Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หนังสือเรียนพระไตรปิฎกศึกษา

หนังสือเรียนพระไตรปิฎกศึกษา

Description: หนังสือ

Keywords: พระไตรปิฏกศึกษา

Search

Read the Text Version

ธรรมชาติโลกและขํ(รต ะ ๘๔ แวดวงพราหมณ์ วาเสฎฐะและภารทวาชะ ครั้งนั้น สัตว์บางพวกได้มีความคิดอย่างนี้ว่า 'ท่านผู้เจริญ บาป ธรรมเกิดขึ้นในหมู่สัตว์แล้ว คือ การถือเอาสิ่งของที่เจ้าของเขาไม่ไดไห้จักปรากฎ การครหาจัก ปรากฏ การพูดเท็จจักปรากฏ การถือฑัณฑาวุธจักปรากฏ การขับไล่จักปรากฏ ทางที่ดี พวกเรา ควรลอยบาปอคุศลธรรมทิ้งเสียเถิด สัตว์เหล่านั้นจึงได้พากันลอยบาปอคุศลธรรมนั้นทิ้งไป เพราะสัตว์ทั้งหลายพากันลอยบาปอกุศลธรรมทิ้งไป ฉะนั้น คำ แรกว่า 'พราหมณ์ พราหมณ์' จึง เกิดขึ้นพราหมณ์เหล่านั้นจึงสร้างกระท่อมบุงด้วยใบไม้ไว่ในราวป่าแล้ว บำ เพ็ญฌานอยู่ใน กระท่อมที่กุงด้วยไบไม้นัน พราหมณ์เหล่านั้นไม่มีการหุงด้ม ไม่มีการตำข้าว พากันเที่ยวไปยัง หมู่บ้านตำบลและเมืองแสวงหาอาหาร เพื่อเป็นอาหารเย็นในตอนเย็น เพื่อเป็นอาหารเช้าในตอน เช้า พวกเขาได้อาหารแล้วก็บำเพ็ญฌานอยู่ในกระท่อมหุงด้วยใบไม้ไนราวป่านั่นเทียวอีก หมู่ มนุษย์พบเขาแล้วจึงกล่าวอย่างนีว่า 'ท่านผู้เจริญ สัตว์เหล่านีสร้างกระท่อมหุงด้วยใบไม้ไนราวป่า แล้ว บำ เพ็ญฌานอยู่ในกระท่อมที่หุงด้วยใบไม้นัน พวกเขาไม่มีการหุงด้ม ไม่มีการตำข้าว พากัน เที่ยวไปยังหมู่บ้านตำบลและเมืองแสวงหาอาหาร เพื่อเป็นอาหารเย็นในตอนเย็น เพื่อเป็นอาหาร เช้าในตอนเช้า พวกเขาได้อาหารแล้วมาบำเพ็ญฌานอยู่ในกระท่อมที่หุงด้วยใบไม่ไนรๅวป่าอีก เพราะพวกเขาบำเพ็ญฌานอยู่ คำ ที่ ๒ ว่า'ฌายกา ฌายกา'จึงเถิดขึ้น ในจำนวนสัตว์เหล่านั้น สัตว์ บางพวก เมอไม่บรรลุฌานนันในกระท่อมทีหุงด้วยใบไม่ไนราวป่า จึงเที่ยวไปยังหมู่บ้านที่ ใกล้เคียงกันและนิคมที่ใกล้เคียงกัน พากันทำคัมภีร์อยู่ มนุษย์ทั้งหลายเห็นเขาแล้วจึงกล่าวอย่างนี้ ว่า 'ท่านผู้เจริญ สัตวเหล่านีไม่ได้บรรลุฌานนันในกระท่อมที่หุงด้วยใบไม่ไนราวป่า จึงเที่ยวไป ยังหมู่ม้านทีใกล้เคียงกันและนิคมที่ใกล้เคียงกัน พากันทำคัมภีร์อยู่ ชนเหล่านี้ไม่บำเพ็ญฌาน' เพราะชนเหล่านี้ ไม่บำเพ็ญฌาน ในบัดนี้ คำ ที่ ๓ ว่า'อัชฌายกา อัชฌายกา'จึงเกิดขึ้น สมัยนั้น คำ ว่า 'อัชฌายกา'บันถือกันว่าเป็นคำเลว แต่ในสมัยนี คำว่า 'อัชฌายกา'บันถือกันว่าประเสริฐ ด้วย เหตุด้งกล่าวมานี จึงได้เกิดมีแวดวงพราหมณ์บันขึ้นแก่สัตว์เหล่านั้นIท่านั้น ไม่มีแก่สัตว์เหล่าอื่น มีแก่สัตวพวกเดียวกันเท่าบัน ไม่มีแก่สัตว์ที่มิใช่พวกเดียวกัน มีโดยธรรมเท่าบัน ไม่ใช่โดย อธรรม ตามคำโบราณทีเคียวข้องกับทฤษฎีว่าด้วยด้นกำเนิดของโลก ก็ธรรมเท่านั้นประเสริฐ ที่ลุ[ดในหมู่ชนทั้งในโลกนี้และโลกหน้า www.kalyanamitra.org

ธรรมซาสิโลกและซิ(วิต ะะ cSr แวดวงแพศย์ วาเสฎฐะและภารทวาชะ บรรดาสัตว์เหล่านั้น บางพวกยึดมั่นเมถุนธรรม' แล้วแยก ประกอบการงานที่แตกต่างออกไป^ เพราะเหตุที่สัตว์เหล่านั้นยึดมั่นเมถุนธรรม แล้วแยก ประกอบการงานที่แตกต่างออกไป ฉะนั้น คำ ว่า 'เวสสา เวสสา'จึงเกิดขึ้น ด้วยเหตุดังกล่าวมานี้ จึงได้เกิดมีแวดวงแพศย์นั้นขึ้นแก่สัตว์เหล่านั้นเท่านั้น ไม่มีแก่สัตว์เหล่าอื่น มีแก่สัตว์พวก เดียวกันเท่านั้น ไม่มีแก่สัตว์ที่มิใช่พวกเดียวกัน มีโดยธรรมเท่านั้น ไม่ใช่โดยอธรรม ตามคำ โบราณที่เกี่ยวข้องกับทฤษฎีว่าด้วยด้นกำเนิดของโลก ก็ธรรมเท่านั้นประเสริฐที่ถุ[ดในหยู่ชนทั้ง ในโลกนี้และโลกหน้า แวดวงศูทร วาเสฎฐะและภารทวาชะ บรรดาสัตว์เหล่านั้น สัตว์ที่เหลือประพฤติตนโหดร้าย ทำ งานดร ด้อย เพราะสัตว์เหล่านั้นประพฤติตนโหดร้าย ทำ งานที่ตาด้อยฉะนั้น คำ ว่า 'ศูทร ศูทร'จึงเกิดขึ้น ด้วยเหตุดังกล่าวมานี้ จึงได้เกิดมีแวดวงศูทรนั้นขึ้นแก่สัตว์เหล่านั้นเท่านั้น ไม่มีแก่สัตว์เหล่าอื่น มีแก่สัตว์พวกเดียวกันเท่านั้น ไม่มีแก่สัตว์ที่มิใช่พวกเดียวกัน มีโดยธรรมเท่านั้น ไม่ใช่โดย อธรรม ตามคำโบราณที่เกี่ยวข้องกับทฤษฎีว่าด้วยด้นกำเนิดของโลก ก็ธรรมเท่านั้นประเสริฐ ที่ธุ[ดในหยู่ชนทั้งในโลกนี้และโลกหน้า วาเสฎฐะและภารทวาชะ มีสมัยที่กษัตริย์ติเตียนธรรม^ของตน จึงออกจากเรือนบวชเป็น บรรพชิตด้วยประสงค์ว่า 'เราจักเป็นสมณะ' พราหมณ์ติเตียนธรรมของตนจึงออกจากเรือนบวช เป็นบรรพชิตด้วยประสงค์ว่า 'เราจักเป็นสมณะ' แพศย์ติเตียนธรรมของตนจึงออกจากเรือนบวช เป็นบรรพชิตด้วยประสงค์ว่า 'เราจักเป็นสมณะ' แม้ศูทรก็ติเตียนธรรมของตนจึงออกจากเรือน บวชเป็นบรรพชิตด้วยประสงค์ว่า 'เราจักเป็นสมณะ' จึงได้เกิดมีแวดวงสมณะจากแวดวงทั้งสี่นี้ 'เมลุนธรรม แปลว่า ธรรมแห่งการดำเนินชีวิตของคนคู่ หมายถึงอสัทธรรมซื่งเป็นประเวณีของชาวป'าน มารยาทของคนชั้น ตร กิริยาชั่วหยาบ มีนํ้าเป็นที่สุด เป็นกิจที่ต้องทำในที่สับ ต้องทำกันสองต่อสอง ^ การงานที่แตกต่างออกไป ในที่นี้หมายถึงการงานที่ทำโห่'มีชื่อเสียงโดดเด่นเช่น โคปกกรรม(การรักษาความปลอดภัย) พาณิชย- กรรม(การต้าขาย) 'ธรรม ในที่นี้หมายถึงอาชีพการงานนั้น ๆ www.kalyanamitra.org

ธรรมชาติโลกและ€าต :<:rb ขึ้นแก่สัตว์เหล่านั้นเท่านั้น ไม่มีแก่สัตว์เหล่าอื่น มีแก่สัตว์พวกเดียวกันเท่านั้น ไม่มีแก่สัตว์ที่มิใช่ พวกเดียวกัน มีโดยธรรมเท่านั้น ไม่ใช่โดยอธรรม ตามคำโบราณที่เกี่ยวข้องกับทฤษฎีว่าด้วยต้น กำเนิดของโลก ก็ธรรมเท่านั้นประเสริฐที่ลุ[คในหมู่ชนทั้งในโลกนี้และโลกหน้า เรื่องการประพฤติชุจริต เป็นต้น วาเสฎฐะและภารทวาชะ แม้กษัตริย์ผู้ประพฤติกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต มีความเห็น ผิด และชักชวนผู้อื่นให้ทำกรรมตามความเห็นผิด เพราะการชักชวนผู้อื่นให้ทำกรรมตาม ความเห็นผิดเป็นเหตุ หลังจากตายแล้วจะไปเกิดในอบาย ทุคติ วินิบาต นรก แม้พราหมณ์, แม้แพศย์... แม้สูทร ... แม้สมณะผู้ประพฤติกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต มีความเห็นผิด และชักชวนผู้อื่นให้ ทำกรรมตามความเห็นผิด เพราะการชักชวนผู้อื่นให้ทำกรรมตามความเห็นผิดเป็นเหตุ หลังจาก ตายแล้วจะไปเกิดในอบาย ทุคติ วินิบาต นรก แม้กษัตริย์ผู้ประพฤติกายสูจริต วจีสูจริต มโนสูจริต มีความเห็นชอบและชักชวนผู้อื่นให้ ทำกรรมตามความเห็นชอบ เพราะการชักชวนผู้อื่นให้ทำกรรมตามความเห็นชอบ หลังจากตาย แล้วจะไปเกิดในสูคติโลกสวรรค์ แม้พราหมณ์... แม้แพศย์... แม้ศทร ... แม้สมณะผู้ประพฤติกายสูจริต วจีสูจริต มโนสูจริต มีความเห็นชอบ และชักชวนผู้อื่นให้ ทำกรรมตามความเห็นชอบ เพราะการชักชวนผู้อื่นให้ทำกรรมตามความเห็นชอบ หลังจากตาย แล้วจะไปเกิดในสูคติโลกสวรรค์ วาเสฎฐะและภารทวาชะ แม้กษัตริย์ผู้ประพฤติทั้งกายทุจริตและกายสูจริต ทั้งวจีทุจริต และวจีสูจริต ทั้งมโนทุจริตและมโนสูจริต ทั้งมีความเห็นผิดและมีความเห็นชอบ ทั้งชักชวน www.kalyanamitra.org

ธรรมซาสิโลกและ€1วิต ผู้อื่นให้ทำกรรมตามความเห็นผิดและชักชวนผู้อื่นให้ทำกรรมตามความเห็นชอบ เพราะการ ชักชวนผู้อื่นให้ทำกรรมตามความเห็นผิดและการชักชวนผู้อื่นให้ทำกรรมตามความเห็นชอบเป็น เหตุ หลังจากตายแล้วเขาจะเสวยทั้งสุขและทุกข์ แม้พราหมณ์ผู้ประพฤติทั้งกายทุจริตและกายสุจริต ทั้งวจีทุจริตและวจีสุจริตทั้งมโน- ทุจริตและมโนสุจริต ทั้งมีความเห็นผิดและมีความเห็นชอบ ทั้งชักชวนผู้อื่นให้ทำกรรมตาม ความเห็นผิดและชักชวนผู้อื่นให้ทำกรรมตามความเห็นชอบ เพราะการชักชวนผู้อื่นให้ทำกรรม ตามความเห็นผิดและการชักชวนผู้อื่นให้ทำกรรมตามความเห็นชอบเป็นเหตุ หลังจากตายแล้ว เขาจะเสวยทั้งสุขและทุกข์ แม้แพศย์ผู้ประพฤติทั้งกายทุจริตและกายสุจริต ทั้งวจีทุจริตและวจี- สุจริต ทั้งมโนทุจริตและมโนสุจริต ทั้งมีความเห็นผิดและมีความเห็นชอบ ทั้งชักชวนผู้อื่นให้ทำ กรรมตามความเห็นผิดและชักชวนผู้อื่นให้ทำกรรมตามความเห็นชอบ เพราะการชักชวนผู้อื่นให้ ทำ กรรมตามความเห็นผิดและการชักชวนผู้อื่นให้ทำกรรมตามความเห็นชอบเป็นเหตุ หลังจาก ตายแล้วเขาจะเสวยทั้งสุขและทุกข์ แม้ศูทรผู้ประพฤติทั้งกายทุจริตและกายสุจริต ทั้งวจีทุจริตและวจีสุจริต ทั้งมโนทุจริต และมโนสุจริต ทั้งมีความเห็นผิดและมีความเห็นชอบ ทั้งชักชวนผู้อื่นให้ทำกรรมตามความเห็น ผิดและชักชวนผู้อื่นให้ทำกรรมตามความเห็นชอบ เพราะการชักชวนผู้อื่นให้ทำกรรมตาม ความเห็นผิดและการชักชวนผู้อื่นให้ทำกรรมตามความเห็นชอบเป็นเหตุ หลังจากตายแล้วเขาจะ เสวยทั้งสุขและทุกข์ แม้สมณะผู้ประพฤติทั้งกายทุจริตและกายสุจริต ทั้งวจีทุจริตและวจีสุจริต ทั้งมโนทุจริต และมโนสุจริต ทั้งมีความเห็นผิดและมีความเห็นชอบ ทั้งชักชวนผู้อื่นให้ทำกรรมตามความเห็น ผิดและชักชวนผู้อื่นให้ทำกรรมตามความเห็นชอบ เพราะการชักชวนผู้อื่นให้ทำกรรมตาม ความเห็นผิตและการชักชวนผู้อื่นให้ทำกรรมตามความเห็นชอบเป็นเหตุ หลังจากตายแล้วเขาจะ เสวยทั้งสุขและทุกข์ การเจริญโพธิป๋'กฃิยธรรม วาเสฎฐะและภารทวาชะ กษัตริย์ผู้สำรวมกาย สำ รวมวาจา สำ รวมใจ อาศัยการเจริญโพธิ- ฟ้กฃิยธรรม ๗ หมวดแล้ว จะปรินิพพานในโลกนี้ทีเดียว www.kalyanamitra.org

ธรรมซาสิโลกและฃํ(วิต ะ แม่'พราหมณ์ผู้??ารวมกาย ??ารวมวาจา ??ารวมใจ อาศัยการเจริญโพธิป๋'กขิยธรรม ๗ หมวดแล้ว จะปรินิพพานในโลกนี้ทีเดียว แมแพศย์ผูสำรวมกาย สำ รวมวาจา สำ รวมใจ อาศัยการเจริญโพธิป็กขิยธรรม ๗ หมวด แล้ว จะปรินิพพานในโลกนี้ทีเดียว แม้สูทรผู้สำรวมกาย สำ รวมวาจา สำ รวมใจ อาศัยการเจริญโพธิป็กฃิยธรรม ๗ หมวดแล้ว จะปรินิพพานในโลกนี้ทีเดียว แม้สมณะผู้สำรวมกาย สำ รวมวาจา สำ รวมใจ อาศัยการเจริญโพธิปักฃิยธรรม ๗ หมวด แล้ว จะปรินิพพานในโลกนี้ทีเดียว วาเสฎฐะและภารทวาชะ บรรดาวรรณะทั้ง ๔ เหล่านี้ ผู้!ดเปีนภิกษุอรหันตขีณาสพ อยู่ จบพรหมจรรย์แล้ว ทำ กิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ปลงภาระได้แล้ว บรรลุประโยชน์ตนโดยลำดับแล้ว สินภวสังโยชน์แล้ว หลุดพ้นเพราะรูโดยชอบ ผู้นั้นเรียกได้ว่า เปีนผู้เลิศกว่าคนทั้งหลายใน วรรณะ ๔ เหล่านั้น โดยธรรมเท่านั้น ไม่ใช่โดยอธรรม เพราะธรรมเท่านั้นประเสริฐที่สูดในหมู่ ชนทั้งในโลกนี้และโลกหน้า วาเสฎฐะและภารทวาชะ สมดังคาถานี้ที่สนังคุมารพรหมกล่าวไว้ว่า 'ในหมู่ชนที่ถือตระQณป็นใหญ่ กษัตริย์จัดว่าประIสริฐที่^ด ส่วนท่าน^เพียบพร้อมด้วย วิชชาและจรลเะ จัดว่าเป็น§ประเสริฐที่สุดในหมู่เทพและมนุบย์' วาเสฎฐะและภารทวาชะ สนังคุมารพรหมกล่าวคาถานั้นไว้ชอบ ไม่ใช่ไม่ชอบ กล่าวไว้ ถูกด้อง ไม่ใช่ไม่ลุกด้อง มีประโยชน์ ไม่ใช่ไม่มีประโยชน์ เราเห็นด้วยทีเดียว แม้เราก็กล่าวอย่าง เดียวกันนี้ว่า 'ในหมู่ชนที่ถือตระกูลเป็นใหญ่ กษัตริย์จัดว่าประเสริฐที่สุด ส่วนท่านผู้เพียบพร้อมด้วย วิชชาและจรณะ จัดว่าเป็นผู้ประเสริฐที่สุดในหมู่เทพและมนุษย์' www.kalyanamitra.org

ธรรมชาติโลกและ^ต ะ ๘๙ พระ^พระภาคได้ตรัสพระภาษิตนี้แล้ว วาเสฏฐสามเณรและภารทวาชสามเณรมีใจยินดี ต่างชื่นชมพระภาษิตของพระ^พระภาคแล้วแล อัคคัญญสูตร จบ จากพระสูตรนี้ ทำ ให้ทราบว่าในตอนสังวัฎฎกัปของโลกช่วงสูดท้าย คือ ช่วงที่โลกเสื่อม ลงจนสลายไป สัตว์โลกส่วนมากที่รอดชีวิต ได้ไปเกิดในชั้นอากัสสรพรหม มีสภาพเป็นกาย ทิพย์ จากนั้น เป็นกำเนิดและวิวัฒนาการของโลก ตั้งแต่ตอนด้นแห่งวิวัฏฎกัป คือ ช่วงที่โลก กลับก่อตัวขึ้นใหม่ เริ่มจากสภาพที่เป็นนั้าแผ่เต็มอวกาศ ไม่มีดวงจันทร์ ดวงดาว ดวงอาทิตย์โลก ค่อย ๆ แข็งตัวขึ้น มีพืชพรรณแรกเกิดขึ้นคือ ง้วนดิน ลอยอยู่บนผิวนั้า ขณะเดียวกัน มนุษย์ก็มีวิวัฒนาการควบคู่ไปกับวิวัฒนาการของโลก คือ มนุษยํไนยุคแรก นั้นมีกำเนิดมาจากอดีตพรหมที่ลงมาบนพื้นโลก เริ่มลองกินง้วนดินแล้วค่อย ๆ พ่ายแพให้กับ กิเลสภายในใจที่บีบคั้นมากขึ้น จนทำให้มีกายที่หยาบขึ้น ส่งผลถึงอาหารก็ลดความประณีตและ โอชะลงไปเริ่อยๆ จากนั้น ก็มีการกระทำที่ชั่วหยาบขึ้นเพราะเริ่มมีการเห็นแก่ตัว เช่น เกิด การสักขโมยเพราะมีการกักตุนอาหาร ทำ ให้ด้องแต่งตั้งผู้ที่จะมาทำหน้าที่ต่าง ๆ ให้ส่วนรวม จนเป็นที่มาของวรรณะหรืออาชีพต่าง ๆ นั่นเอง ตังนั้น การแปงชนชั้นวรรณะจึงเป็นเรื่องของความเข้าใจผิด เพราะไม่ว่าวรรณะใด หาก ประพฤดิอธรรม คือ กายทุจริต วจีทุจริต และ มโนทุจริต หลังจากตายก็ไปเกิดในอบาย ทุคติ วินิบาต นรกเหมือนกัน แต่ล้าประพฤติธรรม คือ สูจริต ๓ หลังจากตายก็ไปเกิดในสูคติ เหมือนกัน และไม่ว่าวรรณะใด หากออกบวชเป็นบรรพชิต ประพฤติพรหมจรรย์จนบรรลุธรรม ผู้นั้นสมควรได้ชื่อว่าเป็นผู้ประเสริฐ คือ ประเสริฐโดยธรรม ไม่ใช่โดยวรรณะ ความยาวนานของการเวียนว่ายตายเกิดของมนุษย์ ภายหลังจากที่พรหมได้กลายมาเป็นมนุษย์แล้วดำรงชีวิตอยู่บนโลกจนหมดอายุขัย จากนั้นก็เวียนมาเกิดอีก คือ ตายแล้วเกิด เกิดแล้วตายกันมานานนับภพนับชาติไม่ล้วน พระ- สัมมาลัมพุทธเจ้าได้ทรงอุปมาให้เห็นชัดว่า มนุษย์เวียนว่ายตายเกิดมามากมายเท่าไหร่ และไข้ เวลายาวนานขนาดไหน ตังพระสูตรต่าง ๆ ที่ได้นำมาแสดงไว้ตังนี้ www.kalyanamitra.org

ธรรมซาสิโลกและซิ(วิต :๙๐ อัสลุ[สูตร' ว่าด้วยนํ้าตา พระ^พระภาคประทับอยู่ ... เขตกรุงสาวัตถี ณ ที่ใ4น พระ^พระภาค ... \"คิก^ทังหลาย สงสารนีมีเบืองด้นและเบื้องปลายเไม่ได้ฯลฯ เธอทั้งหลายจะเข้าใจความ ข้อนันว่าอย่างไร นํ้าตาที่หลั่งไหลของเธอทั้งหลายผู้วนเวียนท่องเที่ยวไปคราครวญร้องไห้อยู่ เพราะประสบกับสึ๋งที่ไม่พอใจ เพราะพลัดพรากจากสิ่งที่พอใจโดยกาลนานนี้ กับนํ้าใน มหาสบุทรทั้ง ๔ อย่างไหนจะมากกว่ากัน\" \"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ทังหลายรู้ธรรมตามที่พระองค์ทรงแสดงแล้ว นำ ตาที่ หลั่งไหลของข้าพระองค์ทังหลายผู้วนเวียนท่องเที่ยวไป คราครวญร้องไห้อยู่เพราะประสบกับสิ่ง ทีไม่พอใจ เพราะพลัดพรากจากสิ่งที่พอใจ โดยกาลนานนีนีแหละมากกว่า ส่วนนํ้าในมหาสมุทร ทั้ง ๔ ไม่มากกว่าเลย\" \"ลูกละ ลูกละ เธอทั้งหลายรู้ธรรมตามที่เราแสดงแล้วอย่างนี้ ลูกด้องแล้ว นํ้าตาที่หลั่งไหล ของเธอทังหลายผู้วนเวียนท่องเทียวไป ครำครวญร้องไห้อยู่ เพราะประสบกับสิ่งที่ไม่น่าพอใจ เพราะพลัดพรากจากสิ่งทีพอใจ โดยกาลนานนีแหละมากกว่า ส่วนนำในมหาสมุทรทัง ๔ ไม่ มากกว่าเลย เธอทังหลายได้ประสบความตายของมารดามาข้านาน นํ้าตาที่หลั่งไหลของเธอทั้งหลายผู้ ประสบความตายของมารดา คราครวญร้องไห้อยู่ เพราะประสบกับสิ่งที่ไม่นำพอใจ เพราะพลัด พรากจากสิ่งที่พอใจนี้แหละมากกว่า ส่วนนํ้าในมหาสมุทรทั้ง ๔ ไม่มากกว่าเลย เธอทั้งหลายได้ประสบความตายของบิดา ... ของพี่ชายน้องชาย ... ของพี่สาว น้องสาว ... ของบุตร ... ของธิดา ... ความเสื่อมของญาติ ... ความเสื่อมแห่งโภคะ ...ความเสื่อมเพราะโรคมา ช้านาน นํ้าตาที่หลั่งไหลของเธอทั้งหลายผู้ประสบความเสื่อมเพราะโรค คร้าครวญร้องไห้อยู่ เพราะประสบกับสิ่งที่ไม่น่าพอใจ เพราะพลัดพรากจากสิ่งที่พอใจนี้แหละมากกว่า ส่วนนํ้าใน มหาสมุทรทั้ง ๔ ไม่มากกว่าเลย 'พระสุตตันตปิฎก สังยูตตนิกาย นิทานวรรค,มจร.เล่ม ๑๖ หน้า ๒๑๘) www.kalyanamitra.org

ธรรมซาสืโลกและ'รวิต ะ ๙๑ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่าสงสารนี้มีเบื้องต้นและเบื้องปลายรู้ไม่ได้ฯลฯ ภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนี้แหละจึงควรเบื่อหน่าย ควรคลายกำหนัด ควรเพื่อหลุดพ้นจาก สังขารทั้งปวง\" อัสสสตร จบ ฃืรสูตร' ว่าด้วยนั้านม พระ^พระภาคประทับอยู่...เขตกรุงสาวัตถี ณ ที่นั้น พระ^พระภาค ... \"ภิกษุทั้งหลาย สงสารนี้มีเบืองด้นและเบื้องปลายรู้ไม่ได้ ฯลฯ เธอทังหลายจะเข้าใจความ ข้อนั้นว่าอย่างไร นั้านมของมารดาที่เธอทั้งหลายผู้วนเวียนท่องเที่ยวไปโดยกาลนานนีดื่มแล้ว กับนั้าในมหาสมุทรทั้ง ๔ อย่างไหนจะมากกว่ากัน\" \"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ทั้งหลายรู้ธรรมตามที่พระองค์ทรงแสดงแล้ว นั้านม ของมารดาที่ข้าพระองค์ทั้งหลายผู้วนเวียนท่องเที่ยวไปโดยกาลนานนี ดื่มแล้วนีแหละมากกว่า ส่วนนั้าในมหาสมุทรทั้ง ๔ ไม่มากกว่าเลย\" \"ถูกละ ถูกละ เธอทั้งหลายรู้ธรรมตามที่เราแสดงแล้วอย่างนี ถูกด้องแล้ว นั้านมของ มารดาที่เธอทั้งหลายผู้วนเวียนท่องเที่ยวไปโดยกาลนานนีดื่มแล้ว นีแหละมากกว่า ส่วนนั้าใน มหาสมุทรทั้ง ๔ ไม่มากกว่าเลย ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่าสงสารนี้มีเบื้องด้นและเบื้องปลายรู้ไม่ได้ฯลฯ ควรเพื่อหลุดพ้น\"... ขีรสตร จบ 'พระลุ[ตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค,มจร.เล่ม ๑๖ หนิ'า ๒๑๘ www.kalyanamitra.org

ธรรมชาติโลกและซิ(รต ::๙๒ ใเคคลสูดร' ว่าด้วยบคคล สมัยหนึ๋ง พระ^พระภาคประทับอยู่ณ คูเขาคิชฌกูฏ เขตกรุงราชคฤห์ณ ที่นั้นพระผู้- มีพระภาคได้รับสั่งเรียกภิกยุทั้งหลายมาตรัสว่า \"ภิกชุทั้งหลาย\" ภิกชุเหล่านั้นทูลรับสนองพระ ดารัสแล้ว พระ^พระภาคจึงได้ตรัสเรื่องนี้ว่า \"ภิกชุทั้งหลาย สงสารมีเบื้องด้นและเบื้องปลายเไม่ได้ ฯลฯ โครงกระลูก ร่างกระลูก กองกระลูกของบุคคลคนหนี้งผู้วนเวียนท่องเที่ยวไปตลอด ๑ กัป ล้านำกระลูกนั้นนำมากอง รวมกันได้และกระลูกที่กองรวมกันไว้ไม่สูญหายไป พึงใหญ่เท่าคูเขาเวปุลละนี้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่าสงสารนีมีเบืองด้นและเบื้องปลายเไม่ได้ฯลฯ ควรเพื่อหลุดพ้น\"... พระ^พระภาคผู้สุคตศาสดาครันตรัสเวยยากรณภาษิตนี้แล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ \"เรา^แสวงหาฤณอันยิ่งใหญ่ได้กล่าวไว้ว่า กระดูกของบคคลคนหนึ่งที่สะสมไว้ ๑ กัป พึงกองสุมเท่าภูเขา ก็ภูเขาที่เรากล่าวถึงนัน คือ ภูเขาหลวงชอเวไ^ลละ อยู่ทิศเหนือของภูเขาศิชฌ- ภูฏ ซึงตังล้อมรอบกรุงราชคฤห์ แคว้นมคธ เนึ่อไดบุคคลเห็นอริยสัจ คือ ทุกข์เหตุเกิดแห่งทุกข์ ความตับทุกข์และอริยมรรคปีองค์๘ อันยังสัตว์ให้ถึงความตับทุกข์ ด้วยปัญญาอันชอบ เนึ่อนั้น เขาท่องเทียวไป๗ ชาติเป็นอย่างมาก ก็จะทำที่สุดทุกข์ได้เพราะสังโยชน์ทังปวงสินไป\" ผู้คคลสูตร จบ 'พระลุ[ตตันตปิฎก สังยูตตนิกาย นิทานวรรค,มจร.เล่ม ๑๖ หน้า ๒๒๑, www.kalyanamitra.org

ธรรมชาติโลกและขํ(วิต ะ ๙๓ ทุคคตสูตร ว่าด้วย^ความทกฃ์ สมัยหนํ่ง พระ^พระภาคประทับอยู่..เขตกเงสาวัตถี ณ ที่นั้นพระ^พระภาค .. \"ภิกชุนั้งหลาย สงสารนี้มีเบื้องต้นและเบื้องปลายเไม่ได้ ที่สูดเบื้องต้น ที่สูดเบื้องปลาย ไม่ปรากฎแก่เหล่าสัตว์ผู้ลูกอวิชชากีดขวาง ลูกตัณหาผูกไว้ วนเวียนท่องเที่ยวไป เธอทั้งหลาย เห็นบุคคล!^ความทุกข์มีมือและเท้าไม่สมประกอบ พึงสันนิษฐานบุคคลนีว่า 'แม้เราทั้งหลายก็ เคยเสวยความทุกข์เช่นนี้มาแล้ว โดยกาลนาน' ข้อนั้นเพราะเหลุไร เพราะว่าสงสารนี้มีเบื้องต้นและเมืองปลายรู้ไม่ไต้ฯลฯ ควรเพื่อหลุดพ้น\"... ทุคคตสูตร จบ สูขิฅสูตร^ ว่าด้วย^ความสูข พระ!ฒูพระภาคประทับอยู่ ... เขตกรุงสาวัตถี ณ ที่นั้น พระ^พระภาค ... \"ภิกบุทั้งหลาย สงสารนี้มีเบื้องต้นและเบื้องปลายรู้ไม่ไต้ ... เธอทั้งหลายเห็นบุคคลผู้ เพียบพร้อมด้วยความสูข มีบริวารคอยรับใช้ พึงสันนิษฐานบุคคลนีว่า 'แม้เราทังหลายก็เคยเสวย ความสูขเช่นนี้มาแล้ว โดยกาลนาน' ข้อนั้นเพราะเหลุไร เพราะว่าสงสารนี้มีเบื้องต้นและเมืองปลายรู้ไม่ไต้ฯลฯ ควรเพื่อหลุดพ้น\"... สฃิตสตร จบ 'พระชุตตันตปีฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค,มจร.เล่ม ๑๖ ห'น้า ๒๒๕ ^ พระธุ[ตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค,มจร.เล่ม ๑๖ หน้า ๒๒๕ www.kalyanamitra.org

ธรรมซาสิโลกและขํ(รต :๙(ฮ ติงสมัตตสูตร' ว่าด้วยภิกบุ ๓๐ รูป พระ^พระภาคประทับอยู่ณ พระเวVfวัน ... เขตกรุงราชคฤห์ ครั้ง\"นั้น ภิกชุชาวเมืองปาวาประมาณ ๓๐ รูป ทั้งหมดล้วนเป็นผู้อยู่ป่าเป็นวัตร เป็นผู้เที่ยว บิณฑบาตเป็นวัตร เป็นผู้ใงุ่งห่มผ้าบังลุ[กุลเป็นวัตร เป็นผู้ทรงผ้าไตรจีวรเป็นวัตร (แต่) ยังมี สังโยชา4^ เข้าไปเผ้าพระ^พระภาคถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทแล้วนั่ง ณ ที่สมควร ขณะบัน พระ^พระภาคทรงดำริว่า 'ภิกชุชาวเมืองปาวาประมาณ ๓๐ รูปนี้ ทั้งหมดล้วน เป็นผู้อยู่ป่าเป็นวัตร เป็นผู้เที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร เป็นผู้ใ]งห่มผ้าบังสุกุลเป็นวัตร เป็นผู้ทรง ผ้าไตรจีวรเป็นวัตร(แต่) ยังมีสังโยชน์ทางที่ดี เรา'พึงแสดงธรรมให้ภิกชุเหล่านี้มีจิตหลุด'พ้นจาก อาสวะเพราะไม่ถึอนั่น ขณะที่นั่งบนอาสนะนี้แหละ' ลำ ดับนั้น พระ^พระภาคได้รับสั่งเรียก ภิกชุทังหลายมาตรัสว่า \"ภิกชุทังหลาย\" ภิกชุเหล่านั้น'ทูลรับสนองพระดำรัสแล้วพระ^พระภาค จึงได้ตรัสเรื่องนี้ว่า \"สงสารนี้มีเบื้องด้นและเบื้องปลายรู้ไม่ได้ ที่สุดเบื้องด้น ที่สุดเบื้องปลายไม่ปรากฏแก่ เหล่าสัตว์ผู้ถูกอวิชชากีดขวาง ถูกดัณหาผูกไว้ วนเวียนท่องเที่ยวไป เธอทั้งหลายจะเข้าใจความ ข้อบันว่าอย่างไร โลหิตที่หสั่งไหลของเธอทังหลายผู้ถูกดัดศีรษะวนเวียนท่องเที่ยวไปโดยกาล นานนี้ กับนั้าในมหาสมุทรทั้ง ๔ อย่างไหนจะมากกว่ากัน\" \"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ทังหลายรู้ธรรมตามที่พระองค์ทรงแสดงแล้ว โลหิตที่ หลั่งไหลของข้าพระองค์ทั้งหลายผู้ถูกดัดศีรษะวนเวียนท่องเที่ยวไปโดยกาลนานนี้นี้แหละ มากกว่า ส่วนนั้าในมหาสมุทรทั้ง ๔ ไม่มากกว่าเลย\" 'พระgตตันตปิฎก สังยูตตนิกาย นิทานวรรค,มจร.เล่ม ๑๖ หนิา ๒๒๖ ^สังโยชน์หมายถึงกิเลสอันผูกใจสัตว์หรือธรรมที่มัดสัตว์ไว้กับทุกข์มี ๑๐ ประการ คือ(๑)สักกายทิฎฐิ(ความเห็นว่าเป็นตัว ของตน)(๒)วิจิกิจฉา(ความลังเลสงสัย)(๓)สีลัพพตปรามาส(ความถือมั่นศีลพรต)(๔)กามราคะ(ความกำหนัดในกาม) (๕)พยาบาท(ความคิดร้าย)(๖)รูปราคะ(ความติดใจในอารมณ์แห่งรูปฌาน)(๗)อรูปราคะ(ความติดใจในอารมณ์แห่งอรูป ฌาน)(๘)มานะ(ความถือตัว)(๙)อุทธัจจะ(ความาเงซ่าน)(๑๐)อวิชชา(ความไม่รู้จริง) www.kalyanamitra.org

ธรรมชาติโลกและข็(วิต ■. ๙๕ \"ถูกละ ถูกละ เธอทั้งหลาย!ธรรมตามที่เราแสดงอย่างนี้ ถูกต้องแล้ว โลหิตที่หลั่งไหล ของเธอทั้งหลายผู้ถูกตัดศีรษะวนเวียนท่องเที่ยวไปโดยกาลนานนี้ นี้แหละมากกว่า ส่วนนํ้าใน มหาสมุทรทั้ง ๔ ไม่มากกว่าเลย เมื่อเธอทั้งหลายเกิดเป็นโค ซื้งถูกตัดศีรษะมาช้านาน โลหิตที่ หลั่งไหลนี้แหละมากกว่า ส่วนนํ้าในมหาสมุทรทั้ง ๔ ไม่มากกว่าเลย เมื่อเธอทั้งหลายเกิดเป็น กระบือ ซํ่งถูกตัดศีรษะมาช้านาน โลหิตที่หลั่งไหลนี้แหละมากกว่า ฯลฯ เมื่อเธอทั้งหลายเกิดเป็น แกะ ฯลฯ เกิดเป็นแพะ ฯลฯ เกิดเป็นเนื้อ ฯลฯ เกิดเป็นลุ[กร ฯลฯ เกิดเป็นไก่ ฯลฯ ภิกษุทั้งหลาย เมื่อเธอทั้งหลายถูกจับตัดศีรษะตัวยช้อหาว่าเป็นโจรฆ่าชาวบ้านมาช้านาน โลหิตที่หลั่งไหลนี้แหละมากกว่า ฯลฯ ถูกจับตัดศีรษะตัวยช้อหาว่าเป็นโจรปล้นในทางเปลี่ยว ฯลฯ ถูกจับตัดศีรษะตัวยข้อหาว่าเป็นโจรประพฤติผิดในภรรยาของผู้อื่นมาช้านาน โลหิตที่ หลั่งไหลนี้แหละมากกว่า ส่วนนํ้าในมหาสมุทรทั้ง ๔ ไม่มากกว่าเลย ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่าสงสารนี้มีเบื้องตันและเนื้องปลาย!ไม่ไต้ฯลฯ ควรเพื่อหลุดพ้น\"... พระ^พระภาคไต้ตรัสพระภาษิตนี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นมีใจยินดีต่างชื่นชมพระภาษิตของ พระ^พระภาค เมื่อพระ^พระภาคตรัสเวยยากรณภาษิตนี้อยู่ จิตของภิกษุชาวเมืองปาวา ประมาณ(๓๐ รูป ก็หลุดพ้นจากอาสวะเพราะไม่ถือมั่น ติงสมัตตสูตร จบ มาตุสูตร' ว่าดวยผูเคยเป็นมารดา \"ภิกษุทั้งหลาย สงสารนี้มีเนื้องตันและเบื้องปลาย!ไม่ไต้ ที่สูดเบื้องตัน ที่สูดเบื้องปลาย ไม่ปรากฎแก่เหล่าสัตว์ผู้ถูกอวิชชากีดขวาง ถูกตัณหาผูกไว้ วนเวียนท่องเที่ยวไป สัตว์ผู้ไม่เคย เป็น \"มารดา\"'โดยกาลนานนี้ มิใช่หาได้ง่าย 'พระธุ[ตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค,มจร.เล่ม ๑๖ หน้า ๒๒๗ www.kalyanamitra.org

ธรรมชาติโลกและ€รต :๙๖ ข้อใเนเพราะเหตุไร เพราะว่าสงสารนี้มีเบื้องต้นและเบื้องปลายรู้ไม่ได้ ที่ลุ[ดเบื้องด้น ที่ธุ[ดเบื้องปลายไม่ ปรากฎแก่เหล่าสัตว์ผู้ถูกอวิชชากีดขวาง ถูกตัณหาผูกไว้ วนเวียนท่องเที่ยวไป เธอทั้งหลายได้ เสวยความทุกข์เสวยความลำบาก ได้รับความพินาศ เต็มปาช้าเป็นเวลายาวนาน ภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนี้แหละจึงควรเบื่อหน่าย ควรคลายกำหนัด ควรเพื่อหลุดพ้นจาก สังขารทั้งปวง\" มาตุสูตรจบ จากพระสูตรต่าง ๆ ทำ ให้ทราบว่า แม้แต่ตัวเราเองก็เคยเกิดมานับครั้งไม่ถ้วน เคยเป็นมา ทุกอย่างแล้วในวัฎฎสงสารนี ไม่ว่าจะเป็นสูคติภูมิ หรือทุคติภูมิ ตังนั้น สัตว์ทั้งหลายถ้วนเคยเป็น ญาติกันมาทังสิน เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เปรียบเหมือนเชลยชึ๋งติดอยู่ในคุกขนาด ใหญ่ด้วยกัน แม้จะมีชีวิตที่เลิศสักเพียงใดในบางชาติ แต่ก็ยังถือว่าเป็นผู้ที่หลงติดอยู่ในภพอยู่ดี และหากประมาท ตกเป็นทาสของกิเลส ก็อาจประพฤติผิดพลาดไปเบียดเบียนซึ๋งกันและกัน จน เวียนไปเกิดอยู่ในภพภูมิที่ต้ากว่า มีชีวิตที่เลวร้ายลงไปอีกก็ได้ ความเจริญและความเสื่อมของอาคุมษุษย์ อายุขัยเฉลี่ยของมนุษย์มีความไม่แน่นอน มนุษย์สมัยทุทธกาลมีอายุขัยเฉลี่ยประมาณ ๑00 ปี ครันเวลาล่วงมาจนถึงปจจุบันนี มนุษย์มีอายุขัยเฉลี่ยลดลงเรื่อย ๆ ที่เป็นเช่นนี้เพราะเหตุ ใด เรื่องนี้มีปรากฎใน \"จักกวัตติสูตร\"ซึ๋งนำมาแสดงไว้ตังนี้ 'ในพระสูตรอื่น ๆ มีเนื้อความเหมือนกัน เพียงแต่เปลี่ยนคำว่า\"มารดา\"เป็น\"บิดา\"(ปิตุสูตร),\"พี่ชายน้องชาย(ภาตุสูตร), \"พี่สาวน้องสาว(ภคินิสูตร)\",\"บุตร(คุตตสูตร)\",ธิดา(ธีตุสูตร) www.kalyanamitra.org

ธรรมชาติโลกและฃํ(รต ะะ ๙๗ จักกวัตติสูตร* ว่าด้วยพระเจ้าจักรพรรดิ การมีตนเป็นเกาะ มีฅนเป็นที่พึ๋ง ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ สมัยหนี้ง พระ^พระภาคประทับอยู่ ณ เมืองมาตุลา แคว้นมคธ ณ ที่นันพระ^พระ กาครับสั่งเรียกภิกชุทั้งหลายมาตรัสว่า \"ภิกชุทั้งหลาย\" ภิกชุเหล่านั้นทูลรับสนองพระดำรัสแล้ว พระ^พระภาคจึงได้ตรัสดังนี้ว่า \"ภิกชุทั้งหลาย เธอทั้งหลาย จงมีตนเป็นเกาะ^ มีตนเป็นที่พึ๋ง ไม่มีสั่งอื่นเป็นที่พง จงมี ธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ๋ง ไม่มีสั่งอื่นเป็นที่พงอยู่เถิด ภิกชุมีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ๋ง ไม่มีสั่งอื่นเป็นที่พง มีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พง ไม่มีสั่งอื่นเป็นที่พึ๋งอยู่ เป็นอย่างไร คือ ภิกชุในธรรมวินัยนี้ ๑) พิจารณาเห็นกายในกายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสดิ กำ จัดอภิชฌาและโทมนัสในโลก นV 1ดั ๒)พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสดิ กำ จัดอภิชณาและ โทมนัสในโลกได้ ๓)พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสดิ กำ จัดอภิชฌาและโทมนัสในโลก VI V เดํ ๔)พิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสดิ กำ จัดอภิชฌาและ โทมนัสในโลกได้ 'พระธุ[ตตันฅปิฎก ทีฆนิกาย,มจร.เล่ม ๑® หมัา ๕๙ ^มีตนเป็นเกาะ ในที่นี้หมายถึงทำตนให้ทันจากห้วงนํ้า คือ โอฆะ ๔ เหมือนกับเกาะกลางมหาสบุทรที่นํ้าท่วมไม่ถึง www.kalyanamitra.org

ธรรมชาติโลกและขํ(รต :๙ ภิกษุมีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ๋ง ไม่มีสึ๋งอื่นเป็นที่พึ๋ง มีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พื้ง ไม่มีสึ๋งอื่นเป็นที่พึ๋งอยู่ เป็นอย่างนี้แล ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงประพฤติธรรมอันเป็นโคจร' ซึ๋งเป็นวิสัยอันสืบเนื่องมาจาก บิดาของตน เมื่อเธอทั้งหลายประพฤติธรรมอันเป็นโคจรซํ่งเป็นวิสัยอันสืบเนื่องมาจากบิดาของ ตน มารจะไม่ได้โอกาส จะไม่ได้อารมณ์ ภิกษุทั้งหลาย ษุญนี้ย่อมเจริญขึ้นได้อย่างนี้ เพราะการ สมาทานคุศลธรรมเป็นเหตุ เรื่องพระเจ้าจักรพรรดิทัฬหเนมิ ภิกษุทังหลาย เรื่องเคยมีมาแล้ว ได้มีพระเจ้าจักรพรรติพระนามว่าทัฬหเนมิ ผู้ทรงธรรม ครองราชย์โดยธรรม ทรงเป็นใหญ่ในแผ่นตินมีมหาสมุทรทั้งสี่เป็นขอบเขต ทรงได้รับชัยชนะ มี ราชอาณาจักรมั่นคง สมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ ได้แก่(๑) จักรแก้ว(๒) ช้างแก้ว(๓) ม้า แก้ว(๔) มณีแก้ว(๕) นางแก้ว (๖) คหบดีแก้ว(๗) ปริณายกแก้ว มีพระราชโอรสมากกว่า ๑,0๐0 องค์ซึ๋งล้วนแต่กล้าหาญ มีรูปทรงสมเป็นวีรกษัตริย์สามารถยายีราชศัตรูได้พระองค์ทรง ชนะโดยธรรม ไม่ด้องใช้อาชญา ไม่ต้องใช้ศัสตรา ครอบครองแผ่นดินนี้มีสาครเป็นขอบเขต ภิกษุทังหลาย ครังนัน เมื่อเวลาล่วงไปหลายปี หลายร้อยปี หลายพันปี พระเจ้าทัฬหเนมิ รับสั่งเรียกราชษุรูษคนหนื่งมาตรัสว่า 'ษุรูษผู้เจริญ ในขณะที่ท่านเห็นจักรแก้วอันเป็นทิพย์ถอย เคลื่อนจากที่ตัง พึงบอกแก่เราทันที' ราชบุรุษนั้นบูลรับสนองพระราชดำรัสแล้ว เมื่อเวลาล่วงไป อีกหลายปี หลายร้อยปี หลายพันปี ราชบุรุษนั้นได้เห็นจักรแก้วอันเป็นทิพย์ถอยเคลื่อนจากที่ตั้ง จึงเช้าไปเพึาท้าวเธอถึงที่ประทับ แล้วได้กราบบูลพระเจ้าจักรพรรดิพระนามว่าทัฬหเนมิตังนี้ว่า 'ขอเดชะ ได้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ขอพระองค์ทรงทราบเถิด จักรแก้วอันเป็นทิพย์ของพระองค์ ถอยเคลื่อนจากที่ตั้งแล้ว' ลำ ตับนัน ท้าวเธอรับสั่งเรียกพระคุมาร ผู้เป็นพระราชโอรสองค์ใหญ่มาตรัสว่า 'ลูกเอ๋ย ทราบว่าจักรแก้วอันเป็นทิพย์ของพ่อถอยเคลื่อนจากที่ตั้งแล้ว ก็พ่อไดํยนมาว่า 'จักรแก้วอันเป็น ทิพย์ของพระเจ้าจักรพรรติพระองค์ใดถอยเคลื่อนจากที่ตั้ง ณ บัดนี้ พระเจ้าจักรพรรดิพระองค์ นัน จะทรงพระชนม์อยู่ได้ไม่นาน' กามทั้งหลายอันเป็นของมนุษย์พ่อก็ได้บริโภคแล้ว บัดนี้เป็น 'ธรรมอันเป็นโคจร ในที่นี้หมายถึงธรรมที่เป็นอารมณ์กัมมัฎฐานของภิกบุ www.kalyanamitra.org

ธรรมซาสิโลกและ€วิต :๙๙ เวลาที่พ่อจะแสวงหากามทั้งหลายอันเป็นทิพย์ มาเถิด ลูกเอ๋ย ลูกจงปกครองแผ่นดิน อันมี มหาสบุทรเป็นขอบเขตนี้ ส่วนพ่อจะโกนผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ออกจากเรือนบวช เป็นบรรพชิต'' ภิกยุทั้งหลาย ครั้นพระเจ้าทัฬหเนมิทรงสั่งสอนพระคุมารผู้เป็นพระราชโอรสองค์ใหญ่ ในเรื่องการครองราชย์เรียบร้อยแล้ว ทรงโกนพระเกศาและพระมัสลุ[ ทรงครองผ้ากาสาวพัสตร์ เสด็จออกจากพระราชวังผนวชเป็นบรรพชิต เมื่อพระราชฤๅษีผนวชได้ ๗ วัน จักรแก้วอันเป็น ทิพย์ใด้อันตรธานไป ครั้งนั้น ราชบุรุษคนหนี้งเข้าไปเผ้ากษัตราธิราชผู้ได้รับมูรธาภิเษก^ แล้ว ถึงที่ประทับ ได้ กราบพูลดังนี้ว่า 'ขอเดชะ ใด้ผ้าละอองธุลีพระบาท ขอพระองค์ทรงทราบเถิด จักรแก้วอันเป็น ทิพย์อันตรธานไปแล้ว' ขณะนั้น เมื่อจักรแล้วอันเป็นทิพย์อันตรธานไปแล้ว ท้าวเธอทรงเสีย พระทัย ทรงแสดงความเสียพระทัยให้ปรากฏ จึงเสด็จเข้าไปหาพระราชฤๅษีถึงที่ประทับ แล้ว กราบมูลดังนี้ว่า 'ขอเดชะ ใต้ผ้าละอองธุลีพระบาท พระองค์ทรงทราบเถิด จักรแก้วอันเป็นทิพย์ อันตรธานไปแล้ว' เมื่อท้าวเธอกราบมูลอย่างนี้ พระราชฤๅษีจึงตรัสว่า 'ลูก เมื่อจักรแก้วอันเป็น ทิพย์อันตรธานไปแล้ว เจ้าอย่าเสียใจและอย่าแสดงความเสียใจให้ปรากฏเลย ด้วยว่า จักรแก้วอัน เป็นทิพย์ หาใช่เป็นทรัพย์สมทัติที่เป็นมรดกสืบมาจากบิดาของเจ้าไม่ ขอให้ลูกประพฤติ จักรวรรดิวัตรอันประเสริฐเถิด ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้แล คือ เมื่อลูกประพฤติจักรวรรดิวัตรอัน ประเสริฐ สนานพระเศียร ในวันอุโบสถ ๑๕ คร รักษาอุโบสถ ประทับอยู่ชั้นบนปราสาทหลัง งาม จักปรากฏจักรแก้วอันเป็นทิพย์ ซึ๋งมีกำ ๑,000 ซี่ มีกง มีดุม และมีส่วนประกอบครบมูก อย่าง' จักรวรรดิวัตรอันประเสริฐ 'จักรวรรดิวัตรอันประเสริฐนั้น เป็นอย่างไร พระเจ้าข้า' 'บวชเป็นบรรพชิต ในที่นี้หมายถึงบวชเป็นดาบส ซึ๋งต้องโกนฺผมและหนวดเป็นพิธีการแรก หลังจากบวชแล้วเมื่อผมงอก ขึ้นมาใหม่ ก็จะใชิวธีบุ่นผมเป็นชฎา แล้วเที่ยวไป การบวชในสมัยแรกใช้ผ้ากาสาวพัสตร์(ผ้าที่ล้อมนํ้าฝาด) ในสมัยต่อมา ใช้ผ้าเปลือกไมัก็มี ^ยูรธาภิเษก หมายถึงพิธีหลั่งนํ้ารดพระเสืยรในงานราชาภิเษก หรือพระราชพิธีอื่น ๆ www.kalyanamitra.org

ธรรมชาติโลกและ€วิต :๑๐๐ 'ลูกเอ๋ย ถ้าเช่นใfน ลูกจงอาศัยธรรม'เท่านั้น สักการะธรรม เคารพธรรม นับถือธรรม บูชา ธรรม นอบน้อมธรรม มีธรรมเป็นธงชัย มีธรรมเป็นยอด มีธรรมเป็นใหญ่ จงจัดการรักษาฟ้องกัน และคุ้มครองชนภายใน^ กำ ลังพล พวกกษัตริย์ผู้ตามเสด็จ พราหมณ์และคหบดี ชาวนิคมและชาว ชนบท สมณพราหมณ์ สัตว์จำพวกเนื้อและนกโดยธรรม การกระทำสึ๋งที่ผิดแบบแผน อย่าได้ เป็นไปในแว่นแคว้นของลูก อนื้ง บุคคลเหล่าใดในแว่นแคว้นของลูก ไม่มีทรัพย์ ลูกพึงให้ทรัพย์ แก่บุคคลเหล่านั้นด้วย อนื้ง สมณพราหมณ์เหล่าใดในแว่นแคว้นของลูก เว้นขาดจากความมัวเมา และความประมาท^ ตั้งมั่นอยู่ในขันติ(ความอดทน) และใสรัจจะ(ความเสงี่ยม) แกตน สงบตน ให้ตนดับกิเลสอยู่แต่ผู้เดียว ลูกพึงเข้าไปหาสมณพราหมณ์เหล่านั้นตามกาลอันควรแล้วไต่ถาม สอบถามว่า 'ท่านขอรับ อะไรเป็นคุศล อะไรเป็นอกุศล อะไรมีโทษ อะไรไม่มีโทษ อะไรควร เกี่ยวข้อง อะไรไม่ควรเกี่ยวข้อง อะไรที่ข้าพเจ้าทำอยู่พึงเป็นไปเพื่อไม่เกื้อกูล เพื่อทุกข์ตลอดกาล นาน หรือว่าอะไรที่ข้าพเจ้าทำอยู่ พึงเป็นไปเพื่อเถือกูล เพื่อธุ[ขดลอดกาลนาน' ครั้นลูกได้พึงจาก สมณพราหมณ์เหล่านั้นแล้ว สิ่งใดเป็นอกุศล พึงละเว้นสิ่งนั้น สิ่งใดเป็นกุศล พึงยึดถือประพฤติ สิ่งนั้นให้มั่น ลูกเอ๋ย จักรวรรดิวัตรอันประเสริฐนั้น เป็นอย่างนี้แล' การปรากฏของจักรแก้ว กิกบุทั้งหลาย กษัตราธิราชผู้ได้รับมูรธาภิเษกแล้วรับสนองพระดำรัสของพระราชฤๅษี แล้ว ทรงประพฤติจักรวรรดิวัตรอันประเสริฐ เมื่อห้าวเธอทรงประพฤติจักรวรรดิวัตรอัน ประเสริฐอยู่ สนานพระเศียร ในวันอุโบสถ ๑๕ ศร รักษาอุโบสถ ประทับอยู่ชั้นบนปราสาทหลัง งาม ปรากฎจักรแล้วอันเป็นทิพย์ ซึ๋งมีกำ ๑,000 ซี่ มีกง มีลุม และมีส่วนประกอบครบทุกอย่าง เมื่อกษัตราธิราชผู้ได้รับมูรธาภิเษกแล้ว ทอดพระเนตรแล้วทรงดำริว่า 'เราได้พึงเรื่องนี้มาว่า 'กษัตราธิราชพระองค์ใด ผู้ได้รับมูรธาภิเษกแล้ว ทรงสนานพระเศียร ในวันอุโบสถ ๑๕ ค์า 'ธรรม ในที่นี้หมายถึงคุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ คือ (๑) เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์(๒)เว้นขาดจากการถือเอาสึ๋งของที่ เว้าของเขามิไคืไป'(๓)เว้นขาดจากการประพฤติผิดในกาม (๔) เว้นขาดจากการพูดเท็จ (๕) เว้นขาดจากการพูดส่อเสียด (๖) เว้นขาดจากการพูดคำหยาบ (๗) เว้นขาดจากการพูดเฟ'อเว้อ (๘) ความไม่เพ่งเล็งอยากได้ของของเขา (๙) ความมีจิต ไม่พยาบาท (๑๐) ความเห็นชอบ ^ ชนภายใน ในที่นี้หมายถึงพระมเหสี พระราชโอรส และพระราชธิดา ^ ความประมาท ในที่นี้หมายถึงความมีจิตหมกบุ่นในกามคุณ ๕ www.kalyanamitra.org

ธรรมชาติโลกและ€รต * <{()0 รักษาอุโบสถ ประทับอยู่ชั้นบนปราสาทหลังงาม จักปรากฎจักรแก้วอันเป็นทิพย์ซึ๋งมีกำ ๑,ooo ซี่ มีกง มีลุม และมีส่วนประกอบครบทุกอย่าง กษัตราธิราชพระองค์นั้นย่อมเป็นพระเจ้า จักรพรรดิ' เราเป็นพระเจ้าจักรพรรดิกระมัง' ลำ ดับนั้น ท้าวเธอทรงลุกจากที่ประทับ ทรงพระถูษาเฉวียงปา พระหัตถ์ซ้ายทรงจับพระ เต้าทอง พระหัตถ์ขวาทรงฐจักรแก้วขึ้นตรัสว่า 'จักรแก้วอันประเสริฐจงหมุนไป จงไต้รับชัยชนะ อันยึ๋งใหญ่' ทันใดนั้น จักรแก้วหมุนไปทางทิศตะวันออก ท้าวเธอพร้อมต้วยจตุรงคินีเสนา' ไต้ เสด็จตามไป เสด็จเข้าพักแรมพร้อมต้วยจตุรงคินีเสนาในประเทศที่จักรแก้วอันเป็นทิพย์หยุดอยู่ พระราชาทั้งหลายที่เป็นปฎิป็กษ์ในทิศตะวันออก พากันเสด็จมาเฝัาแล้วกราบทูลอย่างนี้ ว่า 'ขอเดชะ มหาราชเจ้า พระองค์โปรดเสด็จมาเถิด ขอรับเสด็จพระองค์ ราชสมปติของหม่อม ฉันเป็นของพระองค์โปรดประทานพระราโชวาทเถิด พระเจ้าข้า' ท้าวเธอตรัสตอบอย่างนี้ว่า 'พวกท่านไม่พึงฆ่าสัตว์ ไม่พึงถือเอาสึ๋งของที่เจ้าของเขาไม่ไต้ ให้ ไม่พึงประพฤติผิดในกาม ไม่พึงพูดคำเท็จ ไม่พึงดื่มนั้าเมา และจงครองราชสมปติไปตามเดิม เถิด' พระราชาทั้งหลายที่เป็นปฎิป็กษ์ในทิศตะวันออกเหล่านั้นกลับอ่อนน้อมต่อท้าวเธอ ภิกษุทั้งหลาย จากนั้น จักรแก้วหมุนไปยังมหาสมุทรทิศตะวันออกแล้วกลับเวียนไปทาง ทิศใต้ ฯลฯ หมุนไปยังมหาสมุทรทิศใต้แล้วกลับเวียนไปทางทิศตะวันตก ท้าวเธอพร้อมต้วยจตุ- รงคินีเสนาไต้เสด็จตามไป เสด็จเข้าพักแรมพร้อมต้วยจตุรงดินีเสนาในประเทศที่จักรแก้วอันเป็น ทิพย์หยุดอยู่ พระราชาทั้งหลายที่เป็นปฎิฟ้กษ์ในทิศตะวันตก พากันเสด็จมาเก้าแล้วกราบทูลอย่างนี้ว่า 'ขอเดชะ มหาราชเจ้า พระองค์โปรดเสด็จมาเถิด ขอรับเสด็จพระองค์ ราชสมปติของหม่อมฉัน เป็นของพระองค์ โปรดประทานพระราโชวาทเถิด พระเจ้าข้า' 'จตุรงคินีเสนา หมายถึงกองทัพที่มีกำลัง ๔ คือ พลช้าง พลทัา พลรถ และพลเดินเทัา www.kalyanamitra.org

ธรรมชาติโลกและขํ(รต ะ ๑๐๒ ท้าวเธอตรัสตอบอย่างนี้ว่า 'พวกท่านไม่พึงฆ่าสัตว์ไม่พึงถือเอาสึ๋งฃองที่เจ้าของเขาไม่ได้ ให้ ไม่พึงประพฤติผิดในกาม ไม่พึงพูดคำเท็จ ไม่พึงดื่มนํ้าเมา และจงครองราชสมบติไปตามเติม เถิด' พระราชาทังหลายที่เป็นปฏิปักษ์ในทิศตะวันตกเหล่านั้นกลับอ่อนน้อมต่อท้าวเธอ จากน้น จักรแก้วหมุนไปยังมหาสมุทรทิศตะวันตกแล้วกลับหบุนไปทางทิศเหนือ ท้าว เธอพร้อมด้วยจตุรงคินีเสนา ได้เสด็จตามไป เสด็จเข้าพักแรมในประเทศที่จักรแก้วอันเป็นทิพย์ หยุดอยู่ พระราชาทั้งหลายที่เป็นปฏิปักษ์ในทิศเหนือพากันเสด็จมาเสืาแล้วกราบพูลอย่างนี้ว่า 'ขอเดชะ มหาราชเจ้า พระองค์โปรดเสด็จมาเถิด ขอรับเสด็จพระองค์ ราชสมบติของหม่อมฉัน เป็นของพระองค์โปรดประทานพระราโชวาทเถิด พระเจ้าข้า' ท้าวเธอตรัสตอบอย่างนี้ว่า 'พวกท่านไม่พึงฆ่าสัตว์ ไม่พึงถือเอาสิ่งของที่เจ้าของเขามิได้ ให้ ไม่พึงประพฤติผิดในกาม ไม่พึงพูดคำเท็จ ไม่พึงดื่มนั้าเมา และจงครองราชสมปติไปตามเติม เถิด' พระราชาทั้งหลายที่เป็นปฏิปักษ์ในทิศเหนือเหล่านั้นกลับอ่อนน้อมต่อท้าวเธอ ครั้งนั้น จักรแก้วได้ปราบปรามแผ่นตินมีมหาสมุทรเป็นขอบเขตอย่างราบคาบ เสร็จแล้ว หมุนกลับยังราชธานีนั้นมาปรากฎแก่พระเจ้าจักรพรรดิที่พระทวารภายในพระราชวัง ณ หน้ามุข ที่ทรงวินิจฉัยราชกิจ ทำ ภายในพระราชวังของท้าวเธอให้สว่างไสว เรื่องพระเจ้าจักรพรรดิองค์ที่ ๒ เป็นต้น ภิกมุทั้งหลาย แม้พระเจ้าจักรพรรดิองค์ที่ ๒ ฯลฯ แม้พระเจ้าจักรพรรดิองค์ที่ ๓ ฯลฯ แม้พระเจ้าจักรพรรดิองค์ที่ ๔ ฯลฯ แม้พระเจ้าจักรพรรดิองค์ที่ ๕ ฯลฯ แม้พระเจ้าจักรพรรดิองค์ที่ ๖ ฯลฯ แม้พระเจ้าจักรพรรดิองค์ที่ ๗ เมื่อเวลาล่วงไปหลายปี หลายร้อยปี หลายพันปี ได้รับสั่ง เรียกราชบุรุษคนหนี้งมาตรัสว่า 'บุรุษผู้เจริญ ในขณะที่ท่านเห็นจักรแก้วอันเป็นทิพย์ถอยเคลื่อน www.kalyanamitra.org

