Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หนังสือเรียนพระไตรปิฎกศึกษา

หนังสือเรียนพระไตรปิฎกศึกษา

Description: หนังสือ

Keywords: พระไตรปิฏกศึกษา

Search

Read the Text Version

กฎแฟงกรรม ะ ๑๓(ร: มาณพ การที่บุคคลเป็นผู้เบียดเบียนสัตว์ทั้งหลายด้วยฝ่ามือบ้าง ด้วยก้อนดินบ้าง ด้วย ท่อนไม้บ้าง ด้วยศัสตราบ้าง นี้เป็นปฏิปทาที่เป็นไปเพื่อความมีโรคมาก(๒) มาณพ ส่วนบุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นสตรีก็ตาม เป็นบุเษก็ตาม เป็นผู้ไม่เบียดเบียนสัตว์ ทังหลายด้วยฝ่ามือบ้าง ด้วยก้อนดินบ้าง ด้วยท่อนไม้บ้าง ด้วยศัสตราบ้าง เพราะกรรมนั้นที่เขา ใบ้บริบุรลเยึดมั่นไว้อย่างนั้น หลังจากตายแล้ว เขาจึงไปเกิดในลุ[คติโลกสวรรค์ หสังจากตายแล้ว ล้าไม่ไปเกิดในธุ[คติโลกสวรรค์กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ในที่ใด ๆ เขาก็จะเป็นผู้มีโรคม้อย มาณพ การที่บุคคลเป็นผู้ไม่เบียดเบียนสัตว์ทั้งหลายด้วยฝ่ามือบ้าง ด้วยก้อนดินบ้าง ด้วย ท่อนไม้บ้าง ด้วยศัสตราบ้าง นี้เป็นปฏิปทาที่เป็นไปเพื่อความมีโรคน้อย(๒) มาณพ บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นสตรีก็ตาม เป็นบุเษก็ตาม เป็นผู้มักโกรธ มากด้วย ความคับแค้น ลูกผู้อื่นว่ากล่าวแม้เล็กน้อยก็ขัดใจ โกรธ พยาบาท ปองร้าย แสดงความโกรธความ ปองร้ายและโทษเล็กน้อยให้ปรากฏ เพราะกรรมนั้นที่เขาใบ้บริบูรลเยึดมั่นไว้อย่างนั้น หลังจาก ตายแล้ว เขาจึงไปเกิดในอบาย ทุคติ วินิบาต นรก หลังจากตายแล้ว ล้าไม่ไปเกิดในอบาย ทุคติ วินิบาต นรก กลับมาเกิดเป็นมนุษย่ไนที่ได ๆ เขาก็จะเป็นผู้มีผิวพรรณทราม มาณพ การที่บุคคลเป็นผู้มักโกรธ มากด้วยความคับแค้น ถูกผู้อื่นว่ากล่าวแบ้เล็กน้อยก็ขัด ใจ โกรธ พยาบาท ปองร้าย แสดงความโกรธความปองร้ายและโทษเล็กน้อยให้ปรากฎ นี้เป็น ปฏิปทาที่เป็นไปเพื่อความมีผิวพรรณทราม(๓) มาณพ ส่วนบุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นสตรีก็ตาม เป็นบุรุษก็ตาม เป็นผู้ไม่โกรธ ไม่มาก ด้วยความคับแค้น ลูกผู้อื่นว่ากล่าวแม้มากกึใม่ขัดใจ ไม่โกรธ ไม่พยาบาท ไม่ปองร้าย ไม่แสดง ความโกรธ ความปองร้ายและโทษเล็กน้อยให้ปรากฏ เพราะกรรมนั้นที่เขาให้บริบุรณ์ยึดมั่นไว้ อย่างนั้น หลังจากตายแล้ว เขาจึงไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์ หลังจากตายแล้ว ล้าไม่ไปเกิดใน สุคติโลกสวรรค์ กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ในที่ใด ๆ เขาก็จะเป็นผู้มีผิวพรรณผ่องใส มาณพ การที่บุคคลเป็นผู้ไม่โกรธ ไม่มากด้วยความศับแด้น ถูกผู้อื่นว่ากล่าวแบ้มากก็ไม่ ขัดใจ ไม่โกรธ ไม่พยาบาท ไม่ปองร้าย ไม่แสดงความโกรธ ความปองร้ายและโทษเล็กน้อยให้ ปรากฎ นี้เป็นปฏิปทาที่เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีผิวพรรณผ่องใส(๓) มาณพ บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นสตรีก็ตาม เป็นบุรุษก็ตาม เป็นผู้มี!จริษยา ย่อมริษยา ประทุษร้าย ผูกความริษยาในลาภลักการะ ความเคารพ ความนับถือ การกราบไหว้ และการบูชา www.kalyanamitra.org

กฎแฟงกรรม ะ ๑๓(ร: ของIjคคลอื่น เพราะกรรมใเนทึ่เขาให้บริ\\jรณ์ยึดมั่นไว้อย่างนั้น หลังจากตายแล้ว เขาจึงไปเกิด ในอบาย า3คติ วินิบาต นรก หลังจากคายแล้ว ล้าไม่ไปเกิดในอบาย ทุคติ วินิบาต นรก กลับมา เกิดเป็นมทุษย์ในทื่ใด ๆ เขาก็จะเป็นผู้มีอำนาจน้อย มาณพ การที่บุคคลเป็น!ฒูใจริษยา ย่อมริษยา ประทุษร้าย ผูกความริษยาในลาภสักการะ ความเคารพ ความนับถือ การกราบไหว้ และการบุชาของบุคคลอื่น นี้เป็นปฏิปทาที่เป็นไปเพื่อ ความเป็นผู้มีอำนาจน้อย(๔) มาณพ ส่วนบุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นสตรีก็ตาม เป็นบุเษก็ตาม เป็นผู้มีใจไม่ริษยา ย่อม ไม่ริษยา ไม่ประทุษร้ายไม่ผูกความริษยาในลาภลักการะ ความเคารพ ความนับถือ การกราบไหว้ และการบูชาของบุคคลอื่น เพราะกรรมนั้นที่เขาให้บริบูรณ์ยึดมั่นไว้อย่างนั้น หลังจากตายแล้ว เขาจึงไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์ หลังจากตายแล้ว ล้าไม่ไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์กลับมาเกิดเป็น มนุษย์ในที่ใด ๆ เขาก็จะเป็นผู้นิอำนาจมาก มาณพ การที่บุคคลเป็นผู้มีใจไม่ริษยา ย่อมไม่ริษยา ไม่ประทุษร้าย ไม่ผูกความริษยาใน ลาภสักการะ ความเคารพ ความนับถือ การกราบไหว้และการบูชาของบุคคลอื่น นี้เป็นปฏิปทาที่ เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีอำนาจมาก(๔) มาณพ บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นสตรีก็ตาม เป็นบุเษก็ตาม เป็นผู้ไมไห้ข้าว นํ้า ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่พัก เครื่องประทีปแก่สมณะหรือพราหมณ์ เพราะกรรม นั้น'ที่เขาให้บริบูรณ์ยึดมั่นไว้อย่างนั้น หลังจากตายแล้ว เขาจึงไปเกิดในอบาย ทุคติ วินิบาต นรก หลังจากตายแล้ว ล้าไม่ไปเกิดในอบาย ทุคติ วินิบาต นรก กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ในที่ใด ๆ เขาก็จะ เป็นผู้มีโภคะน้อย มาณพ การที่บุคคลเป็นผู้ใม่ให้ข้าว นํ้า ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่ พัก เครื่องประทีปแก่สมณะหรือพราหมณ์ นี้เป็นปฏิปทาที่เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีโภคะน้อย(๕) มาณพ ส่วนบุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นสตรีก็ตาม เป็นบุเษก็ตาม เป็นผู้ให้ข้าว นี้า ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่พัก เครื่องประทีปแก่สมณะหรือพราหมณ์ เพราะ กรรมนั้นที่เขาให้บริบูรณ์ยึดมั่นไว้อย่างนั้น หลังจากตายแล้ว เขาจึงไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์ 'กรรมนั้น ในที่นี้หมายถึงกรรมคือความตระหนี่ www.kalyanamitra.org

กฎแฟงกรรม :๑๓๖ หลังจากตายแล้ว ล้าไม่ไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์ กลับมา!คิดเปืนมสุษย์ในที่ได ๆ เขาก็จะ!!!เนผู้มี โภคะมาก มาณพ การที่บุคคลเป็นผู้!ห้ฃ้าว นํ้า ผ้า ยาน คอกไม้ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่พัก เครื่องประทีปแก่สมณะหรือพราหมณ์ นี้!ปีนปฏิปทาที่!ปีนไป!พื่อความ!ป็นผู้มีโภคะมาก(๕) มาณพ บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นสตรืก็ตาม เป็นบุรุษก็ตาม เปีนผู้กระด้าง เย่อหยิ่ง ย่อม ไม่กราบไหว้ผู้ที่ควรกราบไหว้* ไม่ลูกรับผู้ที่ควรลุกรับ ไมไห้อาสนะ!!ก่ผู้ที่ควรให้อาสนะ ไมไห้ ทาง!!ก่ผู้ที่ควรให้ทาง ไม่ลักการะผู้ที่ควรสักการะ ไม่!คารพผู้ที่ควร!คารพ ไม่นับถือผู้ที่ควรนับ ถือ ไม่!]ชาผู้ที่ควรบูชา เพราะกรรมนั้นที่!ขาให้บริบูรณ์ยึดมั่นไว้อย่างนั้น หลังจากคายแล้ว เขา จึงไป!คิดในอบาย ทุคติ วินิบาต นรก หลังจากตายแล้ว ล้าไม่ไปเกิดในอบาย ทุคติ วินิบาต นรก กลับมา!คิด!ปีนมทุษย์ในที่ใด ๆ เขาจะ!ปีนผู้!คิดในตระกูลตํ่า มาณพ การที่บุคคลเป็นผู้กระด้าง เย่อหยิ่ง ย่อมไม่กราบไหว้ผู้ที่ควรกราบไหว้ ไม่ลุกรับผู้ ที่ควรลุกรับ ไม่ให้อาสนะแก่ผู้ที่ควรให้อาสนะ ไม่ให้ทางแก่ผู้ที่ควรให้ทาง ไม่สักการะผู้ที่ควร สักการะ ไม่เคารพผู้ที่ควรเคารพ ไม่นับถือผู้ที่ควรนับถือ ไม่บูชาผู้ที่ควรบูชา นี้!ปีนปฏิปทาที่ เปีนไป!พื่อความ!ปีนผู้!คิดในตระกูลตํ่า(b) มาณพ ส่วนบุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นสตรีก็ตาม เป็นบุรุษก็ตาม เปีนผู้ไม่กระด้าง ไม่ ฒ่อหยิ่ง ย่อมกราบไหว้ผู้ที่ควรกราบไหว้ ลุกรับผู้ที่ควรลุกรับ ให้อาสนะ!!ก่ผู้ที่ควรให้อาสนะ ให้ ทาง!!ก่ผู้ที่ควรให้ทาง ลักการะผู้ที่ควรสักการะ เคารพผู้ที่ควร!คารพ นับถือผู้ที่ควรนับถือ บูชาผู้ ที่ควรบูชา เพราะกรรมนั้นที่เขาให้บริบูรณ์ยึดมั่นไว้อย่างนั้น หลังจากตายแล้ว เขาจึงไป!คิดใน สุคติโลกสวรรค์ หลังจากตายแล้ว ล้าไม่ไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์กลับมา!คิด!ปีนมนุษย์ในที่ใด ๆ เขาจะ!ปีนผู้!คิดในตระกูลสูง มาณพ การที่บุคคลเป็นผู้ไม่กระด้าง ไม่เย่อหยิ่ง ย่อมกราบไหว้ผู้ที่ควรกราบไหว้ ลุกรับผู้ ที่ควรลุกรับ ให้อาสนะแก่ผู้ที่ควรให้อาสนะ ให้ทางแก่ผู้ที่ควรให้ทาง สักการะผู้ที่ควรสักการะ เคารพผู้ที่ควรเคารพ นับถือผู้ที่ควรนับถือ บูชาผู้ที่ควรบูชา นี้!ปีนปฏิปทาที่!ปีนไปเพื่อความ!ปีนผู้ เคิดในตระกูลสูง(๖) 'สัที่ควรกราบไหว้ในที่นึ้หมายถึงพระทุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า หรือพระอริยสาวก www.kalyanamitra.org

กฎแฟงกรรม ะ ๑๓๗ มาณพ บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นสตรีก็ตาม เป็นบุรุษก็ตาม ไม่เข้าไปหาสมณะหรือ พราหมณ์แล้วสอบถามว่า 'ท่านขอรับ อะไรเป็นกุศล อะไรเป็นอกุศล อะไรมีโทษ อะไรไม่มีโทษ อะไรควรเสพ อะไรไม่ควรเสพ กรรมอะไรที่ข้าพเจ้าทำจึงเป็นไปเพื่อมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล เพื่อ ทุกข์ตลอดกาลนาน หรือว่ากรรมอะไรที่ข้าพเจ้าทำจึงเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อสุขตลอด กาลนาน' เพราะกรรมนั้นที่เขาให้บริบูรณ์ยึดมั่นไว้อย่างนั้น หลังจากตายแล้ว เขาจึงไปเกิดใน อบาย ทุคติ วินิบาต นรก หลังจากตายแล้ว ถ้าไม่ไปเกิดในอบาย ทุคติ วินิบาต นรก กลับมาเกิด เป็นมบุษยในที่ใด ๆ เขาจะเป็นผู้มีป็'ญญาทราม มาณพ การที่บุคคลไม่เข้าไปหาสมณะหรือพราหมณ์แถ้วสอบถามว่า 'ท่านขอรับ อะไร เป็นกุศล อะไรเป็นอกุศล อะไรมีโทษ อะไรไม่มีโทษ อะไรควรเสพ อะไรไม่ควรเสพ กรรมอะไร ที่ข้าพเจ้าทำจึงเป็นไปเพื่อมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล เพื่อทุกข์ตลอดกาลนาน หรือว่ากรรมอะไรที่ ข้าพเจ้าทำจึงเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อสุขตลอดกาลนาน' นี้เป็นปฏิปทาที่เป็นไปเพื่อ ความเป็นผู้มีป๋'ญญาทราม(๗) มาณพ ส่วนบุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นสตรีก็ตาม เป็นบุรุษก็ตาม เข้าไปหาสมณะหรือ พราหมณ์แล้วสอบถามว่า 'ท่านขอรับ อะไรเป็นกุศล อะไรเป็นอกุศล อะไรมีโทษ อะไรไม่มีโทษ อะไรควรเสพ อะไรไม่ควรเสพ กรรมอะไรที่ข้าพเจ้าทำจึงเป็นไปเพื่อมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล เพื่อ ทุกข์ตลอดกาลนาน หรือว่ากรรมอะไรที่ข้าพเจ้าทำจึงเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อสุขตลอด กาลนาน' เพราะกรรมนั้นที่เขาให้บริบูรณ์ยึดมั่นไว้อย่างนั้น หลังจากตายแล้ว เขาจึงไปเกิดใน สุคติโลกสวรรค์ หลังจากตายแถ้ว ถ้าไม่ไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ในที่ใด ๆ เขาจะเป็นผู้มีป๋'ญญามาก มาณพ การที่บุคคลเข้าไปหาสมณะหรือพราหมณ์แล้วสอบถามว่า 'ท่านขอรับ อะไรเป็น กุศล อะไรเป็นอกุศล อะไรมีโทษ อะไรไม่มีโทษ อะไรควรเสพ อะไรไม่ควรเสพ กรรมอะไรที่ ข้าพเจ้าทำจึงเป็นไปเพื่อมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล เพื่อทุกข์ตลอดกาลนาน หรือว่ากรรมอะไรที่ ข้าพเจ้าทำจึงเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อสุขตลอดกาลนาน' นี้เป็นปฏิปทาที่เป็นไปเพื่อ ความเป็นผู้มีป๋'ญญามาก(๗) มาณพ รวมความว่า ปฏิปทาที่เป็นไปเพื่อความมีอายุสั้นย่อมนำเข้าไปสู่ความมีอายูสั้น ปฏิปทาที่เป็นไปเพื่อความมีอายุยืนย่อมนำเข้าไปสู่ความมีอายุยืน www.kalyanamitra.org

กฎแฟงกรรม ะ ๑๓^ ปฏิปทาที่เป็นไปเพื่อความมีโรคมากย่อมนำเข้าไปสู่ความมีโรคมาก ปฏิปทาที่เป็นไปเพื่อความมีโรคน้อยย่อมนำเข้าไปสู่ความมีโรคน้อย ปฏิปทาที่เป็นไปเพื่อความมีผิวพรรณทรามย่อมนำเข้าไปสู่ความมีผิวพรรณทราม ปฏิปทาที่เป็นไปเพื่อความมีผิวพรรณผ่องไสย่อมนำเข้าไปสู่ความมีผิวพรรณผ่องใส ปฏิปทาที่เป็นไปเพื่อความมีอำนาจน้อยย่อมนำเข้าไปสู่ความมีอำนาจน้อย ปฏิปทาที่เป็นไปเพื่อความมีอำนาจมากย่อมนำเข้าไปสู่ความมีอำนาจมาก ปฏิปทาที่เป็นไปเพื่อความมีโภคะน้อยย่อมนำเข้าไปสู่ความมีโภคะน้อย ปฏิปทาที่เป็นไปเพื่อความมีโภคะมากย่อมนำเข้าไปสู่ความมีโภคะมาก ปฏิปทาที่เป็นไปเพื่อความเกิดในตระกูลตรย่อมนำเข้าไปสู่ความเกิดในตระถูลตา ปฏิปทาที่เป็นไปเพื่อความเกิดในตระกูลสูงย่อมนำเข้าไปสู่ความเกิดในตระกูลสูง ปฏิปทาที่เป็นไปเพื่อความมีป็ญญาทรามย่อมนำเข้าไปสู่ความมีฟ้ญญาทราม ปฏิปทาที่เป็นไปเพื่อความมีปัญญามากย่อมนำเข้าไปสู่ความมีปัญญามาก สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตน มีกรรมเป็นทายาท มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็น เผ่าพันธุ มีกรรมเป็นที่พื่งอาศัย กรรมย่อมจำแนกสัตว์ทั้งหลายให้เลวและดีต่างกัน ด้วยประการ ฉะนี้\" เมื่อพระ^พระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว สูภมาณพโตเทยยบุตรได้กราบ'กูลพระ^พระภาค ว่า \"ข้าแต่'ท่านพระโคดม พระภาษิตของท่านพระโคดมชัดเจนไพเราะยิ่งนัก ข้าแต่ท่าน พระโคดม พระภาษิตของท่านพระโคดมชัดเจนไพเราะยิ่งนัก ท่านพระโคดมทรงประกาศธรรม แจ่มแจ้งโดยประการต่าง ๆ เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่ควร เปิดของที่ปีด บอกทางแก่ผู้หลง ทาง หรือตามประทีปในที่มืด ด้วยตั้งใจว่า 'คนมีตาดีจักเ'ห็นฐปได้' ข้าพระองค์นี้ขอถึงท่านพระ- โคดม พร้อมทั้งพระธรรม และพระสงฆ์เป็นสรณะ ขอท่านพระโคดมโปรดทรงจำข้าพระองค์ว่า เป็นอุบาสก^งสรณะ ตั้งแต่วันนี้เป็นด้นไปจนตลอดชีวิต\"ดังนี้แล จูฬกัมมวิกังคสูตร จบ www.kalyanamitra.org

กฎแฟงกรรม ะ ๑๓๙ จากพระสูตรนี้ แสดงให้เห็นว่า บุคคลสั่งสมกรรมอย่างใดย่อมได้รับผลแห่งกรมอย่างนั้น ของตน ประกอบกรรมอันนำไปสู่ความเป็นอย่างใด ย่อมได้รับความเป็นอย่างนั้น สามารถสเป ลงในหลักสั้น ๆ ว่า \"ทำดี ได้รับผลดี,ทำ ชั่ว ได้รับผลชั่ว\"ซงบุคคลใดได้มาศึกษาพระสูตรนี้ย่อม สามารถจะไตร่ตรองหลักกรรมด้วยสติปัญญา ก็พอที่จะเห็นความสมเหตุสมผลได้ ดังใน \"ลูฬกัมมวิภังคสูตร\" พอจะจำแนกให้เห็นถึงสาเหตุของการกระทำและผลที่ได้รับจากการกระทำ นั้น โดยสามารถแปงได้๗ ลักษณะ คือ j อตุศลกรรม 1 กุศลกรรม i 1 ** 1 Jลำ ดับ ! เหตุ ผล 1 1 ผล 1 1 •'\"ดู ?ที่ ฆ่าสัตว์ อายูสั้น ไม่ฆ่าสัตว์ อายุยืน เบียดเบียนสัตว์ มีโรคมาก ไม่เบียดเบียนสัตว์ มีโรคน้อย ผิวพรรณผ่องใส เป็นผู้มักโกรธ ผิวพรรณเศร้าหมอง ไม่เป็นผู้มักโกรธ มีใจริษยา มีอำ นาจน้อย ไม่มีใจริษยา มีอำ นาจมาก ไม่ให้ทาน มีโภคะน้อย ให้ทาน มีโภคะมาก กระด้าง เย่อหยึ๋ง เกิดในตระกุลตา ไม่กระด้าง ไม่เย่อหยิ่ง เกิดในตระกุลสูง ไม่อ่อนน้อม มีความอ่อนน้อม ไม่เข้าไปหาสมณ- มีปัญญาทราม เข้าหาสมณพราหมลเ มีปัญญามาก พราหมลเสอบถาม สอบถามถึงเรื่องที่เป็น เรื่องที่เป็นกุศล กุศล อกุศล เป็นด้น อกุศล เป็นด้น ฉะนั้น บุคคลจะดีหรือชั่วก็ขึ้นอยู่กับเราเอง เพราะเราคือผู้ออกแบบชีวิต เราเป็นผู้กำหนด ชีวิตของเราเอง ไม่มีใครสามารถที่จะมากำหนดชีวิตของเราเองได้ ไม่ว่าจะเป็นพรหม เป็นเทวดา หรือใคร ๆ ก็ตาม จะมีชีวิตอย่างไรขึ้นอยู่กับการกระทำของเรา เมื่อเราทราบการให้ผลของกรรม www.kalyanamitra.org

