามความถนัด ความสามารถ ใชค้ วามเพยี รไมถ่ ูกตอ้ ง ทำการคร่งึ ๆ กลาง ๆ เปน็ ต้น วิปัสสนาญาณ ๙ ญาณในวิปัสสนา ญาณที่นับเข้าในวิปัสสนา เป็นความรู้ที่ทำให้เกิดความเห็นแจ้ง เข้าใจ สภาวะของสิ่งทั้งหลายตามจริง ได้แก่ ๑. อุทยัพพยานุปัสสนาณาณ คือ ญาณอันตามเห็นความเกิด และดับของเบญจขันธ์ ๒. ภังคานุปัสสนาญาณ คือ ญาณอันตามเห็นความสลาย เมื่อเกิดดับก็คำนงึ เด่นชัด ในส่วนดับของสังขารทั้งหลาย ต้องแตกสลายทั้งหมด ๓. ภยตูปัฏฐานญาณ คือ ณาณอัน มองเห็นสังขาร ปรากฏเป็นของน่ากลัว ๔. อาทีนวานุปัสสนาญาณ คือ ญาณอันคำนึงเห็นโทษของ สงั ขารทัง้ หลาย วา่ เปน็ โทษบกพร่องเป็นทุกข์ ๕. นพิ พทิ านปุ ัสสนาญาณ คือ ญาณอันคำนงึ เหน็ ความ หนา่ ยของสงั ขาร ไม่เพลินเพลิน ติดใจ ๖. มญุ จติ กุ ัมยตาญาณ คอื ญาณอนั คำนึงด้วย ใคร่พ้นไปเสีย คือ หน่ายสังขารทั้งหลาย ปรารถนาที่จะพ้นไปเสีย ๗. ปฏิสังขานุปัสสนาญาณ คือ ญาณอันคำนึง พิจารณาหาทาง เมื่อต้องการจะพ้นไปเสีย เพื่อมองหาอุบายจะปลดเปลื้องออกไป ๘. สังขารุเปก ขาณาณ คอื ญาณอันเปน็ ไปโดยความเปน็ กลางตอ่ สังขาร คอื พิจารณาสังขารไม่ยนิ ดียนิ รา้ ยในสังขาร

229 ท้ังหลาย ๙. สัจจานโุ ลมกิ ญาณ หรือ อนโุ ลมญาณ คอื ณาณอนั เป็นไปโดยอนุโลกแก่การหยั่งรู้อริยสัจ แลว้ มรรคญาณให้สำเรจ็ ความเป็นอรยิ บคุ คลต่อไป วิมุตติ ๕ ความหลุดพ้น ภาวะไร้กิเลส และไม่มีทุกข์ มี ๕ ประการ คือ ๑. วิกขัมภนวิมุตติ ดับโดยข่มไว้ คือ ดบั กเิ ลส ๒. ตทงั ควิมุตติ ดับกเิ ลสด้วยธรรมทเี่ ปน็ ค่ปู รับธรรมท่ตี รงกนั ข้าม ๓. สมจุ เฉทวมิ ุตติ ดับดว้ ย ตัดขาด ดบั กิเลสเสร็จสิน้ เดด็ ขาด ๔. ปฏปิ ัสสทั ธิวิมตุ ติ ดับด้วยสงบระงับ โดยอาศัย โลกตุ ตรมรรคดับ กเิ ลส ๕. นสิ รณวิมตุ ติ ดบั ดว้ ยสงบระงับ คอื อาศัยโลกุตตรธรรมดบั กเิ ลสเดด็ ขาดเสรจ็ สิน้ โลกบาลธรรม ธรรมคุ้มครองโลก ได้แก่ ปกครองควบคุมใจมนุษย์ไว้ให้อยู่ในความดี มิให้ละเมิดศีลธรรม และให้อย่กู นั ดว้ ยความเรยี บร้อยสงบสุข ไมเ่ ดือดรอ้ นสับสนวุ่นวาย มี ๒ อยา่ งได้แก่ ๑. หริ ิ ความอาย บาป ละอายใจต่อการทำความชั่ว ๒. โอตตัปปะ ความกลวั บาปเกรงกลวั ตอ่ ความช่วั และผลของกรรม ชว่ั ฤาษี ผู้แสวงธรรม ได้แก่ นักบวชนอกพระศาสนา ซึ่งอยู่ในป่า ชไี พร ผแู้ ตง่ คัมภรี พ์ ระเวท สติปฏั ฐาน ๔ ท่ีตง้ั ของสติ การตงั้ สตกิ ำหนดพิจารณาสิง่ ท้ังหลายให้รู้เหน็ ตามความเปน็ จริง คือ ตามสิง่ นน้ั ๆ มนั เปน็ ของมนั เอง มี ๔ ประการ คอื ๑. กายานปุ สั สนาสติปัฏฐาน (การตั้งสตกิ ำหนดพิจารณากายใหร้ ูเ้ หน็ ตามเป็นจรงิ ว่า เป็นแต่เพียงกาย ไมใ่ ชส่ ัตว์บุคคล ตัวตนเราเขา) ทา่ นจำแนกวธิ ปี ฏิบัติได้หลายอย่าง คอื อานาปานสติ กำหนดลม หายใจ ๑ อริ ยิ าบถ กำหนดรทู้ ันอิริยาบถ ๑) สมั ปชัญญะ สร้างสมั ปชัญญะในการกระทำความ เคลอ่ื นไหวทกุ อย่าง ๑) ปฏิกูลมนสกิ าร พจิ ารณาสว่ นประกอบอนั ไม่สะอาดทง้ั หลายที่ประชุมเข้าเป็น ร่างกายนี้ ๑) ธาตมุ นสิการ พิจารณาเห็นรา่ งกายของตนโดยสักว่าเปน็ ธาตแุ ต่ละอย่าง ๆ ๒. เวทนานุปัสสาสติปัฏฐาน (การตั้งสติกำหนดพิจารณาเวทนาใหร้ ู้เห็นตามเป็นจริงว่า เป็นแต่เพียง เวทนา ไม่ใชส่ ัตว์บคุ คลตัวตนเราเขา) คอื มสี ติรู้ชดั เวทนาอันเปน็ สุขก็ดี ทุกข์ก็ดี เฉย ๆ ก็ดี ท้ังที่เป็น สามิสและเปน็ นริ ามิสตามทีเ่ ปน็ ไปอยูข่ ณะนน้ั ๆ ๓. จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน (การตั้งสติกำหนดพิจารณาจิต ให้รู้เห็นตามเป็นจริงว่าเปน็ แตเ่ พียงจติ ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา) คือ มีสติรู้ชัดจิตของตนที่มีราคะ ไม่มีราคะ มีโทสะ ไม่มีโทสะ มีโมหะ ไม่มีโมหะ เศรา้ หมองหรือผ่องแผ้ว ฟุง้ ซ่านหรอื เปน็ สมาธิ ฯลฯ อย่างไร ๆ ตามที่เปน็ ไปอยู่ในขณะน้ัน ๔. ธัมมานุปัสสนาสติปฏั ฐาน (การตั้งสติกำหนดพิจารณาธรรม ให้รู้เห็นตามเปน็ จริงว่า เป็นแต่เพยี ง ธรรม ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนของเรา) คือ มีสติรู้ชัดธรรมทั้งหลาย ได้แก่ นิวรณ์ ๕ ขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ โพชฌงค์ ๗ อริยสัจ ๔ ว่าคืออะไร เป็นอย่างไร มีในตนหรือไม่ เกิดขึ้นเจริญบริบูรณ์และดับได้ อยา่ งไร เป็นตน้ ตามท่ีเปน็ จริงของมันอย่างน้นั ๆ

230 สมณะ ผู้สงบ หมายถึง นักบวชทั่วไป แต่ในพระพุทธศาสนา ท่านใหค้ วามหมายจำเพาะ หมายถึง ผู้ระดับบาป ได้แก่ พระอริยบุคคล และผู้ปฏิบตั ิเพ่ือระงบั บาป ไดแ้ ก่ ผู้ปฏิบัติธรรมเพ่อื เป็น พระอรยิ บคุ คล สมบัติ ๔ คือ ความเพียบพร้อมสมบูรณ์แห่งองค์ประกอบต่าง ๆ ซึ่งช่วยเสริมส่งอำนวยโอกาสให้กรรมดี ปรากฏผล และไมเ่ ปิดช่องให้กรรมช่ัวแสดงผล มี ๔ อย่าง คือ ๑. คติสมบัติ สมบัติแห่งคติ ถึงพร้อม ดว้ ยคติ หรือคตใิ ห้ คือ เกดิ อยูใ่ นภพ ภมู ิ ถ่ิน ประเทศทเี่ จรญิ เหมาะ หรอื เกอื้ กูล ตลอดจนในระยะส้ัน คือ ดำเนินชีวิตหรือไปในถิน่ ที่อำนวย ๒. อุปธิสมบัติ สมบัติแห่งร่างกาย ถึงพร้อมด้วยร่างกาย คือมี รูปร่างสวย ร่างกายสง่างาม หน้าตาท่าทางดี น่ารัก น่านิยมเลื่อมใส สุขภาพดีแข็งแรง ๓. กาลสมบัติ สมบตั แิ หง่ กาล ถงึ พรอ้ มด้วยกาลหรอื กาลให้ คอื เกดิ อยใู่ นสมยั ทบ่ี ้านเมืองมคี วามสงบสขุ ผปู้ กครองดี ผู้คนมีคุณธรรมยกย่องคนดี ไม่ส่งเสริมคนชั่ว ตลอดจนในระยะเวลาสั้น คือ ทำอะไรถูกกาลเวลา ถูกจังหวะ ๔. ปโยคสมบัติ สมบัติแห่งการประกอบ ถึงพร้อมด้วยการประกอบกิจ หรือกิจการให้ เช่น ทำเรื่องตรงกับที่เขาต้องการ ทำกิจตรงกับความถนัดความสามารถของตน ทำการถึงขนาดถูก หลักครบถ้วน ตามเกณฑ์หรือเต็มอัตรา ไม่ใช่ทำครึ่ง ๆ กลาง ๆ หรือเหยาะแหยะ หรือไม่ถูกเร่อื งกนั รจู้ ักจดั ทำ ร้จู กั ดำเนินการ สมาบตั ิ ภาวะสงบประณีตซง่ึ พ่ึงเข้าถงึ ; สมาบัตมิ หี ลายอย่าง เชน่ ณานสมบตั ิ ผลสมาบตั ิ อนปุ ุพพวหิ ารสมาบตั ิ สติ ความระลึกได้ นกึ ได้ ความไม่เผลอ การคุมใจได้กับกิจ หรือคุมจิตใจไวก้ บั ส่งิ ที่เก่ยี วข้อง (พ.ศ. หนา้ ๓๒๗) สังฆคุณ ๙ คุณของพระสงฆ์ ๑. พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเป็นผู้ปฏิบัติดี ๒. เป็นผู้ปฏิบัติตรง ๓. เปน็ ผู้ปฏบิ ตั ถิ กู ทาง ๔. เปน็ ผปู้ ฏิบตั สิ มควร ๕. เปน็ ผู้ควรแก่การคำนับ คือ ควรกบั ของที่เขานำมา ถวาย ๖. เป็นผู้ควรแก่การตอนรับ ๗. เป็นผู้ควรแก่ทักษิณา ควรแก่ของทำบุญ ๘. เป็นผู้ควรแก่การ กระทำอญั ชลี ควรแก่การกราบไหว้ ๙. เป็นนาบญุ อันยอดเย่ียมของโลก เป็นแหล่งปลูกฝังและเผยแพร่ ความดีทยี่ อดเยย่ี มของโลก สังเวชนียสถาน สถานที่ตั้งแห่งความสังเวช ที่ที่ให้เกิดความสังเวช มี ๔ คือ ๑. ที่พระพุทธเจ้าประสูติ คือ อุทยานลุมพินี ปัจจุบันเรียกลุมพินีหรือรุมมินเด (Lumbini หรือ Rummindei) ๒. ที่พระพุทธเจ้า ตรัสรู้ คือ ควงโพธิ์ ที่ตำบลพุทธคยา (Buddha Gaya หรือ Bodh – Gaya) ๓. ที่พระพทุ ธเจ้าแสดง ปฐมเทศนา คือปา่ อสิ ปิ ตนมฤคทายวนั แขวงเมืองพาราณสี ปจั จุบันเรยี กสารนาถ ๔. ที่พระพุทธเจ้า ปรินิพพาน คือ ที่สาลว-โนทยาน เมืองกุสินารา หรือกุสินคร บัดนี้เรียกกาเซีย (Kasia หรือ Kusinagara)