ธรรมชาติโลกและซิ(รต : ๑๐๓ จากที่ตั้ง พึงบอกแก่เราทันที' ราชบุรุษนั้นพูลรับสนองพระราชดำรัสแล้ว เมื่อเวลาล่วงไปอีก หลายปี หลายร้อยปี หลายพันปี ราชบุรุษนันได้เห็นจักรแล้วอันเป็นทิพย์ถอยเกลือนจากทีตัง จึง เข้าไปเล้าท้าวเธอถึงที่ประทับ แล้วได้กราบทูลพระเจ้าจักรพรรดิตังนีว่า'ขอเดชะ ได้ล้าละอองธุลี พระบาท ขอพระองค์ทรงทราบเถิด จักรแล้วอันเป็นทิพย์ของพระองค์ถอยเคลื่อนจากที่ตังแล้ว' ถิกบุทั้งหลาย ลำ ตับนั้น ท้าวเธอรับสั่งเรียกพระคุมาร ผู้เป็นพระราชโอรสองค์ใหญ่มา ตรัสว่า 'ลูกเอ๋ย ทราบว่าจักรแล้วอันเป็นทิพย์ของฟอถอยเคลื่อนจากที่ตังแล้ว ก็พ่อได้ยินมาว่า 'จักรแล้วอันเป็นทิพย์ของพระเจ้าจักรพรรดิพระองค์ใดถอยเคลื่อนจากที่ตั้ง ณ บัดนีพระเจ้า- จักรพรรดิพระองค์นั้น จะทรงพระชนม์อยู่ได้ไม่นาน' กามทั้งหลายอันเป็นของมนุษย์พ่อก็ได้ บริโภคแล้ว บัดนี้เป็นเวลาที่พ่อจะแสวงหากามทั้งหลายอันเป็นทิพย์ มาเถิด ลูกเอ๋ย ลูกจง ปกครองแผ่นดิน อันมีมหาสบุทรเป็นขอบเขตนี้ ส่วนพ่อจะโกนผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาว พัสตร์ออกจากเรือนบวช เป็นบรรพชิต ครั้นพระเจ้าจักรพรรดิทรงสั่งสอนพระคุมาร ผู้เป็นพระราชโอรสองค์ใหญ่ในเรื่องการ ครองราชย์เรียบร้อยแล้ว ทรงปลงพระเกศาและพระมัสบุ ทรงครองผ้ากาสาวพัสตร์ เสด็จออก จากพระราชวังผนวชเป็นบรรพชิต เมื่อพระราชฤๅษีผนวชได้ ๗ วัน จักรแล้วอันเป็นทิพย์ได้ อันตรธานไป ภิกบุทั้งหลาย ครั้งนั้น ราชบุรุษคนหนงเข้าไปเล้ากบัตราธิราชผู้ได้รับมูรธาภิเษกแล้วถึงที่ ประทับ ได้กราบทูลตังนี้ว่า 'ขอเดชะ ใด้ล้าละอองธุลีพระบาท ขอพระองค์ทรงทราบเถิด จักร- แล้วอันเป็นทิพย์อันตรธานไปแล้ว' ขณะนั้น เมื่อจักรแล้วอันเป็นทิพย์อันตรธานไปแล้ว ท้าวเธอ ทรงเสียพระทัย ทรงแสดงความเสียพระทัยให้ปรากฎ แต่ไม่ได้เสด็จเข้าไปหาพระราชฤๅษีทูล ถามถึงจักรวรรดิวัตรอันประเสริฐ นัยว่า ท้าวเธอทรงปกครองประชาราษฎร์ตามพระมติของ พระองค์เอง เมื่อท้าวเธอทรงปกครองประชาราษฎร์ตามพระมติของพระองค์เองอยู่ ประชาราษฎร์ก็ไม่เจริญต่อไปเหมือนเก่าก่อน เหมือนเมื่อกบัตริย์พระองค์ก่อน ๆ ซึ๋งได้ทรง ประพฤติจักรวรรดิวัตรอันประเสริฐอยู่ ครั้งนั้น ข้าราชการ ข้าราชบริพาร โหราจารย์และมหาอำมาตย์ แม่ทัพ นายกองราช- องครักษ์ องคมนตรี ได้ประชุมกันกราบทูลท้าวเธอตังนี้ว่า 'ขอเดชะ ทราบว่าเมื่อพระองค์ทรง www.kalyanamitra.org

ธรรมซาสิโลกและ€วิต :๑OC ปกครองชนบท' ตามพระมติของพระองค์เอง ประชาราษฎร์ก็ไม่เจริญต่อไปเหมือนเก่าก่อน เหมือนเมือกษัตริย์พระองค์ก่อน ๆ ชึ๋งได้ทรงประพฤติจักรวรรดิวัตรอันประเสริฐอยู่ พระเจ้าข้า ในแว่นแคว้นของพระองค์มีข้าราชการ ข้าราชบริพาร โหราจารย์ มหาอำมาตย์ แม่ทัพนายกอง ราชองครักษ์ องคมนตรีอยู่พร้อมทีเดียว ข้าพระองค์ทั้งหลายและประชาราษฎร์เหล่าอื่น จดจำ จักรวรรดิวัตรอันประเสริฐได้อยู่ ขอพระองค์โปรดตรัสถามถึงจักรวรรดิวัตรอันประเสริฐเถิด พระองค์ตรัสถามแล้ว พวกข้าพระทุทธเจ้าก็จักกราบพูลจักรวรรดิวัตรอันประเสริฐถวาย' เรื่องความเสื่อมแห่งอายูและวรรณะ เป็นต้น ภิกยูทั้งหลาย ลำดับนั้น ท้าวเธอโปรดไห้ประชุมข้าราชการ ข้าราชบริพาร โหราจารย์และ มหาอำมาตย์ แม่ทัพนายกอง ราชองครักษ์ องคมนตรี ตรัสถามถึงจักรวรรดิวัตรอันประเสริฐ พวกเขาจึงกราบพูลจักรวรรดิวัตรอันประเสริฐแก่ท้าวเธอ ท้าวเธอได้ฟังคำทูลตอบของพวกเขา แล้ว จึงทรงจัดการรักษา ษ์องกันและคุ้มครองโดยชอบธรรม แต่ไม่ได้พระราชทานทรัพย์ให้แก่ คนที่ไม่มีทรัพย์ เมื่อไม่พระราชทานทรัพย์ให้แก่คนที่ไม่มีทรัพย์ ความขัดสนจึงแพร่หลาย เมื่อ ความขัดสนแพร่หลาย บุรุษคนหนงจึงถือเอาสึ๋งของที่ผู้อื่นไม่ได้ให้โดยอาการขโมย ประชาชน ช่วยกันจับบุรุษนั้นได้แล้วนำไปถวายแก่ท้าวเธอ กราบทูลว่า 'ขอเดชะ ได้ฝ่าละอองธุลีพระบาท บุรุษคนนี้ถือเอาสึ๋งของที่ผู้อื่นไม่ได้ให้โดยอาการขโมย'เมื่อพวกเขากราบทูลอย่างนี้แล้ว ท้าวเธอ จึงตรัสถามบุรุษนั้นว่า'ทราบว่า เธอถือเอาสี๋งของที่ผู้อื่นไม่ได้ให้โดยอาการขโมยจริงหรือ' 'จริง พระเจ้าข้า' 'เพราะเหลุไร' 'เพราะข้าพระองคํไม่มีอะไรจะเลี้ยงชีพ' ลำดับนั้น ท้าวเธอจึงพระราชทานทรัพย\"ไห้แก่เขาแล้วรับสั่งว่า 'พ่อคุณ เธอจงเลี้ยงชีพ จง เลี้ยงมารดาบิดา เลี้ยงบุตรภรรยา ประกอบการงานทั้งหลาย จงทั้งทักษิณาในสมณพราหมลโ 'ชนบท ในที่นี้หมายถึงเขตปกครองที่ประกอบจัวยเมือง(นคร)หลายเมือง ตรงกับคำว่า แคว้นหรือรัฐในปัจจบัน www.kalyanamitra.org

ธรรมชาติโลกและ'^ต ะ ๑๐๕ ทั้งหลายที่ทำให้มีผลสูงขึนไป'ที่เป็นไปเพื่อให้ได้อารมณ์ดี มีสูฃเป็นผล ให้เกิดในสวรรค์^ด้วย ทรัพย์นี้เกิด' เขาได้ทูลรับสนองพระราชดำรัสแล้ว แม้บุเษอีกคนหนึ๋ง ถือเอาสึ๋งของที่ผู้อื่นไม่ได้ให้โดยอาการขโมย คนทังหลายช่วยกันจับ บุรุษนั้นได้แล้วจึงนำไปถวายแก่ท้าวเธอ กราบทูลว่า 'ขอเดชะ ได้ฝ่าละอองธุลีพระบาท บุรุษนี ถือเอาสี่งของที่ผู้อื่นไม่ได้ให้โดยอาการขโมย' เมื่อพวกเขากราบทูลอย่างนีแล้ว ท้าวเธอจึงตรัส ถามบุรุษนั้นว่า'พ่อคุณ ได้ยินว่า เธอถือเอาสึ๋งของที่ผู้อื่นไม่ได้ให้โดยอาการขโมยจริงหรือ' 'จริง พระเจ้าข้า' 'เพราะเหลุไร' 'เพราะข้าพระองคํไม่มีอะไรจะเลี้ยงชีพ' ลำ ดับนั้น ท้าวเธอจึงพระราชทานทรัพย์ให้แก่เขาแล้วรับสั่งว่า 'พ่อคุณ เธอจงเลียงชีพ จง เลี้ยงมารดาบิดา จงเลี้ยงบุตรภรรยา จงประกอบการงานทั้งหลาย จงตั้งทักษิณาในสมณพราหมณ์ ทั้งหลาย ที่ทำ ให้มีผลสูงขึ้นไป เป็นไปเพื่อไห้ได้อารมณ์ดี มีสูขเป็นผล ให้เกิดในสวรรค์ด้วย ทรัพย์นี้เกิด' เขาทูลรับสนองพระราชดำรัสแล้ว กิกบุทั้งหลาย คนทั้งหลายได้ฟังมาว่า 'ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ได้ทราบว่า คนถือเอาสิ่งของ ที่ผู้อื่นไม่ได้ให้โดยอาการขโมย พระเจ้าแผ่นดินยังพระราชทานทรัพย\"ไห้อีก' จึงพากันคิดเห็น อย่างนี้ว่า 'ทางที่ดี แม้พวกเราก็ควรถือเอาสิ่งของที่ผู้อื่นไม่ได้ให้โดยอาการขโมยบ้าง' ลำ ดับนั้น บุรุษคนหมื่งถือเอาสิ่งของที่ผู้อื่นไม่ได้ให้โดยอาการขโมย คนทั้งหลายช่วยกัน จับบุรุษนั้นได้แล้ว จึงนำไปถวายแก่ห้าวเธอ กราบทูลว่า 'ขอเดชะ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท บุรุษ 'มีผลลุ[งขึ้นไป ในที่นี้หมายถึงส่งผลไป'ไปเกิดในสวรรค์ชั้นกามาวจร ๖ คือ (๑) จาตุมหาราช(๒) ดาวดึงส์ (od) ยามา (๔)ตุสิต (๕) นิมมานรดี (๖) ปรนิมมิตวสวัตดี ^ ให้เกิดในสวรรค์ในที่นี้หมายถึงให้ได้คุณวิเศษที่ลํ้าเลิศ ๑๐ อย่าง มีผิวพรรณทิพย์ เป็นด้น www.kalyanamitra.org

ธรรมซาสิโลกและ'ฐวิต :๑๐๖ นีถือเอาสึ๋งของที่ผู้อื่นไม่ไดให้โดยอาการขโมย' เมื่อพวกเขากราบพูลอย่างนี้แล้ว ท้าวเธอจึงตรัส ถามบุรุษนั้นว่า'พ่อคุณ ได้ทราบว่า เธอถือเอาสึ๋งของที่ผู้อื่นไม่ไดํ้ไห้โดยอาการขโมยจริงหรือ' 'จริง พระเจ้าข้า' 'เพราะเหตุไร' 'เพราะข้าพระองค์ไม่มีอะไรจะเลี้ยงชีพ' ลำ ดับนัน ท้าวเธอจึงทรงพระดำริอย่างนีว่า 'ล้าเราจักไห้ทรัพย์แก่คนที่ถือเอาสิ่งของที่ ผู้อื่นไม่ไดํไห้โดยอาการขโมย อทินนาทาน (การถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ไห้) นี้ จัก แพร่หลายฃึนด้วยประการอย่างนี ทางที่ดี เราควรให้คุมดัวบุรุษผู้นี้อย่างแข็งขัน แล้วดัดด้นคอ ดัด สืรษะของบุรุษนั้นเสีย' จากนั้น ท้าวเธอทรงสั่งบังคับราชบุรุษทั้งหลายว่า 'แน่ะพนาย ล้าเช่นนั้น ท่านจงใช้เชือกเหนียว ๆ มัดบุรุษนี้ไพล่หลังอย่างแน่นหนาแล้ว โกนผมนำตระเวนไปตามถนน และตรอก พร้อมกับแกว่งบัณเฑาะว์'เสียงดังน่ากลัวนำออกทางประตูด้านทิศได้ จงคุมดัวอย่าง แข็งขัน ทำ การประหารชีวิต ดัดศีรษะบุรุษนั้นเสียทางด้านทิศได้แห่งพระนคร' ราชบุรุษ ทั้งหลายชุลรับสนองพระดำรัสแล้ว จึงใช้เชือกเหนียวมัดบุรุษนั้นเอาแขนไพล่หลังอย่างแน่น หนาแล้ว โกนผมนำตระเวนไปตามถนนและตรอกพร้อมกับแกว่งบัณเฑาะว์เสียงดังน่ากลัวนำ ออกทางประตูด้านทิศได้ คุมดัวอย่างแข็งขัน ทำ การประหารชีวิต ดัดศีรษะบุรุษนั้นทางด้านทิศ ได้แห่งพระนคร ภิกษุทั้งหลาย คนทั้งหลายได้ฟังว่า 'ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ทราบว่าพระเจ้าแผ่นดินได้คุม คัวคนผู้ถือเอาสิ่งของที่ผู้อื่นไม่ได้ไห้โดยอาการขโมยอย่างแข็งขัน ดัดด้นคอ ดัดศีรษะพวกเขา เสีย' ครั้นได้ฟังแล้วจึงมีความคิดเห็นอย่างนี้ว่า 'ทางที่ดี แม้พวกเราก็ควรไห้ช่างทำศัสตรา อย่าง คม ๆ แล้วจับคนที่ไม่ไห้สิ่งของที่พวกเราถือเอาโดยอาการขโมยคุมคัวไว้อย่างแข็งขัน จัก ประหารชีวิต ดัดศีรษะของพวกมันเสีย' พวกเขาจึงไห้ช่างทำศัสตราคม แล้วจึงเรึ๋มทำการปล้น ม้าน นิคม พระนคร ปล้นตามถนนหนทาง จับคนที่ไม่ไห้สิ่งของที่พวกตนถือเอาโดยอาการขโมย คุมดัวอย่างแข็งขัน ประหารชีวิต ดัดศีรษะของบุคคลเหล่านั้นเสีย 'บัณเฑาะว์ ในที่นี้หมายถึงกลองที่ใพใบัสัญญาณเมื่อจะประหารนักโทษ www.kalyanamitra.org

ธรรมซาสิโลกและ€วิต ะ ๑๐๗ ภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการดังพรรณนามานี เมื่อพระมหากษัตริย์ไม่พระราชทานทรัพย์ ให้แก่คนที่ไม่มีทรัพย์ ความขัคสนก็แพร่หลาย เมื่อความขัดสนแพร่หลาย อทินนาทานก็ แพร่หลาย เมื่ออทินนาทานแพร่หลาย ศัสตราก็แพร่หลาย เมื่อศัสตราแพร่หลาย ปาณาติบาต(การ ฆ่าสัตว์) ก็แพร่หลาย เมื่อปาณาติบาตแพร่หลาย คนเหล่าทั้นก็มีอายุเสือมถอยบ้าง มีวรรณะเสือม ถอยบ้าง เมื่อพวกเขามีอายุเสือมถอยบ้าง มีวรรณะเสือมถอยบ้าง บุตรของมษุษย์ที่มีอายุขัย ๘0,000ปี ก็มีอายุขัยถอยลงเหลือ ๔0,000ปี ในเมื่อมนุษย์มีอายุขัย ๔0,000 ปี บุรุษคนหนงลือเอาสึ๋งของที่ผู้อื่นไม่ได้ไห้โดยอาการ ขโมย พวกเขาช่วยกันจับบุรุษนั้นได้แล้ว จึงนำไปถวายแก่กษัตราธิราชผู้ได้รับมูรธาภิเษกแล้ว กราบมูลว่า 'ขอเดชะ ได้ฝ่าละอองธุลีพระบาท บุรุษนีลือเอาสิ่งของที่ผู้อื่นไม่ได้ให้โดยอาการ ขโมย' เมื่อพวกเขากราบมูลอย่างนี้แล้ว ท้าวเธอจึงตรัสถามบุรุษนั้นว่า 'พ่อคุณ ได้ทราบว่า เธอ ลือเอาสิ่งของที่ผู้อื่นไม่ได้ให้โดยอาการขโมย จริงหรือ' บุรุษนั้นได้กราบมูลคำเท็จนั้งที่รูอยู่ว่า 'ไม่จริงเลย พระเจ้าข้า' ภิกษุนั้งหลาย ด้วยประการดังพรรณนามานี เมื่อพระมหากษัตริย\"ไม่พระราชทานทรัพย์ ให้แก่คนที่ไม่มีทรัพย์ ความขัดสนก็แพร่หลาย เมื่อความขัดสนแพร่หลาย อทินนาทานก็ แพร่หลาย เมื่ออทินนาทานแพร่หลาย ศัสตราก็แพร่หลาย เมื่อศัสตราแพร่หลาย ปาณาติบาตก็ แพร่หลาย เมื่อปาณาติบาตแพร่หลาย มูสาวาท (การพูดเท็จ) ก็แพร่หลาย เมื่อมุสาวาทแพร่หลาย คนเหล่านั้นก็มีอายุเสือมถอยบ้าง มีวรรณะเสือมถอยบ้าง เมื่อพวกเขามีอายุเสือมถอยบ้างมี วรรณะเสือมถอยบ้าง บุตรของมนุษย์ที่มีอายุขัย ๔0,000 ปี ก็มีอายุขัยถอยลงเหลือ ๒0,000 ปี ในเมื่อมนุษย์มีอายุขัย ๒0,000 ปี บุรุษคนหนงถือเอาสิ่งของที่ผู้อื่นไม่ได้ให้โดยอาการขโมย บุรุษอีกคนหนงจึงกราบมูลกษัตราธิราชผู้ได้รับมูรธาภิเษกแล้วว่า 'ขอเดชะได้ฝ่าละอองธุลีพระ- บาท บุรุษชื่อนี้ถือเอาสิ่งของที่ผู้อื่นไม่ได้ให้โดยอาการขโมย' ชื่อว่าได้กระทำการส่อเลียด ภิกษุนั้งหลาย ด้วยประการดังพรรณนามานี้ เมื่อพระมหากษัตริย์ไม่พระราชทานทรัพย์ ให้แก่คนที่ไม่มีทรัพย์ ความขัดสนก็แพร่หลาย เมื่อความขัดสนแพร่หลาย อทินนาทานก็ แพร่หลาย เมื่ออทินนาทานแพร่หลาย ศัสตราก็แพร่หลาย เมื่อศัสตราแพร่หลาย ปาณาติบาตก็ แพร่หลาย เมื่อปาณาติบาตแพร่หลาย มุสาวาทก็แพร่หลาย เมื่อมุสาวาทแพร่หลาย ปีสุณาวาจา www.kalyanamitra.org

ธรรมชาติโลกและขํ(รต :๑๐ (การพูดส่อเสียด) ก็แพร่หลาย เมือปีสุณาวาจาแพร่หลาย คนเหล่านั้นก็มือายุเสื่อมถอยบ้าง มื วรรณะเสีอมถอยบ้าง เมือพวกเขามือายุเสีอมถอยบ้าง มืวรรณะเสีอมถอยบ้าง บุตรของมนุษย์ที่มี อายุขัย ๒๐,000ปี ก็มีอายุขัยถอยลงเหลือ ๑๐,000ปี ในเมื่อมนุษย์มีอายุขัย ๑๐,๐๐๐ปี มนุษย์บางพวกมีวรรณะดี บางพวกมีวรรณะไม่ดี พวกที่ มีวรรณะไม่ดี ก็เพ่งเล็งพวกที่มีวรรณะดี ประพฤติล่วงละเมิดในภรรยาของคนอื่น ภิกษุทังหลาย ด้วยประการดังพรรณนามานี เมื่อพระมหากษัตริย์ไม่พระราชทานทรัพย์ ให้แก่คนที่ไม่มีทรัพย์ ความขัดสนก็แพร่หลาย เมื่อความขัดสนแพร่หลาย อทินนาทานก็ แพร่หลาย เมื่ออทินนาทานแพร่หลาย ฯลฯ กาเมสุมิจฉาจาร (การประพฤติผิดในกาม) ก็ แพร่หลาย เมือกาเมสุมิจฉาจารแพร่หลาย คนเหล่านั้นก็มิอายุเสื่อมถอยบ้าง มีวรรณะเสื่อมถอย บ้าง เมื่อพวกเขามีอายุเสื่อมถอยบ้างมีวรรณะเสื่อมถอยบ้าง บุตรของมนุษย์ที่มีอายุขัย๑๐,๐๐๐ ปี ก็มีอายุขัยถอยลงเหลือ ๕,๐๐๐ปี ภิกษุทังหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุขัย ๕,๐๐๐ ปี ธรรม ๒ ประการ คือ ผเสวาจา(การพูด คำ หยาบ) และสัมผัปปลาปะ (การพูดเพ้อเจ้อ) ก็แพร่หลายเมื่อธรรม ๒ ประการแพร่หลาย คน เหล่านันก็มือายุเสีอมถอยบ้าง มิวรรณะเสื่อมถอยบ้าง เมื่อพวกเขามีอายุเสื่อมถอยบ้าง มีวรรณะ เสื่อมถอยบ้าง บุตรของมนุษย์ที่มีอายุขัย ๕,๐๐๐ ปี บางพวกก็มีอายุขัยถอยลงเหลือ ๒,๕๐๐ ปี บางพวกก็มีอายุขัยถอยลงเหลือ ๒,๐๐๐ ปี ภิกษุทังหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุขัย ๒,๕๐๐ ปี อภิชฌา (ความเพ่งเล็งอยากได้ของของ เขา) และพยาบาท(ความคิดร้าย) ก็แพร่หลาย เมื่ออภิชฌา และพยาบาทแพร่หลาย คนเหล่านั้น ก็มือายุเสีอมถอยบ้าง มิวรรณะเสีอมถอยบ้าง เมื่อพวกเขามีอายุเสื่อมถอยบ้าง มีวรรณะเสื่อมถอย บ้าง บุตรของมนุษย์ที่มีอายุขัย ๒,๕๐๐ปี ก็มีอายุขัยถอยลงเหลือ ๑,๐๐๐ ปี ภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุขัย ๑,๐๐๐ ปี มิจฉาทิฎเ (ความเห็นผิด) ก็แพร่หลาย เมือมิจฉาทิฎฐิแพร่หลาย คนเหล่านั้นก็มือายุเสื่อมถอยบ้าง มีวรรณะเสื่อมถอยบ้าง เมื่อพวกเขามี อายุเสื่อมถอยบ้าง มีวรรณะเสื่อมถอยบ้างบุตรของมนุษย์ที่มีอายุขัย ๑,๐๐๐ ปี ก็มีอายุขัยถอยลง เหลือ๕๐๐ปี www.kalyanamitra.org

