Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หนังสือเรียนพระไตรปิฎกศึกษา

หนังสือเรียนพระไตรปิฎกศึกษา

Description: หนังสือ

Keywords: พระไตรปิฏกศึกษา

Search

Read the Text Version

ความfเรื่องพระไตรปีฎก ะฅ๔ ธรรมะ ๓ ข้อ เรียกติกนิบาต ดังนี้เป็นต้น จนถึงหมวดธรรมะ ๑๐ ข้อ เรียกทสกนิบาต หมวด ธรรมะเกิน ๑๐ ข้อ เรียกอติเรกทสกนิบาต ในหมวดนี้มีพระสูตรรวมทั้งสิ้น ๙,๕๕๗ สูตร ^ ๕)า}= ขุททกนิกาย แปลว่า หมวดเส์กน้อย รวบรวมข้อธรรมทั้เม่จัดเข้าใน ๔ หมวดข้างต้น มา รวมไว้ในหมวดนี้ทั้งหมด เมื่อจะแน่งโดยหัวข้อใหญ่ก็มี ๑๕ เรื่องคือ (๑) ฃุทฑกน่าฐะ แน่ลว่า บทสวดเล็ก ๆ น้อย ๆ โดยมากเป็นบทสวดสั้น ๆ เกี่ยวกับ พระทุทธศาสนา (๒)ธรรมบท แน่ลว่า บทแห่งธรรม คือธรรมภาษิตสั้น ๆ ประมาณ ๓๐๐ หัวข้อ (ส่วนเรื่องพิสดารมีท้องเรื่องประกอบน่รากฎในอรรถกถา) (๓)อุทาน แปลว่า คำ ที่เน่ล่งออกมา หมายกึงคำอุทานที่เปีนธรรมภาษิต มีท้องเรื่อง ประกอบเป็นเหตุปรารภในการเปล่งอุทานของพระทุทธเจ้า (๔)อิติวุตตกะ แปลว่า \"ข้อความที่ท่านกล่าวไว้อย่างนี้\" เปีนการอ้างอิงว่า พระพุทธเจ้าไต้ตรัสข้อความไว้อย่างนี้ไม่มีเรื่องประกอบ มีแต่ที่ขึนต้นว่า ข้าพเจ้า ไดยนมาว่า พระ^พระภาคเจ้าผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสไว้อย่างนี้ (๕)สุตตนิบาต แปลว่า รวมพระสูตร คือรวบรวมพระสูตรเบ็ดเตล็ดต่าง ๆ ไว้ด้วยกัน มีชื่อสูตรบอกคำกับไว้ (๖)วิมานวัตลุ แปลว่า เรื่องของผู้ไต้วิมาน แสดงเหตุดีที่ให่ไต้ผลดีตามคำบอกเล่าของ ผู้ไต้ผลดีนั้น ๆ (๗)เปตวัตลุ แปลว่า เรืองของเปรตหรือผู้ล่วงลับไป ที่ทำ กรรมชั่วไว้ (๘)เถรคาถา ภาษิตต่าง ๆ ของพระเถระผู้เปีนอรหันตสาวก (๙) เถรีคาถา ภาษิตต่าง ๆ ของพระเถรีผู้เปีนอรหันตสาวิกา ' การนับจำนวนสูตรนีกล่าวตามหลักฐานของอรรถกถา เพราะในลังยุตตนิกาย และอังลุตตรนิกาย บางแห่งก็บอกชื่อสูตร บางแห่งก็ไม่บอกชื่อ ส่วนใหญ่ไม่บอกชื่อสูตร www.kalyanamitra.org

ความfเรื่องพระไตรปีฎก .๓๕ (๑๐)ชาดก แสดงภาษิตต่าง ๆ เกี่ยวโยงกับคำสอนประเภทเล่านิทาน(ท้องเรื่องพิสดาร มีในอรรถกถาเช่นเดียวกับธรรมบท) (๑๑) นิทเทส แปงออกเป็นมหานิทเทสกับจูฬนิทเทส คือมหานิทเทสเปนคำอธิบาย พระพุทธภาษิตในลุ[ตดนิบาต(หมายเลข ๕)รวม ©๖ ล[ุ ตร ส่วนจูพนิทเทส เป็น คำ อธิบาย พระพุทธภาษิตในลุ[ตตนิบาต(หมายเลข ๕)ว่าด้วยป็'ญหาของมาณพ ©๖ คน กับ ขัคควิสาณสูตร กส่าวกันว่าเป็นภาษิตของพระสารีบุตรเถรเจ้า (๑๒)ปฏิสัมภิทามัคค์ แปลว่า ทางแห่งป'ญญาอันแตกฉาน เป็นคำอธิบายหลักธรรม ทางพระพุทธศาสนา ซึ๋งกล่าวกันว่าพระสารีบุตรเถรเจ้าได้กล่าวไว้ (๑๓)อปทาน แปลว่า คำ อ้างอิง เป็นประว้ดิส่วนตัวที่แต่ละท่านเล่าไว้ ซื้งอาจแปงได้ คือเป็นอดีตประวํติของพระพุทธเจ้า ของพระเถระอรหันตสาวก ของพระเถร- อรหันตสาวิกา ส่วนที่เป็นประวิติการทำความดีของพระปัจเจกพุทธเจ้านั้น มี คำ อธิบายว่าเป็นพระพุทธภาษิตตรัสเล่าให้พระอานนท์ฟัง (๑๔)พุทธวังสะ แปลว่า วงศ์ของพระพุทธเจ้า หลักการใหญ่เป็นการแสตงประวิติ ของพระพุทธเจ้าในอดีต ๒๔ องค์ รวมทั้งของพระโคตมพุทธเจ้าด้วยจึงเป็น ๒๕ องค์นอกจากนั้นมีเรื่องเบ็ตเตล็ตแทรกเล็กน้อย (๑๕)จริยาปีฎก แปลว่า คัมภีร์แสตงจริยา คือ การบำเพ็ญบารมีต่าง ๆ ของ พระพุทธเจ้า ซึ๋งแปงหลักใหญ่ออกเป็นทาน (การให้) ศีล (การรักษากายวาจา ให้เรียบร้อย) และเนกขัมมะ(การออกบวช) ข้อสังฒตท้ายสฺตตันุตปีฦก พระสูตตันตปีฎกซึ๋งแปงออกเป็น ๕ นิกายตังกล่าวมาแล้ว คือทีฆนิกายจนถึงฃุททกนิกาย นั้น บางครั้งพระอรรถกถาจารย์กล่าวว่า ๕ นิกายนี้แหละ จะเรียกว่าประมวลได้ครบทั้งสามปิฎก ก็ได้ คือถือว่านอกจากพระพุทธวจนะที่อยู่ใน ๔ นิกายข้างด้นแล้ว พระพุทธวจนะที่เหลือจัตเข้า ใน'yททกนิกาย คือ หมวตเบ็ตเตล็ตทั้งหมต คือ ทั้งวินัยปีฎกและอภิธัมมปิฎก จัดเข้าในขุททก- www.kalyanamitra.org

ความfฟองพระไตรซฎก.๓๖ นิกายทั้งสิ้น คำ ว่า นิกายนี้ ในที่บางแห่งใช้คำว่าอาคมแทน พระไตรปีฎกฝ่ายเถรวาทที่ปรากฎ แปลในฉบับจีน ชาวจีนใช้คำว่า อาคม หมายรวมแทนพระไตรปิฎกของฝ่ายเถรวาท อภิธัมมปีฎก หัวข้อแห่งอภิธัมมปิฎก มี ๗ คำ คือ สัง,วิ,ธา,ij,ก,ย,ป ดังต่อไปนี้ ๑) สัง =สังคณี ว่าด้วยการรวมหมู่ธรรมะ คือ ธรรมะแม้จะมีมากเท่าไร ก็อาจรวมหรือจัดเป็น ประเภท ๆ ได้เพียงไม่เกิน ๓ อย่าง ๒)วิ = วิภังค์ ว่าด้วยการแยกธรรมะออกเป็นข้อ ๆ เช่น เป็นขันธ์ ๕ เป็นด้น ทั้งสังคณีและวิภังค์ นี้ เทียบด้วยคำว่า สังเคราะห์(Synthesis) และวิเคราะห์(Analysis) ในวิทยาศาสตร์ เป็นแต่ เนื้อหาในทางศาสนาสับทางวิทยาศาสตร์ มุ่งไปคนละทาง คงลงสันไดไนหสักการว่า ควร เรียนรู้ทั้งในทางรวมกลุ่มและแยกกลุ่ม เช่น รถคันหนี้งควรรู้ทั้งการประกอบเช้าเป็นคันรถ และการแยกส่วนต่าง ๆ ออกฉะนั้น ๓)ธา =ธาตุกถา ว่าด้วยธาตุ คือธรรมะทุกอย่าง อาจจัดเป็นประเภทได้โดยธาตุอย่างไร ๔)ปุ = ปุคคลบัญญํติ ว่าด้วยบัญญติ ๖ ประการ เช่น บัญญัติขันธ์ บัญญัติอายตนะ จนถึงบัญญัติ เรื่องบุคคล พร้อมทั้งแจกรายละเอียดเรื่องบัญญัติบุคคลต่าง ๆ ออกไป ๕)ก = กถาวัตลุ ว่าด้วยคำถาม คำ ตอบ หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา (พระอรรถกถาจารย์ กล่าวว่า เป็นคำถาม ๕๐๐ คำ ตอบ ๕๐๐ แต่คัวเลข ๕๐๐ นี้ อาจหมายเพียงว่าหลายร้อย เพราะ เท่าที่นับภันลูแล้ว ได้คำถาม คำ ตอบ อย่างละ ๒๑๙ ข้อ) ๖) ย = ยมก ว่าด้วยธรรมเป็นคู่ ๆ บางทีการจัดคู่ก็มีลักษณะเป็นดรรกวิทยา ซึ๋งจะได้กล่าวถึงใน ภาค ๓ ย่อความแห่งพระไตรปิฎก ๗)ป =บัฏฐาน ว่าด้วยปัจจัย คือสึ๋งสนับสนุน ๒๔ ประการ ๘)เป็นอันว่าหัวใจย่อแห่งพระไตรปิฎกคืออาปามฐป;ทีมลังอังขุ;ลังวิธาปุกยปมี รายละเอียดดังกล่าวมานี้ www.kalyanamitra.org

ความfฟองพระไตรปีฎก :๓๗ พร!;ไตรป็เ}ก ร'ิ พท^ เทฟ็ทนเรแท siinniilgn ไพประริติเ««ฬ้รงพองประกฒ) (^พใเว่พ้ยระiSยบวI๒) (ftonfjiสัในพระธรรม๓ศนา าริว ๆไป&]ระริตน{ฬ&นรีอฟระกฒ) «.'ริฟ้ฬเรก เฬท'}/ iAr?fM เ^ร ■i ไนย^ i «.4เท^ jLi^fcrAu r> น-ai ii: ทๅ!Jk-V^ * JJ ฟ้ไพฟ้ท^ท^' ท'รไท;1 ?siru ^f/ ชุlij พ;.'ไ?นรน ไi\"'\" V•^ใพTr^พ ไ;ไ ป ta.^«iสันเท{Ign ^พฑริซ พ9^น0ทไ« f> r^IL-WTS^rJ^EUTtใTBJ {๒พเ ^wnSftm 'i\\P.Vf€nswrgi^timi ^ii/tii.W2iWfว I i i^;tmTtij5rrj»k J ฟ้*Aพ3ะชุ»ร\\!รํฃ |-^น\\ท่:ร;ม ใทน-',ท^- m I? vkw75*nJ«T!<ไน•iiuil ๆ vn;3mพ»Tพ ¥raTr3Ar*^^«\"L' ไ:';ไk?น5fjr *\\ .•?V7>fa? ¥7ร?3«พ/««{ท],!u' .รํ^I2;¥= ไ rciVj) V iUil^ ViT'*'.า ค ■'น รง714 .f- 'Ik-^v rs<fmะmท'iir> ii fii* r<«»; rn;,.rv!»f;ท a \\hrT^?\"4 ๆ mur^if ffj rnuvji »T in ^ ร*.น a ® www.kalyanamitra.org

ความfฟองพระไตรปีฎก ะฅ๘ ท. «{^ fMrlomS 'นรฝเ ธาตุTOl Hฟ้?!.ไ^liiyfi 5» }f<5its^.^4^rnuU i r^'if.TOCtiii utT'dvfe ^Kjffmrv^Tja'^rt; ในฟ?r«ฐm t*sieuft5ij r rม^Mwv&Jtrn•ชุ<3รวพ่♦ๆเ รt \\i*aniuto®» ๆi ใน สนํใJ^น e^i ไไ# ท1ม1 ^iZtiiiQn ! ฬํตุ{รกฟ(ป. GKltf ฬทเฝ(ป[๒Cbtf .1 ปhlY ป.๒๙๙ A ร/ใ.ร*ม a m»>4 ร^น SAnl^tL 00๙ Q i ff tr•ไน( \\ a .r;fV*y{^ii-1tf1t.r? ชุ&ร!ฝ(ป.)ร๙๙ า?ป t% V -5ifv»itfjft ร: c a r/พํ lonn fe ไ!นบั'•\"ะ?เ^ <r»4 ช .T)f r £ er)o 4fi IT £ ร:ะ f«i!7ir ไ^-» รเ น tV ifffO ^3 <i;• vyrjn:wcนน7-^ เท C aw รนร'(ะ # ส์ไtfน e »Vi.i f r ท «!./ร!*1ร-5»น่'-รม / 1 ไ^ร ง st: ท'/ร' ! / ร ร>า,-Tsri ไา^' m* งๆ f: £ใมไ!4 ■' 1.ไใ1ไ?.' *:rn;hj^i?.':พํ /*//1-?5''*.นบัท5พ<ะ r; ร.-4.Tfrs-Sf 1 ,' •J 7..^-. ร;VJ ■©■; ร่;^ท■^.'รfuA'l'i;*,* ». ■< •; aK;1าไบั1>ไ;ใใ]^- ก*^^ / iii,' <'^:9 tn / / rn / --rstNAv^f) ๆ/ r รวไvVu-f ■SJ'I'..น.' !!'น ': T?irt ฎ«ม'4f frdfX ^ '!.ๆฟ่•บัพ ?.นา พ, r หมายเห^ ป.=พระไตรปิฎกฉบับประชาชน www.kalyanamitra.org

ความfฟองพระไตรปีฎก ะต๙ ชุทเUAปืฎก 1!«ฟักาแ ม เท วรรค เท« ดู?เร วำ สัใบโน)^ร^ เฬmรฬ il ล&๔ ihgrnmi.ค«๒ e วรรคสืเรฟhinhgnดูพร ร em ๒ {] GO ดูพร ๒ ร oe ดูพร «ท ^^ih? ค สั:fflihง m สรรปร4 ®)cn&jjชุfi-aดูพร ล ๒)ดูฏฟ้พพดูท่ร R «)ไ1ร๓&ฬญชุเดู^ G)อคสญชุเดู?!ร R ๒)สืรคาคกดูพร ล หมายเหต ล.= พร:^ไตรปิฎกฉบับมหามคุฏฯ slasiii^iKi ม m ป็ณ:นาสฑ์ ดูรป้ทเณรสif ป.ค๖เร สรท&เปผผไส^ ป.tfคค ดูปฬ04ณItltf ป.๙๙flf 1สืฆชส์Qยโ&านสนไม (ร; ฟ้ ก?1า4 ® ส์ใเทนป็นใ]ลาย ๒.ม ๕๐ สูคร ๒.ร ๕๐ ดูพร to.£'ito ดูคร cn ฟ้ไเBim ®1. สัรฒํฬ (T ฟ้า๗า; &)มหาโ ตร {า, / «) ถสู??ร ล o)5ฬกณทภง?»ดูตร ล. ^ ว่าฟ้วยทQเพ่งกรวม ร)วง\"Oeส์าหร้!ฟ้ทชุi1รนใว ๒]ร;ชุสิมา?^ฬร to)โกส์มพ๊นคูคร ว่■เส-;ม 1»^,« ภทชุ^ทวโกรมฟ้ www.kalyanamitra.org

ความfฟองพระไตรปีฎก ะ๔๐ fnfundgrt & (f TTTfj ffc สื1^^- a เฟ้พ! ฝ. «tik lufnwk ฝ.40ฟ 1»1า9สนฬ!สฝ1พ่ fctsnrwmf!ไ1 astm ® £ iS a ;รรF*rp'Tj^^f ft 7n*:^ii^itn;•.so*: a Trw==?;/-«fj^!V^& 7t d S}t/i3Ir a !รPf^irL\\^'โฟ้แ ะรใ๗เ'^๗เพ; a fipi't5 R c a.o สืแ,«*^ m t ftT; r Lฟฮ c ^•^V^ri «^.•^1 tf c fj5fj»3 J fl8rt4 %: Lาชุ«»<โน »: ต! «= hy-i ffl, น *' ft.' j/ น te, เ?c=MFrtR,? a,, -f tf.l Oil ระ ะ uri r, r«| -!ท c' ;5?iT-r^'fd ฯโ'ๆ ^ท«นท%) u-j^Ti'iV :rntJi{?u< ะน r« f, ua rj#rj tfinfhnfi ป. tfฬเB mmvnsiii tfe» SnfiinR tL tfOtf ««n(^ น(fteo iS^pCtnsi ปเ tfoar AnniSinR iL cToor 4 ^ว■๙-» J fนใ^ .-■ ft «K1»U ft fafifii: ft ร1 r> V น //ชุน'.ท ft: r- Jft; ft'J;r»v^..ห.'^ tTr.Ti.'V! fiTtnii^'acfjU'AT.. A. , nfj 'f ใ.h-jfi.■ร r. . โ» rvrr ri'ifeiiluC ว»Tft |C ft* if ,]fn ฝ.tf^e %กdiAa ฝ. ^flTo นพ&UHI tl tfofo vmnfit'ia u 0๙ iamnflnfiinsi ฝ.๙«๙ J, ^ iim' . frliL- J เ p-i-:v«i B f-iut'-j ft! f'iiUf* ft\" * TiJ\" ft 'ร ^;»โ:;^. '.ii ฬา:ti พรr»'โvv/ •i j;/jL-rUti.? .drj-a^-p- '..ft www.kalyanamitra.org

ความfเรื่องพระไตรปีฎก ะ ๔๑ ชุpm^no & invmJr ^ m ๆ prmtMUvtit M qtrm it M Sf^jMntitteo ^BB^hnfiitM 6 mrfi(n?>!Wr^ai5*aiin8Ji »c » เ^'พร้^ ๆ t? (fjnh tb ๘i;.^ c a 4*.J Ttt r £ rtc ดู?ร ft {? CnniXSi B.-: ร็;* tr «. VJ.-#/. « โแGvck-a^t ๆ r ฟ้^วอti-iJ if/a:, ๒gtnfr>a.Ba.^iAVfK t«; ■nt-^vT j-iJSitif^swiK} เภ: พมว? B. ชุทโTni4 ftjEyt>fyj^«r?p J พ,; ไ*มt« ท'^พใ r- S'lKW^^ % V3#ii 4 rc ^pwnitfra w c/ l^t-J 5imi^lt«»a ฟ<rร^ป.^0 Iimrtnit^ If^r«ntt ton «i4m ป. ^tiLifiuSiiiSLB e ร?^ ri^t ^-J « 'ว^ *. ♦า.9f^>.♦พร รt a, fM vr,เนํเ fjCfl -^*;พl«f4J *^t;^r^L'rT<rti AQ wir^Tร.?คนมฺ ฟ้นพร T 4(พ-,น /Ir,. เรื่>v; ชุptnfims โ เรเV! mHlmnfl/|19&9ท1ผit ๖เรo 1|{|ฬทโ1ทผ it ^leo ๗ทไนit 1)๒๙ 1^91«4tt totf q3in&|0n ป.๖«itf •» 4.%iA«J Ifr;■S.sjufi'ki <« Jj fSli'Ltl ;l.f ♦ ft น'รฟ้ตร•>3พร!:ทุr&.?'} พ i tHA'WJrviTr, sr. ว่^# โพ! จพพะ*^0\\,-fร Hrrvf^?i?i! ■f 'f \\ r iTf T ท* .' ^S*' ft«r^wijnC -Sin «jfai lift^.iiirit;.v<.l'^i-.>nr;nt ^-..ftfiytuafityr nti vit.lณ??ivv;»nLwi;' ift. www.kalyanamitra.org

