Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ตัวชี้วัดสาระการเรียนรู้

ตัวชี้วัดสาระการเรียนรู้

Published by Arisa Sisawat, 2019-12-23 22:36:11

Description: ตัวชี้วัดสาระการเรียนรู้

Search

Read the Text Version

ช้ัน ผลการเรียนร้ ู สาระการเรียนรู้เพม่ิ เติม • เมอื่ มแี รงคคู่ วบกระทำตอ่ วตั ถุ แรงลพั ธจ์ ะเทา่ กบั ศนู ย์ ทำให้วตั ถุสมดุลตอ่ การเลือ่ นทีแ่ ตไ่ ม่สมดลุ ตอ่ การหมนุ • การเขยี นแผนภาพของแรงท่กี ระทำตอ่ วัตถอุ สิ ระ สามารถนำมาใชใ้ นการพจิ ารณาแรงลพั ธ์และ ผลรวมของโมเมนตท์ ่ีกระทำต่อวตั ถุเม่ือวตั ถ ุ อยใู่ นสมดลุ กล ๙. สังเกต และอธิบายสภาพการเคลอื่ นท่ีของวตั ถุ • เมือ่ ออกแรงกระทำต่อวัตถุทวี่ างบนพนื้ ทไี่ ม่มแี รง เมื่อแรงท่กี ระทำต่อวัตถผุ ่านศนู ย์กลางมวลของ เสียดทานในแนวระดบั ถา้ แนวแรงน้นั กระทำ วตั ถุ และผลของศนู ย์ถว่ งที่มีต่อเสถียรภาพของ ผา่ นศนู ย์กลางมวลของวัตถุ วัตถุจะเคล่ือนท ่ี วตั ถุ แบบเลือ่ นทีโ่ ดยไม่หมนุ • วตั ถทุ อ่ี ยใู่ นสนามโนม้ ถว่ งสมำ่ เสมอ ศนู ยก์ ลางมวล และศนู ยถ์ ่วงอยทู่ ี่ตำแหน่งเดียวกนั ศูนย์ถว่ งของ วัตถุมผี ลต่อเสถยี รภาพของวตั ถุ ๑๐. วเิ คราะห์ และคำนวณงานของแรงคงตัว จาก • งานของแรงทกี่ ระทำตอ่ วัตถหุ าไดจ้ ากผลคูณของ สมการและพ้นื ท่ใี ตก้ ราฟความสัมพนั ธ์ระหว่าง ขนาดของแรงและขนาดของการกระจดั กบั โคไซน์ แรงกบั ตำแหน่ง รวมทั้งอธิบาย และคำนวณ ของมุมระหว่างแรงกบั การกระจัด ตามสมการ กำลงั เฉล่ยี W = F∆xcosӨ หรือหางานไดจ้ ากพ้ืนท ี่ ใตก้ ราฟระหวา่ งแรงในแนวการเคลอื่ นทก่ี บั ตำแหนง่ โดยแรงทก่ี ระทำอาจเปน็ แรงคงตัวหรอื ไมค่ งตัว ก็ได้ • งานท่ีทำไดใ้ นหน่ึงหนว่ ยเวลา เรยี กว่า กำลังเฉลีย่ ดังสมการ Pav = W∆t ๑๑. อธบิ าย และคำนวณพลงั งานจลน์ พลงั งานศกั ย์ • พลงั งานเป็นความสามารถในการทำงาน พลงั งานกล ทดลองหาความสมั พนั ธ ์ • พลงั งานจลนเ์ ปน็ พลงั งานของวตั ถทุ ก่ี ำลงั เคลอ่ื นท ่ี ระหวา่ งงานกบั พลังงานจลน์ ความสัมพนั ธ์ คำนวณได้จากสมการ Ek = 21 mv2 ระหวา่ งงานกบั พลงั งานศกั ยโ์ นม้ ถว่ ง • พลงั งานศกั ยเ์ ป็นพลงั งานทีเ่ ก่ียวข้องกบั ตำแหนง่ ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งขนาดของแรงทใี่ ชด้ งึ สปรงิ หรอื รูปร่างของวตั ถุ แบง่ ออกเปน็ พลังงานศักย์ กบั ระยะทสี่ ปรงิ ยดื ออกและความสมั พันธ์ โนม้ ถ่วง คำนวณไดจ้ ากสมการ Ep = mgh และ ระหวา่ งงานกบั พลงั งานศักย์ยืดหยนุ่ รวมท้ัง พEลpsงั ง=า น 12 ศ kักxย2์ย ืดหยุ่น คำนวณได้จากสมการ อธบิ ายความสมั พันธร์ ะหวา่ งงานของแรงลัพธ์ และพลังงานจลน์ และคำนวณงานทเ่ี กดิ ข้ึน จากแรงลพั ธ ์ 194 ตวั ช้วี ดั และสาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑

ชั้น ผลการเรยี นรู ้ สาระการเรยี นรเู้ พ่ิมเตมิ • พลงั งานกลเป็นผลรวมของพลงั งานจลน ์ และพลงั งานศกั ยต์ ามสมการ E = Ek + EP • แรงทีท่ ำใหเ้ กิดงานโดยงานของแรงนนั้ ไม่ขน้ึ กับ เส้นทางการเคลื่อนท่ี เชน่ แรงโน้มถว่ งและ แรงสปริง เรยี กวา่ แรงอนุรักษ์ • งานและพลงั งานมีความสัมพนั ธ์กัน โดยงานของ แรงลพั ธเ์ ท่ากบั พลังงานจลน์ของวตั ถทุ ่เี ปล่ียนไป ตามทฤษฎีบทงาน-พลังงานจลน์ เขียนแทนได้ ด้วยสมการ W = ∆Ek ๑๒. อธบิ ายกฎการอนุรกั ษพ์ ลงั งานกล รวมทั้ง • ถา้ งานทเ่ี กิดข้นึ กบั วตั ถุเป็นงานเนอ่ื งจากแรง วเิ คราะห์ และคำนวณปรมิ าณตา่ ง ๆ ทเ่ี กยี่ วขอ้ ง อนรุ กั ษเ์ ท่านั้น พลังงานกลของวัตถจุ ะคงตวั กบั การเคลื่อนท่ขี องวัตถุในสถานการณ์ต่าง ๆ ซง่ึ เป็นไปตามกฎการอนุรักษพ์ ลงั งานกล เขยี น โดยใชก้ ฎการอนุรักษพ์ ลังงานกล แทนได้ด้วยสมการ Ek + Ep = คา่ คงตัว โดยทพ่ี ลังงานศกั ย์อาจเปลยี่ นเป็นพลังงานจลน์ • กฎการอนรุ กั ษพ์ ลงั งานกลใชว้ เิ คราะหก์ ารเคลอื่ นท่ี ต่าง ๆ เช่น การเคลือ่ นทข่ี องวตั ถุท่ตี ดิ สปริง การเคลื่อนทีภ่ ายใตส้ นามโนม้ ถว่ งของโลก ๑๓. อธิบายการทำงาน ประสิทธิภาพและการได้ • การทำงานของเครอ่ื งกลอยา่ งงา่ ย ไดแ้ ก่ คาน รอก เปรยี บเชงิ กลของเคร่อื งกลอย่างง่ายบางชนิด พน้ื เอยี ง ลม่ิ สกรู และลอ้ กบั เพลา ใชห้ ลกั ของงาน โดยใช้ความรเู้ รอื่ งงานและสมดุลกล รวมท้งั และสมดลุ กลประกอบการพจิ ารณาประสิทธภิ าพ คำนวณประสทิ ธิภาพและการไดเ้ ปรยี บเชิงกล และการไดเ้ ปรียบเชิงกลของเครอื่ งกลอย่างง่าย ประสทิ ธภิ าพคำนวณได้จากสมการ Eกาfรfไiดc้เiปeรnียcบyเช=งิ กลคWWำ oนi nu tว ณx ไ1ด0้จ0%าก สมการ M.A. = FFo iunt = Sin Sout ๑๔. อธิบาย และคำนวณโมเมนตมั ของวัตถ ุ • วัตถทุ ีเ่ คลื่อนท่ีจะมีโมเมนตมั ซึ่งเปน็ ปริมาณ และการดลจากสมการและพนื้ ทใ่ี ต้กราฟ เวกเตอรม์ คี ่าเท่ากบั ผลคณู ระหว่างมวล ความสมั พนั ธร์ ะหว่างแรงลพั ธก์ ับเวลา รวมทั้ง และความเรว็ ของวตั ถุ ดังสมการ p = mv อธบิ ายความสมั พนั ธร์ ะหว่างแรงดลกับ • เม่อื มแี รงลัพธก์ ระทำต่อวัตถจุ ะทำใหโ้ มเมนตัม โมเมนตัม ของวตั ถเุ ปลย่ี นไป โดยแรงลัพธ์เท่ากับอตั รา การเปล่ยี นโมเมนตัมของวัตถ ุ ตวั ชวี้ ดั และสาระการเรยี นร้แู กนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) 195 ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาข้นั พน้ื ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑

ชั้น ผลการเรียนร้ ู สาระการเรยี นรู้เพิ่มเติม • แรงลพั ธท์ ก่ี ระทำตอ่ วตั ถใุ นเวลาสนั้ ๆ เรยี กวา่ แรงดล ( (โดยผลคูณของแรงดลกับเวลา เรยี กว่า การดล n ตามสมการ I = i∑=1F i ∆t ซงึ่ การดลอาจหาไดจ้ ากพนื้ ทใ่ี ตก้ ราฟระหว่าง แรงดลกบั เวลา ๑๕. ทดลอง อธบิ าย และคำนวณปริมาณต่าง ๆ • ในการชนกนั ของวัตถุและการดดี ตัวออกจากกัน ที่เกยี่ วกบั การชนของวัตถใุ นหน่งึ มติ ิ ท้งั แบบ ของวัตถุในหน่ึงมิติ เมอ่ื ไม่มีแรงภายนอกมา ยดื หยุน่ ไม่ยืดหยุ่น และการดดี ตวั แยกจากกัน กระทำ โมเมนตัมของระบบมคี ่าคงตัวซ่ึงเป็นไป ในหนง่ึ มติ ิซ่งึ เปน็ ไปตามกฎการอนรุ ักษ์ ตามกฎการอนรุ ักษโ์ มเมนตมั เขยี นแทนไดด้ ว้ ย โมเมนตัม สมการ pi = pf โดย pi เปน็ โมเมนตมั ของระบบก่อนชน และ pf เปน็ โมเมนตมั ของระบบหลังชน • ในการชนกนั ของวตั ถุ พลังงานจลน์ของระบบ อาจคงตัวหรอื ไมค่ งตวั ก็ได้ การชนทพ่ี ลงั งานจลน์ ของระบบคงตวั เปน็ การชนแบบยดื หยนุ่ สว่ นการชน ที่พลงั งานจลนข์ องระบบไม่คงตวั เป็นการชน แบบไม่ยดื หยนุ่ ๑๖. อธิบาย วิเคราะห์ และคำนวณปริมาณตา่ ง ๆ • การเคลื่อนท่แี นวโค้งพาราโบลาภายใตส้ นาม ท่เี ก่ียวข้องกบั การเคล่อื นที่แบบโพรเจกไทล์ โนม้ ถว่ ง โดยไมค่ ดิ แรงตา้ นของอากาศเปน็ การ และทดลองการเคล่ือนที่แบบโพรเจกไทล ์ เคล่ือนท่ีแบบโพรเจกไทล์ วตั ถมุ กี ารเปล่ยี น ตำแหนง่ ในแนวดิ่งและแนวระดับพร้อมกนั และเป็นอสิ ระตอ่ กนั สำหรับการเคลอ่ื นท ่ ี ในแนวดง่ิ เปน็ การเคลื่อนทท่ี ่มี ีแรงโนม้ ถว่ งกระทำ จงึ มคี วามเรว็ ไมค่ งตวั ปรมิ าณตา่ ง ๆ มคี วามสมั พนั ธ์ ตามสมการ ( ( ∆∆vyyy===u uyyu+ty++2a y t21v ya ytt 2 ส ่ว น ก าvรy2 เ ค=ลu่ือy2น +ที่ใ2นaแy∆นyว ระดบั ไม่มแี รงกระทำ จึงมีความเร็วคงตวั ตำแหน่ง ความเร็ว และเวลา มคี วามสมั พนั ธ์ตามสมการ ∆x = uxt 196 ตัวช้วี ัดและสาระการเรียนรูแ้ กนกลาง กลมุ่ สาระการเรียนรูว้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขั้นพืน้ ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑

ช้ัน ผลการเรยี นรู ้ สาระการเรยี นรเู้ พม่ิ เตมิ ๑๗. ทดลอง และอธบิ ายความสมั พนั ธร์ ะหว่าง • วัตถุทเี่ คลอื่ นท่ีเปน็ วงกลมหรอื สว่ นของวงกลม แรงสู่ศนู ยก์ ลาง รศั มีของการเคลื่อนท่ี เรยี กวา่ วตั ถนุ ้ันมกี ารเคลื่อนทแ่ี บบวงกลม ซ่งึ มี อตั ราเร็วเชงิ เสน้ อัตราเรว็ เชิงมมุ และมวล แรงลพั ธท์ กี่ ระทำกับวัตถุในทิศเข้าส่ศู นู ย์กลาง ของวัตถุ ในการเคลอื่ นทแี่ บบวงกลมในระนาบ เรยี กวา่ แรงสศู่ นู ย์กลาง ทำให้เกิดความเรง่ ระดบั รวมทงั้ คำนวณปรมิ าณตา่ ง ๆ ทเี่ กยี่ วขอ้ ง สศู่ นู ย์กลางท่ีมีขนาดสัมพนั ธ์กับรัศมีของการ และประยกุ ตใ์ ชค้ วามรู้การเคลือ่ นทแ่ี บบวงกลม เคลอื่ นท่แี ละอัตราเรว็ เชงิ เสน้ ของวัตถ ุ ในการอธบิ ายการโคจรของดาวเทยี ม ซ่งึ แรงสศู่ ูนย์กลางคำนวณไดจ้ ากสมการ F c = mv2 r • นอกจากนี้การเคล่ือนที่แบบวงกลมยังสามารถ อธบิ ายได้ดว้ ยอตั ราเร็วเชิงมมุ ซง่ึ มคี วามสัมพันธ์ กบั อตั ราเรว็ เชงิ เส้นตามสมการ v = ωr และ แรงสู่ศูนยก์ ลางมคี วามสมั พันธ์กบั อตั ราเร็วเชงิ มมุ ตามสมการ Fc = mω2r • ดาวเทยี มทโ่ี คจรในแนววงกลมรอบโลกมแี รงดงึ ดดู ที่โลกกระทำตอ่ ดาวเทยี มเป็นแรงสู่ศูนย์กลาง ดาวเทยี มท่มี ีวงโคจรค้างฟา้ ในระนาบของ เส้นศนู ยส์ ตู รมีคาบการโคจรเทา่ กับคาบการหมนุ รอบตวั เองของโลก หรอื มอี ตั ราเร็วเชิงมมุ เทา่ กับ อัตราเรว็ เชิงมุมของตำแหนง่ บนพื้นโลก ดาวเทียม จึงอย่ตู รงกับตำแหนง่ ทีก่ ำหนดไวบ้ นพ้นื โลก ตลอดเวลา ม.๕ - - ม.๖ - - ตัวชวี้ ดั และสาระการเรียนรแู้ กนกลาง กลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) 197 ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พ้นื ฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑

สาระฟิสิกส์ ๒. เข้าใจการเคลื่อนท่ีแบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย ธรรมชาติของคล่ืน เสียงและ การได้ยิน ปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเสียง แสงและการเห็น ปรากฏการณ์ ท่ีเกยี่ วข้องกับแสง รวมทง้ั นำความรูไ้ ปใช้ประโยชน์ ช้ัน ผลการเรียนรู้ สาระการเรยี นรเู้ พิม่ เติม ม.๔ - - ม.๕ ๑. ทดลอง และอธบิ ายการเคลอื่ นทแ่ี บบฮารม์ อนกิ • การเคลือ่ นทแ่ี บบฮารม์ อนกิ อยา่ งง่ายเปน็ การ อย่างง่ายของวัตถตุ ดิ ปลายสปริงและลกู ต้มุ เคลือ่ นทข่ี องวตั ถุทก่ี ลับไปกลบั มาซำ้ รอยเดิมผ่าน อยา่ งงา่ ย รวมทง้ั คำนวณปรมิ าณตา่ ง ๆ ทเี่ กย่ี วขอ้ ง ตำแหนง่ สมดุล โดยมคี าบและแอมพลิจดู คงตัว และมกี ารกระจดั จากตำแหนง่ สมดลุ ทเ่ี วลาใด ๆ เป็นฟังก์ชันแบบไซน ์ โดยปริมาณต่าง ๆ ท่ี เกยี่ วขอ้ ง มีความสัมพนั ธ์ตามสมการ x = Asin(ωt + Ø) v = Aωcos(ωt + Ø) v = ±ω√A2– x2 a = –Aω2sin(ωt + Ø) a = –ω2x • การส่นั ของวตั ถตุ ดิ ปลายสปรงิ และการแกวง่ ของลกู ตมุ้ อยา่ งงา่ ยเปน็ การเคลอ่ื นทแี่ บบฮารม์ อนกิ อยา่ งง่ายที่มขี นาดของความเรง่ แปรผันตรงกบั ขนาดของการกระจัดจากตำแหน่งสมดุล แตม่ ี ทศิ ทางตรงขา้ ม โดยมีคาบการสนั่ ของวัตถ ุ ทตี่ ิดอย่ทู ป่ี ลายสปริง และคาบการแกวง่ ของ ลกู ตุม้ ตามสมการ และ ตามลำดับ ๒. อธิบายความถีธ่ รรมชาติของวตั ถุและการเกิด • เมอ่ื ดงึ วตั ถทุ ตี่ ดิ ปลายสปรงิ ออกจากตำแหนง่ สมดลุ การสั่นพ้อง แล้วปล่อยให้สน่ั วัตถจุ ะสัน่ ดว้ ยความถี่เฉพาะตวั การดงึ ลกู ตุ้มออกจากแนวดิง่ แลว้ ปลอ่ ยใหแ้ กวง่ ลกู ตมุ้ จะแกวง่ ดว้ ยความถเ่ี ฉพาะตวั เชน่ กัน ความถ่ี ท่ีมคี ่าเฉพาะตวั น ้ี เรียกวา่ ความถี่ธรรมชาต ิ เมอื่ กระตุ้นใหว้ ตั ถสุ ั่นดว้ ยความถ่ีท่ีมีค่าเทา่ กบั ความถี่ธรรมชาติของวตั ถ ุ จะทำให้วตั ถสุ นั่ ดว้ ย แอมพลิจดู เพม่ิ ขนึ้ เรียกว่า การส่นั พ้อง  ตัวชีว้ ดั และสาระการเรยี นรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพนื้ ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑

ช้นั ผลการเรียนรู้ สาระการเรยี นรเู้ พ่มิ เตมิ ๓. อธิบายปรากฏการณค์ ล่ืน ชนิดของคลนื่ • คลน่ื เปน็ ปรากฏการณ์การถ่ายโอนพลังงาน ส่วนประกอบของคล่ืน การแผ่ของหน้าคลื่น จากท่หี น่ึงไปอีกทหี่ นงึ่ ด้วยหลักการของฮอยเกนส ์ และการรวมกัน • คลื่นท่ถี ่ายโอนพลังงานโดยตอ้ งอาศยั ตัวกลาง ของคลนื่ ตามหลกั การซ้อนทบั พร้อมทง้ั คำนวณ เรยี กว่า คลนื่ กล ส่วนคลน่ื แมเ่ หล็กไฟฟ้าถ่ายโอน อตั ราเร็ว ความถ ่ี และความยาวคลื่น พลงั งานโดยไมต่ อ้ งอาศยั ตวั กลาง นอกจากนี้ ยังจำแนกชนิดของคลืน่ ออกเป็นสองชนิด ไดแ้ ก ่ คลืน่ ตามขวาง และคลื่นตามยาว • คลนื่ ทเี่ กิดจากแหลง่ กำเนิดคลน่ื ท่สี ง่ คลื่นอย่าง ต่อเน่ืองและมีรูปแบบทีซ่ ้ำกันบรรยายไดด้ ้วย การกระจดั สนั คลน่ื ทอ้ งคลน่ื เฟส ความยาวคลน่ื ความถ่ ี คาบ แอมพลิจูด และอัตราเรว็ โดยอัตราเร็ว ความถ่ ี และความยาวคลืน่ มคี วามสมั พนั ธ์ตามสมการ v = f • การแผข่ องหนา้ คลนื่ เปน็ ไปตามหลกั ของฮอยเกนส ์ และถ้ามคี ล่ืนตง้ั แตส่ องขบวนมาพบกนั จะรวมกัน ตามหลกั การซ้อนทบั ๔. สังเกต และอธบิ ายการสะทอ้ น การหกั เห • คลื่นมีการสะท้อน การหักเห การแทรกสอด และ การแทรกสอด และการเลี้ยวเบนของคลน่ื ผิวน้ำ การเลย้ี วเบน รวมทงั้ คำนวณปริมาณตา่ ง ๆ ทเี่ กีย่ วขอ้ ง • คลน่ื เกดิ การสะทอ้ นเมือ่ คล่นื เคลอ่ื นทีไ่ ปถึง สิง่ กดี ขวางหรอื รอยตอ่ ระหว่างตัวกลางทตี่ ่างกนั แลว้ เปลยี่ นทศิ ทางเคลอื่ นทกี่ ลบั มาในตวั กลางเดมิ โดยเป็นไปตามกฎการสะทอ้ น เขียนแทนไดด้ ว้ ย สมการ มุมสะท้อน = มมุ ตกกระทบ • คลน่ื เกิดการหักเหเมือ่ คล่นื เคล่อื นท่ผี ่านรอยตอ่ ระหวา่ งตัวกลางทตี่ ่างกนั แล้วอตั ราเรว็ คล่ืน เปลีย่ นไปซงึ่ เป็นไปตามกฎการหักเห เขียนแทน ได้ด้วยสมการ ตวั ชวี้ ัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐)  ตามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑

ชัน้ ผลการเรยี นรู้ สาระการเรียนรเู้ พิ่มเติม • คลืน่ เกดิ การแทรกสอดเมื่อคล่ืนสองคลืน่ เคลื่อนท่ี มาพบกันแลว้ รวมกันตามหลกั การซ้อนทับ โดยกรณีท่ ี S1 และ S2 เป็นแหล่งกำเนดิ คลน่ื ทีม่ ี ความถี่เท่ากนั และเฟสตรงกัน ปรมิ าณตา่ ง ๆ ทีเ่ กี่ยวขอ้ งมีความสมั พันธต์ ามสมการ เม่อื เมอ่ื • คลนื่ นง่ิ เกดิ จากคลนื่ อาพนั ธส์ องขบวนแทรกสอดกนั แลว้ เกดิ ตำแหนง่ ท่ีมกี ารแทรกสอดแบบเสริม ตลอดเวลา เรียกวา่ ปฏิบพั และตำแหน่งทม่ี ี การแทรกสอดแบบหกั ลา้ งตลอดเวลา เรยี กวา่ บพั • คล่ืนเกิดการเลย้ี วเบนเม่อื คลนื่ เคล่ือนทพ่ี บ ส่ิงกีดขวางแล้วมคี ลน่ื แผ่จากขอบสงิ่ กดี ขวาง ไปด้านหลงั ได ้ ๕. อธบิ ายการเกดิ เสียง การเคล่อื นทขี่ องเสยี ง • เสยี งเป็นคลื่นกลและคล่ืนตามยาว เกิดจาก ความสัมพนั ธร์ ะหว่างคลน่ื การกระจัดของ การถา่ ยโอนพลงั งานจากการสนั่ ของแหล่ง อนภุ าคกับคล่ืนความดนั ความสมั พันธร์ ะหว่าง กำเนดิ เสียงผ่านอนุภาคตัวกลางทำให้อนุภาค อัตราเร็วของเสยี งในอากาศทขี่ ึ้นกบั อุณหภูมิ ของตวั กลางสน่ั อตั ราเร็วเสียงในอากาศขน้ึ กบั ในหนว่ ยองศาเซลเซยี ส สมบตั ขิ องคลนื่ เสยี ง ไดแ้ ก ่ อุณหภมู ิของอากาศ คำนวณไดจ้ ากสมการ การสะทอ้ น การหักเห การแทรกสอด • เvส ยี =ง ม3สี 3ม1บ +ตั กิ 0า.6รส TะทCอ้ น การหกั เห การแทรกสอด การเล้ียวเบน รวมทัง้ คำนวณปรมิ าณต่าง ๆ และการเลย้ี วเบน ทเี่ ก่ยี วขอ้ ง ๖. อธิบายความเข้มเสยี ง ระดบั เสียง องคป์ ระกอบ • กำลงั เสยี งเปน็ อัตราการถ่ายโอนพลงั งานเสียง ของการไดย้ ิน คุณภาพเสียง และมลพษิ ทาง จากแหลง่ กำเนดิ เสยี ง กำลงั เสยี งตอ่ หนง่ึ หนว่ ยพนื้ ที่ เสียง รวมทงั้ คำนวณปรมิ าณต่าง ๆ ทเี่ กี่ยวข้อง ของหน้าคลืน่ ทรงกลมเรยี กว่า ความเขม้ เสยี ง คำนวณได้จากสมการ • ระดบั เสียงเปน็ ปริมาณทีบ่ อกความดงั ของเสยี ง โดยหาไดจ้ ากลอการทิ มึ ของอัตราส่วนระหวา่ ง ความเข้มเสยี งกบั ความเขม้ เสียงอา้ งอิงทีม่ นษุ ย์ เร่มิ ไดย้ ิน ตามสมการ 00 ตัวชวี้ ดั และสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุม่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑

ช้นั ผลการเรยี นรู้ สาระการเรียนรูเ้ พ่ิมเตมิ • ระดบั สูงตำ่ ของเสยี งขึ้นกบั ความถี่ของเสียง ๗. ทดลอง และอธิบายการเกิดการส่ันพอ้ งของ เสียงท่ไี ดย้ นิ มีลักษณะเฉพาะตวั แตกต่างกนั เนอื่ งจากมคี ณุ ภาพเสียงแตกตา่ งกัน อากาศในท่อปลายเปิดหน่ึงดา้ น รวมทงั้ สังเกต • เสยี งท่ีมรี ะดบั เสยี งสูงมากหรอื เสยี งบางประเภท และอธบิ ายการเกดิ บีต คลืน่ นิง่ ปรากฏการณ ์ ท่ีมีผลต่อสภาพจติ ใจของผู้ฟงั จดั เป็นมลพิษ ดอปเพลอร์ คลื่นกระแทกของเสียง คำนวณ ทางเสียง ปรมิ าณตา่ ง ๆ ทเ่ี ก่ยี วข้อง และนำความรู้ เร่ืองเสียงไปใช้ในชีวติ ประจำวัน • ถา้ อากาศในทอ่ ถกู กระตนุ้ ดว้ ยคลน่ื เสยี งทมี่ คี วามถ่ี เท่ากบั ความถธี่ รรมชาติของอากาศในท่อน้ัน จะเกดิ การส่นั พอ้ งของเสียง โดยความถี่ในการ เกิดการส่ันพ้องของท่อปลายเปดิ หนึง่ ด้านคำนวณ ไดจ้ ากสมการ เมือ่ 1,3,5,... • ถ้าเสียงจากแหล่งกำเนิดเสยี งสองแหล่งทมี่ คี วามถ่ี ตา่ งกันไมม่ ากมาพบกันจะเกดิ บตี ทำใหไ้ ดย้ ิน เสียงดงั คอ่ ย เปน็ จังหวะ • คลื่นเสียงสองขบวนท่ีมคี วามถ่เี ท่ากัน มาแทรกสอดกัน จะทำใหเ้ กิดคลื่นนง่ิ • เมือ่ แหล่งกำเนดิ เสียงเคล่ือนท่ีโดยผู้ฟังอยู่นง่ิ ผู้ฟงั เคลื่อนทีโ่ ดยแหลง่ กำเนดิ เสียงอยนู่ ิ่ง หรือทงั้ แหลง่ กำเนดิ และผฟู้ งั เคลอ่ื นทเี่ ขา้ หรอื ออกจากกนั ผู้ฟงั จะได้ยินเสยี งท่ีมีความถี่เปลี่ยนไป เรียกว่า ปรากฏการณ์ดอปเพลอร ์ • ถา้ แหลง่ กำเนดิ เสยี งเคลอื่ นทดี่ ว้ ยอตั ราเรว็ มากกวา่ อตั ราเร็วเสยี งในตัวกลางเดยี วกัน จะเกดิ คลน่ื กระแทก ทำใหเ้ สยี งตามแนวหนา้ คลน่ื กระแทก มีพลังงานสูงมากมีผลทำให้ผสู้ งั เกตในบรเิ วณใกล้ เคียงไดย้ นิ เสียงดังมาก • ความรู้เร่ืองเสยี งนำไปประยกุ ต์ใช้ในดา้ นต่าง ๆ เชน่ การปรบั เทยี บเสยี งเครอื่ งดนตร ี อธบิ ายหลกั การ ทำงานของเครอื่ งดนตรี การเปล่งเสยี งของมนษุ ย์ การประมง การแพทย ์ ธรณีวทิ ยา อตุ สาหกรรม เป็นต้น ตัวชวี้ ดั และสาระการเรียนรแู้ กนกลาง กล่มุ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) 0 ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาข้ันพืน้ ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑

ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพ่มิ เติม ๘. ทดลอง และอธิบายการแทรกสอดของแสง • เม่อื แสงผ่านช่องเล็กยาวเดย่ี ว (สลติ เดีย่ ว) และ ผา่ นสลิตคแู่ ละเกรตตงิ การเล้ียวเบน ช่องเลก็ ยาวคู่ (สลิตค่)ู จะเกิดการเลีย้ วเบน และการแทรกสอดของแสงผา่ นสลิตเดีย่ ว และการแทรกสอด ทำใหเ้ กดิ แถบมืด และ รวมทงั้ คำนวณปรมิ าณต่าง ๆ ท่ีเกยี่ วข้อง แถบสว่างบนฉาก โดยปริมาณต่าง ๆ ท่เี กยี่ วข้อง มีความสัมพนั ธต์ ามสมการ แถบมดื สำหรบั สลติ เดยี่ ว เม่อื แถบสว่าง สำหรบั สลติ ค่ ู เม่อื แถบมดื สำหรบั สลิตคู่ เมื่อ • เกรตติง เปน็ อุปกรณท์ ่ปี ระกอบด้วยชอ่ งเลก็ ยาว ทีม่ ีจำนวนช่องต่อหนึ่งหนว่ ยความยาวเปน็ จำนวนมาก และระยะห่างระหวา่ งช่องมีค่าน้อย โดยแตล่ ะช่องหา่ งเทา่ ๆ กนั ใช้สำหรบั หา ความยาวคลนื่ ของแสงและศกึ ษาสมบตั กิ ารเลยี้ วเบน และการแทรกสอดของแสง โดยปรมิ าณตา่ ง ๆ ที่เกยี่ วข้องมคี วามสัมพันธ์ตามสมการ เมอ่ื n = 0,1,2,... ๙. ทดลอง และอธบิ ายการสะทอ้ นของแสงทผี่ วิ วตั ถุ • เมอื่ แสงตกกระทบผิววตั ถุ จะเกิดการสะทอ้ น ตามกฎการสะทอ้ น เขยี นรงั สีของแสงและ ซึ่งเปน็ ไปตามกฎการสะท้อน คำนวณตำแหนง่ และขนาดภาพของวตั ถ ุ เมอื่ แสง • วตั ถทุ ีอ่ ยู่หน้ากระจกเงาราบและกระจกเงา ตกกระทบกระจกเงาราบและกระจกเงาทรงกลม ทรงกลม จะเกดิ ภาพทีส่ ามารถหาตำแหนง่ ขนาด รวมทง้ั อธิบายการนำความรู้เรอ่ื งการสะท้อน และชนิดของภาพทีเ่ กดิ ขึ้น ได้จากการเขยี นภาพ ของแสงจากกระจกเงาราบ และกระจกเงา ของรังสีแสงหรอื การคำนวณจากสมการ ทรงกลมไปใชป้ ระโยชนใ์ นชวี ิตประจำวนั กรณกี ระจกเงาราบ กรณกี ระจกเงาทรงกลม 0 ตวั ชว้ี ดั และสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พื้นฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑

ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรยี นรู้เพ่ิมเตมิ ๑๐. ทดลอง และอธบิ ายความสัมพันธ์ระหวา่ ง • เมอื่ แสงเคลอ่ื นที่ผ่านผิวรอยตอ่ ของตวั กลางสอง ดรรชนหี ักเห มุมตกกระทบ และมมุ หักเห ตัวกลางจะเกิดการหกั เห โดยอัตราส่วนระหว่าง รวมทงั้ อธบิ ายความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งความลกึ จรงิ ไซน์ของมมุ ตกกระทบกับไซนข์ องมมุ หกั เหของ และความลกึ ปรากฏ มมุ วกิ ฤตและการ ตัวกลางคู่หน่ึงมคี า่ คงตวั เรียกความสัมพันธ์น้ีวา่ สะทอ้ นกลับหมดของแสง และคำนวณ กฎของสเนลล ์ เขยี นแทนได้ดว้ ยสมการ ปรมิ าณตา่ ง ๆ ทเ่ี กีย่ วข้อง • การหักเหของแสงทำใหม้ องเห็นภาพของวตั ถทุ ีอ่ ยู่ ในตวั กลางตา่ งชนิดกันมตี ำแหน่งเปล่ยี นไป จากเดมิ ซึ่งคำนวณปรมิ าณตา่ ง ๆ ท่เี กีย่ วขอ้ งได้ จากสมการ • มมุ ตกกระทบท่ที ำใหม้ มุ หกั เหมคี ่า ๙๐ องศา เรียกว่า มุมวกิ ฤต ซึง่ เกดิ ขน้ึ ในกรณที ี่แสงเดนิ ทาง จากตวั กลางทมี่ ีดรรชนหี กั เหมากไปตัวกลางท่มี ี ดรรชนีหกั เหนอ้ ย คำนวณได้จากสมการ • การสะทอ้ นกลบั หมดเกดิ ขึ้นเม่ือมมุ ตกกระทบ มากกว่ามุมวิกฤต ๑๑. ทดลอง และเขยี นรังสขี องแสงเพื่อแสดงภาพ • เมือ่ วางวัตถหุ น้าเลนส์บางจะเกดิ ภาพของวตั ถุ ท่เี กดิ จากเลนสบ์ าง หาตำแหน่ง ขนาด ชนิด โดยตำแหน่ง ขนาด และชนิดของภาพท่เี กดิ ขนึ้ ของภาพ และความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งระยะวตั ถ ุ หาได้จากการเขยี นภาพของรงั สแี สง หรือคำนวณ ระยะภาพและความยาวโฟกัส รวมทง้ั คำนวณ ไดจ้ ากสมการ ปริมาณต่าง ๆ ที่เกย่ี วข้อง และอธิบายการนำ ความรเู้ ร่ืองการหักเหของแสงผ่านเลนสบ์ าง ไปใช้ประโยชนใ์ นชวี ิตประจำวัน • ความรู้เรื่องเลนส์นำไปประยุกต์ใชใ้ นดา้ นต่าง ๆ เช่น แวน่ ขยาย กลอ้ งจลุ ทรรศน ์ เป็นต้น ๑๒. อธบิ ายปรากฏการณ์ธรรมชาตทิ ีเ่ ก่ยี วกบั แสง • กฎการสะทอ้ นและการหกั เหของแสงใชอ้ ธบิ าย เชน่ ร้งุ การทรงกลด มิราจ และการเหน็ ปรากฏการณ์ทเ่ี ก่ียวกบั แสง เช่น รงุ้ การทรงกลด ท้องฟ้าเปน็ สีตา่ ง ๆ ในชว่ งเวลาตา่ งกัน และมิราจ ตวั ชวี้ ัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) 0 ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขน้ั พืน้ ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑

ชน้ั ผลการเรยี นรู ้ สาระการเรียนรู้เพ่มิ เติม • เม่ือแสงตกกระทบอนุภาคหรอื โมเลกุลของอากาศ ๑๓. สงั เกต และอธิบายการมองเหน็ แสงสี สีของ แสงจะเกิดการกระเจงิ ใชอ้ ธบิ ายการเห็นทอ้ งฟา้ วตั ถุ การผสมสารสี และการผสมแสงส ี เป็นสีต่าง ๆ ในช่วงเวลาตา่ งกัน รวมท้ังอธบิ ายสาเหตุของการบอดส ี • การมองเหน็ สจี ะข้ึนกบั แสงสีทีต่ กกระทบกบั วตั ถุ และสารสบี นวตั ถุ โดยสารสีจะดูดกลืนบางแสงสี ม.๖ - และสะท้อนบางแสงส ี • การผสมสารสที ำใหไ้ ดส้ ารสที มี่ สี เี ปลย่ี นไปจากเดมิ ถ้านำแสงสีปฐมภมู ิในสัดส่วนท่เี หมาะสม มาผสมกนั จะไดแ้ สงขาว • แผ่นกรองแสงสยี อมให้บางแสงสผี า่ นไปได ้ และดดู กลืนบางแสงส ี • การผสมแสงสีและการผสมสารสสี ามารถนำไปใช้ ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ เช่น ดา้ นศลิ ปะ ดา้ นการแสดง • ความผิดปกตใิ นการมองเห็นสีหรอื การบอดสี เกิดจากความบกพร่องของเซลล์รูปกรวย ซึ่งเปน็ เซลลร์ บั แสงชนิดหนง่ึ บนจอตา - 204 ตวั ชว้ี ดั และสาระการเรียนร้แู กนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑

สาระฟสิ กิ ส์ ๓. เข้าใจแรงไฟฟ้าและกฎของคูลอมบ์ สนามไฟฟ้า ศักย์ไฟฟ้า ความจุไฟฟ้า กระแสไฟฟา้ และกฎของโอหม์ วงจรไฟฟา้ กระแสตรง พลงั งานไฟฟา้ และกำลงั ไฟฟา้ การเปล่ียนพลังงานทดแทนเป็นพลังงานไฟฟ้า สนามแม่เหล็ก แรงแม่เหล็ก ท่ีกระทำกับประจุไฟฟ้าและกระแสไฟฟ้า การเหนี่ยวนำแม่เหล็กไฟฟ้าและกฎ ของฟาราเดย์ ไฟฟ้ากระแสสลับ คล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้าและการสื่อสาร รวมท้ัง นำความรไู้ ปใช้ประโยชน์ ช้นั ผลการเรยี นรู้ สาระการเรียนร้เู พิ่มเตมิ ม.๔ - - ม.๕ ๑. ทดลอง และอธบิ ายการทำวัตถุที่เป็นกลางทาง • การนำวตั ถทุ ี่เป็นกลางทางไฟฟ้ามาขดั สีกัน ไฟฟา้ ให้มปี ระจุไฟฟา้ โดยการขัดสีกันและการ จะทำให้วัตถุไม่เปน็ กลางทางไฟฟ้า เนอื่ งจาก เหนย่ี วนำไฟฟ้าสถติ อเิ ลก็ ตรอนถกู ถา่ ยโอนจากวตั ถหุ นงึ่ ไปอกี วตั ถหุ นงึ่ โดยการถา่ ยโอนประจเุ ป็นไปตาม กฎการอนรุ กั ษ์ ประจุไฟฟ้า • เมือ่ นำวตั ถุที่มีประจไุ ฟฟ้าไปใกล้ตวั นำไฟฟ้า จะทำใหเ้ กิดประจุชนิดตรงข้ามบนตวั นำทางด้าน ที่ใกล้วตั ถแุ ละประจชุ นิดเดียวกันดา้ นท่ไี กลวตั ถ ุ เรยี กวิธกี ารนี้วา่ การเหน่ียวนำไฟฟา้ สถติ ซึ่ง สามารถใช้วิธกี ารนใี้ นการทำให้วตั ถุมปี ระจุได ้ ๒. อธิบาย และคำนวณแรงไฟฟ้าตามกฎของ • จุดประจไุ ฟฟา้ มแี รงกระทำซง่ึ กันและกัน โดยมี คลู อมบ์ ทิศอยูใ่ นแนวเสน้ ตรงระหว่างจดุ ประจุทั้งสอง และมขี นาดของแรงระหวา่ งจดุ ประจแุ ปรผนั ตรง กบั ผลคูณของขนาดของประจุท้ังสอง และแปรผกผันกับกำลงั สองของระยะหา่ ง ระหวา่ งจุดประจุ ซ่งึ เปน็ ไปตามกฎของคลู อมบ์ เขยี นแทนไดด้ ว้ ยสมการ เม่ือ 4πε0 ตวั ชีว้ ดั และสาระการเรียนรแู้ กนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) 0 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พ้นื ฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑

ชั้น ผลการเรยี นรู้ สาระการเรียนร้เู พ่ิมเติม ๓. อธิบาย และคำนวณสนามไฟฟ้าและแรงไฟฟ้า • รอบอนภุ าคทมี่ ปี ระจไุ ฟฟา้ มสี นามไฟฟา้ ขนาด ที่กระทำกับอนภุ าคท่มี ีประจุไฟฟา้ ทีอ่ ยใู่ นสนาม ไฟฟ้า รวมทง้ั หาสนามไฟฟ้าลัพธ์เน่ืองจากระบบ ทำใหเ้ กิดแรงไฟฟา้ กระทำต่ออนภุ าค จุดประจโุ ดยรวมกนั แบบเวกเตอร ์ ท่ีมีประจุไฟฟ้า • สนามไฟฟา้ ทต่ี ำแหนง่ ใด ๆ มคี วามสมั พนั ธก์ บั แรงไฟฟา้ ทกี่ ระทำต่อประจไุ ฟฟ้า ตามสมการ • สนามไฟฟ้าลัพธ์เนอื่ งจากจดุ ประจุหลายจุดประจุ เท่ากบั ผลรวมแบบเวกเตอรข์ องสนามไฟฟ้า เน่ืองจากจุดประจแุ ตล่ ะจุดประจุ • ตัวนำทรงกลมทีม่ ีประจไุ ฟฟ้ามสี นามไฟฟา้ ภายใน ตัวนำเป็นศูนย์ และสนามไฟฟา้ บนตัวนำมที ิศทาง ต้ังฉากกับผวิ ตัวนำนั้น โดยสนามไฟฟา้ เนื่องจาก ประจบุ นตัวนำทรงกลมทต่ี ำแหนง่ หา่ งจากผวิ ออกไปหาไดเ้ ช่นเดยี วกับสนามไฟฟา้ เน่ืองจาก จดุ ประจทุ ม่ี จี ำนวนประจเุ ทา่ กนั แตอ่ ยทู่ ศ่ี นู ยก์ ลาง ของทรงกลม • สนามไฟฟ้าของแผน่ โลหะคขู่ นานเป็นสนามไฟฟ้า สมำ่ เสมอ ๔. อธบิ าย และคำนวณพลงั งานศกั ยไ์ ฟฟา้ ศกั ยไ์ ฟฟา้ • ประจุท่ีอยใู่ นสนามไฟฟ้ามพี ลังงานศักย์ไฟฟา้ และความตา่ งศกั ยร์ ะหวา่ งสองตำแหนง่ ใด ๆ คำนวณไดจ้ ากสมการ U = k q1rq2 • พลังงานศักยไ์ ฟฟา้ ท่ีตำแหนง่ ใด ๆ ตอ่ หนงึ่ หน่วย ประจ ุ เรียกว่า ศักยไ์ ฟฟา้ ที่ตำแหน่งน้ัน โดย ศักยไ์ ฟฟา้ ที่ตำแหน่งซง่ึ อยู่ห่างจากจุดประจุ แปรผันตรงกบั ขนาดของประจ ุ และแปรผกผนั กบั ระยะทางจากจดุ ประจุถึงตำแหน่งน้ัน เขยี นแทนไดด้ ว้ ยสมการ V = k Qr • ศกั ยไ์ ฟฟา้ รวมเนอ่ื งจากจดุ ประจุหลายจดุ ประจุ คอื ผลรวมของศกั ย์ไฟฟา้ เนือ่ งจากจุดประจ ุ แต่ละจุดประจ ุ เขียนแทนไดด้ ้วยสมการ V = k �n qi i=1 ri 0 ตวั ช้ีวดั และสาระการเรียนร้แู กนกลาง กลุม่ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พนื้ ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑

ชั้น ผลการเรยี นรู้ สาระการเรยี นรเู้ พ่ิมเตมิ • ความตา่ งศกั ยร์ ะหวา่ งสองตำแหนง่ ใด ๆ ในบรเิ วณ ท่ีมสี นามไฟฟ้าคอื งานในการเคลื่อนประจุบวก หนง่ึ หน่วยจากตำแหน่งหนึ่งไปอีก ตำแหน่งหนงึ่ เขียนแทนได้ดว้ ยสมการ • ความตา่ งศักย์ระหวา่ งสองตำแหน่งใด ๆ ใน สนามไฟฟา้ สม่ำเสมอข้ึนกับขนาดของสนามไฟฟา้ และระยะทางระหวา่ งสองตำแหนง่ นัน้ ในแนว ขนานกับสนามไฟฟ้า ตามสมการ vB – vA = Ed ๕. อธิบายสว่ นประกอบของตวั เกบ็ ประจุ • ตวั เกบ็ ประจุประกอบดว้ ยตัวนำไฟฟ้าสองช้นิ ความสมั พนั ธ์ระหว่างประจไุ ฟฟา้ ความตา่ งศักย ์ ที่ค่ันด้วยฉนวน โดยปรมิ าณประจทุ เี่ กบ็ ได ้ และความจขุ องตวั เก็บประจุ และอธิบาย ขึน้ อยกู่ บั ความตา่ งศกั ย์คร่อมตัวเกบ็ ประจุ พลังงานสะสมในตัวเกบ็ ประจุ และความจสุ มมลู และความจขุ องตัวเกบ็ ประจ ุ ตามสมการ รวมทั้งคำนวณปรมิ าณตา่ ง ๆ ทเี่ กยี่ วขอ้ ง • ตัวเก็บประจุจะมีพลงั งานสะสมซ่งึ มีค่าขึน้ กับ ความต่างศักย์และปรมิ าณประจ ุ ตามสมการ • เมอื่ นำตวั เกบ็ ประจมุ าตอ่ แบบอนกุ รม ความจสุ มมลู มคี า่ ลดลง ตามสมการ • เมอ่ื นำตวั เกบ็ ประจมุ าตอ่ แบบขนาน ความจสุ มมลู มคี ่าเพ่ิมขึ้น ตามสมการ ๖. นำความรเู้ รอื่ งไฟฟา้ สถติ ไปอธบิ ายหลกั การทำงาน • ความร้เู รอ่ื งไฟฟา้ สถติ สามารถนำไปอธิบาย ของเครอ่ื งใชไ้ ฟฟ้าบางชนิด และปรากฏการณ์ การทำงานของเครื่องใชไ้ ฟฟ้าบางชนิด เช่น ในชีวติ ประจำวัน เครื่องกำจดั ฝุน่ ในอากาศ เครือ่ งพน่ สี เครอ่ื งถ่าย ลายน้ิวมอื และเคร่อื งถา่ ยเอกสาร • ความร้เู รื่องไฟฟา้ สถิตยังสามารถนำไปอธบิ าย ปรากฏการณ์ในชวี ิตประจำวันได ้ เชน่ ฟา้ ผา่ ประกายไฟจากการเสียดสกี ันของวัตถุ ซง่ึ ชว่ ยให้ สามารถป้องกันอนั ตรายทอี่ าจเกิดขน้ึ ตัวชี้วัดและสาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง กล่มุ สาระการเรียนรูว้ ิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) 0 ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พืน้ ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑

ชน้ั ผลการเรียนร ู้ สาระการเรยี นรเู้ พิ่มเตมิ ๗. อธบิ ายการเคลื่อนทข่ี องอเิ ล็กตรอนอสิ ระและ • เมื่อต่อลวดตัวนำกับแหลง่ กำเนดิ ไฟฟ้า กระแสไฟฟ้าในลวดตัวนำ ความสัมพันธร์ ะหวา่ ง อิเลก็ ตรอนอสิ ระทอี่ ยู่ในลวดตัวนำจะเคล่อื นทใ่ี น กระแสไฟฟ้าในลวดตวั นำกับความเร็วลอยเลอ่ื น ทิศตรงข้ามกบั สนามไฟฟา้ ทำใหเ้ กิดกระแสไฟฟ้า ของอเิ ลก็ ตรอนอสิ ระ ความหนาแนน่ ของ ซงึ่ ทศิ ของกระแสไฟฟ้ามที ศิ ทางเดยี วกับสนาม อิเล็กตรอนในลวดตัวนำและพื้นท่ีหน้าตดั ไฟฟ้า หรือมีทศิ ทางจากจุดท่มี ศี กั ยไ์ ฟฟ้าสงู ไปยงั ของลวดตวั นำ และคำนวณปริมาณต่าง ๆ จุดท่มี ศี ักยไ์ ฟฟา้ ตำ่ กว่า ทีเ่ กย่ี วข้อง • กระแสไฟฟ้าในตวั นำไฟฟา้ มีความสัมพันธ ์ กบั ความเร็วลอยเลอื่ นของอเิ ล็กตรอนอิสระ ความหนาแน่นของอิเล็กตรอนอิสระในตัวนำ และพื้นที่หน้าตดั ของตัวนำ ตามสมการ I = nevd A ๘. ทดลอง และอธบิ ายกฎของโอหม์ อธิบาย • เมอื่ อณุ หภูมิคงตัว กระแสไฟฟา้ ในตัวนำโลหะ ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งความตา้ นทานกบั ความยาว ความต่างศกั ยท์ ีป่ ลายทั้งสองและความต้านทาน พนื้ ทหี่ นา้ ตดั และสภาพตา้ นทานของตวั นำโลหะ ของตัวนำนั้นมีความสมั พนั ธ์กันตามกฎของโอห์ม ท่อี ุณหภมู ิคงตวั และคำนวณปรมิ าณตา่ ง ๆ ( ) ทเี่ ก่ียวขอ้ ง รวมทั้งอธบิ ายและคำนวณ เขียนแทนได้ด้วยสมการ I = R 1 V ความต้านทานสมมูล เม่อื นำตัวต้านทาน • ความต้านทานของวัตถเุ ม่อื อุณหภมู คิ งตวั มาต่อกนั แบบอนกุ รมและแบบขนาน ข้ึนอยกู่ บั ชนดิ และรปู รา่ งของวตั ถุ ตามสมการ R = ρ l A • ค่าความต้านทานของตวั ต้านทานอ่านได้จาก แถบสบี นตวั ต้านทาน • เมือ่ นำตวั ต้านทานมาตอ่ แบบอนุกรม ความต้านทานสมมูลมีค่าเพม่ิ ขนึ้ ตามสมการ R = R1 + R2 + R3 +... • เมอื่ นำตวั ตา้ นทานมาตอ่ แบบขนาน ความตา้ นทานสมมูลมคี า่ ลดลง ตามสมการ 1 = + + 1 1 R1 3 +... R R1 R2 ๙. ทดลอง อธิบาย และคำนวณอเี อ็มเอฟของ • แหลง่ กำเนดิ ไฟฟ้ากระแสตรง เชน่ แบตเตอร ่ี แหล่งกำเนิดไฟฟ้ากระแสตรง รวมท้งั อธิบาย เป็นอปุ กรณ์ทใี่ ห้พลงั งานไฟฟา้ แกว่ งจร และคำนวณพลงั งานไฟฟ้า และกำลงั ไฟฟ้า พลงั งานไฟฟ้าท่ีประจไุ ฟฟา้ ไดร้ ับตอ่ หนงึ่ หนว่ ย ประจไุ ฟฟ้าเม่อื เคล่ือนท่ีผ่านแหล่งกำเนิดไฟฟา้ เรียกวา่ อีเอ็มเอฟ คำนวณได้จากสมการ ε = ∆V + Ir 208 ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ (ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พ้นื ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑

ชั้น ผลการเรยี นรู้ สาระการเรียนรเู้ พม่ิ เติม • พลังงานไฟฟ้าทถ่ี ูกใช้ไปในเครอ่ื งใช้ไฟฟา้ ใน ๑๐. ทดลอง และคำนวณอเี อม็ เอฟสมมลู จากการ หนงึ่ หน่วยเวลา เรียกวา่ กำลังไฟฟ้า ซึง่ มคี า่ ขึ้นกับความตา่ งศักยแ์ ละกระแสไฟฟ้า คำนวณ ต่อแบตเตอรี่แบบอนกุ รมและแบบขนาน ได้จากสมการ และ รวมทงั้ คำนวณปริมาณตา่ ง ๆ ที่เกยี่ วขอ้ ง ในวงจรไฟฟ้ากระแสตรงซ่งึ ประกอบดว้ ย • เมอื่ นำแบตเตอรม่ี าตอ่ แบบอนกุ รม อเี อม็ เอฟสมมลู แบตเตอร่แี ละตัวต้านทาน และความต้านทานภายในสมมูลมีคา่ เพ่มิ ขึ้น ตามสมการ ε = ε1 + ε2 + ... + εn และ r = r1 + r2 + ... + rn ตามลำดบั • เมอ่ื นำแบตเตอรที่ ่ีเหมอื นกนั มาต่อแบบขนาน อเี อม็ เอฟสมมูลมคี า่ คงเดมิ และความต้านทาน ภายในสมมลู มคี า่ ลดลง ตามสมการ ε = ε1 = ε2 = ... = εn และ r1 = 1r + r1 + .. . + r 1 ตามลำดับ 12 n • กระแสไฟฟ้าในวงจรไฟฟ้ากระแสตรงที ่ คปำรนะกวณอบไดดต้้วายมแสบมตกเตาอร รีแ่ ละตัวεต า้ นทาน ๑๑. อธบิ ายการเปลีย่ นพลังงานทดแทนเปน็ • การนำพลังงานทดแทนมาใช้เปน็ การแก้ปญั หา พลงั งานไฟฟ้า รวมท้งั สืบคน้ และอภปิ ราย หรอื ตอบสนองความตอ้ งการดา้ นพลงั งาน เชน่ เกี่ยวกับเทคโนโลยี ท่นี ำมาแก้ปัญหาหรือ การเปลยี่ นพลังงานนวิ เคลียร์เปน็ พลงั งานไฟฟ้า ตอบสนองความต้องการทางดา้ นพลงั งาน ในโรงไฟฟ้านวิ เคลียร ์ และการเปลีย่ นพลงั งาน ไฟฟ้า โดยเนน้ ด้านประสทิ ธิภาพและ แสงอาทติ ยเ์ ปน็ พลังงานไฟฟา้ โดยเซลลส์ รุ ยิ ะ ความคมุ้ คา่ ดา้ นคา่ ใช้จา่ ย • เทคโนโลยีตา่ ง ๆ ทน่ี ำมาแกป้ ญั หาหรือตอบสนอง ความตอ้ งการทางด้านพลังงานเป็นการนำความรู้ ทักษะและกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรม์ าสร้าง อุปกรณ์หรอื ผลิตภณั ฑต์ า่ ง ๆ ทีช่ ว่ ยใหก้ ารใช้ พลังงานมปี ระสทิ ธิภาพยิ่งขึน้ ม.๖ ๑. สงั เกต และอธิบายเส้นสนามแมเ่ หลก็ อธบิ าย • เส้นสนามแม่เหลก็ เป็นเสน้ สมมตทิ ่ีใช้แสดงบรเิ วณ และคำนวณฟลักซแ์ มเ่ หลก็ ในบริเวณที่กำหนด ทม่ี สี นามแมเ่ หลก็ โดยบรเิ วณทมี่ เี สน้ สนามแมเ่ หลก็ รวมท้งั สงั เกต และอธบิ ายสนามแม่เหลก็ หนาแน่นมากแสดงวา่ เปน็ บรเิ วณที่สนามแม่เหล็ก ทเ่ี กิดจากกระแสไฟฟา้ ในลวดตวั นำเส้นตรง มคี วามเขม้ มาก และโซเลนอยด ์ ตวั ชี้วัดและสาระการเรียนรูแ้ กนกลาง กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) 0 ตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พ้ืนฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑

ชั้น ผลการเรยี นรู้ สาระการเรียนรเู้ พิ่มเติม • ฟลกั ซแ์ ม่เหลก็ คือ จำนวนเส้นสนามแมเ่ หล็ก ทผี่ า่ นพน้ื ทท่ี พี่ จิ ารณา และอตั ราสว่ นระหวา่ ง ฟลักซ์แมเ่ หลก็ ต่อพืน้ ท่ีตง้ั ฉากกับสนามแม่เหล็ก คือ ขนาดของสนามแม่เหล็ก เขยี นแทนได้ดว้ ย สมการ • เมอ่ื มีกระแสไฟฟ้าผ่านลวดตวั นำเส้นตรงหรือ โซเลนอยดจ์ ะเกิดสนามแม่เหลก็ ขนึ้ ๒. อธบิ าย และคำนวณแรงแมเ่ หล็กทก่ี ระทำตอ่ • อนุภาคทีม่ ีประจไุ ฟฟา้ เคลอ่ื นที่เข้าไปใน อนุภาคที่มีประจไุ ฟฟา้ เคลื่อนท่ใี นสนามแม่เหล็ก สนามแม่เหล็ก จะเกิดแรงกระทำต่ออนุภาคน้นั แรงแมเ่ หลก็ ทกี่ ระทำตอ่ เสน้ ลวดทมี่ กี ระแสไฟฟา้ คำนวณไดจ้ ากสมการ ผา่ นและวางในสนามแม่เหลก็ รัศมีความโค้งของ • กรณที ่ีประจไุ ฟฟ้าเคลือ่ นท่ีต้งั ฉากเข้าไปใน การเคลอ่ื นทีเ่ มื่อประจุเคล่ือนทต่ี ัง้ ฉากกบั สนามแม่เหล็ก จะทำให้ประจุเคลื่อนที่เปล่ียนไป สนามแมเ่ หลก็ รวมทง้ั อธบิ ายแรงระหวา่ งเสน้ ลวด โดยรัศมคี วามโคง้ ของการเคลื่อนทค่ี ำนวณได้จาก ตวั นำคขู่ นานทีม่ กี ระแสไฟฟา้ ผา่ น สมการ ๓. อธิบายหลกั การทำงานของแกลแวนอมเิ ตอร์ • ลวดตัวนำทม่ี ีกระแสไฟฟา้ ผา่ นและอย่ใู น และมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสตรง รวมท้งั คำนวณ สนามแม่เหลก็ จะเกิดแรงกระทำตอ่ ลวดตัวนำน้ัน ปรมิ าณต่างๆ ท่เี ก่ยี วขอ้ ง โดยทิศทางของแรงหาได้จากกฎมือขวา และ คำนวณขนาดของแรงไดจ้ ากสมการ • เมื่อวางเสน้ ลวดสองเส้นขนานกันและมีกระแส ไฟฟา้ ผ่านทงั้ สองเสน้ จะเกดิ แรงกระทำระหว่าง ลวดตัวนำท้งั สอง • เมอื่ มกี ระแสไฟฟา้ ผ่านขดลวดตวั นำที่อยู่ใน สนามแม่เหลก็ จะมีโมเมนต์ของแรงคู่ควบกระทำ ตอ่ ขดลวดทำให้ขดลวดหมนุ ซึ่งนำไปใชอ้ ธิบาย การทำงานของแกลแวนอมิเตอร์และมอเตอร์ ไฟฟา้ กระแสตรง โดยโมเมนต์ของแรงคคู่ วบ คำนวณไดจ้ ากสมการ ๔. สังเกต และอธิบายการเกิดอีเอ็มเอฟเหนยี่ วนำ • เมอ่ื มีฟลกั ซ์แม่เหลก็ เปล่ยี นแปลงตดั ขดลวดตัวนำ กฎการเหนยี่ วนำของฟาราเดย์ และคำนวณ จะเกดิ อีเอ็มเอฟเหน่ยี วนำในขดลวดตัวนำน้ัน ปรมิ าณต่าง ๆ ที่เกย่ี วขอ้ ง รวมทั้งนำความรู้ อธบิ ายไดโ้ ดยใชก้ ฎการเหนยี่ วนำของฟาราเดย์ เรื่องอีเอม็ เอฟเหนยี่ วนำไปอธิบายการทำงาน เขยี นแทนได้ด้วยสมการ ε ของเครือ่ งใชไ้ ฟฟ้า 0 ตัวช้วี ดั และสาระการเรียนรแู้ กนกลาง กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขน้ั พื้นฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑

ชั้น ผลการเรยี นรู้ สาระการเรียนร้เู พ่มิ เตมิ • ทิศทางของกระแสไฟฟา้ เหนี่ยวนำหาไดโ้ ดยใช ้ กฎของเลนซ์ • ความรู้เก่ยี วกับอเี อ็มเอฟเหนีย่ วนำไปใช้อธบิ าย การทำงานของเครอื่ งกำเนดิ ไฟฟา้ และการ ทำงานของเครื่องใชไ้ ฟฟ้าต่าง ๆ เชน่ แบลลัสต์ แบบขดลวดของหลอดฟลอู อเรสเซนต์ การเกิด อเี อ็มเอฟกลับในมอเตอร์ไฟฟา้ มอเตอร์ไฟฟา้ เหนีย่ วนำ และกีตาร์ไฟฟา้ ๕. อธิบาย และคำนวณความตา่ งศักย์อาร์เอ็มเอส • ไฟฟ้ากระแสสลับที่สง่ ไปตามบ้านเรอื น มีความ และกระแสไฟฟ้าอาร์เอม็ เอส ต่างศกั ย์และกระแสไฟฟา้ เปล่ยี นแปลงไปตาม เวลาในรูปของฟังกช์ ันแบบไซน ์ • การวัดความตา่ งศักยแ์ ละกระแสไฟฟ้าสลับ ใชค้ า่ ยงั ผลหรือค่ามเิ ตอร์ ซง่ึ เปน็ ค่าเฉล่ยี แบบ รากทสี่ องของกำลงั สองเฉลย่ี คำนวณไดจ้ ากสมการ ๖. อธบิ ายหลักการทำงานและประโยชน์ของ • เคร่ืองกำเนดิ ไฟฟา้ กระแสสลับ ๓ เฟส มีขดลวด เคร่ืองกำเนิดไฟฟ้ากระแสสลบั ๓ เฟส ตัวนำ ๓ ชดุ แต่ละชุดวางทำมมุ ๑๒๐ องศา การแปลงอเี อม็ เอฟของหม้อแปลง และคำนวณ ซงึ่ กนั และกนั ไฟฟา้ กระแสสลบั จากขดลวดแตล่ ะชดุ ปริมาณต่าง ๆ ที่เก่ียวข้อง จะมีเฟสตา่ งกนั ๑๒๐ องศา ซงึ่ ช่วยให้มี ประสิทธภิ าพในการผลติ และการส่งพลงั งาน ไฟฟ้า • ไฟฟา้ กระแสสลับท่ีสง่ ไปตามบ้านเรอื นเปน็ ไฟฟา้ กระแสสลับทตี่ อ้ งเพม่ิ อเี อ็มเอฟจากโรงไฟฟ้าแล้ว ลดอีเอ็มเอฟให้มีคา่ ทตี่ อ้ งการโดยใช้หม้อแปลงซึ่ง ประกอบดว้ ยขดลวดปฐมภูมแิ ละขดลวดทตุ ยิ ภูม ิ • ไฟฟา้ กระแสสลบั ทีผ่ ่านขดลวดปฐมภมู ิของ หมอ้ แปลงจะทำใหเ้ กดิ อเี อม็ เอฟเหนี่ยวนำใน ขดลวดทตุ ิยภมู ขิ องหม้อแปลง โดยอเี อ็มเอฟใน ขดลวดทุตยิ ภมู ขิ น้ึ กบั อเี อม็ เอฟในขดลวดปฐมภูมิ และจำนวนรอบของขดลวดทั้งสอง ตามสมการ εε12 ตวั ชว้ี ดั และสาระการเรียนร้แู กนกลาง กลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐)  ตามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาข้ันพน้ื ฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑

ชน้ั ผลการเรยี นร้ ู สาระการเรยี นรเู้ พิม่ เตมิ ๗. อธบิ ายการเกดิ และลกั ษณะเฉพาะของ • การเหน่ยี วนำต่อเนื่องระหว่างสนามแมเ่ หล็กและ คล่นื แมเ่ หล็กไฟฟ้า แสงไมโ่ พลาไรส์ สนามไฟฟ้า ทำใหเ้ กดิ คล่นื แม่เหลก็ ไฟฟ้าแผอ่ อก แสงโพลาไรส์เชิงเสน้ และแผน่ โพลารอยด ์ จากแหล่งกำเนิด รวมท้ังอธิบายการนำคลืน่ แม่เหล็กไฟฟ้า • คลื่นแมเ่ หลก็ ไฟฟ้าประกอบดว้ ยสนามแมเ่ หล็ก ในชว่ งความถี่ต่าง ๆ ไปประยกุ ต์ใช้และหลกั และสนามไฟฟา้ ทเี่ ปลยี่ นแปลงตลอดเวลาโดย การทำงานของอปุ กรณท์ ี่เกย่ี วขอ้ ง สนามทง้ั สองมีทิศตงั้ ฉากกันและตัง้ ฉากกบั ทศิ ทางการเคลอ่ื นท่ีของคลน่ื ๘. สบื ค้น และอธบิ ายการส่อื สารโดยอาศยั • แสงเปน็ คลน่ื แม่เหล็กไฟฟา้ ชนดิ หนึง่ โดยแสงใน คลืน่ แม่เหลก็ ไฟฟา้ ในการสง่ ผา่ นสารสนเทศ ชวี ติ ประจำวนั เปน็ แสงไมโ่ พลาไรส์ เมือ่ แสงน้นั และเปรียบเทยี บการสอื่ สารดว้ ยสัญญาณ ผ่านแผ่นโพลารอยด์ สนามไฟฟา้ จะมีทศิ ทางอยู่ แอนะลอ็ กกับสัญญาณดิจทิ ัล ในระนาบเดียวเรยี กวา่ แสงโพลาไรส์เชงิ เสน้ สมบัติของแสงลกั ษณะนีเ้ รยี กว่า โพลาไรเซชนั • คล่นื แมเ่ หล็กไฟฟา้ มีความถ่ีต่าง ๆ มากมาย โดย ความถ่ีนีม้ ีคา่ ตอ่ เนอ่ื งกนั เป็นช่วงกว้าง เรยี กว่า สเปกตรมั คล่ืนแมเ่ หล็กไฟฟ้า • ตวั อย่างอุปกรณท์ ท่ี ำงานโดยอาศยั คลื่นแมเ่ หลก็ ไฟฟา้ เช่น เครอื่ งฉายรงั สเี อกซ์ เคร่อื งควบคุมระยะไกล เครือ่ งระบุตำแหนง่ บน พน้ื โลก เครื่องถ่ายภาพเอกซ์เรยค์ อมพวิ เตอร์ และเครอื่ งถา่ ยภาพการสนั่ พ้องแมเ่ หลก็ • การสอื่ สารเพอื่ สง่ ผ่านสารสนเทศจากท่หี นึ่ง ไปอกี ที่หนึง่ ทำไดโ้ ดยอาศัยคลนื่ แมเ่ หล็กไฟฟา้ สารสนเทศจะถกู แปลงให้อยูใ่ นรูปสญั ญาณ สำหรบั สง่ ไปยังปลายทางซ่ึงจะมกี ารแปลง สัญญาณกลบั มาเป็นสารสนเทศทเี่ หมอื นเดิม • สญั ญาณมีสองชนิดคือแอนะล็อกและดิจทิ ลั โดยการส่งผ่านสารสนเทศด้วยสัญญาณดจิ ทิ ัล มคี วามผิดพลาดนอ้ ยกว่าสัญญาณแอนะล็อก 212 ตัวช้วี ดั และสาระการเรียนรแู้ กนกลาง กล่มุ สาระการเรยี นร้วู ทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาข้ันพนื้ ฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑

สาระฟสิ ิกส์ ๔. เข้าใจความสัมพันธ์ของความร้อนกับการเปลี่ยนอุณหภูมิและสถานะของสสาร สภาพยดื หยนุ่ ของวสั ดแุ ละมอดลุ สั ของยงั ความดนั ในของไหล แรงพยงุ และหลกั ของอาร์คิมีดิส ความตึงผิวและแรงหนืดของของเหลว ของไหลอุดมคติ และ สมการแบร์นูลลี กฎของแก๊ส ทฤษฎีจลน์ของแก๊สอุดมคติและพลังงานในระบบ ทฤษฎีอะตอมของโบร์ ปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก ทวิภาวะของคล่ืนและ อนุภาค กัมมันตภาพรังสี แรงนิวเคลียร์ ปฏิกิริยานิวเคลียร์ พลังงานนิวเคลียร์ ฟิสิกส์อนภุ าค รวมทั้งนำความรู้ไปใชป้ ระโยชน ์ ช้ัน ผลการเรียนร้ ู สาระการเรียนรู้เพิ่มเติม ม.๔ - - ม.๕ - - ม.๖ ๑. อธิบาย และคำนวณความรอ้ นทท่ี ำใหส้ สาร • เมอ่ื สสารไดร้ ับหรอื คายความร้อน สสารอาจมี เปลย่ี นอณุ หภมู ิ ความร้อนทีท่ ำให้สสารเปล่ยี น อณุ หภูมเิ ปลย่ี นไป และสสารอาจเปล่ยี นสถานะ สถานะ และความรอ้ นทเี่ กดิ จากการถา่ ยโอน โดยไมเ่ ปล่ยี นอุณหภูมิ ซงึ่ ปริมาณความรอ้ น ตามกฎการอนุรกั ษพ์ ลงั งาน ทที่ ำใหส้ สารเปลย่ี นอณุ หภมู คิ ำนวณไดจ้ ากสมการ Q = mc∆T สว่ นปรมิ าณของพลังงานความรอ้ นท่ที ำใหส้ สาร เปลีย่ นสถานะคำนวณไดจ้ ากสมการ Q = mL • วัตถทุ ม่ี ีอุณหภูมิสูงกวา่ จะถ่ายโอนความรอ้ น ไปสวู่ ัตถุทีม่ ีอณุ หภมู ิตำ่ กวา่ เป็นไปตามกฎ การอนรุ ักษพ์ ลงั งาน โดยปรมิ าณความร้อนที่วตั ถุ หนง่ึ ให้จะเทา่ กับปรมิ าณความรอ้ นท่ีวัตถุหน่ึงรบั • เเมข่ือียวนตัแถทุมนอี ไุณดด้ ห้วภยูมสเิมทกา่ ากรันQจะลดไ=ม่มQกี เาพม่ิร ถ่ายโอน ความร้อน เรยี กว่าวตั ถุอยู่ในสมดลุ ความรอ้ น ๒. อธิบายสภาพยดื หย่นุ และลกั ษณะการยืด • สมบัติที่วัสดุเปลย่ี นรูปและกลับส่รู ูปเดมิ เมอื่ หยุด และหดตัวของวัสดุทีเ่ ป็นแท่ง เม่อื ถูกกระทำ ออกแรงกระทำเรียกว่า สภาพยืดหยุน่ ถ้ายงั ดว้ ยแรงค่าต่าง ๆ รวมทัง้ ทดลอง อธบิ ายและ ออกแรงต่อไป วัสดจุ ะขาดหรอื เสียรูปอยา่ งถาวร คำนวณความเค้นตามยาว ความเครียดตามยาว • ในกรณที ี่วตั ถมุ กี ารเปลี่ยนแปลงความยาว และมอดุลัสของยัง และนำความรูเ้ ร่อื ง ถ้าออกแรงกระทำตอ่ เสน้ ลวดไมเ่ กินขดี จำกัด สภาพยดื หยุ่นไปใชใ้ นชีวิตประจำวนั การแปรผนั ตรง ความยาวทเ่ี พิ่มข้นึ ของเส้นลวด แปรผันตรงกบั ขนาดของแรงดึง ทำให้ ความเครยี ดตามยาวทีเ่ กดิ ขน้ึ แปรผนั ตรงกบั ตัวชี้วดั และสาระการเรียนร้แู กนกลาง กลุม่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) 213 ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขัน้ พื้นฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑

ชน้ั ผลการเรยี นรู้ สาระการเรยี นรูเ้ พ่มิ เติม ความเคน้ ตามยาว โดยความเคน้ ตามยาว คำนวณไดจ้ ากสมการ σ = AF ส่วนความเครียด ตามยาวคำนวณได้จากสมการ ε ∆L = L0 • อตั ราส่วนความเคน้ ตามยาวต่อความเครยี ด ตามยาว เรยี กวา่ มอดลุ ัสของยงั ซึ่งมคี ่าขึ้นกับ ชนิดของวสั ดุ คำนวณได้จากสมการ Y = εσ หรอื Y = F/A ∆L/L0 • ถ้าวสั ดมุ มี อดุลัสของยังสงู แสดงว่าวัสดนุ น้ั เปลีย่ นแปลงความยาวได้นอ้ ย ถ้าออกแรงเพิ่มข้นึ เกินขดี จำกดั สภาพยดื หย่นุ วัสดุไม่สามารถ กลบั คนื สู่สภาพเดมิ ได ้ สมบัตินีน้ ำไปใชพ้ ิจารณา ในการเลอื กวสั ดุทเี่ หมาะสมกบั การใช้งาน ๓. อธบิ าย และคำนวณความดนั เกจ ความดัน • ภาชนะทมี่ ขี องเหลวบรรจอุ ย่จู ะมีแรงเนือ่ งจาก สัมบรู ณ์ และความดนั บรรยากาศ รวมท้ัง ของเหลวกระทำตอ่ พืน้ ผวิ ภาชนะ โดยขนาดของ อธิบายหลกั การทำงานของแมนอมเิ ตอร ์ แรงทขี่ องเหลวกระทำต้งั ฉากต่อพ้ืนท่หี นึง่ หนว่ ย บารอมเิ ตอร์ และเครื่องอดั ไฮดรอลิก เป็นความดันในของเหลว • ความดนั ที่เคร่ืองมอื วดั ได ้ เรียกวา่ ความดันเกจ คำนวณได้จากสมการ ส่วนผลรวมของ ความดนั บรรยากาศและความดนั เกจ เรียกว่า ความดนั สัมบรู ณ์ คำนวณได้จากสมการ • คา่ ของความดันอ่านได้จากเครอ่ื งวัดความดัน เช่น แมนอมเิ ตอร ์ บารอมเิ ตอร ์ • เมอื่ เพ่มิ ความดัน ณ ตำแหน่งใด ๆ ในของเหลว ทอี่ ยู่นงิ่ ในภาชนะปิด ความดันท่ีเพิ่มขนึ้ จะส่งผา่ น ไปทกุ ๆ จดุ ในของเหลวน้ัน เรียกวา่ กฎพาสคลั กฎนีน้ ำไปใช้อธิบายการทำงานของ เครอ่ื งอดั ไฮดรอลิก  ตัวชว้ี ดั และสาระการเรยี นรแู้ กนกลาง กลุ่มสาระการเรียนร้วู ิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พน้ื ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑

ช้นั ผลการเรยี นรู้ สาระการเรยี นรเู้ พ่มิ เติม ๔. ทดลอง อธิบาย และคำนวณขนาดแรงพยงุ • วตั ถุทีอ่ ย่ใู นของไหลท้ังหมดหรือเพยี งบางสว่ น จากของไหล จะถกู แรงพยุงจากของไหลกระทำ โดยขนาด แรงพยงุ เทา่ กบั ขนาดนำ้ หนกั ของของไหล ทีถ่ กู วัตถุแทนท่ตี ามหลกั ของอารค์ มิ ดี ีส ซ่งึ ใชอ้ ธิบายการลอยการจมของวัตถตุ า่ ง ๆ ในของไหล ขนาดแรงพยุงจากของไหลคำนวณได้ จากสมการ ๕. ทดลอง อธิบาย และคำนวณความตงึ ผิวของ • ความตงึ ผวิ เปน็ สมบัตขิ องของเหลวทย่ี ึดผวิ ของเหลว รวมทั้งสงั เกตและอธิบายแรงหนืด ของเหลวไว้ด้วยแรงดงึ ผวิ ปรากฏการณ์ทเ่ี ป็นผล ของของเหลว จากความตงึ ผิว เช่น การเดนิ บนผิวน้ำของแมลง บางชนิด การซึมตามรเู ลก็ หรือ การโคง้ ของผวิ ของเหลว โดยความตงึ ผวิ ของของเหลวคำนวณได้ จากสมการ • ความหนดื เป็นสมบัตขิ องของไหล วัตถุทเี่ คลือ่ นท่ี ในของไหลจะมีแรงเนื่องจากความหนืดตา้ นการ เคลอื่ นที่ของวัตถุ เรียกวา่ แรงหนดื ๖. อธิบายสมบัติของของไหลอดุ มคต ิ สมการ • ของไหลอุดมคติเปน็ ของไหลท่มี ีการไหลอยา่ ง ความต่อเนือ่ ง และสมการแบรน์ ูลลี รวมท้งั สมำ่ เสมอ ไม่มคี วามหนดื บบี อดั ไมไ่ ด ้ และไหล คำนวณปรมิ าณตา่ ง ๆ ทเี่ กย่ี วขอ้ ง และนำความรู้ โดยไม่หมนุ มีอัตราการไหลตามสมการ เกย่ี วกบั สมการความตอ่ เนอื่ งและสมการแบรน์ ลู ลี ความตอ่ เนือ่ ง Av = คา่ คงตวั ไปอธิบายหลักการทำงานของอุปกรณต์ ่าง ๆ • ตำแหน่งสองตำแหน่งบนสายกระแสเดยี วกัน ของของไหลอุดมคติท่ีไหลอย่างสมำ่ เสมอ จะม ี ผลรวมของความดนั สัมบูรณ ์ พลังงานจลน์ ต่อหน่ึงหนว่ ยปรมิ าตร และพลงั งานศกั ยต์ ่อหนึง่ หนว่ ยปริมาตร เป็นคา่ คงตวั ตามสมการแบรน์ ูลล ี ค่าคงตวั ๗. อธิบายกฎของแก๊สอดุ มคติและคำนวณปริมาณ • แกส๊ อดุ มคตเิ ป็นแกส๊ ทโ่ี มเลกลุ มีขนาดเล็กมาก ต่าง ๆ ท่เี กยี่ วข้อง ไมม่ ีแรงยึดเหน่ียวระหว่างโมเลกุล มกี ารเคลือ่ นท่ี แบบสมุ่ และมีการชนแบบยืดหยุน่ • ความสมั พันธร์ ะหว่างความดัน ปรมิ าตร และ อุณหภมู ขิ องแก๊สอดุ มคติเป็นไปตามกฎของ แกส๊ อุดมคติ เขยี นแทนไดด้ ว้ ยสมการ PV = nRT = NkBT ตวั ชีว้ ัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐)  ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขนั้ พ้นื ฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑

ชั้น ผลการเรยี นรู้ สาระการเรียนรู้เพิ่มเตมิ ๘. อธบิ ายแบบจำลองของแกส๊ อุดมคต ิ ทฤษฎจี ลน์ • จากแบบจำลองของแกส๊ อดุ มคต ิ กฎการเคลื่อนที่ ของแก๊ส และอตั ราเรว็ อาร์เอม็ เอสของโมเลกลุ ของนิวตัน และจากกฎของแก๊สอุดมคติ ทำให้ ของแกส๊ รวมทงั้ คำนวณปรมิ าณตา่ ง ๆ ทเ่ี กย่ี วขอ้ ง สามารถศกึ ษาสมบตั ทิ างกายภาพบางประการ ของแกส๊ ได ้ ได้แก่ ความดัน พลงั งานจลนเ์ ฉลย่ี และอัตราเรว็ อารเ์ อม็ เอส ของโมเลกลุ ของแก๊สได ้ • จากทฤษฎจี ลนข์ องแกส๊ ความดนั และพลงั งานจลน์ เฉลย่ี ของโมเลกลุ ของแกส๊ มคี วามสมั พนั ธต์ ามสมการ โ ม เ ล ก ลุ ข อ ง kแ สกว่๊สนคอำนตั รวาณเรไว็ดอจ้ าารก์เสอม็มกเอาสร ของ ๙. อธบิ าย และคำนวณงานทที่ ำโดยแกส๊ ในภาชนะปดิ • ในภาชนะปิดเม่ือมกี ารเปลีย่ นแปลงปรมิ าตรของ โดยความดันคงตวั และอธิบายความสัมพนั ธ์ แก๊สโดยความดันคงตัว งานทเ่ี กิดข้นึ คำนวณได้ ระหวา่ งความรอ้ น พลงั งานภายในระบบ และงาน จากสมการ W = P∆V รวมทัง้ คำนวณปริมาณตา่ ง ๆ ท่ีเกี่ยวข้อง • โมเลกลุ ของแก๊สอดุ มคตใิ นภาชนะปดิ จะมี และนำความรู้เร่ืองพลงั งานภายในระบบ พลังงานจลน ์ โดยพลงั งานจลนร์ วมของโมเลกุล ไปอธบิ ายหลกั การทำงานของเคร่ืองใชใ้ นชวี ติ เรยี กว่า พลังงานภายในของแก๊สหรอื พลงั งาน ประจำวนั ภายในระบบ ซง่ึ แปรผนั ตรงกับจำนวนโมเลกลุ และอุณหภมู ิสมั บรู ณ์ของแกส๊ • พลังงานภายในระบบมีความสมั พนั ธ์กบั ความร้อน และงาน เช่น เม่อื มีการถา่ ยโอนความรอ้ นใน ระบบปิด ผลของการถา่ ยโอนความร้อนน้ี จะเท่ากบั ผลรวมของพลงั งานภายในระบบ ท่ีเปลี่ยนแปลงกบั งาน เปน็ ไปตามกฎการอนรุ ักษ์ พลงั งานเรียกกฎข้อท่ีหน่งึ ของอณุ หพลศาสตร ์ แสดงไดด้ ว้ ยสมการ Q = ∆U + W • ความรู้เรอื่ งพลังงานภายในระบบสามารถนำไป ประยกุ ต์ในด้านตา่ ง ๆ เชน่ การทำงานของ เคร่ืองยนต์ความรอ้ น ต้เู ยน็ เคร่อื งปรับอากาศ ๑๐. อธบิ ายสมมตฐิ านของพลงั ค ์ ทฤษฎีอะตอม • พลังค์เสนอสมมติฐานเพอ่ื อธิบายการแผ่รงั สี ของโบร์ และการเกดิ เส้นสเปกตรมั ของ ของวตั ถดุ ำ ซงึ่ สรปุ ไดว้ า่ พลงั งานทวี่ ตั ถดุ ำดดู กลนื อะตอมไฮโดรเจน รวมท้ังคำนวณปริมาณ หรอื แผ่ออกมามีคา่ ไดเ้ ฉพาะบางค่าเท่าน้ัน และ ตา่ ง ๆ ท่ีเกี่ยวข้อง คา่ น้ีจะเปน็ จำนวนเทา่ ของ hf เรียกว่า ควอนตมั พลงั งาน โดยแสงความถ ี่ f จะมพี ลังงานตาม สมการ E = nhf  ตวั ชวี้ ดั และสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุม่ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พื้นฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑

ช้นั ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรูเ้ พ่ิมเตมิ • ทฤษฎีอะตอมของไฮโดรเจนที่เสนอโดยโบร์ อธบิ ายว่า อิเลก็ ตรอนจะเคลื่อนทีร่ อบนิวเคลียส ในวงโคจรบางวงได้โดยไมแ่ ผ่คลืน่ แม่เหลก็ ไฟฟา้ ถ้าอิเล็กตรอนมีการเปลีย่ นวงโคจรจะมกี ารรบั หรอื ปล่อยพลงั งานในรปู ของคลน่ื แมเ่ หล็กไฟฟา้ ตามสมมติฐานของพลงั ค ์ ซงึ่ สามารถนำไป คำนวณรัศมีวงโคจรของอเิ ล็กตรอน และพลงั งาน อะตอมของไฮโดรเจนไดต้ ามสมการ และ ตามลำดับ • ทฤษฎีอะตอมของโบร์สามารถนำไปคำนวณ ความยาวคลื่นของแสงในสเปกตรัมเสน้ สวา่ ง ของอะตอมไฮโดรเจนตามสมการ ๑๑. อธบิ ายปรากฏการณโ์ ฟโตอิเลก็ ทริกและ fi คำนวณพลังงานโฟตอน พลังงานจลนข์ อง โฟโตอเิ ล็กตรอนและฟงั ก์ชนั งานของโลหะ • ปรากฏการณ์โฟโตอเิ ลก็ ทรกิ เปน็ ปรากฏการณ ์ ที่อิเลก็ ตรอนหลดุ จากผวิ โลหะเมือ่ มแี สงที่มี ความถเ่ี หมาะสมมาตกกระทบ โดยจำนวน โฟโตอเิ ลก็ ตรอนทห่ี ลดุ จะเพม่ิ ขน้ึ ตามความเขม้ แสง และพลงั งานจลนส์ งู สุดของโฟโตอิเลก็ ตรอน จะข้นึ กับความถขี่ องแสงนัน้ โดยพลังงานของแสง หรือโฟตอนตามสมมตฐิ านของพลังค์ • ไอนส์ ไตน์อาศัยกฎการอนุรกั ษพ์ ลังงานและ สมมตฐิ านของพลังค ์ อธิบายปรากฏการณ์ • กโฟารโทตดอลเิ ลอก็ งท พรลิกงั ตงาานมจสลมนกส์างูรส hดุ fข อ=ง โWฟโ ต+อ เิEลกk็ mตaรxอน และฟังก์ชนั งานของโลหะคำนวณได้จากสมการ และ ตามลำดับ ตัวชวี้ ดั และสาระการเรยี นรแู้ กนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐)  ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พ้นื ฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑

ชั้น ผลการเรยี นรู้ สาระการเรียนร้เู พ่มิ เตมิ ๑๒. อธิบายทวิภาวะของคลื่นและอนภุ าค รวมท้ัง • การคน้ พบการแทรกสอดและการเล้ียวเบน อธบิ าย และคำนวณความยาวคลนื่ เดอบรอยล ์ ของอเิ ลก็ ตรอนสนบั สนนุ ความคดิ ของเดอบรอยล์ ท่ีเสนอวา่ อนภุ าคแสดงสมบตั ขิ องคลน่ื ได ้ โดยเม่อื อนภุ าคประพฤติตัวเปน็ คล่ืนจะมี ความยาวคลนื่ เรยี กวา่ ความยาวคลน่ื เดอบรอยล์ ซ่ึงมีค่าขึ้นกับโมเมนตมั ของอนภุ าค ตามสมการ • จากความคิดของไอน์สไตน์และเดอบรอยล ์ ทำให้ สรปุ ได้ว่า คล่ืนแสดงสมบตั ขิ องอนภุ าคไดแ้ ละ อนุภาคแสดงสมบัติของคล่นื ได้ สมบตั ดิ ังกล่าว เรียกว่า ทวภิ าวะของคลน่ื และอนภุ าค ๑๓. อธบิ ายกัมมนั ตภาพรงั สีและความแตกต่าง • กมั มนั ตภาพรังสีเปน็ ปรากฏการณท์ ่ีธาตุ ของรงั สีแอลฟา บตี า และแกมมา กัมมนั ตรังสีแผร่ ังสไี ดเ้ องอยา่ งตอ่ เนือ่ ง รังสี ท่อี อกมามี ๓ ชนิด คือ แอลฟา บีตา และแกมมา • การแผ่รังสเี กดิ จากการเปลีย่ นแปลงนิวเคลียส ของธาตกุ ัมมนั ตรงั สี ซงึ่ เขียนแทนได้ด้วยสมการ การสลายใหแ้ อลฟา การสลายใหบ้ ีตาลบ การสลายให้บีตาบวก การสลายใหแ้ กมมา ๑๔. อธิบาย และคำนวณกัมมันตภาพของ • ในการสลายของธาตกุ ัมมนั ตรงั สี อตั ราการแผ่รังสี นวิ เคลียสกมั มันตรังสี รวมทัง้ ทดลอง อธิบาย ออกมาในขณะหน่งึ เรยี กว่า กัมมนั ตภาพ และคำนวณจำนวนนวิ เคลียสกมั มันตภาพรังส ี ปรมิ าณน้บี อกถึงอตั ราการลดลงของจำนวน ท่เี หลอื จากการสลาย และครงึ่ ชีวิต นิวเคลียสของธาตกุ ัมมนั ตรงั ส ี คำนวณได้จาก สมการ • ชว่ งเวลาทจ่ี ำนวนนิวเคลยี สลดลงเหลือครึง่ หนงึ่ ของจำนวนเร่มิ ต้น เรยี กว่า ครงึ่ ชวี ิต โดยจำนวน นิวเคลียสกัมมันตภาพรงั สีท่เี หลอื จากการสลาย และครง่ึ ชีวติ คำนวณได้จากสมการ N = และ T 21 = l n λ 2 ตามลำดับ N0e–λt ๑๕. อธบิ ายแรงนวิ เคลยี ร ์ เสถยี รภาพของนวิ เคลยี ส • ภายในนวิ เคลียสมีแรงนิวเคลียร์ทใี่ ช้อธบิ าย และพลงั งานยดึ เหนี่ยว รวมท้งั คำนวณปรมิ าณ เสถยี รภาพของนวิ เคลียส ตา่ ง ๆ ทเี่ ก่ยี วขอ้ ง  ตวั ช้วี ัดและสาระการเรยี นรแู้ กนกลาง กลมุ่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พื้นฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑

ช้นั ผลการเรียนรู้ สาระการเรยี นรูเ้ พ่ิมเตมิ • การทำให้นิวคลอี อนในนวิ เคลียสแยกออกจากกนั ตอ้ งใชพ้ ลงั งานเท่ากบั พลังงานยึดเหนีย่ ว ซ่ึงคำนวณไดจ้ ากความสมั พันธ์ระหวา่ งมวล และพลังงาน ตามสมการ • นิวเคลยี สท่ีมพี ลงั งานยึดเหนยี่ วต่อนิวคลอี อนสงู จะมเี สถียรภาพดีกวา่ นิวเคลียสท่มี พี ลงั งาน ยดึ เหนยี่ วตอ่ นวิ คลอี อนตำ่ โดยพลงั งานยดึ เหนย่ี ว ต่อนิวคลอี อนคำนวณได้จากสมการ ๑๖. อธบิ ายปฏิกริ ิยานวิ เคลียร ์ ฟชิ ชนั และฟวิ ชัน • ปฏิกริ ยิ าทีท่ ำให้นวิ เคลียสเกดิ การเปลยี่ นแปลง รวมทง้ั คำนวณพลงั งานนวิ เคลยี ร์ องค์ประกอบหรอื ระดบั พลงั งาน เรียกว่า ปฏิกริ ิยานิวเคลียร ์ ๑๗. อธิบายประโยชนข์ องพลังงานนิวเคลียร ์ และ • ฟชิ ชันเปน็ ปฏกิ ิรยิ าที่นิวเคลยี สทีม่ มี วลมาก รงั สี รวมท้งั อนั ตรายและการปอ้ งกันรังส ี แตกออกเปน็ นิวเคลียสทม่ี มี วลนอ้ ยกวา่ ในดา้ นตา่ ง ๆ ส่วนฟิวชนั เปน็ ปฏิกิริยาท่นี วิ เคลียสทีม่ มี วลนอ้ ย รวมตัวกันเกดิ เป็นนิวเคลยี สทม่ี มี วลมากขึน้ ๑๘. อธิบายการคน้ คว้าวิจัยด้านฟิสกิ ส์อนุภาค • พลังงานทป่ี ลดปล่อยออกมาจากฟชิ ชนั หรือฟิวชัน แบบจำลองมาตรฐาน และการใชป้ ระโยชน์ เรยี กว่า พลังงานนิวเคลียร ์ ซงึ่ มีค่าเปน็ ไปตาม จากการค้นคว้าวจิ ัยดา้ นฟสิ กิ ส์อนุภาค ความสมั พันธ์ระหวา่ งมวลกบั พลังงาน ในด้านต่าง ๆ ตามสมการ • พลังงานนิวเคลยี รแ์ ละรงั สีจากการสลายของธาตุ กมั มนั ตรงั สสี ามารถนำไปใชป้ ระโยชนใ์ นดา้ นตา่ ง ๆ ขณะเดียวกนั ตอ้ งมีการปอ้ งกนั อนั ตรายที่ อาจเกิดขนึ้ ได ้ • การศึกษาโปรตอนและนวิ ตรอนในนวิ เคลยี ส ดว้ ยเครือ่ งเรง่ อนภุ าคพลังงานสูงพบว่า โปรตอน และนวิ ตรอนประกอบด้วยอนุภาคอื่นทีม่ ี ขนาดเลก็ กวา่ เรยี กว่า ควารก์ ซึง่ ยดึ เหน่ียวกนั ไว้ ดว้ ยแรงเข้ม • นักฟิสิกส์ยังได้ค้นพบอนุภาคท่เี ป็นสื่อของแรงเขม้ ซง่ึ ไดแ้ ก ่ กลอู อน และอนภุ าคทเี่ ปน็ สอ่ื ของแรงออ่ น ซึ่งได้แก่ W - โบซอน และ Z - โบซอน ตวั ชว้ี ัดและสาระการเรยี นรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐)  ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาข้ันพน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑

ชน้ั ผลการเรยี นร้ ู สาระการเรียนรเู้ พม่ิ เติม • อนภุ าคทไี่ ม่สามารถแยกเป็นองค์ประกอบได ้ รวมทง้ั อนภุ าคท่ีเป็นส่ือของแรง จัดเปน็ อนภุ าค มลู ฐานในแบบจำลองมาตรฐาน • แบบจำลองมาตรฐานเปน็ ทฤษฎีท่ใี ชอ้ ธบิ าย พฤติกรรมและอนั ตรกิรยิ าระหว่างอนภุ าคมูลฐาน • การคน้ คว้าวิจยั ดา้ นฟิสิกส์อนภุ าคนำไปสูก่ าร พัฒนาเทคโนโลยที ่ีนำมาใช้ประโยชน์ในดา้ น ตา่ ง ๆ เชน่ ดา้ นการแพทย์ มกี ารใชเ้ ครอื่ งเรง่ อนภุ าค ในการรักษาโรคมะเรง็ การใช้เครอื่ งถ่ายภาพ รังสรี ะนาบด้วยการปล่อยโพซติ รอนในการ วนิ ิจฉัยโรคมะเรง็ ดา้ นการรักษาความปลอดภยั มกี ารใช้เครือ่ งเอกซเรย์คอมพวิ เตอรใ์ นการ ตรวจวัตถอุ นั ตรายในสนามบนิ 220 ตวั ช้วี ดั และสาระการเรยี นรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพืน้ ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑

สาระโลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ ๑. เข้าใจกระบวนการเปล่ียนแปลงภายในโลก ธรณีพิบัติภัยและผลต่อส่ิงมีชีวิต และส่ิงแวดล้อม รวมท้ังการศึกษาลำดับช้ันหิน ทรัพยากรธรณี แผนที่ และ การนำไปใชป้ ระโยชน ์ ชน้ั ผลการเรยี นรู้ สาระการเรยี นรูเ้ พิม่ เติม ม.๔ ๑. อธบิ ายการแบง่ ชัน้ และสมบัติของโครงสรา้ งโลก • การศึกษาโครงสรา้ งโลกใชข้ อ้ มูลหลายด้าน พร้อมยกตวั อยา่ งขอ้ มลู ท่ีสนับสนนุ เชน่ องค์ประกอบทางเคมีของหนิ และแร่ องคป์ ระกอบทางเคมขี องอกุ กาบาต ขอ้ มลู คลน่ื ไหว สะเทอื นที่เคลื่อนทผ่ี า่ นโลก จึงสามารถแบ่งช้นั โครงสรา้ งโลกได้ ๒ แบบ คอื โครงสร้างโลก ตามองค์ประกอบทางเคมี แบ่งไดเ้ ปน็ ๓ ชั้น ได้แก่ เปลอื กโลก เน้ือโลก และแก่นโลก และ โครงสรา้ งโลกตามสมบตั เิ ชงิ กล แบง่ ไดเ้ ปน็ ๕ ชน้ั ไดแ้ ก่ ธรณีภาค ฐานธรณภี าค มัชฌมิ ภาค แก่นโลกชัน้ นอก และแก่นโลกช้นั ใน นอกจากน้ี ยงั มกี ารค้นพบรอยต่อระหว่างชน้ั โครงสรา้ งโลก เชน่ แนวแบง่ เขตโมโฮโรวซิ กิ แนวแบง่ เขตกเู ทนเบริ ก์ แนวแบง่ เขตเลหแ์ มน ๒. อธบิ ายหลักฐานทางธรณวี ิทยาท่ีสนบั สนนุ • แผ่นธรณตี า่ ง ๆ เปน็ ส่วนประกอบของธรณภี าค การเคลื่อนทข่ี องแผ่นธรณี ซ่งึ เปน็ ชน้ั นอกสดุ ของโครงสร้างโลก โดยมกี าร เปลย่ี นแปลงขนาดและตำแหน่งต้งั แต่อดีต จนถึงปัจจบุ ัน การเคล่อื นทข่ี องแผน่ ธรณีดงั กล่าว อธบิ ายไดต้ ามทฤษฎีธรณแี ปรสัณฐาน ซึ่งมี รากฐานมาจากทฤษฎีทวปี เลอื่ นและทฤษฎ ี การแผข่ ยายพื้นสมทุ ร โดยมีหลกั ฐานท่สี นับสนนุ ไดแ้ ก่ รปู รา่ งของขอบทวปี ทสี่ ามารถเชอ่ื มตอ่ กนั ได้ ความคล้ายคลึงกนั ของกลุม่ หนิ และแนวเทือกเขา ซากดกึ ดำบรรพ์ ร่องรอย การเคลอ่ื นท่ขี อง ตะกอนธารนำ้ แข็ง ภาวะแมเ่ หล็กโลกบรรพกาล อายหุ ินของพนื้ มหาสมทุ ร รวมทงั้ การคน้ พบ สนั เขากลางสมทุ ร และรอ่ งลึกกน้ สมทุ ร ตวั ชี้วัดและสาระการเรียนรแู้ กนกลาง กลุม่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) 221 ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาข้นั พืน้ ฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑

ชั้น ผลการเรยี นรู้ สาระการเรยี นรเู้ พิ่มเติม ๓. ระบสุ าเหตุและอธิบายแนวรอยตอ่ ของแผน่ ธรณี • การพาความร้อนของแมกมาภายในโลก ทำให้ ท่สี ัมพันธ์กบั การเคลื่อนทขี่ องแผน่ ธรณ ี เกิดการเคลอ่ื นที่ของแผน่ ธรณี ตามทฤษฎธี รณี พรอ้ มยกตวั อยา่ งหลกั ฐานทางธรณวี ิทยาทีพ่ บ แปรสัณฐาน ซงึ่ นกั วิทยาศาสตร์ไดส้ ำรวจพบ หลกั ฐานทางธรณวี ทิ ยา ได้แก่ ธรณสี ณั ฐาน และธรณโี ครงสร้างทีบ่ ริเวณแนวรอยต่อของ แผน่ ธรณี เชน่ รอ่ งลึกก้นสมทุ ร หมเู่ กาะภเู ขาไฟ รูปโคง้ แนวภเู ขาไฟ แนวเทือกเขา หุบเขาทรุด และสันเขากลางสมทุ ร รอยเลื่อน นอกจากน ี ้ ยงั พบการเกดิ ธรณพี บิ ตั ภิ ยั ทีบ่ รเิ วณแนวรอยต่อ ของแผ่นธรณี เช่น แผน่ ดินไหว ภเู ขาไฟระเบิด สึนามิ ซึ่งหลักฐานดงั กลา่ วสมั พันธ์กบั รปู แบบ การเคลือ่ นที่ของแผน่ ธรณี นักวทิ ยาศาสตร ์ จงึ สรปุ ไดว้ า่ แนวรอยตอ่ ของแผน่ ธรณมี ี ๓ รปู แบบ ไดแ้ ก่ แนวแผน่ ธรณแี ยกตัว แนวแผ่นธรณี เคลือ่ นที่เข้าหากนั แนวแผน่ ธรณเี คลอ่ื นท่ีผา่ นกนั ในแนวราบ ๔. วเิ คราะหห์ ลกั ฐานทางธรณวี ทิ ยาทพี่ บในปจั จบุ นั • การลำดับชนั้ หิน เป็นการศึกษาการวางตวั และอธิบายลำดบั เหตุการณ์ ทางธรณวี ิทยา การแผก่ ระจาย ลำดบั อายุ ความสมั พนั ธข์ องช้นั หนิ ในอดีต รอยชนั้ ไมต่ อ่ เนื่อง และหลักฐานทางธรณีวทิ ยา อ่ืน ๆ ท่ปี รากฏ ทำให้ทราบลำดบั เหตกุ ารณท์ าง ธรณวี ทิ ยา การเปลยี่ นแปลงสภาพแวดลอ้ ม ววิ ัฒนาการของส่งิ มีชีวิตทเ่ี กิดขึน้ บนโลกต้ังแต่ กำเนดิ โลกจนถงึ ปจั จุบนั • หลักฐานทางธรณวี ิทยา ได้แก่ ซากดึกดำบรรพ์ หิน และลักษณะโครงสรา้ งทางธรณี ซง่ึ นำมา หาอายไุ ด้ ๒ แบบ ไดแ้ ก่ อายุเปรยี บเทียบ คอื อายขุ องซากดึกดำบรรพ์ หนิ และ/หรือ เหตกุ ารณท์ างธรณวี ิทยา เมอื่ เทยี บกบั ซากดึกดำบรรพ์ หิน และ/หรือเหตกุ ารณ์ทาง ธรณวี ทิ ยาอนื่ ๆ และอายสุ มั บูรณ์ คอื อายทุ ่ีระบุ เป็นตวั เลขของหนิ และ/หรอื เหตุการณท์ าง ธรณีวิทยาซึ่งคำนวณได้จากไอโซโทปของธาตุ • ขอ้ มูลจากอายุเปรยี บเทียบและอายุสมั บูรณ์ สามารถนำมาจดั ทำมาตราธรณกี าล คอื การลำดบั ช่วงเวลาของโลกต้ังแต่เกดิ จนถึงปัจจุบนั แบง่ ออกเปน็ บรมยคุ มหายคุ ยคุ และสมยั ซง่ึ แตล่ ะ ชว่ งเวลามสี ิ่งมีชีวิต สภาพแวดลอ้ มและเหตุการณ์ ที่เกิดข้ึนแตกต่างกนั 222 ตวั ชว้ี ัดและสาระการเรียนรูแ้ กนกลาง กล่มุ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พ้ืนฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑

ช้นั ผลการเรียนร ู้ สาระการเรียนรู้เพมิ่ เตมิ ๕. อธบิ ายสาเหตุ กระบวนการเกดิ ภูเขาไฟระเบดิ • ภเู ขาไฟระเบิด เกิดจากการแทรกดันของแมกมา และปจั จัยท่ีทำให้ความรนุ แรงของการปะท ุ ข้ึนมาตามส่วนเปราะบาง หรอื รอยแตก และรูปร่างของภเู ขาไฟแตกตา่ งกัน รวมทั้ง บนเปลือกโลก มกั พบหนาแน่นบริเวณรอยตอ่ สบื คน้ ขอ้ มลู พน้ื ทเ่ี สย่ี งภยั ออกแบบและนำเสนอ ระหวา่ งแผ่นธรณีทำใหบ้ รเิ วณดังกล่าวเป็นพืน้ ที่ แนวทางการเฝา้ ระวงั และการปฏิบตั ติ น เส่ียงภยั ความรุนแรงของการปะทแุ ละรปู รา่ ง ใหป้ ลอดภัย ของภเู ขาไฟท่ีแตกตา่ งกนั ข้ึนอยกู่ บั องคป์ ระกอบ ของแมกมา ผลจากการระเบิดของภูเขาไฟมที ง้ั ประโยชนแ์ ละโทษ จึงต้องศกึ ษาแนวทางในการ เฝ้าระวงั และการปฏิบัตติ นใหป้ ลอดภัย ๖. อธบิ ายสาเหตุ กระบวนการเกิด ขนาดและ • แผน่ ดนิ ไหวเกดิ จากการปลดปลอ่ ยพลงั งานทสี่ ะสม ความรุนแรง และผลจากแผ่นดนิ ไหว รวมท้งั ไวข้ องเปลือกโลกในรูปของคลื่นไหวสะเทือน สบื คน้ ขอ้ มลู พนื้ ทเี่ สยี่ งภยั ออกแบบและนำเสนอ แผ่นดนิ ไหวมขี นาดและความรนุ แรงแตกต่างกัน แนวทางการเฝา้ ระวังและการปฏิบตั ิตน และทำลายทรพั ย์สนิ ศนู ยเ์ กดิ แผน่ ดินไหวมักอยู่ ใหป้ ลอดภัย บรเิ วณรอยต่อของแผน่ ธรณี และพ้ืนที่ภายใต้ อทิ ธพิ ลของการเคลอื่ นของแผ่นธรณที รี่ ะดบั ความลกึ ตา่ งกนั ใหบ้ รเิ วณดงั กลา่ วเปน็ พนื้ ทเ่ี สยี่ งภยั แผน่ ดนิ ไหว ซึ่งสง่ ผลให้ส่ิงกอ่ สร้างเสียหาย เกดิ อนั ตรายต่อชวี ิตและทรพั ย์สนิ จึงต้องศกึ ษา แนวทางในการเฝ้าระวงั และการปฏบิ ัตติ น ใหป้ ลอดภยั ๗. อธิบายสาเหตุ กระบวนการเกดิ และผลจาก • สนึ ามิ คอื คลน่ื น้ำทีเ่ กดิ จากการแทนท่มี วลนำ้ สนึ ามิ รวมทง้ั สบื คน้ ขอ้ มลู พน้ื ทเ่ี สย่ี งภยั ออกแบบ ในปรมิ าณมหาศาล สว่ นมากจะเกดิ ในทะเล และนำเสนอแนวทางการเฝา้ ระวงั และการปฏบิ ตั ติ น หรอื มหาสมทุ ร โดยคล่นื มลี ักษณะเฉพาะ คือ ให้ปลอดภัย ความยาวคลน่ื มากและเคลือ่ นที่ดว้ ยความเร็วสงู เมอื่ อยกู่ ลางมหาสมุทรจะมีความสงู คลน่ื นอ้ ย และอาจเพิ่มความสงู ข้นึ อย่างรวดเรว็ เม่อื คลน่ื เคลือ่ นทผี่ ่านบรเิ วณน้ำตืน้ ทำให้พ้ืนทบ่ี รเิ วณ ชายฝ่ังบางบริเวณเป็นพ้ืนทีเ่ ส่ียงภัยสนึ าม ิ กอ่ ให้เกดิ อันตรายแก่มนุษย์และส่ิงก่อสรา้ ง ในบรเิ วณชายหาดน้ัน จึงต้องศึกษาแนวทาง ในการเฝา้ ระวงั และการปฏบิ ตั ติ นใหป้ ลอดภยั ตัวช้วี ัดและสาระการเรยี นรแู้ กนกลาง กลุ่มสาระการเรยี นร้วู ทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) 223 ตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขั้นพื้นฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑

ชนั้ ผลการเรยี นรู้ สาระการเรยี นรูเ้ พ่ิมเติม ๘. ตรวจสอบ และระบุชนิดแร่ รวมท้งั วิเคราะห์ • แร่ คือ ธาตุหรอื สารประกอบอนนิ ทรีย์ทีม่ สี ถานะ สมบัตแิ ละนำเสนอการใช้ประโยชน์จาก เปน็ ของแขง็ เกดิ ขนึ้ เองตามธรรมชาติ มโี ครงสรา้ ง ทรพั ยากรแร่ทเ่ี หมาะสม ภายในทีเ่ ป็นระเบยี บ และมสี ตู รเคมแี ละสมบัติ อ่ืน ๆ ท่ีแน่นอน หรอื อาจเปล่ียนแปลงไดภ้ ายใต้ วงจำกดั ทำใหแ้ ร่มีสมบตั ิทางกายภาพทีแ่ น่นอน สามารถนำมาใชเ้ พอ่ื ตรวจสอบชนดิ ของแร ่ ทางกายภาพ และการทำปฏิกิริยาเคมีกบั กรด • ทรพั ยากรแร่สามารถนำไปใชเ้ ป็นวตั ถดุ บิ ในอตุ สาหกรรมไดห้ ลายประเภท เชน่ อาหารและยา เครือ่ งมือแพทย์ อุปกรณอ์ เิ ลก็ ทรอนิกส์ อัญมณ ี ๙. ตรวจสอบ จำแนกประเภท และระบุชือ่ หนิ • หิน เป็นมวลของแข็งท่ปี ระกอบด้วยแร่ ต้งั แต่ รวมทัง้ วเิ คราะหส์ มบัตแิ ละนำเสนอการใช้ ๑ ชนดิ ข้นึ ไป หรอื ประกอบดว้ ยแกว้ ธรรมชาติ ประโยชนข์ องทรพั ยากรหินทเี่ หมาะสม หรอื สสารจากสิ่งมชี วี ติ ท่เี กดิ ขน้ึ เอง • หนิ สามารถจำแนกตามลกั ษณะการเกิดและ เนอ้ื หนิ ได้เปน็ ๓ ประเภท ไดแ้ ก่ หนิ อคั นี หินตะกอน และหินแปร การระบุชอ่ื ของหิน แตล่ ะประเภท จะใชล้ ักษณะและองค์ประกอบ ทางแรข่ องหินเป็นเกณฑ์ หินสามารถนำไปใช้ ประโยชน์ได้หลายด้าน เช่น วัสดกุ อ่ สรา้ ง เครอื่ งประดบั วตั ถดุ ิบในอตุ สาหกรรม ๑๐. อธิบายกระบวนการเกิด และการสำรวจ • ทรพั ยากรปิโตรเลียมและถ่านหินเปน็ ทรพั ยากร แหล่งปิโตรเลียมและถา่ นหนิ โดยใช้ข้อมลู สน้ิ เปลอื งทีม่ อี ย่อู ยา่ งจำกดั ใช้แลว้ หมดไป ทางธรณีวิทยา ไมส่ ามารถเกิดขึน้ ทดแทนไดใ้ นเวลาอนั รวดเรว็ ๑๑. อธบิ ายสมบตั ขิ องผลติ ภณั ฑท์ ไ่ี ดจ้ ากปโิ ตรเลยี ม ทรพั ยากรปิโตรเลียมและถา่ นหินถกู นำมาใช ้ และถ่านหิน พรอ้ มนำเสนอการใช้ประโยชน์ ในอตุ สาหกรรม ทส่ี ำคญั ของประเทศ เช่น อยา่ งเหมาะสม การคมนาคม การผลติ ไฟฟา้ เช้ือเพลิงใน อุตสาหกรรมตา่ ง ๆ • การศึกษากระบวนการเกดิ และการสำรวจ แหลง่ ปโิ ตรเลยี มและถ่านหินตอ้ งใชค้ วามร ู้ พน้ื ฐานธรณีวิทยาหลายด้าน เชน่ ตะกอนวิทยา การลำดบั ชนั้ หนิ ธรณีโครงสรา้ ง รวมท้งั วิธีการ และเทคนิคตา่ ง ๆ ทเ่ี หมาะสมเพือ่ ท่ีจะนำ ทรพั ยากรมาใชไ้ ดอ้ ย่างคมุ้ คา่ และยง่ั ยนื 224 ตัวช้วี ัดและสาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาขน้ั พน้ื ฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑

ชั้น ผลการเรียนร้ ู สาระการเรยี นร้เู พ่มิ เติม ๑๒. อา่ นและแปลความหมายจากแผนทภ่ี มู ปิ ระเทศ • แผนทีภ่ มู ปิ ระเทศ เป็นแผนทท่ี ่สี รา้ งเพ่ือจำลอง และแผนท่ธี รณวี ทิ ยาของพ้นื ท่ี ทีก่ ำหนด ลกั ษณะของผวิ โลกหรอื บางสว่ นของพนื้ ทบ่ี นผวิ โลก พรอ้ มทงั้ อธบิ ายและยกตวั อย่าง การนำไปใช้ โดยมที ศิ ทางทช่ี ดั เจน และมาตราสว่ นขนาดตา่ ง ๆ ประโยชน ์ ตามความเหมาะสมกับการใช้งาน แผนท ่ี ภมู ปิ ระเทศมกั แสดงเสน้ ชน้ั ความสงู และคำอธบิ าย ม.๕ - สญั ลกั ษณต์ า่ ง ๆ ทป่ี รากฏในแผนท ่ี ม.๖ - • แผนทธ่ี รณวี ิทยา เปน็ แผนท่ีแสดงการกระจายตัว ของหินกลมุ่ ต่างๆ ท่ีโผล่ใหเ้ หน็ บนพนื้ ผวิ ทำให้ ทราบถึงขอบเขตของหนิ ในพื้นที่ นอกจากนีย้ ัง แสดงลกั ษณะการวางตวั ของช้นั หนิ ซากดึกดำบรรพ์ และธรณีโครงสร้าง • ข้อมูลจากแผนทีภ่ ูมิประเทศและแผนทธ่ี รณีวทิ ยา สามารถนำไปใชว้ างแผนการใช้ประโยชน์และ ประเมนิ ศกั ยภาพของพื้นทไี่ ดอ้ ย่างเหมาะสม เชน่ ประเมนิ ศกั ยภาพแหลง่ ทรพั ยากรธรณตี ่าง ๆ การวางผังเมือง การสรา้ งเข่อื น - - ตัวชี้วัดและสาระการเรยี นรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรยี นรูว้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) 225 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑

สาระโลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ ๒. เข้าใจสมดุลพลังงานของโลก การหมุนเวียนของอากาศบนโลก การหมุนเวียน ของนำ้ ในมหาสมทุ ร การเกดิ เมฆ การเปลย่ี นแปลงภมู อิ ากาศโลกและผลตอ่ สงิ่ มชี วี ติ และส่ิงแวดล้อม รวมท้ังการพยากรณอ์ ากาศ ชน้ั ผลการเรยี นร ู้ สาระการเรยี นรูเ้ พมิ่ เตมิ ม.๔ - - ม.๕ ๑. อธบิ ายปจั จยั สำคญั ที่มีผลตอ่ การรับและ • บรเิ วณต่าง ๆ ของโลกไดร้ ับพลังงานจาก คายพลังงานจากดวงอาทติ ย์แตกตา่ งกัน ดวงอาทติ ยใ์ นรูปของคล่ืนแม่เหลก็ ไฟฟ้า และผลทม่ี ตี อ่ อณุ หภมู อิ ากาศในแตล่ ะบรเิ วณของโลก ในปรมิ าณทแี่ ตกต่างกนั เนื่องจากโลกมสี ัณฐาน ๒. อธิบายกระบวนการท่ที ำใหเ้ กิดสมดุลพลังงาน คล้ายทรงกลมและแกนหมุนโลกเอียงทำมุมกับ ของโลก แนวตง้ั ฉากกับระนาบการโคจรของโลก รอบดวงอาทิตย์ ส่งผลต่อการตกกระทบของรังส ี ดวงอาทติ ย์ ซ่งึ ส่วนทผี่ ่านเข้ามาในชัน้ บรรยากาศ จนถงึ พื้นผิวโลก จะเกิดกระบวนการสะทอ้ น ดูดกลืน และถา่ ยโอนพลังงาน แลว้ ปลดปลอ่ ย กลบั สูอ่ วกาศแตกต่างกันเนอ่ื งจากปจั จัยตา่ ง ๆ เชน่ ลกั ษณะของพนื้ ผวิ ชนดิ และปรมิ าณของแกส๊ เรอื นกระจก ละอองลอย และเมฆ ทำใหพ้ นื้ ผวิ โลก แต่ละบรเิ วณมีอุณหภูมอิ ากาศแตกตา่ งกนั • พลังงานจากดวงอาทิตย์โดยเฉลย่ี ทโี่ ลกได้รับ เทา่ กบั พลงั งานเฉลยี่ ทโ่ี ลกปลดปลอ่ ยกลบั สอู่ วกาศ ทำให้เกดิ สมดลุ พลังงานของโลก สง่ ผลให้ อณุ หภมู เิ ฉลี่ยของพืน้ ผวิ โลกในแต่ละปคี อ่ นขา้ ง คงท ี่ ๓. อธบิ ายผลของแรงเนอื่ งจากความแตกตา่ งของ • การหมนุ เวยี นของอากาศเกิดขนึ้ จาก ความกดอากาศ แรงคอริออลิส แรงสูศ่ นู ยก์ ลาง ความกดอากาศที่แตกต่างกนั ระหวา่ งสองบริเวณ และแรงเสยี ดทานทมี่ ตี อ่ การหมนุ เวยี นของอากาศ โดยอากาศเคลอื่ นทจี่ ากบรเิ วณทมี่ คี วามกดอากาศสงู ไปยังบรเิ วณที่มีความกดอากาศตำ่ ซ่ึงจะเหน็ ได้ ชดั เจนในการเคลอ่ื นทข่ี องอากาศในแนวราบ และเมอื่ พจิ ารณาในการเคลอื่ นทขี่ องอากาศในแนวดงิ่ จะพบวา่ อากาศเหนือบริเวณความกดอากาศต่ำ จะมีการยกตัวขน้ึ ขณะที่อากาศเหนอื บรเิ วณ ความกดอากาศสงู จะจมตัวลง โดยการเคลื่อนที่ ของอากาศท้ังในแนวราบและแนวดิ่งนี้ ทำให้เกิด เป็นการหมนุ เวียนของอากาศ 226 ตวั ช้วี ดั และสาระการเรียนรูแ้ กนกลาง กลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พนื้ ฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑

ช้นั ผลการเรยี นร ู้ สาระการเรยี นรูเ้ พ่มิ เติม • การหมนุ รอบตวั เองของโลกจะทำใหเ้ กิด แรงคอริออลสิ ซึ่งมผี ลใหท้ ิศทางการเคล่อื นที ่ ของอากาศเบนไป โดยอากาศทเ่ี คลอ่ื นทใ่ี นบรเิ วณ ซีกโลกเหนอื จะเบนไปทางขวาจากทิศทางเดมิ สว่ นบริเวณซกี โลกใตจ้ ะเบนไปทางซ้ายจาก ทศิ ทางเดมิ เชน่ ลมค้า และมรสุม • แรงสู่ศนู ยก์ ลางซงึ่ ทำให้เกิดการหมุนของลม เชน่ พายหุ มุนเขตร้อน ทอรน์ าโด พายุงวงช้าง และ แรงต้านการเคลื่อนท่ีของวัตถุ หรือแรงเสียดทาน สง่ ผลตอ่ อตั ราเรว็ ลม เชน่ พายไุ ตฝ้ นุ่ เมอ่ื เคลอ่ื นตวั เข้าสู่ชายฝ่งั จะลดระดบั ความรุนแรงลงเปน็ พายุ โซนรอ้ นหรือดีเพรสชัน่ ๔. อธบิ ายการหมนุ เวียนของอากาศตามเขตละตจิ ูด • แตล่ ะบรเิ วณของโลกมคี วามกดอากาศแตกตา่ งกนั และผลทมี่ ตี ่อภมู ิอากาศ ประกอบกับอิทธพิ ลจากการหมนุ รอบตัวเอง ของโลกทำใหอ้ ากาศในแต่ละซีกโลกเกิดการ หมนุ เวยี นของอากาศตามเขตละตจิ ดู แบง่ ออกเปน็ ๓ แถบ โดยแต่ละแถบมภี มู อิ ากาศแตกต่างกัน ไดแ้ ก่ การหมุนเวียนแถบขัว้ โลกมีภูมอิ ากาศ แบบหนาวเยน็ การหมุนเวยี นแถบละตจิ ูดกลาง มภี มู ิอากาศแบบอบอุ่น และการหมนุ เวยี น แถบเขตร้อนมีภูมอิ ากาศแบบรอ้ นช้ืน • บริเวณรอยตอ่ ของการหมนุ เวียนอากาศแต่ละ แถบละตจิ ดู จะมลี กั ษณะลมฟา้ อากาศทแี่ ตกตา่ งกนั เชน่ บริเวณใกลศ้ ูนยส์ ตู รมีปรมิ าณหยาดนำ้ ฟ้า เฉลีย่ สงู กว่าบริเวณอ่นื บรเิ วณละตจิ ดู ๓๐ องศา มีอากาศแห้งแลง้ ส่วนบรเิ วณละตจิ ดู ๖๐ องศา อากาศมคี วามแปรปรวนสงู ๕. อธบิ ายปจั จยั ท่ที ำใหเ้ กิดการแบง่ ชัน้ น้ำ • น้ำในมหาสมุทรมีอุณหภูมแิ ละความเค็มของน้ำ ในมหาสมทุ ร แตกตา่ งกนั ในแตล่ ะบริเวณ และแตล่ ะระดับ ความลกึ ซ่งึ หากพิจารณามวลนำ้ ในแนวด่งิ และใชอ้ ุณหภมู ิเป็นเกณฑ์ จะสามารถแบง่ ชัน้ น้ำ ได้เป็น ๓ ชนั้ คอื น้ำชั้นบน น้ำชัน้ เทอร์โมไคลน์ และน้ำชัน้ ล่าง ตวั ชี้วัดและสาระการเรยี นรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) 227 ตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พ้ืนฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑

ชั้น ผลการเรยี นรู้ สาระการเรยี นรเู้ พ่มิ เติม ๖. อธบิ ายปัจจัยที่ทำใหเ้ กิดการหมุนเวียนของน้ำ • การหมุนเวียนของกระแสนำ้ ผิวหน้าในมหาสมทุ ร ในมหาสมุทรและรูปแบบการหมุนเวยี นของน้ำ ไดร้ ับอทิ ธิพลจากการหมนุ เวียนของอากาศ ในมหาสมุทร ในแตล่ ะแถบละตจิ ดู เปน็ ปัจจัยหลัก ประกอบกับ แรงคอรอิ อลสิ ทำใหบ้ ริเวณซกี โลกเหนอื มกี าร ไหลเวียนของกระแสน้ำผวิ หน้าในทิศทางตาม เข็มนาฬิกา และทวนเข็มนาฬกิ าในซกี โลกใต้ ซงึ่ กระแสนำ้ ผวิ หนา้ ในมหาสมทุ รมที ง้ั กระแสนำ้ อนุ่ และกระแสน้ำเยน็ สว่ นการหมนุ เวียนกระแส นำ้ ลึกเป็นการหมุนเวยี นของน้ำชั้นล่าง เกิดจาก ความแตกตา่ งของอุณหภมู ิและความเค็มของนำ้ โดยกระแสน้ำผวิ หน้าและกระแสน้ำลกึ จะ หมุนเวยี นต่อเนอ่ื งกนั ๗. อธบิ ายผลของการหมนุ เวยี นของนำ้ ในมหาสมทุ ร • การหมนุ เวยี นอากาศและนำ้ ในมหาสมทุ ร สง่ ผลตอ่ ทีม่ ีตอ่ ลักษณะลมฟ้าอากาศ สิง่ มีชวี ิต และ ลกั ษณะอากาศ ส่ิงมชี วี ติ และสิ่งแวดล้อม สงิ่ แวดลอ้ ม แตกตา่ งกนั ไป เชน่ การเกดิ นำ้ ผดุ นำ้ จม จะสง่ ผลตอ่ ความอดุ มสมบูรณ์ของชายฝัง่ เช่น กระแส นำ้ อนุ่ กลั ฟส์ ตรมี ทท่ี ำใหบ้ างประเทศในทวปี ยโุ รป ไมห่ นาวเย็นจนเกินไปนักและเมื่อการหมนุ เวยี น อากาศและน้ำในมหาสมุทรแปรปรวน ทำให้เกิด ผลกระทบตอ่ สภาพลมฟา้ อากาศ เชน่ ปรากฏการณ์ เอลนโี ญและลานญี า ซึง่ เกิดจากความแปรปรวน ของลมค้าและส่งผลต่อสภาพลมฟา้ อากาศของ ประเทศทีอ่ ยบู่ ริเวณมหาสมุทรแปซฟิ ิก รวมถึง บรเิ วณอืน่ ๆ บนโลก ๘. อธบิ ายความสัมพันธร์ ะหวา่ งเสถียรภาพอากาศ • เสถยี รภาพอากาศ หมายถงึ สภาวะของบรรยากาศ และการเกิดเมฆ ท่ีชว่ ยสง่ เสรมิ หรอื ยบั ยัง้ ใหก้ ้อนอากาศเคลอื่ นที่ ข้นึ ลงในแนวดิ่ง ในกรณีทีก่ ้อนอากาศมีอณุ หภูมิ ต่ำกวา่ อุณหภูมิของอากาศท่ีอยโู่ ดยรอบ กอ้ นอากาศนน้ั จะไมส่ ามารถยกตวั สงู ขนึ้ ไดม้ ากนกั และจมตวั กลบั สทู่ เี่ ดมิ เรยี กวา่ อากาศมเี สถยี รภาพ จะพบสภาวะอากาศแจม่ ใส เมฆนอ้ ยหรอื ปราศจาก เมฆ ส่วนสภาวะอากาศไม่มเี สถียรภาพนนั้ อุณหภูมกิ อ้ นอากาศจะสูงกวา่ อุณหภูมขิ อง อากาศโดยรอบทำให้กอ้ นอากาศยกตวั ขน้ึ อยา่ งรวดเรว็ เกดิ เมฆในแนวตง้ั เชน่ เมฆควิ มโู ลนมิ บสั 228 ตัวชี้วดั และสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรูว้ ิทยาศาสตร์ (ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้นื ฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑

ช้นั ผลการเรยี นรู้ สาระการเรียนรเู้ พิ่มเตมิ ๙. อธบิ ายการเกิดแนวปะทะอากาศแบบต่าง ๆ • แนวปะทะอากาศเกิดจากการเคลอ่ื นทีป่ ะทะกัน และลกั ษณะลมฟ้าอากาศทีเ่ กีย่ วขอ้ ง ของก้อนอากาศทสี่ มบตั ิต่างกนั ต้งั แต่สองกอ้ น ข้ึนไป แนวปะทะอากาศแบง่ ออกได้ ๔ รปู แบบ คือ แนวปะทะอากาศอนุ่ ซง่ึ มักพบเมฆแผน่ เชน่ เมฆซรี ์รสั อัลโตสเตรตสั เกดิ ฝนกระจายเป็น บริเวณกว้าง แนวปะทะอากาศเย็น เกิดเมฆกอ้ น เชน่ เมฆควิ มูโลนิมบสั ทำใหอ้ ากาศแปรปรวนเกดิ ฝนฟ้าคะนอง แนวปะทะอากาศรวม เกดิ เมฆคิวมูโลนมิ บสั ทส่ี ่งผลตอ่ การเกดิ พายฝุ น แนวปะทะอากาศคงท่ี จะมีลกั ษณะอากาศแจม่ ใส จนถงึ มเี มฆบางสว่ น และอาจสง่ ผลให้เกิด แนวปะทะอากาศแบบอ่ืนต่อไปได้ ๑๐. อธบิ ายปจั จยั ตา่ ง ๆ ทมี่ ผี ลตอ่ การเปลยี่ นแปลง • โลกไดร้ บั พลงั งานจากดวงอาทติ ย์ โดยปรมิ าณ ภมู อิ ากาศของโลก พรอ้ มยกตวั อยา่ งขอ้ มลู พลังงานเฉลย่ี ทีโ่ ลกไดร้ บั เทา่ กบั พลังงานเฉล่ียท่ี สนับสนุน โลกปลดปล่อยกลบั สอู่ วกาศ ทำใหเ้ กิดสมดุล พลงั งานของโลก สง่ ผลให้อุณหภูมเิ ฉลี่ยของโลก ในแตล่ ะปีคอ่ นขา้ งคงทแ่ี ละมีลักษณะภมู ิอากาศ ท่ไี มเ่ ปลีย่ นแปลง หากสมดุลพลังงานของโลกเกดิ การเปลยี่ นแปลงไป จะทำใหอ้ ุณหภูมิเฉลย่ี ของ พ้ืนผวิ โลกและภูมิอากาศเกดิ การเปลย่ี นแปลงได้ โดยมปี จั จยั หลายประการ ทัง้ ปัจจยั ที่เกดิ ขน้ึ ตาม ธรรมชาตแิ ละปจั จยั ทเี่ กิดจากกจิ กรรมของมนุษย์ เช่น การเปลี่ยนแปลงความรขี องวงโคจรโลกรอบ ดวงอาทติ ย์ การเปลีย่ นแปลงมุมเอียงของแกน หมุนโลกและการหมนุ ควงของแกนหมนุ โลก รวมทงั้ ชนิดและปรมิ าณของละอองลอย เมฆ และแก๊สเรอื นกระจก ซ่งึ มขี อ้ มลู สนบั สนุน การเปลยี่ นแปลงอณุ หภมู โิ ลกตงั้ แตอ่ ดตี ถงึ ปจั จบุ นั ทไ่ี ด้จากการวเิ คราะห์หลกั ฐานต่าง ๆ เชน่ แกนน้ำแข็ง ตวั ชวี้ ัดและสาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง กลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) 229 ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขนั้ พนื้ ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑

ช้ัน ผลการเรยี นร ู้ สาระการเรียนรเู้ พิ่มเติม ๑๑. วเิ คราะห์ และอภิปรายเหตุการณท์ เี่ ป็นผลจาก • การเปล่ียนแปลงภมู ิอากาศโลกอาจส่งผลกระทบ การเปลย่ี นแปลงภมู อิ ากาศโลก และนำเสนอ ตอ่ ส่ิงมีชีวติ และส่ิงแวดล้อม เช่น การเพิม่ ขึน้ ของ แนวปฏบิ ตั ขิ องมนษุ ยท์ ม่ี สี ว่ นชว่ ยในการชะลอ อณุ หภมู เิ ฉลยี่ โลก การหลอมเหลวของนำ้ แขง็ ขว้ั โลก การเปลยี่ นแปลงภูมอิ ากาศโลก การเพมิ่ ขนึ้ ของระดบั นำ้ ทะเล การเปลย่ี นแปลงของ ระบบนเิ วศทง้ั ทางบกและทางทะเล • มนษุ ยอ์ าจมสี ว่ นชว่ ยในการชะลอการเปลย่ี นแปลง ภูมิอากาศโลกได้โดยการลดปจั จัยทที่ ำใหเ้ กิด การเปล่ยี นแปลงสมดุลพลงั งานทเ่ี กิดจากกระทำ ของมนุษย์ ๑๒. แปลความหมายสัญลักษณล์ มฟ้าอากาศ • แบบแสดงขอ้ มลู ของสถานีตรวจอากาศผิวพ้นื บนแผนท่อี ากาศ เปน็ การแสดงขอ้ มูลตรวจอากาศท่แี สดงในรูป สัญลักษณห์ รอื ตวั เลขทป่ี รากฏบนแผนทอี่ ากาศ เช่น อณุ หภูมิ ความชนื้ ความกดอากาศ ความเร็ว และทิศทางลม ปริมาณและชนิดของเมฆ ทำให้ ทราบลกั ษณะอากาศ ณ สถานนี ้ัน ๆ ในเวลาทม่ี ี การตรวจวดั เม่ือนำข้อมูลของสถานตี รวจอากาศ ผิวพื้นมาแสดงในแผนทอ่ี ากาศทำใหส้ ามารถ วิเคราะห์ลกั ษณะอากาศในบริเวณกวา้ งได้ เช่น บรเิ วณความกดอากาศสงู หยอ่ มความกดอากาศตำ่ พายุหมุนเขตร้อน รอ่ งความกดอากาศต่ำ ๑๓. วเิ คราะห์ และคาดการณล์ ักษณะลมฟ้าอากาศ • การแปลความหมายสญั ลักษณ์ทป่ี รากฏบนแผนท่ี เบอ้ื งตน้ จากแผนทอ่ี ากาศและขอ้ มลู สารสนเทศ อากาศ ร่วมกับข้อมูลสารสนเทศอื่น ๆ เช่น อน่ื ๆ เพอื่ วางแผนในการประกอบอาชพี และ โปรแกรมประยุกตเ์ กย่ี วกับการพยากรณ์อากาศ การดำเนนิ ชวี ิตใหส้ อดคล้องกับสภาพลมฟ้า เรดาร์ตรวจอากาศ ภาพถ่ายดาวเทยี ม และ อากาศ ค่าทางสถิติ สามารถนำมาวิเคราะหร์ ูปแบบ คาดการณก์ ารเกดิ และการเปล่ยี นแปลง ปรากฏการณท์ างลมฟา้ อากาศในชว่ งเวลาต่าง ๆ ซงึ่ สามารถนำมาใชว้ างแผนการดำเนินชวี ิตให้ สอดคลอ้ งกับสภาพลมฟ้าอากาศ เชน่ การเลอื ก ชว่ งเวลาในการเพาะปลกู ใหส้ อดคลอ้ งกบั ฤดกู าล การเตรยี มพรอ้ มรบั มือสภาพอากาศแปรปรวน ม.๖ - - 230 ตวั ชีว้ ดั และสาระการเรยี นรู้แกนกลาง กลุม่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขั้นพื้นฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑

สาระโลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ ๓. เข้าใจองค์ประกอบ ลักษณะ กระบวนการเกิด และวิวัฒนาการของเอกภพ กาแล็กซี ดาวฤกษ์ และระบบสุริยะ ความสัมพันธ์ของดาราศาสตร์กับมนุษย ์ จากการศึกษาตำแหน่งดาวบนทรงกลมฟ้าและปฏิสัมพันธ์ภายในระบบสุริยะ รวมท้งั การประยุกตใ์ ชเ้ ทคโนโลยอี วกาศในการดำรงชวี ิต ช้ัน ผลการเรยี นร้ ู สาระการเรยี นรเู้ พ่ิมเตมิ ม.๔ - - ม.๕ - - ม.๖ ๑. อธบิ ายการกำเนดิ และการเปลย่ี นแปลงพลงั งาน • ทฤษฎีกำเนิดเอกภพทีย่ อมรับในปจั จุบัน คอื สสาร ขนาดอณุ หภูมิของเอกภพหลังเกิดบิกแบง ทฤษฎบี ิกแบง ระบวุ า่ เอกภพเรม่ิ ตน้ จากบิกแบง ในชว่ งเวลาตา่ ง ๆ ตามววิ ัฒนาการของเอกภพ ท่เี อกภพมขี นาดเลก็ มาก และมอี ณุ หภูมิสงู มาก ซง่ึ เปน็ จดุ เร่ิมตน้ ของเวลาและววิ ัฒนาการของ เอกภพ โดยหลังเกดิ บกิ แบง เอกภพเกิดการ ขยายตัวอย่างรวดเร็ว มีอณุ หภมู ิลดลง มีสสาร คงอยใู่ นรปู อนภุ าคและปฏิยานุภาคหลายชนิด และมีวิวฒั นาการตอ่ เนอื่ งจนถึงปจั จบุ ัน ซ่ึงมี เนบิวลา กาแลก็ ซี ดาวฤกษ์ และระบบสรุ ยิ ะ เป็นสมาชิกบางสว่ นของเอกภพ ๒. อธิบายหลักฐานทสี่ นับสนนุ ทฤษฎบี ิกแบง • หลกั ฐานสำคญั ท่ีสนบั สนนุ ทฤษฎีบกิ แบง คือ จากความสัมพันธ์ระหว่างความเรว็ กบั ระยะทาง การขยายตวั ของเอกภพ ซงึ่ อธบิ ายดว้ ยกฎฮบั เบลิ ของกาแล็กซี รวมท้ังขอ้ มูลการคน้ พบไมโครเวฟ โดยใช้ความสัมพันธร์ ะหวา่ งความเร็วแนวรศั มี พน้ื หลงั จากอวกาศ และระยะทางของกาแลก็ ซีที่เคล่อื นทีห่ า่ ง ออกจากโลกและหลักฐานอกี ประการ คอื การค้นพบไมโครเวฟพน้ื หลังท่กี ระจายตัวอย่าง สมำ่ เสมอทกุ ทศิ ทาง และสอดคลอ้ งกับอณุ หภมู ิ เฉลีย่ ของอวกาศ มคี า่ ประมาณ ๒.๗๓ เคลวนิ ๓. อธิบายโครงสร้างและองคป์ ระกอบของกาแล็กซี • กาแลก็ ซี ประกอบดว้ ย ดาวฤกษจ์ ำนวน ทางช้างเผือก และระบุตำแหนง่ ของระบบสรุ ยิ ะ หลายแสนลา้ นดวง ซง่ึ อยูก่ นั เปน็ ระบบของ พรอ้ มอธบิ ายเช่ือมโยงกบั การสงั เกตเหน็ ดาวฤกษ์ นอกจากนยี้ งั ประกอบดว้ ยเทห์ฟา้ อน่ื ทางช้างเผือกของคนบนโลก เช่น เนบวิ ลา และสสารระหวา่ งดาว โดย องคป์ ระกอบต่าง ๆ ภายในของกาแล็กซ ี อย่รู วมกันดว้ ยแรงโนม้ ถ่วง ตวั ชีว้ ัดและสาระการเรยี นร้แู กนกลาง กลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) 231 ตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาข้นั พน้ื ฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑

ชั้น ผลการเรยี นรู้ สาระการเรยี นรเู้ พมิ่ เติม • กาแลก็ ซมี รี ปู รา่ งแตกตา่ งกนั โดยระบบสรุ ยิ ะอยใู่ น กาแลก็ ซที างช้างเผือกซง่ึ เปน็ กาแล็กซีกังหันแบบ มคี าน มโี ครงสร้าง คือ นวิ เคลียส จาน และฮาโล ดาวฤกษ์จำนวนมากอยใู่ นบริเวณนิวเคลยี สและ จาน โดยมีระบบสรุ ิยะอยูห่ า่ งจากจดุ ศูนย์กลาง ของกาแลก็ ซที างชา้ งเผอื ก ประมาณ ๓๐,๐๐๐ ปแี สง ซึ่งทางช้างเผอื กทสี่ งั เกตเหน็ ในทอ้ งฟ้าเป็น บรเิ วณหนง่ึ ของกาแล็กซที างช้างเผอื กในมมุ มอง ของคนบนโลก แถบฝา้ สขี าวจาง ๆ ของทางชา้ งเผอื ก คือดาวฤกษ์ ที่อยู่อยา่ งหนาแน่นในกาแล็กซ ี ทางช้างเผือก ๔. อธบิ ายกระบวนการเกิดดาวฤกษ์ โดยแสดง • ดาวฤกษ์สว่ นใหญ่อย่รู วมกันเป็นระบบดาวฤกษ์ การเปลย่ี นแปลงความดัน อุณหภูมิ ขนาด คอื ดาวฤกษท์ ีอ่ ยรู่ วมกัน ตงั้ แต่ ๒ ดวงข้ึนไป จากดาวฤกษก์ อ่ นเกดิ จนเป็นดาวฤกษ ์ ดาวฤกษเ์ ป็นกอ้ นแก๊สร้อนขนาดใหญ่ เกิดจาก การยุบตัวของกลมุ่ สสารในเนบิวลาภายใต้ ๕. อธบิ ายกระบวนการสร้างพลังงานของดาวฤกษ์ แรงโนม้ ถ่วง ทำใหบ้ างส่วนของเนบวิ ลามขี นาด และผลที่เกิดขึ้น โดยวเิ คราะหป์ ฏกิ ริ ยิ าลกู โซ่ เล็กลง ความดนั และอุณหภูมิเพิ่มขึน้ เกดิ เปน็ โปรตอน-โปรตอน และวัฏจกั รคาร์บอน ดาวฤกษก์ อ่ นเกดิ เม่อื อุณหภมู ิทแี่ ก่นสูงขนึ้ ไนโตรเจน ออกซเิ จน จนเกิดปฏกิ ิรยิ าเทอร์มอนวิ เคลียร์ ดาวฤกษ ์ กอ่ นเกดิ จะกลายเป็นดาวฤกษ์ ดาวฤกษ์อยใู่ น สภาพสมดลุ ระหว่างแรงดนั กับแรงโนม้ ถ่วง ซึ่งเรียกว่าสมดลุ อุทกสถติ จึงทำให้ดาวฤกษ ์ มขี นาดคงทเ่ี ป็นเวลานานตลอดชว่ งชวี ติ ของดาวฤกษ์ • ปฏกิ ิรยิ าเทอรม์ อนิวเคลยี ร์ เป็นปฏกิ ิริยาหลัก ของกระบวนการสร้างพลังงานของดาวฤกษ์ ทำให้เกดิ การหลอมนวิ เคลยี สของไฮโดรเจน เปน็ นิวเคลียสฮีเลยี มท่ีแก่นของดาวฤกษ์ ซึ่งม ี ๒ กระบวนการ คอื ปฏกิ ิริยาลกู โซ่โปรตอน- โปรตอน และวฏั จักรคาร์บอน ไนโตรเจน ออกซเิ จน 232 ตวั ชีว้ ดั และสาระการเรยี นรแู้ กนกลาง กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑

ช้นั ผลการเรียนรู้ สาระการเรยี นร้เู พ่มิ เติม ๖. ระบปุ จั จยั ทสี่ ง่ ผลตอ่ ความสอ่ งสวา่ งของดาวฤกษ์ • ความส่องสวา่ งของดาวฤกษ์เป็นพลังงานจาก และอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างความส่องสวา่ ง ดาวฤกษ์ทป่ี ลดปล่อยออกมาในเวลา ๑ วินาทีตอ่ กบั โชตมิ าตรของดาวฤกษ ์ หน่วยพ้ืนที่ ณ ตำแหน่งของผู้สงั เกต แตเ่ นื่องจาก ตาของมนษุ ยไ์ มต่ อบสนองตอ่ การเปลย่ี นแปลง ความส่องสวา่ งทม่ี ีค่าน้อย ๆ จงึ กำหนดค่า การเปรยี บเทยี บความสอ่ งสว่างของดาวฤกษ ์ ดว้ ยค่าโชติมาตร ซง่ึ เปน็ การแสดงระดบั ความสอ่ งสวา่ งของดาวฤกษ์ (หรือเทหฟ์ า้ อน่ื ) ณ ตำแหน่งของผสู้ งั เกต ๗. อธิบายความสมั พันธร์ ะหวา่ งสี อุณหภมู ผิ วิ • สีของดาวฤกษ์สัมพันธก์ ับอุณหภูมิผวิ และสเปกตรัมของดาวฤกษ์ ซงึ่ นกั ดาราศาสตรใ์ ชด้ ชั นสี ใี นการแบง่ ชนดิ สเปกตรมั ของดาวฤกษ์ และใช้สเปกตรัมในการจำแนกชนดิ ของดาวฤกษ์ ๘. อธบิ ายวธิ กี ารหาระยะทางของดาวฤกษ ์ • การหาระยะทางของดาวฤกษท์ ม่ี รี ะยะทาง ด้วยหลักการแพรลั แลกซ์ พร้อมคำนวณ ห่างจากโลกไม่เกิน ๑๐๐ พารเ์ ซก มวี ิธกี าร หาระยะทางของดาวฤกษ์ ทสี่ ำคญั คอื วธิ แี พรลั แลกซ์ โดยวดั มมุ แพรลั แลกซ์ ของดาวฤกษ์ เมอ่ื โลกเปล่ยี นตำแหนง่ ไป ในวงโคจร ทำใหต้ ำแหน่งปรากฏของดาวฤกษ์ เปลีย่ นไปเม่ือเทยี บกบั ดาวฤกษอ์ ้างองิ ๙. อธบิ ายลำดบั ววิ ฒั นาการทสี่ มั พันธก์ บั มวลตงั้ ตน้ • มวลของดาวฤกษ์ขน้ึ อยูก่ บั มวลของดาวฤกษ ์ และวเิ คราะหก์ ารเปลยี่ นแปลงสมบตั บิ างประการ ก่อนเกดิ ดาวฤกษ์ที่มมี วลมากจะผลิตและใช้ ของดาวฤกษ์ในลำดับววิ ัฒนาการ จากแผนภาพ พลงั งานมาก จงึ มอี ายสุ นั้ กวา่ ดาวฤกษท์ ม่ี มี วลนอ้ ย เฮิรซ์ ปรงุ -รสั เซลล ์ • ดาวฤกษม์ ีการววิ ฒั นาการท่แี ตกต่างกนั การวิวัฒนาการและจุดจบของดาวฤกษ์ขนึ้ อยกู่ บั มวลตั้งต้นของดาวฤกษ์ สว่ นใหญ่เทยี บกบั จำนวนเทา่ ของมวลดวงอาทิตย์ • ดาวฤกษจ์ ะมกี ารเปล่ียนแปลงสมบัติบางประการ ตามวิวัฒนาการ โดยนักวิทยาศาสตรไ์ ด้แสดงการ เปลยี่ นแปลงดงั กลา่ วดว้ ยแผนภาพเฮริ ซ์ ปรงุ -รสั เซลล์ ซึ่งเป็นแผนภาพทแ่ี สดงความสมั พันธ์ระหวา่ ง โชตมิ าตรสมั บรู ณแ์ ละดชั นสี ขี องดาวฤกษ์ โดยดาวฤกษ์ ส่วนใหญจ่ ะอยใู่ นแถบลำดบั หลัก ซงึ่ เป็นแถบ ทีแ่ สดงวา่ ดาวฤกษจ์ ะมีช่วงชีวิตสว่ นใหญอ่ ยูใ่ น สภาวะสมดลุ ตวั ชีว้ ัดและสาระการเรียนรแู้ กนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) 233 ตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พื้นฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑

ชั้น ผลการเรียนร ู้ สาระการเรยี นรเู้ พมิ่ เตมิ ๑๐. อธบิ ายกระบวนการเกดิ ระบบสรุ ยิ ะ การแบง่ เขต • ระบบสรุ ยิ ะเกิดจากการรวมตัวกนั ของกล่มุ ฝนุ่ บรวิ ารของดวงอาทิตยแ์ ละลกั ษณะของ และแกส๊ ที่เรยี กวา่ เนบวิ ลาสุริยะ โดยฝุ่นและแก๊ส ดาวเคราะหท์ ่เี อือ้ ต่อการดำรงชวี ติ ประมาณรอ้ ยละ ๙๙.๘ ของมวล ได้รวมตัวเปน็ ๑๑. อธบิ ายการโคจรของดาวเคราะหร์ อบดวงอาทติ ย์ ดวงอาทิตยซ์ ึ่งเปน็ กอ้ นแก๊สร้อน หรือพลาสมา ด้วยกฎเคพเลอร์ และกฎความโนม้ ถ่วงของ สสารส่วนทเี่ หลอื รวมตวั เปน็ ดาวเคราะหแ์ ละ นวิ ตัน พร้อมคำนวณคาบการโคจรของ บริวารอืน่ ๆ ของดวงอาทติ ย์ ดังนนั้ จึงแบง่ เขต ดาวเคราะห ์ บริวารของดวงอาทิตยต์ ามลกั ษณะการเกดิ และองคป์ ระกอบ ไดแ้ ก่ ดาวเคราะหช์ ้นั ใน ดาวเคราะหน์ อ้ ย ดาวเคราะหช์ น้ั นอก และดงดาวหาง • โลกเป็นดาวเคราะหใ์ นระบบสรุ ยิ ะทม่ี ีส่งิ มชี ีวติ เพราะโคจรรอบดวงอาทติ ยใ์ นระยะทางทเี่ หมาะสม จงึ เปน็ เขตที่เออ้ื ต่อการมีสิ่งมชี วี ติ ทำใหโ้ ลก มีอุณหภมู ิเหมาะสมและสามารถเกิดน้ำทีย่ ังคง สถานะเปน็ ของเหลวได้ และปัจจุบันมกี ารค้นพบ ดาวเคราะห์ท่อี ยู่นอกระบบสรุ ยิ ะจำนวนมาก โดยมดี าวเคราะห์บางดวงท่มี ลี กั ษณะคล้ายโลก และอยู่ในเขตที่เอื้อตอ่ การมีสิ่งมชี วี ิต • บรวิ ารของดวงอาทิตย์อยู่รวมกนั เปน็ ระบบภายใต้ แรงโนม้ ถ่วงระหว่างดาวเคราะห์กับดวงอาทิตย์ ตามกฎแรงโน้มถว่ งของนิวตัน ส่วนการโคจร ของดาวเคราะห์รอบดวงอาทิตยเ์ ปน็ ไปตาม กฎเคพเลอร ์ ๑๒. อธบิ ายโครงสร้างของดวงอาทิตย์ การเกดิ • ดวงอาทิตย์มโี ครงสร้างภายในแบง่ เป็น ลมสรุ ิยะ พายุสรุ ิยะ และวเิ คราะห์ นำเสนอ แก่น เขตการแผร่ งั สี และเขตการพาความรอ้ น ปรากฏการณ์หรือเหตุการณท์ ีเ่ กยี่ วขอ้ งกับ และมชี ัน้ บรรยากาศอยูเ่ หนอื เขตพาความร้อน ผลของลมสรุ ยิ ะ และพายุสุรยิ ะทีม่ ีตอ่ โลก ซ่งึ แบ่งเปน็ ๓ ช้นั คือ ชน้ั โฟโตสเฟียร ์ รวมท้งั ประเทศไทย ชนั้ โครโมสเฟียร์ และคอโรนา ในช้ันบรรยากาศ ของดวงอาทิตย์ มปี รากฏการณ์สำคญั เช่น จดุ มืด ดวงอาทติ ย์ การลกุ จา้ ทที่ ำใหเ้ กดิ ลมสรุ ิยะ และ พายุสุรยิ ะ ซึ่งสง่ ผลตอ่ โลก • ลมสุรยิ ะ เกดิ จากการแพรก่ ระจายของอนุภาค จากช้ันคอโรนาออกสอู่ วกาศตลอดเวลา อนภุ าค ทหี่ ลุดออกส่อู วกาศเป็นอนุภาคท่มี ปี ระจ ุ ลมสรุ ยิ ะสง่ ผลทำใหเ้ กดิ หางของดาวหางทเี่ รอื งแสง และชไี้ ปทางทศิ ตรงกนั ข้ามกบั ดวงอาทิตย ์ และเกดิ ปรากฏการณแ์ สงเหนือ แสงใต ้ 234 ตวั ชีว้ ดั และสาระการเรียนรูแ้ กนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้นื ฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑

ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรยี นรเู้ พม่ิ เติม • พายสุ รุ ยิ ะ เกดิ จากการปลดปลอ่ ยอนุภาคมีประจุ พลงั งานสงู จำนวนมหาศาล มกั เกดิ บอ่ ยครง้ั ในชว่ ง ทม่ี ีการลกุ จ้า และในช่วงที่มจี ุดมดื ดวงอาทติ ย์ จำนวนมาก และในบางคร้งั มีการพ่นกอ้ นมวล คอโรนา พายสุ รุ ยิ ะอาจสง่ ผลตอ่ สนามแมเ่ หลก็ โลก จงึ อาจรบกวนระบบการส่งกระแสไฟฟา้ และ การสอื่ สาร รวมทง้ั อาจสง่ ผลตอ่ วงจรอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ ของดาวเทียม นอกจากน้นั มกั ทำใหเ้ กดิ ปรากฏการณแ์ สงเหนอื แสงใตท้ สี่ งั เกตไดช้ ดั เจน ๑๓. สรา้ งแบบจำลองทรงกลมฟา้ สงั เกต และเชอื่ มโยง • ทรงกลมฟา้ เป็นทรงกลมสมมติขนาดใหญท่ ่มี ี จดุ และเสน้ สำคัญของแบบจำลองทรงกลมฟ้า รศั มอี นนั ต์ มจี ดุ ศนู ยก์ ลางของโลกเปน็ จดุ ศนู ยก์ ลาง กบั ทอ้ งฟา้ จรงิ และอธิบายการระบพุ ิกัด ของทรงกลมฟ้า มีดวงดาวและเทห์ฟ้าตา่ ง ๆ ของดาวในระบบขอบฟา้ และระบบศูนย์สตู ร ปรากฏอยู่บนผิวของทรงกลมฟา้ นี้ การระบพุ กิ ดั ของดวงดาวและเทห์ฟ้าตา่ ง ๆ บนทรงกลมฟา้ ตามระบบทส่ี ำคัญ ไดแ้ ก ่ - ระบบขอบฟา้ เปน็ ระบบทอี่ ้างอิงจากตำแหน่ง ผสู้ ังเกตบนโลก โดยระบุพกิ ดั เป็นมมุ ทศิ และ มุมเงย อา้ งองิ กบั ทศิ เหนือและเสน้ ขอบฟ้าของ ผสู้ งั เกต - ระบบศนู ยส์ ตู ร เปน็ ระบบทอี่ า้ งองิ กบั เสน้ ศนู ยส์ ตู รฟา้ และจดุ วษิ วุ ตั ระบพุ ิกดั เป็นไรต์แอสเซนชนั และเดคลเิ นชนั ๑๔. สงั เกตทอ้ งฟ้า และอธิบายเสน้ ทางการขนึ้ • โลกหมนุ รอบตัวเองจากทางทิศตะวันตกไปทาง การตกของดวงอาทติ ย์และดาวฤกษ์ ทศิ ตะวันออก ทำให้เกดิ ปรากฏการณก์ ารขึน้ การตกของดวงอาทิตย์และดวงดาวในรอบวนั ซงึ่ เสน้ ทางปรากฏของการขนึ้ การตกของดวงอาทติ ย์ จะเปลย่ี นแปลงตามวันเวลาและตำแหนง่ ละตจิ ูด ของผู้สังเกต ส่วนเส้นทางปรากฏของการขน้ึ การตกของดาวฤกษ์จะเปล่ียนแปลงตามละตจิ ดู ของผูส้ งั เกต ๑๕. อธิบายเวลาสุริยคติปรากฏ โดยรวบรวมขอ้ มลู • การกำหนดเวลาสุริยคตจิ ะเทยี บกบั ดวงอาทิตย์ และเปรียบเทียบเวลาขณะทีด่ วงอาทิตย์ผ่าน โดยเวลาสุริยคติ มีทัง้ เวลาสุริยคตปิ รากฏ และ เมริเดยี นของผสู้ ังเกตในแตล่ ะวนั เวลาสุริยคตปิ านกลาง ตวั ชีว้ ดั และสาระการเรียนรูแ้ กนกลาง กลมุ่ สาระการเรียนรูว้ ิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) 235 ตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาข้นั พ้นื ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑

ชั้น ผลการเรียนร ู้ สาระการเรยี นร้เู พ่ิมเติม • เวลาสุริยคติปรากฏ เป็นเวลาทไ่ี ดจ้ ากการสงั เกต ดวงอาทติ ยจ์ รงิ ท่เี คล่อื นทอี่ ย่บู นท้องฟ้าของ ผสู้ ังเกต ช่วงเวลาระหว่างการเห็นจุดศนู ยก์ ลาง ของดวงอาทิตยผ์ ่านเมรเิ ดยี นครง้ั แรกถึงครงั้ ถัดไป เรียกวา่ ๑ วนั สรุ ิยคติปรากฏ ๑๖. อธบิ ายเวลาสุริยคตปิ านกลาง และ • เวลาสรุ ยิ คตปิ านกลางกำหนดโดยใหม้ ดี วงอาทติ ย์ การเปรยี บเทยี บเวลาของแตล่ ะเขตเวลาบนโลก สมมตเิ คลือ่ นทบ่ี นเส้นศูนยส์ ูตรฟา้ ดว้ ยอตั ราเร็ว สม่ำเสมอ ช่วงเวลาระหวา่ งการเหน็ จุดศนู ยก์ ลาง ของดวงอาทิตยผ์ า่ นเมริเดยี นคร้ังแรกถึงครั้งถัดไป เรยี กวา่ ๑ วนั สรุ ยิ คตปิ านกลาง ซงึ่ ยาว ๒๔ ชว่ั โมง ๐ นาที ๐ วินาที เวลาสุรยิ คตปิ านกลางกรีนซิ เปน็ เวลาสุรยิ คติปานกลางทใ่ี ชเ้ มรเิ ดยี นของ หอดดู าวกรีนซิ ในประเทศอังกฤษเป็นตวั กำหนด ซง่ึ นำมาใชใ้ นการกำหนดเขตเวลามาตรฐานสากล ของตำแหน่งอื่น ๆ บนโลก ๑๗. อธบิ ายมมุ ห่างท่สี มั พนั ธ์กับตำแหน่ง • โลกและดาวเคราะหท์ ุกดวงหมุนรอบตวั เองและ ในวงโคจร และอธิบายเชื่อมโยงกบั ตำแหนง่ โคจรรอบดวงอาทติ ยจ์ ากทศิ ตะวนั ตกไปทาง ปรากฏของดาวเคราะห์ท่สี ังเกตได้จากโลก ทศิ ตะวนั ออก หรือในทศิ ทวนเข็มนาฬิกาจาก มมุ มองดา้ นบน คนบนโลกจะสงั เกตเหน็ ดาวเคราะห์ มตี ำแหนง่ ปรากฏแตกตา่ งกนั ในชว่ งวนั เวลาตา่ ง ๆ เพราะดาวเคราะห์มีมมุ ห่างทแ่ี ตกตา่ งกัน • มุมหา่ งของดาวเคราะห์ คอื มุมระหวา่ งเส้นตรง ทเ่ี ชอื่ มระหว่างโลกกบั ดาวเคราะหก์ บั เสน้ ตรงท่ี เชื่อมระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์ เม่อื วัดบน เสน้ สรุ ยิ วถิ ี โดยดาวเคราะหอ์ าจอยู่ห่างจาก ดวงอาทติ ยไ์ ปทางทศิ ตะวันออก หรือทางทิศ ตะวนั ตก ซ่งึ มกี ารเรียกช่ือตามตำแหนง่ ของ ดาวเคราะหใ์ นวงโคจร ขนาดของมมุ ห่าง และทศิ ทางของมุมห่าง • ดาวเคราะหท์ ม่ี มี มุ หา่ งตา่ งกนั จะมตี ำแหนง่ ปรากฏ บนทอ้ งฟ้าแตกตา่ งกัน โดยตำแหน่งปรากฏของ ดาวเคราะหว์ งในจะอยใู่ กล้ขอบฟา้ ในชว่ งเวลา ใกลร้ ุง่ หรือเวลาหัวคำ่ ส่วนตำแหน่งปรากฏ ของดาวเคราะหว์ งนอกจะสามารถเห็นไดใ้ น 236 ตวั ชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุม่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พ้ืนฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑

ช้นั ผลการเรยี นร้ ู สาระการเรยี นรเู้ พิม่ เตมิ ช่วงเวลาอืน่ ๆ นอกจากนี้ มุมหา่ งยงั สามารถ นำมาอธิบายปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ เช่น ดาวเคียงเดอื น ดาวเคราะห์ชุมนมุ ดาวเคราะห์ ผ่านหนา้ ดวงอาทติ ย์ ๑๘. สบื คน้ ขอ้ มูล อธบิ ายการสำรวจอวกาศ โดยใช้ • มนุษย์ใชเ้ ทคโนโลยอี วกาศในการศึกษา เพ่อื กล้องโทรทรรศน์ในช่วงความยาวคลื่นต่าง ๆ ขยายขอบเขตความรดู้ ้านวทิ ยาศาสตร์ และ ดาวเทยี ม ยานอวกาศ สถานอี วกาศ และนำเสนอ ในขณะเดียวกนั มนษุ ย์ได้นำเทคโนโลยอี วกาศ แนวคดิ การนำความรทู้ างดา้ นเทคโนโลยอี วกาศ มาใช้ประโยชนใ์ นด้านตา่ ง ๆ เช่น วัสดุศาสตร์ มาประยุกต์ใชใ้ นชวี ิตประจำวนั หรือในอนาคต อาหาร การแพทย์ ๑๙. สืบคน้ ขอ้ มูล ออกแบบ และนำเสนอกิจกรรม • นักวทิ ยาศาสตร์ได้สร้างกล้องโทรทรรศน์ เพ่ือ การสังเกตดาวบนทอ้ งฟ้าดว้ ยตาเปล่า และ/ ศกึ ษาแหล่งกำเนิดของรังสหี รอื อนุภาคในอวกาศ หรอื กลอ้ งโทรทรรศน์ ในช่วงความยาวคลน่ื ต่าง ๆ ได้แก่ คลนื่ วิทยุ ไมโครเวฟ อนิ ฟราเรด แสง อัลตราไวโอเลต และรงั สีเอ็กซ์ • ยานอวกาศ คอื ยานพาหนะที่นำมนุษยห์ รอื อุปกรณท์ างดาราศาสตรข์ นึ้ ไปสู่อวกาศ เพือ่ สำรวจหรอื เดนิ ทางไปยงั ดาวดวงอืน่ ส่วนสถานี อวกาศ คอื หอ้ งปฏบิ ตั กิ ารลอยฟา้ ทโี่ คจรรอบโลก ใช้ในการศกึ ษาวิจัยทางวทิ ยาศาสตร์ในสาขา ต่าง ๆ ในสภาพไร้น้ำหนัก • ดาวเทยี ม คืออุปกรณ์ท่ีใช้ในการสำรวจวตั ถุ ท้องฟา้ และนำมาประยกุ ตใ์ ช้ในด้านต่าง ๆ เชน่ การสือ่ สารโทรคมนาคม การระบตุ ำแหนง่ บนโลก การสำรวจทรัพยากรธรรมชาติ อุตนุ ิยมวทิ ยา โดยดาวเทยี มมีหลายประเภทสามารถแบง่ ได้ ตามเกณฑ์วงโคจรและการใช้งาน ตัวชว้ี ัดและสาระการเรียนรูแ้ กนกลาง กลุ่มสาระการเรยี นร้วู ิทยาศาสตร์ (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) 237 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขน้ั พ้ืนฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑

อภิธานศพั ท์ ศพั ทท์ เี่ กย่ี วขอ้ งกบั ตวั ชว้ี ดั กลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร ์ ที่ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ความหมาย ๑. กำหนดปญั หา define problem ระบคุ ำถาม ประเด็นหรือ ๒. แกป้ ญั หา solve problem สถานการณ์ที่เปน็ ข้อสงสัย เพื่อนำไปสู่การแกป้ ัญหาหรือ ๓. เขยี นแผนผงั /วาดภาพ construct diagram/ อภิปรายร่วมกนั ๔. คาดคะเน illustrate หาคำตอบของปญั หาทยี่ งั ไม่ร ้ ู ๕. คำนวณ predict วิธกี ารมากอ่ น ท้ังปัญหาที่ calculate เกี่ยวขอ้ งกบั วทิ ยาศาสตร์ โดยตรงและปญั หาในชวี ิต ประจำวันโดยใช้เทคนิคและ วธิ ีการตา่ ง ๆ นำเสนอข้อมลู หรือผลการสำรวจ ตรวจสอบด้วยแผนผัง กราฟ หรอื ภาพวาด คาดการณผ์ ลทจ่ี ะเกดิ ขนึ้ ในอนาคต โดยอาศยั ขอ้ มูลท่สี งั เกตได ้ และประสบการณท์ ม่ี ี หาผลลพั ธ์จากข้อมูล โดยใช ้ หลักการ ทฤษฎี หรือวธิ กี ารทาง คณิตศาสตร ์ 238 ตัวชีว้ ดั และสาระการเรยี นร้แู กนกลาง กลุม่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พ้นื ฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑

ท่ี ภาษาไทย ภาษาองั กฤษ ความหมาย ๖. จำแนก ๗. ตัง้ คำถาม classify จัดกลุ่มของส่งิ ต่าง ๆ โดยอาศยั ๘. ทดลอง ลักษณะทีเ่ หมือนกันเป็นเกณฑ ์ ๙. นำเสนอ ๑๐. บรรยาย ask question พูดหรือเขียนประโยค หรอื วลี เพ่อื ใหไ้ ด้มาซงึ่ การค้นหา ๑๑. บอก คำตอบที่ต้องการ ๑๒. บนั ทกึ conduct/experiment ปฏิบัตกิ ารเพ่ือหาคำตอบ ของคำถาม หรือปัญหาในการ ทดลอง โดยตงั้ สมมตฐิ านเพื่อ เปน็ แนวทางในการกำหนด ตัวแปรและวางแผนดำเนนิ การ เพื่อตรวจสอบสมมติฐาน present แสดงข้อมูล เร่อื งราว หรอื ความคิด เพื่อใหผ้ อู้ ื่นรับร ู้ หรือพจิ ารณา describe ใหร้ ายละเอียดของเหตุการณ์ หรือปรากฏการณ์ทีเ่ กิดขน้ึ ให ้ ผู้อน่ื ไดร้ บั รู้ดว้ ยการบอก หรอื เขียน tell ให้ข้อมูล ขอ้ เท็จจรงิ แกผ่ ู้อืน่ ดว้ ยการพดู หรอื เขยี น record เขยี นขอ้ มูลทีไ่ ดจ้ ากการสังเกต เพอื่ ชว่ ยจำ หรอื เพอื่ เปน็ หลกั ฐาน ตวั ชีว้ ดั และสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) 239 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขน้ั พนื้ ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑

ท่ ี ภาษาไทย ภาษาองั กฤษ ความหมาย ๑๓. เปรยี บเทียบ compare บอกความเหมอื น และ/หรอื ๑๔. แปลความหมาย interpret ความแตกตา่ ง ของสงิ่ ท ี่ เทียบเคียงกนั ๑๕. ยกตัวอยา่ ง give examples แสดงความหมายของข้อมลู จากหลักฐานท่ปี รากฏ ๑๖. ระบ ุ identify เพอื่ ลงข้อสรปุ ๑๗. เลือกใช้ select ใหข้ อ้ มลู เหตกุ ารณ์ หรอื สถานการณ์ เพ่ือแสดงความเขา้ ใจในส่ิงท่ไี ด้ ๑๘. วดั measure เรยี นร ู้ ช้ีบอกสงิ่ ต่าง ๆ โดยใชข้ อ้ มูล ๑๙. วิเคราะห ์ analyze ประกอบอย่างเพียงพอ พิจารณา และตัดสินใจนำวสั ดุ สงิ่ ของ อุปกรณ์ หรือวิธกี าร มาใช้ได้อยา่ งเหมาะสม หาขนาด หรือปรมิ าณ ของ ส่งิ ต่าง ๆ โดยใชเ้ คร่อื งมือ ทเ่ี หมาะสม แยกแยะ จดั ระบบ เปรียบเทียบ จัดลำดบั จัดจำแนก หรือ เช่อื มโยงขอ้ มลู 240 ตวั ชีว้ ดั และสาระการเรยี นรแู้ กนกลาง กลุม่ สาระการเรยี นร้วู ทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พ้ืนฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑

ท่ี ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ความหมาย ๒๐. สร้างแบบจำลอง construct model นำเสนอแนวคิด หรอื เหตกุ ารณ์ ๒๑. สงั เกต observe ในรปู ของแผนภาพ ช้นิ งาน ๒๒. สำรวจ explore สมการ ข้อความ คำพูดและ/ ๒๓. สบื ค้นขอ้ มลู search หรอื ใชแ้ บบจำลองเพ่อื อธบิ าย ๒๔. สือ่ สาร communicate ความคิด วัตถุ หรอื เหตกุ ารณ ์ ต่าง ๆ หาขอ้ มลู ด้วยการใชป้ ระสาท สมั ผสั ท้ังหา้ ทีเ่ หมาะสมตาม ขอ้ เทจ็ จริงทป่ี รากฏ โดยไมใ่ ช้ ประสบการณ์เดิมของผู้สงั เกต หาข้อมลู เก่ยี วกับสิ่งตา่ ง ๆ โดยใช้วีธีการและเทคนิคที่ เหมาะสม เพอื่ นำขอ้ มลู มาใช้ ตามวัตถปุ ระสงค์ท่กี ำหนดไว้ หาขอ้ มูล หรอื ขอ้ สนเทศทมี่ ี ผรู้ วบรวมไวแ้ ล้วจากแหลง่ ต่าง ๆ มาใช้ประโยชน์ นำเสนอ และแลกเปลีย่ น ความคดิ ข้อมลู หรือผลจากการ สำรวจตรวจสอบ ด้วยวิธ ี ท่ีเหมาะสม ตัวชวี้ ดั และสาระการเรียนร้แู กนกลาง กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) 241 ตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑

ท ่ี ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ความหมาย ๒๕. อธบิ าย explain ๒๖. อภปิ ราย discuss กล่าวถงึ เร่อื งราวตา่ ง ๆ อยา่ งมี เหตผุ ล และมีขอ้ มูล หรอื ๒๗. ออกแบบการทดลอง design experiment ประจักษ์พยานอ้างอิง แสดงความคดิ เห็นต่อประเดน็ หรือคำถามอยา่ งมีเหตผุ ล โดยอาศยั ความรแู้ ละประสบการณ์ ของผู้อภปิ รายและข้อมลู ประกอบ กำหนด และวางแผนวิธกี าร ทดลองให้สอดคลอ้ งกับ สมมติฐานและตัวแปรต่าง ๆ รวมทงั้ การบนั ทกึ ขอ้ มูล 242 ตัวช้วี ัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพน้ื ฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑

ศพั ท์ที่เก่ยี วข้องกับตัวช้วี ัดสาระเทคโนโลยี ท ่ี ภาษาไทย ภาษาองั กฤษ ความหมาย fair use ๑. การใช้ลิขสิทธิ์ของผอู้ ่นื การนำสือ่ หรือขอ้ มูลทเี่ ปน็ โดยชอบธรรม ลิขสิทธข์ิ องผู้อ่ืนไปใช้โดยชอบ ด้วยกฎหมาย ภายใต้เงอื่ นไข ๒. การตรวจและแกไ้ ข debugging บางประการ เชน่ ข้อผดิ พลาด data processing ๑) นำไปใชใ้ นการศกึ ษา หรือ ๓. การประมวลผลข้อมลู การคา้ ๒) งานนั้นเป็นงานวิชาการ หรือ บนั เทงิ ๓) คัดลอกเพียงสว่ นนอ้ ย หรือ คดั ลอกจำนวนมาก ๔) ทำใหเ้ จา้ ของเสยี ผลประโยชน์ ทางการเงนิ มากนอ้ ยเพยี งใด กระบวนการในการค้นหา ขอ้ ผดิ พลาดของโปรแกรม เพื่อแกไ้ ขให้ทำงานได้ถูกต้อง การดำเนินการตา่ ง ๆ กับข้อมลู เพ่ือให้ไดผ้ ลลัพธท์ ่ีมคี วามหมาย และมปี ระโยชน์ตอ่ การนำ ไปใชง้ านมากย่ิงขนึ้ ตัวช้ีวดั และสาระการเรียนรูแ้ กนกลาง กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) 243 ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขัน้ พืน้ ฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook