Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore Cloud meeting-Telemedicine กับบุคลากรทางการแพทย์ในยุคโควิด-19

Cloud meeting-Telemedicine กับบุคลากรทางการแพทย์ในยุคโควิด-19

Description: วารสาร กรมการแพทย์ วารสารราย 3 เดือน ปีที่ 45 ฉบับที่ 2 ประจำเดือนเมษายน-มิถุนายน 2563

Search

Read the Text Version

3) ฐานอุบัติเหตุภายในบ้าน จัดเป็นห้องจำ� ลองเหตุการณ์ - อุบัติเหตุภายในบ้าน 2 ข้อ ได้แก่ การบาดเจ็บจาก ในหอ้ งพกั อาศยั ซง่ึ มสี ภาพแวดลอ้ มทอ่ี าจเปน็ อนั ตรายตอ่ เดก็ ทำ� ให้ อบุ ตั เิ หตภุ ายในบา้ นสามารถปอ้ งกนั ได้ เดก็ สามารถกนิ นมเยน็ ไขม่ กุ เด็กเกิดภาวะขาดอากาศ สำ� ลักสง่ิ แปลกปลอม เส้นสายรัดคอ การ ได้อย่างปลอดภยั กดทับใบหน้า และการกระแทก สาธิตการใช้อุปกรณ์ป้องกันการ บาดเจ็บ ฝึกช่วยเหลือเด็กท่ีส�ำลักของเข้าหลอดลม และเจ้าหน้าที่ 2. การทบทวนการเรียนรู้ร่วมกันหลังกิจกรรม ใช้ค�ำถาม จากศนู ยว์ จิ ยั เพอื่ สรา้ งเสรมิ ความปลอดภยั และปอ้ งกนั การบาดเจบ็ ปลายเปิดเก่ียวกับส่ิงที่ได้เรียนรู้จากกิจกรรมฝึกทักษะป้องกัน ในเด็ก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาล อบุ ตั เิ หตใุ นเดก็ ทง้ั 3 ฐาน ใหท้ กุ คนเขยี นความคดิ เหน็ ลงบตั รคำ� และ รามาธบิ ดี ไดม้ ารว่ มจดั กจิ กรรมแสดงการตรวจโลหะหนกั ในของเลน่ ผลดั กันแลกเปลี่ยนเรยี นรู้ การประเมนิ ผลกิจกรรมการเรยี นรู้ วิเคราะห์คะแนนความรู้และทัศนคติการป้องกันอุบัติเหตุ 1. แบบประเมนิ ความรแู้ ละทศั นคตเิ รอ่ื งการปอ้ งกนั อบุ ตั เิ หตุ ในเด็ก โดยใชค้ ่าเฉลี่ย (mean) คา่ เบ่ียงเบนมาตรฐาน (standard ในเดก็ ปฐมวยั ผรู้ ่วมกิจกรรมตอบกอ่ นท�ำกจิ กรรม (pre-test) และ deviation) เปรียบเทียบค่าเฉล่ียคะแนนความรู้และทัศนคติก่อน หลังท�ำกิจกรรม (post-test) ทาง Google form online ตาม และหลังเข้าร่วมกิจกรรม ด้วยสถิติ paired t-test เปรียบเทียบ สมัครใจ ไม่ต้องระบุช่ือผู้ตอบ ผู้วิจัยได้ประเมินดัชนีความตรง คะแนนความรู้และทัศนคติระหว่างอาชีพต่างๆด้วยการวิเคราะห์ ของเนื้อหา Content Validity Index (CVI) ของแบบสอบถาม ความแปรปรวนทางเดียว (One-way ANOVA) โดยใช้โปรแกรม จากกุมารแพทย์ผู้เช่ียวชาญ 5 ท่าน พบว่าแบบสอบถามประเมิน SPSS for Windows, Version 16.0. Chicago, SPSS Inc; 2007 ความรู้และแบบสอบถามทัศนคติมีความตรงเชิงเน้ือหา โดยมีค่า และวิเคราะห์เนื้อหาความคิดเห็น (content analysis) ของ CVI เทา่ กบั 0.8 และ 1 ตามลำ� ดบั ผวู้ จิ ยั จงึ นำ� ผลคะแนนจากคำ� ถาม ผูเ้ ข้ารว่ มกิจกรรม ท้ังหมดมาศกึ ษา ผล คำ� ถามประเมนิ ความรู้ 10 ขอ้ เปน็ คำ� ถามชนดิ ใหเ้ ลอื กตอบ มี 4 ตัวเลอื ก คะแนนเต็ม 10 คะแนน ประกอบดว้ ยคำ� ถาม ดังนี้ ผเู้ ขา้ รว่ มกจิ กรรมเรยี นรกู้ ารปอ้ งกนั อบุ ตั เิ หตใุ นเดก็ ปฐมวยั - อุบัตเิ หตุจมน�ำ้ 4 ขอ้ ได้แก่ สาเหตุการจมน�ำ้ แหล่งนำ้� ที่ ณ โรงพยาบาลมหาวิทยาลยั บูรพา จ�ำนวน 113 คน ได้แก่ ครจู าก ทำ� ใหเ้ ดก็ จมนำ้� การปอ้ งกนั การจมนำ้� และหลกั การชว่ ยเหลอื เบอื้ งตน้ ศูนย์เด็กเล็กและโรงเรียนการศึกษาพิเศษ 34 คน พ่ีเล้ียงเด็ก 20 เมื่อเดก็ จมนำ้� คน บุคลากรอาชีพอ่ืนๆที่เก่ียวข้องกับการดูแลเด็ก เช่น พยาบาล - อุบัติเหตุจราจร 2 ข้อ ได้แก่ ลักษณะการโดยสารรถ นักกายภาพบำ� บัด นิสติ ครูฝึกสอนจำ� นวน 7 คน ผู้ปกครอง 5 คน จกั รยานอย่างปลอดภยั การจดั ทนี่ ่ังโดยสารรถยนต์สำ� หรับเด็กอายุ และนสิ ิตคณะแพทยศาสตรช์ ้นั ปที ี่ 3 จำ� นวน 47 คน ซง่ึ นิสิตแพทย์ 1 ปี เป็นผู้ร่วมกิจกรรมท่ีได้รับมอบหมายให้ช่วยกระตุ้นผู้ร่วมกิจกรรม - อบุ ตั เิ หตภุ ายในบา้ น 4 ขอ้ ไดแ้ ก่ ความเหมาะสมของการ อื่นๆให้ด�ำเนนิ กจิ กรรมตามแผน กำ� กบั เวลาใหเ้ ปน็ ไปตามทกี่ �ำหนด ใช้รถหัดเดนิ แบบที่มีลกู ลอ้ ของเลน่ ท่ีปลอดภยั ต่อเดก็ อปุ กรณช์ ว่ ย และเรียนรู้การป้องกันอุบัติเหตุในเด็กไปพร้อมกับกลุ่มผู้เข้าร่วม ป้องกันอันตรายภายในบ้าน หลักการช่วยเหลือเบ้ืองต้นเมื่อเด็กมี กิจกรรมด้วย ในจ�ำนวนผู้เข้าร่วมกิจกรรมท้ังหมดมีผู้ท�ำ pre-test ภาวะขาดอากาศหายใจ 106 คน ท�ำ post-test 88 คน การตอบแบบสอบถามไม่ระบชุ อ่ื ค�ำถามประเมินทัศนคติ 7 ข้อ เป็นค�ำถามชนิด Likert ผตู้ อบ แตม่ ีข้อมูล e-mail ท่ผี ้ตู อบแบบสอบถามบางท่านให้ข้อมลู scale ให้เลือกตอบตามความคิดเห็นว่า ไม่เห็นด้วย เห็นด้วย ไว้ จึงใช้ e-mail เปน็ ตัวเชอื่ มโยงขอ้ มูล pre-test และ post-test ปานกลาง เห็นด้วยมาก หรือเห็นด้วยมากที่สุด ความเห็นท่ีช่วย ใหท้ ราบวา่ เปน็ ของคนเดียวกนั ป้องกันอุบัติเหตุในเด็กจะมีคะแนนเต็ม 3 และคะแนนลดลงตาม ระดบั 2, 1 และ 0 รวมคะแนนเต็ม 21 คะแนน ประกอบด้วยหัวขอ้ กลุ่มตัวอย่างท่ีน�ำมาศึกษาคือผู้ร่วมกิจกรรมที่ตอบ pre- ค�ำถามถงึ ความคดิ เห็น ดงั นี้ test และ post-test ที่สามารถระบุได้ว่าเป็นคนเดียวกัน โดยดู - อุบัติเหตจุ มน�ำ้ 2 ขอ้ ได้แก่ แหล่งน้ำ� ในบา้ นเปน็ สาเหตุ จาก e-mail ท่ีผู้ตอบแบบสอบถามระบไุ ว้ตรงกันใน pre-test และ ของภาวะจมนำ�้ การใชห้ ว่ งยางเลน่ นำ้� ชว่ ยใหป้ ลอดภยั จากการจมนำ้� post-test มจี ำ� นวน 51 คน เป็นเพศชาย 10 คน หญงิ 41 คน อายุ - อบุ ตั เิ หตจุ ราจร 3 ขอ้ ไดแ้ ก่ การบาดเจบ็ จากการเดนิ ทาง ระหว่าง 19-63 ปี อาชีพครู 21 คน (ร้อยละ 41.2) นิสิตแพทย์ สามารถปอ้ งกนั ได้ ความเห็นเรื่องการใชท้ ่นี ่ังเฉพาะส�ำหรับเดก็ เพอื่ ชนั้ ปสี าม 18 คน (รอ้ ยละ 35.3) พเ่ี ล้ยี งเด็ก 7 คน (รอ้ ยละ 13.7) โดยสารรถยนตอ์ ยา่ งปลอดภยั การอมุ้ เดก็ ทารกไวก้ บั ตวั เมอื่ โดยสาร กลมุ่ อาชพี อื่นๆ 5 คน (รอ้ ยละ 9.8) ไดแ้ ก่ นักกายภาพบำ� บัด 2 คน รถจกั รยานยนต์ พยาบาล 2 คน นิสติ ครฝู กึ สอน 1 คน ส่วนใหญ่จบการศึกษาระดบั ปริญญาตรี 28 คน (ร้อยละ 54.9) รองลงมาคือ มธั ยมศึกษาตอน ปลาย 13 คน (ร้อยละ 25.5) 100 | วารสารกรมการแพทย์

ตารางที่ 1 ขอ้ มูลพน้ื ฐานของกลุ่มตวั อยา่ งผ้เู ขา้ รว่ มกิจกรรมปอ้ งกันอบุ ัติเหตุ (n = 51) จ�ำนวน (ร้อยละ) ข้อมูลพ้ืนฐานของกลมุ่ ตวั อยา่ ง 10 (19.6) เพศ 41 (80.4) ชาย 25 (49.0) หญงิ 18 (35.3) อายุ 8 (15.7) £ 25 ปี 26 – 40 ปี 1 (1.9) ³ 41 ปี 7 (13.7) ระดบั การศึกษา 28 (54.9) ปริญญาเอก 1 (1.9) ปริญญาโท 13 (25.5) ปรญิ ญาตรี 1 (1.9) ปวช., ปวส. มธั ยมศึกษาตอนปลาย ประถมศึกษาตอนปลาย ความรแู้ ละทศั นคตใิ นการปอ้ งกนั อบุ ตั เิ หตใุ นเดก็ เลก็ กอ่ น 1-3 ปี ให้เลือกระหว่าง ลูกแก้ว ลูกโป่ง ลูกบอล กีตาร์ท่ีมีสาย และหลังรว่ มกิจกรรมเรยี นรู้ คลอ้ งคอ ค�ำถามประเมินทัศนคติ 7 ข้อ มคี ะแนนข้อละ 3 คะแนน จากแบบสอบถามประเมนิ ความรู้ 10 คะแนน และ ประเมนิ เม่ือคิดคะแนนเป็นร้อยละ พบว่าผู้มาอบรมมีค่าเฉล่ียคะแนน ทัศนคติ 21 คะแนน พบว่าก่อนเข้าร่วมกิจกรรมผู้มาอบรมมีช่วง ทัศนคติต่อค�ำถามแต่ละข้อแตกต่างกันตั้งแต่ร้อยละ 45.10-85.62 คะแนนความรู้ 5.10-6.57 คะแนน (รอ้ ยละ 51.0-65.7) ชว่ งคะแนน ขอ้ ทมี่ คี ะแนนทศั นคตนิ ้อยกว่าร้อยละ 50 มี 1 ขอ้ คือ ความคิดเห็น ทศั นคติ 11.87-15.35 คะแนน (รอ้ ยละ 56.5-73.1) คา่ เฉลย่ี คะแนน เรอื่ งการใช้ห่วงยางเล่นนำ�้ ชว่ ยให้ปลอดภยั จากการจมน�้ำ มีคะแนน ความรู้ 5.71 คะแนน (รอ้ ยละ 57.1) คา่ เฉลย่ี คะแนนทศั นคติ 15.35 ทัศนคติท่ีเหมาะสมเพียงร้อยละ 45.1 ข้อที่มีคะแนนทัศนคติมาก คะแนน (ร้อยละ 73.1) เมื่อคิดคะแนนเป็นร้อยละพบว่าหมวด ทีส่ ุดรอ้ ยละ 85.62 คอื ความเห็นเรื่องการใชท้ ่ีน่งั เฉพาะส�ำหรบั เดก็ อบุ ตั เิ หตจุ มนำ�้ มคี ะแนนนอ้ ยกวา่ คะแนนเฉลยี่ รวม คอื คะแนนความรู้ เพือ่ โดยสารรถยนตอ์ ย่างปลอดภัย รอ้ ยละ 51.50 คะแนนทศั นคติร้อยละ 56.50 หลังเข้าร่วมกิจกรรม ผู้มาอบรมมีค่าเฉล่ียคะแนนความรู้ ค�ำถามประเมินความรู้แต่ละข้อมีผู้ตอบถูกแตกต่างกัน 8.82 คะแนน (รอ้ ยละ 88.2) เพม่ิ ขนึ้ จากกอ่ นกจิ กรรม 3.12 คะแนน ตัง้ แต่ 6-50 คน (ร้อยละ 11.8 - 98.0) โดยเฉล่ยี มผี ตู้ อบถูกขอ้ ละ (รอ้ ยละ 31.2) คา่ เฉลย่ี คะแนนทศั นคติ 18.90 คะแนน (รอ้ ยละ 90.0) 29.1 คน (ร้อยละ 58.2) ข้อค�ำถามที่มีจ�ำนวนผู้ตอบถูกน้อยกว่า เพิ่มขนึ้ 3.55 คะแนน (รอ้ ยละ 16.9) และทำ� คะแนนเฉลี่ยทง้ั ความรู้ รอ้ ยละ 50 มี 3 ขอ้ คอื ค�ำถามเรอื่ งหลักการช่วยเหลือเบอ้ื งต้นเมอื่ และทัศนคติเพ่ิมข้ึนมากกว่าก่อนเข้าร่วมกิจกรรมอย่างมีนัยส�ำคัญ เดก็ จมน�้ำ มผี ูต้ อบถูก 6 คน (ร้อยละ 11.76) ความเหมาะสมของ ทางสถิติในทุกหัวข้อ (p <0.001) โดยหัวข้อการป้องกันอุบัติเหตุ การใชร้ ถหัดเดนิ แบบท่ีมีลูกลอ้ มผี ตู้ อบถูก 7 คน (รอ้ ยละ 13.73) จมนำ้� มคี า่ คะแนนเฉลี่ยความร้เู พม่ิ ขึ้นรอ้ ยละ 41 และทศั นคตเิ พิ่ม และการจัดท่ีน่ังโดยสารรถยนต์ส�ำหรับเด็กอายุ 1 ปี มีผู้ตอบถูก ขึน้ รอ้ ยละ 24.17 ซ่ึงเพิ่มข้นึ มากกว่าหมวดกจิ กรรมอบุ ัติเหตจุ ราจร 22 คน (ร้อยละ 43.14) ขอ้ ท่ีมผี ้ตู อบถูกจ�ำนวนมากท่สี ดุ คือ 50 คน และอบุ ัตเิ หตภุ ายในบ้านตามล�ำดบั (ตารางที่ 2) (รอ้ ยละ 98.0) ไดแ้ ก่ คำ� ถามเกยี่ วกบั ของเลน่ ทเี่ หมาะสมกบั เดก็ อายุ ปที ่ ี 45  ฉบับที่ 2  เมษายน - มถิ ุนายน 2563 | 101

ตารางที่ 2 ผลค่าเฉลี่ยคะแนนความรู้และทัศนคติก่อนและหลังเข้าร่วมกิจกรรมเพ่ือป้องกันอุบัติเหตุในเด็กเล็กตามหมวดกิจกรรม ด้วย สถติ ิ paired t-test (n = 51) คะแนนความร/ู้ ทัศนคติ Pre-test Post-test Difference 95% CI p-value การปอ้ งกนั อบุ ัติเหตุ Mean Score % Mean Score % Mean Score % แยกตามหมวดกิจกรรม 1.36, 1.93 <0.001 (SD) (SD) (SD) 0.51, 0.94 <0.001 ความรู้ 0.49, 1.00 <0.001 - อบุ ตั เิ หตุจมน้ำ� 2.06 51.50 3.70 92.60 1.64 41.10 2.63, 3.61 <0.001 (0.84) (0.54) (1.07) (4 คะแนน) 1.02 51.00 1.75 87.40 0.73 36.50 0.88, 2.03 <0.001 - อุบัติเหตุจราจร (0.79) (0.48) (0.08) 1.15, 1.83 <0.001 2.63 65.70 1.69 84.30 0.74 18.60 0.32, 0.90 <0.001 (2คะแนน) (0.82) (0.35) (0.91) 2.75, 4.35 <0.001 - อบุ ตั เิ หตุภายในบ้าน 5.71 57.10 8.82 88.20 3.12 31.20 (1.53) (1.07) (1.73) (4 คะแนน) - คะแนนรวมความรู้ 3.39 56.50 4.84 80.70 1.45 24.17 (1.70) (1.51) (2.04) (10 คะแนน) 7.00 77.80 8.49 94.30 1.49 16.60 ทศั นคติ (1.30) (0.84) (1.21) - อุบตั ิเหตจุ มน้ำ� 4.96 82.70 5.57 92.80 0.61 10.17 (0.91) (0.73) (3.63) (6 คะแนน) 15.35 73.10 18.90 90.00 3.55 16.90 - อุบตั ิเหตจุ ราจร (2.52) (2.2) (2.81) (9คะแนน) - อุบัตเิ หตุภายในบ้าน (6 คะแนน) - คะแนนรวมทศั นคติ (21คะแนน) ผลคา่ เฉลย่ี คะแนนความรแู้ ละทศั นคตกิ ารปอ้ งกนั อบุ ตั เิ หตุ นสิ ิตแพทย์ (รอ้ ยละ 12.2) ตามลำ� ดบั (ตารางท่ี 3) ในเดก็ เล็ก แบง่ ตามกลุ่มอาชพี 3 กลุม่ ได้แก่ อาชพี ครู นสิ ติ แพทย์ คะแนน ความรู้และทัศนคติก่อนและหลังร่วมกิจกรรม และ ​อาชีพอื่นๆ ซึ่งรวมอาชีพทางสาธารณสุขและการศึกษาท่ี เกยี่ วขอ้ งกบั การดแู ลเดก็ เขา้ ไวด้ ว้ ยกนั กบั อาชพี พเ่ี ลย้ี งเดก็ เนอ่ื งจาก ระหว่ างอาชีพต่างๆ จากการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว ลกั ษณะการท�ำงานเปน็ งานท่ีเก่ียวขอ้ งกับการดูแลเด็กเชน่ เดยี วกัน (One- way ANOVA) พบว่าก่อนร่วมกิจกรรมผลคะแนนเฉลี่ย อาชีพ ที่มีคะแนนเฉล่ียความรู้เพ่ิมข้ึนหลังได้รับการฝึกอบรมมาก ทั้งหมวดความรแู้ ละทัศนคตริ ะหว่างกลุ่มอาชีพครู อาชพี อน่ื ๆ และ ท่ีสุ ด คือ อาชีพอื่นๆทางสาธารณสุขและการศึกษาท่ีเก่ียวข้องกับ นิสิต แพทย์ชั้นปีที่สาม ไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยส�ำคัญ การดูแลเดก็ รวมถงึ พ่ีเลี้ยงเด็ก (ร้อยละ 40.0) รองลงมาได้แก่ ครู ทางสถิติ แต่หลังจากเข้าร่วมกิจกรรมพบว่า อาชีพครูและอาชีพ (รอ้ ยละ 36.2) และนิสติ แพทย์ (รอ้ ยละ 19.4) ตามลำ� ดับ อาชีพท่ี อื่นๆ มีคะแนนเฉล่ียความรู้เพ่ิมขึ้นมากกว่ากลุ่มนิสิตแพทย์ช้ัน มคี ะแนนเฉล่ียทัศนคตเิ พ่มิ ขึ้นหลังไดร้ บั การฝึกอบรมมากทสี่ ดุ คอื ปีสาม อย่างมีนัยส�ำคัญทางสถิติ ส่วนคะแนนเฉลี่ยทัศนคติเพิ่มขึ้น ครู (ร้อยละ 20.2) รองมาไดแ้ ก่ กลมุ่ อาชีพอนื่ ๆ (รอ้ ยละ 18.3) และ ไม่แตกตา่ งกนั 102 | วารสารกรมการแพทย์

ตารางท่ี 3 ผลค่าเฉลี่ยคะแนนความรแู้ ละทศั นคตกิ ารปอ้ งกันอุบัตเิ หตุในเดก็ เล็ก ตามกลุ่มอาชีพ ดว้ ยสถิติ One-way ANOVA (n = 51) แบบประเมิน อาชีพ จำ� นวน Pre-test Post-test % Mean Pairwise การปอ้ งกัน ครู (คน) Mean Score Mean Score Difference Ref. อุบตั ิเหตุ นิสิตแพทย์ ความรู้ (SD) (SD) (SD) 1.67* (0.69, 2.65) (10 คะแนน) 9.33 (0.73) 36.19 -0.38 (-1.49, 0.73) 21 5.71 (1.71) 7.89 (0.96) (14.31) 9.33 (0.78) 19.44 Ref. 18 5.94 (1.47) 19.48 (2.58) (16.62) 1.68 (-0.11, 3.47) 18.39(1.61) 40.00 0.40 (-1.61, 2.42) อนื่ ๆทางสาธารณสขุ / 12 5.33 (1.30) 18.67 (2.27) (14.77) ศึกษาและพ่เี ลี้ยงเด็ก 20.18 (11.94) ทศั นคติ ครู 21 15.24 (2.43) 12.17 (21 คะแนน) (16.10) 18.25 นิสติ แพทย์ 18 15.83 (2.85) (9.91) อื่นๆทางสาธารณสุข/ 12 14.83 (2.17) ศกึ ษาและพเี่ ลยี้ งเดก็ ผลการวิเคราะห์เนื้อหาความคิดเห็นของผู้ร่วมกิจกรรมต่อ 1. ความรู้: ได้เรียนรู้สาเหตุ ลักษณะการเกิดอุบัติเหตุ ส่ิงที่ได้เรียนรู้จากกิจกรรม ในช่วงทบทวนหลังจบกิจกรรมโดยใช้ แนวทางปอ้ งกัน วิธีการชว่ ยเหลือเบ้ืองต้นเม่อื เกดิ เหตุ ค�ำถามปลายเปิดถึงสิ่งที่ได้เรียนรู้จากการเข้าร่วมกิจกรรมตามฐาน ต่างๆ พบว่าข้อความที่สื่อถึงสิ่งที่ผู้ร่วมกิจกรรมได้รับจากการฝึก 2. ทัศนคต:ิ รสู้ กึ เขา้ ใจ ชัดเจน เห็นประโยชน์ ตระหนัก ถึง อบรมส่วนใหญ่เป็นในแง่ท่ีได้รับความรู้และทักษะน�ำไปใช้ได้จริง อันตรายจากอุบัติเหตุซ่ึงเป็นเรื่องใกล้ตัว ความส�ำคัญของการจัด นา่ สนใจ อุปกรณก์ ารปอ้ งกันอุบัตเิ หตบุ างอันไม่เคยเห็น อนั ตรายมี เตรยี มการปอ้ งกนั อุบัติเหตแุ ละการช่วยเหลอื อยู่ทุกแหง่ และสามารถปอ้ งกนั ได้ ผูเ้ ขา้ ร่วมกจิ กรรมส่วนใหญแ่ สดง ความคิดเห็นในประเด็นตา่ งๆ โดยสรุปดังนี้ 3. ทักษะปฏิบัติ: มีแนวโน้มน�ำทักษะที่ได้เรียนรู้ไปปฏิบัติ และประยุกต์ใชใ้ นชวี ติ ประจ�ำวัน ดงั ตวั อยา่ งขอ้ ความตอ่ ไปน้ี ประเด็น ตวั อยา่ งขอ้ ความ 1. ความรู้ อุบัติเหตุจมน้�ำ “รจู้ ักวธิ กี ารป้องกนั การจมน้�ำ รู้จกั อปุ กรณป์ อ้ งกนั การจมน�ำ้ ร้จู ักวิธีการช่วยเหลือเดก็ จมน้ำ� และ รวู้ ธิ กี ารชว่ ยเหลอื เบือ้ งตน้ ในการชว่ ยชีวิต” “ได้ความรูเ้ รือ่ งการสาธิตการชว่ ยเหลือเด็กจมน�้ำ สาเหตทุ ท่ี �ำให้เดก็ จมนำ้� ” “ทงั้ ภาคทฤษฎี และภาคปฏบิ ตั ิ ท�ำให้เหน็ ภาพชัดเจน เกิดองค์ความรู้ที่สามารถน�ำไปปฏิบัติได”้ อบุ ตั เิ หตจุ ราจรทางบก “การปอ้ งกนั อบุ ัตเิ หตุ การเลอื กท่ีนัง่ แกเ่ ดก็ ในแต่ละช่วงอายุและความเหมาะสม” “ไดร้ จู้ ักการปอ้ งกันการเกิดเหตุจราจรทางบก เช่น รถยนต์ รถจกั รยานยนต์” อบุ ัติเหตุภายในบ้าน “รจู้ ักอุปกรณ์ป้องกนั อบุ ตั เิ หตใุ นบ้าน รู้วธิ ีปอ้ งกันอุบตั ิเหตแุ ละรู้จกั อนั ตรายที่จะสามารถเกดิ ขึน้ ในบ้านไดม้ ากข้นึ ” “ได้ทราบและเหน็ ตวั อยา่ งอุปกรณ์การป้องกนั อุบตั เิ หตภุ ายในบา้ น ที่ไม่เคยร้มู าก่อน” “ได้รู้จกั การปอ้ งกนั อุบัติเหตุต่างๆ ภายในบ้านของเด็ก ทำ� ให้รวู้ ่าไม่ควรมองข้ามส่งิ เล็กๆ และสิ่งท่ีอยู่ใกล้ตัว” ปที ่ ี 45  ฉบบั ท่ ี 2  เมษายน - มิถนุ ายน 2563 | 103

ประเดน็ ตวั อยา่ งขอ้ ความ 2. ทัศนคติ อบุ ตั เิ หตจุ มนำ้� “ทโ่ี รงเรยี นมีสระว่ายนำ�้ ท�ำให้เรยี นรู้ว่า การปฐมพยาบาลเบื้องต้นจ�ำเป็นและสำ� คญั มาก เพราะถ้าเกิดเหตกุ ารณ์ จริงจะรอรถพยาบาลอย่างเดียวอาจจะไม่ทัน” อบุ ตั เิ หตุจราจรทางบก “อปุ กรณ์ท่ีใชป้ ระกอบการสาธติ ชว่ ยให้ได้ทดลองปฏบิ ตั ิ ท�ำใหน้ ึกถึงความปลอดภยั และเห็นประโยชน์จริง ในการ อุบตั ิเหตุภายในบ้าน ดูแลคนใกล้ชิดได้มาก” “ตระหนักเรอ่ื งการจดั เตรียม ป้องกันอบุ ตั เิ หตทุ เี่ กิดโดยไมร่ ้ตู วั ” 3. ทักษะปฏบิ ตั ิ “อนั ตรายมีอยทู่ ุกแหง่ และสามารถป้องกันได”้ “มีความระมดั ระวงั กับสิง่ ทจ่ี ะเกิดข้ึนภายในบ้าน มีความปอ้ งกันความปลอดภัยของคนในบา้ น รบั มือกับสง่ิ ท่ีจะเกดิ ขึ้น เช่น อบุ ัติเหต”ุ “สง่ิ ไดท้ ำ� ในกิจกรรม คือเร่ืองจริงในชีวิตประจ�ำวนั สามารถน�ำไปใช้ได้” “ไดเ้ รียนรวู้ ่าเป็นเรือ่ งใกล้ตวั ท่ีไม่ทราบมาก่อน เกิดการเรยี นรู้ใหม่ จะไปแนะน�ำผู้ปกครองให้เลือกใช้ให้เหมาะสม” วจิ ารณ์ ช่วยส่งเสริมพัฒนาการการเดิน ผดู้ ูแลตอ้ งอย่ใู กล้ชดิ ตลอดเวลา ใน ผลการศกึ ษาแสดงขอ้ มลู ความรแู้ ละทศั นคตติ อ่ การปอ้ งกนั ประเทศแคนาดา ออสเตรเลยี และบางรฐั ในสหรฐั อเมรกิ ามกี ฎหมาย ห้ามจ�ำหน่ายรถหัดเดิน2 นอกจากนี้มีรายงานการศึกษาเรื่องการ อุบัติเหตุในเด็กเล็กของกลุ่มตัวอย่างผู้เข้าร่วมกิจกรรม พบว่ายัง รับรู้ของผู้ปกครองเก่ียวกับความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุภายใน ต้องการพฒั นาความรู้และทัศนคติ โดยเฉพาะหัวข้ออุบตั เิ หตุจมน�้ำ บ้านของเด็กอายุน้อยกว่า 6 ปี ที่มาตรวจท่ีรักษาท่ีคลินิกเด็กของ กลุ่มตัวอย่างยังขาดความรู้และทัศนคติท่ีเหมาะสมมากกว่าหัวข้อ ประเทศไทย แสดงถงึ การรบั รตู้ อ่ อนั ตรายทปี่ อ้ งกนั ไดใ้ นเดก็ ยงั มอี ยู่ อ่ืน สอดคลอ้ งกับสถติ ิการเสยี ชวี ิตจากอบุ ตั เิ หตใุ นเด็กอายุ 0-5 ปมี ี นอ้ ย6 การขาดความรแู้ ละทศั นคตทิ เี่ หมาะสมในการปอ้ งกนั อบุ ตั เิ หตุ สาเหตุจากการจมน�้ำเป็นอันดับหนึ่ง1-2 การให้ความรู้เร่ืองการช่วย ในเดก็ เปน็ ปจั จยั สำ� คญั ทส่ี มั พนั ธก์ บั พฤตกิ รรมการใชช้ วี ติ ประจำ� วนั เหลือกู้ชีพเบื้องต้นเมื่อเด็กจมน้�ำและการป้องกันการจมน้�ำเป็น ที่เส่ยี งต่อการเกดิ อบุ ตั ิเหตุ ควรสนบั สนุนใหผ้ ปู้ กครองมีความรแู้ ละ หัวข้อการให้ความรู้ที่ควรมุ่งเน้นส่งเสริมต่อไป เช่น เร่ืองการจัด ตระหนกั ในอนั ตรายจากอุบัติเหตุเพ่ิมขึ้น2-6 สิ่งแวดล้อมในบ้านและรอบบ้านให้ปลอดภัยจากการจมน้�ำ การ ดูแลเด็กท่ีเล่นน�้ำ เด็กวัยต่�ำกว่า 3 ปีจ�ำเป็นต้องให้เด็กอยู่ในระยะ การให้ความรู้เร่ืองการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุในเด็กเล็กแก่ มองเห็นและสามารถคว้าถึงตัวเด็กได้ตลอดเวลา การใช้ห่วงยาง ผู้ดูแลและครอบครัว ให้มีความรู้ ทัศนคติ ค่านิยม จนกระท่ังเกิด ลอยตวั ซงึ่ ไมไ่ ดถ้ กู ออกแบบมาเพอ่ื ใหเ้ กดิ ความปลอดภยั ในการวา่ ยนำ้� การปรบั เปลย่ี นพฤติกรรมที่น�ำไปสู่การปอ้ งกันอุบัติเหตุในเดก็ เปน็ อาจมีลมรั่วแฟบได้ ดงั นั้นการใชห้ ว่ งยางเลน่ น้�ำจึงไมช่ ่วยท�ำให้เกิด แนวทางการป้องกันอุบัติเหตุในเด็กท่ีได้ประสิทธิภาพ2-4 ผลการ ความปลอดภัยจากการจมน�้ำ ควรใช้เส้ือชูชีพเพ่ือความปลอดภัย ศกึ ษานแี้ สดงถงึ ตวั อยา่ งการจดั กจิ กรรมใหค้ วามรเู้ รอื่ งการบาดเจบ็ เมือ่ ต้องทำ� กจิ กรรมทางน้ำ� 5 สำ� หรับหัวขอ้ อุบัติเหตจุ ราจร แม้กลมุ่ จากอบุ ตั เิ หตใุ นเดก็ เลก็ ในประเทศไทยทปี่ ระสบผลสำ� เรจ็ โดยเฉพาะ ตวั อยา่ งจะมที ศั นคตทิ ด่ี ตี อ่ การใชท้ นี่ ง่ั นริ ภยั แกเ่ ดก็ ในรถยนตแ์ ตย่ งั ในกลุ่มผู้ท่ีท�ำหน้าท่ีดูแลเด็กเล็กโดยตรง รายงานการศึกษาในต่าง ขาดความรู้เรื่องการใช้ท่ถี ูกต้องซ่งึ จะส่งผลต่อการนำ� ไปใชจ้ รงิ การ ประเทศพบว่าการใหค้ วามรมู้ ีหลายวธิ ที ่ีไดป้ ระสทิ ธิภาพ ได้แก่ ให้ ส่งเสริมการใช้งานท่ีนั่งนิรภัยส�ำหรับเด็กในรถยนต์อย่างถูกต้องจะ ค�ำปรึกษาและให้ความรู้แก่ผู้ปกครองเป็นรายกลุ่มหรือรายบุคคล ทำ� ให้เกดิ ความปลอดภยั มากขน้ึ เช่น เด็กอายุนอ้ ยกว่า 1 ปี ควรจดั วธิ บี รรยาย ให้ค�ำปรกึ ษา สอนในสภาพบ้านจำ� ลองเสมอื นจริง การ วางท่ีน่ังให้อยู่ด้านหลังและหันหน้าออกไปทางด้านหลังรถ2 หัวข้อ เยี่ยมบา้ น ปรบั ปรงุ สภาพแวดลอ้ มความปลอดภยั ภายในบ้าน แจก เรื่องอุบัติเหตุในบ้าน กลุ่มตัวอย่างมีความรู้เร่ืองการใช้รถหัดเดิน เอกสารเผยแพรป่ ระเภทคมู่ อื แผ่นพับ วดี ีโอและโปสเตอร์ สถานที่ อยู่น้อยมาก รถพยุงตวั หรือรถหดั เดนิ (infant walker) ทำ� ให้เกิด จดั กิจกรรม เช่น สถานพยาบาล คลนิ กิ สุขภาพเด็กดี ศูนยเ์ ล้ียงเด็ก การบาดเจ็บพลัดตกหกล้ม พลิกคว�่ำเมื่อเคลื่อนท่ีผ่านพื้นท่ีมีความ ในชุมชน และบ้านพักอาศัยของเด็ก ผู้ด�ำเนินการให้ความรู้ เป็น ต่างระดับ เคลื่อนเข้าสู่จุดอันตรายท่ีท�ำให้เกิดการกระแทก จมน�้ำ บุคลากรสุขภาพหรืออาสาสมัครที่ผ่านการอบรม ระยะเวลาของ หรือนำ้� ร้อนลวก และยังพบวา่ ร้อยละ 10.8 ของเดก็ ทีใ่ ชร้ ถหัดเดนิ โปรแกรม 1 วัน ถึง 6 เดอื น มกี ารวดั ผลลพั ธก์ ิจกรรมจากความรู้ ประจ�ำมีพัฒนาการด้านการเดินล่าช้า ไม่เหมาะกับการใช้กับเด็ก ทัศนคติ การเปลี่ยนแปลงพฤตกิ รรม อัตราการใชอ้ ุปกรณเ์ พ่อื เสริม ทกุ วยั ทำ� ใหป้ ระเทศไทย สำ� นกั งานคมุ้ ครองผบู้ รโิ ภคประกาศเปลย่ี น สร้างความปลอดภัย อัตราการเกิดอุบัติเหตุในเด็ก โดยมีแนวโน้ม ชื่อเรียกรถหัดเดินเป็นรถพยุงตัว และมีค�ำเตือนว่าเป็นอุปกรณ์ไม่ วัดผลในระยะส้ัน ส่วนการวัดผลระยะยาวท�ำได้ยาก7-10 การจัด 104 | วารสารกรมการแพทย์