ธรรมซาสิโลกและขิ(วิต ะ ๑๐๙ ภิกชุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุขัย ๕00 ปี ธรรม 0) ประการ คือ อธัมมราคะ' วิ- สมโลภะ^ และมิจฉาธรรม^ ก็แพร่หลาย เมื่อธรรม ๓ ประการแพร่หลาย คนเหล่านันก็มิอายุเสือม ถอยบ้าง มิวรรณะเสื่อมถอยบ้าง เมื่อพวกเขามีอายุเสื่อมถอยบ้าง มีวรรณะเสื่อมถอยบ้าง บุตร ของมนุษย์ที่มีอายุขัย ๕00ปี บางพวกก็มีอายุขัยถอยลงเหลือ ๒๕0ปี บางพวกก็มีอายุขัยถอยลง เหลือ ๒00ปี ในเมื่อมนุษย์มีอายุขัย ๒๕0 ปี ธรรมเหล่านี คือ ความไม่เกือถูลมารดา ความไม่เกือกูล บิดา ความไม่เกื้อกูลสมณะ ความไม่เกื้อกูลพราหมลเ และการไม่ประพฤติอ่อนน้อมต่อท่าน ผู้ใหญ่ในดระกูล ก็แพร่หลาย ภิกบุทั้งหลาย ด้วยประการดังพรรณนามานี้ เมื่อพระมหากษัดริย\"ไม่พระราชทานทรัพย์ ให้แก่คนที่ไม่มีทรัพย์ ความขัดสนก็แพร่หลาย เมื่อความขัดสนแพร่หลาย อทินนาทานก็ แพร่หลาย เมื่ออทินนาทานแพร่หลาย ศัสดราก็แพร่หลาย เมื่อศัสดราแพร่หลาย ปาณาติบาดก็ แพร่หลาย เมื่อปาณาติบาดแพร่หลาย มุสาวาทก็แพร่หลาย เมื่อมุสาวาทแพร่หลาย ปีลุ[ณาวาจาก็ แพร่หลาย เมื่อปิธุ[ณาวาจาแพร่หลาย กาเมสุมิจฉาจารก็แพร่หลาย เมื่อกาเมสุมิจฉาจารแพร่หลาย ธรรม ๒ ประการ คือ ผรุสวาจา และสัมผัปปลาปะก็แพร่หลาย เมื่อธรรม ๒ ประการแพร่หลาย อภิชฌาและพยาบาทก็แพร่หลาย เมื่ออภิชฌาและพยาบาทแพร่หลาย มิจฉาทิฏเก็แพร่หลาย เมื่อ มิจฉาทิฎฐิแพร่หลาย ธรรม ๓ ประการ คือ อธัมมราคะ ริสมโลภะ และมิจฉาธรรมก็แพร่หลาย เมื่อธรรม ๓ ประการแพร่หลาย ธรรมเหล่านี้ คือ ความไม่เกือกูลมารดา ความไม่เคือกูลบิดา ความไม่เกื้อกูลสมณะ ความไม่เกื้อกูลพราหมถเ และการไม่ประพฤติอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ใน ดระกูลก็แพร่หลาย เมื่อธรรมเหล่านี้แพร่หลาย คนเหล่าทั้นก็มีอายุเสื่อมถอยบ้าง มีวรรณะเสื่อม ถอยบ้าง เมื่อพวกเขามีอายุเสื่อมถอยบ้าง มีวรรณะเสื่อมถอยบ้าง บุดรของมนุษย์ที่มีอายุขัย ๒๕0 ปี ก็มีอายุขัยถอยลงเหลือ ๑00ปี 'อธัมมราคะ แปลว่า ความกำหนัดที่ผิดธรรม หมายถึงความกำหนัดในบุคคลที่ไม่สมควรกำหนัด เช่น แม่ พ่อ ^วิสมโลภะ แปลว่า ความโลภจัด หมายถึงความโลภที่เนแรงในฐานะแนัที่ควรจะไส์' ^ มิจฉาธรรม แปลว่า ความกำหนัดผิดธรรมชาติ หมายถึงความกำหนัดที่ชายมีต่อชาย และที่^หญิงมีต่อสุหญิง www.kalyanamitra.org

ธรรมซาสิโลกและ'ป็วิต ะ ๑C)๑๐ สมัยที่คฬมือา^ขัย ๑๐tl ภิกยุทังหลาย จักมีสมัยที่มีบุตรของมนุษย์เหล่านีมีอายุขัย ๑0ปี ในเมื่อมนุษย์มีอายุขัย ๑๐ ปี เด็กหญิงอายุ ๕ ปี ก็มีสามีได้ ในเมื่อมนุษย์มีอายุขัย ๑๐ ปี รสเหล่านี้ คือ เนยใส เนยข้น นํ้ามัน นำ ผึ้ง นำ อ้อย และเกลือ จักอันตรธานไปสิน ในเมื่อมนุษย์มีอายุขัย ๑๐ ปี หญ้ากับแก้จักเป็น อาหารอย่างดี ภิกบุทังหลาย ข้าวสาลี เนื้อ และข้าวสุก เป็นอาหารอย่างดีในบัดนี้ ฉันใด ในเมื่อ มนุษย์มีอายุขัย๑๐ ปี หญ้ากับแก้ก็จักเป็นอาหารอย่างดี ฉันนั้น ในเมือมนุษย์มีอายุขัย ๑๐ ปี กุศลกรรมบถ ๑๐ จักอันตรธานไปหมดสิ้น อกุศลกรรมบถ ๑๐ จักเจริญรุ่งเรืองเหลือเกิน ในเมื่อมนุษย์มีอายุขัย ๑๐ ปี แม้แต่ชื่อว่ากุศลก็จักไม่มี และคนที่ทำ กุศลจักมีแต่ที่ไหน ในเมื่อมนุษย์มีอายุขัย ๑๐ ปี มนุษย์ทั้งหลายที่ไม่เกื้อกูลมารดา ไม่เกื้อกูลบิดา ไม่เกื้อกูลสมณะ ไม่เกื้อกูลพราหมณ์ และไม่ประพฤติอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ในตระกูล ก็จักได้รับ การบุชาและได้รับการสรรเสริญ ภิกบุทั้งหลาย คนที่เกื้อกูลมารดา เกื้อกูลบิดา เกื้อกูลสมณะ เคือกูลพราหมณ์ และประพฤติอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ในตระกูล ได้รับการบุชาและได้รับการ สรรเสริญในบัดนี ฉันใด ในเมื่อมนุษย์มีอายุขัย ๑๐ ปี มนุษย์ทั้งหลายที่ไม่เกื้อกูลมารดา ไม่ เกือกูลบิดา ไม่เกื้อกูลสมณะ ไม่เกือกูลพราหมณ์และไม่ประพฤติอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ในตระกูล ก็ จักได้รับการบุชาและได้รับการสรรเสริญ ฉันนั้น ในเมื่อมนุษย์ทั้งหลายมีอายุขัย ๑๐ ปี พวกเขาจักไม่มีจิดคิดเคารพยำเกรงว่า 'แม่' ว่า 'ป็า น้า' ว่า 'ฟ้าสะใภ้น้าสะใภ้' ว่า 'ภรรยาของอาจารย์' หรือว่า 'ภรรยาของครู' สัตว์โลกจักถึงความ สมสู่ปะปนกันหมด เป็นเสมือน แพะ แกะ ไก่ สุกร สุนัขบ้าน และสุนัขจิ้งจอก ฉะนั้น ในเมื่อมนุษย์มีอายุขัย ๑๐ ปี มนุษย์เหล่านั้นก็จัณคิดความอาฆาต'อย่างแรงกล้า ความ พยาบาท^อย่างแรงกล้า ความคิดร้ายแห่งใจอย่างแรงกล้า ความคิดจะฆ่ากันอย่างแรงกล้า มารดา กับบุตรก็ดี บุตรกับมารดาก็ดี บิดากับบุตรก็ดี บุตรกับบิดาก็ดี พี่ชายน้องชายกับพี่สาวน้องสาวก็ดี พี่สาวน้องสาวกับพี่ชายน้องชายก็ดี จักเกิดความอาฆาตอย่างแรงกล้า ความพยาบาทอย่างแรงกล้า ความคิดร้ายแห่งใจอย่างแรงกล้า ความคิดจะฆ่ากันอย่างแรงกล้า ภิกบุทั้งหลาย นายพรานเนื้อ 'ความอาฆาต หมายถึงความโกรธที่ทำใขัผูกใจเจ็บ ^ความพยาบาท หมายถึงความโกรธที่ทำใทํ'ประโยชน์อุ[ขทั้งของตนทั้งของคนอื่นพินาศ www.kalyanamitra.org

ธรรมชาติโลกและ€วิต : QQ G!) เห็นเนื้อเข้า เกิดความอาฆาตอย่างแรงกล้า ความพยาบาทอย่างแรงกล้า ความคิดร้ายแห่งใจอย่าง แรงกล้า ความคิดจะฆ่ากันอย่างแรงกล้า ฉันใด ในเมื่อมนุษย์ทั้งหลายมีอายุขัย ๑๐ ปี มนุษย์ เหล่านั้นจักเกิดความอาฆาตอย่างแรงกล้า ความพยาบาทอย่างแรงกล้า ความคิดร้ายแห่งใจอย่าง แรงกล้า ความคิดจะฆ่ากันอย่างแรงกล้า มารดากับบุตรก็ดี บุตรกับมารดาก็ดี บิดากับบุตรก็ดี บุตรกับบิดาก็ดี พี่ชายน้องชายกับพี่สาวน้องสาวก็ดี พี่สาวน้องสาวกับพี่ชายน้องชายก็ดี จักเกิด ความอาฆาตอย่างแรงกล้า ความพยาบาทอย่างแรงกล้า ความคิดร้ายแห่งใจอย่างแรงกล้า ความคิด จะฆ่ากันอย่างแรงกล้า ฉันนั้น กิกบุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุขัย ๑๐ ปี จักมีสัตถันตรกัป'ตลอด ๗ วัน มนุษย์เหล่านั้น จักเกิดความเข้าใจในกันและกันว่าเป็นเนื้อ ศัสตราทั้งหลายอันคมกริบจักปรากฏในมือของพวก เขา พวกเขาจักใช้ศัสตราอันคมกริบ ฆ่ากันเองด้วยเข้าใจว่า 'นี้เป็นเนื้อ นี้เป็นเนื้อ' ครั้งนั้น มนุษย์เหล่านั้นบางพวก มีความคิดอย่างนี้ว่า 'พวกเราอย่าฆ่าใคร ๆ และใคร ๆ ก็ อย่าฆ่าพวกเรา ทางที่ดี เราควรเข้าไปตามป่าหญ้า สุมทุมพุ่มไม้ ป่าไม้ เกาะกลางแม่นั้า หรือซอก เขา ใช้รากไม้และผลไม่ในป่าเป็นอาหารเลี้ยงชีพ' พวกเขาจึงพากันเข้าไปตามป่าหญ้า สุมทุมพุ่ม ไม้ ป่าไม้ เกาะกลางแม่นั้าหรือชอกเขา ใช้รากไม้และผลไม่ในป่าเป็นอาหารเลี้ยงชีพอยู่ตลอด ๗ วัน เมื่อล่วงไป ๗ วัน พวกเขาพากันออกจากป่าหญ้า สุมทุมพุ่มไม้ ป่าไม้ เกาะกลางแม่นั้า หรือ ซอกเขา แล้วต่างสวมกอดกันและกัน ขับร้องปลอบใจกันในที่ประชุมว่า 'ท่านผู้เจริญทั้งหลาย เราพบเห็นกันแล้ว ท่านยังมีชีวิตอยู่ เราพบเห็นกันแล้ว ท่านยังมีชีวิตอยู่' เรื่องความเจริญด้วยอายุและวรรณะ เป็นด้น ภิกบุทั้งหลาย ลำ ดับนั้น มนุษย์เหล่านั้นจักปรึกษากันอย่างนี้ว่า 'พวกเราสูญสิ้นญาติ มากมายเช่นนี้ เพราะยึดถืออกุศลธรรมเป็นเหตุ ทางที่ดี พวกเราควรทำกุศล ควรทำกุศลอย่างไรดี ทางที่ดี พวกเราควรงดเว้นจากปาณาติบาต (การฆ่าสัตว์) ควรสมาทานประพฤติกุศลธรรมนี้' แล้วจึงพากันงดเว้นจากปาณาติบาต สมาทานประพฤติกุศลธรรมนี้ เพราะสมาทานกุศลธรรมเป็น ^ สัตถันตรกัป แปลว่าอันตรกัปพินาศเพราะศัสตรา เป็นชื่ออันตรกัป (กัประหว่าง) ๑ ใน ๓ อันตรกัป ซึ๋งเปีนกัปย่อย ของสังวัฎฎกัป(กัปเสือม) มักเรียกกันสัน ๆ ว่ากัปพินาศ อีก ๒ กัป คือ (๑) ทุพภิกฃันตรกัป(กัปพินาศเพราะข้าวยาก หมากแพง)(๒) โรคันฃันตรกัป (กัปพินาศเพราะโรค) คำ ว่า กัป ในที่นี้เปีนคำย่อของคำว่า \"กัปพินาศ\" www.kalyanamitra.org

ธรรมซาสืโลกและ€วิต ะ ๑๑๒ เหตุ พวกเขาจักเจริญด้วยอายุบ้าง เจริญด้วยวรรณะบ้าง เมื่อพวกเขาเจริญด้วยอายุบ้าง เจริญด้วย วรรณะบ้าง บุตรของมนุษย์ทั้งหลายที่มีอายุขัย๑๐ปี จักมีอายุขัยเพึ๋มขึ้นเป็น ๒๐ปี ลำ ดับนัน มนุษย์เหล่านันจักปรึกษากันอย่างนีว่า 'พวกเราเจริญด้วยอายุบ้าง เจริญด้วย วรรณะบ้าง เพราะสมาทานยุศลธรรมเปีนเหตุ ทางที่ดี พวกเราควรทำคุศลธรรมยึ๋ง ๆ ขึ้นไป ควร ทำ คุศลอย่างไรบ้าง พวกเราควรงดเว้นจากอทินนาทาน (การถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้!ห้) ควรงดเว้นจากกาเมยุมิจฉาจาร (การประพฤติผิดในกาม) ควรงดเว้นจากมุสาวาท (การพูดเท็จ) ควรงดเว้นจากปียุณาวาจา(การพูดส่อเสียด) ควรงดเว้นจากผเสวาจา(การพูดคำหยาบ) ควรงด เว้นจากสัมผัปปลาปะ (การพูดเพ้อเจ้อ) ควรละอภิชฌา (ความเพ่งเล็งอยากได้ของของเขา) ควร ละพยาบาท (ความคิดร้ายผู้อื่น) ควรละมิจฉาทิฎเ(ความเห็นผิด) ควรละธรรม ๓ ประการ คือ อธัมมราคะ วิสมโลภะ และมิจฉาธรรม ทางที่ดี พวกเราควรเกื้อถูลมารดา ควรเกื้อถูลบิดา ควร เกื้อถูลสมณะ ควรเถือถูลพราหมณ์ และควรประพฤติอ่อนน้อมต่อ^หญ่ในตระกูล ควรสมาทาน ประพฤติกูศลธรรมนี้ ดังนี้ เขาเหล่านั้นจักเกื้อกูลมารดา เกื้อกูลบิดา เกื้อกูลสมณะ เกื้อกูล พราหมณ์และประพฤติอ่อนน้อมต่อผู้!หญ่ในตระกูล จักสมาทานประพฤติกุศลธรรมนี เพราะสมาทานกุศลธรรมเป็นเหตุ พวกเขาจักเจริญด้วยอายุบ้าง จักเจริญด้วยวรรณะบ้าง เมื่อพวกเขาเจริญด้วยอายุบ้าง เจริญด้วยวรรณะบ้าง บุตรของมนุษย์ที่มีอายุขัย ๒๐ ปี จักมีอายุขัย เพึ๋มขึ้นเป็น ๔๐ ปี บุตรของมนุษย์^อายุขัย ๔๐ ปี จักมีอายุขัยเพิ่มขึ้นเป็น ๘๐ ปี บุตรของมนุษย์ ^อายุขัย ๘๐ ปี จักมีอายุขัยเพิ่มขึ้นเป็น ๑๖๐ ปี บุตรของมนุษย์^อายุขัย ๑๖๐ ปี จักมีอายุขัย เพิ่มฃึนเป็น ๓๒๐ ปี บุตรของมนุษย์^อายุขัย ๓๒๐ ปี จักมีอายุขัยเพิ่มขึ้นเป็น ๖๔๐ ปี บุตรของ มนุษย์^อายุขัย ๖๔๐ ปี จักมีอายุขัยเพิ่มขึ้นเป็น ๒,๐๐๐ ปี บุตรของมนุษย์ผู้มีอายุขัย ๒,๐๐๐ ปี จักมีอายุขัยเพิ่มขึนเป็น ๔,๐๐๐ ปี บุตรของมนุษย์^อายุขัย ๔,๐๐๐ ปี จักมีอายุขัยเพิ่มขึ้นเป็น ๘,๐๐๐ปี บุตรของมนุษย์ผู้มีอายุขัย ๘,๐๐๐ปี จักมีอายุขัยเพิ่มขึ้นเป็น ๒๐,๐๐๐ปี บุตรของมนุษย์ ผู้มีอายุขัย ๒๐,๐๐๐ ปี จักมีอายุขัยเพิ่ม่ขึ้นเป็น ๔๐,๐๐๐ ปี บุตรของมนุษย์ผู้มีอายุขัย ๔๐,๐๐๐ ปี จักมีอายุขัยเพิ่มขืนเป็น ๘๐,๐๐๐ ปี เมื่อมนุษย์มีอายุขัย ๘๐,๐๐๐ ปี เด็กหญิงมีอายุ ๕๐๐ ปี จึงจัก สมควรมีสามีได้ www.kalyanamitra.org

ธรรมชาติโลกและ^ต ะ:๑๑๓ ความอุฟ้ติของพระราชาพระนามว่าสังขะ ภิกษุใางหลาย เมื่อมนุษย์มีอายุขัย ๘0,000 ปี จักมีอาพาธ (๓ อย่าง คือ (๑) อิจฉา' (๒) อนสนะ^(๓) ชรา เมื่อมนุษย์มีอายุขัย ๘0,000 ปี ชมพูทวีปนี้จักมั่งคั่งอุดมสมบูรณ์ บ้าน นิคม และราชธานีมีทุกระยะชั่วไก่บินตก^ เมื่อมนุษย์มีอายุขัย ๘0,000 ปี ชมพูทวีปนี จักลูประหนง อเวจีนรกที่แออัดยัดเยียดไปด้วยผู้คนทั้งหลาย เหมือนป่าไม้อ้อ หรือป่าไม้แก่น ฉะนั้น เมื่อมนุษย์ มีอายุขัย ๘0,000 ปี กรุงพาราณสีนี้ จักเป็นราชธานีนามว่ากรุงเกตุมดี เป็นเมืองที่มั่งคั่งอุดม สมบูรณ์ มีพลเมืองมาก มีประชากรอับคั่ง และมีภักษาหารสมบูรณ์'' เมื่อมนุษย์มีอายุ๘0,000 ปี ในชมพูทวีปนี้ จักมีเมือง ๘๔,000 เมือง มีกรุงเกตุมดีราชธานีเป็นเมืองเอก เมื่อมนุษย์มีอายุขัย ๘0,000ปี จักมีพระเจ้าจักรพรรดิพระนามว่าสังฃะทรงอุบิติขึ้น ณ กรุงเกตุมดีราชธานี เป็นผู้ทรง ธรรม ครองราชย์โดยธรรม ทรงเป็นใหญ่ไนแผ่นดิน มีมหาสนุทรทั้งสี่เป็นขอบเขต ทรงได้รับชัย ชนะ มีราชอาณาจักรมั่นคง สมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ ได้แก่(๑) จักรแก้ว(๒) ช้างแก้ว (๓) ม้าแก้ว (๔) มณีแก้ว(๕) นางแก้ว (๖) คหบดีแก้ว(๗) ปริณายกแก้ว มีพระราชโอรส มากกว่า ๑,000 องค์ ซึ๋งล้วนแต่กล้าหาญ มีรูปทรงสมเป็นวีรกษัตริย์ สามารถย์ายีราชศัตรูได้ พระองค์ทรงชนะโดยธรรม ไม่ด้องใช้อาชญา ไม่ด้องใช้ศัสตรา ครอบครองแผ่นดินนี้มีสาครเป็น ขอบเขต การเสด็จอุฟ้ติแห่งพระพุทธเจ้าพระนามว่าเมตไตรย ภิกษุทั้งหลาย เมื่อมนุษย์มีอายุขัย ๘0,000 ปี พระ^พระภาคพระนามว่าเมตไตรย จัก เสด็จอุบิตขึ้นในโลก พระองค์เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้ด้วยพระองค์เองโดยชอบ เพียบพร้อมด้วย วิชชาและจรณะ เสด็จไปดี รู้แจ้งโลก เป็นสารถีแกผู้ที่ควรปีกได้อย่างยอดเยี่ยม เป็นศาสดาของ 'อิจฉา ในที่นี้หมายถึงตัณหาที่ทำให้เกิดคำพูดอย่างนี้ว่า 'ท่านจงให้อาหารแก่เรา' ^อนสนะ ในที่นี้หมายถึงความเฉื่อยชาทางกาย'ของ^นอาหารอี๋มแล้วต้องการจะนอนเพราะเมาอาหาร 'มีทุกระยะ'ชั่วไก่บินตก ในที่นี้หมายถึงระยะห่างจากห้านหนี้งถึงบ้านหนึ๋ง คำ นวณจากการบินของไก่ คือ ในเมืองนี้ ไก่ สามารถบินจากหลังคาบ้านหลังหนี้งไปลงหลังคาบ้านหลังหนี้งไต้ซํ่งแสดงว่ามีบ้านเรือนหนาแน่น จนไก่บินถึงกันไต้ ''มีภักษาหารสมพูรณ์ ในที่นี้หมายถึงสมพูรณ์ด้วยอาหารที่ควรเคี้ยวและอาหารที่ควรบริโภค www.kalyanamitra.org