กฎแviงกรรม ะ ๑(TO อย่างนีแล้วให้เราหมั่นสั่งสมแต่ความดีใใพง ๆ ขึ้นไป จะได้ประสบแต่ความลุ[ขและความสำเร็จ ในชีวิต ตลอดระยะเวลาที่เราวนเวียนอยู่ในวัฎฎสงสารอันยาวไกลนี้ จนกระทั่งเข้าสู่พระนิพพาน เทวทูตสูตร ว่าด้วยเทวทูต สมัยหนี้ง พระผูมพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขต กรุงสาวัตถี ณ ที่นันแล พระผูมพระภาคได้รับสั่งเรียกภิกทูทั้งหลายมาตรัสว่า \"ภิกษุทั้งหลาย\" ภิกษุเหล่านั้นทูลรับสนองพระดำรัสแล้วพระผูมพระภาคจึงได้ตรัสเรื่องนี้ว่า \"ภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนเรือน ๒ หลัง มีประดูตรงกัน บุรุษผูมตาดียืนอยู่ตรงกลาง เรือน ๒ หลังนัน พึงเห็นคนกำลังเดินเข้าเรือนบ้าง กำ ลังเดินออกจากเรือนบ้าง กำ ลังเดินมาบ้าง กำ ลังเดินไปบ้าง แบ้ฉันใด เราก็ฉันนั้นเหมือนกัน เห็นหมู่สัตว์ผู้กำลังจุติ กำ ลังเกิด ทั้งชั้นตาและ ชันสูง งามและไม่งาม เกิดดีและเกิดไม่ดี ด้วยตาทิพย์อันบริสูทธเหนือมนุษย์ รู้ชัดถึงหมู่สัตว์ผู้ เป็นไปตามกรรมว่า 'สัตว์เหล่านี้ประกอบกายสูจริต วจีสูจริต และมโนสุจริต ไม่กล่าวร้ายพระ- อริยะ มีความเห็นชอบ และชักชวนผู้อื่นให้ทำกรรมตามความเห็นชอบ หลังจากตายแล้วจะไป เกิดในสูคติโลกสวรรค์ หรือสัตว์เหล่านีประกอบกายสูจริต วจีสูจริต และมโนสูจริต ไม่กล่าวร้าย พระอริยะ มีความเห็นชอบ และชักชวนผู้อื่นให้ทำกรรมตามความเห็นชอบ หลังจากตายแล้ว จะ ไปเกิดในหมู่มนุษย์ สัตว์เหล่านีประกอบกายทุจริต วจีทุจริต และมโนทุจริต กล่าวร้ายพระอริยะ มีความเห็นผิด และชักชวนผู้อื่นให้ทำกรรมตามความเห็นผิด หลังจากตายแล้ว จะไปเกิดในเปรต วิสัย หรือสัตว์เหล่านีประกอบกายทุจริต วจีทุจริต และมโนทุจริต กล่าวร้ายพระอริยะ มี ความเห็นผิด และชักชวนผู้อื่นให้ทำกรรมตามความเห็นผิด หลังจากตายแล้วจะไปเกิดในกำเนิด สัตว์ติรัจฉาน ก็หรือว่าสัตว์เหล่านีประกอบกายทุจริต วจีทุจริต และมโนทุจริตกล่าวร้ายพระ- อริยะ มีความเห็นผิด และชักชวนผู้อื่นให้ทำกรรมตามความเห็นผิด หลังจากตายแล้ว จะไปเกิด ในอบาย ทุคติ วินิบาต นรก' '๑ ดูเทียบ ม.มู.(แปล)๑๒/๒๖๑/®๘๓ www.kalyanamitra.org

กฎแหงกรรม I (ร)(ร!(ร) ภิกยุทั้งหลาย นายนิรยบาล'จับแขนเขาไปแสดงต่อพญายม^ว่า 'ขอเดชะ คนผู้นี้ไม่เกื้อกูล มารดา ไม่เกื้อกูลบิดา ไม่เกื้อกูลสมณะ ไม่เกื้อกูลพราหมณ์ และไม่อ่อนน้อมต่อผู้!หญ่ในตระกูล ขอพระองค์จงลงโทษคนผู้นี้เถิด' ภิกยุทั้งหลาย พญายมสอบสวนซักไซ้ไล่เลียงเขาถึงเทว'กูด^ที่ ๑ ว่า 'เจ้าไม่เคยเห็นเทว'ทูต ที่ ๑ ปรากฏในหกู่มนุษย์บ้างหรือ' เขาตอบว่า 'ไม่เคยเห็น พระเจ้าข้า' พญายมถามเขาว่า 'ในหนุ่มนุษย์ เด็กเล็กผู้ยังอ่อนนอนหงายกลิ้งเกลือกอยู่ในมูตรและ กรีสของตน เจ้าไม่เคยเห็นบ้างหรือ' เขาตอบว่า 'เคยเห็น พระเจ้าข้า' 'เจ้านั้นเป็นผู้รู้เดียงสา เป็นผู้ใหญ่ ไม่ได้คิดอย่างนี้หรือว่า ถึงตัวเราก็มีความเกิดเป็น ธรรมดา ไม่ล่วง'ด้นความเถิดไปได้เอาเถิด เราจะทำความดีทางกายวาจา และใจ' 'ไม่เคยคิด เพราะมัวประมาทอยู่ พระเจ้าข้า' 'เจ้าไม่ได้ทำความดีทางกาย วาจา และใจ เพราะมัวประมาทอยู่ เอาเถิดเราจะลงโทษเจ้า ตามฐานะที่ประมาท ก็บาปกรรมนี้นั้น บิดามารดา พี่ชายบ้องชาย พี่สาวบ้องสาว มิตร อำ มาตย์ ญาติสาโลหิต สมณพราหมณ์ เทวดา ไม่ได้ทำให้เจ้าเลย เจ้าทำเองแท้ ๆ เจ้านั้นเองด้องรับผลของ บาปกรรมนั้น'(๑) พญายมครั้นสอบสวนซักไซ้ไล่เลียงเขาถึงเทว'ทูตที่ ๑ แล้ว จึงสอบสวนซักไซ้ไล่เลียงถึง เทว'ทูตที่ ๒ ว่า 'เจ้าไม่เคยเห็นเทว'ทูตที่ ๒ ปรากฏในหนุ่มนุษย์บ้างหรือ' เขาตอบว่า 'ไม่เคยเห็น พระเจ้าข้า' 'ในหนุ่มนุษย์สตรีหรือบุรุษมีอายุ ๘0ปี ... ๙๐ ปี ... หรือ ๑๐๐ ปีเป็นคนชรา มีซี่โครงคด หลังโก่งหลังค่อมถือไบ้เห้าเดินงกๆเงึ๋นๆเก้ๆกังๆหมดความเป็นหนุ่มสาวฟันหักผม หงอก ศีรษะล้าน หนังเหี่ยว ตัวตกกระเจ้าไม่เคยเห็นบ้างหรือ' 'นายนิรยบาล หมายถึงผู้ทำหนิ'าที่ลงโทษสัตว์นรก ^พญายมหมายถึงพญาเวมาณิกเปรต ชํ่งบางครั้งเสวยสมบํตในวิมานทิพย์บางคราวเสวยวิบากกรรม และพญายมนั้นมิใช่มี ตนเดียว แต่มีถึง ๔ ตนประจำประดูนรก ๔ ประดู 'เทว'ดูต ในที่นี้หมายถึงส์อแว์งข่าวมฤตยู เป็นสัญญาณเตือนในิระลึกถึงคติธรรมดาของชีวิตไม่ในิประมาท ไดี'แก่ ความแก่ ความเจ็บ และความตาย ปรากฎเสมือนเทวดาทรงเครื่องมาประทับยืนในอากาศเตือนว่า\"วันโนินท่านจะตาย\" www.kalyanamitra.org

กฎแฟงกรรม ะ ๑(T๒ 'เคยเห็น พระเจ้าข้า' - 'เจ้าใfนเป็นผู้รู้เดียงสา เป็นผู้ใหญ่ ไม่ได้คิดอย่างนี้หรือว่า 'ถึงตัวเราก็มีความแก่เป็น ธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความแก่ไปได้เอาเถิด เราจะทำความดีทางกายวาจา และใจ' 'ไม่เคยคิด เพราะมัวประมาทอยู่ พระเจ้าข้า' 'เจ้าไม่ได้ทำความดีทางกาย วาจา และใจ เพราะมัวประมาทอยู่ เอาเถิดเราจะลงโทษเจ้า ตามฐานะที่ประมาท ก็บาปกรรมนี้นั้น บิดามารดา พี่ชายน้องชาย พี่สาวน้องสาว มิตร อำมาตย์ ญาติสาโลหิต สมณพราหมณ์ เทวดา ไม่ได้ทำให้เจ้าเลย เจ้าทำเองแห้ ๆ เจ้านั้นเองด้องรับผลของ บาปกรรมนั้น'(๒) พญายมครั้นสอบสวนซักไซ้ไล่เลียงเขาถึงเทวพูตที่ ๒ แล้ว จึงสอบสวนซักไซ้ไล่เลียงถึง เทวพูตที่ ๓ ว่า 'เจ้าไม่เคยเห็นเทวทูตที่ ๓ ปรากฎในหมู่มนุษย์บ้างหรือ' เขาตอบว่า 'ไม่เคยเห็น พระเจ้าข้า' 'ในหมู่มนุษย์ สตรืหรือบุรุษเจ็บป่วย ประสบทุกข์ เป็นไข้หนัก นอนจมอยู่ในมูตรและ กรีสของตน ผู้อื่นต้องช่วยพยุงให้ลุกขึ้น ช่วยฟ้อนอาหาร เจ้าไม่เคยเห็นบ้างหรือ' 'เคยเห็น พระเจ้าข้า' 'เจ้านั้นเป็นผู้แดียงสา เป็นผู้ใหญ่ ไม่ได้คิดอย่างนี้หรือว่า 'ถึงตัวเราก็มีความป่วยไข้เป็น ธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความป่วยไข้ไปได้เอาเถิด เราจะทำความดีทางกาย วาจา และใจ' 'ไม่เคยคิด เพราะมัวประมาทอยู่ พระเจ้าข้า' 'เจ้าไม่ได้ทำความดีทางกาย วาจา และใจ เพราะมัวประมาทอยู่ เอาเถิดเราจะลงโทษเจ้า ตามฐานะที่ประมาท ก็บาปกรรมนี้นั้น บิดามารดา พี่ชายน้องชาย พี่สาวน้องสาว มิตร อำ มาตย์ ญาติสาโลหิต สมณพราหมณ์ เทวดา ไม่ได้ทำให้เจ้าเลย เจ้าทำเองแท้ๆ เจ้านั้นเองต้องรับผลของ บาปกรรมนั้น'(๓) พญายมครั้นสอบสวนซักไซ้ไล่เลียงเขาถึงเทวทูตที่ ๓ แล้ว จึงสอบสวนซักไซ้ไล่เลียงถึง เทวทูตที่ ๔ ว่า 'เจ้าเคยเห็นเทวทูตที่ ๔ ปรากฎในหมู่มนุษย์บ้างหรือ' เขาตอบว่า 'ไม่เคยเห็น พระเจ้าข้า' 'ในหมู่มนุษย์ พระราชารับสั่งให้จับโจรผู้ประพฤติผิดมาแล้ว ลงอาญาด้วยประการต่าง ๆ คือ ให้เฆี่ยนด้วยแล้บ้าง ให้เฆี่ยนด้วยหวายบ้าง ให้ดีด้วยไม้พลองบ้าง ตัดมือบ้าง ตัดเท้าบ้าง ตัด www.kalyanamitra.org

กฎแฟงกรรม ะ ๑c^๓ ทั้งมือและเท้าบ้าง ตัดใบชุบ้าง ตัดจมูกบ้างตัดทั้งใบชุและจมูกบ้าง วางก้อนเหล็กแดงบนศีรษะ บ้าง ถลกหนังศีรษะแล้วขัดให้ขาวเหมือนสังข์บ้าง เอาไฟยัดปากจนเลือดไหลเหมือนปากราชุ บ้าง เอาผ้าพันตัวราดนํ้ามันแล้วจุดไฟเผาบ้าง พันมือแล้วจุดไฟต่างคบบ้าง ถลกหนังตั้งแต่คอถึง ข้อเท้าให้ลุกเดินเหยียบหนังจนล้มลงบ้าง ถลกหนังตั้งแต่คอถึงบั้นเอว ทำ ให้มองดูเหมือนนุ่งผ้า คากรองบ้าง สวมปลอกเหล็กที่ข้อศอกและเข่าแล้วเสียบหลาวทั้ง ๕ ทิศเอาไฟเผาบ้าง ใช้เบ็ด เกี่ยวหนัง เนื้อ เอ็นออกมาบ้าง เฉือนเนื้อออกเป็นแว่น ๆ เหมือนเหรียญกษาปลเบ้าง เฉือนหนัง เนื้อ เอ็น ออกเหลือไว้แต่กระดูกบ้าง ใช้หลาวแทงช่องชุให้ทะลุถึงกันบ้าง เสียบให้ติดดินแล้วจับ เขาหมุนได้รอบบ้าง ทุบกระดูกให้แหลกแล้วถลกหนังออกเหลือไว้แต่กองเนื้อเหมือนดั่งใบไม้ บ้าง รดตัวด้วยนํ้ามันที่กำลังเดือดพล่านบ้าง ให้ลุ[นัขกัดดินจนเหลือแต่กระดูกบ้าง ให้นอนบน หลาวทั้งเป็นบ้าง ตัดศีรษะออกด้วยดาบบ้าง เจ้าไม่เคยเห็นบ้างหรือ' 'เคยเห็น พระเจ้าข้า' 'เจ้าบั้นเป็น^เดียงสา เป็นผู้!หญ่ ไม่ไดืคดอย่างนี้หรือว่า 'ไดืยีนว่าสัตว์ผู้ทำบาปกรรมไว้ เหล่าบั้น จะถูกลงอาญาด้วยประการต่าง ๆ เห็นปานนี้ในป็จจุบัน ไม่จำเป็นด้องกล่าวถึงชาติหน้า เอาเถิด เราจะทำความดีทางกาย วาจา และใจ' 'ไม่เคยติด เพราะมัวประมาทอยู่ พระเจ้าข้า' 'เจ้าไม่ได้ทำความดีทางกาย วาจา และใจ เพราะมัวประมาทอยู่ เอาเถิดเราจะลงโทษเจ้า ตามฐานะที่ประมาท ก็บาปกรรมนี้บั้น บิดามารดา พี่ชายน้องชาย พี่สาวน้องสาว บิดร อำ มาตย์ ญาติสาโลหิต สมณพราหมณ์ เทวดา ไม่ได้ทำให้เจ้าเจ้าทำเองแท้ ๆ เจ้านั่นเองด้องรับผลของ บาปกรรมบั้น'(๔) พญายมครั้นสอบสวนซักไซ้ไล่เลียงเขาถึงเทวทูตที่ ๔ แล้ว จึงสอบสวนซักไซ้ไล่เลียงถึง เทวทูตที่ ๕ ว่า 'เจ้าไม่เคยเห็นเทวทูตที่ ๕ ปรากฏในหมู่มนุษย์บ้างหรือ' เขาตอบว่า 'ไม่เคยเห็น พระเจ้าข้า' 'ในหมู่มนุษย์สตรีหรือมุเษที่ตาย ๑ วัน ๒ วัน หรือ ๓ วัน พองขึ้นเป็นสีเขียว มีนํ้าเหลือง แตกซ่าน เจ้าไม่เคยเห็นบ้างหรือ' 'เคยเห็น พระเจ้าข้า' www.kalyanamitra.org

กฎแฟงกรรม :๑(รtgt 'เจ้าเป็นผู้รู้เดียงสา เป็นผู้ใหญ่ ไม่ได้คิดอย่างนี้หรือว่า 'ถึงตัวเราก็มีความตายเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความตายไปได้เอาเถิด เราจะทำความดีทางกาย วาจาและไจ' 'ไม่เคยคิด เพราะมัวประมาทอยู่ พระเจ้าข้า' 'เจ้าไม่ได้ทำความดีทางกาย วาจา และใจ เพราะมัวประมาทอยู่ เอาเถิดเราจะลงโทษเจ้า ตามฐานะที่ประมาท ก็บาปกรรมนีนั้น บิดามารดา พี่ชายน้องชายพี่สาวน้องสาว บิดร อำ มาตย์ ญาติสาโลหิต สมณพราหมณ์ เทวดา ไม่ได้ทำให้เจ้าเลย เจ้าทำเองแท้ ๆ เจ้านั่นเองด้องรับผลของ บาปกรรมนั้น'(๕) พญายมครันสอบสวนซักไซ้ไล่เลียงเขาถึงเทวทูตที่ ๕ นั้นแล้วก็นึ๋งเฉย นายนิรยบาลจึงลง กรรมกรณ์ชื่อเครื่องพันธนาการ ๕ อย่าง คือ ตอกตะปูเหล็กร้อนแดงที่มือ ๒ ข้าง ที่เท้า ๒ ข้าง และที่กลางอก เขาเสวยทุกขเวทนากล้าอย่างหนัก เผ็ดร้อน ณ ที่นั้น แต่ยังไม่ตายตราบเท่าที่ บาปกรรมนั้นยังไม่สิ้นไป นายนิรยบาลฉุดลากเขาไป เอาขวานถาก ฯลฯ นายนิรยบาลจับเขาเอาเท้าขึ้น เอาศีรษะลง เอามีดเฉือน ฯลฯ จับเขาเทียมรถแล่นกลับไปกลับมาบนพื้นตินอันร้อนลุกเป็นเปลวโชติช่วง ฯลฯ บังคับเขาฃึนลงฎเขาถ่านเพลิงลูกใหญ่ที่ไฟลุกโชน ฯลฯ จับเขาเอาเท้าขึ้น เอาศีรษะลง ทุ่มลงใน โลหคุมภีอันร้อนแดงลุกเป็นแสงไฟ เขาลูกด้มเดือดจนตัวพองในโลหคุมภีนั้น เขาเมื่อลูกด้ม เดือดจนตัวพองในโลหกุมภีนั้น บางครั้งลอยขึ้น บางครั้งจมลง บางครั้งลอยขวาง เขาเสวย ทุกขเวทนากล้าอย่างหนัก เผ็ดร้อนอยู่ในโลหคุมภีอันร้อนแดงนั้น แต่ยังไม่ตายตราบเท่าที่ บาปกรรมนั้นยังไม่สิ้นไปนายนิรยบาลจึงทุ่มเขาลงในมหานรกก็มหานรกนั้น ปี ๔มุม๔ประตูแบ่งออกเป็นส่วน ปีกำ แพงเหล็กล้อมรอบ ครอบด้วยฝาเหล็ก มหานรกนั้น ปีพืน้เป็นเหล็ก ฤกโชนโชติช่วง แผ่ไบ่ไกลด้านละ ๑๐๐ โยชน์ตังอ^มุกเปีอ ภิกทุทั้งหลาย เปลวไฟแห่งมหานรกนั้น ลุกโพลงขึ้นจากฝาด้านทิศตะวันออกจรดฝาด้าน ทิศตะวันตก ลุกโพลงขึ้นจากฝาด้านทิศตะวันตกจรดฝาด้านทิศตะวันออก ลุกโพลงขึ้นจากฝา ด้านทิศเหนือจรดฝาด้านทิศได้ ลุกโพลงขึ้นจากฝาด้านทิศใด้จรดฝาด้านทิศเหนือ ลุกโพลงขึ้น www.kalyanamitra.org