กจิ กรรมเหลา่ นม้ี ปี จั จยั สนบั สนนุ ใหป้ ระสบผลสำ� เรจ็ เชน่ การเยยี่ ม ขอ้ เสนอแนะ บ้านท่ีให้ความรู้ร่วมกับการจัดส่ิงแวดล้อมให้เหมาะสม ชุมชนมี อุบัติเหตุจมน�้ำเป็นหัวข้อท่ีกลุ่มผู้เข้าร่วมกิจกรรมขาด สว่ นรว่ ม การส่อื สารทใี่ ช้ข้อความกระชบั เฉพาะเจาะจง การจัดหา อุปกรณเ์ พ่อื ป้องกนั อุบตั ิเหตใุ ห้ มคี า่ ตอบแทน เปน็ ต้น สำ� หรับขอ้ ความรแู้ ละทศั นคตทิ เี่ หมาะสม และเมอื่ ผา่ นการเรยี นรแู้ ลว้ สามารถ จำ� กดั ของการเขา้ รว่ มกจิ กรรม ไดแ้ ก่ การจดั กจิ กรรมทยี่ งุ่ ยาก สภาพ เพิ่มคะแนนความรู้และทัศนคติได้มาก การให้ความรู้ควรมุ่งเน้น สังคมวัฒนธรรม เศรษฐฐานะ การยา้ ยถน่ิ ฐานบอ่ ย11 ความรูเ้ ร่อื งอบุ ัตเิ หตุจมน�ำ้ มากกวา่ หมวดความร้อู นื่ รูปแบบการให้ความรู้เพ่ือป้องกันอุบัติเหตุในการศึกษาน้ี การจัดกิจกรรมบรรยายต่อด้วยฐานให้ความรู้โดยสาธิต เร่ิมจากสร้างการรับรู้ถึงภัยอันตรายท่ีอาจเกิดขึ้นซึ่งเป็นตัวผลักดัน วิธีการป้องกันอุบัติเหตุในสถานการณ์เสมือนจริง และจัดให้กลุ่ม ให้ผู้ร่วมกิจกรรมพัฒนาความรู้จากฐานกิจกรรมต่างๆ ซ่ึงสามารถ ผู้ร่วมกิจกรรมมีโอกาสทบทวนแลกเปล่ียนความคิดเห็นร่วมกัน ปฏิบัติได้จริง น�ำไปสู่ความพยายามแก้ปัญหาท่ีเป็นอุปสรรคต่อ เป็นรูปแบบท่ีดี สามารถใช้เป็นตัวอย่างการจัดกิจกรรมท่ีท�ำให้เกิด การจัดการป้องกันอุบัติเหตุในบริบทต่างๆ สอดคล้องกับแนวคิด ผลส�ำเร็จในการเรียนรู้ การประเมินความรู้และทัศนคติก่อนและ การเสริมสร้างพลังอ�ำนาจของกิบสันท่ีน�ำมาประยุกต์ใช้ส่งเสริม หลังกิจกรรมท�ำให้ทราบประสิทธิผลการให้ความรู้ การศึกษาเพ่ิม พฤตกิ รรมผดู้ แู ลเดก็ ในการปอ้ งกนั การบาดเจบ็ จากอบุ ตั เิ หตแุ กเ่ ดก็ 12 เติมประเมินผลซ้�ำและประเมินผลระยะยาว เช่น การคงอยู่ของ ความรู้ การน�ำความรู้ไปใช้จริง อัตราการเกิดอุบัติเหตุในเด็กเล็ก แนวทางการให้ความรู้เป็นรายกลุ่ม และจัดให้มีการแลก ในกลุ่มผู้ท่ีได้เข้าร่วมกิจกรรมรับความรู้จะท�ำให้ทราบประสิทธิผล เปล่ียนเรียนรู้ อาจเป็นปัจจัยท่ีส่งผลต่อความส�ำเร็จในการเรียนรู้ การให้ความรู้ที่ชัดเจนขึ้น และการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อประเมินว่า ได้ ดังเช่นรายงานการศึกษากิจกรรมการจัดส่ิงแวดล้อมให้เหมาะ กระบวนการใดมีความส�ำคัญ ส่งผลต่อประสิทธิภาพการเรียนรู้ สมต่อการป้องกันอุบัติเหตุในเด็กเล็กของศูนย์เด็กเล็ก 14 ศูนย์ เป็นประโยชน์ต่อการวางแผนให้ความรู้ต่อไป เช่น ทดสอบความรู้ ท่ีจังหวัดสุราษฎร์ธานี พบว่าการมีส่วนร่วม แลกเปลี่ยนอภิปราย ก่อนและหลงั ท�ำกิจกรรม การบรรยาย การเรยี นรจู้ ากฐานกจิ กรรม ความเห็นระหว่างผู้ดูแลเด็กในศูนย์เด็กเล็กเดียวกันและระหว่าง สาธติ อปุ กรณ์ จำ� ลองสถานการณเ์ สมอื นจรงิ หรอื ทบทวนการเรยี นรู้ ศูนย์ ท�ำให้ความรู้และตระหนักในการป้องกันอุบัติเหตุในเด็กเพ่ิม หลังจบกิจกรรม มากขน้ึ 13 ผู้ทำ� งานเกีย่ วกับการดแู ลเด็กเป็นกลมุ่ เปา้ หมายที่ประสบ ขอ้ จำ� กดั ผลส�ำเร็จในการเรียนรู้ได้มาก ดังในการศึกษานี้เมื่อเปรียบเทียบ ระหว่างกลุม่ อาชีพ ผ้ทู ท่ี �ำงานเกีย่ วกบั การดูแลเด็กปฐมวยั เชน่ ครู กลุ่มตัวอย่างที่น�ำมาศึกษามีจ�ำนวนน้อยกว่าผู้เข้าร่วม และอาชีพอืน่ ๆ เชน่ พ่เี ลี้ยงเดก็ พยาบาล นักกายภาพบำ� บดั หลงั กิจกรรมจริงค่อนข้างมาก เน่ืองจากแบบสอบถามไม่ระบุชื่อผู้ตอบ ผา่ นกจิ กรรมมคี ะแนนความรเู้ พมิ่ ขน้ึ มากกวา่ นสิ ติ แพทยช์ น้ั ปที สี่ าม ซึ่งท�ำให้ผู้ตอบแบบประเมินให้ค�ำตอบที่ตรง แต่เกิดข้อจ�ำกัดใน โดยที่นิสิตแพทย์ผู้เข้าร่วมกิจกรรมอาจต้องท�ำหน้าที่ช่วยอ�ำนวย การเช่ือมโยงแบบสอบถามก่อนและหลังกิจกรรมของผู้เข้าร่วม ความสะดวกในการด�ำเนินกิจกรรมด้วยจึงอาจส่งผลให้มีการเรียน กจิ กรรมใหเ้ ปน็ ของคนเดยี วกนั ดงั นนั้ ควรเตรยี มแบบสอบถามกอ่ น รู้ได้ไม่เต็มท่ี และมีความสนใจในเน้ือหาของการเรียนรู้น้อยกว่า และหลังกิจกรรมให้มีการเชื่อมโยงข้อมูลของผู้ตอบเพ่ือให้สามารถ กลมุ่ ผทู้ ม่ี สี ว่ นในการดแู ลเดก็ โดยตรง ผลลพั ธจ์ งึ ดอ้ ยกวา่ กลมุ่ อาชพี เปรยี บเทยี บประสิทธิภาพของกิจกรรมได้ดียง่ิ ขนึ้ อ่ืน นอกจากนี้ผู้เขา้ ร่วมกิจกรรมทงั้ หมดเข้าร่วมกิจกรรมดว้ ยความ สมัครใจ สอดคล้องกับมีรายงานวิจัยกล่าวถึงความส�ำเร็จของผู้เข้า การศึกษาน้ีเป็นการศึกษาย้อนหลังจากกิจกรรมให้ความรู้ รว่ มโครงการปอ้ งกนั อบุ ตั เิ หตุ เปน็ กลมุ่ ผทู้ มี่ ารว่ มโครงการดว้ ยความ การป้องกนั อุบตั เิ หตทุ ่จี ัดขึน้ แกผ่ สู้ นใจ จำ� นวนกล่มุ ตัวอยา่ งท่นี ำ� มา สมัครใจ มากกวา่ ผทู้ ่เี ข้ารว่ มกจิ กรรมตามเกณฑค์ ดั เลือกเขา้ มา14 ศึกษามีจ�ำนวนน้อย ประกอบด้วยผู้ที่ท�ำงานดูแลเด็กรวมกับนิสิต แพทย์ซึ่งไม่ได้มีประสบการณ์การดูแลเด็ก ผลความรู้และทัศนคติ การจัดกิจกรรมให้ความรู้เพื่อป้องกันอุบัติเหตุในเด็กและ ของกลมุ่ ตวั อยา่ งน้อี าจมีความแตกตา่ งจากกลมุ่ ตวั อยา่ งโดยท่ัวไป เผยแพร่ความรู้ในวงกว้างต่อไปในอนาคต การวางแผนประเมิน สรุป ผลลัพธ์การเรียนรู้ในระยะยาว ต้องอาศัยทีมและอุปกรณ์ค่อนข้าง มาก มีค่าใช้จ่ายสูง การมีทีมงานและงบประมาณท่ีเพียงพอเป็น ผู้เข้าร่วมกิจกรรมหลังผ่านกิจกรรมเรียนรู้การป้องกัน ปจั จยั ทสี่ ง่ ผลใหก้ ารจดั โปรแกรมเพอื่ ปอ้ งกนั อบุ ตั เิ หตใุ นเดก็ ประสบ อุบัติเหตุในเด็กปฐมวัย มีความรู้และทัศนคติที่เป็นประโยชน์ต่อ ความส�ำเร็จและมีการพัฒนาต่อไป15 ดังเช่นการประสานความ การป้องกันอุบัติเหตุมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหัวข้ออุบัติเหตุ ร่วมมือกับศูนย์วิจัยเพ่ือสร้างเสริมความปลอดภัยและป้องกันการ จมน�ำ้ การจัดกจิ กรรมแกผ่ เู้ รียนรายกลมุ่ ดว้ ยการบรรยายรว่ มกับ บาดเจ็บในเด็ก เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้และให้การสนับสนุนการจัด อบรมเชงิ ปฏบิ ตั กิ าร ทำ� ใหผ้ เู้ ขา้ รว่ มกจิ กรรมมคี า่ เฉลย่ี คะแนนความ กจิ กรรมเพื่อเผยแพรค่ วามรู้สง่ ผู้ดแู ลเด็กในการศกึ ษาน้ี รแู้ ละทศั นคตเิ พม่ิ ขนึ้ มากกวา่ กอ่ นเขา้ รว่ มกจิ กรรมอยา่ งมนี ยั สำ� คญั และแสดงความคดิ เหน็ วา่ ไดร้ บั ความรู้ มที ศั นคตทิ เี่ ปน็ ประโยชนต์ อ่ การปอ้ งกนั อบุ ตั เิ หตใุ นเดก็ ปฐมวยั มแี นวโนม้ นำ� ทกั ษะทไี่ ดเ้ รยี นรไู้ ป ปฏบิ ตั ิและประยกุ ต์ใชใ้ นชวี ติ ประจำ� วนั ปที  ี่ 45  ฉบับท ่ี 2  เมษายน - มถิ นุ ายน 2563 | 105

กิตติกรรมประกาศ เกบ็ ขอ้ มลู จากโครงการบรกิ ารวชิ าการเรอ่ื ง “อบุ ตั เิ หตใุ นเดก็ ปอ้ งกนั ขอขอบพระคุณศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัย ได้ถา้ ร้ทู นั และไมป่ ระมาท” ดร.วลั ลภ ใจดี รองคณบดีฝ่ายบัณฑติ ศึกษาและวิจัย คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา และ และป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะ ดร.พวงทอง อนิ ใจ พยาบาลวชิ าชพี ช�ำนาญการพิเศษ โรงพยาบาล แพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ท่ีช่วยถ่ายทอดองค์ความรู้ มหาวิทยาลยั บูรพา ทป่ี รกึ ษาโครงการวิจยั ทกี่ รุณาใหค้ ำ� แนะน�ำใน ร่วมด�ำเนินกิจกรรมป้องกันอุบัติเหตุในเด็กครั้งนี้ นายแพทย์สุริยา การศึกษามาตลอด โปรง่ นำ�้ ใจ ผอู้ ำ� นวยการโรงพยาบาลมหาวทิ ยาลยั บรู พา ทอ่ี นญุ าตให้ References 10. Liu X, Yang J, Chen X, Li L. Knowledge, attitudes and behaviors on child passenger safety among expectant 1. Plitponkarnpim A, Chinapa M. Trend of child injury and mothers and parents of newborns: A qualitative and drowning in Thailand, and child safety promotion initiative. quantitative approach. PloS one 2016; 11: e0146121. Southeast Asian J Trop Med Public Health 2014; 45: 50-2. 11. Ingram JC, Deave T, Towner E, Errington G, Kay B, Kendrick D. 2. Plitponkarnpim A. Chapter 10 Guidelines for enhancing safety Identifying facilitators and barriers for home injury prevention and preventing injury. In: Noipayak P, Piyasil W, Ningsanon interventions for pre-school children: a systematic review of W, Ungthavorn P. Guideline in child health supervision. 1st the quantitative literature. Health education research 2011; ed. Bangkok: Sapphasan; 2014. p 101-26. 27: 258-68. 3. Watson MC, Errington G. Preventing unintentional injuries in 12. Ngamsuoy A. Parental behavior enhancement toward children: successful approaches. Paediatr Child Health. 2016; childhood home accidental injury prevention. Nursing 26: 94-9. Journal 2018; 45: 253-60. 4. Patel D, Magnusen E, Sandell JM. Prevention of unintentional 13. Suwantip N, Witthayawirasak B. Using participatory action injury in children. Paediatrics and Child Health 2017 ; 27: research for injury prevention in child development centers, 420-6. Suratthani province. Kasetsart Journal-Social Sciences. 2018; 39: 98-104. 5. Denny SA, Quan L, Gilchrist J, McCallin T, Shenoi R, Yusuf S, et al. Prevention of Drowning. Pediatrics 2019 ; 143: e20190850. 14. Mytton J, Ingram J, Manns S, Stevens T, Mulvaney C, Blair P, et al. The feasibility of using a parenting programme for the 6. Sutchritpongsa S, Sangwisit S, Sonjaipanich S. Parental prevention of unintentional home injuries in the under-fives: awareness of household injury prevention: adequacy of a cluster randomised controlled trial. Health Technol Assess anticipatory guidance for well childcare. J Med Assoc Thai 2014; 18: 1-184. 2013; 96: 1531-5. 15. Chaudhary SS, Pan A, Pomerantz W, Miller B, Agarwal M. 7. Aomsin K, Yingrengreung S. A Systematic Review: Home Injury Pediatric Injury Prevention Programs Today: Identifying Prevention Program for Children Aged 0–5 Years. Journal of Markers for Success and Sustainability. Pediatrics 2018; Nursing and Health Care 2018; 36: 83-90. 141: 76. 8. Santagati G, Vezzosi L, Angelillo IF. Unintentional injuries in children up to six years of age and related parental knowledge, attitudes, and behaviors in Italy. J Pediatr. 2016 ; 177 : 267-72. 9. Nouman Y, Hussain M, Afzal M, Gilani SA. Effectiveness of health education among mothers to reduce unintentional home injuries of under-five year old children in rural community. Pak J of Public Health 2019; 9: 26-9. 106 | วารสารกรมการแพทย์

นิพนธต์ ้นฉบับ เป้าหมายการพัฒนาที่ยัง่ ยืนด้านสขุ ภาพในเอเชีย: การวิเคราะหจ์ ดั กลุ่ม ปจั จัยและการถดถอยพหุ ชัยพร สุชาตสิ นุ ทร พ.บ., สมุ าภรณ์ แซล่ ิม่ ศ.บ. กองยุทธศาสตรแ์ ละแผนงาน ส�ำนกั งานปลดั กระทรวงสาธารณสขุ อำ� เภอเมือง จงั หวัดนนทบรุ ี 11000 Abstract: The Health-related Sustainable Development Goals in Asia: Cluster, Factor, and Multiple Regression Analysis Suchatsoonthorn C, Sealim S Strategy and Planning Division, Office of the Permanent Secretary, Ministry of Public Health, Mueang Nonthaburi, Nonthaburi,11000 (E-mail: [email protected]) (Received: September 24, 2019; Revised: January 6, 2020; Accepted: March 3, 2020) Background: Sustainable Development Goals (SDGs) is used for the country development framework in the worldwide and for targeting of Thailand to be the one third in health development of Asia, life expectancy at birth (LE) and healthy life expectancy at birth (HALE) not less than 85 and 75 years in 2036 respectively under the Twenty- Year National Strategic Plan for Public Health (2017-2036). Objective: to study the health-related SDGs and overall health status of Thailand and Asia. Method: This study was cross- sectional descriptive study from secondary data of the health-related SDGs in 43 indicators, 9 goals including 4 life expectancy and health expenditure indicators in 47 countries of Asia in WHO’ world health statistic report 2019 by ranking and rating, clustering, factor and multiple regression analysis. Result: 1) Thailand was in top third 16 indicators (42.1%). For Thai’s HALE was 66.8 years in top third higher than average mean of Asia, LE was 75.5 years and current health expenditure per capita was 222 US$ in the middle third, while current health expenditure was 3.7% of GDP in the bottom third. 2) The clustering into 3 groups of 27 indicators, Thailand was in the moderate development level of the health-related SDGs consisted of 21 countries (44.7%). 3). The factor and multiple regression analysis, the results were as follows: the health-related analyzed to be 7 factors. In particular, the obtained factors were accounted for 75.7 percentage of the health-related SDGs which predicted to LE and HALE at 86.8 and 88.1 percentage respectively. Conclusion: This study could indicate the development status and make use of revising and inspecting, priority setting, prediction and integration with multi-transdisciplinary for the health and national development to meet the targeting efficiently. So, it needs to be developed as the tools of monitoring and evaluation system, and planning specifically and continuously. Keywords: Ranking and rating, Cluster and factor analysis, Multiple regression analysis, The health-related sustainable development goals, Asia บทคดั ย่อ ไทยมอี ายคุ าดเฉลย่ี เมอื่ แรกเกดิ ไมน่ อ้ ยกวา่ 85 ปี และอายคุ าดเฉลย่ี ภูมิหลัง: เป้าหมายการพัฒนาท่ีย่ังยืน (Sustainable ของการมสี ุขภาพดีไม่น้อยกว่า 75 ปี ภายในปี 2579 วัตถปุ ระสงค:์ เพื่อศึกษาสถานภาพเป้าหมายการพัฒนาท่ียั่งยืนด้านสุขภาพและ Development Goals-SDGs) ใช้เป็นกรอบการพัฒนาประเทศ สุขภาพภาพรวมของประเทศไทยในเอเชีย วิธีการ: เป็นงานวิจัย ระดับโลก และแผนยุทธศาสตร์ชาตริ ะยะ 20 ปี ดา้ นสาธารณสุข เชงิ พรรณนาแบบภาคตดั ขวาง วเิ คราะหข์ อ้ มลู ทตุ ยิ ภมู จิ ากรายงาน (พ.ศ. 2560-2579) ใหป้ ระเทศไทยเป็น 1 ใน 3 ของเอเชยี และคน ปีท ี่ 45  ฉบับท ี่ 2  เมษายน - มถิ นุ ายน 2563 | 107

สถิติสขุ ภาพขององคก์ ารอนามยั โลกปี 2562 มี SDGs ดา้ นสขุ ภาพ (Health-related SDGs) องค์การอนามัยโลก (World Health 43 ตัวชี้วัด จาก 9 เป้าหมาย รวมทั้งตัวชี้วัดด้านสุขภาพ ภาพ Organization-WHO) ในปี 2562 ได้รายงาน SDGs ด้านสุขภาพ รวมอายุคาดเฉล่ียและรายจ่ายด้านสุขภาพ 4 ตัวชี้วัดของ 47 43 ตวั ชว้ี ดั 9 เปา้ หมาย (SDG3, 1, 2, 5, 6, 7, 11, 16, 17) รวมทงั้ ตวั ช้ี ประเทศในเอเชยี โดยจัดอนั ดบั และระดับตวั ช้วี ดั จดั กลมุ่ ประเทศ วดั สขุ ภาพภาพรวมอายคุ าดเฉลยี่ และรายจา่ ยดา้ นสขุ ภาพ 4 ตวั ชวี้ ดั วิเคราะห์ปัจจัยและการถดถอยพหุ ผล: 1) SDGs ด้านสุขภาพ ใน 194 ประเทศ1-5การขบั เคลอ่ื นของประเทศไทยมคี ณะกรรมการ ประเทศไทยอยู่ในระดับ Top third 16 ตัวช้ีวัด (ร้อยละ 42.1) เพ่ือการพัฒนาท่ีย่ังยืนได้ยึดแนวคิดหลักการและเป้าหมาย SDGs สุขภาพภาพรวมในปี 2559 คนไทยมีอายุคาดเฉลี่ยของการมี เชอื่ มโยงสกู่ ารจดั ท�ำยทุ ธศาสตรช์ าติระยะ 20 ปี (พ.ศ.2561-2580) สขุ ภาพดเี มอื่ แรกเกิด 66.8 ปี อยใู่ นระดับ Top Third และสูงกวา่ แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ค่ากลางของเอเชีย รองลงมาอยู่ในระดบั Middle Third คอื อายุ แห่งชาติฉบับที่ 12 (พ.ศ.2560-2564) วาระการปฏิรูปประเทศ คาดเฉล่ียเมอ่ื แรกเกิด 75.5 ปี และรายจา่ ยสขุ ภาพต่อหัวประชากร นโยบายประเทศไทย 4.0 แผนที่น�ำทางและนโยบายรัฐบาล รวม 222 ดอลลา่ สหรฐั และระดบั Bottom Third คือ รายจา่ ยสุขภาพ ท้ังการจัดท�ำยุทธศาสตร์ชาติเฉพาะด้าน สำ� หรับแผนยุทธศาสตร์ ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศเพียงร้อยละ 3.7 2) การจัดกลุ่ม ชาติระยะ 20 ปี ด้านสาธารณสุข (พ.ศ.2560-2579) ได้ก�ำหนด ประเทศในเอเชยี จาก 27 ตวั ชว้ี ดั ประเทศไทยจดั อยใู่ นกลมุ่ ประเทศ เปา้ หมายระยะที่ 4 (พ.ศ.2575-2579) ประเทศไทยเปน็ 1 ใน 3 ของ ทมี่ กี ารพฒั นา SDGs ดา้ นสขุ ภาพปานกลางใน 21 ประเทศ (รอ้ ยละ เอเชีย คนไทยมี LE ไม่นอ้ ยกว่า 85 ปี และ HALE ไม่น้อยกวา่ 75 ปี 44.7) 3) การวิเคราะหป์ จั จยั และการถดถอยพหุได้ 7 ปจั จัย มคี ่า และมีแนวทางการขบั เคล่อื น SDG3 13 เป้าประสงค์ 26 ตวั ช้วี ดั 6-9 ความแปรปรวนสะสมทส่ี ามารถรว่ มกนั อธบิ าย SDGs ดา้ นสขุ ภาพ ไดร้ อ้ ยละ 75.7 โดยสามารถพยากรณอ์ ายคุ าดเฉลยี่ เมอ่ื แรกเกดิ และ ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้นจากการพัฒนาและติดตาม อายุคาดเฉล่ียของการมีสุขภาพดีได้ร้อยละ 86.8 และ 88.1 ตาม รายงานความคืบหน้าของการขับเคล่ือน SDGs ในระดับโลกและ ลำ� ดับ สรุป: การศึกษานสี้ ามารถบง่ ช้ีสถานภาพการพฒั นาและใช้ ภูมิภาคท่ีแตกต่างกัน แบบแยกส่วน ปรับข้อมูลตัวช้ีวัดวิธีการมา เป็นแนวทางในการทบทวนและตรวจสอบ จัดล�ำดับความส�ำคัญ โดยตลอดยังต้องพัฒนาต่อเนื่อง การศึกษาน้ีจึงมีวัตถุประสงค์เพ่ือ คาดการณ์ บรู ณาการทศิ ทางการพฒั นาสขุ ภาพและประเทศทหี่ ลาก ศึกษา SDGs ดา้ นสุขภาพทีม่ ีความสมั พนั ธ์เชอ่ื มโยงพึง่ พากนั และมี หลายและข้ามสาขาเสริมหนุนกันให้บรรลุเป้าหมายท่ีก�ำหนดไว้ได้ อทิ ธพิ ลตอ่ กนั ภายใตก้ รอบเปา้ หมาย SDG3 โดยตรง ขา้ มเปา้ หมาย อยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ ซง่ึ จ�ำเปน็ ตอ้ งพัฒนาใชเ้ ปน็ เคร่อื งมอื ในระบบ และสขุ ภาพภาพรวมของประเทศในเอเชยี เพอื่ ใชเ้ ปน็ แนวทางบรู ณา ติดตามประเมนิ ผลและการวางแผนอยา่ งจริงจงั และตอ่ เน่ือง การขบั เคลือ่ น SDGs และพัฒนาประเทศท่ีหนุนเสริมกนั ไดอ้ ยา่ งมี ประสิทธิภาพสามารถบรรลเุ ป้าหมายตามท่กี ำ� หนดไว้ ค�ำส�ำคัญ: การจัดอันดับและระดับ การวิเคราะห์จัดกลุ่ม วตั ถุและวธิ กี าร และปัจจัย การวิเคราะห์ถดถอยพหุ เป้าหมายการพัฒนาที่ย่ังยืน ด้านสุขภาพ เอเชยี วิจัยเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวางใช้ข้อมูลทุติยภูมิของ บทนำ� WHO จากรายงานสถิติสุขภาพโลก SDGs ในปี 2562 ของ 47 ประเทศในเอเชยี และการขบั เคล่อื น SDGs ของประเทศไทย โดย ท่ีประชุมสมัชชาสหประชาชาติสมัยสามัญ ครั้งที่ 70 มีวตั ถปุ ระสงค์ ขนั้ ตอนและวธิ ีการศกึ ษา สรุปได้ดงั น1้ี 0-15 เมอื่ วนั ท่ี 25 กนั ยายน 2558 ได้รับรอง “วาระการพัฒนาที่ยั่งยนื ปี 2573” และ “เป้าหมายการพัฒนาที่ย่ังยืน” (Sustainable 1. คัดเลือกตัวชี้วัด SDGs ด้านสุขภาพ 9 เป้าหมาย 43 Development Goals-SDGs) ภายใต้แนวคิด “ไม่ท้ิงใครไว้ข้าง ตวั ชวี้ ัด อายุคาดเฉลย่ี และรายจา่ ยทางดา้ นสุขภาพ 4 ตัวชีว้ ดั จัด หลัง” โดยเน้นการพัฒนาที่ยั่งยืนทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่ง อนั ดับใช้ Sequential rank to unique values และจดั ระดบั การ แวดล้อมท่ีสมดุลและบูรณการการพัฒนา 17 เป้าหมาย ภายใต้ พัฒนา 3 ระดบั 1) Top Third 2) Middle Third และ 3) Bottom หลักการ 5Ps คือ ประชาชน/คน (people) โลก (planet) ความ Third (ตารางท่ี 1) ม่ังคั่ง (prosperity) สันติภาพ (peace) และ ความเป็นหุ้นส่วน (partnership) รวมทง้ั ไดก้ ำ� หนดแนวทางสรา้ งความรว่ มมอื ระหวา่ ง 2. คัดเลือกตัวช้ีวัด SDGs ด้านสุขภาพ วิเคราะห์จัดกลุ่ม ประเทศ การจดั ทำ� แผนทนี่ ำ� ทางระดบั ภมู ภิ าค ประเทศและทอ้ งถน่ิ และปจั จยั มเี กณฑก์ ารคดั เขา้ และออก ทดสอบการแจกแจงแบบปกติ และแนวทางการติดตามทบทวนผล โดยได้ฉายภาพจุดเด่นท่ีต้อง ดว้ ย Shapiro-Wilk test ทรี่ ะดับนยั ส�ำคัญ 0.05 คา่ สูญหายและค่า บรู ณาการเชอ่ื มโยงพงึ่ พากนั ขา้ มเปา้ หมาย การจดั กลมุ่ ของ SDGs17 สดุ โตง่ คา่ ความเบแ้ ละความโดง่ โดยตดั ตวั แปร SDGs ทม่ี คี า่ สญู หาย เปา้ หมาย 169 เป้าประสงค์ พฒั นารายงานด้วยการจดั อนั ดบั ดชั นี มากกวา่ รอ้ ยละ 20 มคี า่ สดุ โตง่ หรอื ผดิ ปกตมิ าก และไมม่ ขี อ้ มลู ของ เปา้ หมายการพฒั นาท่ยี ัง่ ยืน (SDG index-SDGI) ระดับ แนวโนม้ ประเทศไทยออก เหลือเพียง 27 ตัวช้ีวดั (SDG3, 1, 2, 7, 11, 16) การพฒั นาภาพรวมและรายเป้าหมาย ส�ำหรบั SDGs ดา้ นสขุ ภาพ วิเคราะห์ค่าสูญหายด้วยวิธีค่าคาดหมายสูงสุด ได้ค่า Little’s MCAR test (Chi-Square=412.62, DF=373, Sig.=0.08) เป็น ข้อมลู ไม่ใช่การสูญหายแบบสมุ่ อยา่ งสมบูรณ์ จึงใชว้ ธิ ีการประมาณ 108 | วารสารกรมการแพทย์

ค่าสูญหายด้วยวิธีอีเอ็ม (EM algorithm) ส�ำหรับตัวช้ีวัดท่ีมีค่า Variance inflation factors เทา่ กับ 1 และ ไม่มคี า่ Condition สูญหายไม่เกินร้อยละ 20 จ�ำนวน 11 ตัวช้ีวัด (SDG3, 1, 2, 7) index มากกว่า 30 จึงไม่เกิดปญั หา Multicollinearity (ภาพที่ 2 (ตารางที่ 1) และตารางที่ 3) ผล 3. ปรับแก้ค่าข้อมูลตามประเภทการจัดการความเบ้และ ความโดง่ SDGs ด้านสุขภาพ 27 ตวั ชี้วัดท่มี ีการประมาณและแทน การศึกษาประชากรกลุ่มเป้าหมายประเทศในเอเชีย 47 ค่าสูญหายแล้ว มี 5 รปู แบบ 1) เบข้ วา/โดง่ สูงกว่าปกติ 17 ตัวชว้ี ดั ประเทศ 5 ภูมิภาค และ 4 ระดับรายได้ ประเทศไทยอยู่ในกลุ่ม ใช้วิธลี อการิทึม LN(x) 2) เบ้ขวา/โด่งต่ำ� กว่าปกติ 4 ตัวชวี้ ดั ใชว้ ิธี ประเทศระดบั รายไดป้ านกลางขน้ั สงู อยใู่ นภมู ภิ าคเอเชยี ตะวนั ออก- ผกผัน 1/(x) กรณีความเบ้เป็นบวกการท�ำ log. Inverse ตัวช้ีวัด เฉยี งใต้ จาก 11 ประเทศ (ร้อยละ 23.4) สรปุ ผลการศกึ ษาไดด้ งั นี้ ที่มีค่าต�่ำสุดเป็นศูนย์ให้เพ่ิมค่า +1 และค่าต�่ำสุดติดลบให้เพิ่ม ค่าเท่ากับค่าตำ�่ สุด +1 3) เบซ้ า้ ย/โด่งปกติ 1 ตัวชี้วดั ใชว้ ิธสี ะท้อน 1. การจัดอันดับและระดบั การพฒั นาในเอเชีย จากตัวชีว้ ัด คา่ และรากทส่ี อง SQRT(k-x) 4) เบ้ซ้าย/โดง่ สงู กว่าปกติ 2 ตวั ชี้วดั SDGs ดา้ นสุขภาพ 9 เป้าหมาย 43 ตัวชีว้ ัด ประเทศไทยมขี อ้ มลู ใชว้ ิธสี ะทอ้ นคา่ และลอการทิ มึ LN(k-x) และ 5) เบซ้ ้าย/โดง่ ตำ่� กวา่ เพียง 38 ตวั ชี้วดั พบวา่ อย่ใู นระดับ Top third 16 ตวั ช้ีวดั (รอ้ ยละ ปกติ 3 ตัวช้วี ดั ใชว้ ธิ ีสะทอ้ นค่าและผกผนั -1/(k-x) กรณคี วามเบ้ 42.1) คอื การมหี ลกั ประกนั สขุ ภาพและรายจา่ ยสขุ ภาพภาครฐั และ เปน็ ลบ k เทา่ กับค่าสูงสดุ +1 โดยทำ� การแปลงข้อมลู ในรูปคะแนน ครัวเรือน การอนามัยแม่และเด็ก การเข้าถึงพลังงานสะอาด และ มาตรฐาน โรคติดเชื้อไวรัสและโรคไม่ติดต่อเร้ือรัง ระดับ Middle Third12 ตัวช้ีวัด (ร้อยละ 31.6) คือ โรคระบาดเขตร้อน ปัญหาจากน�้ำ 4. วิเคราะห์จัดกลุ่มประเทศในเอเชียจากตัวช้ีวัด SDGs สุขอนามัยและสุขลักษณะ ทุพโภชนาการและโภชนาการเกิน ดา้ นสขุ ภาพประยกุ ตใ์ ชเ้ ทคนคิ K-Means clustering ก�ำหนดกลุม่ พฤติกรรมเสี่ยงการสูบบุหร่ี มลพิษทางอากาศ บุคลากรพยาบาล ที่ต้องการ 3 กลุ่ม (ผลจากการศกึ ษาจดั กลุม่ ประเทศในเอเชยี ตาม และผดงุ ครรภ์ เภสชั กร และการลงทะเบยี นการตาย ระดบั Bottom ลกั ษณะการพัฒนาทางด้านสุขภาพในปี 2561) (ภาพท่ี 1) Third 10 ตัวชีว้ ัด (ร้อยละ 26.3) อุบตั ิเหตทุ างถนน การฆ่าตวั ตาย การถกู ท�ำร้าย การบรโิ ภคแอลกอฮอล์ วณั โรค การคลอดในวยั รนุ่ 5. เปรยี บเทียบความแตกต่างคา่ เฉลยี่ ของสขุ ภาพภาพรวม บุคลากรแพทย์และทันตแพทย์ และเงินช่วยเหลือเพ่ือการพัฒนา ระหว่าง 3 กลุ่มประเทศตามการพัฒนา SDGs ด้านสุขภาพ โดย สำ� หรบั ตวั ชวี้ ดั สขุ ภาพภาพรวม 4 ตวั ชวี้ ดั พบวา่ มเี พยี ง 1 ตวั ชว้ี ดั อยู่ วิเคราะห์ความแปรปรวนใช้สถิติทดสอบ Levene test ท้ังน้ีใน ในระดับ Top Third คอื HALE 66.8 ปี สูงกว่าค่ากลางของเอเชีย กรณีความแปรปรวนไม่แตกต่างกันใช้สถิติทดสอบ F-test และวิธี ระดบั Middle Third คือ LE 75.5 ปี และรายจา่ ยสขุ ภาพต่อหวั Bonferroni หากแตกตา่ งกนั ใช้ Welch test และ Games-Howell ประชากร 222 ดอลลา่ สหรฐั และระดบั Bottom Third คอื รายจา่ ย ทีร่ ะดับนยั ส�ำคญั ทางสถิติ 0.05 (ตารางที่ 2) สุขภาพต่อผลติ ภัณฑ์มวลรวมในประเทศรอ้ ยละ 3.7 (ตารางที่ 1) 6.วเิ คราะหป์ จั จยั เชงิ สำ� รวจใชเ้ ทคนคิ PrincipleComponent 2. การจดั กลมุ่ ประทศในเอเชียตามการพฒั นา SDGs ดา้ น Analysis ดว้ ยวธิ ี Varimax ใชส้ ถติ ิ Kaiser-Meyer-Olkin measure สขุ ภาพ แบง่ เปน็ 3 กลมุ่ กลมุ่ ที่ 1 กลมุ่ ประเทศทมี่ กี ารพฒั นา SDGs of sampling adequacy (KMO) และคา่ Bartlett’ s test of ดา้ นสขุ ภาพสงู จำ� นวน 6 ประเทศ (ร้อยละ 12.8) ไดแ้ ก่ เกาหลีใต้ sphericity ผลปรากฏคา่ KMO=0.67 (เหมาะสมปานกลาง) และ บรไู นดารุสซาลาม อิสราเอล ญปี่ ่นุ ไซปรสั สิงคโปร์ กลมุ่ ท่ี 2 กลมุ่ Chi-Square=1,028.80, DF=351, Sig.=0.00 รวมทั้งมีค่าความ ประเทศทีม่ กี ารพัฒนา SDGs ด้านสุขภาพปานกลาง 21 ประเทศ ร่วมกันของตัวช้ีวัด (Community-h2) ต้ังแต่ 0.5 ข้ึนไป (0.50- (รอ้ ยละ 44.7) ไดแ้ ก่ เลบานอน โอมาน มลั ดฟี ส์ กาตาร์ คาซคั สถาน 0.92) สรุปได้ว่าตัวชี้วัดมีความสัมพันธ์กันและเหมาะสมในการ คูเวต ซาอุดิอาระเบีย อุชเบกิสถาน อิหร่าน ศรีลังกา อาหรับ- วเิ คราะห์ปจั จัยได้ มี 7 ปจั จัยทีม่ ีค่าไอเกน (Eigen value) มากกว่า เอมิเรตส์ เตริ ก์ เมนิสถาน จนี จอรเ์ จีย จอรแ์ ดน บาหเ์ รน อาเซอร์- 1 และคา่ สมั ประสทิ ธหิ์ รอื นำ�้ หนกั องคป์ ระกอบมากกวา่ 0.3 (0.39 - ไบจาน ไทย มาเลเชีย อาร์เมเนยี ตรุ กี สว่ นทเ่ี หลืออีก 20 ประเทศ 0.86) โดยมคี า่ ความแปรปรวนสะสมทส่ี ามารถรว่ มกนั อธบิ าย SDGs (รอ้ ยละ 42.5) อย่ใู น กลุ่มที่ 3 กล่มุ ประเทศทม่ี ีการพฒั นา SDGs ดา้ นสขุ ภาพได้รอ้ ยละ 75.7 (ภาพท่ี 2) ด้านสุขภาพต่�ำ โดยประเทศที่มีระดับรายได้สูงจัดอยู่ในกลุ่มท่ี 1 และ 2 สว่ นประเทศท่มี ีระดบั รายได้ปานกลางขนั้ สูง จัดอยู่ในกลุ่ม 7. วิเคราะหถ์ ดถอยพหุเพื่อสร้างสมการทำ� นายเชิงพหุของ ที่ 2 และ 3 (ภาพท่ี 1) ตวั แปรตาม อายคุ าดเฉลยี่ จากตัวแปรอิสระ 7 ปจั จัยของ SDGs ด้านสุขภาพ หาสัมประสิทธ์ิการตัดสินใจ (R2) สัมประสิทธิ์การ 3. การเปรียบเทียบความแตกต่าง พบว่ากลุ่มประเทศที่มี ทำ� นายทปี่ รบั แก้ (Adjusted R2) สมั ประสทิ ธก์ิ ารถดถอยมาตรฐาน ระดับการพัฒนา SDGs ด้านสุขภาพท่ีสูงกว่าจะมีอายุคาดเฉล่ียท่ี (β) สมั ประสทิ ธก์ิ ารถดถอย (b) และการถดถอยเชงิ เสน้ ตรงแบบพหุ มากกวา่ ประเทศท่มี รี ะดบั การพัฒนาต่ำ� กว่า กลา่ วคอื LE ของกลมุ่ ด้วยวิธี Enter พร้อมทั้งตรวจสอบเง่ือนไขการแจกแจงแบบปกติ ท่ี 1 (81.5 ปี) สงู กว่าประเทศกลุม่ ที่ 2 และ 3 (75.1 และ 69.0 ปี) ของค่าความคลาดเคลื่อน ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรทุกตัว ใช้ สถติ ิ Pearson correlation พิจารณาค่า Tolerance ไม่ใกลศ้ ูนย์, ปที ่ี 45  ฉบบั ที่ 2  เมษายน - มิถุนายน 2563 | 109

เชน่ เดยี วกันกบั HALE เทา่ กบั 73.0, 66.1 และ 60.3 ปตี ามลำ� ดบั 0.01 ที่รอ้ ยละ 86.8 และ 88.1 ตามล�ำดับ (ดตู ารางที่ 3) (ตารางท่ี 2) 5.1 LE (Y1) กับ ปัจจัยการพัฒนา SDGs ด้านสุขภาพ 4. การวเิ คราะห์ปจั จัย SDGs ดา้ นสขุ ภาพจาก 27 ตวั ชีว้ ดั 7 ปัจจัย (X1-7): สมการพยากรณ์ในรูปคะแนนดิบและคะแนน ไดเ้ ป็น 7 ปจั จัย และตงั้ ช่ือปัจจยั โดยมคี ่าความแปรปรวนสะสมที่ มาตรฐาน สามารถรว่ มกนั อธบิ าย SDGs ดา้ นสขุ ภาพไดร้ อ้ ยละ 75.7 (ภาพท่ี 2) Y1 = a + B1X1 + B2X2 + B3X3 + B4X4 + B5X5 + 4.1 ปัจจัยด้านแม่ โภชนาการเด็ก และบุคลากรทางการ B6X6 + B7X7 แพทย์และสาธารณสุขหลัก (X1) 5 ตัวชี้วัด ได้แก่ อัตราตายของ มารดา ความชุกของภาวะผอมในเด็กอายุต�่ำกว่า 5 ปี ความชุก = 73.313 - 1.247 X1 – 2.883 X2 -1.829 X3 – 2.146 ของภาวะเต้ียแคระแกร็นในเด็กอายุต�่ำกว่า 5 ปี อัตราแพทย์ต่อ X4 - 1.572 X5 – 1.425 X6 + 1.006 X7 ประชากร อตั ราพยาบาลและผดุงครรภต์ ่อประชากร Z1 = β1Z1 + β2Z2 + β3Z3 + β4Z4 + β5Z5 + β6Z6 4.2 ปัจจัยดา้ นหลักประกนั สุขภาพ เดก็ เลก็ และวยั รนุ่ และ + β7Z7 การถูกทำ� รา้ ย (X2) 5 ตัวช้วี ัด ไดแ้ ก่ ดัชนีความครอบคลมุ บริการ หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า อัตราตายทารกแรกเกิด อัตราตาย = - 0.243 Z1 - 0.563 Z2 - 0.357 Z3 – 0.419 Z4 – ในเด็กต่ำ� กวา่ 5 ปี อัตราการคลอดในวยั รนุ่ อัตราตายจากการถกู 0.307 Z5 – 0.278 Z6 + 0.196 Z7 ท�ำร้ายของประชากร 5.2 HALE (Y2) กบั ปัจจยั การพฒั นา SDGs ด้านสุขภาพ 4.3 ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมและบคุ ลากรทางการแพทย์และ 7 ปัจจัย (X1-7): สมการพยากรณ์ในรูปคะแนนดิบและคะแนน สาธารณสขุ สนับสนุน (X3) 4 ตวั ชีว้ ดั ไดแ้ ก่ อตั ราอุบตั ิการณโ์ รค มาตรฐาน วณั โรค สดั สว่ นของประชากรทพี่ ง่ึ พาพลงั งานสะอาดและเทคโนโลยี เปน็ หลกั อตั ราทนั ตแพทยต์ อ่ ประชากร อตั ราเภสชั กรตอ่ ประชากร Y2 = a + B1X1 + B2X2 + B3X3 + B4X4 + B5X5 + B6X6 + B7X7 4.4 ปัจจยั ดา้ นโรคติดต่อและโรคไม่ตดิ ตอ่ ทส่ี �ำคญั (X4) 3 ตัวชี้วัด ได้แก่ อัตราความชุกผู้ติดเช้ือไวรัสตับอักเสบบีในเด็กอายุ = 64.532 - 1.672 X1 – 2.816 X2 -1.497 X3 – 2.016 ต�่ำกว่า 5 ปี (SDG 3.3.4) ความน่าจะเป็นของการตายจากโรค X4 - 1.832 X5 – 1.065 X6 + 1.256 X7 หลอดเลอื ดหวั ใจ มะเร็ง เบาหวาน โรคระบบทางเดินหายใจเรื้อรงั เมื่ออายุ 30-70 ปี (SDG 3.4.1) อัตราตายจากการเป็นพิษโดย Z2 = β1Z1 + β2Z2 + β3Z3 + β4Z4 + β5Z5 + β6Z6 ไม่ตั้งใจ (SDG 3.9.3) + β7Z7 4.5 ปัจจัยด้านมลพิษทางอากาศและความปลอดภัยทาง = - 0.330 Z1 - 0.556 Z2 - 0.295 Z3 – 0.398 Z4 – ถนน (X5) 3 ตวั ชีว้ ัด ไดแ้ ก่ ระดับคา่ เฉล่ียทงั้ ปีของฝนุ่ ละอองขนาด 0.362 Z5 – 0.210 Z6 + 0.248 Z7 เล็กในเขตเมอื ง-PM2.5 อัตราตายปรับมาตรฐานอายุของครัวเรอื น วจิ ารณ์ จากมลพิษทางอากาศโดยรอบ อัตราตายจากอุบัติเหตทุ างถนน ข้อค้นพบจากการจัดกลุ่มประเทศในเอเชียปี 2562 4.6 ปัจจัยด้านการป้องกันและควบคุมโรค (X6) 4 ตัวชี้ ประเทศไทยจัดอยู่ในกลุ่มที่ 2 กลุ่มประเทศท่ีมีการพัฒนา SDGs วัด ได้แก่ อัตราเด็กอายุ 1 ปี ได้รับวัคซีนรวมป้องกันโรคคอตีบ- ด้านสุขภาพปานกลาง ส�ำหรบั การจดั อนั ดบั ตาม SDGI ในปี 2561 บาดทะยัก-ไอกรน-DTP3 อัตราความครอบคลุมของวัคซีนโรคหัด และ 2562 ประเทศไทยติดอันดับที่ 59 (69.2 คะแนน จาก 156 ตามอายุของค�ำแนะน�ำในระดับชาติ-MCV2 ความชุกของการปรับ ประเทศ) และอันดบั ท่ี 40 (73.0 คะแนน จาก 162 ประเทศ) สว่ น มาตรฐานอายขุ องผทู้ สี่ บู บหุ รใี่ นปจั จบุ นั ในจำ� นวนผสู้ บู บหุ รที่ ม่ี อี ายุ SDG3 ประเทศไทยได้คะแนนเท่าเดิมในท้ัง 2 ปี 76.7 คะแนน ต้ังแต่ 15 ปีข้ึนไป คะแนนเฉลี่ยของ 13 สมรรถนะหลักของกฎ โดยมีประเทศในเอเชียท่ไี ด้คะแนนดีกวา่ ประเทศไทย 20 ประเทศ อนามัยระหว่างประเทศ (รอ้ ยละ46.5จาก43ประเทศ)และ20ประเทศ(รอ้ ยละ45.5จาก44 ประเทศ) ตามลำ� ดบั มรี ายงานลา่ สดุ วา่ SDG3 ประเทศไทยยงั มรี ะดบั 4.7 ปัจจัยด้านสุขภาพจิตและรายจ่ายด้านสุขภาพ (X7) ความทา้ ทายหลกั และมแี นวโนม้ การพฒั นาเพมิ่ ขน้ึ พอประมาณ ใน 3 ตวั ชีว้ ดั ไดแ้ ก่ ปรมิ าณแอลกอฮอลต์ อ่ การบริโภคต่อหัวประชากร ขณะที่ SDG ทเี่ ก่ยี วขอ้ งกบั สขุ ภาพ (SDG1, 2, 5-7, 11, 16-17) อายุ 15 ปี ขึ้นไป อตั ราการฆ่าตวั ตาย สัดส่วนรายจ่ายสขุ ภาพใน มีระดับการพัฒนาที่ดีกว่าในระดับท้าทายที่มีนัยยะส�ำคัญ ยกเว้น ประเทศตอ่ รายจา่ ยของรฐั บาลรวม SDG1 อยใู่ นระดับท่บี รรลุ แต่มแี นวโนม้ การพฒั นาสว่ นใหญร่ ะดับ เดยี วกันเพ่ิมขน้ึ พอประมาณ ยกเว้น SDG1 เพิ่มข้ึนตามทต่ี ้องการ 5. การวเิ คราะหถ์ ดถอยพหุของตวั แปรตาม LE (Y1) และ นอกจากนี้การจัดกลุ่มประเทศในเอเชียตามลักษณะการพัฒนา HALE (Y2) ของประชากรในเอเชีย กับตัวแปรอิสระปัจจัยการ ทางด้านสุขภาพใน ปี 2560 ประเทศไทยจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่ พัฒนา SDGs ด้านสุขภาพ 7 ปัจจัย (X1-7) โดยสามารถอธิบาย มกี ารพฒั นาทางดา้ นสขุ ภาพสูง (24 ประเทศ ร้อยละ 51.1) ทัง้ นี้ ความแปรปรวนและพยากรณ์ได้อย่างมีนัยส�ำคัญทางสถิติที่ระดับ การศึกษาดังกล่าวข้างต้นยังมีความแตกต่างและข้อจ�ำกัดท�ำให้ เกิดผลเปลี่ยนแปลงไม่สามารถเทียบกันได้ชัดเจน แต่อาจกล่าว 110 | วารสารกรมการแพทย์