ธรรมซาสิโลกและ€เรต * (^(^(ST เทวดาและมนุษย์ทังหลายเป็นพระพุทธเจ้า เป็นพระ^พระภาค' เหมือนตถาคตอุบิติขึ้นในโลก ในบัคนี เป็นพระอรหันต์ตรัสรู้ด้วยตนเองโดยชอบ เพียบพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดี รู้ แจ้งโลก เป็นสารถีแกผู้ที่ควรแกได้อย่างยอดเยี่ยม เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทงหลาย เป็น พระพุทธเจ้า เป็นพระ^พระภาค พระ^พระภาคพระนามว่าเมตไตรยพระองค์ใทั้เ จักทรงรู้แจ้งโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลกและหนุ่สัตว์ พร้อมทังสมณพราหมลเ เทวดาและมนุษย์ด้วยพระองค์เองแล้ว ทรงประกาศให้ผู้อื่นรู้ตามเหมือนตถาคตในบัดนี้ รู้แจ้งโลกนี้ พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหม- โลก และหนุ่สัตว์ พร้อมทังสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ด้วยตนเองแล้ว ประกาศให้ผู้อื่นรู้ ตามอยู่ พระ^พระภาคพระนามว่าเมตไตรยพระองค์นั้น จักทรงแสดงธรรมอันมีความงามใน เมืองด้น มีความงามในท่ามกลาง และมีความงามในที่สุด ประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ และพยัญชนะ บริสุทธบรินุรณ์ครบล้วน เหมือนตถาคตในบัดนี้ แสดงธรรมอันมีความงามใน เมืองด้น มีความงามในท่ามกลางและมีความงามในที่สุด ประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ และพยัญชนะบริสุทธิ้บริบูรณ์ครบล้วน พระองค์จักทรงบริหารภิกษุสงฆ์หลายพันรูป เหมือน ตถาคตบริหารภิกษุสงฆ์หลายร้อยรูปในบัดนี้ ฉะนั้น ภิกษุทังหลาย ครั้งทั้น พระเจ้าสังขะ จักรับสั่งให้ยกปราสาทที่พระเจ้ามหาปนาทะโปรด ให้สร้างไว้ แล้วประทับอยู่ ทรงสละบำเพ็ญทานแก่สมณพราหมณ์ คนกำพร้า คนเดินทาง วณิพก และยาจกทั้งหลาย จักทรงปลงพระเกศาและพระมัสสุ ทรงครองผ้ากาสาวพัสตร์ เสด็จออกจาก พระราชวังผนวชเป็นบรรพชิตในสำนักของพระ^พระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนาม ว่าเมตไตรย ท้าวเธอผนวชแล้วไม่นานอย่างนี ทรงหลีกไปอยู่ผู้เดียว ไม่ประมาทมีความเพียร อุทิศกายและใจอยู่ ไม่นานนัก ก็ทำ ให้แจ้งประโยชน์อันยอดเยี่ยมอันเป็นที่สุดแห่งพรหมจรรย์ที่ 'ชื่อว่าฟ้นพระ^พระภาคเพราะ(๑)ทรงมีโชค(๒)ทรงทำลายช้าศึกคือกิเลส(๑))ทรงประกอบช้วยภคธรรม ๖ ประการ (คือ ความเป็นใหญ่เหนือจิตของตน, โลกุตตรธรรม, ยศ, สิริ, ความสำเร็จประโยชน์ตามช้องการ และความเพียร) (๔) ทรงจำแนกแจกแจงธรรม (๕) ทรงเสพอริยธรรม (๖) ทรงคลายตัณหาในภพทั้ง ๓ (๗) ทรงเป็นที่เคารพของชาวโลก (๘) ทรงอบรมพระองค์ดีแช้ว (๙) ทรงมีส่วนแห่งป็จจัย ๔ เป็นตัน อนึ๋ง พระทุทธคุณนี ท่านแห่งเป็น ๑๐ ประการ โดยแยกช้อ ๖ เป็น ๒ ประการ คือ (๑) เป็นผู้ยอดเยี่ยม (๒)เป็นสารถี ■ฝึกผู้ที่ควร■ฝึกใช้ www.kalyanamitra.org

ธรรมซาสืโลกและ€วิต :๑๑๕: เหล่ากุลบุตรผู้ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบต้องการด้วยพระปัญญาอันยิ่งเองเข้าถึงอยู่ ในปัจชุบันอย่างแน่แท้ ภิกบุใางหลาย เธอทั้งหลายจงมีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ๋ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ๋ง จงมีธรรม เป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ๋งอยู่เถิด ภิกษุมีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ๋ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พง มีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ๋ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พงอยู่ เป็นอย่างไร คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ๑) พิจารณาเห็นกายในกายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำ จัดอภิชฌาและโทมนัสในโลก ๒)พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำ จัดอภิชฌาและ โทมนัสในโลก ๓)พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำ จัด อภิชฌาและโทมนัสในโลก ๔)พิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำ จัดอภิชฌาและ โทมนัสในโลก ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุมีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ๋ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ๋ง มีธรรมเป็นเกาะ มี ธรรมเป็นที่พึ๋ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พงอยู่ เป็นอย่างนี้แล เรื่องความเจริญด้วยอายุและวรรณะ เป็นด้น ของภิกษุ ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงประพฤติธรรมอันเป็นโคจร ซึ๋งเป็นวิสัยอันสืบเนื่องมาจาก บิดาของตน เมื่อเธอทั้งหลายประพฤติธรรมอันเป็นโคจร ชงเป็นวิสัยอันสืบเนื่องมาจากบิดาของ ตน จักเจริญด้วยอายุบ้าง จักเจริญด้วยวรรณะบ้าง จักเจริญด้วยสุขะบ้าง จักเจริญด้วยโภคะบ้าง จักเจริญด้วยพละบ้าง ในเรื่องอายุของภิกษุ มีคำ อธิบาย อย่างไร คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ๑) เจริญอิทธิบาทอันประกอบด้วยฉันทสมาธิปธานสังขาร (สมาธิที่ เถิดจากฉันทะและความ เพียรสร้างสรรค์) www.kalyanamitra.org

ธรรมชาติโลกและขิ(รต I (q)Qa) ๒)เจริญอิทธิบาทอันประกอบด้วยวิริยสมาธิปธานสังขาร (สมาธิที่ เกิดจากวิริยะและความเพียร สร้างสรรค์) ๓)เจริญอิทธิบาทอันประกอบด้วยจิตตสมาธิปธานสังขาร(สมาธิที่ เกิดจากจิตตะและความเพียร สร้างสรรค์) ๔)เจริญอิทธิบาทอันประกอบด้วยวิมังสาสมาธิปธานสังขาร (สมาธิที่ เกิดจากวิมังสาและความ เพียรสร้างสรรค์) เพราะเชริญ ทำ อิทธิบาท ๔ ประการนื้!หมาก เมื่อมุ่งหวัง เธอจะพึงดำรงอยู่ได้ ๑ กัป หรือ เกินกว่า ๑ กัป ภิกษุทั้งหลาย นี้แณปืนคำอธิบายในเรื่องอาษุของภิกษุ ในเรื่องวรรณะของภิกษุ มีคำ อธิบาย อย่างไร คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผูมศีล สำ รวมด้วยการสังวรในปาติโมกข์ เพียบพร้อมด้วย อาจาระและโคจร มีปกติเห็นภัยในโทษแม้เล็กน้อย สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย ภิกษุทั้งหลาย นี้แสเปืนคำอธิบายในเรื่องวรรณะของภิกษุ ในเรื่องความลุ[ขของภิกษุ มีคำ อธิบาย อย่างใร คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ๑) สงัดจากกามและอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌานที่มีวิตก วิจาร ปีติและสุขอันเภิด จากวิเวกอยู่ ๒)เพราะวิตกวิจารสงบระงับใป บรรลุทุติยฌาน... ๓)บรรลุตติยฌาน... ๔)บรรลุจตุตถฌาน... ภิกษุทั้งหลาย นี้แลเปืนคำอธิบายในเรื่องความสุขของภิกษุ ในเรื่องโภคะของภิกษุ มี คำ อธิบาย อย่างใร คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ www.kalyanamitra.org

ธรรมซาฝ็โลกและ^ต ; ๑๑๗ ๑) มีเมตตาจิตแผ่ไปตลอดทิศที่ ๑... ทิศที่ ๒... ทิศที่ ๓... ทิศที่ ๔... ทิศเบื้องบน ทิศเบื้องล่าง ทิศเฉียง แผ่ไปตลอดโลกทั่วทุกหมู่เหล่า ในที่ทุกสถานด้วยเมตตาจิตอันไพทุลย์เป็นมหัคคตะ ไม่มีขอบเขต ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียนอยู่ ๒)มีกเณาจิต... ๓)มีมุทิตาจิต... ๔)มีอุเบกขาจิตแผ่ไปตลอดทิศที่ ๑...ทิศที่ ๒...ทิศที่ ๓...ทิศที่ ๔...ทิศเบื้องบน ทิศเบื้องล่าง ทิศเฉียง แผ่ไปตลอดโลกทั่วทุกหมู่เหล่า ในที่ทุกสถาน ด้วยอุเบกขาจิตอันไพบูลย์ เป็น มหัคคตะ ไม่มีขอบเขต ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียนอยู่ ภิกทุทั้งหลาย นี้แณปีนคำอธิบายในเรื่องโภคะของภิกษุ ในเรื่องพละของภิกษุ มีคำ อธิบาย อย่างไร คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ทำ ให้แจ้งเจโตวิมุตติ' ปัญญาวิมุตติ^ อันไม่มีอาสวะ เพราะ อาสวะสิ้นไปด้วยปัญญาอันยึ๋งเอง เข้าถึงอยู่ในปัจจุบัน ภิกษุทั้งหลาย นี้แณปีนคำอธิบายในเรื่องพละของภิกษุ เราไม่เล็งเห็นกำลังอื่นแม้อย่างหนี้ง ซึ๋งข่มได้แสนยาก เหมือนกำลังของมาร^นี้เลย บุญนี้ จะเจริญขึ้นได้อย่างนี้ก็เพราะสมาทานกุศลธรรมเป็นเหตุ\" พระผูมพระภาคได้ตรัสพระภาษิตนี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นมีใจยินดีต่างชื่นชมพระภาษิตของ พระผูมพระภาคแล้วแล จักกวัตติสตร จบ 'เจโตวิบุตติ หมายถึงความหลุดพ้นแห่งจิต ความหลุดพ้นจากกิเลสพ้วยอำนาจการยิก หรือด้วยกำลังสมาธิ เช่น สมาบิต ๘ เป็นเจโตวิมุตติอันละเอียดประณีต ■'ปัญญาวิมุตติ หมายถึงความหลุดพ้นด้วยปัญญา ความหลุดพ้นที่บรรลุด้วยการกำจัดอวิชชาได้ ทำ ให้สำเร็จอรหัตตผล และทำให้เจโตวิมุตติ เป็นวิมุตติที่ไม่กำเริบ คือ ไม่กลับกลายได้อีกต่อไป 'กำลังของมาร ในที่นี้หมายถึงกำลังของเทวมุตตมาร มัจชุมาร และกิเลสมาร www.kalyanamitra.org

ธรรมชาติโลกและ€1รต '. (ริ) ความเจริญและความเสือมของอายุมนุษย์นั้น ขึ้นอยู่คับกรรมที่มนุษย์กระทำนั้นเอง หาก ยุคใดมนุษย์มีคุณธรรมสูงประพฤติคุศลกรรมบถ มีการทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนา เป็นต้น ยุค นันก็จะมีอายุยืน ในทางตรงกันข้าม หากยุคใดมนุษย์มีใจหยาบช้า ประพฤติแต่อกุศลกรรมบถ มุ่ง แต่เบียดเบียนกัน มีการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เป็นต้น อายุของมนุษย์ก็จะเสื่อมถอยลงไปเรื่อย ๆ ความเข้าใจในเรื่องโลกและชีวิต เมื่อไต้ศึกษาถึงเรื่องของโลกและชีวิตแล้ว ทำ ให้เรามีความเข้าใจแล้วว่า การทำดีและทำ ชั่วล้วนมีผลต่ออายุมนุษย์และยังส่งผลถึงชีวิตในเบื้องหน้า เพราะคนเราตายแล้วไม่สูญ โลกนี้มี โลกหน้ามี ทุกชีวิตก็มีการเวียนว่ายตายเกิดเป็นวงจร สัตว์ที่เกิดแบบโอปปาติกะมี เช่น เทวดา พรหม ขึ้งความเข้าใจในเรื่องนี้เรียกว่า\"สัมมาทิฎฐิ\" สัมมาทิฎเที่ยังมีอาสวะ ๑๐' สัมมาทิฎฐิที่ยังมีอาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญ ให้ผลคืออุปธิ เป็นอย่างไร คือ ความเห็นว่า ๑) ทานที่ให้แล้วมีผล ๒)ยัญที่บูชาแล้วมีผล ๓) การเช่นสรวงที่เซ่นสรวงแล้วมีผล ๔)ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีและทำชั่วมี ๕)โลกนี้มี ๖) โลกหน้ามี ๗)มารดามีคุณ ๘) บิดามีคุณ ๙) สัตว์ที่เป็นโอปปาติกะมี ๑๐) สมณพราหมณ์ผู้ประพฤติปฎิปติชอบ ทำ ให้แจ้งโลกนี้และโลกหน้าต้วยบิญญาอันยิ่งเองแล้ว สอนผู้อื่นให้เแจ้งก็มีอยู่ในโลก 'มหาจัตตารีสกสูตร พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์มจร.เล่ม ๑๔ ห'นิา ๑๗๖ www.kalyanamitra.org

ธรรมซาสิโลกและ'01วิต ะ ๑๑๙ นี้เป็นสัมมาทิฎฐิที่ยังมีอาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญ ให้ผลคืออุปธิ เมื่อมีความเห็นในเรื่องโลกและชีวิตไปตามความเป็นจริงแล้ว ย่อมเกิดสัมมาทิฎฐิขึ้นใน ใจ สัมมาทิฎฐินี้ นับว่าเป็นต้นทางของมรรคมีองค์๘ ซึ๋งเป็นเล้นทางที่จะนำไปสู่การพ้นทุกข์และ ทำ พระนิพพานให้แจ้ง ซงอุดบุ่งหมายที่แท้จริงของชีวิต บทสรุป จากการศึกษาเรื่องธรรมชาติของโลกและชีวิต เราไต้เริยนรู้ว่า การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับ ไปของโลกและชีวิตเป็นวงจรซํ้า ๆ ที่เริยกว่า \"วัฏฏสงสาร\" พระสัมมาสัมทุทธเจ้าจึงทรงตรัส สอนอยู่เสมอว่า \"สงสารนี้กำหนดที่ธุโดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ ฯลฯ ดูก่อนภิกบุทั้งหลาย ณ็หดุ เพียงเท่านี้ พอฑีเดียวที่จะเบื่อหน่าย ในสังขารทั้งปวง พอเพื่อจะคลายกำหนัด พอเพื่อจะหลุด พ้น\"ดังนั้น เราจึงควรที่จะมองโลกและชีวิตให้ตลอดสาย เพื่อจะไต้เห็นตรงไปตามความเป็นจริง ว่า ไม่มีอะไรเที่ยงแท้เป็นทุกข์น่าเมื่อหน่าย และควรหาทางออกจากวงจรเหล่านี้ อีกประเด็นหนี้งที่น่าศึกษาก็คือ จักรวาลนี้หาที่สิ้นสุดไม่ไต้ที่เรียกว่า \"อนันดจักรวาล\" ดังนั้นสรรพสัตว์ที่อาศัยอยู่ในอนันตจักรวาลย่อมมีเป็นอนันต์เช่นกัน ล้าเป็นเช่นนั้น วัฏฎสงสาร นี้เริ่มต้นขึ้นเบื่อไหร่ จะสิ้นลุดลงที่ดรงไหน อะไรเป็นสิ้งที่อยู่เบื้องหลัง ทำ ไมจึงต้องสร้าง วัฎฎสงสารนี้ขึ้นมา พระเดชพระคุณพระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ไต้เทศน์เกี่ยวกับสึ๋งที่อยู่เบื้องหลัง ความเจริญและความเสื่อม เป็นเหตุสำคัญของการเวียนว่ายตายเกิดของมนุษย'ไว่ไนหัวข้อ \"ทาน วัตลุ\"'ดังนี้ \"...ฉากหลังเป็นตัวสำคัญ ให้มนุษย์เป็นอยู่ หญิงก็ดีชายก็ดี ให้เป็นคนชั้นสูงเป็นคน ประณีตกึใต้ให้เป็นที่ไหว้ที่เคารพ ที่บูชา ที่ลักการะเขาทั้งหมดก!ต้ให้เขาติเตียนนินทา ด่าแช่งก็ ไต้...เป็นมนุษย์คนหนี้ง...เข้าไม่ถึงฉากหลังแล้วละก็ดัวเองจะหนักใจแค่ไหน จะไม่สะดวกในใจ 'หนังสือสาระtfาคัญพระธรรมเทศนาพระมงคลเทพบุนี หน้า ๒๒๔ www.kalyanamitra.org

ธรรมชาติโลกและ€1รต ะ ๑๒๐ แค่ไหน เพราะความเป็นอยู่ก็ไม่ใช่ของตัว ความดีความชั่วที่ตัวกระทำ กระทำเหล่านี้ไม่ใช่ของ ตัวทั้งนั้น ทำ ชั่วเขาจะให้ความดีก็ได้ทำดีเขาจะให้ความชั่วก็ได้เพราะฉากหลังไม่ใช่ของตัวนี่ ...พระสมณโคดม เห็นกายมนุษย์ละเอียด ก็พบเปีนชั้นหนึ่งว่าเพราะท่านนี้ พาเราไป เวียนว่ายตายเกิด และไปพบจนกระทั่งกามตัณหา ภวตัณหา วีภวตัณหา สร้างบ้านเรือน สร้าง กายไม่มีจบ...\" บทพระธรรมเทศนานีสำคัญมาก เพราะทำให้เราได้มีความเข้าใจมากขึ้นว่า มีผู้อยู่ เบืองหลังการกระทำของมนุษย์คอยบังคับให้เราด้องอยู่ภายใด้อำนาจ แล้วขังไว่ในภพภูมิต่าง ๆ เพราะฉะนั้น บุคคล^บืญญาจึงพยายามปฏิรูปตัวเองให้เป็นคนดี มีสัมมาทิฎฐิอยู่ในใจ อย่างมั่นคงทัง ๑๐ ประการตลอดไป ไม่ปล่อยชีวิตไปตามกระแสกิเลส มีการวางแผนชีวิตและมี วิธีการปฏิบิติที่ชัดเจน โดยทั้งเบ้าหมายไว้๓ ระตับ คือ เบ้าหมายชีวิตระตับต้น หรือระตับบนดิน คือการทั้งตนเองเป็นหลักฐานมั่นคงให้ได้ หมายถึงการมีอาชีพมั่นคง มีบ้านเป็นของตนเองมีเงินใช้สอย มีเงินเหลือเก็บ ไม่มีหนี้สินล้นพ้น ตัว โดยวิธีการที่จะทำให้บรรลุเบ้าหมายระตับด้นคือ หาเป็น เก็บเป็น คบคนดีและใช้เป็น เบ้าหมายชีวีตระตับกลาง หรือระตับบนฟ้า คือการสั่งสมคุณความดีต่าง ๆ ให้เพียบพร้อม เพื่อมุ่งไปสู่สุคติโลกสวรรค์หลังจากละโลกนีไปแล้ว โดยวิธีการที่จะทำให้บรรลุเบ้าหมาย ระตับกลางคือ การเป็นผูถงพร้อมด้วยศรัทธา ศีล การสละ และบ้ญญา เบ้าหมายชีวีคระตับสูง หรือระตับเหนือฟ้า คือ การบรรลุมรรคผลนิพพาน หรือทำ พระนิพพานให้แจ้ง หลุดพ้นจากสังสารวัฏไปโดยเด็ดขาด โดยวิธีการที่จะทำให้บรรลุเบ้าหมาย ระตับสูงคือการสละชีวิตเป็นเติมพันสร้างบุญบารมีทั้ง ๑๐ ทัศอย่างเด็มที่ เมื่อมีเบ้าหมายชีวิตที่ชัดเจนและดำเนินชีวิตให้ภูกด้องตามวิธีการที่พระสัมมาสัมบุทธเจ้า ทรงสอนไว้แล้ว แม้เรายังด้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฎฎสงสาร เราก็จะไม่เวียนไปเกิดใน ทุคติภูมิ จะได้เกิดอยู่แต่ในสุคติภูมิ สามารถเลือกเกิดมาในช่วงที่เหมาะสมกับการสร้างบารมี เพื่อ จะได้สั่งสมบารมีให้ยงยวดทุกภพทุกชาติ จนกว่าจะไปให้ถึงที่สุดแห่งธรรม www.kalyanamitra.org

กฎแฟงกรรม : ๑๒๑ บฑที่(๓ กฎแห่งกรรม วัตถุประสงค์การเรียนรู้ ๑) เพื่อให้มีความรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับหลักกรรม ๒)เพื่อให้นักสืกษาสามารถนำความรู้ที่ไต้ศึกษาไปใช้ในการดำเนินชีวิตไต้อย่างถูกต้องและ ปลอดภัยตลอดเต้นทางการสร้างบารมี บทนำ กฎแห่งกรรม เป็นหลักธรรมสำคัญที่พระสัมมาส้มทุทธเจ้าทรงสอนเอาไว้ เป็นเรื่องที่มี รายละเอียดลุ่มลึกซับซ้อน ดังที่พระพุทธองค์ตรัสเอาไว้ว่า เรื่องของกรรมนี้เป็นอจินไตย' เป็น เรื่องที่ไม่ควรคิด เนื่องจากเหนือวิสัยเกินกว่าที่ปุถุชนธรรมดา จะคิดค้นต้นเดาเอาไต้ต้วยสมอง หรือสติป็ญญาของตนเองไต้ แม้กฎแห่งกรรม จะมีความสลับซับซ้อนเพียงใดก็ตาม ก็ยังคงเป็นไปตามหลักการของ เหตุและผล ที่สามารถสืบค้นหรือทำความเข้าใจตามไต้ เพียงแต่การจะทำความเข้าใจให้ถูกต้อง ตรงไปตามความเป็นจริงไต้นั้น จะต้องอาศัยญาณทัสสนะอันบริถุทธิ้ที่เกิดจากการเจริญสมาธิ ภาวนา ซึ๋งก็หมายความว่า กฎแห่งกรรมที่เป็นอจินไตย ไม่ใช่เรื่องที่เหลือวิสัยสำหรับผู้รู้แจ้งแทง ตลอดในธรรม ดังเช่นพระสัมมาส้มพุทธเจ้า เป็นต้น กฎแห่งกรรม เป็นกฎที่ยังไม่มีใครจะหลีกพ้นไปไต้ ถาจะกล่าวให้ง่ายก็คือ ทุกชีวิตที่ยัง ต้องเวียนว่ายในสังสารวัฏ ล้วนตกอยู่ภายใต้อำนาจของกฎแห่งกรรม ดังนั้น จึงมีความจำเป็นที่ จะต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจ เพื่อที่จะไต้มีแนวทางและดำเนินชีวิตไต้อย่างปลอดภัย จนกว่า จะเข้าสู่พระนิพพาน 'อจินไตย หมายถึงเรื่องที่ใคร ๆ ไม่ควรคิด มี ๔ ประการ คือ ®.ทุทธวิสัยแห่งพระทุทธแ 'าทั้งหลาย ๒.ฌานวิสัยแห่งยัได้ ฌาน ๓.วิบากแห่งกรรม ๔.โลกจินดา(ความคิดในเรื่องของโลก) www.kalyanamitra.org