กฎแฟงกรรม ะ ๑(ริ:(ร: จากเบื้องล่างจรดเบื้องบน ลุกโพลงขึ้นจากเบื้องบนจรดเบื้องล่าง เขาเสวยทุกขเวทนากล้าอย่าง หนัก เผ็ดร้อนอยู่ในมหานรกนั้น แต่ยังไม่ตายตราบเท่าที่บาปกรรมนั้นยังไม่สิ้นไป มีสมัยที่บางครั้งบางคราว เมื่อล่วงกาลไปนาน ประตูดานทิศตะวันออกของมหานรกนั้น จะถูกเปิด เขาจะวึ๋งไปที่ประตูนั้นอย่างรวดเร็ว เมื่อเขาวิ่งไปอย่างรวดเร็วจึงถูกไฟไหม้ผิวบ้าง ไหม้หนังบ้าง ไหม้เนื้อบ้าง ไหม้เอ็นบ้าง แม้กระลูกทั้งหลายก็มอดไหม้เป็นควัน อวัยวะที่ถูกแยก ออกแล้วจะกลับคงรูปเดิมทันที ในขณะที่เขามาถึง ประตูนั้นจะถูกปิด เขาจึงเสวยทุกขเวทนากล้า อย่างหนัก เผ็ดร้อนอยู่ในมหานรกนั้น แต่ยังไม่ตายตราบเท่าที่บาปกรรมนั้นยังไม่สิ้นไป มีสมัยที่บางครั้งบางคราว เมื่อล่วงกาลไปนาน ประตูด้านทิศตะวันตกของมหานรกนั้นจะ ถูกเปิด ... ประตูด้านทิศเหนือจะถูกเปิด ... ประตูด้านทิศได้จะถูกเปิด ... เขาจะวิ่งไปที่ประตูนั้น อย่างรวดเร็ว เมื่อเขาวิ่งไปอย่างรวดเร็วจึงถูกไฟไหม้ผิวบ้าง ไหม้หนังบ้าง ไหม้เบื้อบ้าง ไหม้เอ็น บ้าง แม้กระตูกนั้งหลายก็มอดไหม้เป็นควัน อวัยวะที่ถูกแยกออกแล้วจะกลับคงรูปเดิมทันที ในขณะที่เขามาถึง ประตูนั้นจะถูกปิดเขาจึงเสวยทุกขเวทนากล้าอย่างหนัเผ็ดร้อนอยู่ในมหานรก นั้น แต่ยังไม่ตายตราบเท่าที่บาปกรรมนั้นยังไม่สิ้นไป มีสมัยที่บางครั้งบางคราว เมื่อล่วงกาลไปนาน ประตูมหานรกด้านทิศตะวันออกจะถูก เปิด เขาจะวิ่งไปที่ประตูนั้นอย่างรวดเร็ว เมื่อเขาวิ่งไปอย่างรวดเร็ว จึงถูกไฟไหม้ผิวบ้าง ไหม้ หนังบ้าง ไหม้เบื้อบ้าง ไหม้เอ็นบ้าง แม้กระดูกทั้งหลายก็มอดไหม้เป็นควัน อวัยวะที่ถูกแยกออก แล้วจะกลับคงรูปเดิมทันที(แต่)เขาจะออกทางประตูนั้นได้ ภิกทุนั้งหลาย ๑) รอบ ๆ มหานรกนั้น มีคูถนรกขนาดใหญ่อยู่ เขาตกลงในคูถนรกนั้นในคูถนรกนั้นแล สัตว์ ปากเข็มทั้งหลายย่อมเจาะผิว เจาะผิวแล้ว จึงเจาะหนัง เจาะหนังแล้ว จึงเจาะเบื้อ เจาะเบื้อแล้ว จึงเจาะเอ็น เจาะเอ็นแล้ว จึงเจาะกระดูก เจาะกระดูกแล้ว จึงกินเยื่อในกระดูก เขาเสวย ทุกขเวทนากล้าอย่างหนัก เผ็ดร้อน อยู่ในมหานรกนั้น แต่ยังไม่ตายตราบเท่าที่บาปกรรมนั้น ยังไม่สิ้นไป www.kalyanamitra.org

กฎแฟงกรรม ะ ๑(ริ:๖ ๒)รอบ ๆ คูถนรกนั้น มีกุกกุลนรก'ขนาดใหญ่อยู่ เขาตกลงในกุกกุลนรกนั้น จึงเสวยทุกขเวทนา กล้าอย่างหนัก เผ็ดร้อน อยู่ในกุกกุลนรกนั้น แต่ยังไม่ตายตราบเท่าที่บาปกรรมนั้นยังไม่สิ้น ไป ๓)รอบ ๆ กุกกุลนรกนั้น มีป่าสิ้วขนาดใหญ่สูง ๑ โยชน์ มีหนามยาว ๑๖ องคุลี ร้อนแดงลุกเป็น แสงไฟ นายนิรยบาลบังคับเขาขึ้นลงที่ป่าสิ้วนั้น เขาเสวยทุกขเวทนากล้าอย่างหนัก เผ็ดร้อน อยู่ในป่าสิ้วนั้น แต่ยังไม่ตายตราบเท่าที่บาปกรรมนั้นยังไม่สิ้นไป ๔)รอบ ๆ ป่างิวนั้น มีป่าไม้ที่มีใบเป็นดาบขนาดใหญ่อยู่ เขาเข้าไปในป่าไม้ที่มีใบเป็นดาบนั้น ใบไม้ที่เป็นดาบถูกลมพัดแล้วจะคัดมือเขาบ้าง ตัดเท้าบ้าง คัดมือและเท้าบ้าง ตัด'คูบ้าง คัด จมูกบ้าง คัดคูและจมูกบ้าง เขาเสวยทุกขเวทนากล้าอย่างหนัก เผ็ดร้อน อยู่ในป่าไบ้ที่มีใบ เป็นดาบนั้น แต่ยังไม่ตายตราบเท่าที่บาปกรรมนั้นยังไม่สิ้นไป ๕)รอบ ๆ ป่าไบ้ที่มีใบเป็นดาบนั้น มีแม่นั้าอันมีนํ้าเป็นต่างขนาดใหญ่อยู่ เขาตกลงในแม่นั้าอันมี นั้าเป็นต่างนั้น จึงลอยไปในแม่นํ้าอันมีนั้าเป็นต่างนั้น ตามกระแสบ้าง ทวนกระแสบ้าง ตาม กระแสและทวนกระแสบ้าง เขาเสวยทุกขเวทนากล้าอย่างหนัก เผ็ดร้อนอยู่ในนรกแม่นั้าอันมี นํ้าเป็นต่างนั้น แต่ยังไม่ตายตราบเท่าที่บาปกรรมนั้นยังไม่สิ้นไป ภิกษุทั้งหลาย นายนิรยบาลใช้เบ็ดเกี่ยวสัตว์นรกนั้นขึ้นมาวางไว้บนบกแล้วถามเขาอย่างนี้ ว่า 'ฟอมหาจำเริญ เจ้าต้องการอะไร' เขากล่าวอย่างนี้ว่า 'ข้าพเจ้าหิว เจ้าข้า' นายนิรยบาลจึงใช้ขอเหล็กอันร้อนแดงลุกเป็นแสงไฟเกี่ยวปากให้อ้า แล้วใส่ก้อนโลหะ อันร้อนแดงลุกเป็นแสงไฟเข้าไปในปาก ก้อนโลหะนั้นจึงใหม่รม!!ปากบ้าง ไหม้ปากบ้าง ไหม้ คอบ้าง ไหม้ท้องบ้าง พาไล้ใหญ่บ้าง ไล้น้อยบ้างของเขาออกมาทางทวารหนัก เขาเสวย ทุกขเวทนากล้าอย่างหนัก เผ็ดร้อน อยู่ในนรกนั้น แต่ยังไม่ตายตราบเท่าที่บาปกรรมนั้นยังไม่สิ้น ไป นายนิรยบาลถามเขาว่า'ฟอมหาจำเริญ เจ้าต้องการอะไร' เขากล่าวอย่างนี้ว่า 'ข้าพเจ้ากระหาย เจ้าข้า' กุกคุลนรก ในที่นี้หมายถึงนรกที่มีเถ้าเอนประมาณ ๑๐๐ โยชน์ภายในเต็มถ้วยเปลวไฟและถ่านเพลิงขนาดเท่าเรือนยอด www.kalyanamitra.org

กฎแฟงกรรม ะ ๑(£'๗ นายนิรยบาลจึงใช้ขอเหล็กอันร้อนแดงลุกเป็นแสงไฟเกี่ยวปากให้อ้า แล้วกรอกนํ้า ทองแดงอันร้อนแดงลุกเป็นแสงไฟเช้าไปในปาก นํ้าทองแดงใเนจึงลวกริมแปากบ้าง ลวกปาก บ้าง ลวกคอบ้าง ลวกท้องบ้าง พาไล้ใหญ่บ้าง ไล้น้อยบ้างของเขา ออกมาทางทวารหนัก เขาเสวย ทุกขเวทนากล้าอย่างหนัก เผ็ดร้อนอยู่ในนรกนั้น แต่ยังไม่ตายตราบเท่าที่บาปกรรมนั้นยังไม่สิ้น ไป นายนิรยบาลจึงโยนเขาเช้าไปในมหานรกอีก ภิกทุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้ว พญายมได้คิดว่า 'ไดยนว่า ชนเหล่าใดทำบาปอกุศลกรรม ไว้ในโลก ชนเหล่านั้นจึงถูกนายนิรยบาลทรมานด้วยวิธีการต่าง ๆ อย่างนี้ โอหนอ เราพึงได้ ความเป็นมนุษย์ พระตถาคตอรหันตสัมมาส้มทุทธเจ้าพึงเสด็จกุบติในโลก เราพึงเช้าไปเสืา พระองค์พระองค์พึงแสดงธรรมแก่เรา และเราพึง!ทั่วถึงธรรมขอพระองค์' เราได้ฟ้งความนั้นจากสมณะหรือพราหมลาอื่นแล้ว จึงกล่าวอย่างนี้ก็หาไม่ แต่เรากล่าวสิ่ง ที่เรา!เอง เห็นเอง ทราบเองเท่านั้น\" พระผูมพระภาคผู้สุคตศาสดาครั้นตรัสเวยยากรณภาษิตนี้แล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ อื่นอีกต่อไปว่า \"มmmหล่าใดอันเทวทูตตัณตือนแล้ว ยังประมาทอ^ มาฌพเหล่าใทแข้าถึงหมู่ที่เลว ย่อมเศร้าโศกตลอดกาลนาน ส่วนสัตบุรุมเหล่าใดเป็นทู้สงบในโลกปี อันเหวทูตตักเตือนแล้ว ไม่ประมาทในอริยธรรมในกาลใด ๆ เห็นภัยในความยึดมั่นถือมั่น ที่เป็นปอเกิดแห่งความเกิดและความตาย เพราะไม่ยึดมั่นถือมั่น จึงหฤดพ้น ในธรรมเป็นที่สิ้นความเกิดและความตาย สัตบุรุษเหล่านั้นจึงถึงความเกมม มีความสุข ตับสนิทในปัจจุบัน www.kalyanamitra.org

กฎแฟงกรรม I Q<sr^ ล่วงพ้นเวรและภัยใ]กอย่าง ข้ามพ้นทุกข์ทั้งสิ้นได้แล้ว\" ดังนี้แล๑ เทวทูตสูตร จบ พใลifณฑิตสูตร ว่าด้วยคนพาลและบัณฑิต ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ สมัยหนี้ง พระ^พระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขต กรุงสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระ^พระภาคได้รับสั่งเรียกภิกทูทั้งหลายมาตรัสว่า \"ภิกทูทั้งหลาย\" ภิกทูเหล่านั้นทูลรับสนองพระดำรัสแล้วพระ^พระภาคจึงได้ตรัสเรื่องนี้ว่า \"ภิกทูทังหลาย ลักษณะของคนพาล เครื่องหมายของคนพาล ความประพฤติไม่ขาดสาย ของคนพาล ๓ ประการนี้ ลักษณะของคนพาล ๓ ประการ อะไรบ้าง คือ คนพาลในโลกนี้ ๑) ชอบคิดแต่เรื่องชั่ว' ๒)ชอบพูดแต่เรื่องชั่ว^ ๓)ชอบทำแต่กรรมชั่ว^ 'ชอบคิดแต่เรื่องชั่ว หมายถึงประกอบมโนทุจริต ๓ คือ(๑)อภิชฌา(เพ่งเล็งอยากได้ของเขา)(๒)พยาบาท(ความคิดปองเาย) (๓)มิจฉาทิฎฐิ(ความเห็นผิด) ^ ชอบพูดแต่เรื่องชั่ว หมายถึงประกอบวจีทุจริต ๔ คือ(๑)มุสาวาท(พูดเท็จ)(๒)ปิธุ[ณาวาจา(พูดส่อเสิยด)(๓)ผรุสวาจา(พูด คำ หยาบ)(๔)สัมผัปปลาปะ(พูดเฟ'อเจ้อ) ^ ชอบทำแต่กรรมชั่ว หมายถึงประกอบกายทุจริต ๓ คือ(๑)ปาณาติบาต(ฆ่าสัตว์)(๒)อทินนาทาน(สักทรัพย์)(๓) กาเมสุมิจฉาจาร(ประพฤติผิดในกาม) www.kalyanamitra.org

กฎแฟงกรรม ะ ๑<r๙ ถ้าคนพาลไม่ชอบคิดเรื่องชั่ว ไม่ชอบพูดเรื่องชั่ว ไม่ชอบทำกรรมชั่วเช่นใเน บัณฑิต ทั้งหลายจะพึงรู้จักเขาด้วยเหตุไรว่า'ผู้นี้เป็นคนพาล ไม่ใช่คนดี'แต่เพราะคนพาลชอบคิดแต่เรื่อง ชั่ว ชอบพูดแต่เรื่องชั่ว และชอบทำแต่กรรมชั่ว ฉะนั้นบัณฑิตทั้งหลายจึงรู้จักเขาว่า 'ผู้นี้เป็นคน พาล s คนพาลนั้นย่อมเสวยทุกขโทมนัส ๓ ประการในบัจจุบันภิกษุทั้งหลาย ถ้าคนพาลนั่งใน สภาก็ดี ในตรอกก็ดีริมทางสามแพร่งก็ดี ถ้าชนในที่นั้นพูดถ้อยคำที่สมควรแก่ธรรมนั้นแก่เขา ถ้า คนพาลเป็นผู้ฆ่าสัตว์เป็นผู้ลักทรัพย์เป็นผู้ประพฤติผิดในกาม เป็นผู้พูดเท็จ เป็นผู้เสพของมึนเมา คือสุราและเมรัย อันเป็นเหตุแห่งความประมาท ในเรื่องนั้น คนพาลจะมีความรู้สึกอย่างนี้ว่า 'ข้อ ที่ชนพูดถ้อยคำที่สมควรแก่ธรรมนั้น ธรรมเหล่านั้นมีอยู่ในเรา และเราก็ปรากฏในธรรม เหล่านั้น'ภิกษุทั้งหลาย คนพาลย่อมเสวยทุกขโทมนัสประการที่ ๑ นี้ในป็จจุบัน ภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนี้ง คนพาลเห็นพระราชารับสั่งให้จับโจรผู้ประพฤติผิด มาแล้ว ลงอาญาโดยประการต่าง ๆ คือ ให้เฆี่ยนด้วยแล้บ้าง ให้เฆี่ยนด้วยหวายบ้าง ให้ดีด้วยใบ้ พลองบ้าง ตัดมือบ้าง ตัดเท้าบ้าง ตัดทั้งมือและเท้าบ้าง ตัดใบหูบ้าง ตัดจมูกบ้าง ตัดทั้งใบหูและ จมูกบ้าง วางถ้อนเหล็กแดงบนศีรษะบ้าง ถลกหนังศีรษะแล้วขัดให้ขาวเหมือนสังข์บ้าง เอาไฟยัด ปากจนเลือดไหลเหมือนปากราหูบ้าง เอาผ้าพันตัวราดนั้ามันแล้วจุดไฟเผาบ้าง พันมือแล้วจุดไฟ ต่างคบบ้าง ถลกหนังตั้งแต่คอถึงข้อเท้าให้ลุกเดินเหยียบหนังจนล้มลงบ้าง ถลกหนังตั้งแต่คอถึง นั้นเอว ทำ ให้มองดูเหมือนนุ่งผ้าคากรองบ้าง สวมปลอกเหล็กที่ข้อศอกและเข่าแล้วเศียบหลาว ทั้ง ๕ ทิศ เอาไฟเผาบ้าง ใช้เบ็ดเกี่ยวหนัง เนื้อ เอ็นออกมาบ้าง เฉือนเนื้อออกเป็นแว่น ๆ เหมือน เหรียญกษาปลใบ้าง เฉือนหนัง เนื้อ เอ็นออกเหลือไว้แต่กระดูกบ้าง ใช้หลาวแทงช่องหูให้ทะลุถึง กันบ้าง เสียบให้ติดดินแล้วจับเขาหมุนได้รอบบ้าง ทุบกระดูกให้แหลกแล้วถลกหนังออกเหลือ ไว้แต่กองเนื้อเหมือนตั่งใบไม้บ้าง รดตัวด้วยนํ้ามันที่กำสังเดือดพล่านบ้าง ให้สุนัขกัดภินจนเหลือ แต่กระดูกบ้าง ให้นอนบนหลาวทั้งเป็นบ้าง ตัดศีรษะออกด้วยดาบบ้าง ในขณะที่เห็นนั้น คนพาล มีความรู้สึกอย่างนี้ว่า 'เพราะเหตุแห่งกรรมเช่นไร พระราชาทั้งหลายจึงรับสั่งให้จับโจรผู้ ประพฤติผิดมาแล้วลงอาญาโดยประการต่าง ๆ คือ ให้เฆี่ยนด้วยแล้บ้าง ฯลฯ ตัดศีรษะออกด้วย ดาบบ้าง ก็ธรรมเหล่านั้นมีอยู่ในเรา และเราก็ปรากฏในธรรมเหล่านั้น ถ้าแม้พระราชาทั้งหลาย พึงรู้จักเรา ก็จะรับสั่งให้จับเราแล้วลงอาญาโดยประการต่าง ๆ คือ ให้เฆี่ยนด้วยแล้บ้าง ฯลฯ ให้ www.kalyanamitra.org

กฎแฟงกรรม ะ ๑&'๐ นอนบนหลาวทังเป็นบ้าง ตัดศีรษะออกด้วยดาบบ้าง ภิกษุทั้งหลาย คนพาลย่อมเสวยทุกข- โทมนัส ประการที่ ๒ นี้ในปัจธุบัน อีกประการหนี้ง ในสมัยนั้น บาปกรรมที่คนพาลทำ คือ การประพฤติกายทุจ1ต การ ประพฤติวจีทุจริต การประพฤติมโนทุจริตไวในกาลก่อน ย่อมหน่วงเหนี่ยว บดบัง ครอบงำคน พาลผ้อย่บนตั่ง บนเตียง หรือนอนบนพื้น เปรียบเหมือนเงาของยอดคูเขาใหญ่ ย่อมกั้น บดบัง ครอบคลุมแผ่นดินใหญ่ในเวลาเย็น แบ้ฉันใด ในสมัยนั้น บาปกรรมที่คนพาลทำ คือ การประพฤติกายทุจริต การประพฤติวจีทุจริต การประพฤติมโนทุจริตไวในกาลก่อน ย่อมหน่วงเหนี่ยว บดบัง ครอบงำคนพาลผู้อยู่บนตั่ง บน เตียง หรือนอนบนพื้น ฉันนั้นเหมือนกัน ในเรื่องนั้น คนพาลมีความคิดอย่างนีว่า 'เรายังไม่ได้ทำความตีไว้หนอ ยังไม่ได้ทำกศลไว้ ไม่ได้ทำที่บ้องกันสึ๋งน่ากลัวไว้ ทำ แต่ความชั่ว ทำ แต่กรรมหยาบช้า ทำ แต่กรรมเศร้าหมอง เรา ตายแล้ว จะไปสู่คติของผู้ไม่ได้ทำความตีไว้ ไม่ได้ทำคุศลไว้ ไม่ได้ทำที่บ้องกันสิ่งน่ากลัวไว้ ทำ แต่ความชั่ว ทำ แต่กรรมหยาบช้า ทำ แต่กรรมเศร้าหมองนั้น'เขาย่อมเศร้าโศก ลำบากใจ ราไร ทุบ อกคราครวญถึงความหลงไหล ภิกษุทั้งหลาย คนพาลย่อมเสวยทุกขโทมนัสประการที่ ๓ นี้ในบ้จจุบัน ภิกษุทั้งหลาย คนพาลนั้นยังประพฤติกายทุจริต ประพฤติวจีทุจริต ประพฤติมโนทุจริต หลังจากตายแล้วจะไปเกิดในอบาย ทุคติ วินิบาต นรก บุคคลเมื่อจะกล่าวให้ถูกด้อง พึงกล่าวถึง นรกนั้นนั่นแหละว่า 'เป็นสถานที่ไม่น่าปรารถนาไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจ โดยส่วนเตียว' ทุกข์นี้ กับทุกข์ในนรกเปรียบเทียบกันไม่ได้\" เมื่อพระ^พระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว ภิกษุรูปหนี้งได้กราบพูลพระผูมพระภาคว่า \"ข้าแต่ พระองค์ผู้เจริญ พระองค์จะทรงอุปมาไดอกหรือไม่\" พระ^พระภาคตรัสว่า \"ได้ ภิกษุ\" แล้วตรัสว่า \"เปรียบเหมือนราชบุรูษทั้งหลายจับโจรผู้ ประพฤติผิดได้แล้ว จึงแสดงแก่พระราชาว่า 'ขอเดชะ ผู้นี้เป็นโจรประพฤติผิดต่อพระองค์ ขอ พระองค์จงทรงลงพระอาญาตามที่ทรงพระราชประสงค์แก่โจรผู้นี้เถิด' พระราชามีพระกระแสรับสั่งว่า 'ท่านทั้งหลายจงไปช่วยกันประหารษุรูษนี้ด้วยหอก ๑๐๐ เล่มในเวลาเช้า' ราชบุรุษทั้งหลายก็ช่วยกันประหารษุรุษคนนั้นด้วยหอก ๑๐๐ เล่มในเวลาเช้า www.kalyanamitra.org