ได้ว่าประเทศไทยมีการพัฒนาสุขภาพและ SDGs ด้านสุขภาพได้ และ 64.5 ปี) และระดบั โลก (72.0 และ 63.3 ปี) ตามลำ� ดบั โดยใน ปานกลาง-คอ่ นขา้ งดี แตก่ ย็ งั ไมบ่ รรลเุ ปา้ หมายเปน็ 1 ใน 3 ของเอเชยี ระดบั โลกการตายจาก 40 สาเหตกุ ารตายหลกั และ 33 สาเหตรุ ว่ มท่ี มีประเทศชั้นน�ำในเอเชียและประเทศที่มีรูปแบบปัจจัยก�ำหนด มสี ว่ นทำ� ให้ LE ลดลงในชายมากกวา่ หญงิ ตามลำ� ดบั ไดแ้ ก่ หวั ใจขาด สุขภาพเช่นเดียวกันที่ประเทศไทยต้องเร่งรัดพัฒนาให้ทัดเทียม เลอื ด อบุ ตั เิ หตทุ างถนน มะเรง็ ปอด โรคปอดอดุ กน้ั เรอื้ รงั โรคหลอด ได้แก่ ญี่ปนุ่ เกาหลีใต้ จนี อสิ ราเอล สิงคโปร์ ไซปรัส บรไู นดารุส เลอื ดสมอง โรคตบั แข็ง วัณโรค มะเร็งตอ่ มลกู หมาก ความรุนแรง ซาลาม มัลดีฟส์ บาห์เรน กาตาร์ อาหรับเอมิเรตส์ โอมาน คูเวต ระหว่างบคุ คล ส่วนในหญงิ มากกวา่ ชาย ไดแ้ ก่ มะเรง็ เตา้ นม สภาพ ตรุ กี ซาอดุ ีอาระเบีย เลบานอน มาเลเซยี อารเ์ มเนยี อุซเบกิสถาน ของมารดา มะเรง็ ปากมดลกู สำ� หรบั ประเทศไทยส�ำนกั งานพัฒนา อิหร่าน จอรเ์ จยี ศรลี งั กา หากพิจารณาผลการจดั อันดบั และระดบั นโยบายระหวา่ งประเทศไดท้ ำ� การพยากรณ์ LE และ HALE ใน 4 การพฒั นาตามตวั ชวี้ ดั SDGs ดา้ นสขุ ภาพ และการศกึ ษาสถานภาพ ชว่ ง ตั้งแตป่ ี 2558-2573 พบว่าคนไทยมีคา่ เพมิ่ ขน้ึ โดยเฉลย่ี ทุกๆ การพฒั นาประเทศและสขุ ภาพ รวมทง้ั ดัชนีเปา้ หมายการพัฒนาท่ี 5 ปี LE เพม่ิ ขน้ึ ประมาณ 1.0 ปี (ปี 2558 74.8 ป,ี ปี 2573 77.5 ยั่งยนื บ่งชไ้ี ด้ว่าประเทศไทยยังไม่บรรลเุ ป้าหมายเปน็ 1 ใน 3 ของ ป)ี และ HALE เพิ่มข้ึนประมาณ 1-2 ปี (ปี 2558 68.2 ป,ี ปี 2573 เอเชยี โดยยงั มปี ญั หาสขุ ภาพทท่ี า้ ทาย ไดแ้ ก่ อบุ ตั เิ หตทุ างถนน การ 73.1 ปี) ซ่ึงสอดคลอ้ งกบั การศึกษา GBD 2017 DALYs and HALE ฆ่าตัวตาย การถกู ท�ำรา้ ย วัณโรค การคลอดในวยั รนุ่ โรคมาลาเรยี Collaborators ตงั้ แตป่ ี 2533-2560 ในระดบั โลก 195 ประเทศ LE และโรคเขตร้อน โรคจากสขุ อนามัยและสขุ ลักษณะ ทุพโภชนาการ เพิม่ ข้นึ 7.4 ปี จาก 65.6 เปน็ 73.0 ปี และ HALE เพมิ่ ขึน้ 6.3 ปี และโภชนาการเกิน มลพิษทางอากาศ พฤติกรรมเสี่ยงจากการ จาก 57.0 เปน็ 63.3 ปี โดยเฉลี่ยเพิ่มข้ึนประมาณ 1.37 และ 1.17 บริโภคแอลกอฮอลแ์ ละบุหร่ี โรคไม่ติดตอ่ เร้ือรัง ผตู้ ดิ เชือ้ HIV การ ปีในทุก 5 ปีตามล�ำดับ ดังนั้นหากประเทศไทยใช้ฐานข้อมูล LE เป็นพิษ ภายใต้สภาวะที่ยังขาดแคลนทรัพยากรสุขภาพอยู่มากทั้ง และ HALE ของ WHO ในทุก 5 ปี จะตอ้ งเพ่ิม LE อย่างน้อย 1.8 บคุ ลากรแพทย์ ทันตแพทย์ เภสัชกร พยาบาลและผดุงครรภ์ ราย ปี ถึงจะบรรลเุ ปา้ หมายที่กำ� หนดไวไ้ ม่นอ้ ยกว่า 85 ปี และต้องเพิม่ จ่ายสขุ ภาพและเงนิ ชว่ ยเหลอื เพ่ือการพัฒนาทค่ี อ่ นขา้ งตำ่� เตยี งใน HALE อย่างน้อย 2 ปี ถึงจะบรรลุเปา้ หมายทก่ี �ำหนดไวไ้ มน่ อ้ ยกว่า โรงพยาบาลไมเ่ พยี งพอ และระบบข้อมูลการลงทะเบยี นการตายท่ี 75 ปี ภายในปี 2579 นอกจากนรี้ ายจา่ ยสขุ ภาพตอ่ หวั ประชากรของ ไม่สมบูรณ์ อยา่ งไรกต็ ามมขี ้อสงั เกตเกีย่ วกบั คนไทยมี HALE บรรลุ ประเทศไทยปี 2558 เทยี บกับ 2559 เพิม่ ขึน้ จาก 217 เปน็ 222 เป้าหมายเปน็ 1 ใน 3 ของเอเชีย ส่วน LE มีระดับการพฒั นาทย่ี ัง ดอลลา่ สหรฐั ฯ แตร่ ายจา่ ยสขุ ภาพตอ่ ผลติ ภณั ฑม์ วลรวมในประเทศ ทา้ ทายและมีแนวโน้มเพิ่มข้นึ พอประมาณ แตย่ งั ไม่บรรลุเปา้ หมาย ลดลงจากรอ้ ยละ 3.8 เปน็ 3.7 ตามล�ำดบั ส�ำหรบั ตวั ชวี้ ัด SDGs โดยต้องค�ำนึงถึงกลุ่มประเทศท่ีมีรายได้สูงกว่าประเทศไทย กล่าว ดา้ นสุขภาพท่ปี ระเทศไทยอยู่ในระดับ Bottom third ที่ดีข้นึ ได้แก่ คือประเทศที่มรี ายไดส้ ูงจะมีอายุคาดเฉล่ียที่สูงดว้ ยเชน่ กนั 4, 15-17 อตั ราตายจากอบุ ตั เิ หตทุ างถนน อตั ราการคลอดในวยั รนุ่ อบุ ตั กิ ารณ์ โรควัณโรค บุคลากรต่อประชากรเกือบทุกประเภทเปรียบเทียบปี ส�ำหรับผลการวิเคราะห์ถดถอยเพื่อสร้างสมการท�ำนาย 2552-2561 กบั ปี 2550-2559 เพิ่มข้นึ ทง้ั อัตราแพทย์ พยาบาล เชงิ พหุ ตวั แปรตาม LE และ HALE กับตัวแปรอิสระ ปัจจยั SDG และผดงุ ครรภ์ เภสัชกรประมาณ 1.3-2.1 เท่า ยกเว้นทันตแพทย์ ด้านสุขภาพ 7 ปัจจัย (X1-7) จะเห็นได้ว่ามีปัจจัยท่ีมีอิทธิพลใน ลดลง 0.57 เท่า ส่วนสถานการณค์ งเดมิ ขอ้ มลู ในปเี ดยี วกนั ไดแ้ ก่ การเพ่มิ ทง้ั LE และ HALE ใน 2 ปัจจัย ปจั จยั ท่มี อี ิทธพิ ลมากท่สี ุด การปริโภคแอลกอฮอล์ การฆ่าตัวตาย หากพิจารณาเปรียบเทียบ คอื ปจั จัยด้านหลกั ประกันสุขภาพ เด็กเลก็ และวยั รุน่ และการถกู กบั เปา้ ประสงคท์ กี่ ำ� หนดไวภ้ ายในปี 2573 ลดอตั ราตายของมารดา ทำ� ร้าย (X2, β2=-0.563, -0.556) โดยมีน�้ำหนักองค์ประกอบเรยี ง ทว่ั โลกใหต้ ำ�่ กวา่ 70 ตอ่ แสนการเกดิ มชี พี อตั ราตายทารกแรกเกดิ ให้ ลำ� ดับจากมากไปน้อย คือ อัตราการคลอดในวัยรนุ่ อัตราตายจาก ตำ�่ กวา่ 12 ตอ่ พนั การเกดิ มชี พี และอตั ราตายในเดก็ อายตุ ำ่� กวา่ 5 ปี การถกู ทำ� รา้ ย อตั ราตายทารกแรกเกดิ ดชั นคี วามครอบคลมุ บรกิ าร ใหต้ ่ำ� กว่า 25 ต่อพนั การเกดิ มชี ีพ ขณะนปี้ ระเทศไทยบรรลแุ ลว้ ใน หลกั ประกนั สขุ ภาพถว้ นหนา้ อตั ราตายในเดก็ ตำ่� กวา่ 5 ปี รองลงมา ทนี่ ข้ี อเสนอแนวทางการจดั การปญั หาเฉพาะทร่ี นุ แรงและสำ� คญั ใน คอื ปจั จยั ดา้ นโรคตดิ ตอ่ และโรคไมต่ ดิ ตอ่ ทสี่ ำ� คญั (X4, β4=-0.419, หลกั การ นนั่ คอื หากประเทศไทยตอ้ งการบรรลกุ ารลดอตั ราตายจาก -0.398) มีน้�ำหนักองค์ประกอบตามล�ำดับคือ ความน่าจะเป็นของ อบุ ตั เิ หตทุ างถนนลงครงึ่ หนง่ึ จากสถานการณท์ เี่ ปน็ อยใู่ นปจั จบุ นั จะ การตายจากโรคหลอดเลือดหัวใจ มะเร็ง เบาหวาน โรคระบบทาง ต้องใชเ้ วลาอยา่ งน้อยอกี 10 ปถี ึงจะบรรลุได้ โดย WHO ได้เสนอ เดนิ หายใจเรอื้ รงั เมอ่ื อายุ 30-70 ปี อตั ราตายจากการเปน็ พษิ โดยไม่ 5 เสาหลกั 1) ระบบการจัดการความปลอดภัยทางถนน 2) การมี ตง้ั ใจ อตั ราความชกุ ผตู้ ดิ เชอ้ื ไวรสั ตบั อกั เสบบใี นเดก็ อายตุ ำ่� กวา่ 5 ปี ถนนและการสัญจรอย่างปลอดภยั 3) การมียานพาหนะทป่ี ลอดภัย ในขณะทอี่ กี 5 ปัจจัยทีเ่ หลือมีอิทธพิ ลต่อ LE และ HALE ในลำ� ดบั 4) ผใู้ ช้รถใช้ถนนอย่างปลอดภัย 5) การตอบสนองหลังเกิดอบุ ัตเิ หตุ ความสำ� คญั ทแ่ี ตกตา่ งกนั ตามนำ้� หนกั องคป์ ระกอบของแตล่ ะปจั จยั ในการด�ำเนินการให้บรรลุ 12 เป้าประสงค์รองรับ SDG3 ภายใน อย่างไรก็ตามจากรายงานสถติ สิ ุขภาพของ WHO ในปี 2562 เทยี บ ปี 2563 ลดจ�ำนวนการตายและบาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางถนนลง กบั 2561 ไดร้ ายงานในปเี ดยี วกนั ปี 2559 จากการประมาณการ ครึ่งหน่ึง และ SDG11 ภายในปี 2573 ใหม้ กี ารเตรยี มระบบขนสง่ คนไทยมี LE เทา่ กบั 75.5 ปี (ชาย 71.8, หญิง 79.3) และ HALE และระบบขนส่งสาธารณะท่ีปลอดภัยเพียงพอ เข้าถึงได้และยั่งยืน 66.8 ปี (ชาย 64.0, หญงิ 69.8) ซง่ึ สงู กวา่ คา่ เฉลย่ี ในเอเชีย (73.3 ปีท่ ี 45  ฉบับท่ี 2  เมษายน - มิถุนายน 2563 | 111

สำ� หรบั ทกุ คน5,18-21 สำ� หรบั การปอ้ งกนั และแกไ้ ขปญั หาการตง้ั ครรภ์ ปัจจัยก�ำหนดสุขภาพทั้งด้านสังคม ส่ิงแวดล้อม เศรษฐกิจ และ ในวัยรุ่นท่ียังรุนแรงอยู่ กองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ ได้ ความเท่าเทียมทางด้านสุขภาพ แนวคิดทุกนโยบายห่วงใยสุขภาพ มุ่งเน้นให้ความส�ำคัญประเด็นความเป็นเด็กสาว (girlhood) ไม่ใช่ จะเป็นวาระหลักเร่งให้บรรลุเป้าหมาย SDGs โดยไม่ท้ิงใครไว้ข้าง ความเป็นแม่ (not motherhood) เป็นยุทธศาสตร์และมาตรการ หลงั ความสามารถเขา้ ใจและจดั ลำ� ดบั ความสำ� คญั ของปญั หารว่ มที่ ทมี่ ปี ระสทิ ธภิ าพในการเสรมิ พลงั เดก็ หญงิ และลดจดุ ออ่ นของการตงั้ หลากหลายมมุ มองเสรมิ หนนุ พง่ึ พากนั จดั การองคค์ วามรู้ เทคโนโลยี ครรภใ์ นวัยรุ่น นอกจากน้ีองค์กรหุ้นส่วนการยุติการแต่งงานในเด็ก นวตั กรรมทเี่ หมาะสมและทนั สมยั มองอนาคตไดถ้ อ่ งแท้ ปรบั เปลยี่ น โลก ได้มขี อ้ ตกลงระหวา่ ง 193 รฐั บาลที่จะยุติการแตง่ งานในเด็กท่ี พลกิ โฉมรปู แบบแนวทางการพฒั นาและบรหิ ารนโยบาย ยทุ ธศาสตร์ เป็นสาเหตุหลักของการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นภายในปี 2573 จึงจะยุติ แผนพัฒนาสุขภาพ ประเทศ ท้องถ่ินและขับเคลื่อนปฏิบัติการใน การตงั้ ครรภใ์ นวยั รนุ่ และทำ� ให้ไม่สามารถบรรลุเป้าหมาย SDGs 1, ทุกระดบั ทีม่ ุ่งเน้นบรู ณาการขา้ มเปา้ หมาย สาขาและภาคสว่ น เพิม่ 2, 3, 4, 5, 8, 10, 16 ได2้ 2 ประสทิ ธภิ าพ ความคมุ้ คา่ และยง่ั ยนื ทำ� ใหบ้ รรลเุ ปา้ หมายทกี่ ำ� หนด ไว้ และกา้ วรุดหน้าน�ำประเทศในเอเชียและทดั เทยี มนานาชาต2ิ 3-25 กล่าวโดยสรุปได้ว่า การขับเคล่ือน SDGs ด้านสุขภาพใน ระดับโลก ภูมิภาค และประเทศไทยจ�ำเป็นต้องให้ความส�ำคัญกับ ตารางท่ี 1 ขอ้ มลู รายละเอียดตวั ชีว้ ดั ทีท่ ำ� การศึกษา การแจกแจงข้อมลู คา่ สูญหาย สถติ เิ ชิงพรรณนา การจดั อันดบั และระดับการพัฒนา SDGs ด้านสขุ ภาพของประเทศไทยและภมู ิภาคเอเชยี ภูมภิ าคเอเชยี ประเทศไทย หมวด/ประเภท/ตวั ช้วี ดั รหสั ตัว จำ� นวนประเทศ การแจกแจง Mean Median Std. Min Max ค่า อนั ดบั ที่ (หนว่ ย/ปี พ.ศ.) ช้วี ดั / ทมี่ ขี อ้ มลู ขอ้ มลู / Dev. [อันดับที่ ตวั แปร คา่ สุดโต่ง ทงั้ หมด] (% คา่ สญู หาย) มาก ก. ขอ้ มูลทั่วไป (2 ตวั ชวี้ ัด) 1. ภมู ภิ าคในโลก (ภมู ภิ าคและประเทศ, REGUN 47 (0%) - - - - - -- - 2561) 2. รายได้ในระดับโลก (ระดบั , 2561) INCWB 47 (0%) - - - - - -- - ข. ข้อมูลสขุ ภาพภาพรวม (4 ตวั ช้ีวดั ) 1. อายคุ าดเฉลี่ยเมอื่ แรกเกดิ (ป,ี 2559) LE+ 47 (0%) ปกติ 73.3 73.1 5.13 62.6 84.2 75.5 14 [1-40] 2. อายคุ าดเฉลย่ี ของการมสี ขุ ภาพดเี มื่อแรก HALE+ 47 ปกติ 64.5 64.9 5.07 53.0 76.2 66.8 12 [1-42] เกิด (ปี, 2559) 3. รายจา่ ยสขุ ภาพปัจจปุ นั (ต่อหวั ประชากร- CHE+ 44 ไม่ปกติ 638 265 883.97 34 4,233 222 25 [1-42] ดอลล่าสหรัฐฯ, 2559) 4. รายจา่ ยสุขภาพปัจจุปนั ตอ่ ผลติ ภณั ฑ์มวล CHE-GDP+ 44 (6.4%) ไม่ปกติ 5.4 5.0 2.29 2.3 10.9 3.7 25 [1-32] รวมในประเทศ (%, 2559) ค. ตวั ชีว้ ดั SDGs ดา้ นสุขภาพ (43 ตวั ชี้วดั ) 1. SDG3 มีสขุ ภาพและความเปน็ อย่ทู ีด่ ี (31 ตวั ชว้ี ัด) 1.1 อตั ราการตายของมารดา (ตอ่ แสนการเกดิ SDG 3.1.1- 47 (0%) ไมป่ กติ 79 36 94.41 4 396 20 12 [1-39] มชี ีพ, 2558) 1.2 สัดสว่ นของการคลอดบุตรที่ดแู ลโดย SDG 3.1.2+ 44 (6.4%) ไมป่ กติ** 91 99 15.47 45 100 99 2 [1-17] บคุ คลากรดา้ นสาธารณสขุ ที่มคี วามชำ� นาญ (%, 2552-2561) 1.3 อตั ราตายในเด็กต�่ำกว่า 5 ปี (ต่อพันการ SDG 3.2.1- 47 (0%) ไม่ปกติ 22 17 18.25 3 75 10 6 [1-30] เกดิ มชี พี , 2560) 1.4 อตั ราตายทารกแรกเกิด (ต่อพันการเกดิ มี SDG 3.2.2- 47 (0%) ไม่ปกติ 12 9 9.66 1 44 5 5 [1-21] ชพี , 2560) 1.5 อัตราผ้ตู ดิ เชอื้ HIV รายใหม่ (ตอ่ SDG 3.3.1- 26 (44.7%)* ไมป่ กติ 0.10 0.08 0.08 <0.01 0.25 NA NA [1-15] ประชากรท่ีไม่มกี ารติดเชื้อพันคน, 2560) 1.6 อัตราอบุ ตั ิการณโ์ รควณั โรค (ตอ่ แสน SDG 3.3.2- 47 (0%) ไมป่ กติ 126.0 66.0 146.60 0.8 554.0 156.0 33 [1-45] ประชากร, 2560) 1.7 อัตราอบุ ตั ิการณโ์ รคมาลาเรีย (ต่อพัน SDG 3.3.3- 35 (25.5%)* ไมป่ กติ 3.3 0.1 8.42 <0.1 41.9 0.8 6 [1-14] ประชากรเสย่ี ง, 2560) 112 | วารสารกรมการแพทย์

ตารางที่ 1 ข้อมลู รายละเอยี ดตัวชว้ี ดั ทที่ �ำการศกึ ษา การแจกแจงข้อมูล ค่าสญู หาย สถติ เิ ชงิ พรรณนา การจัดอนั ดบั และระดบั การพัฒนา SDGs ดา้ นสขุ ภาพของประเทศไทยและภูมิภาคเอเชยี (ต่อ) ภมู ิภาคเอเชยี ประเทศไทย หมวด/ประเภท/ตวั ชีว้ ัด รหัสตัว จำ� นวนประเทศ การแจกแจง Mean Median Std. Min Max ค่า อันดับที่ (หน่วย/ปี พ.ศ.) ชว้ี ัด/ ท่มี ขี ้อมูล ข้อมลู / Dev. [อนั ดับท่ี ตวั แปร คา่ สุดโตง่ 0.66 ทั้งหมด] 1.8 อตั ราความชุกผ้ตู ดิ เชื้อไวรสั ตับอักเสบบี (% คา่ สูญหาย) มาก 76.42 ในเด็กอายตุ ่�ำกวา่ 5 ปี (%, 2558) 1.9 จำ� นวนผู้ทร่ี ้องขอความช่วยเหลือตอ่ การ SDG 3.3.4- 47 (0%) ไมป่ กติ 0.70 0.50 6.04 .02 2.75 0.17 5 [1-42] ปอ้ งกันโรคเขตรอ้ นทถี่ ูกละเลย (จ�ำนวน 5.39 ประชากร : ลา้ นคน, 2560) SDG 3.3.5- 47 (0%) ไม่ปกติ** 18.84 0.11 3.32 0 515.66 0.05 17 [1-42] 1.10 ความนา่ จะเป็นของการตายจากโรค 6.80 หลอดเลือดหวั ใจ มะเรง็ เบาหวาน โรคระบบ SDG 3.4.1- 47 (0%) ปกติ 20.1 21.1 15.51 7.8 30.6 14.5 7 [1-41] ทางเดนิ หายใจเรื้อรงั เมื่ออายุ 30-70 ปี (%, 24.00 1.9 26.9 14.4 34 [1-39] 2559) SDG 3.4.2- 47 (0%) ไม่ปกติ 7.5 5.9 11.73 0.0 10.8 8.3 31 [1-36] 1.11 อัตราการฆา่ ตวั ตาย (ตอ่ แสนประชากร, 8.84 0.9 32.7 32.7 38 [1-38] 2559) SDG 3.5.2- 47 (0%) ไมป่ กติ 3.7 2.7 2.39 36.9 89.8 89.2 2 [1-32] 1.12 ปรมิ าณแอลกอฮอล์ต่อการบริโภคต่อหัว 59.35 1.3 88.0 42.5 28 [1-41] ประชากรอายุ 15 ปี ขึน้ ไป (ลติ ร-แอลกอฮอล์ SDG 3.6.1- 43 (8.5%) ปกติ 15.9 16.1 5.60 34 ≥80 75 4 [1-27] บริสุทธิ,์ 2559) 0.75 1.0 29.2 3.4 6 [1-19] 1.13 อัตราตายจากอบุ ตั ิเหตทุ างถนน (ตอ่ SDG 3.7.1+ 32 (31.9%)* ปกติ 61.5 62.5 7.46 0.0 9.0 0.7 6 [1-19] แสนประชากร, 2559) 11.56 11.9 211.1 61.5 17 [1-46] 1.14 ร้อยละของหญิงวัยเจรญิ พันธอ์ุ ายุ (15- SDG 3.7.2- 43 (8.5%) ไมป่ กติ 35.0 30.1 17.32 <0.1 19.8 3.5 17 [1-32] 49 ป)ี ท่ีพงึ พอใจกับการวางแผนครอบครวั SDG 3.8.1+ 47 (0%) ไม่ปกติ 64 66 0.0 3.8 0.4 5 [1-18] ดว้ ยวิธสี มยั ใหม่ (%, 2552-2561) 8.1 42.2 20.4 15 [1-39] 1.15 อตั ราการคลอดในวยั รุ่น (ต่อหญงิ อายุ SDG 3.8.2- 20 (57.4%)* ไม่ปกติ 11.0 8.3 48 99 99 1 [1-20] 15-19 ปี พนั คน, 2552-2560) 39 99 95 5 [1-20] 1.16 ดชั นีความครอบคลุมบริการหลักประกัน SDG 3.8.3- 20 (57.4%)* ไมป่ กติ 2.3 1.5 สุขภาพถ้วนหน้า (ดชั น,ี 2558) 1.17 อตั รารายจา่ ยสุขภาพของประชากร SDG 3.9.1- 47 (0%) ไมป่ กติ 94.5 79.3 มากกว่าร้อยละ 10 ของรายจ่ายหรอื รายได้ ของครัวเรอื น (%, 2552-2558) SDG 3.9.2- 47 (0%) ไม่ปกติ** 3.9 1.1 1.18 อัตรารายจา่ ยสุขภาพของประชากร มากกว่าร้อยละ 25 ของรายจา่ ยหรือรายได้ SDG 3.9.3- 47 (0%) ไม่ปกติ 0.8 0.5 ของครวั เรอื น (%, 2552-2558) 1.19 อัตราตายปรบั มาตรฐานอายขุ องครัว SDG 3.a.1- 40 (14.9%) ปกติ 22.6 22.3 เรือนจากมลพษิ ทางอากาศโดยรอบ (ต่อแสน ประชากร, 2559) SDG 47 (0%) ไมป่ กติ 92 97 1.20 อัตราการตายท่ีเกดิ จากน�้ำ สขุ อนามัยที่ 3.b.1.1+ ไมป่ ลอดภัย และปราศจากสขุ ลกั ษณะ (ต่อ แสนประชากร, 2559) SDG 45 (4.3%) ไม่ปกติ 87 96 1.21 อัตราตายจากการเปน็ พษิ โดยไม่ตงั้ ใจ 3.b.1.2+ (ตอ่ แสนประชากร, 2559) 1.22 ความชกุ ของการปรับมาตรฐานอายขุ อง ผทู้ ี่สบู บหุ รี่ในปจั จบุ นั ในจ�ำนวนผูส้ ูบบุหรี่ที่ มีอายุต้ังแต่ 15 ปขี นึ้ ไป (%, 2559) 1.23 อตั ราเดก็ อายุ 1 ปี ได้รบั วัคซีนรวม ป้องกนั โรคคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน-DTP3 (%, 2560) 1.24 อตั ราความครอบคลมุ ของวคั ซีนโรคหัด ตามอายขุ องค�ำแนะน�ำในระดับชาติ-MCV2 (%, 2560) ปีท่ ี 45  ฉบบั ที่ 2  เมษายน - มิถนุ ายน 2563 | 113

ตารางที่ 1 ข้อมลู รายละเอยี ดตวั ชว้ี ัดทที่ �ำการศึกษา การแจกแจงข้อมูล ค่าสูญหาย สถิตเิ ชงิ พรรณนา การจัดอันดบั และระดับการพฒั นา SDGs ด้านสุขภาพของประเทศไทยและภมู ิภาคเอเชยี (ต่อ) ภมู ภิ าคเอเชยี ประเทศไทย หมวด/ประเภท/ตวั ชว้ี ดั รหัสตัว จำ� นวนประเทศ การแจกแจง Mean Median Std. Min Max คา่ อนั ดบั ท่ี (หน่วย/ปี พ.ศ.) ชีว้ ัด/ ท่ีมีข้อมูล ขอ้ มูล/ Dev. [อนั ดับท่ี ตัวแปร ค่าสดุ โตง่ ท้ังหมด] (% คา่ สญู หาย) มาก 1.25 อตั ราความครอบคลมุ ของวัคซีนโรคปอด SDG 30 (36.2%)* ไม่ปกติ 84 92 20.22 13 99 NA NA [1-17] อกั เสบ ในเดก็ อายุ 1 ป-ี PCV3 (%, 2560) 3.b.1.3+ 1.26 เงนิ ช่วยเหลอื เพื่อการพัฒนาอยา่ งเป็น ทางการสุทธริ วมต่อการวจิ ยั ทางการแพทย์ และดา้ นสขุ ภาพขัน้ พืน้ ฐาน (ตอ่ หัวประชากร- SDG 3.b.2+ 35 (25.5%)* ไม่ปกติ 2.51 1.96 2.469 0.02 10.09 0.55 29 [1-35] ดอลล่าสหรัฐฯ, 2560) 1.27 อตั ราแพทย์ตอ่ ประชากร (ตอ่ หม่นื SDG 47 (0%) ไมป่ กติ 16.6 17.0 10.93 <0.1 51.0 8.1 33 [1-44] ประชากร, 2552-2561) 3.c.1.1+ 1.28 อัตราพยาบาลและผดงุ ครรภ์ตอ่ SDG 47 (0%) ไมป่ กติ 39.4 33.9 27.45 3.1 120.7 29.6 24 [1-44] ประชากร (ต่อหมน่ื ประชากร, 2552-2561) 3.c.1.2+ 1.29 อตั ราทันตแพทย์ต่อประชากร (ต่อหมื่น SDG 45 (4.3%) ไม่ปกติ 3.1 2.3 2.75 <0.1 11.1 1.7 24 [1-33] ประชากร, 2552-2561) 3.c.1.3+ 1.30 อัตราเภสชั กรตอ่ ประชากร (ตอ่ หมน่ื SDG 46 (2.1%) ไม่ปกติ 4.3 3.0 4.28 0.1 18.0 4.2 17 [1-34] ประชากร, 2552-2561) 3.c.1.4+ 1.31 คะแนนเฉลย่ี ของ 13 สมรรถนะหลกั SDG 3.d.1+ 44 (6.4%) ปกติ 67 67 19.25 23 100 79 11 [1-31] ของกฎอนามยั ระหว่างประเทศ (คะแนน, 2561) 2. SDG1 ขจัดความยากจน (1 ตวั ชี้วัด) 2.1 สัดส่วนรายจ่ายสขุ ภาพในประเทศต่อราย SDG 1.a.2+ 44 (6.4%) ไม่ปกติ 8.6 8.1 4.92 1.7 23.4 15.3 4 [1-40] จ่ายของรัฐบาลรวม (%, 2559) 3. SDG2 ขจดั ความหวิ โหย (3 ตัวช้ีวดั ) 3.1 ความชกุ ของภาวะเตี้ยแคระแกรน็ ในเด็ก SDG 2.2.1- 38 (19.1%) ไม่ปกติ 21.9 18.9 13.43 2.5 50.9 10.5 11 [1-38] อายุต่ำ� กว่า 5 ปี (%, 2552-2561) 3.2 ความชุกของภาวะผอมในเด็กอายุต่ำ� กวา่ SDG 2.2.2- 38 (19.1%) ไม่ปกติ 6.9 6.2 4.79 1.2 20.8 5.4 15 [1-33] 5 ปี (%, 2552-2561) 3.3 ความชุกของภาวะน้ำ� หนักเกินในเดก็ อายุ SDG 2.2.3- 37 (21.3%)* ไม่ปกติ 6.6 5.9 4.78 1.2 19.9 8.2 22 [1-33] ต่�ำกว่า 5 ปี (%, 2552-2561) 4. SDG5 ความเท่าเทยี มทางเพศ (1 ตัวช้ีวัด) 4.1 สัดส่วนของผหู้ ญงิ และเด็กหญิงอายุ 15 ปี ขึน้ ไป ที่เคยอย่รู ่วมกบั คขู่ องตนได้รับความ รุนแรงทางร่างกาย ทางเพศ หรอื ทางจติ ใจ โดยคขู่ องตนในปัจจบุ ัน หรือกอ่ นหนา้ ในชว่ ง SDG 5.2.1- 15 (68.1%)* ไม่ปกติ 17 14 11.67 4 46 NA NA [1-11] เวลาอย่างน้อย 12 เดือนท่ีผ่านมา (%, 2552- 2560) 5. SDG6 การจัดการน้ำ� และสุขาภิบาล (3 ตัวชวี้ ดั ) 5.1 สัดส่วนของประชากรทีใ่ ชบ้ ริการน�้ำด่ืมที่ SDG 6.1+ 23 (51.1%)* ไม่ปกติ 73 86 26.49 24 100 NA NA [1-20] ไดร้ บั การจัดการอยา่ งปลอดภัย (%, 2558) 5.2 สัดสว่ นของประชากรท่ีใชบ้ ริการสขุ อนามัยไดร้ ับการจดั การอย่างปลอดภยั (%, SDG 6.2+ 16 (66.0%)* ไม่ปกติ 78 86 25.35 20 100 NA NA [1-12] 2558) 5.3 จ�ำนวนความชว่ ยเหลือเพอื่ การพฒั นา SDG 6.a+ 34 (27.7%)* ไม่ปกติ 118.49 73.91 161.24 0.71 663.51 2.61 30 [1-34] อยา่ งเปน็ ทางการในดา้ นทเี่ กย่ี วข้องกับนำ�้ และ สุขอนามัยซึ่งเป็นสว่ นหน่งึ ของแผนบรู ณาการ การใช้จา่ ยของรฐั บาล (ลา้ นดอลล่าสหรัฐฯ - คา่ คงทปี่ ี 2559, 2560) 114 | วารสารกรมการแพทย์

ตารางท่ี 1 ข้อมูลรายละเอียดตวั ช้ีวดั ทีท่ �ำการศึกษา การแจกแจงขอ้ มูล ค่าสูญหาย สถิตเิ ชิงพรรณนา การจดั อันดบั และระดบั การพัฒนา SDGs ดา้ นสุขภาพของประเทศไทยและภูมภิ าคเอเชยี (ตอ่ ) ภูมภิ าคเอเชีย ประเทศไทย หมวด/ประเภท/ตวั ช้วี ดั รหสั ตวั จำ� นวนประเทศ การแจกแจง Mean Median Std. Min Max คา่ อันดับท่ี (หน่วย/ปี พ.ศ.) ช้ีวัด/ ท่ีมขี ้อมูล ขอ้ มลู / Dev. [อันดบั ท่ี ตัวแปร คา่ สดุ โต่ง ทั้งหมด] (% คา่ สญู หาย) มาก 6. SDG7 พลงั งานสะอาดที่ทุกคนเขา้ ถึงได้ (1 ตวั ช้ีวดั ) 6.1 สดั สว่ นของประชากรท่ีพ่ึงพาพลังงาน SDG 7.1+ 46 (2.1%) ไมป่ กติ 72 94 30.96 4 >95 78 5 [1-19] สะอาดและเทคโนโลยเี ป็นหลกั (%, 2560) 7. SDG11 เมืองและถน่ิ ฐานมนุษยอ์ ยา่ งย่ังยืน (1 ตัวชีว้ ัด) 7.1 ระดับค่าเฉลี่ยท้ังปขี องฝุ่นละอองขนาด SDG 11.6- 47 (0%) ไม่ปกติ 35.0 30.5 20.94 5.8 94.3 26.2 21 [1-46] เลก็ ในเขตเมือง-PM2.5 (ไมโครเมตร, 2559) 8. SDG16 สังคมสงบสุข ยุติธรรมไมแ่ บ่งแยก (1 ตัวชว้ี ดั ) 8.1 อตั ราตายจากการถูกทำ� ร้ายของประชากร SDG 16.1- 47 (0%) ไม่ปกติ 4.3 3.8 3.20 0.2 15.5 5.0 25 [1-37] (ตอ่ แสนประชากร, 2559) 9. SDG17 หุ้นส่วนความรว่ มมือเพอ่ื การพัฒนาท่ยี ัง่ ยนื (1 ตวั ช้ี วัด) 9.1 สดั สว่ นของประเทศท่มี ีการลงทะเบียน SDG 31 (34.0%)* ไม่ปกติ 78 87 21.24 10 100 87 8 [1-22] การตายได้สมบูรณ์ (%, 2552-2560) 17.19.2+ รวม 49 ตวั ช้ีวดั (2552-2561) - ประเภทตัวชวี้ ดั - กรณที ี่คา่ ขอ้ มลู มเี ครื่องหมาย >, ≥, < ได้ ปรับคา่ เพิม่ และลดหน่งึ สว่ นตามความ +ตัวช้ีวัดสขุ ภาพภาพรวม เชิงบวก 4 ตัวช้วี ัด - ตัวช้ีวัด SDGs ด้านสุขภาพ เชิงบวก 18 ตวั ชว้ี ดั และเชงิ ลบ 25 ตัวชว้ี ดั เหมาะสม - การจัดระดบั การพัฒนาด้านสุขภาพของประเทศไทยในเอเชียจากอันดับตามรายตวั ช้ีวัด * ตวั ช้ีวดั SDGs ด้านสขุ ภาพท่มี คี า่ สูญหาย Top Third 17 ตวั ชวี้ ดั Middle Third 14 ตัวชวี้ ัด Bottom Third 11 ตัวชี้วัด NA 5 ตัวชว้ี ดั (10.6%) มากกว่า 20% และไมม่ ขี ้อมูลของ (36.2%) (29.8%) (23.4%) ประเทศไทย จำ� นวน 13 ตัวช้ีวดั ตดั ออกใน การวเิ คราะห์ปจั จยั **ตวั ช้ีวัดทม่ี ีการแจกแจงขอ้ มูลไมป่ กตแิ ละมคี ่าสดุ โต่งหรือผิดปกตมิ าก จำ� นวน 3 ตวั ช้วี ดั ตัดออกในการวิเคราะห์ปจั จยั ตัวชวี้ ดั SDGs ดา้ นสุขภาพทีต่ ัดออก 16 ตวั ช้ีวดั จาก 43 ตวั ชี้วดั ตวั ชวี้ ดั SDGs ดา้ นสขุ ภาพในการวเิ คราะห์ (37.2%) ปจั จยั ทง้ั สน้ิ 27 ตวั ชว้ี ดั ภาพที่ 1 ผลการจดั กลมุ่ ประเทศในเอเชยี ตามตัวช้ีวัด SDGs ด้านสขุ ภาพ จำ� แนกตามกลุ่มประเทศ ภูมิภาค และระดับรายได้ ปที ่ ี 45  ฉบับท่ ี 2  เมษายน - มถิ ุนายน 2563 | 115