ความfฟองพระไตรฃฎก:๔๒ ลำ ดับชนคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา แม้ว่าพระไตรปิฎกจะนับว่าเป็นคัมภีร์สำคัญ และเป็นหลักฐานทางพระพุทธศาสนา แต่ก็ มีคัมภีร์อื่นอีกที่เกี่ยวข้องด้วยจึงควรทราบสำคับชั้นคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาไว้ดังต่อไปนี้ ๑) พระไตรปิฎก เป็นหลักฐานชั้น ๑ เรียกว่า บาลี ๒)คำ อธิบายพระไตรปิฎก เป็นหลักฐานชั้น ๒ เรียกว่าอรรถกถา หรือวัณณนา ๓)คำ อธิบายอรรถกถา เป็นหลักฐานชั้น ๓ เรียกว่า ฎีกา ๔)คำ อธิบายฎีกา เป็นหลักฐานชั้น ๔ เรียกว่าอนุฎีกา นอกจากนียังมีคัมภีร์ทีแต่งขึน ว่าด้วยไวยากรลเภาษาบาลีฉบับต่าง ๆ และอธิบายศัพท์ ต่าง ๆ เรียกรวมคันว่า สัททาวิเสส เป็นสำนวนที่เรียกคันในวงการนักศึกษาฝ่ายไทย ปรากฏใน พงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาว่า เมื่อทำการสังคายนา ในรัชกาลที่ ๑ กรุงรัตนโกสินทร์ พ.ศ. ๒๓๓๑ เพือชำระพระไตรปิฎกบัน ได้มีการชำระคัมภีร์สัททาวิเสสต่าง ๆ ด้วย โดยมี พระพุฒาจารย์เป็นแม่กอง การจัดชันของบาลีอรรถกถา ก็เนื่องด้วยกาลเวลานั้นเอง พระไตรปิฎกเป็นของมีมาก่อน ก็จัดเป็นหลักฐานชั้น ๑ คำ อธิบายพระไตรปิฎกแต่งขึนประมาณ ๙๕๖ปีภายหลังพุทธปรินิพพาน จึงจัดเป็นชั้น ๒ ส่วนฎีกานั้น แต่งขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ.๑๕๘๗ จึงนับเป็นหลักฐานชั้น ๓ อนื่ง คัมภีรอนุฎีกาบันแต่งขึนภายหลังฎีกาในยุคต่อ ๆ มๅ เป็นคำอธิบายฎีกาอีกต่อหนื่ง จึงนับเป็น หลักฐานชั้น ๔ อย่างไรก็ตาม แม้พระไตรปิฎกจะเป็นหลักฐานชัน ๑ เมื่อพิจารณาตามหลักพระพุทธ ภาษิตในกาลามสูตร ท่านก็ไม่ให้ติดจนเกินไป ดังคำว่า 'มา ปิฎกสมฺปทาเนน' อย่าถือโดยอ้าง ตำ รา เพราะอาจมีผิดพลาดตกหล่นหรือบางตอนอาจเพึ๋มเติมขึ้น แสดงว่าพระพุทธศาสนาสอนให้ ใข้ปิญญาพิจารณาเหตุผล สอบสวนลูให้เห็นประจักษ์แก่ใจของตนเอง เป็นการสอนอย่างมีนํ้าใจ กว้างขวางและให้เสรีภาพแก่ผู้นับถือพระพุทธศาสนาอย่างเต็มที่ นอกจากนั้นยังเป็นการยืนยันให้ นำ ไปประพฤติปฎิปติ เพื่อได้ประจักษ์ผลบัน ๆ ด้วยตนเองแม้จะมีพระพุทธภาษิตเตือนไว้มิให้ ติดตำราจนเกินไป แต่ก็จำเป็นด้องรักษาตำราไว้ เพื่อเป็นแนวทางแห่งการศึกษา เพราะอ้าไม่มี www.kalyanamitra.org

ความfเรื่องพระไตรปีฎก ะ ๔ฅ ตำ ราเลยจะยึ๋งซํ้าร้าย เพราะจะไม่มีแนวทางให้รู้จักพระพุทธศาสนาเลย ฉะางั้น การศึกษาให้รู้และ เข้าใจในพระไตรปีฎกจึงเป็นลำดับแรก เรียกว่า 'ปริยํติ' การลงมือกระทำตามโดยควรแก่จริต อัธยาศัย เรียกว่า'ปฎิบติ'การได้รับผลแห่งการปฎิปติใเนๆเรียกว่า'ปฎิเวธ' คำ อธิบายพระไตร!)ฎก อย่างย่อ ๆ ของพระอรรถกถาจไรย์ ท่านผู้อ่านได้ทราบแล้วว่า คำ อธิบายพระไตรปิฎก เรียกว่า อรรถกถา จึงควรทราบต่อไป ว่า ท่านผู้แต่งตำราอรรถกถานั้น เรียกกันว่า พระอรรถกถาจารย์ เฉพาะคำว่า พระไตรปิฎกนี มี คำ อธิบายย่อ ๆ ของพระอรรถกถาจารยํไว้ดังจะนำมากล่าวต่อไปนี' นัย& ๑) วินัยปิฎก เป็น อาณาเทศนา คือการแสดงธรรมในลักษณะตั้งเป็นข้อบังดับโดยส่วนใหญ่ ๒)สุดดันตปิฎก เป็น โวหารเทศนา คือการแสดงธรรมยักย้ายสำนวนให้เหมาะสมแก่จริต อัธยาศัยของผู้ฟัง ๓)อภิธัมมปิฎก เป็น ปรมัตถเทศนา คือการแสดงธรรมเจาะจงเฉพาะประโยชน์อย่างยึ๋ง ซึ๋งเป็น ธรรมะชั้นสูงไม่เกี่ยวด้วยท้องเรื่องหรือโวหาร นัย๒ ๑) วินัยปิฎก เป็น ยถาปราธสาสนะ คือการสอนดามความผิด หรือโทษชนิดต่าง ๆ ทีพึงเว้น ๒)สุดดันตปิฎก เป็น ยถานุโลมสาสนะ คือการสอนโดยอนุโลมแก่จรีดอัธยาศัยของผู้'ฟัง ซงมี ต่าง ๆ กัน ๓)อภิธัมมปิฎก เป็น ยถาธัมมสาสนะ คือการสอนดามเนือหาแ'ท้ ๆ ของธรรมะ นัย๓ ๑) วินัยปิฎก เป็น สังวราสังวรกถา คือถ้อยคำที่ว่าด้วยความสำรวมและไม่สำรวม สมันตปาสาทิกา อรรถกถาวินัยปิฎกภาค ๑ หนัา ๒๑ www.kalyanamitra.org

ความfเรื่องพระไตรปีฎก :๔๔ ๒)ธ[ุ ตตันตปีฎก เป็น ฑิฎเวินิเวฐนกถา คือถ้อยคำที่สอนให้ผ่อนคลาย ฑิฎเ คือความเห็นผิด ๓)อภิธัมมปีฎก เป็น นามรูปปริจเฉทกถา คือถ้อยคำที่สอนให้กำหนดนามแลรูป คือร่างกาย จิดใจ นัย๔ ๑) วินัย!)ฎก เป็น อธิศีลสิกขา คือข้อศีกษาเกี่ยวกับอธิศีล คือศีลชั้นสูง ๒)สูตดันฅปีฎก เป็น อธิจิตตสิกขา คือฃ้อศีกษาเกี่ยวกับสมาธิชั้นสูง ๓)อภิธัมม!]ฎก เป็น อธินัญญาสิกขา คือฃ้อศีกษาเกี่ยวกับนัญญาชั้นสูง นัย๕ ๑) วินัย!!ฎก เป็น วิติกกมปหาน คือเครืองละกิเลสอย่างหยาบ ที่เป็นเหตุให้ล่วงละเมิดศีล ๒)สูตดันต!)ฎก เป็น ปริยุฏฐานปหาน คือเครืองละกิเลสอย่างกลางอันรัดรึงจิต ได้แก่นิวรณ์คือ กิเลสอันกั้นจิตมิให้เป็นสมาธิ ๓)อภิธัมมปีฎก เป็น อนุสยปหาน คือเครืองละกิเลสอย่างละเอียด อันได้แก่กิเลสที่นอนอยูใน สันดาน เหมือนตะกอนนอนก้นตุ่ม ไม่มีอะไรมากวนก็ไม่แสดงตัวออกมา นอกจากนั้นยังได้ อธิบายโดยไซ้ศัพท์ ปหาน ในรูปอื่นอีก ซ้งเห็นว่าเท่าที่นำมากล่าวนี้พอแล้ว จึงไม่นำมากล่าว ทั้งหมด www.kalyanamitra.org

ความfเรื่องพระไตรขฎก ะ ๔๕ ตัวอย่างพระไตรปีฎกฉบับต่าง ๆในประเทศไทย ๑) พระไตรปีฎกฉบับบาลีสยามรัฐ ๔๕ เล่ม ๒)พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับหลวง พ.ศ.๒๕๐๐ ๔๕ เล่ม ๔๕ เล่ม พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับหลวง พ.ศ.๒๕๑๔ ๔๕ เล่ม ๓)พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับสังคายนา พ.ศ.๒๕๓๐ ๔๕ เล่ม ๔)พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับเฉลิมพระเกียรติ พ.ศ.๒๕๔๙ ๔๕ เล่ม ๕)พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ๙๑ เล่ม ๖) พระไตรปิฎกและอรรกถาแปลของมหามคุฎราชวิทยาลัย ๑๐๐ เล่ม ๗)พระไตรปิฎกมหาวิตถารนัย โดย ^ย แสงฉาย ๘)พระไตรปิฎก(ย่อ) ฉบับประชาชนโดย สุชีพ ปุญญานุภาพ ๑ เล่ม ๙) พระไตรปิฎก(ย่อ) ฉบับเยาวชน โดยสนพ.ไทยวัฒนาพาณิช ๙ เล่ม ๑๐)พระไตรปิฎกบาลีฉบับอักษรโรมัน โดย สมาคมบาลีปกรลเ ๔๘ เล่ม www.kalyanamitra.org

รรรมซาสิโลกและ®ต :ib บทที่ ๒ ธรรมชาติโลกและชีวิต วัตถุประสงค์การเรียนรู้ ๑) เพื่อให้เข้าใจถึงเรื่อง\"โลก\"และ\"ชีวิต\"ตามความเป็นจริงในทางทุทธศาสนาอย่างถูกต้อง ๒)เพื่อให้เข้าใจถึงความสัมพันธ์ระหว่างโลกและชีวิตว่า มีความเกี่ยวเนื่องต่อกันอย่างไร ๓)เพื่อไต้นำความรู้ความเข้าใจในเรื่องโลกและชีวิตไปใช้ในการตั้งเป็ๅหมายชีวิตและดำเนิน ชีวิตไต้อย่างถูกต้อง บทนำ ก่อนที่จะเรื่มศึกษาเรื่องธรรมชาติของโลกและชีวิต ซึ๋งเป็นภาคหนื่งของความรู้ใน พระพุทธศาสนา เราควรไต้เห็นถึงภาพรวมขององค์ความรู้เสียก่อน ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความสะดวก ในการทำความเข้าใจต่อไป ภาพรวมความรู้ในพระพุทธศาสนา แบ่งเป็น ๔ ภาค ไต้แก่ ๑) ธรรมชาติวิทยา หรีอจักรวาลวิทยา เป็นความรู้เกี่ยวกับเรื่องธาตุ, ขันธ์ ๕, การกำเนิดโลก, การแตกทำลายของโลก,การกำเนิดสิ่งมีชีวิต, ภพถูมิต่าง ๆ ทำ ให้เรารู้ที่มาที่ไบ่ของโลก ของ จักรวาล และของชีวิตตัวเราเอง ๒)พุทธวิทยา เป็นความรู้ที่มีเฉพาะในพระพุทธศาสนาเท่านั้น เป็นธรรมะชั้นสูงที่ลุ่มลึก ละเอียด ต้องใช้สภาวะใจที่ละเอียดบ่ระณีตในการศึกษา ไต้แก่ บ่ฎิจจสมุบ่บาท,กฎแห่งกรรม ,อริยสัจ ๔ เป็นต้น ๓)ธรรมจริยา เป็นความรู้ธรรมะทั่ว ๆ ไบ่ที่สอนให้ละเว้นความชั้ว ให้ทำความดี เช่น พรหม- วิหาร ๔,อิทธิบาท ๔,หิริ โอดตับ่บ่ะ เป็นต้น www.kalyanamitra.org

ธรรมซาติโลกและ€วิต ะ (£'๗ ๔)คิหิปฏิฟ้คิ เป็นความรู้ธรรมะทั่ว ๆ ไปที่มุ่งเน้นให้เป็นข้อปฎิบติ??ไหรับฆราวาสผู้ครองเรือน ชึ๋งพระทุทธองค์ได้ตรัสถึงหน้าที่ที่ชาวโลกพึงปฎิป้ติ เช่น ฆราวาสธรรม, ทิศ ๖, การละเลิก อบายบุข,การเลือกคบคน,สังคหวัตถุ ๔ เป็นด้น การศึกษาในระดับของผู้ที่เริ่มด้นศึกษา ก็เพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องโลกและชีวิต จากที่เคยมีประสบการณ์มาในระดับของปุถุชน แล้วนำมาเปรียบเทียบลูกับสึ๋งที่พระส้มมา สมทุทธเจ้าได้ทรงตรัสสอนเอาไว้ ว่ามีเหตุผลสอดคล้องกัน แต่ล้าเรายังเป็นปุถุชน คงคิด ไตร่ตรองตามได้เพียงระดับของจินตมยปัญญาไปก่อน ส่วนเรื่องที่เรากำลังจะศึกษานี้เป็นส่วนหนงของภาคธรรมชาติวิทยา ซึ๋งเป็นเรื่องที่น่า ศึกษา ด้องอาศัยสภาวะใจที่ละเอียดอ่อนในระดับภาวนามยปัญญา จึงจะรู้เห็นและเข้าใจไปตาม ความเป็นจริง ดังนั้น สำ หรับผู้ที่เริ่มด้นศึกษานั้น ควรทำความเข้าใจเสียก่อนว่า โลกจินดา หรือ ความคิดในเรื่องของโลกนั้นเป็นเรื่องอจินไตย' คือเป็นเรื่องที่^ปัญญาในระดับปุถุชนไม่ควรคิด ผู้ที่คิดก็จะพึงมีส่วนแห่งความเป็นน้า ได้รับความลำบากเปล่า จึงด้องอาศัยการรู้การเห็นอันเกิด จากญาณทัสสนะของพระอริยเจ้าเท่านั้น ถึงจะเข้าใจไปตามความเป็นจริง โลกและชีวิต โลกและชีวิตเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องส้มพันธ์กันอย่างแยกไม่ออก เพราะสิ่งมีชีวิตทุกชนิดต่าง ล้วนอาศัยอยู่ใน \"โลก\" ความหมายของโลก \"โลก\"^หมายถึง สิ่งที่ทรุดโทรมย่อยยับ สูญสลายได้แปงออกเป็น ๓ ชนิดคือ ๑) สังขารโลก หมายถึง ลังขารร่างกายของคนและส้ตว์ทั้งหลาย อันประกอบด้วยกายกับใจ ๒)สัตวโลก หมายถึง หมู่ส้ตว์ซึ๋งยังมีจิตซัดส่าย เมื่อได้เห็น หรือส้มผัส รูป รส กสิ่น เสียง หรือ วัตถุสิ่งของ หรือหมายถึงสิ่งที่มีความรู้สึก และเคลื่อนไหวไปได้เอง ได้แก่ เทวดา มาร พรหม 'อจินติตสูตร อังคุตตรนิกาย จตุกนิบาต มก.ล.๓๕/๒๓๕ ^ เรียบเรียงจากอรรถกถาโลกสูตร,คุททกนิกาย อิติจุตตกะ,มก.ล.๔๕/๕๑๕ www.kalyanamitra.org

ธรรมชาติโลกและ'ฝ็(วิต ะ (ร:^ มนุษย์ เปรต อลุ[รกาย ดิรัจฉาน และสัตว์นรก ในทางธรรมมักหมายถึง มนุษย์ หรือชาวโลก ทั้งหลาย ๓)โอกาสโลก หมายถึง สถานที่ที่สัตวโลกได้อาศัยเป็นที่อยู่ เป็นที่ทำมาหากิน และเป็นที่สร้าง ทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว ซึ๋งได้แก่ ทั้งผืนแผ่นดิน และผืนฟ้านั่นเอง ศัพท์ที่ควรทราบ ส่วนคำอื่น ๆ ที่ควรทำความเข้าใจ เพื่อนำไปใช้ศึกษาในบทเรืยนต่าง ๆ มีดังนี้ จักรวาล ในทางทุทธศาสตร์ จักรวาลหมายถึง ระบบที่ประกอบด้วย ดวงอาทิตย์, ดวงจันทร์, เขา สิเนรุ, ทวีปทัง ๔ คือ ชมพูทวีป, อปรโคยานทวีป, lJพพวิเทหทวีป, และอุตตรคุรุทวีป, มหาสมุทรทั้ง ๔,สวรรค์๖ ชั้น และพรหมโลก แต่ละจักรวาลมีองค์ประกอบอย่างเดียวกัน และภูมิของสัตว์ทั้งหลายก็มีเหมือนกัน คือ ประกอบด้วยภูมิทังหมด ๓๑ ภูมิ ชั่งสามารถจัดอยู่ในภาวะของจิตที่เรืยกว่า \"ภพ ๓\" อัน ประกอบด้วย กามภพ รูปภพ และอรูปภพ กามภพ รูปภพและอรูปภพ กามภพ คือ ภพอันเป็นที่เกิดของผู้ที่ยังเกี่ยวข้องอยู่ในกาม ภพนี้เป็นภพของผู้ที่อังมีความ ใคร่ ความอยาก ความพึงพอใจอยู่ในจิตใจ ดังนั้นภพนี้จึงได้ชื่อว่า กามภพ ภูมิที่อยู่ในภพนี้มี ทั้งหมด ๑๑ ภูมิได้แก่ มนุสสภูมิ ๑,อบายภูมิ ๔และเฑวภูมิ๖ รูปภพ หรือ พรหมโลก คือ ภพอันเป็นที่อยู่ของรูปพรหม พรหมโลกนี้อยู่ในภูมิที่ สูงฃึนไปกว่าเทวโลก มีทิพยสมบดิทังหลาย ที่มีความสวยงามประณีตกว่าในเทวโลก โดย พรหมโลกมืทั้งหมด ๑๖ ชั้น อรูปภพ คือ ภพอันเป็นทีอยู่ของอรูปพรหม อยู่ในภูมิที่สูงขึ้นไปกว่ารูปภพ มีทิพยสมบดิ ทั้งหลายที่มีความสวยงามประณีตกว่าในรูปภพ โดยอรูปภพมิทั้งหมด๔ ชั้น www.kalyanamitra.org