กฎแฟงกรรม ต่อมาในเวลาเที่ยงวัน พระราชาทรงซักถามราชบุรูษใงั้งหลายว่า 'ท่านทั้งหลายบุรุษนั้นเป็น อย่างไรบ้าง' ราชบุรุษทั้งหลายกราบทูลว่า 'เขายังมีชีวิตอยู่ พระเจ้าข้า' พระราชาจึงมีพระกระแสรับสั่งว่า 'ท่านทั้งหลายจงไปช่วยกันประหารบุรุษคนนั้นด้วย หอก ๑00 เล่มในเวลาเที่ยงวัน' ราชบุรุษทั้งหลายก็ช่วยกันประหารบุรุษคนนั้นด้วยหอก ๑00 เล่มในเวลาเที่ยงวัน ต่อมาในเวลาเย็น พระราชาทรงซักถามราชบุรุษทั้งหลายอีกว่า 'ท่านทั้งหลายบุรุษคนนั้น เป็นอย่างไรบ้าง' 'เขายังมีชีวิตอยู่ พระเจ้าข้า' 'ท่านทั้งหลายจงไปช่วยกันประหารบุรุษคนนั้นด้วยหอก ๑00 เล่มในเวลาเย็น' ราชบุรุษ ทั้งหลายจึงช่วยกันประหารบุรุษคนนั้นด้วยหอก ๑00 เล่มในเวลาเย็น ภิกบุทั้งหลาย เธอทั้งหลาย เข้าใจความข้อนั้นว่าอย่างไร คือ บุรุษนั้นถูกประหารด้วยหอก ๓00 เล่ม พึงเสวยทุกขโทมนัสเพราะการประหารนั้น \"บุรุษนั้นแบ้ถูกประหารด้วยหอก ๑ เล่ม ยังได้เสวยทุกขโทมนัสซงมีการประหารนั้นเป็น เหตุ ไม่จำด้องกล่าวถึงการที่บุรุษนั้นถูกประหารด้วยหอกทั้ง ๓00 เล่ม พระทูทธเจ้าข้า\" ครั้งนั้น พระ^พระภาคทรงหยิบก้อนหินขนาดย่อม ๆ เท่าฝ่ามือขึ้นมา แล้วรับสั่งเรียก ภิกษุทั้งหลายมาตรัสว่า \"ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายเข้าใจความข้อนั้นว่าอย่างไร คือ ก้อนหิน ขนาดย่อม ๆ เท่าฝ่ามือที่เราถืออยู่นี้กับขุนเขาหิมพานต์อย่างไหนใหญ่กว่ากัน\" \"ก้อนหินขนาดย่อม ๆ เท่าฝ่าพระหัตถ์ที่พระองค์ทรงถืออยู่นี้ มีประมาณน้อยนัก เปรียบ เทียบกับขุนเขาหิมพานค์แล้ว ไม่ถึงแบ้การนับ ไม่ถึงแบ้ส่วนแห่งเสี้ยว ไม่ถึงแบ้การเทียบกันได้ พระพทธเจ้าข้า' \"ภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกัน ทุกขโทมนัสเพราะการประหารนั้นเป็นเหตุที่บุรุษถูก ประหารด้วยหอก ๓00 เล่ม เสวยอยู่นั้น เปรียบเทียบกับทุกข์แห่งนรกแล้ว ไม่ถึงแบ้การนับ ไม่ ถึงแบ้ส่วนแห่งเสี้ยว ไม่ถึงแบ้การเทียบกันได้นายนิรยบาลทั้งหลายทำกรรมกรถโชื่อเครื่อง พันธนาการ ๕ อย่าง คือตอกตะ\\|เหล็กร้อนแดงที่มือ ๒ ข้าง ที่เท้า ๒ ข้าง และที่กลางอก คนพาล www.kalyanamitra.org

กฎแฟงกรรม ะ ๑<ร:๒ ใ?นเสวยทุกขเวทนากล้า อย่างหใงัก เผ็ดร้อน ในที่ใ?น แต่ยังไม่ตายตราบเท่าที่บาปกรรมยังไม่สิ้น ไป นายนิรยบาลอุดลากเขาไป เอาขวานถาก คนพาลใ?นเสวยทุกขเวทนากล้า ฯลฯ ตราบเท่าที่ บาปกรรมยังไม่สิ้นไป นายนิรยบาลจับเขาเอาเ'ล้าขึ้น เอาศีรษะลง เอามีดเฉือน คนพาลใ?นเสวย ทุกขเวทนากล้า ฯลฯ ตราบเท่าที่บาปกรรมยังไม่สิ้นไป นายนิรยบาลจับเขาเทียมรถแล่นกลับไป กลับมาบนพื้นอันร้อนลุกเป็นเปลวโชติช่วง คนพาลใ?นเสวยทุกขเวทนากล้า อย่างหนัก เผ็ดร้อน ในที่ใ?น ฯลฯ ตราบเท่าที่บาปกรรมยังไม่สิ้นไป นายนิรยบาลบังคับเขาให้ขึ้นลงภูเขาถ่านเพลิงลูก ใหญ่ที่ไฟลุกโชนโชติช่วง คนพาลใ?นเสวยทุกขเวทนากล้า อย่างหนัก เผ็ดร้อนอยู่ บนภูเขาถ่าน เพลิงบัน แต่ยังไม่ตายตราบเท่าที่บาปกรรมยังไม่สิ้นไป นายนิรยบาลจับเขาเอาเล้าขึ้น เอาศีรษะ ลง 'ทุ่มลงในโลหคุมภี (หม้อทองแดง) อันร้อนแดงลุกเป็นแสงไฟคนพาลใ?นถูกต้มเดือดจนตัว พองในโลหคุมภีบัน เขาเมื่อลูกต้มเดือดจนตัวพองในโลหกุมภีใ?น บางครั้งลอยขึ้น บางครั้งจมลง บางครั้งลอยขวาง เขาเสวยทุกขเวทนากล้าอย่างหนัก เผ็ดร้อน อยู่ในโลหคุมภีอันร้อนแดงใ?น แต่ ยังไม่ตายตราบเท่าที่บาปกรรมยังไม่สิ้นไป นายนิรยบาลจึงทุ่มเขาลงในมหานรกก็มหานรกใ?นมี ๔ ทุม ๔ ประดู แบ่งออกเป็นส่วนมีกำแพงเหล็กล้อมรอบ ครอบต้วยฝาเหล็กมหานรกใ?น มีพื้น เป็นเหล็ก ลุกโชนโชติช่วงแผ่ไปไกลต้านละ ๑๐๐ โยชน์ตั้งอยู่ทุกเมื่อ ภิกทุทั้งหลาย ทุกข์นี้กับทุกข์ในนรกเปรียบเทียบกันต้วยการบอกไม่ไต้ ภิกทุทังหลาย สัตว์ติรัจฉานจำพวกมีหญ้าเป็นอาหารมีอยู่ สัตว์ติรัจฉานเหล่านั้นใช้'ฟ'นเล็ม หญ้าสดบ้าง หญ้าแห้งบ้าง สัตว์ดิรัจฉานจำพวกมีหญ้าเป็นอาหาร พวกไหนห้าง ดือ ช้าง ม้า โค ลา แพะ มฤค หรือสัตว์ดิรัจฉานจำพวกอื่นบางพวกที่มีหญ้าเป็นอาหาร ในเบืองต้น คนพาลในโลกนีนั่น ติดใจในรส ทำ บาปกรรมไว้!นโลกนี้ หลังจากตายแล้ว จึงเช้าถึงความเป็นผู้อยู่ร่วมกับสัตว์จำพวกที่มีหญ้าเป็นอาหารเหล่านั้น สัตว์ติรัจฉานจำพวกมีคูถเป็นอาหารมีอยู่ สัตว์ติรัจฉานเหล่านั้นไต้กลึ๋นคูถแต่ที่ไกลแล้ว ย่อมวิ่งไปต้วยหวังว่า 'จักกินตรงนี้ จักกินตรงนี้' เปรียบเหมือนพราหมฉแดินไปตามกลิ่นเครื่องบูชาต้วยหมายใจว่า 'จักกินตรงนี้ จักกิน ตรงนิ' แม้ฉันใด สัตว์ติรัจฉานจำพวกมีคูถเป็นอาหารเหล่านั้น ฉันนั้นเหมือนกัน ไต้กลิ่นคูถแต่ที่ ไกลแล้ว ย่อมวิ่งไปต้วยหวังว่า 'จักกินตรงนี้ จักกินตรงนี้' www.kalyanamitra.org

กฎแฟงกรรม ะ ๑๕Gท สัตว์ดิรัจฉานจำพวกมีคูถเป็นอาหาร พวกไหนบ้าง คือ ไก่ ธ[ุ กร ลุ[นัขบ้าน ลุ[นัขป่า หรือ สัตว์ดิรัจฉานจำพวกอื่นบางพวกที่มีคูถเป็นอาหาร ในเบื้องต้น คนพาลในโลกนี้นั่น ติดใจในรส ทำ บาปกรรมไว้!นโลกนี้ หลังจากตายแล้ว จึงเข้าถึงความเป็นผู้อยู่ร่วมกับสัตว์จำพวกที่มีคูถเป็นอาหารเหล่านั้น สัตว์ดิรัจฉานจำพวกที่เกิดในที่มืด แก่ในที่มืด ตายในที่มืด มีอยู่ สัตว์ดิรัจฉานจำพวกที่เกิดในที่มืด แก่ในที่มืด ตายในที่มืด พวกใหนบ้าง คือ แมลง มอด ไล้เดือน หรือสัตว์ดิรัจฉานจำพวกอื่นบางพวกที่เกิดในที่มืด แก่ในที่มืด ตายในที่มืด ในเบื้องต้น คนพาลในโลกนี้นั่น ติดใจในรส ทำ บาปกรรมไว้ในโลกนี้ หลังจากตายแล้ว จึงเข้าถึงความเป็นผู้อยู่ร่วมกับสัตว์จำพวกที่เกิดในที่มืด แก่ในที่มืดตายในที่มืดเหล่านั้น สัตว์ดิรัจฉานจำพวกที่เกิดในนั้า แก่ในนั้า ตายในนั้า มีอยู่ สัตว์ดิรัจฉานจำพวกที่เกิดในนั้า แก่ในนั้า ตายในนั้า พวกใหนบ้าง คือ ปลา เต่า จระเข้หรือสัตว์ดิรัจฉานจำพวกอื่นบางพวกที่เกิดในนั้า แก่ในนั้าตายในนั้า ในเบื้องต้น คนพาลในโลกนี้นั่น ติดใจในรส ทำ บาปกรรมไว้!นโลกนี้ หลังจากตายแล้ว จึงเข้าถึงความเป็นผู้อยู่ร่วมกับสัตว์จำพวกที่เกิดในนั้า แก่ในนั้าตายในนั้าเหล่านั้น สัตว์ดิรัจฉานจำพวกที่เกิดในที่โสโครก แก่ในที่โสโครก ตายในที่โสโครก มีอยู่ สัตว์ดิรัจฉานจำพวกที่เกิดในที่โสโครก แก่ในที่โสโครก ตายในที่โสโครกพวกใหนบ้าง คือ สัตว์ดิรัจฉานจำพวกที่เกิดในปลาเน่า แก่ในปลาเน่า หรือตายในปลาเน่าสัตว์ดิรัจฉาน จำ พวกที่เกิดในศพเน่า ... สัตว์ดิรัจฉานจำพวกที่เกิดในขนมคุมมาสที่คูด ... สัตว์ดิรัจฉานจำพวก ที่เกิดในนั้าครำ ... สัตว์ดิรัจฉานจำพวกที่เกิดในหลุมโสโครก ... สัตว์ดิรัจฉานจำพวกอื่นที่เกิดใน ที่โสโครก แก่ในที่โสโครก ตายในที่โสโครก ในเบื้องต้น คนพาลในโลกนี้นั่น ติดใจในรส ทำ บาปกรรมไว้!นโลกนี้ หลังจากตายแล้ว จึงเข้าถึงความเป็นผู้อยู่ร่วมกับสัตว์จำพวกที่เกิดในที่โสโครก แก่ในที่โสโครก ตายในที่โสโครก เหล่านั้น ภิกยุทั้งหลาย ทุกข์นี้กับทุกข์ในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉานเปรียบเทียบกันต้วยการบอกไม่ใต้ www.kalyanamitra.org

กฎแฟงกรรม ะ ©arc ภิกษุทั้งหลาย ษุเษพึงโยนแอกที่มีรูเดียวลงไปในมหาสมุทร ลมทางทิศตะวันออกพัด แอกนั้นไปทางทิศตะวันตก ลมทางทิศตะวันตกพัดแอกนั้นไปทางทิศตะวันออก ลมทางทิศเหนือ พัดแอกนั้นไปทางทิศใต้ ลมทางทิศใต้พัดแอกนั้นใปทางทิศเหนือ ในมหาสมุทรนั้น มีเต่าตาบอด อยู่ตัวหนั้ง ผ่านไป ๑๐๐ปี มันจะโผล่ขึ้นมาครั้งหนึ๋ง เธอทั้งหลายเข้าใจความข้อนั้นว่าอย่างไร คือ เต่าตาบอดนั้นพึงสอดคอเข้าไปในแอกที่มีรูเดียวโน้นไต้บ้างไหม\" \"ไม่ไต้ พระพุทธเจ้าข้า แต่ถ้าเวลาล่วงเลยไปนาน ๆ บางครั้งบางคราวมันก็จะสอดเข้าไป ในแอกนั้นไต้บ้าง พระพุทธเจ้าข้า\" พระ^พระภาคตรัสว่า \"ภิกษุทังหลาย เต่าตาบอดนั้นพึงสอดคอเข้าไปในแอกที่มีรูเดียว โน้นยังเร็วกว่า เรากล่าวว่าการที่คนพาล^ปสู่วินิบาตคราวเดียวจะพึงไต้เป็นมนุษย์อีกยากกว่า ,rน ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะในวินิบาตนัน ไม่มีการประพฤติธรรม ไม่มีการประพฤติชอบ ไม่มีการทำกุศล ไม่มี การทำบุญ ในวินิบาตนั้น มีแต่สัตว์ผู้เคี้ยวภินกันเอง เคี้ยวกินสัตว์^กำลังน้อยกว่า คนพาลนัน เพราะเวลาล่วงเลยมานาน ในบางครั้งบางคราวถ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ ก็จะเกิด ในตระกุลตำ คือ ตระกุลคนจัณฑาล ตระกุลนายพราน ตระกุลช่างสาน ตระกุลช่างรถ หรือ ตระกุลคนขนขยะเช่นนัน ที่เป็นตระกุลยากจน มีข้าว นั้า และสึ๋งของเครื่องใช้น้อย เป็นไปอย่าง แดเคือง เป็นแหล่งที่หาของกินและเครื่องนุ่งห่มไต้ยาก และคนพาลนั้นมีผิวพรรณหม่นหมอง ไม่ น่าลู ตำเตีย มีความเจ็บป่วยมาก ตาบอด เป็นง่อย เป็นคนกระจอก หรือเป็นโรคอัมพาต มักไม่ไต้ ข้าว นำ ผ้า ยานดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่พัก และเครื่องประทีป เขายังประพฤติ กายทุจริต ประพฤติวจีทุจริต ประพฤติมโนทุจริต หลังจากตายแล้ว จะไปเกิดในอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ภิกษุทังหลาย เปรียบเหมือนนักเลงการพนัน เพราะความพ่ายแพ้ครั้งแรกเท่านั้น จึงเสืย ลูก เสียเมีย เสียทรัพย์สมปติทุกอย่าง และถึงการจองจำ ที่เป็นการสูญเสียอย่างยึ๋ง ความพ่ายแพ้ ของนักเลงการพนันผู้เสียลูก เสียเมีย เสียทรัพย์สมปติทุกอย่าง และถึงการจองจำเพราะความพ่าย แพ้ครังแรกนัน เป็นเพียงเล็กน้อยแบ้ฉันใด ความพ่ายแพ้ของคนพาลผู้ประพฤติกายทุจริต www.kalyanamitra.org

กฎแฟงกรรม : ๑๕๕ ประพฤติวจีทุจริต ประพฤติมโนทุจริต หลังจากตายแล้ว จะไปเกิดในอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ฉันใเนเหมือนกัน นี้เป็นคูมิฃองคนพาลที่คนพาลบำเพ็ญไว้ทั้งสิ้น กิกทุทั้งหลาย ลักษณะของบัณฑิต เครื่องหมายของบัณฑิต ความประพฤติไม่ขาดสายของ บัณฑิต ๓ ประการนี้ ลักษณะของบัณฑิต ๓ ประการ อะไรบัาง คือ บัณฑิตในโลกนี้ ๑) ชอบคิดแต่เรื่องดี ๒)ชอบพูดแต่เรื่องดี ๓)ชอบทำแต่กรรมดี ล้าบัณฑิตไม่ชอบคิดเรื่องดี ไม่ชอบพูดเรื่องดี และไม่ชอบทำกรรมดีเช่นนั้น บัณฑิต ทั้งหลายจะพึงรู้จักเขาด้วยเหตุไรว่า 'ผู้นี้เป็นบัณฑิต เป็นคนดี' แต่เพราะบัณฑิตชอบคิดแต่เรื่องดี ชอบพูดแต่เรื่องดี และชอบทำแต่กรรมดี ฉะนั้นบัณฑิตทั้งหลายจึงรู้จักเขาว่า 'ผู้นี้เป็นบัณฑิต เป็นคนดี' บัณฑิตนั้นย่อมเสวยสุขโสมนัส ๓ ประการในป็จชุบันภิกษุทั้งหลาย ล้าบัณฑิตนั่งในสภา ก็ดี ในตรอกก็ดี ริมทางสามแพร่งก็ดี ล้าชนในที่ทั้นพูดถ้อยคำที่สมควรแก่ธรรมนั้นแก่เขา ล้า บัณฑิตเป็นผู้เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ เป็นผู้เว้นขาดจากการลักทรัพย์ เป็นผู้เว้นขาดจากการ ประพฤติผิดในกาม เป็นผู้เว้นขาดจากการพูดเท็จ เป็นผู้เว้นขาดจากการเสพของมึนเมาคือสุรา และเมรัยอันเป็นเหตุแห่งความประมาท ในเรื่องทั้น บัณฑิตจะมีความรู้สึกอย่างนี้ว่า 'ข้อที่ชนพูด ถ้อยคำที่สมควรแก่ธรรมนั้น ธรรมเหล่านั้นมีอยู่ในเรา และเราก็ปรากฏในธรรมเหล่านั้น' ภิกษุทั้งหลาย บัณฑิตย่อมเสวยสุขโสมนัสประการที่ ๑ นี้ในบํจจุบัน อีกประการหนี้ง บัณฑิตเห็นพระราชาทั้งหลายรับสั่งให้จับโจรผู้ประพฤติผิดมาลงอาญา ด้วยประการต่าง ๆ คือ ให้เฆี่ยนด้วยแล้ห้าง ให้เฆี่ยนด้วยหวายบ้าง ให้ดีด้วยไม้พลองบ้าง ตัดมือ บ้าง ตัดเท้าบ้าง ตัดทั้งมือและเท้าบ้างตัดใบหูบ้าง ตัดจหูกบ้าง ตัดทั้งใบหูและจหูกบ้าง วางก้อน เหล็กแดงบนศีรษะบ้าง ถลกหนังศีรษะแล้วขัดให้ขาวเหมือนสังข์บ้าง เอาไฟยัดปากจนเลือดไหล เหมือนปากราหูบ้าง เอาผ้าพันตัวราดนํ้ามันแล้วจุดไฟเผาบ้าง พันมือแล้วจุดไฟต่างคบบ้าง ถลก www.kalyanamitra.org