231 สันโดษ ความยินดี ความพอใจ ยินดีด้วยปัจจัย ๔ คือ ผ้านุ่งห่ม อาหารที่นอนที่นั่ง และยาตามมีตามได้ ยินดี ของของตน การมีความสุข ความพอใจด้วยเครือ่ งเลี้ยงชีพท่ีหามาไดด้ ้วยเพยี รพยายามอนั ชอบธรรม ของตน ไมโ่ ลภ ไมร่ ิษยาใคร สันโดษ ๓ ๑. ยถาลาภสันโดษ ยินดีตามที่ได้ คือ ได้สิ่งใดมาด้วยความเพียรของตน ก็พอใจด้วยสิ่งนั้น ไม่ได้ เดือดรอ้ นเพราะของทไ่ี ม่ได้ ไมเ่ พง่ เล็งอยากได้ของคนอ่ืนไมร่ ิษยาเขา ๒. ยถาพลสนั โดษ คอื ยินดตี าม กำลงั คอื พอใจเพียงแค่พอแก่กำลงั ร่างกาย สุขภาพ และขอบเขตการใช้สอยของตน ของที่เกนิ กำลังก็ ไมห่ วงแหนเสียดายไม่เกบ็ ไวใ้ ห้เสียเปล่า หรอื ฝืนใช้ให้เปน็ โทษแก่ตน ๓. ยถาสารุปปสนั โดษ ยินดีตาม สมควร คือ พอใจตามท่ีสมควร คอื พอใจตามท่ีสมควรแก่ภาวะฐานะแนวทางชีวิต และจุดหมายแห่ง การบำเพ็ญกิจของตน เช่น ภิกษุพอใจแต่องอันเหมาะกบั สมณภาวะ หรือได้ของใช้ที่ไม่เหมาะสมกับ ตนแต่จะมปี ระโยชน์แก่ผู้อื่นกน็ ำไปมอบใหแ้ ก่เขา เป็นต้น สทั ธรรม ๓ ธรรมอันดี ธรรมทีแ่ ท้ ธรรมของสตั บุรษุ หลักหรือแกน่ ศาสนา มี ๓ ประการ ได้แก่ ๑. ปริยตั ิสทั ธรรม (สทั ธรรม คอื คำสง่ั สอนอันจะต้องเลา่ เรยี น ไดแ้ ก่ พทุ ธพจน์) ๒. ปฏิบตั ิสทั ธรรม (สทั ธรรม คือ ส่ิงพงึ ปฏิบตั ิ ได้แก่ ไตรสกิ ขา คอื ศลี สมาธิ ปัญญา) ๓. ปฏเิ วธสทั ธรรม (สทั ธรรม คอื ผลอนั จะพึงเข้าถงึ หรอื บรรลดุ ้วยการปฏบิ ัติ ได้แก่ มรรค ผล และ นิพพาน สปั ปุริสธรรม ๗ ธรรมของสตั บุรษุ ธรรมทท่ี ำให้เป็นสัตบุรษุ คุณสมบัติของคนดี ธรรมของผดู้ ี ๑. ธัมมัญญุตา คือ ความรู้จักเหตุ คือ รู้หลักความจริง ๒. อัตถัญญุตา คือ ความรู้จักผล คือรู้ความมุ่งหมาย ๓. อัตตัญญุตา คือ ความรู้จักตน คือ รู้ว่าเรานั้นว่าโดยฐานะ ภาวะ เพศ กำลังความรู้ ความสามารถ ความถนัด และคุณธรรม เป็นต้น ๔. มัตตัญญุตา คือ ความรู้จักประมาณ คือ ความพอดี ๕. กาลัญญุตา คือ ความรู้จัก-กาล คือ รู้จักกาลเวลาอนั เหมาะสม ๖. ปริสัญญุตา คือ ความรู้จักบริษัท คอื รู้จกั ชุมชนและรู้จักทป่ี ระชุม ๗. ปุคคลญั ญุตา หรอื ปคุ คลปโรปรญั ญุตา คือ ความรู้จักบุคคล คือ ความแตกต่างแหง่ บคุ คล สมั ปชญั ญะ ความรตู้ ัวท่วั พรอ้ ม ความรู้ตระหนกั ความร้ชู ัดเข้าใจชัด ซึง่ สิง่ นึกได้ มักมาค่กู ับสติ สาราณยี ธรรม ๖ ธรรมเป็นที่ต้ังแห่งความให้ระลึกถงึ ธรรมเป็นเหตุให้ระลึกถึงกัน หลักการอยู่ร่วมกัน เรียก อีกอย่างว่า “สาราณียธรรม” ๑. เมตตากายกรรม มีเมตตากายกรรมทั้งต่อหน้าและลับหลัง ๒. เมตตาวจกี รรม มีเมตตาวจกี รรมท้ังต่อหนา้ และลบั หลงั ๓. เมตตา มโนกรรม มเี มตตามโนกรรมท้งั ต่อหน้าและลับหลัง ๔. สาธารณโภคี แบ่งปันสิ่งของที่ได้มาไม่หวงแหนใช้ผู้เดยี ว ๕. สีลสามัญญตา มีความประพฤติร่วมกันในข้อที่เป็นหลักการสำคัญที่จะนำไปสู่ความหลุดพ้นสิ้น ทุกข์หรือขจัดปัญหา ๖.ทฏิ ฐิสามญั ญตา มีความเห็นชอบดงี าม เชน่ เดยี วกบั หมู่คณะ

232 สุข ๒ ความสบาย ความสำราญมี ๒ อยา่ ง ไดแ้ ก่ ๑. กายิกสขุ สุขทางกาย ๒. เจตสิกสุข สุขทางใจ อีกหมวด หน่ึงมี ๒ คอื ๑. สามิสสุข สขุ อิงอามิส คอื อาศัยกามคณุ ๒. นิรามิสสุข สุขไมอ่ งิ อามิส คือ องิ เนกขัมมะ ศรทั ธา ความเชอ่ื ความเชื่อถอื ความเชอ่ื มั่นในสง่ิ ทด่ี งี าม ศรทั ธา ๔ ความเช่อื ทป่ี ระกอบด้วยเหตุผล ๔ ประการคอื ๑. กมั มสทั ธา (เช่อื กรรม เชอื่ ว่ากรรมมอี ยู่จริง คือ เชอ่ื ว่าเม่อื ทำอะไรโดยมีเจตนา คอื จงใจทำท้ังทีร่ ู้ ยอ่ มเปน็ กรรม คือ เป็นความชัว่ ความดี มีขึ้นในตน เปน็ เหตปุ ัจจัยก่อให้เกิดผลดี ผลรา้ ยสืบเนอ่ื งตอ่ ไป การกระทำไมว่ า่ งเปลา่ และเช่ือวา่ ผลท่ีต้องการจะ สำเรจ็ ไดด้ ้วยการกระทำ มใิ ชด่ ว้ ยอ้อนวอน หรือนอนคอยโชค เปน็ ต้น ๒. วปิ ากสัทธา (เชือ่ วบิ าก เช่ือ ผลของกรรม เชื่อว่าผลของกรรมมีจริง คือ เชื่อว่ากรรมที่สำเรจ็ ต้องมผี ล และผลต้องมีเหตุ ผลดีเกิด จากกรรมดี และผลช่วั เกิดจากกรรมช่ัว ๓. กมั มัสสกตาสัทธา (ความเชอื่ ท่ีสตั วม์ กี รรมเป็นของตน เชือ่ ว่าแต่ละคนเป็นเจ้าของจะต้องรบั ผิดชอบเสวยวบิ ากเป็นไปตามกรรมของตน ๔. ตถาคตโพธสิ ัทธา (เชอ่ื ความตรสั รู้ของพระพุทธเจา้ ม่ันใจในองคพ์ ระตถาคตว่าทรงเป็นพระสัมมา- สมั พุทธะ ทรงพระคุณทัง้ ๙ ประการ ตรัสธรรม บญั ญัตวิ นิ ัยไว้ดว้ ยดี ทรงเป็นผู้นำทางท่ีแสดงให้เห็น ว่ามนุษย์ คือเราทุกคนนี้ หากฝึกตนด้วยดีก็สามารถเข้าถึงภูมิธรรมสูงสุด บริสุทธิ์หลุดพ้นได้ดังท่ี พระองคไ์ ด้ทรงบำเพญ็ ไว้ สงเคราะห์ การชว่ ยเหลือ การเอ้ือเฟือ้ เกอ้ื กลู สังคหวัตถุ ๔ เรื่องสงเคราะห์กัน คุณธรรมเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวใจของผู้อื่นไว้ได้ หลักการสงเคราะห์ คือ ช่วยเหลอื กนั ยึดเหนย่ี วใจกันไว้ และเป็นเครอ่ื งเกาะกุมประสานโลก ไดแ้ ก่ สังคมแห่งหมู่สัตว์ไว้ ดุจสลักเกาะยึดรถที่กำลังแล่นไปให้คงเป็นรถ และวิ่งแล่นไปได้มี ๔ อย่างคือ ๑. ทาน การแบ่งปัน เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กัน ๒. ปิยวาจา พูดจาน่ารัก น่านิยมนับถือ ๓. อัตถจริยา บำเพ็ญประโยชน์ ๔. สมานตั ตนา ความมีตน-เสมอ คือ ทำตวั ใหเ้ ขา้ กนั ได้ เชน่ ไมถ่ ือตัว ร่วมสขุ รว่ มทุกข์กนั เปน็ ต้น สัมมัตตะ ความเป็นถูก ภาวะที่ถูก มี ๑๐ อย่าง ๘ ข้อต้น ตรงกับองคม์ รรคทั้ง ๘ ข้อ เพิ่ม ๒ ข้อท้าย คือ ๙. สัมมาญาณ รู้ชอบได้แก่ผลญาณ และปัจจเวกขณญาณ ๑๐. สัมมาวิมุตติ พ้นชอบได้แก่ อรหัตตผล วิมตุ ติ; เรยี กอกี อยา่ ง อเสขธรรม ๑๐ สจุ ริต ๓ ความประพฤตดิ ี ประพฤตชิ อบตามคลองธรรม มี ๓ คอื ๑. กายสจุ รติ ประพฤตชิ อบทางกาย ๒.วจี สุจริต ประพฤตชิ อบทางวาจา ๓. มโนสจุ ริต ประพฤตชิ อบทางใจ หริ ิ ความละอายต่อการทำชัว่ อกุศลกรรมบถ ๑๐ ทางแห่งอกุศลกรรม ทางความชั่ว กรรมชั่วอันเป็นทางนำไปสู่ความเสื่อม ความทุกข์ หรือทุคติ ๑. ปาณาติบาต การทำชีวิตให้ตกล่วง ๒. อทินนาทาน การถือเอาของที่เขามิได้ให้

