Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หนังสือเรียนพระไตรปิฎกศึกษา

หนังสือเรียนพระไตรปิฎกศึกษา

Description: หนังสือ

Keywords: พระไตรปิฏกศึกษา

Search

Read the Text Version

กฎแฟงกรรม :(ร) (ริ: หน้าไม่มี มารดาไม่มีดุณ บิดาไม่มีดุณ โอปปาดิก'สัตว์ก็ไม่มี สมณพราหมณ์ผู้ประพฤดิปฎิบ้ต ชอบ ทำ ให้แจ้งโลกนี้และโลกหน้าด้วยป'ญญาอันยิ่งเองแล้วสอนผู้อื่นให้รู้แจ้ง สั!ม่มีในโลก'^ สมณพราหมณ์อีกพวกหนี้งมีวาทะเป็นข้าสืกโดยตรงตอสมณพราหมณ์เหล่านั้น พวกเขา กล่าวอย่างนี้ว่า 'ทานทื่ให้แล้วมีผล ยัญที่บูชาแล้วมีผล การเซ่นสรวงก็มีผล ผลวิบากแห่งกรรมที่ ทำ ดิทำ ชวมี โลกนี้มี โลกหน้ามี มารดามีคุณ บิดามีคุณ โอปปาดิกสัตว์มีอยู่ สมณพราหมณ์ผู้ ประพฤดิปฏิบิดิชอบ ทำ ให้แจ้งโลกนี้และโลกหน้าด้วยป'ญญาอันยิ่งเองแล้วสอนผู้อื่นให้รู้แจ้ง ก็มี อยู่ในโลก' พราหมณ์และคหบดีทังหลาย ท่านทังหลายเข้าใจความข้อนั้นว่าอย่างไร สมณพราหมณ์ เหล่านีมีวาทะขัดแย้งกันโดยตรง มิใช่หรือ\" พราหมณ์และคหบดีเหล่านั้นกราบบูลว่า\"ใช่ พระพุทธเจ้าข้า\" โทษแห่งการปฎิบ้ดิผิด พระผูมพระภาคตรัสว่า \"พราหมณ์และคหบดีทั้งหลาย บรรดาสมณพราหมณ์ ๒ จำ พวก นัน สมณพราหมณ์เหล่าใด ผูมวาทะอย่างนี มีทิฎฐิอย่างนี้ว่า 'ทานที่ให้แล้วไม่มีผล ยัญที่บูชาแล้ว ไม่มีผล การเซ่นสรวงก็ไม่มีผล ฯลฯ สมณพราหมณ์ผู้ประพฤติปฎิปติชอบ ทำ ให้แจ้งโลกนี้และ โลกหน้าด้วยฟ้ญญาอันยิ่งเองแล้วสอนให้ผู้อื่นเแจ้ง ก็ไม่มีในโลก' สมณพราหมณ์เหล่านั้น พึง หวังฃ้อมีได้ คือ จักเว้นคุศลธรรม ๓ ประการนี้ได้แก่(๑)กายสุจริต(๒)วจีสุจริต(๓)มโนสุจริต จักสมาทานอกุศลธรรม ๓ ประการนี้ ได้แก่ (๑)กายทุจริต (๒)วจีทุจริต (๓)มโนทุจริต แล้วประพฤดิอยู่ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะสมณพราหมณ์เหล่านั้นไม่เห็นโทษ ความตํ่าทราม ความเศร้าหมองแห่งอกุศล ธรรมไม่เห็นอานิสงส์ในเนกขัมมะอันเป็นฝ่ายผ่องแผ้วแห่งกุศลธรรม อนี้ง โลกหน้ามี แต่เขากลับเห็นว่า 'โลกหน้าไม่มี'ความเห็นนั้นของเขาจึงเป็นมิจฉาทิฎฐิ โลกหน้ามี แต่เขาดำริว่า 'โลกหน้าไม่มี' ความดำรินั้นของเขาจึงเป็นมิจฉาสังกัปปะ โลกหน้ามี แต่เขากล่าวว่า 'โลกหน้าไม่มี' วาจานั้นของเขาจึงเป็นมิจฉาวาจา โลกหน้ามี เขากล่าวว่า 'โลก \" โอปปาติกะ ในที่นี้หมายถึงสัตว์ที่เกิดและเติบโตเต็มที่ทันที และเมื่อชุติ(ตาย)ก็หายวับไปไม่ทิ้งซากศพไว้เช่น เทวดาและ สัตว์นรกเป็นต้น www.kalyanamitra.org

กฎแฟงกรรม :๑ หน้าไม่มี' ผู้นี้ย่อมทำตนเป็นข้าศึกต่อพระอรหันต์ผู้รู้แจ้งโลกหน้า โลกหน้ามี เขาทำให้ผู้อื่น เข้าใจว่า 'โลกหน้าใม่มี' การที่เขาทำใหัผู้อื่นเข้าใจเช่นใเน เป็นการทำให้เข้าใจผิดจากความเป็น จริง และเขายังจะยกตนข่มผู้อื่น ด้วยการทำให้เข้าใจผิดจากความเป็นจริงนั้น โดยนัยนี้ เรึ๋มด้นเขา ก็ละทิ้งความเป็น^ศึลดีงามแล้วตั้งตนเป็นคนทุศึล เพราะมิจฉาทิฎแป็นป็จจัย บาปอคุศลธรรม เป็นอเนกเหล่านี้ คือ มิจฉาทิฏฐิ มิจฉาสังกัปปะ มิจฉาวาจา ความเป็นข้าศึกกับพระอริยะ การทำ ให้ผู้อื่นเข้าใจผิดจากความเป็นจริง การยกตน การข่มผู้อื่น ย่อมเกิดขึ้น ด้วยประการอย่างนี้ พราหมณ์และคหบดีนั้งหลาย ในลัทธิของสมณพราหมณ์เหล่านั้น วิญญชนย่อมเห็น ประจักษ์ชัดดังนี้ว่า 'ล้าโลกหน้าใม่มี เมื่อเป็นอย่างนี้ บุรุษบุคคลนี้หลังจากตายแล้วจักทำตนให้มี ความสวัสดีใด้ ล้าโลกหน้ามีจริง เมื่อเป็นอย่างนี้ บุรุษบุคคลนี้หลังจากตายแล้ว จักใปเกิดใน อบาย ทุคติ วินิบาต นรก'ล้าโลกหน้าใม่มีจริง คำ ของสมณพราหมณ์เหล่านั้นจะจริงหรือใม่ก็ช่าง เถิด เมื่อเป็นเข่นนั้น บุรุษบุคคลนี้ย่อมถูกวิญญชนติเตียนใดีในป็จจุบันว่า 'เป็นบุรุษบุคคลผู้ทุศีล เป็นมิจฉาทิฎฐิ เป็นนัตลิกวาทะ' ล้าโลกหน้ามีจริง บุรุษบุคคลนี้จะใด้รับโทษในโลกทั้ง ๒ คือ(๑)ในฟ้จจุบันถูกวิญญชน ติเตียนใด้(๒)หลังจากตายแล้วจักใปเกิดในอบาย ทุคติ วินิบาต นรกอย่างนี้ อบัณณกธรรมนี้ ที่บุคคลนั้นสมาทานให้บริบุรณ์ใม่ดี แพร่ดึ๋งใปฝ่ายเดียว^ย่อมละเหตุที่ เป็นคุศล ด้วยประการอย่างนี้ คุณแห่งการปฏิบัติชอบ พราหมณ์และคหบดีทั้งหลาย บรรดาสมณพราหมณ์ ๒ จำ พวกนั้น สมณพราหมณ์เหล่า ใด^วาทะอย่างนี้ มีทิฎเอย่างนี้ว่า 'ทานที่ให้แล้วมีผล ฯลฯ สมณพราหมณ์ผู้ประพฤติปฎิปติชอบ ทำ ให้แจ้งโลกนี้และโลกหน้าด้วยบัญญาอันยึ๋งเอง แล้วสอนให้ผู้อื่นรู้แจ้ง มีอยู่ในโลก'สมณพราหมณ์เหล่านั้นพึงหวังข้อนี้ใด้คือ จักเว้นอกุศลธรรม ๓ ประการนี้ ได้แก่(๑)กายทุจริต(๒)วจีทุจริต(๓)มโนทุจริต I £ชื่อว่า อบาย เพราะปราศจากความงอกงาม กล่าวคือความเจริญหรือความสุข ชื่อว่า ทุคติ เพราะเป็นคติ คือเป็นที่ตั้งแห่ง ความทุกข์ชื่อว่า วินิบาต เพราะเป็นสถานที่ตกไปของหยู่สัตว์ที่ทำความชั่ว ชื่อว่านรก เพราะปราศจากความยินดี เหตุเป็นที่ ไม่มีความสบายใจ ^ แพร่ดึ๋งไปฝ่ายเดียว หมายถึงยึดถือวาทะของตนฝ่ายเดียว www.kalyanamitra.org

กฎแฟงกรรม ะ (ร)f^๖ จักสมาทานกุศลธรรม ๓ ประการนี้ ได้แก่(๑)กายลุ[จริต(๒)วจีสุจริต(๓)มโนสุจริต แลวประพฤติอยู่ ข้อนั้นเพราะเหดุไร เพราะสมณพราหมณ์เหล่านั้นเห็นโทษ ความตํ่าทราม ความเศร้าหมองแห่งอกุศลธรรม เห็นอานิสงส์ในเนกขัมมะอันเปีนฝ่ายผ่องแผ้วแห่งกุศลธรรม อนี้ง โลกหน้ามี เขาเห็นว่า 'โลกหน้ามีจริง' ความเห็นนั้นของเขา จึงเป็นสัมมาทิฎฐิ โลก หน้ามีจริง เขาดำริว่า 'โลกหน้ามีจริง' ความดำรินั้นของเขาจึงเป็นสัมมาสังกัปปะ โลกหน้ามีจริง เขากล่าวว่า 'โลกหน้ามีจริง' วาจานั้นของเขาจึงเป็นสัมมาวาจา โลกหน้ามีจริง เขากล่าวว่า 'โลก หน้ามีจริง' ผู้นี้ชื่อว่าไม่ทำตนเป็นข้าศึกกับพระอรหันต์ผู้รู้แจ้งโลกหน้า โลกหน้ามี เขาทำให้ผู้อื่น เข้าใจว่า 'โลกหน้ามีจริง' การที่เขาทำให้ผู้อื่นเข้าใจเช่นนั้น เป็นการทำให้เข้าใจกุกตามความเป็น จริง และเขาย่อมไม่ยกตนข่มผู้อื่น ด้วยการทำให้เข้าใจกุกตามความเป็นจริงนั้น โดยนัยนี้ เรํ่มด้น เขาก็ละทิ้งความเป็นผู้ทุศีล แล้วตั้งตนเป็นคนมีศีลดีงาม เพราะสัมมาทิฎฐิเป็นฟ้จจัย กุศลธรรม เป็นอเนกเหล่านี้ คือ สัมมาทิฎฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา ความไม่เป็นข้าศึกกับพระอริยะ การ ทำ ให้เข้าใจกุกตามความเป็นจริง การไม่ยกตน การไม่ข่มผู้อื่น ย่อมเกิดขึ้น ด้วยประการอย่างนี้ พราหมณ์และคหบดีทั้งหลาย ในลัทธิของสมณพราหมณ์เหล่านั้น วิญณูชนย่อมเห็น ประจักษ์ชัดดังนี้ว่า 'ล้าโลกหน้ามี เมื่อเป็นอย่างนี้ บุรุษบุคคลนี้ หลังจากตายแล้วจักไปเกิดใน สุคติโลกสวรรค์'ล้าโลกหน้าไม่มีจริง ดำ ของสมณพราหมณ์เหล่านั้นจะจริงหรือไม่ก็ช่างเถิด เมื่อ เป็นเข่นนั้น บุรุษบุคคลนี้ก็ย่อมได้รับคำสรรเสริญจากวิญญชนในปจชุบันว่า 'เป็นบุรุษบุคคลผู้มี ศีล เปีนสัมมาทิฎเ เปีนอัตลิกวาทะ' ล้าโลกหน้ามีจริง บุรุษบุคคลนี้ก็จะได้รับคุณในโลกทั้ง ๒ คือ (๑) ในบัจจุบันวิญญชน ย่อมสรรเสริญ(๒)หลังจากตายแล้วจักไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์ อย่างนี้ อบัณณกธรรมนี้ ที่บุคคลนั้นสมาทานให้บริบูรณ์แล้ว แพร่ดึ๋งไปทั้งสองฝ่าย'ย่อมละเหตุที่ เป็นอกุศลได้ด้วยประการอย่างนี้ 'แพร่ดึ๋งไปทั้งสองฝ่าย หมายถึงยึดถือวาทะทั้งของตนและของผู้อื่น www.kalyanamitra.org

กฎแฟงกรรม :๑(7๗ ©กิริยทิฎเกับกิริยทิฎฐิ พราหมณ์และคหบดีทั้งหลาย มีสมณพราหมณ์พวกหนึ๋ง^วาทะอย่างนี้ มีทิฎเอย่างนี้ว่า 'เมื่อบุคคลทำเอง ใชเห้ผู้อื่นทำ ตัดเอง ใช้ให้ผู้อื่นตัด เบียดเบียนเอง ใช้ให้ผู้อื่นเบียดเบียน ทำ ให้ เศร้าโศกเอง ใช้ให้ผู้อื่นทำให้เศร้าโศก ทำ ให้ลำบากเอง ใช้ให้ผู้อื่นทำให้ลำบาก ดิ้นรนเอง ใช้ให้ ผู้อื่นทำให้ดิ้นรน ฆ่าสัตว์ ถือเอาสิ่งของที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้ ตัดช่องย่องเบา ปล้นเรือนหสังเดียว ตักจื้ในทางเปลี่ยว เปึนชู้ พูดเท็จ ผู้ทำ (เช่นนั้น)กึใม่จัดว่าทำบาป แม้หากบุคคลใช้จักรมีคมดุจมีดโกนสังหารเหล่าสัตวในปฐพีนี้ให้เป็นดุจลานตากเนื้อ ให้ เป็นกองเนื้อเดียวกัน เขาย่อมใม่มีบาปที่เกิดจากกรรมนั้น ไม่มีบาปมาถึงเขา แม้หากบุคคลไปส์งขวาแม่นํ้าคงคา ฆ่าเอง ใช้ให้ผู้อื่นฆ่า ตัดเอง ใช้ให้ผู้อื่นตัด เบียดเบียน เอง ใช้ให้ผู้อื่นเบียดเบียน เขาย่อมใม่มีบาปที่เกิดจากกรรมนั้น ใม่มีบาปมาถึงเขา แม้หากบุคคลใปส์'งซ้ายแม่นั้าคงคา ให้เอง ใช้ให้ผู้อื่นให้ บุชาเอง ใช้ให้ผู้อื่นบุชา เขาย่อม ใม่มีบุญที่เกิดจากกรรมนั้น ใม่มีบุญมาถึงเขา ใม่มีบุญที่เกิดจากการให้ทานจากการแกอินทรืย์ จากการสำรวม จากการพูดคำสัตย์ใม่มีบุญมาถึงเขา' สมณพราหมณ์อีกพวกหนึ่ง มีวาทะขัดแย้งกันโดยตรงกับสมณพราหมณ์เหล่านั้น พวก เขากล่าวอย่างนี้ว่า 'เมื่อบุคคลทำเอง ใช้ให้ผู้อื่นทำ ตัดเอง ใช้ให้ผู้อื่นตัด เบียดเบียนเอง ใช้ให้ผู้อื่น เบียดเบียน ทำ ให้เศร้าโศกเอง ใช้ให้ผู้อื่นทำให้เศร้าโศก ทำ ให้ลำบากเอง ใช้ให้ผู้อื่นทำให้ลำบาก ดิ้นรนเองใช้ให้ผู้อื่นทำให้ดิ้นรน ฆ่าสัตว์ ถือเอาสิ่งของที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้ ตัดช่องย่องเบา ปล้น เรือนหลังเดียว ตักจื้ในทางเปลี่ยว เป็นชู้ พูดเท็จ ผู้ทำ (เช่นนั้น)จัดว่าทำบาป แม้หากบุคคลใช้จักรมีคมดุจมีดโกนสังหารเหล่าสัตวํไนปฐพีนี้ให้เป็นดุจลานตากเนื้อ ให้ เป็นกองเนื้อเดียวกัน เขาย่อมมีบาปที่เกิดจากกรรมนั้น มีบาปมาถึงเขา แม้หากบุคคลไปส์งขวา แม่นั้าคงคา ฆ่าเอง ใช้ให้ผู้อื่นฆ่า ตัดเอง ใช้ให้ผู้อื่นตัด เบียดเบียนเอง ใช้ไห้ผู้อื่นเบียดเบียน เขา ย่อมมีบาปที่เกิดจากกรรมนั้น มีบาปมาถึงเขา แม้หากบุคคลไปส์งซ้ายแม่นั้าคงคา ให้เอง ใช้ให้ผู้อื่นให้ บุชาเอง ใช้ให้ผู้อื่นบุชา เขาย่อม มีบุญที่เกิดจากกรรมนั้น มีบุญมาถึงเขา ย่อมมีบุญที่เกิดจากการให้ทาน จากการแกอินทรีย์ จาก การสำรวม จากการพูดคำสัตย์ มีบุญมาถึงเขา' ท่านทั้งหลายเช้าใจความข้อนั้นว่าอย่างไร สมณ- พราหมณ์เหล่านี้มีวาทะขัดแย้งกันโดยตรง มิใช่หรือ\" www.kalyanamitra.org

กฎแฟงกรรม ะ ๑ พราหมณ์และคหบดีเหล่านั้นกราบทูลว่า\"ใช่ พระพุทธเจ้าข้า\" โทษแห่งการปฎิบ้ติผิด พระ^พระภาคตรัสว่า \"พราหมณ์และคหบดีทั้งหลาย บรรดาสมณพราหมณ์ ๒ จำ พวก นั้น สมณพราหมณ์เหล่าใด^วาทะอย่างนี้ มีทิฎเอย่างนี้ว่า 'เมื่อบุคคลทำเอง ใช่ไห้ผู้อื่นทำ ตัด เอง ใช่ให้ผู้อื่นตัด เบียดเบียนเอง ใช่ให้ผู้อื่นเบียดเบียน ทำ ให้เศร้าโศกเอง ใช่ให้ผู้อื่นทำให้เศร้า โศก ทำ ให้ลำบากเอง ใช่ให้ผู้อื่นทำให้ลำบาก ดิ้นรนเอง ใช่ให้ผู้อื่นทำให้ดิ้นรน ฆ่าสัดว์ ถือเอา สึ๋งของที่เจ้าของเขา ไม่ไดีไห้ ตัดช่องย่องเบา ปล้นเรือนหลังเดียว ตักจี้ในทางเปลี่ยว เป็นผู้ พุด เท็จ ผู้ทำ (เช่นนั้น)ก็ไม่จัดว่าทำบาป แม้หากบุคคลใช่จักรมีคมลุจมีดโกนสังหารเหล่าสัดว์ ในปฐพีนี้ให้เป็นลุจลานดากเนี้อ ให้เป็นกองเนื้อเดียวกัน เขาย่อมไม่มีบาปที่เกิดจากกรรมนั้น ไม่มีบาปมาถึงเขา แม้หากบุคคลไปสํ'งขวาแม่นั้าคงคา ฆ่าเอง ใช่ไห้^นฆ่า ฯลฯ ไม่มีบุญที่เกิดจากการให้ ทาน จากการฟืกอินทรีย์ จากการสำรวม จากการพุดคำสัดย์ ไม่มีบุญมาถึงเขา' สมณพราหมณ์ เหล่านันพึงหวังข้อนีได้ คือ จักเว้นคุศลธรรม ๓ ประการนี้ ได้แก่ (๑)กายสุจริด(๒)วจีสุจริด (๓)มโนบุจริด จักสมาทานอกุศลธรรม ๓ ประการนี้ ได้แก่ (๑)กายทุจริด (๒)วจีทุจริด (๓)มโนทูจริด แล้วประพฤติอยู่ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะสมณพราหมณ์เหล่านั้นไม่เห็นโทษ ความตาทราม ความเศร้าหมองแห่งอกุศล- ธรรม ไม่เห็นอานิสงส์ในเนกขัมมะอันเป็นฝ่ายผ่องแผ้วแห่งกุศลธรรม อนง การกระทำมีผล แต่เขากลับเห็นว่า 'การกระทำไม่มีผล' ความเห็นนั้นของเขาจึงเป็น มิจฉาทิฎเ การกระทำมีผล แต่เขาดำริว่า 'การกระทำไม่มีผล' ความดำรินั้นของเขาจึงเป็นมิจฉา- สังกัปปะ การกระทำมีผล แต่เขากล่าวว่า 'การกระทำไม่มีผล' วาจานั้นของเขาจึงเป็นมิจฉาวาจา การกระทำมีผล เขากล่าวว่า 'การกระทำไม่มีผล' ผู้นี้ย่อมทำตนให้เป็นข้าสืกกับพระอรหันต์ ผู้ เป็นกิริยวาทะ การกระทำมีผล เขาทำให้ผู้อื่นเข้าใจว่า 'การกระทำไม่มีผล' การที่เขาทำให้ผู้อื่น เข้าใจเช่นนั้น เป็นการทำให้เข้าใจผิดจากความเป็นจริง และเขายังจะยกตนข่มผู้อื่นด้วยการทำให้ เข้าใจผิดจากความเป็นจริงนั้น โดยนัยนี้ เรึ๋มด้นเขาก็ละทิ้งความเป็น^ศีลดีงามแล้วตั้งตนเป็น คนทุศีล เพราะมิจฉาทิฎแป็นปจจัย บาปอกุศลธรรมเป็นอเนกเหล่านี้ คือ มิจฉาทิฎเ มิจฉา- www.kalyanamitra.org

กฎแฟงกรรม : ๑(ะ'๙ สังกัปปะ มิจฉาวาจา ความเป็นข้าศึกกับพระอริยะ การทำให้ผู้อื่นเข้าใจผิดจากความเป็นจริง การ ยกตน การข่มผู้อื่นย่อมเกิดขึ้น ด้วยประการอย่างนี้ พราหมณ์และคหบดีทั้งหลาย ในสัทธิของสมณพราหมณ์เหล่าทั้น วิญญชนย่อมเห็น ประจักษ์ชัดดังนี้ว่า 'ถ้าการกระทำไม่มีผล เมื่อเป็นอย่างนี้ บุรุษบุคคลนี้หลังจากตายแล้วจักทำตน ให้มีความสวัสดีได้ ถ้าการกระทำมีผลจริง เมื่อเป็นอย่างนี้ บุรุษบุคคลนี้หลังจากตายแล้วจักไป เกิดในอบาย ทุคติ วินิบาต นรก' ถ้าการกระทำไม่มีผลจริง คำ ของสมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น จะจริงหรือไม่ก็ช่างเถิด เมื่อเป็นเช่นนั้น บุรุษบุคคลนี้ย่อมคูกวิญญชนติเดียนได้ในปัจชุบันว่า 'เป็นบุรุษบุคคลผู้ทุศีล เป็นมิจฉาทิฏเ เป็นอกิริยวาทะ' ถ้าการกระทำมีผลจริง บุรุษบุคคลผู้เจริญ นี้จะได้รับโทษในโลกทั้ง ๒ คือ (๑) ในบัจจุบันถูกวิญญชน ติเดียนได้(๒)หลังจากตายแล้วจักไปเกิดในอบาย ทุคติ วินิบาต นรก อย่างนี้ อบัณณกธรรมนี้ ที่บุคคลนั้นสมาทานให้บริบุรณ์ไม่ดี แพร่ดิ่งไปฝ่ายเดียว ย่อมละเหตุที่ เป็นกุศล ด้วยประการอย่างนี้ กุฌแห่งการปฏิบัติชอบ พราหมณ์และคหบดีทั้งหลาย ในลัทธิของสมณพราหมณ์เหล่านั้นสมณพราหมณ์เหล่าใด ^วาทะอย่างนี้ มีทิฎเอย่างนี้ว่า 'เมื่อบุคคลทำเอง ใช้ให้ผู้อื่นทำ ดัดเอง ใช้ให้ผู้อื่นดัด เบียดเบียน เอง ใช้ให้ผู้อื่นเบียดเบียน ทำ ให้เศร้าโศกเองใช้ให้ผู้อื่นทำให้เศร้าโศก ทำ ให้ลำบากเอง ใช่ไห้ ผู้อื่นทำให้ลำบาก ดิ้นรนเอง ใช้ให้ผู้อื่นทำให้ดิ้นรน ฆ่าสัตว์ ถือเอาสิ่งของที่เจ้าของเขาไม่ไดีไห้ ดัดช่องย่องเบา ปล้นเรือนหลังเดียว ดักจี้ในทางเปลี่ยว เป็น!พูดเท็จ ผู้ทำ (เช่นนั้น)จัดว่าทำบาป แม้หากบุคคลใช้จักรมีคมดุจมีดโกนลังหารเหล่าสัตว'ไนปฐพีนี้ให้เป็นดุจลานตากเนื้อ ให้เป็น กองเนื้อเดียวกัน เขาย่อมมีบาปที่เกิดจากกรรมนั้น มีบาปมาถึงเขา แม้หากบุคคลไปด้งขวาแม่นั้า คงคา ฆ่าเอง ใช่ไห้^นฆ่า ดัดเอง ใช่ไห้^นดัดเบียดเบียนเอง ใช่ไห้^นเบียดเบียน เขาย่อมมี บาปที่เกิดจากกรรมนั้น มีบาปมาถึงเขา แม้หากบุคคลไปด้งซ้ายแม่นั้าคงคา ให้เอง ใช้ให้ผู้อื่นให้ บุชาเอง ใช้ไห้ผู้อื่นบุชา เขาย่อม มีบุญที่เกิดจากกรรมนั้น มีบุญมาถึงเขา ย่อมมีบุญที่เกิดจากการให้ทาน จากการแกอินทรีย์ จาก การสำรวม จากการพูดคำสัตย์มีบุญมาถึงเขา' www.kalyanamitra.org

กฎแห่งกรรม ะ ๑๙๐ สมณพราหมณ์เหล่า'นั้นพึงหวังข้อนี้ได้ คือ จักเว้นอกุศลธรรม ๓ ประการนี้ ได้แก่ (๑)กาย'กุจริต(๒)วจี'กุจริต(๓)มโน'กุจริต จักสมาทานกุศล ๓ ประการนี้ ได้แก่(๑)กายสุจริต (๒)วจีสุจริต(๓)มโนสุจริต แล้วประพฤติอยู่ ข้อนั้นเพราะเหลุไร เพราะสมณพราหมณ์เหล่านั้น เห็นโทษ ความตํ่าทราม ความเศร้าหมองแห่งอกุศลธรรม เห็นอานิสงส์ในเนกขัมมะอันเป็นฝ็ายผ่องแผ้วแห่งกุศลธรรม อนี้ง การกระทำมีผล เขาเห็นว่า 'การกระทำมีผลจริง' ความเห็นนั้นของเขาจึงเป็น สัมมาทิฎเ การกระทำมีผลจริง เขาดำริว่า 'การกระทำมีผลจริง' ความดำรินั้นของเขาจึงเป็น สัมมาสังกัปปะ การกระทำมีผลจริง เขากล่าวว่า 'การกระทำมีผลจริง' วาจานั้นของเขาจึงเป็น สัมมาวาจา การกระทำมีผลจริง เขากล่าวว่า'การกระทำมีผลจริง' ผู้นี้ชื่อว่าไม่ทำตนเป็นข้าคืกกับ พระอร'หันต์ผู้เป็นกิริยวาทะการกระทำมีผลจริง เขาทำให้ผู้อื่นเข้าใจว่า 'การกระทำมีผลจริง' การ ที่เขาทำให้ผู้อื่นเข้าใจเช่นนั้น เป็นการทำให้เข้าใจถูกตามความเป็นจริง และเขาย่อมไม่ยกตนข่ม ผู้อื่น ด้วยการทำให้เข้าใจถูกตามความเป็นจริงนั้น โดยนัยนี้ เริ่มด้นเขาก็ละทิ้งความเป็นผู้'กุศีล แล้วตั้งตนเป็นคนมีศีลดีงาม เพราะสัมมาทิฎฐิเป็นฟ้จจัย กุศลธรรมเป็นอเนกเหล่านี้ คือ สัมมาทิฎฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา ความไม่เป็นข้าศึกกับพระอริยะ การทำให้เข้าใจถูกตาม ความเป็นจริง การไม่ยกตน การไม่ข่มผู้อื่นย่อมเกิดขึ้น ด้วยประการอย่างนี้ พราหมณ์และคหบดีทั้งหลาย ในลัทธิของสมณพราหมณ์เหล่านั้น ริญญชนย่อมเห็น ประจักษ์ชัดดังนี้ว่า 'ล้าการกระทำมีผลจริง เมื่อเป็นอย่างนี้ บุรุษบุคคลนี้หลังจากตายแล้วจักไป เกิดในสุคติโลกสวรรค์ ล้าการกระทำไม่มีผลจริง คำ ของสมณพราหมณ์เหล่านั้นจะจริงหรือไม่ก็ ช่างเถิด เมื่อเป็นเช่นนั้น บุรุษบุคคลนี้ก็ย่อมได้รับคำสรรเสริญจากวิญญชนในป็จจุบันว่า 'เป็น บุรุษบุคคล^ศีล เป็นสัมมาทิฎฐิเป็นกิริยวาทะ' ล้าการกระทำมีผลจริง บุรุษบุคคลนี้ก็จะได้รับ คุณในโลกทั้ง ๒ คือ (๑)ในบัจจุบันวิญญชนย่อมสรรเสริญ (๒)หลังจากตายแล้ว จักไปเกิด ในสุคติโลกสวรรค์ อย่างนี้อฟ้ณณกธรรม ที่บุคคลนั้นสมาทานให้บริบุรณ์ดีแล้ว แพร่ดิ่งไปทั้งสองฝ่ายย่อม ละเหตุที่เป็นอกุศลได้ด้วยประการอย่างนี้ www.kalyanamitra.org

กฎแฟงกรรม * (cDGC*® อนง การกระทำมีผล เขาเห็นว่า 'การกระทำมีผลจริง' ความเห็นใงั้นของเขาจึงเป็น สัมมาทิฎฐิ การกระทำมีผลจริง เขาดำริว่า 'การกระทำมีผลจริง' ความดำริใงั้นของเขาจึงเป็น สัมมาสังกัปปะ การกระทำมีผลจริง เขากล่าวว่า 'การกระทำมีผลจริง' วาจานั้นของเขาจึงเป็น สัมมาวาจา การกระทำมีผลจริง เขากล่าวว่า'การกระทำมีผลจริง' ผู้นี้ชื่อว่าไม่ทำตนเป็นข้าศึกกับ พระอรหันต์ผู้เป็นกิริยวาทะการกระทำมีผลจริง เขาทำใหัผู้อื่นเข้าใจว่า 'การกระทำมีผลจริง' การ ที่เขาทำใหัผู้อื่นเข้าใจเช่นนั้น เป็นการทำให้เข้าใจถูกตามความเป็นจริง และเขาย่อมใม่ยกตนข่ม ผู้อื่น ด้วยการทำให้เข้าใจถูกตามความเป็นจริงนั้น โดยนัยนี้ เริ่มด้นเขาก็ละทิ้งความเป็นผู้ทุศีล แล้วตั้งตนเป็นคนมีศีลดีงาม เพราะสัมมาทิฎฐิเป็นปัจจัย กุศลธรรมเป็นอเนกเหล่านี้ คือ สัมมาทิฎเ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา ความใม่เป็นข้าศึกกับพระอริยะ การทำให้เข้าใจถูกตาม ความเป็นจริง การใม่ยกตน การใม่ข่มผู้อื่นย่อมเกิดขึ้น ด้วยประการอย่างนี้ พราหมณ์และคหบดีทั้งหลาย ในลัทธิของสมณพราหมณ์เหล่านั้น วิญญชนย่อมเห็น ประจักษ์ชัดดังนี้ว่า 'ล้าการกระทำมีผลจริง เมื่อเป็นอย่างนี้ บุรุษบุคคลนี้หลังจากตายแล้วจักใป เกิดในสุคติโลกสวรรค์ ล้าการกระทำใม่มีผลจริง คำ ของสมณพราหมณ์เหล่านั้นจะจริงหรือใม่ก็ ช่างเกิด เมื่อเป็นเช่นนั้น บุรุษบุคคลนี้ก็ย่อมใด้รับคำสรรเสริญจากวิญญชนในปัจจุบันว่า 'เป็น บุรุษบุคคลผู้มศีล เป็นสัมมาทิฏฐิเป็นกิริยวาทะ' ล้าการกระทำมีผลจริง บุรุษบุคคลนี้ก็จะใด้รับ คุณในโลกทั้ง ๒ คือ (๑)ในปัจจุบันวิญญชนย่อมสรรเสริญ(๒)หลังจากตายแล้ว จักใปเกิดใน สุคติโลกสวรรค์ อย่างนี้อปัณณกธรรม ที่บุคคลนั้นสมาทานให้บริบูรณ์ดีแล้ว แพร่ดึ๋งใปทั้งสองฝ่ายย่อม ละเหตุที่เป็นอกุศลใด้ ด้วยประการอย่างนี้ เหตุกทิฎเกับอเหดุกทิฎฐิ พราหมณ์และคหบดีทั้งหลาย มีสมณพราหมณ์พวกหนง^วาทะอย่างนี้มีทิฎฐิอย่างนี้ว่า 'ความเศร้าหมองของสัตว์ทั้งหลายไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัย สัตว์ทั้งหลายเศร้าหมองเอง ความ บริสุทธิ่ของสัตว์ทั้งหลาย ไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัย สัตว์ทั้งหลายบริสุทธิ๋เอง ไม่มีกำสัง ไม่มีความ เพียร ไม่มีความสามารถของมทุษย์ ไม่มีความพยายามของมนุษย์ สัตว์ ปาณะ ภูตะ ชีวะ'ทั้งปวง 'สัตว์หมายถึงสัตว์ทุกจำพวก เช่น ลูฐ โค ลา ปาณะ หมายถึงสัตว์ที่มี ๑ อินทรีย์๒ อินทรีย์เป็นส์น ดูตะ หมายถึงสัตว์ทุกจำพวกทั้งที่เกิดจากฟองไข่และเกิดในครรภ์มารดา ชีวะ หมายถึงพวกพืชทุกชนิด www.kalyanamitra.org

กฎแฟงกรรม ะ ๑๙๒ ล้วนไม่มีอำนาจ ไม่มีกำลัง ไม่มีความเพืยร ผันแปรไปตามโชคชะตา ตามสถานภาพทางลังคม และตามลักษณะเฉพาะคน' พราหมณ์และคหบดีทั้งหลาย สมณพราหมณ์อีกพวกหนึ๋ง มีวาทะขัดแย้งโดย ลักษณะเฉพาะตน ย่อมเสวยลุ[ขและทุกข์ในอภิชาติ'ทั้ง ๖ ตรงกับสมณพราหมณ์เหล่านั้น พวกเขากล่าวอย่างนีว่า 'ความเศร้าหมองของสัตว์ทังหลายมีเหตุ มีปัจจัย สัตว์ทั้งหลายเศร้าหมอง เอง ความบริลุ[ทธึ๋ของสัตว์ทังหลายมีเหตุ มีปัจจัย สัตว์ทั้งหลายบริลุ[ทธึ๋เอง มีกำ ลัง มีความเพียร มี ความสามารถของมนุษย์ มีความพยายามของมนุษย์ สัตว์ ปาณะ ถูตะ ชีวะทั้งปวง ไม่ใช่ไม่มี อำ นาจไม่มีกำลัง ไม่มีความเพียร ผันแปรไปตามโชคชะตา ตามสถานภาพทางสังคมและตาม ลักษณะเฉพาะตน เสวยลุ[ขและทุกข์ในอภิชาติทัง ๖' ท่านทังหลายเข้าใจความข้อนั้นว่าอย่างไร สมณพราหมณ์เหล่านีมีวาทะขัดแย้งกันโดยตรง มิใช่หรือ\"พราหมณ์และคหบดีเหล่านันกราบพูล ว่า \"ใช่ พระพุทธเจ้าข้า\" โทษแห่งการปฎิฃ้ติผิด พระ^พระภาคตรัสว่า \"พราหมณ์และคหบดีทั้งหลาย ในลัทธิของสมณพราหมณ์ เหล่านัน สมณพราหมณ์เหล่าใด^วาทะอย่างนี มีทิฎเอย่างนี้ว่า'ความเศร้าหมองของสัตว์ ทังหลาย ไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัย สัตว์ทังหลายเศร้าหมองเองความบริลุ[ทธึ้ของสัตว์ทั้งหลาย ไม่มี เหตุ ไม่มีปัจจัย สัตว์ทังหลายบริลุ(ทธึ๋เอง ไม่มีกำลัง ไม่มีความเพียร ไม่มีความสามารถของมนุษย์ ไม่มีความพยายามของมนุษย์สัตว์ปาณะ ถูตะ ชีวะทั้งปวง ล้วนไม่มีอำนาจ ไม่มีกำลัง ไม่มีความ เพียร ผันแปรไปตามโชคชะตา ตามสถานภาพทางสังคมและตามลักษณะเฉพาะตน ย่อมเสวยลุ[ข และทุกข์ในอภิชาติทัง ๖' สมณพราหมณ์เหล่านั้นพึงหวังข้อนี้ได้ คือ จักเว้นกุศลธรรม ๓ 'อภิชาติทง ๖ ไติ'แก่ ๑.กัณหาภิชาติ(^ชาติดำ)หมายถึงผู้ทำงานน่ากลัว เช่น เป็นโจร เป็นเพชฌฆาต ๒.นีลาภิชาติ(^ชาติเขียว)หมายถึงภิกชุผู้เป็น'นักบวชพวกหนึ๋ง ผู้เลือกกินแต่เนื้อปลา ต). โลหิตาภิชาติ(^ชาติแดง)หมายถึงนิครนถ์ผู้ถือติ'าผืนเดียวเป็นวัตร ๔.หลิททากิชาติ(^ชาติเหลือง)หมายถึงคฤหัสถ์ผู้เป็นสาวกของชีเปลือย ผู้ประเสริฐกว่าพวกนิครนถ์ ๕.สุกกากิชาติ(^ชาติขาว)หมายถึงเจ้าลัทธิชื่อ นันทะ วัจฉะ ลังกิจจะ ดีกว่า ๔ จำ พวกข้างติ'น ๖.ปรมสุกกากิชาติ(^ชาติขาวที่สุด)หมายถึงพวกอาชีวก^ลัทธิดีกว่า๕ จำ พวกข้างติ'น www.kalyanamitra.org

กฎแฟงกรรม : ๑๙๓ ประการนี้ ได้แก่ (๑) กายลุ[จริต (๒) วจีลุ[จริต (๓) มโนลุ[จริต จักสมาทานอกุศลธรรม ๓ ประการนี้ ได้แก่(๑)กายทุจริต(๒)วจีทุจริต(๓)มโนทุจริต แล้วประพฤติอยู่ ข้อนั้นเพราะเหดุไร เพราะสมณพราหมณ์เหล่านั้น ไม่เห็นโทษความตํ่าทราม ความเศร้าหมองแห่งอกุศล ธรรมไม่เห็นอานิสงส์ไนเนกขัมมะอันเป็นฝ่ายผ่องแผ้วแห่งกุศลธรรม อนี้ง เหตุมีอยู่ แต่เขากลับเห็นว่า 'เหตุไม่มี' ความเห็นนั้นของเขาจึงเป็นมิจฉาทิฏฐิ เหตุมี อยู่ แต่เขาดำริว่า 'เหตุไม่มี' ความดำรินั้นของเขาจึงเป็นมิจฉาสังกัปปะ เหตุมีอยู่ แต่เขากล่าวว่า 'เหตุไม่มี' วาจานั้นของเขาจึงเป็นมิจฉาวาจา 'เหตุมีอยู่'เขากล่าวว่า 'เหตุไม่มี' ผู้นี้ย่อมทำตนให้ เป็นข้าสืกกับพระอรหันต์ผู้เป็นเหตุกวาทะ เหตุมีอยู่ เขาทำให้ผู้อื่นเข้าใจว่า 'เหตุไม่มี' การที่เขา ทำ ให้ผู้อื่นเข้าใจเช่นนั้นเป็นการทำให้เข้าใจผิดจากความเป็นจริง และเขายังจะยกตนข่มผู้อื่นด้วย การทำให้เข้าใจผิดจากความเป็นจริงนั้น โดยนัยนี้ เริ่มด้นเขาก็ละทิ้งความเป็น^ศีลดีงามแล้วตั้ง ตนเป็นคนทุศีล เพราะมิจฉาทิฎแป็นป็จจัย บาปอกุศลธรรมเป็นอเนกเหล่านี้คือ มิจฉาทิฎฐิ มิจ- ฉาสังกัปปะ มิจฉาวาจา ความเป็นข้าศึกกับพระอริยะ การทำให้ผู้อื่นเข้าใจผิดจากความเป็นจริง การยกตน การข่มผู้อื่น ย่อมเกิดขึ้น ด้วยประการอย่างนี้ พราหมณ์และคหบดีทั้งหลาย ในลัทธิของสมณพราหมณ์เหล่านั้น วิญญชนย่อมเห็น ประจักษ์ชัดดังนี้ว่า 'ล้าเหตุไม่มี เมื่อเป็นอย่างนี้ บุรุษบุคคลนี้ หลังจากตายแล้ว จักทำตนให้มี ความสวัสดีได้ ล้าเหตุมีอยู่จริง เมื่อเป็นอย่างนี้ บุรุษบุคคลนี้ หลังจากตายแล้ว จักไปเกิดในอบาย ทุคติ วินิบาต นรก'ล้ายอมรับว่าเหตุไม่มีจริง ดำ ของสมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้นจะจริงหรือไม่ ก็ช่างเกิด เมื่อเป็นเช่นนั้น บุรุษบุคคลนี้ย่อมถูกวิญญชนติเตียนได้ในฟ้จจุบันว่า 'เป็นบุรุษบุคคลผู้ ทุศีลเป็นมิจฉาทิฎฐิ เป็นอเหตุกวาทะ'ล้าเหตุมีอยู่จริง บุรุษบุคคลนี้จะได้รับโทษในโลกทั้ง ๒ คือ (๑)ในฟ้จจุบันถูกวิญญชนติเตียนได้(๒)หลังจากตายแล้ว จักไปเกิดในอบาย ทุคติ วินิบาต นรก อย่างนี้ อป็ณณกธรรมนี้ ที่บุคคลนั้นสมาทานให้บริบูรณ์ไม่ดี แพร่ดึ๋งไปฝ่ายเดียว (ยึดถือวาทะ ของตนเองฝ่ายเดียว)ย่อมละเหตุที่เป็นกุศล ด้วยประการอย่างนี้ www.kalyanamitra.org

กฎแฟงกรรม ะ ๑๙cr คุณแห่งการปฎิบ้ติชอบ พราหมณ์และคหบดีทั้งหลาย ในลัทธิของสมณพราหมณ์เหล่าทั้นสมณพราหมณ์เหล่าใด ^วาทะอย่างนี มีทิฎเอย่างนีว่า 'ความเศร้าหมองของสัตว์ทั้งหลายมีเหตุ มีปัจจัย สัตว์ทั้งหลาย จึงเศร้าหมอง ความบริสุทธิ้ของสัตว์ทั้งหลายมีเหตุ มีปัจจัย สัตว์ทั้งหลายจึงบริสุทธี้ มีกำ ลัง มี ความเพียร มีความสามารถของมนุษย์ มีความพยายามของมนุษย์ สัตว์ ปาณะ ฎตะ ชีวะทั้งปวง ล้วนไม่มีอำนาจไม่มีกำลัง ไม่มีความเพียร ผันแปรไปตามโชคชะตา ตามสถานภาพทางสังคม และตามลักษณะเฉพาะของตน ย่อมไม่ได้เสวยฐขและทุกข์ในอภิชาติทั้ง ๖' สมณพราหมณ์ เหล่านั้นพึงหวังฃ้อนี้ได้ คือ จักเว้นอกุศลธรรม ๓ ประการนี้ ได้แก่(๑)กายทุจริต(๒)วจีทุจริต (๓)มโนทุจริต จักสมาทานกุศลธรรม ๓ ประการนี้ ได้แก่ (๑)กายสุจริต (๒)วจีสุจริต (๓)มโนสุจริต แล้วประพฤติอยู่ ข้อนั้น เพราะเหตุไร เพราะสมณพราหมณ์เหล่านั้น เห็นโทษ ความตํ่าฑราม ความเศร้าหมองแห่งอกุศลธรรม เห็นอานิสงส์ในเนกขัมมะอันเปีนผัายผ่องแผ้วแห่งกุศลธรรมอนึ่ง เหตุมีอยู่ เขาเห็นว่า เหตุมีอยู่ จริง'ความเห็นนั้นของเขาจึงเปีนสัมมาทิฏฐิเหตุมีอยู่จริง เขาดำริว่า 'เหตุมีอยู่จริง'ความดำรินั้น ของเขาจีงเปีนสัมมาสังกัปปะเหตุมีอยู่จริง เขากล่าวว่า 'เหตุมีอยู่จริง' วาจานั้นของเขาจึงเปีน สัมมาวาจา เหตุมีอยู่จริง เขากล่าวว่า 'เหตุมีอยู่จริง'ผ้นี้ชื่อว่าไม่ทำตนให้เปีนข้าศึกกับพระ- อรหันต์ผู้เปีนเหตุกวาทะ เหตุมีอยู่จริง เขาทำให้ผ้อื่นเข้าใจว่า 'เหตุมีอยู่จริง' การที่เขาทำให้ผู้อื่น เข้าใจเช่นนั้น เปีนการทำให้เข้าใจถูกคามความเปีนจริง และเขาย่อมไม่ยกตนฃ่มผู้อื่น ด้วยการทำ ให้เข้าใจถูกตามความเปีนจริงนั้น โดยนัยนี้ เริ่มด้นเขาก็ละทิ้งความเปีนผู้ทุศึลแล้วดั้งตนเปีนคน มีศึลดีงาม เพราะสัมมาทิฏแปีนปัจจัย กุศลธรรมเป็นอเนกเหล่านี้ คือ สัมมาทิฎฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา ความไม่เป็นข้าศึกกับพระอริยะ การทำให้เข้าใจลูกตามความเป็นจริง การไม่ยกตน การไม่ข่มผู้อื่นย่อมเภิดขึ้น ด้วยประการอย่างนี้พราหมณ์และคหบดีทั้งหลาย ในลัทธิของสมณ- พราหมณ์เหล่านั้น วิญญชนย่อมเห็นประจักษ์ชัดดังนี้ว่า 'ล้าเหตุมีอยู่ เมื่อเป็นอย่างนี้ บุรุษบุคคลนี้ หลังจากตายแล้ว จักไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์ ล้ายอมรับว่าเหตุไม่มีจริง คำ ของสมณพราหมณ์ เหล่านั้นจะจริงหรือไม่ก็ช่างเถิด เมื่อเป็นเช่นนั้น บุรุษบุคคลนี้ก็ย่อมได้รับคำสรรเสริญจากวิญญ- ชนในปัจจุบันว่า 'เป็นบุรุษบุคคลผู้มศีล มีสัมมาทิฎเ เป็นเหตุกวาทะ'ล้าเหตุมีอยู่จริง บุรุษบุคคล www.kalyanamitra.org

กฎแห่งกรรม ะ ๑๙๕ นี้ ก็จะได้รับคุณในโลกทั้ง ๒ คือ(๑)ในป๋'จธุบนวิญญชนย่อมสรรเสริญ(๒)หลังจากตายแล้วจัก ไปเกิดในคุคติโลกสวรรค์ อย่างนี้ อปัณณกธรรมนี้ ที่บุคคลนั้นสมาทานให้บริ\\jรณ์ดีแล้วอย่างนี้ แพร่ดึ๋งไปทั้งสองฝ่าย (ยึดถือวาทะของตนและผู้อื่น)ย่อมละเหตุที่เป็นอคุศลได้ด้วยประการอย่างนี้ ความขัดแย้งกันเรื่องอรูปพรหม พราหมณ์และคหบดีทั้งหลาย มีสมณพราหมณ์พวกหนี้ง^วาทะอย่างนี้มีทิฏเอย่างนี้ว่า 'อรูปพรหมไม่มีโดยประการทั้งปวง' สมณพราหมณ์อีกพวกหนี้งมีวาทะขัดแย้งโดยตรงกับสม- ณพราหมณ์เหล่านั้น พวกเขากล่าวอย่างนี้ว่า 'อรูปพรหมมีอยู่โดยประการทั้งปวง' ท่านทั้งหลาย เข้าใจความขัอทั้นว่าอย่างไร สมณพราหมณ์เหล่านี้มีวาทะขัดแย้งกันโดยตรง มิใช่หรือ\" \"ใช่ พระทุทธเจ้าข้า\" \"พราหมณ์และคหบดีทั้งหลาย ในลัทธิของสมณพราหมณ์พวกนั้น วิญญชนย่อมเห็น ประจักษ์ชัดดังนี้ว่า 'การที่สมณพราหมณ์ทั้งหลายมีวาทะอย่างนี้ มีทิฏเอย่างนี้ว่า 'อรูปพรหมไม่ มีโดยประการทั้งปวง' เราไม่เห็นด้วย แม้การที่สมณพราหมณ์ทั้งหลาย^วาทะอย่างนี้ มีทิฎเ อย่างนี้ว่า 'อรูปพรหมมีอยู่โดยประการทั้งปวง'เราก็ไม่รับรู้ด้วย ส่วนเราเอง เมื่อไม่รู้ ไม่เห็น จะ พึงถือเอาฝ่ายเดียว กล่าวว่า'นี้เท่านั้นจริง อย่างอื่นไม่จริง' ข้อนั้นไม่เป็นการสมควรแก่เราเลย ล้า คำ ของสมณพราหมณ์ทั้งหลาย ^วาทะอย่างนี้ มีทิฎเอย่างนี้ว่า 'อรูปพรหมไม่มีโดยประการทั้ง ปวง' เป็นคำจริงแล้ว เป็นไปได้ที่เราจักเกิดในเหล่าเทพ^รูปสำเร็จด้วยใจ ซํ่งไม่ถือว่าผิด ล้าคำ ของสมณพราหมณ์ทั้งหลาย^วาทะอย่างนี้ มีทิฎเอย่างนี้ว่า 'อรูปพรหมมีอยู่โดยประการทั้ง ปวง' เป็นคำจริงแล้ว เป็นไปได้ที่เราจักเกิดในเหล่าเทพผู้ใม่มีรูปสำเร็จด้วยสัญญาซึ๋งไม่ถือว่าผิด อนง การถือท่อนไม้ การถือศัสตราการทะเลาะ การแก่งแย่ง การวิวาท การพูดขึ้นเสียงว่า 'เจ้า เจ้า' การพูดส่อเสียดและการพูดเท็จซํ่งมีรูปเป็นเหตุย่อมปรากฎ แต่ข้อนี้ย่อมไม่มีในอรูปพรหม โดยประการทั้งปวง' วิญญชนนั้นครั้นพิจารณาดังนี้แล้วย่อมปฎิบติเพื่อความเมื่อหน่ายเพื่อคลาย กำ หนัด เพื่อดับแห่งรูปอย่างเดียว www.kalyanamitra.org

กฎแฟงกรรม :๑๙๖ ความขัดแย้ง!รองภพ พราหมณ์และคหบดีทั้งหลาย มึสมณพราหมณ์พวกหนึ่งผู้มีวาทะอย่างนี้ มีทิฏเอย่างนี้ ว่า 'ความดับสนิทแห่งภพ'ไม่มีโดยประการทั้งปวง' สมณพราหมณ์อีกพวกหนึ่ง มีวาทะขัดแย้ง โดยตรงกับสมณพราหมณ์เหล่านั้น พวกเขากล่าวอย่างนี้ว่า 'ความดับสนิทแห่งภพมีอยู่โดย ประการทั้งปวง' ท่านทั้งหลายเขาใจความข้อนั้นว่าอย่างไร สมณพราหมณ์เหล่านี้มีวาทะขัดแย้ง กันโดยตรง มิใช่หรือ\" \"ใช่ พระทุทธเจ้าข้า\" \"พราหมณ์และคหบดีทั้งหลาย ในลัทธิของสมณพราหมณ์เหล่าทั้น วิญญชน ย่อมเห็นประจักษ์ชัดดังนี้ว่า 'การที่สมณพราหมณ์ทั้งหลายผูมวาทะอย่างนี้ มีทิฏเอย่างนี้ ว่า 'ความดับสนิทแห่งภพไม่มีโดยประการทั้งปวง' เราไม่เห็นด้วย แม้การที่สมณพราหมณ์ ทั้งหลายผูมวาทะอย่างนี้ มีทิฎเอย่างนี้ว่า 'ความดับสนิทแห่งภพมีอยู่โดยประการทั้งปวง' เราก็ ไม่รับเด้วย ส่วนเราเอง เมื่อไม่รู้ ไม่เห็น จะถือเอาฝ่ายเดียวแล้วกล่าวว่า 'นี้เท่าทั้นจริง อย่างอื่นไม่ จริง'ข้อนั้นไม่เป็นการสมควรแก่เราเลย ล้าคำของสมณพราหมณ์ทั้งหลายผูมวาทะอย่างนี้ มีทิฎเ อย่างนี้ว่า 'ความดับสนิทแห่งภพไม่มีโดย ประการทั้งปวง' เป็นคำจริงแล้ว เป็นไปได้ที่เราจักเกิดในเหล่าเทพผู้ไม่มีรูปสำเร็จด้วย สัญญาซึ๋งไม่ถือว่าผิด อนง ล้าคำของสมณพราหมณ์ทั้งหลายผู้มวาทะอย่างนี้ มีทิฎเอย่างนี้ว่า 'ความดับสนิทแห่งภพมีอยู่โดยประการทั้งปวง' เป็นคำจริงแล้ว เป็นไปได้ที่เราจักปรินิพพานใน ป'จจุบัน ความเห็นของสมณพราหมณ์ทั้งหลายผู้มวาทะอย่างนี้ มีทิฎเอย่างนี้ว่า 'ความดับสนิท แห่งภพไม่มีโดยประการทั้งปวง' นื้เกล้ต่อธรรมที่ยังมีความกำหนัด ใกล้ต่อธรรมที่ยังมีสังโยชน์ ใกล้ต่อธรรมมียังมีความเพลิดเพลิน ใกล้ต่อธรรมที่มีความจดจ่อ ใกล้ต่อธรรมที่ยังมีความถือมั่น ส่วนความเห็นของสมณพราหมณ์ทั้งหลายผู้มวาทะอย่างนีมีทิฎเอย่างนี้ว่า 'ความดับสนิทแห่ง ภพมีอยู่โดยประการทั้งปวง' นี้ใกล้ต่อธรรมที่ไม่มีความกำหนัด ใกล้ต่อธรรมที่ไม่มีสังโยชน์ ใกล้ ต่อธรรมที่ไม่มีความเพลิดเพลินใกล้ต่อธรรมที่ไม่มีความจดจ่อ ใกล้ต่อธรรมที่ไม่มีความถือมั่น วิญญชนนั้นครั้นพิจารณาดังนี้แล้วย่อมปฏิบัติเพื่อความเมื่อหน่าย เพื่อคลายกำหนัด เพื่อดับแห่ง ภพอย่างเดียว 'ความดับสนิทแห่งภพ ในที่นี้หมายถึงนิพพาน www.kalyanamitra.org

กฎแฟงกรรม ะ ๑๙๗ 1jคคล ๔ ประเภท พราหมณ์และคหบดีทั้งหลาย บุคคล ๔ ประเภทนี้ มีปรากฎอยู่ในโลก บุคคล ๔ ประเภท ไหนบ้าง คือ บุคคลบางคนในโลกนี้ ๑) เป็นผู้ทำตนให้เดือดร้อน หมั่นประกอบในการทำตนให้เดือดร้อน ๒)เป็นผู้ทำผู้อื่นให้เดือดร้อน หมั่นประกอบในการทำผู้อื่นให้เดือดร้อน ๓)เป็นผู้ทำตนให้เดือดร้อน หมั่นประกอบในการทำตนให้เดือดร้อนและเป็นผู้ทำผู้อื่นให้ เดือดร้อน หมั่นประกอบในการทำผู้อื่นให้เดือดร้อน ๔)เป็นผู้ไม่ทำตนให้เดือดร้อน ไม่หมั่นประกอบในการทำตนให้เดือดร้อน และเป็นผู้ไม่ทำผู้อื่น ให้เดือดร้อน ไม่หมั่นประกอบในการทำผู้อื่นให้เดือดร้อนบุคคลผู้ไม่ทำตนให้เดือดร้อน ไม่ ทำ ผู้อื่นให้เดือดร้อนนั้น เป็นผู้ไม่หิว ดับร้อนเย็นใจ มีตนอันประเสริฐ เสวยสุขอยู่ในป็จฐบัน บุคคลเป็นผู้ทำตนให้เดือดร้อน หมั่นประกอบในการทำคนให้เดือดร้อน เป็นอย่างไร คือ บุคคลบางคนในโลกนี้เป็นอเจลก(ประพฤติเปลือยกาย)ไม่มีมารยาทเลียมือ ฯลฯ ลือ การย่างและอบกายหลายรูปแบบอยู่ ด้วยประการอย่างนี้ พราหมณ์และคหบดีทั้งหลาย บุคคลนี้เรียกว่า เป็นผู้ทำตนให้เดือดร้อนหมั่นประกอบใน การทำตนให้เดือดร้อน บุคคลเป็นผู้ทำผู้อื่นให้เดือดร้อน หมั่นประกอบในการทำผู้อื่นให้เดือดร้อน เป็นอย่างไร คือ บุคคลบางคนในโลกนี้ ฆ่าแพะ ฆ่าสุกร ฯลฯ หรือบางพวกเป็นผู้ทำการทารูณ พราหมณ์และคหบดีทั้งหลาย บุคคลนี้เรียกว่า เป็นผู้ทำผู้อื่นให้เดือดร้อนหมั่นประกอบในการทำ ผู้อื่นให้เดือดร้อน บุคคลเป็นผู้ทำตนให้เดือดร้อน หมั่นประกอบในการทำตนให้เดือดร้อนและเป็นผู้ทำผู้อื่น ให้เดือดร้อน หมั่นประกอบในการทำผู้อื่นให้เดือดร้อน เป็นอย่างไร คือ บุคคลบางคนในโลกนี้เป็นพระราชามหากษัตริย์ผู้ได้รับมูรธาภิเษกแล้วก็ดี ฯลฯ เหล่า ชนผู้เป็นทาสก็ดี เป็นคนรับใช้ก็ดี เป็นคนงานก็ดี ของพระราชาทั้นฤกอาชญาคุกคาม ถูกภัย คุกคาม มีนํ้าตานองหน้า ร้องไห้ไปทำงานไป www.kalyanamitra.org

กฎแฟงกรรม ะ ๑๙ พราหมณ์และคหบดีทั้งหลาย บุคคลนี้เรยกว่า เป็นผู้ทำตนให้เดือดร้อน หมั่นประกอบใน การทำตนให้เดือดร้อน และเป็นผู้ทำผู้อื่นให้เดือดร้อน หมั่นประกอบในการทำผู้อื่นให้เดือดร้อน บุคคลเปีนผู้ไม่ทำตนให้เดือดร้อน ไม่หมั่นประกอบในการทำตนให้เดือดร้อน และเป็นผู้ ไม่ทำผู้อื่นให้เดือดร้อน ไม่หมั่นประกอบในการทำผู้อื่นให้เดือดร้อน เขาไม่ทำดนให้เดือดร้อนไม่ ทำ ผู้อื่นให้เดือดร้อน เป็นผู้ไม่หิว ดับร้อน เย็นใจมีดนอนประเสริฐ เสวยบุขอยูไนป็'จฐบัน เป็น อย่างไร คือ ตถาคต(ในที่นี้หมายถึงพระผู้มพระภาค)อุป้ติขึ้นมาในโลกนี้ เป็นพระอรหันต์ตรัสรู้ ด้วยตนเองโดยชอบ ฯลฯ ภิกษุนั้นครั้นละนิวรณ์ ๕ ประการนี้ที่เป็นเครื่องเศร้าหมองแห่งจิต เป็นเครื่องทอนกำลัง ปัญญาแล้ว สงัดจากกามและอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌานที่มีวิตก วิจาร ปีติ และสุข อันเกิดจากวิเวกอยู่ เพราะวิตกวิจารสงบระงับไป บรรลุทุติยฌานมีความผ่องใสในภายใน มีภาวะ ที่จิตเป็นหนี้งษุดขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีแต่ปีติและสุขอันเกิดจากสมาธิอยู่ เพราะปีติจางคลาย ไป บรรลุตติยฌาน ฯลฯ อยู่เพราะละสุขและทุกขํได้ เพราะโสมนัสและโทมนัสดับไปก่อนแล้ว บรรลุจตุตถฌาน ฯลฯ อยู่ วิชชา ๓ เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธตุดผ่อง ไม่มีกิเลสเพียงดังเนิน ปราศจากความเศร้าหมอง อ่อน เหมาะแก่การใช้งาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนี้ ภิกษุนั้นน้อมจิตไปเพื่อผู้พเพนิวาสาบุสสติญาณ ระลึกชาติก่อนได้หลายชาติ คือ ๑ ชาติบ้าง ๒ ชาติบ้าง ฯลฯ เธอระลึกชาติก่อนได้หลายชาติ พร้อมทั้งลักษณะทั่วไปและชีวประวัติอย่างนี้ เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธผุดผ่อง ไม่มีกิเลสเพียงดังเนิน ปราศจากความเศร้าหมอง อ่อน เหมาะแก่การใช้งาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนี้ ภิกษุนั้นน้อมจิตไปเพื่อจุลูปปาตญาณ เห็นหมู่ สัตว์ผู้กำลังจุติ กำ ลังเกิต ทั้งชั้นต์าและชั้นสูง งามและไม่งาม เกิดดีและเกิดไม่ดี ด้วยตาทิพย์อัน บริสุทธเหนือมนุษย์ฯลฯ (ทิพพจักขุ ตาทิพย์หรือเริยกว่าจุลูปปาตญาณ)รู้ชัดถึงหมู่สัตว์ผู้เป็นไป ตามกรรม อย่างนี้แล www.kalyanamitra.org

กฎแฟงกรรม ะ ๑๙๙ เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริลุ[ทธี้F^คผ่อง ไม่มีกิเลสเพียงดังเนิน' ปราศจากความเศร้าหมอง อ่อน เหมาะแก่การใช้งาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนี้ ภิกยุนั้นน้อมจิตไปเพื่ออาสวักฃยญาณ รู้ชัดตาม ความเป็นจริงว่า 'นี้ทุกข์ ฯลฯ นี้อาสวนิโรธคามินิปฏิปทา' เมื่อเธอรู้เห็นอยู่อย่างนี้ จิตย่อมหลุด พ้นจากกามาสวะ กวาสวะ และอวิชชาสวะ เมื่อจิตหลุดพ้นแล้วก็รู้ว่า 'หลุดพ้นแล้ว'รู้ชัดว่า 'ชาติ สิ้นแล้ว อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว ทำ กิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ไม่มีกิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้อีก พราหมณ์และคหบดีทั้งหลาย บุคคลนี้เรียกว่า เป็นผู้ไม่ทำตนให้เดือดร้อนไม่หมั่น ประกอบในการทำตนให้เดือดร้อน และเป็นผู้ไม่ทำผู้อื่นให้เดือดร้อน ไม่หมั่นประกอบในการทำ ผู้อื่นให้เดือดร้อน เขาไม่ทำตนให้เดือดร้อน ไม่ทำผู้อื่นให้เดือดร้อนจึงเป็นผู้ไม่หิว ดับร้อน เย็น ใจ มีตนอันประเสริฐ เสวยลุ[ขอยู่ในปัจจุบัน\"ชาวบ้านสาลาแสดงตนเป็นอุบาสก เมื่อพระ^พระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว พราหมณ์และคหบดีชาวบ้านสาลาได้กราบพูลว่า \"ช้าแต่ท่านพระโคดม พระภาษิตของพระองค์ชัดเจนไพเราะยึ๋งนัก ช้าแต่ท่านพระโคดม พระ กาษิตของพระองค์ชัดเจนไพเราะยิ่งนัก ท่านพระโคดมทรงประกาศธรรมแจ่มแจ้งโดยประการ ต่าง ๆ เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่ควรเปีดของที่ปิด บอกทางแก่ผู้หลงทาง หรือตามประทีป ในที่มืด ด้วยตั้งใจว่า 'คนมีตาดีจักเห็นรูปได้' ช้าพระองค์ทั้งหลายนี้ขอถึงท่านพระโคดม พร้อมทั้ง พระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ ขอท่านพระโคดมจงทรงจำช้าพระองค์ทั้งหลายว่า เป็นอุบาสกผู้ถึงสรณะ ตั้งแต่วันนี้เป็นด้นไปจนตลอดชีวิต\"ดังนี้แล อปัณณกสูตร จบ จากอปัณณกสูตร มีสาระสำคัญ ดังนี้ พระองค์ทรงแสดงอปัณณกธรรม ด้วยวิธีการคือ ทรงยกทิฎฐิต่าง ๆ ขึ้นมาอธิบาย เปรียบเทียบให้เห็นคุณและโทษอย่างชัดเจนของบุคคลที่ยึดถือตามแต่ละทิฎฐินั้น แล้วยังทรง แนะนำวิธีปฏิบัติที่ถูกและเหมาะสม เช่น กล่าวถึงสมณพราหมณ์๒ พวก ^ทิฎฐิขัตแย้งกัน โดย 'กิเลสเพียงดังเนิน(อังคณะ)หมายถึงกิเลสเพียงดังเนิน คือ ราคะ โทสะ โมหะ มลทินหรือเปีอกตม ในที่บางแ'ห่ง หมายถึง พื้นที่เป็นเนินตามที่พูดกันว่าเนินโพธึ๋ เนินเจดีย์เป็นต้น แต่ในที่นี้ ท่านพระสารีบุตรประสงค์เอากิเลสอย่างเผ็ดร้อน นานัปการว่า กิเลสเพียงดังเนิน www.kalyanamitra.org

กฎแฟงกรรม ะ ๒๐๐ พวกที่ ๑ มีฑิฎเว่า ทานที่ให้แล้วไม่มีผล เป็นต้น ผลที่ยึดถือทิฎฐิประเภทนี้ คือ จักเว้น คุศลธรรม ประพฤติอกุศลธรรม กลายเป็นคนทุศีล ประกอบต้วยมิจฉาทิฎเ มิจฉาสังกัปปะ มิจฉาวาจา ทำตนเป็นข้าศึกกับพระอรหันต์ ในเรื่องนี้ วิญณูชน^ป็ญญา ควรจะพิจารณาให้เห็นชัดว่า - ถ้าโลกหน้าไม่มี บุคคลนี้ตายไปแล้วจักทำตนให้สวัสดี(ปลอดภัย)ไต้ - ถ้าโลกหน้ามี เขาก็จักไปเกิดในอบาย ทุคติ วินิบาต นรก - ถ้าโลกหน้าไม่มีจริง คำ ของสมณพราหมณ์เหล่านั้นจะจริงหรือเท็จก็ช่างเกิด เขาก็จะ ถูกตำหนิ ติเดียนในป็จชุบันแน่นอน - ถ้าโลกหน้ามีจริง เขาจะไต้รับโทษใน ๒ สถาน คือ ๑) ในบัจธุบัน วิญญชน ตำหนิติเตียนไต้ ๒)ตายไปแล้วจะไปเกิดในนรก พวกที่ ๒ มีทิฎฐิว่า ทานที่ให้แล้วมีผล เป็นต้น ผลที่ยึดถือทิฎเประเภทนี้ คือ จักเว้น อกุศลธรรม ประพฤติธรรมกุศลธรรม ละทิ้งความเป็นผู้ทุศีล ประกอบต้วยสัมมาทิฎเ สัมมา- สังกัปปะ สัมมาวาจา ไม่ทำตนเป็นข้าศึกกับพระอรหันต์ ในเรื่องนี้ วิญญชน^ปัญญา ควรจะพิจารณาให้เห็นชัดว่า - ถ้าโลกหน้ามี บุคคลนี้ตายไปแล้วจักเกิดในสุคติโลกสวรรค์ - ถ้าโลกหน้าไม่มีจริง คำ ของสมณพราหมณ์เหล่านั้นจะจริงหรือเท็จก็ช่างเกิดเขาจะ ไต้รับการสรรเสริญในปัจจุบันแน่นอน - ถ้าโลกหน้ามีจริง เขาจะไต้รับคุณใน ๒ สถาน คือ ๑) ในปัจจุบันวิญญชนสรรเสริญ ๒)หลังจากตายไปแล้ว จักไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์ นี้เป็น(อปัณณกธรรม ข้อที่ ๑) ทรงสอนให้พิจารณาทิฏเของสมณพราหมณ์อีก ๘ จำพวก ๔ คู่ คือ พวกที่มีทิฎฐิว่า เมื่อบุคคลทำเอง หรือใช้ให้ผู้อื่นทำ ตัดเอง หรือใช้ให้ผู้อื่นตัด เผาผลาญ เองหรือใช้ให้ผู้อื่นเผาผลาญ ทำสัตว์ให้เศร้าโศกเองหรือใช้ผู้อื่นให้ทำสัตว์ให้เศร้าโศก .... ก็ไม่ จัดว่าทำบาป กับพวกที่มีทิฎฐิตรงกันข้าม(อปัณณกธรรมข้อที่ ๒) www.kalyanamitra.org

กฎแฟงกรรม ะ ๒๐๑ พวกที่มีทิฏเว่า ความเศร้าหมองของสัตว์ทั้งหลายไม่มีเหตุ ไม่มีป็จจัย กับพวกที่ทิฎฐิตรง กันข้าม(อป็ณณกธรรมข้อที่ ๓) พวกที่มีทิฎฐิว่า อรูปพรหมไม่มี กับพวกที่มีทิฎฐิตรงกันข้าม(อป๋'ณณกธรรมข้อที่ ๔) พวกที่มีทิฎฐิว่า ความดับสนิทแห่งภพไม่มี กับพวกที่มีทิฎฐิตรงกันข้าม (อป๋'ณณกธรรม ข้อที่ ๕) จากนั้นทรงแสดงบุคคล ๔ ประเภท คือ ๑ ทำตนให้เดือดร้อน ๒ ทำ ผู้อื่นให้เดือดร้อน ๓ ทำ ทั้งตนทั้งผู้อื่นให้เดือดร้อน ๔ ไม่ทำทั้งตนทั้งผู้อื่นให้เดือดร้อน ทิฎเต่างๆในพระสูตรนี้มี๕คู่®0 ประการคือ ๑) นัตถิกทิฎฐิ กับ อัตถิกทิฎฐิ ๒)อกิริยทิฎฐิ กับ กิริยทิฎฐิ ๓)อเหตุกทิฎฐิ กับ เหตุกทิฎฐิ ๔)ทิฎฐิว่า อรูปพรหมไม่มี กับ ทิฎฐิว่า อรูปพรหมมี ๕)ทิฎฐิว่า ความดับสนิทแห่งภพไม่มี กับ ทิฎฐิว่า ความดับสนิทแห่งภพมี พระอรรถกถาจารย์จัดบุคคลผู้นับถือทิฎฐิเหล่านีกับบุคคล ๔ ประเภทเข้าด้วยกันดังนี ผู้นับถือนัตถิกทิฎฐิ อกิริยทิฎฐิ อเหตุกทิฎฐิ ทิฎฐิว่า อรูปพรหมไม่มี และทิฎฐิว่า ความดับ สนิทแห่งภพไม่มี จัดเป็นบุคคลประเภทที่ ๑-๓ ผู้นับถืออัตถิกทิฎฐิ กิริยทิฎฐิ เหตุกทิฏฐิ ทิฎฐิว่า อรูปพรหมมี และทิฎฐิว่า ความดับสนิท แห่งภพมี จัดเป็นบุคคลประเภทที่ ๔ พระสูตรนี้ จึงใช้เป็นหลักในการพิจารณาทิฎฐิหรือลัทธิต่าง ๆ อย่างละเอียดชัดเจนทุกแง่ ทุกมุม ทั้งฝ่ายดีฝ่ายเสีย ผู้ปฎิบิตตามย่อมได้ชื่อว่าปฎิบตไม่ผิด และสามารถละอกุศลได้อย่าง แน่นอน จึงเป็นหลักการสำคัญที่น่าศึกษาเป็นอย่างยิ่ง ดังในความเห็นของพราหมฉ่เ ๒ จำ พวก สามารถสรุปหลักภารปฏิบิตสำหรับคนที่ไม่มี ความเชื่อเรื่องกฎแห่งกรรม คนไม่มีศาสนาได้ว่า แม้บุคคลผู้ไม่มีความเชื่อยึดเหนี่ยวจิตใจแต่ อย่างห้อยก็ควรมีหลักพิจารณาในการดำเนินชีวิตไห้ถูกด้อง โดยยึดหลักการปฎิบิติที่พระ- ลัมมาลัมทุทธเจ้าทรงแนะนำไว้ดังกล่าวว่า ถึงแม้จะมีความเชื่อหรือไม่มีความเชื่อเรื่องโลกนี้โลก หน้า หรือเรื่อง กฎแห่งกรรมก็ตาม หากปฎิบิตได้ถูกด้อง อย่างน้อยการดำเนินชีวิตในโลกนี้ก็จะมี www.kalyanamitra.org

กฎแฟงกรรม :kiola ความสุข และไม่ต้องทุกข์กับการที่ถูกคนอื่นวิพากษ์วิจารณ์ตำหนิหรือนินทาจากการกระทำไม่ดี ของตน หรือหากโลกนี้โลกหน้ามี กฎแห่งกรรมมีจริง การตำเนินชีวิตหลังจากตายไปแล้วก็ ปลอดภัย ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานในอบายภูมิ เพราะฉะนั้นการเชื่อเรึ๋องกฎแห่งกรรมมีแต่ผลดี อย่างเดียว อีกทั้งยังจะทำให้การตำเนินชีวิตของเรามีเข็มทิศชีวิตที่ถูกต้อง สึ๋งที่อยากจะชี้ให้เห็นว่า การไม่เชื่อในกฎแห่งกรรม ย่อมจะไต้รับผลเสียมากกว่าผลดี ดังนั้นแม้ไม่มีความเชื่อทางศาสนา หรือไม่มีความเชื่อเรื่องกฎแห่งกรรม อย่างน้อยก็ควรจะมี หลักในการพิจารณาเพื่อการตำเนินชีวิตที่ถูกต้องตามหลักที่พระสัมมาสัมทุทธเจ้าไต้ทรงแนะนำ ไว้ ก็จะทำให้การตำเนินชีวิตไนฟ้จจุบันไต้อย่างมีความสุขหรือยึ๋งล้าหากตายไปแล้วมีโลกหน้า จริงก็จะไต้ปลอดภัยคือ จะเชื่อหรือไม่เชื่อ ก็ให้ทำความดีเพื่อความอุ่นใจไว้ก่อน เรื่องที่น่ารู้อีกประการหนี้งเกี่ยวกับความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนในเรื่องกฎแห่งกรรม คือ มัก เข้าใจว่า คนเราเกิดมาเพื่อชดใช้กรรม หรือเกิดมาประสบสุขบ้าง ประสบทุกข์บ้าง ทั้งหมดล้วน เพราะเกิดจากวิบากกรรมเก่าทั้งสิ้น เพราะเข้าใจเองว่า ทุกอย่างที่พบในชีวิตประจำวันนั้นถูกลิขิต ไว้แล้ว จนทำให้ไม่ขวนขวายในการทำความดี ละเว้นความชั่ว กลับคิดอยากจะใช้กรรมเก่าให้ หมด แต่ไม่ทราบว่า บัจชุบันหากดัวเองทำสิ่งไม่ดี ก็จะกลายเป็นกรรมใหม่ คอยตามส่งผลกรรม อีกเรือยไป ดังที่พระสัมมาส้มทุทธเจ้าตรัสไว้แล้วใน \"สีวกสูตร\"มีรายละเอียด ดังนี้ สีวกสตร' ว่าต้วยสีวกปริพาชก สมัยหนี้ง พระ^พระภาคประทับอยู่ ณ พระเวทุวัน สถานที่ให้เหยื่อกระแต เขตกรุง- ราชคฤษ์ ครังบัน ปริพาชกชื่อโมฬิยสีวกะำข้าไปเฝัาพระ^พระภาคถึงที่ประทับ ไต้สนทนา ปราศรัยพอเป็นทีบันเทิงใจ พอเป็นที่ระลึกถึงกันแล้ว นั่ง ณ ที่สมควร ไต้ทูลถามพระ^พระภาค ดังนี้ว่า 'พระสุตตันตปีฎก สังยูตตนิกาย สฬายตนวรรค;มจร.เล่ม ๑๘ หน้า ๓0๑ ^ คำ ว่า สืวกะ เป็นชื่อตัว ส่วน โมฬิขะ เป็นชื่อเล่น เพราะชอบไว้ผมชุก www.kalyanamitra.org

กฎแฟงกรรม ะ ๒๐๓ \"ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ มีสมณพราหมณ์พวกหนึ๋งมีวาทะอย่างนี้ มีทิฏเอย่างนี้ว่า 'บุรุษ บุคคลนเสวยสุข ทุกข์ หรืออทุกขมสุขอย่างใดอย่างหนึ๋ง สุข ทุกข์ หรือ อทุกขมสุขทั้งหมดนั้นมี เหตุที่ใด้ทำไว่ในปางก่อน' ก็ในข้อนี้พระโคดมผู้เจริญตรัสไว้อย่างไร\" พระผู้พระภาคตรัสตอบว่า \"ลี■วกะ เวทนาบางอย่างมึดีเป็นสมุฏฐานเกิดขึ้นในกายนี้ก็มี การที่เวทนาบางอย่างซึ๋งมีดีเป็นสบุฎฐานเกิดขึ้นในกายนี้ บุคคลพึงเได้เองนี้ก็มี การที่เวทนา บางอย่างซงมีดีเป็นสบุฎฐานเกิดขึ้นในกายนี้ ชาวโลกสมมติว่าเป็นความจริงก็มี ในข้อนั้นสมณ- พราหมณ์เหล่าใดมีวาทะอย่างนี้ มีทิฎเอย่างนี้ว่า 'บุรุษบุคคลนี้เสวยสุข ทุกข์ หรืออทุกขมสุข อย่างใดอย่างหนี้ง สุข ทุกข์ หรืออทุกขมสุขทั้งหมดนั้นมีเหตุที่ได้ทำไว้ในปางก่อน' ย่อมแล่นไป หาสิ่งที่ตนเอง! และแล่นไปหาสิ่งที่ชาวโลกสมมติว่าเป็นความจริง เพราะฉะนั้นเราจึงกล่าวว่า 'เป็นความผิดของสมณพราหมณ์เหล่านั้น'... มีเสลดเป็นสมุฏฐาน ฯลฯ มีลมเป็นสมุฏฐาน ฯลฯ มีดี เสลดและลมรวมกันเป็นสมุฏฐาน ฯลฯ เกิดจากการเปลี่ยนฤดู ฯลฯ เกิดจากการบริหารกาย ไม่สมรเสมอ ฯลฯ เกิดจากการถูกทำร้าย ฯลฯ เวทนาบางอย่างเกิดจากผลกรรมเกิดขึ้นในกายนี้ก็มี การที่เวทนาบางอย่างซึ๋งเกิดจากผลกรรมเกิดขึ้นในกายนี้ บุคคลพึง!ได้เองก็มี การที่เวทนา บางอย่างซงเกิดจากผลกรรมเกิดขึ้นในกายนี้ชาวโลกสมมติว่าเป็นความจริงก็มี ในข้อนั้นสมณ- พราหมณ์เหล่าใดมีวาทะอย่างนี้มีทิฎเอย่างนี้ว่า 'บุรุษบุคคลนีเสวยสุข ทุกข์ หรืออทุกขมสุข อย่างใดอย่างหนี้งสุข ทุกข์ หรืออทุกขมสุขทั้งหมดนั้น มีเหตุที่ได้ทำไว้ในปางก่อน' ย่อมแล่นไปหาสิ่งที่ตนเอง! และแล่นไปหาสิ่งที่ชาวโลกสมมติว่าเป็นความจริง เพราะฉะนั้นเราจึงกล่าวว่า 'เป็นความผิดของ สมณพราหมณ์เหล่านั้น\" เมื่อพระ^พระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว ปริพาชกชื่อโมฬิยลีวกะ ได้กราบทูลพระ^พระ กาคดังนี้ว่า \"ข้าแต่ท่านพระโคดม พระภาษิตของท่านพระโคดมชัดเจนไพเราะยิ่งนัก ฯลฯ ขอ ท่านพระโคดมจงทรงจำข้าพระองค์ว่าเป็นอุบาสก^งสรณะตั้งแต่วันนี้เป็นด้นไปจนตลอดชีวิต\" ดี ๑ เสลด ๑ ลม ๑ ดี เสลด และลม รวมกัน ๑ ฤดู ๑ การบริหารกายไม่สมา(สมอ ๑ การลูก ทำ ร้าย ๑ รวมกับผลกรรมอีก ๑ เป็น ๘ ลีวกสูตร จบ www.kalyanamitra.org

กฎแฟงกรรม :๒๐(5: จากพระสูตรนี้ จะเห็นได้ว่าเวทนาบางอย่างที่เกิดขึ้นกับชีวิตของเรา ที่ให้ผลเป็นความ ทุกข์บ้าง สุขบ้าง และไม่สุขไม่ทุกข์บ้างเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นปกติของธรรมชาติโลกและชีวิต มิได้เป็นเรื่องของวิบากกรรมเก่าแต่ประการเดียวตามที่เข้าใจกัน เพราะฉะนั้นสามารถสเปได้ว่า เวทนาที่เกิดขึ้นกับตัวของเราเกิดได้ทั้งเหตุป็จชุบันก็มี เกิดจากวิบากกรรมในอดีตก็มี ตัวอย่างเช่น ๑) ความแปรปรวนของธาตุในร่างกาย เป็นปกติที่ทุกชีวิตด้องประสบกับความเจ็บ ความแก่ ความตายเป็นธรรมดา ๒)ความแปรปรวนของฤดู เป็นธรรมที่เมื่อถึงฤดูร้อนร่างกายของเราก็จะร้อนไปตามอุณหฎมิ ของโลกด้วย เมื่อถึงฤดูหนาวก็จะหนาวเช่นเดียวกัน เป็นด้น ๓)อิริยาบถไม่สมื่าเสมอ คือร่างกายได้รับความปวดเมื่อย อาจเกิดจากการนั่งนาน เป็นด้น ๔)การกระทำของบุคคลอื่นและตนเอง เช่น เราไม่ทานข้าวก็หิว เป็นด้น ๕)วิบากกรรมของตัวเอง ที่ได้กระทำไว่ในอดีต บทสเป จากการศึกษาพระสูตรว่าด้วยเรื่องกฎแห่งกรรม จะทำให้เราทราบว่ากฎแห่งกรรมเป็น เรืองของเหตุและผล บุคคลผู้ประกอบกรรมดีย่อมได้ผลดี ผู้ประกอบกรรมชั่วย่อมได้ผลชั่วอย่าง แน่นอน ไม่มีใครหลุดพ้นวิบากกรรมที่ตนได้กระทำไว้ได้ ตราบใดที่ยังไม่หมดกิเลสด้องเวียน ว่ายตายเกิดอยู่ในวัฎฎสงสารอย่างไม่มีกำหนด ไม่ว่าจะเวียนว่ายตายเกิดเป็นอะไรก็ตาม เกิดเป็น มนุษย์บ้าง สัตว์ดิรัจฉานบ้าง อยากให้รับร้ว่ายังมีวิบากกรรมทั้งดีและชั่ว อีกเป็นจำนวนมากมาย นับไม่ถ้วนรอเข้าคิวส่งผล บางคนประสบความทุกข์จากเรื่องราวในชีวิตจึงฆ่าตัวตายเพื่อหนีทุกข์ แต่หารู้ไม่ว่ายังจะด้องเจอทุกข์ต่ออีก เหมือนหนีเสือปะจระเข้ เมื่อคิดได้อย่างนี้ เราเองก็จะมีความบากนั่นมั่นคง อดทนในการพากเพียรสั่งสมกรรมดี กล้าที่จะเผชิญชีวิตอย่างกล้าหาญเด็ดเดี่ยวไม่ท้อถอย ขยาดต่อความชั่ว ไม่ดีโพยดีพายเมื่อผิดหวัง สามารถมองเห็นแง่ดีได้แบ้ยามผิดหวัง ไม่หลงระเริงในเมื่อประสบผลดี ทำให้ไม่ประมาทใน ชีวิต หายงมงายต่อการขึ้นลงของชีวิต และยังให้คำตอบในเรื่องความไม่เท่าเทียมกัน ความ แตกต่างกันของมนุษย์ได้เป็นอย่างดี ทำ ให้ไม่น้อยใจในชะตาของชีวิต โดยการปฎิปติตามหลักที่ คุณครูไม่ใหญ่ได้หลักในการดำเนินชีวิตเพื่อเป็นการไม่สร้างวิบากกรรมใหม่ ตังนี้ www.kalyanamitra.org

กฎแฟงกรรม ะ ๒๐(ร: ๑) ความผิดพลาดในอดีตให้ลืมให้หมด อย่านึกถึงอีกเพราะจะทำให้วบากกรรมที่เป็นบาปอคุศล ได้ช่องส่งผลทำให้เกิดความทุกข์กายทุกข์ใจ ๒)ความชั่วทั้งปวง บาปอกุศลใหม่ไม่ทำอีกเด็ดขาด ๓)ทำ ความดีแล้วให้ตามระลึกนึกถึงบุญปอย ๆ เพราะบุญกุศลเกิด ๓ วาระ คือ ก่อนทำ ขณะทำ และหลังจากทำไปแล้ว นึกถึงบุญวิบากกรรมฝ่ายกุศลได้ช่องส่งผลให้มีแต่ความลุ[ขกายสบาย ใจ ๔)ทำ ความดีเป็นประจำ ทุกวัน ทุกสัปดาห์ การทำความดีปอย ๆ ทั้งการทำทาน รักษาศีล และ ภาวนา ย่อมเกิดบุญกุศล เพราะบุญมาพร้อมกับความลุ[ขเป็นเบื้องหลังของความสำเร็จทุก ประการ ทั้งในชีวิตความเป็นอยู่ การเล่าเรยนศึกษาการประกอบธุระกิจการทำงานด้องอาศัย บุญ วิธีทางเดียวที่จะหลุดพ้นจากวิบากกรรมคือ บุญ ทำ บุญให้มาก ๆ ๕)หมั่นนั่งสมาธิสมาเสมอทุกวัน เพื่อกลั่นจิตของตนให้ผ่องใส จิตที่ผ่องใสย่อมมีกำลังใจทำ ความดีให้ยง ๆ ขึ้นไป เมื่อสามารถปฎิป้ติตามหลักได้อย่างนี้ จะสามารถดำเนินชีวิตของตัวเองได้อย่างถูกด้อง และปลอดภัย จนสามารถบรรลุธรรม เดินตามอย่างพระสัมมาส้มพุทธเจ้าผู้เป็นบรมครูได้ www.kalyanamitra.org

ธรรมชาติพระส์มมาส์มพุทธเจ้า ะ ๒๐๖ บฑที่๔ ธรรมชาติของพระสัมมาส้มพุทธเจ้า วัตถุประสงคการเรียนรู้ ๑. เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องในเรื่องธรรมชาติของพระโพธิสัตว์ ทั้งความหมาย ลักษณะ และประเภทของพระโพธิสัตว์ รวมทั้งศึกษากรณีตัวอย่างของพระสุเมธดาบสโพธิสัตว์ ที่สามารถบำเพ็ญบารมีจนตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราไต้ ๒. เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องในเรื่องธรรมชาติของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้ง ความหมาย ประเภท จนสามารถนำแนวทางการสร้างบารมีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไป ประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิตให้ดีงามไต้ เนอหา กำ เนิดพระโพธิสัตว์ ๑. กำ เนิดพระโพธิสัตว์ ๒. ใจพระโพธิสัตว์ ๓. อัธยาศัยพระโพธิสัตว์ ๔. ประเภทของพระโพธิสัตว์ การสร้างบารมีของพระโพธิสัตว์ ๑.เรื่องของบารมี ๒.พระโพธิสัตว์ปรารภถึงบารมี ๑๐ ทัศ(สุเมธกถา) www.kalyanamitra.org

ธรรมชาติพระส์มมาส์มพุทธเจ้า ะ ๒๐๗ กำ ฌิดพระสัมมาส้มพุทธเจ้า ๑.ความหมายของพระสัมมาส้มพุทธเจ้า ๒.เรื่องของหน่วยเวลา ๓.ประเภทของพระสัมมาส้มพุทธเจ้า ๔.กัปที่มีพระสัมมาส้มพุทธเจ้ามาบังเกิด ๕.พระสมณโคดมสัมมาส้มพุทธเจ้า กำ เนิดพระโพธิสัตว์ มนุษย์และสัตว์โลกทั้งหลาย ต่างต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฎจักรของโลก บางชาติก็ไต้ เกิดเป็นมนุษย์ บางชาติก็ไต้เกิดเป็นเทวดา เป็นพรหม บางชาติพลาดพลั้งทำบาป ทำ อคุศลกรรม เข้าก็ไปเกิดในทุคติคูมิ เป็นสัตว์เดรัจฉานบ้าง เป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกายบ้าง วนเวียนอยู่อย่างนี้ จนนับกพนับชาติไม่ถ้วน พระสัมมาส้มพุทธเจ้าไต้แต่อุปมาให้ฟังว่าในระหว่างที่เวียนว่ายตาย เกิด ต้องประสบแต่ความทุกข์ ทั้งทุกข์ เพราะพลัดพรากจากของรัก ประสบสิ่งที่ไม่ชอบใจ และ ยังทุกข์เพราะเกิด แก่ เจ็บ ตาย อีกต้วย น่าตาที่ต้องรินไหล เพราะความทุกข์ของแต่ละคน หาก น่ามารวมกันแล้ว ยังมากกว่านํ้าในมหาสมุทรทั้ง ๔ อีก และกระดูกของแต่ละคนเฉพาะในชาติที่ เกิดเป็นมนุษย์หากน่ามากองรวมกันยังสูงกว่าขุนเขาเสียอีก สัตว์โลกทั้งหลายต้องประสบกับความทุกข์อย่างแสนสาหัส เพราะการเวียนเกิดเวียนตาย อย่างไม่มีที่สิ้นสุดนี้ และพร้อมกับกพชาติที่ผ่านไปก็สั่งสมความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับโลก และชีวิตไว้ชาติแล้วชาติเล่า ในบรรดาสัตว์โลกทั้งหลายนั้น ย่อมมีสัตว์โลกผู้สั่งสมบัญญามามาก เมื่อประสบเหตุการณ์สะดูดใจ จึงพลันไต้คิดว่า \"ที่แท้โลกก็คือคุกใบใหญ่นี่{อง เราและสัตว์โลก ต่างก็ถูกจับขัง ใท้เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในโลกนีไม่รู้จักจบสิน เราจะต้องหาทางพาตัวเองออกไป จากคุกนี้ให้ไต้\" และยังมีความกรุณาต่อสัตว์โลกอีกต้วย จึงไต้ทั้งความปรารถนาว่า \"หากวันใด เราแหกคุกนีไปไต้เราจะไม่ไปคนเดียว แต่จะขนคนไปให้หมดโลกทีเดียว\"จากนั้นก็เร่งทำความ www.kalyanamitra.org

ธรรมชาติพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ะ ๒๐๘ เพียรสร้างสมความดีเรื่อยไป จึงได้เนมิตกนาม' คือนามตามคุณธรรมว่า \"พระโพธิสัตว์\" แปลว่า สัตว์ผู้คุ่งการตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อการหลุดพ้นทุกข์ นํ้าใจของพระโพธิสัตว์ ๑.หากแม้ว่าจักรวาลอันกว้างใหญ่ลุ[ดประมาณนี้มีถ่านเพลิงร้อนคุมคุระอุเต็มไปหมด ๒.หากแม้ว่าจักรวาลอันกว้างใหญ่คุดประมาณนี้ มีเปลวไฟลุกแดงเป็นพืดยาวเต็มไป หมด ๓.หากแม้ว่าจักรวาลอันกว้างใหญ่คุดประมาณนี้ เต็มไปด้วยคูเขาเหล็กลุกโชน โพลงอยู่ ไม่รู้ดับและพื้นคูมิภาคตามระหว่างข้าง ๆ ซอกแห่งคูเขาเหล่านั้น เต็มไปด้วยนั้าทองแดงอันเดือด พลุ่ง ร้อน ละลายไหลเหลวอยู่เต็ม ^ดที่มีใจองอาจเพื่อจะเดินฝ่าบุกไป โดยเท้าเปล่า ๆ ไปจนคุด หมื่นจักรวาล ผู้นั้นแหละจึงควรที่ปรารถนาเป็นพระโพธสัตว์ ผู้ที่ปรารถนาพระพุทธคูมินั้นย่อมบำเพ็ญธรรมด้วยนํ้าใจเด็ดเดี่ยว มั่นคง ไม่ว่าจัก เสวยพระชาดิ ถือกำเนิดเป็นอะไรก็ตาม ย่อมประกอบกุศลธรรมไม่ย่อหย่อนเมื่อหน่ายส่ายพักตร์ เลย แม่ไครจะคิดทดลองด้วยอุบายใด ๆ เพื่อให้พระโพธิสัตว์เปลี่ยนจากการกระทำกุศลธรรม ย่อมสำเร็จได้โดยยาก อัธยาศัยพระโพธิสัตว์ ๑.เนกขัมมัชฌาสัย พอใจที่จะบวช รักเพศบรรพชิตเป็นยึ๋งนัก ๒.วิเวอัชฌาสัย พอใจอยู่ในที่เงียบสงัด วิเวกผู้เดียวยิ่งนัก ๓.อโลอัชฌาสัย พอใจบริจาคทาน และพอใจบุคคลผู้!ม่โลภ ไม่ตระหนี่เป็นยิ่งนัก ๔.อโทสัชฌาสัย พอใจในความไม่โกรธ เจริญเมตตาแล่สัตว์ทั้งปวงยิ่งนัก ๕.อโมอัชฌาสัย พอใจที่พิจารณาสึ๋งที่เป็นคุณและโทษ คบค้าสมาคมกับ^สดิบํญญายิ่ง นัก 'เนมิตกนาม หมายถึง ชื่อที่เกิดขนตามเหตุ คือ ลักษณะและคุณสมนิติ เช่น พระคุคต แปลว่า จัสำ เนินดีแล้ว www.kalyanamitra.org

ธรรมชาติพระส์มมาส์มพุทธเจ้า ะ ๒๐๙ ๖. นิสสรฌัชฌาสัย พอใจที่จะยกตนออกจากภพ ไม่ยินดีในการเวียนว่ายตายเกิดใน วัฏสงสาร ต้องประสงค์พระนิพพานยึ๋งใJก ประเภทของพระโพธิสัตว์ ๑.อนิยฅโพธิสัตว์ คือพระโพธิสัตว์ที่ยังไม่ไต้รับการพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าองค์ก่อน จึง ยังไม่แน่ว่าจะไต้เป็นพระพุทธเจ้า เป็นเพียงแต่ตั้งใจจะสร้างบารมีเพื่อเป็นพระพุทธเจ้า เท่านั้น ถึงแม้จะมีนั้าใจเด็ดเดี่ยวปรารถนามาเป็นเวลาช้านานหลายอสงไขยแล้วก็ตาม ๒.นิยตโพธิสัตว์ คือพระโพธิสัตว์ที่ไต้รับการพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าองค์ก่อนแล้ว ย่อม เที่ยงแท้แน่นอนว่าจักไต้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ๋งการจักไต้รับพยากรณ์จาก พระพุทธเจ้านั้น ต้องประกอบต้วย ธรรมสโมธาน ๘ประการ'ดังนี้ ๒.๑) เกิดเป็นมนุษย์ ๒.๒) เกิดเป็นเพศชาย ๒.๓)มีอุปนิสัยแห่งพระอรหัต ในขันธสันดานอย่างแก่กล้า ๒.๔)ไต้พบพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บำ เพ็ญคุศลใหญ่แล้วตั้งความปรารถนา เฉพาะพระพักตร์ของพระบรมศาสดา ๒.๕)เป็นนักบวชในพุทธศาสนา หรือภายนอกพุทธศาสนาอย่างใดอย่างหนี้ง ๒.๖) มีคุณวิเศษ คือ อภิญญา สมาปตอันเชี่ยวชาญเกินคนธรรมดาสามัญ ๒.๗) ไต้เคยบำเพ็ญมหาบริจาค เคยเอาชีวิตเช้าแลกกับพระโพธิญาณมาก่อน ๒.๘) มีความรักและพอใจในพุทธภูมิเป็นกำลัง มิไต้ย่นย่อต่ออุปสรรค แม้จะให้ทนอยู่ ในนรกอย่างทุกข์ทรมานแสนสาหัส เพื่อแลกกับพระสัมมาสัมโพธิญาณ ก็สมัครใจไม่หวั่น การสร้างบารมีของพระโพธิสัตว์ สำ หรับผู้มับํญญาเป็นเลิศอย่างพระโพธิสัตว์ ประสบการณ์ทุกอย่างที่ผ่านเช้ามาในชีวิต จะเป็นบทเรียนที่มีค่า จะทรงกำหนดจดจำประสบการณ์เหล่านั้น มาคิดพิจารณาแล้วสั่งสมไว้ 'มก.ล.๗๔/๕๘© www.kalyanamitra.org

ธรรมชาติพระส์มมาส์มพุทธเจ้า ะ ๒๑๐ กว่าที่พระโพธิสัตว์จะมีป็ญยามากพอที่จะแยกออกว่า สึ๋งใดดี สิ่งใดชั่ว สิ่งใดถูก สิ่งใดผิด สิ่งใด เป็นบุญ สิ่งใดเป็นบาป สิ่งใดควร สิ่งใดไม่ควร ก็ต้องฝานการลองผิดลองถูกในการสร้างความดี นับภพนับชาติไม่ถ้วน จนในที่ลุ[ดพระองค์ก็ประมวลสรุปไต้ว่า หากพ้นจากคุกคุมขัง คือโลกใบ นี้ จะต้องทรงสร้างความดีอย่างยิ่งยวดอย่างน้อย ๑๐ ประการ ที่เรยกว่า บารมี ๑๐ ทัศ บารมี ๑๐ทัศ ประกอบด้วย ๑.ทานบารมี คือ การให้ทาน ๒.ศีลบารมี คือ การละเว้นบาป และความชั่วทั้งปวง ๓.เนกขัมมบารมี คือ การสละพัวพันในเรึ๋องกาม เรื่องครอบครัวแถ้วหลีกเร้น แสวงหา ทางหลุดพ้น ๔.ปัญญาบารมี คือ การเสาะหา แสวงหาความรู้ที่นำไปสู่ความหลุดพ้น ๕.วิริยบารมี คือ ความหมั่นเพียรไม่ห้อถอย กถ้าที่จะสู่กับอุปสรรค ๖.ขันติบารมี คือ ความอดทน อดกลั้น ๗.สัจจบารมี คือ ความทั้งใจมั่นที่จะทำความดี ๘.อธิษฐานบารมี คือ การตังความปรารถนา เพื่อบรรลุเปัาหมายในหนทางของความดี ๙.เมดดาบารมี คือ ความปรารถนาดีต่อสรรพสัดว์ทั้งหลาย ๑๐.อุเบกขาบารมี คือ ความยุติธรรมไม่เลือกที่รักมักที่ขัง พระโพธิสัตว์ปรารภถึงบารมี ๑0 ทัศ' ๑. ทานบารมี ลุเมธดาบสมันกระทำการดกลงอย่างนีว่า เราจักไต้เป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน เพื่อที่จะ ใคร่ครวญถึงธรรมทีกระทำให้เป็นพระพุทธเจ้า จึงคิดว่าธรรมอันกระทำให้เป็นพระพุทธเจ้าอยู่ที่ ไหนหนอ อยู่เบืองบนหรือเบื้องล่าง หรืออยู่ในทิศใหญ่และทิศน้อย เมื่อคิดค้นธรรมธาตุทั้งสิ้น ' ตัดความจาก ธกถา;พระสูตรและอรรถกถาแปล ฃุททกนิกาย อปทาน,มก.ล.๗๐/๔๘ www.kalyanamitra.org

ธรรมชาติพระสํมมาสัมพุทธเจ้า ะ ๒๑๑ ไปโดยลำดับ ก็ใด้เห็นทานบารมีข้อที่ ๑ ที่พระโพธิสัตว์แต่เก่าก่อนทั้งหลาย ถือปฎิปติเป็นประจำ จึงกล่าวสอนตนอย่างนี้ว่า ดูก่อนสุเมธบัณฑิตจำเดิมแต่นี้ไป ท่านพึงบำเพ็ญทานบารมีข้อแรกให้บริบูรณ์ เหมีอนอย่าง ว่า หม้อนํ้าที่ควํ่าไว้ย่อมคายนํ้าออกหมด ไม่นำกลับเข้าไป ฉันใด ท่านก็ฉันนั้นเหมีอนกัน ไม่ เหลียวแลทรัพย์ ยศ บูฅรและภรรยา หรืออวัยวะน้อยใหญ่ให้สิ่งที่เขาต้องการอยากได้ทั้งหมด แก่ ยาจกผู้มาถึง กระทำมีให้มีส่วนเหลือ จักได้นั่งที่โคนต้นโพธเป็นพระพุทธเจ้า ครั้นกล่าวสอนตน แล้ว จึงอธิษฐานทานบารมีข้อแรก กระทำให้นั่นแล้ว ด้วยเหลุทั้น ท่านจึงกล่าวว่า เอาเลอะ เราจะเลือกเฟันธรรมที่กระทำให้เปีน พระพุทธเจ้า ทั้งทางโน้นและทางนี้ทั้งเบื้องบนและเบื้องล่าง ทั้งสิบทิศคลอดถึงธรรมธาตุ ครันเบื้อเราเลือกเน้นอยู่อย่าง นั้น จึง1ด้เห็นทานบารมีข้อที่ & เปีนเส้นทางใหญ ที่ท่านผู้ แสวงหาตุลเใหญในกาลล่อน ประพฤติคามคลองธรรมลืบ กันมาแส้ว ท่านจงสมาทานบารมีข้อที่ ๏ นี้ กระทำให้มน ก่อน จงถึงความเปีนทานบารมี หากท่านปรารถนาจะบรรลุพระโพธิญาณ หม้อนำเค็ม เปียม ใครผู้ใดผู้หนี้งควํ่าปากลง นำ ย่อม'ใหลออกหมด นำ ย่อมไฝขังอยู่ในหม้อนั้น แม้กันใด ท่านก็กันนันเหมือนกัน เห็นยาจกไม่ว่าจะตํ่าทราม สูงล่ง และปานกลาง จงให้ทานให้ หมด เหมือนหม้อนี้าที่เขาควาปากลงไวฉะนั้น ๒.ศีลบารมี ลำ ดับทั้น เมื่อสุเมธดาบสนั้นคิดว่า ธรรมที่กระทำให้เป็นพระพุทธเจ้า จะไม่พึงมี ประมาณเท่านี้เลย จึงใคร่ครวญให้ยงขึ้นไปอีกก็ได้เห็นศีลบารมีข้อที่ ๒จึงได้มีความคิดอันนี้ว่า www.kalyanamitra.org

ธรรมชาติพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ะ ๒๑๒ ดูก่อน^เมธบัณฑิตจำเดิมแด่ฬี้ไป แม้ศีลบารมี ท่านก็ต้องบำเพ็ญให้บริบูรณ์ เหมือนอย่าง ว่าธรรมดาว่าเนื้อทรายจามริ'ไม่เห็นแก่ชีวิต รักษาเฉพาะขนหางของตนเท่านั้น ฉันใด แม้ท่านก็ ฉันนั้น จำ เดิมแต่นี้ไป อย่าได้เห็นแม้แก่ชีวิต รักษาเฉพาะศีลเท่านั้น จักได้เป็นพระพุทธเจ้า แล้ว ได้อธิษฐานศีลบารมีฃ้อที่ ๒ กระทำให้มั่นแล้ว ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ความจริง พุทธธรรมเหล่านี้ จัก1ม่ปีประมาณเท่านี้ เราจักเลือก เท่(นธรรมแม้อย่างอื่นอันเป็นเครื่องปมพระโพธิญาณ ครั้งนั้น เราเมอเลือก เม้นอยู่ก1ด้เห็นคีลบารปีข้อนี้ ๒ นี้ท่านผู้แสจงหาคุณใหญ่ในก่อน ๆ ลือ ปฏิปีติเป็นประจำ ท่านจงสมาทานศีลมารปีข้อนี้ ๒ นี้ กระทำให้นั้นก่อน จงลืงความเป็นศีลมารปี หากท่านปรารถนาเพื่อจะมรรลุ พระโพธิญาณ จามริ หางคล้องติดในท!หนก็ตาม ปลดขนหางออกใปีได้ ก็ยอมคาย ในนี้นั้น แม้ฉันใด ท่านจงปาเพ็ญศีลให้มริมูรณ์ในภูปีทั้ง ๔ จงรักมา ศีลไว้ทุกเมื่อ เหมือนจามริรักมาขนหาง ฉันนั้นเถิด ๓.เนกขัมมบารมี ลำ ดับนัน เมื่อสุเมธดาบสนั้นคิดว่า พุทธการกธรรมทั้งหลายจะไม่พึงมีประมาณเท่านี้ เลย จึงใคร่ครวญใ'ห้ยึ๋งขึ้นไปอีก ก็ได้เห็นเนกขัมมบารมีข้อที่ ๓ จึงได้มีความคิดดังนี้ว่า ดูก่อน สุเมธบัณฑิต จำ เดิมแด่นีไป ท่านพึงบำเพ็ญแม้เนกขัมมบารมีให้บริบูรณ์ เหมือนอย่างว่า บูรุษ ผู้อยูไนเรือนจำมาเป็นเวลานาน มีไต้มีความรักใคร่ในเรือนจำนั้นเลย โดยที่แห้รำคาญอย่าง เดิยว ไม่อยากอยู่ ฉันใด แม้ท่านก็ฉันบันเหมือนกัน จงทำภพทั้งปวงให้เป็นเช่นกับเรือนจำ รำ คาญ อยากจะพ้นไปจากภพทังปวง มุ่งหน้าต่อเนกขัมมะ คือการออกจากกามเท่านั้น ท่านจัก ได้เป็นพระพุทธเจ้าด้วยอาการอย่างนี แล้วได้อธิษฐานเนกขัมมบารมีข้อที่ ๓ กระทำให้มั่น แล้ว ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า 'จามรี คือ สัตว์เคียวเอื้องชนิดหนึ๋ง ขนละเอียดอ่อนสินำตาลจนถึงนำตาลเข้ม ขนตามสำตัวยาวมาก ช่วงเขากว้าง หางยาว เป็นพู่ อาศัยในแถบเขาสูงของประเทศธิเบต www.kalyanamitra.org

รรรมชาติพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ะ ๒๑๓ ความจริง พุทธธรรมเหล่านื้จักไม่มึเฟืยงเท่านี้ เราจักเลือก เ'^นธรรมแม้ข้ออื่นๆ อนเปีนเครื่องบ่มพระโพธิญาณ คราวนั้น เรา เมื่อเลือกเฟันอยู่ ลืเด้เห็นเนกขัมมบารมีข้อที่๓ ที่ท่านผู้แสวงหาคุณ ใหญ่แท่ในกาลล่อน ลือปฏิปีติเปีนประจำแล้ว ท่านจงสมาทาน เนกขัมมบารมี ข้อที่๓ นี้กระทำให้นั้นล่อน จงลืงความเปีนเนกขัมน- บารมี หากท่านปรารถนาจะบรรลุพระโพธิญาณ บุรุษอยู่มานานใน เรือนจำ ลำ บากเพราะความทกช์ มีไห้ทำความยินดี!ให้เกิดในเรือนจำ นั้น แสวงหาความพ้นออกไปอย่างเดียว ฉันใด ท่านจงเห็นภพนั้งปวง เหมือนเรือนจำ เปีนผู้ม่งหม้าออกบวชเมื่อพ้นจากภพนั้นเถิด ๔.ป๋'ญญาบารมี ลำ ดับนั้น เมื่อสุเมธดาบสนั้นคิดว่า พุทธการกธรรมทั้งหลาย จะไม่พึงมีเพียงเท่านี้ จึง ใคร่ครวญโหยงขึ้นไปอีก ก็ได้เห็นปัญญาบารมีข้อที่ ๔ จึงได้มีความคิดดังนี้ว่า ดูก่อนสุเมธบัณฑิต จำ เดิมแต่นั้เป ท่านพึงบำเพ็ญแม้ปัญญาบารมี!ห้บริบูรณ์ ท่านอย่าได้ เว้นใคร ๆ เลย ไม่ว่าจะเปีนคนชั้นตํ่า ชั้นกลาง และชั้นสูง พึงเข้าไปหาบัณฑิตแม้ทั้งหมด ไต่ถาม ปัญหา เหมีอนอย่างว่า ภิกบูผู้ถือเที่ยวบิณฑบาตเปีนวัตร ไม่ละเว้นตระกูลไร ๆ ไม่ว่าจะเปีน ตระกูลชั้นตํ่าเปีนด้น เที่ยวไปบิณฑบาตตามลำดับ ได้อาหารพอยังชีพโดยพลัน ฉันได แม้ท่านฉัน นั้น เข้าไปหาบัณฑิตทั้งปวง ไต่ถามปัญหา จักได้เป็นพระพุทธเจ้า ครั้นคิดแล้วจึงอธิษฐานปัญญา บารมีข้อที่ ๔ กระทำให้มั่นแล้ว ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า www.kalyanamitra.org

ธรรมชาติพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ะ ๒๑๔ ก็พุทธธรรมเหล่านี้ จัก1ฝปีเพียงเท่านี้ เราจักเพีนหา ธรรมแม้ข้ออื่น ๆ อันเปีนเครองบ่มพระโพธิญาณ เราเมื่อค้นหา อยูในคราวนั้น ก็เค้เห็นปี'ญญาบารปีข้อที่ ๔ ท่านผู้แสวงหาคุณ ใหญ่แต่ก่อน ๆ ลือบ่ฏิบัติเปีนบ่ระจำ ท่านจงสมาทานปีญญา บารปีข้อที่ ๔ นี้ กระทำไม้มั่นก่อนจงถึงความเปีนปีญญาบารปี ค้าท่านบ่รารถนาจะบรรลุพระโพธิญาณ ภิกบเมื่อขออยู่ ไม่เว้นตระกูลตํ่า ร[ูง และบ่านกลาง ย่อม ไค้อาหารเปีนเครื่องยังชีพ ค้วยอาการอย่างนี้แม้ฉันใด ท่านเมื่อไต่ ถามชนผู้รู้อยู่ตลอดกาลทั้งบ่วง ถึงความเปีนปีญญาบารปี จักไค้ บรรลุพระสัมโพธิญาณ ฉันนั้นเหมือนฉัน ๕.วรยบารม ลำดับนัน เมื่อลุ[เมธดาบสนันคิดว่า พุทธการกธรรมทงหลาย จะไม่พึงมีเพียงเท่าใfน จึง ใคร่ครวญใหย็่งฃึ้นไปอีก ได้เห็นวิริยบารมีฃ้อที่ ๕ จึงได้มีความคิดดังนี้ว่า ดูก่อนลุ[ฌธบัณฑิต จำ เดิมแต่นืไป ท่านพึงบำเพ็ญแม้วิริยบารมีให้บริบูรณ์ เหมีอนอย่างว่า พญาราชสีห์มฤคราช เป็นผู้มีความเพึยรมันในอิริยาบถทั้งปวง ฉันใด แม้ท่านก็ฉันนั้น เป็นผู้มี ความเพึยรมันในอิริยาบถทังปวง ไนภพพุกภพ เป็นผู้มีความเพึยรไม่ย่อหย่อน จักได้เป็น พระพุทธเจ้า ครั้นคิดแล้วจึงอธิษฐานวิริยบารมีฃ้อที่ ๕ กระทำให้มั่นแล้ว ด้วยเหตุนั้น ท่านจึง กล่าวว่า ก็พุทธธรรมทังหลาย จักไม่ปีเพียงปีเท่าทัน เราจักเพีนหา ธรรมแม้ข้ออื่นๆ ฉันเปีนเครื่องบ่มพระโพธิญาณ ครั้งนั้น เราเลือกเพีน อยู่ ก็ไค้เห็นวิริยบารปีข้อที่ ๕ ที่ท่านผู้แสวงหาคุณใหญ่ในก่อนๆ ลือ บ่ฏิปีติเปีนประจำ ท่านจงสมาทานวิริยบารปีข้อปี ๕ ปี กระทำใม้มั่น ก่อน จงถึงความเปีนวิริยบารปี ค้าท่านปรารถนาจะบรรลุพระโพธิญาณ www.kalyanamitra.org

ธรรมชาติพระส์มมาส์มพุทธเจ้า ะ ๒๑๔ พญาราชสีหมฤคราช (ปีนผู้ปีความฒยร1ฝย่อหย่อนในการ นั่ง การยืน ((ละการเดิน ประคองไจพนกาลทุก(มื่อแม้ฉันใดฟานก็ฉัน นั่นเหมือนฉัน จงประคองความ(ฟึยรพห้นั่นตลอดทุกภพ ถึงความ(ปีน วิริยบารมีแล้ว จักบรรลุพระสัมโพธิญาณได้ ๖. ขันติบารมึ ลำ ดับใfน เมื่อลุ[เมธดาบสใfนคิดว่า พุทธการกธรรมทั้งหลาย จะไม่พึงมีเพียงนี้เท่านั้น จึง ใคร่ครวญใหยงขึ้นไปอีก ก็ได้เห็นขันติบารมีข้อที่ ๖ จึงได้มีความคิดดังนี้ว่า ดูก่อนสุเมธบัณฑิต จำ เติมแต่นี้ใป ท่านพึงบำเพ็ญแม้ขันติบารมีให้บริบูรณ์ ท่านพึงเป็นผู้ อดทนทั้งในการยกย่องนับถือ และในการดูลูกดูหมิ่น เหมือนอย่างว่า คนทังหลายฑิงฃอง สะอาด ห้าง ไม่สะอาดห้าง ลงบนแผ่นดิน แผ่นตินก็มิได้กระทำความรัก และความขัดเคืองเพราะการ กระทำอันนั้น ย่อมอด ย่อมทน ย่อมกลั้นไวใด้ ฉันใด แม้ท่านก็ฉันนั้นเหมือนกัน เป็นผู้อดทนได้ ทั้งในการนับถือ ทั้งในการดูหมื่น จักได้เป็นพระพุทธเจ้า ครั้นคิดแล้วจึงอธิษฐานขันติบารมีข้อที่ ๖ กระทำให้มั่นแล้ว ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ก็พุทธธรรมทั้งหลายจักไม่มีเพียงมี(ท่ามัน (ราจักเลือก(พีน ธรรมแม้ข้ออื่น ๆ อัน(ปีนเครื่องบ่มพระโพธิญาณ ในคราวมัน(ราเลือก (พีนอยู่ กใด้เห็นขันดิบารมีข้อที่ b ที่ท่านผู้แสวงหาคุณใหญ่ชันท่อน ๆ ถือปฏิปีดิ(ปีนประจำ ท่านจงสมาทานชันดิบารมีข้อที่ ๖ ปี กระทำให้ นั่นท่อนมืใจไม่ลังเลในขันติบารมีนั่น จักบรรลุพระสัมโพธิญาณ ธรรมดาแผ่นดินย่อมอดกลั้นสิ่งทั้งปวง ที(่ ขาทิงลงสะอาดห้าง ไม่สะอาดห้าง ไม่กระทำการชัดเคือง เพราะการกระทำมัน แม้ฉันใด แม้ ท่าน ก็ฉันนั่นเหมือนฉัน (ปีนผู้อดทนต่อการมับถือและการดูหมิ่นของ คนทั้งปวง ถึงความ(ปีนขันติบารมีแล้ว จักบรรลุพระสัมโพธิญาณได้ www.kalyanamitra.org

ธรรมชาติพรรสัมมาสัมพุทธเจ้า ะ ๒๑๖ ๗.สัจจบารมี ลำ ดับใาน ลุ[เมธดาบสจึงคิดว่า พุทธการกธรรมทั้งหลาย จะไม่พึงมีเพียงนี้เท่านั้น แล้ว ใคร่ครวญให้ยิ่งขึ้นไปอีก ก็ได้เห็นสัจจบารมีข้อที่ ๗จึงได้มีความคิดดังนี้ว่า ดูค่อนลุ[เมธบัณฑิต จำ เดิมแด่นึ้!ป ท่านพึงบำเพ็ญแม้สัจจบารมีให้บริบูรณ์ แม้เมื่อ อสนีบาตจะตกลงบนกระหม่อมก็ดาม ท่านอย่าได้กล่าวบูสาวาททั้งรู้อยู่ ด้วยอำนาจฉันทะเป็นด้น เพื่อด้องการทรัพย์เป็นด้น เหมีอนอย่างว่า ธรรมดาตาวประกายพรึก ในฤดูทั้งปวง หาได้ละวิถี โคจรของตนโคจรไปในวิถีอื่นไม่ ย่อมจะโคจรไปในวิถีของตนเท่านั้น ฉันใด แม้ท่าน ก็ฉันนั้น เหมือนคัน อย่าได้ละสัจจะกล่าวบุสาวาทเลย จักได้เป็นพระพุทธเจ้า ครั้นคิดแล้วจึงอธิษฐานสัจ- จบารมี ข้อที่ ๗ กระทำให้มั่นแล้ว ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ก็พุทธธรรมทังหอพ จะไม่พึงปีเฟึยงปีเท่านั้น เราจัคเลือณพึน ธรรมแม้ข้ออื่น ๆ อันเปีนเครื่องปมพระโพธิญาณ คราวนั้น เราเลือกเพึน อยู่ก็เด้เห็นสัจจบารมีข้อที่ ๗ ที่ท่านผู้แสวงหาคุณใหญ!นท่อน ลือปฏิบัติ เปีนประจำ ท่านจงสมาทานสัจจจารมีข้อที่๗ ปี กระทำไห้มั่นท่อนมีคำพูด ไม่เปีนสองไนข้อนั้นจักบรรลุพระสัมโพธิญาณไห้ ธรรมดาดาวประกายพรึกเปีนดุจคันชง คือเที่ยงตรงไนโลก พร้อม ทังเทวโลก ไม่ว่าไนสมัย ฤดู หรือปีก็ตาม ย่อมไม่โคจรและเวียนออกนอกวิถี โคจร แม้จันได แม้ท่าน ก็จันนั้นเหมือนคัน ไม่ออกไปนอกทางสัจจะทั้งหลาย ถีงความเปีน สัจจบารมีแล้ว จักบรรลุพระสัมโพธิญาณไห้ ๘.อธิษฐานบารมี ลำ ดับนัน ตุเมธดาบสนันคิดว่า พุทธการกธรรมทั้งหลาย จะไม่พึงมีเพียงนี้เท่านั้น จึง ใคร่ครวญให้ยงขืนไปอีก ก็ได้เห็นอธิษฐานบารมีข้อที่ ๘ จึงได้มีความคิดดังนี้ว่า ดูค่อนสุเมธบัณฑิต จำ เดิมแด่นีไป ท่านจงบำเพ็ญแม้อธิษฐานบารมีให้บริบูรณ์ ท่านพึงเป็นผู้ไม่หวันไหวในอธิษฐานที่ได้อธิษฐานไว้ เหมือนอย่างว่า ธรรมดาภูเขาถูก ลมพัดในทิศทังปวง ไม่หวันไหว ไม่เขยือน คงทั้งอยู่ในที่ของตน ฉันใด แม้ท่านก็ฉันนั้น www.kalyanamitra.org

ธรรมชาติพระสัมมาสัมพุทรเจ้า ะ ๒๑๗ เหมือนกัน ไม่หวั่นไหวในการอธิษฐาน คือการตั้งใจมั่นของตน จักได้เป็นพระพุทธเจ้า ครั้นคิดแล้วจึงอธิษฐานซึ๋งอธิษฐานบารมีข้อที่ ๘ กระทำให้มั่นแล้ว ด้วยเหตุนั้น ท่านจึง กล่าวว่า ค็พทธธรรมทั้งหลายจักไม่พึงmฟืยงพี้ท่านั้น เราจัณลือณพึน ธรรมแม้ข้ออื่น ๆ อันเปีนเครองปมพระโพธิญาณ ไนคราจนั้นเราเลือก เพึนอยู่ก๊!ณห็น อธิษฐานบารมีข้อที่๘ท่านผู้แสวงหาคุณไหญ!นก่อน ลือปฏิปีติเป็นประจำ ท่านจงสมาทานอธิษฐานบารมีข้อที่ ๘ พี้ กระทำไม้มั่นก่อน ท่านจงเป็นผู้ไม่หวั่นไหวไนอธิษฐานบารมีนั้น จัก บรรลุพระสัมโพธิญาณได้ ภูเขาหินไม่หวั่นไหว คงทั้งอยู่ตามเดิม ไม่สะเทือนเพราะลม แรงกล้า คงทั้งอยู่ในที่ของคนเอง แม้ฉันไดแม้ท่าน ก็ฉันนั้น เหมือนกัน จงเป็นผู้ใม่หวั่นไหวไนอธิษฐานไนกาลทั้งปวง ถึงความ เป็นอธิษฐานบารมีแล้วจักบรรลุพระสัมโพธิญาณได้ ร.เมตตาบารมี ลำ ดับนั้น ธุ[เมธดาบสนั้นคิดว่า พุทธการกธรรมนั้งหลาย จะไม่พึงมีเพียงนีเท่านัน จึง ใคร่ครวญให้ยิ่งขึ้นไปอีก ก็ได้เห็นเมดดาบารมีข้อที่ ๙ จึงได้มีความคิดดังนีว่า ดูก่อนสุเมธบัณฑิต จำ เดิมแต่นี้ไปท่านพึงบำเพ็ญแม้เมตตาบารมีให้บริบูรณ์ ท่านพึง เปีนผู้มีจิตเปืนอย่างเดิยวกัน ทั้งในสิ่งที่เปีนประโยชน์ และในสิงพีไม่เปีนประโยชน์ เหมือนอย่าง ว่า ธรรมดานํ้าย่อมไหลแผ่ความเย็นเปีนเช่นเสียวกัน ทั้งแก่คนชั่ว ทั้งแก่คนดีฉันใด แม้ท่านก็ฉัน นั้นเหมือนกัน เป็น^จิดเป็นอย่างเดียวด้วยเมดดาจิดในสัดว์ทั้งปวงอยู่ จักได้เป็นพระพุทธเจ้า ครั้นคิดแล้วจึงอธิษฐานเมดดาบารมีข้อที่ ๙ กระทำให้มั่นแล้ว ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ก็'พุทธธรรมเหล่าพี้ จักไม่มีเพึยงพี้เท่านัน เราจักเลือกเพึน ธรรมแม้ข้ออื่น ๆ ที่เป็นเครื่องบ่มพระโพธิญาณ คราวนั้น เมั่อเรา เลือกเฟันอยู่ ก็ได้เห็นเมตตาบารมีข้อที่ ๙ ท่านผู้แสวงหาคุณไหญ!น www.kalyanamitra.org

ธรรมชาติพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ะ ๒๑๘ ค่อน ลือปฏิป้ติเป็นประจำท่านจงสมาท!นเมตตาบารมีข้อที่ ๙ มี กระท่าให้มั่นค่อนจงเป็นMมีใครเสมอเหมือนด้วยเมตตา ด้าท่าน ปรารถนาเพอจะบรรลุพระโพธิญาณ ธรรมดานํ้าย่อมแผ่ความเย็นไปให้คนติและคนเลาโดยเสมอ กัน ชะล้างมลทินคือธุลีออกได้ แห้กันใดแห้ท่าน ย็กันนั้น เหมือนกัน จงเจริญเมตตาให้สมํ่าเสมอในชนที่เกื้อกูลและไม่เกื้อกูล ท่านลืงความเป็นเมตตาบารมีแล้วกักบรรลุพระสัมโพธิญาณได้ ®o. อุเบกขาบารมี ลำ ดับนั้น ธุ[เมธดาบสนั้นคิดว่า พุทธการกธรรมนั้งหลาย จะไม่พึงมีเพียงนี้เท่านั้น จึง พิจารณาโหยงขึ้นไป ก็ได้เห็นอุเบกขาบารมีฃ้อที่ ๑๐ แล้วได้มีความคิดดังนี้ว่า ดูก่อนอุ[เมธบัณฑิต จำ เดิมแต่นี้ไป ท่านจงปาเพ็ญแม้อุเบกขาบารมีให้บริบูรณ์ พึง วางใจเปีนกลางทังในอุ[ข และทั้งในทุกข์ เหมีอนอย่างว่า ธรรมดาแผ่นดิน เมื่อคนทิ้งของ สะอาดห้างไม่สะอาดห้าง ย่อมทำใจเปีนกลางอยู่ ฉันใด แม้ท่านก็ฉันนั้นเหมือนฉัน วางใจเป็น กลางอยู่ในสุขและทุกข์ ก็จักได้เป็นพระพุทธเจ้า ครั้นคิดแล้วจึงอธิษฐานอุเบกขาบารมีข้อที่ ๑๐ กระทำไห็'มั่นแล้ว ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ก็พุทธธรรมเหล่ามี กักไม่มีเฟ็ยงมีเท่านั้น เรากักเลือกเห้นธรรมแห้ ข้ออืนๆ อันเป็นเครองปมพระโพธิญาณ คราวนั้น เราเลือกเห้นอยู่ ก็ใด้เห็น อุเบกขาบารมีข้อทิ ©๐ ท่านผู้แสวงหาคุณใหญ่ในค่อน ลือปฏิปีติเป็นประจำ ท่านจงสมาทานอุเบกขาบารมีข้อทิ ©๐ มี กระท่าให้มั่นค่อน ท่านเป็นผู้ มั่นคงประคุจตราชู กักบรรลุพระสัมโพธิญาณ ธรรมดาแผ่นดินย่อมวางเฉย ในของไม่สะอาดและของสะอาดที่ คนทิงลง เว้นจากความโกรธและความยินตินั้งสองนั้น กันใดแห้ท่าน ก็กัน กันเหมือนกัน จงเป็นประดุจตาชั่งในสุขและทุกข์ในกาลทุกเมื่อ ลืงความ เป็นอุเบกขาบารมีแล้ว กักบรรลุพระสัมโพธิญาณได้ www.kalyanamitra.org

ธรรมชาติพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ะ ๒๑๙ ต่อแต่ใfน ลุ[เมธดาบสจึงคิดว่า พุทธการกธรรมทั้งหลายอันเป็นเครื่องบ่มพระ- โพธิญาณ ที่พระโพธิสัตว์ทั้งหลายพึงบ่ฎิป้ติในโลกนี้ มีเพียงนี้เท่านั้น เว้นบารมี ๑© เสีย ธรรมเหล่าอื่นย่อมไม่มีบารมีทั้ง ๑๐ นี้ แม่ไนอากาศเบื้องบนก็ไม่มี แม่ในแผ่นดินเบื้อง ล่างก็ไม่มี แม่ไนทิศทั้งหลาย มีทิศตะวันออกเป็นต้น ก็ไม่มี แต่จะทั้งอยู่เฉพาะในภายใน หทัยของเราเท่านั้น ครั้นไต้เห็นว่าบารมีเหล่านั้น ทั้งอยู่เฉพาะในหทัยอย่างนั้น จึง อธิษฐานบารมีเหล่านั้นทั้งหมด กระทำให้มั่น พิจารณาอยู่แล้ว ๆ เล่า ๆ พิจารณากสับไป กสับมา ยึดเอาตอนบ่ลายทวนมาให้ถึงต้น ยึดเอาตอนต้นทวนให้ถึงตอนบ่ลาย ยึดเอา ตอนกลางให้จบลงตอนลุ[ดข้างทั้งสอง ยึดเอาที่ลุ[ดจากข้างทั้งสองให้จบลงตอนกลาง การบริจาคสิ่งของภายนอก จัดเป็นทานบารมื การบริจาคอวัยวะน้อยใหญ่ จัดเป็นทาน รุปบารมี การบริจาคชีวิต จัดเป็นทานปรมัคลบารมี เพราะเหดุนั้น ท่านลุ[เมธดาบสจึง พิจารณาสมดิงสบารมี คือบารมี ๑๐ อุปบารมี ๑๐ ปรมัฅถบารมี ๑๐ ประดุจคนหมุน เครื่องยนต์หีบนั้ามันไปมา และเหมือนเอาเขามหาเมเให้เป็นโม่กวนมหาสมุทรในจักรวาล ฉะนั้น เบื้อลุ[เมธดาบสนั้นพิจารณาบารมี ๑๐ อยู่อย่างนั้น ต้วยเดชแห่งธรรม มหาบ่ฐพีนี้ หนา สองแสนสี่หบื้นโยชน์ ก็ร้องลั่น สะท้านเลื่อนลั่นหวั่นไหว เหมือนมัดไม้อ้อที่ลูกช้างเหยียบ และเหมือนเครื่องยนต์หีบอ้อยที่กำลังหีบอ้อยอยู่ หมุนคว้างไม่ต่างอะไรกับวงล้อเครื่องฟ้น หม้อ และวงล้อเครื่องยนต์หีบนั้ามัน ด้วยเหดุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ธรรมที่เปีนเครื้องปมพระโพธิญาณในโลค มีเฟืยงเท่านี้ นั้นยิ่งขื้นไป กว่านี้ก็ไม่ปี นอกจากนี้ไปก็ไม่ปี ท่านจงตั้งนั้นอยู่ใน ธรรมนั้น กำ เนิดพระสัมมาสัมพทธเจ้า พระโพธิสัตว์ทรงทุมเทการสร้างบารมี ๑๐ ทัศ อย่างยิ่งยวดเป็นอสงไขย ๆ กัป ในที่สุด บารมีทั้ง ๑๐ ทัศก็เต็มเปียม แล้วในชาติสุดท้าย ใจของพระองค์ใสสะอาดบริสุทธี้ เกิดความ! ภายในตัวเองว่า ล้าจะให้!แจ้งแทงตลอดเห็นธรรมภายใน !ตามความเป็นจริงเกี่ยวกับโลก ชีวิต www.kalyanamitra.org

ธรรมชาติพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ะ ๒๒๐ กรรม ธรรมะ และอธรรมแล้วจะต้องปฎิบ้ติตามอริยมรรคมีองค ๘ โดยการบำเพญเพียรทางกาย วาจา ใจ อย่างยี๋งยวด จนเข้าถึงพระธรรมกายภายใน บรรลุวิชชา ๓ ปราบกิเลสหมดสิน ตรัสรู้ เป็น.\"พระสัมมาส้มพุทธเจ้า\" พระสัมมาส้มพุทธเข้าจะเรึ๋มสั่งสอนให้มนุษย์ไต้รู้ เห็น ปฎิป้ติตามอย่างพระพุทธองค์ เพื่อให้มนุษย์หลุดพ้นจากวัฎจักรของการเวียนว่ายตายเกิด คำ สอนของพระพุทธองค์เรียกว่า \"พรร?ธรรม\" มนุษย์เมื่อฟังคำสอนของพระพุทธองค์แล้วเกิดศรัทธาออกบวชตาม \"พระสงฆ์\" ก็ บังเกิดขึ้น พระพุทธศาสนาจึงบังเกิดขึ้น พระพุทธศาสนาจะรุ่งเรืองอยู่ชั่วระยะหนง แล้วก็จะ เสื่อมสลายไปจากโลก มนุษย์จะต้องรออีกนานแสนนาน จนกว่าพระสัมมาส้มพุทธเข้าพระองค์ ใหม่จะเสด็จมาบังเกิดขึ้นในโลก ประเภทของพระสัมมาส้มพุทธเจ้า พระสัมมาส้มพุทธเข้าหากจะแปงตามพระบารมีที่สั่งสมมีอยู่ ๓ ประเภท ดังนี้ ๑.พระบัญญาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม ๒๐ อสงไขยแสนมหาณัเ ทรงมีพระบัญญามากแต่มี พระศรัทธาห้อย โดยมีระยะเวลาการสร้างบารมี ๓ ระยะ ดังนี้ ระยะที่ ๑ ดำ ริในพระทัยไม่ไต้เอ่ยปากบอกใครนานถึง ๗ อสงไขย ระยะที่ ๒ ออกปากบอกบุคคลอื่น พร้อม ๆ กับสร้างบารมีไปต้วยอีก ๙ อสงไขย ระยะที่ ๓ เมื่อไต้รับพยากรณ์แล้ว สร้างบารมีเพิ่มอีก ๔ อสงไขยแสนมหากัป ๒.พระสัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมี รวม ๔๐ อสงไขยแสนมหาml ทรงมีพระศรัทธามากแต่มี พระปัญญาปานกลาง สร้างบารมีระยะที่ ๑ นานถึง ๑๔ อสงไขย สร้างบารมีระยะที่ ๒ นานถึง ๑๘ อสงไขย สร้างบารมีระยะที่ ๓ อีก ๘ อสงไขยแสนมหากัป ๓.พระวิรียาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมี รวม ๘๐ อสงไขยแสนมหาณัเ ทรงมีพระวิริยะมากยึ๋งแต่มี ปัญญาห้อยกว่าพระพุทธเข้าประเภทอื่น www.kalyanamitra.org

ธรรมชาติพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ะ ๒๒๑ สร้างบารมีระยะที่ ๑ นานถึง ๒๘ อสงไขย สร้างบารมีระยะที่ ๒ นานถึง ๓๖ อสงไขย สร้างบารมีระยะที่ ๓ นานถึง ๑๖ อสงไขยแสนมหากัป หน่วยเวลา ๑. อสงไขยปี เท่ากับ ๑๐ เป็นอายุที่ยืนที่ลุ[ดของมนุษย์ ๒. อันตรกัป คือ ช่วงเวลาที่นับอายุมนุษย์ที่ยืนที่สุด คือ ๑ อสงไขยปีแล้วลดลงไปเรื่อย ๆ จนถึง ๑๐ ปี จากนั้นณ็พึ๋มขึ้นไปอีกครั้งจนถึง ๑ อสงไขยปีอีกครั้ง เวลาหนั้งรอบของการเพึ๋มและ ลดของอายุมนุษย์นี้เรยกว่า อันตรกัป ๓. อสงไขยกัป เป็นช่วงความเปลี่ยนแปลงของโลก ตั้งแต่เป็นความว่างันเกิดจาการแตก ทำ ลายจนเจริญและย้อนมาแตกทำลายอีกครั้ง ช่วงการเปลี่ยนแปลงของโลกดังกล่าวมานัน (ลูได้ จากกัปปสูตร ว่าด้วยอสงไขย ๔ แห่งกัปใน อังคุตรนิกาย จตุกกนิกาย)มีนั้งหมด ๔ ช่วง (๔ อสงไขยกัป) แต่ละช่วงมี ๖๔ อันตรกัป ดังนั้นช่วงความเปลี่ยนแปลงของโลกจึงรวมเวลาเป็น ๒๕๖ อันตรกัป ๔. มหากัป จำนวนทั้ง ๒๕๖ อันตรกัป(๔ อสงไขยกัป)นั้น นับเป็น ๑ มหากัป กัปที่มีพระสัมมาส้มพุทธเจ้ามาบังเกิด ดังที่กล่าวมาแล้ว เราจะเห็นได้ว่า แม้ช่วงเวลาเพียง ๑ มหากัป ก็นับว่ามีระยะเวลาที่ ยาวนานมาก ดังนั้นการที่จะมีพระสัมมาส้มพุทธเจ้าสักพระองค์หนั้งมาอุบตขึน จึงไม่ใช่เรื่องง่าย และก็ไม่แน่ว่าพระสัมมาส้มพุทธเจ้าจะเสด็จอุบติขึ้นในโลกนีพุกมหากัปเสมอไป บางมหากัปก็ ไม่มีพระสัมมาส้มพุทธเจ้าเสด็จอุบติขึ้น เราสามารถแปงมหากัปออกเป็น ๒ ประเภทใหญ่ ๆ คือ สุญกัปและอสูญกัป กล่าวคือ ๑.สุญกัป หมายถึง มหากัปที่ว่างเปล่าจากมรรคผลนิพพาน คือ ไม่มีพระสัมมาส้มพุทธเจ้า เสด็จอุบํติขึ้นในโลก แม้เพียงพระองค์เดียว และในสุญกัปนีก็ยังไม่มีพระฟ้จเจกพุทธเจ้า หรือ พระเจ้าจักรพรรดิมาบังเกิดขึ้น ในสุญกัปนี้ย่อมว่างเปล่าจากบุคคลผู้ทรงคุณวิเศษ และไม่มีมรรค ผลนิพพานปรากฎขึ้น www.kalyanamitra.org

ธรรมชาติพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ะ ๒๒๒ ๒.อสุญกัป หมายถึง มหากัปที่ไม่ว่างเปล่าจากมรรคผลนิพพาน คือ มีพระสัมมาส้มพุทธ เจ้าเสด็จอุบํติขึ้นในโลก ถึงแม้มีเพียงหนึ๋งพระองค์ในมหากัปก็ถือว่าเป็น อสุญกัปและในอสุญ- กัปนี้ยังมีพระปัจเจกพุทธเจ้า หรือพระเจ้าจักรพรรดิมาบังเกิดขึ้น นอกจากนี้ยังมีบุคคลผู้ทรงคุณวิเศษปรากฎเกิดขึ้นอีกด้วยและอสุญกัปที่มีพระสัมมาสัม- พุทธเจ้ามาอุป้ดิขึ้นนี้ ยังมีชื่อเรียกตามจำนวนของพระสัมมาส้มพุทธเจ้าที่เสด็จอุบตขึ้นในแต่ละ มหากัป ดังนี้ ๑. สารกัป หมายถึง มหากัปที่มีแก่นสาร เป็นมหากัปที่มีพระสัมมาส้มพุทธเจ้าเสด็จอุบัติ ขึ้น ๑ พระองค์ ๒. มัณฑกัป หมายถึง มหากัปที่มีความผ่องใส เป็นมหากัปที่มีพระสัมมาส้มพุทธเจ้าเสด็จ อุป้ดิขึ้น ๒ พระองค์ ๓. วรกัป หมายถึง มหากัปที่ประเสริฐ เป็นมหากัปที่มีพระสัมมาส้มพุทธเจ้าเสด็จอุบติขึ้น ๓ พระองค์ ๔. สารมัณฑกัป หมายถึง มหากัปที่ประเสริฐกว่าและมีแก่นสารมากกว่ากัปที่ผ่านมา เป็น มหากัปที่มีพระสัมมาส้มพุทธเจ้าเสด็จอุป้ติขึ้น ๔ พระองค์ ๕. ภัทรกัป หมายถึง มหากัปที่เจริญที่สุด และเกิดขึ้นได้ยากที่สุด เป็นมหากัปที่มีพระ- สัมมาส้มพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขืน ๕ พระองค์ ชื่งถือว่ามีจำนวนมากที่สุด และจะไม่มีมากกว่านี้อีก แล้วจึงทำให้สรรพสัตว์ทั้งหลายในกัปนี้มีโอกาสจะกระทำอาสวะให้สิ้นไปได้มากกว่ากัปอื่น ปัจอุบันนีเรากำลังอยู่ในยุคของพระสมณโคดมสัมมาส้มพุทธเจ้า ชื่งเป็นพระองค์ที่ ๔ ใน ภัทรกัปนี จัดอยู่ในอันตรกัปที่ ๑๒ ของวิวัฎฎฐายีอสงไขยกัป ในยุคหน้า เป็นสมัยของพระศรี- อริยเมตไตรยสัมมาส้มพุทธเจ้า ที่จะเสด็จอุบติขึ้นเป็นพระสัมมาส้มพุทธเจ้าพระองค์สุดท้ายของ ภัทรกัปนี้ จัดอยู่ในอันตรกัปที่ ๑๓ www.kalyanamitra.org

ธรรมชาเพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ะ ๒๒๓ พระสัมมาสัมทุฑธเจ้าองคป๋'ฉลูบัน พระสัมมาส้มพุทธเจ้าองค์ป็จลูบัน เดิมท่านก็เป็นijลุชนเช่นเดียวกับเรา พระพุทธองค์ได้ เวียนว่ายตายเกิดนับภพนับชาติไม่ถ้วน นับย้อนหลังไป ๒๐ อสงไขยแสนมหากัป พระพุทธองค์ ได้ทรงประสบเคราะห์กรรมอย่างหนัก จึงอุกใจได้คิดว่า \"ชีวิตของมนุษย์เป็นพุกข์ ต้องเวียนว่าย ตายเกิด เหมือนถูกฃังอยูไนคุก หากวันใดเราสามารถพ้นจากคุกนี้ไปไต้ จะนำพาชนชาวโลกข้าม ฝังแห่งวัฎฎสงสารนี้ไปให้หมดสิ้น\" จากนั้นพระองค์ก็ทรงตั้งใจ สร้างความดีต่าง ๆ แต่เป็นไปอย่างลองผิดลองถูกด้วยลำพัง พระองค์เอง เป็นเวลาถึง ๗ อสงไขย พระองค์จึงทรงเริ่มจับทิศทางการสร้างความดีถูกว่า จะด้อง สร้างบารมี ๑๐ ทัศ อย่างยิ่งยวด แถ้วพระองค์ก็ทรงลงมือสร้างแต่ความดีนั้ง ๑๐ ประการนั้น เป็น เวลาอีก ๙ อสงไขย จนบารมีเต็มเปียมพอที่จะปราบกิเลสไห้สิ้นไปได้ หากว่าทรงเปลี่ยนพระทัย ไม่ปรารถนาจะสร้างบารมีเพื่อเป็นพระสัมมาส้มพุทธเจ้า ก็จะได้เป็นพระอรหันตสาวกในสมัย ของพระสัมมาส้มพุทธเจ้าที่มาตรัสรู้ในขณะนั้น แต่ด้วยพระมหากเณาธิคุณที่จะพาสัตว์โลกอื่น ออกไปจากวัฏสงสารนี้ จึงทรงสร้างบารมีต่อมาอีก ๔ อสงไขยแสนมหากัป เพื่อแกวิชาครูให้ สามารถเป็นด้นแบบให้แก่ชาวโลกได้อย่างแท้จริง ในพระชาติสุดท้าย พระพุทธองค์ทรงเกิดเป็นมนุษย์ มีนามว่า เจ้าชายสิทธัตถะ แม้ว่า พระพุทธองค์จะทรงบารมีเต็มเปียมปานนั้น แต่เพราะด้องมีการเกิดใหม่ จึงทรงลืมความรู้เติม และปณิธานเติม ทรงหลงระเริงอยู่ในโลกียสุข เป็นเวลา ๒๙ ปี จึงคิดได้ว่า กำ ลังจะทรงวนอยู่ ในวัฏจักรของการเวียนว่ายตายเกิดอีก จึงเสด็จออกบวช และทรงพบว่าแม้พระพุทธองค์จะมี บารมีเต็มเปียมแถ้ว ซึ๋งเปรียบเสมือนว่าทรงมีฟืนที่แห้งสนิท และทรงพบว่ามีปณิธานอันแน่วแน่ ที่จะพันทุกข์ เปรียบเสมือนทรงไม่ขด แต่ยังขาดวิธีการที่จะขีดไฟ ซงก็คืออริยมรรคมีองค์ ๘ พระพุทธองค์จึงทรงทุ่มเทปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์ ๘ โดยการบำเพ็ญเพียรทางจิต แกสมาธิจน ใจหยุดนิ่งที่สุนย์กลางกาย แล้วบักมั่นดึ๋งเข้ากลางของกลาง จนเป็นอันหนิ่งอันเดียวกับ พระธรรมกายกายในตัว บรรลุวิชชา ๓ ปราบกิเลสได้หมดสิ้น เป็นพระอรหันตสัมมาส้มพุทธเจ้า แล้วทรงสั่งสอนธรรมะอันเป็นทางพันทุกข์แก่มหาชน คำ สอนของพระพุทธองค์นันเรียกว่า \"พระธรร?/\"เมื่อมีผู้เลื่อมใสเข้ามานับถือพระพุทธศาสนามากขึ้นก็ทรงวางระเบียบวินัย ปกครอง www.kalyanamitra.org

ธรรมชาติพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ะ ๒๒๔ หยู่คณะให้เรียบร้อย ซึ๋งเรียกว่า \"ฬระรีพ©\" พระธรรมกับพระวินัยนันรวมกันเป็น พระพุทธศาสนา พระสัมมาสมพุทธเจ้าประกอบด้วยพระคุณอเนกประการ เมื่อกล่าวโดยย่อเฉพาะที่เป็น หสักใหญ่มี ๓ ประการคือ ๑. พระ'ป๋'ญญาธิคุณ ทรงมีความฉลาดรอบเในธรรม'ทั้งปวง ๒. พระวิสุทธิคุณ พระองค์ทรงมีความบริสุทธึ๋ปราศจากกิเลสทั้งปวง ๓. พระกรุณาธิคุณ ทรงมีนํ้าพระทัยสงสาร คิดช่วยสัตว์โลกให้พ้นทุกข์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว ทรงประกาศพระศาสนาอยู่เป็นเวลา ๔๕ ปี จน พระชนมายุได้ ๘๐ พรรษา ก็ดับบฃันธปรินิพพาน เมื่อจะปรินิพพาน พระสัมมมาสัมพุทธเจ้า รับสั่งว่า ให้พุทธบริษัทนับถือ \"พระธรรมกับพระวินัย\" ที่ได้ทรงแสดงไว้แล้วเป็นศาสดาแทน พระพุทธองค์สืบไป www.kalyanamitra.org

ความรูพืองด้นชาวพุทธและคุณซองพระรัดนตรัย ะ ๒๒(รr บฑที่๕ ความรูเบื้องต้นชาวพุทธและคุณของพระรัตนตรัย วัตถุประสงค์การเรียนรู้ ๑. เพื่อให้เและเข้าใจถึงความหมายของคำสำคัญในพระพุทธศาสนา รวมถึงภาพรวมของตัว เราและกลไกในการกำจัดกิเลสได้ถุกต้อง ๒. เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจ และมีความเลื่อมใสศรัทธาในคุณของพระรัตนตรัยยึ๋งขึ้น ๓. เพื่อให้สามารถอธิบายคุณของพระรัตนตรัยแต่ละเรื่องได้อย่างถุกด้อง ๔. เพื่อให้เกิดแรงบันดาลใจที่จะพยายามแกตนเองให้มีพระรัตนตรัยภายในเป็นที่พื่ง ความร้เบองต้นชาวพุทธ' ในบทแรกนี้ จะทำความเข้าใจเกี่ยวคับหัวข้อธรรมสำคัญในพระพุทธศาสนาที่เรา มักได้ยินคันอยู่เป็นประจำก่อน ทั้งนี้เพื่อให้มีพื้นฐานความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวคับตัวเรา และสึ๋งที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของเราโดยตรง ได้แก่ - เรื่ององค์ประกอบของมนุษย์ที่ประกอบด้วยกาย และใจ - เรื่องกิเลส ๓ ตระถูล ได้แก่ โลภะ โทสะ โมหะ - เรื่องบุญ และวิธีการทำบุญ ได้แก่ ทาน ศีล ภาวนา ธรรมะฌองต้น มนุษย์ประกอบด้วยองค์ประกอบ ๒ ส่วน คือ 'นำ มาจากหนังสือ ก่อนไปวัด โดย พระภาวนาวิริยคุณ(เผด็จ ทตฺตชีโว)ฉบับปรับปรุงโดยฝ่ายวิชาการ วัดพระธรรมกาย www.kalyanamitra.org

ความรู้เบํ้องต้นชาวพุทธและคุณของพระรัดนตรัย ะ ๒๒๖ ๑.ร่างกาย หรือเรยกสั้น ๆ ว่า กาย ๒.ใจ ในภาษาบาลีเรยกว่า จิต หรือ วิญญาณ กาย กาย- ทั้งหญิงและชายต่างประกอบด้วยธาดุ ๔ ชนิด ซื้งได้แก่ ธาลุดิน ธาดุนํ้า ธาคุไฟ และธาตุลม มาประชุมกันอย่างได้สัดส่วนเหมาะสม แล้วเกิดเป็นอวัยวะต่าง ๆ ทั้ง ภายนอกและภายใน ภายนอก เช่น ผม ขน เล็บ ฯลฯ ภายใน เช่น ตับ ไต หัวใจ ฯลฯ กาย- ไม่ได้เกิดขึ้นมาเองลอย ๆ ด้องมีบิดาและมารดาเป็น^ห้กำเนิด คลอดจากครรภ์ มารดาแล้วก็ด้องอาศัยธาตุ ๔ จากภายนอก เช่น อาหาร นํ้า ลม และแสงแดด ฯลฯ มาหล่อเลี้ยงตลอดเวลาจึงเจริญเติบโตขึ้นได้ กาย- เป็นเพียงของกลาง ๆ คือยังไม่มีชีวิต ยังไม่ดี-ยังไม่ชั่ว ยังไม่ยิ่งใหญ่-ไม่ตรทราม ใด ๆ ทั้งสิ้น ต่อเมื่อใด พูด-ทำ ตามที่ใจคิดหรือสั่ง จึงเกิดเป็นกรรมดีกรรมชั่ว ตามที่พูดหรือทำนั้น กาย- ประกอบด้วยธาตุที่ยังไม่บริคุทธ จึงเป็นรังของโรคภัยไขเจ็บต่าง ๆ ตั้งแต่ยังอยู่ใน ครรภ์ ถึงแม้จะดูแลฟ้องกันรักษาเป็นอย่างดี ก็ด้องแตกสลายเป็นธรรมดา คือตาย ในที่สุด กาย- หสังจากตายเป็นศพแล้ว ก็ถูกนำไปฝังบ้าง เผาบ้าง ธาตุทั้ง ๔ ที่ประกอบเป็นกายก็ คืนกลับสภาพเดิม คือธาตุดินก็กลับทับถมจมดินไป ธาตุนั้าก็ระเหยกลับเป็นนํ้า ธาตุไฟก็กลับเป็นไฟ ธาตุลมก็กลับเป็นลม เชื้อโรคต่าง ๆ ในกายก็ด้องตายตามไป ด้วย ใจ- เป็นธาตุชนิดหนง ที่เป็นอีกองค์ประกอบหนงของมนุษย์ เข้าไปสิงสถิตอยู่ภายใน กายตังแต่คือกำเนิด ทำ ให้กายมนุษย์ซึ๋งประกอบด้วยธาตุ ๔ มีชีวิตขึ้นมาได้ www.kalyanamitra.org

ความรู้พํ้องด้นชาวพุทธและคุณของพระรัดนตรัย ะ ๒๒๗ ใจ- เป็นธาตุละเอียด จึงไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเนื้อ ไม่สามารถจับด้องได้ แต่ เห็นได้ด้วยตาทิพย์เป็นธาตุ! จึงทำให้เรารู้เรื่องราวต่าง ๆ ได้ เช่น รู้ธรรมะ รู้ หนังสือ รู้จักเพื่อน รู้จักดี-ชั่ว รู้จักดีใจ-เสียไจ รู้จักเหตุ-ผล ฯลฯ ใจ - ทำ งานร่วมกับประสาทสัมผัสทั้ง ๕ คือ ตา หู จมูก ลิ้น และกาย จึงทำให้เห็นรูป ผ่านตา ฟังเสียงผ่านหู สูดดมกลิ่นผ่านจมูก ลิ้มรสผ่านลิ้น และสัมผัสผ่านกายได้ ใจ- ปกติจะผ่องใส สว่างภายใน ไม่ขุ่นมัว ทำ ให้บุคคล สามารถรู้เห็นสภาวการลเ ต่าง ๆ รอบตัวผ่านประสาทสัมผัสทั้ง ๕ ได้อย่างถูกด้องชัดเจน จึงรักจะคิดดี ๆ แล้วสั่งกายให้พูด-ทำลิ่งดี ๆ ตามมา ใจ- หากถูกกิเลสเข้าครอบงำ ย่อมเศร้าหมอง ขุ่นมัว การรับรู้ผ่านประสาทสัมผัสทั้ง ๕ จึงผิดพลาดคลาดเคลื่อน ไม่ตรงตามความเป็นจริง ก่อให้เกิดความคิดวิปริต จึง พูดร้าย ทำ ร้ายได้ต่าง ๆ นานา ทำ ให้ผัทั้นกลายเป็นคนชั่ว คนร้ายไปทันที กิเลสคืออะไร กิเลส-เป็นธาตุชนิดหนื้ง ซึ๋งสกปรกมาก เปรอะเนื้อนมาก เหนียวแน่นมาก มีอำ นาจใน การทำลายทำร้ายใจ ให้เดือดร้อน เป็นทุกข์ได้มากมายมหาศาล ไม่มีลิ่งใดมา เทียบเทียมได้ และละเอียดมาก จึงไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเนื้อ แต่เห็นได้ ด้วยตาธรรมหรือธรรมจักบุ กิเลส- ฝังตัวเกาะติดอยู่ในใจมนุษย์ ตั้งแต่แรกถือกำเนิดในครรภ์มารดา เช่นเดียวกับเชื้อ โรคทั้งหลายที่ฝังตัวอยู่ในยีนและโครโมโซม เพื่อรอจังหวะทำความเจ็บป่วยให้ ร่างกาย ขณะที่สูฃภาพอ่อนแอฉันใด กิเลสก็จ้องหาโอกาสครอบงำเรา ขณะที่ใจ เผลอสติฉันนั้น กิเลส- หากเข้าครอบงำใจได้เมื่อไร ก็ย้อม เคลือบ ห่อ ทุ้มใจให้เศร้าหมอง ขุ่นมัว มืดมิด สกปรก มีสภาพไม่ต่างกับถํ้ามืด ที่ทั้งสกปรกทั้งอันตราย หรือเหมือนกับคนใส่ แว่นสีดำคลํ้า แถมเนื้อนโคลนเหนอะหนะอีกด้วย ทำ ให้เสียคุณภาพในการเห็น www.kalyanamitra.org

ความรู้เบํ้องด้นชาวพุทธและคุณของพระรัดนตรัย ะ ๒๒๘ หรือรับเทางประสาทสัมผัสทั้ง ๕ คือ ได้เห็น ไดยม ได้กลึ๋น ได้ลิ้มรส ได้สัมผัส ไม่ตรงตามความเป็นจริง แล้วบีบคั้นใจให้กล้าคิดร้าย พูดร้าย ทำ ร้าย ตามการรับเ ที่ผิด ๆ บิดเบือนไปแล้วนั้น เป็นผลไห้ด้องได้รับความทุกข์ความเดือดร้อนต่าง ๆ ตามมา จากคนดีจึงด้องกลายเป็นคนชั่วร้ายตามความคิด คำพูด การกระทำร้าย ๆ นั้น ความเลวร้ายสสับซับช้อนเช่นนี้ บังเกิดขึ้นไม่ว่างเว้นแม้แต่วินาทีเดียวกับ สัตว์โลกทุกชีวิตตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย กิเลส- ที่แฝงอยู่ในไจผู้ตาย ไม่ได้ตายตามร่างกายไปด้วย แต่ทำหน้าที่บังคับบัญชาให้กาย ละเอียดของผู้นั้นไปเกิดใหม่ในภพคูมิที่พอเหมาะกับความเลวร้ายของเขา หากได้ โอกาสก็บังคับผู้นั้นให้คิดร้าย พูดร้าย ทำ ร้ายต่อไปอีก จึงด้องเป็นทุกข์และได้ บาปต่อไปอีกชาติแล้วชาติเล่า เช่นเดียวกับผู้คุมย้ายนักโทษจากที่คุมขังหนี้งไปอีก ที่คุมขังหนี้ง ไห้พอเหมาะกับความประพฤติของนักโทษนั้น หากนักโทษก่อ เหลุร้ายอีก ก็ลงโทษไห้ย็ง ๆ ขึ้นไปอีก กิเลส- จีงเปีนต้นเหลุหรือตัวการแท้จริงที่ทำให้เกิดความทุกข์ ความชั่วร้าย ความบาปทุก ชนิดในโลก โดยมีสัตว์โลกแต่ละชีวิตเปีนทุ่นหรือนักโทษ ที่ถูกบังคับให้ทำการ ต่าง ๆ ก่อนถูกประหารซํ้า กิเลส- เมื่อกล่าวโดยสรุปแล้ว มี ๓ ตระกูล ด้วยกันคือ ๑.ตระกูลโลภะ ๒.ตระกูลโทสะ ๓.ตระกูลโมหะ โลภะคืออะไร โลภะ- เป็นกิเลสประเภทที่บีบบังคับใจ ให้รู้สึกหิวโหย อยากไต้มากผิดปกติ ใจจึงดิ้นรน อยู่ไม่เปีนลุโฃ ต้องคิดหาทางเอามาเปีนของตน โดยทางทุจริตต่าง ๆ เช่น คิดลัก ขโมย โกง จี้ ปล้น ฯลฯ จนถึงคิดฆ่าคนตายรวมเรืยกว่า ความโลภ www.kalyanamitra.org

ความรู้เบํ้องด้นชาวพุทธและคุณของพระรัตนตรัย ะ ๒๒๙ 1?าหรับความอยากได้แบบสามัญ เช่น อยากได้เสื้อผ้า อยากรวย อยากเป็น คนดี โดยgจริตตามวิสัยธรรมดา ไม่ถือว่าเป็นความโลภ อยากได้เงิน ๑00 ล้าน บาท แล้วแสวงหาโดยคุจริต ไม่จัดเป็นโลภะ แต่อยากได้เงินเพียง ๑ บาท โดยวิธี ทุจริต จัดเป็นโลภะ โลภะ- มีลักษณะยึดอารมณ์ไว้อย่างเหนียวแน่น คือ เมื่อพอใจในรูป-เสียง-กลึ๋น-รส- สัมผัสธรรมารมณ์ใด ซึ๋งเป็นวัตลุนอกกาย ใจก็แล่นออกจากสูนย์กลางกาย ไปยึด ติดวัตลุนั้นด้างไวิไนใจ จากความอยากได้อย่างสามัญ จึงขยายตัวออกเป็นความ อยากได้เกินเหคุ แล้วกลายเป็นความอยากมีพีษ ยากจะสลัดทิ้ง หรือแกะออก เหมีอนลิงติดตัง หรือติดกาวเหนียว ๆ แล้วแกะไม่ออก จึงลุกนายพรานจับตัวเอา ไป ทำ อย่างไรก็ได้ตามชอบใจ โลภะ-มีเหคุใกล้ชิดทำให้เกิด คือ มีความชอบใจในธรรมฝ่ายตาที่ทำให้เกิดกิเลสเป็นเชื้อ อยู่แล้ว เช่น ความฟุมเพีอย ความเอาเปรียบ ความเห็นแก่ได้ฯลฯ โลภะ-จึงเปรียบเสมือนชะลอมใส่นํ้าไม่รู้จักเต็ม มักก่อให้เกิดความเร่าร้อนคิดที่จะทำ ทุจริต ต่าง ๆ เพื่อให้ได้สิ่งนั้น ๆ มาครอบครอง ที่ไม่เคยคิดจะพูด จะทำ ก็คิด ที่เคย คิดบ้างแล้วก็กำเริบรูนแรงยึ๋งชื้น การละโลภะ ๑.ด้วยใช้สติยับยั้งไว้ก่อน อย่าลุอำนาจแก่ความอยากนั้น ๆ ๒.ด้วยใช้มัญญาพิจารณาผลได้ ผลเสียให้เกิดหิริโอตตัปปะ ๓.ด้วยการปาเพ็ญธรรมในทางตรงช้ามกับโลภะ คือ การบริจาคทานเปีนนิตย์ โทสะคืออะไร โทสะ-เป็นกิเลสประเภทที่บีบบังคับใจให้ร้อนรน หงุดหงิด ขัดเคือง ชิงขังได้ง่าย ผิดปกติ เป็นผลให้คิดอยากทำลายล้างผลาญคนอื่น สิ่งอื่นให้ได้รับอันตราย เสียหาย เช่น ทำ ให้เขาบาดเจ็บ อับอาย เสียหน้า เสียทรัพย์ รวมเรียกว่า คิด ประทุษร้าย หรือความโกรธ www.kalyanamitra.org

ความรู้เยั๊องต้นชาวพุทธและคุณของพระรัตนตรัย ะ ๒๓๐ ความคิดประทุษร้ายอันเนื่องมาจากความไม่พอใจฝ่ายตรงข้ามเท่าใ4น จึงจัดว่า เป็นโทสะ เช่น ยิงนก ฆ่าหทุ เพราะโกรธที่มันลงมากินข้าวในนา แต่ถ้าคิด ประทุษร้ายด้วยเหตุอื่น เช่น คิดยิงนก ดกปลา ล่าสัดว่'เพราะเห็นว่าเป็นกีฬาสนุก ๆ จัดว่าเป็น โมหะ โทสะ-มีลักษณะดุร้ายเหมือนอสรพิษที่ถูกตีแล้วไม่ตาย คือเนื่อบุคคลเผลอสติ เกิดความ มานะถือตัวว่า ดนเต่นกว่าเขา ดนด้อยกว่าเขา หรือดนเสมอกับเขาก็ดี คเนลูก กระทบเข้าด้วยรูป เสืยง กลึ๋น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ใด ซื้งไม่น่าพอใจ ก็เกิด ความคิดขัดเคือง หงุดหงิด หากระงับไม่ได้ ก็จะขยายตัวเป็นเหตุให้เกิดความคิด ชั่วร้ายถึงกับทะเลาะวิวาท กลั่นแกล้ง ทำ ร้าย ฆ่ากัน อันเป็นเหตุให้ตัวเองและ ผู้อื่นเดือดร้อน เหมือนคนที่เป็นศัดรูได้โอกาสล้างแค้นกัน โทสะ-เมื่อเกิดกับผู้ได ย่อมทำให้ผู้นั้น คิดทำลายทุกสึ๋งทุกอย่างแม้ดนเอง นับตั้งแต่ ๑)ทำ ลายระบบความคิด ๒)ทำ ลายสุขภาพร่างกายและจิดใจ ๓)ทำ ลายทรัพย์สิน ๔) ชอบก่อกรรมทำเข็ญเป็นอันดรายต่อสังคม เข้าทำนองใครขอความดีก็ไม่ให้ ใครให้ก็ไม่ยอมรับ หนำซํ้าเอาไฟเผาความดีข้างในดน เสืยอีกด้วย โทสะ-จึงเปรียบเสมือนลูกระเบิดในใจ พอมันระเบิดก็ทำลายตนเองเป็นสิ่งแรก แล้ว ทำ ลายทั้งคน ทั้งสิ่งของข้างเคียงภายหลัง การสะโทสะ ๑. ด้วยการใช้สติยับยั้งไว้ก่อน ๒.ด้วยการใข้ฟ้ญญาพิจารณาให้เห็นโทษ ๓.ด้วยการตั้งใจรักษาสืล ๕ ฟ้องกันไว้ก่อน ๔.ด้วยการบำเพ็ญธรรมในทางดรงข้ามกับโทสะ คือ แผ่เมดดาอยู่เป็นนิดย์ โมหะคืออะไร โมหะ-เป็นกิเลสประเภทบีบบังคับใจให้งุนงง หลงใหล งมงาย มัวเมา มืดบอด ขาด เหตุผล เมื่อเกิดขึ้นแล้วย่อมปิดบังใจของผู้นั้น ไม่ให้รู้ถึงความจริงของสิ่งที่ดนได้ www.kalyanamitra.org

ความรู้เบํ้องด้นชาวพุทธและคุณของพระรัตนตรัย ะ ๒๓๑ เห็น ไดยม ได้กลิ่น ได้ลิ้มรส ได้สัมผัส แล้วคิดลุ่มหลงต่าง ๆ นานาด้วยความ เขลาเบาปัญญา ไม่ให้รู้จักบาปบุญคุณโทษ ผิดชอบชั่วดี เช่น ลุ่มหลงในลุ[รา นารี พาชี กีฬาบัตร เป็นด้น รวมเรียกว่า ความหลง สำ หรับความไม่รู้วิชาการต่าง ๆ ในทางโลก เช่น ไม่รู้เรื่องคณิตศาสตร์ คอมพิวเตอร์ การประกอบอาหาร การตัด เย็บเส์อผ้า การค้าขาย ฯลฯ ไม่จัดว่าเป็นโมหะ เป็นเพียงความไม่รู้ทั่วไปเท่านั้น โมหะ-มีลักษณะปกปิดสถานะจริงของอารมณ์อันเกิดจากการที่ใจถูกรูป-เสียง-กลิ่น-รส- สัมผัสมากระทบไว้อย่างแน่นหนา ทำ ให้ใจมืดมิด ไม่พยายามใช้ปัญญาพิจารณา ในเรื่องนั้น ๆ ให้ประจักษ์ถ่องแท้ แต่ทำตนเป็นปฏิปักษ์กับเหตุผล แม้มีความรู้ก็ ไม่ชอบใช้ความรู้ จึงคิดเบา ลูเบา บุเบา ฯลฯ ของมอมเมาเป็นโทษแท้ๆ เช่น ลุ[รา กลับดูเบาเห็นว่าเป็นคุณ ใช้สำหรับกระชับมิตร การพนันเป็นของทำลาย เศรษฐกิจแท้ ๆ กลับดูเบาเห็นเป็นตัวกระตุ้นเศรษฐกิจ ฯลฯ ในที่ลุ[ดก็กลายเป็น คนเจ้าอารมณ์ ไม่รู้จักผิด ชอบ ชั่ว ดี ไม่รู้จักบาป บุญ คุณ โทษ ประโยชน์ มิใช่ ประโยชน์ มีสภาพเหมือนคนตาดี ที่ตกอยู่ในที่มืด คือมีตาแต่ไม่พยายามมอง ตาก็ หมดสภาพกลายเป็นมองไม่เห็น หรือไม่ก็เห็นผิด ๆ โมหะ- มีเหตุใกล้ชิดทำให้เกิด คือขาดการคิดอย่างเป็นระบบ หรือขาดโยนิโสมนสิการ โมหะ-จึงเปรียบเสมือนความมืดภายในใจ และเพราะความมืดนั้นทำให้ผู้ถูกครอบงำ ชอบเสี่ยง ชอบเดา เชื่อโชคลาง เชื่อพรหมลิขิต ชอบทำความผิดทุกชนิด ตั้งแต่ ทะเลาะวิวาทกัน ฆ่ากัน ทำ สงครามกัน แม้แต่ทำร้ายหรือฆ่าพ่อแม่ของตนเอง ภารละโมหะ ๑.ตั้งใจฟัง อ่าน เรียนธรรมะ เพื่อเพิ่มพูนลุ[ตมยปัญญา ๒.ตั้งใจด้นคิด ทดลอง ทำ วิจัยธรรมะ เพื่อเพิ่มพูน จินตามยปัญญา ๓.ตั้งใจทำใจให้หยุด ให้นิ่ง เพื่อเพิ่มพูนภาวนามยปัญญา www.kalyanamitra.org

ความรู้เบํ้องด้นชาวพุทธและคุณของพระเดนตรัย ะ ๒๓๒ สรุป กิเลสไม่ว่าตระถูลไหน ๑.ตัวกิเลสเองเป็นธาตุธรรมฝ่ายตร สกปรก ดำ มืด เลวทราม ดรช้า ไม่เห็นได้ด้วยตาเนื้อ ๒.ครั้นกิเลสเช้าไปอยู่ในใจได้เมื่อไร ก็เป็นเหตุหรือรากเหง้าให้ใจคิดชั่ว คิดสกปรก ลามก เลวทราม แล้วบังคับกายให้พูดชั่ว ทำชั่วต่าง ๆ นานา ๓.การกระทำใด ๆ ด้วยอำนาจกิเลส ไม่ว่าจะเป็นทางกาย วาจา หรือใจ ล้วนจัดเป็น อกุศลกรรม คือ กรรมเป็นบาปทั้งสิ้น ๔.บาปเป็นพลังงานที่ชั่วร้าย อันเกิดจากกรรมชั่ว ย่อมเป็นเสมือนใ]ยสนับสนุนให้กิเลส ขยายตัวงอกงามเพึ๋มยึ๋งขึ้นไปอีกเป็นวัฎฎจักร ๕.กิเลสแยกย้ายกันเป็น ๓ กองทัพ แต่ละกองทัพมีลักษณะเลวร้ายเฉพาะ แล้วร่วมกัน กลุ้มรุมโจมตีให้เดือดร้อนเป็นทุกข์คือ กองทัพที่ ๑ โลภะ ทำ ให้ไจอดอยากหิว โหย และไม่รู้จักพอ กองทัพที่ ๒ โทสะ ทำให้ใจพลุ่งพล่าน เดือดดาล คิดทำ ร้ายกองทัพที่ ๓ โมหะ ทำให้ใจมืดบอด ขาดเหตุผล มักง่าย เอาแต่ใจตัว ถ้าผู้ใดปล่อยให้กิเลสเข้าครอบครองใจได้ แล้วคิด พูด ทำ ตามแต่กิเลสจะชักนำ ผู้นั้นย่อมได้บาป ไม่ว่าจะยืน เดิน นัง หรือนอน ย่อมทำให้เป็นคนไร้ความกุข ผู้ที่หวังความสุขความเจริญ จึง จำ เป็นด้องริบกำจัดกิเลสเสียแต่ด้นมือ อย่างไรก็ตามกิเลสใช้นั้าล้างไม'ได้ ใช้ไฟเผาก็ไม่ได้ แต่ สามารถกำจัดได้โดยสิ้นเชิงด้วยใJญ www.kalyanamitra.org

ครามรูเบ็้องด้นชาวพุทธแฝืะคุณซองพระรัตนตรัย ะ ๒๓๓ บุญคืออะไร บุญ- เปีนพลังงานชนิดหนึ่งซึ่งบริลุ[ทธิ่มาก เพราะไม่ว่าปริมาณจะน้อย-มาก-หรือปาน กลาง นอกจากไม่มีโทษใด ๆ แล้ว ยังนำแต่ความลุ[ข ความเจริญ ความสมหวังใน สึ๋งที่ดีงามทั้งหลายมาให้Pบุญใงั้น ทั้งในชีวิตนี้ และชีวิตในโลกเบื้องหน้า เช่น ทำ ให้อายุยืน สุขภาพพลานามัยแข็งแรง ผิวพรรณงาม มีศักดามาก มีทรัพย์สมปติ มาก เกิดในตระถูลสูง เจ้าปัญญา ฯลฯ บุญ- เปีนพลังงานซึ่งมีอานุภาพมาก เพราะเป็นสิ่งเดียวที่มีฤทธฆ่ากิเลสทุกชนิดได้ จึง สามารถชำระจิตสันดานที่เศร้าหมอง ตลอดจนความเห็นผิด ความคิดชั่วร้าย ทั้งหลายให้หมดสิ้นจากใจ ทำ ให้ใจกลับมาบริสุทธิ้ผ่องใสได้เป็นอัศจรรย์ บุญ- เป็นเช่นพลังงานทั้งหลายคือ ไม่สามารถเห็นได้ด้วยตาเนื้อมนุษย์ แต่เห็นได้ด้วย คาทิพย์ (ทิพยจักทุ) ตาธรรม (ธรรมจักทุ) และร้ได้ด้วยอาการร้ว่ามีพลังงานไฟห้า ด้วยอาการที่ปรากฏ เช่น ทำ ให้หลอดไฟสว่าง เตารีดร้อน พัดลมหมุน กล้ามเนือ กระตุก ฯลฯ ร้ว่าบุญเกิดขึ้น เมื่อหลังจากทำบุญแล้วรู้สึกเป็นสุขสดชื่น หน้าตา ผ่องใส มีกำ ลังใจทำความดี มีความสำรวมระวัง ฯลฯ บุญ- ไม่เกิดในที่ไหน ๆ แต่เกิดขึ้นเฉพาะที่ใจของผู้ทำบุญเท่านั้น ครั้นเกิดขึนแล้ว ก็มี คุณสมปติแสนวิเศษเฉพาะตัวอย่างมากมาย เช่น ๑.เป็นของเฉพาะตน จึงต้องทำด้วยตัวเอง ๒.ติดตามตนเองไปทุกแก้าว แม้ตายไปเกิดในภพใหม่ ก็ยังติดตามไปได้ Q), ใครแย่ง-ใครลักก็ไม่ได้ ๔.เป็นเครื่องปัองอันภัยในวัฏสงสาร เช่น ไม่ให้ตกนรก ก็ได้ ๕.สามารถส่งไปได้ไกล ๆ แม้ข้ามโลก ข้ามจักรวาลก็ไปได้ ๖.ให้มนุษย์สมปติ ทิพย์สมปติ นิพพานสมปติก็ได้ฯลฯ www.kalyanamitra.org