กฎแฟงกรรม ะ ๑(ร:๖ หนังตั้งแต่คอถึงข้อเท้า ให้ลุกเดินเหยียบหนังจนล้มลงบ้าง ถลกหนังตั้งแต่คอถึงบั้นเอว ทำ ให้ มองดูเหมือนนุ่งผ้าคากรองบ้างสวมปลอกเหล็กที่ข้อศอกและเข่าแล้วเสียบหลาวทั้ง ๕ ทิศเอาไฟ เผาบ้าง ใช้เบ็ดเกี่ยวหนัง เนื้อ เอ็นออกมาบ้าง เฉือนเนื้อออกเป็นแว่น ๆ เหมือนเหรียญกษาปณ์ บ้าง เฉือนหนัง เนื้อ เอ็นออกเหลือไว้แต่กระดูกบ้าง ใช้หลาวแทงช่องชุให้ทะลุถึงกันบ้าง เสียบ ให้ติดดินแล้วจับเขาหบุนได้รอบบ้าง ทุบกระดูกให้แหลกแล้วถลกหนังออกเหลือไว้แต่กองเนื้อ เหมือนตั้งใบไม้บ้าง รดตัวด้วยนํ้ามันที่กำลังเดือดพล่านบ้าง ให้ลุ[นัขกัดกินจนเหลือแต่กระดูก บ้าง ให้นอนบนหลาวทั้งเป็นบ้าง ตัดศีรษะออกด้วยดาบบ้วง ในขณะที่เห็นบั้น บัณฑิตจะมีความรู้สึกอย่างนี้ว่า 'เพราะเหตุแห่งบาปกรรมเช่นไร พระราชาทั้งหลายจึงรับสั่งให้จับโจรผู้ประพฤติผิดมาแล้วลงอาญาด้วยประการต่าง ๆ คือ ให้ เฆี่ยนด้วยแล้บ้าง ให้เฆี่ยนด้วยหวายบ้าง ให้ตีด้วยไม้พลองบ้างตัดมือบ้าง ตัดเท้าบ้าง ตัดทั้งมือ และเท้าบ้าง ตัดใบชุบ้าง ตัดจมูกบ้าง ตัดทั้งใบชุและจมูกบ้าง วางก้อนเหล็กแดงบนศีรษะบ้าง ถลกหนังศีรษะแล้วขัดให้ขาวเหมือนสังข์บ้าง เอาไฟยัดปากจนเลือดไหลเหมือนปากราชุบ้าง เอา ผ้าพันตัวราดนํ้ามันแล้วชุดไฟเผาบ้าง พันมือแล้วชุดไฟต่างคบบ้าง ถลกหนังตั้งแต่คอถึงข้อเท้าให้ ลุกเดินเหยียบหนังจนล้มลงบ้าง ถลกหนังตังแต่คอถึงบั้นเอว ทำ ให้มองดูเหมือนนุ่งผ้าคากรอง บ้าง สวมปลอกเหล็กที่ข้อศอกและเข่าแล้วเสียบหลาวทั้ง ๕ ทิศ เอาไฟเผาบ้าง ใช้เบ็ดเกี่ยวหนัง เนื้อ เอ็นออกมาบ้าง เฉือนเมือออกเป็นแว่น ๆ เหมือนเหรียญกษาปณ์บ้าง เฉือนหนัง เนื้อ เอ็น ออกเหลือไว้แต่กระดูกบ้าง ใช้หลาวแทงช่องชุให้ทะลุถึงกันบ้าง เสียบให้ติดดินแล้วจับเขาหมุน ได้รอบบ้าง ทุบกระดูกให้แหลกแล้วถลกหนังออกเหลือไว้แต่กองเนื้อเหมือนตั้งใบไม้บ้าง รดตัว ด้วยนํ้ามันที่กำลังเดือดพล่านบ้าง ให้ลุ[นัขกัดกินจนเหลือแต่กระดูกบ้าง ให้นอนบนหลาวทั้งเป็น บ้าง ตัดศีรษะออกด้วยดาบบ้าง ก็ธรรมเหล่านันไม่มีในเรา และเราก็ไม่ปรากฎในธรรมเหล่านั้น กิกทุทั้งหลาย บัณฑิตย่อมเสวยธุ[ขโสมนัสประการที่ ๒ นี้ในบัจชุบัน อีกประการหนื้ง ในสมัยนั้น กรรมตีที่บัณฑิตทำ คือ การประพฤติกายสุจริต การประพฤติ วจีสุจริต การประพฤติมโนสุจริตไว้ในกาลก่อน ย่อมคุ้มครอง บ้องกันบัณฑิตผู้อยู่บนตั้ง บนเตียง หรือนอนบนพื้น เปรียบเหมือนเงาของยอดภูเขาใหญ่ ย่อมบดบัง ครอบคลุมแผ่นดินใหญ่ในเวลาเย็น แม้ ฉันใด กรรมดีที่บัณฑิตทำ คือ การประพฤติกายสุจริต การประพฤติวจีสุจริต การประพฤติมโน www.kalyanamitra.org

กฎแฟงกรรม ะ ๑(ร:๗ สุจริตไวในกาลก่อน ก็ฉันใเนเหมือนกัน ย่อมคุ้มครอง ฟ้องกันบัณฑิตผู้อย่บนตั่ง บนเตียง หรือ นอนบนพื้นดินในสมัยนั้น ในเรื่องนั้น บัณฑิตมีความคิดอย่างนี้ว่า 'เราใม่ใต้ทำความชั่วใว่'หนอ ใม่ใต้ทำกรรม หยาบช้าใว้ ใม่ใต้ทำกรรมเศร้าหมองใว้ เราทำแต่ความดี ทำ แต่กุศลทำแต่ที่ฟ้องกันสึ๋งน่ากลัวใว้ เราตายแล้วจะใปสู่คติของผู้ใม่ใต้ทำความชั่วใว้ ใม่ใต้ทำกรรมหยาบช้าใว้ ใม่ใต้ทำกรรมเศร้า หมองใว้ทำแต่ความตี ทำ แต่กุศล ทำ แต่ที่ฟ้องกันสิ่งน่ากลัวใว้' เขาย่อมใม่เศร้าโศก ใม่ลำบากใจ ใม่ราใร ใม่ทุบอกคราครวญใม่ถึงความหลงใหล ภิกยุทั้งหลาย บัณฑิตย่อมเสวยสุขโสมนัสประการที่ ๓ นี้ในฟ้จจุบัน ภิกษุทั้งหลาย บัณฑิตนั้นยังประพฤติกายสุจริต ประพฤติวจีสุจริต ประพฤติมโนสุจริต หลังจากตายแล้ว จะใปเกิดในสุคติโลกสวรรค์ บุคคลเมื่อจะกล่าวให้ถูกต้อง พึงกล่าวถึงสวรรค์ นั่นแหละว่า 'เป็นสถานที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจโดยส่วนเดียว' ภิกษุทั้งหลาย แม้การ เปรียบเทียบว่าสวรรค์เป็นสุขก็ใม่ใช่ทำใต้ง่าย\" เมื่อพระ^พระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว ภิกษุรูปหนงใต้กราบพูลพระผู้มีพระภาคว่า \"ช้าแต่ พระองค์ผู้เจริญ พระองค์ทรงอุปมาใดอกหรือใม่\" พระ^พระภาคตรัสว่า \"ใต้ ภิกษุ\" แล้วตรัสว่า \"เปรียบเหมือนพระเจ้าจักรพรรติทรงเป็น ผู้สมบูรลใต้วยแก้ว ๗ ประการ และฤทธึ๋ (ความสำเร็จ) ๔ ประการเพราะความสมบูรลใต้วยแต้ว ๗ ประการ และฤทธึ้๔ ประการนั้นเป็นเหตุ พระเจ้าจักรพรรตินั้นจึงเสวยสุขโสมนัส พระเจ้าจักรพรรติทรงเป็นผู้สมบูรลใต้วยแต้ว ๗ ประการ เป็นอย่างใร คือ จักรแก้วอันเป็นทิพย์มีกำ ๑,000 ซี่ มีกง มีตุม และส่วนประกอบครบทุกอย่าง ย่อม ปรากฏแก่กษัตราธิราชในโลกนี้ผู้ทรงใต้รับบูรธาภิเษกแล้ว ทรงสนานพระเศียร ในวันอุโบสถ ๑๕ คา รักษาอุโบสถ ประทับอยู่ชั้นบนปราสาทหลังงาม กษัตราธิราชผู้ทรงใต้รับบูรธาภิเษกแล้ว ครั้นทอดพระเนตรแล้วใต้มีพระราชดำริว่า 'เราใต้พึงเรื่องนี้มาว่า จักรแก้วอันเป็นทิพย์มีกำ ๑,000 ซี่ มีกงมีตุม และส่วนประกอบครบทุกอย่าง ย่อมปรากฎแก่กษัตราธิราชพระองค์ใดผู้ทรง ใต้รับบูรธาภิเษกแล้ว ทรงสนานพระเศียร ในวันอุโบสถ ๑๕ คร รักษาอุโบสถประทับอยู่ชั้นบน ปราสาทหลังงาม กษัตราธิราชพระองค์นั้นย่อมเป็นพระเจ้าจักรพรรติ เราเป็นพระเจ้าจักรพรรติ กระมัง' www.kalyanamitra.org

กฎแฟงกรรม ลำ ดับใ4น กษัตราธิราชผู้ไดัรับมูรธาภิเษกแล้วทรงลุกจากที่ประทับ พระหัตถ์เบื้องซ้าย ทรงจับพระภิงคาร (พระนํ้าเต้า) พระหัตถ์เบื้องขวาทรงชูจักรแล้ว ขึ้นตรัสว่า 'จักรแก้วอัน ประเสริฐจงหมูนไป จงไต้ชัยชนะอันยึ๋งใหญ่' ทันใดนั้นจักรแก้วนั้นก็หมูนไปทางทิศตะวันออก พระเจ้าจักรพรรดิพร้อมต้วยจตุรงคินีเสนา ก็เสด็จตามไปเสด็จเข้าพักแรมพร้อมต้วยจตุรงคินี- เสนาในประเทศที่จักรแก้วหยุดอยู่ พระราชาทั้งหลายที่เป็นปฏิปักษ์ในทิศตะวันออกพากันเสด็จ มาเก้า แล้วกราบพูลอย่างนี้ว่า 'ขอเดชะ มหาราชเจ้า พระองค์โปรดเสด็จมาเถิด ขอรับเสด็จ พระองค์ราชสมปติของหม่อมฉันเป็นของพระองค์โปรดประทานพระราโชวาทเถิด พระเจ้าข้า' พระเจ้าจักรพรรดิรับสั่งอย่างนี้ว่า 'ท่านทั้งหลายไม่พึงฆ่าสัตว์ ไม่พึงสักทรัพย์ ไม่พึง ประพฤติผิดในกาม ไม่พึงพูดเท็จ ไม่พึงดื่มนั้าเมา และท่านทั้งหลายจงครองราชสมปติไป ตามเดิมเถิด' พระราชาทั้งหลายที่เป็นปฏิปักษ์ในทิศตะวันออกเหล่านั้น ไต้กลายเป็นผู้สนับสมูน พระเจ้าจักรพรรดิแล้ว ภิกษุทั้งหลาย จากนั้น จักรแก้วก็หมูนไปจรดมหาสมูทรต้านทิศตะวันออก แล้วหมูน กสับไปต้านทิศใต้ ฯลฯ หมูนไปจรดมหาสมูทรต้านทิศใต้แล้ว หมูนกสับไปต้านทิศตะวันตก ฯลฯ หมูนไปจรดมหาสมูทรต้านทิศตะวันตกแล้ว หมูนกสับไปต้านทิศเหนือ เสด็จเข้าพักแรม พร้อมต้วยจตุรงคินีเสนา ในประเทศที่จักรแก้วหยุดอยู่ พระราชาทังหลายที่เป็นปฏิปักษ์ในทิศเหนือพากันเสด็จมาเก้า แล้วกราบทูลอย่างนี้ว่า 'ขอเดชะ มหาราชเจ้า พระองค์โปรดเสด็จมาเถิด ขอรับเสด็จ ราชสมปติของหม่อมฉันเป็นของ พระองค์ โปรดประทานพระราโชวาทเถิด พระเจ้าข้า'พระเจ้าจักรพรรดิรับสั่งอย่างนี้ว่า 'ท่านทั้งหลายไม่พึงฆ่าสัตว์ ไม่พึงสักทรัพย์ ไม่พึงประพฤติผิดในกาม ไม่พึงพูดเท็จ ไม่พึงดื่มนั้าเมา และท่านทั้งหลายจงปกครองบ้านเมือง ไปตามเดิมเถิด' พระราชาทั้งหลายที่เป็นปฏิปักษ์ในทิศเหนือเหล่านั้น ไต้กลายเป็นผู้สนับสมูน พระเจ้าจักรพรรดิแล้ว ๑)ครั้งนั้น จักรแก้วนั้นไต้ปราบปรามแผ่นดิน มีมหาสมูทรเป็นขอบเขตอย่างราบ คาบ เสร็จแล้วหมูนกสับราชธานีนั้น ประดิษฐานอยู่เสมือนลิ่มสสักที่พระทวารภายใน พระราชวังของพระเจ้าจักรพรรดิ ทำ พระทวารภายในพระราชวังของพระเจ้าจักรพรรดิ ให้สว่างไสวภิกษุทั้งหลาย จักรแก้วเห็นปานนี้ ปรากฎแก่พระเจ้าจักรพรรดิ www.kalyanamitra.org

กฎแฟงกรรม ะ ๑&'๙ ๒)อีกประการหนึ๋ง ช้างแก้ว ชงเป็นช้างเผือก เป็นที่พื้งของเหล่าสัตว์มีฤทธื้ เหาะ ไปในอากาศได้ เป็นพญาช้างตระถูลอุโบสถ ย่อมปรากฏแก่พระเจ้าจักรพรรดิ พระเจ้า จักรพรรดิครั้นทอดพระเนตรเห็นช้างนั้น จึงมีพระทัยโปรดปรานว่า\"ท่านผู้เจริญ พาหนะ คือช้างนี้ก้าได้นำไปแก ก็จะเป็นสัตว์ที่เป็นมงคลแน่แท้\" จากนั้นช้างแก้วนั้นจึงได้รับการ แกหัดเหมือนช้างอาชาไนยตัวเจริญ ซึ๋งได้รับการแกหัดดีแล้วตลอดกาลนาน ภิกชุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาว่า พระเจ้าจักรพรรดิเมื่อจะทรงทดสอบช้างแก้วนั้น จึงเสด็จ ขึ้นทรงในเวลาเช้า แล้วเสด็จเลียบไปตลอดแผ่นดินอันมีมหาสมุทรเป็นขอบเขต แล้วเสด็จ กสับมาราชธานีนั้นตังเดิม ท้นเสวยพระกระยาหารเช้า ช้างแก้วเห็นปานนี้ปรากฏแก่พระเจ้า- จักรพรรดิ ๓)อีกประการหมื่ง ม้าแก้ว ซื้งเป็นม้าขาว ศีรษะดำ มีขนปกลุจหญ้าปล้อง มีฤทธ เหาะไป ในอากาศได้ ชื่อพญาม้าวลาหกย่อมปรากฏแก่พระเจ้าจักรพรรดิ พระเจ้าจักรพรรดิครั้น ทอดพระเนตรเห็นม้าแก้วนั้น จึงมีพระทัยโปรดปรานว่า 'ท่านผู้เจริญพาหนะคือม้านี้ล้าได้น่าไป แกก็จะเป็นสัตว์ที่เป็นมงคลแน่แท้' จากนั้น ม้าแก้วนั้นจึงได้รับการแกหัดเหมือนม้าอาชาไนยตัว เจริญชงได้รับการแกหัดดีแล้วตลอดกาลนาน ภิกมุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาว่า พระเจ้าจักรพรรดิเมื่อจะทรงทดสอบม้าแก้วนั้น จึงเสด็จขึ้น ทรงในเวลาเช้า แล้วเสด็จเลียบไปตลอดแผ่นดินอันมีมหาสมุทรเป็นขอบเขต แล้วเสด็จกลับมา ราชธานีนั้นตังเดิม ทันเสวยพระกระยาหารเช้า ม้าแก้วเห็นปานนี้ปรากฏแก่พระเจ้าจักรพรรดิ ๔)อีกประการหมื่ง มณีแก้วปรากฏแก่พระเจ้าจักรพรรดิ คือมณีแก้วนั้นเป็นแก้วไพชุรย์ งามบริสุทธตามธรรมชาติ สุกใสเป็นประกายได้สัดส่วน มีแปดเหลี่ยม เจียระไนไว่ดแล้ว รัศมี แห่งมณีแก้วนั้นแผ่ซ่านออกไปรอบ ๆ ประมาณ ๑ โยชน์ ภิกมุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาว่า พระเจ้าจักรพรรดิเมื่อจะทรงทดสอบมณีแก้วนั้น ทรงให้ หมู่จตุรงคินีเสนาผูกสอดเกราะแล้วทรงยกมณีแก้วนั้นเป็นยอดธง เสด็จไปประทับยืนในที่มืด ยามราตรี เพราะแสงสว่างนั้น ชาวบ้านที่อาศัยอยู่โดยรอบสำคัญว่าเป็นเวลากลางวัน จึงพาคัน ประกอบการงาน มณีแก้วเห็นปานนี้ปรากฏแก่พระเจ้าจักรพรรดิ ๕)อีกประการหมื่ง นางแก้วปรากฏแก่พระเจ้าจักรพรรดิ คือนางแก้วนั้นเป็นสตรีรูปงาม น่าลู น่าเลื่อมใส มีผิวพรรณผุดผ่องยิ่งนัก ไม่สุงเกินไป ไม่เตี้ยเกินไป ไม่ผอมเกินไป ไม่อ้วน www.kalyanamitra.org

กฎแฟงกรรม * Q^0 เกินไป ไม่ดำเกินไป ไม่ขาวเกินไป งดงามเกินผิวพรรณของหญิงมนุษย์ แต่ไม่ถึงผิวพรรณทิพย์ กายของนางแก้วนั้นมีสัมผัสอ่อนนุ่มลุจ1jยนุ่นหรือijยสืาย มีร่างกายอบอุ่นในฤดูหนาว เย็นในฤดู ร้อน มีกลิ่นจันทน์หอมใเงออกจากกาย กลิ่นคอกอุบลฟังออกจากปากของนาง นางแก้วนั้นมีปกติ ตื่นก่อนนอนทีหลัง คอยฟังว่าจะรับสั่งให้ทำอะไรประพฤติต้องพระทัย พูลแต่คำไพเราะต่อพระ- เจ้าจักรพรรติ และนางแก้วนั้นจะไม่ประพฤตินอกพระทัยพระเจ้าจักรพรรติ ไฉนเล่าจะประพฤติ ล่วงเกินทางกายไต้นางแก้วเห็นปานนี้ปรากฎแก่พระเจ้าจักรพรรดิ ๖)อีกประการหนี้ง คหบดีแก้วปรากฎแก่พระเจ้าจักรพรรติ คือ คหบดีแก้วนั้นเป็นผูม ตาทิพย์ อันเกิดแต่ผลกรรม ซึ๋งสามารถเห็นๆมทรัพย์ทั้งที่มีเจ้าของและไม่มีเจ้าของ เขาเข้าเสืา พระเจ้าจักรพรรติแล้วกราบพูลอย่างนี้ว่า 'ขอเดชะ ขอพระองค์โปรดทรงเป็นผู้ขวนขวายน้อยเถิด ข้าพระองค์จักทำหน้าที่การคลัง ให้พระองค์' ภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาว่า พระเจ้าจักรพรรติเมื่อจะทรงทดสอบคหบดีแก้วนั้น จึง เสด็จลงเรือลัดกระแสนั้าไปกลางแม่นั้าคงคา แล้วไต้รับสั่งกับคหบดีแก้วว่า 'คหบดี ฉันต้องการ เงินและทอง' คหบดีแก้วจึงกราบดูลว่า 'ข้าแต่มหาราช ล้าเช่นนั้นโปรดให้เทียบเรือเข้าฝังข้าง หนี้งเถิด' พระเจ้าจักรพรรดิ ตรัสว่า 'คหบดี ฉันต้องการเงินและทองตรงนี้แหละ' ทันใดนั้น คหบดีแก้วนั้นจึงเอามือทั้งสองหย่อนลงในนั้า ยกหม้อที่เต็มด้วยเงินและทองขึ้นมา แล้วกราบ'ดูล พระเจ้าจักรพรรติว่า 'เท่านีพอหรือยังมหาราช เท่านีใช่ไต้หรือยัง มหาราช เท่านี้พอบูชาแล้วหรือ ยังมหาราช' พระเจ้าจักรพรรดิจึงตรัสอย่างนีว่า 'คหบดี เท่านี้พอแล้ว เท่านี้ใช้ไต้แล้ว เท่านี้ชื่อว่า บูชาแล้ว'คหบดีแก้วเห็นปานนี้ปรากฎแก่พระเจ้าจักรพรรติ ๗) อีกประการหนี้ง ปริณายกแก้วปรากฎแก่พระเจ้าจักรพรรติ คือปริณายกแก้วนั้นเป็น บัณฑิต มีปรีชา สามารถถวายข้อแนะนำให้พระเจ้าจักรพรรดิทรงบำเงผู้ที่ควรบำเง ถอดถอนผู้ที่ ควรถอดถอน ทรงแต่งตั้งผู้ที่ควรแต่งตั้ง เข้าเฝัาพระเจ้าจักรพรรดิแล้วกราบทูลอย่างนี้ว่า 'ขอ เดชะ ขอพระองค์โปรดทรงเป็นผู้ขวนขวายน้อยเถิด ข้าพระองค์จักถวายคำปรึกษา' ปริณายกแก้ว เห็นปานนี้ปรากฎแก่พระเจ้าจักรพรรติ ภิกษุทั้งหลาย พระเจ้าจักรพรรดิทรงเป็นผู้สมบูรณ็'ด้วยแก้ว ๗ ประการนี้ www.kalyanamitra.org