233 โดยอาการขโมยลกั ทรพั ย์ ๓. กาเมสมุ จิ ฉาจาร ความประพฤตผิ ิดทางกาม ๔. มุสาวาท การพดู เท็จ ๕. ปสิ ุณวาจา วาจาสอ่ เสยี ด ๖. ผรสุ วาจา วาจาหยาบ ๗. สัมผัปปลาปะ พดู เพอ้ เจอ้ ๘. อภิชฌา เพ่งเล็ง อยากไดข้ องเขา ๙. พยาบาท คิดร้ายผอู้ ืน่ ๑๐. มจิ ฉาทฏิ ฐิ เหน็ ผดิ จากคลองธรรม อกุศลมูล ๓ รากเหง้าของอกศุ ล ตน้ ตอของความช่ัว มี ๓ คือ ๑. โลภะ (ความอยากได้) ๒. โทสะ (ความคิด ประทุษรา้ ย) ๓. โมหะ (ความหลง) ๘ อคติ ๔ ฐานะอนั ไมพ่ ึงถงึ ทางความประพฤติทผี่ ดิ ความไมเ่ ท่ียงธรรม ความลำเอียง มี ๔ อยา่ งคือ ๑. ฉันทาคติ (ลำเอียงเพราะชอบ) ๒. โทสาคติ (ลำเอียงเพราะชัง) ๓. โมหาคติ (ลำเอียงเพราะหลง พลาดผิด เพราะเขลา) ๔. ภยาคติ (ลำเอียงเพราะกลัว) อนตั ตา ไม่ใชอ่ ตั ตา ไมใ่ ช่ตัวตน อบายมขุ ช่องทางของความเส่ือม เหตุเคร่อื งฉิบหาย เหตยุ ่อยยับแหง่ โภคทรัพย์ ทางแห่งความพนิ าศ อบายมุข ๔ ๑. อติ ถีธตุ ตะ (เปน็ นักเลงหญิง นกั เท่ียวผหู้ ญงิ ) ๒. สุราธุตตะ (เป็นนกั เลงสุรา นกั ดื่ม) ๓. อักข ธตุ ตะ (เป็นนกั การพนัน) ๔. ปาปมิตตะ (คบคนช่วั ) อบายมุข ๖ ๑. ติดสุราและของมึนเมา ๑.๑ ทรัพย์หมดไป ๆ เห็นชัด ๆ ๑.๒ ก่อการทะเลาะวิวาท ๑.๓ เป็นบ่อเกิดแห่งโรค ๑.๔ เสียเกียรติ เสียชื่อเสียง ๑.๕ ทำให้ไม่รู้อาย ๑.๖ ทอนกำลังปัญญา ๒. ชอบเที่ยวกลางคืน มีโทษ ๖ อย่างคือ ๒.๑ ชื่อว่าไม่รักษาตน ๒.๒ ชื่อว่าไม่รักษาลูกเมีย ๒.๓ ชื่อว่าไม่รักษาทรัพย์สมบัติ ๒.๔ เป็นที่ระแวงสงสัย ๒.๕ เป็นเป้าให้เขาใส่ความ หรือข่าวลือ ๒.๖ เปน็ ทม่ี าของเรื่องเดือดร้อนเปน็ อนั มาก ๓. ชอบเท่ียวดกู ารละเลน่ มีโทษ โดยการงานเสื่อมเสียเพราะมีใจกงั วลคอยคิดจอ้ ง กบั เสียเวลาเมื่อไป ดูสิ่งน้ัน ๆ ทั้ง ๖ กรณี คือ ๓.๑ รำทไี่ หนไปทีน่ ั่น ๓.๒ – ๓.๓ ขบั รอ้ ง ดนตรี เสภา เพลงเถดิ เทงิ ที่ไหน ไปท่นี ั่น ๔. ตดิ การพนนั มโี ทษ ๖ คอื ๔.๑ เม่อื ชนะยอ่ มก่อเวร ๔.๒ เม่อื แพก้ เ็ สียดายทรัพย์ที่เสียไป ๔.๓ ทรัพย์หมดไป ๆ เหน็ ชัด ๆ ๔.๔ เขา้ ทป่ี ระชุมเขาไม่เช่ือถือถอ้ ยคำ ๔.๕ เป็นทห่ี ม่ินประมาทของ เพ่อื นฝงู ๔.๖ ไม่เปน็ ท่ีพงึ ประสงค์ของผทู้ ่จี ะหาคู่ครองให้ลูกของเขา เพราะเห็นวา่ จะเลย้ี งลูกเมียไม่ได้ ๕. คบคนชั่วมีโทษโดยนำให้กลายเป็นคนชั่วอย่างที่ตนคบทั้ง ๖ ประเภท คือ ได้เพื่อนที่จะนำให้ กลายเป็น ๕.๑ นักการพนัน ๕.๒ นักเลงหญิง ๕.๓ นักเลงเหล้า๕.๔ นักลวงของปลอม ๕.๕ นัก หลอกลวง ๕.๖ นกั เลงหัวไม้ ๖. เกียจคร้านการงาน มีโทษโดยทำให้ยกเหตุต่าง ๆ เปน็ ขอ้ อ้างผิดเพ้ยี น ไมท่ ำการงานโภคะใหม่ก็ไม่ เกิด โภคะทีม่ ีอยกู่ ็หมดสิ้นไป คือ ให้อ้างไปทัง้ ๖ กรณวี า่ ๖.๑ – ๖.๖ หนาวนกั รอ้ นนัก เยน็ ไปแล้ว ยงั เช้านัก หวิ นัก อิ่มนัก แล้วไมท่ ำการงาน

234 อปริหานิยธรรม ๗ ธรรมอันไม่เปน็ ที่ตั้งแห่งความเสื่อม เป็นไปเพือ่ ความเจรญิ ฝา่ ยเดียวมี ๗ ประการ ได้แก่ ๑. หมน่ั ประชุมกันเนืองนิตย์ ๒. พร้อมเพรียงกนั ประชุม พร้อมเพรียงกันเลกิ ประชุม พร้อมเพรียงกัน ทำกิจกรรมที่พึงทำ ๓. ไม่บัญญัติสิ่งที่มิได้บัญญัติไว้ (อันขัดต่อหลักการเดิม) ๔. ท่านเหล่าใดเป็น ผู้ใหญ่ ควรเคารพนับถือท่านเหล่านั้น ๕. บรรดากุลสตรี กุลกุมารีทั้งหลาย ให้อยู่ดีโดยมิถูกข่มเหง หรือฉุดคร่า ขืนใจ ๖. เคารพสักการบูชา เจดีย์หรืออนุสาวรีย์ประจำชาติ ๗. จัดให้ความอารักขา คุ้มครอง ปอ้ งกนั อันชอบธรรมแกพ่ ระอรหันต์ทงั้ หลาย (รวมถึงพระภกิ ษุ ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบตั ิชอบด้วย) อธิปไตย ๓ ความเปน็ ใหญ่ มี ๓ อยา่ ง คอื ๑. อตั ตาธิปไตย ความมีตนเป็นใหญ่ ถือตนเป็นใหญ่ กระทำการ ด้วยปรารภตนเป็นประมาณ ๒. โลกาธิปไตย ความมีโลกเป็นใหญ่ ถือโลกเป็นใหญ่ กระทำการด้วย ปรารภนิยมของโลกเป็นประมาณ ๓. ธัมมาธิปไตย ความมีธรรมเป็นใหญ่ ถือธรรมเป็นใหญ่, กระทำ การด้วยปรารภความถกู ต้อง เป็นจริง สมควรตามธรรมเป็นประมาณ อริยสจั ๔ ความจริงอันประเสริฐ ความจริงของพระอริยะ ความจริงที่ทำให้ผู้เข้าถึงกลายเปน็ อรยิ ะมี ๔ คือ ๑. ทุกข์ (ความทกุ ข์ สภาพทที่ นไดย้ าก สภาวะที่บบี คัน้ ขัดแยง้ บกพร่อง ขาดแก่นสารและความเท่ียง แท้ไม่ให้ความพึงพอใจแท้จริง ได้แก่ ชาติ ชรา มรณะ การประจวบกับสิ่งอันไม่เป็นที่รัก การพลัด พรากจากสิ่งทีร่ ัก ความปรารถนาไม่สมหวงั โดยยอ่ วา่ อปุ าทานขนั ธ์ ๕ เป็นทุกข์ ๒. ทุกขสมุทยั (เหตเุ กดิ แห่งทุกข์ สาเหตใุ หท้ กุ ขเ์ กดิ ไดแ้ ก่ ตณั หา ๓ คอื กามตัณหา ภวตัณหา และ วิภวตัณหา) กำจัดอวิชชา สำรอกตัณหาสิ้นแล้วไม่ติดขัด หลุดพ้น สงบ ปลอดโปร่ง เป็นอิสระ คือ นพิ พาน) ๓. ทุกขนิโรธ (ความดับทุกข์ ได้แก่ ภาวะท่ีตัณหาดับสิ้นไปภาวะที่เข้าถึงเมื่อกำจัดอวิชชา สำรอก ตัณหาส้ินแลว้ ไมต่ ิดขอ้ ง หลุดพน้ สงบ เป็นอิสระ คือ นพิ พาน) ๔. ทุกขนิโรธคามินีปฏปิ ทา (ปฏิปทาที่นำไปสูค่ วามดับแห่งทุกข์ ข้อปฏิบัติใหถ้ ึงความดับทุกข์ ได้แก่ อริยอัฏฐงั คกิ มรรค หรอื เรยี กอีกอย่างหนึง่ ว่า มชั ฌมิ ปฏิปทา แปลวา่ ทางสายกลาง มรรคมีองค์ ๘ น้ี สรปุ ลงในไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา) อรยิ อฏั ฐคกิ มรรค ทางสายกลาง มรรคมีองค์ ๘ (ศลี สมาธิ ปญั ญา) อัญญาณุเบกขา เปน็ อเุ บกขาฝา่ ยวบิ ตั ิ หมายถงึ ความไม่รเู้ รอ่ื ง เฉยไมร่ ูเ้ ร่ือง เฉยโง่ เฉยเมย อัตตา ตัวตน อาตมนั ปถุ ุชนย่อมยึดม่ันมองเห็นขนั ธ์ ๕ อย่างใดอย่างหนง่ึ หรอื ทง้ั หมดเป็นอัตตา หรือยึดถือ ว่ามอี ตั ตา เนอื่ งดว้ ยขันธ์ อัตถะ เร่ืองราว ความหมาย ความมงุ่ หมาย ประโยชน์ มี ๒ ระดบั คือ ๑. ทิฏฐธิ มั มกิ ัตถะ ประโยชน์ในชีวิตน้ี หรือประโยชนใ์ นปจั จุบนั เปน็ ท่มี ่งุ หมายกนั ในโลกนี้ ไดแ้ ก่ ลาภ ยศ สขุ สรรเสรญิ รวมถึงการแสวงหา สิง่ เหลา่ นีม้ าโดยทางท่ีชอบธรรม ๒. สัมปรายกิ ัตถะ ประโยชน์เบอ้ื งหนา้ หรอื ประโยชน์ที่ล้ำลึกกว่าท่ี