กฎแฟงกรรม :๑๒๒ ความหมายของกรรม กรรม คือ อะไร ในทางพระพุทธศาสนา กรรม แปลว่า \"การกระทำโดยเจตนา\" ชึ๋งสามารถกระทำ ๓ ทาง คือ ทางกาย ทางวาจา และทางใจ อาจแปงได้๒ ประการ'คือ กรรมดี(คุศลกรรม)และกรรมชั่ว (อกุศลกรรม)เมื่อกระทำกรรมแล้วจะเกิดวิบาก กรรมดี หมายถึงอะไร กรรมดี หมายถึง การกระทำโดยลุ[จริต ทางกาย วาจา ใจ เรียกว่า \"กุศลกรรม\" หรือบุญ เช่นการให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา เป็นด้น บุคคลผู้ทำกรรมดี ใจย่อมผ่องใส เป็นลุ[ขทั้งทาง กาย ทางใจ เป็นทางมาแห่งบุญกุศล กรรมชั่ว หมายถึงอะไร กรรมชั่ว หมายถึง การกระทำโดยทุจริต ทางกาย วาจา ใจ เรียกว่า \"อกุศลกรรม\" หรือ บาป เช่นการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม เป็นด้น บุคคลผู้ทำกรรมชั่ว ใจย่อมเศร้า หมอง เดือดร้อน เป็นทุกข์ทั้งทางกาย ทางใจ เป็นทางมาแห่งบาปอกุศล วิบากกรรม คือ อะไร วิบาก แปลว่า \"ผล\" ดังนั้น วิบากกรรม จึงหมายถึง \"ผลของกรรมทั้งดีและชั่วที่เราได้ กระทำลงไปแล้ว\" เกณฑ์การจำแนกกรรมดี กรรมชั่ว เนื่องจากกรรม(การกระทำ)สามารถทำได้๓ ทาง คือ ทางกาย ทางวาจา ทางใจ ดังกล่าว ข้างด้น ในพระพุทธศาสนา เราจำแนกกรรมดีทั้ง ๓ ทางด้วยหลักธรรม ที่มีชื่อว่า กุศลกรรมบถ^ ๑๐ และจำแนกกรรมชั่วทั้ง ๓ ทางด้วยหลักธรรมที่ชื่อว่า อกุศลกรรมบถ ๑๐ 'อกุสลสูตร ะ พระสูตรและอรรถกถาแปล อังลุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม รท๔ หนิา ๑๔ ^ทางแห่งกุศลกรรม มี ๑๐ประการคือ ๑.เรันจากการปลงชีวิต,๒.เว้นจากการลักขโมย,๓.เว้นจากการประพฤติผิดในกาม, ๔.เว้นจากการพูดเท็จ,๕.เว้นจากการพูดส่อเสียด,๖.เว้นจากการพูดคำหยาบ,๗.เว้นจากการพูดเห่'อเว้อ,๘.เว้นจากการ เพ่งเล็งอยากได้(อนภิชเมา),๙.เว้นจากการคิดว้าย(อพยาบาท),๑๐.มีดวามเห็นชอบ (สัมมาทิฐิ);อกุศลกรรมบถ ๑๐ มี ความหมายตรงข้ามกัน www.kalyanamitra.org

f1QUVi^f1'5'33J ; ๑๒๓ วงจรของกิเลส กรรม วิบาก เปีนกลไกที่น่าเรียนรู้ เพราะมีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกัน ตั้งแต่กระบวนการเกิดกรรม และการให้ผลของกรรม (วิบาก) อันเป็น ^ ^ ^i กิเลส ] สาเหตุสำคัญททำให้สรรพสัตวทงหลายต้องเวียนว่ายตายเกิดใน fท} I ] แต่ละชาติ แล้วมาประสบกับความทุกข์ % —^ ^ วงจรของกิเลส กรรม วิบากนี้ มีจดเรึ๋มต้นที่กิเลสที่มีอย่( „ \\ / ' วบาก \\ / กรรม แล้วในใจ โดยที่กิเลสจะเข้าใปบังคับให้สรรพสัตว์ตั้งหลายทำ I y I กรรมชั่ว เมื่อทำใปแล้ว ก็จะเกิดเป็น ผลแห่งการกระทำ ที่เรียกกันว่าวิบาก ที่จะคอยติดตามให้ผลต่อใปในอนาคต ดังตั้น ตราบใดที่สรรพสัตว์ยังใม่สามารถกำจัดกิเลสให้หมดจากใจใต้ ก็ยังคงต้องเวียน เกิดเวียนตาย และรับผลแห่งวิบากที่ดัวเองเคยทำใว้ จึงต้องประสบกับความทุกข์เรื่อยใป ดัง พุทธพจน์ที่ตรัสว่า' \"บาปกรรมนี้ ย่อมตามผู้ทำใปเหมือนล้อคันหมุนตามรอยเท้าโค\" ยิ่งกว่านั้น เมื่อมาเกิดใหม่ในแต่ละชาติแล้ว กิเลสก็จะบังคับให้ทำกรรมใหม่ต่อ ๆ ใป จึง เกิดเป็นวิบากกรรมใหม่ วนเวียนเช่นนีใม่จบสิ้น ยกดัวอย่าง เช่น หากวิบากกรรมชั่วมาส่งผลให้ มาเกิดเป็นเสือ เมื่อถึงเวลาที่ออกหากิน ย่อมต้องฆ่าสัตว์อื่น เพื่อมาเป็นอาหารของตน นั่น หมายถึง เพราะวิบาก คือ การใต้เกิดมาเป็นเสือ ทำ ให้กระตุ้นกิเลสในคัวเอง คือ โทสะให้เพิ่มขึน จนบังคับให้ใข้กำลังฆ่าสัตว์อื่น เพื่ออาหารใต้ เป็นต้น กิเลสที่อยู่ในใจนั้น สามารถแบ่งใต้๓ ตระกูล^ คือ ๑) โลภะ(ความโลภอยากใต้) ๒)โทสะ(ความโกรธ คิดเบียดเบียนทำร้าย) ๓)โมหะ(ความหลง ความใม่รู้) ' พระจักขุปาลเถระ ะ พระสูตรและอรรถกถาแปล อรรถกถาขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๔๐ หน้า(๓๓ 'พระสูตรและอรรถกถาแปล ทีฆนิกาย ปาฎิกวรรค เล่ม ๑๖ หน้า ๔๐๘ www.kalyanamitra.org

กฎแฟงกรรม :๑๒(T กิเลสทั้ง ๓ ตระถูลนี้ จะบังคับให้สัตว์สร้างกรรมชั่วขึ้นมาใน ๓ ทาง คือ ทางกาย วาจา และใจ ตรงข้ามคับฝ่ายกุศลหรือฝ่ายบุญ ที่จะคอยบังคับให้เราสร้างกรรมดี มี ๓ ตระกุลเช่นคัน คือ ๑) อโลภะ(ความไม่โลภ) ๒)อโทสะ(ความไม่โกรธ) ๓)อโมหะ(ความไม่หลง) เมื่อสัตว์ทำกรรมลงไปแล้ว ผลที่ได้จากการทำ ก็คือ วิบาก แบ่งได้๒ ลักษณะ คือ ๑) วิบากที่เป็นกุศล หมายถึงผลที่เกิดขึ้นจากการทำกรรมดี และวิบากนี้ก็จะให้ผลเป็นความลุ[ข ความสบายทั้งในโลกนี้ คือ มีชีวิตที่ดี มีความลุ[ข และทั้งในโลกหน้า คือลุ[คติภูมิ เช่น การได้ ไบ่เกิดบนสวรรค์และพรหมโลก เป็นด้น ๒)วิบากทีเป็นอกุศล หมายถึงผลที่เกิดขึ้นจากการทำกรรมชั่ว และวิบากนี้ก็จะให้ผลเป็นความ ทุกข์ยาก ลำ บากทั้งในโลกนี คือ มีชีวิตที่ตกตา ลำ บาก และทั้งในโลกหน้า คือ บ่ระสบความ ทุกข์ทรมานในทุคติภูมิ เช่น การไบ่เกิดเป็นสัตว์นรก เบ่รต อลุ[รกาย และสัตว์เดรัจฉาน เป็น ด้น ดังนั้น เราจึงขวนขวาย เร่งทำลายกิเลสให้หมดไบ่จากใจ เพราะเมื่อไม่มีกิเลสเสียแล้ว ก็ จะไม่มีกำลังใดมาบังคับเราให้ทำกรรมชั่ว และเมื่อไม่ได้ทำกรรมชั่ว ก็ไม่มีวิบากกรรมอันเผ็ด ร้อนใด ๆ ตามมา การทำลายกิเลสจึงเท่าคับว่า เป็นการเข้าไบ่ตัดวงจรของกิเลส กรรม วิบาก หรือ ที่เรียกว่า กฎแห่งกรรมได้สำเร็จ มีผลที่ได้คือ ความสุข ความโบ่ร่งใจ เพราะหลุดพ้นจากอำนาจ ของกิเลสเครื่องร้อยรัด ก้าวไบ่สู่อมตสุข คือพระนิพพานได้ในที่สุด ผลของวิบากกรรม ชนิดของวิบากกรรมทั้งที่เป็นทางฝ่ายกุศลธรรม (เรียกว่า ฝ่ายบุญ) และวิบากกรรมที่เป็น ฝ่ายอกุศลธรรม (เรียกว่า ฝ่ายบาบ่) นั้นสามารถส่งผลทั้งในโลกนี้ คือป็จจุบัน และโลกหน้า คือ ชีวิตหลังความตาย www.kalyanamitra.org

กฎแฟงกรรม ะ ๑๒(เ: วิบากกรรมฟ้จจุบัน จะขอยกตัวอย่างของวิบากกรรม หรือผลของบุญและบาปที่บุอคล เมื่อทำกรรมลงไปแล้ว จะได้รับผลในป็จจุบันนั้น พอแปงลักษณะออกได้๔ ระตับ คือ ๑) ระดับจิตใจ ผลเกิดขึ้นในใจทันทีทุกครั้งที่ทำกรรมดี หรือกรรมชั่ว ยกตัวอย่าง เช่นทุกครั้ง หน้าที่เราด่าหรือนินทาคนอื่นเราได้สร้างเชื้อแห่งความไม่ดี (กิเลส) ขึ้นในใจ ทำ ให้สภาพ จิตใจตกดร มัวหมอง หากทำเช่นนี้บ่อย ๆ จิตจะหยาบกระด้างขึ้น สมรรถภาพของใจย่อมขาด ประสิทธิภาพลง ตรงกันข้าม ล้าเราทำแด่สึ๋งที่ดีงาม เช่น คิดเอื้อเส์อเผื่อแผ่ เมตตากรุณา เห็น อกเห็นใจและช่วยเหลือคนอื่น ทำ บุญทำทานอยู่เสมอ ย่อมส่งผลให้สภาพจิตใจดีขึ้น มีใจ เยือกเย็น ตั้งมั่นไม่หวั่นไหว สามารถใช้คิดเรื่องราวด่าง ๆ ได้รวดเร็ว ลึกซึ้ง รอบคอบ เป็น ระเบียบ และตัดสินใจ ได้ฉับพลันถูกด้อง เพราะเหตุที่บุญชำระใจให้สะอาดผ่องใส ๒)ระดับบุคลิกภาพ ผู้ที่หมั่นสั่งสมกรรมดีอยู่เสมอ เช่น ทำ ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา เป็นด้น ย่อมมีใจที่สงบ เบิกบาน ชุ่มเย็น ไม่มีความกังวลหม่นหมอง เมื่อใจผ่องใส ไม่คิดโลภอยากได้ ของใคร ไม่คิดสร้างความเดือดร้อนให้ใคร มีแด่คิดช่วยเหลือ ย่อมส่งผลถึงหน้าตา ผิวพรรณ ให้พลอยผ่องใสไปด้วย ทั้งยังมีความมั่นใจ มีความสง่างามอยู่ในตัวเอง สมตังที่ พระสัมมาสัมทุทธเจ้าตรัสอานิสงส์ของบุคคลผู้ทำทานอยู่เป็นประจำว่า \"ทายกผู้เป็นทานบดี จะเข้าไปอยู่ที่ประชุมใด ๆ ย่อมเป็นผู้องอาจไม่เก้อเขิน'\" ตรงกันข้าม หากใครทำกรรมชั่ว ย่อมมีสีหน้าที่หมองคลํ้า เป็นคนหวาดระแวง ใจไม่สงบ เพราะความกังวลในสิ่งไม่ดีที่ตนทำลงไป เหล่านี้เป็นตัวอย่างผลบุญ และบาป ส่งผลไปถึง บุคลิกภาพของตัวเองตามลำตับ ๓)ระดับวิถีชีวิต แห้จริงวิถีชีวิตของคนเราจะประสบความสำเร็จ หรือล้มเหลว ก็เพราะเกิดจาก การให้ผลของบุญและบาปที่เราได้ทำมาตั้งแด่ภพชาติในอดีตจนถึงภพชาติบัจชุบันที่ด่างผลัด กัน ชิงช่วงโอกาสในการส่งผล ทำ ให้เราได้รับสิ่งที่น่าปรารถนา มีลาภ ยศ สรรเสริญ สุขบ้าง หรือได้รับสิ่งที่ไม่น่าปรารถนา มีการเสิ่อมลาภ เสื่อมยศห้าง เป็นด้น ในเรื่องของการชิงช่วง 'สีหสูตร ะ พระสูตรและอรรถกถาแปล อังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาต เล่ม ๓๖ หนิา ๘๐ www.kalyanamitra.org

กฎแฟงกรรม :๑๒๖ ส่งผลบุญและผลบาปนีเอง มีความสลับซับซ้อน ยากแก่การเข้าใจ ทำให้หลาย ๆ ท่านเกิด ความเข้าใจผิด คิดว่าทำดีแล้วไม่ไดด เพราะบางครั้งขณะที่เราตั้งใจทำความดีอยู่ กลับถูกใส่ ร้ายฟ้ายสี หรือประสบเรื่องเลวร้ายในชีวิต ทำ ให้หมดกำลังใจในการทำความดีแท้จริงแล้ว ที่ เป็นเช่นนี้ก็เพราะในขณะนั้น ผลบาปที่เราเคยทำในอดีตกำลังส่งผลอยู่ แต่บุญที่กำลังทำอยู่ ในปัจจุบันนัน ก็ใช่ว่าจะไร้ผล หากเราตั้งใจทำบุญ ทำ ความดีโดยไม่ย่อท้อ ผลบุญนั้น ย่อมจะ ส่งผลตัดรอนวิบากกรรมชั่วให้หมดสิ้นไปได้จนได้รับความลุ[ขความสำเร็จในที่สุด ๔)ระดับสังคม การทำกรรมดี กรรมชั่ว ไม่ได้ส่งผลแต่ตัวเองเท่านั้น หากแต่ส่งผลถึงบุคคลรอบ ข้าง รวมทังสังคมอีกด้วย กล่าวคือ เมื่อเราทำความดีอย่างเต็มที่ต่อเนื่อง เมื่อเข้าไปอยู่ใน สังคมใด นอกจากบุญก็จะส่งผลให้เป็นบุคคลที่สังคมยอมรับ ได้เป็นผู้นำของสังคมนั้นแล้ว ยังจะเป็นผู้ชักนำสมาชิกในสังคมนั้นให้ทำความดีตามอย่างเราไปด้วยได้ ส่งผลเป็นความ สงบร่มเย็น และความเจริญก้าวหน้าขึ้นในสังคมนั้น ๆ โดยสำตับ ตรงกันข้าม หากเราทำ กรรมชั่ว ก็ย่อมส่งผลชั่วถึงบุคคลรอบข้าง สังคมให้ทำกรรมชั่วตามแล้วพลอยเดือดร้อนกัน ไปด้วย สมตังที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า \"เมือพระราชาทั้งหลายประพฤติไม่เปีนธรรม ในสมัยนั้น แม้ข้าราชการทั้งหลาย ก็พลอยประพฤติไม่เปีนธรรม เมื่อข้าราชการประพฤติไม่เปีนธรรม พราหมณ์และ คฤหบดีทั้งหลายก็ประพฤติไม่เปีนธรรมบ้าง เมื่อพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย ประพฤติไม่เปีนธรรม ชาวม้านชาวเมืองก็ประพฤติไม่เปีนธรรมไปตามกัน'\" วิบากกรรมในโลกหม้า โลกหน้า คือ วิถีชีวิตหลังความตาย หากบุคคลนั้นประกอบกุศลกรรมไว่ด ย่อมประสบ ความสุขในสุคติ โลกสวรรค์หากมาเกิดเป็นมนุษย์ย่อมได้รับความสุข ประสบกับความสำเร็จ ตัง ตัวอย่างกุศลกรรมของพระพากุลเถระ^ ผู้เป็นเลิศของภิกษุทั้งหลายในด้านมีโรคน้อย เพราะเหตุที่ 'ธัมมิกสูตร ะ พระสูตรและอรรถกถาแปล อังดุตตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๓๕ หนำ ๒๒๑ ^ พาคุลเถรคาถา ะ พระสูตรและอรรถกถาแปล อรรถกถาฃุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๕๑ หนำ ๒๔๑ www.kalyanamitra.org

กฎแฟงกรรม : ๑๒๗ ปรุงยาถวายพระอโนมทัสสีสัมมาส้มพุทธเจ้า ทำ ให้พระเถระ แม้เกิดในชาติใด ก็ไม่เคยเจ็บป่วย ไข้แม้เพียงเล็กน้อย ตรงกันข้าม หากบุคคลนั้นประกอบอคุศลกรรมไว้ ก่อนตายมีจิตเศร้าหมอง ย่อมไปสู่ ทุคติ มีนรก เปรต อทุรกาย เป็นต้น เมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์ หากวิบากของอคุศลกรรมยังมีอยู่ ย่อม ไต้รูปร่างที่ไม่สมบุรลเ น่าเกลียด เหมือนอย่างอานนท์เศรษฐี' มีความตระหนี่ทรัพย์ ทั้งยังห้ามมิ ให้ครอบครัวของตนทำบุญ หลังจากที่ตนละโลกแล้วไต้ไปเกิดในตระถูลจัณฑาลเพราะความ ตระหนี่ทรัพย์ กรรม ๑๒ ลักษณะการให้ผลของกรรม เนื่องจากกฎแห่งกรรมมีความซับซ้อนยากต่อการทำความเข้าใจ พระอรรถกถาจารย์จึงไต้ รวบรวมและจัดหมวดหบุ่เนื้อหากฎแห่งกรรมขึ้น เพื่อจำแนกลักษณะการให้ผลของกรรม ออกเป็นส่วน ๆ ทำ ให้ง่ายต่อการศึกษาและทำความเข้าใจมาก ดังปรากฏในพระคัมภีร์มโนรถ- สู่รณี^ เรียกว่า กรรม ๑๒ กรรม ๑๒ นั้นแปงการให้ผลของกรรมออกเป็น ๓ ประเภทหมวด ตามลักษณะการให้ผล กรรมที่แตกต่างกัน กล่าวคือ ประเภทที่ ๑ กรรมให้ผลตามหน้าที่(ทจจจดุกกะ)มี ๔อย่าง คือ ๑) ชนกกรรม คือ กรรมทำหน้าที่นำไปเกิด ๒)อุปัตกัมภกกรรม คือ กรรมทำหน้าที่สนับสนุน ๓)อุปปีฬกกรรม คือ กรรมทำหน้าที่บีบคั้น ๔)อุปฆาตกกรรม หรือ อุป็จเฉทกรรม คือ กรรมทำหน้าที่ดัดรอน ประเภทที่ ๒ กรรมให้ผลตามลำดับกำลัง(ปากทานปริยายจตุกกะา มี ๔ อย่าง คือ ๑) ครุกรรม คือ กรรมหนัก ๒)อาลันนกรรม คือ กรรมใกล้ตาย เรื่องอานนทเศรษฐี ะ พระสูตรและอรรถกถาแปล ชุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๔๑ หนำ ๑๘๒ มโนรถบุรณี คือ คัมภีร์ชั้นอรรถกถาของพระไตรปิฎก อังลุตตรนิกาย www.kalyanamitra.org