กฎแฟงกรรม ะ ๑๖๑ พระเจ้าจักรพรรดิทรงเป็นผู้สมรณ์ด้วยฤทธึ๋ ๔ ประการ เป็นอย่างไรคือพระเจ้า- จักรพรรดิในโลกนี้ มีพระรูปงดงาม น่าดู น่าเลื่อมใส มีพระฉวีผุดผ่องยึ๋งนักเกินกว่ามนุษย์เหล่า อื่น พระเจ้าจักรพรรดิทรงเป็นผู้สมนุรณ์ด้วยฤทธ นี้เปีนประการที่ ๑ - อีกประการหนี้ง พระเจ้าจักรพรรดิมีพระชนมายุยืน ทรงดำรงอยู่ในราชสมบดินานเกิน กว่ามนุษย์เหล่าอื่น พระเจ้าจักรพรรดิทรงเป็นผู้สมนุรณ์ด้วยฤทธื้ นี้เปีนประการที่ ๒ อีกประการหนี้ง พระเจ้าจักรพรรดิมีพระโรคาพาธน้อย มีโรคเบาบางประกอบด้วยไฟ ธาตุสำหรับย่อยอาหารสมรเสมอ ไม่เย็นจัด ไม่ร้อนจัด เกินกว่ามนุษย์เหล่าอื่น พระเจ้าจักรพรรดิ ทรงเป็นผู้สมนุรณ์ด้วยฤทธ นี้เปีนประการที่ ๓ อีกประการหนี้ง พระเจ้าจักรพรรดิทรงเป็นที่รัก เป็นที่ชอบใจ ของพราหมณ์และคหบดี ทั้งหลาย เปรียบเหมือนบิดาเป็นที่รักเป็นที่ชอบใจของบุตรแม้ฉันใด พระจักรพรรดิก็ฉันนั้น เหมือนกัน ทรงเป็นที่รัก เป็นที่ชอบใจของพราหมณ์และคหบดีทั้งหลาย อนี้ง พราหมณ์และคหบดีทั้งหลาย เป็นที่โปรดปราน เป็นที่พอพระทัยแม้ของพระเจ้า- จักรพรรดิ เปรียบเหมือนบุตรเป็นที่รัก เป็นที่ชอบใจของบิดา แม้ฉันใด พราหมณ์และคหบดี ทั้งหลายก็ฉันนั้นเหมือนกัน ก็เป็นที่โปรดปราน เป็นที่พอพระทัยแม้ของพระเจ้าจักรพรรดิ ภิกบุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาว่า พระเจ้าจักรพรรดิพร้อมด้วยจตุรงคินีเสนาเสด็จประพาส พระราชอุทยาน ครั้งนั้น พราหมณ์และคหบดีพากันเข้าเด้าพระเจ้าจักรพรรดิ แล้วกราบ'ดูลอย่างนี ว่า 'ขอเดชะ มหาราชเจ้า ขอพระองค์อย่าด่วนเสด็จไป โปรดเสด็จโดยอาการที่ข้าพระองค์ ทั้งหลายได้ชมพระบารมีนาน ๆ เถิด' แม้พระเจ้าจักรพรรดิได้รับสั่งเรียกนายสารถีมาตรัสว่า 'แน่ะพ่อสารถี ท่านจงค่อย ๆ ขับไปโดยอาการที่ฉันจะ'พึงเยี่ยมพราหมณ์และคหบดีได้นาน ๆ เกิด'พระเจ้าจักรพรรดิทรงเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยฤทธ หี้เปีนประการที่ ๔ ภิกบุทั้งหลาย พระเจ้าจักรพรรดิทรงเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยฤทธ ๔ ประการนี เธอทั้งหลายเข้าใจความข้อนั้นว่าอย่างไร คือ พระเจ้าจักรพรรดิทรงเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยแล้ว ๗ ประการ และฤทธิ้ ๔ ประการนี้ พึง เสวยธุ[ขโสมนัสอันมีความสมบูรณ์ด้วยแล้ว ๗ ประการ และฤทธี้ ๔ ประการนั้นเป็นเหตุบ้าง www.kalyanamitra.org

กฎแฟงกรรม ะ ๑๖๒ ภิกชุเหล่าใfนกราบทูลว่า \"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระเจ้าจักรพรรดิทรงเป็นผู้สมบูรณ์ด้วย แด้วแม้ประการเดียว ยังเสวยธุ[ขโสมนัสที่เกิดเพราะแก้วแม้ประการเดียวใเนเป็นเหตุได้ ไม่ จำ เป็นด้องกล่าวถึงแก้ว ๗ ประการ และฤทธี้๔ ประการเลยพระพุทธเจ้าข้า\" ครั้งใาน พระ^พระภาคทรงหยิบก้อนหินขนาดย่อม ๆ เท่าฝ่าพระหัตถ์ขึ้นมาแล้วตรัส ถามภิกษุ'ทั้งหลายว่า \"ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายเข้าใจความข้อนั้นว่าอย่างไร คือก้อนหินขนาด ย่อม ๆ เท่าฝ่ามือที่เราถืออยู่นี้กับทเนเขาหิมพานค์อย่างไหนใหญ่กว่ากัน\" \"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก้อนหินขนาดย่อม ๆ เท่าฝ่าพระหัตถ์ที่พระองค์ทรงถืออยู่นี้ มี ประมาณน้อยนัก เปรียบเทียบกับขุนเขาหิมพานต์แล้ว ไม่ถึงการนับไม่ถึงแม้ส่วนแห่งเสี้ยว ไม่ ถึงแม้การเทียบกันได้เลย พระพุทธเจ้าข้า\" \"ภิกษุทังหลาย ฉันนั้นเหมือนกัน ธุ[ขโสมนัสที่พระเจ้าจักรพรรดิทรงเป็นผู้สมบูรณ์ด้วย แก้ว ๗ ประการ และฤทธิ้ ๔ ประการ ทรงเสวยลุ[ขโสมนัสอันมีความสมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการและฤทธ ๔ ประการนั้นเป็นเหตุ เปรียบเทียบกับลุ[ขที่เป็นทิพย์แล้ว ไม่ถึงการนับ ไม่ ถึงแม้ส่วนแห่งเสี้ยว ไม่ถึงแม้การเทียบกันได้เลย บัณฑิตนัน เพราะเวลาล่วงเลยมานาน ในบางครั้งบางคราวล้ามาเกิดเป็นมนุษย์ ก็จะเกิด ในตระกูลสูง คือ ตระกูลขัตดิยมหาศาล'ตระกูลพราหมณมหาศาล หรือตระกูลคหบดีมหาศาล เ'หนปานนัน อันเป็นตระกูลมั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก มีทองและเงินมาก มีเครื่องใช้ที่น่า ปลืมใจมาก มีทรัพย์และธัญชาติมาก และบัณฑิตนั้นเป็นผู้มรูปงาม น่าลู น่าเลื่อมใส มีผิวพรรณ ตุตผ่องยิ่งนัก มีปกติได้ข้าว นั้า ผ้า ยาน ตอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่พัก และเครื่อง ประทีป เขาจึงประพฤติกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต หลังจากตายแล้ว จึงไปเกิดในสุคติโลก สวรรค์ ภิกษุทังหลาย เปรียบเหมือนนักเลงการพนัน ได้รับโภคสมบิตมากมาย ความชนะของ นักเลงการพนันผู้ได้รับโภคสมบิติมากเพราะความชนะครั้งแรกนั้นเป็นเพียงเล็กน้อย โดยที่แท้ ความชนะของบัณฑิตผู้ประพฤติกายสุจริต ประพฤติวจีสุจริต ประพฤติมโนสุจริต หลังจากตาย มหาศาล หมายถึงผูมีทรัพย์มาก คือ ฃัตติยมหาศาลมีพระราชทรัพย์๑๐๐-๑,๐00 โกฏิ พราหมณมหาศาลมีทรัพย์๘๐ โกฏิ คหบดีมหาศาลมีทรัพย์๔๐ โกฏิ www.kalyanamitra.org

กฎแviงกรรม : ๑๖๓ แล้ว จะไปเกิดในลุ[คติโลกสวรรค์ เป็นความชนะที่ยึ๋งใหญ่กว่าใfน นี้เป็นภูมิของบัณฑิตที่บัณฑิต บำ เพ็ญไว้ทั้งสิ้น\" พระ^พระภาคได้ตรัสภาษิตนี้แล้ว ภิกชุเหล่านั้นมีใจยินดี ต่างชื่นชมพระภาษิตของ พระ^พระภาค ดังนี้แล พาลบัณฑิตสูตร จบ เรื่องหลักกรรมเป็นเรื่องที่มีความสลับซับซ้อนหากบุคคลใดไม่ได้มาสืกษาเรื่องหลัก กรรมก็ยากที่จะเข้าใจเหตุผลที่ได้ประสบในบัจจุบันได้ ชื่งพระสูตรที่จะกล่าวถึงลัดไปนี้ เป็นอีก พระสูตรหนี้งมีความสลับซับซ้อน ดังใน \"วณิชชสูตร\" กล่าวถึงการได้กำไร หรือขาดทุนของ พ่อค้านั้น ไม่ได้เกิดจากความผิดพลาดในการทำธุรกิจการค้าแต่อย่างเดียว หากเกิดจากการ ปวารณาต่อสมณพราหมณ์แล้วไม่ได้ทำตามที่บอกไว้มีรายละเอียด ดังนี้ วณิชชสูตร' ว่าด้วยเหตุให้การค้าขายขาดทุนหรือได้กำไร สมัยนั้น ท่านพระสารีบุตรเข้าเฝัาพระPพระภาคถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทแล้วนั่ง ณ ที่ สมควร ได้พูลถามพระPพระภาคดังนี้ว่า \"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไรเป็นเหตุเป็นบัจจัยให้บุคคลบางคนในโลกนี้ประกอบการ ค้าขายขาดทุน อะไรเป็นเหตุเป็นบัจจัยให้บุคคลบางคนในโลกนี้ประกอบการค้าขายไม่ได้กำไร ตามที่ประสงค์ อะไรเป็นเหตุเป็นบัจจัยให้บุคคลบางคนในโลกนี้ประกอบการค้าขายได้กำไร ตามที่ประสงค์ อะไรเป็นเหตุเป็นบัจจัยให้บุคคลบางคนในโลกนี้ประกอบการค้าขายได้กำไรยิ่ง กว่าที่ประสงค์\" พระ^พระภาคตรัสตอบว่า \"สารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้เข้าไปหาสมณะหรือ พราหมณ์ปวารณาว่า 'ท่านผู้เจริญ พระคุณเจ้าด้องการบัจจัย นิมนต์บอกเถิด' แต่เขากลับไม่ถวาย บัจจัยที่ปวารณาไว้ ล้าเขาเคลื่อนจากอัตภาพนั้นกลับมาสู่ความเป็นมนุษยิ่นี้ เขาประกอบการ ค้าขายใด ๆ ก็ย่อมขาดทุน 'พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต;เล่ม ๒๑ หนิ'า ๑๒๔ www.kalyanamitra.org

กฎแฟงกรรม ะ ๑๖(ร: บุคคลบางคนในโลกนี้เข้าไปหาสมณะหรือพราหมณ์ปวารณาว่า 'ท่านผู้เจริญ พระคุณเข้า ต้องการปัจจัย นิมนต์บอกเถิด' แต่เขาถวายปัจจัยที่ปวารณาไว่ไม่ตรงตามที่สมณะหรือพราหมณ์ ประสงค์ ถ้าเขาเคลื่อนจากอัตภาพนั้นมาสู่ความเป็นมนุษย์นี้ เขาจะประกอบการค้าขายใด ๆ ก็ ไม่ไต้กำไรตามที่ประสงค์ บุคคลบางคนในโลกนี้เข้าไปหาสมณะหรือพราหมณ์ปวารณาว่า 'ท่านผู้เจริญ พระคุณเข้า ต้องการปัจจัย นิมนต์บอกเถิด' เขาถวายปัจจัยที่ปวารณาไว้ตามที่สมณะหรือพราหมณ์ประสงค์ ถ้าเขาเคลื่อนจากอัตภาพนั้นมาสู่ความเป็นมนุษย์นี้ เขาจะประกอบการค้าขายใด ๆ ก็ไต้กำไร ตามที่ประสงค์ บุคคลบางคนในโลกนี้เข้าไปหาสมณะหรือพราหมณ์ปวารณาว่า'ท่านผู้เจริญพระคุณเข้า ต้องการปัจจัย นิมนต์บอกเถิด'เขาถวายปัจจัยที่ปวารณาไว่ยงกว่าที่สมณะหรือพราหมณ์ประสงค์ ถ้าเขาเคลื่อนจากอัตภาพนั้นมาสู่ความเป็นมนุษย์นี้ เขาจะประกอบการค้าขายใด ๆ ก็ไต้กำไรยิ่ง กว่าที่ประสงค์ สาริบุตร นีแลเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้บุคคลบางคนในโลกนี้ประกอบการค้าขายขาดทุน และไม่ไต้กำไรตามที่ประสงค์ นีแลเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้บุคคลบางคนในโลกนี้ประกอบการค้าขายไต้กำไรตามที่ ประสงค์ และไต้กำไรยิ่งกว่าที่ประสงค์\" วณิชชสตร จบ จาก \"วณิชชสูตร\" พอจะสรุปเหตุปัจจัยที่ทำให้พ่อค้า เมื่อค้าขายแล้วไต้กำไร หรือ ขาดทุน มี ๔ ลักษณะ ดังนี้ ; ประเภทที่ j สาเหตุ ผล ๑ ไม่ถวายสมณพราหมณ์ตามที่ปวารณาไว้ การค้าขาดทุน 1©? ถวายสมณพราหมณ์น้อยกว่าที่ปวารณาไว้ การค้าไม่ไต้กำไรเท่าที่ตั้งเปัาไว้ ๓ ถวายสมณพราหมณ์ตามที่ปวารณาไว้ การค้าไต้กำไรตามที่ตั้งเปัาไว้ d. ถวายสมณพราหมณ์มากกว่าที่ปวารณาไว้ การค้าไต้กำไรเกินที่ตั้งเปัาไว้ www.kalyanamitra.org

กฎแฟงกรรม : ๑๖&' จะเห็นได้ว่าเรื่องกรรมมีความสลับซับซ้อน แม้ค้าขายสึ๋งเดียวกัน แต่ก็ได้กำไรไม่เท่ากัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการทำตามที่ได้ปวารณาหรือไม่ มากน้อยแค่ไหน และปวารณากับบุคคลใดมีศีล มากน้อยเพียงใด ก็จะให้ผลที่แดกต่างกันออกไป ทำ ให้ได้ข้อคิดว่าการมีสัจจะเป็นสึ๋งที่มี ความสำคัญ ยิ่งการให้สัจจะกับสมณพราหมณ์^ศีล ยิ่งได้บุญมาก ทำ ให้ส่งผลถึงการค้าที่ได้ กำ ไร เพราะแม้จะมีเงินทุนมาก มีทีมงานที่มีประสิทธิภาพ มีความคิดความกล้าที่จะลงมือทำ แต่ ล้ามีบุญไม่ถึงก็ไม่อาจจะประสบความสำเร็จได้ ความซับซ้อนของการให้ผลกรรม เรื่องชีวิดและกรรม มีความสลับซับซ้อนมากดังพรรณนามา คนที่มองชีวิดและกรรมไม่ ดลอดสาย จึงไม่อาจเข้าใจชีวิดและกรรมอย่างแจ่มแจ้งโดยดลอดได้ แม้ผู้สมณพราหมณ์^ดา- ทิพย์ สามารถมองเห็นเรื่องกรรมและการให้ผลของกรรมได้ระดับหนึ๋ง ก็ยังเกิดความเข้าใจผิดใน เรื่องการให้ผลของกรรมได้เช่นกัน เพราะเห็นผู้ประกอบกรรมชั่วในปัจชุบันบางคนดายแล้วไป บังเกิดในสวรรค์ เห็นผู้ทำกรรมดีบางคนดายแล้วไปเกิดในนรก สมณพราหมณ์ผู้ไม่มีญาณที่ไกล กว่านั้นจึงไม่อาจเห็นกรรมและชีวิดดลอดสายได้ ส่วนผู้ที่มีญาณทั้งในอดีดและอนาคดไม่มีที่สิ้นลุ[ดเช่นพระสัมมาสัมทุทธเจ้าสามารถเห็น ชีวิดและกรรมได้ดลอดสาย ทรงสามารถดรัสจำแนกผลของกรรมที่ละเอียดได้อย่างถูกด้อง ดัง ใน\"มหากัมมวิกังคสดร\"มีรายละเอียด ดังนี้ มหากัมมวิภังคสูตร ว่าด้วยการจำแนกกรรม สูดรใหญ่ ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ สมัยหนี้ง พระ^พระภาคประทับอยู่ ณ พระเวฬุวัน สถานที่ให้เหยื่อกระแด เขดกรุง- ราชคฤห์ สมัยนั้นแล ท่านพระสมิทธิอยู่ในกระท่อมป่า ครั้งนั้นปริพาชกชื่อโปดสิบุดรเที่ยวเดิน เล่นอยู่ เข้าไปหาท่านพระสมิทธิถึงที่อยู่ แล้วได้สนทนาปราศรัยพอเป็นที่บันเทิงใจ พอเป็นที่ รร^ลึกถึงกันแล้ว นั่ง ณ ที่สมควรได้กล่าวกับท่านพระสมิทธิว่า www.kalyanamitra.org

กฎแฟงกรรม ะ ๑๖๖ \"ท่านพระสมิทธิ ข้าพเจ้าได้สดับรับมาเฉพาะพระพักตร์พระสมณโคดมว่า 'กายกรรมไม่ จริง วจีกรรมไม่จริง มโนกรรมเท่าใงั้นจริง' และว่า 'สมาบิติที่บุคคลเข้าแล้วไม่เสวยเวทนาอะไร ๆ นั้นก็มีอยู่' ท่านพระสมิทธิกล่าวว่า \"ท่านโปตลิบุตร ท่านอย่ากล่าวอย่างนี้ อย่ากล่าวลู่ พระผูน- พระภาค การกล่าวลู่พระผูมพระภาคไม่ดีเลย เพราะพระผูมพระภาคมิได้ตรัสไว้อย่างนี้ว่า 'กายกรรมไม่จริง วจีกรรมไม่จริง มโนกรรมเท่านั้นจริง' และว่า 'สมาบติที่บุคคลเข้าแล้วไม่เสวย เวทนาอะไรๆนั้นก็มีอยู่' \"ท่านพระสมิทธิท่านบวชมานานเท่าไรแล้ว\" \"ท่านผูมอายุ อาตมภาพบวชได้ไม่นาน เพียง ๓ พรรษา\" \"บัดนี ในเมื่อภิกบุใหม่ยังคิดปกฟ้องพระศาสดาถึงเพียงนี้ เราทั้งหลายจะพูดอะไรกับภิกบุ ผู้เป็นพระเถระได้เล่า ท่านพระสมิทธิ บุคคลทำกรรมที่ประกอบด้วยความจงใจทางกาย ทางวาจา และทางใจแล้ว จะเสวยผลอะไร\" \"ท่านโปตสิบุตร บุคคลทำกรรมที่ประกอบด้วยความจงใจทางกาย ทางวาจาและทางใจ แล้ว จะเสวยทุกข์\" ลำดับนั้น ปริพาชกชื่อโปตลิบุตรไม่ยินดีไม่คัดด้านภาษิตของท่านพระสมิทธิลุกจากที่นั่ง แล้วจากไป ครั้งนั้นแล เมื่อปริพาชกชื่อโปตลิบุตรจากไปไม่นาน ท่านพระสมิทธิเข้าไปหาท่าน พระ- อานนท์ถึงที่อยู่ แล้วได้สนทนาปราศรัยพอเป็นที่บันเทิงใจ พอเป็นที่ระลึกถึงกันแล้ว นั่ง ณที่ สมควร เล่าเรื่องที่ตนได้สนทนาปราศรัยกับปริพาชก ชื่อโปตลิบุตรทั้งหมดแก่ท่านพระอานนท์- เถระ เมื่อท่านพระสมิทธิเล่าเรื่องอย่างนีแล้ว ท่านพระอานนท์จึงได้กล่าวกับท่านพระสมิทธิว่า \"ท่านสมิทธิ เรื่องนี้มีมูลเหตุพอที่จะเข้าเฟ้าพระผูมพระภาคได้ มาเถิดเราทั้งสอง พึงเข้าไปเฟ้า พระผู้มีพระภาคยังที่ประทับ พึงกราบทุลเนี้อความนี้แด่พระองค์ พระผูมพระภาคของเรา ทั้งหลายทรงตอบอย่างใด เราทั้งหลายควรทรงจำเนื้อความนั้นไว้อย่างนั้น\" ท่านพระสมิทธิรับคำ แล้ว www.kalyanamitra.org