235 จะมองเห็นกันเฉพาะหน้า เป็นจุดหมายขั้นสูงขึ้นไป เป็นหลักประกันชีวิตเมื่อละจากโลกนี้ไป ๓. ปรมตั ถะ ประโยชน์สงู สุด หรือประโยชน์ทีเ่ ปน็ สาระแท้จริงของชวี ติ เป็นจดุ หมายสงู สุดหรือท่ีหมายข้ัน สุดท้าย คือ พระนพิ พาน อกี ประการหน่งึ หมายถึง ๑. อตั ตัตถะ ประโยชนต์ น ๒. ปรัตถะ ประโยชน์ ผูอ้ ื่น ๓. อุภยัตถะ ประโยชนท์ ้งั สองฝ่าย อายตนะ เครื่องติดต่อแดนต่อความรู้เครื่องรู้และสิ่งที่ถูกรู้ เช่น ตาเป็นเครื่องรู้ รูปเป็น สิ่งที่รู้ หูเป็นเครื่องรู้ เสยี งเปน็ สง่ ท่ีรู้ เป็นตน้ จดั เปน็ ๒ ประเภท ได้แก่ ๑. อาตนะภายใน ๖ อายตนะภายนอก ๖ ๒. อายตนะภายนอก หมายถึง เครื่องต่อภายนอก สิ่งที่ถูกรู้ มี ๖ คือ ๒.๑ รูป คือ รูป ๒.๒ สัททะ คือ เสียง ๒.๓ คันธะ คือ กลิ่น ๒.๔ รส คือ รส ๒.๕ โผฏฐัพพะ คือ สิ่งต้องกาย ๒.๖ ธัมมะ หมายถงึ ธรรมารมย์ คอื อารมณท์ ่เี กิดกับใจ หรือสงิ่ ที่ใจรู้ อารมณ์ ๖ ก็เรียก อายตนะภายใน เครือ่ งตอ่ ภายใน เคร่ืองรบั รู้ มี ๖ คอื ๑.จักขุ คอื ตา ๒.โสตะ คอื หู ๓.ฆานะ คอื จมกู ๔.ชวิ หา คอื ลิน้ ๕.กาย คอื กาย ๖.มโน คอื อนิ ทรีย์ ๖ อริยวัฑฒิ ๕ ความเจริญอย่างประเสริฐ หลักความเจรญิ ของอารยชน มี ๕ คือ ๑. ศรัทธา ความเชื่อ ความ มน่ั ใจในพระรัตนตรัย ในหลกั แหง่ ความจรงิ ความดอี ันมีเหตุผล ๒.ศลี ความประพฤติดี มีวินัย เลี้ยง ชีพสุจริต ๓.สุตะ การเล่าเรียน สดับฟัง ศึกษาหาความรู้ ๔.จาคะ การเผื่อแผ่เสียสละ เอื้อเฟ้ือ มีน้ำใจช่วยเหลือ ใจกว้าง พร้อมที่จะรับฟังและร่วมมือ ไม่คับแคบ อาแต่ตัว ๕.ปัญญา ความรอบรู้ รู้ คิด ร้พู จิ ารณา เข้าใจเหตผุ ล รูจ้ ักโลกและชวี ิตตามความเป็นจริง อิทธิบาท ๔ คุณเครื่องให้ถึงความสำเร็จ คุณธรรมที่นำไปสู่ความสำเร็จแห่งผลที่มุ่งหมาย มี ๔ ประการ คอื ๑. ฉันทะ ความพอใจ คอื ความต้องการท่ีจะทำใฝ่ใจรักจะทำสงิ่ นั้นอยู่เสมอแล้วปรารถนาจะทำ ให้ไดผ้ ลดียิ่ง ๆ ขึน้ ไป ๒. วิรยิ ะ ความเพยี ร คอื ขยันหมัน่ ประกอบสงิ่ นั้นด้วยความพยายาม เข้มแข็ง อดทน เอาธรุ ะไมท่ ้อถอย ๓. จติ ตะ ความคิด คอื ตั้งจติ รบั รู้ในส่ิงทท่ี ำและทำส่งิ นั้นด้วยความคิด เอา จิตฝักใฝ่ไม่ปล่อยใจให้ฟุ้งซ่านเลื่อนลอย ๔. วิมังสาความไตร่ตรอง หรือทดลอง คือ หมั่นใช้ปัญญา พิจารณา ใคร่ครวญ ตรวจตราหาเหตุผล และตรวจสอบข้อยิ่งหย่อนในสิ่งที่ทำนั้น มีการวางแผน วัดผลคดิ ค้นวธิ ีแกไ้ ขปรับปรงุ ตัวอยา่ งเช่น ผ้ทู ำงานทั่ว ๆ ไปอาจจำส้นั ๆ ว่า รักงาน ส้งู าน ใส่ใจงาน และทำงานด้วยปัญญา เปน็ ต้น อุบาสกธรรม ๗ ธรรมที่เป็นไปเพือ่ ความเจริญของอุบาสก ๑. ไม่ขาดการเยี่ยมเยือนพบปะพระภิกษุ ๒. ไม่ ละเลยการฟังธรรม ๓. ศึกษาในอธิศีล ๔. มีความเลื่อมใสอย่างมากในพระภิกษุทุกระดับ ๕. ไม่ฟัง ธรรมด้วยตั้งใจจะคอยเพ่งโทษติเตียน ๖. ไม่แสวงหาบุญนอกหลักคำสอนในพระพุทธศาสนา ๗. กระทำการสนับสนนุ คอื ขวนขวายในการอปุ ถัมภ์บำรุงพระพุทธศาสนา

236 อบุ าสกธรรม ๕ สมบตั ขิ องอุบาสก ๕ คอื ๑. มศี รทั ธรา ๒. มศี ีลบรสิ ุทธ์ิ ๓. ไม่ถือมงคลต่นื ขา่ ว เชื่อกรรม ไม่ เชื่อมงคล คอื ม่งุ หวังผลจากการกระทำ และการงานมิใช่จากโชคลาภ และสง่ิ ที่ตื่นกันว่าขลังศักด์ิสิทธิ์ ๔. ไมแ่ สวงหาเขตบญุ นอกหลักพระพทุ ธศาสนา ๕. ขวนขวายในการอุปถัมภ์บำรุงพระพทุ ธศาสนา อุบาสกธรรม ๗ ผู้ใกล้ชิดพระศาสนาอยา่ งแท้จริง ควรตั้งตนอยู่ในธรรมที่เป็นไปเพื่อความเจริญของอบุ าสก มี ๗ ประการ ได้แก่ ๑. ไม่ขาดการเยี่ยมเยือนพบปะพระภิกษุ ๒. ไม่ละเลยการฟังธรรม ๓. ศึกษา ในอธิศีล คือ ฝึกอบรมตนให้ก้าวหน้าในการปฏิบัติรักษาศีลขั้นสูงขึ้นไป ๔. พรั่งพร้อมด้วยความ เลื่อมใสในพระภิกษุทั้งหลายทั้งที่เป็นเถระ นวกะ และปูนกลาง ๕. ฟังธรรมโดยความตั้งใจ มิใช่มา จับผิด ๖. ไม่แสวงหาทักขิไณยภายนอก หลักคำสอนนี้ คือ ไม่แสวงหาเขตบุญนอกหลัก พระพุทธศาสนา ๗. กระทำความสนับสนุนในพระพุทธศาสนานี้ คือ เอาใจใส่ทำนุบำรุงและช่วย กจิ กรรม อเุ บกขา มี ๒ ความหมาย คอื ๑. ความวางใจเป็นกลาง ไม่เอนเอียงดว้ ยชอบ หรือชงั ความวางใจเฉยได้ ไม่ ยินดียินร้าย เมื่อใช้ปัญญาพิจารณาเห็นผลอันเกิดขึ้นโดยสมควรแก่เหตุและรู้ว่าพึงปฏิบัติต่อไปตาม ธรรม หรือตามควรแก่เหตุนั้น ๒. ความรู้สึกเฉย ๆ ไม่สุข ไม่ทุกข์ เรียกเต็มว่า อุเบกขาเวทนา (อทกุ ขมสขุ ) อุปาทาน ๔ ความยดึ มั่น ความถือม่ันด้วยอำนาจกิเลส ความยึดติดอนั เนอื่ งมาแต่ตัณหา ผกู พนั เอาตัวตนเป็น ทต่ี ้ัง ๑. กามปุ าทาน ความยึดมัน่ ในกาม คอื รูป เสียง กลิน่ รส โผฏฐัพพะท่ีนา่ ใคร่ น่าพอใจ ๒. ทิฏฐุ ปาทาน ความยึดมั่นในทิฏฐิ หรือทฤษฎี คือ ความเห็น ลัทธิ หรือหลักคำสอนต่าง ๆ ๓. สีลัพพตุ ปาทาน ความยึดมั่นในศีลและพรต คือ หลักความประพฤติ ข้อปฏิบัติ แบบแผน ระเบียบวิธี ขนบธรรมเนียมประเพณี ลัทธิพิธีต่าง ๆ กัน ไปอย่างงมงาย หรือโดยนิยมว่าขลัง ว่าศักดิ์สิทธิ์ มิได้ เป็นไปด้วยความรู้ ความเข้าใจตามหลกั ความสมั พนั ธแ์ หง่ เหตุและผล ๔. อัตตาวาทปุ าทาน ความยึด มั่นในวาทะว่าตัวตน คือ ความถือ หรือสำคัญ หมายอยู่ในภายในว่ามีตัวตน ที่จะได้ จะมี จะเป็น จะสูญสลาย ถูกบบี คัน้ ทำลาย หรอื เป็นเจา้ ของ เป็นนายบังคับบญั ชาสิง่ ต่าง ๆ ได้ไม่มองเห็นสภาวะ ของสิ่งทั้งปวง อันรวมทั้งตัวตนว่าเป็นแต่เพียงสิ่งที่ประชุมประกอบกันเข้าเป็นไปตามเหตุปัจจัย ทง้ั หลายท่ีมาสัมพันธก์ นั ล้วน ๆ อุปนสิ ยั ๔ ธรรมที่พึ่งพงิ หรือธรรมช่วยอดุ หนุน ๑. สงฺขาเยกํ ปฏิเสวติ พิจารณาแล้วจึงใช้สอยปัจจัย ๔ คือ จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ คลิ านเภสชั เปน็ ต้น ที่จำเป็นจะต้องเกยี่ วข้องและมีประโยชน์ ๒. สงฺขาเยกํ อธิวาเส-ติ พิจารณาแล้วอดกลั้นได้แก่ อนิฏฐารมณ์ต่าง ๆ มีหนาวร้อน และทุกขเวทนาเป็นต้น ๓. สงฺขาเยกํปริวชฺ-เชติ พิจารณาสิ่งที่เป็นโทษ ก่ออันตรายแก่ร่างกาย และจิตใจแล้วหลีกเว้น