การจัดกล่มุ ประเทศในเอเชยี ประเทศ จำ� นวน (รอ้ ยละ) ระยะหา่ งจากคา่ กลางของกล่มุ เรยี งจากมากไปน้อย กลุ่มท่ี 1 : กลุม่ ประเทศท่มี ีการพฒั นา 6 (12.8) เกาหลีใต้ บรไู นดารุสซาลาม อิสราเอล ญีป่ ุ่น ไซปรัส สงิ คโปร์ SDGs ด้านสุขภาพสูง 5.75 - 2.87 กลุ่มที่ 2: กลุ่มประเทศที่มีการพฒั นา 21 (44.7) เลบานอน โอมาน มลั ดฟี ส์ กาตาร์ คาซัคสถาน คูเวต ซาอดุ ิอาระเบีย อุชเบกสิ ถาน SDGs ดา้ นสขุ ภาพปานกลาง อิหร่าน ศรลี ังกา อาหรบั เอมเิ รตส์ เตริ ก์ เมนิสถาน จีน จอร์เจยี จอร์แดน บาห์เรน อาเซอร์ไบจา ไทย มาเลเชยี อารเ์ มเนยี ตุรกี 7.57 - 2.37 กลุ่มท่ี 3: กลุ่มประเทศทมี่ ีการพัฒนา 20 (42.5) เยเมน มองโกเลีย ซีเรยี อฟั กานสิ ถาน อริ กั อนิ เดยี เกาหลีเหนอื บงั กลาเทศ ปากสี ถาน SDGs ด้านสุขภาพต่ำ� ภฏู าน ทาจกิ ิสถาน คีร์กซี สถาน ฟิลิปปนิ ส์ เวยี ดนาม อินโดนีเชีย ตมิ อร-์ เลสเต กมั พชู า เนปาล ลาว เมียนมาร์ 6.57 – 2.16 รายชื่อประเทศในแตล่ ะกลมุ่ เรยี งตามระยะหา่ งจากค่ากลางของกลุ่มประเทศนั้นๆ ตารางท่ี 2 ความแตกต่างของอายุคาดเฉล่ียเม่ือแรกเกิดและอายุคาดเฉล่ียของการมีสุขภาพดีเม่ือแรกเกิดของกลุ่มประเทศในเอเชียตาม การพฒั นา SDGs ดา้ นสขุ ภาพ การจดั กล่มุ ประเทศในเอเชยี จำ� นวนประเทศ อายุคาดเฉลยี่ เมือ่ แรกเกิด (ป)ี (รอ้ ยละ) Mean Std.Dev. Min Max คา่ สถิติ กลมุ่ ท่ี 1: กลุ่มประเทศท่มี ีการ 6 (12.8) 81.5 2.76 76.4 84.2 Shapiro-Wilk .98 df 44 Sig. พฒั นา SDGs ด้านสขุ ภาพสงู .73 กลุม่ ที่ 2: กลุ่มประเทศทีม่ ีการ 21 (44.7) 75.1 2.57 68.2 79.1 Levene .37 df .2, 44 Sig. .69 พฒั นา SDGs ด้านสขุ ภาพปาน 20 (42.5) 69.0 3.19 F 51.16 df 2, 44 P < .05 กลาง Bonferroni “1, 2 *1,3 *2,3 กลุ่มท่ี 3: กลุม่ ประเทศที่มีการ 62.6 76.3 พัฒนา SDGs ดา้ นสุขภาพตำ�่ รวม 47 (100.0) 73.3 5.13 62.6 84.2 อายคุ าดเฉลยี่ ของการมสี ขุ ภาพดีเมื่อแรกเกดิ (ปี) กล่มุ ท่ี 1: กลมุ่ ประเทศที่มกี าร 6 (12.8) 73.0 2.81 67.9 76.2 Shapiro-Wilk .98 df 44 Sig พฒั นา SDGs ดา้ นสขุ ภาพสูง .58 กลุ่มท่ี 2: กล่มุ ประเทศทีม่ ีการ 21 (44.7) 66.1 1.85 61.4 69.8 Levene 3.516 df .2, 44 Sig. พัฒนา SDGs ด้านสขุ ภาพปาน กลาง .04 Welch 42.97 df 2, 13 P < .05 กลุม่ ที่ 3: กลมุ่ ประเทศที่มีการ 20 (42.5) 60.3 3.47 53.0 67.5 Games-Howell “1, 2 *1,3 พฒั นา SDGs ดา้ นสุขภาพต�่ำ *2,3 รวม 47 (100.0) 64.5 5.07 53.0 76.2 116 | วารสารกรมการแพทย์

ภาพท่ี 2 ผลการวเิ คราะห์ปจั จยั SDGs ด้านสุขภาพ (27 ตัวชวี้ ัด) คา่ ไอเกน คา่ ความรว่ มกนั ของตวั ชี้วัด ค่าสัมประสิทธอ์ิ งค์ประกอบ ค่าความแปรปรวนสะสม (7 องคป์ ระกอบ/ปจั จยั ) Total Variance Explained Com- Total Rotation Sums of Squared ponent Initial Loadings Eigen Values Total % of Cumulative Variance % 1 9.778 3.701 13.7 13.7 2 2.730 3.664 13.6 27.3 3 2.409 3.297 12.2 39.5 4 1.773 2.687 10.0 49.4 5 1.497 2.604 9.7 59.1 6 1.148 2.513 9.3 68.4 7 1.090 1.958 7.2 75.7 Extraction Method: Principal Component Analysis. Rotated Component Matrixa Variable# Communalities Component: Factor loading score 1 2 3456 7 Zscore(CSDG 3.c.1.1) 0.80 -.862 Zscore(CSDG 2.2.2) 0.72 .743 Zscore(CSDG 3.c.1.2) 0.75 -.651 Zscore(CSDG 2.2.1) 0.71 -.534 Zscore(CSDG 3.1.1) 0.90 .511 Zscore(CSDG 3.7.2) 0.77 -.846 Zscore(CSDG 16.1) 0.65 .701 Zscore(CSDG 3.2.2) 0.92 .576 Zscore(CSDG 3.8.1) 0.85 .555 Zscore(CSDG 3.2.1) 0.91 .551 Zscore(CSDG 3.c.1.4) 0.68 -.766 Zscore(CSDG 3.c.1.3) 0.84 -.737 Zscore(CSDG 7.1) 0.58 .724 Zscore(CSDG 3.3.2) 0.72 .579 Zscore(CSDG 3.4.1) 0.72 -.795 Zscore(CSDG 3.9.3) 0.78 .698 Zscore(CSDG 3.3.4) 0.67 .660 Zscore(CSDG 11.6) 0.82 .836 Zscore(CSDG 3.6.1) 0.78 .795 Zscore(CSDG 3.9.1) 0.83 -.609 Zscore(CSDG 3.a.1) 0.70 .804 Zscore(CSDG 3.b.1.1) 0.85 .633 Zscore(CSDG 3.d.1) 0.50 .631 Zscore(CSDG 3.b.1.2) 0.82 .593 ปที  ่ี 45  ฉบับท ่ี 2  เมษายน - มิถุนายน 2563 | 117

Rotated Component Matrixa Variable# Communalities Component: Factor loading score 1 2 3456 7 -.809 Zscore(CSDG 3.5.2) 0.75 .774 .394 Zscore(CSDG 3.4.2) 0.85 Zscore(CSDG 1.a.2) 0.60 # ตัวแปรทีไ่ ดม้ ีการประมาณและแทนคา่ สญู หาย จัดการความเบ้และความโดง่ และท�ำการแปลงขอ้ มลู ในรปู คะแนนมาตรฐาน (Standardized) Extraction Method: Principal Component Analysis. Rotation Method: Varimax with Kaiser Normalization. a. Rotation converged in 9 iterations. ตารางที่ 3 ผลการวเิ คราะหถ์ ดถอยพหขุ องอายคุ าดเฉลย่ี เมอื่ แรกเกดิ และอายคุ าดเฉลยี่ ของการมสี ขุ ภาพดเี มอื่ แรกเกดิ กบั ปจั จยั การพฒั นา SDGs ดา้ นสุขภาพ ประเภทตัวแปร ตัวแปรตาม สมการพยากรณ์ ตวั แปรอิสระ 1. อายคุ าดเฉลยี่ เม่อื สมการพยากรณใ์ นรปู คะแนนดิบ Y1 = a + B1X1 + B2X2 + B3X3 + B4X4 + B5X5 + B6X6 + B7X7 1. ปัจจยั ดา้ นแม่ โภชนาการเด็ก และ แรกเกิด (Y1) = 73.313 - 1.247 X1 – 2.883 X2 -1.829 X3 – 2.146 X4 - 1.572 X5 – 1.425 X6 + 1.006 X7 บุคลากรทางการแพทยแ์ ละสาธารณสขุ หลกั สมการพยากรณ์ในรปู คะแนนมาตรฐาน Z1 = β1Z1 + β2Z2 + β3Z3 + β4Z4 + β5Z5 + β6Z6 + β7Z7 (X1) = - 0.243 Z1 - 0.563 Z2 - 0.357 Z3 – 0.419 Z4 – 0.307 Z5 – 0.278 Z6 + 0.196 Z7 2. ปัจจัยด้านหลกั ประกนั สุขภาพ เดก็ เล็ก ค่าสถติ ิ R = 0.943, R2 = 0.888, Adjusted R2 = 0.868, Std.error = 1.860, F =44.319 df 7, และวยั รนุ่ และการถูกท�ำรา้ ย (X2) 39 P < 0.01 3. ปัจจัยด้านส่ิงแวดล้อมและบคุ ลากร สมการพยากรณ์ในรปู คะแนนดิบ ทางการแพทยแ์ ละสาธารณสุขสนับสนนุ (X3) Y2 = a + B1X1 + B2X2 + B3X3 + B4X4 + B5X5 + B6X6 + B7X7 4. ปจั จัยดา้ นโรคติดต่อและโรคไม่ติดตอ่ ที่ = 64.532 - 1.672 X1 – 2.816 X2 -1.497 X3 – 2.016 X4 - 1.832 X5 – 1.065 X6 + 1.256 X7 ส�ำคญั (X4) 2. อายคุ าดเฉล่ยี ของ สมการพยากรณใ์ นรปู คะแนนมาตรฐาน 5. ปัจจัยดา้ นมลพิษทางอากาศและความ การมีสุขภาพดเี มื่อ Z2 = β1Z1 + β2Z2 + β3Z3 + β4Z4 + β5Z5 + β6Z6 + β7Z7 ปลอดภยั ทางถนน (X5) แรกเกดิ (Y2) = - 0.330 Z1 - 0.556 Z2 - 0.295 Z3 – 0.398 Z4 – 0.362 Z5 – 0.210 Z6 + 0.248 Z7 6. ปัจจัยดา้ นการป้องกันและควบคมุ โรค ค่าสถติ ิ (X6) R = 0.948, R2 = 0.899, Adjusted R2 = 0.881, Std.error = 1.745, F =49.833 df 7, 7. ปัจจัยด้านสขุ ภาพจติ และรายจา่ ยดา้ น 39 P < 0.01 สขุ ภาพ (X7) สรุป ได้ 7 ปัจจัย (ดา้ นแม่ โภชนาการเดก็ และบุคลากรทางการแพทย์ ผลจากการศึกษาจัดกลุ่มประเทศในเอเชียในปี 2562 และสาธารณสุขหลัก, ด้านหลักประกันสุขภาพ เด็กเล็กและวัยรุ่น และการถูกท�ำร้าย, ด้านสิ่งแวดล้อมและบุคลากรทางการแพทย์ ประเทศไทยจดั อยใู่ นกลมุ่ ประเทศทมี่ กี ารพฒั นา SDGs ดา้ นสขุ ภาพ และสาธารณสขุ สนบั สนนุ , ดา้ นโรคตดิ ตอ่ และโรคไมต่ ดิ ตอ่ ทส่ี ำ� คญั , ปานกลาง โดยมี SDGs ด้านสุขภาพ ทอ่ี ยูใ่ นระดบั Bottom Third ดา้ นมลพษิ ทางอากาศและความปลอดภยั ทางถนน, ดา้ นการปอ้ งกนั 10 ตวั ช้วี ดั ไดแ้ ก่ อบุ ตั ิเหตุทางถนน การฆ่าตัวตาย การถูกท�ำร้าย และควบคมุ โรค และปจั จยั ดา้ นสขุ ภาพจติ และรายจา่ ยดา้ นสขุ ภาพ) การบรโิ ภคแอลกอฮอล์ วัณโรค การคลอดในวัยรุ่น บุคลากรแพทย์ สามารถพยากรณ์อายุคาดเฉล่ียเมื่อแรกเกิดและอายุคาดเฉลี่ยของ และทันตแพทย์ และเงินช่วยเหลือ เพอ่ื การพฒั นา รวมท้งั รายจ่าย การมสี ุขภาพดไี ด้ร้อยละ 86.8 และ 88.1 ตามล�ำดบั สุขภาพตอ่ ผลติ ภณั ฑ์มวลรวม ในขณะที่คนไทยมี HALE 66.8 ปี อยู่ ในระดบั Top Third สงู กว่าคา่ กลางของเอเชยี และจดั กลมุ่ ปัจจยั 118 | วารสารกรมการแพทย์

ข้อเสนอแนะ จดั ลำ� ดบั ความสำ� คญั คาดการณ์ บรู ณาการวางแผนพฒั นานโยบาย การศึกษานี้เป็นครั้งแรกท่ีได้พัฒนาแนวทางและเครื่อง ยุทธศาสตร์ แผน และบริหารขับเคลื่อนการพัฒนาสุขภาพและ ประเทศที่หลากหลายข้ามเป้าหมายและสาขาอย่างรอบด้านที่ มือบนพื้นฐานของเง่ือนไขและข้อจ�ำกัดท่ีมีอยู่ จึงจ�ำเป็นต้องเฝ้า สามารถเปน็ ตวั เรง่ สกู่ ารบรรลเุ ปา้ หมาย SDGs และยทุ ธศาสตรช์ าติ ระวังติดตามสถานการณ์ พัฒนาระบบข้อมูลติดตามประเมินผล ด้านสาธารณสุขตามท่ีก�ำหนดไว้ และเคร่ืองมือในเชิงยืนยันและศึกษาอนาคตการณ์ให้มีความ เหมาะสมตอ่ ไป โดยสามารถใช้เปน็ แนวทางทบทวนและตรวจสอบ References 13. Landau S, Everitt BS. A handbook of statistical analyses using SPSS. Florida: Chapman & Hall/ CRC Press LLC; 2004. 1. Economic and Social Commission for Asia and the Pacific, United Nations. Regional roadmap for implementing the 2030 14. Thanomsieng N. Multiple regression analysis. (cited 2019 Apr agenda for sustainable development in Asia and the Pacific. 9). Available form: URL; http://home.kku.ac.th/nikom Bangkok: ESCAP; 2017. 15. Suchatsoonthorn C, Sealim S. Thailand’s national and health 2. Global Taskforce of Local and Regional Governments. development status in the World and Asia. JHS 2019; 28:577- Roadmap for localizing the SDGs: Implementation and 90. monitoring at subnational level. GTF: @GlobalTaskforce; 2016. 16. Sealim S. Classification of countries in Asia based on health 3. United Nations.The sustainable development goals report development conditions under the goals of twenty-year 2019. New York: UN; 2019. national strategic plan for public health (2017-2036). Journal of the Department of Medical Services 2018; 43:101-12. 4. BertelsmannStiftung, Sustainable Development Solutions Network. Sustainable development report 2019: 17. Sealim S. Classification of countries in Asia based on health Transformations to achieve the sustainable development determinants. Reg 11 Med J 2018;32: 1297-314. goals includes the SDG index and dashboards. New York: Pica Publishing Ltd; 2019. 18. United Nations. Transforming our world: The 2030 Agenda for sustainable development A/RES/70/1. New York: UN; 2015. 5. World Health Organization. World health statistics 2019: Monitoring health for the SDGs, sustainable development 19. International Health Policy Program, Ministry of Public Health. goals. Geneva: WHO; 2019. Prediction of Thai’s Health adjusted life expectancy: HALE (2015-2030). Nonthaburi: International Health Policy Program; 6. Office of the National Economics and Social Development 2017. Board. SDGs Thailand for driving 17 goals Road map. RSDGs J 2017;4:2-6, 2-34. 20. GBD 2017 DALYs and HALE Collaborators. Global, regional, and national disability-adjusted life-years (DALYs) for 359 7. Secretariat of the National Strategy Board, Office of the diseases and injuries and healthy life expectancy (HALE) National Economics and Social Development Board. for 195 countries and territories, 1990-2017: A systematic Thailand’s 20-year National Strategy (2018-2037). 1st ed. analysis for the Global Burden of Disease Study 2017. Bangkok: NESDB; 2561. Lancet;2018:1859-922. 8. Strategy and Planning Division, Office of the Permanent 21. World Health Organization. Global status report on road Secretary, Ministry of Public Health. Twenty-year national safety 2018. Geneva: WHO; 2018. strategic plan for public health (2017-2036). 2nd ed. Nonthaburi: Strategy and Planning Division; 2018. 22. United Nations Population Fund. Girlhood, not motherhood: Prevention adolescent pregnancy. New York: UNFPA; 2015. 9. Strategy and Planning Division, Office of the Permanent Secretary, Ministry of Public Health. Roadmap for SDGs 23. International Institute for Applied Systems Analysis. development of goal 3: Good health and well-being. Transformations to achieve the sustainable development Nonthaburi: Strategy and Planning Division; 2017. goals: Report prepared by the world in 2050 initiative. Laxenburg: IIASA; 2018. 10. International Business Machines. IBM SPSS missing values 21. New York: IBM; 2012. 24. United Nations Research Institute of Social Development. Policy innovations for transformative change: Implementing 11. Garson GD. Missing values analysis & data imputation. the 2030 agenda for sustainable development. Geneva: Asheboro: Statistical Publishing Associates, 2015. UNRISD; 2016. 12. Sangsuriyong R. The application of statistical package in social 25. The Partnering Initiative. Maximising the impact of partnerships sciences: Data exploratory. (cited 2019 Apr 9). Available form: for the SDGs: A practical guide to partnership value creation. URL; http://www.huso.buu.ac.th/rewat 1st ed. New York: TPI and UN; 2019. ปีที ่ 45  ฉบบั ท่ี 2  เมษายน - มถิ ุนายน 2563 | 119

นิพนธต์ น้ ฉบบั พฤติกรรมความปลอดภัยในการท�ำงานของอาสาสมคั รกชู้ ีพ จังหวัดชลบุรี จติ อารยี ์ จอดสันเทยี ะ วท.ม., นภิ า มหารัชพงศ์ Ph.D, ยุวดี รอดจากภัย Dr.P.H. คณะสาธารณสขุ ศาสตร์ มหาวิทยาลยั บรู พา ตำ� บลแสนสขุ อ�ำเภอเมอื งชลบรุ ี จังหวดั ชลบรุ ี 20131 Abstract: Safety Behaviors of Emergency Medical Responder Working in Chonburi Jodsuntea J, Maharachpong N, Rodjapuy Y Faculty of Public Health, Burapa University, Saen Suk, Mueang Chonburi, Chonburi 20131 (E-mail: [email protected].) (Received: July 18, 2019; Revised: December 11, 2019; Accepted: March 3, 2020) Background: The purpose of this cross – sectional descriptive research. Objective: was to study the behavior and the predictive factors in working of Emergency Medical Responder in Chonburi. Method: The participants were 315 emergency medical responder (EMR) to be selected by multi stage sampling method. The questionnaire was designed to collect data including personal factors, health belief factors, social instrumental support factors, and work behavior of volunteer rescuers. Descriptive Statistics were used to analyze data including frequency, percentage, mean, standard deviation, pearson product moment correlation coefficient, and multiple linear regression. Result: The results showed work behavior of EMR occurred at high level and factors influencing work behavior of EMR were as follow: social instrumental support, social emotional support, health belief, perceived severity and perceived benefits which these factors could predict safety behavior at 27.7 percent by writing the following equation: Y = 79.430 + 1.099X11 + 0.429X10 + 0.582X8 + 0.389X7 X11 = Social instrumental support X10 = Emotional support X8 = Perceived benefits X7 = Perceived severity Conclusion: Moreover, the results indicated that social instrumental support, encouragement from family and colleagues, promotion of perceived benefits, and perceived severity would increase the work safety of EMR. Keyword: Safety behaviors, Emergency medical responder. บทคัดย่อ พรรณนา ไดแ้ ก่ การแจกแจงความถี่ รอ้ ยละ คา่ เฉลย่ี และสว่ นเบยี่ ง ภมู หิ ลงั : การศกึ ษาครง้ั นเ้ี ปน็ การวจิ ยั ตดั ขวาง วตั ถปุ ระสงค:์ เบนมาตรฐาน สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สันและการวิเคราะห์ เพ่ือศึกษาพฤติกรรมและปัจจัยท�ำนายพฤติกรรมความปลอดภัย ถดถอยพหแุ บบขนั้ ตอน ผล: ผลการศกึ ษาพบว่า พฤติกรรมความ ในการท�ำงานของอาสาสมัครกู้ชีพจังหวัดชลบุรี วิธีการ: กลุ่ม ปลอดภยั ในการทำ� งานของอาสาสมคั รกชู้ พี อยใู่ นระดบั ดแี ละปจั จยั ตัวอย่างคือ อาสาสมัครกู้ชีพในเขตจังหวัดชลบุรีจ�ำนวน 315 คน ทมี่ อี ำ� นาจทำ� นายพฤตกิ รรมการทำ� งานของอาสมคั รกชู้ พี ไดแ้ ก่ แรง สุ่มตัวอย่างโดยการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน เก็บข้อมูลด้วย สนับสนุนทางสังคมด้านวัสดุอุปกรณ์ แรงสนับสนุนทางสังคมด้าน แบบสอบถาม ซ่ึงประกอบด้วย ปัจจัยส่วนบุคคล ความเชื่อด้าน อารมณ์ ความเชื่อด้านสุขภาพด้านการรับรู้ความรุนแรง และการ สุขภาพ แรงสนับสนุนทางสังคม และพฤติกรรมความปลอดภัย รับรู้ประโยชน์ โดยตัวแปรเหล่าน้ีสามารถร่วมท�ำนายพฤติกรรม ในการท�ำงานของอาสาสมัครกู้ชีพ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิง ความปลอดภัยในการท�ำงานไดร้ ้อยละ 27.7 สามารถเขยี นสมการ 120 | วารสารกรมการแพทย์

ท�ำนายไดด้ ังน้ี เป็นอาสาสมัครกู้ชีพจึงมีบทบาทส�ำคัญในการปฏิบัติงานช่วยเหลือ Y = 79.430 + 1.099X11 + 0.429X10 + 0.582X8 + ผปู้ ว่ ย ณ จดุ เกดิ เหตุ ชว่ ยแกไ้ ขปญั หาในการชว่ ยเหลอื ดา้ นการแพทย์ สำ� หรบั ผเู้ จบ็ ปว่ ยฉกุ เฉนิ ณ จดุ เกดิ เหตทุ ส่ี ำ� คญั คอื ความลา่ ชา้ ในการ 0.389X7 ดแู ล การดูแลรกั ษาทไี่ ม่ถกู วธิ แี ละการน�ำส่งโรงพยาบาลทไ่ี มเ่ หมาะ X11 = แรงสนับสนนุ ทางสงั คมดา้ นวสั ดุอปุ กรณ์ สม เพราะปัญหาทั้ง 3 ประการดังกล่าวอาจน�ำไปสู่การเสียชีวิต X10 = แรงสนับสนุนด้านอารมณ์ การพิการ การทุกข์ทรมาน ความยุ่งยากในการรักษา ความสูญ X8 = การรับรู้ประโยชน์ เสียทางเศรษฐศาสตร์ และความเดือดร้อนของประชาชนโดยไม่ X7 = การรบั รคู้ วามรนุ แรง จำ� เป็น3 สรุป: จากผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่าให้แรงสนับสนุนทาง จากบรบิ ทของการทำ� งานอาสาสมคั รกชู้ พี มโี อกาสสมั ผสั กบั สังคมด้านวัสดุอุปกรณ์ การได้รับกำ� ลังใจจากครอบครัวและเพ่ือน ปจั จัยอันตรายต่อสขุ ภาพ ทง้ั สภาพแวดล้อมการทำ� งาน และสภาพ ร่วมงาน การส่งเสริมรับรู้ประโยชน์และการรับรู้ความรุนแรง จะ การทำ� งานทส่ี ง่ ผลเสยี ดา้ นสขุ ภาพ คอื การเจบ็ ปว่ ยและบาดเจบ็ ทง้ั ท�ำให้อาสาสมัครกู้ชีพมีพฤติกรรมความปลอดภัยในการท�ำงาน เฉยี บพลันและระยะยาว4 นอกจากนยี้ ังมีความเส่ียงทจี่ ะเกดิ ข้นึ กบั เพิม่ มากขึน้ ลกั ษณะงานของทมี ปฏิบัติการการแพทย์ฉุกเฉิน ณ จุดเกดิ เหตุ ซึ่ง เป็นการปฏิบัติงานนอกเขตสถานพยาบาลไม่สามารถจ�ำกัดสถานที่ ค�ำสำ� คญั : พฤตกิ รรมความปลอดภัย อาสาสมัครกู้ชีพ สภาพแวดลอ้ มรอบดา้ น ผปู้ ฏบิ ตั จิ ะตอ้ งพรอ้ มปฏบิ ตั งิ านในทกุ สถานท่ี บทนำ� ทุกสภาพแวดล้อม ดังนั้นในการปฏิบัติของอาสาสมัครกู้ชีพจึงมี ความเสี่ยงสูง จากลักษณะของงานที่มีความเสี่ยงสูง สถาบันการ ภาวการณเ์ จบ็ ปว่ ยดว้ ยภาวะฉกุ เฉนิ เปน็ อบุ ตั กิ ารณเ์ จบ็ ปว่ ย แพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ จึงมีมาตรฐานในการป้องกันและลดความ ทเ่ี กดิ ขนึ้ โดยฉบั พลนั เปน็ ภาวะวกิ ฤตติ อ่ ชวี ติ และมคี วามเสย่ี งรนุ แรง เสยี่ งทจี่ ะเกดิ ขน้ึ จากการปฏบิ ตั งิ านแตจ่ ากการศกึ ษาการเกบ็ ขอ้ มลู ตอ่ การเสยี ชีวติ และเกิดความพกิ ารระยะยาวในผ้ปู ่วย หากไม่ไดร้ ับ อุบัติการณ์ของการให้บริการการแพทย์ฉุกเฉินในปี 2557 พบว่า การช่วยเหลือและรักษาภาวะฉุกเฉินอย่างเหมาะสม ถูกต้อง และ มีถึงร้อยละ 88 ท่ีเกิดอันตรายในการท�ำงานท่ีเกิดจากสาเหตุเกิด ทันท่วงที พร้อมกับน�ำส่งต่อระบบบริการขั้นสูงอย่างรวดเร็วและมี จากบคุ คลหรือตวั เจ้าหนา้ ทผ่ี ู้ปฏบิ ัติ เช่น การแต่งกายไม่เหมาะสม ประสทิ ธภิ าพ1 องคก์ ารอนามยั โลกประมาณการวา่ ในแตล่ ะปมี คี น ไมส่ วม ชดุ ปอ้ งกนั มที ศั นคตไิ มด่ ตี อ่ ความปลอดภยั อปุ นสิ ยั ไมด่ ี ขาด กวา่ 5 ลา้ นคนทวั่ โลกบาดเจบ็ จนถงึ ขน้ั เสยี ชวี ติ จากอบุ ตั เิ หตุ สำ� หรบั ประสบการณ์ สภาพร่างกายไม่พร้อมที่จะท�ำงาน2 เมื่อเกิดปัจจัย ประเทศไทยน้ัน จากสถิติของกระทรวงสาธารณสุข ระบุว่าการ เหล่านี้ย่อมส่งผลกระทบต่ออาสาสมัครกู้ชีพและผู้ป่วยท่ีถูกช่วย เจ็บป่วยฉุกเฉินท้ังจากอุบัติเหตุ (รวมการได้รับสารพิษและการถูก เหลอื อนั ตรายที่เกิดข้ึนเหลา่ นสี้ ามารถปอ้ งกันได้ เพอ่ื ลดอันตราย ท�ำรา้ ย) และภาวะโรคหัวใจ หรือหลอดเลือดเป็นสาเหตสุ �ำคัญของ ในการทำ� งาน การพจิ ารณาถงึ พฤตกิ รรมการทำ� งานของอาสาสมคั ร การเจ็บปว่ ยฉุกเฉนิ และกอ่ ให้เกดิ การตายทส่ี �ำคญั ในอนั ดบั ท่ี 2 ถงึ กู้ภัยจึงมีความส�ำคัญ ในฐานะผู้ให้บริการด้านสุขภาพเพราะภาวะ 4 ของประชากรไทย การสง่ เสรมิ ใหผ้ ปู้ ว่ ยฉกุ เฉนิ เหลา่ นสี้ ามารถเขา้ ดังกล่าวส่งผลต่อประสิทธิภาพปฏิบัติงาน เพ่ือให้มีความปลอดภัย ถงึ ระบบบรกิ ารการแพทยฉ์ กุ เฉนิ กอ่ นมาโรงพยาบาล (pre-hospital ท้งั ขณะปฏบิ ัตงิ าน ขณะเดินทาง จนนำ� สง่ ผู้ป่วยฉุกเฉนิ ถึงจดุ หมาย care) ทม่ี มี าตรฐาน และรวดเรว็ ทจ่ี ดุ เกดิ เหตจุ งึ จะสามารถลดอตั รา ปลายทางโดยปลอดภัย การตาย และภาวะแทรกซอ้ นทง้ั ในระยะสน้ั และระยะยาวไดอ้ ยา่ งมี ประสิทธิภาพ2 จาการทบทวนวรรณกรรมที่เก่ียวข้องกับพฤติกรรมความ ปลอดภยั ในการทำ� งาน พบวา่ ความเชอื่ ดา้ นสขุ ภาพสามารถกำ� หนด องค์การอนามัยโลกได้ก�ำหนดให้ มีการพัฒนาระบบการ พฤตกิ รรมความปลอดภยั ในการทำ� งานงานได้ โดยมกี ารศกึ ษาพบวา่ แพทย์ฉุกเฉินข้ึนมาในทุกประเทศทั่วโลก โดยมีเป้าหมายให้ผู้ป่วย หากบคุ คลมคี วามเชอ่ื ดา้ นสขุ ภาพ ไมว่ า่ จะเปน็ การรบั รโู้ อกาสเสยี่ ง ฉุกเฉินในระดับต่างๆ ทั่วโลกสามารถเข้าถึงบริการอย่างรวดเร็ว การรบั รคู้ วามรนุ แรง การรบั รปู้ ระโยชน์ และการรบั รอู้ ปุ สรรค ทอ่ี ยู่ มีประสิทธิภาพ ทั่วถึง และเท่าเทียมกัน ประเทศไทยก็เป็นหน่ึง ในระดับมากจะส่งผลต่อพฤติกรรมความปลอดภัยในการท�ำงาน6 ในสมาชิกองค์การอนามัยโลกที่ตอบสนองพันธกิจดังกล่าว โดย และยังพบอีกว่าแรงสนับสนุนทางสังคมก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยท่ีส่งผล กระทรวงสาธารณสุขซ่ึงเป็นผู้ประสานงานได้ก�ำหนดนโยบายและ ต่อพฤติกรรมความปลอดภัยในการท�ำงานเช่นกัน จากการศึกษา แผนยทุ ธศาสตรก์ ารแพทยฉ์ กุ เฉนิ แหง่ ชาติ รว่ มกบั ภาคโี รงพยาบาล ปัจจัยท่ีสะท้อนความสุขจากครอบครัว ความสุขจากความมีน�้ำใจ และองคก์ รภาคีระดับตา่ งๆ ผลของนโยบายดงั กล่าว กอ่ ให้เกดิ การ การใส่ใจ ให้ความส�ำคัญสังคมรอบข้างเป็นปัจจัยที่ส่งอิทธิพลต่อ จัดตั้งระบบการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (Emergency medical สมดุลชีวิตกับการท�ำงาน ได้สะท้อนให้เห็นว่าบุคคลมีพฤติกรรม service) โดยท่ีระบบการช่วยเหลือก่อนถึงโรงพยาบาลยังพบ การท�ำงานทด่ี ีขึ้น7 ปญั หาในการดำ� เนนิ การ และการปฏบิ ตั งิ านเนอื่ งจากพบปญั หาการ ขาดแคลน แพทย์ พยาบาล พนักงานก้ชู พี ทมี่ คี วามเชย่ี วชาญ ใน ดังน้ัน ผู้ศึกษาจึงมีความสนใจท่ีจะศึกษาพฤติกรรมความ การชว่ ยเหลือผู้ประสบภาวะฉกุ เฉนิ ให้มีประสิทธิภาพ ผู้ปฏิบตั ิงาน ปีท่ี 45  ฉบบั ที่ 2  เมษายน - มถิ ุนายน 2563 | 121

ปลอดภัยในการท�ำงานของอาสาสมัครกู้ชีพ เพ่ือจะน�ำผลท่ีได้มา วตั ถแุ ละวธิ กี าร ใช้ในการหาแนวทางการป้องกันอันตรายที่เกิดในการปฏิบัติงาน กรอบแนวคิดในการวิจัยคร้ังน้ี ศึกษาพฤติกรรมความ ของอาสาสมัครกู้ชีพ รวมถึงใช้เป็นแนวทางในการส่งเสริมสุขภาพ ของอาสาสมัครกู้ชีพ เพ่ือประสิทธิภาพในการช่วยเหลือด้านการ ปลอดภยั ในการทำ� งานของอาสาสมคั รกชู้ พี ในจงั หวดั ชลบรุ ี กำ� หนด แพทย์ส�ำหรับผู้เจบ็ ป่วยฉกุ เฉนิ ณ จดุ เกดิ เหตุ ลดการเสยี ชวี ติ การ ปัจจัยท่ีมีผลต่อพฤติกรรมความปลอดภัยในการท�ำงานของอาสา พกิ าร การทกุ ข์ทรมาน ความยุ่งยากในการรกั ษา ความสญู เสียทาง สมัครกู้ชีพจังหวัดชลบุรี ตามแนวคิดทฤษฎี แบบแผนความเช่ือ เศรษฐศาสตร์และความเดือดรอ้ นของประชาชนโดยไม่จ�ำเปน็ ดา้ นสขุ ภาพ (health belief model) และทฤษฎแี รงสนบั สนนุ ทาง สังคม (social support) ประชากรและกลมุ่ ตวั อยา่ ง คอื อาสาสมัครก้ภู ยั ทผี่ ่านการ เครอื่ งมอื ทใี่ ชใ้ นการวจิ ยั ครง้ั นไ้ี ดใ้ ชแ้ บบสอบถาม มลี กั ษณะ อบรมการปฐมพยาบาลและการช่วยปฏิบัติการแพทย์ขั้นพ้ืนฐาน ของแบบสอบถาม จ�ำแนกเป็น 4 ส่วน ดังนี้ส่วนที่ 1 แบบสอบถาม และขึ้นทะเบียนเป็นสมาชิกกับสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ เกยี่ วกับขอ้ มลู ทวั่ ไปของผู้ตอบแบบสอบถาม ได้แก่ เพศ อายุ ระดบั ในเขตจงั หวดั ชลบุรี จ�ำนวน 2,454 คน ไดจ้ ากการค�ำนวณหาขนาด การศึกษา สถานภาพ ต�ำแหน่งงานที่ปฏิบัติ อายุงานท่ีปฏิบัติงาน กลมุ่ ตวั อย่าง โดยใช้สตู รของแดเนียล กลมุ่ ตวั อย่างท่ีใช้ในการเกบ็ ส่วนท่ี 2 แบบสอบถามความเชื่อด้านสภาพ ได้แก่ การรับรู้โอกาส ข้อมลู ครงั้ นี้เทา่ กับจำ� นวน 315 คน โดยท�ำการสุม่ ตัวอยา่ งโดยการ เส่ียงในการท�ำงาน การรับรู้ความรุนแรงเม่ือเกิดอันตรายจาการ สุ่มตัวอยา่ งแบบหลายช้ันตอน ดงั นี้ ขน้ั ท่ี 1โดยการส่มุ ตวั อย่างแบบ ท�ำงาน การรับรู้ประโยชน์เม่ือมีพฤติกรรมการท�ำงานท่ีเหมาะสม แบง่ ชน้ั ดงั น้ี ตอ้ งการขนาดตวั อยา่ ง คอื อาสาสมคั รกชู้ พี ทง้ั หมด 315 การรับรู้อุปสรรค ส่วนท่ี 3 แรงสนับสนุนทางสังคม ประกอบด้วย คน หน่วยงานของกลุ่มอาสาสมัครกู้ชีพในจังหวัดชลบุรีมีทั้งหมด แรงสนับสนุนด้านอารมณ์ การสนับสนุนด้านวัสดุอุปกรณ์ การ 18 หน่วยปฏิบัติการการณ์กู้ชีพฉุกเฉิน จะแบ่งเป็น 3 กลุ่ม แบ่ง ให้การสนับสนุนด้านข้อมูลและข่าวสาร ส่วนที่ 4 แบบสอบถาม เป็นหน่วยท่ีอยใู่ นเขตอ�ำเภอขนาดใหญ่ เขตอำ� เภอขนาดกลาง และ พฤติกรรมความปลอดภัยในการท�ำงานของอาสาสมัครกู้ชีพ ได้แก่ อ�ำเภอขนาดเลก็ ขั้นที่ 2 การสมุ่ ตัวอย่างแบบยกกล่มุ โดยท�ำสลาก การเตรียมความพร้อมก่อนท�ำงาน การสวมอุปกรณ์และเคร่ืองมือ รายช่ือแต่ละหน่วยแล้วจับสลากรายช่ือหน่วยงานแบบไม่ใส่คืน ป้องกัน การปฏิบัติตามกฎระเบียบในการท�ำงาน หน่วยงานได้รับการจับสลากประกอบด้วยหน่วยงานในเขตอ�ำเภอ ขนาดใหญ่ 1 หนว่ ย เขตอ�ำเภอขนาดกลาง 1 หน่วย และขนาดเล็ก เครื่องมือได้รับการตรวจสอบความตรงเชิงเน้ือหาจาก จำ� นวน 1 หนว่ ย ขน้ั ที่ 3 การสมุ่ ตวั อยา่ งแบบเปน็ ระบบ โดยการแจก ผู้ทรงคุณวุฒิ จ�ำนวน 3 ท่าน โดยใช้ดัชนีความสอดคล้อง และคัด แบบสอบถามตามรายชอ่ื ของอาสมคั รทห่ี นว่ ยปฏบิ ตั กิ ารเขา้ รบั การ เลือกข้อค�ำถามที่มีค่าดัชนีความสอดคล้องตั้งแต่ 0.50 ขึ้นไป น�ำ อบรมการช่วยฟื้นคืนชีพขั้นพืน้ ฐาน แบบสอบถามที่ผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา โดยน�ำไป ทดลองใชก้ บั อาสาสมคั รกชู้ พี ในเขตอำ� เภอปลวกแดง จงั หวดั ระยอง 122 | วารสารกรมการแพทย์

เม่ือวันท่ี 2 กุมภาพันธ์ 2562 จ�ำนวน 30 คน และน�ำผลการทดลอง ปฏิบัติงานของอาสาสมัครกู้ภัยพบว่าส่วนมากมีประสบการณ์การ มาวิเคราะห์ความเชื่อมั่น โดยใช้สัมประสิทธิ์อัลฟาของครอนบาช ท�ำงาน 1 – 5 ปี ร้อยละ 39.0 รองลงมามีประสบการณ์การท�ำงาน ได้ค่าความเท่ียงระหว่าง 0.750 – 0.810 น้อยกว่า 1 ปี ร้อยละ 32.7 มีประสบการณ์การท�ำงาน 6 – 10 ปี ร้อยละ 19.0 และน้อยที่สุดมีประสบการณ์การท�ำงานมากกว่า 10 การวิเคราะห์ข้อมูล ในส่วนของข้อมูลบุคคลใช้สถิติเชิง ปี ร้อยละ 9.2 ประวัติการเจ็บป่วยจากการท�ำงานพบเพียงร้อยละ พรรณนาในการบรรยายขอ้ มลู พน้ื ฐาน และใชส้ ถิติวิเคราะห์ วเิ คราะห์ 6.0 ที่มีประวัติการเจ็บป่วยจากการท�ำงาน ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งตวั แปรอสิ ระกบั ตวั แปรตามว่ามคี วามสมั พนั ธ์ กันหรือไม่ และสัมพันธ์กันอย่างไรความสัมพันธ์อาจจะเป็นไปใน ปัจจัยท่ีสัมพันธ์กับพฤติกรรมความปลอดภัยในการท�ำงาน ทิศทางเดียวกันหรือทิศทางตรงกันข้ามก็ได้ ซึ่งความสัมพันธ์ของ ของอาสาสมคั รกชู้ พี พบวา่ แรงสนบั สนนุ ทางสงั คมดา้ นวสั ดอุ ปุ กรณ์ ตัวแปรและทิศทางของความสัมพันธ์นั้นสามารถทราบได้จาก (r = 0.459) มีความสัมพันธ์ทางบวกในระดับกลางกับพฤติกรรม ค่าสัมประสิทธ์ สหสัมพันธ์ (r) ส่วนการวิเคราะห์ตัวแปรที่เป็น ความปลอดภัยในการท�ำงานของอาสาสมัครกู้ชีพ อย่างมีนัยส�ำคัญ ปจั จยั ทส่ี มั พนั ธก์ บั พฤตกิ รรมการทำ� งานของอาสาสมคั รกชู้ พี ใชก้ าร ทางสถิติท่ีระดับ p <0.01 ตัวแปรทุกตัวมีความสัมพันธ์ในระดับ วเิ คราะหถ์ ดถอยพหแุ บบขนั้ ตอน การศกึ ษาครั้งนไี้ ด้ผา่ นการอนมุ ตั ิ น้อยกับพฤติกรรมความปลอดภัยในการท�ำงานของอาสาสมัคร จากคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยมหาวิทยาลัยบูรพา กู้ชีพ ยกเว้นแรงสนับสนุนทางสังคมด้านการสนับสนุนวัสดุอุปกรณ์ ผล มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมความปลอดภัยในการท�ำงานของ อาสมัครกู้ชีพอย่างมีนัยส�ำคัญทางสถิติท่ีระดับ p <0.01 ขณะท่ี จากการศึกษาพฤติกรรมความปลอดภัยในการท�ำงานของ ประวัติการเจ็บป่วยจากการท�ำงาน การรับรู้ประโยชน์ การรับรู้ อาสาสมัครกู้ชีพจังหวัดชลบุรี จ�ำนวน 315 คน โดยศึกษา เพศ อายุ อุปสรรค แรงสนับสนุนทางอารมณ์ มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรม ประสบการณ์การปฏิบัติงาน ประวัติการเจ็บป่วยจากการท�ำงาน ความปลอดภัยในการท�ำงานของอาสมัครกู้ชีพอย่างมีนัยส�ำคัญ พบว่าอาสาสมัครกู้ชีพ เพศชายร้อยละ 65.4 เพศหญิงร้อยละ ทางสถิติท่ีระดับ p <0.05 อย่างไรก็ตาม เพศของอาสาสมัครกู้ชีพ 34.6 อายุของอาสาสมัครกู้ชีพอยู่ในกลุ่มอายุ 31 – 40 ปี มากที่สุด (r =0.037) อายุ (r = -0.008) ประสบการณ์ปฏิบัติงาน (r = 0.00) ร้อยละ 46.3 รองลงมากลุ่มอายุ 20 – 30 ปี ร้อยละ 38.4 และ ไม่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมความปลอดภัยในการท�ำงานของ น้อยท่ีสุดมากกว่า 40 ปีขึ้นไป ร้อยละ 15.2 ประสบการณ์การ อาสาสมัครกู้ชีพ (ตารางท่ี 1) ตารางท่ี 1 สมั ประสทิ ธสิ์ หสมั พนั ธ์ ระหวา่ งตวั แปรทศี่ กึ ษา (X1-X12) กบั พฤตกิ รรมการความปลอดภยั ในการทำ� งานของอาสาสมคั รกชู้ พี (Y) ตัวแปร สหสัมพนั ธ์ Spearman’s rho 1. ขนาดของหน่วยปฏิบัตกิ าร (X1) r p ระดับความสมั พนั ธ์ 2. เพศ (X2) 3. อายุ (X3) -0.297 <0.01 นอ้ ย 4. ประสบการณ์ปฏบิ ัติงาน (X4) 0.037 0.518 ns 5. ประวัติการเจ็บป่วยจากการทำ� งาน (X5) -0.008 0.392 ns 6. ความเชอ่ื ดา้ นสขุ ภาพของอาสาสมัครกู้ชีพ 0.00 0.528 ns 0.201 <0.01 นอ้ ย 6.1การรับรโู้ อกาสเสยี่ ง (X6) 6.2 การรับรคู้ วามรนุ แรง (X7) 0.138 0.140 นอ้ ย 6.3 การรับรู้ประโยชน์ (X8) 0.060 0.291 นอ้ ย 6.4 การรับร้อู ปุ สรรค (X9) 0.172 <0.05 นอ้ ย 7. แรงสนบั สนนุ ทางสังคม 0.143 <0.01 นอ้ ย 7.1 แรงสนับสนนุ ทางอารมณ์ (X10) 7.2 แรงสนับสนุนทางสงั คมด้านการสนบั สนนุ วสั ดุ/อุปกรณ์ (X11) 0.161 <0.01 น้อย 7.3 แรงสนบั สนุนทางสังคมด้านข้อมูลและข่าวสาร (X12) 0.459 <0.01 กลาง มาก หมายถึง สัมพันธ์กลาง 0.276 <0.01 นอ้ ย น้อย หมายถึง สัมพันธ์น้อย ns หมายถึง ไม่สัมพันธ์กัน ปีที่ 45  ฉบบั ที ่ 2  เมษายน - มถิ ุนายน 2563 | 123