ธรรมชาติโลกและซิ(วิต ะ (ร:๙ โลกธาตุ โลกธาลุ คือ กลุ่มของจักรวาลที่มารวมกันหลาย ๆ จักรวาล โดยโลกธาตุใfนมีขนาดต่าง ๆ กัน ที่งนี้ขึ้นอยู่กับว่าโลกธาตุใาน มีจำ นวนจักรวาลที่มารวมตัวกันมากหรือน้อย พระสัมมาส้มทุทธเจ้าทรงกล่าวถึงจักรวาลและโลกธาตุไว่ใน \"จูฬนิกาสูตร\" ซื้งบอกถึง องค์ประกอบของจักรวาลแต่ละจักรวาล ขนาดของจักรวาล รวมถึงขนาดของโลกธาตุไว้ด้วย คังส์ จูฬนิกาสูตร' ว่าด้วยโลกธาตุขนาดเล็ก ครั้งนั้น ท่านพระอานนท์เข้าไปเด้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทแล้วนั่ง ณ ที่ สมควร ได้พูลถามพระPพระภาคตังนี้ว่า \"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้รับฟังเรื่องนี้มาเฉพาะพระพักตร์พระ^พระภาคว่า 'อานนท์ สาวกชื่อว่าอภิฎของพระ^พระภาคพระนามว่าสิขีสถิตอยู่ในพรหมโลก ใช้เสียง ประกาศให้ สหัสสีโลกธาตุรู้เรื่องได้'^ ส่วนพระ^พระภาคอรห้นตสัมมาส้มพุทธเจ้าทรง สามารถใช้พระสูรเสียงประกาศให้รู้เรื่องได้ไกลเท่าไร พระพุทธเจ้าข้า\" พระ^พระภาคตรัสว่า\"อานนท์นั้นเป็นเพียงสาวก ส่วนตถาคตทั้งหลายประมาณไม่ได้ แม้ครั้งที่ ๒ ท่านพระอานนท์ได้ทุลถามพระเพฺพระภาคตังนี้ว่า \"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้รับฟังเรื่องนี้มาเฉพาะพระพักตร์พระ^พระภาคว่า 'อานนท์ สาวกชื่อว่าอภิฎของพระ^พระภาคพระนามว่าสิขีสถิตอยู่ในพรหมโลก ใช้เสียง 'อังคุตตรนิกาย ทุกนิบาต,มจร.เล่ม ๒๐/๓๐๕ ^ ใจัเสืยงประกาศใ'อัสหัสสีโลกธาตุแรื่องได้ ในที่นี้หมายถึงแสดงธรรมใ'ด้ได้ยินเสียง พเอมกับเปล่งรัศมี จากสรีระกำจัด ความมืดเกิดแสงสว่างได้ไกลถึง ๑,๐๐๐ จักรวาล www.kalyanamitra.org

ธรรมชาติโลกและชิ(วิต ะ ๕0 ประกาศให้ สหัสสืโลกธาตุแรื่องได้' ส่วนพระ^พระภาคอรหันตสัมมาสัม'ตุทธเจ้าทรงสามารถ ใช้พระสุรเสืยงประกาศให้รู้เรื่องได้ไกลเท่าไร พระทุทธเจ้าช้า\" พระ^พระภาคตรัสว่า \"อานนท์ ใfนเป็นเพียงสาวก ส่วนตถาคตทั้งหลายประมาณ •11 X. แม้ครั้งที่ ๓ ท่านพระอานนท์ก็ได้ทูลถามพระ^พระภาคดังนี้ว่า \"ช้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ช้าพระองค์ได้รับฟังเรื่องนี้มาเฉพาะพระพักตร์พระ^พระภาคว่า 'อานนท์ สาวกชื่อว่าอภิคูของพระ^พระภาคพระนามว่าสิขีสถิตอยู่ในพรหมโลก ใช้เสียง ประกาศให้สหัสสีโลกธาตุรู้เรื่องได้' ส่วนพระ^พระภาคอรหันตสัมมาสัมสุทูธเจ้าทูรงสามารถ ใช้พระสุรเสียงประกาศให้รู้เรื่องได้ไกลเท่าไร พระทุทูธเจ้าช้า\" พระ^พระภาคตรัสว่า \"เธอได้ฟังเพียงเรื่องสหัสสีโลกธาตุขนาดเล็ก'เท่านั้น\" พระอานนท์กราบพูลว่า \"ช้าแต่พระ^พระภาค บัดนี้เป็นเวลา ช้าแต่พระสุคต บัดนี้เป็น เวลาแห่งเทูศนาที่พระองค์จะพึงตรัส ภิกชุทังหลายได้สดับพระธรรมเทูศนาของพระ^พระภาค แล้วจักทูรงจำไว้\" พระ^พระภาคตรัสว่า\"อานนท์ล้าเช่นบัน เธอจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว\" ท่านพระอานนท์ทูลรับสนองพระดำรัสแล้ว พระ^พระภาคจึงได้ตรัสเรื่องนี้ว่า อานนท์ สหัสสีโลกธาตุเท่าโอกาสที่ดวงจันทูร์และดวงอาทิตย์โคจรส่องทิศทั้งหลายให้ สว่างรุ่งโรจน์ ในสหัสสีโลกธาตุนั้น มีดวงจันทูร์ ๑,000 ดวง มีดวงอาทิตย์ ๑,000 ดวง มี ขุนเขาสิเนรุ ๑,000 ลูก มีชมพูทูวีป ๑,000 มีอปรโคยานทูวีป ๑,000 มีอุตดรคุรุทูวีป ๑,000 มี ผู้พพวิเทูหทูวีป ๑,000 มีมหาสมุทูร ๔,000 มีห้าวมหาราช ๔,000 ^ มีเทูวโลกชั้นจาตุ- มหาราช ๑,000 มีเทูวโลกชั้นดาวดึงส์ ๑,000 มีเทูวโลกชั้นยามา ๑,000 มีเทูวโลกชั้นตุสิต ๑,000 มีเทูวโลกชันนิมมานรดี ๑,000 มีเทูวโลกชั้นปรนิมมิตวสวัตดี ๑,000 มีพรหมโลก ๑,000 นี้เรียกว่าสหัสสีโลกธาตุขนาดเล็ก สหัสสีโลกธาตุ'บนาดเล็ก หมายถึงโลกธาตุที่มี ๑,000 จักรวาล ^มีท้าวมหาราช๔,000 ในที่นีหมายถึงในโลกธาตุที่มี ๑,000 จักรวาลนั้น แต่ละจักรวาลมีท้าวมหาราช อยู่ ๔ องค์ www.kalyanamitra.org

ธรรมชาติโลกและซิ(วิต โลก ๑,000 คูณด้วยโลกธาตุขนาดเล็กใfน นี้เรยกว่า สหัสสีโลกธาตุขนาดกลาง' โลก ๑,000 คูณด้วยสหัสสีโลกธาตุขนาดกลาง'นั้น นี้เรียกว่า สหัสสีโลกธาตุขนาดใหญ่^ อานน■ท์ ตถาคตเมื่อมุ่งหมาย'พึงใช้เสียงประกาศให้สหัสสีโลกธาตุขนาดใหญ่รู้เรื่องได้ หรือใช้เสียงประกาศให้รู้เรื่องได้เท่าที่มุ่งหมาย พระอานนท์•คูลถามว่า \"ช้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระ^พระภาคพึงใช้พระลุ[รเสียงประกาศ ให้สหัสสีโลกธาตุขนาดใหญ่รู้เรื่องได้หรือใช้พระลุ[รเสียงประกาศให้รู้เรื่องได้เท่าที่มุ่งหมาย อย่างไร\" พระ^พระภาคตรัสตอบว่า \"อานนท์ พระตถาคตในโลกนี้พึงแผ่รัศมีไปฑั่วสหัสสี โลกธาตุขนาดใหญ่ได้เมื่อใด หมู่สัตว์พึงจำแสงสว่างนั้นได้เมื่อนั้น พระตถาคตพึงเปล่งพระ- สุรเสียงให้สัตว์เหล่านั้นไดยน อานนท์ พระตถาคตพึงใช้พระลุ[รเสียงประกาศให้สหัสสีโลกธาตุ ขนาดใหญ่รู้เรื่องได้หรือใช้พระลุ[รเสียงประกาศให้รู้เรื่องได้เท่าที่มุ่งหมายอย่างนี้แล\" เมื่อพระผูมพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว ท่านพระอานนท์จึงได้กราบ'คูลคำนี้ว่า \"เป็นลาภ ของช้าพระองค์หนอ เป็นโชคของข้าพระองค์หนอที่ช้าพระองค์มีพระศาสดาผู้ทรงมีฤทธึ้อย่างนี้ มีอานุภาพอย่างนี้\" เมื่อท่านพระอานนท์กราบ'ทูลอย่างนี้แล้ว ท่านพระอุทายีจึงได้กล่าวกับท่านพระอานนท์ ดังนี้ว่า \"ท่านอานนท์ ล้าพระศาสดาของท่านทรงมีฤทธื้อย่างนี้ มีอานุภาพอย่างนี้ ในช้อนี้ท่านได้ ประโยชน์อะไร\" เมื่อท่านพระอุทายีกล่าวอย่างนี้แล้ว พระผูมพระภาคจึงตรัสกับท่านพระอุทายีดังนี้ ว่า \"อุทายี เธออย่าได้กล่าวอย่างนั้น ๆ ล้าอานนท์ยังไม่หมดราคะมรณภาพไปอย่างนี้ไซร้ เพราะจิตที่ เลื่อมใสนั้น เธอจะครอบครองความเป็นเจ้าแห่งเทวดาในหมู่เทวดา ๗ ครั้ง จะครอบครองความ เป็นมหาราชในชม'พูทวีปนี้แล ๗ ครั้ง อุทายี แต่อานนท์จักปริ'นิพพานในปัจอุบันชาตินี้แล\" จูฬนิกาสูตร จบ 'สหัสสีโลกธาตุขนาดกลาง หมายถึงโลกธาตุที่มี ©,00๐,000 จักรวาล 'สหัสสีโลกธาตุขนาดใหรชู่ หมายถึงโลกธาตุที่มี ๑00,000 โกฏิจักรวาล(๑ ล้านล้านจักรวาล) www.kalyanamitra.org

ธรรมซาสิโลกและ€รต ะ:๕]ร2 จากพระสูตรนี จะเห็นได้ว่าองค์ประกอบของชุกจักรวาลมีเหมือน ๆ กัน คือ มีดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ ภูเขาสิเนรุ มีชมพูทวีป อปรโคยานทวีป ลุตตรกุรุทวีป ปุพพวีเทหทวีป มีมหาสมทร มีท้าวมหาราช มีสวรรค์ ๖ ชัน และพรหมโลก ซึ่งถึงแม้ว่าในพระสูตรนี้มีได้กล่าวถึง อรูปพรหม และอบายภูมีก็ตาม แต่ในที่นี้ก็หมายรวมถึงอรูปพรหมและอบายภูมิด้วย ขนาดของจักรวาล คือขนาดที่รัศมีของดวงจันทร์และดวงอาทิตย์แผ่ไปถึง ส่วนขนาดของ โลกธาตุใงั้นมีหลายขนาดด้วยกัน กล่าวคือ สหัสสืจูฬนิกาโลกธาตุ (โลกธาตุอย่างเล็กมี ๑,000 จักรวาล) ทวิสหัสสีมัชฌิมิกาโลกธาตุ (โลกธาตุขนาดกลางมีล้านจักรวาล) และติสหัสสีมหาส- หัสสีโลกธาตุ(โลกธาตุขนาดใหญ่มีแสนโกฏิจักรวาล) ความหมายของชีวิต หมายถึง สรรพสัตว์ที่อาศัยอยู่ใน \"อากาสโลก\" ใงั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ที่เกิดแบบใดก็ ตาม ซึ่งใน\"มหาสีหนาทสูตร\"'ได้แปงสรรพชีวิตตามประเภทของการเกิดไว้๔ ประเภท ได้แก่ ๑) อัณฑชะกำเนิด หมายถึง สัตว์ที่ชำแรกเปลือกแห่งฟองเกิด ๒)ชลาพูชะกำเนิด หมายถึง สัตว์ที่ชำแรกไล้(มดลูก) เกิด ๓)สังเสทชะกำเนิด หมายถึง สัตว์ที่เกิดในปลาเน่า ในซากศพเน่า ในขนมชุด หรือในนํ้าครา ใน เถ้าไคล(ของสกปรก) ๔)โอปปาติกะกำเนิด หมายถึง สัตว์ที่เกิดแล้วโตทันที เช่น เทวดา สัตว์นรก มนุษย์บางจำพวก และเปรตบางจำพวก ๕)ตราบใดที่ยังไม่ออกจากวัฎฎสงสาร สรรพชีวิตด้องเวียนว่ายตายเกิดเป็นสัตว์แบบต่าง ๆ ๔ แบบ ได้แก่ สัตว์ที่เกิดแบบ อัณฑชะ,ชลาพุชะ,สังเสทชะ และโอปปาติกะ 'พระสูตรและอรรถกถาแปล มิ'ชณิมนิกาย ยูลปัณณาสก์เล่ม ๑๘ ห\"น้า ๔๖ www.kalyanamitra.org

ธรรมชาติโลกและ'ร(วิต ะ &'๓ องค์ประกอบของโลกและชีวิต เมื่อเราได้เห็นภาพรวมของโลก รวมทั้งทราบถึงการกำเนิดแบบต่าง ๆ ของชีวิตบนโลก แล้ว ต่อไปก็ควรได้ศึกษาถึงองค์ประกอบของโลกและชีวิต ว่าประกอบขึ้นมาจากอะไร เหมือน หรือแตกต่างกันหรือไม่ ในทางพระพุทธศาสนา ได้มีการบันทึก เรื่ององค์ประกอบของโลกและชีวิตไว้ โตย กล่าวถึงเรื่อง \"ธาตุ\" ชงโตยความหมายแล้ว หมายถึง สึ๋งที่เป็นด้นเดิมหรือยูลเดิมพระสัมมาสัม- พุทธเจ้าได้ตรัสเรื่องนี้เอาไว้ใน \"ธาตุวิภังค์\"มีเนื้อความดังนี้ ธาตุวิภังค์^ ธาตุ ๖ คือ ๑) ปฐวีธาตุ (ธาตุดิน) ๒)อาโปธาตุ (ธาตุนํ้า) ๓) เตโชธาตุ (ธาตุไฟ) ๔) วาโยธาตุ (ธาตุลม) ๕) อากาสธาตุ (ธาตุคือที่ว่าง) ๖) วิญญาณธาตุ (ธาตุคือวิญญาณ) บรรดาธาตุ๖ นั้นปฐวิธาตุ เป็นไฉน ปธวีธาตุ เป็นไฉน ปฐวีธาตุมี ๒ อย่าง คือ ปฐวีธาตุที่เป็นภายไนก็มี ที่เป็นภายนอกก็มี ในปฐวีธาตุ ๒ อย่างนั้น ปฐวีธาตุที่เป็นภายใน เป็นไฉน ธรรมชาติที่แข็ง ธรรมชาติที่กระด้าง ความแข็ง ภาวะที่แข็ง เป็นภายในตน มีเฉพาะตน ที่ กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฎฐิยึตถือ ซํ่งเป็นภายในตน เช่น ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนือ 'พระอภิธรรม สุตตันตภาชนีย์เล่ม ๓๕ หอัา ๑๓๔ www.kalyanamitra.org

ธรรมซาสิโลกและ€วิต ■. ๕๕ เอ็น กระลูก เยื่อในกระลูก ไต หัวใจ ตับ พังผืด ม้าม ปอด ไม้ใหญ่ ไม้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า หรือธรรมชาติที่แข็ง ธรรมชาติที่กระด้าง ความแข็ง ภาวะที่แข็ง เป็นภายในดน มีเฉพาะดน ที่ กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฎเยึดถือ ซึ๋งเป็นภายในดน แม้ยื่นใดมีอยู่ นี้เรียกว่า ปฐวีธาตุที่ เป็นภายใน ปฐวีธาตุที่เป็นภายนอก เป็นไฉน ธรรมชาติที่แข็ง ธรรมชาติที่กระด้าง ความแข็ง ภาวะที่แข็ง เป็นภายนอกดน ที่กรรมอัน ประกอบด้วยตัณหาและทิฎเไม่ยึดถือ ซึ๋งเป็นภายนอกดน เช่น เหล็ก โลหะ ดีบุกขาว ดีบุกดำ เงิน แก้วบุกดา แก้วมณี แก้วไพชุรย์ สังข์ ศิลา แก้ว ประพาฬ เงินดรา ทอง แก้วมณีแดง แก้วมณีลาย หญ้า ท่อนไม้ ก้อนกรวด กระเบื้อง แผ่นติน แผ่นหิน ฎเขา หรือธรรมชาติที่แข็ง ธรรมชาติที่ กระด้าง ความแข็ง ภาวะที่แข็ง เป็นภายนอกดน ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฎฐิไม่ยึดถือ ซึ๋งเป็นภายนอกดน แม้ยื่นใดมีอยู่ นี้เรียกว่า ปฐวีธาตุที่เป็นภายนอก ประมวลย่อปฐวีธาตุที่เป็นภายในและปฐวีธาตุที่เป็นภายนอกเข้าเป็นหมวดเดียวกัน นี้ เรียกว่า ปฐวีธาตุ(๑) อาโปธาตุ เป็นไฉน อาโปธาตุมี ๒ อย่าง คือ อาโปธาตุที่เป็นภายในก็มี ที่เป็นภายนอกก็มี ในอาโปธาตุ ๒ อย่างนั้น อาโปธาตุที่เป็นภายใน เป็นไฉน ความเอิบอาบ ธรรมชาติที่เอิบอาบ ความเหนียว ธรรมชาติที่เหนียว ธรรมชาติเป็นเครื่อง เกาะกุมรูป เป็นภายในดน มีเฉพาะดน ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฎเยึดถือ ชึ๋งเป็น ภายในดน เช่น ดี เสลด หนอง เลือด เหงื่อ มันข้น นํ้าดา เปลวมัน นํ้าลาย นํ้าบุก ไขข้อ บุดร หรือ ความเอิบอาบ ธรรมชาติที่เอิบอาบ ความเหนียว ธรรมชาติที่เหนียว ธรรมชาติเป็นเครื่องเกาะกุม รูป เป็นภายในดน มีเฉพาะดน ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฎเยึดถือ ซื้งเป็นภายในดน แม้ยื่นใดมีอยู่ นีเรียกว่า อาโปธาตุที่เป็นภายใน อาโปธาตุที่เป็นภายนอก เป็นไฉน www.kalyanamitra.org

ธรรมชาติโลกและขํ(วิต ■. && ความเอิบอาบ ธรรมชาติที่เอิบอาบ ความเหนียว ธรรมชาติที่เหนียว ธรรมชาติเป็นเครื่อง เกาะกุมรูป เป็นภายนอกตน ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฎฐิไม่ยึดถือ ซื้งเป็นภายนอกตน เช่น นํ้ารากไม้ นํ้าลำด้น นํ้าเปลือกไม้นํ้าใบไม้นํ้าดอกไม้นํ้าผลไม้นมสด นมสัม เนยใส เนยข้น นํ้ามัน นํ้าผึ้ง นํ้าด้อย นํ้าในพื้นดิน นํ้าในอากาศ หรือความเอิบอาบ ธรรมชาติที่ชึมซาบ ความ เหนียว ธรรมชาติที่เหนียว ธรรมชาติเป็นเครื่องเกาะกุมรูป เป็นภายนอกตน ที่กรรมอัน ประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือ ซึ๋งเป็นภายนอกตน แม้อื่นใดมีอยู่ นี้เรียกว่า อาโปธาตุที่ เป็นภายนอก ประมวลย่ออาโปธาตุที่เป็นภายในและอาโปธาตุที่เป็นภายนอกเข้าเป็นหมวดเดียวกัน นี้ เรียกว่า อาโปธาตุ(๒) เตโชธาตุ เป็นไฉน เตโชธาตุมี ๒ อย่าง คือ เตโชธาตุที่เป็นภายในก็มี ที่เป็นภายนอกก็มี ในเตโชธาตุ ๒ อย่างนั้น เตโชธาตุที่เป็นภายใน เป็นไฉน ความร้อน ธรรมชาติที่ร้อน ความลุ่น ธรรมชาติที่ลุ่น ความอบลุ่น ธรรมชาติที่อบลุ่น เป็น ภายในตน มีเฉพาะตน ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฎฐิยึดถือ ซึ๋งเป็นภายในตน เช่น เตโชธาตุที่ทำให้ร่างกายอบลุ่น ที่ทำ ให้ร่างกายทรูดโทรม ที่ทำ ให้เร่าร้อนและที่ทำให้ของกิน ของดื่ม ของเคี้ยว ของลิ้ม ถึงความย่อยไปด้วยดี หรือความร้อน ธรรมชาติที่ร้อน ความลุ่น ธรรมชาติที่ลุ่น ความอบลุ่น ธรรมชาติที่อบลุ่น เป็นภายในตน มีเฉพาะตน ที่กรรมอัน ประกอบด้วยตัณหาและทิฎเยึดถือ ชึ๋งเป็นภายในตน แม้อื่นใดมีอยู่ นีเรียกว่า เตโชธาตุที่เป็น ภายใน เตโชธาตุที่เป็นภายนอก เป็นไฉน ความร้อน ธรรมชาติที่ร้อน ความลุ่น ธรรมชาติที่ลุ่น ความอบลุ่น ธรรมชาติที่อบลุ่น เป็น ภายนอกตน ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฎฐิไม่ยึดถือ ซึ๋งเป็นภายนอกตน เช่น ไฟฟืน ไฟ สะเก็ดไม้ ไฟหญ้า ไฟยูลโค ไฟแกลบ ไฟหยากเยื่อ ไฟอสนิบาต ความร้อนแห่งไฟ ความร้อน www.kalyanamitra.org

ธรรมซาสิโลกและ€1วิต ■. ๕๖ แห่งดวงอาทิตย์ ความร้อนแห่งกองทิเน ความร้อนแห่งกองหญ้า ความร้อนแห่งกองข้าวเปลือก ความร้อนแห่งกองขี้เถ้า หรือความร้อน ธรรมชาติที่ร้อน ความอบอุ่น ธรรมชาติที่อบอุ่น เป็น ภายนอกตน ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฎเไม่ยึดลือ ชื้งเป็นภายนอกตน แม้อื่นใดมีอยู่ นี้เรียกว่า เตโชธาลุที่เป็นภายนอก ประมวลย่อเตโชธาดุที่เป็นภายในและเตโชธาดุที่เป็นภายนอกเข้าเป็นหมวดเดียวกัน นี้ เรียกว่า เตโชธาตุ(๓) วาโยธาตุ เปืนไฉน วาโยธาตุมี ๒ อย่าง คือ วาโยธาตุที่เป็นภายในก็มี ที่เป็นภายนอกก็มี ในวาโยธาตุ ๒ อย่างนั้น วาโยธาตุที่เป็นภายใน เป็นใฉน ความพัดใปมา ธรรมชาติที่พัดใปมา ธรรมชาติเครื่องคํ้าจุนรูป เป็นภายในตน มีเฉพาะตน ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฎฐิยึดถือ ชงเป็นภายในตน เช่น ลมพัดขึ้นเบื้องบน ลมพัด ลงเบื้องตา ลมในท้อง ลมในใถ้ลมพัดใปตามตัว ลมศัสตรา'ลมมีดโกน® ลมเพิกหัวใจ ลมหายใจ เข้า ลมหายใจออก หรือความพัดใปมา ธรรมชาติที่พัดใปมา ธรรมชาติเครื่องคํ้าจุนรูปเป็นภายใน ตน มีเฉพาะตน ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฎฐิยึดลือ ชงเป็นภายในตน แม้อื่นใดมีอยู่ นี เรียกว่า วาโยธาตุที่เป็นภายใน วาโยธาตุที่เป็นภายนอก เป็นใฉน ความพัดใปมา ธรรมชาติที่พัดใปมา ความเคร่งตึงแห่งรูป เป็นภายนอกตน ที่กรรมอัน ประกอบด้วยตัณหาและทิฎเใม่ยึดถือ ซึ๋งเป็นภายนอกตน เช่น ลมตะวันออก ลมตะวันตก ลม เหนือ ลมใด้ ลมมีฝ่นละออง ลมใม่มีเ^นละออง ลมหนาว ลมร้อน ลมอ่อน ลมแรง ลมดำ ลมบน ลมกระพือปีก ลมปีกครูฑ ลมใบกังหัน ลมพัดโบก หรือความพัดใปมา ธรรมชาติที่พัดใปมา ธรรมชาติเครื่อง คำ จุนรูป เป็นภายนอกตน ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฎฐิใม่ยึดลือ ซึ๋ง เป็นภายนอกตน แม้อื่นใดมีอยู่ นี้เรียกว่า วาโยธาตุที่เป็นภายนอก 'ลมที่พัดหบุนไป ประดุจตัดสึ๋งที่ต่อกันไว้ที่ผูกกันไว้ด้วยมีดโกน คำ ว่า าเรกวาตา อธิบายว่า ลมที่เฉือดเฉือน ประดุจเฉือน หทัยด้วยมีดอันคม www.kalyanamitra.org

ธรรมซาสิโลกและขํ(ๆต :ar๗ ประมวลย่อวาโยธาตุที่เป็นภายในและวาโยธาตุที่เป็นภายนอกเข้าเป็นหมวดเดียวกัน นี้ เรยกว่า วาโยธาตุ(๔) อากาสธาตุ เป็นไฉน อากาสธาตุมี ๒ อย่าง คือ อากาสธาตุที่เป็นภายในก็มี ที่เป็นภายนอกก็มี ในอากาศธาตุ ๒ อย่างนั้น อากาสธาตุที่เป็นภายใน เป็นไฉน อากาศ ธรรมชาติที่นับว่าอากาศ ความว่างเปล่า ธรรมชาติที่นับว่าความว่างเปล่า ช่องว่าง ธรรมชาติที่นับว่าช่องว่าง ซึ๋งเนี้อและเลือดไม่ถูกต้องแล้ว เป็นภายในตน มีเฉพาะตน ที่กรรมอัน ประกอบต้วยตัณหาและทิฎเยึดลือ ซึ๋งเป็นภายในตน เช่น ช่องหู ช่องจมูก ช่องปาก ช่องสำหรับ กลืนของกิน ของดื่ม ของเคี้ยว ของลี้ม ช่องที่พักอยู่แห่งของกิน ของดื่ม ของเคี้ยว ของลิ้มและ ช่องสำหรับของกิน ของดื่ม ของเคี้ยว ของลิ้มไหลลงเบืองตร หรืออากาศ ธรรมชาติที่นับว่า อากาศ ความว่างเปล่า ธรรมชาติที่นับว่าความว่างเปล่า ช่องว่าง ธรรมชาติที่นับว่าช่องว่าง ซึ๋งเบือ และเลือดไม่ถูกต้องแล้ว เป็นภายในตน มีเฉพาะตน ที่กรรมอันประกอบต้วยตัณหาและทิฎเ ยึดลือ ซึ๋งเป็นภายในตน แม้อื่นใดมีอยู่ นี้เรียกว่า อากาศธาตุที่เป็นภายใน อากาศธาตุที่เป็นภายนอก เป็นไฉน อากาศ ธรรมชาติที่นับว่าอากาศ ความว่างเปล่า ธรรมชาติที่นับว่าความว่างเปล่า ช่องว่าง ธรรมชาติที่นับว่าช่องว่างซึ๋งมหาถูตรูป ๔' ไม่ถูกต้องแล้ว เป็นภายนอกตน ที่กรรมอัน ประกอบต้วยตัณหาและทิฎฐิไม่ยึดลือ ซงเป็นภายนอกตน นีเรียกว่า อากาศธาตุที่เป็นภายนอก ประมวลย่ออากาศธาตุที่เป็นภายในและอากาศธาตุที่เป็นภายนอกเข้าเป็นหมวดเดียวกัน นี้เรียกว่า อากาศธาตุ(๕) วิณญาณธาด จักขุวิญญาณธาตุ โศตวิญญาณธาตุ ฆานวิญญาณธาตุ ชิวหาวิญญาณธาตุ กายวิญญาณธาตุ และมโนวิญญาณธาตุ นี้เรียกว่า วิญญาณธาตุ(๖) 'รูปใหญ่,รูปต้นเดิม คือ ธาตุ ๔ ไต้แก่ ดิน(ปฐวี),นํ้า(อาโป),ไฟ(เตโช)และลม(วาโย) www.kalyanamitra.org

ธรรมซาสิโลกและ€วิต :arc เหล่านี้เรียกว่า ธาตุ ๖ สรรพสัตว์และสรรพสึ๋งล้วนแล้วแต่ประกอบขึ้นมาจากธาตุต่าง ๆ รวมกันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ระยะหนี้ง ไม่นานก็ต้องแตกทำลายสลายกลายเป็นธาตุต่าง ๆ ดังเดิม ภาพรวมของโลก เมื่อไต้ทราบถึงองค์ประกอบของโลกแล้ว จะไต้ศึกษาถึงภาพรวมของโลกในประเด็นต่าง ๆ ดังนี้ คือ ๑) วงจรความเป็นไปของโลก ๒) ความยาวนานของเวลา ๑ กัป ๓) ความยาวนานของโลก ๔) การแตกทำลายของโลก วงจรความเป็นไปของโลก พระสัมมาสัมตุทธเจ้าไต้ทรงตรัสแบ'งวงจรความเป็นไปของโลกไว้ตั้งหมด ๔ ช่วง แล้ว ยังทรงอธิบายแต่ละช่วงไว้อย่างชัดเจนใน กัปปสูตร ดังนี้ กัปปสูตร' ว่าต้วยกัป ภิกษุตั้งหลาย อสงไขยกัป ๔ ประการนี้ อสงไขยกัป ๔ ประการ อะไรบ้าง คือ ๑) ในเวลาทีสังวัฎฎกัป'ดำเนินไป ไม่มีใครกำหนดนับไต้ว่า จำ นวนเท่านี้ หลายปี จำ นวนเท่านี้ ๑๐๐ปี จำ นวนเท่านี้ ๑,๐๐๐ปี หรือจำนวนเท่านี้ ๑๐๐,๐๐๐ปี 'พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต,มจร.เล่ม ๒๑ หน้า ๒๑๖ www.kalyanamitra.org

ธรรมชาติโลกและ€1รต ■. ๕๙ ๒) ในเวลาที่สังวัฎฎฐายีกัป\"ดำเนินไป ไม่มีใครกำหนดนับได้ว่า จำ นวนเท่านี้หลายปี จำ นวน เท่านี้ ๑๐๐ปี จำ นวนเท่านี้ ๑,๐๐๐ ปี หรือจำนวนเท่านี้ ๑๐๐,๐๐๐ ปี <๓) ในเวลาที่วิวัฏฏกัป^ดำเนินไป ไม่มีใครกำหนดนับได้ว่า จำ นวนเท่านี้หลายปี จำ นวนเท่านี้ ๑๐๐ปี จำ นวนเท่านี้ ๑,๐๐๐ ปี หรือจำนวนเท่านี้ ๑๐๐,๐๐๐ปี ๔)ในเวลาที่วิวัฎฎฐายีกัป''ดำเนินไป ไม่มีใครกำหนดนับได้ว่า จำ นวนเท่านี้หลายปี จำ นวนเท่านี้ ๑๐๐ปี จำ นวนเท่านี้๑,๐๐๐ปี หรือจำนวนเท่านี้ ๑๐๐,๐๐๐ปี ภิกชุทั้งหลาย อสงไขยกัป ๔ ประการนี้แล กัปปสูตร จบ 'คำ ว่า สังวัฎฎะ แปลว่า ความเสือม ความพินาศและคำว่า กัป แปลว่า กาลกำหนด ช่วงระยะเวลายาวนานเหลือเกินที่กำหนด ว่าโลกคือสกลจักรวาลประลัยครั้งหนึ๋ง ดังใรั้น คำ ว่า ลังวัฎฎกัป หมายถึง ช่วงระยะเวลาที่โลกเที่อม มี ๓ อย่าง คือ (๑) อาโปลังวัฎฎกัป (กัปที่เส์อมเพราะนํ้า)หมายถึงกัปที่เสือมเพราะนํ้า'นับแต่ชั้นธุ[ภกิณหพรหมลงมา(๒)เตโชลังวัฎฎกัป (กัป ที่เสือมเพราะไฟ)หมายถึงกัปที่ไฟไหม้ าวับแต่ชั้นอากัสสรพรหมลงมา(๓)วาโยลังวัฎฎกัป (กัปที่เสือมเพราะลม)หมายถึง กัปที่ลมพัดทำลาย'นับแต่ชั้นเวหัปผลพรหมลงมาหรือหมายถึงช่วงระยะเวลาที่เปลวไฟดับจนถึงมหาเมฆที่ใม้กัปพินาศ ^สังวัฎฎฐายีกัป หมายถึงช่วงระยะเวลาที่โลกอยู่ลัดจากความเที่อมไป หรือหมายถึงดังแต่เปลวไฟทีใใง้กัปพินาศดับลง จนถึง มีมหาเมฆเต็มบริใJรณ์ใน ๑๐๐,๐0๐ โกฏิจักรวาล 'วิวัฎฎกัป หมายถึงช่วงระยะเวลาที่โลกเจริญ หรือหมายถึงช่วงระยะเวลาที่ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์เกิด จนถึงมีมหาเมฆ บริยูรณ์ \"วิวัฎฎฐายีกัป หมายถึงช่วงระยะเวลาที่โลกอยู่ลัดความเจริญไป หรือหมายถึงช่วงระยะเวลาที่มหาเมฆซื่งใ'ศ้กัปพินาศเกิด อีก จนถึงดวงจันทร์และดวงอาทิตย์เกิดอีก ในคำ'ทั้ง ๔ นี้ หมายถึงเตโชลังวัฎฎกัปเท่านั้น www.kalyanamitra.org

ธรรมชาติโลกและขํ(วิต :๖๐ แผนผังวงจรความเป็นไปของโลก ศัพท์น่ารูเกี่ยวกับวงจรความเป็นไปของโลก ๑) อสงไขยโ! คือ ช่วงเวลาที่มีความยาวนานเท่ากับ ปี(๑0 ยกกำลัง ๑๔๐ปี) ๒) อันตรกัป คือ ช่วงเวลาที่ม'นุษย์อายุอสงไขยปี แล้วค่อย ๆ ลดลงจนเหลือ ๑๐ ปี และเ'ฬึ๋มขึ้น จนถึงอสงไขยปี ๓) อสงไขยกัป คือ ช่วงเวลา ๖๔ อันตรกัป ๔) มหากัป คือ ช่วงเวลา ๔ อสงไขยกัป(บางครั้งมักเรียกสั้น ๆ ว่ากัป) ๕) อสงไขย คือ นับไม่ไล้ www.kalyanamitra.org

ธรรมซาสืโลกและซิ(วิต ะ ๖๑ ความยาวนานของเวลา ๑ กัป เมื่อได้เวงจรความเป็นไปของโลกแล้ว ควรจะได้ศึกษาถึงระยะเวลา ๑ กัป ที่โลกเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วแตกสลายไปในแต่ละรอบนั้น ใช้เวลายาวนานเพียงใด พระสัมมาสัมทุทธเจ้าได้ทรงอุปมาให้เห็นภาพของเวลา ๑ กัปไว้อย่างชัดเจน โดยอุปมา ตั้งการนำผ้าบางมาปัดภูเขาขนาดใหญ่ให้ราบเสมอแผ่นดิน หรืออุปมาตั้งการนำเมล็ดพันธ์ผักกาด มาใส่จนเต็มนครขนาดใหญ่ที่ทำด้วยเหล็ก โดยตรัสไว้!น\"ปัพพตสูดร\"และ\"สาสปสูตร\"ดังนี้ ปัพพตสูตร' ว่าด้วยภเขา พระผูมพระภาคประทับอยู่... เขตกรุงสาวัตลี... ครั้งนั้น ภิกชุรูปหมื่งได้เช้าไปเผ้าพระ^พระภาคถึงที่ประทับ ฯลฯ นั่ง ณ ที่สมควร ได้ ทูลถามพระ^พระภาคดังนี้ว่า \"ช้าแต่พระองค์ผู้เจริญ กัปหมื่งนานเพียงไรหนอ\" พระ^พระภาคได้ตรัสตอบว่า \"ภิกษุ กัปหมื่งนานนักหนา มิไช่เรื่องง่ายที่จะนับ กัปนัน ว่า เท่านี้ปี เท่านี้ ๑๐๐ปี เท่านี้ ๑,๐๐๐ ปี หรือว่าเท่านี ๑๐๐,๐๐๐ปี\" \"พระองค์อาจอุปมาได้ไหม พระทูทธเจ้าช้า\" \"อาจอุปมาได้ ภิกษุ เปรียบเหมือนภูเขาศิลาแท่งทึบลูกใหญ่ มีความยาว ๑ โยชน์ กว้าง ๑ โยชน์ สูง ๑ โยชน์ ไม่มีช่อง ไม่มีโพรง บุรุษพึงเอาผ้าแคว้นกาสี^ลูบภูเขานัน ๑๐๐ ปีต่อครัง ภูเขา ศิลาลูกใหญ่นั้นพึงหมดสิ้นไป เพราะความพยายามนี ยังเร็วกว่า ส่วนกัปหนี้งยังไม่หมดสินไป กัปนานนักหนาอย่างนี้ บรรดากัปที่นานนักหนาอย่างนี เธอได้ท่องเที่ยวไป มิใช่ ๑ กัป มิใช่ ๑๐๐ กัป มิใช่ ๑,๐๐๐ กัป มิใช่ ๑๐๐,๐๐๐ กัป 'พระธุ[ตตันตปีฎก สังชุตตนิกาย,มจร.เล่ม ๑๖ หนำ ๒๑๙ 'นำ แครันกาสิ เป็นนำที่ทำจากนำยเนื้อละเอียดมาก www.kalyanamitra.org

ธรรมชาติโลกและขิ(วิต :๖๒ ข้อใ4นเพราะเหตุไร เพราะว่าสงสารนี้มีเบื้องต้นและเบื้องปลายรู้ไม่ได้ฯลฯ ภิกยุ เพราะเหตุนี้แหละจึงควรเบื้อหน่าย ควรคลายกำหนัด ควรเพื่อหลุดพ้นจากสังขารทั้ง ปวง\" ปัพพตสูตร จบ สาสปสดร' ว่าด้วยเมล็ดผักกาด พระ^พระภาคประทับอยู่ ... เขตกเงสาวัตถี ... ครังนั้น ภิกยุเปหนึ๋งได้เข้าไปเฝัาพระ^พระภาคถึงที่ประทับ ฯลฯ นั่ง ณ ที่สมควร ได้ ทูลถามพระ^พระภาคดังนี้ว่า \"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ กัปหนี้งนานเพียงไรหนอ\" พระ^พระภาคได้ตรัสตอบว่า \"ภิกษุ กัปหนี้งนานนักหนา มิใช่เรื่องง่ายที่จะนับกัปนั้น ว่า เท่านี้ปี ฯลฯ หรือว่าเท่านี้๑00,000ปี\"\" \"พระองค์อาจอุปมาได้ไหม พระทูทธเจ้าข้า\" \"อาจอุปมาได้ ภิกษุ เปรืยบเหมือนนครที่สร้างด้วยเหล็ก^ มีความยาว ๑ โยชน์ กว้าง ๑ โยชน์ สูง ๑ โยชน์ เต็มด้วยเมล็ดผักกาด รวมกันเป็นกลุ่มก้อน ษุเษพึงหยิบเมล็ดผักกาดออกจาก นครนัน ๑00 ปีต่อ ๑ เมล็ด เมล็ดผักกาดกองใหญ่นันพึงหมดสิ้นไป เพราะความพยายามนี้ยังเร็ว กว่า ส่วนกัปหนี้ง ยังไม่หมดสินไป กัปนานนักหนาอย่างนี้ บรรดากัปที่นานนักหนาอย่างนี้ เธอ ได้ท่องเที่ยวไป มิใช่ ๑ กัป มิใช่ ๑00 กัป มิใช่ ๑,000 กัป มิใช่ ๑00,000 กัป 'พระสุตตันตปิฎก สังยูตตนิกาย,มจร.เล่ม ๑๖ หกัา ๒๒0 ^ นครที่สร้างตัวยเหล็ก ในที่นี้หมายถึงกำแพงของนครนี้ทำตัวยเหล็ก www.kalyanamitra.org

ธรรมซาสิโลกและขํ(รต ะ ๖๓ ข้อใเนเพราะเหดุไร เพราะว่าสงสารนี้มีเบื้องต้นและเบื้องปลายเใม่ได้ ฯลฯ ควรเพื่อหลุดพ้นจากสังขารทั้ง ปวง\" สาสปสูตร จบ จากพระสูตรข้างต้น ทำให้เราพอทราบว่า ระยะเวลา ๑ กัปนั้น มีความยาวนานเพียงใด พระสัมมาสัมทุทธเจ้าแต่ละพระองค์ล้วนสร้างบารมีเป็นเวลานับอสงไขยกัป กว่าจะบรรลุ อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ดังนั้น เราจึงพอจะคำนวณไต้ว่า ระยะเวลาในการสร้างบารมีของดัว เรา คงไม่น้อยไปกว่านี้แน่นอน จึงควรวางแผนชีวิตในระยะยาวด้วยว่า ทุกภพทุกชาติจากนีซื้งไข้ เวลาหลายอสงไขยกัป เราควรมีสภาพชีวิตแบบไหน และเราจะทำให้เป็นแบบนันไต้อย่างไร ความยาวนานของโลก เมื่อไต้ศึกษาถึงระยะเวลา ๑ กัปแล้วว่าเป็นระยะเวลาที่นานมาก ยังมีพระสูตรที่อธิบายถึง โลกว่า เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และแตกสลายไปแล้วกี่ครั้ง (กี่กัป) ซึ๋งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไต้ตรัสไว้ใน \"สาวกสูตร\" และ \"คงคาสูตร\" ดังนี้ สาวกสูตร' ว่าด้วยพระสาวก พระ^พระภาคประทับอยู่ ... เขตกรุงสาวัตถี ... ครั้งนั้น ภิกนุจำนวนมากไต้เข้าไปเสืาพระ^พระภาคถึงที่ประทับ ฯลฯ นั่ง ณ ที่สมควร ไต้ทูลถามพระ^พระภาคดังนี้ว่า 'พระธุ[ตตันตปิฎก สังชุตตนิกาย,มจร.เล่ม ๑๖ หน้า ๒๒® www.kalyanamitra.org

ธรรมชาติโลกและ€รต ะ be \"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ กัปทั้งหลายที่ผ่านพ้นไปแล้ว มากเท่าไรหนอ\" พระ^พระภาคได้ตรัสตอบว่า \"ภิกชุทั้งหลาย กัปทั้งหลายที่ผ่านพ้นไปแล้วมากนักหนา มิใช่เรื่องง่ายที่จะนับกัปเหล่านั้นว่า เท่านี้กัป เท่านี้ ๑00 กัป เท่านี้ ๑,000 กัป หรือว่าเท่านี้ ๑๐๐,๐๐๐ กัป\" \"พระองค์อาจอุปมาได้ไหม พระพุทธเจ้าข้า\" \"อาจอุปมาได้ ภิกชุทั้งหลาย เปรียบเหมือนสาวก ๔ รูปในธรรมวินัยนี้ มีอายู ๑00 ปี มี ชีวิตอยู่ ๑00 ปี หากเธอเหล่านั้นพึงระลึกย้อนหลังไปได้ วันละ ๑00,000 กัป กัปที่เธอเหล่านั้น ระลึกไปไม่ถึงยังมีอยู่ ต่อมาสาวก ๔ รูป มีอายู ๑00ปี มีชีวิตอยู่ ๑00ปี พึงมรณภาพไปทุก ๑00 ปี กัปที่ผ่านพ้นไปแล้วมากนักหนาอย่างนี มิใช่เรื่องง่ายที่จะนับกัปเหล่านั้นว่า เท่านี้กัป เท่านี้ ๑00 กัป เท่านี ๑,000 กัป หรือว่าเท่านี้ ๑00,000 กัป ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่าสงสารนี้มีเบื้องด้นและเบื้องปลายรู้ไม่ได้ฯลฯ ควรเพื่อหลุดพ้น\"... สาวกสูตร จบ. ลังคาสูตร' ว่าด้วยแม่นั้าคงคา สมัยหนี้ง พระ^พระภาคประทับอยู่ณ พระเวพุวัน สถานที่ให้เหยื่อกระแต เขตกรุง- ราชคฤห์ครังมัน พราหมณ์คนหนี้งเข้าไปเด้าพระ^พระภาคถึงที่ประทับ ได้สนทนาปราศรัยพอ เป็นที่บันเทิงใจ พอเป็นที่ระลึกถึงกันแล้ว นั่ง ณ ที่สมควร ครั้นแล้วได้พูลถามพระ^พระภาค ดังนี้ว่า \"ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ กัปทั้งหลายที่ผ่านพ้นไปแล้วมากเท่าไรหนอ\" 'พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย,มจร.เล่ม ๑๖ หน้า Iffllffll® www.kalyanamitra.org

ธรรมซาสิโลกและ€1วิต ■. ๖๕ พระ^พระภาคได้ตรัสตอบว่า\"พราหมณ์ กัปทั้งหลายที่ผ่านพ้นไปแล้วมากนักหนา มิใช่ เรื่องง่ายที่จะนับกัปเหล่านั้นว่า เท่านี้กัป เท่านี้ ๑๐๐ กัป เท่านี้ ๑,๐๐๐ กัป หรือว่าเท่านี้ ๑๐๐,๐๐๐ กัป\" \"พระองค์อาจอุปมาได้ไหม พระทุทธเจ้าข้า\" \"อาจอุปมาได้พราหมณ์ เปรียบเหมือนแม่นั้าคงคานี้เริ่มด้นจากที่ใด และถึงมหาสบุทร ณ ที่ใด เม็ดทรายในระหว่างนี้ง่ายที่จะนับได้ว่า เท่านี้เม็ด เท่านี ๑๐๐ เม็ด เท่านี ๑,๐๐๐ เม็ด หรือว่า เท่านี้ ๑๐๐,๐๐๐ เม็ด กัปทั้งหลายที่ผ่านพ้นไปแล้วมากกว่าเม็ดทรายเหล่านั้น มิใช่เรื่องง่ายที่จะ นับกัปเหล่านันว่า เท่านีกัป เท่านี ๑๐๐ กัป เท่านี ๑,๐๐๐ กัป หรือว่าเท่านี ๑๐๐,๐๐๐ กัป ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่าสงสารนี้มีเบื้องด้นและเบื้องปลายรู้ไม่ได้ ที่ตุดเบื้องด้น ที่ธุ[ดเมืองปลายไม่ ปรากฎแก่เหล่าสัตว์ผู้ลูกอวิชชากีดขวาง ลูกตัณหาผูกไว้ วนเวียนท่องเที่ยวไป สัตว์เหล่านันก็ เสวยความทุกข์เสวยความลำบาก ได้รับความพินาศเต็มป่าช้าเป็นเวลายาวนาน พราหมณ์ เพราะเหตุนีแหละจึงควรเมือหน่าย ควรคลายกำหนัด ควรเพือหลุดพ้นจาก สังขารทั้งปวง\" เมื่อพระ^พระภาคตรัสอย่างนีแล้ว พราหมณ์ผู้นันได้กราบทูลว่า \"ท่านพระโคดม พระภาษิตของท่านพระโคดมชัดเจนไพเราะยิ่งนัก ท่านพระโคดม พระภาษิตของท่านพระโคดม ชัดเจนไพเราะยิ่งนัก ฯลฯ ขอท่านพระโคดม จงทรงจำข้าพระองค์ว่าเป็นอุบาสกผู้ถึงสรณะตังแต่ วันนี้เป็นด้นไปจนตลอดชีวิต\" ตังคาสูตร จบ พระสัมมาสัมทุทธเจ้าไม่ทรงตรัสบอกวงจรของโลกว่า เกิดขึ้น ตังอยู่ แล้วเสือมสลายไป แล้วกี่กัป เพราะไม่ง่ายที่จะนับจำนวนกัปเหล่านันว่า เท่านีกัป เท่านีร้อยกัป เท่านีพันกัป หรือว่า เท่านี้แสนกัป แต่ทรงอุปมาไห้รู้ว่า มากกว่าเมล็ดทรายในมหาสอุทรเสียอีก ควรที่เราจะเมือหน่าย ในสังขารทั้งปวง ว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์และควรที่จะหลุดพ้นจากวงจรนี www.kalyanamitra.org

ธรรมซาสิโลกและชิ(วิต ะ bb การแตกทำลายของโลก แม้ว่าโลกจะดำรงอยู่ได้นานเพียงใด แต่ลุ[ดท้ายก็ย่อมมีการแตกดับ มนุษย์ต่างก็ คาดการณ์ไปต่าง,ๆ นานาว่าโลกจะแตกเมื่อไหร่ และแตกเพราะสาเหตุ จากอะไร เรื่องนี้ พระสัมมาสัมทุทธเจ้าได้ทรงตรัสไว่ไน \"สัตตสุริยฐตร\" ดังนี้ สัฅฅลุ[ริยสูฅร' ว่าด้วยดวงอาทิตย์ ๗ ดวง ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ สมัยหนี้ง พระ^พระภาคประทับอยู่ณ อัมพปาลีวัน เขตกรุงเวสาลี ณ ที่นั้นแล พระผู้- มีพระภาครับสั่งเริยกภิกษุทังหลายมาตรัสว่า \"ภิกษุทั้งหลาย\"ภิกษุเหล่านั้นพูลรับสนองพระดำรัส แล้วพระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสเรื่องนี้ว่า \"ภิกษุทั้งหลาย สังขารทั้งหลายเป็นสภาวะไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ไม่น่าชื่นชม นี้เป็น ข้อกำหนดควรเมื่อหน่าย ควรคลายกำหนัด ควรหลุดพ้นในสังขารทั้งปวง ภิกษุทังหลาย ขุนเขาสิเนรุ ยาว ๘๔,00๐ โยชน์ กว้าง ๘๔,000 โยชน์ หยั่งลงใน มหาสมุทร ๘๔,๐๐๐ โยชน์ สูงจากมหาสมุทรขึนไป ๘๔,๐๐๐ โยชน์ มีสมัยที่เวลาผ่านไป ยาวนาน บางครังบางคราว ผ่นไม่ตกหลายปี หลายร้อยปี หลายพันปี หลายแสนปี เมื่อผ่นไม่ ตก พีชคาม ภูตคาม และ ติณชาติที่ใข้เข้ายา ป่าไม้ใหญ่ ย่อมเฉา เหี่ยวแห้ง เป็นอยู่ไม่ได้ฉันใด สังขารทังหลายก็ฉันนัน เป็นสภาวะไม่เทียง ไม่ยั่งยืน ไม่น่าชื่นชม นีเป็นข้อกำหนดควร เมื่อหน่าย ควรคลายกำหนัด ควรหลุดพ้นในสังขารทั้งปวง มีสมัยทีเวลาผ่านไปยาวนาน บางครังบางคราว มีดวงอาทิตย์ดวงที ๒ ปรากฏ เพราะดวง อาทิตยดวงที ๒ ปรากฎ แม่นำน้อย หนองนั้าทุกแห่ง ระเหยเหือดแห้ง ไม่มีนั้า ฉันใด สังขารทังหลายก็ฉันนัน เป็นสภาวะไม่เที่ยง ฯลฯ ควรหลุดพ้นในสังขารทั้งปวง 'พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตกนิบาต,มจร.เล่ม Iso)หน้า ๑๓๒ www.kalyanamitra.org

ธรรมซาสิโลกและ'รวิต ะ๖๗ มีสมัยที่เวลาผ่านไปยาวนาน บางครั้งบางคราว มีดวงอาทิตย์ดวงที่ ๓ ปรากฎ เพราะดวง อาทิตย์ดวงที่ ๓ ปรากฏ แม่นํ้าสายใหญ่ ๆ คือ คงคา ยมนา อจิรวดี สรภู มหี ทุกแห่ง ระเหย เหือด แห้ง ไม่มีนํ้า ฉันใด สังขารที่งหลายก็ฉันนั้น เป็นสภาวะไม่เที่ยง ฯลฯ ควรหลุดพ้นในสังขารทั้งปวง มีสมัยที่เวลาผ่านไปยาวนาน บางครั้งบางคราว มีดวงอาทิตย์ดวงที่ ๔ ปรากฏ เพราะดวง อาทิตย์ดวงที่ ๔ ปรากฏ แหล่งนั้าใหญ่ ๆ ที่เป็นแดนไหลมารวมกันของแม่นั้าใหญ่ ๆ เหล่านี้ คือ สระอโนดาด สระสีหปปาตะ สระรถการะ สระกัณณมุณฑะ สระคุณาลา สระฉัททันต์ สระมันทากินี ทุกแห่ง ระเหย เหือดแห้ง ไม่มีนั้า ฉันใด สังขารทั้งหลายก็ฉันนั้น เป็นสภาวะไม่เที่ยง ฯลฯ ควรหลุดพ้นในสังขารทั้งปวง มีสมัยที่เวลาผ่านไปยาวนาน บางครั้งบางคราว มีดวงอาทิตย์ดวงที่ ๕ ปรากฏ เพราะดวง อาทิตย์ดวงที่ ๕ ปรากฏ นำ ในมหาสบุทรลึก ๑๐๐ โยชน์ก็ดี ๒๐๐ โยชน์ก็ดี ๓๐๐ โยชนกด ๔๐๐ โยชน์ก็ดี ๕๐๐ โยชน์ก็ดี ๖๐๐ โยชน์ก็ดี ๗๐๐ โยชน์ก็ดี งวดลงเหลืออยู่เพียง ๗ ชั่วต้นตาลก็มี ๖ ชั่วต้นตาลก็มี ๕ ชั่วต้นตาลก็มี ๔ ชั่วต้นตาลก็มี ๓ ชั่วต้นตาลก็มี ๒ ชั่วต้นตาลก็มี ชั่วต้นตาลเดียว ก็มี เหลืออยู่เพียง ๗ ชั่วคน ๖ ชั่วคน ๕ ชั่วคน ๔ ชั่วคน ๓ ชั่วคน ๒ ชั่วคน ชั่วคนเดียว ชั่วครึ๋งคน เพียงเอว เพียงเข่า เพียงแค่ข้อเท้า ภิกษุทั้งหลาย นั้าในมหาสมุทรยังเหลืออยู่เพียงในรอยเท้าโคใน ที่นั้น ๆ เปรียบเหมือนในฤดูแล้ง เมื่อผ่นเม็ดใหญ่ ๆ ตกลงมา นั้าเหลืออยู่ในรอยเท้าโคในที่นัน ๆ ฉะนั้นเพราะดวงอาทิตย์ดวงที่ ๕ ปรากฏ นั้าในมหาสมุทรแม้เพียงข้อนีวก็ไม่มี ฉันใด สังขารทั้งหลายก็ฉันนั้น เป็นสภาวะไม่เที่ยง ฯลฯ ควรหลุดพ้นในสังขารท้งปวง มีสมัยที่เวลาผ่านไปยาวนาน บางครั้งบางคราว มีดวงอาทิตย์ดวงที่ ๖ ปรากฏ เพราะดวง อาทิตย์ดวงที่ ๖ ปรากฏ แผ่นดินใหญ่นี้ และขุนเขาสิเนรุ ย่อมมีกลุ่มควันพวยพุ่งขึน ภิกษุท้งหลาย นายช่างหม้อเผาหม้อที่เขาปันดีแล้ว ย่อมมีกลุ่มควันพวยพุ่งขึน ฉันใด ภิกษุท้งหลาย เพราะดวง อาทิตย์ดวงที่ ๖ ปรากฏ แผ่นดินใหญ่นี้และขุนเขาสิเนรุ ย่อมมีกลุ่มควันพวยพุ่งขึน ฉันมัน สังขารทั้งหลายก็ฉันนั้น เป็นสภาวะไม่เที่ยง ฯลฯ ควรหลุดพ้นในสังขารทั้งปวง www.kalyanamitra.org

ธรรมซาสิโลกและ€วิต :bc มีสมัยที่เวลาผ่านไปยาวนาน บางครั้งบางคราว มีดวงอาทิตย์ดวงที่ ๗ ปรากฏ เพราะดวง อาทิตย์ควงที่ ๗ ปรากฎ แผ่นดินใหญ่นี้ และทเนเขาสิเนรุ เกิดไฟลุกโชน มีแสงเพลิงเป็นอัน เดียวกัน เมื่อแผ่นดินใหญ่นี้ และขุนเขาสิเนรุลุกไฟเผาผลาญอยู่ เปลวไฟลุกลมพัดขึ้นไปจนถึง พรหมโลก เมื่อขุนเขาสิเนรุลุกไฟเผาไหม้ กำ ลังพินาศ ลุกกองเพลิงใหญ่เผาทั่วตลอดแล้ว ยอดเขา แม้ขนาด ๑00 โยชน์ ๒00 โยชน์ ๓00 โยชน์ ๔00 โยชน์ ๕00 โยชน์ ย่อมพังทลาย เมื่อ แผ่นดินใหญ่นี้ และขุนเขาสิเนรุลุกไฟเผาผลาญอยู่ ขี้เล้าและเขม่าย่อมไม่ปรากฏ ภิกษุทั้งหลาย เมื่อเนยใสหรือนํ้ามันลุกไฟเผาผลาญอยู่ ขีเล้าและเขม่าย่อมไม่ปรากฏ ฉันใด เมื่อแผ่นดินใหญ่นี้ และขุนเขาสิเนรุลุกไฟเผาผลาญอยู่ ขี้เล้าและเขม่า ก็ย่อมไม่ปรากฏ ฉันทั้น สังขารทังหลายก็ฉันนัน เป็นสภาวะไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ไม่น่าชื่นชม นีเป็นข้อกำหนดควร เมื่อหน่าย ควรคลายกำหนัด ควรหลุดพ้นในสังขารทั้งปวง ในข้อนัน ใครเล่า ชื่อว่าเป็นผู้เ ใครเล่า ชื่อว่าเป็นผู้เชื่อว่า 'แผ่นดินใหญ่นี้และขุนเขาสิเนรุ ลุกไฟเผาผลาญพินาศไม่เหลืออยู่'นอกจากอริยสาวก^บทอันเห็นแล้ว' ภิกษุทังหลาย เรื่องเคยมีมาแล้ว ครูชื่อลุ[เนตตะ เป็นเจ้าลัทธิผู้ปราศจากความกำหนัดใน กามทังหลาย มีสาวกหลายร้อยคน ได้แสดงธรรมแก่สาวกทั้งหลายเพื่อความเป็นผู้เกิดร่วมกับ เทวดาชันพรหมโลก และ เมือครูสุเนตตะแสดงธรรม เพื่อความเป็นผู้เกิดร่วมกับเทวดาชั้น พรหมโลก เหล่าสาวกผู้รู้ชัดคำสอนอย่างดียิ่งหลังจากตายแล้ว ได้ไปเกิดในสุคติพรหมโลก ส่วนเหล่าสาวกผู้ไม่รู้ชัดคำสอนอย่างดียิ่ง หลังจากตายแล้ว บางพวกได้ไปเกิดร่วมกับเทวดา ชันปรนิมมิตวสวัตดี บางพวกได้ไปเกิดร่วมกับเทวดาชั้นนิมมานรดี บางพวกได้ไปเกิดร่วมกับ เทวดาชั้นดุสิตบางพวก ได้ไปเกิดร่วมกับ เทวดาชั้นจาตุมหาราช บางพวกได้ไปเกิดร่วม กับขัตติยมหาศาล บางพวกได้ไปเกิดร่วมกับพราหมณมหาศาล บางพวกได้ไปเกิดร่วมกับ คหบดีมหาศาล^ '^บทอันเห็นแส์'ว ในที่นี้หมายถึงพระอริยสาวกอัเป็นโสดาบัน ^มหาศาล หมายถึง^ทรัพย์มาก คือ ขัตติยมหาศาลมีราชทรัพย์๑00-๑,๐๐0 โกฏิ พราหมณมหาศาลมีทรัพย์๘๐ โกฏิ คหบ- ดีมหาศาลมีทรัพย์๔๐ โกฏิ www.kalyanamitra.org

ธรรมชาติโลกและซิ(วิต :b๙ ครั้งนั้นแล ครูสุเนตตะได้มีความคิดอย่างนี้ว่า 'การที่เรามีคติในสัมปรายภพเสมอ เหมือนกับเหล่าสาวก ไม่สมควรเลย ทางที่ดี เราควรเจริญเมตตาไหยงขึ้น' ต่อจากนั้น ครูสุเนตตะได้เจริญเมตตาจิตตลอด ๗ ปี แล้วไม่มาสู่โลกนี้ตลอด ๗ สังวัฎฏ- กัปและวิวัฎฎกัป ภิกษุทั้งหลาย เมื่อโลกเสื่อม ครูสุเนตตะเข้าถึงพรหมโลกชั้นอากัสสระ เมื่อโลก เจริญครูสุเนตตะเข้าถึงพรหมวิมานอันว่างเปล่า ภิกษุทั้งหลาย ในพรหมวิมานนั้น ครูสุเนตตะเป็นพรหม เป็นมหาพรหม เป็นผู้ครอบงำ ไม่ใช่ถูกใคร ๆ ครอบงำ เป็นผู้เห็นแน่นอน มีอำ นาจ ครูสุเนตตะได้เป็นท้าวสักกะ ผู้เป็นจอมเทพ ถึง ๓๖ ครั้ง ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรติผู้ทรงธรรมเป็นธรรมราชา มีมหาสษุทรทั้ง ๔ เป็นขอบเขต เป็นผู้ชนะสงคราม มีชนบทที่ถึงความมั่นคง ประกอบด้วยรัตนะ ๗ ประการ ทั้งหลายร้อยครั้ง ครู สุเนตตะเคยมีบุตรมากกว่าพันคน ล้วนแต่เป็นคนกล้าหาญชาญชัย ยรยีข้าศึกได้ ครูสุเนตตะนั้น ปกครองแผ่นตินนี้อันมีมหาสมุทรเป็นขอบเขต โดยธรรม โดยไม่ด้องใช้อาชญา ไม่ด้องใช้ ศัสตรา ภิกษุทั้งหลาย ครูสุเนตตะทั้นเปืนผู้มีอายุยืนนานอย่างนี้ เปืนผู้ดำรงอยูใด้นานอย่างนี แต่ กึใม่พ้นจากชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส เราจึงกล่าวว่า ไม่หลุดพ้นจาก ทกข์ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะไม่รู้แจ้งแทงตลอดธรรม ๔ประการ ธรรม ๔ ประการ อะไรบ้าง คือ ๑) เพราะไม่รู้แจ้งแทงตลอดอริยศีล ๒) เพราะไม่รู้แจ้งแทงตลอดอริยสมาธิ ๓) เพราะไม่รู้แจ้งแทงตลอดอริยฟ้ญญา ๔) เพราะไม่รู้แจ้งแทงตลอดอริยวิมุตติ www.kalyanamitra.org

ธรรมซาสิโลกและฃํ(วิต ะ ๗๐ ภิกษุทั้งหลาย เราได้เแจ้งแทงตลอดอริยศีล เราได้รู้แจ้งแทงตลอดอริยสมาธิ เราได้รู้แจ้ง แทงตลอดอริยปัญญา เราได้รู้แจ้งแทงตลอดอริยวิมุตติ เราถอนภวตัณหาได้แล้ว ภวเนตติ'สิ้นไป แล้ว บัดนี้ภพใหม่ไม่มีอีก\" พระ^พระภาคผู้พระลุ[คดศาสดา ได้ตรัสเวยยากรณภาษิตนี้แล้ว จึงได้ตรัสคาถา ประพันธ์ต่อไปอีกว่า พระโคดมผู้มียศตรัส^ธรรมเหล่าปี คือ ศีล สมาธิ ปัญญา และวิารุตติอันยอด เยี่ยม ดังนั้น พระพุทธเจ้าจึงตรัสบอกธรรม แล่ภิกพุทั้งหลายเพื่อความfยิ่ง พระศาสดาพุ้มีพระ- จักษุ^ทรงทำที่สุดแห่งพุกข์ปรินิพพาน^แล้ว จากพระสูตรข้างด้น จะเห็นได้ว่า โลกนั้นไม่เที่ยง สักวันย่อมแตกสลาย ในกรณีนี้ โลก ถูกทำลายด้วยไฟบรรลัยกัลปึ ซึ๋งเกิดจากพระอาทิตย์จำนวนหลายดวง เมื่อโลกถูกทำลายไปแล้ว สรรพสัตว์ทังหลายก็ถูกทำลายไปด้วย แต่ก็ไม่ได้หมายถึงเป็นการสิ้นสูด เพราะจะวนกลับมาเข้า สู่วงจรความเป็นไปของโลกและชีวิตอีกครั้ง ภาพรวมของชีวิต หลังจากได้ศึกษาภาพรวมของโลกไปแล้ว ต่อไปนี จะได้ศึกษาถึงภาพรวมของชีวิต ว่า ชีวิตมีการเกิดขึ้น ตังอยู่ เสือมลง และตับไปอย่างไร โดยศึกษาได้จากพระสูตรที่เกี่ยวข้องกับ เรื่องราวต่าง ๆ ตังนี้ ๑) กำ เนิดมนุษยชาติ ๒) ความยาวนานการเวียนว่ายตายเกิดของมนุษย์ ๓) ความเจริญและความเสื่อมของอายุมนุษย์ 'ภวเนตติ เป็นชื่อของตัณหา หมายถึงเชือกผูกสัตวํไวํในภพ ^ จักชุ ในที่นีหมายถึงจักชุ ๕ คือ(๑)จักชุ(ตาเนือ)(๒)ทิพพจักชุ(ตาทิพย์)(รท)ปัญญาจักชุ(ตาปัญญา)(๔)ทุทธจักชุ(ตา พระทุทธเจ้า)(๕)สมันตจักชุ(ตาเห็นรอบ) 'ปรินิพพาน ในที่นี้หมายถึงดับกิเลสได้สิ้นเชิง www.kalyanamitra.org

ธรรมชาติโลกและฃํ[รต ะะ ๗๑ คำ ณิดมษยชาติ เรื่องการกำเนิดโลกและมนุษยชาติ เป็นเรื่องที่เป็นปัญหาต่อเนื่องมาจากการแตกทำลาย ของโลกคือหลังจากที่โลกถูกทำลายไปแล้ว สัตว์ทั้งหลายก็ถูกทำลายไปพร้อมกัน แล้วเมื่อโลก หมุนเวียนกลับมาเจริญอีกครั้ง มนุษย์มาจากไหน สึ๋งนี้เป็นข้อสงสัยของมนุษย์เรื่อยมา ลัทธิความ เชื่อต่าง ๆ ก็มีมติแตกต่างกันไป ในเรื่องนี้พระนุทธองค์ได้ทรงให้คำตอบไว้ชัตเจน ทรงอธิบายว่า ก่อนที่โลกจะถูกทำลาย ด้วยไฟบรรลัยกัลปื มนุษย์ที่มองการถ4ไกลก็จะรีบเจริญภาวนาเพื่อให้ไปเกิตในพรหมโลก เมื่อ โลกเย็นลง พรหมเหล่านี้ก็จะจุติกลับลงมาบนพื้นโลกอีกครั้ง เรื่องนี้มีปรากฎอยู่ใน \"อักคัญญ- สูตร\"มีเนื้อความดังต่อไปนี้ อัคคัญญสูดร' ว่าด้วยด้นกำเนิตของโลก เรื่องสามเณรชื่อวาเสฎฐะและสามเณรชื่อภารทวาชะ ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ สมัยหนื่ง พระ^พระภาคประทับอยู่ที่ปราสาทของนางวีสาขามิคารมาตา ในบุพพาราม เขตกรุงสาวัตถี สมัยนั้น สามเณรชื่อวาเสฎฐะและสามเณรชื่อภารทวาชะ หวังความเป็นภิกษุ จึง อยู่อบรมในสำนักของภิกษุทั้งหลาย ครั้นในเวลาเย็น พระ^พระภาคทรงออกจากการหลีกเร้น แล้ว ได้เสด็จลงจากปราสาท ทรงจงกรมอยู่ในที่กลางแจ้งที่ร่มเงาปราสาท สามเณรชื่อวาเสฏฐะได้เห็นพระ^พระภาคทรงออกจากการหลีกเร้น เสด็จลงจาก ปราสาทแล้ว ทรงจงกรมอยู่ในที่กลางแจ้งที่ร่มเงาปราสาทไนเวลาเย็น จึงเรียกสามเณรชื่อ ภาร- ทวาชะมากล่าวว่า \"คุณภารทวาชะ พระ^พระภาคนีทรงออกจากการหลีกเร้น เสด็จลงจาก ปราสาท ทรงจงกรมอยู่ในที่กลางแจ้งที่ร่มเงาของปราสาทในเวลาเย็น มาเถิต เราจักไปเสืาพระผู้- 'พระธุ[ตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฎิกวรรค,มจร เล่ม ๑๑ หลัา ๘๓ www.kalyanamitra.org

ธรรมชาติโลกและ€1วิต ะ ๗๒ มีพระภาคถึงที่ประทับ เราควรจะได้ฟังธรรมีกถาเฉพาะพระพักตร์ของพระ^พระภาคบ้าง' ภารทวาชสามเณรก็รับคำแล้ว ครั้งนั้น วาเสฎฐสามเณรและภารทวาชสามเณรพากันเข้าไปเสืาพระ^พระภาคถึงที่ ประทับ ถวายอภิวาทพระPพระภาคแล้ว ได้เดินจงกรมตามเสด็จพระ^พระภาคซึ๋งกำลังทรง จงกรมอยู่ พระ^พระภาค จึงรับสั่งเรยกวาเสฎฐสามเณรและภารทวาชสามเณรมาตรัสว่า \"วาเสฎฐะและภารทวาชะ เธอทั้งสองมีชาติเป็นพราหมฉ่เ มีตระกูลเป็นพราหมลเ ออกจากตระกูล ของพราหมลเ บวชเป็นบรรพชิต พวกพราหมลเไม่ด่าไม่บริภาษเธอทั้งสองบ้างหรือ\" \"ข้าแด่พระองค์ผู้เจริญ พวกพราหมลเด่า'บริภาษข้าพระองค์ทั้งสองด้วยคำเหยียดหยาม อย่างสมใจ เด็มรูปแบบ^ ไม่ใช่ไม่เด็มรูปแบบ\" \"ก็พวกพราหมลเด่าบริภาษเธอทั้งสองด้วยคำเหยียดหยามอย่างสมใจ เด็มรูปแบบ ไม่ใช่ ไม่เด็มรูปแบบอย่างไร\" \"ข้าแด่พระองค์ผู้เจริญ พวกพราหมณ์กล่าวอย่างนี้ว่า 'วรรณะที่ประเสริฐที่สุดคือ พราหมณ์เท่านั้น วรรณะอื่นเลว วรรณะที่ขาวคือพราหมณ์เท่านั้น วรรณะอื่นตำ พราหมณ์เท่านั้น บริสุทธ ผู้ที่ไม่ใช่พราหมณ์ไม่บริสุทธ พราหมณ์เท่านั้นเป็นบุตร เป็นโอรส เภิดจากโอษฐ์ของ พระพรหม เกิดจากพระพรหม เป็นผู้ที่พระพรหมสร้างขึ้น เป็นทายาทของพระพรหม เจ้าทั้งสอง มาละวรรณะที่ประสริฐที่สุด เข้าไปอยู่ในวรรณะที่เลวทราม คือ สมณะโล้น เป็นคนรับใช้' เป็น คนวรรณะตา(กัณหโคตร) 'ด่า ในทีนีหมายถึงด่าด้วยอักโกสวัตลุ ๑0 อย่าง คือ(๑)เจ้าเป็นโจร(๒)เจ้าเป็นคนพาล(๓)เจ้าเป็นคนหลง(๔)เจ้าเป็นลูฐ (๕)เจ้าเป็นโค(๖)เจ้าเป็นลา(๗)เจ้าเป็นสัตว์นรก(๘)เจ้าเป็นสัตว์ติรัจฉาน(๙)เจ้าไม่ได้ลุคติ(๑๐)เจ้าหวังได้แต่ทุคติ .• ร เทานน \"เต็มรูปแบบ ในที่นี้หมายถึงยกอักโกสวัตลุทั้ง ๑๐ อย่างมาด่า 'เป็นคนรับใจ้ในที่นีหมายถึงคหบดีซื่งพวกวรรณะพราหมณ์ถือว่าเป็นคนทั้นตา เพราะยังถูกเครื่องผูกคือเรือนผูกไว้ www.kalyanamitra.org

ธรรมชาติโลกและ€รต ะ ๗๓ เป็นเผ่าของมาร เกิดจากพระบาทของพระพรหม' เธอใfงสองมาละวรรณะที่ประเสริฐ ที่สุด เข้าไปอยู่ในวรรณะที่เลวทราม คือ สมณะโล้น เป็นคนรับไข้ เป็นคนวรรณะตา เป็นเผ่าของ มาร เกิดจากพระบาทของพระพรหมนี้ ไม่เป็นความดี ไม่เป็นการสมควรเลย' ข้าแต่พระองค์ผู้- เจริญ พวกพราหมลาได้พากันต่า บริภาษข้าพระองค์ทั้งสองด้วยถ้อยคำเหยียดหยามอย่างสมใจ เต็มฐปแบบ ไม่ใช่ไม่เต็มรูปแบบอย่างนี้\" \"วาเสฎฐะและภารทวาชะ พวกพราหมลาระลึกถึงเรื่องเก่าของตนไม่ได้^ จึงกล่าวอย่างนี้ ว่า 'วรรณะที่ประเสริฐที่สุด คือพราหมณ์เท่านั้น วรรณะอื่นเลว วรรณะที่ขาวคือพราหมณ์เท่านั้น วรรณะอื่นดำ พราหมณ์เท่านั้นบริสุทธี้ ผู้ที่ไม่ใช่พราหมลาไม่บริสุทธ พราหมณ์เท่านั้นเป็นบุตร เป็นโอรส เกิดจากโอษฐ์ของพระพรหม เกิดจากพระพรหม เป็นผู้ที่พระพรหมสร้างขึ้น เป็น ทายาทของพระพรหม' วาเสฎฐะและภารทวาชะ ก็ปรากฎชัดอยู่ว่า นางพราหมณีของพราหมณ์ ทั้งหลายมีระลูบ้าง มีครรภ์บ้าง คลอดอยู่บ้าง ให้ลูกดื่มนมบ้าง ก็พราหมณ์เหล่านั้นเป็นผู้เกิดทาง ช่องคลอดของนางพราหมณีทั้งนั้น ยังกล่าวอย่างนี้ว่า 'วรรณะที่ประเสริฐที่สุด คือพราหมณ์ เท่านั้น ฯลฯ เป็นทายาทของพระพรหม' ก็พราหมณ์เหล่านั้นกล่าวตู่พรหมและพูดเท็จ พวกเขา จะด้องประสบสึ๋งที่ไม่ใช่บุญเป็นอันมาก ความบริสุทธิ๋แห่งวรรณะ ๔ วาเสฎฐะและภารทวาชะ วรรณะ ๔ เหล่านี้ คือ (๑) กษัตริย์ (๒)พราหมณ์ (๓) แพศย์ (๔) ศูทร ๑) แบ้กษัตริย์บางพระองค์ในโลกนี้เป็นผู้ฆ่าสัตว์ ถือเอาสิ่งของที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้ ประพฤติ ผิดในกาม พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ เพ่งเล็งอยากได้ของของเขา มีจิต พยาบาท เห็นผิดด้วยประการดังกล่าวมานี ธรรมเหล่าใดเป็นอกุศล นับว่าเป็นอกุศล มีโทษ นับว่ามีโทษ ไม่ควรประพฤติ นับว่าไม่ควรประพฤติ ไม่สามารถเป็นอริยธรรม นับว่าไม่ 'ฟ้นเผ่าของมาร เกิดจากพระบาทของพระพรหม แปลจากบาลีว่า\"พนฺธุปาทาปจฺเจ\"ตามนัย ที.ปา.อ.๑๑๓/๔๗ ส่วน ที.ลี.อ. ๒๖๓/๒๒๙ ในัความหมายว่าเกิดจากพระบาทของพระพรหมเท่านั้น ^ร ลึกถึงเรื่องเก่าของตนไม่ไนัหมายถึงไม่เจักกำเนิดและความเป็นไปของโลก ที่เกี่ยวข้องกับทฤษฎีว่าด้วยที'นกำเนิดของ โลกอันมีมาแต่โบราณ www.kalyanamitra.org

ธรรมชาติโลกและ'01รต ะ ๗(รโ สามารถเป็นอริยธรรม เป็นธรรมดำ'มีวิบากดV ที่วิญญชนติเตียน ธรรมเหล่าใเนปรากฏอย่าง ชัดเจนในกษัตริย์บางพระองค์ในโลกนี้ ๒)แม้พราหมณี'... ๓)แม้แพศย์... ๔)แม้สูทรบางคนในโลกนี้เป็นผู้ฆ่าสัตว์ ถือเอาสิ่งของที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อเพ่งเล็งอยากได้ของของเขา มีจิตพยาบาท เห็นผิด ด้วยประการดังกล่าวมานี้ ธรรมเหล่าใดเป็นอคุศล นับว่าเป็นอคุศล มีโทษ นับว่ามีโทษ ไม่ ควรประพฤติ นับว่าไม่ควรประพฤติ ไม่สามารถเป็นอริยธรรม นับว่าไม่สามารถเป็น อริยธรรม เป็นธรรมดำ มีวิบากดำที่วิญญชนติเตียน ธรรมเหล่านั้นปรากฏอย่างชัดเจนในสูทร บางคนในโลกนี้ วาเสฏฐะและภารทวาชะ ๑) แม้กษัตริย์บางพระองค์ในโลกนีเป็นผู้เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์เว้นขาดจากการถือเอาสิ่งของที่ เจ้าของเขาไม่ไดํไห้ เว้นขาดจากการประพฤติผิดในกาม เว้นขาดจากการพูดเท็จ เว้นขาดจาก การพูดส่อเสียด เว้นขาดจากการพูดคำหยาบ เว้นขาดจากการพูดเพ้อเจ้อ ไม่เพ่งเล็งอยากได้ ของของเขา มีจิตไม่พยาบาท เห็นชอบด้วยประการดังกล่าวมานี้ ธรรมเหล่าใดเป็นคุศล นับว่า เป็นคุศล ไม่มีโทษ นับว่าไม่มีโทษ ควรประพฤติ นับว่าควรประพฤติ สามารถเป็นอริยธรรม นับว่าสามารถเป็นอริยธรรม เป็นธรรมขาว^ มีวิบากขาว'* ที่วิญญชนสรรเสริญ ธรรมเหล่านั้น ปรากฏอย่างชัดเจนในกษัตริย์บางพระองค์ในโลกนี้ ๒)แม้พราหมณ์... ๓)แม้แพศย์. ๔)แม้สูทรบางคนในโลกนี้เป็นผู้เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ ... ไม่เพ่งเล็งอยากได้ของของเขา มีจิต ไม่พยาบาท เห็นชอบ ด้วยประการดังกล่าวมานี้ ธรรมเหล่าใดเป็นคุศล นับว่าเป็นคุศล ไม่มี โทษ นับว่าไม่มีโทษ ควรประพฤติ นับว่าควรประพฤติ สามารถเป็นอริยธรรม นับว่าสามารถ 'ธรรมดำ ในที่นี้หมายถึงธรรมที่ไม่บริสุทธิ'มาแต่เดิม ^มีวิบากดำ ในที่นี้หมายถึงมีผลเป็นทุกข์ ^ ธรรมขาว ในที่นี้หมายถึงธรรมที่บริทุทธี้เพราะปราศจากกิเลส ''มีวิบากขาว ในที่นี้หมายถึงมีผลเป็นสุข www.kalyanamitra.org

ธรรมซาสิโลกและ€รต ■. ๗๕ เป็นอริยธรรม เป็นธรรมขาว มีวิบากขาว ที่วิญญชนสรรเสริญ ธรรมเหล่าใานปรากฏอย่าง ชัดเจนในสูทรบางคนในโลกนี้ วาเสฏฐะและภารทวาชะ เมื่อวรรณะ ๔ เหล่านี้ รวมกันเป็นบุคคล ๒ จำ พวก คือ ๑) พวกที่ดำรงอยู่ในธรรมดำที่วิญญชนติเตียนจำพวกหนง ๒)พวกที่ดำรงอยู่ในธรรมขาวที่วิญญชนสรรเสริญจำพวกหนี้ง ในเรื่องนี้ พวกพราหมณ์ได้กล่าวอย่างนี้ว่า 'วรรณะที่ประเสริฐที่สุด คือพราหมณ์เท่านั้น วรรณะอื่นเลว วรรณะที่ขาวคือพราหมณ์เท่านั้น วรรณะอื่นดำ พราหมณ์เท่านั้นบริสุทธึ้ ผู้ที่ไม่ใช่ พราหมณ์ไม่บริสุทธี้ พราหมณ์เท่านั้นเป็นบุตร เป็นโอรสเกิดจากโอษฐ์ของพระพรหม เกิดจาก พระพรหม เป็นผู้ที่พระพรหมสร้างขึ้น เป็นทายาทของพระพรหม' วิญญชนทั้งหลายย่อมไม่ รับรองถ้อยคำของพราหมณ์เหล่านั้น ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่า บรรดาวรรณะ ๔ เหล่านี้ ผู้ใด เป็นภิกษุอรหันตขีณาสพ อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว' ทำ กิจที่ควรทำเสร็จแล้ว^ ปลงภาระได้แถ้ณ์ บรรลุประโยชน์ตนโดยลำดับแล้ว สิ้นภวสังโยชน์แล้ว หลุดพ้นเพราะ!โดยชอบ ผู้นั้นเรียกได้ว่า เป็นผู้เลิศกว่าคนทั้งหลายในวรรณะ ๔ เหล่านั้น โดยธรรมเท่านั้น ไม่ใช่โดยอธรรม เพราะธรรม เท่านั้นประเสริฐที่สุดในหมู่ชนทั้งในโลกนี้และโลกหน้า วาเสฏฐะและภารทวาชะ โดยเหตุผลนี้ เธอทั้งสองพึงทราบเถิดว่า 'ธรรมเท่านั้นประเสริฐ ที่สุดในหมู่ชนทั้งในโลกนี้และโลกหน้า' วาเสฎฐะและภารทวาชะ พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงทราบว่า 'พระสมณโคดมเสด็จออก ผนวชจากศากยตระถูลที่เท่าเทียมกัน''' ดังนี้ ก็พวกศากยะยังด้องตามเสด็จพระเจ้าปเสนทีโกศล 'อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว หมายถึงได้เป็นพระอเสขะ ส่วนพระเสขะ ๗ จำ พวก และกัลยาณปอุชนชื่อว่ากำลังประพฤติ พรหมจรรย์ ^ ทำ กิจที่ควรทำเสร็จแล้ว หมายถึงทำกิจมีความกำหนด!เป็นด้นในอริยสัจ ๔ ด้วยมรรค ๔ 'ปลงภาระได้แล้ว หมายถึงปลงกิเลสภาระ(ภาระคือกิเลส)ขันธภาระ(ภาระคือร่างกาย)และอภิสังขารภาระ(ภาระคืออกิ- สังขาร)ลงแล้ว ''เท่าเทียมกันเป็นกำเปรียบเทียบที่พระเจ้าปเสนทีโกศลทรงใช้เพื่อยกย่องศากยตระถูลว่าเสมอกับราชตระถูลฃองพระองค์ www.kalyanamitra.org

ธรรมซาสิโลกและ'ร!วิต ะ๗๖ อยู่ตลอดเวลา และพวกเจ้าศากยะยังต้องกระทำการนอบน้อม การอภิวาท การต้อนรับ อัญชลี กรรม และสามีจิกรรม ในพระเจ้าปเสนทิโกศลอยู่ ต้วยประการต้งวามานี้ พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงกระทำการนอบน้อม การอภิวาท การ ต้อนรับ อัญชลีกรรม และสามีจิกรรมนั้นในเราตถาคต ดังที่พวกเจ้าศากยะกระทำการนอบน้อม การอภิวาท การต้อนรับ อัญชลีกรรม และสามีจิกรรมในพระเจ้าปเสนทิโกศล พระองค์มิไต้ทรง กระทำการนอบน้อม การอภิวาท การต้อนรับ อัญชลีกรรม และสามีจิกรรมนั้น ด้วยทรงดำริว่า 'พระสมณโคคมมีพระชาติกำเนิดดี เราเองมีชาติกำเนิดไม่ดี พระสมณโคดมทรงแข็งแรง เราเอง ไม่แข็งแรง พระสมณโคดมมีผิวพรรณผ่องใส เราเองมีผิวพรรณเศร้าหมอง พระสมณโคดมเป็นผู้ สูงศักดี้ เราเองเป็นผู้ตาศักด' โดยที่แน้ พระองค์เมื่อจะทรงสักการะธรรม เคารพธรรม นับถือ ธรรม สูชาธรรม นอบน้อมธรรม จึงทรงกระทำการนอบน้อม การอภิวาท การต้อนรับ อัญชลี- กรรม และสามีจิกรรมในเราตถาคตอย่างนี โดยเหตุผลนี เธอพึงทราบอย่างนี้ว่า 'ธรรมเท่านั้น ประเสริฐที่สูดในหสู่ชนทั้งในโลกนี้และโลกหน้า' วาเสฎฐะและภารทวาชะ เธอทังสองมีชาติกำเนิดต่างกัน มีชื่อต่างกัน มีโคตรต่างกัน มี ตระตุลต่างกัน ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต เมื่อมีผู้ถามว่า 'ท่านเป็นพวกไหน' พึงตอบเขาว่า 'เราเป็นพวกพระสมณศากยบุตร' ดังนี้เถิด ผู้!ดแลมีศรัทธาตั้งมั่นในตถาคต เถิดแต่ราก ประดิษฐานมั่นคงที่สมณพราหมณ์เทพ มาร พรหม หรือใคร ๆ ในโลกให้หวั่นไหวไม่ไต้ควรจะ เรียกผู้นั้นว่า 'เป็นบุตร เป็นโอรส เกิดจากพระโอษฐ์ของพระ^พระภาค เกิดจากพระธรรม อัน พระธรรมเนรมิตขึ้น เป็นทายาทของพระธรรม' ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะคำว่า 'ธรรมกาย' ก็ดี 'พรหมกาย'ก็ดี'ธรรมภูต'ก็ดี'พรหมภูต'ก็ดี ล้วนเป็นชื่อของตถาคต วาเสฏฐะและภารทวาชะ สมัยหนี้ง ครั้นเวลาล่วงเลยมาช้านาน โลกนี้เส์อม เมื่อโลกกำสัง เสือม เหล่าสัตว์ส่วนมากไปเถิดที่พรหมโลกชันอากัสสระ นึกคิดอะไรก็สำเร็จไต้ตามปรารถนา มีปีติเป็นภักษา มีรัศมีซ่านออกจากร่างกาย เที่ยวสัญจรไปในอากาศ อยู่ในวิมานอันงดงาม สถิต อยู่นานแสนนาน www.kalyanamitra.org

ธรรมซาสิโลกและ'ฐวิต ะ ๗๗ สมัยหนง ครั้นเวลาล่วงเลยมาช้านาน โลกนี้เจริญขึ้น เมื่อโลกกำลังเจริญขึ้น เหล่าสัตว์ ส่วนมากชุติจากพรหมโลกชั้นอาภัสสระมาเป็นอย่างนี้' นึกคิดอะไรก็สำเร็จได้ตามปรารถนา^ มี ปีติเป็นภักษา^ มีรัศมีซ่านออกจากร่างกาย เที่ยวสัญจรไปไนอากาศ อยู่ในวิมานอันงดงาม สถิตอยู่ นานแสนนาน ความปรากฎแห่งง้วนดิน วาเสฎฐะและภารทวาชะ สมัยนั้น ทั่วทั้งจักรวาลนี้แหละเป็นนั้าทั้งนั้น มืดมนอนธการ ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ ดวงดาวนักษัตรทั้งหลายอังไม่ปรากฎ กลางคืน กลางวันยังไม่ปรากฎ เดือนหนี้ง ครึ๋งเดือน ฤดูและปีก็ยังไม่ปรากฎ หญิงชายก็ยังไม่ปรากฎ สัตว์ทั้งหลายปรากฏชื่อแต่ เพียงว่า 'สัตว์' เท่านั้น ครั้นเวลาล่วงเลยมาช้านาน เกิดง้วนดินลอยอยู่บนนั้า ปรากฏแก่สัตว์ เหล่านั้นดูจนั้านมที่บุคคลเคี่ยวให้แห้งแล้ว ทำ ไห้เย็นสนิทจับเป็นฝาอยู่ช้างบน ง้วนดินนั้น สมบูรณ์ด้วยสี สมบูรณ์ด้วยกลิ่น สมบูรณ์ด้วยรส มีสีเหมือนเนยไสหรือเนยช้นอย่างดี และมีรส อร่อยเหมือนนั้าผึ้งมิ้มชงปราศจากโทษ''ต่อมา สัตว์ผู้หนี้งมีนิสัยโลภกล่าวว่า 'ท่านผู้เจริญลิ่งนี้จะ เป็นเช่นไร^' แล้วใช้นิ้วช้อนง้วนดินขึ้นมาลิ้มดู เมื่อเขาใช้นิ้วช้อนง้วนดินขึ้นมาลิ้มดูอยู่ รสง้วน ดินได้แผ่ซ่านไป เขาจึงเถิดความอยากในรส แม้สัตว์เหล่าอื่นก็พากันถือแบบอย่างสัตว์นั้น จึงใช้ นิ้วช้อนง้วนดินขึ้นมาลิ้มดู เมื่อสัตว์เหล่านั้นใช้นิ้วช้อนง้วนดินขึนมาลิ้มดูอยู่ รสง้วนดินก็แผ่ซ่าน ไป และสัตว์เหล่านั้นก็เถิดความอยากในรสขึ้นเช่นเดียวกัน ความปรากฏแห่งดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ เปีนต้น วาเสฏฐะและภารทวาชะ ต่อมา สัตว์เหล่านั้นพากันใช้มือป็นง้วนดินไห้เป็นคำ ๆ เพื่อจะ บริโภค เมื่อใด สัตว์เหล่านั้นพากันใช้มือป็นง้วนดินให้เป็นคำ ๆ เพื่อบริโภค เมื่อนั้น รัศมีที่ซ่าน 'มาเป็นอย่างนึ้ ในที่นี้หมายถึงมาเกิดเป็นมนุษย์ \"นึกคิดอะไรก็สำเร็จไจัตามปรารถนา หมายความว่าสัตว์เหล่านันแมมาเกิดในมนุษยโลกนี ก็ยังเป็นโอปปาติกะ เกิดขึ้นด้วย ใจที่บรรลุอุปจารฌานอย่างเดียวกัน ^ มีปีติเป็นภักษา หมายความว่าแม่'อยู่ในมนุษยโลกนี้ก็มีปีติเป็นอาหารเหมือนอยู่ในพรหมโลก \"ปราศจากโทษ ในที่นี้หมายถึงไม่มีตัวอ่อนในรัง 'สึ๋งนี้จะเป็นเช่นไร หมายความว่ารสของเวนดินนี้จะเป็นเช่นไร www.kalyanamitra.org

ธรรมซาสิโลกและ^ต :๗f^ ออกจากร่างกายของสัตว์เหล่านั้นก็หายไป เมื่อรัศมีที่ซ่านออกจากร่างกายหายไป ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ก็ปรากฏ เมื่อดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ปรากฏ ดวงดาวนักษัตรนั้งหลายก็ปรากฏ เมื่อ ตวงดาวนักษัตรทั้งหลายปรากฏ กลางคืน กลางวันก็ปรากฏ เมื่อกลางคืน กลางวันปรากฏ เดือน หนง ครงเดือนก็ปรากฏ เมื่อเดือนหนง ครึ๋งเดือนปรากฏ ฤลูและปีก็ปรากฏ ด้วยเหดุเพียงเท่านี้ โลกนี้จึงได้กลับนี้นขึ้นอีก วาเสฏฐะและภารทวาชะ ครั้นต่อมา สัตว์เหล่านั้นเมื่อบริโภคง้วนดิน มีง้วนดินนั้นเป็น ภักษา มีง้วนดินนั้นเป็นอาหาร ได้ดำรงอยู่นานแสนนาน เมื่อบริโภคง้วนดิน มีง้วนดินนั้นเป็น ภักษา มีง้วนดินนั้นเป็นอาหาร ได้ดำรงอยู่นานแสนนาน สัตว์เหล่านั้นจึงมีร่างกายหยาบขึ้น ทั้ง ผิวพรรณก็ปรากฏแตกต่างภัน สัตว์บางพวกมีผิวพรรณงาม บางพวกมีผิวพรรณทราม สัตว์เหล่า ใดมีผิวพรรณงาม สัตว์เหล่านั้นก็ลูหมื่นสัตว์ที่มีผิวพรรณทรามว่า 'พวกเรามีผิวพรรณงามกว่า สัตว์เหล่านัน สัตว์เหล่านั้นมีผิวพรรณทรามกว่าพวกเรา' เมื่อสัตว์เหล่านั้นเกิดมีมานะถือตัว เพราะการลูหมื่นเรื่องผิวพรรณเป็นป็จจัย ง้วนดินจึงหายไป เมื่อง้วนดินหายไป สัตว์เหล่านั้นจึงประชุมภัน ครั้นแล้วต่างก็พาภันโหยหาว่า 'รสเอ๋ย รส เอ๋ย'' แม้ทุกวันนีก็เหมือนภัน พวกมนุษย์ได้ของมีรสดีบางอย่าง มักกล่าวอย่างนี้ว่า 'รสเอ๋ย รส เอ๋ย' พวกพราหมณ์พาภันนึกได้แต่คำโบราณที่เกี่ยวข้องภับทฤษฎีว่าด้วยด้นกำเนิดของโลก เท่านั้น แต่ไม่แนื้อความแห่งดำนั้นเลย ความปรากฏแห่งสะเก็ดดิน วาเสฏฐะและภารทวาชะ เมื่อง้วนดินของสัตว์เหล่านั้นหายไป สะเก็ดดินก็ปรากฏ สะเก็ด ดินนันปรากฏลักษณะเหมือนดอกเห็ด สะเก็ดดินนั้นสมนุรณ์ด้วยสี สมบูรณ์ด้วยกลิ่น สมบูรณ์ ด้วยรส มีสีเหมือนเนยใสหรือเนยข้นอย่างดี และมีรสอร่อยเหมือนนํ้าผึ้งมิ้มซึ๋งปราศจากโทษ ครั้งนั้น สัตว์เหล่านั้นได้พาภันบริโภคสะเก็ดดิน เมื่อบริโภคสะเก็ดดินนั้น มีสะเก็ดดิน นั้นเป็นภักษา มีสะเก็ดดินนั้นเป็นอาหาร ได้ดำรงอยู่นานแสนนาน เมื่อบริโภคสะเก็ดดิน มี สะเก็ดดินนันเป็นภักษา มีสะเก็ดดินนันเป็นอาหาร ได้ดำรงอยู่นานแสนนาน สัตว์เหล่านั้นจึงมี ร่างกายหยาบขืน ทังผิวพรรณก็ปรากฏแตกต่างภัน สัตว์บางพวกมีผิวพรรณงาม บางพวกมี 'รสเอ๋ย รสเอ๋ย เป็นคำรำพึงรำพันว่า'รสอร่อยที่เคยบริโภคหายไปแอ๋'ว' www.kalyanamitra.org

ธรรมชาติโลกและ^ต ะ ๗๙ ผิวพรรณทราม สัตว์เหล่าใดมีผิวพรรณงาม สัตว์เหล่าใงั้นก็ลูหมึ๋นสัตว์ที่มีผิวพรรณทรามว่า'พวก เรามีผิวพรรณงามกว่าสัตว์เหล่านั้น สัตว์เหล่านั้นมีผิวพรรณทรามกว่าพวกเรา' เมื่อสัตว์เหล่านั้น เกิดมีมานะถือตัว เพราะการลูหมื่นเรื่องผิวพรรณเป็นปัจจัย สะเก็ดดินจึงหายไป ความปรากฏแห่งเครือดิน วาเสฎฐะและภารทวาชะ เมื่อสะเก็ดดินหายไป เครือดินก็ปรากฏ เครือดินนั้นปรากฏ คล้ายเถาผักบุ้ง เครือดินนั้นสมชุJรลเด้วยสี สมบุรfuด้วยกลิ่น สม'ฏรถเด้วยรส มีสีเหมือนเนยใส หรือเนยข้นอย่างดี และมีรสอร่อยเหมือนนั้าผึ้งมิ้มชึ๋งปราศจากโทษ ครั้งนั้น สัตว์เหล่านั้นได้พากันบริโภคเครือดิน เมื่อบริโภคเครือดินนั้น มีเครือดินนั้นเป็น ภักษา มีเครือดินนั้นเป็นอาหาร ได้ดำรงอยู่นานแสนนาน เมื่อบริโภคเครือดิน มีเครือดินนั้นเป็น ภักษา มีเครือดินนั้นเป็นอาหาร ดำ รงอยู่นานแสนนาน สัตว์เหล่านั้นจึงมีร่างกายหยาบขึ้น ทั้ง ผิวพรรณก็ปรากฏแตกต่างกัน สัตว์บางพวกมีผิวพรรณงาม บางพวกมีผิวพรรณทราม สัตว์เหล่าใดมีผิวพรรณงาม สัตว์เหล่านั้นก็ลูหมื่นสัตว์ที่มีผิวพรรณทรามว่า 'พวกเรามี ผิวพรรณงามกว่าสัตว์เหล่านั้น สัตว์เหล่านั้นมีผิวพรรณทรามกว่าพวกเรา' เมื่อสัตว์เหล่านั้นเกิดมี มานะถือตัว เพราะการลูหมื่นเรื่องผิวพรรณเป็นปัจจัย เครือดินจึงหายไป เมื่อเครือดินหายไป สัตว์เหล่านั้นจึงประชุมกัน ครั้นแล้วต่างพากันโหยหาว่า 'พวกเราเคยมีเครือดิน บัดนี้เครือดินของพวกเราหายไปแล้ว' ในสมัยนีก็เหมือนกัน พวก มใงุษย์ถูก'ทุกข์ระทมบางอย่างกระทบเข้าก็พากันบ่นเ'พ้อว่า 'เราเคยมีของลิ่งนี แต่เดียวนีของของ เราหายไปแล้ว' พวกพราหมล4พากันนึกได้แต่ดำโบราณที่เกี่ยวข้องกับทฤษฎีว่าด้วยด้นกำเนิด ของโลกเท่านั้น แต่ไม่รู้เนื้อความแห่งคำนั้นเลย ความปรากฏแห่งข้าวสาลืในที่ทั้เม่ต้องไถ วาเสฏฐะและภารทวาชะ เมื่อเครือดินของสัตว์เหล่านั้นหายไปแล้ว ข้าวสาลีอันผลิผลไน ที่ที่ไม่ด้องไถ ไม่มีรำ ไม่มีแกลบ บริลุ[ทธ มีกลิ่นหอม มีเมล็ดเป็นข้าวสารก็ปรากฏ ที่ที่พวกเขา เก็บเกี่ยวข้าวสาลีไปเ'พื่อเป็นอาหารเย็นในตอนเย็น ก็กลับมีข้าวสาลีงอกสุกขึ้นได้ไนตอนเช้า ที่ที่ พวกเขาเก็บเกี่ยวข้าวสาลีไปเพื่อเป็นอาหารเช้าในตอนเช้า ก็กลับมีข้าวสาลีงอกสุกขึ้นได้ไนตอน www.kalyanamitra.org

ธรรมชาติโลกและขํ(รต ะ fZO เย็น ความพร่องไม่ปรากฎเลย ครั้ง'ifน สัตว์ใรั้งหลายพากันบริโภคข้าวสาลีชึ๋งเกิดลุ[กเองในที่ที่ไม่ ต้องไถ มีข้าวสาลี'เรั้นเป็นภักษา มีข้าวสาลี'เรั้นเป็นอาหาร ไต้ดำรงอยู่นานแสนนาน ความปรากฏแห่งเพศหญิงและเพศชาย วาเสฎฐะและภารทวาชะ เมื่อสัตว์เหล่าใรั้นบริโภคข้าวสาลี ซึ๋งเกิดลุ[กเองในที่ที่ไม่ต้องไถ มีข้าวสาลี'นั้นเป็นภักษา มีข้าวสาลีนั้นเป็นอาหาร ไต้ดำรงอยู่นานแสนนาน สัตว์เหล่านั้นจึงมี ร่างกายหยาบขึ้น ทั้งผิวพรรณก็ปรากฎแตกต่างกัน และอวัยวะเพศหญิงปรากฎแก่ผู้เป็นหญิง อวัยวะเพศชายปรากฏแก่ผู้เป็นชาย กล่าวกันว่า หญิงเพ่งดูชาย และชายก็เพ่งดูหญิงนานเกินไป เมื่อชนทั้ง ๒ เพศต่างเพ่งดูกันและกันนานเกินไป ก็เกิดความกำห'นัดขึ้น ความเร่าร้อนก็ปรากฏ ขึ้นในกาย เพราะความเร่าร้อนเป็นป็จจัย ชนเหล่านั้นจึงไต้เสพเมลุนธรรม ก็โดยสมัยนัน สัตว์เหล่าใดเ'ห็นสัตว์เหล่าอื่นกำลังเสพเมลุนกันจึงขว้างฝ่นใส่บ้าง ขว้าง ขี้เถ้าใส่บ้าง ขว้างมูลโคใส่บ้าง ต้วยกล่าวว่า 'คนถ่อย เจ้าจงฉิบหาย คนถ่อย เจ้าจงฉิบหาย' แล้ว กล่าวต่อไปว่า 'ก็ไฉน สัตว์จึงทำกรรมอย่างนีแก่สัตว์เล่า' ข้อที่ว่ามานั้น แม่ในขณะนี้ ในชนบท บางแห่ง เมือเขานำสัตว์ที่จะมูกฆ่าไปสู่ที่ประหาร ม'มูษย่เหล่าอื่นก็จะขว้าง^นใส่บ้าง ขว้างขี้เถ้า ใส่บ้าง ขว้างมูลโคใส่บ้าง พวกพราหมลไพากันนึกไต้แต่คำโบราณที่เกี่ยวข้องกับทฤษฎีว่าต้วยต้น กำเนิดของโลกเท่านั้น แต่ไม่รู้เนื้อความแห่งคำนั้นเลย การประพฤติฌมูนธรรม วาเสฏฐะและภารทวาชะ สมัยนั้น การเสพเมถุนธรรมอันเป็นเหลุให้มูกขว้างผินใส่เป็น ต้นนัน ถือว่าเป็นเรื่องไม่ดี แต่บัดนีถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา สมัยนั้นเหล่าสัตว์ผู้เสพเมถุนธรรม ไม่ไต้เข้าไปยังหมู่บ้านหรือนิคมตลอด ๑ เดือนบ้าง ๒ เดือนบ้าง เนื่องจากสัตว์เหล่านั้นต้องการ เสพอสัทธรรมเกินเวลา ต่อมาจึงพากันสร้างเรือนขึ้น เพื่อปกปิดอสัทธรรมนั้น สัตว์'บางคนเกิด ความเกียจคร้านจึงมีความเ'ศ็นอย่างนีว่า 'ท่านผู้เจริญ เรานิช่างลำบากเสียจริง ที่ต้องนำข้าวสาลีมา เพื่อเป็นอาหารเย็นในตอนเย็น และเพื่อเป็นอาหารเช้าในตอนเช้า ทางที่ดี เราควรนำข้าวสาลีมา ครังเดียวให้พอเพื่อเป็นอาหารเช้าและอาหารเย็น' 'สัตว์ในที่นี้หมายถึงมนุษยํไนระยะแรก ๆ ที่เปลี่ยนสภาพมาจากเทพ www.kalyanamitra.org

ธรรมซาสิโลกและ€วิต ะ «^๑ ต่อแต่ใเนมา สัตว์นั้นก็นำข้าวสาลีมาเพียงครั้งเดียว เพื่อเป็นอาหารเย็นและอาหารเช้า ครั้ง หนื้ง สัตว์ผู้หนึ๋งเข้าไปหาสัตว์นั้นถึงที่อยู่แล้วได้ชักชวนว่า 'มาเถิด ท่านผู้เจริญ พวกเราไปเก็บ ข้าวสาลีกันเถิด' สัตว์นั้นจึงตอบว่า 'อย่าเลย ท่านผู้เจริญ เรานำข้าวสาลีมาครั้งเดียวพอเพื่อเป็น อาหารเย็นและอาหารเช้าแล้ว' ต่อมา สัตว์นั้นจึงถือแบบอย่างสัตว์คนแรก นำ ข้าวสาลีมาครั้งเดียว พอเพื่อเป็นอาหารถึง ๒ วันด้วยกล่าวว่า'เออ อย่างนี้ก็ดีเหมือนกันนะท่าน' ต่อมา สัตว์อีกผู้หนึ๋งจึงเข้าไปหาสัตว์คนที่ ๒ ถึงที่อยู่ กล่าวชวนสัตว์คนนั้นว่า 'มาเถิด ท่านผู้เจริญ พวกเราไปเก็บข้าวสาลีกันเถิด' สัตว์นั้นจึงตอบว่า 'อย่าเลย ท่านผู้เจริญ เรานำข้าว สาลีมาครั้งเดียวพอเพื่อเป็นอาหารถึง ๒ วัน' ต่อมา สัตว์นั้นจึงถือเอาแบบอย่างสัตว์คนที่ ๒ นำ ข้าวสาลีมาครั้งเดียวพอเพื่อเป็นอาหารถึง ๔ วัน ด้วยกล่าวว่า'เออ อย่างนีก็ดีเหมือนกันนะท่าน' ต่อมา สัตว์อีกผู้หนึ๋งเข้าไปหาสัตว์คนที่ ๓ ถึงที่อยู่ กล่าวชวนสัตว์คนนั้นว่า 'มาเถิดท่าน ผู้เจริญ พวกเราไปเก็บข้าวสาลีกันเถิด' สัตว์นั้นจึงตอบว่า 'อย่าเลย ท่านผู้เจริญ เรานำข้าวสาลีมา ครั้งเดียวพอเพื่อเป็นอาหารถึง ๔ วัน' ต่อมา สัตว์นั้นจึงถือแบบอย่างสัตว์คนที่ ๓ นำ ข้าวสาลีมา ครั้งเดียวพอเพื่อเป็นอาหารถึง ๘ วัน ด้วยกล่าวว่า 'เออ อย่างนีก็ดีเหมือนกันนะท่าน' เพราะสัตว์ทั้งหลายพากันบริโภคข้าวสาลีที่สั่งสมไว้ ดังนัน ข้าวสาลีจึงมีรำห่อเมล็ดบ้าง มีแกลบทุ้มเมล็ดบ้าง ด้นที่ถูกเกี่ยวแล้วก็ไม่กลับงอกขึ้นอีก ความพร่องได้ปรากฏให้เห็น จึงได้มี ข้าวสาลีเป็นหย่อม ๆ การแบ่งข้าวสาลี วาเสฎฐะและภารทวาชะ ครั้งนั้น สัตว์เหล่านั้นจึงประชุมกัน ครั้นแล้วต่างพากันปรับ ทุกข์ว่า 'ท่านผู้เจริญ บาปธรรมก็ปรากฏในสัตว์ทั้งหลายแล้ว ด้วยว่าในกาลก่อน พวกเรานึกคิด อะไรก็สำเร็จได้ตามปรารถนา มีปีติเป็นกักษา มีรัศมีซ่านออกจากร่างกาย เที่ยวสัญจรไปไน อากาศ อยู่ในวิมานงดงาม สถิตอยู่นานแสนนาน สมัยหนง เมื่อล่วงไปนาน ๆ เกิดง้วนตินลอยฃึน บนนํ้าปรากฏแก่พวกเรา ง้วนดินนั้นสมบูรลเด้วยสี สมบูรณ์ด้วยกลึ๋น สมบูรณ์ด้วยรส พวกเรานัน ได้พากันใช้มือป้นง้วนดินให้เป็นคำ ๆ เพื่อบริโภค เมื่อพวกเราพากันใช้มือฟ้นง้วนดิน ให้เป็น คำ ๆ เพื่อบริโภคอยู่ รัศมีที่ซ่านออกจากร่างกายก็หายไป เมื่อรัศมีที่ซ่านออกจากร่างกายหายไป ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ก็ปรากฏ เมื่อดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ปรากฏแล้ว ดวงดาวนักษัตรทังหลายก็ www.kalyanamitra.org

ธรรมชาติโลกและ^ต ปรากฏ เมื่อดวงดาวนักษัตรในั้หลายปรากฏแล้ว กลางคืน กลางวันก็ปรากฏ เมื่อกลางคืนกลางวัน ปรากฏแล้ว เดือนหนง ครึ๋งเดือนก็ปรากฏ เมื่อเดือนหนง ครึ๋งเดือนปรากฏ ฤลูและปีก็ปรากฏ พวกเราใงั้นบริโภคง้วนดิน มีง้วนดินเป็นภักษา มีง้วนดินเป็นอาหาร ได้ดำรงอยู่นานแสนนาน เพราะบาปอคุศลธรรมปรากฏ ง้วนดินของพวกเราจึงหายไป เมื่อง้วนดินหายไป สะเก็ดดินก็ ปรากฏ สะเก็ดดินใ4นสมบูรณ์ด้วยสี สมบูรณ์ด้วยกลึ๋น สมบูรณ์ด้วยรส พวกเราใงั้นได้พากัน บริโภคสะเก็ดดิน พวกเราา4นบริโภคสะเก็ดดินนั้น มีสะเก็ดดินนั้นเป็นภักษา มีสะเก็ดดินนั้นเป็น อาหาร ได้ดำรงอยู่นานแสนนาน เพราะบาปอคุศลธรรมปรากฏ สะเก็ดดินของพวกเราจึงหายไป เมื่อสะเก็ดดินหายไป เครือดินก็ปรากฏ เครือดินนั้นสมบูรณ์ด้วยสี สมบูรณ์ด้วยกลิ่น สมบูรณ์ ด้วยรส พวกเรานันได้พากันบริโภคเครือดิน พวกเรานั้นบริโภคเครือดินนั้น มีเครือดินนั้นเป็น ภักษา มีเครือดินนั้นเป็นอาหาร ได้ดำรงอยู่นานแสนนาน เพราะบาปอคุศลธรรมปรากฏ เครือดิน ของพวกเราจึงหายไป เมื่อเครือดินหายไป ข้าวสาลีอันผลิผลในที่ที่ไม่ด้องไถ ไม่มีรำ ไม่มีแกลบ บริสุทธิ มีกลิ่นหอม มีเมล็ดเป็นข้าวสารก็ปรากฏ ที่ที่พวกเราเก็บเกี่ยวข้าวสาลีไปเพื่อเป็นอาหาร เย็นในตอนเย็น ก็กลับมีข้าวสาลีงอกลุ[กขึนได้ไนตอนเข้า ที่ที่พวกเราเก็บเกี่ยวข้าวสาลีไปเพื่อเป็น อาหารเข้าในตอนเข้า ก็กลับมีข้าวสาลีงอกลุ[กขึ้นไดํในตอนเย็น ความพร่องไม่ปรากฏเลย พวก เรานันเมือพากันบริโภคข้าวสาลีชงเกิดสุกเองในที่ที่ไม่ด้องไถ มีข้าวสาลีนั้นเป็นภักษา มีข้าวสาลี เป็นอาหาร ได้ดำรงอยู่นานแสนนาน เพราะบาปอกุศลธรรมปรากฏ ข้าวสาลีของพวกเราจึงมีรำ ห่อเมล็ดบ้าง มีแกลบทุ้มเมล็ดบ้าง ด้นที่ถูกเกี่ยวแล้วก็ไม่กลับงอกขึ้นอีก ความพร่องได้ปรากฏให้ เห็นจึงได้มีข้าวสาลีเป็นหย่อม ๆ ทางที่ดี เราควรแปงข้าวสาลีและปกป๋'นเขตแดนกันเกิด' ครั้งนั้น สัตว์ทังหลายจึงพากันแปงข้าวสาลีและป'กป๋'นเขตแดนกัน วาเสฏฐะและภารทวาชะ ครั้งนั้น สัตว์ผู้หนงมีนิสัยโลภ รักษาส่วนของตนไว้แล้ว ถือเอา ส่วนอืนทีเขาไม่ให้มาบริโภค คนทังหลายจับเขาได้ จึงกล่าวว่า 'คุณ คุณทำกรรมชั่วที่รักษาส่วน ของตนไว้แล้ว ถือเอาส่วนอืนที่เขาไม่ให้มาบริโภค คุณอย่าทำกรรมชั่วอย่างนีอีก' สัตว์นั้นก็ รับดำแล้ว แบ้ครั้งที่ ๒ สัตว์นั้น www.kalyanamitra.org

ธรรมชาติโลกและ^ต ะ(^๓ แม่'ครั้งที่ ๓ สัตว์นั้นก็รักษาส่วนของตนไว้แล้ว ถือเอาส่วนอื่นที่เขาไม่ให้มาบริโภค คน ทั้งหลายได้พากันจับเขาแล้ว กล่าวคำนี้ว่า 'คุณ คุณทำกรรมชั่ว ที่รักษาส่วนของตนไว้แล้ว ถือเอา ส่วนอื่นที่เขาไม่ให้มาบริโภค คุณอย่าได้ทำอย่างนี้อีก' คนเหล่าอื่น ใช้ฝ่ามือบ้าง ก้อนดินบ้าง ท่อนไม้บ้าง ทำ ร้าย วาเสฎฐะและภารทวาชะ ในเพราะเรื่องนั้นเป็นเหลุ การถือเอาสึ๋งของที่ เจ้าของเขาไม่ได้ไห้จงปรากฏ การครหาจึงปรากฏ การพูดเท็จจึงปรากฏ การถือทัณฑาวุธจึง ปรากฏ มหาสมมตราช วาเสฏฐะและภารทวาชะ ครั้งนั้น สัตว์ทั้งหลายจึงได้ประชุมกันปรับทุกข์กันว่า 'ท่านผู้ เจริญ บาปธรรมปรากฏในหยู่สัตว์แล้ว คือ การถือเอาสิ่งของที่เจ้าของเขาไม่ได้ไห้จักปรากฏ การ ครหาจักปรากฏ การพูดเท็จจักปรากฏ การถือทัณฑาๅธจักปรากฏ ทางที่ดี พวกเราควรสมมต (แต่งตั้ง) สัตว์ผู้หนี้ง ชึ๋งจะว่ากล่าวผู้ที่ควรว่ากล่าว ติเตียนผู้ที่ควรดิเตียน ขับไล่ผู้ที่ควรขับไล่โดย ชอบ พวกเราจักแบ่งปันข้าวสาลีให้แก่สัตว์ผู้นั้น ครั้นแล้ว สัตว์เหล่านั้นจึงเช้าไปหาท่านที่มีรูปงดงามกว่า น่าลูกว่า น่าเลื่อมใสกว่า น่าเกรง ขามกว่า แล้วจึงได้กล่าวดังนี้ว่า 'มาเถิด ท่านผู้เจริญ ขอท่านจงว่ากล่าวผู้ที่ควรว่ากล่าว จงติเตียนผู้ ที่ควรติเตียน จงขับไล่ผู้ที่ควรขับไล่โดยชอบเถิด และพวกเราจักแบ่งปันช้าวสาลีให้แก่ท่าน' สัตว์ผู้นันรับคำแล้ว ได้ว่ากล่าว^ควรว่ากล่าว ติเตียน^ควรติเตียน ขับไล่^ควรขับไล่ โดยชอบ และสัตว์เหล่านั้นก็ได้แบ่งปันช้าวสาลีให้แก่สัตว์ผู้นัน วาเสฏฐะและภารทวาชะ เพราะเหลุที่สัตว์นันอันมหาชนสมมต (แต่งดัง) ฉะนัน คำ แรก ว่า 'มหาสมมต มหาสมมต'จึงเถิดฃึน เพราะเหลุที่สัตว์นันเป็นใหญ่แห่งที่นาทังหลาย ฉะทัน คำ ที่ ๒ ว่า 'กษัตริย์ กษัตริย์' จึงเกิดขึ้น เพราะเหลุที่สัตว์นั้นให้ชนเหล่าอื่นยินดีได้โดยชอบธรรม ฉะนั้น คำ ที่ ๓ ว่า 'ราชา ราชา'จึงเกิดขึ้น ด้วยเหลุดังกล่าวมานี จึงได้เกิดมีแวดวง'กษัตริย์นั้นขึ้น แก่สัตว์เหล่านั้นเท่านั้น ไม่มีแก่สัตว์เหล่าอื่น มีแก่สัตว์พวกเดียวกันเท่าทัน ไม่มีแก่สัตว์ที่มิใช่ พวกเดียวกัน มีโดยธรรมเท่านั้น ไม่ใช่โดยอธรรม ตามคำโบราณที่เกี่ยวช้องกับทฤษฎีว่าด้วยด้น กำ เนิดของโลก ก็ธรรมเท่านั้นประเสริฐที่ธุ[ดในหมู่ชนทั้งในโลกนีและโลกหน้า 'แวดวง แปลจากคำว่า มณฺฑล ซึ๋งอรรถกถาให้ความหมายว่า คณะ(หยู่)เช่น คำ ว่า พุราหฺมณคณลฺ[ส แปลว่าหยู่ของพราหมณ์ www.kalyanamitra.org