237 ๔. สงฺขาเยกํ ปฏิวิโนเทติ พิจารณาสิ่งที่เป็นโทษ ก่ออันตรายเกิดขึ้นแล้ว เช่น อกุศลวิตก มีกามวิตก พยาบาทวิตก และวหิ ิงสาวติ ก และความช่ัวรา้ ยทั้งหลายแลว้ พจิ ารณาแก้ไข บำบดั หรอื ขจัดให้สิน้ ไป โอตตปั ปะ ความเกรงกลวั ต่อความชัว่ โอวาท คำกล่าวสอน คำแนะนำ คำตักเตือน โอวาทของพระพุทธเจ้า ๓ คือ ๑. เว้นจากทุจริต คือ ประพฤติ ช่ัวด้วยกาย วาจา ใจ (ไมท่ ำชั่วทง้ั ปวง) ๒.ประกอบสจุ รติ คือ ประพฤตชิ อบดว้ ยกาย วาจา ใจ (ทำแต่ ความดี) ๓. ทำใจของตนให้หมดจดจากเครื่องเศร้าหมอง โลภ โกรธ หลง เป็นต้น (ทำจิตของตนให้ สะอาดบริสทุ ธ์ิ) สังคมศาสตร์ การศกึ ษาความสัมพนั ธ์ของมนุษย์ โดยใช้กระบวนการวิทยาศาสตร์ สงั คมศกึ ษา การเรียนร้เู พอ่ื พฒั นาตนใหอ้ ย่รู ว่ มในสังคมไดอ้ ยา่ งมีคณุ ภาพ คุณธรรม (virtue) และจรยิ ธรรรม (moral or morality or ethics) คณุ ธรรม หมายถงึ สภาพคุณงามความดี จริยธรรมมีความหมายเช่นเดียวกับศีลธรรม หมายถึง ธรรมที่เป็นข้อประพฤติกรรมปฏิบัติความ ประพฤติหรือหน้าท่ีที่ชอบ ที่ควรปฏิบัติในการครองชีวิต ดังนั้นคุณธรรมจรยิ ธรรม จึงหมายถงึ สภาพ คุณงามความดีที่ประพฤติปฏิบัติ หรือหน้าที่ที่ควรปฏิบัติในการครองชีวิต หรือคุณธรรมตามกรอบ จรยิ ธรรม ส่วนศลี ธรรมและจริยธรรม มคี วามหมายใกล้เคยี งกนั คณุ ธรรมจะมคี วามหมายที่เน้นสภาพ ลักษณะ หรือคุณสมบัติที่แสดงออกถึงความดีงาม ส่วนจริยธรรม มีความหมายเน้นที่ความประพฤติ หรือการปฏิบัติที่ดีงาม เป็นที่ยอมรับของสังคม นักวิชาการมักใช้คำทั้งสองคำนี้ในความหมายนัย เดียวกันและมักใชค้ ำสองคำดังกล่าวควบคกู่ ันไป เป็นคำวา่ คุณธรรมจรยิ ธรรม ซึ่งรวมความหมายของ คุณธรรมและจริยธรรม นั่นคือมีความหมายเน้นทั้งสภาพ ลักษณะหรือคุณสมบัติ และความประพฤติ อนั ดีงาม เป็นทย่ี อมรบั ของสงั คม การเมอื ง ความรู้เก่ยี วกบั ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งอำนาจในการจดั ระเบียบสงั คมเพอื่ ประโยชน์และความสงบสุข ของสงั คม มีความสมั พนั ธ์ต่อกันโดยรวมทั้งหมดในส่วนหนึ่งของชีวิตในพ้ืนท่ีหนง่ึ ที่เกยี่ วข้องกับอำนาจ ชอบธรรม หรืออทิ ธิพล และมคี วามสามารถในการดำเนนิ การได้ ขอ้ มลู สิ่งที่ไดร้ บั รู้และยังไมม่ ีการจัดประมวลให้เปน็ ระบบ เมือ่ จัดระบบแล้วเรยี กว่า สารสนเทศ คา่ นยิ ม การกำหนดคุณค่าและพัฒนาจนเปน็ บคุ ลกิ ภาพประจำตัว คุณคา่ ลักษณะท่ีพงึ ประสงค์ เชน่ ความดี ความงาม ความดีเปน็ คณุ คา่ ของจรยิ ธรรม ความงามเปน็ คุณค่าทาง สนุ ทรียศาสตร์ สง่ิ ท่ีตอบสนองความต้องการได้เป็นสงิ่ ทีม่ ีคุณคา่ คุณค่าเป็นสิ่งเปล่ียนแปลงได้ คุณค่า เปลยี่ นไปไดต้ ามเวลา และคุณคา่ มักเปล่ียนแปลงไปตามววิ ัฒนาการของความเจรญิ บทบาท การกระทำที่สังคมคาดหวังตามสถานภาพทีบ่ ุคคลครองอยู่ หนา้ ที่ เปน็ ความรับผิดชอบทางศลี ธรรมของปัจเจกชน ซ่ึงสังคมยอมรบั สถานภาพ ตำแหนง่ ทแี่ ตล่ ะคนครองอยใู่ นสถานทหี่ น่ึง ในชว่ งเวลาหน่ึง

238 บรรทัดฐาน ข้อตกลงของสังคมที่กำหนดให้สมาชิกประพฤติ ปฏิบัติ บางทีเรียกปทัสถาน สามารถใช้บรรทัด ฐานของสงั คม (social norms) เปน็ มาตรฐานความประพฤติในทางจรยิ ธรรมได้ ซง่ึ แยกออกเปน็ ก. วิถีประชา (folkways) ได้แก่ แบบแผนพฤติกรรมในชีวิตประจำวันที่สังคมยอมรับ และได้ ประพฤติปฏิบัติสืบต่อกันมา มักเกี่ยวข้องกับเร่ืองการดำเนินชีวิต และในส่วนที่เกี่ยวข้องกับจริยธรรม จะไมม่ ีกฎเกณฑเ์ ครง่ ครัดแนน่ อนตายตวั ข. กฎศีลธรรมหรือจารีต (mores) เป็นมาตรฐานความประพฤติของสังคมที่มีการกำหนด เก่ียวกับจรยิ ธรรมที่เขม้ ข้ึน ในกรณมี ีผฝู้ ่าฝนื อาจมีการลงโทษ แม้วา่ ในบางครงั้ จะไม่มีการเขียนไว้เป็น ลายลกั ษณ์อกั ษรกต็ าม เช่น การลวนลามสตรใี นชนบท ตอ้ งลงโทษด้วยการเสียผี ค. กฎหมาย (law) เปน็ มาตรฐานความประพฤติทีร่ ัฐกำหนดให้สมาชิกของรัฐพงึ ปฏบิ ัติ หรือละ เว้นการปฏิบตั ิ และกำหนดวธิ กี ารปฏิบัตกิ ารลงโทษสำหรบั ผูฝ้ า่ ฝนื สิทธิ ขอ้ เรยี กรอ้ งของปจั เจกชน ซงึ่ สงั คมยอมรบั สทิ ธทิ างศลี ธรรม เป็นข้อเรยี กร้องทางศลี ธรรมของปจั เจกชน ซ่ึงสงั คมยอมรบั ประเพณี เป็นความประพฤติของคนหมู่หนึ่ง อยู่ในที่แห่งหนึ่ง ถือเป็นแบบแผนกันมาอย่างเดียวกันและ สืบกนั มานาน ประเพณี คอื กิจกรรมทีม่ ีรปู แบบของชุมชน หรอื สงั คมหนงึ่ ทจ่ี ัดข้นึ มาด้วยจุดประสงค์ ใดจุดประสงค์หน่งึ และกำหนดการจัดกิจกรรมในช่วงเวลาแนน่ อนสม่ำเสมอ กจิ กรรมท่ีเป็นประเพณี อาจมองได้อีกประการหนงึ่ วา่ เป็นแบบแผนการปฏิบตั ิของกลุม่ เฉพาะ หรอื ทางศาสนา ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (Universal Declaration of Human Rights sinv UDHR) คือการ ประกาศเจตนารมณ์ ในการร่วมมือระหว่างประเทศที่มีความสำคัญในการวางกรอบเบื้องต้นเกี่ยวกบั สิทธิมนุษยชนและเป็นเอกสารหลักด้านสิทธิมนุษยชนฉบับแรก ซึ่งที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่ง สหประชาชาติ ให้การรบั รองตามขอ้ มติท่ี ๒๑๗ A (III) เม่อื วันท่ี ๑๐ ธันวาคม ๒๔๙๑ โดยประเทศไทย ออกเสียงสนับสนนุ วัฒนธรรม และภูมิปัญญาไทย เป็นการศึกษา วิเคราะห์เกี่ยวกับวัฒนธรรมและภูมิปัญญาในเรื่องเกี่ยวกับ ความเป็นมา ปัจจัยพื้นฐานและผลกระทบจากภายนอกที่มีอิทธิพลต่อการสรา้ งสรรค์วัฒนธรรมไทย วัฒนธรรมท้องถิ่น ภูมิปัญญาไทย รวมทั้งวัฒนธรรมและภูมิปัญญาของมนุษยชาติโลก ความสำคัญ และผลกระทบทมี่ ีอิทธพิ ลตอ่ การดำเนนิ ชีวิตของคนไทยและมนุษยชาติ ต้ังแต่อดีตถงึ ปัจจุบนั สัมมาชพี การประกอบอาชพี สุจริตและเหมาะสมในสงั คม ประสทิ ธภิ าพ ความสามารถในการทำงานจนสำเร็จ หรือผลการกระทำท่ไี ด้ผลออกมาดกี ว่าเดมิ รวมท้งั การใช้ ทรัพยากรต่าง ๆ อย่างคุ้มค่า โดยไม่ให้เกิดความสูญเปล่า หรือความสูญเสีย ทรัพยาการต่าง ๆ พจิ ารณาได้จากเวลา แรงงาน วัตถุดิบ เครื่องจักร ปรมิ าณและคุณภาพ ฯลฯ ประสทิ ธผิ ล ระดบั ความสำเร็จของวตั ถุประสงค์ หรอื ผลสำเร็จของงาน