ตัวแปรร่วมกันที่มีผลและท�ำนายพฤติกรรมความปลอดภัย ตวั แปรทเ่ี ขา้ สมการ 4 ตวั เรยี งตามลำ� ดบั คอื แรงสนบั สนนุ ทางสงั คม ในการท�ำงานของอาสาสมัครกู้ชีพ เม่ือน�ำตัวแปรท่ีศึกษาเฉพาะ ดา้ นการสนบั สนนุ วสั ด/ุ อปุ กรณ์ (X11) แรงสนบั สนนุ ทางสงั คมดา้ น ตัวแปรที่สัมพันธ์กับพฤติกรรมความปลอดภัยในการท�ำงานของ ก�ำลังใจจากครอบครัวและเพ่ือนร่วมงาน (X10) การรับรู้ประโยชน์ อาสาสมัครกู้ชีพแบบเพียร์สัน 6 ตัวเข้าโปรแกรม พบว่า เหลือ (X8) และการรับรู้ความรุนแรง (X7) (ตารางท่ี 2) ตารางที่ 2 ผลการวิเคราะห์ถดถอยพหุปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมการท�ำงานของอาสาสมัครกู้ชีพ รูปแบบ R R2 adjR2 B S.E. Beta t p 95%CI ค่าคงที่ 79.430 6.633 11.974 0.000 66.378-92.482 X11 0.459 0.210 0.208 1.099 0.112 0.479 9.780 0.000 0.387-1.320 X10 0.491 0.241 0.236 0.429 0.155 0.175 3.555 0.000 0.246-0.855 X8 0.509 0.259 0.252 0.582 0.182 0.157 0.157 0.002 0.940-0.172 X7 0.527 0.277 0.268 0.389 0.138 0.142 0.142 0.005 0.660-0.060 จากตารางที่ 2 ผลการวิเคราะห์การถอดถอยพหูคูณแบบ พฤติกรรมความปลอดภัยในการท�ำงานได้ร้อยละ 27.7 ส่วน ข้ันตอน สามารถอธิบายได้ว่า แรงสนับสนุนทางสังคมด้านการ เพศ อายุ ประสบการณ์การปฏิบัติงานของอาสาสมัครกู้ชีพไม่ สนับสนุนด้านวัสดุ/อุปกรณ์ เป็นตัวท�ำนายท่ีมีอิทธิพลมากท่ีสุดต่อ สามารถเขา้ รว่ มทำ� นายพฤตกิ รรมความปลอดภยั ในการทำ� งานของ พฤติกรรมความปลอดภัยในการท�ำงานของอาสาสมัครกู้ชีพมาก อาสาสมัครกู้ชีพได้ ทั้งน้ีสามารถเขียนสมการท�ำนายได้ดังนี้ ที่สุด (Beta = 0.479) แรงสนับสนุนทางอารมณ์ (Beta = 0.175) การรับรู้ความรุนแรง (Beta = 0.157) และการรับรู้ประโยชน์ Y = 79.430 + 1.099X11 + 0.429X10 + 0.582X8 + (Beta = 0.142) ตามล�ำดับเมื่อพิจารณาเคร่ืองหมายหน้า Beta 0.389X7 พบว่า แรงสนับสนุนทางสังคมด้านวัสดุ/อุปกรณ์ มีอิทธิพลต่อ พฤติกรรมความปลอดภัยในการท�ำงานของอาสาสมัครกู้ชีพในทาง เมื่อ Y = พฤติกรรมความปลอดภัยในการท�ำงานของอาสา บวก อธบิ ายไดว้ า่ เมอื่ อาสาสมคั รกชู้ พี มแี รงสนบั สนนุ ทางสงั คมดา้ น สมัครกู้ชีพ การสนับสนุนด้านวัสดุ/อุปกรณ์ที่เหมาะ พฤติกรรมความปลอดภัย ในการท�ำงานของอาสาสมัครกู้ชีพก็จะดีตามไปด้วย แรงสนับสนุน X11 = แรงสนับสนุนทางสังคมด้านวัสดุอุปกรณ์ ทางสงั คมดา้ นอารมณ์ คอื กำ� ลงั ใจจากครอบครวั และเพอื่ นรว่ มงาน X10 = แรงสนับสนุนทางสังคมด้านอารมณ์ ของอาสาสมัครกู้ชีพมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมความปลอดภัยในการ X8 = การรับรู้ความรุนแรง ทำ� งานของอาสาสมคั รกชู้ พี ในทางบวกอธบิ ายไดว้ า่ เมอ่ื อาสาสมคั ร X7 = การรับรู้ประโยชน์ กชู้ พี มแี รงสนบั สนนุ ทางสงั คมดา้ นอารมณ์ คอื กำ� ลงั ใจจากครอบครวั วิจารณ์ และเพื่อนร่วมงานที่เหมาะสม พฤติกรรมความปลอดภัยในการ จากผลการศกึ ษาพบวา่ ปจั จยั ทสี่ มั พนั ธก์ บั พฤตกิ รรมความ ทำ� งานของอาสาสมคั รกชู้ พี กจ็ ะดตี ามไปดว้ ย ความเชอ่ื ดา้ นสขุ ภาพ ปลอดภัยในการท�ำงานของอาสาสมัครกู้ชีพ คือ แรงสนับสนุนทาง ของอาสาสมคั รกชู้ พี ดา้ นการรบั รคู้ วามรนุ แรง และการรบั รปู้ ระโยชน์ สังคมด้านวัสดุ/อุปกรณ์ แรงสนับสนุนทางสังคมด้านอารมณ์ และ มอี ทิ ธพิ ลตอ่ พฤตกิ รรมความปลอดภยั ในการทำ� งานของอาสาสมคั ร ความเช่ือด้านสุขภาพของอาสาสมัครกู้ชีพประกอบด้วย การรับรู้ กู้ชีพในทางบวกอธิบายได้ว่า เม่ืออาสาสมัครกู้ชีพมีความเชื่อด้าน ความรุนแรง และการรับรู้ประโยชน์ โดยอธิบายได้ว่าตัวแปรที่มี สขุ ภาพดา้ นการรบั รคู้ วามรนุ แรง และการรบั รปู้ ระโยชนท์ เ่ี หมาะสม อทิ ธพิ ลมากทส่ี ดุ คอื แรงสนบั สนนุ ทางสงั คมดา้ นวสั ด/ุ อปุ กรณ์ อาจ พฤติกรรมความปลอดภัยในการท�ำงานของอาสาสมัครกู้ชีพก็จะดี เน่ืองมาจากอาสาสมัครกู้ชีพตระหนักดีว่าวัสดุอุปกรณ์มีส่วนช่วย ตามไปด้วย ให้งานประสบผลส�ำเสร็จ และเป็นเครื่องป้องกันความปลอดภัยให้ กับเจ้าหน้าที่ รวมท้ังเคร่ืองป้องกันมีราคาสูงไม่สามารถจัดหาได้ ดังนั้น จากการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบหลาย อย่างเพียงพอและเหมาะสม เม่ือได้รับการสนับสนุนที่ดีจึงส่งผลให้ ขั้นตอนสรุปได้ว่า แรงสนับสนุนทางสังคมด้านวัสดุ/อุปกรณ์ แรง เจา้ หนา้ ทมี่ พี ฤตกิ รรมความปลอดภยั ในการทำ� งานทด่ี ี ซงึ่ สอดคลอ้ ง สนับสนุนทางสังคมด้านอารมณ์ ความเช่ือด้านสุขภาพของอาสา กับ Tetjativaddhana 8 กล่าวว่าสาเหตุการเกิดอุบัติเหตุ ส่วนใหญ่ สมัครกู้ชีพด้านการรับรู้ความรุนแรง และการรับรู้ประโยชน์มี เกิดขึ้นจากความผิดพลาดจากการท�ำงานของผู้ปฏิบัติงาน รวมไป อิทธิพลต่อพฤติกรรมความปลอดภัยในการท�ำงานของอาสาสมัคร ถึงเกิดจากเครื่องมือ อุปกรณ์ที่มีสภาพช�ำรุด หรือการเส่ือมสภาพ กู้ชีพ สามารถร่วมท�ำนายพฤติกรรมความปลอดภัยในการท�ำงาน ในการใชง้ านหากมโี อกาสทจ่ี ะใชบ้ รกิ ารหรอื อปุ กรณต์ า่ งๆ ทบ่ี รษิ ทั ของอาสาสมัครกู้ชีพได้ โดยตัวแปรเหล่านี้สามารถร่วมท�ำนาย มีอยู่และจัดหาไว้ให้อย่างทั่วถึงจะเป็นปัจจัยท่ีช่วยสนับสนุนให้เกิด พฤติกรรมความปลอดภัยในการท�ำงาน 124 | วารสารกรมการแพทย์

ปัจจัยท่ีมีความสัมพันธ์ ล�ำดับรองลงมา คือ แรงสนับสนุน หน่วยงานกู้ชีพและท�ำให้เกิดพฤติกรรมการท�ำงานที่ดียิ่งข้ึนได้ ทางสังคมด้านอารมณ์ ได้แก่ ก�ำลังใจจากครอบครัวและเพ่ือนร่วม การศึกษาน้ีมีข้อจ�ำกัด เนื่องจากอาสาสมัครกู้ชีพอยู่ใน งาน อาจเนื่องมาจากเม่ืออาสาสมัครกู้ชีพประสบปัญหา ความ ทอ้ แท้ ความเครียดจากการทำ� งานแล้วได้รบั กำ� ลงั ใจ การสนบั สนุน ระบบการแพทย์ฉุกเฉินเป็นระบบท่ีมีขนาดใหญ่ท�ำให้ไม่เห็นภาพ ความเข้าใจ ความเห็นใจ จากครอบครัวและเพ่ือนร่วมงาน ท�ำให้มี รวมของท้ังหมด และเป็นการประเมินแบบอัตวิสัยท�ำให้ไม่เห็น ความตั้งใจ มีสติในการท�ำงานส่งผลให้มีพฤติกรรมความปลอดภัย ข้อมูลที่แท้จริง ในการท�ำงานท่ีดี สอดคล้องกับการศึกษาของ Holumyong7 ได้ ขอ้ เสนอแนะในการนำ� วจิ ัยไปใช้ ศึกษาปัจจัยที่สะท้อนความสุขจากครอบครัว ความสุขจากความ มีน�้ำใจ การใส่ใจ ให้ความส�ำคัญสังคมรอบข้างเป็นปัจจัยที่ส่ง จากการศึกษาพฤติกรรมความปลอดภัยในการท�ำงานของ อทิ ธพิ ลตอ่ สมดลุ ชวี ติ กบั การทำ� งานไดส้ ะทอ้ นใหเ้ หน็ วา่ ทำ� ใหบ้ คุ คล อาสาสมคั รกชู้ พี จงั หวดั ชลบรุ ี ครงั้ นผี้ วู้ จิ ยั ขอเสนอแนะดงั น้ี ผลการ มีพฤติกรรมการท�ำงานท่ีดีขึ้น ศึกษาคร้ังนี้พบว่า พฤติกรรมการท�ำงานของอาสาสมัครกู้ชีพอยู่ใน ระดบั ดี จากผลการศกึ ษาถงึ แมว้ า่ พฤตกิ รรมการทำ� งานของอาสาสมคั ร ส�ำหรับความเช่ือด้านสุขภาพก็เป็นปัจจัยร่วมท�ำนายเช่น กู้ชีพอยู่ในระดับดีแต่ยังพบอาสาสมัครกู้ชีพที่มีประวัติการเจ็บป่วย กัน คือ ด้านการรับรู้ความรุนแรง อาจเนื่องมาจากอาสาสมัครกู้ชีพ จากการท�ำงานร้อยละ 6 ดังนั้น จงึ ควรใหก้ ารสนบั สนนุ ในด้านอ่ืนๆ มีประสบการณ์ได้ประสบกับผู้บาดเจ็บ ผู้ได้รับความสูญเสียจาก เพื่อให้เกิดความตระหนักในพฤติกรรมการท�ำงานท่ีเหมาะสมมาก การที่มีพฤติกรรมการท�ำงานท่ีไม่เหมาะสม ท�ำให้อาสาสมัครกู้ชีพ ขนึ้ รวมทง้ั แรงสนบั สนนุ ทางสงั คมดา้ นวสั ด/ุ อปุ กรณ์ ความเชอื่ ดา้ น เกิดความตระหนัก และส่งผลให้มีพฤติกรรมความปลอดภัยใน สุขภาพของอาสาสมัครกู้ชีพ แรงสนับสนุนทางสังคมด้านก�ำลังใจ การท�ำงานที่ดี และปัจจัยที่ร่วมท�ำนายอีกหนึ่งปัจจัยคือ การรับรู้ จากครอบครวั และเพอ่ื นรว่ มงาน สามารถรว่ มทำ� นายพฤตกิ รรมการ ประโยชน์ สอดคล้องกับ Pansiri6 ได้ศึกษาผลการวิเคราะห์การรับ ท�ำงานของอาสาสมัครกู้ชีพ ดังน้ัน ควรมีการสนับสนุนหน่วยงาน รู้ตามแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพกับพฤติกรรมความปลอดภัย ด้านวัสดุ/อุปกรณ์ จัดท�ำโครงการส่งเสริมความเชื่อด้านสุขภาพ ในการท�ำงานของเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการท�ำงานระดับ และเน้นการมีส่วนร่วมของครอบครัว เพ่ือนร่วมงาน เพ่ือให้มีแรง วิชาชีพในโรงงานอุตสาหกรรม เขตจังหวัดสุราษฎร์ธานี พบว่า ใน สนับสนุนอย่างต่อเนื่อง เพ่ือเป็นการส่งเสริมพฤติกรรมการท�ำงาน ด้านพฤติกรรมความปลอดภัยในการท�ำงาน ผลการวิเคราะห์ ท่ีถูกต้องเหมาะสม และย่ังยืน พฤติกรรมความปลอดภัยในการท�ำงานของเจ้าหน้าที่ความ ปลอดภัยในการท�ำงานระดับวิชาชีพในการศึกษานี้ พบว่า ค่า เพอื่ การพฒั นาจงึ ควรมกี ารศกึ ษาเปรยี บเทยี บระยะยาว ถงึ โดยรวมอยู่ในระดับมาก (=4.39) การรับรู้โอกาสเสี่ยงในการเกิด การเปล่ียนแปลงสถิติการเกิดโรคและอุบัติเหตุจาการท�ำงานของ อุบัติเหตุ การรับรู้ความรุนแรงหลังการเกิดอุบัติเหตุ และการรับรู้ อาสาสมคั รกชู้ พี เพอ่ื ใชว้ างแผนสง่ เสรมิ การพฤตกิ รรมการทำ� งานให้ ประโยชน์และอุปสรรคในการปฏิบัติเพื่อป้องกันอุบัติเหตุจากการ เหมาะสมและยั่งยืน และควรท�ำการศึกษาวิจัยเชิงทดลองเกี่ยวกับ ท�ำงาน มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมความปลอดภัยในการท�ำงาน โปรแกรมพฤติกรรมการท�ำงานส�ำหรับอาสาสมัครกู้ชีพเพ่ือไม่ให้ ของเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการท�ำงานระดับวิชาชีพ อย่างมี เกิดโรคและอุบัติเหตุจากการท�ำงานของอาสมัครกู้ชีพ นัยส�ำคัญ (p < 0.05) ที่ ระดับความสัมพันธ์ 0.203, 0.205 และ กิตตกิ รรมประกาศ 0.152 ตามล�ำดับ สรุป งานวิทยานิพนธ์ฉบับน้ี สำ� เร็จลุล่วงได้ด้วยความกรุณาและ ความช่วยเหลือเป็นอย่างย่ิงจาก อาจารย์ที่ปรึกษาหลักอาจารย์ ปจั จยั ทรี่ ว่ มทำ� นายพฤตกิ รรมความปลอดภยั ในการทำ� งาน นิภา มหารัชพงศ์และอาจารย์ท่ีปรึกษาร่วมอาจารย์ยุวดี รอดจาก ได้ว่า ถ้าอาสาสมัครกู้ชีพได้รับแรงสนับสนุนทางสังคมด้านวัสดุ ภัย และผู้ทรงคุณวุฒิทุกท่านท่ีได้ให้ข้อคิดเห็น ให้ค�ำปรึกษาแก้ไข อุปกรณ์ในระดับกลาง มีความเชื่อด้านสุขภาพ และแรงสนับสนุน ข้อบกพร่องที่เป็นประโยชน์ในงานวิทยานิพนธ์ครั้งนี้ ตลอดจนช่วย ทางสังคมด้านก�ำลังใจจากครอบครัวและเพ่ือนในระดับน้อย จะ ตรวจสอบความถูกต้องท�ำให้วิทยานิพนธ์ฉบับนี้เสร็จสมบูรณ์ ขอม ท�ำให้มีพฤติกรรมการท�ำงานอยู่ในระดับดี สอดคล้องกับการศึกษา อบคุณความดีและประโยชน์ทั้งหลายที่เกิดจากการท�ำวิทยานิพนธ์ ของ Samutharak9 พบว่าพนักงานโรงานเซรามิกในจังหวัดล�ำปาง ครงั้ นี้ แดท่ กุ ทา่ นทม่ี สี ว่ นรว่ มทำ� ใหว้ ทิ ยานพิ นธฉ์ บบั นสี้ ำ� เรจ็ ลลุ ว่ งไป สว่ นใหญม่ พี ฤตกิ รรมการปอ้ งกนั อบุ ตั เิ หตใุ นการทำ� งานอยใู่ นระดบั ด้วยดี ผู้วิจัยจึงขอกราบ ขอบพระคุณเป็นอย่างสูงมาไว้ ณ โอกาสน้ี ดี คิดเป็นค่าเฉลี่ย 2.11 และพบว่า พนักงานส่วนใหญ่มีพฤติกรรม การปอ้ งกนั อบุ ตั เิ หตใุ นการทำ� งานดา้ นการใชเ้ ครอื่ งมอื อปุ กรณม์ คี า่ เฉลยี่ มากสดุ (2.56) จากผลการศกึ ษานสี้ ามารถนำ� มาพฒั นาหนว่ ย อาสาสมัครกู้ชีพในการวางแผน ส่งเสริม เป็นแนวทางในการพัฒนา ปที ี ่ 45  ฉบบั ท ่ี 2  เมษายน - มิถนุ ายน 2563 | 125

References 8. Tetjativaddhana P. Potential development of personnel working in primary care units By using context as the second 1. Yaisien S, Alvi T. World Health Organization. Prehospital phase. Nakhon Sawan. Si Khwae. Naresuan University; 2012. trauma care system. Geneva:WHO. Does pervceived social support predict quality of life in Psychiatric patients. Asian 9. Samutharak K. The accident prevention behaviors of ceramic Journal of Social Science and Humanities; 2013. factory employees in Lampang province. Faculty of Industrial Technology. Lampang Rajabhat University; 2012. 2. Witthaya C, Weerapan S, Anucha S, Thanapong J, Injury due to road accidents in Thailand . Current situation. Medical 10. Ministry of Public Health, Department of Policy and archives Medical Association of Thailand under the Royal Strategies. Prevalence of death the number and ratio per Patronage; 2014. 100000 classified by important causes between 2009-2013. (2015).Available from: http://bps.moph.go.th/content/. (in 3. Witthaya C. Principles of emergency medical service system Thai) development. Khonkaen: Khonkaen Hospital; 2008. 11. The National Medical Service Committee. Plan and principles 4. Data center of National Institute of Emergency Medicine. of medical services 2010-2012. Bangkok: Institute of Emergency Medical Act 2008. Nontaburi: National Institute Emergency Medical Service; 2010. (in Thai) of Emergency Medicine 2008. 12. Ali M, Haidar N, Ali M, Maryam A. Determinants of seat belt 5. Holder Y, Peden M, Krug E, Gururaj G, Kobusingye O. Injury use among drivers in Sabzevar, Iran: A comparison of theory surveilance guidelines.Geneva: WHO; 2011. of planned behavior and health belief model. Traffic Injury Prevention; 2011. 6. Pansiri N. The results of the perception analysis of health beliefs and work safety behaviors of professional safety officers in industrial factories. The journal Faculty of Business Administration, Prince of Songkla University; 2015. 7. Holumyong J, Sirinan K, Maliwan K. Balance the life with doing More work than the time allocation of labor in the manufacturing industry. Institute for Population and Social Research Mahidol University. Faculty of Humanities and Social Sciences Khonkaen University; 2017. 126 | วารสารกรมการแพทย์

นิพนธต์ ้นฉบับ การส�ำรวจการใหบ้ รกิ ารทางการแพทย์ดา้ นโรคลมชักในประเทศไทย ขวัญรตั น์ หวังผลพัฒนศริ ิ พ.บ. หนว่ ยประสาทวิทยา สถาบันประสาทวิทยา แขวงทงุ่ พญาไท เขตราชวถิ ี กรุงเทพ 10400 Abstract: Survey of Medical Facilities in Epilepsy Care in Thailand Wangphonphatthanasiri K Neurology Department, Prasat Neurological Institute, Khwang Thung Phyathai, Khet Ratcha Thewi, Bangkok, 10400 (E-mail: [email protected]) (Received: May 1, 2019; Revised: August 1, 2019; Accepted: December 18, 2019) Background: Epilepsy is common neurological disorder. Most epileptic patients could have seizure remission if appropriate epilepsy treatments are accessible. However, in Thailand, medical facilities in epilepsy care have not been provided adequately in all over regions. 58% of these patients, especially in rural regions, could not get proper medical care. Therefore, to improve treatment gap problem, basic medical facilities in epilepsy care need to be evaluated. Objectives: To survey the medical resources in epilepsy care in secondary hospitals in Thailand. Methods: Data were collected from all secondary hospitals (center hospital(A), general hospital(S) in 12 public health service areas by postal questionnaire survey during August 1-November 1,2018 Results: 36 out of 83 secondary hospital postal questionnaires were sent back (43.37%). This survey revealed epilepsy as nearly one fourth of neurological diseases presenting in both outpatient and inpatient units. 80.6 % of these hospitals had at least one medical personnel who was specialized in epilepsy. Internists are the main key persons taking care of this group of patients. Advanced investigations such as CT, MRI brain and EEG were available 97.2%, 34.3% and 40% respectively. 88.6% of the hospitals had all 4 types of standard oral antiepileptic drugs and all hospitals had at least one type of new antiepileptic drugs. The first and second most ones were lamotrigine and oxcarbazepine. Drug resistant epilepsy was concerned as problematic condition in most physicians (82.4%) but only 54.5% of them had experiences referring patient for epilepsy surgery. Conclusions: Epilepsy treatment gap has still been important health care problem, especially in difficult to treat epileptic patients commonly seen in secondary hospitals. Further medical care resources in epilepsy need to be ascertained for more accurate information. Keywords: Epilepsy care, secondary hospital, Thailand บทคดั ย่อ โรคลมชักให้ครอบคลุมทั่วถึง จ�ำเป็นที่ต้องทราบถึงข้อมูลพ้ืนฐาน ภูมิหลัง: โรคลมชักเป็นโรคเรื้อรังทางระบบประสาทที่ ของความสามารถในการให้บริการของสถานพยาบาลระดับต่างๆ เพ่ือน�ำข้อมูลดังกล่าวมาใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาการรักษาโรค พบบ่อย ในทุกกลุ่มอายุ จากการส�ำรวจของสมาคมโรคลมชัก ปี ลมชักให้เหมาะสมและท่ัวถึงต่อไป วัตถุประสงค์: เพ่ือส�ำรวจการ 2555 พบว่าประเทศไทยมคี วามชุกของโรคลมชกั 25 ต่อประชากร ใหบ้ รกิ ารทางการแพทย์ ในดา้ นบคุ ลากรทางการแพทย์ เครอ่ื งมอื ใน 1,000 คน อยา่ งไรก็ดี ผปู้ ่วยส่วนใหญ่ สามารถหายขาดจากอาการ การตรวจวินจิ ฉยั ชนิดของยากนั ชกั ทม่ี ีใช้ เพื่อใหบ้ รกิ ารในการดแู ล ชักถา้ ไดร้ ับการวินิจฉยั และรักษาที่ถกู ตอ้ ง แต่พบวา่ รอ้ ยละ58 ของ รกั ษาผปู้ ว่ ยโรคลมชกั ในโรงพยาบาลระดบั ทตุ ยิ ภมู ิ วธิ กี าร:เปน็ การ ผู้ป่วยโรคลมชักในประเทศไทย ไม่สามารถเข้าถึงการตรวจวินิจฉัย สำ� รวจขอ้ มลู โดยสง่ แบบสอบถามทางไปรษณยี ์ ไปโรงพยาบาลศนู ย์ และรักษาอยา่ งถกู ต้อง โดยเฉพาะประชากรในสว่ นภมู ิภาค ดังนั้น (A )และโรงพยาบาลท่วั ไป (S) ใน 12 เขตบรกิ ารสาธารณสุข ในชว่ ง เพื่อแก้ปัญหาการเข้าถึงการตรวจวินิจฉัยและการรักษาของผู้ป่วย ปีท ่ี 45  ฉบบั ท่ี 2  เมษายน - มถิ นุ ายน 2563 | 127

เวลาตงั้ แต่ 1 สงิ หาคม- 1 พฤศจกิ ายน 2561 ผล: แบบสอบถามถกู สง่ ผู้ป่วยรอ้ ยละ 58 ไมส่ ามารถเข้าถึงการตรวจวนิ จิ ฉยั และการรักษา กลับจากโรงพยาบาล 36 แหง่ จากท้งั หมด 83 แห่ง (รอ้ ยละ 43.37) ที่เหมาะสมได้6,8 ซ่ึงส่วนใหญ่เป็นประชากรในส่วนภูมิภาค ดังน้ัน ผู้ป่วยโรคลมชักเป็นโรคที่พบบ่อยเกือบหนึ่งในส่ีของผู้ป่วยโรคทาง ในการแก้ปัญหาการเข้าถึงการตรวจวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะ ระบบประสาท ทั้งคลินิกผู้ป่วยนอกและใน ร้อยละ 80.6 ของโรง สมของผปู้ ่วยโรคลมชกั นั้น จำ� เปน็ ที่ตอ้ งทราบถึงข้อมูลพ้ืนฐานของ พยาบาล มีแพทยท์ ีม่ คี วามเช่ยี วชาญด้านโรคลมชัก ได้แก่ประสาท ความสามารถในการให้บริการของแตล่ ะสถานพยาบาล โดยเฉพาะ แพทยโ์ รคลมชกั กมุ ารประสาทวทิ ยา หรอื ประสาทศลั ยแพทย์ อยา่ ง โรงพยาบาลทั่วไป และโรงพยาบาลศูนย์ที่ต้องให้การดูแลรักษา น้อย 1 คน การส่งตรวจเอกซเรยส์ มองคอมพวิ เตอร์ (CT) ,เอกซเรย์ ผู้ป่วยโรคลมชักส่วนใหญ่ เพื่อน�ำข้อมูลดังกล่าวมาใช้เป็นแนวทาง คล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้าสมอง (MRI) และการตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง ในการพัฒนาการรักษาโรคลมชกั ให้เหมาะสมและทัว่ ถึงต่อไป11 (EEG) ทำ� ได้รอ้ ยละ 97.2, 34.3และ 40 ตามล�ำดับ ด้านการรกั ษา วตั ถปุ ระสงค์ ร้อยละ 88.6 ของโรงพยาบาลมยี ากลุ่มมาตรฐานทีเ่ ป็นรปู แบบรบั ประทานครบทั้ง 4 ชนิด และทุกโรงพยาบาล มียากลุ่มใหม่อย่าง เพ่ือส�ำรวจความสามารถในการให้บริการทางการแพทย์ น้อย 1 ชนดิ และท่มี ีใชม้ ากสดุ คือ lamotrigine, oxcarbazepine ด้านโรคลมชักของโรงพยาบาลระดับทุติยภูมิ ได้แก่ โรงพยาบาล และ gabapentin ด้านแนวทางการรักษาโรคลมชักร้อยละ 82.4 ศูนย์ (A) และ โรงพยาบาลทั่วไป (S) ในประเด็นความพร้อมของ ของแพทย์เหน็ วา่ โรคลมชักด้ือยาเปน็ ปัญหาในการดแู ลรกั ษา แต่มี แพทย์ เคร่อื งมือการตรวจวนิ ิจฉัย ยากันชักทม่ี ี รวมทัง้ แนวทางใน เพียงร้อยละ 54.5 ของแพทย์ทเ่ี คยสง่ ต่อผปู้ ว่ ยเพื่อมาประเมินการ การดูแลผู้ป่วยโรคลมชักดื้อยา เพ่ือเป็นข้อมูลในการแก้ปัญหาการ รกั ษาโดยการผา่ ตดั สรปุ : โรงพยาบาลระดบั ทตุ ยิ ภมู ใิ นสว่ นภมู ภิ าค เข้าถึงการรักษาของผู้ป่วยโรคลมชักต่อไปโดยโรงพยาบาลระดับ ยงั มีจ�ำนวนแพทย์ทีเ่ ชยี่ วชาญด้านโรคลมชัก เคร่อื งมือในการตรวจ ทุติยภูมิ ถือเป็นโรงพยาบาลหลักที่รับผู้ป่วยโรคลมชักส่งตัวจาก วนิ จิ ฉยั ทจี่ �ำเปน็ ได้แก่ MRI สมองและ EEG ทีย่ งั ไม่ครอบคลุม สง่ ผล โรงพยาบาลชุมชนและให้การดูแลผู้ป่วยที่มีความซับซ้อนรวมถึง ตอ่ การเขา้ ถงึ การรกั ษาทเ่ี หมาะสมของผปู้ ว่ ยโรคลมชกั ทมี่ คี วามซบั คัดกรองผู้ป่วยโรคลมชักด้ือยาเพ่ือส่งตัวไปยังโรงพยาบาลระดับ ซ้อนหรือดื้อยาได้ ดังน้ันการส�ำรวจข้อมูลพื้นฐานของทรัพยากรใน ตติยภูมิหรือสูงกว่าเพ่ือประเมินการรักษาโดยการผ่าตัดจึงถือเป็น การให้บริการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคลมชักจึงยังมีความจ�ำเป็นเพ่ือน�ำ โรงพยาบาลที่มบี ทบาทส�ำคญั ทคี่ วรศกึ ษาขอ้ มูล มาเป็นแนวทางในการพัฒนาตอ่ ไป วัตถแุ ละวธิ ีการ คำ� สำ� คัญ: โรคลมชกั โรงพยาบาลทตุ ยิ ภมู ิ ประเทศไทย แบบสำ� รวจการให้บริการทางการแพทย์ดา้ นโรคลมชกั ถูก บทน�ำ ส่งทางไปรษณีย์ โดยมีกลุ่มเป้าหมายคือโรงพยาบาลระดับทุติยภูมิ ไดแ้ ก่ โรงพยาบาลทวั่ ไป (S) โรงพยาบาลศนู ย์ (A) จำ� นวน 83 แห่ง โรคลมชักเป็นโรคเร้ือรังทางระบบประสาทท่ีพบบ่อย ใน 12 เขตบรกิ ารสาธารณสขุ จำ� นวนและรายชอ่ื โรงพยาบาลมาจาก ปัจจุบันคาดว่ามีผู้ป่วยโรคลมชักท่ัวโลกราว 70 ล้านคน1และมี รายชอื่ โรงพยาบาลของกลมุ่ สำ� รวจโรคลมชกั สถาบนั ประสาทวทิ ยา อุบัติการณส์ ูงในกลุ่มประเทศกำ� ลังพัฒนา 81.7 ต่อ 100,000 คน ปี 2555 และส�ำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ปี 2555 เพ่ือ ต่อปี เมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว 45 ต่อ100,000 คน สำ� รวจขอ้ มลู ใน 3 สว่ น คอื ขอ้ มลู ทวั่ ไปของโรงพยาบาล ขอ้ มลู แพทย์ ตอ่ ป2ี ,3 มีการศกึ ษา เม่ือปี พ.ศ 2543 ทจ่ี งั หวัดนครราชสมี า พบว่า เครื่องมือในการตรวจรักษา และข้อมูลแนวทางการดูแลผู้ป่วยโรค มีความชุกของโรคลมชัก 5.9-7.2 ต่อประชากร 1000 คน4,5 และ ลมชักด้ือยาของแพทย์ โดยขอความร่วมมือผู้ตอบแบบสอบถาม เพิ่มขนึ้ เปน็ 25 ต่อประชากร 1,000 คน ในทุกกลุ่มอายุ จากการ เปน็ แพทย์ และ/หรือ พยาบาล ทีด่ ูแลผูป้ ่วยโรคลมชัก ระยะเวลา ส�ำรวจโดยสมาคมโรคลมชักเมื่อปี พ.ศ. 25556 จึงประมาณการ การรวบรวมแบบส�ำรวจ ตง้ั แต่ 1 สิงหาคม – 1 พฤศจิกายน 2561 ได้ว่าปัจจุบัน มีผู้ป่วยโรคลมชักในประเทศไทย ราว 1,650,000 ผล คน โรคลมชักจึงเป็นโรคท่ีมีความส�ำคัญ หากผู้ป่วยยังมีอาการ ชักต่อเน่ืองจะมีผลต่อท้ังสุขภาพกาย และจิตใจ คุณภาพชีวิต มกี ารสง่ แบบสอบถามทางไปรษณยี ไ์ ปยงั โรงพยาบาลระดบั ของผู้ป่วย รวมถึงมีผลกระทบต่อครอบครัวและสังคมในวงกว้าง7 ทุติยภูมิ ได้แก่ โรงพยาบาลทั่วไป (S) และโรงพยาบาลศูนย์ (A) อย่างไรก็ตาม ผู้ปว่ ยโรคลมชกั กวา่ ร้อยละ 70 สามารถหายขาดจาก จำ� นวนทัง้ ส้ิน 83 แห่ง มีการสง่ กลบั แบบสอบถาม 36 แหง่ (รอ้ ยละ อาการชักภายใน 5 ปี ถ้าได้รับการวินิจฉัยและรักษาด้วยยาท่ีถูก 43.4) เป็น โรงพยาบาลในสังกัดของกรมการแพทย์ จ�ำนวน 4 ต้องเหมาะสม8,9 และกว่าครึ่งของผู้ป่วยที่ดื้อต่อการรักษาด้วยยา โรงพยาบาล (รอ้ ยละ 11.1) และโรงพยาบาลในสงั กดั ของสำ� นกั งาน สามารถหายขาดจากโรคลมชัก ถา้ ได้รับรักษาโดยการผา่ ตัด มีการ ปลัดกระทรวงสาธารณสขุ จ�ำนวน 32 โรงพยาบาล (รอ้ ยละ 88.9) ศกึ ษาพบวา่ มากกวา่ รอ้ ยละ 50 ของประเทศในกลมุ่ lower middle ซึ่งจำ� แนกเป็นโรงพยาบาลระดบั A, S ได้ รอ้ ยละ 48.4, 51.6 ตาม และ upper middle income รวมถงึ ประเทศไทย มปี ญั หาการเขา้ ล�ำดับ มีจ�ำนวนเตียงเฉล่ีย 541.5 เตียง ให้บริการผู้ป่วยนอกทาง ถงึ การรกั ษาโรคลมชกั ทเี่ หมาะสม10และจากขอ้ มลู ในประเทศไทยมี 128 | วารสารกรมการแพทย์

ด้านระบบประสาทจำ� นวน (median) 4,830 รายตอ่ ปี เป็นผู้ป่วย และ VEEG monitoring ร้อยละ 7.7 (ตารางท่ี 2) โรงพยาบาล นอกโรคลมชักจ�ำนวน (median) 1,000 รายตอ่ ปี คิดเปน็ สดั สว่ น มียากันชักกลุ่มมาตรฐานได้แก่ phenytoin, carbamazepine, ร้อยละ 20.70 ของผู้ป่วยนอกทางด้านระบบประสาททั้งหมดต่อ phenobarbital และ sodium valproateแบบรบั ประทาน ครบทงั้ ปีและผู้ป่วยในของโรคระบบประสาทจ�ำนวน (median) 1,000 4 ชนดิ ร้อยละ 88.6 และมีเฉพาะยา sodium valproate และยา รายต่อปี เป็นโรคลมชกั จำ� นวน (median) 205 รายตอ่ ปี คิดเป็น กนั ชกั ในกลมุ่ sodium channel block ได้แก่ carbamazepine, สดั สว่ นรอ้ ยละ 20.5 ของผปู้ ว่ ยในทางดา้ นระบบประสาททง้ั หมดตอ่ ปี phenytoin หรือ phenobarbital อย่างน้อย1 ชนิด แบบรับ (ตารางท่ี 1) ด้านข้อมูลของแพทย์ที่ให้การดูแลรักษาผู้ป่วยโรคลม ประทาน ร้อยละ 97.1 และมียาแบบฉดี เขา้ เสน้ เลือด ทง้ั 2 ชนดิ ชกั พบว่า โรงพยาบาลร้อยละ 94.4 มอี ายรุ แพทย์ ประสาทแพทย์ คอื ยา sodium valproate และ sodium channel block ได้แก่ หรือกุมารแพทย์ อย่างน้อยหน่ึงคน โดยเปน็ อายรุ แพทย์ ประสาท phenytoin, fosphenytoin หรือ phenobarbital อย่างน้อย แพทย์ และกมุ ารแพทย์ ในสดั สว่ นร้อยละ 83.3, 63.9 และ 69.4 1 ชนดิ ร้อยละ 81.2 และ มียากนั ชักกลุ่มใหมอ่ ยา่ งนอ้ ย 1 ชนิด ตามลำ� ดบั และร้อยละ 80.6 ของโรงพยาบาลทั้งหมด ที่มปี ระสาท ครอบคลมุ ทกุ โรงพยาบาล โดยมี lamotrigine, oxcarbamazepine แพทยโ์ รคลมชกั กมุ ารประสาทวทิ ยา หรอื ประสาทศลั ยแพทย์ อยา่ ง และ gabapentin สูงสุด (ร้อยละ 100, 100, 97.1 ตามล�ำดับ) นอ้ ยหนงึ่ คน ในสดั สว่ นรอ้ ยละ 2.8, 25.0 และ 72.2 ตามลำ� ดบั รอ้ ย (ตารางท่ี 3) ดา้ นแนวการดแู ลผปู้ ว่ ยโรคลมชกั ของแพทย์ พบมผี ปู้ ว่ ย ละ 51.4 ของโรงพยาบาลมคี ลนิ กิ เฉพาะทางดา้ นโรคระบบประสาท โรคลมชักดอื้ ยา (median,IQR) 10 ,2.00-20.00 รายต่อเดอื น ร้อย และร้อยละ 11.4 มีคลินิกโรคลมชัก ด้านเคร่ืองมือในการตรวจ ละ 82.4 ของแพทยค์ ดิ ว่าผปู้ ว่ ยกลุ่มนเ้ี ป็นปัญหาในการดูแล และมี วนิ จิ ฉยั สามารถสง่ ตรวจทางสมองเอกซเรยส์ มองคอมพวิ เตอร์ (CT) ความเขา้ ใจหลกั เกณฑก์ ารวนิ จิ ฉยั โรคลมชกั ดอื้ ยาทถี่ กู ตอ้ งวา่ คอื การ และ เอกซเรยค์ ลน่ื แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ สมอง (MRI) ไดร้ อ้ ยละ 97.2 , 34.3 ใช้ยากนั ชกั ตัง้ แต่ 2.39 ชนิด (mean) มาเปน็ เวลาอยา่ งน้อย 1 ปี ตามลำ� ดบั สามารถใหบ้ รกิ ารตรวจคลนื่ ไฟฟา้ สมอง (EEG) ไดร้ อ้ ยละ (ร้อยละ 36.7) รอ้ ยละ 80 ของแพทย์ทใ่ี หก้ ารรกั ษามีความเหน็ ว่า 40 แบ่งเป็นการส่งตรวจ routine VEEG รอ้ ยละ 76.9 เปน็ VEEG โรคลมชกั ดอื้ ยาสามารถหายขาด หรอื มอี าการชกั ลดลงไดอ้ ยา่ งมนี ยั monitoring ไดแ้ ก่ multihour VEEG, longterm EEG monitoring ส�ำคญั โดยการผา่ ตดั แตม่ ีเพียงร้อยละ 54.5 ของแพทยท์ ีเ่ คยสง่ ต่อ หรอื bedside EEG รวมเปน็ รอ้ ยละ 15.4 และมที ง้ั routine VEEG ผปู้ ว่ ยมารบั การรักษาโดยการผ่าตดั (ตารางท่ี 4) ตารางท่ี 1 จำ� นวนผูป้ ว่ ยโรคระบบประสาทและโรคลมชกั ประเภทผปู้ ่วย จำ� นวนผู้ปว่ ยโดยเฉลีย่ (ราย/ป)ี (median, IQR) ผปู้ ว่ ยโรคระบบประสาท ผ้ปู ่วยโรคลมชัก ผูป้ ว่ ยนอก 4,830 ,1800-7134 1,000 ,500-1946 ผู้ปว่ ยใน 1,000,500-2,575 205, 131-500 ตารางท่ี 2 การให้บริการทางการแพทยโ์ รคลมชักในโรงพยาบาล (n=36) การให้บรกิ ารทางการแพทย์ รอ้ ยละของจ�ำนวนรพ.ระดับทตุ ิยภูมิ (ร้อยละของจำ� นวน รพ.A, รพ.S) มีแพทยท์ ่ีใหก้ ารดูแลผูป้ ว่ ยโรคลมชัก(อย่างน้อย 1คน) - อายุรแพทย์ ประสาทแพทย์ กุมารแพทย์ 94.4 (100.0,100.0) - ประสาทแพทยโ์ รคลมชกั 80.6 (100.0, 73.3) กมุ ารแพทยป์ ระสาทวทิ ยา ประสาทศัลยแพทย์ - อายุรแพทย์ 83.3 (100.0, 100.0) - ประสาทศลั ยแพทย์ 72.2 (100.0, 66.7) - กมุ ารแพทย์ 69.4 (100.0, 92.3) - ประสาทแพทย์ 63.9 (87.5, 64.3) - จิตแพทย์ 61.1 (100.0, 85.7) - แพทยเ์ วชศาสตรค์ รอบครัว 47.2 (100.0, 81.8) ปที ี ่ 45  ฉบบั ท ่ี 2  เมษายน - มถิ ุนายน 2563 | 129