กฎแฟงกรรม ะ ๑๖๗ ครั้งใเน ท่านพระสมิทธิและท่านพระอานนท์ได้เข้าไปเฝัาพระ^พระภาคถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทแล้ว นั่ง ณ ที่สมควร ท่านพระอานนท\"ได้กราบพูลเรื่องที่ท่านพระสมิทธิได้สนทนา ปราศัยกับปริพาชกชื่อโปตลิบุตรที่งหมดแด่พระ^พระภาค เมื่อพระอานนท์กราบพูลอย่างนี้แล้ว พระ^พระภาคได้ตรัสกับท่านพระอานนท์ว่า \"อานนท์ เราไม่!แม้ความเห็นของปริพาชกชื่อโปตลิบุตรเลย จะ!การสนทนาปราศัยกันเห็นปาน นี้ได้อย่างไร โมฆบุรุษ^นามว่าสมิทธินี้ได้ตอบป็ญหาที่ควรจำแนกตอบแก่ปริพาชกชื่อโปตลิ- เมื่อพระ^พระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว ท่านพระลุทายีได้กราบทูลพระ^พระภาคว่า \"ก็ล้า ท่านพระสมิทธิกล่าวหมายเอาทุกข์นี้แล้ว อารมณ์อย่างใดอย่างหนี้งที่สัตว์เสวยแล้ว อารมณ์นั้น ด้องจัดเข้าในทุกข์หรือ พระพุทธเจ้าข้า\" เมื่อท่านพระลุทายีกราบทูลอย่างนี้แล้ว พระ^พระภาคจึงรับสั่งเรียกท่านพระอานนท์มา ตรัสว่า\"อานนท์ เธอจงเห็นความนอกลู่นอกทางของลุทายีผู้เป็นโมฆบุรุษนี้เถิด เราได้!บัดนี้เอง โมฆบุรุษ ลุทายีนี้เมื่อจะพุด ก็พุดโพล่งออกมาโดยไม่แยบคาย เบื้องด้นทีเดียวปริพาชกชื่อโปตลิ- บุตรถามถึงเวทนา ๓ ล้าโมฆบุรุษสมิทธิผู้ถูกถามอย่างนีจะพึงตอบอย่างนีว่า 'ท่านโปตลิบุตร บุคคลทำกรรมที่ประกอบด้วยความจงใจทางกาย ทางวาจา และทางใจอันให้ผณป็นลุ[ข 'ย่อม เสวยลุ[ข บุคคลทำกรรมที่ประกอบด้วยความจงใจทางกาย ทางวาจา และทางใจอันให้ผณป็น ทุกข์ ^ย่อมเสวยทุกข์ บุคคลทำกรรมที่ประกอบด้วยความจงใจทางกาย ทางวาจา และทางใจอัน ให้ผณปีนอทุกขมลุ[ข ^ย่อมเสวยผลเป็นอทุกขมลุ[ข 'ใทํผลเปนลุข หมายความว่ากรรมอันเปนป็จจัยแห่งสุขเวทนา คือกรรมชือว่าให้ผลเป็น สุข เพราะเกิดสุขเวทนาในปฏิสนธิ กาลและปวัตตกาลอย่างนี้คือ เจตนา๔ ดวงที่ประกอบห้วยโสมนัสสหคตจิตฟ้ายกามาวจรคุศล และเจตนาในฌาน ๓ ห้างห้น (ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน) s ให้ผลเป็นทุกข์หมายความว่า อคุศลเจตนาชื่อว่าให้ผลเป็นทุกข์เพราะทำให้ทุกข์เท่านั้นเกิดในปฏิสนธิกาลและปวัตติกาล นั้นเอง ^ ให้ผลเป็นอทุกขมสุข หมายความว่า กรรมชื่อว่าให้ผลเป็นอทุกขมสุข เพราะเกิดเวทนาที่ รท(อุเบกขา-เวทนา)ในปฏิสนธิ- กาลและปวัตตกาลอย่างนี้คือ เจตนา๔ ดวงที่ประกอบห้วยอุเบกขาสหคตจิดฟ้ายกามาวจรคุศลและเจตนาในฌานที่ ๔ ฟ้าย รูปาวจรคุศล www.kalyanamitra.org

กฎแฟงกรรม ะ ๑๖^ อานนท์ โมฆบุเษสมิทธิเมื่อตอบอย่างนี้ ชื่อว่าตอบโดยชอบแก่ปริพาชกชื่อโปตลิบุตร แต่ว่าอัญเดียรถีย์ปริพาชกเหล่านั้น เป็นคนโง่ ไม่ฉลาด จะเข้าโจมหากัมมวิภังค์ของตถาคตได้ อย่างไรเล่า ถ้าตถาคตจำแนกมหาภัมมวิภังค์อยู่ เธอทั้งหลายควรฟัง\" ท่านพระอานนท์กราบทูลว่า \"ข้าแต่พระ^พระภาค บัดนี้เป็นกาลสมควรข้าแต่พระสุคต บัดนี้เป็นกาลสมควร ที่พระ^พระภาคจะทรงจำแนกมหาภัมมวิภังค์ ภิกษุทั้งหลายได้สดับจาก พระ^พระภาคแล้วจักทรงจำไว้\" พระ^พระภาคตรัสว่า\"ถ้าเช่นนั้น เธอจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว\" ท่านพระอานนท์ทูลรับสนองพระดำรัสแล้ว พระ^พระภาคจึงตรัสเรื่องนี้ว่า \"อานนท์ บุคคล ๔ จำ พวกนี้มีปรากฎอยู่ในโลก บุคคล ๔ จำ พวก ไหนบ้าง คือ ๑) บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้มักฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ พูด ส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ เป็นผู้เพ่งเล็งอยากได้สิ่งของของเขา เป็น^จิตพยาบาท เป็น มิจฉาทิฎเในโลกนี้ หลังจากตายแล้วเขาจึงไปเกิดในอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ๒) บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้มักฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ พูด ส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ เป็นผู้เพ่งเล็งอยากได้สิ่งของของเขา เป็น^จิตพยาบาท เป็น มิจฉาทิฎเในโลกนี้ หลังจากตายแล้วเขาจึงไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์ ๓) บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ เว้นขาดจากการลักทรัพย์ เว้น ขาดจากการประพฤติผิดในกาม เว้นขาดจากการพูดเท็จ เว้นขาดจากการพูดส่อเสียด เว้นขาดจาก การพูดคำหยาบ เว้นขาดจากการพูดเพ้อเจ้อ เป็นผู้ไม่เพ่งเล็งอยากได้สิ่งของของเขา เป็น^จิตไม่ พยาบาท เป็นสัมมาทิฎฐิในโลกนี้ หลังจากตายแล้วเขาจึงไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์ ๔) บุคคลบางคนในโลกนี เป็นผู้เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ เว้นขาดจากการลักทรัพย์ เว้น ขาดจากการประพฤติผิดในกาม เว้นขาดจากการพูดเท็จ เว้นขาดจากการพูดส่อเสียด เว้นขาดจาก การพูดคำหยาบ เว้นขาดจากการพูดเพ้อเจ้อ เป็นผู้ไม่เพ็งเล็งอยากได้สิ่งของของเขา เป็นPจิตไม่ พยาบาท เป็นสัมมาทิฎฐิในโลกนี้ หลังจากตายแล้วเขาจึงไปเกิดในอบาย ทุคติ วินิบาต นรก www.kalyanamitra.org

กฎแฟงกรรม ะ ๑๖๙ อานนท์ ๑) สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้ อาศัยความเพียรเครื่องเผากิเลส ความเพียรยึ๋ง ความพยายาม ความไม่ประมาท ความใส่ใจโดยชอบ ย่อมบรรลุเจโตสมาธิโดยประการที่เมื่อจิต ตั้งมั่นแล้ว ย่อมเห็นบุคคลโน้น ผู้มักฆ่าสัตว์ สักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ เพ่งเล็งอยากได้สิ่งของของเขา มีจิตพยาบาท เป็นมิจฉาทิฎฐิในโลกนี้ หสังจากตายแล้วได้ไปเกิดในอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ด้วยตาทิพย์อันบริลุ[ทธเหนือมนุษย์สมณะ หรือพราหมณ์นั้นจึงกล่าวอย่างนี้ว่า 'ท่านผู้เจริญ ไดยนว่า กรรมชั่วมี วิบากของทุจริตมี ข้าพเจ้า ได้เห็นบุคคลโน้น ผู้มักฆ่าสัตว์ สักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม ฯลฯ เป็นมิจฉาทิฎฐิในโลกนี้ หลังจากตายแล้วได้ไปเกิดในอบาย ทุคติ วินิบาต นรก'แล้วกล่าวอย่างนี้ว่า 'ท่านผู้เจริญ ได้ยินว่า บุคคลใดมักฆ่าสัตว์ สักทรัพย์ ฯลฯ เป็นมิจฉาทิฎเ บุคคลนั้นตั้งหมดหลังจากตายแล้วจะไปเกิด ในอบาย ทุคติ วินิบาต นรกชนเหล่าใดเอย่างนี้ ชนเหล่านั้นชื่อว่าเชอบ ชนเหล่าใดเนอกเหนือ ไป ชนเหล่านั้นชื่อว่าเผิด' สมณะหรือพราหมณ์นั้นจะพูดมักใจลงไปถึงเรื่องที่เขาแองเห็นเอง ทราบเอง ตาม แรงจูงใจ ตามความมักใจในเรื่องนั้นดังนี้ว่า'นี้เท่านั้นจริง อย่างอื่นไม่จริง' ๒)ส่วนสมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้ อาศัยความเพียรเครื่องเผากิเลส ความเพียร ยึ๋ง ความพยายาม ความไม่ประมาทความใส่ใจโดยชอบ ย่อมบรรลุเจโตสมาธิโดยประการที่เมื่อ จิตตั้งมั่นแล้ว ย่อมเห็นบุคคลโน้น ผู้มักฆ่าสัตว์ สักทรัพย์ฯลฯ เป็นมิจฉาทิฎเในโลกนี้ หลังจาก ตายแล้วได้ไปเกิดในลุ[คติโลกสวรรค์ด้วยตาทิพย์อันบริลุ[ทธเหนือมนุษย์ สมณะหรือพราหมณ์ นั้นจึง กล่าวอย่างนี้ว่า 'ท่านผู้เจริญ ได้ยนว่า กรรมชั่วไม่มี วิบากของทุจริตไม่มี ข้าพเจ้าได้เห็น บุคคลโน้น ผู้มักฆ่าสัตว์ สักทรัพย์ ฯลฯ เป็นมิจฉาทิฎฐิในโลกนี้ หลังจากตายแล้วได้ไปเกิดใน ลุ[คติโลกสวรรค์' แล้วกล่าวอย่างนี้ว่า 'ท่านผู้เจริญ ได้ยนว่า บุคคลใดมักฆ่าสัตว์ สักทรัพย์ ฯลฯ เป็นมิจฉาทิฎเ บุคคลนั้นตั้งหมดหลังจากตายแล้วจะไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์ชนเหล่าใตเอย่าง นี้ ชนเหล่านั้นชื่อว่ารู้ชอบ ชนเหล่าใดรู้นอกเหนือไป ชนเหล่านั้นชื่อว่ารู้ผิด' สมณะหรือพราหมณ์นั้นจะพูดมักใจลงไปถึงเรื่องที่เขารู้เอง เห็นเอง ทราบเอง ตาม แรงจูงใจ ตามความมักใจในเรื่องนั้นดังนี้ว่า 'นี้เท่านั้นจริง อย่างอื่นไม่จริง' www.kalyanamitra.org

กฎแฟงกรรม ะ ๑๗๐ ๓) สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้ อาศัยความเพียรเครื่องเผากิเลส ความเพียรยิ่ง ความพยายาม ความไม่ประมาท ความใส่ใจโดยชอบ ย่อมบรรลุเจโตสมาธิโดยประการที่เมื่อจิต ตั้งมั่นแล้วย่อมเห็นบุคคลโน้น ผู้เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ เว้นขาดจากการสักทรัพย์ เว้นขาดจาก การประพฤติผิดในกาม เว้นขาดจากการพูดเท็จ เว้นขาดจากการพูดส่อเสียด เว้นขาดจากการพูด คำหยาบ เว้นขาดจากการพูดเพ้อเจ้อ ไม่เพ่งเล็งอยากได้สิ่งของของเขา มีจิตไม่พยาบาท เป็น สัมมาทิฎเในโลกนี้ หลังจากตายแล้วได้ไปเกิดในลุ[คติโลกสวรรค์ ด้วยตาทิพย์อันบริสุทธี้เหนือ มนุษย์ สมณะหรือพราหมณ์นั้นจึงกล่าวอย่างนี้ว่า 'ท่านผู้เจริญ ได้ยินว่า กรรมดีมีจริง วิบากของ ลุ[จริตมีจริง ข้าพเจ้าได้เห็นบุคคลโน้นผู้เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ เว้นขาดจากการสักทรัพย์ ฯลฯ เป็นสัมมาทิฎฐิในโลกนี้ หลังจากตายแล้วได้ไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์' แล้วกล่าวอย่างนี้ว่า 'ท่านผู้เจริญ ไดียนว่า บุคคลใดเว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ เว้นขาดจากการสักทรัพย์ ฯลฯ เป็น สัมมาทิฎเบุคคลนั้น ทั้งหมดหลังจากตายแล้วจะไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์ ชนเหล่าใดรู้อย่างนี้ ชนเหล่านั้นชื่อว่ารู้ชอบ ชนเหล่าใดรู้นอกเหนือไปชนเหล่านั้นชื่อว่ารู้ผิด' สมณะหรือพราหมณ์นั้นจะพูดป็กใจลงไปถึงเรื่องที่เขารู้เอง เห็นเองทราบเอง ตาม แรงฐงใจ ตามความฟ้กใจในเรื่องนั้นดังนี้ว่า 'นี้เท่านั้นจริง อย่างอื่นไม่จริง' ๔) สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้ อาศัยความเพียรเครื่องเผากิเลส ความเพียรยิ่ง ความพยายาม ความไม่ประมาท ความใส่ใจโดยชอบ ย่อมบรรลุเจโตสมาธิโดยประการที่เมื่อจิต ตั้งมั่นแล้วย่อมเห็นบุคคลโน้น ผู้เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ เว้นขาดจากการสักทรัพย์ ฯลฯ เป็น สัมมาทิฎฐิในโลกนี้ หลังจากตายแล้วได้ไปเกิดในอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ด้วยตาทิพย์อัน บริสุทธเหนือมนุษย์สมณะหรือพราหมณ์นั้นจึงกล่าวอย่างนี้ว่า 'ท่านผู้เจริญไดียนว่า กรรมดีไม่มี วิบากของสุจริตไม่มี ข้าพเจ้าได้เห็นบุคคลโน้น ผู้เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ เว้นขาดจากการลัก ทรัพย์ฯลฯ เป็นสัมมาทิฎฐิในโลกนี้ หลังจากตายแล้วได้ไปเกิดในอบายทุคติ วินิบาต นรก'แล้ว กล่าวอย่างนี้ว่า 'ท่านผู้เจริญ ได้ยินว่าบุคคลใดเว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ เว้นขาดจากการลักทรัพย์ ฯลฯ เป็นสัมมาทิฎฐิ บุคคลนั้นทั้งหมดหลังจากตายแล้วจะไปเกิดในอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ชน เหล่าใดรู้อย่างนี้ ชนเหล่านั้นชื่อว่ารู้ชอบ ชนเหล่าใดรู้นอกเหนือไป ชนเหล่านั้นชื่อว่ารู้ผิด' สมณะหรือพราหมณ์นั้นจะพูดปักใจลงไปถึงเรื่องที่เขารู้เองเห็นเอง ทราบเอง ตาม แรงจูงใจ ตามความปักใจในเรื่องนั้นดังนี้ว่านี้เท่านั้นจริง อย่างอื่นไม่จริง' www.kalyanamitra.org

กฎแฟงกรรม ((()6ไ1Q อานนท์ ๑) บรรดาสมณะหรือพราหมณ์ ๔ จำ พวกใาน เราคล้อยตามวาทะของสมณะหรือ พราหมณ์ผู้กล่าวอย่างนี้ว่า 'ท่านผู้เจริญ ไดยนว่ากรรมชั่วมี วิบากของทุจริตมี' เราคล้อยตามแม้ วาทะของเขาผู้กล่าวอย่างนี้ว่า 'ข้าพเจ้าได้เห็นบุคคลโน้น ผู้มักฆ่าสัตว์ สักทรัพย์ ฯลฯ เป็น มิจฉาทิฎเในโลกนี้ หลังจากตายแล้วได้ไปเกิดในอบายทุคติ วินิบาต นรก' แต่เราไม่คล้อยตาม วาทะของเขาผู้กล่าวอย่างนี้ว่า 'ท่านผู้เจริญ ไดยนว่า บุคคลใดเป็นผู้ฆ่าสัตว์ สักทรัพย์ ฯลฯ เป็น มิจฉาทิฎฐิ บุคคลนั้นทั้งหมดหลังจากตายแล้วจะไปเกิดไนอบาย ทุคติ วินิบาต นรก'เราไม่คล้อย ตามแม้วาทะของเขาผู้กล่าวอย่างนี้ว่า 'ชนเหล่าใดเอย่างนี้ ชนเหล่านั้นชื่อว่าเชอบชนเหล่าใดรู้ นอกเหนือไป ชนเหล่านั้นชื่อว่ารู้ผิด' เราไม่คล้อยตามแม้วาทะของเขาที่พูดปกใจลงไปถึงเรื่องที่ เขารู้เอง เห็นเอง ทราบเองตามแรงจูงใจ ตามความปกใจไนเรื่องนั้นว่า 'นี้เท่านั้นจริง อย่างอื่นไม่ จริง' ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะตถาคตมีความรู้ในมหากัมมวิภังค์เป็นอย่างอื่น ๒) บรรดาสมณะหรือพราหมณ์ ๔ จำ พวกนั้น เราไม่คล้อยตามวาทะของสมณะหรือ พราหมณ์ผู้กล่าวอย่างนี้ว่า 'ท่านผู้เจริญ ไดยนว่ากรรมชั่วไม่มี วิบากของทุจริตไม่มี' เราคล้อย ตามวาทะของเขาผู้กล่าวอย่างนี้ว่า 'ข้าพเจ้าได้เห็นบุคคลโน้น ผู้มักฆ่าสัตว์สักทรัพย์ ฯลฯ เป็น มิจฉาทิฎฐิในโลกนี้ หลังจากตายแล้วได้ไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์' แต่เราไม่คล้อยตามวาทะของ เขาผู้กล่าวอย่างนี้ว่า 'ท่านผู้เจริญ ไดยนว่า บุคคลใดมักฆ่าสัตว์ สักทรัพย์ ฯลฯ เป็นมิจฉาทิฎเ บุคคลนั้นทั้งหมดหลังจากตายแล้วจะไปเกิดในสุคติโลกสรรค์' เราไม่คล้อยตามแม้วาทะของเขา ผู้กล่าวอย่างนี้ว่า 'ชนเหล่าใดรู้อย่างนี้ ชนเหล่านั้นชื่อว่ารู้ชอบ ชนเหล่าใดรู้นอกเหนือไป ชน เหล่านั้นชื่อว่ารู้ผิด' เราไม่คล้อยตามแม้วาทะของเขาที่พูดปกใจลงไปถึงเรื่องที่เขารู้เอง เห็นเอง ทราบเอง ตามแรงจูงใจตามความปกใจในเรื่องนั้นว่า 'นี้เท่านั้นจริง อย่างอื่นไม่จริง' ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะตถาคตมีความรู้ในมหาภัมมวิภังค์เป็นอย่างอื่น www.kalyanamitra.org

กฎแฟงกรรม ะ ๑๗๒ ๓) บรรดาสมณะหรือพราหมณ์ในั้ ๔ จำ พวกใเน เราคล้อยตามวาทะของสมณะหรือ พราหมณ์ผู้กล่าวอย่างนี้ว่า 'ท่านผู้เจริญ ไดํ้ยนว่ากรรมดีมี วิบากของสุจริตมี' เราคล้อยตามวาทะ ของเขาผู้กล่าวอย่างนี้ว่า 'ข้าพเจ้าได้เห็นบุคคลโน้นผู้เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ เว้นขาดจากการ สักทรัพย์ฯลฯ เป็นสัมมาทิฎเในโลกนี้ หลังจากตายแล้วได้ไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์' และเราก็ คล้อยตามวาทะของเขา ผู้กล่าวอย่างนี้ว่า 'ท่านผู้เจริญ ได้ยินว่า บุคคลใดเว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ เว้นขาดจากการลักทรัพย์ ฯลฯ เป็นสัมมาทิฎฐิ บุคคลนั้นทั้งหมดหลังจากตายแล้วจะไปเกิดใน สุคติโลกสวรรค์' แต่เราไม่คล้อยตามแม้วาทะของเขาผู้กล่าวอย่างนี้ว่า 'ชนเหล่าใดเอย่างนี้ ชน เหล่านั้นชื่อว่าเชอบ ชนเหล่าใดเนอกเหนือไป ชนเหล่านั้นชื่อว่าเผิด' เราไม่คล้อยตามแม้วาทะ ของเขาที่ใ51ดปักใจลงไปถึงเรื่องที่เขาแอง เห็นเอง ทราบเอง ตามแรงฐงใจตามความปักใจในเรื่อง นั้นว่า 'นี้เท่านั้นจริง อย่างอื่นไม่จริง' ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะตถาคตมีความเในมหากัมมวิภังค์เป็นอย่างอื่น ๔) บรรดาสมณะหรือพราหมณ์ทั้ง ๔ จำ พวกนั้น เราไม่คล้อยตามวาทะของสมณะหรือ พราหมณ์ผู้กล่าวอย่างนีว่า 'ท่านผู้เจริญ ไดียนว่า กรรมดีไม่มี วิบากของสุจริตไม่มี'เราคล้อยตาม วาทะของเขาผู้กล่าวอย่างนี้ว่า 'ข้าพเจ้าได้เห็นบุคคลโน้นผู้เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ เว้นขาดจาก การลักทรัพย์ ฯลฯ เป็นสัมมาทิฎฐิในโลกนี หลังจากตายแล้วได้ไปเกิดในอบาย ทุคติ วินิบาต นรก' แต่เรา ไม่คล้อยตามวาทะของเขาผู้กล่าวอย่างนี้ว่า 'ท่านผู้เจริญ ไดียนว่าบุคคลใดเว้นขาด จากการฆ่าสัตว์ เว้นขาดจากการลักทรัพย์ ฯลฯ เป็นสัมมาทิฎฐิ บุคคลนั้นทั้งหมดหลังจากตาย แล้วจะไปเกิดในอบาย ทุคติ วินิบาต นรก'เราไม่คล้อยตามแม้วาทะของเขาผู้กล่าวอย่างนี้ว่า'ชน เหล่าใดเอย่างนี ชนเหล่านั้นชื่อว่าเชอบ ชนเหล่าใดเนอกเหนือไป ชนเหล่านั้นชื่อว่าเผิด'เราไม่ คล้อยตาม แม้วาทะของเขาที่พูดปักใจลงไปถึงเรื่องที่เขาแอง เห็นเอง ทราบเอง ตามแรงฐงใจ ตามความปักใจในเรื่องนั้นว่า 'นี้เท่านั้นจริง อย่างอื่นไม่จริง' ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะตถาคตมีความเในมหาภัมมวิภังค์เป็นอย่างอื่น www.kalyanamitra.org