239 สนิ คา้ หมายความวา่ สิ่งของทส่ี ามารถซื้อขาย แลกเปลีย่ น หรอื โอนกันได้ ไม่ว่าจะเกดิ โดยธรรมชาติ หรอื เป็น ผลิตผลทางการเกษตร รวมตลอดถึงผลติ ภัณฑท์ างหัตถกรรมและอุตสาหกรรม ภูมิปัญญา ส่วนหนึ่งของประเพณี หรือเป็นกิจกรรมเฉพาะตัวก็ได้ เช่น พิธีถวายสังฆทาน พิธีบวชนาค พิธบี วชลูกแก้ว พิธีขอฝน พธิ ไี หวค้ รู พิธีแต่งงาน มนษุ ยชาติ การเกดิ เป็นมนษุ ยม์ าจาก มนษุ ย์ = ผมู้ จี ิตใจสงู กับชาติ = เกดิ โดยปกติหมายถึง มนษุ ยท์ ั่ว ๆ ไป มรรยาท พฤติกรรมที่สังคมกำหนดวา่ ควรประพฤติเปน็ วัฒนธรรม วัดจากความเหมาะสมและไม่เหมาะสม ระบบ การนำส่วนตา่ ง ๆ มาปรบั เรียงตอ่ ใหท้ ำงานประสานตอ่ เนอ่ื งกนั จนดูเป็นสงิ่ เดียวกัน กระบวนการ กรรมวิธี หรอื ลำดบั การกระทำซ่ึงดำเนนิ การตอ่ เนื่องกนั ไปจนสำเรจ็ ลง ณ ระดับหนงึ่ วิเคราะห์ การแยกแยะให้เห็นคุณลกั ษณะของแต่ละองค์ประกอบ เศรษฐกิจ ความรเู้ กี่ยวกบั การกนิ การอยู่ของมนุษยใ์ นสังคม วา่ ดว้ ยทรัพยากรทมี่ ีจำกดั การผลติ การกระจาย ผลผลิต และการบรโิ ภค สหกรณ์ แปลว่าการทำงานร่วมกนั การทำงานร่วมกันนี้ลึกซึ้งมาก เพราะว่าต้องร่วมมือกันในทุกด้าน ทั้งใน ด้านงานที่ทำด้วยร่างกาย ทั้งในด้านงานทีท่ ำดว้ ยสมอง และงานการที่ทำด้วยใจ ทุกอย่างนี้ขาดไมไ่ ด้ ตอ้ งพรอ้ ม ทรัพย์สินทางปัญญา หมายถึง ผลงานอันเกิดจากการประดิษฐ์คิดค้น หรือสร้างสรรค์ของมนุษย์ ซึ่งเน้นที่ ผลผลิตของสติปัญญาและความชำนาญ โดยไม่คำนึงถึงชนิด ของการสร้างสรรค์ หรือวิธีในการ แสดงออก ทรพั ยส์ นิ ทางปญั ญา อาจเป็นสิ่งท่ีจับต้องได้ เชน่ สินคา้ ต่าง ๆ หรือ เป็นส่ิงที่จับต้องไม่ได้ เช่น บริการ แนวความคิด กรรมวิธีและทฤษฎีต่าง ๆ เป็นต้น ทรัพย์สินทางปัญญามี ๒ ประเภท ทรพั ย์สินทางอตุ สาหกรรม (Industrial property) และลขิ สิทธ์ิ (Copyright) ๑. ทรพั ยส์ นิ ทางอุตสาหกรรม มีสิทธิบัตร แบบผงั ภมู ิของวงจรรวม เครื่องหมายการค้า ความลับทาง การค้า ชือ่ ทางการคา้ สง่ิ บง่ ชี้ทางภมู ิศาสตร์ สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ หมายความว่า ชื่อ สัญลักษณ์ หรือสิ่งอื่นใดที่ใช้เรียกหรือใช้แทนแหล่ง ภูมศิ าสตร์ และที่สามารถบ่งบอกวา่ สนิ ค้าทีเ่ กิดจากแหลง่ ภูมิศาสตรน์ ัน้ เปน็ สินคา้ ที่มีคุณภาพ ชอ่ื เสียง หรอื คุณลกั ษณะเฉพาะของแหล่งภูมศิ าสตร์ดังกล่าว ๒. ลิขสิทธิ์ คือ งาน หรือความคิดสร้างสรรค์ในสาขาวรรณกรรม ศิลปกรรม ดนตรีกรรม งาน ภาพยนตร์ หรืองานอน่ื ใดในแผนกวรณคดี หรือแผนกศลิ ปะ แผนกวิทยาศาสตร์ ลขิ สทิ ธยิ์ ังรวมท้งั สิทธิ ข้างเคยี ง (Neighbouring Right) เหตุ ภาวะเง่อื นไขทจี่ ำเป็นทที่ ำใหส้ ง่ิ หนึง่ เกดิ ขึน้ ตามมา เรยี กวา่ ผล เหตุการณ์ ปรากฏการณ์ทเี่ กิดขึ้น

240 อำนาจ ความสามารถในการบบี บงั คบั ให้สิ่งหน่ึง (คนหน่ึง...) กระทำตามท่ปี รารถนา อิทธิพล อำนาจบงั คบั ทกี่ ่อใหเ้ กิดความสำเรจ็ ในส่งิ ใดสง่ิ หนง่ึ เอกลกั ษณ์ ลักษณะทม่ี คี วามเป็นหน่งึ เดยี ว ไม่มที ่ใี ดเหมือน ตำนาน เปน็ เร่ืองเล่าต่อกันมาและถกู บันทกึ ขนึ้ ภายหลงั พงศาวดาร คือ การบันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามลำดับเวลา ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องราวท่ีเกิดขึ้นกับ พระมหากษตั ริย์ และราชสำนัก อดีต คือ เวลาที่ล่วงมาแล้ว ความสำคัญของอดีต คือ อดีตจะครอบงำความคิดและความรู้ของเราอย่าง กว้างขวางลึกซึ้ง อดีตที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มคน/ความสำคัญที่มีต่อเหตุการณ์และกลุ่มคนจะถูกนำมา เช่อื มโยงเข้าดว้ ยกนั นักประวัติศาสตร์ เป็นผู้บันทึกเหตุการณท์ ีเ่ กิดขึ้น ผู้สร้างประวัติศาสตร์ข้ึนจากหลักฐานประเภทต่าง ๆ ตาม จดุ มุ่งหมายและวิธีการคิด ซ่ึงงานเขียนอาจนำไปสูก่ ารเป็นวชิ าประวัติศาสตรไ์ ด้ในทส่ี ดุ ความมงุ่ หมายในการเขียนประวัติศาสตร์ - นกั ประวตั ิศาสตร์รุ่นเกา่ มงุ่ สกู่ ารรวมชาติ/รบั ใช้การเมือง - นกั ประวัตศิ าสตรร์ นุ่ ใหม่ มุ่งทจี่ ะหาความจริง (truth) จากอดีตและตีความโดยปราศจากอคติ (bias) หลกั ฐานประเภทต่าง ๆ จะใหข้ อ้ เท็จจรงิ บางประการ ซ่ึงจะนำไปสคู่ วามจรงิ ในที่สดุ โดยมีวิธีการแบ่งประเภท ของหลักฐานหลายแบบ เช่น หลักฐานสมัยก่อนประวตั ิศาสตร์และหลักฐานสมัยประวัติศาสตร์แบบ หนง่ึ หลกั ฐานประเภทลายลักษณ์อักษรและหลักฐานทีไ่ มใ่ ช่ลายลักษณ์แบบหนึง่ หรอื หลักฐานชั้นต้น และหลักฐานชั้นรอง (หรือหลักฐานชั้นท่ีหนึ่ง ชั้นที่สอง ชั้นที่สาม) อีกแบบหนึ่ง หลักฐานที่จะถูก ประเมินว่าน่าเช่อื ถือท่สี ดุ คอื หลักฐานที่เกดิ ร่วมสมัย หรือเกิดโดยผูท้ ีร่ ู้เห็นเหตกุ ารณ์นน้ั ๆ แต่กระนน้ั นกั ประวตั ศิ าสตร์กจ็ ะต้องวิเคราะห์ท้ังภายในและภายนอกกอ่ นดว้ ยเชน่ กนั เน่อื งจากผู้ท่อี ยู่ร่วมสมัยก็ ย่อมมีจุดมุง่ หมายสว่ นตัวในการบนั ทกึ ซงึ่ อาจทำให้เลือกบนั ทกึ เฉพาะเรอื่ งบางเรอื่ งเท่าน้ัน อคติ คือ ความลำเอียง ไมต่ รงตามความเปน็ จริง เปน็ ธรรมชาตขิ องมนุษยท์ ุกคน ซง่ึ ผทู้ ีเ่ ปน็ นักประวัติศาสตร์ จะต้องตระหนักและควบคุมให้ได้ ความเป็นกลาง คือ การมองด้วยปราศจากความรสู้ กึ อคติจะเกิดข้นึ ได้หากเข้าใจธรรมชาติของหลกั ฐานแต่ละ ประเภท เข้าใจปรัชญาและวิธีการทางประวัติศาสตร์ เข้าใจจุดมุ่งหมายของผู้เรียน ผู้บันทึก ประวตั ิศาสตร์ (น่ันคือ เขา้ ใจว่าบนั ทกึ เพื่ออะไร เพราะเหตุใด) ความจริงแท้ (real truth) คือ ความจริงที่คงอยู่แน่นอนนิรันดร์ เป็นจุดหมายสูงสุดที่นักประวัติศาสตร์มุ่ง แสวงหา ซึ่งจะต้องอาศัยความเข้าใจและความจริงที่อยู่เบื้องหลังการเกิดพฤติกรรมและเหตุการณ์ ต่าง ๆ (ที่มนุษย์เป็นผู้สร้าง) ซึ่งการแสวงหาความจริงแท้ ต้องอาศัยความสมบูรณ์ของหลักฐานและ

241 กระบวนการทางประวัติศาสตร์ที่ละเอียด ถี่ถ้วน กินเวลายาวนาน แต่น่ีคือ ภาระหน้าที่ของนัก ประวตั ศิ าสตร์ ผสู้ อนวชิ าประวัตศิ าสตร์ คอื ผูน้ ำความรู้ทางประวัติศาสตร์มาพฒั นาให้ผู้เรียนเกดิ ความรู้ เจตคตแิ ละทักษะใน การใช้กระบวนการวิทยาศาสตร์ในการแสวงหาความจริงและความจริงแท้จะต้องศึกษาผลงานของ นักประวัติศาสตร์และเลือกเนื้อหาประวัติศาสตร์ที่เหมาะสมกับวัยของผู้เรียน โดยต้องเป็นไปตาม จดุ ประสงค์ของหลกั สตู รและสอดคลอ้ งธรรมชาติของประวตั ิศาสตร์ เวลาและยคุ สมัยทางประวัติศาสตร์ เป็นการศึกษาเร่ืองการนบั เวลา และการแบ่งช่วงเวลาตามระบบต่าง ๆ ทั้งแบบไทย สากล ศกั ราชท่ีสำคญั ๆ ในภูมิภาคตา่ ง ๆ ของโลก และการแบง่ ยคุ สมัยทางประวัติศาสตร์ ทั้งนี้เพื่อให้ผู้เรียนมีทักษะพื้นฐานสำหรับการศึกษาหลักฐานทางประวัติศาสตร์ สามารถเข้า ใจ เหตุการณท์ างประวัติศาสตร์ท่ีสัมพนั ธก์ ับอดีต ปจั จุบัน และอนาคต ตระหนกั ถงึ ความสำคัญในความ ต่อเนือ่ งของเวลา อิทธิพลและความสำคัญของเวลาที่มีตอ่ วิถีการดำเนินชวี ิตของมนษุ ย์ วิธกี ารทางประวัติศาสตร์ หมายถงึ กระบวนการในการแสวงหาข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ ซ่ึงเกดิ จากวิธีวจิ ัย เอกสารและหลักฐานประกอบอืน่ ๆ เพื่อให้ได้มาซ่ึงองค์ความรู้ใหมท่ างประวตั ิศาสตร์บนพื้นฐานของ ความเปน็ เหตเุ ปน็ ผล และการวิเคราะหเ์ หตกุ ารณ์ต่าง ๆ อย่างเปน็ ระบบ ประกอบด้วยขั้นตอนต่อไปนี้ หนงึ่ การกำหนดเป้าหมายหรือประเด็นคำถามทีต่ ้องการศกึ ษา แสวงหาคำตอบด้วยเหตุ และผล (ศึกษา อะไร ช่วงเวลาไหน สมัยใด และเพราะเหตุใด) สอง การคน้ หาและรวบรวมหลักฐานประเภทต่าง ๆ ทงั้ ทเ่ี ปน็ ลายลกั ษณอ์ กั ษร และไมเ่ ปน็ ลายลักษณ์ อักษร ซึ่งไดแ้ ก่ วัตถโุ บราณ ร่องรอยถิ่นที่อยู่อาศัยหรือการดำเนนิ ชีวติ สาม การวิเคราะห์หลักฐาน (การตรวจสอบ การประเมินความน่าเชื่อถือ การประเมินคุณค่า ของหลกั ฐาน) การตคี วามหลักฐานอยา่ งเป็นเหตเุ ปน็ ผล มคี วามเปน็ กลาง และปราศจากอคติ สี่ การสรุปข้อเท็จจริงเพื่อตอบคำถาม ด้วยการเลือกสรรข้อเท็จจริงจากหลักฐานอย่างเคร่งครัดโดย ไมใ่ ช้ค่านยิ มของตนเองไปตดั สินพฤตกิ รรมของคนในอดีต โดยพยายามเขา้ ใจความคิดของคนในยุคน้ัน หรอื นำตวั เขา้ ไปอยใู่ นยุคสมยั ท่ตี นศกึ ษา หา้ การนำเสนอเร่ืองทศี่ ึกษาและอธิบายได้อย่างสมเหตุสมผล โดยใชภ้ าษาที่เข้าใจง่าย มคี วามต่อเน่ือง น่าสนใจ ตลอดจนมีการอา้ งองิ ขอ้ เท็จจริง เพอ่ื ใหไ้ ดง้ านทางประวัตศิ าสตรท์ มี่ คี ณุ ค่าและมีความหมาย พัฒนาการของมนุษยชาติจากอดีตถึงปัจจุบัน เป็นการศึกษาเรื่องราวของสังคม มนุษย์ในบริบทของเวลา และสถานท่ี โดยทั่วไปจะแยกเร่ืองศึกษาออกเป็นด้านต่าง ๆ ได้แก่ การเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ สังคม วฒั นธรรม เทคโนโลยี และความสมั พนั ธร์ ะหว่างประเทศ โดยกำหนดขอบเขตการศึกษาในกลุ่ม สังคม มนุษย์กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เช่น ในท้องถิ่น/ประเทศ/ภูมิภาค/โลก โดยมุ่งศึกษาว่าสังคมนั้น ๆ ได้ เปลี่ยนแปลงหรือพัฒนาตามลำดับเวลาได้อย่างไร เพราะเหตุใด จึงเกิดความเปลี่ยนแปลงมีปัจจัย ใดบ้าง ทั้งทางด้านภมู ิศาสตร์และปัจจัยแวดล้อมทางสังคม ที่มีผลต่อพัฒนาการ หรือการสร้างสรรค์

242 วัฒนธรรม และผลกระทบของการสร้างสรรค์ของมนษุ ย์ในด้านตา่ ง ๆ เป็นอย่างไร ทั้งนี้เพ่ือให้เข้าใจ อดตี ของสงั คมมนษุ ย์ในมิติของเวลาและความตอ่ เนื่อง ภูมิศาสตร์ เป็นคำที่มาจากภาษากรีก (Geography) หมายถึง การพรรณนาลักษณะของโลกเป็นศาสตร์ทาง พ้นื ท่ี เปน็ ความรทู้ ีว่ ่าด้วยปฏสิ ัมพนั ธ์ของสิ่งต่าง ๆ ในขอบเขตหนงึ่ ลักษณะทางกายภาพ ของภูมิศาสตร์ หมายถึง ลักษณะที่มองเหน็ เป็นรูปร่าง รูปทรง โดยสามารถมองเหน็ และวเิ คราะหไ์ ปถึงกระบวนการเปล่ยี นแปลงต่าง ๆ ท่เี กดิ ขึน้ ในสภาพแวดลอ้ มต่าง ๆ ซงึ่ เกี่ยวข้องกับ ลักษณะของธรณีสัณฐานวิทยาภูมิอากาศวิทยา ภูมิศาสตร์ดิน ชีวภูมิศาสตร์พืช ภูมิศาสตร์สัตว์ ภูมิศาสตรส์ ิง่ แวดลอ้ มตา่ ง ๆ เปน็ ต้น ปฏิสัมพันธร์ ะหว่างกนั หมายถงึ วธิ กี ารศกึ ษา หรือวธิ กี ารวิเคราะห์ พิจารณาสำหรับศาสตร์ทางภูมิศาสตร์ได้ ใช้สำหรับการศกึ ษาพิจารณา คดิ วิเคราะห์ สงั เคราะห์ถึงสิง่ ต่าง ๆ ทีม่ ีผลตอ่ กันระหวา่ งส่งิ แวดล้อมกับ มนุษย์ (Environment) ทางกายภาพ ด้วยวิธีการศึกษาพิจารณาถึงความแตกต่าง ความเหมือน ระหว่างพื้นที่หนึ่ง ๆ กับอีกพื้นที่หนึ่ง หรือระหว่างภูมิภาคหนึ่งกบั ภูมิภาคหนึ่ง โดยพยายามอธิบาย ถึงความแตกต่าง ความเหมือน รูปแบบของภูมิภาค และพยายามขีดเส้นสมมุติ แบ่งภูมิภาคเพ่ือ พิจารณาวิเคราะห์ดสู ัมพันธภาพของภูมภิ าคเหล่าน้ันว่าเป็นอยา่ งไร ภูมิศาสตร์ คือ ภาพปฏิสัมพนั ธข์ องธรรมชาติ มนุษย์ และวัฒนธรรม รูปแบบต่าง ๆ ถ้าพิจารณาเฉพาะปัจจยั ทางธรรมชาติ จะเป็นภูมิศาสตร์กายภาพ (Physical Geography) ถ้าพิจารณาเฉพาะปัจจัยท่ี เกี่ยวข้องกับมนุษย์ เช่น ประชากร วิถีชีวิต ศาสนา ความเชื่อ การเดินทาง การอพยพจะเป็น ภูมิศาสตร์มนุษย์ (Human Geography) ถ้าพิจารณาเฉพาะปัจจัยที่เป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น เช่น การตั้งถิ่นฐาน การคมนามคม การค้า การเมอื ง จะเป็นภมู ิศาสตรว์ ฒั นธรรม (Cultural Geography) ภูมิอากาศ คือ ภาพปฏิสัมพันธ์ขององค์ประกอบอุตุนิยมวิทยา รูปแบบต่าง ๆ เช่น ภูมิอากาศ แบบร้อนช้ืน ภูมิอากาศแบบอบอุ่นช้ืน ภมู ิอากาศแบบร้อนแหง้ แล้ง ฯลฯ ภูมิประเทศ คือ ภาพปฏสิ มั พันธ์ขององค์ประกอบแผ่นดนิ เช่น หนิ ดนิ ความต่างระดบั ทำใหเ้ กดิ ภาพลักษณะ รปู แบบตา่ ง ๆ เช่น พืน้ ทแ่ี บบภูเขา พน้ื ท่ีระบบลาด เชงิ เขา พนื้ ท่ีราบ พนื้ ทลี่ ุ่ม ฯลฯ ภมู พิ ฤกษ์ คอื ภาพปฏสิ ัมพันธ์ของพชื พรรณ อากาศ ภูมปิ ระเทศ ดิน สัตวป์ า่ ในรูปแบบตา่ ง ๆ เชน่ ปา่ ดบิ ป่าเต็งรงั ปา่ เบญจพรรณ ปา่ ทงุ่ หญ้า ฯลฯ ภูมิธรณี คือ ภาพปฏิสัมพนั ธข์ องแร่ หิน โครงสรา้ งทางธรณี ทำให้เกิดรูปแบบทางธรณชี นิดต่าง ๆ เช่น ภูเขา แบบทบตัว ภูเขาแบบยกตวั ทรี่ าบน้ำทว่ มถงึ ชายฝ่งั แบบยบุ ตัว ฯลฯ ภูมิปฐพี คือ ภาพปฏิสัมพันธ์ของแร่ หิน ภูมิประเทศลักษณะอากาศ พืชพรรณ ทำให้เกิดดินรูปแบบ ตา่ ง ๆ เช่น แดนดินดำ มอดินแดง ดินทรายจดั ดนิ กรด ดนิ เคม็ ดนิ พรุ ฯลฯ