ตารางที่ 2 การให้บริการทางการแพทย์โรคลมชกั ในโรงพยาบาล (n=36) (ตอ่ ) การใหบ้ ริการทางการแพทย์ รอ้ ยละของจ�ำนวนรพ.ระดับทุติยภูมิ (ร้อยละของจ�ำนวน รพ.A, รพ.S) - แพทย์เวชปฏบิ ตั ทิ ่ัวไป 44.4 (88.9, 72.7) - กุมารแพทยป์ ระสาทวิทยา 25.0 (66.7, 8.3) - ประสาทแพทย์โรคลมชกั 2.8 (100, 0) คลินิกเฉพาะทาง - ด้านโรคระบบประสาท 51.4 (70.6, 35.3) - ดา้ นโรคลมชัก 11.4 (17.6, 5.9) มชี นดิ เคร่ืองมือในการตรวจวนิ ิจฉยั - CT 97.2 (100.0, 100.0) - MRI 34.3 (47.1, 23.5) - EEG 40.0 (52.9, 29.4) 76.9 (66.7, 100) - Routine VEEG (Video EEG) 15.4 (22.2, 0) - VEEG monitoring* * multihour VEEG/long term VEEG/bedside EEG 7.7 (11.1, 0) - Routine VEEG และ Video EEG monitoring ตารางที่ 3 ยากันชกั ที่ใช้ในโรงพยาบาล (n=36) ยากนั ชกั รอ้ ยละของจำ� นวนรพ.ระดบั ทุติภูมิ (ร้อยละของจ�ำนวน รพ.A, รพ.S) มี Oral standard AED (Carbamazepine, Sodium valproate, Phenobarbital และ Phenytoin) ทั้ง original หรอื generic ครบท้ัง 4 ชนิด 88.6(82.4, 94.1) มี Oral Second AED อย่างน้อย 1 ชนิด 100.0(100.0,100.0) ยาท่ใี ช้ - Lamotrigine 100.0(100.0, 100.0) - Oxcarbazepine 100.0(100.0, 100.0) - Gabapentin 97.1(94.1, 100.0) - Topiramate - Levetiracetam 85.2(88.2, 80.0) - Pregabalin 79.2(80.0, 77.8) - Zonisamide 63.9(86.7, 100.0) - Vigabatrin 13.9(100.0, 100.0) - Perampanel 8.3(100.0, 100.0) - Lacosamide 8.3(100.0, 0) มี IV AED ท้ัง Sodium valproate และ Phenobarbital/Phenytoin/Fosphenytoin (อยา่ งน้อย 1 2.8(100.0, 0) ชนิด) 81.2(94.1, 64.3) มี Oral standard AED คอื Sodium valproate และ Carbamazepine/ Phenobarbital/ Phenytoin( อยา่ งนอ้ ย 1 ชนิด) 97.1(94.1, 100.0) 130 | วารสารกรมการแพทย์

ตารางที่ 4 การให้การรักษาผูป้ ่วยโรคลมชักโดยแพทย์ (n=36) การใหก้ ารรักษาผปู้ ่วยลมชกั โดยแพทย์ Median, IQR จ�ำนวนผปู้ ว่ ยทใ่ี ห้การรักษา (ราย/เดอื น) 60.00, 30.0-100.0 10.00, 2.0-20.0 - ผู้ป่วยโรคลมชัก 10.00, 4.5-20.0 2.00, 1.0-4.0 - ผู้ปว่ ยโรคลมชกั ดื้อยา รอ้ ยละ - ผูป้ ว่ ยที่มาดา้ นอาการชกั ครั้งแรก 82.4 2.39 ± 0.56 - ผปู้ ว่ ยทีม่ าด้วยอาการชักตอ่ เนือ่ งรุนแรง (status epilepticus) 36.7 ความคดิ เหน็ ของแพทยผ์ ู้ดูแล 23.3 26.7 มคี วามเห็นวา่ “โรคลมชักดื้อยา เป็นปัญหาในการดแู ล” 6.7 80.0 จำ� นวนชนดิ ยาท่ีเขา้ เกณฑ์การวินิจฉยั โรคลมชักดอื้ ยา (Mean ± SD) 54.5 38.9 ระยะเวลาท่ีผูป้ ่วยโรคลมชกั ดื้อยา ควรจะตอ้ งสง่ ตวั ไปประเมนิ การรกั ษาดว้ ยวธิ กี ารผ่าตดั - 1 ปี - 2 ปี - 3-5 ปี - มากกว่า 5 ปี มีความเหน็ ว่า “โรคลมชกั ดอื้ ยา อาการชกั อาจหายขาดหรือลดลงไดอ้ ยา่ งมีนยั สำ� คัญดว้ ยวธิ ีการผา่ ตดั ” แพทยเ์ คยส่งต่อผูป้ ว่ ยโรคลมชักดือ้ ยาไปเข้ารบั การรักษาโดยการผา่ ตัด มคี วามเหน็ วา่ “หากมผี ู้ปว่ ยโรคลมชกั ด้ือยาอีก จะส่งต่อไปเขา้ รบั การรักษาดว้ ยวธิ ีการผ่าตัด” วิจารณ์ ครอบคลุมมากข้ึน เม่ือเปรียบเทียบกับข้อมูลการศึกษาท่ีผ่านมา จากการศึกษา พบว่าโรงพยาบาลระดับทุติยภูมิ ได้แก่ แต่อย่างไรก็ตามในส่วนของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคลมชัก ได้แก่ มีประสาทแพทย์โรคลมชัก กุมารประสาทวิทยา หรือประสาท โรงพยาบาลศูนย์ และโรงพยาบาลท่ัวไป แพทย์ผู้ให้การดูแลหลัก ศลั ยแพทย์ อยา่ งนอ้ ย 1 คน มรี อ้ ยละ 80.6 โดยมจี ำ� นวนของประสาท ของผู้ป่วยโรคลมชักคือ อายุรแพทย์ (ร้อยละ83.3) เปรียบเทียบ แพทย์โรคลมชัก กุมารประสาทวิทยาและประสาทศัลยแพทย์ คือ กับการศึกษาปี 2556 ท่ีส�ำรวจโรงพยาบาลรัฐทั่วประเทศจ�ำนวน รอ้ ยละ 2.8 ,25 และ 72.2 ตามลำ� ดบั ถอื วา่ ยังมีจ�ำนวนท่ไี ม่เพยี ง 1,033 แห่ง และตอบกลับแบบส�ำรวจร้อยละ 54.1 พบว่าแพทย์ พอในการดูแลกลุ่มผู้ป่วยโรคลมชักที่มีความซับซ้อน หรือด้ือยา ผู้ให้การรักษาผู้ป่วยโรคลมชักหลักคือแพทย์ทั่วไป (ร้อยละ 91.5) ที่พบได้ราว ร้อยละ 36 ของผู้ป่วยโรคลมชักทั้งหมด9 ที่ต้องอาศัย เป็นประสาทแพทย์และประสาทแพทย์โรคลมชัก ร้อยละ 14.4, แพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญท่ีจะคัดกรองผู้ป่วยเพ่ือส่งต่อไปประเมิน 11.1 ตามล�ำดับ12 และการศึกษาปี 2554 ในภาคตะวันออก- การรักษาโดยการผา่ ตัดต่อไป ดังนั้นการแกไ้ ขปัญหาการขาดแคลน เฉียงเหนือของประเทศไทย แพทย์ผู้ให้การดูแลผู้ป่วยโรคลมชัก แพทยผ์ เู้ ชย่ี วชาญในบรบิ ทของทรพั ยากรทจ่ี ำ� กดั คอื การสรา้ งระบบ หลักคือ แพทย์ท่ัวไปและประสาทแพทย์ โดยมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เครอื ขา่ ยการใหค้ ำ� ปรกึ ษาและการสง่ ตอ่ ผปู้ ว่ ยระหวา่ งโรงพยาบาล โรคลมชักเพียงร้อยละ 513 อ้างอิงจากมาตรฐานการให้บริการ ในแตล่ ะเขตบรกิ ารสาธารณสขุ เดยี วกนั ทมี่ ปี ระสทิ ธภิ าพ รวมทง้ั การ ด้านโรคลมชักโรงพยาบาลระดับทุติยภูมิ สถาบันประสาทวิทยา พัฒนาบุคลากรทางการแพทย์และกลุ่มสหสาขาวิชาชีพท่ีร่วมดูแล กำ� หนดวา่ ควรเปน็ แพทย์ อายรุ แพทย์ ประสาทแพทย์ หรอื ประสาท ผู้ปว่ ยโรคลมชัก โดยการสนับสนุนใหไ้ ดเ้ ขา้ รบั การอบรมวิชาการใน ศัลยแพทย8์ ,14,15 ซ่งึ จากการศึกษานี้ แสดงขอ้ มลู ของปี 2560 พบวา่ การดูแลผู้ป่วยโรคลมชักอย่างต่อเน่ือง ด้านเครื่องมือในการตรวจ รอ้ ยละ 94.4 ของโรงพยาบาลมีอายรุ แพทย์ ประสาทแพทย์ หรอื วินิจฉัย โรงพยาบาลระดบั ทุตยิ ภมู ิ สามารถส่งตรวจเอกซเรย์สมอง กุมารแพทย์ อยา่ งนอ้ ย 1 คน โดยเป็น อายแุ พทย์ ประสาทแพทย์ คอมพิวเตอร์ (CT) , เอกซเรย์คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าสมอง (MRI) และ และกุมารแพทย์ รอ้ ยละ 83.3,63.9 และ 69.4 ตามล�ำดับ แสดงว่า การตรวจคล่ืนไฟฟา้ สมอง (EEG) ได้ ร้อยละ97.2, 34.3 และ 40 มีการกระจายตัวของแพทย์ตามเกณฑ์ศักยภาพที่พึงมีในการดูแล ตามลำ� ดบั โดยสามารถสง่ ตรวจ CT ไดร้ อ้ ยละ 100 ของโรงพยาบาล ผู้ป่วยโรคลมชักของโรงพยาบาลระดับทุติยภูมิ ที่เหมาะสม ปีท ี่ 45  ฉบับที ่ 2  เมษายน - มิถนุ ายน 2563 | 131

ทั้ง 2กลุม่ ส่งตรวจ MRI ได้ร้อยละ 47.1, 23.5 ส่งตรวจ EEG ได้ การดูแลผปู้ ่วย (รอ้ ยละ 82.4) และมีความเข้าใจทถ่ี ูกตอ้ งเกยี่ วกับ ร้อยละ 52.9, 29.4 ของโรงพยาบาลศูนย์และโรงพยาบาลท่ัวไป การให้การวินิจฉัยโรคลมชักดื้อยา รวมท้ังทราบว่าการผ่าตัดเป็น ตามล�ำดับ โดยส่วนใหญ่เป็น routine VEEG (ร้อยละ 76.9) แต่ แนวทางมาตรฐานท่ีสามารถรักษาอาการชักให้หายขาดหรือลดลง สามารถส่งตรวจ VEEG monitoring ไดเ้ ฉพาะในโรงพยาบาลศนู ย์ อยา่ งมนี ัยส�ำคญั ได้ (รอ้ ยละ 80) แต่มีเพยี งร้อยละ 54.5 ของแพทย์ เทา่ น้ัน เม่อื เปรยี บเทยี บกับการศึกษาปี 2556 CT สามารถสง่ ตรวจ ทเ่ี คยสง่ ตอ่ ผปู้ ว่ ยดอื้ ยาเพอื่ ไปประเมนิ การรกั ษาโดยการผา่ ตดั และ ได้ร้อยละ 100, 35.1 EEG ส่งตรวจได้ ร้อยละ 63.6, 5.4 ใน เพยี งรอ้ ยละ 38.9 มคี วามคดิ เหน็ วา่ จะสง่ ผปู้ ว่ ยมาประเมนิ การรกั ษา โรงพยาบาลศนู ยแ์ ละโรงพยาบาลทวั่ ไปตามลำ� ดบั แตไ่ มส่ ามารถให้ โดยการผา่ ตดั อีก ซ่ึงชใ้ี ห้เห็นวา่ ยังมีปัญหาของการเขา้ ถงึ การรกั ษา บริการตรวจMRI ได้12ข้อมูลการศึกษาน้ีแสดงให้เห็นว่ามีจ�ำนวน ของกลมุ่ ผปู้ ว่ ยโรคลมชกั ดอ้ื ยาเพอ่ื เขา้ รบั การประเมนิ การรกั ษาโดย ของเคร่ืองมือในการตรวจวินิจฉัยเพิ่มขึ้นในโรงพยาบาลศูนย์ การผา่ ตดั ซงึ่ เกดิ จากหลายสาเหตุ เชน่ ผปู้ ว่ ยขาดความรคู้ วามเขา้ ใจ โดยเฉพาะเคร่ืองมือในการตรวจท่ีซับซ้อน เช่น MRI และ EEG เก่ียวกับการผ่าตัดโรคลมชัก กลัวการผ่าตัด ไม่มีค่าเดินทาง ค่าใช้ monitoring ที่จ�ำเป็นในการวินิจฉัยแยกโรค ติดตามการรักษา จ่ายในตรวจวินิจฉัยที่สูง ส�ำหรับแพทย์ แนวทางการส่งต่อผู้ป่วย อาการชกั ตอ่ เนอื่ งรนุ แรง (status epilepticus) ทำ� ใหเ้ พม่ิ ศกั ยภาพ และสทิ ธเิ บกิ จา่ ยไมช่ ดั เจน ดงั นน้ั การใหค้ วามรคู้ วามเขา้ ใจเกย่ี วกบั ในการดูแลผู้ป่วยกลุ่มท่ีมีความซับซ้อนได้อย่างรวดเร็วและมี การผ่าตัดโรคลมชักแก่ประชาชน รวมถึงการผลักดันในระดับ ประสิทธิภาพ แต่อย่างไรก็ตามถ้ายึดตามมาตรฐานของการดูแล นโยบายเก่ียวกับสิทธิในการรักษาของผู้ป่วยโรคลมชักด้ือยาท่ีมี ผู้ป่วยโรคลมชักของโรงพยาบาลระดับทุติยภูมิ VEEG ยังถือว่า ข้อบ่งช้ีในการเข้ารับการประเมินการรักษาโดยการผ่าตัดให้ ไม่ครอบคลุมในทุกโรงพยาบาลระดับทุติยภูมิ ในส่วนของยากัน เหมาะสมมากขนึ้ เปน็ สงิ่ สำ� คญั ทจี่ ะชว่ ยใหผ้ ปู้ ว่ ยสามารถเขา้ ถงึ การ ชัก ร้อยละ 88.6 ของโรงพยาบาลระดับทุติยภูมิ มียากันชักกลุ่ม รักษาไดอ้ ย่างมีประสทิ ธภิ าพ มาตรฐานชนดิ รบั ประทาน ครบทง้ั 4 ชนดิ ทัง้ ในโรงพยาบาลศนู ย์ สรปุ (ร้อยละ82.4) และ โรงพยาบาลทว่ั ไป (ร้อยละ94.1) และ ร้อยละ 97.1 ของโรงพยาบาลทั้งสองกลุ่ม มียากันชักกลุ่มมาตรฐานชนิด จากการศึกษาพบว่าจ�ำนวนแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรค รบั ประทาน อยา่ งน้อย 2 ชนดิ คือยา sodium valproate และ ลมชัก เครื่องมือในการตรวจวินิจฉัยที่จ�ำเป็นได้แก่ MRI สมอง ยาในกลุ่ม sodium channel blocker เช่น carbamazepine, และ EEG ยังมไี มท่ วั่ ถึงในโรงพยาบาลระดบั ทุติยภูมใิ นส่วนภมู ภิ าค phenytoin หรือ phenobarbital อยา่ งนอ้ ย 1 ชนิด เพือ่ เป็นทาง ส่งผลโดยตรงต่อกลุ่มผู้ป่วยโรคลมชักที่มีความซับซ้อนหรือดื้อยา เลือกกรณีแพ้ยา หรือโรคลมชักจ�ำเพาะบางชนิด เช่น absence, ท�ำให้อาจมีปัญหาในการเข้าถึงการรักษาท่ีเหมาะสมได้ อย่างไร myoclonic epilepsy และทุกโรงพยาบาลมียากันชักกลุ่มใหม่ กต็ ามขอ้ มลู พน้ื ฐานของการใหบ้ รกิ ารทางดา้ นการแพทยข์ องผปู้ ว่ ย อย่างน้อย 1 ชนดิ และร้อยละ 81.2 ของโรงพยาบาล มยี ากันชกั โรคลมชัก ยังจ�ำเป็นต้องได้รับการส�ำรวจเพ่ิมเติม เนื่องจากการ รูปแบบยาฉีด ส�ำหรับใช้ในผู้ป่วยท่ีมีชักต่อเน่ืองรุนแรง (status ศึกษานี้ มีข้อจ�ำกัดในการแปลผล เพราะจ�ำนวนการตอบกลับของ epilepticus) อย่างนอ้ ย 2 ชนดิ คือยา sodium valproate และ แบบสอบถามท่จี ำ� กดั และขอ้ มลู ทไี่ ดไ้ ม่ครบถ้วน ยาในกลุ่ม sodium channel blocker เช่น phenytoin หรือ กติ ตกิ รรมประกาศ phenobarbital อยา่ งนอ้ ย 1 ชนิด โดยโรงพยาบาลศนู ยม์ รี อ้ ยละ 94.1 และโรงพยาบาลทัว่ ไปมีร้อยละ 64.3 ซง่ึ เพิม่ ขน้ึ อย่างชัดเจน ขอขอบพระคุณ อาจารย์ สมชาย โตวณะบุตร แพทย์ เมือ่ เปรยี บเทยี บจากการส�ำรวจของสถาบันประสาทวิทยา ปี 2555 ผู้ทรงคุณวุฒิทางประสาทวิทยา อดีตนายกสมาคมโรคลมชักแห่ง ที่มียารูปแบบฉีดอย่างน้อย 2 ชนิดในโรงพยาบาลศูนย์และโรง ประเทศไทย ท่ีเห็นปัญหาการเข้าถึงการรักษาโรคลมชักและ พยาบาลทัว่ ไปเพยี งร้อยละ28 และ 0.9 ตามลำ� ดบั 6 จากการศึกษาน้ี ริเริ่มสนับสนุนการส�ำรวจข้อมูลการให้บริการด้านโรคลมชักใน พบว่ายากันชักกลุ่มมาตรฐานชนิดรับประทานมีใช้ในโรงพยาบาล โรงพยาบาลทัว่ ประเทศไทย ตัง้ แตป่ ี พ.ศ 2555 ซ่งึ เปน็ จดุ เริม่ ต้น ครอบคลุมมากข้ึนทั้งโรงพยาบาลศูนย์และท่ัวไป ในขณะท่ียากัน ของการส�ำรวจเก็บข้อมูลของงานวิจัยนี้ ขอขอบพระคุณ อาจารย์ ชักแบบยาฉีด มีใช้ในโรงพยาบาลศูนย์ส่วนใหญแ่ ตย่ งั ไมเ่ พยี งพอใน อาภาศรี ลุสวัสด์ิ ประธานอนุกรรมการทีมน�ำโรคลมชัก สถาบัน โรงพยาบาลทวั่ ไป ดา้ นแนวทางการดแู ลผปู้ ว่ ยของแพทย์ เนอ่ื งจาก ประสาทวิทยา และคณะอนุกรรมการทุกท่านท่ีเป็นผู้ผลักดันและ โรคลมชักด้ือยาเป็นปัญหาที่ส�ำคัญท่ีแพทย์ผู้ดูแลต้องตระหนักถึง เสนอแนะแนวทางในการสรา้ งแบบสอบถามงานวจิ ยั ขอขอบพระคณุ และมีความเข้าใจท่ีถูกต้องเก่ียวกับการผ่าตัดโรคลมชัก จากการ ศนู ยว์ จิ ยั สถาบนั ประสาทวทิ ยา ทใ่ี หค้ ำ� แนะนำ� และชว่ ยเหลอื ในการ ศึกษาน้ี พบว่าแพทย์ส่วนใหญ่คิดว่าโรคลมชักดื้อยาเป็นปัญหาใน วเิ คราะหแ์ ละน�ำเสนอข้อมูลงานวิจยั นี้ 132 | วารสารกรมการแพทย์

References 10. Meyer AC, Dua T, Ma J, Saxena S, Birbeck G. Global disparities in the epilepsy treatment gap: a systemic review. Bulletin of 1. Trinka E, Kwan P, Lee B, Dash A. Epilepsy in Asia: disease the World Health Organization 2010;88:260-6. burden, management barrier, and challenges. Epilepsia 2019; 60:7-2. 11. Mbuba CK, Ngugi AK, Newton CR, Carter JA. The epilepsy treatment gap in developing countries: a systemic review 2. Jovel CE, Nagel AG, Serrano AA, Morales IG, Nagel AG. of the magnitude, causes and intervention strategies. Epidermiological profile of epilepsy in low income Epilepsia.2008 September; 49:1491-503. populations. Seizure 2018; 56:67-72. 12. Tiamkao S, Towanabut S, Dhiravibulyn K, Pranboon S, 3. Meinardi H, Scott RA, Reis R, Sander JW. The treatment gap in Sawanyawisuth K. Is the Thailand epilepsy service adequate epilepsy: the current situation and the way forward. Epilepsia to help patients? Neurology Asia 2013; 18:271-7. 2001; 42:136-49. 13. Pranboon S, Lertsinudom S, Tiamkao S. Facility of epilepsy 4. Asawavichienjinda T, Satthi-Amorn C, Tanyanont W. service in I San. North East Thai J neurosci 2011; 6:19-27. Prevalence of epilepsy in rural Thailand:a population-based study. J Med Assoc Thai 2002;85:1066-73 14. NICE guideline: Epilepsy care. February 2013(online). available:http://www.nice.org.uk 5. Department of medical service, Ministry of public health. Thailand Medical Service Profile 2015-18. 15. Strategy and Planning division, Ministry of Public health. Report on public health resources concerning the public 6. Towanabut S. Survey of medical facilities for epileptic patients health in the year; 2016. in Thailand 2012. 16. Tiamkao S, Pranboon S. National Health Security Office Region 7. Phabphal K, Greater A, Limapichart K, Satirapunya P, 7. Antiepileptic drugs available in 4 provinces of I-san. I-San Setthawatcharawanich S. Quality of life in epileptic patients j Intern Med 2011;10:28-35. in Southern Thailand. J Med Assoc Thai 2009;92:762-9. 17. Lertsinudom S, Chainirun N, Tiamkao S.Facilities and Services 8. Center of excellence in epilepsy, Prasat Neurological Institute. for people with epilepsy-A survey from Northest Thailand. Planning project 2017-21: Better accessible medical care for J Med Asso Thai 2017;100:S252-8. epileptic patients in Thailand. 9. Kwan P, Brodie MJ. Early identification of refractory epilepsy. N Eng J Med 2000; 342:314-9. ปีท ่ี 45  ฉบับที ่ 2  เมษายน - มถิ ุนายน 2563 | 133

นิพนธ์ตน้ ฉบบั ความชุกและสาเหตุของการนอนโรงพยาบาลด้วยอาการชกั ใน โรงพยาบาลสระบุรี พิมประภา กิจวธิ ี ปร.ด, นรากรณ์ นราธิกรณฤ์ ทธ์ิ ภ.ม., อังสนา ฉตั รรตั นแสง ภ.ม. โรงพยาบาลสระบุรี ตำ� บลปากเพรยี ว อำ� เภอเมืองสระบุรี จังหวดั สระบุรี 18000 Abstract: Prevalence and Causes of Seizure-Related Hospitalization in Epileptic Patient at Saraburi Hospital Kitwitee P, Naratikornrit N, Chatrrattanasang A Saraburi Hospital, Pakphriao, Mueang Saraburi, Saraburi, 18000 (E-mail:[email protected]) (Received: April 24, 2019; Revised: May 23, 2019; Accepted: March 3, 2020) Background: Epilepsy is an ambulatory care sensitive condition. The hospitalization for epilepsy may be avoided if the patients receive treatment based on quality health care system in primary level. From 2008 to 2010, Health Insurance System Research Office reported that an epilepsy-related hospitalization was increased. However, there was no research focusing on the epilepsy-related hospitalization rate in Saraburi hospital. Objective: The aim of this study was to determine the prevalence and the causes of the seizure-related hospitalization in this hospital. Method: Retrospective chart review was conducted in adult epileptic patients aged 15 years or older, who admitted with some seizures at Saraburi hospital between 1 January and 31 December 2017. There were 402 patients who received outpatient medical treatment in Saraburi hospital at least 2 visits during the study period. Result: The seizure-related hospitalization of 67 patients was about 16.7%. Non-adherence was a major cause of the seizure-related hospitalization as 50.8%. An average number of hospitalization was 1.8 times per year (SD, 1.3), and median of length of stay was 2.0 days (IQR, 2.0-3.0). Total direct medical cost was 5,215 Baht per admission (SD, 2,826). Most patients (95.5%) improved and 65.2% of subjects received anti-epileptic drugs similar to that received at the last visit. Although easy epilepsy clinic can improve quality of service delivery in health care system, there is no easy epileptic clinic in Saraburi hospital. This strategy can reduce some problem in special group including epileptic patients. Appropriate preventative and early management in ambulatory care may increase seizure-free rate and decrease hospitalization rate as well as health care utilization. Conclusion: Prevalence of seizure-related hospitalization in epileptic patient at Saraburi hospital was 16.7% and non-adherence was a major cause of these patients. Keyword: Epilepsy, Hospitalization, Prevalence บทคดั ยอ่ ข้ึนไปท่ีนอนโรงพยาบาลด้วยอาการชักท่ีโรงพยาบาลสระบุรีใน ภูมิหลัง: โรคลมชักเป็นโรคเรื้อรังท่ีควรควบคุมได้ด้วยการ ช่วงระหว่างวันที่ 1 มกราคมถึง 31 ธันวาคม 2560 และมีผู้ป่วย จ�ำนวน 402 คนได้รับการรักษาด้วยยากันชักที่แผนกผู้ป่วยนอก ดูแลรักษาแบบผู้ป่วยนอก การนอนโรงพยาบาลนี้สามารถป้องกัน โรงพยาบาลสระบุรีอย่างน้อย 2 คร้ังในช่วงเวลาที่ศึกษา ผล: หรอื ลดลงไดห้ ากผปู้ ว่ ยไดร้ บั การรกั ษาในระดบั ปฐมภมู อิ ยา่ งถกู ตอ้ ง ผปู้ ว่ ย 67 คน (ร้อยละ 16.7) มกี ารนอนโรงพยาบาลดว้ ยอาการชกั ในระบบบริการสุขภาพที่มีคุณภาพดี รายงานของส�ำนักงานวิจัย โดยมีสาเหตุมาจากความไม่ร่วมมือในการใช้ยามากที่สุด (ร้อยละ เพ่ือการพัฒนาหลักประกันสุขภาพไทย ปี พ.ศ. 2551-2553 พบ 50.8) ผปู้ ว่ ยมีการนอนโรงพยาบาลเฉล่ีย 1.8 ครง้ั ตอ่ ปี (สว่ นเบีย่ ง ว่าโรคลมชักมีอัตราการนอนโรงพยาบาลเพ่ิมข้ึน อย่างไรก็ตามยัง เบนมาตรฐาน 1.3) และค่ามธั ยฐานของจ�ำนวนวนั นอนเทา่ กบั 2.0 ไม่มีรายงานความชุกของการนอนโรงพยาบาลด้วยอาการชักใน วนั ตอ่ ครงั้ (พิสยั ควอไทล์ 2.0-3.0) ทำ� ใหเ้ กดิ ตน้ ทนุ ทางตรงทางการ โรงพยาบาลสระบุรี วัตถุประสงค์: การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ แพทยค์ รงั้ ละ 5,215 บาท (สว่ นเบยี่ งเบนมาตรฐาน 2,826) หลงั จาก หาความชุกและสาเหตุของการนอนโรงพยาบาลด้วยอาการชักใน มีการนอนโรงพยาบาลแล้วผู้ป่วยเกือบท้ังหมด (ร้อยละ 95.5) มี โรงพยาบาลสระบุรี วิธีการ: เก็บข้อมูลปฐมภูมิจากการทบทวน อาการดีขนึ้ สามารถกลับบ้านได้และส่วนใหญ่ (รอ้ ยละ 65.2) ไดร้ ับ เวชระเบียนย้อนหลังของผู้ป่วยลมชักกลุ่มผู้ใหญ่อายุตั้งแต่ 15 ปี 134 | วารสารกรมการแพทย์

ยากันชักชนิดเดิม อย่างไรก็ตามปัจจุบันยังไม่มีคลินิกโรคลมชักใน และพบว่าผู้ป่วยร้อยละ 35 มีการนอนโรงพยาบาลซ้�ำจ�ำนวน 2 โรงพยาบาลสระบุรี ซ่ึงอาจช่วยลดปัญหาต่างๆ ในผู้ป่วยกลุ่มท่ี ครั้งตอ่ ป8ี นอกจากนี้โรคลมชักยงั เป็นสาเหตุใหต้ อ้ งมารบั การรักษา ต้องการได้รับค�ำปรึกษาแนะน�ำเพิ่มเติม น�ำไปสู่การเพิ่มอัตรา ที่แผนกฉุกเฉินสูงถึงร้อยละ 30 ของภาวะ ACSC ทั้งหมด9 และ การหายชัก ลดการนอนโรงพยาบาลด้วยอาการชักและลดการใช้ จากการศึกษาของ Divino7 พบว่าผู้ป่วยลมชักท่ีควบคุมอาการชัก ทรพั ยากรทางสขุ ภาพลงได้ สรปุ : ความชกุ ของการนอนโรงพยาบาล ไม่ได้จนต้องเข้านอนโรงพยาบาลหรือมารับบริการที่แผนกฉุกเฉิน ดว้ ยอาการชกั ทโี่ รงพยาบาลสระบรุ เี ทา่ กบั รอ้ ยละ 16.7 โดยมสี าเหตุ มตี น้ ทนุ ทเี่ กดิ จากอาการชกั มากกวา่ ผปู้ ว่ ยลมชกั ทค่ี วบคมุ อาการชกั มาจากความไม่รว่ มมือในการใชย้ ามากท่สี ุด ได้ 8 เท่าอยา่ งมนี ยั ส�ำคัญทางสถติ ิ โดยเฉพาะต้นทนุ ที่เกดิ จากการ นอนโรงพยาบาล นอกจากนผี้ ปู้ ว่ ยทค่ี วบคมุ อาการชกั ไมไ่ ดย้ งั มกี าร ค�ำสำ� คญั : โรคลมชัก การนอนโรงพยาบาล ความชกุ ขาดงานและเกดิ อบุ ตั เิ หตไุ ดม้ ากกวา่ ผปู้ ว่ ยลมชกั ทค่ี วบคมุ อาการชกั บทน�ำ ไดอ้ ยา่ งมนี ัยส�ำคัญทางสถิติ 2.5 และ 2.0 เท่าตามลำ� ดบั ซึ่งการจัด ระบบบรกิ ารสขุ ภาพทด่ี ที สี่ ดุ เพอ่ื ลดตน้ ทนุ ในสว่ นนคี้ อื การรกั ษาดว้ ย โรคลมชกั เปน็ โรคระบบประสาททพี่ บไดบ้ อ่ ยเปน็ อนั ดบั สอง ยากนั ชักที่มีประสิทธผิ ลสูงสุดกบั ผู้ปว่ ย6 รองจากโรคหลอดเลือดสมอง รายงานความชุกของผู้ป่วยลมชักใน ประชากรไทยปี พ.ศ. 2545 เทา่ กับ 7.2 ต่อประชากร 1,000 คน1 สาเหตุการนอนโรงพยาบาลด้วยโรคลมชักมีหลายปัจจัย หรอื ประมาณ 468,000 คน (ประชากรไทย 65 ลา้ นคน) การรกั ษา แต่การศึกษาทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศพบว่าความไม่ หลักในผู้ป่วยลมชักเป็นการรักษาด้วยยากันชัก เป้าหมายหลักใน ร่วมมือในการใช้ยาเป็นสาเหตุที่ส�ำคัญท่ีสุดที่ท�ำให้เกิดการนอน การรักษาคือ การหายจากการชัก (seizure-free) โรคลมชักเป็น โรงพยาบาลด้วยลมชักประมาณร้อยละ 38-4510-13 โดยเหตุผล หนึ่งในโรคเร้ือรังส�ำคัญ 6 กลุ่มท่ีสามารถป้องกันหรือลดจ�ำนวน ท่ีพบบ่อยท่ีสุดคือ การลืมกินยาและความกลัวต่ออาการข้างเคียง การนอนโรงพยาบาล (hospitalization) ลงได้หากผู้ป่วยได้รับ จากการใช้ยา11,13 อย่างไรก็ตามยังไม่มีรายงานข้อมูลความชุกและ การรักษาในระดับปฐมภูมิอย่างถูกต้องในระบบบริการสุขภาพท่ีมี สาเหตุการนอนโรงพยาบาลด้วยอาการชักในโรงพยาบาลสระบุรี คุณภาพดี หรอื ทเ่ี รยี กวา่ ภาวะที่ควรควบคุมด้วยบรกิ ารผู้ป่วยนอก การศึกษานี้จึงมีวัตถุประสงค์หลักเพ่ือหาความชุกและสาเหตุของ (Ambulatory Care Sensitive Condition, ACSC) อัตราการ การนอนโรงพยาบาลด้วยอาการชักในโรงพยาบาลสระบุรี เพื่อใช้ นอนโรงพยาบาลด้วย ACSC ยังเป็นดัชนีท่ีใช้ในการติดตามและ เป็นดัชนีในการติดตามและประเมินสมรรถนะการให้บริการแบบ ประเมินสมรรถนะการให้บริการรักษาพยาบาลในระดับปฐมภูมิที่ ผู้ป่วยนอกท่สี ามารถลดการนอนรักษาในโรงพยาบาลโดยไม่จำ� เปน็ สามารถลดการนอนรกั ษาในโรงพยาบาลโดยไมจ่ �ำเปน็ 2 ได้ และมีวัตถุประสงค์รองเพื่อศึกษาต้นทุนทางตรงทางการแพทย์ ของการนอนโรงพยาบาลน้ีอันเปน็ การสะท้อนถงึ องค์ประกอบส่วน ผลการวเิ คราะหอ์ ตั ราการนอนโรงพยาบาลดว้ ย ACSC ของ หนงึ่ ของภาระโรค (burden of disease) ในการใชท้ รพั ยากรสขุ ภาพ ส�ำนักงานวิจัยเพื่อการพัฒนาหลักประกันสุขภาพไทยจากข้อมูล ของผูป้ ่วยโรคลมชกั อิเล็กทรอนิกส์ผู้ป่วยในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าปี พ.ศ. วตั ถุและวธิ กี าร 2551-2553 พบว่าโรคลมชักมีอัตราการนอนโรงพยาบาลเพิ่มข้ึน จาก 36.5 ตอ่ 100,000 ประชากรในปี 2551 เปน็ 43.1 ตอ่ 100,000 การศึกษานี้เป็นการวิจัยโดยการสังเกต (observational ประชากรในปี 2553 และโรคลมชักมีอัตราการนอนโรงพยาบาล research) เก็บข้อมูลปฐมภูมิจากการทบทวนเวชระเบียนย้อน ในโรงพยาบาลท่ัวไปและโรงพยาบาลศูนย์ใกล้เคียงกับโรงพยาบาล หลัง (retrospective chart review) ของผู้ป่วยลมชักที่นอนโรง ชมุ ชนซงึ่ ต่างจากโรคปอดอุดกน้ั เรอื้ รัง หดื เบาหวานและความดนั พยาบาลด้วยอาการชักท่ีโรงพยาบาลสระบุรีในช่วงระหว่างวันท่ี โลหติ สงู ทม่ี อี ตั ราการนอนโรงพยาบาลในโรงพยาบาลชมุ ชนมากกวา่ 1 มกราคมถึง 31 ธนั วาคม 2560 เพอ่ื หาความชุกและสาเหตุของ โรงพยาบาลขนาดใหญ่2 ในต่างประเทศพบอัตราการเข้านอน การนอนโรงพยาบาลด้วยอาการชักตามวัตถุประสงค์หลักของงาน โรงพยาบาลดว้ ยอาการชกั ตอ่ ปใี นประเทศสหรฐั อเมรกิ าเทา่ กบั รอ้ ย วิจัยน้ี นอกจากนี้ยังศึกษาต้นทุนทางตรงทางการแพทย์ของการ ละ 13.73 และอตั ราการนอนโรงพยาบาลระยะเวลา 5 ปใี นประเทศ นอนโรงพยาบาลด้วยอาการชัก ออสเตรเลยี เทา่ กบั 85.6 ตอ่ 1,000 ประชากร (95% CI 84.7-86.4)4 และในกลมุ่ ทด่ี อื้ ตอ่ การรกั ษาดว้ ยยา (drug-resistance epilepsy) การศึกษานี้มีเกณฑ์คัดเข้า ได้แก่ (1) ได้รับการวินิจฉัยว่า มอี ัตราการนอนโรงพยาบาลต่อปีสงู ถึงรอ้ ยละ 42.7-55.05 เป็นโรคลมชักและมอี ายตุ ้งั แต่ 15 ปขี ึ้นไป (2) ไดร้ บั การรักษาดว้ ย ยากนั ชกั ทีแ่ ผนกผปู้ ่วยนอกโรงพยาบาลสระบรุ อี ย่างน้อย 2 ครั้งใน นอกจากนี้อัตราการนอนโรงพยาบาลด้วยอาการชักที่เพ่ิม ชว่ งเวลาทีศ่ กึ ษาและ (3) มขี อ้ มูลการรกั ษาท่ีแผนกผ้ปู ว่ ยนอกและ ขึ้นถือเป็นภาระโรคในระบบสุขภาพท่ีส�ำคัญอย่างหน่ึง และหากมี การนอนโรงพยาบาลที่ต้องการครบถ้วน เกณฑ์คัดออกคือ ผู้ป่วย ความรนุ แรงมากจนเกดิ ภาวะชกั ตอ่ เนอื่ ง (status epilepticus) จะ มีการนอนโรงพยาบาลด้วยโรคร่วมที่ไม่ใช่อาการชัก ทั้งโรคเร่ือรัง ยงิ่ เพม่ิ อตั ราการตาย (mortality) อตั ราการเจบ็ ป่วย (morbidity) อน่ื ๆ ภาวะโรคท่ีมเี ก่ียวข้องกับโรคลมชกั เชน่ ซมึ เศรา้ วติ กกงั วล และการใช้ทรพั ยากรทางสขุ ภาพ (healthcare utilization) มาก จติ เภท ปัญญาออ่ น และอบุ ัติเหตุทไี่ ม่ไดม้ สี าเหตมุ าจากอาการชัก ขน้ึ 6,7 โดยมจี ำ� นวนครงั้ ของการนอนโรงพยาบาลดว้ ยอาการชกั เฉลยี่ หรอื มีขอ้ มลู ที่ตอ้ งการศึกษาไม่ครบถว้ น 1.7-1.9 ครง้ั ต่อปแี ละมีจ�ำนวนวนั นอนเฉล่ยี 10.0-11.1 วันต่อครง้ั 5 ปีท่ี 45  ฉบบั ท่ี 2  เมษายน - มถิ นุ ายน 2563 | 135

ความชุกของการนอนโรงพยาบาลด้วยอาการชักค�ำนวณ รักษา เวชภณั ฑท์ ่ไี ม่ใชย่ า ค่าอุปกรณข์ องใชแ้ ละเครอื่ งมอื ทางการ จากจ�ำนวนผู้ป่วยลมชักท่ีมีการนอนโรงพยาบาลด้วยอาการชัก แพทย์ ค่าผ่าตัด หตั ถการและวสิ ัญญี (3) คา่ ตรวจวนิ จิ ฉยั ประกอบ (ICD-10 คือ G40 หรือ G41) ในชว่ งเวลาที่ศกึ ษาหารด้วยจำ� นวน ด้วยค่าบริการโลหิตและส่วนประกอบของโลหิต ค่าตรวจวินิจฉัย ผู้ป่วยลมชักท้ังหมดที่เข้าเกณฑ์ของการศึกษาแสดงข้อมูลเป็น ทางเทคนิคการแพทย์และพยาธิวิทยา ค่าตรวจวินิจฉัยและรักษา ร้อยละ สาเหตุการนอนโรงพยาบาลด้วยอาการชักได้จากข้อมูลท่ี ทางรังสวี ทิ ยา คา่ ตรวจวนิ ิจฉยั โดยเทคนิคพเิ ศษอ่ืนๆ และ (4) คา่ ยา แพทย์ระบุไว้ในประวัติการนอนโรงพยาบาล ข้อมูลอ่ืนๆ ที่ศึกษา ประกอบดว้ ยคา่ ยาและสารอาหารทางเสน้ เลอื ดทใ่ี ชใ้ นโรงพยาบาล ได้แก่ ข้อมูลทั่วไป ข้อมูลอาการชัก ข้อมูลการนอนโรงพยาบาล และค่ายาที่น�ำกลับบ้าน วิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณนาโดยแจกแจง ด้วยอาการชัก และต้นทุนทางตรงทางการแพทย์ของการนอน ความถี่ รอ้ ยละ คา่ เฉล่ยี และสว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐานอย่างไรกต็ าม โรงพยาบาลครั้งลา่ สดุ ในช่วงทท่ี ำ� การศกึ ษา การศกึ ษานผี้ า่ นการเหน็ ชอบจากคณะกรรมการจรยิ ธรรมในมนษุ ย์ โรงพยาบาลสระบรุ ีเรียบร้อยแล้ว ต้นทุนทางตรงทางการแพทย์ของการนอนโรงพยาบาล ผล ในการศึกษาน้ีถูกแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มใหญ่ ได้แก่ (1) ค่านอน โรงพยาบาล (2) คา่ หตั ถการและอปุ กรณท์ างการแพทย์ (3) คา่ ตรวจ ในปี 2560 มผี ปู้ ว่ ยลมชกั ทม่ี ารบั การรกั ษาแผนกผปู้ ว่ ยนอก วนิ จิ ฉยั และ (4) ค่ายา ซึง่ แตล่ ะกลุ่มมีองค์ประกอบยอ่ ยอา้ งอิงตาม และเขา้ เกณฑข์ องการศกึ ษานท้ี งั้ หมด 402 ราย ในจำ� นวนนม้ี ผี ปู้ ว่ ย การจ�ำแนกหมวดในคู่มืออัตราค่าบริการสาธารณสุขเพื่อใช้ส�ำหรับ ท่เี ข้านอนโรงพยาบาลดว้ ยอาการชกั 67 ราย (ร้อยละ 16.7) เปน็ การเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลในสถานพยาบาลของทางราชการ เพศชาย 40 ราย (ร้อยละ 59.7) อายุเฉลยี่ 39.9 ปี (ส่วนเบ่ยี งเบน พ.ศ. 2549 ดงั นคี้ อื (1) คา่ นอนโรงพยาบาลประกอบดว้ ยคา่ หอ้ ง/คา่ มาตรฐาน 11.5) ประมาณรอ้ ยละ 66 เปน็ ผปู้ ว่ ยลมชกั ทอ่ี ยนู่ อกเขต อาหารและค่าบริการทางการพยาบาล (2) ค่าหตั ถการและอุปกรณ์ อ�ำเภอเมอื งสระบรุ หี รืออยู่จังหวดั อ่นื (ตารางที่ 1) ทางการแพทย์ประกอบด้วยค่าอวัยวะเทียม/อุปกรณ์ในการบ�ำบัด ตารางท่ี 1 ขอ้ มลู ท่ัวไป (N = 67) ขอ้ มลู ท่ัวไป จำ� นวน (ร้อยละ) เพศชาย 40 (59.7) อายเุ ฉล่ีย (ป)ี , Mean ±SD 39.9 ±11.5 ภูมิลำ� เนา 23 (34.3) ในเขตอ�ำเภอเมอื ง จังหวดั สระบรุ ี 38 (56.7) นอกเขตอำ� เภอเมอื ง จงั หวดั สระบรุ ี 6 (9.0) จังหวดั อน่ื ๆ 5 (7.5) สิทธิการรกั ษา 13 (19.4) 49 (73.1) ข้าราชการ ประกันสงั คม 23 (34.3) หลักประกนั สุขภาพถว้ นหนา้ 1 (1.5) อาชีพ 14 (20.9) ไม่ไดท้ ำ� งาน 3 (4.5) ข้าราชการ/รัฐวสิ าหกจิ 1 (1.5) พนกั งาน/ลกู จา้ งเอกชน 25 (37.3) ค้าขาย/ธรุ กิจส่วนตัว 35 (52.2) เกษตรกรรม รบั จ้างท่ัวไป/กรรมกร มีโรคประจำ� ตัวอน่ื ๆ นอกจากลมชัก ผ้ปู ่วยได้รบั การวนิ จิ ฉัยว่าเปน็ ลมชกั เมื่ออายเุ ฉลย่ี 28.9 ปี hippocampal sclerosis (ร้อยละ 22.4) รองลงมาคอื ไม่ทราบ (ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน 14.4) ค่ามัธยฐานของระยะเวลาท่ีเป็น สาเหตุ/ไม่ระบุ(ร้อยละ 20.9) และ traumatic brain injury โรคลมชักเทา่ กับ 10.0 ปี (พิสัยควอไทล์ 3.0-14.0) ผู้ปว่ ยมีประวัติ (ร้อยละ 16.4) ตามลำ� ดับ ค่ามัธยฐานของความถใี่ นการชกั เทา่ กับ โรคลมชักในครอบครัวร้อยละ 3.0 และมีประวัติชักจากอาการไข้ 3.0 ครงั้ ตอ่ ปี (พสิ ัยควอไทล์ 2.0-5.0) จ�ำนวนยากนั ชักท่ีได้รบั เฉลีย่ ร้อยละ 10.5 ผู้ป่วยส่วนใหญ่ (ร้อยละ 73.1) เป็นโรคลมชัก 1.5 ชนดิ (ส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐาน 0.7) แบบ focal epilepsy สาเหตุของโรคลมชักท่ีพบมากท่ีสุดคือ 136 | วารสารกรมการแพทย์

ตารางที่ 2 ข้อมลู อาการชกั (N = 67) ขอ้ มูลอาการชกั จ�ำนวน (ร้อยละ) อายุทวี่ นิ จิ ฉัยเปน็ ลมชัก (ป)ี , Mean±SD 28.9±14.4 ระยะเวลาเป็นโรคลมชกั (ป)ี , มัธยฐาน±พสิ ยั ควอไทล์ 10.0±(3.0-14.0) (3.0) มปี ระวตั ิโรคลมชกั ในครอบครวั (10.5) มีประวตั ชิ กั จากอาการไข้ 2 ชนิดของโรคลมชัก 7 (73.1) (26.9) Focal epilepsy 49 18 (13.4) Generalized epilepsy (16.4) 9 (1.5) สาเหตุของโรคลมชกั 11 (1.5) Stroke 1 (9.0) 1 (1.5) Traumatic brain injury 6 (1.5) 1 (6.0) Cortical dysphasia 1 (22.4) 4 (4.5) Brian malformation 15 (1.5) 3 (20.9) Post hypoxia หลังคลอด 1 14 Recreational drug use 3.0±(2.0-5.0) 1.5±0.7 CNS infection Brain tumor Hippocampal sclerosis Calcification Tuberous sclerosis ไมท่ ราบสาเหต/ุ ไมร่ ะบุ ความถีใ่ นการชัก (ครัง้ ตอ่ ปี), มธั ยฐาน±พิสยั ควอไทล์ จำ� นวนยากันชักที่ได้รับ(ชนิด), Mean±SD จำ� นวนการนอนโรงพยาบาลดว้ ยอาการชักเฉลี่ย 1.8 ครงั้ การใช้ยา (ร้อยละ 50.8) รองลงมาคือ กินยาครบแตร่ ะดับยาไมอ่ ยู่ ตอ่ ปี (สว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน 1.3) โดยมคี า่ มธั ยฐานของจำ� นวนวนั ในช่วงการรกั ษา (ร้อยละ 16.4) และยังมรี อยโรคในสมอง (รอ้ ยละ นอนเทา่ กับ 2.0 วนั ตอ่ ครงั้ (พิสัยควอไทล์ 2.0-3.0) ผู้ป่วย 38 คน 16.4) ตามล�ำดับ ระยะเวลาต้ังแต่ชักคร้ังล่าสุดจนถึงการนอนโรง (รอ้ ยละ 56.7) มีการนอนโรงพยาบาลดว้ ยอาการชกั จำ� นวน 1 คร้งั พยาบาลครง้ั นเี้ ทา่ กบั 3.0 เดอื น (พสิ ยั ควอไทล์ 1.0-6.0) ผปู้ ว่ ยเกอื บ ต่อปี และผปู้ ่วย 16 คน (ร้อยละ 23.9) และ 6 คน (ร้อยละ 9.0) ทงั้ หมด (ร้อยละ 95.5) มอี าการดขี ้นึ และสามารถกลับบา้ นได้ ส่วน เข้านอนโรงพยาบาลด้วยอาการชกั จำ� นวน 2 และ 3 ครัง้ ต่อปตี าม ใหญ่ (ร้อยละ 65.2) ไดร้ ับยาชนดิ เดิม แต่บางส่วนมีการเพ่มิ ขนาด ลำ� ดบั สาเหตุการนอนโรงพยาบาลมากที่สุดคือ ความไม่ร่วมมือใน ยาเดมิ (รอ้ ยละ 21.2) และเพิม่ ยาชนดิ ใหม่ (ร้อยละ 12.1) ตารางที่ 3 สาเหตกุ ารเข้านอนโรงพยาบาลดว้ ยอาการชัก (N = 67) ขอ้ มูลการเขา้ นอนโรงพยาบาล จำ� นวน (รอ้ ยละ) จำ� นวนการเขา้ นอนโรงพยาบาลต่อปี (ครงั้ ), Mean±SD 1.8±1.3 จ�ำนวนวันนอนตอ่ คร้ัง (วนั ), มัธยฐาน±พิสยั ควอไทล์ 2.0±(2.0-3.0) (50.8) สาเหตุการเขา้ นอนโรงพยาบาล (16.4) 34 (16.4) ลืมกนิ ยา/ขาดยา/กนิ ยาผิดขนาด 11 (1.5) 11 (1.5) กนิ ยาครบแตร่ ะดบั ยาไมอ่ ยู่ในช่วงของการรกั ษา 1 (1.5) 1 มีรอยโรค/เนอื้ งอกในสมอง 1 ดมื่ สุราเรือ้ รงั เครียด/พกั ผ่อนน้อย อนั ตรกิรยิ าระหว่างยา ปที ่ ี 45  ฉบับที่ 2  เมษายน - มถิ ุนายน 2563 | 137

ตารางท่ี 3 สาเหตุการเข้านอนโรงพยาบาลด้วยอาการชกั (N = 67) (ต่อ) จ�ำนวน (ร้อยละ) 1 (1.5) ข้อมูลการเขา้ นอนโรงพยาบาล 5 (7.5) ใช้สารเสพติด/สารกระตุ้น 2 (3.0) มีไข้/ตดิ เชอื้ ชกั หลังจากแพทยใ์ หห้ ยุดยา 3.0±(1.0-6.0) (95.5) ระยะเวลาตั้งแตช่ ักคร้ังล่าสุดจนเขา้ รพ. ครั้งนี้ (เดอื น), มัธยฐาน±พสิ ยั ควอไทล์ (3.0) สถานะวนั จำ� หนา่ ย 64 (1.5) ดีขนึ้ 2 ไมด่ ีขน้ึ 1 (65.2) เสียชีวิต (21.2) ยากันชัก ณ วนั จำ� หน่าย (N = 66) 43 (12.1) ได้รบั ยาเดมิ 14 (1.5) เพม่ิ ขนาดยาชนิดเดิม 8 เพิม่ ยาชนิดใหม่ 1 เปลย่ี นเป็นยาชนดิ ใหม่ ตน้ ทนุ ทางตรงทางการแพทยร์ วมของการนอนโรงพยาบาล น้ีมีผู้ป่วยจ�ำนวน 3 ราย (ร้อยละ 4.5) ที่มีค่าต้นทุนรวมเป็นค่า ดว้ ยอาการชักในผู้ปว่ ย 64 ราย เฉลยี่ 5,215 บาท (สว่ นเบยี่ งเบน ผิดปกติ (outlier) ที่มีผลท�ำให้ค่าต้นทุนรวมเฉลี่ยสูงถึง 10,803 มาตรฐาน 2,826) ในจ�ำนวนน้ีพบว่าประกอบด้วยค่ายามากที่สุด บาท (ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 41,727) ประกอบด้วยค่านอน (รอ้ ยละ 38.1) เทา่ กับ 1,989 บาท รองลงมาคือ ค่าตรวจวนิ ิจฉัย โรงพยาบาล 1,462 (ส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐาน 1,327) ค่าหัตถการ (รอ้ ยละ 25.8) และค่านอนโรงพยาบาล (ร้อยละ 24.0) ตามล�ำดับ และอปุ กรณท์ างการแพทย์ 2,048 (สว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน 10,198) สำ� หรับค่าตรวจวินจิ ฉยั พบวา่ ผ้ปู ่วยจ�ำนวน 62 ราย (ร้อยละ 92.5) คา่ วนิ จิ ฉยั 1,715 (สว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน 2,325) และคา่ ยา 5,578 ได้รับการส่งตรวจระดับยาในเลือด และผู้ป่วยจ�ำนวน 28 คน (ส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐาน 28,654) (รอ้ ยละ 41.8) ได้รบั การตรวจ CT scan อยา่ งไรก็ตามการศึกษา ตารางที่ 4 ต้นทุนทางตรงทางการแพทยข์ องการเข้านอนโรงพยาบาลดว้ ยอาการชัก (N=64)* ต้นทุน ค่าเฉล่ยี สว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน มัธยฐาน พสิ ัยควอไทล์ ตน้ ทนุ รวม 5,215 2,826 4,375 (3,095-7,237) 1,252 810 987 (888-1,477) ค่านอนโรงพยาบาล 627 812 233 ค่าหตั ถการและอุปกรณ์ทางการแพทย์ 1,345 969 1,036 (123-815) ค่าวินิจฉยั 1,989 1,593 1,700 (736-1,535) คา่ ยา (1,073-2,617) * ตดั ผปู้ ว่ ยจำ� นวน 3 รายทีม่ ีค่าต้นทนุ รวมเปน็ ค่าผิดปกติออก วจิ ารณ์ จ�ำนวนมากท่ีไม่สามารถควบคุมอาการชักได้และต้องการได้รับการ ความชกุ ของการนอนโรงพยาบาลดว้ ยอาการชกั ทโี่ รงพยาบาล ดแู ลเปน็ พเิ ศษเพมิ่ เตมิ หากมคี ลนิ กิ โรคลมชกั ในโรงพยาบาลสระบรุ ี สระบุรีเท่ากับร้อยละ 16.7 สาเหตุเกิดจากความไม่ร่วมมือในการ การศกึ ษานพี้ บความชกุ ของการนอนโรงพยาบาลดว้ ยอาการ ใช้ยามากท่ีสุดร้อยละ 50.8 ผู้ป่วยกลุ่มน้ีมีการนอนโรงพยาบาล ชักร้อยละ 16.7 ซึ่งมีรายงานอัตราการนอนโรงพยาบาลจากการ เฉล่ีย 1.8 คร้ังต่อปี (ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 1.3) คา่ มัธยฐานของ วิเคราะห์ข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ของส�ำนักงานวิจัยเพ่ือการพัฒนา จำ� นวนวนั นอนเทา่ กบั 2.0 วนั ตอ่ ครง้ั (พสิ ยั ควอไทล์ 2.0-3.0) ทำ� ให้ หลักประกันสุขภาพไทยพบว่าอัตราการนอนโรงพยาบาลด้วยโรค เกิดต้นทุนทางตรงทางการแพทย์ครั้งละ 5,215 บาท (ส่วนเบ่ียง ลมชกั เพม่ิ ขน้ึ จาก 36.5 ต่อ 100,000 ประชากรในปี 2551 เป็น เบนมาตรฐาน 2,826) และผู้ป่วยกลมุ่ นีม้ คี ่ามัธยฐานของความถ่ใี น 43.1 ต่อ 100,000 ประชากรในปี 25532 หรือคิดเป็นร้อยละ การชกั เทา่ กบั 3.0 ครงั้ ตอ่ ปี (พสิ ยั ควอไทล์ 2.0-5.0) โดยทกี่ ารศกึ ษา 5.1 ในปี 2551 และร้อยละ 6.0 ในปี 2553 ของผู้ป่วยลมชักใน นพี้ บอตั ราการหายชกั ใน 1 ปเี พยี งรอ้ ยละ 38.8 จะเหน็ ไดว้ า่ มผี ปู้ ว่ ย ประเทศไทยทั้งหมด 468,000 คน (ข้อมูลความชุกโรคลมชักของ 138 | วารสารกรมการแพทย์

คนไทยในปี 2545 เทา่ กบั 7.2 ต่อ 1,000 ประชากร) และในต่าง Divino7 พบว่าผู้ป่วยลมชักท่ีควบคุมอาการชักไม่ได้จนต้องนอน ประเทศมีรายงานพบว่าอัตราการเข้านอนโรงพยาบาลด้วยอาการ โรงพยาบาลหรือมารับบริการที่แผนกฉุกเฉินมีต้นทุนท่ีเกิดจาก ชักต่อปีในประเทศสหรัฐอเมริกาเท่ากับร้อยละ 13.73 และอัตรา อาการชกั มากกวา่ ผปู้ ว่ ยลมชกั ทคี่ วบคมุ อาการชกั ได้ 8 เท่าอย่างมี การนอนโรงพยาบาลจะเพ่ิมข้ึนร้อยละ 11.6-12.8 ในผู้ป่วยลมชัก นยั สำ� คญั ทางสถติ ิ ในประเทศไทยมรี ะบบเรยี กเกบ็ คา่ รกั ษาพยาบาล ท่ีดือ้ ต่อการรักษาด้วยยาที่ไดร้ บั ยากันชกั 4 ชนดิ มาแล้ว 18 เดือน ประเภทผู้ป่วยในส�ำหรับผู้ป่วยที่มีสิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วน เมื่อเทียบกับประชากรทั่วไปอย่างมีนัยส�ำคัญทางสถิติ โดยอัตรา หนา้ ประกนั สังคมขา้ ราชการและสิทธิอน่ื ๆ ทสี่ ามารถเรยี กเก็บได้ การนอนโรงพยาบาลต่อปีในผู้ป่วยลมชักท่ีด้ือต่อการรักษาด้วยยา จะใช้อัตราการเบิกจ่ายตามเกณฑ์กลุ่มวินิจฉัยโรคร่วม (Diagnosis สูงถึงร้อยละ 42.7-55.05 โรคลมชักเป็นหนึ่งในโรคเร้ือรังส�ำคัญ Related Group; DRG) ซึ่งการเขา้ นอนโรงพยาบาลด้วยอาการชัก 6 กลุ่มที่สามารถป้องกันหรือลดจ�ำนวนการนอนโรงพยาบาลลงได้ มคี า่ ผลรวมของน้�ำหนักสัมพทั ธท์ ่ีปรบั ค่าแล้ว (Adjusted Relative หากผู้ป่วยได้รับการรักษาอย่างถูกต้องในระดับปฐมภูมิในระบบ Weight; AdjRW) อยู่ระหว่าง 0.3-1.1 ข้ึนอยู่กับภาวะโรคและ บริการสขุ ภาพทีม่ คี ุณภาพดี ดงั นนั้ การพฒั นาระบบบริการสุขภาพ จำ� นวนวนั นอน และอตั ราคา่ เรยี กเกบ็ ในปี 2561 สำ� หรบั ผปู้ ว่ ยสทิ ธิ จะช่วยเพ่ิมอัตราการหายชักและลดจ�ำนวนการนอนโรงพยาบาล หลกั ประกนั สขุ ภาพถว้ นหนา้ ทใี่ ชบ้ รกิ ารนอกเขตเทา่ กบั 9,600 บาท ด้วยอาการชกั ลงได้ ตอ่ AdjRW ดงั นน้ั โรงพยาบาลจะสามารถเรยี กเกบ็ เงนิ จากกองทุน ได้ประมาณ 2,880-10,560 บาทตอ่ ครัง้ ของการนอนโรงพยาบาล ความไมร่ ว่ มมอื ในการใชย้ าเปน็ สาเหตกุ ารนอนโรงพยาบาล ด้วยอาการชักในโรงพยาบาลสระบุรีมากท่ีสุดถึงร้อยละ 50.8 ซ่ึง อย่างไรก็ตามการศึกษาน้ีมีผู้ป่วยจ�ำนวน 3 ราย (ร้อยละ สอดคลอ้ งกบั การศกึ ษากอ่ นหนา้ หลายการศกึ ษาทงั้ ในประเทศไทย 4.5) ที่มีค่าต้นทุนรวมเป็นค่าผิดปกติ (outlier) ท่ีมีผลท�ำให้ค่า และต่างประเทศ ที่มีรายงานว่าความไม่ร่วมมือในการใช้ยาถือเป็น ต้นทุนรวมเฉลี่ยสูงถึง 10,803 บาท (ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน สาเหตุหลักของการเกิดอาการชักท่ีต้องนอนโรงพยาบาลถึงร้อย 41,727) ค่าต้นทุนรวมท่ีสูงขึ้นนี้เกิดจากผู้ป่วยท้ัง 3 รายมีภาวะ ละ 38-4510, 11, 12 สาเหตุหลักของความไม่ร่วมมือในการใช้ยาคือ ติดเช้ือ (sepsis) ร่วมด้วยจนมีภาวะทางเดินหายใจล้มเหลวส่ง ผปู้ ว่ ยลมื กนิ ยาและกลวั อาการไมพ่ งึ ประสงคจ์ ากการใชย้ า10,11,13,14 ผลให้ต้องใช้เคร่ืองช่วยหายใจ ท�ำให้มีต้นทุนในหมวดค่าอุปกรณ์ นอกจากน้ีความไม่ร่วมมือในการใช้ยาอาจเกิดจากความไม่เข้าใจ ของใชแ้ ละเคร่อื งมอื ทางการแพทยส์ ูงขน้ึ ถงึ 9,500-107,920 บาท หรอื ไมเ่ หน็ ความสำ� คญั ในการรกั ษาดว้ ยยากนั ชกั 13โดยพบวา่ ผปู้ ว่ ย ต่อครั้งของการนอนโรงพยาบาล และผปู้ ่วยจ�ำนวน 1 ใน 3 รายนี้ ที่มีความคิดเห็นว่าการใช้ยามีความจ�ำเป็นที่จะช่วยควบคุมอาการ เสียชีวิตจากภาวะติดเชื้อ อย่างไรก็ตามมีผู้ป่วย 1 รายมีภาวะชัก ชักได้จะให้ความร่วมมือในการใช้ยามากกว่า10 และมีการศึกษา ต่อเน่ืองจนต้องนอนโรงพยาบาลนานถึง 43 วันโดยมีการส่งตรวจ พบว่าหลังให้การบริบาลทางเภสัชกรรมที่คลินิกลมชักแผนกผู้ป่วย CT scan และ EEG อย่างละ 3ครัง้ ท�ำใหม้ ีตน้ ทุนในหมวดคา่ ตรวจ นอกแล้วจ�ำนวนผู้ป่วยที่มีปัญหาจากการใช้ยาลดลงและค่าเฉล่ีย วินิจฉัยและรักษาทางรังสีวิทยาสูงกว่าปกติ โดยค่าตรวจวินิจฉัย ของคะแนนความร่วมมือในการใช้ยาเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยส�ำคัญทาง โดยเทคนิคพิเศษอื่นๆและค่ายาและสารอาหารทางเส้นเลือดที่ใช้ สถติ 1ิ 4 นอกจากนก้ี ารใหบ้ รบิ าลทางเภสชั กรรมในรปู แบบของคลนิ กิ ในโรงพยาบาลสูงขึ้นถึง 26,695 และ 289,986บาทตอ่ ครัง้ ของการ โรคลมชักที่มีทีมสหสาขาวิชาชีพท�ำงานร่วมกันสามารถช่วยพัฒนา นอนโรงพยาบาลตามลำ� ดับ ระบบการให้บริการโรคลมชักได้ ท�ำให้ความถ่ีในการชักของผู้ป่วย ลดลงและผู้รับบริการมีความพึงพอใจในระดับพึงพอใจมาก15 ซึ่ง ข้อมูลความชุกของการนอนโรงพยาบาลด้วยอาการชักใน อาจมีผลท�ำให้อัตราการนอนโรงพยาบาลหรือมารับบริการท่ีแผนก การศึกษานี้ไม่ได้วิเคราะห์มาจากฐานข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ผู้ป่วย ฉกุ เฉนิ ลดลงได้ ใน (In-patient database) ท้ังจังหวัดสระบุรีท�ำให้ข้อมูลในส่วน นี้อาจจะต�่ำกว่าความเป็นจริง (under estimation) เนื่องจาก ต้นทุนทางตรงทางการแพทย์ของการนอนโรงพยาบาล ผปู้ ว่ ยลมชกั ทไี่ ดร้ บั การรกั ษาดว้ ยยาทแ่ี ผนกผปู้ ว่ ยนอกโรงพยาบาล ดว้ ยอาการชกั เทา่ กบั 5,215 บาทตอ่ ครงั้ มกี ารเขา้ นอนโรงพยาบาล สระบรุ เี มอื่ มกี ารนอนโรงพยาบาลดว้ ยอาการชกั แลว้ สว่ นหนง่ึ จะไป เฉล่ีย 1.8 คร้ังต่อปีและจ�ำนวนวันนอนเฉลี่ย 2.0 วันต่อคร้ัง มี รักษาที่โรงพยาบาลชุมชนใกล้บ้าน นอกจากน้ีข้อมูลความถ่ีในการ รายงานตา่ งประเทศพบวา่ จำ� นวนคร้ังของการเขา้ นอนโรงพยาบาล ชักและระยะเวลาที่ชักครั้งล่าสุดก่อนเข้านอนโรงพยาบาลในการ ด้วยอาการชกั เฉล่ีย 1.7-1.9 ครัง้ ต่อปี5 และมจี ำ� นวนวันนอนเฉลย่ี ศึกษานี้ไม่ได้เก็บข้อมูลจากการสัมภาษณ์ผู้ป่วยโดยตรงหรือจาก 5.1 วันต่อครั้ง4 และพบว่าผู้ป่วยลมชักท่ีดื้อต่อการรักษาด้วยยามี สมุดบันทึกอาการชัก (seizure diary) ท�ำให้ข้อมูลในส่วนนี้อาจ จ�ำนวนวันนอนเฉลี่ยสูงข้ึนเป็น 10.0-11.1 วันต่อครั้ง5 นอกจากนี้ จะมีความน่าเช่อื ถอื นอ้ ยลงได้ งานวิจยั ตอ่ ไปอาจจะวิเคราะหอ์ ตั รา โรคลมชักยังเป็นสาเหตุท�ำให้ต้องมารับการรักษาท่ีแผนกฉุกเฉินถึง การนอนโรงพยาบาลด้วยอาการชักในจังหวัดสระบุรีโดยใช้ฐาน รอ้ ยละ 30 ของภาวะ ACSC ทั้งหมด9 และหากมคี วามรุนแรงมาก ข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ผู้ป่วยในและเก็บข้อมูลไปข้างหน้าโดยการ จนเกดิ ภาวะชักต่อเน่ืองจะย่ิงเพ่มิ อตั ราการตาย อัตราการเจ็บปว่ ย สัมภาษณ์ผปู้ ่วยโดยตรงรว่ มด้วย และการใช้ทรัพยากรทางสุขภาพมากข้ึน6, 7 จากการศึกษาของ ปที ี ่ 45  ฉบบั ที่ 2  เมษายน - มิถุนายน 2563 | 139

สรุป นอนโรงพยาบาลด้วยอาการชักจากการศึกษาน้ีจะสามารถน�ำไปใช้ ความชกุ ของการนอนโรงพยาบาลดว้ ยอาการชกั ทโ่ี รงพยาบาล เป็นดัชนีในการติดตามและประเมินสมรรถนะการให้บริการแบบ ผู้ป่วยนอกในระดับโรงพยาบาลท่ีสามารถลดการนอนรักษาใน สระบุรีเท่ากับร้อยละ 16.7 โดยมีสาเหตุมาจากความไม่ร่วมมือใน โรงพยาบาลโดยไม่จำ� เปน็ ได้ การใชย้ ามากทส่ี ดุ และทำ� ใหเ้ กดิ ตน้ ทนุ ทางตรงทางการแพทยค์ รง้ั ละ กิตติกรรมประกาศ 5,215 บาทอย่างไรก็ตามโรคลมชักเป็นโรคเรื้อรังที่ควรควบคุมได้ ด้วยการดูแลรักษาแบบผู้ป่วยนอก แต่ปัจจุบันยังไม่มีคลินิกโรคลม ขอขอบคณุ เจา้ หนา้ ทง่ี านเวชระเบยี นและสถติ ิ โรงพยาบาล ชกั ในโรงพยาบาลสระบรุ ี ซึ่งอาจชว่ ยลดปญั หาตา่ งๆ ในผปู้ ่วยกลุ่ม สระบุรีที่ช่วยค้นหาแฟ้มประวัติการเข้านอนโรงพยาบาลของผู้ป่วย ที่ต้องการได้รับค�ำปรึกษาแนะน�ำเพ่ิมเติม น�ำไปสู่การเพ่ิมอัตรา ในการศกึ ษานี้ การหายชัก ลดการเข้านอนโรงพยาบาลด้วยอาการชักและลดการ ใช้ทรัพยากรทางสุขภาพลงได้ ข้อมูลความชุกและสาเหตุของการ References 8. Saha SK, Nel M, Prinsloo EA. Profile and associated factors 1. Asawavichienjinda T, Sitthi-Amorn C, Tanyanont W. for re-admitted epileptic patients with complications in a South African hospital. Cent Afr J Med 2006; 52: 35-8. Prevalence of epilepsy in rural Thailand: a population-based study. J Med Assoc Thai 2002; 85: 1066-73. 9. McDermott S, Royer J, Mann JR, Armour BS. Factors associ- 2. Limwattananon S. Manual Analysis of Age-Standardized ated with ambulatory care sensitive emergency department visits for South Carolina Medicaid members with intellectual Hospitalization with Ambulatory Care Sensitive Conditions, disability. J Intellect Disabil Res 2018; 62: 165-78. Acute Myocardial Infarction, Ischemic and Hemorrhagic Strokes. 1st ed. Nonthaburi. Health Insurance System 10. Gabr WM, Shams ME. Adherence to medication among Research Office; 2011 outpatient adolescents with epilepsy. Saudi Pharm J 2015; 3. Sajatovic M, Welter E, Tatsuoka C, Perzynski AT, Einstadter D. 23: 33-40. Electronic medical record analysis of emergency room visits 11. Samsonsen C, Reimers A, Bråthen G, Helde G, Brodtkorb E. and hospitalizations in individuals with epilepsy and mental illness comorbidity. Epilepsy Behav 2015; 50:55-60. Nonadherence to treatment causing acute hospitalizations in people withepilepsy: an observational, prospective study. 4. Mitchell RJ, Herkes G, Nikpour A, Bleasel A, Shih P, Vagholkar Epilepsia 2014; 55: e125-8. S, et al. Examining health service utilization, hospital 12. Tiamkao S, Sawanyawisuth K, Paowana W, Saengsuwan treatment cost, and mortality of individuals with epilepsy and status epilepticus in New South Wales, Australia 2012-2016. J, Arunpongpaisal S, Chaiyakum A. et al. Seizure presenting Epilepsy Behav 2018; 79: 9-16. to the emergency department, Srinagarind Hospital. J Med Assoc Thai 2006; 89: 362-7. 5. Strzelczyk A, Griebel C, Lux W, Rosenow F, Reese JP. 13. Asawavichienjinda T, Sitthi-Amorn C, Tanyanont W. The Burden of Severely Drug-Refractory Epilepsy: A Com- parative Longitudinal Evaluation of Mortality, Morbidity, Re- Compliance with treatment of adult epileptics in a rural source Use, and Cost Using German Health Insurance Data. district of Thailand. J Med Assoc Thai 2003; 86: 46-51. Front Neurol 2017; 8: 712.  14. Jaiklom C, Ausawatmugkul T, Bunyapat N. Effect of 6. Manjunath R, Paradis PE, Parisé H, Lafeuille MH, Bowers pharmaceutical in epileptic patients at Prasat Neurological B, Duh MS, et al. Burden of uncontrolled epilepsy in Institute. Journal of the Department of Medical Services patients requiring an emergency room visit or hospitalization. 2016; 41: 110-9. Neurology 2012; 79: 1908-16. 15. Tiamkao S. Role of Multidisciplinary Team for Epileptic 7. Divino V, Petrilla AA, Bollu V, Velez F, Ettinger A, Makin C. Patients Care. Thai Journal of Neurology 2016; 32: 33-8. Clinical and economic burden of breakthrough seizures. Epilepsy Behav 2015; 51: 40-7. 140 | วารสารกรมการแพทย์

นพิ นธ์ตน้ ฉบับ อตั รารอดชีวติ ในระยะยาว ภายหลงั การผ่าตดั เลาะเยือ่ หมุ้ หวั ใจ ในผปู้ ่วย โรคถงุ หมุ้ หวั ใจอกั เสบเร้อื รงั ในสถาบันโรคทรวงอก จักรพันธ์ จำ� ปาเทศ พ.บ., ชยั วุฒิ ยศถาสโุ รดม พ.บ., ชูศักดิ์ เกษมศานติ์ พ.บ. กลมุ่ งานศัลยศาสตร์ สถาบันโรคทรวงอก กรมการแพทย์ Abstract: Long-term Survival after Pericardiectomy in Chronic Constrictive Pericarditis at Central Chest Institute of Thailand (CCIT) Jampates C, Yottasurodom C, Kasemsarn C. Central Chest Institute of Thailand, Bangkrasor, Mueang Nonthaburi, Nonthaburi, 11000 (E mail: [email protected]) (Received: December 25, 2019; Revised: January 29, 2019; Accepted: April 24, 2020) Background: Constrictive pericarditis is a rare and disabling disease. This study was to evaluate our single-center experience with pericardiectomy for chronic constrictive pericarditis. Objective: The main objectives of our analysis were long-term survival, clinical outcome, mortality rate and identification of risk factors. Method: A retrospective study of our database identified 45 patients who underwent pericardiectomy at Central Chest Institute of Thailand from January 1999 to January 2019. Demographic data, intraoperative and long term outcomes were analyzed. Results: There were 39 men, with a mean age of 42.8 ± 15.1 years. Most presented with shortness of breath (87%), pitting edema (80 %), hepatomegaly (56%) or ascites (53%). Most common etiology of constrictive pericarditis was tuberculosis in 36 (80%) patients. Most of the patients (87%) were in New York Heart Association (NYHA) class II and III. The surgical approach was achieved via a median sternotomy in 43 (95.6%) patients. The hospital mortality was 13% in this study. The high preoperative NYHA and the high dose of inotropic drug in postoperative period were associated with a significantly higher hospital mortality. The survival rates were 90.8%, 76.8% and 63% at 1, 5 and 10 years, respectively. Conclusion: Pericardiectomy was associated with a high morbidity and mortality rate. Nevertheless, it is able to improve the functional class and has a good long-term survival rate when compare with other studies. Preoperative functional class and high dose inotropic drug use are crucial in predicting the risk of hospital mortality. Keywords: Constrictive pericarditis, pericardiectomy, long-term survival บทคดั ยอ่ รักษามาวเิ คราะห์ ผล: ผู้ป่วยมอี ายเุ ฉล่ยี 42.8 ± 15.1 ปี โดยพบ ภูมิหลัง: โรคเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบเรื้อรัง (constrictive เพศชายเปน็ สว่ นใหญ่ (39 ราย) อาการทพี่ บบอ่ ย ไดแ้ ก่ เหนอ่ื ยงา่ ย (รอ้ ยละ 87) ขาบวมกดบมุ๋ (ร้อยละ 80) ตบั โต (ร้อยละ 56) หรอื pericarditis) เป็นโรคท่ีพบได้ไม่บ่อยแต่มีผลต่อคุณภาพชีวิต พบนำ�้ ในชอ่ งท้อง (ร้อยละ 53) พบวา่ การติดเช้อื วณั โรคทีเ่ ย่อื หุ้ม การวิจัยนี้ได้ศึกษาถึงผลการผ่าตัดลอกผนังเยื่อหุ้มหัวใจ (peri- หัวใจ เป็นสาเหตุหลักถึง ร้อยละ 80 ของโรคน้ี ผู้ป่วยส่วนใหญ่ cardiectomy) ในผปู้ ว่ ยโรคเยอ่ื หมุ้ หวั ใจอกั เสบเรอื้ รงั ทสี่ ถาบนั โรค (รอ้ ยละ 87) มีอาการ New York Heart Association (NYHA) II ทรวงอก วัตถุประสงค์: เพ่ือศึกษาอัตราการรอดชีวิตในระยะยาว และ III กอ่ นผา่ ตดั ผปู้ ว่ ยจำ� นวน 43 ราย (รอ้ ยละ 95.6) ไดร้ บั การทำ� ภายหลังการผ่าตัดเลาะเย่ือหุ้มหัวใจ ผลการรักษาทางคลินิกอัตรา ผา่ ตดั เลาะเย่ือหุ้มหวั ใจผ่านแผลกลางหนา้ อก โดยพบอัตราการเสยี การเสยี ชวี ติ ตลอดจนปจั จยั ทมี่ ผี ลตอ่ การเสยี ชวี ติ ภายหลงั การผา่ ตดั ชวี ติ ในโรงพยาบาล รอ้ ยละ13 อาการของผปู้ ว่ ยกอ่ นผา่ ตดั (NYHA) วิธีการ: ทบทวนข้อมูลผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดลอกเยื่อหุ้มหัวใจท่ี ท่ีมากและการใช้ยากระตุ้นหัวใจขนาดสูงหลังผ่าตัดมีความสัมพันธ์ สถาบนั โรคทรวงอกในช่วง 20 ปีทผ่ี ่านมาต้งั แต่ มกราคม 2542 ถึง กับอัตราการเสียชีวิตในโรงพยาบาลอย่างมีนัยส�ำคัญ โดยมีอัตรา มกราคม 2562 โดยมีผ้ปู ่วยทั้งหมด 45 รายที่ได้รบั การผา่ ตัด น�ำ การรอดชวี ติ ที่ 1 ป,ี 5 ปี และ 10 ปี คือ ร้อยละ 90.8, รอ้ ยละ 76.8 ข้อมูลของกลุ่มผู้ป่วยทั้งก่อนผ่าตัด ระหว่างการผ่าตัด และผลการ ปีที ่ 45  ฉบบั ที ่ 2  เมษายน - มถิ ุนายน 2563 | 141

