ช้นั ผลการเรียนรู้ สาระการเรยี นรู้เพ่มิ เติม ๑๕. สืบคน้ ขอ้ มูล อภิปราย และอธบิ าย • สปชี ีสใ์ หมจ่ ะเกดิ ขนึ้ ไดเ้ มื่อไมม่ ีการถา่ ยเท กระบวนการเกิดสปชี ีส์ใหมข่ องส่งิ มีชวี ติ เคล่อื นยา้ ยยีนระหว่างประชากรหนง่ึ กบั อกี ประชากรหนึ่ง ในรุ่นบรรพบุรุษ ทำใหป้ ระชากร ทง้ั สอง มโี ครงสรา้ งทางพนั ธกุ รรมทีแ่ ตกต่างกัน และววิ ฒั นาการเกิดเป็นสปีชีสใ์ หม ่ • ปจั จยั ทที่ ำใหเ้ กดิ สปชี สี ใ์ หมอ่ าจเกดิ ได้ ๒ แนวทาง คือ การเกดิ สปชี สี ์ใหม่จากการแบ่งแยกทาง ภมู ิศาสตร์และการเกดิ สปีชสี ์ใหมใ่ นเขตภูมศิ าสตร์ เดยี วกัน ม.๕ - - ม.๖ ๑. อภปิ รายความสำคัญของความหลากหลายทาง • ความหลากหลายทางชีวภาพ ประกอบดว้ ย ชีวภาพ และความเชอ่ื มโยงระหว่าง ความหลากหลายทางพนั ธกุ รรม ความหลากหลาย ความหลากหลายทางพนั ธกุ รรม ความหลากหลาย ของสปชี สี ์ และความหลากหลายของระบบนเิ วศ ของสปชี สี ์ และความหลากหลายของระบบนเิ วศ • การแปรผนั ทางพันธุกรรมทำให้เกิดความ หลากหลายทางพันธุกรรม ซง่ึ สง่ิ มีชวี ิตใดที่มี ความหลากหลายทางพนั ธกุ รรมมากยอ่ มทำให้ มโี อกาสอยูร่ อดเพิม่ ขึน้ และสบื ทอดลูกหลาน ต่อไปได ้ • ส่งิ มีชวี ิตท่ีดำรงชีวติ อยู่ในสิง่ แวดลอ้ มตา่ ง ๆ ไดผ้ ่านกระบวนการคัดเลอื กโดยธรรมชาต ิ หรือโดยมนุษยม์ าเปน็ ระยะเวลายาวนาน หลายชว่ั รุ่นซงึ่ อาจเกิดเป็นสปชี สี ์ใหม่ สง่ ผลให้ เกดิ ความหลากหลายของสปีชีส์ • แหลง่ ทอี่ ยอู่ าศยั แตล่ ะแหลง่ ทส่ี งิ่ มชี วี ติ อาศยั อยนู่ น้ั จะมอี งคป์ ระกอบของปจั จัยทางกายภาพ และปจั จยั ทางชีวภาพที่แตกต่างกนั ทำให้เกดิ ความหลากหลายของระบบนิเวศ ๒. อธบิ ายการเกดิ เซลล์เร่มิ แรกของส่ิงมชี วี ิต • จุดเร่มิ ตน้ ของววิ ัฒนาการของเซลลเ์ กดิ จาก และวิวัฒนาการของสงิ่ มีชีวติ เซลลเ์ ดยี ว โมเลกลุ ของสารอินทรยี ์ โดยเซลล์รูปแบบแรก ท่ีเกิดขนึ้ คอื เซลลโ์ พรคาริโอต และมีววิ ัฒนาการ ข้นึ มาเปน็ เซลล์ยูคาริโอต และจากส่งิ มีชวี ติ เซลลเ์ ดยี ว เป็นส่งิ มชี วี ิตหลายเซลลท์ ี่มโี ครงสรา้ ง แบบงา่ ย ๆ จนกลายมาเป็นสงิ่ มชี วี ติ หลายเซลล ์ ทม่ี โี ครงสร้างซบั ซอ้ นมากข้ึนตามลำดบั 144 ตัวช้ีวัดและสาระการเรยี นรู้แกนกลาง กล่มุ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาขั้นพ้นื ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑
ช้ัน ผลการเรยี นร ู้ สาระการเรียนร้เู พม่ิ เตมิ ๓. อธบิ ายลกั ษณะสำคัญ และยกตัวอย่างสิ่งมีชีวิต • แบคทีเรยี เปน็ สิ่งมีชวี ิตพวกโพรคาริโอต ผนงั เซลล์ กลุ่มแบคทีเรีย สงิ่ มชี ีวิตกลุ่มโพรทิสต์ สิ่งมีชวี ติ มีเพปทโิ ดไกลแคนเป็นองค์ประกอบสำคญั กล่มุ พชื ส่งิ มีชวี ติ กลุ่มฟังไจ และสง่ิ มีชีวิต แบคทเี รียทวั่ ไปสร้างอาหารเองไมไ่ ด้ ดำรงชีวติ กล่มุ สัตว ์ แบบผู้สลายสารอนิ ทรียห์ รอื แบบปรสิต แตแ่ บคทีเรียบางกลมุ่ เช่น ไซยาโนแบคทีเรยี สร้างอาหารเองไดจ้ ากกระบวนการสังเคราะห์ ดว้ ยแสง • โพรทิสต์เปน็ สิง่ มชี วี ิตพวกยูคาริโอต มีลักษณะ หลากหลาย ท้งั ท่เี ปน็ สงิ่ มชี ีวติ เซลลเ์ ดียวหรอื สง่ิ มีชีวติ หลายเซลลท์ ยี่ ังไมพ่ ฒั นาไปเป็นเนอ้ื เย่อื อาจมหี รอื ไมม่ ผี นงั เซลลเ์ ปน็ สว่ นประกอบของเซลล ์ • พชื เปน็ สงิ่ มชี วี ติ หลายเซลลพ์ วกยคู ารโิ อต มผี นงั เซลล์ ซง่ึ มเี ซลลูโลสเป็นองค์ประกอบ มีวัฏจักรชวี ติ แบบสลับ และมรี ะยะเอม็ บริโอในการสบื พันธุ์ แบบอาศยั เพศ พืชสร้างอาหารเองไดจ้ าก กระบวนการสังเคราะห์ดว้ ยแสง • ฟังไจเป็นสิง่ มชี ีวิตพวกยูคาริโอต มที งั้ สิง่ มชี ีวติ เซลลเ์ ดียวและหลายเซลล์ เซลล์ของฟงั ไจยังไม่ พฒั นาไปเป็นเนือ้ เยอ่ื ผนงั เซลล์มีไคทนิ เป็น องคป์ ระกอบสำคญั ฟงั ไจสรา้ งอาหารเองไมไ่ ดแ้ ละ ดำรงชีวิตแบบผ้สู ลายสารอนิ ทรยี ห์ รอื แบบปรสติ • สตั ว์เป็นสิ่งมีชวี ติ หลายเซลลพ์ วกยคู ารโิ อต ไม่สามารถสรา้ งอาหารเองไดต้ อ้ งได้รบั อาหาร จากสง่ิ มชี วี ิตอน่ื ส่วนใหญ่มีระบบย่อยอาหาร บางชนดิ อาจเปน็ ปรสิต สัตวม์ ีระยะเอม็ บริโอ ในการสืบพนั ธ์ุแบบอาศัยเพศ • สตั ว์อาจแบ่งเปน็ กลุม่ ยอ่ ยโดยพิจารณาลักษณะ ต่าง ๆ คอื เนอ้ื เยอ่ื สมมาตร การเปล่ียนแปลงของ บลาสโทพอร์ การเจริญในระยะตวั อ่อน ทำให้ อาจแบ่งสตั วเ์ ป็นกลมุ่ ย่อย เชน่ กลมุ่ ฟองน้ำ กลุ่มไฮดรา กลุ่มหนอนตัวแบน กลุ่มหอยและ หมึก กลมุ่ ไส้เดอื นดิน กลมุ่ หนอนตัวกลม กลุ่มสัตว์ทีม่ ีขาเป็นปลอ้ ง กลุ่มดาวทะเลและ ปลิงทะเล และกลุ่มสตั วท์ มี่ โี นโทคอรด์ ตัวชวี้ ดั และสาระการเรียนรแู้ กนกลาง กลุม่ สาระการเรียนร้วู ิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) 145 ตามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาข้นั พื้นฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑
ชั้น ผลการเรียนร ู้ สาระการเรยี นรเู้ พมิ่ เติม ๔. อธิบาย และยกตัวอย่างการจำแนกสง่ิ มชี ีวิต • การจำแนกสง่ิ มีชีวติ ออกเป็นหมวดหมเู่ ป็นลำดบั จากหมวดหมใู่ หญจ่ นถงึ หมวดหมยู่ อ่ ย และวธิ กี าร ขัน้ ตา่ ง ๆ เร่มิ จากหมวดหมใู่ หญแ่ ลว้ แบ่งเปน็ เขยี นชือ่ วิทยาศาสตรใ์ นลำดับขนั้ สปีชีส์ หมวดหมยู่ อ่ ย มดี งั นี้ คงิ ดอม ไฟลมั คลาส ออรเ์ ดอร์ ๕. สรา้ งไดโคโทมสั คียใ์ นการระบสุ ิง่ มีชวี ิตหรอื แฟมลิ ี จีนัส และสปีชีส์ ตัวอย่างทก่ี ำหนดออกเป็นหมวดหม ู่ • ชอ่ื วิทยาศาสตร์ของสิง่ มีชีวิตในลำดบั ขน้ั สปีชีส ์ ท่ตี ้งั ขึ้นตามระบบทวินามเพือ่ ใช้ในการระบุถึง สง่ิ มชี วี ติ แตล่ ะชนดิ ใหม้ คี วามเขา้ ใจถกู ตอ้ งตรงกนั ประกอบด้วย ๒ สว่ น โดยส่วนแรกเป็น ช่อื สกุล ส่วนหลังเปน็ คำทรี่ ะบลุ ักษณะพิเศษของสิ่งมีชวี ติ ชนดิ นนั้ หรือเป็นคำท่มี คี วามหมายเฉพาะ โดยท้งั ๒ สว่ นน้ตี อ้ งเปน็ ภาษาละติน • ไดโคโทมัสคยี ์เป็นเคร่ืองมือทใ่ี ชเ้ พื่อระบหุ มวดหมู่ ของสง่ิ มชี ีวิตลำดบั ขนั้ ตา่ ง ๆ โดยมหี ลกั เกณฑ ์ ในการนำลกั ษณะท่ตี า่ งกนั ของส่ิงมชี ีวติ มาพิจารณาเป็นคู ่ • วทิ เทเกอร์ เสนอแนวความคิดทวี่ า่ สงิ่ มีชีวติ พวก ยูคาริโอตมวี วิ ัฒนาการมาจากสงิ่ มชี วี ิตพวก โพรคารโิ อต และจำแนกสิ่งมชี วี ติ เป็น ๕ คิงดอม ประกอบดว้ ย มอเนอรา โพรทิสตา พืช ฟังไจ และสัตว ์ • โวสซ์ และคณะ จำแนกส่งิ มชี ีวติ เป็น ๓ โดเมน ประกอบดว้ ย แบคทีเรยี อาร์เคีย และยูคารีอา โดยแนวความคดิ การจำแนกสงิ่ มชี วี ติ แตล่ ะโดเมน เปน็ กลมุ่ ยอ่ ยจะใชห้ ลกั ทวี่ า่ สงิ่ มชี วี ติ ในกลมุ่ เดยี วกนั มสี ายววิ ัฒนาการมาจากบรรพบรุ ุษรว่ มกัน 146 ตวั ช้วี ัดและสาระการเรียนร้แู กนกลาง กลุ่มสาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑
สาระชีววิทยา ๓. เขา้ ใจสว่ นประกอบของพชื การแลกเปลย่ี นแกส๊ และคายนำ้ ของพชื การลำเลยี งของพชื การสังเคราะห์ด้วยแสง การสืบพันธ์ุของพืชดอกและการเจริญเติบโต และการ ตอบสนองของพืช รวมทง้ั นำความรูไ้ ปใชป้ ระโยชน ์ ชนั้ ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรเู้ พมิ่ เตมิ ม.๔ - - ม.๕ ๑. อธิบายเก่ยี วกับชนดิ และลกั ษณะของเน้อื เยอ่ื พืช • เนอ้ื เยอ่ื พชื แบง่ เปน็ ๒ กลมุ่ ใหญ่ คอื เนอื้ เยอื่ เจรญิ และเขียนแผนผังเพื่อสรุปชนดิ ของเนือ้ เยอ่ื พชื และเนอื้ เย่อื ถาวร • เนื้อเยือ่ เจริญแบ่งเปน็ เน้อื เยื่อเจรญิ สว่ นปลาย เนอื้ เยื่อเจรญิ เหนอื ข้อ และเนื้อเยอ่ื เจรญิ ด้านขา้ ง • เน้ือเยอ่ื ถาวรเปล่ียนแปลงมาจากเนอ้ื เยอ่ื เจรญิ เน้อื เยอ่ื ถาวรอาจแบ่งไดเ้ ป็น ๓ ระบบ คือ ระบบ เนื้อเย่อื ผิว ระบบเนอ้ื เย่ือพ้ืน และระบบเนอื้ เยอื่ ทอ่ ลำเลยี ง ซ่ึงทำหนา้ ทต่ี ่างกนั ๒. สังเกต อธบิ าย และเปรียบเทียบโครงสร้าง • ราก คือ สว่ นแกนของพชื ทโ่ี ดยทั่วไปเจริญอยู่ ภายในของรากพืชใบเลี้ยงเดย่ี วและรากพชื ใตร้ ะดบั ผวิ ดิน ทำหนา้ ทยี่ ึดหรอื คำ้ จนุ ให้พชื ใบเลี้ยงคจู่ ากการตดั ตามขวาง เจรญิ เติบโตอยกู่ ับทไี่ ด้ และยังมีหนา้ ทส่ี ำคญั ใน การดดู นำ้ และธาตอุ าหารในดิน เพอื่ สง่ ไปยังส่วน ต่าง ๆ ของพชื • โครงสรา้ งภายในของปลายรากท่ีตัดตามยาว ประกอบดว้ ย เนอ้ื เยอื่ เจรญิ แบง่ เปน็ บรเิ วณตา่ ง ๆ คอื บริเวณหมวกราก บริเวณเซลลก์ ำลังแบ่งตัว บรเิ วณเซลล์ขยายตัวตามยาว และบริเวณท่เี ซลล์ มีการเปล่ียนแปลงไปทำหน้าท่ีเฉพาะและเจรญิ เตบิ โตเตม็ ท่ ี • โครงสร้างภายในของรากระยะการเตบิ โตปฐมภูมิ เม่อื ตดั ตามขวางจะเหน็ โครงสร้างแบง่ เปน็ ๓ ชน้ั เรยี งจากดา้ นนอกเขา้ ไป คอื ช้ันเอพเิ ดอร์มสิ ชน้ั คอรเ์ ทกซ์ และชั้นสตลี ในชั้นสตีลจะพบ มัดท่อลำเลียงท่มี ลี กั ษณะแตกตา่ งกันใน พชื ใบเลย้ี งเดี่ยวและพืชใบเล้ียงค ู่ ตวั ช้วี ัดและสาระการเรยี นรู้แกนกลาง กลุม่ สาระการเรยี นรูว้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) 147 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑
ชั้น ผลการเรยี นร้ ู สาระการเรียนรเู้ พ่มิ เติม • โครงสรา้ งภายในของรากระยะการเตบิ โตทุตยิ ภมู ิ ช้นั เอพเิ ดอร์มิสจะถกู แทนทีด่ ้วยช้นั เพริเดิร์ม ซึ่งมี คอรก์ เปน็ เน้ือเยื่อสำคญั ช้นั คอร์เทกซอ์ าจมกี าร เปลยี่ นแปลงเกิดเซลลท์ ีท่ ำให้มคี วามแขง็ แรง เพิ่มข้นึ หรือเกดิ เซลลท์ ส่ี ะสมอาหารเพิม่ ขึน้ ส่วนลกั ษณะมดั ท่อลำเลียงจะเปล่ียนไป เนอ่ื งจาก มกี ารสร้างเนอ้ื เยอ่ื ลำเลยี งเพ่มิ ขนึ้ ๓. สังเกต อธบิ าย และเปรียบเทยี บโครงสรา้ ง • ลำตน้ คอื ส่วนแกนของพชื ทโี่ ดยท่วั ไปเจริญ ภายในของลำตน้ พชื ใบเลย้ี งเด่ียวและลำตน้ พชื อย่เู หนือระดับผิวดนิ ถดั ขึน้ มาจากราก ทำหน้าท่ี ใบเลยี้ งคจู่ ากการตดั ตามขวาง สร้างใบและชใู บ ลำเลียงนำ้ ธาตอุ าหาร และ อาหารที่พชื สร้างขนึ้ สง่ ไปยังส่วนต่าง ๆ • โครงสรา้ งภายในของลำตน้ ระยะการเตบิ โตปฐมภมู ิ เมอ่ื ตดั ตามขวางจะเห็นโครงสรา้ งแบง่ เปน็ ๓ ชน้ั เรียงจากดา้ นนอกเขา้ ไป คือ ช้นั เอพเิ ดอร์มสิ ชัน้ คอรเ์ ทกซ์ และชน้ั สตลี ซง่ึ ชน้ั สตีลจะพบมดั ทอ่ ลำเลยี งทมี่ ีลกั ษณะแตกตา่ งกนั ในพชื ใบเลยี้ งเดีย่ ว และพชื ใบเล้ียงค ู่ • ลำต้นในระยะการเตบิ โตทตุ ยิ ภมู ิ จะมีเสน้ รอบวง เพมิ่ ขนึ้ และมโี ครงสรา้ งแตกตา่ งจากเดมิ เนอื่ งจาก มกี ารสร้างเนอื้ เย่ือเพริเดิรม์ และเนอ้ื เย่อื ทอ่ ลำเลยี งทตุ ยิ ภมู เิ พ่ิมขนึ้ ๔. สงั เกต และอธบิ ายโครงสรา้ งภายในของใบพืช • ใบมีหน้าทส่ี งั เคราะห์ดว้ ยแสง แลกเปล่ยี นแกส๊ จากการตดั ตามขวาง และคายนำ้ ใบของพชื ดอกประกอบด้วย ก้านใบ แผ่นใบ เส้นกลางใบ และเสน้ ใบ พชื บางชนดิ อาจ ไม่มกี า้ นใบ ท่โี คนก้านใบอาจพบหรอื ไม่พบหใู บ • โครงสรา้ งภายในของใบตดั ตามขวาง ประกอบดว้ ย เนือ้ เย่อื ๓ กล่มุ ได้แก่ เอพิเดอร์มิส มโี ซฟิลล์ และเนื้อเยือ่ ทอ่ ลำเลยี ง ๕. สบื ค้นขอ้ มูล สังเกต และอธบิ ายการแลกเปลย่ี น • พชื มกี ารแลกเปลีย่ นแกส๊ และการคายน้ำผา่ นทาง แกส๊ และการคายน้ำของพืช ปากใบเปน็ ส่วนใหญ่ ปากใบพบไดท้ ่ีใบและ ลำต้นออ่ น เมือ่ ความช้ืนสัมพัทธใ์ นอากาศ ภายนอกตำ่ กว่าความช้นื สมั พัทธ์ภายในใบพชื ทำให้นำ้ ภายในใบพืชระเหยเป็นไอออกมาทาง รปู ากใบ เรยี กว่า การคายนำ้ 148 ตัวช้วี ัดและสาระการเรยี นรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พนื้ ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑
ช้นั ผลการเรยี นรู้ สาระการเรยี นรเู้ พิ่มเติม • ความช้นื ในอากาศ ลม อุณหภมู ิ สภาพน้ำในดนิ ความเขม้ ของแสง เปน็ ปจั จัยท่ีมผี ลต่อการคายนำ้ ของพืช ๖. สบื ค้นขอ้ มูล และอธิบายกลไกการลำเลียงน้ำ • พืชดดู น้ำและธาตอุ าหารต่าง ๆ จากดนิ โดยเซลล์ และธาตอุ าหารของพชื ขนรากแลว้ ลำเลยี งผ่านชนั้ คอรเ์ ทกซ์เขา้ สู่ ๗. สบื คน้ ขอ้ มลู อธบิ ายความสำคัญของธาตอุ าหาร เนอ้ื เยอ่ื ลำเลยี งนำ้ ในชน้ั สตลี ซง่ึ เปน็ การดดู นำ้ จากดนิ และยกตวั อยา่ งธาตุอาหารทสี่ ำคญั ท่ีมผี ลต่อ สู่เน้อื เย่อื ลำเลยี งนำ้ ในแนวระนาบ และลำเลยี ง การเจรญิ เติบโตของพืช ไปยงั สว่ นต่าง ๆ ของพืชในแนวดิง่ • ในสภาวะปกติการลำเลยี งน้ำจากรากส่ยู อด ของพืชอาศยั แรงดงึ จากการคายนำ้ ร่วมกับ แรงโคฮชี นั แรงแอดฮีชนั • ในภาวะทบี่ รรยากาศมคี วามช้นื สมั พัทธส์ งู มาก จนไมส่ ามารถเกดิ การคายนำ้ ไดต้ ามปกติ นำ้ ที่ เขา้ ไปในเซลลร์ ากจะทำใหเ้ กดิ แรงดนั เรยี กว่า แรงดนั ราก ทำใหเ้ กดิ ปรากฏการณ์กัตเตชนั • พืชแตล่ ะชนิดต้องการปริมาณและชนดิ ของ ธาตุอาหารแตกต่างกนั สามารถนำความร้ ู เกย่ี วกบั สมบตั ขิ องธาตอุ าหารชนดิ ตา่ ง ๆ ทมี่ ผี ลตอ่ การเจริญเติบโตของพชื ในสารละลายธาตอุ าหาร เพอ่ื ใหพ้ ืชเจรญิ เตบิ โตไดต้ ามท่ีตอ้ งการ ๘. อธิบายกลไกการลำเลียงอาหารในพืช • อาหารทไี่ ด้จากกระบวนการสังเคราะหด์ ว้ ยแสง จากแหลง่ สรา้ ง จะถูกเปล่ยี นแปลงเป็นซูโครส และลำเลยี งผา่ นทางทอ่ โฟลเอ็ม โดยอาศัยกลไก การลำเลยี งอาหารในพชื ซ่งึ เกี่ยวขอ้ งกบั แรงดันนำ้ ไปยังแหล่งรับ ๙. สบื คน้ ข้อมลู และสรุปการศึกษาทไี่ ด้จากการ • การศึกษาค้นคว้าของนักวทิ ยาศาสตร์ในอดีต ทดลองของนักวิทยาศาสตรใ์ นอดีตเกยี่ วกบั ทำใหไ้ ดค้ วามร้เู ก่ยี วกับกระบวนการสงั เคราะห์ กระบวนการสังเคราะหด์ ว้ ยแสง ด้วยแสงมาเป็นลำดบั ข้ันจนไดข้ ้อสรปุ วา่ คาร์บอนไดออกไซด์ และน้ำ เปน็ วตั ถดุ ิบทีพ่ ืชใช ้ ในกระบวนการสังเคราะหด์ ว้ ยแสง และผลผลิต ทีไ่ ด้ คือ นำ้ ตาล ออกซเิ จน ตัวชว้ี ัดและสาระการเรยี นรู้แกนกลาง กลมุ่ สาระการเรียนร้วู ทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) 149 ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้ันพ้นื ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑
ชั้น ผลการเรยี นร ู้ สาระการเรียนรเู้ พิม่ เติม ๑๐. อธิบายขั้นตอนท่ีเกดิ ข้ึนในกระบวนการ • กระบวนการสงั เคราะหด์ ้วยแสงมี ๒ ข้ันตอน คอื สังเคราะห์ด้วยแสงของพืช C3 ปฏิกริ ิยาแสง และการตรงึ คารบ์ อนไดออกไซด ์ • ปฏกิ ิรยิ าแสงเป็นปฏกิ ริ ิยาที่เปลี่ยนพลงั งานแสง เป็นพลงั งานเคมี โดยแสงออกซิไดส์โมเลกุลสารสี ทไ่ี ทลาคอยดข์ องคลอโรพลาสต์ ทำให้เกดิ การ ถ่ายทอดอิเลก็ ตรอน ได้ผลติ ภณั ฑ์เปน็ ATP และ NADPH+ H+ ในสโตรมาของคลอโรพลาสต์ • การตรงึ คารบ์ อนไดออกไซด์ เกดิ ในสโตรมา โดยใช้ RuBP และเอนไซม์รูบิสโก ไดส้ ารที่ประกอบดว้ ย คาร์บอน ๓ อะตอม คอื PGA โดยใช้ ATP และ NADPH ท่ไี ด้จากปฏิกิรยิ าแสงไปรดี ิวซ์ สารประกอบคาร์บอน ๓ อะตอม ได้เป็นน้ำตาล ทมี่ ีคาร์บอน ๓ อะตอม คอื PGAL ซงึ่ สว่ นหนึง่ จะถูกนำไปสร้าง RuBP กลบั คืนเป็นวัฏจักร โวดฏั ยจพักืชรคCลั 3วจนิ ะเพมีกยี งาอรตยรา่ ึงงคเดายีรวบ์ อนไดออกไซด์ดว้ ย ๑๑. เปรียบเทยี บกลไกการตรงึ คาร์บอนไดออกไซด์ • พเกืชดิ Cขนึ้4 ทตรเ่ี ซึงลคลารม์ ์บโี ซอฟนลิ อลน์ ินโดทยรียP์ E๒P ครัง้ ครงั้ แรก ในพืช C3 พืช C4 และ พืช CAM และเอนไซม์ เพบคาร์บอกซเิ ลส ไดส้ ารประกอบท่มี คี ารบ์ อน ๔ อะตอม คือ OAA ซ่ึงจะมกี ารเปลีย่ นแปลง ทางเคมไี ด้สารประกอบทีม่ ีคารบ์ อน ๔ อะตอม คอื กรดมาลิก ซงึ่ จะถูกลำเลียงไปจนถึงเซลล ์ บนั เดิลชที และปลอ่ ยคาร์บอนไดออกไซด ์ ในคลอโรพลาสต์เพ่ือใชใ้ นวฏั จกั รคลั วินต่อไป • พืช CAM มีกลไกในการตรงึ คาร์บอนไดออกไซด์ คทลั้งา้ ๒ยพคชืร้งั Cใน4 เแซตล่มลีกเ์ ดาียรตวกรงึนั คโาดรย์บเอซนลอลน์มินกี าทรรตยี ร ์ ึง คารบ์ อนอนนิ ทรยี ์ครงั้ แรกในเวลากลางคนื และปลอ่ ยออกมาในเวลากลางวันเพอ่ื ใชใ้ น วฏั จกั รคัลวนิ ต่อไป ๑๒. สบื คน้ ขอ้ มลู อภปิ ราย และสรปุ ปจั จยั ความเขม้ • ปัจจยั ท่มี ีผลตอ่ การสงั เคราะหด์ ้วยแสง เช่น ของแสง ความเข้มขน้ ของคาร์บอนไดออกไซด์ ความเข้มของแสง ความเขม้ ข้นของ และอณุ หภมู ิ ทม่ี ีผลตอ่ การสงั เคราะหด์ ้วยแสง คาร์บอนไดออกไซด์ อณุ หภมู ิ ปรมิ าณน้ำในดิน ของพชื ธาตุอาหาร อายุใบ 150 ตวั ชี้วดั และสาระการเรยี นร้แู กนกลาง กลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พืน้ ฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑
ชน้ั ผลการเรียนรู ้ สาระการเรียนรู้เพ่มิ เตมิ ๑๓. อธบิ ายวัฏจักรชีวิตแบบสลบั ของพชื ดอก • พืชดอกมวี ัฏจักรชวี ติ แบบสลบั ประกอบดว้ ย ๑๔. อธบิ าย และเปรยี บเทียบกระบวนการสร้าง ระยะทีส่ รา้ งสปอร์ เรยี ก ระยะสปอโรไฟต์ (2n) เซลลส์ ืบพนั ธเ์ุ พศผู้และเพศเมยี ของพืชดอก และระยะที่สร้างเซลลส์ ืบพันธุ์ เรยี ก และอธบิ ายการปฏิสนธขิ องพืชดอก ระยะแกมโี ทไฟต์ (n) • สว่ นประกอบของดอกท่ีเกยี่ วขอ้ งกบั การสบื พันธุ์ โดยตรงคอื ช้นั เกสรเพศผูแ้ ละชน้ั เกสรเพศเมีย ซงึ่ จำนวนรงั ไขเ่ กีย่ วข้องกับการเจริญเป็นผล ชนิดต่าง ๆ • พืชดอกสรา้ งไมโครสปอรแ์ ละเมกะสปอร์ ซึ่งอาจ สรา้ งในดอกเดียวกันหรือต่างดอกหรือต่างต้นกนั • การสร้างไมโครสปอร์ของพชื ดอกเกดิ ข้นึ โดย ไมโครสปอรม์ าเทอร์เซลล์แบง่ เซลลแ์ บบ ไมโอซสิ ได้ไมโครสปอร์ โดยไมโครสปอรน์ ้ี แบ่งเซลล์แบบไมโทซสิ ได้ ๒ เซลล์ คือ ทิวบเ์ ซลล์ และเจเนอเรทฟิ เซลล์ เม่ือมกี ารถา่ ยเรณไู ปตกบน ยอดเกสรเพศเมยี ทิวบเ์ ซลลจ์ ะงอกหลอดเรณู และเจเนอเรทิฟเซลล์แบ่งไมโทซิสไดเ้ ซลลส์ บื พนั ธ์ุ เพศผู้ ๒ เซลล์ • การสรา้ งเมกะสปอรเ์ กดิ ขึน้ ภายในออวลุ ในรังไข่ โดยเซลลท์ เี่ รียกวา่ เมกะสปอร์มาเทอรเ์ ซลล ์ แบ่งไมโอซิสไดเ้ มกะสปอร์ ซ่งึ ในพืชส่วนใหญ่ จะเจริญพฒั นาต่อไปไดเ้ พียง ๑ เซลล์ ทเ่ี หลอื อีก ๓ เซลล์จะฝ่อ เมกะสปอร์จะแบ่งไมโทซสิ ๓ ครั้ง ได้ ๘ นิวเคลยี ส ทปี่ ระกอบดว้ ย ๗ เซลลโ์ ดยม ี ๑ เซลล์ ที่ทำหนา้ ท่เี ป็นเซลล์สืบพันธ์ุ เรยี ก เซลล์ไข่ ส่วนอกี ๑ เซลลม์ ี ๒ นิวเคลียส เรียก โพลารน์ วิ คลไี อ • การปฏิสนธิของพืชดอกเปน็ การปฏิสนธคิ ู่ โดย คูห่ นงึ่ เปน็ การรวมกนั ของสเปิร์มเซลล์หน่งึ กบั เซลล์ไข่ได้เปน็ ไซโกต ซึง่ จะเจรญิ และพฒั นา ไปเปน็ เอ็มบรโิ อ และอกี ค่หู นึ่งเป็นการรวมกนั ของสเปิร์มอกี เซลล์หนึง่ กับโพลารน์ ิวคลไี อ ไดเ้ ปน็ เอนโดสเปริ ม์ นวิ เคลยี ส ซง่ึ จะเจรญิ และพฒั นา ต่อไปเปน็ เอนโดสเปิร์ม ตวั ชี้วัดและสาระการเรียนรแู้ กนกลาง กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) 151 ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑
ช้ัน ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรูเ้ พิ่มเตมิ ๑๕. อธบิ ายการเกดิ เมลด็ และการเกดิ ผลของพชื ดอก • ภายหลงั การปฏิสนธิ ออวลุ จะมกี ารเจริญ โครงสรา้ งของเมลด็ และผล และยกตวั อยา่ ง และพฒั นาไปเป็นเมลด็ และรงั ไข่จะมีการเจรญิ การใชป้ ระโยชนจ์ ากโครงสรา้ งตา่ ง ๆ ของเมลด็ และพัฒนาไปเป็นผล และผล • โครงสรา้ งของเมล็ดประกอบด้วย เปลือกเมล็ด เอม็ บริโอ และเอนโดสเปิร์ม โครงสร้างของผล ประกอบด้วย ผนงั ผล และเมลด็ ซง่ึ แต่ละสว่ น ของโครงสรา้ งจะมปี ระโยชน์ตอ่ พชื เองและตอ่ สง่ิ มชี ีวิตอ่นื ๑๖. ทดลอง และอธบิ ายเก่ียวกับปัจจยั ตา่ ง ๆ ที่มี • เมล็ดทเี่ จรญิ เตม็ ทจ่ี ะมกี ารงอกโดยมปี ัจจยั ตา่ ง ๆ ผลตอ่ การงอกของเมลด็ สภาพพกั ตวั ของเมลด็ ทีม่ ีผลตอ่ การงอกของเมลด็ เช่น นำ้ หรือความชน้ื และบอกแนวทางในการแกส้ ภาพพักตวั ออกซเิ จน อณุ หภูมิ และแสง เมล็ดบางชนิด ของเมล็ด สามารถงอกไดท้ นั ที แตเ่ มลด็ บางชนดิ ไมส่ ามารถ งอกไดท้ นั ทเี พราะอยูใ่ นสภาพพกั ตวั • เมล็ดบางชนดิ มสี ภาพพักตวั เนอ่ื งจากมีปจั จัย บางประการทมี่ ผี ลยบั ยั้งการงอกของเมล็ด ซึ่งสภาพพกั ตัวของเมลด็ สามารถแกไ้ ขได้หลายวิธี ตามปจั จยั ทยี่ ับยงั้ ๑๗. สืบคน้ ขอ้ มลู อธิบายบทบาทและหน้าทีข่ อง • พชื สร้างสารควบคุมการเจริญเติบโตหลายชนดิ ออกซนิ ไซโทไคนนิ จบิ เบอเรลลิน เอทลิ นี ทสี่ ว่ นต่าง ๆ ซ่ึงสารนเี้ ปน็ สิง่ เรา้ ภายในท่ีมผี ล และกรดแอบไซซิก และอภิปรายเก่ียวกบั ตอ่ การเจรญิ เตบิ โตของพชื เชน่ ออกซนิ ไซโทไคนนิ การนำไปใช้ประโยชนท์ างการเกษตร จิบเบอเรลลิน เอทลิ ีน และกรดแอบไซซกิ ๑๘. สบื คน้ ขอ้ มูล ทดลอง และอภปิ รายเกี่ยวกับ • แสงสว่าง แรงโน้มถ่วงของโลก สารเคมี และนำ้ สง่ิ เร้าภายนอกทม่ี ผี ลตอ่ การเจริญเติบโต เป็นสง่ิ เร้าภายนอกทมี่ ีผลตอ่ การเจรญิ เติบโต ของพืช ของพืช • ความรูเ้ ก่ียวกับการตอบสนองต่อสงิ่ เรา้ ภายใน และส่ิงเร้าภายนอกทีม่ ีผลต่อการเจรญิ เติบโต ของพชื สามารถนำมาประยุกตใ์ ช้ควบคมุ การเจรญิ เตบิ โตของพืช เพมิ่ ผลผลติ และยืดอายุ ผลผลิตได ้ ม.๖ - - 152 ตวั ชี้วดั และสาระการเรียนรูแ้ กนกลาง กลุม่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พ้นื ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑
สาระชีววิทยา ๔. เข้าใจการย่อยอาหารของสัตว์และมนุษย์ การหายใจและการแลกเปล่ียนแก๊ส การลำเลยี งสารและการหมนุ เวยี นเลอื ด ภมู คิ มุ้ กนั ของรา่ งกาย การขบั ถา่ ย การรบั ร้ ู และการตอบสนอง การเคล่ือนที่ การสืบพันธุ์และการเจริญเติบโต ฮอร์โมนกับ การรักษาดลุ ยภาพ และพฤติกรรมของสัตว์ รวมท้ังนำความรไู้ ปใช้ประโยชน์ ชัน้ ผลการเรยี นร ู้ สาระการเรียนรู้เพ่ิมเติม ม.๔ - - ม.๕ ๑. สบื คน้ ขอ้ มลู อธบิ าย และเปรยี บเทยี บโครงสรา้ ง • รา มีการปล่อยเอนไซม์ออกมาย่อยอาหาร และกระบวนการยอ่ ยอาหารของสัตว์ที่ไมม่ ี นอกเซลล์ ส่วนอะมบี าและพารามีเซียมมกี ารย่อย ทางเดินอาหาร สตั ว์ทมี่ ที างเดินอาหาร อาหารภายในฟูดแวคิวโอลโดยเอนไซม์ใน แบบไมส่ มบูรณ์ และสตั วท์ มี่ ที างเดนิ อาหาร ไลโซโซม แบบสมบรู ณ์ • ฟองน้ำ ไมม่ ที างเดนิ อาหารแต่จะมเี ซลล์พิเศษ ๒. สงั เกต อธิบาย การกนิ อาหารของไฮดรา ทำหนา้ ทจ่ี บั อาหารเขา้ สเู่ ซลลแ์ ลว้ ยอ่ ยภายในเซลล์ และพลานาเรีย โดยเอนไซม์ในไลโซโซม • ไฮดราและพลานาเรยี มที างเดินอาหาร แบบไมส่ มบรู ณ์ จะกินอาหารและขับกากอาหาร ออกทางเดียวกัน • ไสเ้ ดอื นดนิ แมลง สตั วไ์ มม่ กี ระดกู สนั หลงั สว่ นใหญ่ และสตั ว์มกี ระดกู สนั หลงั จะมีทางเดนิ อาหาร แบบสมบรู ณ ์ ๓. อธิบายเก่ยี วกับโครงสร้าง หน้าท่ี และ • การย่อยอาหารของมนษุ ย์ประกอบด้วย การยอ่ ย กระบวนการย่อยอาหาร และการดูดซมึ เชงิ กลโดยการบดอาหารใหม้ ีขนาดเลก็ ลง และ สารอาหารภายในระบบยอ่ ยอาหารของมนุษย ์ การยอ่ ยทางเคมีโดยอาศยั เอนไซม์ในทางเดิน อาหาร ทำใหโ้ มเลกลุ ของอาหารมขี นาดเลก็ จนเซลล์สามารถดูดซึมและนำไปใช้ได ้ • การย่อยอาหารของมนษุ ย์เกดิ ข้นึ ทชี่ ่องปาก กระเพาะอาหาร และลำไสเ้ ลก็ • สารอาหารท่ยี อ่ ยแล้ว วิตามินบางชนิด และ ธาตอุ าหารจะถกู ดดู ซมึ ทว่ี ลิ ลสั เขา้ สหู่ ลอดเลอื ดฝอย แล้วผ่านตับกอ่ นเขา้ สหู่ วั ใจ ส่วนสารอาหาร ประเภทลิพิดและวิตามนิ ทล่ี ะลายในไขมัน จะถกู ดูดซึมเขา้ ส่หู ลอดนำ้ เหลืองฝอย ตัวช้ีวัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) 153 ตามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาข้นั พื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑
ช้นั ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรเู้ พม่ิ เติม • อาหารทไี่ มถ่ ูกยอ่ ยหรอื ย่อยไมไ่ ดจ้ ะเคลื่อนต่อไป ยังลำไส้ใหญ่ นำ้ ธาตุอาหาร และวิตามนิ บางส่วน ดดู ซมึ เขา้ สผู่ นังลำไส้ใหญ่ ทเ่ี หลือเป็นกากอาหาร จะถูกกำจดั ออกทางทวารหนัก ๔. สบื คน้ ขอ้ มลู อธบิ าย และเปรยี บเทยี บโครงสรา้ ง • ไส้เดือนดนิ มีการแลกเปลย่ี นแกส๊ ผา่ นเซลล์บรเิ วณ ทท่ี ำหนา้ ที่แลกเปล่ยี นแก๊สของฟองน้ำ ไฮดรา ผวิ หนังทเี่ ปยี กชื้น พลานาเรีย ไสเ้ ดอื นดนิ แมลง ปลา กบ และนก • แมลงมีการแลกเปลยี่ นแก๊สโดยผ่านทางทอ่ ลม ๕. สงั เกต และอธบิ ายโครงสรา้ งของปอดในสตั ว์ ซึง่ แตกแขนงเปน็ ท่อลมฝอย เลย้ี งลูกดว้ ยนำ้ นม • ปลาเปน็ สัตว์นำ้ มกี ารแลกเปลี่ยนแก๊สทล่ี ะลาย อยใู่ นนำ้ ผา่ นเหงอื ก • สตั ว์สะเทินนำ้ สะเทินบกใช้ปอดและผวิ หนงั ในการแลกเปลยี่ นแก๊ส • สตั ว์เล้ือยคลาน สัตว์ปีก และสัตว์เล้ียงลกู ด้วยน้ำนมอาศยั ปอดในการแลกเปล่ยี นแก๊ส ๖. สบื คน้ ข้อมลู อธบิ ายโครงสร้างทีใ่ ช้ในการ • ทางเดินหายใจของมนุษยป์ ระกอบดว้ ย ชอ่ งจมกู แลกเปล่ียนแกส๊ และกระบวนการแลกเปลีย่ น โพรงจมูก คอหอย กลอ่ งเสยี ง ทอ่ ลม หลอดลม แกส๊ ของมนุษย ์ และถุงลมในปอด ๗. อธบิ ายการทำงานของปอด และทดลองวดั • ปอดเปน็ บริเวณทม่ี กี ารแลกเปลยี่ นแก๊สระหวา่ ง ปริมาตรของอากาศในการหายใจออกของมนุษย ์ ถุงลมกบั หลอดเลือดฝอย และบริเวณเซลล์ของ เนื้อเยอื่ ตา่ ง ๆ มีการแลกเปลย่ี นแกส๊ โดยการ แพร่ผ่านหลอดเลอื ดฝอยเชน่ กนั • การหายใจเขา้ และการหายใจออกเกดิ จาก การเปลยี่ นแปลงความดนั ของอากาศภายในปอด โดยการทำงานร่วมกนั ของกลา้ มเน้อื กะบังลม และกลา้ มเน้ือระหว่างกระดกู ซโ่ี ครง และควบคุม โดยสมองสว่ นพอนส์และเมดลั ลาออบลองกาตา ๘. สบื ค้นขอ้ มูล อธบิ าย และเปรยี บเทียบระบบ • สง่ิ มีชวี ิตเซลล์เดยี วและสัตว์ท่ีมีโครงสรา้ งรา่ งกาย หมุนเวยี นเลอื ดแบบเปดิ และระบบหมนุ เวียน ไม่ซับซอ้ นมกี ารลำเลยี งสารตา่ ง ๆ โดยการแพร่ เลอื ดแบบปดิ ระหวา่ งเซลล์กับสิ่งแวดลอ้ ม ๙. สังเกต และอธิบายทิศทางการไหลของเลือด • สตั วท์ ม่ี โี ครงสรา้ งรา่ งกายซบั ซอ้ นจะมกี ารลำเลยี ง และการเคล่อื นทีข่ องเซลลเ์ มด็ เลือดในหางปลา สารโดยระบบหมุนเวยี นเลอื ด ซึ่งประกอบดว้ ย และสรปุ ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งขนาดของหลอดเลอื ด หวั ใจ หลอดเลือด และเลอื ด กับความเร็วในการไหลของเลอื ด 154 ตวั ชีว้ ดั และสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพืน้ ฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑
ช้นั ผลการเรยี นรู ้ สาระการเรียนรเู้ พ่มิ เติม • ระบบหมุนเวยี นเลือดมี ๒ แบบ คอื ระบบ ๑๐. อธิบายโครงสรา้ งและการทำงานของหวั ใจ หมนุ เวยี นเลอื ดแบบเปดิ และระบบหมนุ เวยี นเลอื ด และหลอดเลือดในมนุษย ์ แบบปิด • ระบบหมุนเวียนเลือดแบบเปิดพบในสตั วจ์ ำพวก ๑๑. สงั เกต และอธิบายโครงสรา้ งหวั ใจของสตั ว์ หอย แมลง กงุ้ ส่วนระบบหมุนเวียนเลอื ดแบบปดิ เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม ทศิ ทางการไหลของเลือด พบในไส้เดือนดินและสตั ว์มีกระดกู สนั หลัง ผา่ นหัวใจของมนุษย์ และเขียนแผนผังสรปุ • ระบบหมนุ เวยี นเลอื ดของมนุษย์ ประกอบด้วย การหมนุ เวยี นเลอื ดของมนษุ ย์ หัวใจ หลอดเลือด และเลือด ซึง่ เลอื ดไหลเวยี น อยู่เฉพาะในหลอดเลอื ด ๑๒. สืบคน้ ขอ้ มลู ระบคุ วามแตกต่างของ • หวั ใจมีเอเตรยี มทำหนา้ ท่รี บั เลอื ดเข้าสหู่ ัวใจ และ เซลล์เมด็ เลอื ดแดง เซลล์เมด็ เลอื ดขาว เวนตรเิ คิลทำหนา้ ท่สี บู ฉีดเลือดออกจากหัวใจ เพลตเลต และพลาสมา โดยมลี ้นิ กัน้ ระหว่างเอเตรียมกบั เวนตรเิ คิล และ ระหว่างเวนตริเคลิ กบั หลอดเลอื ดที่นำเลอื ด ๑๓. อธบิ ายหมู่เลือดและหลักการใหแ้ ละรบั เลือด ออกจากหัวใจ ในระบบ ABO และระบบ Rh • เลอื ดออกจากหัวใจทางหลอดเลอื ดเอออตาร์ อารเ์ ตอรี อารเ์ ตอรโิ อล หลอดเลอื ดฝอย เวนลู เวน และเวนาคาวา แลว้ เข้าสู่หวั ใจ • ขณะทีห่ ัวใจบีบตวั สบู ฉดี เลือด ทำให้เกดิ ความดนั เลอื ดและชีพจร สภาพการทำงาน ของร่างกาย อายุ และเพศของมนษุ ย์ เปน็ ปัจจยั ทีม่ ผี ลตอ่ ความดันเลือดและชีพจร • เลอื ดมนษุ ยป์ ระกอบดว้ ยเซลลเ์ มด็ เลอื ดชนดิ ตา่ ง ๆ เพลตเลต และพลาสมา ซง่ึ ทำหน้าทีแ่ ตกต่างกนั • หมเู่ ลอื ดของมนษุ ยจ์ ำแนกตามระบบ ABO ไดเ้ ปน็ เลือดหมู่ A B AB และ O ซึง่ เรยี กช่ือตามชนดิ ของแอนติเจนทเ่ี ย่ือห้มุ เซลล์เม็ดเลอื ดแดง และจำแนกตามระบบ Rh ได้เปน็ เลือดหมู่ Rh+ และ Rh- การให้และรบั เลอื ดมีหลักวา่ แอนตเิ จน ของผใู้ หต้ อ้ งไม่ตรงกบั แอนตบิ อดีของผรู้ ับ และ การใหแ้ ละรบั เลอื ดทีเ่ หมาะสมท่สี ดุ คอื ผใู้ ห้ และผูร้ บั ควรมเี ลอื ดหมู่ตรงกนั ตวั ชวี้ ดั และสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) 155 ตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พ้ืนฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑
ชน้ั ผลการเรียนรู ้ สาระการเรียนรู้เพม่ิ เตมิ ๑๔. อธิบาย และสรปุ เกยี่ วกับสว่ นประกอบและ • ของเหลวทซี่ ึมผา่ นผนังหลอดเลอื ดฝอยออกมา หนา้ ท่ีของน้ำเหลือง รวมทัง้ โครงสรา้ งและ อยูร่ ะหว่างเซลล์ เรยี กวา่ น้ำเหลือง ทำหนา้ ท่ี หน้าท่ขี องหลอดนำ้ เหลอื ง และตอ่ มน้ำเหลอื ง หลอ่ เลีย้ งเซลลแ์ ละสามารถแพรเ่ ขา้ ส่ ู หลอดนำ้ เหลอื งฝอย ซง่ึ ตอ่ มาหลอดนำ้ เหลอื งฝอย จะรวมกนั มีขนาดใหญ่ข้ึนและเปดิ เขา้ ส่รู ะบบ หมนุ เวยี นเลอื ดทห่ี ลอดเลือดเวนใกลห้ วั ใจ • ระบบน้ำเหลอื งประกอบดว้ ย น้ำเหลอื ง หลอดนำ้ เหลอื ง และตอ่ มนำ้ เหลอื ง โดยทำหนา้ ท่ ี นำนำ้ เหลอื งกลับเข้าสูร่ ะบบหมนุ เวยี นเลอื ด ต่อมนำ้ เหลืองเปน็ ทีอ่ ยู่ของเซลลเ์ ม็ดเลอื ดขาว ทำหนา้ ทท่ี ำลายส่ิงแปลกปลอมทลี่ ำเลียงมากบั นำ้ เหลือง ๑๕. สืบค้นขอ้ มลู อธิบาย และเปรียบเทียบกลไก • กลไกทร่ี า่ งกายตอ่ ต้านหรือทำลายส่ิงแปลกปลอม การต่อตา้ นหรอื ทำลายส่ิงแปลกปลอม มอี ยู่ ๒ แบบ คอื แบบจำเพาะและแบบไมจ่ ำเพาะ แบบไม่จำเพาะและแบบจำเพาะ • ตอ่ มไขมัน ตอ่ มเหงือ่ ท่ผี ิวหนงั ช่วยปอ้ งกนั และ ๑๖. สบื ค้นข้อมูล อธิบาย และเปรยี บเทยี บ ยบั ยัง้ การเจริญของจุลนิ ทรยี ์บางชนิด และเมอ่ื การสร้างภมู ิคมุ้ กันก่อเองและภมู ิคุ้มกันรบั มา เชื้อโรคหรือส่ิงแปลกปลอมเขา้ สรู่ ่างกาย เซลล์ ๑๗. สบื คน้ ขอ้ มลู และอธบิ ายเกย่ี วกบั ความผดิ ปกติ เมด็ เลอื ดขาวชนดิ นวิ โทรฟลิ และโมโนไซต์ ของระบบภูมคิ ุม้ กนั ที่ทำใหเ้ กดิ เอดส์ ภมู ิแพ้ จะมีการตอ่ ตา้ นและทำลายสงิ่ แปลกปลอม การสร้างภูมติ ้านทานต่อเนือ้ เย่อื ตนเอง โดยกระบวนการฟาโกไซโทซิส สว่ นอีโอซิโนฟิล เกี่ยวข้องกบั การทำลายปรสติ เบโซฟิลเก่ียวขอ้ ง กับปฏกิ ริ ิยาการแพ้ ซึง่ เปน็ การตอ่ ต้านหรอื ทำลายส่งิ แปลกปลอมแบบไม่จำเพาะ • การต่อต้านหรอื ทำลายสิ่งแปลกปลอมแบบ จำเพาะจะเก่ียวขอ้ งกบั การทำงานของลิมโฟไซต์ ชนดิ เซลลบ์ ีและเซลลท์ ี • อวัยวะท่เี กยี่ วขอ้ งกับการสรา้ งและตอบสนอง ของลมิ โฟไซตป์ ระกอบดว้ ย ตอ่ มนำ้ เหลอื ง ทอนซลิ ม้าม ไทมัส และเนือ้ เยอื่ นำ้ เหลอื งทผ่ี นงั ลำไสเ้ ลก็ • การสรา้ งภูมคิ มุ้ กนั แบบจำเพาะของร่างกาย มี ๒ แบบ คอื ภมู คิ ุม้ กนั ก่อเองและภูมคิ มุ้ กนั รับมา • การได้รับวัคซีนหรือทอกซอยดเ์ ป็นตวั อย่างของ ภมู ิคมุ้ กันก่อเอง โดยการกระตนุ้ ใหร้ ่างกาย สรา้ งภมู คิ มุ้ กนั ขนึ้ ดว้ ยวธิ กี ารใหส้ ารทเ่ี ปน็ แอนตเิ จน เขา้ สรู่ ่างกาย ส่วนภูมิคมุ้ กันรับมาเป็นการรับ แอนตบิ อดโี ดยตรง เชน่ การได้รบั ซรี ัม การได้รบั นำ้ นมแม ่ 156 ตวั ช้วี ดั และสาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง กลุม่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑
ช้นั ผลการเรียนร ู้ สาระการเรียนรูเ้ พ่ิมเติม • เอดส์ ภมู แิ พ้ และการสรา้ งภมู ติ า้ นทานตอ่ เนอ้ื เยอ่ื ตนเอง เป็นตัวอยา่ งของอาการท่เี กดิ จากระบบ ภูมคิ มุ้ กนั ของร่างกายทท่ี ำงานผดิ ปกติ ๑๘. สบื คน้ ขอ้ มูล อธิบาย และเปรียบเทยี บ • อะมบี า และพารามเี ซยี มเปน็ สิง่ มีชีวติ เซลลเ์ ดียว โครงสรา้ งและหนา้ ท่ใี นการกำจดั ของเสีย ที่มีคอนแทรกไทล์แวควิ โอลทำหนา้ ที่ในการกำจัด ออกจากรา่ งกายของฟองนำ้ ไฮดรา พลานาเรยี และรกั ษาดลุ ยภาพของนำ้ และแร่ธาตใุ นเซลล์ ไสเ้ ดือนดิน แมลง และสตั ว์มกี ระดูกสันหลัง • ฟองนำ้ และไฮดรามีเซลล์สว่ นใหญ่สมั ผสั กบั น้ำ โดยตรง ของเสียจงึ ถกู กำจัดออกโดยการแพร่สู่ สภาพแวดล้อม • พลานาเรยี ใช้เฟลมเซลลซ์ ่งึ กระจายอยู่ ๒ ข้าง ตลอดความยาวของลำตวั ทำหนา้ ทขี่ บั ถา่ ยของเสยี • ไสเ้ ดอื นดนิ ใชเ้ นฟริเดียม แมลงใช้มัลพิเกียนทวิ บูล และสัตว์มีกระดูกสนั หลังใช้ไตในการขบั ถ่าย ของเสยี ๑๙. อธิบายโครงสร้างและหนา้ ทีข่ องไต และ • ไตเป็นอวยั วะท่ที ำหน้าท่เี กีย่ วกับการขับถ่าย โครงสร้างที่ใช้ลำเลยี งปัสสาวะออกจาก และรักษาดุลยภาพของน้ำและแร่ธาตใุ นรา่ งกาย ร่างกาย • ไตประกอบดว้ ยบริเวณสว่ นนอก ท่ีเรยี กว่า ๒๐. อธบิ ายกลไกการทำงานของหนว่ ยไต ในการ คอร์เทก็ ซ์ และบรเิ วณสว่ นใน ทเ่ี รียกว่า เมดัลลา กำจัดของเสียออกจากรา่ งกาย และเขียน และบริเวณสว่ นปลายของเมดัลลาจะยืน่ เขา้ ไป แผนผังสรปุ ข้นั ตอนการกำจดั ของเสยี จรดกับสว่ นทเ่ี ปน็ โพรงเรยี กว่า กรวยไต ออกจากร่างกายโดยหน่วยไต โดยกรวยไตจะตอ่ กบั ท่อไตซ่งึ ทำหน้าที่ลำเลียง ๒๑. สบื ค้นข้อมลู อธิบาย และยกตวั อย่างเกยี่ วกับ ปัสสาวะไปเก็บไวท้ ี่กระเพาะปัสสาวะเพอ่ื ขับถา่ ย ความผดิ ปกตขิ องไตอันเนือ่ งมาจากโรคตา่ ง ๆ ออกนอกรา่ งกาย • ไตแต่ละข้างของมนุษย์ประกอบด้วยหน่วยไต ลกั ษณะเปน็ ทอ่ ปลายข้างหนึง่ เปน็ รูปถ้วย เรยี กว่า โบว์แมนสแ์ คปซูล ล้อมรอบกลมุ่ หลอดเลอื ดฝอย ท่ีเรยี กว่า โกลเมอรลู สั • กลไกในการกำจัดของเสียออกจากรา่ งกาย ประกอบด้วยการกรอง การดดู กลับ และการ หล่ังสารทีเ่ กินความต้องการออกจากรา่ งกาย • โรคนว่ิ และโรคไตวายเปน็ ตวั อยา่ งของโรคทเ่ี กดิ จาก ความผดิ ปกตขิ องไต ซงึ่ สง่ ผลกระทบตอ่ การรกั ษา ดุลยภาพของสารในรา่ งกาย ตวั ชี้วดั และสาระการเรยี นรแู้ กนกลาง กล่มุ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) 157 ตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาข้ันพื้นฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑
ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรยี นร้เู พิม่ เติม • นอกจากไตท่ีทำหนา้ รกั ษาดุลยภาพของน้ำแรธ่ าตุ และกรด-เบส ผวิ หนงั และระบบหายใจ ยงั มีส่วน ชว่ ยในการรักษาดุลยภาพเหล่าน้ีด้วย ม.๖ ๑. สบื คน้ ขอ้ มลู อธบิ าย และเปรยี บเทยี บโครงสรา้ ง • สัตว์ส่วนใหญม่ ีระบบประสาททำให้สามารถรับรู้ และหน้าที่ของระบบประสาทของไฮดรา และตอบสนองต่อสิง่ เรา้ ได้ เช่น ไฮดรา มรี า่ งแห พลานาเรยี ไส้เดือนดนิ กุ้ง หอย แมลง ประสาท พลานาเรยี ไสเ้ ดือนดนิ กุ้ง หอย และ และสตั วม์ ีกระดกู สันหลัง แมลงมีปมประสาทและเส้นประสาท ส่วนสตั ว ์ ๒. อธิบายเกย่ี วกบั โครงสร้างและหนา้ ทข่ี อง มีกระดูกสนั หลัง มีสมอง ไขสันหลงั ปมประสาท เซลล์ประสาท และเส้นประสาท ๓. อธิบายเก่ียวกบั การเปลยี่ นแปลงของศกั ย์ไฟฟา้ • หน่วยทำงานของระบบประสาท คอื เซลล์ ทเ่ี ย่ือหมุ้ เซลล์ของเซลลป์ ระสาท และกลไก ประสาท ซึ่งประกอบดว้ ยตวั เซลล์ และ การถ่ายทอดกระแสประสาท เสน้ ใยประสาททท่ี ำหนา้ ทร่ี บั และสง่ กระแสประสาท เรียกวา่ เดนไดรตแ์ ละแอกซอน ตามลำดบั • เซลล์ประสาทจำแนกตามหน้าที่ ไดเ้ ป็น เซลลป์ ระสาทรับความรสู้ กึ เซลล์ประสาทสั่งการ และเซลลป์ ระสาทประสานงาน • เซลล์ประสาทจำแนกตามรูปร่างได้เปน็ เซลล์ ประสาทขั้วเดียว เซลลป์ ระสาทขัว้ เดยี วเทียม เซลล์ประสาทสองข้วั และเซลลป์ ระสาทหลายข้วั • กระแสประสาทเกดิ จากการเปลยี่ นแปลงศกั ยไ์ ฟฟา้ ที่เยอื่ หุ้มเซลล์ของเดนไดรต์และแอกซอน ทำใหม้ ี การถ่ายทอดกระแสประสาทจากเซลล์ประสาท ไปยังเซลล์ประสาท หรอื เซลล์อื่น ๆ ผ่านทาง ไซแนปส์ • ระบบประสาทของมนษุ ย์แบ่งไดเ้ ปน็ ๒ ระบบ ตามตำแหน่งและโครงสร้าง คอื ระบบประสาท สว่ นกลาง ได้แก่ สมองและไขสันหลงั และระบบ ประสาทรอบนอก ได้แก่ เสน้ ประสาทสมอง และเสน้ ประสาทไขสนั หลัง ๔. อธบิ าย และสรุปเกยี่ วกับโครงสร้างของระบบ • สมองแบ่งออกเปน็ ๓ สว่ น คอื สมองสว่ นหน้า ประสาทสว่ นกลางและระบบประสาทรอบนอก สมองสว่ นกลาง และสมองสว่ นหลงั สมองแตล่ ะสว่ น ๕. สบื ค้นขอ้ มูล อธิบายโครงสร้างและหน้าท่ขี อง จะควบคมุ การทำงานของร่างกายแตกตา่ งกัน ส่วนตา่ ง ๆ ในสมองส่วนหนา้ สมองสว่ นกลาง โดยมีเสน้ ประสาทที่แยกออกจากสมอง ๑๒ คู่ สมองส่วนหลงั และไขสนั หลงั ไปยงั อวยั วะตา่ ง ๆ ซงึ่ บางคทู่ ำหนา้ ทรี่ บั ความรสู้ กึ ๖. สบื ค้นขอ้ มูล อธบิ าย เปรยี บเทยี บ และ เข้าสู่สมอง หรือนำคำสั่งจากสมองไปยังหน่วย ปฏบิ ตั งิ าน หรอื ทำหนา้ ทีท่ ัง้ สองอย่าง ยกตัวอยา่ งการทำงานของระบบประสาท โซมาติก และระบบประสาทอตั โนวตั ิ 158 ตัวชีว้ ัดและสาระการเรียนรแู้ กนกลาง กลมุ่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑
ชั้น ผลการเรยี นรู้ สาระการเรียนรเู้ พ่มิ เตมิ • ไขสันหลงั เป็นส่วนท่ีต่อจากสมองอยภู่ ายใน กระดกู สันหลงั และมเี ส้นประสาทแยกออกจาก ไขสันหลังเป็นคู่ ซงึ่ ทำหน้าท่ปี ระมวลผลการ ตอบสนองโดยไขสันหลงั เช่น การเกดิ รีเฟล็กซ์ ชนิดต่าง ๆ และการถา่ ยทอดกระแสประสาท ระหว่างไขสนั หลังกบั สมอง • เสน้ ประสาทไขสนั หลังทกุ คจู่ ะทำหนา้ ทีร่ บั ความรู้สกึ เข้าสไู่ ขสันหลงั และนำคำสัง่ ออกจาก ไขสนั หลัง • ระบบประสาทรอบนอกส่วนทส่ี งั่ การแบง่ เป็น ระบบประสาทโซมาตกิ ซ่ึงควบคมุ การทำงาน ของกลา้ มเนอ้ื โครงรา่ ง และระบบประสาทอตั โนวตั ิ ซง่ึ ควบคมุ การทำงานของกล้ามเนอ้ื หวั ใจ กลา้ มเนือ้ เรยี บ และตอ่ มต่าง ๆ • ระบบประสาทอตั โนวตั แิ บง่ การทำงานเปน็ ๒ ระบบ คอื ระบบประสาทซมิ พาเทตกิ และระบบประสาท พาราซิมพาเทติก ซึง่ ส่วนใหญ่ทำงานตรงกันขา้ ม เพื่อรักษาดุลยภาพของกระบวนการตา่ ง ๆ ในร่างกาย ๗. สืบคน้ ขอ้ มูล อธิบายโครงสร้างและหน้าทข่ี อง • ตา หู จมูก ลนิ้ และผิวหนงั เป็นอวัยวะรบั ความ ตา หู จมกู ลน้ิ และผวิ หนงั ของมนษุ ย์ ยกตวั อยา่ ง รู้สกึ ท่ีรบั สิ่งเร้าทีแ่ ตกต่างกัน จงึ มีความสำคญั โรคต่าง ๆ ที่เกี่ยวขอ้ ง และบอกแนวทางในการ ท่ีควรดแู ล ปอ้ งกนั และรักษาใหส้ ามารถทำงาน ดแู ลป้องกนั และรกั ษา ไดเ้ ปน็ ปกติ ๘. สังเกต และอธิบายการหาตำแหนง่ ของจุดบอด • ตาประกอบด้วย ช้ันสเคลอรา โครอยด์และเรตินา โฟเวีย และความไวในการรบั สัมผสั ของผิวหนัง เลนสต์ าเปน็ เลนส์นนู อยู่ถดั จากกระจกตา ทำหนา้ ที่รวมแสงจากวัตถไุ ปท่เี รตินา ซ่ึง ประกอบดว้ ย เซลลร์ บั แสง และเซลลป์ ระสาท ทีน่ ำกระแสประสาทสูส่ มอง • หปู ระกอบดว้ ย ๓ สว่ น คอื หสู ว่ นนอก หสู ว่ นกลาง และหสู ว่ นใน ภายในหูสว่ นในมคี อเคลีย ซ่งึ ทำหนา้ ท่ีรับและเปล่ียนคลื่นเสียงเป็นกระแส ประสาท นอกจากนีย้ งั มีเซมิเซอรค์ ิวลาร์แคเเนล ทำหนา้ ท่รี บั รเู้ กยี่ วกับการทรงตวั ของร่างกาย ตวั ชีว้ ัดและสาระการเรียนรูแ้ กนกลาง กลุ่มสาระการเรยี นรูว้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) 159 ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขั้นพน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑
ชั้น ผลการเรยี นรู้ สาระการเรียนรเู้ พิม่ เตมิ • จมกู มเี ซลล์ประสาทรบั กล่ินอยภู่ ายในเย่ือบจุ มูก ที่เป็นตวั รับสารเคมีบางชนดิ แล้วเกิดกระแส ประสาทสง่ ไปยงั สมอง • ล้นิ ทำหน้าท่รี บั รส โดยมตี ุ่มรับรสกระจาย อยูท่ ั่วผวิ ล้ินด้านบน ตุ่มรับรสมีเซลล์รบั รส อยู่ภายใน เมอ่ื เซลล์รับรสถูกกระตุ้นดว้ ยสารเคมี จะกระตุ้นเดนไดรต์ของเซลลป์ ระสาทเกดิ กระแส ประสาทสง่ ไปยังสมอง • ผิวหนงั มีหน่วยรับสิ่งเรา้ หลายชนิด เชน่ หน่วย รบั สมั ผสั หนว่ ยรบั แรงกด หนว่ ยรบั ความเจบ็ ปวด หนว่ ยรบั อณุ หภมู ิ ๙. สบื คน้ ขอ้ มลู อธบิ าย และเปรยี บเทยี บโครงสรา้ ง • ส่งิ มีชวี ติ เซลลเ์ ดยี วบางชนิดเคลอ่ื นที่โดยการ และหนา้ ทขี่ องอวยั วะทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั การเคลอ่ื นท่ี ไหลของไซโทพลาซึม บางชนิดใชแ้ ฟลเจลลมั ของแมงกะพรนุ หมึก ดาวทะเล ไส้เดอื นดนิ หรอื ซเิ ลีย ในการเคลอื่ นที่ แมลง ปลา และนก • สตั ว์ไมม่ กี ระดูกสันหลงั เชน่ แมงกะพรุน เคล่อื นทีโ่ ดยอาศยั การหดตัวของเน้อื เยอ่ื บรเิ วณ ขอบกระด่งิ และแรงดันน้ำ • หมึกเคลือ่ นทโี่ ดยอาศยั การหดตวั ของกล้ามเน้อื บริเวณลำตัว ทำใหน้ ำ้ ภายในลำตวั พ่นออกมา ทางไซฟอน ส่วนดาวทะเลใช้ระบบท่อนำ้ ในการ เคลอื่ นท่ี • ไสเ้ ดอื นดินมีการเคล่ือนที่ โดยอาศยั การหดตัว และคลายตวั ของกลา้ มเน้ือวงและกลา้ มเนอื้ ตามยาวซ่งึ ทำงานในสภาวะตรงกนั ข้าม • แมลงเคลื่อนทีโ่ ดยใช้ปีกหรือขา ซ่ึงมกี ล้ามเน้ือ ภายในเปลอื กห้มุ ทำงานในสภาวะตรงกนั ขา้ ม • สัตวม์ กี ระดกู สนั หลัง เช่น ปลา เคลอ่ื นทโี่ ดยอาศัย การหดตวั และคลายตวั ของกลา้ มเนื้อทีย่ ดึ ติดอยู่ กบั กระดกู สนั หลงั ท้ัง ๒ ข้าง ทำงานในสภาวะ ตรงกันขา้ ม และมคี รบี ทอี่ ยู่ในตำแหน่งต่าง ๆ ช่วยโบกพัดในการเคลอื่ นที่ ส่วนนกเคลอ่ื นท ่ี โดยอาศยั การหดตวั และคลายตัวของกล้ามเน้อื กดปีกกบั กลา้ มเน้ือยกปกี ซง่ึ ทำงานในสภาวะ ตรงกนั ข้าม 160 ตวั ชวี้ ัดและสาระการเรียนรแู้ กนกลาง กลุม่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขนั้ พ้นื ฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑
ช้นั ผลการเรยี นร้ ู สาระการเรยี นร้เู พม่ิ เตมิ ๑๐. สืบคน้ ขอ้ มูล และอธบิ ายโครงสร้างและหนา้ ท่ี • มนษุ ย์เคลื่อนท่โี ดยอาศยั การทำงานของกระดูก ของกระดกู และกล้ามเนื้อทเี่ กย่ี วขอ้ งกับการ และกล้ามเนื้อซึ่งยึดกันด้วยเอ็นยดึ กระดูก เคลอื่ นไหวและการเคลื่อนท่ีของมนษุ ย์ • บรเิ วณท่กี ระดกู ตงั้ แต่ ๒ ชิน้ มาต่อกัน เรยี กว่า ๑๑. สังเกต และอธิบายการทำงานของข้อตอ่ ชนิด ขอ้ ต่อ และยดึ กันดว้ ยเอน็ ยึดข้อ ตา่ ง ๆ และการทำงานของกล้ามเนอ้ื โครงร่าง • กระดูกเป็นเน้ือเยอ่ื ท่ีใชค้ ำ้ จนุ และทำหนา้ ทีใ่ นการ ที่เกย่ี วข้องกบั การเคลือ่ นไหวและการเคล่อื นท่ี เคล่อื นไหวของรา่ งกาย แบง่ ตามตำแหนง่ ไดเ้ ป็น ของมนษุ ย ์ กระดกู แกนและกระดูกรยางค์ • กลา้ มเนอื้ ในรา่ งกายมนษุ ยแ์ บง่ ออกเปน็ กลา้ มเนอื้ โครงรา่ ง กล้ามเนอื้ หวั ใจ และกลา้ มเนือ้ เรยี บ กลา้ มเนอ้ื ทั้ง ๓ ชนดิ พบในตำแหนง่ ทตี่ ่างกัน และมีหนา้ ทีแ่ ตกต่างกัน • กลา้ มเนอ้ื โครงรา่ งสว่ นใหญท่ ำงานรว่ มกนั เปน็ คู่ ๆ ในสภาวะตรงกนั ขา้ ม ๑๒. สบื ค้นข้อมลู อธบิ าย และยกตัวอยา่ ง • การสบื พนั ธ์ุแบบไมอ่ าศัยเพศของสตั วเ์ ปน็ การ การสืบพนั ธุแ์ บบไมอ่ าศยั เพศและการสืบพนั ธุ์ สืบพันธท์ุ ีไ่ ม่มกี ารรวมของเซลลส์ ืบพันธ์ุ เชน่ แบบอาศยั เพศในสัตว์ การแตกหนอ่ และการงอกใหม ่ • การสบื พนั ธแ์ุ บบอาศยั เพศของสตั วเ์ ปน็ การสบื พนั ธุ์ ทเ่ี กิดจากการรวมนิวเคลียสของเซลล์สบื พันธุ ์ ซึ่งมีทงั้ การปฏิสนธภิ ายนอกและการปฏิสนธิ ภายใน สตั วบ์ างชนดิ มี ๒ เพศในตัวเดยี วกนั แตก่ ารผสมพันธสุ์ ว่ นใหญจ่ ะผสมขา้ มตวั ๑๓. สบื คน้ ขอ้ มูล อธิบายโครงสรา้ งและหน้าที่ของ • การสืบพนั ธ์ขุ องมนุษย์มกี ระบวนการสร้างสเปิรม์ อวัยวะในระบบสืบพนั ธเ์ุ พศชายและระบบ จากเซลล์สเปอร์มาโทโกเนียมภายในอัณฑะ และ สืบพนั ธเ์ุ พศหญิง กระบวนการสร้างเซลล์ไขจ่ ากเซลลโ์ อโอโกเนยี ม ๑๔. อธิบายกระบวนการสรา้ งสเปิรม์ กระบวนการ ภายในรงั ไข่ สร้างเซลล์ไข่ และการปฏิสนธิในมนษุ ย ์ • อวยั วะสบื พนั ธุ์ของเพศชายประกอบดว้ ย อณั ฑะ ทำหน้าทสี่ ร้างสเปริ ม์ และฮอรโ์ มนเพศชาย และ มโี ครงสรา้ งอื่น ๆ ทที่ ำหนา้ ท่ีลำเลียงสเปิร์ม สรา้ งนำ้ เลี้ยงสเปิร์ม และสารหล่อล่ืนทอ่ ปสั สาวะ • อัณฑะประกอบด้วยหลอดสรา้ งสเปริ ์ม ซ่งึ ภายใน มีเซลล์สเปอร์มาโทโกเนยี มท่ีเปน็ เซลล์ต้ังตน้ ของกระบวนการสรา้ งสเปริ ม์ ตวั ชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) 161 ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาขน้ั พื้นฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑
ชัน้ ผลการเรยี นร ู้ สาระการเรยี นรเู้ พ่ิมเตมิ • อวัยวะสบื พันธุข์ องเพศหญงิ ประกอบดว้ ย รงั ไข่ ทอ่ นำไข่ มดลูก และช่องคลอด รังไข่ทำหนา้ ท่ี สร้างเซลล์ไขแ่ ละฮอรโ์ มนเพศหญิง • กระบวนการสรา้ งสเปริ ์มเรมิ่ ต้นจากสเปอรม์ าโท- โกเนียมแบ่งเซลลแ์ บบไมโทซสิ ได้ สเปอร์มาโท- โกเนียมจำนวนมาก ซ่งึ ต่อมาบางเซลล์พัฒนา เปน็ สเปอรม์ าโทไซตร์ ะยะแรก โดยสเปอรม์ าโทไซต์ ระยะแรกจะแบง่ เซลลแ์ บบไมโอซสิ I ไดส้ เปอรม์ าโทไซต์ ระยะท่สี องซ่ึงจะแบง่ เซลลแ์ บบไมโอซสิ II ไดส้ เปอรม์ าทดิ ตามลำดับ จากนน้ั พฒั นาเปน็ สเปริ ์ม • กระบวนการสรา้ งเซลล์ไขเ่ ร่ิมจากโอโอโกเนยี ม แบง่ เซลลแ์ บบไมโทซสิ ไดโ้ อโอโกเนยี ม ซงึ่ จะพฒั นา เปน็ โอโอไซตร์ ะยะแรก แลว้ แบง่ เซลลแ์ บบไมโอซสิ I ได้โอโอไซตร์ ะยะท่สี องซ่ึงจะเกดิ การตกไข่ต่อไป เมอ่ื ไดร้ ับการกระตนุ้ จากสเปิรม์ โอโอไซต์ระยะ ท่สี องจะแบ่งแบบไมโอซิส II แล้วพฒั นาเปน็ เซลลไ์ ข่ • การปฏสิ นธเิ กิดข้ึนภายในทอ่ นำไขไ่ ดไ้ ซโกต ซ่งึ จะเจรญิ เปน็ เอม็ บริโอและไปฝังตวั ทผี่ นังมดลกู จนกระท่ังครบกำหนดคลอด ๑๕. อธบิ ายการเจรญิ เติบโตระยะเอ็มบรโิ อ • การเจริญเติบโตของสัตว์ เชน่ กบ ไก่ และสัตว์ และระยะหลังเอม็ บริโอของกบ ไก่ และมนษุ ย ์ เล้ยี งลูกด้วยนำ้ นม จะเร่ิมตน้ ดว้ ยการแบง่ เซลล์ ของไซโกต การเกิดเนอื้ เยอื่ เอม็ บรโิ อ ๓ ช้นั คอื เอกโทเดิร์ม เมโซเดริ ์ม และเอนโดเดิรม์ การเกิด อวยั วะ โดยมกี ารเพิ่มจำนวน ขยายขนาด และ การเปลีย่ นแปลงรปู ร่างของเซลล์เพื่อทำหน้าท่ี เฉพาะอยา่ ง ซง่ึ พฒั นาการของอวัยวะตา่ ง ๆ จะทำใหม้ กี ารเกดิ รปู รา่ งทแ่ี นน่ อนในสตั วแ์ ตล่ ะชนดิ • การเจรญิ เตบิ โตของมนุษย์จะมขี ้นั ตอนคลา้ ยกบั การเจรญิ เติบโตของสตั วเ์ ล้ียงลกู ดว้ ยนำ้ นมอื่น ๆ โดยเอม็ บรโิ อจะฝงั ตัวทผ่ี นังมดลกู และมีการ แลกเปลยี่ นสารระหว่างแมก่ ับลูกผ่านทางรก 162 ตวั ชวี้ ัดและสาระการเรยี นรแู้ กนกลาง กลมุ่ สาระการเรยี นรูว้ ิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาข้นั พืน้ ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑
ช้นั ผลการเรยี นร้ ู สาระการเรียนร้เู พมิ่ เติม ๑๖. สบื คน้ ขอ้ มลู อธบิ าย และเขียนแผนผังสรปุ • ฮอรโ์ มนเปน็ สารทคี่ วบคมุ สมดลุ ตา่ ง ๆ ของรา่ งกาย หนา้ ที่ของฮอรโ์ มนจากตอ่ มไร้ท่อและเนอื้ เยื่อ โดยผลติ จากตอ่ มไรท้ อ่ หรอื เนอ้ื เยอ่ื โดยตอ่ มไรท้ อ่ นี้ ทสี่ รา้ งฮอร์โมน จะกระจายอย่ตู ามตำแหน่งตา่ ง ๆ ท่วั รา่ งกาย • ต่อมไร้ทอ่ ท่ีสรา้ งหรือหลั่งฮอรโ์ มน ไมม่ ีท่อในการ ลำเลยี งฮอร์โมนออกจากตอ่ มจงึ ถูกลำเลียง โดยระบบหมนุ เวียนเลือดไปยงั อวยั วะเป้าหมาย ทจ่ี ำเพาะเจาะจง • ต่อมไพเนียลสรา้ งเมลาโทนินซงึ่ ยับยง้ั การเจริญ เติบโตของอวัยวะสืบพนั ธชุ์ ว่ งกอ่ นวยั เจรญิ พันธุ์ และตอบสนองต่อการเปล่ยี นแปลงของแสง ในรอบวัน • ต่อมใตส้ มองส่วนหนา้ สร้างและหลง่ั โกรทฮอรโ์ มน โพรแลกทนิ ACTH TSH FSH LH เอนดอรฟ์ ิน ซงึ่ ทำหนา้ ทีแ่ ตกตา่ งกัน • ตอ่ มใต้สมองสว่ นหลงั หลั่งฮอร์โมนซง่ึ สร้างจาก ไฮโพทาลามสั คอื ADH และออกซิโทซิน ซ่งึ ทำ หนา้ ที่แตกต่างกัน • ต่อมไทรอยด์สร้างไทรอกซินซึ่งควบคมุ อตั รา เมแทบอลซิ ึมของรา่ งกาย และสรา้ งแคลซโิ ทนนิ ซง่ึ ควบคมุ ระดบั แคลเซียมในเลอื ดให้ปกต ิ • ตอ่ มพาราไทรอยดส์ รา้ งพาราทอรโ์ มนซง่ึ ควบคมุ ระดบั แคลเซียมในเลือดใหป้ กติ • ตบั ออ่ นมกี ลมุ่ เซลล์ทส่ี รา้ งอนิ ซูลินและกลคู ากอน ซ่ึงควบคมุ ระดบั น้ำตาลในเลอื ดให้ปกต ิ • ต่อมหมวกไตส่วนนอกสรา้ งกลโู คคอร์ติคอยด์ มเิ นราโลคอรต์ คิ อยด์ และฮอรโ์ มนเพศ ซง่ึ มหี นา้ ท่ี แตกตา่ งกนั สว่ นต่อมหมวกไตส่วนในสร้าง เอพิเนฟรินและนอรเ์ อพิเนฟริน ซึง่ มีหนา้ ที่ เหมือนกนั • อัณฑะมกี ลุ่มเซลล์สรา้ งเทสโทสเทอโรน ส่วนรังไข่ มกี ลุม่ เซลลท์ ่สี รา้ งอีสโทรเจน และโพรเจสเทอโรน ซึ่งมหี น้าท่แี ตกตา่ งกนั ตัวช้วี ัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) 163 ตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาข้นั พ้นื ฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑
ชั้น ผลการเรียนรู ้ สาระการเรยี นรู้เพิ่มเติม • เนอื้ เยอื่ บางบริเวณของอวยั วะ เช่น รก ไทมัส กระเพาะอาหาร และลำไสเ้ ลก็ สามารถสร้าง ฮอร์โมนไดห้ ลายชนิด ซงึ่ มีหน้าท่แี ตกต่างกนั • การควบคุมการหล่งั ฮอรโ์ มนจากต่อมไร้ท่อ มีทง้ั การควบคมุ แบบปอ้ นกลับยบั ยั้ง และการควบคมุ แบบปอ้ นกลบั กระตุ้น เพ่ือรกั ษาดลุ ยภาพ ของร่างกาย • ฟีโรโมนเป็นสารเคมีท่ีผลิตจากต่อมมที อ่ ของสัตว์ ซงึ่ ส่งผลตอ่ สัตว์ตัวอ่ืนทเ่ี ป็นชนดิ เดยี วกนั ๑๗. สืบค้นข้อมูล อธบิ าย เปรียบเทยี บ และ • พนั ธกุ รรมและสิ่งแวดลอ้ มมีผลตอ่ การแสดง ยกตวั อย่างพฤตกิ รรมที่เปน็ มาแต่กำเนิด พฤตกิ รรม และพฤติกรรมทีเ่ กิดจากการเรียนรู้ของสัตว์ • พฤตกิ รรมทเ่ี ป็นมาแตก่ ำเนิดแบง่ ออกไดเ้ ปน็ ๑๘. สืบคน้ ข้อมูล อธบิ าย และยกตวั อย่าง หลายชนดิ เชน่ โอเรยี นเตชัน (แทกซิสและ ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งพฤตกิ รรมกับ ไคนีซิส) รีเฟลก็ ซ์ และฟิกแอกชนั แพทเทิรน์ วิวัฒนาการของระบบประสาท • พฤติกรรมท่ีเกิดจากการเรยี นรู้ แบง่ ได้เป็น ๑๙. สบื คน้ ขอ้ มลู อธบิ าย และยกตวั อยา่ งการสอื่ สาร แฮบบิชูเอชัน การฝังใจ การเช่ือมโยง ระหวา่ งสตั ว์ที่ทำใหส้ ตั ว์แสดงพฤตกิ รรม (การลองผิดลองถูกและการมีเงอ่ื นไข) และการใช้เหตผุ ล • ระดบั การแสดงพฤติกรรมทสี่ ัตว์แตล่ ะชนดิ แสดงออกจะแตกตา่ งกันซึง่ เป็นผลมาจาก วิวัฒนาการของระบบประสาทท่ีแตกต่างกัน • การส่อื สารเปน็ พฤตกิ รรมทางสงั คมแบบหนง่ึ ซึ่งมีหลายวิธี เชน่ การสือ่ สารด้วยท่าทาง การสอ่ื สารด้วยเสยี ง การสือ่ สารดว้ ยสารเคมี และการสื่อสารดว้ ยการสมั ผสั 164 ตัวชีว้ ัดและสาระการเรยี นร้แู กนกลาง กลุม่ สาระการเรยี นร้วู ทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้ันพน้ื ฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑
สาระชวี วิทยา ๕. เข้าใจแนวคิดเก่ียวกับระบบนิเวศ กระบวนการถ่ายทอดพลังงานและ การหมนุ เวยี นสารในระบบนเิ วศ ความหลากหลายของไบโอม การเปลยี่ นแปลงแทนท ี่ ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ ประชากรและรูปแบบการเพ่ิมของประชากร ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดลอ้ ม ปญั หาและผลกระทบทเี่ กดิ จากการใชป้ ระโยชน์ และแนวทางการแกไ้ ขปญั หา ช้นั ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนร้เู พ่มิ เตมิ ม.๔ - - ม.๕ - - ม.๖ ๑. วเิ คราะห์ อธบิ าย และยกตัวอย่างกระบวนการ • ระบบนิเวศจะดำรงอยไู่ ด้ต้องมกี ระบวนการต่าง ๆ ถา่ ยทอดพลงั งานในระบบนิเวศ เกิดขน้ึ กระบวนการทสี่ ำคญั ไดแ้ ก่ การถา่ ยทอด พลังงาน และการหมนุ เวียนสาร การถ่ายทอด ๒. อธิบาย ยกตวั อยา่ งการเกิดไบโอแมกนฟิ ิเคชนั พลังงานในระบบนิเวศสามารถแสดงได้ดว้ ย และบอกแนวทางในการลดการเกิด แผนภาพทเ่ี รียกว่า โซอ่ าหาร สายใยอาหาร ไบโอแมกนฟิ เิ คชัน และพรี ะมดิ ทางนิเวศวิทยา • พลงั งานท่ถี า่ ยทอดไปในแตล่ ะลำดบั ขั้นการกนิ ๓. สืบคน้ ขอ้ มลู และเขยี นแผนภาพ เพ่ืออธบิ าย อาหารมีปรมิ าณทีไ่ ม่เทา่ กัน พลงั งานส่วนใหญ ่ วฏั จกั รไนโตรเจน วฏั จักรกำมะถัน และวฏั จกั ร จะสูญเสียไปในรูปความรอ้ นระหว่างการถ่ายทอด ฟอสฟอรสั จากส่งิ มชี วี ติ หนงึ่ ไปยังส่งิ มีชีวิตอกี ชนดิ หนึ่ง • การถา่ ยทอดพลงั งานในระบบนเิ วศบางครงั้ อาจทำใหม้ สี ารพษิ สะสมอย่ใู นสิง่ มชี ีวิตด้วย เรยี กวา่ การเกดิ ไบโอแมกนฟิ เิ คชนั ซงึ่ อาจมรี ะดบั ความเข้มขน้ ของสารพษิ มากข้นึ ตามลำดบั ข้นั ของ การกินจนอาจกอ่ ให้เกิดอนั ตรายตอ่ สิง่ มีชีวิต • สารต่าง ๆ ในระบบนิเวศมีการหมุนเวยี นเกดิ ขนึ้ ผา่ นทง้ั ในสง่ิ มชี วี ติ และสง่ิ ไมม่ ชี วี ติ กลบั คนื สรู่ ะบบ อยา่ งเป็นวัฏจกั ร เชน่ วฏั จกั รไนโตรเจน วัฏจักร กำมะถนั และวัฏจกั รฟอสฟอรัส ๔. สืบคน้ ขอ้ มูล ยกตัวอยา่ ง และอธิบายลกั ษณะ • ไบโอมคือระบบนิเวศขนาดใหญ่ทกี่ ระจายอย่ตู าม ของไบโอมทก่ี ระจายอยตู่ ามเขตภมู ศิ าสตรต์ า่ ง ๆ เขตภมู ิศาสตรต์ ่าง ๆ บนโลก เช่น ไบโอมทุนดรา บนโลก ไบโอมสะวนั นา ไบโอมทะเลทราย โดยแตล่ ะ ไบโอมจะมลี ักษณะเฉพาะของปัจจัยทางกายภาพ ชนดิ ของพืช และชนิดของสัตว ์ ตวั ชี้วัดและสาระการเรียนรูแ้ กนกลาง กลุม่ สาระการเรยี นร้วู ทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) 165 ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑
ชั้น ผลการเรียนร้ ู สาระการเรียนรเู้ พ่มิ เติม ๕. สบื คน้ ขอ้ มลู ยกตวั อยา่ ง อธบิ าย และเปรยี บเทยี บ • ระบบนเิ วศมกี ารเปลย่ี นแปลงได้ การเปลย่ี นแปลง การเปลย่ี นแปลงแทนที่แบบปฐมภมู ิ และ ทเี่ กิดขึ้นอย่างชา้ ๆ ทำใหร้ ะบบนเิ วศสามารถ การเปล่ียนแปลงแทนที่แบบทตุ ยิ ภมู ิ ปรับสมดุลได้ แต่การเปลยี่ นแปลงทเ่ี กิดขึ้น อยา่ งรวดเรว็ อาจสง่ ผลกระทบต่อองคป์ ระกอบ ทางชวี ภาพในระบบนเิ วศทำใหเ้ กดิ การเปลย่ี นแปลง แทนท่ขี องส่ิงมชี วี ิตขนึ้ • การเปล่ยี นแปลงแทนท่ีทางนิเวศวิทยา มที ้ัง การเปลย่ี นแปลงแทนทแี่ บบปฐมภมู แิ ละ การเปล่ยี นแปลงแทนทแี่ บบทตุ ยิ ภูมิ ๖. สืบคน้ ข้อมูล อธิบาย ยกตวั อยา่ ง และสรุป • ประชากรของสง่ิ มชี ีวติ ทกุ ชนดิ มลี ักษณะ เกีย่ วกบั ลกั ษณะเฉพาะของประชากรของ หลายประการท่ีเป็นลกั ษณะเฉพาะ เชน่ ขนาด ส่งิ มชี ีวติ บางชนิด ของประชากร ความหนาแนน่ ของประชากร ๗. สบื คน้ ขอ้ มลู อธบิ าย เปรยี บเทยี บ และยกตวั อยา่ ง การกระจายตัวของสมาชกิ ในประชากร การเพมิ่ ของประชากรแบบเอ็กโพเนนเชียล โครงสร้างอายขุ องประชากร อัตราสว่ นระหวา่ ง และการเพิ่มของประชากรแบบลอจิสติก เพศ อตั ราการเกดิ และอตั ราการตาย การอพยพเขา้ ๘. อธบิ าย และยกตวั อยา่ งปจั จยั ทค่ี วบคมุ การเตบิ โต การอพยพออกของประชากร และการรอดชวี ติ ของประชากร ของสมาชกิ ท่มี ีอายุตา่ งกนั • ลกั ษณะเฉพาะของประชากรมีอิทธิพลตอ่ การเปล่ียนแปลงขนาดของประชากรซึ่งเป็น กระบวนการท่เี กิดขึ้นอยูเ่ สมอ • การเพมิ่ ประชากรแบบเอก็ โพเนนเชียลเป็นการ เพม่ิ จำนวนประชากรอยา่ งรวดเรว็ แบบทวีคูณ • การเพิ่มประชากรแบบลอจสิ ตกิ เป็นการเพิม่ จำนวนประชากรที่ขึ้นอยกู่ บั สภาพแวดล้อม หรอื มตี ัวตา้ นทานในส่งิ แวดลอ้ มมาเกย่ี วขอ้ ง • การเติบโตของประชากรขน้ึ กับปัจจยั ต่าง ๆ ซง่ึ แบ่งไดเ้ ป็น ปจั จัยทขี่ ึน้ กับความหนาแน่น ของประชากร และปจั จยั ทไี่ มข่ นึ้ กบั ความหนาแนน่ ของประชากร • ประชากรมนษุ ยม์ ีอตั ราการเตบิ โตอยา่ งรวดเรว็ แบบเอ็กโพเนนเชยี ลหลงั จากการปฏวิ ตั ิ ทางอุตสาหกรรมเป็นตน้ มา 166 ตวั ชีว้ ดั และสาระการเรียนร้แู กนกลาง กลุ่มสาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พ้ืนฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑
ช้นั ผลการเรยี นรู้ สาระการเรียนรู้เพ่ิมเติม ๙. วิเคราะห์ อภปิ ราย และสรุปปัญหา • ปัญหาที่เกิดกบั ทรพั ยากรนำ้ สว่ นใหญ่เกิดจาก การขาดแคลนนำ้ การเกดิ มลพษิ ทางน้ำ และ การปลอ่ ยน้ำที่ผา่ นการใช้ประโยชน์จากกจิ กรรม ผลกระทบทม่ี ีต่อมนษุ ย์และสิง่ แวดล้อม รวมทั้ง ตา่ ง ๆ ของมนษุ ย์และยังไมไ่ ดร้ บั การบำบดั ลง เสนอแนวทางการวางแผนการจดั การน้ำ ส่แู หล่งน้ำ ทำใหเ้ กดิ มลพิษทางน้ำ และการแกไ้ ขปญั หา • การตรวจสอบคณุ ภาพนำ้ นยิ มใช้การหาคา่ ปริมาณออกซเิ จนทล่ี ะลายน้ำ และค่าปรมิ าณ ออกซเิ จนทจี่ ุลนิ ทรีย์ในนำ้ ใชใ้ นการย่อยสลายสาร อินทรียใ์ นน้ำ • การจดั การทรพั ยากรนำ้ เพอื่ ใหเ้ กดิ ประโยชนส์ งู สดุ ควรมกี ารวางแผนการใชน้ ำ้ การแกไ้ ขปัญหา คุณภาพน้ำ รวมท้งั การปลูกจติ สำนึกในการใชน้ ำ้ อย่างถูกต้อง ๑๐. วิเคราะห์ อภปิ ราย และสรปุ ปัญหามลพษิ ทาง • การปนเปอื้ นของสารเคมี ฝนุ่ ละออง และจลุ นิ ทรยี ์ อากาศ และผลกระทบที่มตี อ่ มนุษย์และ ตา่ ง ๆ ทำใหเ้ กิดมลพษิ ทางอากาศ ซงึ่ เกิดไดท้ ัง้ สิง่ แวดล้อม รวมท้งั เสนอแนวทางการแกไ้ ข จากธรรมชาตแิ ละจากการกระทำของมนษุ ย์ ปัญหา • การเกดิ มลพษิ ทางอากาศทเ่ี กดิ ขน้ึ เองตามธรรมชาติ เชน่ การเกดิ พายุ การเกดิ ไฟปา่ และการเกดิ แกส๊ พษิ จากการย่อยสลายของจลุ นิ ทรีย ์ • การเกดิ มลพิษทางอากาศท่เี กิดจากการกระทำ ของมนษุ ย์ เชน่ การใชเ้ ชอ้ื เพลงิ ฟอสซลิ ในรปู แบบ ตา่ ง ๆ • การจัดการทรพั ยากรอากาศควรประกอบด้วย การกำหนดนโยบาย และวางแผนงานเพื่อป้องกัน และแก้ไข รวมท้ังการปลูกจิตสำนึกในการดแู ล รกั ษาคุณภาพอากาศ ๑๑. วิเคราะห์ อภปิ ราย และสรุปปัญหาที่เกดิ กบั • มลพษิ ทางดนิ และปญั หาความเสอื่ มโทรมของดิน ทรพั ยากรดิน และผลกระทบทมี่ ีตอ่ มนุษยแ์ ละ ส่วนใหญ่มีสาเหตจุ ากการกระทำของมนุษย์ สง่ิ แวดล้อม รวมท้งั เสนอแนวทางการแกไ้ ข • การจดั การทรัพยากรดนิ เพอ่ื ใหเ้ กิดประโยชน์ ปญั หา สงู สุดควรมกี ารปอ้ งกนั และการแกป้ ัญหาการเกิด มลพิษและความเสอ่ื มโทรมของดนิ รวมท้ังการ ปลกู จติ สำนึกในการใชด้ ินอย่างถูกต้อง ตวั ชี้วดั และสาระการเรียนร้แู กนกลาง กลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) 167 ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑
ชัน้ ผลการเรียนรู ้ สาระการเรียนร้เู พม่ิ เตมิ ๑๒. วเิ คราะห์ อภปิ ราย และสรปุ ปญั หา ผลกระทบ • พื้นทีป่ ่าไม้ทีล่ ดลงอาจมีสาเหตมุ าจากธรรมชาติ ทีเ่ กิดจากการทำลายปา่ ไม้ รวมทงั้ เสนอ เชน่ ไฟป่า แผ่นดนิ ไหว ภเู ขาไฟระเบิด หรอื อาจมี แนวทางในการป้องกันการทำลายปา่ ไมแ้ ละ สาเหตมุ าจากการกระทำของมนษุ ย์ เชน่ การตดั ไม้ การอนุรกั ษป์ ่าไม้ ทำลายป่า การบกุ รุกพื้นที่ปา่ เพ่อื ครอบครองที่ดิน การเผาปา่ การทำเหมืองแร ่ • พ้ืนท่ปี ่าไม้ทลี่ ดลงทำใหภ้ มู ิประเทศมีสภาพ แห้งแล้ง เกดิ อุทกภัย เกิดการพงั ทลายของดิน ตลอดจนการเพิ่มขนึ้ ของแก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์ ซึง่ เปน็ แกส๊ เรือนกระจกชนดิ หน่งึ นอกจากน้ี ทำให้สตั ว์ป่าและพืชพรรณธรรมชาตลิ ดจำนวนลง หรือสญู พันธ์ุได ้ • การจดั การทรัพยากรป่าไม้ควรจดั การใหม้ ี ทรพั ยากรปา่ ไม้คงอยู่อยา่ งย่ังยนื หรอื เพ่ิมขึ้น เชน่ การกำหนดพนื้ ทป่ี ่าอนรุ ักษ์ ส่งเสรมิ การปลกู ป่า ป้องกันการบุกรุกปา่ การใชไ้ ม้อยา่ งมคี ุณค่าและ มีประสทิ ธภิ าพ รวมถึงการปลกู จิตสำนกึ เร่อื ง การอนรุ ักษป์ า่ ไม ้ ๑๓. วเิ คราะห์ อภปิ ราย และสรปุ ปญั หา ผลกระทบ • การลดจำนวนลงของสัตวป์ า่ เปน็ ผลเนือ่ งมาจาก ท่ีทำใหส้ ตั วป์ า่ มจี ำนวนลดลง และแนวทาง การกระทำของมนุษย์เปน็ สว่ นใหญ่ คอื การทำให้ ในการอนรุ กั ษส์ ตั ว์ป่า แหลง่ ที่อยอู่ าศยั ลดลงและการล่าสตั วป์ ่า • การจัดการทรัพยากรสตั วป์ า่ ควรมกี ารดำเนินการ ให้มีพืน้ ทป่ี า่ ไมเ้ พอื่ การอยู่อาศยั อยา่ งเพยี งพอ รวมทง้ั การไม่ทำร้ายสัตว์ป่าหรือทำให้สตั วป์ ่า ลดจำนวนลง รวมทั้งการปลูกจิตสำนกึ ใหช้ ว่ ยกนั อนุรกั ษ์ 168 ตวั ชี้วดั และสาระการเรียนร้แู กนกลาง กลุ่มสาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑
สาระเคมี ๑. เข้าใจโครงสร้างอะตอม การจัดเรียงธาตุในตารางธาตุ สมบัติของธาตุ พันธะเคมีและสมบัติของสาร แก๊สและสมบัติของแก๊ส ประเภทและสมบัติของ สารประกอบอนิ ทรยี แ์ ละพอลิเมอร์ รวมทัง้ การนำความรูไ้ ปใช้ประโยชน ์ ชน้ั ผลการเรยี นรู้ สาระการเรยี นร้เู พ่มิ เตมิ ม.๔ ๑. สบื คน้ ข้อมูลสมมตฐิ าน การทดลอง หรอื • นักวิทยาศาสตร์ศกึ ษาโครงสร้างของอะตอม ผลการทดลองทเ่ี ป็นประจกั ษพ์ ยานในการเสนอ และเสนอแบบจำลองอะตอมแบบตา่ ง ๆ จาก แบบจำลองอะตอมของนกั วทิ ยาศาสตร์ การศึกษาข้อมลู การสงั เกต การตัง้ สมมตฐิ าน และอธิบายววิ ฒั นาการของแบบจำลองอะตอม และ ผลการทดลอง • แบบจำลองอะตอมมวี วิ ัฒนาการ โดยเร่มิ จาก ดอลตันเสนอวา่ ธาตุประกอบดว้ ยอะตอมซ่งึ เปน็ อนุภาคขนาดเลก็ ไมส่ ามารถแบง่ แยกได้ ต่อมา ทอมสันเสนอวา่ อะตอมประกอบด้วยอนุภาค ทม่ี ีประจลุ บ เรียกว่า อิเล็กตรอน และอนภุ าค ประจบุ วก รัทเทอรฟ์ อรด์ เสนอว่าประจุบวก ท่ีเรียกวา่ โปรตอน รวมตัวกันอย่ตู รงกง่ึ กลาง อะตอม เรยี กว่า นิวเคลยี ส ซง่ึ มีขนาดเล็กมาก และมีอิเลก็ ตรอนอยรู่ อบนวิ เคลียส โบรเ์ สนอวา่ อเิ ลก็ ตรอนเคลอ่ื นท่ีเปน็ วงรอบนิวเคลยี ส โดยแตล่ ะวงมรี ะดบั พลงั งานเฉพาะตัว ในปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์ยอมรับว่าอิเลก็ ตรอนมกี าร เคลื่อนท่ีรวดเร็วรอบนิวเคลียส และไมส่ ามารถ ระบุตำแหน่งทีแ่ นน่ อนได้ จึงเสนอแบบจำลอง อะตอมแบบกล่มุ หมอก ซึง่ แสดงโอกาสการพบ อเิ ลก็ ตรอนรอบนวิ เคลียส ๒. เขียนสัญลักษณน์ วิ เคลยี ร์ของธาตุ และระบุ • สญั ลกั ษณ์นวิ เคลยี ร์ของธาตุ ประกอบด้วย จำนวนโปรตอน นิวตรอน และอิเลก็ ตรอนของ สัญลกั ษณ์ธาตุ เลขอะตอมซง่ึ แสดงจำนวน อะตอมจากสญั ลกั ษณน์ วิ เคลยี ร์ รวมทั้งบอก โปรตอน และเลขมวลซงึ่ แสดงผลรวมของจำนวน ความหมายของไอโซโทป โปรตอนกบั นวิ ตรอน อะตอมของธาตชุ นดิ เดยี วกนั ที่มจี ำนวนโปรตอนเทา่ กนั แตม่ ีจำนวนนวิ ตรอน ตา่ งกนั เรียกว่า ไอโซโทป ตวั ช้ีวดั และสาระการเรยี นรแู้ กนกลาง กลุม่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) 169 ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาข้นั พื้นฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑
ชน้ั ผลการเรียนร ู้ สาระการเรยี นรเู้ พ่มิ เตมิ ๓. อธบิ าย และเขียนการจดั เรียงอิเล็กตรอน • การศึกษาสเปกตรัมการเปลง่ แสงของอะตอมแกส๊ ในระดับพลงั งานหลกั และระดับพลังงานย่อย ทำใหท้ ราบวา่ อเิ ลก็ ตรอนจัดเรียงอยู่รอบ ๆ เมอ่ื ทราบเลขอะตอมของธาตุ นวิ เคลียสในระดบั พลงั งานหลกั ต่าง ๆ และ แต่ละระดบั พลงั งานหลกั ยงั แบง่ เปน็ ระดับ ๔. ระบหุ มู่ คาบ ความเปน็ โลหะ อโลหะ และ พลงั งานยอ่ ยซ่งึ มบี รเิ วณที่จะพบอิเลก็ ตรอน ก่งึ โลหะ ของธาตุเรพรีเซนเททฟี และธาต ุ เรียกวา่ ออรบ์ ทิ ัล ได้แตกตา่ งกัน และอเิ ล็กตรอน แทรนซิชันในตารางธาตุ จะจัดเรยี งในออร์บิทลั ใหม้ ีระดับพลงั งานตำ่ ท่ีสดุ สำหรบั อะตอมในสถานะพื้น ๕. วิเคราะห์ และบอกแนวโน้มสมบัตขิ องธาตุ • ตารางธาตใุ นปจั จุบันจัดเรยี งธาตตุ ามเลขอะตอม เรพรเี ซนเททฟี ตามหมแู่ ละตามคาบ และสมบตั ิท่คี ล้ายคลึงกนั เปน็ หมแู่ ละคาบ โดยอาจแบ่งธาตใุ นตารางธาตุเป็นกลุ่มธาตโุ ลหะ ๖. บอกสมบัติของธาตโุ ลหะแทรนซชิ นั และ กงึ่ โลหะ และอโลหะ นอกจากนอี้ าจแบ่งเปน็ เปรยี บเทียบสมบัติกบั ธาตุโลหะในกลมุ่ ธาต ุ กลุ่มธาตุเรพรเี ซนเททีฟและกลุ่มธาตแุ ทรนซิชัน เรพรีเซนเททีฟ • ธาตเุ รพรเี ซนเททฟี ในหมเู่ ดยี วกนั มจี ำนวนเวเลนซ-์ อเิ ล็กตรอนเทา่ กนั และธาตทุ ่อี ยูใ่ นคาบเดียวกนั มเี วเลนซอ์ เิ ลก็ ตรอนในระดบั พลงั งานหลกั เดยี วกนั ธาตุเรพรเี ซนเททีฟมสี มบตั ทิ างเคมีคลา้ ยคลึงกนั ตามหมู่ และมแี นวโน้มสมบตั บิ างประการเป็นไป ตามหมแู่ ละตามคาบ เชน่ ขนาดอะตอม รศั มไี อออน พลังงานไอออไนเซชนั อิเลก็ โทรเนกาติวิตี สัมพรรคภาพอิเลก็ ตรอน • ธาตแุ ทรนซิชันเป็นโลหะท่ีส่วนใหญม่ ีเวเลนซ-์ อิเล็กตรอนเท่ากบั ๒ มีขนาดอะตอมใกล้เคียงกนั มจี ดุ เดอื ด จดุ หลอมเหลวและความหนาแนน่ สงู เกิดปฏิกริ ยิ ากบั น้ำได้ชา้ กวา่ ธาตโุ ลหะในกลมุ่ ธาตุ เรพรีเซนเททฟี เม่ือเกิดเปน็ สารประกอบ สว่ นใหญจ่ ะมสี ี 170 ตวั ช้วี ดั และสาระการเรียนร้แู กนกลาง กล่มุ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พืน้ ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑
ชนั้ ผลการเรยี นร ู้ สาระการเรยี นร้เู พม่ิ เตมิ ๗. อธบิ ายสมบตั ิ และคำนวณครง่ึ ชีวติ ของไอโซโทป • ธาตแุ ต่ละชนิดมีไอโซโทป ซง่ึ ในธรรมชาติบางธาตุ กัมมนั ตรังสี มีไอโซโทปทแี่ ผ่รงั สีได้ เน่ืองจากนวิ เคลียส ไมเ่ สถียร เรยี กวา่ ไอโซโทปกมั มนั ตรังสี สำหรับ ธาตุกัมมนั ตรงั สีเป็นธาตุที่ทกุ ไอโซโทปสามารถ แผ่รังสไี ด้ รังสีท่เี กดิ ขน้ึ เช่น รงั สีแอลฟา รงั สีบตี า รงั สีแกมมา โดยครึง่ ชวี ติ ของไอโซโทปกัมมันตรงั สี เป็นระยะเวลาที่ไอโซโทปกัมมนั ตรงั สีสลายตวั จนเหลือคร่งึ หนึง่ ของปริมาณเดมิ ซ่ึงเปน็ ค่าคงท่ี เฉพาะของแต่ละไอโซโทปกัมมันตรงั สี ๘. สืบค้นข้อมูล และยกตัวอย่างการนำธาตุ • สมบตั ิบางประการของธาตุแต่ละชนิด ทำให้ มาใช้ประโยชน์ รวมทัง้ ผลกระทบตอ่ ส่ิงมชี วี ิต สามารถนำธาตไุ ปใช้ประโยชน์ในดา้ นต่าง ๆ และส่งิ แวดล้อม ได้อย่างหลากหลาย ท้งั น้กี ารนำธาตุไปใช้ต้อง ตระหนักถงึ ผลกระทบท่มี ีตอ่ สิ่งมีชวี ิตและ สง่ิ แวดล้อม โดยเฉพาะสารกมั มันตรังสซี ่ึงต้องมี การจัดการอยา่ งเหมาะสม ๙. อธบิ ายการเกิดไอออนและการเกดิ พนั ธะ • สารเคมเี กิดจากการยึดเหน่ียวกันดว้ ยพนั ธะเคมี ไอออนิก โดยใชแ้ ผนภาพหรือสญั ลักษณ ์ ซึ่งเก่ียวขอ้ งกบั เวเลนซ์อิเลก็ ตรอนท่แี สดงไดด้ ้วย แบบจุดของลิวอิส สัญลกั ษณแ์ บบจดุ ของลิวอิส โดยการเกิด พันธะเคมี สว่ นใหญ่เปน็ ไปตามกฎออกเตต • พนั ธะไอออนกิ เกดิ จากการยึดเหนี่ยวระหว่าง ประจุไฟฟ้าของไอออนบวกกบั ไอออนลบ สว่ นใหญไ่ อออนบวกเกิดจากโลหะเสยี อเิ ลก็ ตรอน และไอออนลบเกดิ จากอโลหะรับอเิ ลก็ ตรอน สารประกอบทีเ่ กิดจากพันธะไอออนิก เรียกว่า สารประกอบไอออนกิ สารประกอบไอออนิก ไมอ่ ยูใ่ นรูปโมเลกลุ แต่เป็นโครงผลกึ ทปี่ ระกอบ ดว้ ยไอออนบวกและไอออนลบจัดเรียงตัวต่อเนือ่ ง กันไปทั้งสามมติ ิ ๑๐. เขียนสตู ร และเรียกช่อื สารประกอบไอออนิก • สารประกอบไอออนกิ เขยี นแสดงสตู รเคมีโดยให้ สญั ลักษณธ์ าตทุ เ่ี ปน็ ไอออนบวกไว้ขา้ งหนา้ ตาม ดว้ ยสัญลักษณ์ธาตทุ ี่เปน็ ไอออนลบ โดยมตี วั เลข แสดงอัตราสว่ นอย่างต่ำของจำนวนไอออนที่เป็น องค์ประกอบ ตวั ชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรยี นร้วู ทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) 171 ตามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑
ชั้น ผลการเรยี นร ู้ สาระการเรยี นรเู้ พิ่มเตมิ • การเรียกชื่อสารประกอบไอออนกิ ทำได้โดย เรียกชือ่ ไอออนบวกแลว้ ตามด้วยชื่อไอออนลบ สำหรับสารประกอบไอออนิกที่เกดิ จากโลหะทมี่ ี เลขออกซิเดชันไดห้ ลายคา่ ต้องระบุเลข ออกซิเดชนั ของโลหะด้วย ๑๑. คำนวณพลงั งานทเ่ี กย่ี วข้องกับปฏิกิรยิ า • ปฏกิ ิริยาการเกดิ สารประกอบไอออนกิ จากธาตุ การเกดิ สารประกอบไอออนกิ จากวัฏจักร เกย่ี วขอ้ งกบั ปฏกิ ิริยาเคมีหลายขัน้ ตอน มที ้ัง บอร์น-ฮาเบอร์ ท่ีเปน็ ปฏิกิริยาดูดพลังงานและคายพลงั งาน ซึ่งแสดงได้ดว้ ยวฏั จกั รบอร์น-ฮาเบอร์ และ พลังงานของปฏกิ ริ ยิ าการเกิดสารประกอบ ไอออนกิ เป็นผลรวมของพลงั งานทกุ ขน้ั ตอน ๑๒. อธบิ ายสมบัตขิ องสารประกอบไอออนกิ • สารประกอบไอออนกิ ส่วนใหญม่ ลี กั ษณะเปน็ ผลึกของแขง็ เปราะ มจี ดุ หลอมเหลวและ จดุ เดือดสงู ละลายน้ำแลว้ แตกตวั เปน็ ไอออน เรยี กวา่ สารละลายอเิ ลก็ โทรไลต์ เมอื่ เปน็ ของแขง็ ไม่นำไฟฟ้า แตถ่ า้ ทำให้หลอมเหลวหรอื ละลาย ในน้ำจะนำไฟฟา้ • สารละลายของสารประกอบไอออนิกแสดงสมบตั ิ ความเป็นกรด-เบส ต่างกนั สารละลายของ สารประกอบคลอไรด์มีสมบัตเิ ป็นกลาง และ สารละลายของสารประกอบออกไซดม์ ีสมบัติ เปน็ เบส ๑๓. เขียนสมการไอออนิกและสมการไอออนิกสุทธิ • ปฏิกิรยิ าของสารประกอบไอออนกิ สามารถเขยี น ของปฏิกิรยิ าของสารประกอบไอออนิก แสดงดว้ ยสมการไอออนิกหรือสมการไอออนกิ สุทธิ โดยทส่ี มการไอออนกิ แสดงสารตัง้ ต้นและ ผลิตภัณฑท์ ุกชนิดทแ่ี ตกตัวได้ในรปู ของไอออน สว่ นสมการไอออนกิ สทุ ธิแสดงเฉพาะไอออนท ่ี ทำปฏิกิรยิ ากัน และผลิตภณั ฑ์ทเี่ กิดข้ึน 172 ตวั ช้ีวดั และสาระการเรยี นรแู้ กนกลาง กลมุ่ สาระการเรยี นร้วู ิทยาศาสตร์ (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขัน้ พืน้ ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑
ชนั้ ผลการเรยี นร้ ู สาระการเรียนร้เู พิ่มเตมิ ๑๔. อธบิ ายการเกดิ พนั ธะโคเวเลนตแ์ บบพนั ธะเดยี่ ว • พนั ธะโคเวเลนตเ์ ปน็ การยดึ เหนย่ี วทเ่ี กดิ ขนึ้ ภายใน พนั ธะคู่ และพนั ธะสาม ดว้ ยโครงสร้างลิวอสิ โมเลกลุ จากการใชเ้ วเลนซ์อิเลก็ ตรอนรว่ มกนั ของธาตุ ซง่ึ สว่ นใหญเ่ ป็นธาตอุ โลหะ โดยทวั่ ไป จะเป็นไปตามกฎออกเตต สารที่ยดึ เหนีย่ วกันดว้ ย พนั ธะโคเวเลนตเ์ รียกวา่ สารโคเวเลนต์ พนั ธะ โคเวเลนต์เกดิ ได้ทั้งพันธะเดย่ี ว พันธะคู่ และ พนั ธะสาม ซง่ึ สามารถเขียนแสดงได้ด้วย โครงสรา้ งลวิ อสิ โดยแสดงอเิ ลก็ ตรอนครู่ ว่ มพนั ธะ ด้วยจุดหรือเส้น และแสดงอเิ ลก็ ตรอนคูโ่ ดดเด่ยี ว ของแตล่ ะอะตอมด้วยจุด ๑๕. เขยี นสตู ร และเรยี กชื่อสารโคเวเลนต ์ • สูตรโมเลกลุ ของสารโคเวเลนต์ โดยทวั่ ไป เขยี นแสดงดว้ ยสัญลกั ษณข์ องธาตเุ รยี งลำดับ ตามคา่ อิเล็กโทรเนกาติวติ จี ากน้อยไปมาก โดยมีตวั เลขแสดงจำนวนอะตอมของธาตุ ทมี่ มี ากกว่า ๑ อะตอมในโมเลกลุ • การเรยี กชอื่ สารโคเวเลนต์ทำไดโ้ ดยเรยี กช่อื ธาตทุ ่อี ยู่หนา้ ก่อน แลว้ ตามด้วยชอ่ื ธาตทุ อ่ี ยู่ถดั มา โดยมีคำนำหนา้ ระบจุ ำนวนอะตอมของธาตุทีเ่ ป็น องคป์ ระกอบ ๑๖. วิเคราะห์ และเปรียบเทยี บความยาวพันธะ • ความยาวพนั ธะและพลังงานพนั ธะในสาร และพลังงานพนั ธะในสารโคเวเลนต์ รวมท้ัง โคเวเลนตข์ ้ึนกบั ชนิดของอะตอมค่รู ่วมพันธะ คำนวณพลังงานทเี่ กี่ยวข้องกับปฏิกิริยาของ และชนดิ ของพนั ธะ โดยพันธะเด่ียว พนั ธะค ู่ สารโคเวเลนตจ์ ากพลงั งานพันธะ และพันธะสาม มีความยาวพนั ธะและพลงั งาน พนั ธะแตกต่างกนั นอกจากนี้โมเลกลุ โคเวเลนต์ บางชนดิ มีค่าความยาวพนั ธะและพลังงานพนั ธะ แตกตา่ งจากของพนั ธะเดย่ี ว พนั ธะคู่ และพนั ธะสาม ซ่ึงสารเหล่าน้สี ามารถเขยี นโครงสร้างลิวอสิ ท่ีเหมาะสมได้มากกวา่ ๑ โครงสรา้ ง ท่เี รยี กวา่ โครงสร้างเรโซแนนซ์ • พลังงานพันธะนำมาใช้ในการคำนวณพลังงาน ของปฏกิ ิริยา ซ่ึงได้จากผลตา่ งของพลงั งาน พนั ธะรวมของสารตัง้ ต้นกบั ผลติ ภณั ฑ์ ตวั ช้ีวัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลมุ่ สาระการเรยี นร้วู ิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) 173 ตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พ้นื ฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑
ชั้น ผลการเรียนร ู้ สาระการเรยี นรูเ้ พ่ิมเติม ๑๗. คาดคะเนรปู รา่ งโมเลกลุ โคเวเลนต์ โดยใช้ • รูปร่างของโมเลกลุ โคเวเลนต์ อาจพจิ ารณาโดยใช้ ทฤษฎกี ารผลกั ระหวา่ งคอู่ เิ ลก็ ตรอนในวงเวเลนซ์ ทฤษฎีการผลักระหวา่ งคูอ่ ิเล็กตรอนในวงเวเลนซ์ และระบุสภาพข้ัวของโมเลกลุ โคเวเลนต ์ (VSEPR) ซ่งึ ข้ึนอยู่กับจำนวนพันธะและจำนวน อิเล็กตรอนคโู่ ดดเดยี่ วรอบอะตอมกลาง โมเลกุลโคเวเลนตม์ ีทงั้ โมเลกลุ มขี ้วั และไมม่ ีข้วั สภาพข้วั ของโมเลกุลโคเวเลนตเ์ ปน็ ผลรวม ปรมิ าณเวกเตอรส์ ภาพขั้วของแต่ละพนั ธะตาม รูปร่างโมเลกลุ ๑๘. ระบชุ นิดของแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกลุ • แรงยึดเหน่ยี วระหวา่ งโมเลกลุ ซึ่งอาจเป็น โคเวเลนต์ และเปรียบเทียบจดุ หลอมเหลว แรงแผ่กระจายลอนดอน แรงระหว่างขว้ั จดุ เดอื ด และการละลายนำ้ ของสารโคเวเลนต ์ และพันธะไฮโดรเจน มีผลต่อจุดหลอมเหลว จุดเดือด และการละลายนำ้ ของสาร นอกจากน้ี สารโคเวเลนตส์ ว่ นใหญย่ ังมจี ุดหลอมเหลว และจุดเดือดต่ำกวา่ สารประกอบไอออนิก เนื่องจากแรงยึดเหนยี่ วระหว่างโมเลกลุ มคี า่ นอ้ ยกว่าพันธะไอออนิก • สารโคเวเลนตส์ ว่ นใหญม่ ีจุดหลอมเหลวและ จดุ เดอื ดตำ่ และไมล่ ะลายในนำ้ สำหรบั สาร โคเวเลนต์ทีล่ ะลายนำ้ มที ง้ั แตกตวั และไมแ่ ตกตัว เป็นไอออน สารละลายที่ไดจ้ ากสารที่ไม่แตกตวั เป็นไอออนจะไม่นำไฟฟ้า เรยี กวา่ สารละลาย- นอนอิเลก็ โทรไลต์ สว่ นสารละลายที่ได้จากสาร ที่แตกตัวเปน็ ไอออนจะนำไฟฟ้า เรียกวา่ สารละลายอเิ ลก็ โทรไลต์ สารละลายของ สารประกอบคลอไรดแ์ ละออกไซด์จะมีสมบตั ิ เปน็ กรด ๑๙. สืบค้นขอ้ มูล และอธิบายสมบัตขิ อง • สารโคเวเลนตบ์ างชนิดทีม่ โี ครงสรา้ งโมเลกลุ สารโคเวเลนต์โครงร่างตาข่ายชนิดตา่ ง ๆ ขนาดใหญแ่ ละมพี ันธะโคเวเลนตต์ ่อเนื่อง เปน็ โครงร่างตาข่าย จะมจี ุดหลอมเหลวและ จดุ เดือดสงู สารโคเวเลนต์โครงรา่ งตาขา่ ยที่ม ี ธาตอุ งค์ประกอบเหมอื นกัน แต่มีอัญรูปตา่ งกนั จะมสี มบตั ติ ่างกนั เช่น เพชร แกรไฟต ์ 174 ตวั ชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กล่มุ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาขน้ั พนื้ ฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑
ชนั้ ผลการเรียนร้ ู สาระการเรยี นรเู้ พ่มิ เตมิ ๒๐. อธบิ ายการเกดิ พนั ธะโลหะและสมบตั ขิ องโลหะ • พันธะโลหะเกดิ จากเวเลนซอ์ ิเล็กตรอนของ ทกุ อะตอมของโลหะเคลอ่ื นทอ่ี ยา่ งอิสระไปท่วั ทั้งโลหะ และเกดิ แรงยดึ เหนยี่ วกับโปรตอน ในนิวเคลียสทุกทิศทาง • โลหะสว่ นใหญเ่ ปน็ ของแขง็ มผี วิ มนั วาว สามารถ ตเี ป็นแผน่ หรือดึงเป็นเสน้ ได้ นำความร้อนและ นำไฟฟา้ ได้ดี มจี ดุ หลอมเหลวและจุดเดือดสงู ๒๑. เปรยี บเทยี บสมบตั บิ างประการของสารประกอบ • สารประกอบไอออนกิ สารโคเวเลนต์ และโลหะ ไอออนกิ สารโคเวเลนต์ และโลหะ สบื คน้ ขอ้ มลู มีสมบตั ิเฉพาะตวั บางประการที่แตกต่างกนั เชน่ และนำเสนอตวั อยา่ งการใชป้ ระโยชนข์ อง จุดเดอื ด จุดหลอมเหลว การละลายนำ้ การนำ สารประกอบไอออนิก สารโคเวเลนต์ และ ไฟฟา้ จงึ สามารถนำมาใชป้ ระโยชน์ในด้านต่าง ๆ โลหะ ไดอ้ ยา่ งเหมาะสม ไดต้ ามความเหมาะสม ม.๕ ๑. อธบิ ายความสัมพนั ธแ์ ละคำนวณปริมาตร • พฤตกิ รรมของแก๊ส และความสมั พันธ์ระหว่าง ความดัน หรืออณุ หภมู ิของแก๊สทภี่ าวะต่าง ๆ ปริมาตร ความดัน และอุณหภมู ิของแก๊ส อธบิ าย ตามกฎของบอยล์ กฎของชาร์ล กฎของ ไดด้ ้วยกฎของบอยล์ กฎของชาร์ล กฎของ เกย์-ลูสแซก เกย์-ลสู แซก และกฎรวมแกส๊ ซ่ึงสามารถนำมาใช้ ในการคำนวณปริมาตร ความดนั หรืออณุ หภมู ิ ๒. คำนวณปรมิ าตร ความดนั หรอื อุณหภูม ิ ของแกส๊ ทภี่ าวะต่าง ๆ ได ้ ของแกส๊ ทภี่ าวะตา่ ง ๆ ตามกฎรวมแกส๊ ๓. คำนวณปรมิ าตร ความดัน อณุ หภมู ิ จำนวนโมล • ความสัมพนั ธร์ ะหว่างปริมาตร และจำนวนโมล หรือมวลของแกส๊ จากความสมั พนั ธ์ตามกฎของ หรอื มวลของแกส๊ อธบิ ายความสมั พันธ์ไดด้ ว้ ย อาโวกาโดร และกฎแก๊สอดุ มคต ิ กฎของอาโวกาโดร สำหรับความสัมพันธ์ระหว่าง ปรมิ าตร ความดัน อณุ หภมู ิ และจำนวนโมล ของแกส๊ อธบิ ายไดด้ ว้ ยกฎแกส๊ อดุ มคติ ซงึ่ สามารถ นำมาใชใ้ นการคำนวณและการอธบิ ายการ เปลย่ี นแปลงทเี่ กย่ี วข้องกบั จำนวนโมลของแก๊ส ท่ภี าวะต่าง ๆ ได ้ ๔. คำนวณความดันย่อยหรือจำนวนโมลของแกส๊ • ในธรรมชาติ แกส๊ สว่ นใหญอ่ ยรู่ วมกนั เปน็ แกส๊ ผสม ในแก๊สผสม โดยใชก้ ฎความดันย่อยของดอลตัน ในกรณีที่แก๊สในแก๊สผสมไม่ทำปฏิกริ ยิ ากนั ความดนั ของแก๊สแตล่ ะชนดิ แปรผันตามเศษสว่ น โมลของแก๊ส ทมี่ ีอยใู่ นแก๊สผสมตามกฎ ความดันยอ่ ยของดอลตนั ตวั ช้ีวัดและสาระการเรยี นรู้แกนกลาง กล่มุ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) 175 ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พน้ื ฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑
ช้นั ผลการเรียนร ู้ สาระการเรียนรู้เพ่ิมเตมิ ๕. อธบิ ายการแพร่ของแกส๊ โดยใช้ทฤษฎจี ลน ์ • แก๊สสามารถแพร่ได้ การแพร่ของแกส๊ อธิบาย ของแกส๊ คำนวณและเปรียบเทยี บอตั รา ได้ดว้ ยทฤษฎีจลน์ของแกส๊ ทีอ่ ุณหภมู ิเดยี วกนั การแพร่ของแกส๊ โดยใชก้ ฎการแพร่ผ่านของ แกส๊ จะแพรไ่ ด้ช้าหรอื เร็วขึน้ อยกู่ ับมวลโมเลกุล เกรแฮม ของแก๊ส อัตราการแพร่ของแก๊สเปน็ สัดส่วน ผกผนั กับรากทสี่ องของมวลโมเลกลุ ของแก๊ส สัมพนั ธ์กับกฎการแพร่ผา่ นของเกรแฮม ๖. สบื ค้นข้อมลู นำเสนอตัวอย่าง และอธบิ ายการ • สมบตั แิ ละกฎตา่ ง ๆ ของแกส๊ สามารถนำไปใช้ ประยกุ ต์ใช้ความรูเ้ กย่ี วกบั สมบตั แิ ละกฎตา่ ง ๆ อธบิ ายปรากฏการณ์ หรือประยุกตใ์ ชใ้ นชีวติ ของแก๊สในการอธบิ ายปรากฏการณ์ หรือ ประจำวนั และในอุตสาหกรรม แกป้ ญั หาในชีวิตประจำวันและในอุตสาหกรรม ม.๖ ๑. สบื ค้นข้อมูลและนำเสนอตัวอย่างสารประกอบ • สารประกอบอินทรยี เ์ ปน็ สารประกอบของ อินทรยี ์ทีม่ พี นั ธะเดีย่ ว พนั ธะคู่ หรือพันธะสาม คารบ์ อนสว่ นใหญพ่ บในส่งิ มีชีวติ มีโครงสร้าง ทีพ่ บในชวี ิตประจำวนั หลากหลายและแบ่งได้หลายประเภท เนอื่ งจาก ธาตคุ าร์บอนสามารถเกิดพันธะโคเวเลนตก์ ับธาตุ คารบ์ อนดว้ ยพันธะเด่ยี ว พนั ธะคู่ พันธะสาม นอกจากน้ียังสามารถเกดิ พนั ธะโคเวเลนตก์ บั ธาตุ อนื่ ๆ ได้อีกดว้ ย และมกี ารนำสารประกอบ อินทรีย์ไปใช้ประโยชน์อยา่ งหลากหลาย ๒. เขยี นสตู รโครงสรา้ งลวิ อสิ สตู รโครงสรา้ งแบบยอ่ • โครงสรา้ งของสารประกอบอนิ ทรยี ์แสดงไดด้ ้วย และสูตรโครงสรา้ งแบบเส้นของสารประกอบ สตู รโครงสรา้ งลิวอสิ สูตรโครงสร้างแบบยอ่ อินทรยี ์ หรอื สูตรโครงสร้างแบบเสน้ ๓. วิเคราะหโ์ ครงสรา้ ง และระบปุ ระเภท • สารประกอบอนิ ทรยี ม์ หี ลายประเภท การพจิ ารณา ของสารประกอบอินทรยี จ์ ากหมูฟ่ ังก์ชนั ประเภทของสารประกอบอนิ ทรยี อ์ าจใชห้ มฟู่ งั กช์ นั เปน็ เกณฑไ์ ดเ้ ป็นแอลเคน แอลคีน แอลไคน์ อะโรมาติกไฮโดรคารบ์ อน แอลกอฮอล์ อีเทอร์ เอมนี แอลดไี ฮด์ คีโตน กรดคาร์บอกซิลกิ เอสเทอร์ เอไมด ์ ๔. เขียนสตู รโครงสร้างและเรยี กชอ่ื สารประกอบ • การเรยี กช่ือสารประกอบอินทรีย์ประเภทแอลเคน อินทรียป์ ระเภทตา่ ง ๆ ท่ีมีหมฟู่ งั กช์ นั ไมเ่ กิน แอลคนี แอลไคน์ แอลกอฮอล์ อีเทอร์ เอมีน ๑ หมู่ ตามระบบ IUPAC แอลดีไฮด์ คโี ตน กรดคาร์บอกซลิ กิ เอสเทอร์ และเอไมด์ จะเรียกตามระบบ IUPAC หรอื อาจเรียกโดยใช้ชื่อสามัญ 176 ตัวชีว้ ัดและสาระการเรียนรแู้ กนกลาง กลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑
ช้ัน ผลการเรียนร้ ู สาระการเรียนรเู้ พิม่ เตมิ ๕. เขียนไอโซเมอร์โครงสรา้ งของสารประกอบ • ปรากฏการณ์ท่สี ารมสี ูตรโมเลกุลเหมอื นกันแตม่ ี อินทรยี ์ประเภทตา่ ง ๆ สมบตั ิแตกต่างกัน เรียกวา่ ไอโซเมอริซึม และ เรียกสารแต่ละชนดิ ว่า ไอโซเมอร์ ไอโซเมอรท์ ่มี ี สตู รโมเลกุลเหมอื นกันแต่มีสตู รโครงสร้างต่างกนั เรยี กว่า ไอโซเมอร์โครงสรา้ ง ๖. วิเคราะห์ และเปรยี บเทยี บจดุ เดอื ดและ • สารประกอบอนิ ทรีย์ท่ีมหี ม่ฟู ังกช์ นั ขนาดโมเลกลุ การละลายในนำ้ ของสารประกอบอนิ ทรีย์ท่มี ี หรอื โครงสร้างของสารต่างกนั จะมจี ดุ เดือดและ หมฟู่ ังกช์ ัน ขนาดโมเลกลุ หรือโครงสรา้ งต่างกนั การละลายในนำ้ ตา่ งกัน สำหรบั การละลายของ สารพจิ ารณาไดจ้ ากความมขี วั้ ของตวั ละลาย และตัวทำละลาย โดยสารสามารถละลายได ้ ในตวั ทำละลายทีม่ ขี ั้วใกล้เคยี งกัน ๗. ระบปุ ระเภทของสารประกอบไฮโดรคารบ์ อน • สารประกอบอินทรยี ป์ ระเภทแอลเคน แอลคนี และเขียนผลิตภณั ฑ์จากปฏกิ ิริยาการเผาไหม้ แอลไคน์ อะโรมาติกไฮโดรคาร์บอน เปน็ ปฏิกริ ิยากบั โบรมนี หรือปฏิกริ ยิ ากบั สารประกอบไฮโดรคารบ์ อน ซึง่ เม่อื เกดิ ปฏกิ ิรยิ า โพแทสเซียมเปอรแ์ มงกาเนต การเผาไหม้ ปฏกิ ริ ิยากับโบรมนี และปฏิกริ ิยากบั โพแทสเซยี มเปอร์แมงกาเนต จะให้ผลของ ปฏกิ ริ ยิ าต่างกัน จงึ สามารถใชเ้ ปน็ เกณฑ ์ ในการจำแนกประเภทของสารประกอบ ไฮโดรคารบ์ อนได ้ ๘. เขยี นสมการเคมีและอธบิ ายการเกิดปฏิกิริยา • กรดคารบ์ อกซิลิกทำปฏกิ ิริยากบั แอลกอฮอล์ได้ เอสเทอริฟเิ คชนั ปฏกิ ิริยาการสงั เคราะหเ์ อไมด์ เป็นเอสเทอร์ เรียกว่า ปฏิกิริยาเอสเทอรฟิ เิ คชนั ปฏกิ ริ ยิ าไฮโดรลซิ สิ และปฏกิ ริ ยิ าสะปอนนฟิ เิ คชนั กรดคารบ์ อกซลิ ิกทำปฏิกิริยากบั เอมีนเกิดเป็น ๙. ทดสอบปฏิกริ ิยาเอสเทอรฟิ เิ คชัน ปฏกิ ิรยิ า เอไมด์ เอสเทอรแ์ ละเอไมด์สามารถเกิดปฏกิ ริ ยิ า ไฮโดรลิซิส และปฏิกิริยาสะปอนนฟิ เิ คชนั ไฮโดรลซิ ิส ปฏกิ ิรยิ าไฮโดรลซิ ิสของเอสเทอร์ ในเบสแอลคาไล เรยี กวา่ ปฏกิ ริ ยิ าสะปอนนฟิ เิ คชนั ๑๐. สบื คน้ ขอ้ มลู และนำเสนอตวั อยา่ งการนำ • สารประกอบอินทรีย์สามารถนำไปใช้ประโยชน์ สารประกอบอินทรีย์ไปใชป้ ระโยชนใ์ นชีวิต ได้มากมายในชวี ิตประจำวนั รวมทงั้ นำไปใชเ้ ปน็ ประจำวันและอุตสาหกรรม สารต้ังต้นและตวั ทำละลายในอตุ สาหกรรม ดา้ นตา่ ง ๆ เชน่ อตุ สาหกรรมเชอื้ เพลงิ และพลงั งาน อุตสาหกรรมอาหารและยา อุตสาหกรรมเกษตร ตวั ชี้วดั และสาระการเรียนรูแ้ กนกลาง กล่มุ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) 177 ตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาข้นั พ้นื ฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑
ชั้น ผลการเรยี นร ู้ สาระการเรียนร้เู พ่ิมเติม ๑๑. ระบุประเภทของปฏกิ ิริยาการเกิดพอลิเมอร์ • พอลเิ มอร์เป็นสารท่ีมีโมเลกลุ ขนาดใหญ่ จากโครงสร้างของมอนอเมอร์หรอื พอลิเมอร์ ซ่งึ ประกอบดว้ ยหน่วยยอ่ ยท่ีเรยี กวา่ มอนอเมอร์ เช่ือมตอ่ กนั ดว้ ยพนั ธะโคเวเลนต์ โดยมีทั้ง พอลเิ มอรธ์ รรมชาตแิ ละพอลิเมอร์สงั เคราะห์ ปฏิกริ ยิ าการเกิดพอลเิ มอร์ อาจเป็นปฏิกริ ยิ าแบบ ควบแน่นหรือปฏกิ ริ ยิ าแบบเติม ขึน้ อยกู่ ับ หมฟู่ งั ก์ชนั และโครงสรา้ งของมอนอเมอร ์ ๑๒. วิเคราะห์ และอธบิ ายความสัมพันธร์ ะหวา่ ง • พอลเิ มอร์มีโครงสร้างต่างกนั อาจเปน็ โครงสร้าง โครงสรา้ งและสมบัติของพอลิเมอร์ รวมทัง้ แบบเสน้ แบบกง่ิ หรอื แบบรา่ งแห ข้ึนอยู่กบั ชนิด การนำไปใช้ประโยชน์ ของมอนอเมอร์และภาวะของปฏิกิรยิ าการเกดิ พอลิเมอร์ ซ่งึ โครงสรา้ งของพอลิเมอรส์ ง่ ผลตอ่ จุดหลอมเหลว ความหนาแน่น ความเปราะ ความเหนยี ว ความยดื หยุ่น จึงสามารถนำไป ประยกุ ตใ์ ชไ้ ด้อยา่ งหลากหลาย ๑๓. ทดสอบ และระบปุ ระเภทของพลาสตกิ • พอลเิ มอร์ที่ให้ความร้อนแลว้ สามารถนำกลบั มา และผลติ ภัณฑ์ยาง รวมท้งั การนำไปใช้ ขึ้นรูปใหมไ่ ด้ เรยี กวา่ พอลิเมอรเ์ ทอร์มอพลาสติก ประโยชน์ ส่วนใหญ่มโี ครงสร้างแบบเสน้ และแบบกิง่ สว่ นพอลเิ มอรท์ ีใ่ หค้ วามร้อนแลว้ ไม่ออ่ นตวั จงึ ไมส่ ามารถนำกลบั มาข้นึ รูปใหม่ได้ เรยี กว่า พอลิเมอร์เทอรม์ อเซต มีโครงสร้างแบบร่างแห พลาสติกมที ้ังท่เี ปน็ พอลิเมอรเ์ ทอรม์ อพลาสติก และพอลิเมอรเ์ ทอรม์ อเซต ผลิตภณั ฑย์ างเปน็ พอลเิ มอรเ์ ทอรม์ อเซต ซึง่ ทำใหม้ สี มบตั แิ ละ การนำไปใช้ประโยชนต์ า่ งกนั ๑๔. อธิบายผลของการปรบั เปล่ยี นโครงสรา้ ง และ • การปรับเปลย่ี นโครงสร้างหรอื การสังเคราะห์ การสังเคราะห์พอลเิ มอรท์ ่มี ีตอ่ สมบตั ขิ อง พอลเิ มอร์ เชน่ วลั คาไนเซชัน การสงั เคราะห ์ พอลิเมอร์ โคพอลเิ มอร์ การสังเคราะห์พอลเิ มอร์นำไฟฟ้า เป็นการปรับปรุงคณุ ภาพของพอลิเมอร์ เพื่อใหไ้ ด้ ผลติ ภณั ฑท์ ่ีสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได ้ อย่างเหมาะสมและหลากหลายมากขนึ้ ๑๕. สบื ค้นขอ้ มูล และนำเสนอตวั อยา่ งผลกระทบ • การใชแ้ ละการกำจัดผลติ ภัณฑพ์ อลเิ มอร์ อาจส่ง จากการใช้และการกำจัดผลิตภัณฑ์พอลิเมอร์ ผลกระทบตอ่ ส่ิงมชี ีวติ และสิ่งแวดลอ้ ม จึงควร และแนวทางแก้ไข ตระหนกั ถงึ ผลกระทบทเี่ กดิ ขน้ึ และแนวทางแกไ้ ข 178 ตัวชี้วดั และสาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑
สาระเคมี ๒. เขา้ ใจการเขยี นและการดลุ สมการเคมี ปรมิ าณสมั พนั ธใ์ นปฏกิ ริ ยิ าเคมี อตั ราการเกดิ ปฏิกิริยาเคมี สมดุลในปฏิกิริยาเคมี สมบัติและปฏิกิริยาของกรด-เบส ปฏิกิริยา รดี อกซแ์ ละเซลล์เคมไี ฟฟ้า รวมทัง้ การนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ ชน้ั ผลการเรยี นร ู้ สาระการเรียนร้เู พม่ิ เตมิ ม.๔ ๑. แปลความหมายสัญลักษณใ์ นสมการเคมี • ปฏิกิรยิ าเคมี เปน็ การเปลย่ี นแปลงทีม่ ีสารใหม่ เขียนและดุลสมการเคมีของปฏกิ ริ ิยาเคม ี เกดิ ขึน้ จากการจัดเรียงตวั ใหมข่ องอะตอมธาตุ บางชนิด โดยจำนวนและชนดิ ของอะตอมธาตไุ มเ่ ปลย่ี นแปลง ปฏิกริ ยิ าเคมีเขียนแสดงได้ดว้ ยสมการเคมี ๒. คำนวณปริมาณของสารในปฏกิ ิริยาเคม ี ซง่ึ ประกอบด้วยสตู รเคมขี องสารตง้ั ตน้ และ ทเ่ี กี่ยวขอ้ งกับมวลสาร ผลิตภณั ฑ์ ลูกศรแสดงทศิ ทางของการเกิด ปฏกิ ริ ิยา และเลขสัมประสทิ ธ์ขิ องสารตง้ั ตน้ ๓. คำนวณปริมาณของสารในปฏกิ ริ ยิ าเคมี และผลติ ภณั ฑท์ ดี่ ลุ แลว้ นอกจากนอี้ าจมสี ญั ลกั ษณ์ ที่เก่ียวข้องกบั ความเขม้ ขน้ ของสารละลาย แสดงสถานะของสาร หรือปัจจัยอน่ื ทเี่ กย่ี วข้อง ในการเกิดปฏกิ ิริยาเคม ี ๔. คำนวณปรมิ าณของสารในปฏิกริ ยิ าเคมี • การดลุ สมการเคมที ำไดโ้ ดยการเตมิ เลขสมั ประสทิ ธิ์ ทเี่ กีย่ วขอ้ งกับปริมาตรแก๊ส หนา้ สารตั้งตน้ และผลติ ภณั ฑ์ เพอ่ื ใหอ้ ะตอม ของธาตุในสารต้งั ต้นและผลติ ภณั ฑ์เท่ากัน ๕. คำนวณปรมิ าณของสารในปฏกิ ิริยาเคมี • การเปลีย่ นแปลงปรมิ าณสารในปฏิกริ ิยาเคม ี หลายข้นั ตอน มีความสมั พันธก์ ันตามเลขสัมประสทิ ธ ์ิ ในสมการเคมี ซงึ่ บอกถงึ อตั ราสว่ นโดยโมลของสาร ๖. ระบสุ ารกำหนดปริมาณ และคำนวณปรมิ าณ ในปฏิกิริยา สามารถนำมาใช้ในการคำนวณ สารต่าง ๆ ในปฏกิ ิริยาเคมี ปรมิ าณของสารท่เี ก่ียวข้องกับมวล ความเขม้ ขน้ ของสารละลาย และปริมาตรของแก๊สได้ • ความสมั พนั ธข์ องโมลสารต้ังต้นและผลิตภัณฑ์ ในปฏกิ ริ ยิ าเคมหี ลายขนั้ ตอน พจิ ารณาไดจ้ าก เลขสัมประสิทธ์ิของสมการเคมรี วม • ปฏิกิรยิ าเคมที ่ีสารตัง้ ตน้ ทำปฏิกริ ยิ าไมพ่ อดกี นั สารตงั้ ต้นที่ทำปฏกิ ริ ิยาหมดกอ่ น เรียกว่า สารกำหนดปริมาณ ซงึ่ เป็นสารทีก่ ำหนดปรมิ าณ ผลติ ภณั ฑ์ท่ีเกิดข้ึน และปริมาณสารต้ังต้นอ่ืน ท่ที ำปฏิกิริยาไปเมื่อส้นิ สุดปฏกิ ิรยิ า ตวั ช้ีวดั และสาระการเรียนรแู้ กนกลาง กล่มุ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) 179 ตามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขั้นพ้นื ฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑
ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรยี นรเู้ พ่ิมเติม ๗. คำนวณผลได้ร้อยละของผลิตภณั ฑ์ในปฏิกิริยา • ผลิตภัณฑ์ท่ีเกดิ ข้ึนจรงิ ในปฏกิ ิรยิ าเคมีสว่ นใหญ ่ เคม ี มีปริมาณนอ้ ยกวา่ ท่คี ำนวณไดต้ ามทฤษฎ ี ซงึ่ ค่าเปรียบเทียบผลได้จรงิ กับผลได้ตามทฤษฎี เปน็ รอ้ ยละ เรยี กว่า ผลไดร้ ้อยละ ม.๕ ๑. ทดลอง และเขียนกราฟการเพิม่ ขึ้นหรอื ลดลง • ปฏกิ ริ ิยาเคมแี ตล่ ะปฏกิ ริ ยิ ามีอตั ราการเกดิ ของสารทที่ ำการวัดในปฏิกริ ยิ า ปฏกิ ริ ิยาเคมตี ่างกัน โดยอาจวดั จากการลดลง ๒. คำนวณอตั ราการเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเคมี และเขยี นกราฟ ของสารตงั้ ต้นหรอื การเพิม่ ขึ้นของผลติ ภัณฑ ์ การลดลงหรอื เพม่ิ ขึ้นของสารท่ีไมไ่ ดว้ ัด ตอ่ หนง่ึ หน่วยเวลา และหารด้วยเลขสัมประสทิ ธิ์ ในปฏิกิริยา ของสารนน้ั ๆ ในสมการเคมี เพอื่ ใหไ้ ดอ้ ตั ราการเกดิ ปฏิกิรยิ าเคมที ่ีเทา่ กันไม่ว่าจะเป็นการวัดจาก สารต้งั ต้นหรอื ผลติ ภัณฑ์ ๓. เขียนแผนภาพ และอธบิ ายทศิ ทางการชนกนั • ปฏกิ ิรยิ าเคมีจะเกิดข้ึนไดก้ ็ตอ่ เมือ่ อนุภาคของ ของอนภุ าคและพลงั งานทีส่ ่งผลตอ่ อัตรา สารตง้ั ตน้ ชนกนั ในทิศทางท่ีเหมาะสมและมี การเกิดปฏกิ ิรยิ าเคม ี พลงั งานอยา่ งน้อยเทา่ กับพลังงานกอ่ กมั มันต์ ดงั นน้ั อตั ราการเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าจงึ ขนึ้ กบั ทศิ ทางการชน และพลงั งานทเี่ กดิ จากการชน ๔. ทดลอง และอธบิ ายผลของความเขม้ ขน้ พนื้ ทผ่ี วิ • อตั ราการเกิดปฏกิ ิริยาเคมขี องสารหนึ่ง ๆ ข้นึ อยู่ ของสารตง้ั ตน้ อุณหภมู ิ และตวั เร่งปฏกิ ริ ยิ าท่ีมี กับความเข้มข้น พนื้ ทีผ่ วิ อณุ หภูมิ ตัวเรง่ และ ตอ่ อัตราการเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเคม ี ตวั หนว่ งปฏิกริ ยิ า นอกจากนอี้ ตั ราการเกดิ ๕. เปรยี บเทียบอตั ราการเกิดปฏกิ ริ ยิ าเม่ือมกี าร ปฏกิ ิริยาเคมียงั ขึน้ อยกู่ บั ชนดิ ของสารที่ทำ เปลย่ี นแปลงความเขม้ ขน้ พนื้ ทผ่ี วิ ของสารตงั้ ตน้ ปฏกิ ริ ิยาดว้ ย อุณหภูมิ และตวั เร่งปฏิกิรยิ า ๖. ยกตวั อยา่ ง และอธิบายปัจจยั ทม่ี ผี ลตอ่ อตั รา • ความรเู้ ก่ยี วกับปจั จัยท่มี ีผลต่ออัตราการเกดิ การเกิดปฏกิ ริ ิยาเคมใี นชีวติ ประจำวัน ปฏิกิริยาเคมีสามารถนำมาใช้อธบิ ายกระบวนการ หรอื อตุ สาหกรรม ท่เี กดิ ขึ้นในชวี ติ ประจำวนั หรอื อตุ สาหกรรม 180 ตวั ช้ีวัดและสาระการเรียนร้แู กนกลาง กลมุ่ สาระการเรียนร้วู ิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขั้นพ้ืนฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑
ช้นั ผลการเรียนร ู้ สาระการเรียนรูเ้ พม่ิ เติม ๗. ทดสอบ และอธบิ ายความหมายของ • ปฏิกริ ิยาเคมที ี่สามารถดำเนนิ ไปขา้ งหนา้ และ ปฏกิ ริ ิยาผนั กลับได้และภาวะสมดุล ยอ้ นกลบั ได้ เรียกว่า ปฏกิ ิรยิ าผนั กลับได้ เม่ือ ปฏิกิรยิ าดำเนนิ ไปความเขม้ ข้นของสารตง้ั ต้น ๘. อธบิ ายการเปลยี่ นแปลงความเข้มข้นของสาร และอตั ราการเกิดปฏิกิรยิ าไปข้างหน้าจะลดลง อัตราการเกิดปฏิกิริยาไปข้างหน้า และอตั รา สว่ นความเขม้ ข้นของผลิตภัณฑ์และอัตราการเกดิ การเกิดปฏิกริ ิยาย้อนกลบั เม่ือเรม่ิ ปฏกิ ิรยิ า ปฏกิ ิริยาย้อนกลับจะเพิ่มขึ้น เม่อื อัตราการเกดิ จนกระทงั่ ระบบอยใู่ นภาวะสมดุล ปฏิกิรยิ าไปขา้ งหนา้ เทา่ กับอตั ราการเกดิ ปฏิกริ ิยายอ้ นกลับ ระบบจะอยใู่ นภาวะสมดลุ ทม่ี คี วามเขม้ ขน้ ของสารตง้ั ตน้ และผลติ ภณั ฑค์ งท่ี เรียกวา่ สมดุลพลวตั ๙. คำนวณคา่ คงทีส่ มดลุ ของปฏิกิรยิ า • ณ ภาวะสมดุล ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งความเข้มข้น ๑๐. คำนวณความเขม้ ข้นของสารทภ่ี าวะสมดุล ของผลติ ภัณฑก์ ับสารตั้งต้น แสดงไดด้ ว้ ย คา่ คงทสี่ มดลุ ซึง่ เป็นคา่ คงที่ ณ อณุ หภูมหิ น่งึ ๑๑. คำนวณค่าคงทสี่ มดลุ หรือความเข้มข้นของ • คา่ คงทสี่ มดลุ ของปฏกิ ริ ยิ าหลายขนั้ ตอน หาไดจ้ าก ปฏิกิริยาหลายขนั้ ตอน ผลคูณของค่าคงท่สี มดุลของปฏิกริ ยิ ายอ่ ยทีน่ ำ สมการเคมมี ารวมกนั โดยถ้ามีการคณู สมการย่อย ใหย้ กกำลงั ค่าคงที่สมดุลด้วยตวั เลขท่ีคูณ และ หากมีการกลับข้างสมการ ให้กลบั คา่ คงที่สมดุล เปน็ ตวั หาร ๑๒. ระบปุ จั จัยท่มี ผี ลตอ่ ภาวะสมดลุ และ • เมือ่ ระบบท่อี ยู่ในภาวะสมดลุ ถูกรบกวน โดยการ ค่าคงท่สี มดลุ ของระบบ รวมทั้งคาดคะเน เปลี่ยนแปลงความเขม้ ขน้ ของสาร ความดนั หรือ การเปลีย่ นแปลงที่เกิดขึ้นเมื่อภาวะสมดลุ อุณหภูมิ ระบบจะเกิดการเปลย่ี นแปลงเพือ่ เขา้ สู่ ของระบบถกู รบกวน โดยใช้หลักของ ภาวะสมดลุ อีกครงั้ ตามหลกั ของเลอชาเตอลเิ อ เลอชาเตอลเิ อ ทงั้ น้ีการเปล่ียนแปลงอณุ หภูมิมผี ลทำให ้ ค่าคงท่ีสมดุลเปล่ยี นแปลง ๑๓. ยกตัวอยา่ ง และอธบิ ายสมดลุ เคมขี อง • ความรเู้ กยี่ วกบั สมดุลเคมีสามารถนำมาใชอ้ ธิบาย กระบวนการทเ่ี กดิ ขนึ้ ในสง่ิ มชี วี ติ ปรากฏการณ์ กระบวนการที่เกดิ ขึ้นในสิ่งมีชีวิต ปรากฏการณ์ ในธรรมชาติและกระบวนการในอตุ สาหกรรม ในธรรมชาตแิ ละกระบวนการในอุตสาหกรรม ๑๔. ระบุ และอธบิ ายวา่ สารเป็นกรดหรือเบส • สารในชวี ติ ประจำวันหลายชนดิ มีสมบตั ิเป็นกรด โดยใชท้ ฤษฎกี รด-เบสของอาร์เรเนยี ส หรอื เบส ซึ่งพิจารณาไดโ้ ดยใชท้ ฤษฎกี รด-เบส เบรนิ สเตด-ลาวรี และลวิ อสิ ของอารเ์ รเนียส เบรนิ สเตด-ลาวรี หรอื ลวิ อสิ ตวั ชวี้ ดั และสาระการเรียนรแู้ กนกลาง กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) 181 ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาข้นั พนื้ ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑
ชนั้ ผลการเรยี นร้ ู สาระการเรียนรู้เพมิ่ เติม ๑๕. ระบคุ ู่กรด-เบสของสารตามทฤษฎกี รด-เบส • ตามทฤษฎกี รด-เบสของเบรินสเตด–ลาวรี เมอ่ื ของเบรนิ สเตด-ลาวรี กรดหรอื เบสละลายนำ้ หรือทำปฏกิ ริ ิยากบั สารอ่นื จะมีการถา่ ยโอนโปรตอนระหว่างสารตงั้ ต้น ท่เี ป็นกรดและเบส เกิดเป็นผลติ ภณั ฑ์ซึ่งเป็น โมเลกลุ หรือไอออนท่เี ปน็ คูก่ รด-เบสของ สารตัง้ ตน้ น้ัน โดยสารท่ีเป็นคกู่ รด-เบสกนั จะมี โปรตอนตา่ งกัน ๑ โปรตอน ๑๖. คำนวณ และเปรียบเทยี บความสามารถ • กรดและเบสแต่ละชนิดสามารถแตกตัวในน้ำได้ ในการแตกตัวหรือความแรงของกรดและเบส แตกตา่ งกัน กรดแกห่ รอื เบสแกส่ ามารถแตกตวั เป็นไอออนในนำ้ ไดเ้ กอื บสมบรู ณ์ ส่วนกรดออ่ น หรอื เบสออ่ นแตกตวั เป็นไอออนได้น้อย โดยความสามารถในการแตกตวั หรือความแรง ของกรดหรอื เบสอาจพจิ ารณาได้จากคา่ คงท ี่ การแตกตัวของกรดหรอื เบส หรือปรมิ าณ การแตกตวั เป็นร้อยละของกรดหรือเบส ๑๗. คำนวณค่า pH ความเข้มข้นของไฮโดรเนยี ม • น้ำบริสทุ ธ์ิทอ่ี ุณหภูมิ ๒๕ องศาเซลเซยี สแตกตัว ไอออนหรอื ไฮดรอกไซด์ไอออนของ ให้ไฮโดรเนยี มไอออนและไฮดรอกไซดไ์ อออน สารละลายกรดและเบส ทม่ี คี วามเขม้ ขน้ เทา่ กนั คอื 1.0 x 10-7 โมลตอ่ ลติ ร โดยมคี า่ คงทก่ี ารแตกตวั ของน้ำ เท่ากบั 1.0 x 10-14 • เม่อื กรดหรอื เบสแตกตัวในนำ้ ค่าความเปน็ กรด- เบสของสารละลายแสดงได้ด้วยค่า pH ซ่งึ สัมพันธก์ บั ความเขม้ ข้นของไฮโดรเนยี มไอออน โดยสารละลายกรดมคี วามเข้มขน้ ของไฮโดรเนยี ม ไอออนมากกวา่ 1.0 x 10-7 โมลตอ่ ลติ ร หรือมีค่า pH นอ้ ยกว่า ๗ สว่ นสารละลายเบสมี ความเข้มขน้ ของไฮโดรเนียมไอออนน้อยกวา่ 1.0 x 10-7 โมลตอ่ ลติ ร หรอื มคี ่า pH มากกวา่ ๗ ๑๘. เขียนสมการเคมแี สดงปฏิกริ ิยาสะเทิน และ • ปฏกิ ริ ิยาสะเทนิ ระหวา่ งกรดแกแ่ ละเบสแก่ ระบคุ วามเปน็ กรด-เบสของสารละลาย ใหส้ ารละลายท่เี ปน็ กลาง ปฏิกิรยิ าสะเทิน หลังการสะเทนิ ระหวา่ งกรดแก่และเบสออ่ น ใหส้ ารละลาย ทเ่ี ปน็ กรด สว่ นปฏกิ ริ ิยาสะเทินระหว่างกรดออ่ น ๑๙. เขียนปฏิกริ ยิ าไฮโดรลซิ สิ ของเกลอื และระบุ และเบสแก่ ให้สารละลายทเ่ี ปน็ เบส ความเป็นกรด-เบสของสารละลายเกลอื 182 ตัวช้วี ัดและสาระการเรยี นรู้แกนกลาง กลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พนื้ ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑
ชนั้ ผลการเรียนร้ ู สาระการเรยี นรู้เพม่ิ เติม • เกลือทไี่ ด้จากการสะเทินของกรดแกด่ ้วยเบสอ่อน เมื่อละลายในนำ้ จะเกิดปฏิกริ ยิ าไฮโดรลซิ สิ ได้ สารละลายท่มี ีสมบตั ิเปน็ กรด ส่วนเกลือทีไ่ ดจ้ าก การสะเทินของกรดอ่อนด้วยเบสแก่ เมอื่ ละลาย ในน้ำจะเกิดปฏิกริ ยิ าไฮโดรลซิ สิ ได้สารละลาย ที่มสี มบัตเิ ป็นเบส ๒๐. ทดลอง และอธิบายหลกั การการไทเทรต • การไทเทรตเปน็ เทคนคิ ในการวเิ คราะหห์ าปรมิ าณ และเลอื กใช้อินดิเคเตอรท์ เ่ี หมาะสมสำหรบั หรอื ความเขม้ ขน้ ของสารทีท่ ำปฏิกริ ิยาพอดีกนั การไทเทรตกรด-เบส จดุ ทส่ี ารทำปฏิกิรยิ าพอดีกนั เรยี กวา่ จดุ สมมูล ในทางปฏบิ ตั ิ จดุ สมมลู ของปฏกิ ริ ยิ าอาจไมส่ ามารถ สังเกตเห็นได้ จงึ สังเกตจากการเปลี่ยนสขี อง อนิ ดเิ คเตอร์ เพอ่ื บอกจดุ ยตุ ขิ องการไทเทรต ดงั นน้ั อินดเิ คเตอรท์ ี่เหมาะสมในการไทเทรตกรด-เบส ควรเป็นอินดเิ คเตอรท์ ีเ่ ปลยี่ นสีในชว่ ง pH ตรงกับ หรอื ใกลเ้ คยี งกบั pH ของสารละลาย ณ จดุ สมมลู ๒๑. คำนวณปริมาณสารหรอื ความเข้มขน้ ของ • ปรมิ าณกรดและเบสที่ทำปฏิกิริยาพอดีกนั จาก สารละลายกรดหรือเบสจากการไทเทรต การไทเทรตกรด-เบส สามารถนำไปคำนวณ ความเข้มขน้ ของกรดหรอื เบสที่ตอ้ งการทราบ ความเขม้ ข้นได้ ๒๒. อธิบายสมบัติ องค์ประกอบ และประโยชน์ • สารละลายบัฟเฟอรเ์ ปน็ สารละลายของกรดออ่ น ของสารละลายบฟั เฟอร์ กับเกลือของกรดออ่ นนน้ั หรอื เบสอ่อนกับเกลือ ของเบสออ่ นน้นั เมอ่ื เตมิ กรด เบส หรือนำ้ จะมีผลต่อการเปลย่ี นแปลงคา่ pH น้อยกว่า สารละลายทว่ั ไป สมบตั ิเฉพาะของสารละลาย บฟั เฟอรเ์ ป็นประโยชนต์ อ่ การควบคุม pH ของระบบในส่ิงมีชีวติ และส่ิงแวดลอ้ ม ๒๓. สบื คน้ ขอ้ มลู และนำเสนอตวั อยา่ งการใชป้ ระโยชน์ • ความรเู้ กย่ี วกบั กรด-เบส สามารถนำมาใชป้ ระโยชน์ และการแกป้ ญั หาโดยใชค้ วามร้เู กี่ยวกบั และแก้ปัญหาในชวี ติ ประจำวนั เกษตรกรรม กรด-เบส อตุ สาหกรรม และการแพทย ์ ๒๔. คำนวณเลขออกซเิ ดชัน และระบุปฏกิ ิริยา • เคมีไฟฟา้ เปน็ การศกึ ษาเก่ียวกับการเปลยี่ นแปลง ที่เปน็ ปฏกิ ริ ยิ ารดี อกซ ์ ระหวา่ งพลังงานไฟฟ้าและการเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเคม ี ทีม่ ีการถ่ายโอนอิเลก็ ตรอนแล้วทำใหเ้ กิดการ เปลยี่ นแปลงเลขออกซิเดชนั ซงึ่ เป็นเลขท่แี สดง ประจุไฟฟ้าหรือประจุไฟฟา้ สมมตขิ องอะตอมธาตุ เรียกปฏกิ ิรยิ าชนิดนี้วา่ ปฏิกริ ิยารดี อกซ ์ ตัวชว้ี ัดและสาระการเรยี นรู้แกนกลาง กล่มุ สาระการเรียนร้วู ิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) 183 ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้ันพนื้ ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑
ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพม่ิ เตมิ ๒๕. วิเคราะห์การเปลยี่ นแปลงเลขออกซิเดชนั • ปฏกิ ริ ยิ ารีดอกซม์ ีทงั้ ครึง่ ปฏิกริ ิยาท่มี ีการให้ และระบตุ วั รดี ิวซ์และตวั ออกซิไดส์ รวมทงั้ อิเล็กตรอน เรยี กวา่ คร่งึ ปฏิกริ ยิ าออกซิเดชนั เขยี นครง่ึ ปฏกิ ริ ยิ าออกซเิ ดชนั และครง่ึ ปฏกิ ริ ยิ า และครง่ึ ปฏิกิรยิ าทมี่ กี ารรับอเิ ลก็ ตรอน เรยี กวา่ รีดักชันของปฏกิ ริ ิยารีดอกซ์ คร่ึงปฏกิ ิริยารดี ักชนั โดยสารที่ใหอ้ ิเล็กตรอน จะมเี ลขออกซเิ ดชนั เพมิ่ ขน้ึ เรียกวา่ ตวั รีดวิ ซ์ ส่วนสารทรี่ ับอเิ ลก็ ตรอนจะมีเลขออกซเิ ดชัน ลดลง เรียกวา่ ตัวออกซิไดส์ ๒๖. ทดลอง และเปรียบเทยี บความสามารถในการ • การเปรยี บเทยี บความสามารถในการเป็นตัวรีดิวซ์ เป็นตวั รดี ิวซ์หรือตัวออกซไิ ดส์ และเขียนแสดง หรือตวั ออกซิไดสส์ ามารถพจิ ารณาได้จากผล ปฏกิ ิรยิ ารีดอกซ์ การทดลองของปฏกิ ริ ยิ ารีดอกซ์ ๒๗. ดุลสมการรีดอกซด์ ้วยการใช้เลขออกซิเดชนั • ปฏิกิริยารีดอกซ์เขียนแทนไดด้ ว้ ยสมการรีดอกซ์ และวธิ ีครึง่ ปฏกิ ริ ิยา ซง่ึ การดลุ สมการรดี อกซ์ทำได้โดยการใช้ เลขออกซิเดชันและวิธคี รงึ่ ปฏกิ ิรยิ า ๒๘. ระบุองค์ประกอบของเซลล์เคมีไฟฟ้า และ • เซลล์เคมไี ฟฟ้าประกอบดว้ ยแอโนด แคโทด และ เขียนสมการเคมขี องปฏิกริ ิยาทแ่ี อโนดและ สารละลายอเิ ล็กโทรไลต์ ซ่ึงอาจเชือ่ มตอ่ กันด้วย แคโทด ปฏิกริ ยิ ารวม และแผนภาพเซลล์ สะพานเกลอื โดยทแี่ อโนดเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าออกซเิ ดชนั และแคโทดเกดิ ปฏกิ ิรยิ ารดี กั ชัน ทำให้อเิ ล็กตรอน เคลอ่ื นทีจ่ ากแอโนดไปแคโทด เซลล์เคมไี ฟฟ้า สามารถเขยี นแสดงไดด้ ว้ ยแผนภาพเซลล ์ ๒๙. คำนวณคา่ ศักยไ์ ฟฟา้ มาตรฐานของเซลล์ • คา่ ศกั ยไ์ ฟฟ้ามาตรฐานของเซลลค์ ำนวณได้จาก และระบปุ ระเภทของเซลลเ์ คมีไฟฟ้า ข้ัวไฟฟ้า ค่าศกั ย์ไฟฟ้ามาตรฐานของครง่ึ เซลล์ ถา้ ค่า และปฏิกิริยาเคมที ่เี กดิ ข้นึ ศกั ยไ์ ฟฟา้ ของเซลล์เปน็ บวก แสดงวา่ ปฏกิ ริ ิยา รีดอกซ์เกิดขึน้ ไดเ้ อง ซึ่งทำใหเ้ กิดกระแสไฟฟ้า เรียกเซลลช์ นดิ น้วี า่ เซลลก์ ลั วานกิ แต่ถ้าคา่ ศกั ย์ไฟฟ้าของเซลล์เปน็ ลบ แสดงวา่ ปฏกิ ิริยา รีดอกซไ์ มส่ ามารถเกิดไดเ้ อง ต้องมกี ารให้กระแส ไฟฟา้ จงึ จะเกิดปฏกิ ริ ยิ าได้ เซลล์ชนดิ นเี้ รยี กว่า เซลลอ์ เิ ล็กโทรลิติก 184 ตัวชีว้ ัดและสาระการเรียนรแู้ กนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาข้ันพนื้ ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑
ช้นั ผลการเรียนรู ้ สาระการเรยี นรู้เพ่ิมเติม ๓๐. อธิบายหลกั การทำงาน และเขยี นสมการแสดง • เซลล์เคมไี ฟฟ้าสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได ้ ปฏกิ ิรยิ าของเซลลป์ ฐมภมู ิและเซลล์ทุตยิ ภูมิ ในชวี ติ ประจำวนั เชน่ แบตเตอร่ี ซงึ่ มที งั้ เซลลป์ ฐมภมู ิ และเซลลท์ ุติยภูมิ โดยปฏิกริ ยิ าเคมที ่ีเกิดขน้ึ ภายในเซลลป์ ฐมภูมิไม่สามารถทำให้เกิดปฏกิ ริ ยิ า ยอ้ นกลบั ไดโ้ ดยการประจไุ ฟ จงึ ไมส่ ามารถนำกลบั มาใชไ้ ดอ้ ีก ปฏิกริ ิยาเคมที เ่ี กิดขึน้ ภายใน เซลลท์ ตุ ยิ ภมู สิ ามารถทำใหเ้ กดิ ปฏกิ ริ ยิ ายอ้ นกลบั ได้โดยการประจไุ ฟ จึงนำกลบั มาใชไ้ ด้อกี ๓๑. ทดลองชุบโลหะและแยกสารเคมดี ้วยกระแส • เซลลอ์ เิ ลก็ โทรลติ กิ สามารถนำไปใชป้ ระโยชนไ์ ด ้ ไฟฟา้ และอธิบายหลกั การทางเคมไี ฟฟ้าทใี่ ช้ ทง้ั ในชวี ิตประจำวัน และในอุตสาหกรรม ในการชุบโลหะ การแยกสารเคมดี ว้ ยกระแส หลายประเภท เชน่ การชบุ โลหะ การแยกสารเคมี ไฟฟ้า การทำโลหะใหบ้ รสิ ุทธ์ิ และการปอ้ งกนั ด้วยกระแสไฟฟา้ การทำโลหะใหบ้ รสิ ุทธ ิ์ การกดั กรอ่ นของโลหะ การปอ้ งกันการกัดกรอ่ นของโลหะ ๓๒. สบื คน้ ขอ้ มลู และนำเสนอตวั อยา่ งความกา้ วหนา้ • ปฏิกริ ิยาเคมหี ลายปฏิกิรยิ าท่ีพบในชวี ิตประจำวัน ทางเทคโนโลยที ่เี ก่ียวขอ้ งกบั เซลลเ์ คมีไฟฟา้ เป็นปฏกิ ิรยิ ารีดอกซ์ เช่น ปฏกิ ิริยาการเผาไหม้ ในชีวติ ประจำวัน ปฏิกริ ยิ าในเซลล์เคมไี ฟฟา้ ซึง่ ความรู้เรอื่ ง เซลล์เคมีไฟฟา้ และความก้าวหนา้ ทางเทคโนโลยี ท่ีเก่ยี วข้องกับเซลลเ์ คมีไฟฟา้ นำไปสู่นวัตกรรม ดา้ นพลงั งานท่ีเปน็ มิตรต่อสงิ่ แวดลอ้ ม ม.๖ - - ตวั ชวี้ ัดและสาระการเรียนร้แู กนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) 185 ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขนั้ พ้ืนฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑
สาระเคมี ๓. เขา้ ใจหลกั การทำปฏบิ ตั กิ ารเคมี การวดั ปรมิ าณสาร หนว่ ยวดั และการเปลย่ี นหนว่ ย การคำนวณปริมาณของสาร ความเข้มข้นของสารละลาย รวมทั้งการบรู ณาการ ความรแู้ ละทกั ษะในการอธบิ ายปรากฏการณใ์ นชวี ติ ประจำวนั และการแก้ปัญหา ทางเคมี ช้ัน ผลการเรยี นร้ ู สาระการเรียนรเู้ พม่ิ เติม ม.๔ ๑. บอก และอธบิ ายขอ้ ปฏบิ ตั เิ บอื้ งตน้ และปฏบิ ตั ติ น • การทำปฏบิ ตั กิ ารเคมีต้องคำนงึ ถงึ ความปลอดภยั ทแ่ี สดงถงึ ความตระหนกั ในการทำปฏบิ ตั กิ ารเคมี และความเป็นมิตรต่อสง่ิ แวดล้อม ดงั น้ันจงึ ควร เพอื่ ให้มคี วามปลอดภยั ท้งั ต่อตนเอง ผ้อู ่ืนและ ศกึ ษาข้อปฏิบตั ขิ องการทำปฏิบตั ิการเคมี เช่น สงิ่ แวดลอ้ ม และเสนอแนวทางแกไ้ ขเมื่อเกดิ ความปลอดภยั ในการใชอ้ ปุ กรณ์และสารเคมี อุบัติเหต ุ การป้องกันอุบตั ิเหตุระหวา่ งการทดลอง การกำจดั สารเคม ี ๒. เลือก และใช้อปุ กรณห์ รือเครอ่ื งมือในการทำ • อุปกรณ์และเครอ่ื งมอื ชั่ง ตวง วัดแตล่ ะชนดิ ปฏบิ ตั ิการ และวดั ปรมิ าณต่าง ๆ ไดอ้ ยา่ ง มวี ิธีการใชง้ านและการดูแลแตกต่างกัน ซ่งึ การ เหมาะสม วดั ปริมาณตา่ ง ๆ ใหไ้ ดข้ ้อมูลท่มี ีความเทย่ี งและ ความแม่นในระดับนยั สำคญั ท่ตี ้องการ ตอ้ งมี การเลอื กและใชอ้ ปุ กรณ์ในการทำปฏิบตั กิ าร อย่างเหมาะสม ๓. นำเสนอแผนการทดลอง ทดลองและเขยี น • การทำปฏิบัติการเคมตี อ้ งมกี ารวางแผน รายงานการทดลอง การทดลอง การทำการทดลอง การบนั ทกึ ข้อมูล สรปุ และวเิ คราะห์ นำเสนอข้อมูล และการ เขียนรายงานการทดลองทถ่ี ูกตอ้ ง โดยการทำ ปฏบิ ตั กิ ารเคมตี อ้ งคำนงึ ถงึ วธิ กี ารทางวทิ ยาศาสตร์ ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร ์ และจติ วิทยาศาสตร ์ ๔. ระบหุ น่วยวดั ปริมาณตา่ ง ๆ ของสาร และ • การทำปฏิบัติการเคมีต้องมีการวัดปริมาณต่าง ๆ เปล่ียนหน่วยวัดให้เป็นหน่วยในระบบเอสไอ ของสาร การบอกปริมาณของสารอาจระบ ุ ดว้ ยการใช้แฟกเตอร์เปลี่ยนหน่วย อยู่ในหนว่ ยตา่ ง ๆ ดังนนั้ เพอื่ ให้มมี าตรฐาน เดียวกัน จึงมีการกำหนดหนว่ ยในระบบเอสไอ ใหเ้ ปน็ หนว่ ยสากล ซง่ึ การเปลี่ยนหน่วย เพอื่ ให้เปน็ หนว่ ยสากล สามารถทำไดด้ ว้ ยการใช้ แฟกเตอรเ์ ปลยี่ นหนว่ ย 186 ตัวชวี้ ดั และสาระการเรียนรูแ้ กนกลาง กลมุ่ สาระการเรยี นรูว้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พื้นฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑
ช้นั ผลการเรียนร ู้ สาระการเรียนรเู้ พิ่มเตมิ ๕. บอกความหมายของมวลอะตอมของธาตุ และ • มวลอะตอมของธาตุ เปน็ มวลของธาตุ ๑ อะตอม คำนวณมวลอะตอมเฉล่ยี ของธาตุ มวลโมเลกลุ ซ่ึงเป็นผลรวมของมวลโปรตอน นิวตรอน และ และมวลสูตร อเิ ลก็ ตรอน แตเ่ นอื่ งจากอเิ ลก็ ตรอนมมี วลนอ้ ยมาก เมื่อเทยี บกับโปรตอนและนิวตรอน ดงั นน้ั มวลอะตอมจงึ มีค่าใกลเ้ คียงกับผลรวมของ มวลโปรตอนและนิวตรอน • มวลอะตอมเฉล่ียของธาตุเปน็ คา่ เฉลยี่ จากคา่ มวลอะตอมของแตล่ ะไอโซโทปของธาตุชนดิ นัน้ ตามปรมิ าณท่ีมีในธรรมชาติ • มวลโมเลกลุ และมวลสตู รเป็นผลรวมของ มวลอะตอมเฉลยี่ ของธาตุทีเ่ ปน็ องค์ประกอบ ของสารนน้ั ๖. อธบิ าย และคำนวณปรมิ าณใดปรมิ าณหน่ึง • โมลเปน็ ปรมิ าณสารทม่ี จี ำนวนอนภุ าคเทา่ กบั จากความสมั พันธ์ของโมล จำนวนอนภุ าค มวล เลขอาโวกาโดร คอื 6.02 × 1023 อนภุ าค และปรมิ าตรของแก๊สท่ี STP มวลของสาร ๑ โมล ทีม่ หี นว่ ยเปน็ กรมั เรียกวา่ มวลตอ่ โมล ซงึ่ มคี ่าตวั เลขเท่ากบั มวลอะตอม มวลโมเลกลุ หรอื มวลสูตรของสารนน้ั สำหรบั สาร ทมี่ สี ถานะแกส๊ ๑ โมล จะมีปรมิ าตรเท่ากบั 22.4 ลกู บาศก์เดซิเมตร ท่ี STP ๗. คำนวณอัตราส่วนโดยมวลของธาตอุ งคป์ ระกอบ • สารประกอบเกดิ จากการรวมตวั ของธาตุ ตงั้ แต ่ ของสารประกอบตามกฎสดั ส่วนคงที ่ ๒ ชนดิ ข้ึนไป โดยมอี ัตราส่วนโดยมวลของธาตุ องค์ประกอบคงท่เี สมอ ตามกฎสัดส่วนคงท ่ี ๘. คำนวณสตู รอย่างงา่ ยและสูตรโมเลกลุ ของสาร • สตู รเคมสี ามารถแสดงได้ด้วยสูตรเอมพริ ิคัลหรือ สูตรอย่างง่ายและสตู รโมเลกลุ ซง่ึ สตู รอยา่ งง่าย คำนวณไดจ้ ากรอ้ ยละโดยมวลและมวลอะตอม ของธาตุองค์ประกอบ และถา้ ทราบมวลโมเลกลุ ของสารจะสามารถคำนวณสตู รโมเลกลุ ได ้ ๙. คำนวณความเขม้ ข้นของสารละลายในหน่วย • สารท่พี บในชวี ติ ประจำวนั จำนวนมากอยู่ในรูป ตา่ ง ๆ ของสารละลาย การบอกปริมาณของสาร ในสารละลายสามารถบอกเป็นความเขม้ ข้น ในหนว่ ยร้อยละ ส่วนในล้านสว่ น ส่วนในพันล้านส่วน โมลาริตี โมแลลติ ี และเศษสว่ นโมล ตัวชี้วัดและสาระการเรียนร้แู กนกลาง กลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) 187 ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พนื้ ฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑
ช้นั ผลการเรียนร ู้ สาระการเรยี นรู้เพิ่มเตมิ ๑๐. อธิบายวิธกี าร และเตรยี มสารละลายให้มี • การเตรยี มสารละลายใหม้ ีความเขม้ ข้นและ ความเขม้ ขน้ ในหน่วยโมลาริตี และปริมาตร ปริมาตรของสารละลายตามที่กำหนด ทำไดโ้ ดย สารละลายตามที่กำหนด การละลายตัวละลายที่เปน็ สารบริสุทธ์ิใน ตัวทำละลายหรอื นำสารละลายทม่ี คี วามเข้มขน้ มาเจอื จางดว้ ยตวั ทำละลาย โดยปรมิ าณของสาร ทใี่ ชข้ ้ึนอย่กู บั ความเข้มขน้ และปรมิ าตรของ สารละลายที่ต้องการ ๑๑. เปรยี บเทียบจดุ เดอื ดและจุดเยือกแขง็ ของ • สารละลายมจี ดุ เดอื ดและจุดเยอื กแขง็ แตกต่างไป สารละลายกับสารบรสิ ทุ ธิ์ รวมท้งั คำนวณ จากสารบริสุทธิ์ที่เปน็ ตัวทำละลายในสารละลาย จุดเดอื ดและจุดเยือกแข็งของสารละลาย โดยสมบตั ิท่เี ปลย่ี นแปลงไปขึน้ อยู่กบั ปริมาณ ของตัวละลายในตวั ทำละลาย และชนดิ ของ ตวั ทำละลาย ม.๕ - - ม.๖ ๑. กำหนดปญั หา และนำเสนอแนวทางการแกป้ ญั หา • สถานการณบ์ างสถานการณใ์ นชีวิตประจำวนั โดยใชค้ วามรทู้ างเคมีจากสถานการณ์ท่ีเกดิ ขึ้น การประกอบอาชีพ หรอื อตุ สาหกรรม สามารถ ในชวี ิตประจำวัน การประกอบอาชีพ หรอื นำความรทู้ างเคมไี ปใชป้ ระโยชนห์ รอื แกป้ ญั หาได ้ อตุ สาหกรรม ๒. แสดงหลักฐานถงึ การบูรณาการความรทู้ างเคมี • การศึกษาและการแกป้ ัญหาในสถานการณ์ หรอื รว่ มกับสาขาวิชาอ่ืน รวมท้งั ทกั ษะกระบวนการ ประเด็นท่ีสนใจทำได้โดยการบูรณาการความรู้ ทางวทิ ยาศาสตรห์ รอื กระบวนการออกแบบ ทางเคมีรว่ มกับวทิ ยาศาสตร์แขนงอน่ื รวมท้ัง เชงิ วศิ วกรรม โดยเนน้ การคิดวิเคราะห์ คณติ ศาสตร์ เทคโนโลยี และทกั ษะกระบวนการ การแกป้ ญั หาและความคดิ สรา้ งสรรค์ เพอื่ ทางวิทยาศาสตรห์ รอื กระบวนการออกแบบ แกป้ ัญหาในสถานการณห์ รือประเดน็ ท่สี นใจ เชงิ วศิ วกรรม โดยเนน้ การคดิ วิเคราะห์ แกป้ ญั หา และความคดิ สร้างสรรค ์ ๓. นำเสนอผลงานหรอื ชนิ้ งานทไี่ ดจ้ ากการแกป้ ญั หา • การนำเสนองานหรือแสดงผลงาน เปน็ การเปิด ในสถานการณ์หรอื ประเดน็ ทีส่ นใจโดยใช้ โอกาสใหผ้ มู้ สี ่วนร่วมไดแ้ ลกเปล่ียนแนวคดิ เทคโนโลยีสารสนเทศ ผลงาน รวมทงั้ เพ่ิมโอกาสในการพัฒนางาน โดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเปน็ เครอื่ งมือ ประกอบการนำเสนอ ซ่งึ จะทำให้การส่อื สาร มปี ระสิทธิภาพมากขน้ึ 188 ตวั ช้วี ดั และสาระการเรียนรูแ้ กนกลาง กลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขนั้ พ้ืนฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑
ชั้น ผลการเรยี นร ู้ สาระการเรียนร้เู พิม่ เตมิ ๔. แสดงหลักฐานการเขา้ รว่ มการสมั มนา การเขา้ • การสัมมนา การประชุมวชิ าการ หรือการ ร่วมประชุมวิชาการ หรือการแสดงผลงาน รว่ มแสดงผลงาน สิ่งประดษิ ฐใ์ นงานนิทรรศการ สงิ่ ประดิษฐ์ในงานนิทรรศการ เป็นการเปิดโอกาสใหผ้ มู้ สี ่วนรว่ มไดแ้ ลกเปล่ยี น ความคดิ แสดงทศั นคตติ อ่ กรณศี กึ ษา สถานการณ์ หรือประเด็นสำคัญทางเคมี ซงึ่ ชว่ ยสง่ เสรมิ ใหพ้ ฒั นากระบวนการคดิ ทักษะการสอ่ื สาร ทักษะการใช้เทคโนโลยี เพอื่ การค้นคว้าและ การสอ่ื สาร ซงึ่ สามารถทำได้หลายระดับ โดย อาจเป็นระดบั ช้นั เรียน โรงเรยี น กล่มุ โรงเรยี น ชุมชน ระดบั ชาติ หรือนานาชาติ ตวั ชีว้ ดั และสาระการเรยี นรู้แกนกลาง กลุม่ สาระการเรยี นรูว้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) 189 ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พื้นฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑
สาระฟสิ ิกส ์ ๑. เข้าใจธรรมชาติทางฟิสิกส์ ปริมาณและกระบวนการวัด การเคล่ือนท่ีแนวตรง แรงและกฎการเคลอ่ื นทขี่ องนวิ ตนั กฎความโนม้ ถว่ งสากล แรงเสยี ดทานสมดลุ กล ของวัตถุ งานและกฎการอนุรักษ์พลังงานกล โมเมนตัมและกฎการอนุรักษ ์ โมเมนตมั การเคลอ่ื นทแี่ นวโคง้ รวมทง้ั นำความรไู้ ปใชป้ ระโยชน ์ ชัน้ ผลการเรียนร ู้ สาระการเรยี นรเู้ พ่มิ เตมิ ม.๔ ๑. สบื คน้ และอธบิ ายการค้นหาความรู้ทางฟิสิกส์ • ฟสิ ิกส์เป็นวทิ ยาศาสตร์แขนงหน่งึ ที่ศกึ ษาเกยี่ วกบั ประวตั ิความเปน็ มา รวมทง้ั พัฒนาการของ สสาร พลังงาน อนั ตรกริ ยิ าระหวา่ งสสารกบั หลกั การและแนวคิดทางฟสิ กิ สท์ มี่ ีผลต่อ พลังงาน และแรงพ้ืนฐานในธรรมชาติ การแสวงหาความรใู้ หมแ่ ละการพฒั นาเทคโนโลย ี • การคน้ ควา้ หาความรทู้ างฟสิ กิ สไ์ ดม้ าจากการสงั เกต การทดลอง และเก็บรวบรวมข้อมลู มาวเิ คราะห์ หรอื จากการสรา้ งแบบจำลองทางความคดิ เพ่ือสรุป เป็นทฤษฎี หลกั การหรอื กฎ ความรูเ้ หลา่ น้ี สามารถนำไปใช้อธบิ ายปรากฏการณธ์ รรมชาติ หรอื ทำนายสงิ่ ทอี่ าจจะเกดิ ขนึ้ ในอนาคต • ประวตั คิ วามเปน็ มาและพฒั นาการของหลกั การ และแนวคิดทางฟิสกิ สเ์ ป็นพื้นฐานในการแสวงหา ความรใู้ หม่เพม่ิ เติม รวมถึงการพฒั นาและความ ก้าวหน้าทางเทคโนโลยกี ม็ ีสว่ นในการค้นหา ความรใู้ หม่ทางวิทยาศาสตร์ดว้ ย ๒. วัด และรายงานผลการวดั ปรมิ าณทางฟสิ กิ ส์ • ความรู้ทางฟิสกิ ส์สว่ นหน่งึ ไดจ้ ากการทดลอง ได้ถกู ต้องเหมาะสม โดยนำความคลาดเคล่ือน ซึ่งเกี่ยวขอ้ งกับกระบวนการวดั ปรมิ าณทางฟสิ กิ ส์ ในการวดั มาพจิ ารณาในการนำเสนอผล รวมท้งั ซงึ่ ประกอบด้วยตวั เลขและหน่วยวดั แสดงผลการทดลองในรูปของกราฟ วิเคราะห์ • ปรมิ าณทางฟิสกิ ส์สามารถวดั ได้ด้วยเครอ่ื งมือ และแปลความหมายจากกราฟเส้นตรง ตา่ ง ๆ โดยตรงหรือทางอ้อม หนว่ ยที่ใชใ้ นการวดั ปรมิ าณทางวทิ ยาศาสตรค์ ือ ระบบหน่วย ระหวา่ งชาติ เรยี กย่อวา่ ระบบเอสไอ • ปริมาณทางฟสิ ิกส์ทม่ี ีคา่ น้อยกวา่ หรอื มากกว่า ๑ มาก ๆ นยิ มเขยี นในรปู ของสญั กรณว์ ทิ ยาศาสตร์ หรอื เขยี นโดยใชค้ ำนำหนา้ หนว่ ยของระบบเอสไอ การเขยี นโดยใชส้ ญั กรณว์ ทิ ยาศาสตรเ์ ปน็ การเขยี น เพอ่ื แสดงจำนวนเลขนยั สำคัญท่ีถูกตอ้ ง 190 ตัวช้ีวัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาข้นั พ้ืนฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑
ช้ัน ผลการเรียนร้ ู สาระการเรียนรูเ้ พ่ิมเติม • การทดลองทางฟสิ กิ สเ์ กยี่ วกบั การวดั ปรมิ าณตา่ ง ๆ การบนั ทกึ ปริมาณทไ่ี ด้จากการวัดด้วยจำนวน เลขนยั สำคญั ทเ่ี หมาะสม และคา่ ความคลาดเคลอ่ื น การวเิ คราะหแ์ ละการแปลความหมายจากกราฟ เชน่ การหาความชนั จากกราฟเสน้ ตรง จดุ ตดั แกน พ้นื ท่ใี ตก้ ราฟ เปน็ ตน้ • การวดั ปรมิ าณตา่ ง ๆ จะมคี วามคลาดเคลอื่ นเสมอ ข้ึนอยูก่ บั เคร่อื งมือ วิธกี ารวัด และประสบการณ์ ของผวู้ ัด ซึ่งค่าความคลาดเคลอื่ นสามารถแสดง ในการรายงานผลทัง้ ในรปู แบบตวั เลขและกราฟ • การวัดควรเลอื กใช้เครื่องมือวดั ใหเ้ หมาะสมกับ ส่งิ ที่ตอ้ งการวัด เชน่ การวัดความยาวของวัตถ ุ ทต่ี ้องการความละเอียดสงู อาจใชเ้ วอรเ์ นียร ์ แคลลเิ ปิร์ส หรอื ไมโครมเิ ตอร ์ • ฟสิ กิ สอ์ าศยั คณติ ศาสตรเ์ ปน็ เครอื่ งมอื ในการศกึ ษา คน้ คว้า และการส่อื สาร ๓. ทดลอง และอธิบายความสมั พันธ์ระหวา่ ง • ปรมิ าณทีเ่ กย่ี วกับการเคล่ือนท่ี ไดแ้ ก่ ตำแหนง่ ตำแหน่ง การกระจดั ความเรว็ และความเร่ง การกระจัด ความเร็ว และความเร่ง โดยความเร็ว ของการเคล่อื นทขี่ องวัตถุในแนวตรงทมี่ คี วามเร่ง และความเร่งมีทงั้ ค่าเฉล่ียและค่าขณะหน่งึ ซงึ่ คิด คงตัวจากกราฟและสมการ รวมท้งั ทดลองหาค่า ในชว่ งเวลาส้ัน ๆ สำหรับปรมิ าณตา่ ง ๆ ที่ ความเร่งโน้มถว่ งของโลก และคำนวณปริมาณ เกี่ยวขอ้ งกบั การเคล่อื นที่แนวตรงด้วยความเรง่ ตา่ ง ๆ ทีเ่ กยี่ วข้อง คงตัวมีความสัมพนั ธ์ตามสมการ v = u + at ( ( ∆x = u +2 v t ∆v2x==uu2t++ 2 12a ∆axt2 • การอธิบายการเคลอ่ื นทข่ี องวัตถุสามารถเขียน อยู่ในรปู กราฟตำแหนง่ กบั เวลา กราฟความเร็ว กับเวลา หรือกราฟความเรง่ กับเวลา ความชัน ของเสน้ กราฟตำแหน่งกับเวลาเปน็ ความเรว็ ความชันของเส้นกราฟความเรว็ กับเวลาเปน็ ความเรง่ และพนื้ ทใ่ี ต้เสน้ กราฟความเร็วกับเวลา เป็นการกระจัด ในกรณีทผ่ี สู้ ังเกตมคี วามเรว็ ความเรว็ ของวัตถทุ ่สี ังเกตไดเ้ ปน็ ความเร็วทเี่ ทียบ กบั ผู้สังเกต ตัวชว้ี ดั และสาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) 191 ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พน้ื ฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑
ช้นั ผลการเรียนรู้ สาระการเรยี นรูเ้ พิ่มเตมิ • การตกแบบเสรเี ปน็ ตวั อยา่ งหนง่ึ ของการเคลื่อนที่ ในหนึง่ มติ ทิ ม่ี ีความเรง่ เท่ากับความเร่งโน้มถ่วง ของโลก ๔. ทดลอง และอธิบายการหาแรงลพั ธข์ องแรง • แรงเปน็ ปริมาณเวกเตอรจ์ ึงมีท้ังขนาดและทศิ ทาง สองแรงทท่ี ำมมุ ตอ่ กัน กรณีท่มี แี รงหลาย ๆ แรง กระทำตอ่ วตั ถุ สามารถ หาแรงลัพธ์ทกี่ ระทำต่อวตั ถุ โดยใช้วธิ ีเขียน เวกเตอรข์ องแรงแบบหางตอ่ หวั วธิ สี รา้ งรปู สเ่ี หลยี่ ม ดา้ นขนานของแรงและวธิ ีคำนวณ ๕. เขียนแผนภาพของแรงที่กระทำต่อวตั ถุอสิ ระ • สมบัติของวัตถุท่ีต้านการเปล่ยี นสภาพการ ทดลอง และอธบิ ายกฎการเคล่ือนท่ีของนวิ ตัน เคลื่อนที่ เรยี กวา่ ความเฉ่อื ย มวลเป็นปริมาณ และการใชก้ ฎการเคลอ่ื นทขี่ องนวิ ตนั กบั สภาพการ ทบี่ อกใหท้ ราบวา่ วตั ถใุ ดมคี วามเฉอื่ ยมากหรอื นอ้ ย เคล่อื นท่ีของวตั ถุ รวมท้ังคำนวณปริมาณต่าง ๆ • การหาแรงลัพธ์ทก่ี ระทำตอ่ วตั ถสุ ามารถเขยี นเป็น ทเ่ี กย่ี วข้อง แผนภาพของแรงท่กี ระทำต่อวตั ถอุ ิสระได้ • กรณที ี่ไม่มีแรงภายนอกมากระทำ วัตถจุ ะ ไมเ่ ปลี่ยนสภาพการเคล่ือนทซี่ ่งึ เป็นไปตามกฎ การเคลอื่ นทขี่ ้อท่หี นง่ึ ของนิวตนั • กรณที ี่มีแรงภายนอกมากระทำโดยแรงลพั ธ์ ทก่ี ระทำต่อวัตถุไม่เปน็ ศูนย์ วัตถุจะมคี วามเรง่ โดยความเร่งมีทิศทางเดียวกบั แรงลพั ธ ์ ความสมั พันธ์ระหวา่ งแรงลัพธ์ มวลและความเร่ง เขยี นแทนได้ดว้ ยสมการ i∑ =n ต า1 F ม i ก = ฎ mก า a ร เ ค ลือ่ นท่ขี อ้ ทีส่ องของนิวตนั • เมอ่ื วตั ถสุ องกอ้ นออกแรงกระทำตอ่ กนั แรงระหวา่ ง วตั ถทุ ง้ั สองจะมขี นาดเทา่ กนั แตม่ ที ศิ ทางตรงขา้ ม และกระทำต่อวัตถุคนละกอ้ น เรยี กวา่ แรงคู่ กิริยา-ปฏิกริ ยิ า ซง่ึ เปน็ ไปตามกฎการเคลอ่ื นท ่ี ข้อท่ีสามของนวิ ตัน และเกดิ ขนึ้ ไดท้ ้งั กรณที ่ีวตั ถุ ทง้ั สองสัมผัสกันหรือไม่สมั ผัสกันก็ได ้ ๖. อธบิ ายกฎความโนม้ ถว่ งสากลและผลของ • แรงดงึ ดดู ระหวา่ งมวลเปน็ แรงทม่ี วลสองกอ้ นดงึ ดดู สนามโนม้ ถ่วงทที่ ำให้วตั ถมุ นี ำ้ หนัก รวมทง้ั ซง่ึ กนั และกนั ดว้ ยแรงขนาดเทา่ กนั แตท่ ศิ ทางตรงขา้ ม คำนวณปรมิ าณตา่ ง ๆ ทเ่ี กย่ี วข้อง และเป็นไปตามกฎความโน้มถว่ งสากล เขียนแทน ได้ด้วยสมการ FG = G mR1m2 2 192 ตวั ชวี้ ัดและสาระการเรยี นรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พน้ื ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑
ช้ัน ผลการเรียนร ู้ สาระการเรียนรเู้ พิ่มเติม • รอบโลกมีสนามโน้มถ่วงทำใหเ้ กิดแรงโน้มถ่วง ซง่ึ เปน็ แรงดงึ ดดู ของโลกทก่ี ระทำตอ่ วตั ถุ ทำใหว้ ตั ถุ มีนำ้ หนัก ๗. วเิ คราะห์ อธิบาย และคำนวณแรงเสียดทาน • แรงทีเ่ กดิ ขน้ึ ทผี่ วิ สัมผัสระหว่างวตั ถสุ องกอ้ น ระหวา่ งผวิ สัมผัสของวัตถุคู่หนึ่ง ๆ ในกรณที ว่ี ัตถุ ในทศิ ทางตรงข้ามกับทศิ ทางการเคลอ่ื นท่หี รอื หยุดนงิ่ และวัตถเุ คลอ่ื นท่ี รวมท้งั ทดลองหา แนวโนม้ ที่จะเคลอ่ื นทขี่ องวตั ถุ เรยี กวา่ สัมประสิทธ์คิ วามเสยี ดทานระหว่างผวิ สมั ผสั แรงเสยี ดทาน แรงเสยี ดทานระหวา่ งผวิ สมั ผสั คหู่ นงึ่ ๆ ของวตั ถคุ หู่ นงึ่ ๆ และนำความรเู้ รอ่ื งแรงเสยี ดทาน ข้นึ กับสมั ประสทิ ธคิ์ วามเสียดทานและ ไปใช้ในชีวิตประจำวัน แรงปฏิกิริยาตง้ั ฉากระหวา่ งผวิ สัมผัสคู่น้ัน ๆ • ขณะออกแรงพยายามแตว่ ตั ถุยังคงอยูน่ ิ่ง แรงเสยี ดทานมขี นาดเทา่ กบั แรงพยายามทก่ี ระทำตอ่ วตั ถนุ น้ั และแรงเสยี ดทานมีค่ามากท่สี ุดเม่อื วตั ถุ เร่มิ เคลือ่ นที่ เรียกแรงเสียดทานนี้วา่ แรงเสียดทานสถติ แรงเสียดทานทก่ี ระทำตอ่ วตั ถุ ขณะกำลังเคลอื่ นที่ เรยี กว่าแรงเสียดทานจลน์ โดยแรงเสยี ดทานทเี่ กดิ ระหวา่ งผวิ สัมผัสของวตั ถุ คหู่ นงึ่ ๆ คำนวณได้จากสมการ ƒs ≤ µsN • กƒาkร=เพµมิ่ kหNร ือลดแรงเสียดทานมผี ลต่อการเคล่ือนที่ ของวัตถุ ซึง่ สามารถนำไปใช้ในชีวติ ประจำวัน ๘. อธิบายสมดุลกลของวตั ถุ โมเมนต์ และผลรวม • สมดลุ กลเปน็ สภาพทวี่ ตั ถรุ กั ษาสภาพการเคลอื่ นที่ ของโมเมนตท์ ม่ี ตี ่อการหมนุ แรงคูค่ วบและผล ให้คงเดมิ คือหยดุ นงิ่ หรอื เคล่ือนที่ด้วยความเร็ว ของแรงค่คู วบท่ีมีต่อสมดลุ ของวัตถุ เขยี น คงตัวหรือหมุนด้วยความเร็วเชิงมุมคงตัว แผนภาพของแรงท่ีกระทำตอ่ วัตถุอสิ ระเมอื่ วตั ถุ • วัตถุจะสมดลุ ตอ่ การเลือ่ นทีค่ อื หยดุ นิง่ หรอื อยู่ในสมดุลกล และคำนวณปรมิ าณต่าง ๆ เคล่ือนที่ด้วยความเรว็ คงตัวเมอื่ แรงลัพธ์ทก่ี ระทำ ทเ่ี กีย่ วขอ้ ง รวมทั้งทดลองและอธิบายสมดลุ ตอ่ วตั ถเุ ป็นศูนย์ เขียนแทนได้ดว้ ยสมการ ของแรงสามแรง ∑ n i=1F i = 0 • วัตถจุ ะสมดลุ ต่อการหมุนคอื ไม่หมุนหรอื หมุนดว้ ย ความเรว็ เชิงมุมคงตวั เมื่อผลรวมของโมเมนต์ท่ี กระทำตอ่ วัตถเุ ป็นศนู ยเ์ ขียนแทนได้ด้วยสมการ i∑ =n 1 M i = 0 โดยโมเมนต์คำนวณได้จากสมการ M = Fl ตวั ชีว้ ดั และสาระการเรยี นรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) 193 ตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พน้ื ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277