243 ภูมิอทุ ก คือ ภาพปฏิสัมพนั ธข์ องแผน่ ดิน ภูมิประเทศ ภูมอิ ากาศ ภูมิธรณี พืชพรรณ ทำใหเ้ กิดรูปแบบแหล่ง น้ำชนิดต่าง ๆ เช่น แม่น้ำ ลำคลอง ห้วย หนอง บึง ทะเล ทะเลสาบ มหาสมุทร น้ำใต้ดิน น้ำบาดาล ฯลฯ ภูมิดารา คือ ภาพปฏิสัมพันธ์ของดวงดาว กลุ่มดาว เวลา การเคลื่อนการโคจรของ ดาวฤกษ์ ดาวเคราะห์ ทำให้เกิดรูปแบบปรากฏการณ์ต่าง ๆ เช่น การเกิดกลางวันกลางคืน ข้างขึ้น-ข้างแรม สุริยุปราคา ตะวันอ้อมเหนอื ตะวนั อ้อมใต้ ฯลฯ ภยั พิบตั ิ เหตกุ ารณ์ที่ก่อให้เกิดความเสยี หายและสูญเสียอย่างรนุ แรง เกิดขึ้นจากภยั ธรรมชาติและกระทำของ มนุษย์ จนชมุ ชน หรอื สงั คมทเ่ี ผชญิ ปัญหาไม่อาจรบั มอื เช่น ดนิ ถลม่ สนึ ามิ ไฟปา่ ฯลฯ แหล่งภูมิศาสตร์ หมายความว่า พื้นที่ของประเทศ เขต ภูมิภาคและท้องถิ่น และให้หมายความรวมถึงทะเล ทะเลสาบ แม่น้ำ ลำนำ้ เกาะ ภเู ขา หรอื พนื้ ทอี่ ่ืนทำนองเดียวกนั ด้วย เทคนิคทางภูมศิ าสตร์ หมายถึง แผนท่ี แผนภูมิ แผนภาพ และกราฟ ภายถ่ายทางอากาศ และภาพถา่ ยจากดาวเทียม เทคโนโลยีภมู สิ ารสนเทศ ส่ือทีส่ ามารถคน้ ข้อมูลทางภูมิศาสตร์ได้ มิติทางพื้นที่ หมายถึง การวิเคราะห์ พิจารณาในเรื่องขององค์ประกอบทางภูมิศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับเวลา สถานที่ ปัจจัยแวดล้อม และการกระจายของพื้นที่ในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งความกว้าง ยาว สูง ตาม ขอบเขตทก่ี ำหนด หรือสมมตุ ิพืน้ ท่ขี น้ึ มาพิจารณา การศึกษารูปแบบทางพื้นที่ หมายถึง การศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับพื้นที่หรือมิติทางพื้นที่ของ สังคมมนุษย์ ที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ มีการใช้และกำหนดหน่วยเชิงพื้นที่ ที่ชัดเจน มีการอาศัยเส้นที่เราสมมุติขึ้น อาศัย หน่วยต่าง ๆ ขึ้นมากำหนดขอบเขต ซึ่งมีองค์ประกอบลักษณะทางกายภาพ ทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม การเมือง และลักษณะทางพัฒนาการของมนุษย์ที่เด่นชัด สอดคล้องกันเป็นพื้นฐานใน การศึกษา แสวงหาขอ้ มูล ภูมศิ าสตรก์ ายภาพ หมายถงึ ศาสตรท์ ี่ศกึ ษาเร่อื งเกี่ยวกับระบบธรรมชาติ ถึงความเปน็ มา ความเปล่ียนแปลง และพัฒนาการไปตามยุคสมัย โดยมีขอบเขตที่กล่าวถึง ลักษณะภูมิประเทศ ลักษณะภูมิอากาศ ภูมิ ปฐพี (ดนิ ) ภมู อิ ากาศ (ลมฟา้ อากาศ บรรยากาศ) และภมู ิพฤกษ์ (พชื พรรณ ป่าไม้ ธรรมชาต)ิ รวมท้ัง ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติ การเปลี่ยนแปลงของธรรมชาตทิ ี่มีผลต่อชีวิตและ ความเป็นอยู่ของมนษุ ย์ สิ่งแวดล้อม สิ่งที่อยูร่ อบ ๆ สิ่งใดสิ่งหนึ่งและมีอิทธิพลต่อสิง่ น้ัน อาทิ อากาศ น้ำ ดิน ต้นไม้ สัตว์ ซึ่งสามารถ ถกู ทำลายได้โดยการขาดความระมัดระวงั สิ่งแวดล้อมทางภายภาพ หมายถึง ทุกสิ่งทุกอย่าง ยกเว้นตัวมนุษย์และผลงาน และมนุษย์ สิ่งแวดล้อมทาง กายภาพ ได้แก่ ภูมิอากาศ ดิน พืชพรรณ สัตว์ป่า ธรณีสัณฐาน (ภูเขาและที่ราบ) บรรยากาศ มหาสมทุ ร แรธ่ าตุ และนำ้

244 อนุรักษ์ การรักษา จัดการ ดูแลทรัพยากรธรรมชาติและวัฒนธรรม หรือการรักษาป้องกันบางสิ่งไม่ให้ เปลย่ี นแปลง สญู หาย หรือถกู ทำลาย ภูมิศาสตร์มนุษย์ และสิ่งแวดล้อม หมายถึง ศาสตร์ที่ศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับมนุษย์ วิถีชีวิตและ ความเป็นอยู่ กิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคม สิ่งแวดล้อมด้านสังคมทั้งในเมืองและท้องถ่ิน การเปลี่ยนแปลงทางสิ่งแวดลอ้ ม สาเหตุและผลกระทบท่ีมตี ่อมนษุ ย์ ปัญหาและแนวทางแก้ปญั หาทาง สังคม กรอบทางพนื้ ที่ (Spatial Framework) หมายถึง การวางขอ้ กำหนด หรือขอบเขตของพ้ืนที่ในการศกึ ษาเร่ืองใดเร่ืองหน่ึง หรอื แบบรปู แบบกระจายของส่งิ ต่าง ๆ บนผิวโลกส่วนใดสว่ นหนึง่ เพอ่ื ใหเ้ ราเข้าใจลักษณะโลกของมนุษย์ดี ขนึ้ เชน่ การกำหนดใหม้ นษุ ย์ และวัฒนธรรมของมนุษยด์ ีข้นึ เช่น การกำหนดใหม้ นุษยแ์ ละวัฒนธรรมของมนุษย์ กรอบพืน้ ท่ีของโลกท่ีมีลกั ษณะเปน็ ภูมภิ าค ประเทศ จังหวดั เมอื ง ชุมชน ทอ้ งถิ่น ฯลฯ สำหรับการวเิ คราะห์ หรือศกึ ษาองคป์ ระกอบใดองคป์ ระกอบหน่ึง เฉพาะเร่ือง รูปแบบทางพื้นที่ (Spatial Form) หมายถึง ข้อเท็จจริง เครื่องมือ หรือวิธีการ โดยเฉพาะกลุ่มของข้อมูลท่ี ได้มา เป็นต้นวา่ ความสัมพนั ธท์ างพ้นื ทีแ่ บบรปู แบบของการกระจาย การกระทำระหวา่ งกนั เครื่องมือ ท่ีใช้ ไดแ้ ก่ แผนท่ี ภาพถา่ ย ฯลฯ พน้ื ทีห่ รอื ระวางท่ี (Space) หมายถึง ขอบเขตทางพืน้ ที่ในการวิเคราะห์ทางภูมศิ าสตร์ เป็นการศึกษาพ้ืนที่ใน มิติต่าง ๆ ตามระวางท่ี (Spatiak study) ที่กำหนดข้ึนมีขอบเขตชัดเจน อาจจะมีการกำหนดเป็นเขต บริเวณ สถานที่ นำมิติของความกว้าง ความลึก ความสูง ความยาว รวมทั้งมิติทางเวลา ในเขตพื้นท่ี ตา่ ง ๆ ตามท่ีเรากำหนด ขอบเขตระหว่างท่ี ดว้ ยเครื่องมือ เส้นสมมติและเทคนิคทางภูมิศาสตร์ต่าง ๆ เชน่ แผนท่ี ภาพถ่าย ฯลฯ อาจจะจำแนกเป็นเขต ภมู ภิ าค ประเทศ จังหวดั เมือง ชุมชน ท้องถน่ิ ฯลฯ ที่เฉพาะเจาะจงไป มีการพิจารณา วิเคราะห์ถึงการกระจายและสัมพันธภาพของมนุษย์บนผิวโลก และลกั ษณะทางพ้ืนท่ขี องการตัง้ ถิน่ ฐานของมนุษย์ และการทใี่ ช้ประโยชน์จากพนื้ โลก สัมพนั ธจ์ ากถิ่น ฐานของมนษุ ย์ และการท่ีใช้ประโยชน์จากพนื้ โลก สัมพนั ธภาพระหว่างสังคมมนุษย์กับสิง่ แวดลอ้ มทาง กายภาพ ซึ่งถอื วา่ เป็นสว่ นหน่ึงในการศึกษาความแตกต่างเชิงพนื้ ที่ (Area difference) มิติสัมพันธ์เชิงทำเลที่ตั้ง หมายถึง การศึกษาความแตกต่าง หรือความเหมือนกันของสังคมมนุษย์ในแต่ละ สถานที่ ในฐานะที่ความแตกตา่ งและเหมือนกันนัน้ อาจมคี วามเกี่ยวเนื่องกับความแตกต่างและความ เหมือนกันในสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ ทางเศรษฐกิจ ทางสังคม ทางวัฒนธรรม ทางการเมือง และการศึกษาภูมิทัศน์ที่แตกต่างกันในเร่ืององค์ประกอบ ปัจจัย ตลอดจนแบบรูปการณ์กระจาย ของมนุษย์บนพื้นโลก และการที่มนุษย์ใช้ประโยชน์จากพื้นโลก เหตุไรมนุษย์จึงใช้ประโยชน์ จากพ้นื โลก แตกตา่ งกันในสถานที่ต่างกัน และในเวลาทตี่ ่างกนั มีผลกระทบอยา่ งไร