และรอ้ ยละ 63 ตามล�ำดบั สรุป: แม้วา่ การผ่าตัดลอกเยอื่ หุม้ หัวใจ ดว้ ยคลนื่ เสยี งสะทอ้ นความถส่ี งู (echocardiography) การเอกซเรย์ จะมีภาวะแทรกซอ้ นท่ีเกิดขนึ้ และอัตราการเสียชวี ติ ค่อนข้างสงู แต่ คอมพวิ เตอร์ (Computerized Tomography scan : CT scan) พบวา่ อาการของผปู้ ว่ ยหลงั ผา่ ตดั ดขี นึ้ และมอี ตั ราการรอดชวี ติ ระยะ มีการรวบรวมข้อมูลจากบันทึกเวชระเบียนของผู้ป่วย ข้อมูลก่อน ยาวใกลเ้ คยี งกบั การศกึ ษาในตา่ งประเทศ โดยปจั จยั ทมี่ ผี ลตอ่ อตั รา และหลังผา่ ตดั รวมไปถึงขอ้ มูลระหวา่ งผ่าตดั ตลอดจนรายละเอียด การเสียชีวิตในโรงพยาบาลได้แก่ อาการของผู้ป่วยก่อนผ่าตัดและ วธิ ีการผา่ ตัด การใชย้ ากระตุ้นหัวใจขนาดสงู หลังการผา่ ตดั การผ่าตดั ผา่ นแผลกลางหน้าอก (median sternotomy) ค�ำส�ำคัญ: โรคเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบเร้ือรัง การผ่าตัดลอก ศัลยแพทย์จะท�ำการเลาะเย่ือหุ้มหัวใจท่ีอยู่ระหว่างเส้นประสาท เยือ่ หุม้ หวั ใจ อตั รารอดชีวิตในระยะยาว phrenic ท้ังสองข้าง และจากเส้นเลือดแดงใหญ่ aorta และ บทนำ� pulmonary ลงมาถึงเย่ือหุ้มหัวใจบริเวณด้านล่างของหัวใจ โดย ไมต่ อ้ งใชเ้ ครอ่ื งปอดหวั ใจเทยี ม (cardiopulmonary bypass) รว่ ม โรคเย่อื หุ้มหัวใจอักเสบเรือ้ รงั (constrictive pericarditis) ในการผ่าตัด ส่วนการผ่าตัดผ่านทางช่องอกจะเลือกท�ำในผู้ป่วย เกดิ จากการอกั เสบของเยอ่ื หมุ้ หวั ใจแบบเรอ้ื รงั จน ทำ� ใหเ้ ยอื่ หมุ้ หวั ใจ ทเี่ คยไดร้ บั การผา่ ตดั pericardiectomy ผา่ นทางแผลกลางหนา้ อก มีการหนาตัวเป็นพังผืดและมีหินปูนเกาะ (fibrocalcification) มี มาก่อนแล้ว และเกิดโรค constrictive pericarditis ซ�้ำมาใหม่ ผลกระทบต่อการท�ำงานของหัวใจ โดยเฉพาะช่วงที่หัวใจคลายตัว โดยเลาะเยอ่ื หุ้มหัวใจท่ีอยหู่ ลงั เสน้ ประสาท phrenic ดา้ นซ้าย ไป เพอ่ื รบั เลอื ดเขา้ หวั ใจ (diastole) สง่ ผลใหม้ คี วามดนั ในหอ้ งหวั ใจสงู จนถึงด้านหลังของหัวใจ โดยสามารถประเมินว่าการผ่าตัดเลาะ ขึ้น ท�ำให้ผ้ปู ว่ ยมีอาการ ขาบวม ท้องบวม เหนือ่ ย และมีภาวะหัวใจ เยื่อหุ้มหัวใจท�ำได้เพียงพอแล้ว โดยจะพบการเปล่ียนแปลงของ หอ้ งขวาล้มเหลว (right sided congestive heart failure)1 ตาม ความดนั ในหลอดเลอื ดดำ� กลาง (Central Venous Pressure: CVP) มา ส�ำหรับสาเหตุของการเกิดโรคได้แก่ การติดเช้ือท่ีเย่ือหุ้มหัวใจ ลดลงกลบั มาปกติ (ประมาณ 12 มิลลเิ มตรปรอท) หลงั จากนนั้ ส่ง จากเชื้อแบคทีเรยี เชือ้ วณั โรค เกดิ หลังผ่าตัดหัวใจแบบเปดิ (post เย่ือหุ้มหัวใจท่ีลอกออกมาไปตรวจทางพยาธิวิทยาเพื่อให้ได้ทราบ open cardiac surgery) และหลงั การไดร้ บั การฉายแสงรกั ษามะเรง็ สาเหตุของการเกิดโรคทแี่ ทจ้ ริง บรเิ วณชอ่ งทรวงอก2 เป็นตน้ การวิเคราะห์ข้อมูลทางคลินิก สาเหตุของการเกิดโรค การรักษาในผู้ป่วยconstrictive pericarditis ท่ีมีอาการ อาการและอาการแสดงของโรคท่ีพบได้บ่อย ได้แก่อาการเหนื่อย ดงั ทก่ี ลา่ วมาแล้ว วิธที ดี่ ีทีส่ ุดคือการผ่าตัดเลาะเยือ่ ห้มุ หัวใจทีบ่ บี รัด บวม ตบั มา้ มโต ท้องบวมนำ�้ ตลอดจนภาวะหัวใจขา้ งขวาล้มเหลว ออก (pericardiectomy) ท�ำใหก้ ารคลายตัวของหัวใจดขี ้นึ อาการ โรคร่วมท่ีพบในผู้ป่วยเช่น การติดเชื้อวัณโรคท่ีปอด เบาหวาน ของผปู้ ว่ ยดขี นึ้ เพม่ิ อตั ราการรอดชวี ติ ของผปู้ ว่ ยกลมุ่ นไ้ี ด้ กอ่ นหนา้ ความดนั โลหิตสงู มขี อ้ มลู จากการตรวจechocardiography และ นี้มีการศึกษาถึงผลการผ่าตัดpericardiectomy พบว่ามีอัตราการ ในผู้ป่วยบางรายได้รับการตรวจด้วยเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ เพ่ือ รอดชีวิตในระยะยาว อัตราการเสียชีวิตและภาวะแทรกซ้อนจาก ช่วยยืนยันการวินิจฉัย ซ่ึงจะพบการหนาตัวและมีหินปูนบริเวณ การผ่าตัด มีความแตกต่างในแต่ละการศึกษา เน่ืองมาจากปัจจัย เย่ือหุ้มหัวใจ มีผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ ตลอดจนข้อมูลใน ของผู้ป่วย วิธีการผา่ ตัดpericardiectomy ของแตล่ ะการศึกษา 3-5 ระหวา่ งผา่ ตดั การเปล่ียนแปลงของความดันในช่องหวั ใจ (central venous pressure) ท้ังก่อนและหลังท�ำผ่าตัดpericardiectomy ผู้วิจัยได้ศึกษาผลการผ่าตัด pericardiectomy ในผู้ป่วย และหตั ถการทท่ี ำ� รว่ มในกรณที ม่ี คี วามผดิ ปกตขิ องลน้ิ หวั ใจรว่ มดว้ ย constrictive pericarditis ทีไ่ ด้รบั การผ่าตัดท่ีสถาบนั โรคทรวงอก การติดตามอาการของผู้ป่วยใช้การโทรศัพท์ติดต่อผู้ป่วยหรือญาติ ในระยะ 20 ปที ผี่ า่ นมาเพอื่ ใหไ้ ดท้ ราบอตั ราการรอดชวี ติ ในระยะยาว ในกรณีที่ผู้ป่วยไม่มาท�ำการตรวจรักษาที่สถาบันโรคทรวงอกเป็น อตั ราการเสียชีวติ ในโรงพยาบาล ภาวะแทรกซ้อนท่เี กิดข้นึ อาการ ประจำ� ของผู้ป่วยก่อนและหลังการผ่าตัด ตลอดจนปัจจัยท่ีมีผลต่อการ เสียชีวิตของผู้ป่วย เพื่อน�ำความรู้ที่ได้มาพัฒนาการรักษาโรคนี้ การศกึ ษานใ้ี ชโ้ ปรแกรมวเิ คราะหข์ อ้ มลู ดว้ ย The Statistical รวมถึงสามารถให้ข้อมูลในแง่การพยากรณ์โรคแก่ผู้ป่วยและญาติ Package for Social Science (SPSS) version 15.0 โดยขอ้ มลู ได้ถกู ต้อง ตอ่ เนอ่ื ง นำ� เสนอดว้ ยคา่ เฉลย่ี และคา่ เบยี่ งเบนมาตรฐาน สว่ นขอ้ มลู วัตถแุ ละวิธีการ เชงิ กลมุ่ น�ำเสนอด้วยความถี่และร้อยละ ปจั จยั ท่มี ีผลต่ออัตราการ เสียชวี ิตใช้สถติ ิ Chi-square test หรอื independent t-test และ การศกึ ษานี้ เปน็ การรวบรวมขอ้ มลู ของผปู้ ว่ ยโรค constrictive นำ� เสนอความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งปจั จยั กบั อตั ราการเสยี ชวี ติ ดว้ ย odds pericarditis ที่ได้รบั การรักษาดว้ ยการผ่าตดั เลาะลอกเยอ่ื หุ้มหวั ใจ ratio (OR) และชว่ งความเช่ือมนั่ ท่ีรอ้ ยละ95 (95% CI) โดยกำ� หนด (pericardiectomy) ทส่ี ถาบนั โรคทรวงอก ระหวา่ ง มกราคม 2542 ระดบั นยั สำ� คญั ทางสถติ ิ p < 0.05 อตั ราการรอดชวี ิตที่ 1,5 และ ถึง มกราคม 2562 ที่ได้รับการวินิจฉัยโรคจากประวัติ การตรวจ 10 ปี ใชก้ ารนำ� เสนอด้วยกราฟ Kaplan-Meier ร่างกาย และการตรวจพิเศษได้แก่การตรวจการท�ำงานของหัวใจ 142 | วารสารกรมการแพทย์

ผล หอ้ งลา่ งซา้ ยปกติ มกี ารหนาตวั ของเยอ่ื หมุ้ หวั ใจมากกวา่ 4 มลิ ลเิ มตร จากตารางที่ 1 แสดงถงึ ขอ้ มูลผูป้ ่วยก่อนผ่าตดั โดยอาการ ถึง 43 ราย และมนี ำ้� ในเยอ่ื หุม้ หวั ใจ 33 ราย ตรวจพบลกั ษณะ IVC plethora คือเสน้ เลอื ดด�ำ Inferior cava (IVC) โป่งพอง ร้อยละ 58 และอาการแสดงท่ีพบได้บ่อยคือ อาการหอบเหน่ือย และอาการ ซง่ึ เป็นการตรวจทพ่ี บในโรคน้ี เกิดจากความดันในหัวใจหอ้ งขวาสงู บวมทีข่ า ผู้ป่วยสว่ นใหญม่ อี าการใน NYHA Class II และ III โรค ทำ� ใหห้ ลอดเลอื ดดำ� IVC ไมห่ ดตวั ในชว่ งหายใจออก และพบลกั ษณะ ร่วมท่ีพบได้บ่อยก่อนผ่าตัดคือ เคยติดเช้ือวัณโรคที่ปอด ตาราง การเคล่ือนไหวของผนังก้ันหัวใจห้องล่าง เคล่ือนเข้าออกจาก ที่ 2 แสดงถึงการตรวจพิเศษ ภาพถ่ายเอกซเรย์ปอด พบมีหินปูน left ventricle ในชว่ ง early diastole ทเ่ี รยี กว่า paradoxical จับที่เย่ือหุ้มหัวใจถึงร้อยละ 87 และมีผู้ป่วย 17 รายที่ได้รับการ septal bounce ในผ้ปู ่วยทกุ ราย ซงึ่ มคี วามจ�ำเพาะกบั โรคนี้ ตรวจ CT scan พบว่ามีถึง 16 ราย พบหินปูนจับท่ีเย่ือหุ้มหัวใจ ผลการตรวจดว้ ย echocardiography พบวา่ การท�ำงานของหวั ใจ ตารางท่ี 1 ข้อมลู ก่อนผา่ ตดั ของผู้ปว่ ย คณุ ลกั ษณะ 42.82 ± 15.11 จำ� นวน รอ้ ยละ อายุ (ปี) Mean ±SD 3 (1-60) เพศ 39 87 ชาย 6 13 หญิง NYHA Functional class (ก่อนผา่ ตัด) 13 29 II 26 58 III 6 13 IV ระยะเวลาของอาการ (เดอื น) Median (range) 5 11.1 อาการและอาการแสดง 6 13.3 ใจสัน่ 39 86.7 หมดสติ 36 80.0 เหนอ่ื ย 12 26.7 บวมท่ีขา 25 55.6 เจ็บหนา้ อก 24 53.3 ตับโต 4 8.9 ทอ้ งบวมนำ้� ภาวะหวั ใจห้องซ้ายล้มเหลว 4 8.9 โรคร่วม 2 4.4 ความดนั โลหิตสูง 7 15.6 เบาหวาน 9 20.0 สบู บหุ รี่ 24 53.3 หัวใจเต้นไม่สม่ำ� เสมอ วณั โรคปอด ปีที ่ 45  ฉบับท่ี 2  เมษายน - มิถุนายน 2563 | 143

ตารางท่ี 2 ข้อมลู การตรวจพิเศษกอ่ นผา่ ตดั ของผูป้ ว่ ย ความผดิ ปกตทิ ี่พบจากการสืบคน้ Mean ±SD จำ� นวน รอ้ ยละ Low voltage on EKG 4 8.9 Computer Tomography (CT scan) 3.30 ± 0.57 17 37.8 Calcification in CT scan 56.74 ± 10.98 16 35.6 Calcification in CXR 39 86.7 Albumin Baseline of Echocardiography 43 95.6 LVEF% 2 4.4 Pericardial thickening (> 4 mm.) 7 15.6 mod-severe mitral regurgitation 26 57.8 mod-severe tricuspid regurgitation 33 73.3 IVC plethora 45 100 pericardial effusion Septal Bounce จากตารางท่ี 3 แสดงขอ้ มลู ของผู้ปว่ ยระหว่างผ่าตดั ผ้ปู ว่ ย ได้รับยากระตุ้นหัวใจ (inotropic drug) ขนาดต่�ำ คือขนาดของ สว่ นใหญผ่ า่ ตดั ลอกเยอื่ หมุ้ หวั ใจโดยไมต่ อ้ งใชเ้ ครอื่ งปอดหวั ใจเทยี ม ยา Dopamine ท่ผี ูป้ ว่ ยไดร้ ับไมเ่ กนิ 5 ไมโครกรมั /กโิ ลกรมั /นาที จะใช้เคร่อื งปอดหัวใจเทยี มในกรณที ม่ี ีการผ่าตัดรักษาลนิ้ หวั ใจร่วม และมผี ู้ปว่ ย 7 รายที่ตอ้ งใชย้ ากระต้นุ หวั ใจขนาดสงู คือ ขนาดของ ด้วย โดยพบการเปลี่ยนแปลงของความดันในหลอดเลือดดำ� กลาง ยา Dopamine มากกว่า 5 ไมโครกรมั /กิโลกรมั /นาที หรือมีการ (central venous pressure) กอ่ นผา่ ตดั 21.2±7.6 มลิ ลเิ มตรปรอท ไดย้ ากระตุ้นหวั ใจอื่น ๆ เชน่ Epinephrine หรือ Norepinephrine ลดลงเหลอื 13.7±4.8 มลิ ลเิ มตรปรอท หลงั ผา่ ตดั มผี ปู้ ว่ ย 12 รายที่ รว่ มด้วย ตารางที่ 3 ขอ้ มลู การผ่าตัดของผ้ปู ่วย Mean ±SD จ�ำนวน รอ้ ยละ 43 95.6 แผลกลางหน้าอก( median sternotomy) 21.2 ±7.6 2 4.4 แผลชายโครงซา้ ย ( Lt .Thoracotomy) 13.7 ±4.8 หตั ถการรว่ ม 1 2.2 Tricuspid valve repair 2 4.4 Mitral valve repair CVP กอ่ นผา่ ตัด 12 26.7 CVP หลงั ผ่าตัด 7 15.6 ยากระตุน้ หัวใจขนาดต่ำ� ยากระตนุ้ หัวใจขนาดสูง จากตารางท่ี 4 แสดงผลการผา่ ตัด อัตราการเสยี ชีวิตและ ตลอดระยะเวลาการศกึ ษา 20 ปี โดยผู้ปว่ ยอีก 8 รายเสียชีวิตใน สาเหตุของการเสียชีวิตภายหลังการผ่าตัด พบมีอัตราการเสียชีวิต ช่วงที่ติดตามอาการ โดยสาเหตกุ ารเสยี ชีวิตคอื กลา้ มเนือ้ หวั ใจขาด ภายใน 30 วันหลงั ผา่ ตดั รอ้ ยละ 13.3 โดยสาเหตขุ องการเสยี ชีวติ เลือดเฉียบพลนั 2 ราย ภาวะหัวใจห้องขวาล้มเหลวรนุ แรง 1 ราย คอื ระบบไหลเวยี นโลหติ ลม้ เหลวเฉยี บพลนั (low cardiac output) เสยี ชวี ติ จากอบุ ตั เิ หตทุ างจราจรทไ่ี มม่ สี าเหตจุ ากโรคหวั ใจนำ� 2 ราย การตดิ เชือ้ ทปี่ อดรุนแรง และระบบหายใจล้มเหลวในผูป้ ว่ ยท่ีมโี รค ภาวะปอดตดิ เชอ้ื 1 ราย ตดิ เชอ้ื ในกระแสเลอื ด 1 ราย และจากโรค ถงุ ลมโป่งพองอย่างรนุ แรง และพบมผี ปู้ ่วยเสียชีวิตทงั้ หมด 14 ราย หลอดเลอื ดสมองตีบ 1 ราย 144 | วารสารกรมการแพทย์

ตารางที่ 4 ผลการผา่ ตดั อตั ราการเสียชีวติ และสาเหตขุ องการเสียชีวติ ผลการรักษา จ�ำนวน (ร้อยละ) การเสียชีวิตในโรงพยาบาล 6 (13) สาเหตกุ ารเสียชวี ติ : การท�ำงานของหัวใจลดลง(Low cardiac output) 3 ปอดติดเชือ้ (pneumonia) 2 ระบบหายใจลม้ เหลวในผปู้ ่วยทมี่ ีโรคถุงลมโปง่ พองอย่างรุนแรง 1 การเสยี ชวี ิตทง้ั หมด 14 (31) สาเหตขุ อง Late death อบุ ัติเหตุ 2 2 กลา้ มเน้อื หวั ใจขาดเลอื ดเฉยี บพลัน 1 ปอดติดเชอื้ 1 ภาวะหัวใจห้องขวาล้มเหลว 1 การตดิ เชื้อในกระแสเลอื ด 1 โรคหลอดเลือดสมองตีบ จากตารางที่ 5 แสดงการผา่ ตดั ซำ้� ภาวะแทรกซอ้ นหลงั การ การเกดิ โรคดังนี้ ผปู้ ่วยส่วนใหญ่ (ร้อยละ 81) มีสาเหตจุ ากการตดิ ผ่าตัดและ ผลตรวจทางพยาธิวิทยา พบมีผู้ป่วย 3 รายได้รับการ เช้อื วัณโรค นอกจากนี้ยังมีสาเหตอุ ื่นทีท่ �ำใหเ้ กดิ โรคไดแ้ ก่ การตดิ ผ่าตัดซ�้ำในภายหลัง โดยผู้ป่วย 2 รายพบมีการเกิดซ�้ำของโรคถุง เช้ือแบคทีเรียทเ่ี ย่อื หุม้ หวั ใจ มะเร็ง Malignant mesothelioma หุ้มหวั ใจอกั เสบเรอื้ รัง และผูป้ ว่ ย 1 รายพบมีลนิ้ หวั ใจไตรคัสปิดร่ัว เกิดหลงั ผ่าตัดทางเบ่ยี งเส้นเลือดหัวใจ (coronary artery bypass รนุ แรง มอี าการหวั ใจหอ้ งล่างขวาลม้ เหลวเรอ้ื รัง จากการส่งเยื่อหมุ้ graft) และไมท่ ราบสาเหตุการเกิดแน่ชัด (idiopathic) หวั ใจทีล่ อกออกมาไปตรวจทางพยาธวิ ทิ ยา ท�ำให้ทราบสาเหตขุ อง ตารางท่ี 5 การผ่าตัดซำ้� ภาวะแทรกซ้อนหลงั การผา่ ตดั และ ผลตรวจทางพยาธิวทิ ยา ผลการรกั ษา จำ� นวน (รอ้ ยละ) การผ่าตดั ซ�้ำ (reoperation) 3 (6.7) การผา่ ตัดลอกเย่ือหุ้มหวั ใจ (pericardiectomy) 2 การผ่าตดั ซ่อมลนิ้ หัวใจไตรคสั ปิด (tricuspid valve repair) 1 ภาวะแทรกซ้อนหลงั ผ่าตดั 10 (22.2) การผา่ ตดั หา้ มเลือดออก 3 ปอดติดเช้ือ 4 แผลผ่าตัดติดเชอื้ 1 ภาวะไตวายเฉยี บพลัน 4 ผลตรวจทางพยาธวิ ทิ ยา วัณโรค 36 (81) การติดเช้อื แบคทีเรีย 6 (13) มะเรง็ Malignant mesothelioma 1 (2) การอักเสบของเยื้อหมุ้ หัวใจหลงั การผ่าตัดหัวใจแบบเปดิ 1 (2) Idiopathic 1 (2) ปที  ี่ 45  ฉบับท่ ี 2  เมษายน - มถิ ุนายน 2563 | 145

จากตารางท่ี 6 แสดงปัจจัยท่ีมีผลต่ออัตราการเสียชีวิตใน พบว่า ขนาดของยากระตุน้ หวั ใจ (inotropic drug) ทผ่ี ปู้ ว่ ยไดร้ บั โรงพยาบาล พบวา่ อาการของผปู้ ว่ ยกอ่ นผา่ ตดั (functional class) หลังผ่าตัดมีผลต่อการเสียชีวิตด้วย โดยในกลุ่มท่ีได้รับยาในขนาด มีผลต่อการเสียชีวิต กล่าวคือ ผู้ป่วยที่มีอาการก่อนผ่าตัดมาก สูงจะมีอัตราการเสียชีวิตที่สูงกว่ากลุ่มท่ีได้รับยาในขนาดต่�ำหรือ โดยเฉพาะผู้ป่วยใน NYHA IV เม่ือได้รับการผ่าตัด จะมีอัตรา ไมไ่ ดร้ บั ยา การทผี่ ปู้ ว่ ยไดร้ บั ยากระตนุ้ หวั ใจในขนาดสงู บง่ ถงึ มภี าวะ เสียชีวิตถึงร้อยละ 50 และมีอัตราการเสียชีวิตสูงกว่าผู้ป่วยท่ีมี การทำ� งานของหวั ใจทลี่ ดลง (low cardiac output syndrome) NYHA II และ III กอ่ นผา่ ตดั อยา่ งมนี ัยสำ� คัญทางสถติ ิ นอกจากนย้ี ัง ตารางที่ 6 ปัจจัยทมี่ ผี ลตอ่ การการเสียชวี ติ ภายในโรงพยาบาลหลงั การผา่ ตัด Pericardiectomy ปจั จัย การเสยี ชวี ติ ในโรงพยาบาล Odds ratio (95%CI) p-value จำ� นวน (รอ้ ยละ) เสียชีวติ ไมเ่ สียชวี ติ Functional class (ก่อนผ่าตัด) II-III 3 (7.7%) 36 (92.3%) 1 IV 12 (1.65 – 87.5) ตับโต ไมม่ ี 3 (50.0%) 3 (50.0%) 0.014 มี 1 0.239 Albumin (มิลลิกรัม/เดซิลติ ร) Mean ±SD 4 (66.7%) 16 (41.0%) 0.35 (0.06 - 2.1) นำ�้ ในเยอ่ื หุ้มหัวใจ ไม่มี 0.34 (0.07 - 1.7) 0.190 มี 2 (33.3%) 23 (59.0%) 0.113 ยากระตนุ้ หัวใจขนาดสูง ไม่ไดร้ ับ NA. ได้รบั 3.0 (±0.7) 3.4 (±0.6) 0 (.0%) 12 (30.8%) 6 (100.0%) 27 (69.2%) 1 (16.7%) 37 (94.9%) 1 <0.001 92.50 (7.04 - 1215.51) 5 (83.3%) 2 (5.1%) จากการศกึ ษานพ้ี บอตั ราการรอดชวี ติ ท่ี 1, 5 และ 10 ปี ในการศกึ ษานีไ้ ดแ้ ก่ รอ้ ยละ 90.85, 76.79 และ 62.94 ตามลำ� ดับ (รูปที่ 1) 1 ปี รปู ที่ 1 อัตราการรอดชวี ติ ของผู้ปว่ ยในระยะยาว 95% CI 5 ปี 77.43, 96.47 10 ปี อัตราการรอดชวี ติ (%) 59.85, 87.30 90.85 146 | วารสารกรมการแพทย์ 76.79 44.11, 76.96 62.94

วิจารณ์ ที่เกิดจากการบีบรัดของเย่ือหุ้มหัวใจท่ีหนาตัวเท่านั้น แต่ยังพบ โรคเย่ือหมุ้ หวั ใจอกั เสบเร้อื รัง (constrictive pericarditis) การท�ำงานของหัวใจท่ีผิดปกติในช่วงการบีบตัว (systole) ซึ่งเกิด จากการมีพังผดื ของกลา้ มเน้อื หัวใจภายหลังการฉายแสง นอกจาก เกดิ ไดจ้ ากหลายสาเหตซุ งึ่ แตกตา่ งกนั ในแตล่ ะภมู ภิ าคของโลก จาก น้ีพบว่าระยะเวลาที่ผู้ป่วยมีอาการเป็นเวลานานจะพบการทำ� งาน การศกึ ษานพ้ี บไดว้ า่ สาเหตกุ ารเกดิ โรคสว่ นใหญเ่ ปน็ จากการตดิ เชอ้ื ของหัวใจโดยเฉพาะห้องขวาบกพร่องมีการคลายตัวของหัวใจที่ผิด วัณโรคและมักมีประวัตกิ ารติดเชือ้ วัณโรคท่ีปอดนำ� มาก่อน ซึ่งเป็น ปกติมากร่วมกับการท�ำงานของตับท่ีผิดปกติ เน่ืองจากภาวะหัวใจ สาเหตุท่ีพบได้บ่อยในประเทศก�ำลังพัฒนา ต่างจากประเทศตะวัน หอ้ งขวาล้มเหลวเปน็ เวลานาน ตก ทีม่ กั เกดิ จาก idiopathic สมั พันธ์กบั การติดเชอ้ื ไวรสั มากอ่ น3 โดยหลงั การตดิ เชอ้ื ทเ่ี ยอ้ื หมุ้ หวั ใจ มกี ารอกั เสบและการหนาตวั ของ การศกึ ษาน้ี พบภาวะแทรกซอ้ นหลงั ผา่ ตดั ไดแ้ ก่ ภาวะปอด เยื่อห้มุ หัวใจตามมา ปจั จุบันการรักษาทดี่ ีที่สุดส�ำหรับโรคนี้คือการ ตดิ เชอื้ แบคทเี รยี แผลผา่ ตดั ตดิ เชอื้ ภาวะไตวายเฉยี บพลนั แตไ่ มต่ อ้ ง ผา่ ตดั ลอกเลาะเยอื่ หมุ้ หวั ใจทหี่ นาตวั ออกมา (pericardiectomy) 4-5 ใชก้ ารบำ� บดั ทดแทนไต (renal replacement therapy) ซ่ึงเปน็ โดยพบว่าการผ่าตัดนี้มีภาวะแทรกซ้อนและอัตราการเสียชีวิต ภาวะแทรกซอ้ นทพี่ บไดห้ ลงั การผา่ ตดั pericardiectomy จากการ หลังผ่าตัดค่อนข้างสูง การศึกษาในต่างประเทศพบอัตราการเสีย ศึกษาก่อนหน้าน1้ี 0-12 ชีวิตภายใน 30 วนั หลังผ่าตดั อยรู่ ะหวา่ งรอ้ ยละ 4.9 ถงึ 13 และ สาเหตขุ องการเสยี ชวี ติ ทพ่ี บบอ่ ยทส่ี ดุ คอื ภาวะการทำ� งานของหวั ใจ เม่ือดูผลการผ่าตัดรักษาโดยดูการเปล่ียนแปลงอาการของ ล้มเหลวเฉียบพลัน (low cardiac output syndrome)6-9 การ ผู้ป่วย พบว่าผู้ป่วยมีอาการที่ดีข้ึนอย่างชัดเจน โดยก่อนผ่าตัด ศึกษานี้ พบอัตราการเสียชีวิตภายใน 30 วันหลังผ่าตัดใกล้เคียง ผปู้ ว่ ย ร้อยละ 68.9 มีอาการใน NYHA Class III และ IV เม่ือ กันคอื รอ้ ยละ 13 และสาเหตุการเสียชวี ิตท่พี บบ่อยคอื ภาวะ low ได้รับการผ่าตัดไปแล้ว ร้อยละ 85.7 ของผู้ป่วยมีอาการ NYHA cardiac output เช่นเดยี วกนั Class I และ II (ตารางที่ 7) สอดคล้องกบั การศกึ ษากอ่ นหนา้ น้ี ของ Gnaridrel13 อตั ราการรอดชวี ิตระยะยาวของผปู้ ่วยหลงั ได้รบั เม่ือท�ำการศึกษาถึงปัจจัยที่มีผลต่อการเสียชีวิต จาก การผา่ ตดั pericardiectomy พบว่าได้ผลดีจากงานวิจัยนี้พบอัตรา การศกึ ษานพ้ี บปจั จัยทม่ี ีผลต่อการเสียชวี ติ สมั พันธก์ บั ขนาดของยา การรอดชวี ติ ของผู้ป่วยท่ี 5 ปีอยทู่ ่ี ร้อยละ 76.8 และที่ 10 ปี คือ กระตุ้นหัวใจ (inotropic drug) ท่ีใช้ภายหลังผา่ ตดั โดยในกลมุ่ ท่ี รอ้ ยละ 62.9 มกี ารศึกษากอ่ นหนา้ น้ีจากกลมุ่ Mayo Clinic3 พบ ได้รับยาในขนาดสูงจะมีอัตราการเสียชีวิตที่สูงกว่ากลุ่มที่ได้รับยา อัตราการรอดชีวิตท่ี 5 ปี คือ ร้อยละ 78 นอกจากนี้การศึกษา ในขนาดต�่ำหรือไม่ได้รับยา มีการศึกษาก่อนหน้าน้ีพบว่าปัจจัยที่ ของ Cleveland Clinic6 พบอตั ราการรอดชวี ติ ที่ 7 ปี คือ ร้อยละ มีผลต่อการเสียชีวิตสัมพันธ์กับสาเหตุของการเกิดโรค ผู้ป่วยท่ีได้ 76 ส�ำหรับโรคidiopathic constrictive pericarditis และจาก รับการฉายแสงรักษามะเร็งบริเวณช่องทรวงอกจะพบอัตราเสีย การศกึ ษาของ Baltimore9 พบอัตราการรอดชวี ติ ที่ 5 ปีคอื รอ้ ยละ ชีวิตสูงกว่าจากสาเหตุอ่ืนๆ6,8,9 เนื่องจากผู้ป่วยกลุ่มน้ีไม่ได้มีความ 79.8 ผิดปกติของการท�ำงานของหัวใจในช่วงหัวใจคลายตัว (diastole) ตารางที่ 7 การเปลย่ี นแปลงอาการของผ้ปู ว่ ย (NYHA Functional class) ก่อนและหลังการผ่าตดั หลงั ผ่าตดั (คน) III IV ก่อนผา่ ตดั (คน) 0 0 0 0 I II 2 0 0 0 I (0) 0 0 II (13) 12 0 III (26) 20 2 IV (6) 3 0 หมายเหตุ : เสียชีวติ หลงั การผ่าตดั 6 คน (NYHA Functional class กอ่ นผา่ ตัด II = 1, III = 2, IV = 3) การศึกษานี้มีข้อจ�ำกัดของการศึกษาคือ รูปแบบของการ นอกจากน้ีขนาดกลุ่มประชากรของการศึกษามีจ�ำนวนขนาดเล็ก ศึกษาเปน็ แบบ retrospective observational ท�ำให้การรวบรวม เน่ืองจากโรค constrictive pericarditis เป็นโรคที่พบได้ไม่บ่อย ขอ้ มลู มคี วามเอนเอยี งของการวดั คา่ ผดิ จากความจรงิ (information ท�ำให้อุบัติการณ์ของการเกิดภาวะแทรกซ้อนและอัตราเสียชีวิต bias) ทีเ่ กดิ เพราะท�ำการศกึ ษาย้อนหลัง ดังน้ันถา้ ทำ� การศึกษาเป็น หลังการผ่าตัดเกิดข้ึนไม่มาก และเป็นการศึกษาเฉพาะที่สถาบัน แบบ case control จะทำ� ใหท้ ราบปจั จัยที่ผลตอ่ การรกั ษาได้ดีขึ้น โรคทรวงอกเท่านั้น ปีท่ี 45  ฉบบั ที่ 2  เมษายน - มิถนุ ายน 2563 | 147

สรุป ตราการเสยี ชวี ติ หลงั การผา่ ตดั สงู และผปู้ ว่ ยทต่ี อ้ งใชย้ ากระตนุ้ หวั ใจ ผู้ปว่ ยโรค constrictive pericarditis ควรได้รับการผ่าตดั ขนาดสูงหลงั การผา่ ตัด แสดงถึงภาวะ Low cardiac output ซึง่ เปน็ สาเหตุการเสยี ชีวติ หลงั ผา่ ตดั ท่พี บบ่อยทีส่ ุด เลาะเย่ือหุ้มหัวใจที่บีบรัดหัวใจออก (pericardiectomy) แม้จะมี กติ ติกรรมประกาศ ภาวะแทรกซ้อนและอัตราการเสียชีวิตหลังผ่าตัดค่อนข้างสูง แต่ พบวา่ อาการของผปู้ ว่ ยหลงั ผา่ ตดั มอี าการดขี น้ึ และมอี ตั ราการรอด ขอขอบคุณ คุณปาณิสรา สว่าวแวว พยาบาลห้องผ่าตัด ชวี ติ ระยะยาวทด่ี ใี กลเ้ คยี งกบั ผลการศกึ ษาจากสถาบนั ชน้ั นำ� ในตา่ ง เจ้าหน้าที่เวชระเบียนส�ำหรับการค้นข้อมูล และคุณพิมพ์รภัส ประเทศ โดยปัจจัยที่มผี ลตอ่ การเสยี ชวี ติ หลงั การผา่ ตัดคือ อาการ เตง็ ตระกูลเจริญ สำ� หรับการวิเคราะห์ทางสถติ ิ ของผปู้ ว่ ยกอ่ นผา่ ตดั โดยผปู้ ว่ ยทม่ี อี าการมาก NYHA class IVจะมอี ั References 8. Szabo G, Schmack B, Bulut C, Soos P, Weymann A, Stadt- 1. Bergman M, Vitrai J, Salman H. Constrictive pericarditis: A feld S, et al. Constrictive pericarditis: risks, aetiologies and outcomes after total pericardiectomy: 24 years of experience. reminder of a not so rare disease. Eur J Int Med 2006;17: Eur J Cardiothorac Surg 2013;44:1023-8. 457-64. 2. Cameron J, Oesterle SN, Baldwin JC, Hancock EW. The 9. George TJ, Arnaoutakis GJ, Beaty CA, Kilic A, Baumgartner WA, etiologic spectrum of constrictive pericarditis. Am Heart J Conte JV. Contemporary etiologies, risk factors, and outcomes 1987; 113:354-60. after pericardiectomy. Ann Thorac Surg 2012; 94:445-51. 3. Ling LH, Oh JK, Schaff HV, Danielson GK, Mahoney DW, Seward JB, et al. Constrictive pericarditis in the modern era: 10. Vistarini N, Chen C, Mazine A, Bouchard D, Hebert Y, Carrier evolving clinical spectrum and impact on outcome after M, et al. Pericardiectomy for Constrictive Pericarditis: 20 Years pericardiectomy. Circulation1999; 100:1380-6. of Experience at the Montreal Heart Institute. Ann Thorac 4. Buyukbayrak F, Aksoy E, Dedemoglu M, Kirali K, Alp HM. Surg 2015; 100:107-13. Pericardiectomy for treatment of neoplastic constrictive pericarditis. Asian Cardiovasc Thorac Ann 2014;22:296-300. 11. Lin Y, Zhou M, Xiao J, Wang B, Wang Z. Treating constrictive 5. Cho YH, Schaff HV, Dearani JA, Daly RC, Park SJ, Li Z, et pericarditis in a chinese single-center study: a five-year al. Completion pericardiectomy for recurrent constrictive experience. Ann Thorac Surg 2012; 94:1235-40. pericarditis: importance of timing of recurrence on late clinical outcome of operation. Ann Thorac Surg 2012;93:1236-40. 12. Busch C, Penov K, Amorim PA, Garbade J, Davierwala P, Schuler 6. Bertog SC, Thambidorai SK, Parakh K, Schoenhagen P, Ozduran GC, et al. Risk factors for mortality after pericardiectomy V, Houghtaling PL, et al. Constrictive pericarditis: etiology for chronic constrictive pericarditis in a large single-centre and cause-specific survival after pericardiectomy. J Am Coll cohort. Eur J Cardiothoracic Surg 2015; 48:e110-6. Cardiol 2004; 43:1445-52. 7. Landex NL, Ihlemann N, Olsen PS, Gustafsson F. Constrictive 13. Ghavidel AA, Gholampour M, Kyavar M, Mirmesdagh Y, pericarditis in a contemporary Danish cohort: aetiology and Tabatabaie MB. Constrictive pericarditis treated by surgery. outcome. Scand Cardiovasc J 2015;49:101-8. Tex Heart Inst J 2012;39:199-205. 148 | วารสารกรมการแพทย์

นพิ นธต์ ้นฉบับ Use of Tigecycline in Neonates with Extensively Drug Resistant Organisms Infections in Neonatal Units of Queen Sirikit National Institute of Child Health Wiboon Kanjanapattanakul, M.D.*, Onanong Nilwalaikul, M.D.** * Department of Pediatric, Queen Sirikit National Institute of Child Health, Thung Phayathai, Rachathevi, Bangkok, 10400 ** Ex-pediatric resident, Department of Pediatric, Queen Sirikit National Institute of Child Health, Thung Phayathai, Rachathevi, Bangkok, 10400 (Email: [email protected]) (Received: April 23, 2020; Revised: May 19, 2020; Accepted: May 29, 2020) การใชย้ าไทกซี ยั คลินในทารกแรกเกดิ ป่วยที่พบการตดิ เชอื้ ดื้อยา หลายกลมุ่ ในหนว่ ยทารกแรกเกิด สถาบนั สขุ ภาพเดก็ แห่งชาตมิ หาราชนิ ี วิบลู ย์ กาญจนพัฒนกลุ พ.บ.*, อรอนงค์ นลิ วลยั กุล พ.บ.** *ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ สถาบันสุขภาพเดก็ แหง่ ชาติมหาราชนิ ี แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กรงุ เทพมหานคร 10400 ** แพทย์ประจ�ำบา้ นสาขากุมารเวชศาสตร์ สถาบันสขุ ภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กรงุ เทพมหานคร 10400 ภมู หิ ลัง: ยาไทกีซัยคลินเปน็ ยาปฏิชวี นะก่งึ สังเคราะห์ทอ่ี อกฤทธิก์ ว้าง แตข่ ้อบ่งชี้ยังจ�ำกดั เฉพาะผปู้ ่วยที่มกี ารตดิ เชอื้ ดื้อยาหลาย กลุ่ม ทารกแรกเกิดก็เป็นกลุ่มเสี่ยงต่อภาวะน้ี แต่ข้อมูลการใช้ยาไทกีซัยคลีนยังมีจ�ำกัด วัตถุประสงค์: เพื่อศึกษาอัตราการรอดชีวิตของ ทารกแรกเกดิ ทต่ี ดิ เชอื้ ดอ้ื ยาซงึ่ ไดร้ บั การรกั ษาดว้ ยยาไทกซี ยั คลนิ ณ สถาบนั สขุ ภาพเดก็ แหง่ ชาตมิ หาราชนิ ี วธิ กี าร: การศกึ ษาเชงิ พรรณนา แบบยอ้ นหลงั โดยเกบ็ ขอ้ มลู จากเวชระเบยี นผปู้ ว่ ยทไี่ ดร้ บั ยาไทกซี ยั คลนิ ในหนว่ ยทารกแรกเกดิ สถาบนั สขุ ภาพเดก็ แหง่ ชาตมิ หาราชนิ ตี งั้ แต่ วันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2557 ถึง 30 กนั ยายน พ.ศ.2561 ผล: ทารกปว่ ยจำ� นวน 4,362 ราย เข้าเกณฑก์ ารศกึ ษา 82 ราย ค่าเฉลีย่ อายุ ครรภ์ของทารก 30.13 + 4.42 สัปดาห์ เชื้อด้อื ยาหลายกลมุ่ ทีพ่ บบอ่ ยทสี่ ุด 3 อนั ดับ ได้แก่ K. pneumoniae (54%), P. aeruginosa (24.1%) และ A. baumannii (19.5%) โรคที่ใช้ยาไทกีซัยคลินมากทส่ี ุด คอื โรคปอดอกั เสบ 34 (41.46%) และ การตดิ เชือ้ ในกระแส เลอื ด 27 ราย (32.93%) อตั ราการรอดชวี ติ โดยรวมเปน็ 86.58% การให้ยา 2 ขนาด (2 และ 2.4 มลิ ลิกรัมต่อกิโลกรมั ตอ่ วนั ) มีอัตรา ตายไมแ่ ตกต่างกนั (p=0.44) ผู้ปว่ ย septic shock 3 รายเกิดภาวะไตวายเฉียบพลันกอ่ นได้รบั ยาไทกซี ยั คลินและเสยี ชีวติ ในเวลาต่อมา สรุป: ยาไทกีซัยคลินสามารถใช้กับทารกแรกเกิดท่ีติดเชื้อด้ือยาหลายกลุ่มได้ ความปลอดภัยจากการใช้ยาไทกีซัยคลินในทารกแรกเกิด ปว่ ยยังตอ้ งท�ำการศกึ ษาตอ่ ไป คำ� ส�ำคัญ: การตดิ เชือ้ ดือ้ ยาหลายกล่มุ ยาไทกีซยั คลนิ ทารกแรกเกดิ Abstract descriptive study was conducted by extracting data from Background: Tigecycline is a broad spectrum medical records of patients admitted in neonatal units of QSNICH who were treated with tigecycline between 1st antibiotic with restricted indications in paediatrics patients. January, 2014 and 30th September, 2018. Result: There Its use in clinical practice is reserved for cases with chal- were 4,362 neonatal admission during this period with 82 lenging infections due to multi-drug resistant bacteria. patients included in the study. The average gestational age Limited data is available to determine the treatment was 30.13+4.42 weeks. Three most common XDR patho- outcome in neonates. Objective: To study the survival gens identified were K. pneumoniae (54%), P. aeruginosa rate of antibiotic resistant newborn patients who were (24.1%) and A. baumannii (19.5%). Tigecycline was used treated with tigecycline at Queen Sirikit National Insti- most frequently for the treatment of pneumonia; 34 cases tute of Child Health (QSNICH). Method: A retrospective ปีที่ 45  ฉบบั ที่ 2  เมษายน - มถิ นุ ายน 2563 | 149