กฎแฟงกรรม ะ ๑๒;:^ ๓)อาจิณกรรม หรือพทุลกรรม คือ กรรมทำบ่อยจนคุ้นเคย ๔)กตัตตากรรม คือ กรรมสักแต่ว่าทำ ปรุะเภทที ๓ กรรมให้ผลดามเวลาทีflห้ผล(บ่ากกาaจตุกกะา มี ๔ อย่าง คือ ๑) ทิฎฐธรรมเวทนียกรรม คือ กรรมที่ใหผลในปัจจุบันชาติ ๒)อุบ่ปัชชเวทนียกรรม คือ กรรมที่ให้ผลชาติหน้า ๓)อบ่ราบ่ริยเวทนียกรรม คือ กรรมที่ให้ผลชาติต่อ ๆ ไบ่ ๔)อโหสิกรรม คือ กรรมที่เลิกให้ผล หรือไม่ได้โอกาสให้ผล มีรายละเอียดของการให้ผลกรรมแต่ละอย่าง ดังนี้ กรรมให้ผลตามหน้าที่(กิจจจดุกกะ) ๑) ชนกกรรม กรรมมีหน้าที่นำไม่เกิด หมายความว่า การที่สัตว์ทั้งหลายจะเกิดขึ้นมาในภพ ๓ บัน ไม่ว่าจะเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน มนุษย์ เทวดา หรือ จะเกิดเป็นอะไรก็ตามที ย่อมเกิดขึ้น ด้วยอำนาจแห่งชนกกรรมนีทั้งสิ้น ไม่ใช่อยู่ ๆ จะเกิดเป็นอะไรก็เกิดขึ้นมาเอง โดยไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัย อันที่จริง แต่ละชาติของสัตว์ทั้งม่วง ย่อมเกิดขึ้นภายได้กฎแห่งชนกกรรม คือ ชนกกรรมทำหน้าที่ตกแต่งให้เกิดขึ้นมาทังหมด หากไม่มีชนกกรรมนี้แล้ว สัตว์ทั้งหลายจะ เกิดขึ้นมาไม่ได้เลยเป็นอันขาด ๒)อุปัฅถัมภกกรรม กรรมมีหน้าที่อุม่ถัมภ์คํ้าชูกรรมอื่น หมายความว่าหน้าที่ของกรรมนี้ ได้แก่ การเข้าไม่คํ้า'^กรรมของสัตว์ทั้งหลายที่ไม่เกิดในภูมิต่าง ๆ เมื่อสัตว์ทั้งหลายเกิดขึ้นด้วย อำ นาจชนกกรรมของสัตว์ที่เกิดให้แล้ว อุปัตถัมภกกรรมก็เข้าทำหน้าที่ ช่วยคํ้าชูให้ได้รับ ความทุกข์หรือความลุ[ขตามสมควรแก่กรรม คือ ล้าชนกกรรมแต่งให้สัตว์เกิดมาดี อุปัตถัมภกกรรมก็จะสนับสนุนให้ดียึ๋ง ๆ ขึ้นไม่ แต่ล้าชนกกรรมแต่งสัตว'ไห้เกิดมาไม่ดี อุปัตถัมภกกรรมก็จะสนับสนุนหรือซํ้าเติมให้สัตว์นั้นยรแย่ หรือทุกข์ยากลำบากยิ่งขึ้นไม่อีก ๓)อุปปีฬกกรรม มีหน้าที่เบียดเบียนกรรมอื่น หมายความว่า หน้าที่ของกรรมนี้ ก็ได้แก่การเข้า ไม่เบียดเบียนทำร้ายกรรมที่มีสภาพตรงกันข้ามกับตน คือ ล้าเป็นอุม่ปีฬกรรมฝ่าย อกุศลกรรม ก็ย่อมทำหน้าที่เบียดเบียนทำร้ายกุศลกรรมความดีงาม ชงให้ผลเป็นความลุ[ข www.kalyanamitra.org

กฎแห่งกรรม ะ ๑๒๙ ความเจริญแก่เจ้าของกรรม แล้วบันดาลให้เจ้าของกรรมได้รับความทุกข์ความเสือมอันเป็น ผลของตนต่อไป ล้าเป็นอุปปีฬกกรรมฝ่ายคุศล ก็ย่อมทำหน้าที่เบียดเบียนทำร้ายอกุศลกรรม ความชั่วที่ให้ผลเป็นความทุกข์ ความเสื่อมแก่เจ้าของกรรม แล้วบันดาลให้เจ้าของกรรมนั้น ได้รับความลุ[ขความเจริญอันเป็นผลของตนต่อไป ๔)อุปฆาตกกรรม หรือเรียกอีกอย่างหนึ๋งว่า อุบัจเฉทกกรรม คือ กรรมที่มีหน้าที่เข้าไปฆ่า หรือ เข้าไปตัดรอนกรรมอื่น หมายความว่า หน้าที่ของอุปฆาตกรรมนี้ ก็ได้แก่การเข้าไปฆ่าหรือ เข้าไปตัดรอนกรรมที่มีสภาพตรงกันข้ามกับตนได้อย่างเด็ดขาด และในขณะที่เข้าทำหน้าที่ ก็ เข้าทำหน้าที่ได้อย่างรวดเร็ว เป็นบัจจุบันทันต่วน ยงกว่าอุปปีฬกรรมที่กล่าวมา คือล้าเป็น อุปฆาตกรรมฝ่ายอกุศล ก็ทำ หน้าที่เข้าไปฆ่ากุศลกรรมความดีชั่งกำลังให้ผลเป็นความสุข ความเจริญแก่เจ้าของกรรมอยู่นั้น แล้วบันดาลให้เจ้าของกรรมได้รับความทุกข์ความ เดือดร้อนอันเป็นผลของตนในบัจอุบันทันใด ล้าเป็นอุปฆาตกรรมฝ่ายกุศลก็เข้าไปทำหน้าที่ ฆ่าฝ่ายอกุศลความ ชั่วร้ายชั่งกำลังให้ผลเป็นความทุกข์ความเดือดร้อนแก่เจ้าของกรรมนั้นอยู่ แล้วบันดาลให้เจ้าของกรรมได้รับความสุขความเจริญอันเป็นผลของตนในบัจจุบันทันต่วน เช่นกัน กรรมให้ผลตามลำดับกำลัง(ปากทานปริยายจดุกกะ) ๑) ครูกรรม กรรมหนักชั่งมีอำนาจให้ผลเป็นลำตับแรก หมายความว่า ครุกรรมนี้เป็นกรรมหนัก ที่สุด เพราะเป็นกรรมที่มีกำลังแรงที่สุดและจะให้ผลเป็นอันตับแรก ชั่งไม่มีกรรมใดที่จะ สามารถให้ผลได้ก่อน เพราะกรรมอื่นมีกำลังให้ผลน้อยกว่าครุกรรม คือ ล้าเป็นครุกรรมฝ่าย อกุศลก็จะให้ผลชักนำบุคคลเจ้าของกรรมไปสู่เกิดในอบายฎมิทันทีหลังจากที่เขาตายไปจาก ชาตินี้แล้ว ล้าเป็นครุกรรมฝ่ายกุศลก็จะให้ผลชักนำบุคคลเจ้าของกรรมไปเกิดในสุคติภูมิ ทันที หลังจากที่เขาตายไปจากชาตินี้ โดยไม่มีกรรมอื่นจะมาชัดขวางหรือหักห้ามได้ ๒)อาลันนกรรม กรรมที่กระทำในเวลาใกล้จะตาย ชั่งมีอำนาจให้ผลเป็นลำตับที่ ๒ รองจากครุ- กรรม หมายความว่า เมื่อสัตว์ที่เกิดในวัฎฎสงสารนี้ไม่ได้ทำครุกรรมแต่อย่างใด อาสันน- กรรม ชั่งได้แก่กรรมที่กระทำในขณะใกล้ตาย ก็ย่อมจักให้ผลทันที คือ ล้าเป็นอาสันนกรรม ฝ่ายอกุศล ก็จะให้ผลชักนำบุคคลเจ้าของกรรมให้ไปเกิตในอบายภูมิหลังจากที่ละโลกไปแล้ว www.kalyanamitra.org

กฎแฟงกรรม ะ ๑๓๐ ถ้าเป็นอาสันนกรรมฝ่ายกุศล ก็จะให้ผลชักนำบุคคลเจ้าของกรรมให้ไปเกิดในธุ[คติถูมิ หลังจากที่ละโลกไปแล้วเช่นเดียวกัน ๓)อาจิณณกรรม หรือพทุลกรรม กรรมที่กระทำปอย ๆ ซึ๋งมีอำนาจให้ผลเป็นลำดับที่ ๓ หมายความว่า เมื่อสัตว์ที่เกิดในวัฎฎสงสารไม่ได้ทำครุกรรม ทั้งเวลาเมื่อใกล้ตายอาสันน- กรรมก็ไม่ชัดเจน ในกรณีเช่นนี อาจิณณกรรมซึ๋งได้แก่กรรมที่ตนเคยกระทำไว้ปอย ๆ สั่งสม ไว่ในสันดานของตนมาก ๆ ย่อมจักได้โอกาสให้ผลทันที คือล้าเป็นอาจิณณกรรมฝ่ายอกุศล ก็จะให้ผลชักนำเจ้าของกรรมไปเสวยทุกข์โทษอยู่ในอบายภูมิทันที ล้าเป็นอาจิณณกรรมฝ่าย กุศล ก็จักให้ผล ชักนำเจ้าของกรรมให้ไปเสวยสุขอยู่ในลุ[คติภูมิในชาติต่อไป ๔)กตัตดากรรม กรรมที่สักว่ากระทำ ชํ่งมีอำนาจให้ผลเป็นลำดับที่ ๔ หมายความว่า เมื่อสัตว์ที่ เกิดในวัฎฎสงสารไม่ได้ทำครุกรรม ไม่ได้ทำอาสันนกรรม ไนเวลาเมื่อใกล้จะตายทั้ง อาจิณ- ณกรรมก็มิได้ปรากฎมี ครานั้น กดัตตากรรมชื้งเป็นกรรมที่มีพลังน้อยที่สุด เพราะเป็นกรรม ที่ผู้กระทำไม่ได้มีเจตนา หรือไม่ได้มีความตั้งใจทำ เป็นแต่สักว่ากระทำลงไปก็ย่อมได้โอกาส ให้ผล คือล้าเป็นกดัตตากรรมฝ่ายอกุศลก็จักชักนำเจ้าของกรรมให้ไปเกิดในอบายภูมิทันที ล้าเป็นกดัตตากรรมฝ่ายกุศลก็จักชักนำเจ้าของกรรมให้ไปเกิดในสุคติภูมิทันที ในกรณีนี้ขอ ท่าน ^ฟ้ญญาจงจำไว้ว่า บรรดาสัตว์ที่ยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสารนี้ ที่จะได้ชื่อว่าไม่ มี กดัตดากรรมทั้น เป็นไม่มี กรรมให้ผลตามเวลาทื่ให้ผล(ปากกาลจดุกกะ) ๑) ทิฐธรรมเวทนืยกรรม กรรมที่ให้ผลในฟ้จจุบัน คือ ให้ผลชาตินี้ หมายความว่า ทิฐธรรมเวท นยกรรมนี เป็นกรรมที่ให้ผลรวดเร็วเป็นบัจจุบันทันต่วน เมื่อสัตว์กระทำเข้าแล้ว ย่อมได้รับ ผลในชาติบัจจุบันนี้ทีเดียว ไม่ด้องไปรอรับผลในชาติหน้า หรือ ชาติไหน ๆ ทั้งนั้น เป็นกรรม ที่ให้ผลทันตาเห็นอย่างน่าประหลาดใจ คือ ล้าเป็นทิฐธรรมเวทนียกรรมฝ่ายอกุศล ก็บันดาล ให้เจ้าของกรรม ได้รับความทุกข์ความเดือดร้อนภายในเร็ววันในบัจธุบันชาตินี้ ล้าเป็น ทิฐธรรมเวทนียกรรมฝ่ายกุศลก็จะบันดาลให้เจ้าของกรรมได้รับความสุขความเจริญภายใน เร็ววันในชาติป็จรุบันนี้เช่นเดียวกัน แต่ล้าทิฐธรรมเวทนียกรรมไม่ได้ให้ผลในบัจรุบันชาตินี้ ก็จะกลายเป็นอโหสิกรรมไปทันที www.kalyanamitra.org

กฎแฟงกรรม ! QcnQ ๒)อุปป๋'ชชทฑนียกรรม กรรมที่ให้ผลชาติหน้า หมายความว่า เป็นกรรมที่สัตว์กระทำเข้าแล้ว ย่อมได้รับผลในชาติที่ ๒ คือในชาติหน้า(ปรโลก)ซึ๋งต่อจากชาตินี้อย่างแน่นอน ล้าเป็น อุปป็ชชเวทนียกรรมฝ่ายอกุศล ก็จักบันดาลผลให้เข้าของกรรมไปเกิด ณ อบายภูมิในชาติ หน้า ล้าเป็นอุปบัชชเวทนียกรรมฝ่ายกุศล ก็จักบันดาลผลให้เข้าของกรรมไปเกิด ณ ลุ[คติภูมิ ในชาติหน้าเช่นกัน ๓)อปราปริยเวฑนียกรรม กรรมที่ให้ผลในชาติต่อ ๆไป หมายความว่า เมื่อสัตว์กระทำกรรมเข้า แล้วย่อมได้รับผลชาติที่ ๓ นับจากป็จจุบันชาตินี้เป็นด้นไป โดยมีการให้ผลดีผลร้ายตาม ฝักฝ่ายแห่งตน คือ ล้าเป็นอปรายิเวทนียกรรมฝ่ายอกุศล ก็บันดาลให้เข้าของกรรมได้รับความ ทุกข์ความเดือดร้อนตั้งแต่ชาติที่ ๓ เป็นด้นไป ล้าเป็นอปราปริยเวทนียกรรมฝ่ายกุศล ก็ บันดาลผลให้เข้าของกรรมได้รับความสุขความเจริญตังแต่ชาติที ๓ เป็นด้นไปเช่นกัน ๔)อโหสิกรรม กรรมที่เลิกให้ผล หรือไม่ได้โอกาสให้ผล หมายความว่าอกุศลกรรมหรือ อกุศลกรรมที่ให้ผลเสร็จแล้วกรรมจึงกลายเป็นอโหสิกรรม หรือกรรมที่วิบากกรรมรอให้ผล อยู่ แต่ไม่ได้โอกาสให้ผล หากล่วงเลยเวลาในการให้ผลก็จะเป็นอโหสิกรรม จากคำอธิบายเรื่องกรรม ๑๒ นั้น จะเห็นได้ว่ากรรมไม่ได้สูญหายไปไหน แต่กำลังทำงาน อยู่ตลอดเวลา ซึ๋งกรรมแต่ละหมวดก็มีหน้าที่ มีลำตับ และมีระยะเวลาในการให้ผลที่ชัดเจน เปรียบเหมือนการปลูกด้นไม้ที่กว่าด้นไม้ชนิดนั้น ๆ ที่ได้ปลูกขึ้นมาจะเจริญเติบโตให้ร่มเงา แผ่ กึ๋งก้านสาขาได้นั้นด้องใช้เวลาในการเจริญเติบโตเป็นเดือนเป็นปี กรรมก็เช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตามกรรม ๑๒ กล่าวเฉพาะรูปแบบการให้ผลของกรรมเท่านั้น ยังมิได้แจกแจง ละเอียดถึงสาเหตุและผลของกรรมว่า เมื่อเราประกอบเหตุอย่างนี้ จะมีผลดี ผลเสียอย่างไรบ้างต่อ เราบ้าง ซื้งด้องอาศัยปัญญาตรัสรู้ธรรมของพระสัมมาสัมทุทธเข้าจึงจะสามารถอธิบายได้ หลักเหตุและผลในเรื่องกรรม หากเราลองสังเกตจะพบว่า มนุษย์มีความแตกต่างกันมาแต่กำเนิด ไม่ว่าจะเป็นรูปร่าง หน้าตา ฐานะทางสังคม ฐานะทางเศรษฐกิจ อะไรคือสาเหตุที่ทำให้มนุษย์เกิดมาแตกต่างกัน พระสัมมาสัมพุทธเข้าทรงค้นพบว่าเหตุที่ทำให้มนุษย์แตกต่างกันคือ กรรมที่แต่ละบุคคลกระทำ www.kalyanamitra.org

กฎแฟงกรรม ะ ๑๓๒ ไว้ในอดีตเป็นตัวกำหนดซึ๋งความแตกต่างนี้ มีกล่าวไว้ใน \"จูฬกัมมวิภังคสูตร\" มีรายละเอียด ดังส์ จูฬกัมมวิภังคสูตร' ว่าด้วยการจำแนกกรรม สูตรเล็ก ข้าพเจ้าได้สตับมาอย่างนี้ สมัยหนี้ง พระ^พระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตกรุงสาวัตถี สมัยนั้นแล สูภมาณพโตเทยยบุตร เข้าไปเด้าพระ^พระภาคถึงที่ประทับ แล้วได้ สนทนาปราศรัยพอเป็นที่บันเทิงใจ พอเป็นที่ระลึกถึงกัน แล้วนั่ง ณ ที่สมควร ได้กราบพูล พระ^พระภาคว่า \"ท่านพระโคตม อะไรหนอ เป็นเหตุเป็นป็จจัยให้สัตว์ที่เกิดเป็นมนุษย์ปรากฏเป็นคนเลว และคนดี คือ มนุษย์ทั้งหลายย่อมปรากฏว่ามีอายุสั้น มีอายุยืน มีโรคมาก มีโรคน้อย มีผิวพรรณ ทราม มีผิวพรรณดี มีอำ นาจน้อย มีอำ นาจมาก มีโภคะน้อย มีโภคะมาก เกิดในตระถูลตร เกิดใน ตระถูลสูง มีฟ้ญญาน้อย มีป็ญญามาก ท่านพระโคดม อะไรหนอ เป็นเหตุเป็นมัจจัยให้มนุษย์ทั้งหลายที่เกิดเป็นมนุษย์ปรากฏ เป็นคนเลวและคนดี\" พระ^พระภาคตรัสว่า \"มาณพ สัดว์ทังหลายมีกรรมเป็นของดน มีกรรมเป็นทายาท มี กรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย กรรมย่อมจำแนกสัดว์ทั้งหลายให้ เลวและดีต่างกัน\" \"ข้าพระองค์ ไม่รู้ทั่วถึงเนือความแห่งพระภาษิตนี้ที่ท่านพระโคดมตรัสไว้โดยย่อ ไม่ทรง ชีแจงโดยพิสดารให้พิสดารได้ ขอประทานวโรกาส ขอท่านพระโคดมโปรดแสดงธรรมแก่ข้า พระองค์ โดยวิธีที่ข้าพระองค์จะพึงรู้ทั่วถึงเนื้อความแห่งพระภาษิตนี้ที่ท่านพระโคดมตรัสไว้โดย ย่อ ไม่ทรงชี้แจงโดยพิสดารให้พิสดารเถิด\" พระ^พระภาคตรัสว่า\"มาณพ ล้าเช่นนั้น เธอจงพิง จงใส่ใจให้ดี เราจะกล่าว\" พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริป็ณณาสก์,มจร.เล่ม ๑๔ หนิ'ๆ ๓๔ส www.kalyanamitra.org

กฎแฟงกรรม ; ๑๓๓ ธ(ุ ภมาณพโตเทยยบุตรทูลรับสนองพระดำรัสแล้ว พระ^พระภาคได้ตรัสว่า \"มาณพ บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นสตรีก็ตาม เป็นบุรุษก็ตาม เป็นผู้ฆ่าสัตว์ เป็นคนหยาบช้า มีมือเปีอนเลือด ฝักใฟ้ในการประหัตประหาร ไม่มีความกรุณาใน สัตว์ทั้งหลาย เพราะกรรมนั้นที่เขาให้บริบูรณ์ ยึดมั่นใว้อย่างนั้น หลังจากตายแล้ว เขาจึงไปเกิด ไนอบาย ทูคติ วินิบาต นรก' หสังจากตายแล้ว ล้าไม่ไปเกิดในอบาย ทูคติ วินิบาต นรก กสับมา เกิดเป็นมนุษย์ในที่ใด ๆ เขาก็จะเป็นคนมีอายูสั้น มาณพ การที่บุคคลเป็นผู้ฆ่าสัตว์ เป็นคนหยาบช้า มีมือเนี้อนเลือด ฝักใฝ่ในการ ประหัตประหาร ใม่มีความกรุณาในสัตว์ทั้งหลาย นี้เป็นปฏิปทา(ช้อปฏิฟ้ติ)ที่เป็นไปเพื่อความมี อายูสั้น(๑) มาณพ ส่วนบุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นสตรีก็ตาม เป็นบุรุษก็ตาม เป็นผู้ละเว้นขาดจาก การฆ่าสัตว์ วางหัณฑารุธ และศัสตราวุธ มีความละอาย มีความเอ็นดู นุ่งหวังประโยชน์เกื้อกูลใน สรรพสัตว์ เพราะกรรมนั้นที่เขาให้บริบูรณ์ยึดมั่นไว้อย่างนั้น หสังจากตายแล้ว เขาจึงไปเกิดใน สุคติโลกสวรรค์ หสังจากตายแล้ว ล้าไม่ไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์ กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ในที่ใด ๆ เขาก็จะเป็นคนมีอายูยืน มาณพ การที่บุคคลเป็นผู้ละเว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ วางทัณฑาวุธ และศัสตราวุธ มีความ ละอาย มีความเอ็นดู บุ่งหวังประโยชน์เกื้อกูลในสรรพสัตว์ นี้เป็นปฏิปทาที่เป็นไปเพื่อความมี อายูยืน(๑) มาณพ บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นสตรีก็ตาม เป็นบุรุษก็ตาม เป็นผู้เบียดเบียนสัตว์ ทั้งหลายด้วยฝ่ามือบ้าง ด้วยก้อนดินบ้าง ด้วยท่อนไม้บ้าง ด้วยศัสตราบ้าง เพราะกรรมนั้นที่เขา ให้บริบูรณ์ยึดมั่นไว้อย่างนั้น หลังจากตายแล้ว เขาจึงไปเกิดในอบาย ทูคติ วินิบาต นรก หลังจาก ตายแล้ว ล้าไม่ไปเกิดในอบาย ทุคติ วินิบาต นรก กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ในที่ใด ๆ เขาก็จะเป็นผู้มี โรคมาก 'ชื่อว่า อบาย เพราะปราศจากความงอกงาม คือไม่มีความเจริญหรือความลุ[ข ชื่อว่า ทุคติ เพราะเป็นคติคือเป็นที่ตั้งแห่งความ ทุกข์ชื่อว่า วินิบาต เพราะเป็นสถานที่ตกไปของหยู่สัตว์ที่ทำความชั่ว ชื่อว่า นรก เพราะปราศจากความยินดีเหตุเป็นที่ไม่มี ความสบายใจ www.kalyanamitra.org