กฎแฟงกรรม ะ ๑๗๓ อานนท์ ๑)บรรดาบุคคล ๔ จำ พวกใาน บุคคลใดเป็นผู้มักฆ่าสัตว์ลักทรัพย์ฯลฯ เป็นมิจฉาทิฎฐิใน โลกนี้ หลังจากตายแล้วจึงไปเกิดในอบายทุคติ วินิบาต นรก บุคคลนั้นหลังจากตายแล้วไปเกิดใน อบายทุคติ วินิบาต นรก เพราะบาปกรรมที่เขาทำไวิในชาติก่อนให้ผลเป็นทุกข์ บาปกรรมที่เขา ทำ ไว้ในภายหลังให้ผลเป็นทุกข์หรือในเวลาจะตาย เขามีมิจฉาทิฎฐิที่ให้บริบุรณ์ยึดมั่นไว้แต่การ ที่บุคคลเป็นผู้มักฆ่าสัตว์ลักทรัพย์ฯลฯ เป็นมิจฉาทิฎเในโลกนี้เขาย่อมเสวยวิบากแห่งกรรมนั้น ในชาตินี้บ้าง ในชาติหน้าบ้าง ในชาติต่อ ๆ ไปบ้าง ๒)บรรตาบุคคล ๔ จำ พวกนั้น บุคคลใดเป็นผู้มักฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ฯลฯ เป็นมิจฉาทิฎฐิ ในโลกนี้ หลังจากตายแล้วจึงไปเกิตในสุคติโลกสวรรค์บุคคลนั้นหลังจากตายแล้วไปเกิดในสุคติ โลกสวรรค์เพราะกรรมดีที่เขาทำไว้!นชาติก่อนให้ผลเป็นสุข กรรมดีที่เขาทำไว้!นภายหลังให้ผล เป็นสุข หรือในเวลาจะตาย เขามีลัมมาทิฎเที่ให้บริบุรณ์ยึดมั่นไว้ แต่การที่บุคคลเป็นผู้มักฆ่า สัตว์ ลักทรัพย์ ฯลฯ เป็นมิจฉาทิฎฐิในโลกนี้ เขาย่อมเสวยวิบากแห่งกรรมนั้นในชาตินี้บ้าง ใน ชาติหน้าบ้าง ในชาติต่อ ๆ ไปบ้าง (๓) บรรดาบุคคล ๔ จำ พวกนั้น บุคคลใดเป็นผู้เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์เว้นขาดจากการ ลักทรัพย์ ฯลฯ เป็นสัมมาฑิฎเในโลกนี้ หลังจากตายแล้วจึงไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์ บุคคลนั้น หลังจากตายแล้วไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์ เพราะกรรมดีที่เขาทำไว้!นชาติก่อนให้ผลเป็นสุข กรรมดีที่เขาทำไว้!นภายหลังให้ผลเป็นสุข หรือในเวลาจะตาย เขามีลัมมาทิฎฐิที่ให้บริบุรณ์ยึด มั่นไว้ แต่การที่บุคคลเป็นผู้เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ เว้นขาดจากการลักทรัพย์ ฯลฯ เป็น สัมมาทิฎฐิในโลกนี้ เขาเสวยวิบากแห่งกรรมนั้นในชาตินี้บ้าง ในชาติหน้าบ้าง ในชาติต่อ ๆ ไป บ้าง ๔)บรรดาบุคคล ๔ จำ พวกนั้น บุคคลใดเป็นผู้เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ เว้นขาดจากการ ลักทรัพย์ ฯลฯ เป็นสัมมาทิฎฐิในโลกนี้ หลังจากตายแล้วจึงไปเกิดในอบาย ทุคติ วินิบาต นรก บุคคลนั้นหลังจากตายแล้วไปเกิดในอบาย ทุคติ วินิบาต นรก เพราะบาปกรรมที่เขาทำไว้!นชาติ ก่อนให้ผลเป็นทุกข์ บาปกรรมที่เขาทำไว้!นภายหลังให้ผลเป็นทุกข์ หรือในเวลาจะตาย มี มิจฉาทิฎฐิที่เขาให้บริบูรณ์ยึดมั่นไว้แต่การที่บุคคลเป็นผู้เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์เว้นขาดจากการ www.kalyanamitra.org

กฎแห่งกรรม ะ ๑๗(T ลักทรัพย์ ฯลฯ เป็นสัมมาทิฎเในโลกนี้ เขาย่อมเสวยวิบากแห่งกรรมนั้นในชาตินี้บ้าง ในชาติ หน้าบ้าง ในชาติต่อ ๆ ไปบ้าง อานนท์ กรรมที่ไม่ควร ส่องให้เห็นว่าไม่ควรก็มีอยู่ กรรมที่ไม่ควร ส่องให้เห็นว่าควรก็มี อยู่ กรรมที่ควร ส่องให้เห็นว่าควรก็มีอยู่ และกรรมที่ควร ส่องให้เห็นว่าไม่ควรก็มีอยู่ ดัง พรรณนามาฉะนี้\" พระ^พระภาคได้ตรัสภาษิตนี้แล้ว ท่านพระอานนท์มีใจยินดีชื่นชมพระภาษิตของ พระ^พระภาค ดังนี้แล มหากัมมวิภังคสูตร จบ จาก \"มหากัมมวิภังคสูตร\" พอจะสรุปสาระสำคัญที่สัมมาส้มพุทธเจ้าตรัสจำแนกการ ให้ผลของกรรมโดยละเอียดแก่พระอานนท์คือ ๑) พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแนะการตอบฟ้ญหาของพระสมีทธที่ไม่ครอบคลุม(ตอบเพียงด้าน เดียว)ดังนี้ - ล้าบุคคลจงใจทำกรรมทางกาย วาจา ใจ ที่ให้ผลเป็นสุข ย่อมเสวยสุข - ล้าบุคคลจงใจทำกรรมทางกาย วาจา ใจ ที่ให้ผลเป็นทุกข์ย่อมเสวยทุกข์ - ล้าบุคคลจงใจทำกรรมทางกาย วาจา ใจ ที่ให้ผลไม่สุขไม่ทุกข์ย่อมเสวยอทุกขมสุข ๒)ทรงยกบุคคล ๔ จำ พวกที่มีปรากฏในโลก ขึ้นแสดงว่า - จำ พวกที่ ๑ เป็นผู้ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ เป็นด้น ตายแล้วไปเกิดในอบาย ทุคติ วินิบาต นรก - จำ พวกที่ ๒ เป็นผู้ฆ่าสัตว์ลักทรัพย์เป็นด้น ตายแล้วไปเกิดในสุคติ โลกสวรรค์ - จำ พวกที่ ๓ เป็นผู้เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ ... เป็นด้น ตายแล้วไปเกิดในสุคติโลก สวรรค์ - จำ พวกที่ ๔ เป็นผู้เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ ...เป็นด้น ตายแล้วไปเกิดในอบาย ทุคติ วินิบาต นรก www.kalyanamitra.org

กฎแฟงกรรม ะ ๑๗&' ๓)ทรงตรัสถึง การเห็นของสมณะ ๔ ประเภท ที่เห็นจริงแล้วสอนคนอื่นในสิ่งที่ตนเองมีความรู้ ไปถึง แต่ความรู้นั้นยังไม่สมบูรณ์ทำให้เกิดความเข้าใจผิดพลาด เพราะการเห็นกรรม วิบาก กรรมไม่ตลอดสาย ๔)ทรงตรัสถึง ป'จจัยการไปอบาย-สวรรค์ ภายหลังความตาย ไปอบาย ไปสวรรค์ ๑.กรรมชั่วที่ให้ผลเป็นทุกข์ในกาลก่อน ๑.กรรมดีที่ให้ผลเป็นลุ[ขในกาลก่อน ๒.กรรมชั่วที่ให้ผลเป็นทุกข์ในกาลภายหลัง ๒.กรรมดีที่ให้ผลเป็นลุ[ขในกาลภายหลัง (ชาติปัจชุบัน) (ชาติปัจจุบัน) ๓.มิจฉาทิฎแวลาใกล้ตาย(ใจหมอง) ๓.สัมมาทิฎฐิเวลาใกล้ตาย(ใจใส) สรุปเนื้อหามหากัมมวิภังคสูตร กรรมไม่ควร ส่องให้เห็นว่า ไม่ควรก็มี -ทำ ชั่ว ไปอบาย(จำพวกที่ ๑) กรรมไม่ควร ส่องให้เห็นว่า ควรก็มี -ทำ ชั่ว ไปสวรรค์(จำพวกที่ ๒) -ทำ ดี ไปสวรรค์(จำพวกที่ ๓) กรรมที่ควรแท้ ส่องให้เห็นว่า ควรก็มี -ทำ ดี ไปอบาย(จำพวกที่ ๔) กรรมที่ควร ส่องให้เห็นว่า ไม่ควรก็มี จากพระสูตรนี้แสดงให้เห็นว่า คนทำชั่วจะต้องไปอบายเสมอ หรือคนฑำดีจะต้องไป สวรรค์เสมอนั้น ยังไม่แน่ เพราะยังมีกรรมเก่าในกาลก่อน และจิตก่อนตายมาเปีนตัวแปรในการ ส่งผลด้วย ขึ้นอยู่กับว่ากรรมชนิดใดส่งผลก่อน จึงทำให้เกิดความซับซ้อนให้การทำความเข้าใจ เรื่องกฎแห่งกรรม ฉะนั้นคนที่ทำกรรมดีอยู่แล้วได้รับผลชั่ว ก็ไม่ควรจะท้อใจ ขอให้ทำดีเรื่อยไป ไม่นานนักกรรมชั่วในอดีตก็จะหมดกำลังไปเอง และในทำนองเดียวกัน คนที่กำลังทำกรรมชั่วอยู่ แต่ได้รับผลดี ก็ไม่ควรจะประมาท เพราะในขณะนั้นกรรมดีในอดีตกำลังให้ผลอยู่ พอผลกรรมดี ในอดีตหมดลง ผลกรรมชั่วในฟ้จจุบันก็จะให้ผล ยังให้บูคคลนั้นได้ประสบแต่ความทุกข์ ฉะนั้น เราจึงควรปฎิบตตามคำสอนของพระสัมมาส้มทุทธเจ้า คือให้ละชั่ว ทำ ดี และทำจิตให้ผ่องใส www.kalyanamitra.org

กฎแฟงกรรม ะ ๑๗๖ วิธีการล้างบาปในเชิงพระทุฑธศาสนา อย่างที่ทราบกันดีแล้วว่า พระสัมมาส้มพุทธเจ้าทรงสอนให้คนละชั่ว ทำ ดี ทำ จิตให้ผ่องใส เพื่อการกำจัดกิเลสอาสวะให้หมดสิ้นไป แต่ในการดำเนินชีวิดจริงของบุคคลทั่วไปไม่ได้ทำความ ดีแต่เพียงอย่างเดียวได้ดลอด มักจะทำความดีปนความชั่วสลับกันไป ทำ อย่างไรเราจึงจะไม่ให้ บาปที่เราได้กระทำไว้ได้โอกาสส่งผล เพื่อการดำเนินชีวิดอย่างมีความลุ[ขในโลกนี้และโลกหน้า พระสัมมาส้มพุทธเจ้าทรงได้บอกวิธีการล้างบาป มีรายละเอียดด้งปรากฎใน\"โลณผลสูดร\"ดังนี้ โลฌผลสูตร ว่าด้วยผลกรรมกับก้อนเกลือ ภิกษุทั้งหลาย ^ดพึงกล่าวอย่างนี้ว่า \"บุคคลนี้ทำกรรมไว้อย่างใดเขาด้องเสวยกรรมนั้น อย่างนั้น ๆ\" เมื่อเป็นเช่นนั้น การอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ย่อมมีไม่ได้ โอกาสที่จะทำที่สูดแห่ง ทุกข์โดยชอบย่อมไม่ปรากฎ ส่วนผู้ใดพึงกล่าวอย่างนี้ว่า \"บุคคลนี้ทำกรรมที่ด้องเสวยผลไว้อย่าง ใด ๆ เขาด้องเสวยผลของกรรมนั้น อย่างนั้น ๆ\"เมื่อเป็นเช่นนั้น การอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ย่อม มีได้ โอกาสที่จะทำที่สูดแห่งทุกข์โดยชอบย่อมปรากฎ บุคคลบางคนในโลกนี้ทำบาปกรรมแม้ เพียงเล็กน้อย บาปกรรมก็นำเขาไปสู่นรกได้ ส่วนบุคคลบางคนในโลกนี้ทำบาปกรรมเพียง เล็กน้อยเช่นนั้นแล บาปกรรมนั้นให้ผลในป็จธุบันเท่านั้น ไม่ให้ผลแม้แต่น้อยในอัดภาพที่ ๒ (ชาติหน้า)ไม่จำเป็นด้องพูดถึงผลมาก บุคคลที่ทำบาปกรรมแม้เพียงเล็กน้อย บาปกรรมนั้นก็นำเขาไปสู่นรกได้คือบุคคลเช่นไร คือ บุคคล'บางคนในโลกนี้ไม่เจริญกาย^ ไม่เจริญศีล ไม่เจริญจิด ไม่เจริญปัญญา มีคุณ น้อย มีอัดภาพน้อย มักอยู่เป็นทุกข์เพราะผลกรรมเล็กน้อย บุคคลเช่นนี้ทำบาปกรรมแม้เพียง เล็กน้อย บาปกรรมนั้นก็นำเขาไปสู่นรกได้ บุคคลที่ทำบาปกรรมเพียงเล็กน้อยเช่นนั้นแล บาปกรรมนั้นให้ผลในปัจธุบันเท่านั้นไม่ ให้ผลแม้แต่น้อยในอัดภาพที่ ๒ ไม่จำเป็นด้องพูดถึงผลมาก คือบุคคลเช่นไร 'บุคคล ในที่นี้หมายถึงบุลุชนผู้ตกอยู่ในวงจรแห่งวัฎฎะ ^เจริญกาย ในที่นี้หมายถึงเจริญกายานุปัสสนา คือการพิจารณาอาการที่ไม่สวยไม่งาม และไม่เที่ยงแห่งกายเป็นต้น www.kalyanamitra.org

กฎแฟงกรรม : ๑๗๗ คือ บุคคลบางคนในโลกนี้เจริญกาย เจริญศีล เจริญจิต เจริญฟ้ญญา'แล้วมีคุณไม่น้อย มี อัตภาพใหญ่^ เป็นอัปปมาณวิหาริ^ บุคคลเช่นนี้ทำบาปกรรมเพียงเล็กน้อยเช่นนั้นแล บาปกรรม นั้นให้ผลในปัจจุบันเท่านั้น ไม่ให้ผลแม้แต่น้อยในอัตภาพที่ ๒ ไม่จำเป็นต้องพูดถึงผลมาก ภิกบุนั้งหลาย เปรียบเหมือนบุรูษใส่ก้อนเกลือลงในขันใบน้อย เธอทั้งหลายเข้าใจเรื่อง นั้นอย่างไร นั้าในขันเล็กน้อยนั้นเค็ม ดื่มกินไม่ไต้เพราะก้อนเกลือโน้นใช่หรือไม่ \"อย่างนั้น พระทุทธเจ้าข้า\" \"ข้อนั้นเพราะเหตุไร\" \"เพราะในขันนั้ามีนั้านิดหน่อย นั้านั้นจึงเค็ม ดื่มกินไม่ไต้เพราะก้อนเกลือโน้น พระพูทธเจ้าข้า\" \"บุคคลใส่ก้อนเกลือลงในแม่นั้าคงคา เธอทั้งหลายเข้าใจเรื่องนั้นอย่างไร แม่นั้าคงคานั้น เค็ม ดื่มกินไม่ไต้เพราะก้อนเกลือโน้นใช่หรือไม่\" \"ไม่ใช่อย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า\" \"ข้อนั้นเพราะเหตุไร\" \"เพราะในแม่นั้าคงคานั้นมีห้วงนํ้าใหญ่ นํ้านั้นจึงไม่เค็ม ดื่มกินไต้เพราะก้อนเกลือโน้น พระพทธเจ้าข้า' พระ^พระภาคดรัสว่า \"ภิกบุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกันแล ทำ บาปกรรมแม้เพียงเล็กน้อย บาปกรรมนั้นค็นำเขาไปสู่นรกไต้ ส่วนบุคคลบางคนในโลกนี้ทำ บาปกรรมเพียงเล็กน้อยเช่นนั้นแล บาปกรรมนั้นให้ผลในปัจจุบันเท่านั้น ไม่ให้ผลแม้แต่น้อยใน อัดภาพที่ ๒ ไม่จำเป็นต้องพูดถึงผลมาก\" บุคคลที่ทำบาปกรรมแม้เพียงเล็กน้อย บาปกรรมนั้นก็นำเขาไปสู่นรกไต้คือบุคคลเช่นไร คือ บุคคลบางคนในโลกนี้ไม่เจริญกาย ไม่เจริญศีล ไม่เจริญจิต ไม่เจริญปัญญา มีคุณ น้อย มีอัตภาพน้อย มักอยู่เป็นทุกข์เพราะผลกรรมเล็กน้อย บุคคลเช่นนี้ทำบาปกรรมแม้เพียง เล็กน้อย บาปกรรมนั้นก็นำเขาไปสู่นรกไต้ 'บุคคลผู้เจริญกาย เจริญศี■ล เจริญจิต เจริญป็ญญๆ ในที่นี้หมายถึงพระขีณาสพ^นอๆสวะ ^ มีอัตภาพใหญ่ ในที่นี้หมายถึงมีคุณมาก 'อัปปมาณวิหารี หมายถึง^ปกติอยู่อย่างไม่มีราคะ โทสะ และโมหะซื่งเป็นกิเลสที่แสดงลักษณะหรือจริต www.kalyanamitra.org

กฎแฟงกรรม ะ ๑๗^ บุคคลที่ทำบาปกรรมเพียงเล็กใเอยเช่นนั้นแล บาปกรรมนั้นให้ผลในปัจชุบันเท่านั้น ไม่ ให้ผลแม้แต่น้อยในอัตภาพที่ ๒ ไม่จำเป็นต้องพูดถึงผลมาก คือบุคคลเช่นไร คือ บุคคลบางคนในโลกนี้เจริญกาย เจริญศีล เจริญจิต เจริญ!โญญาแล้วมีคุณไม่น้อย มี อัตภาพใหญ่ เป็นอัปปมาณวิหาริ บุคคลเช่นนีทำบาปกรรมเพียงเล็กน้อยเช่นนั้นแล บาปกรรมนั้น ให้ผลในบัจจุบันเท่าบัน ไม่ให้ผลแม้แต่น้อยในอัตภาพที่ ๒ ไม่จำเป็นต้องพูดถึงผลมาก(๑) บุคคลบางคนในโลกนีถูกจองจำเพราะทรัพย์กึ๋งกหาปณะบ้าง ถูกจองจำเพราะทรัพย์หนี้ง กหาปณะม้าง ถูกจองจำเพราะทรัพย์ร้อยกหาปณะบ้าง ส่วนบุคคลบางคนในโลกนี้ไม่ถูกจองจำ เพราะทรัพย์กงกหาปณะบ้าง ไม่ถูกจองจำเพราะทรัพย์หนี้งกหาปณะบ้าง ไม่ถูกจองจำเพราะ ทรัพย์ตั้งร้อยกหาปณะบ้าง บุคคลที่ถูกจองจำเพราะทรัพย์กึ๋งกหาปณะบ้าง ถูกจองจำเพราะทรัพย์หนี้งกหาปณะบ้าง ถูกจองจำเพราะทรัพย์ร้อยกหาปณะบ้าง คือบุคคลเช่นไร คือ บุคคลบางคนในโลกนีเป็นผู้ฃัดสน มีสมปติน้อย มีโภคะน้อย บุคคลเช่นนี้ย่อมถูกจอง จำ เพราะทรัพย์กงกหาปณะบ้าง ถูกจองจำเพราะทรัพย์หนี้งกหาปณะบ้าง ถูกจองจำเพราะทรัพย์ ร้อยกหาปณะบ้าง บุคคลที่ไม่ถูกจองจำเพราะทรัพย์กงกหาปณะบ้าง ไม่ถูกจองจำเพราะทรัพย์หนี้งกหาปณะ บ้าง ไม่ถูกจองจำเพราะทรัพย์ตั้งร้อยกหาปณะบ้าง คือบุคคลเช่นไร คือ บุคคลบางคนในโลกนี้เป็นผู้มั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก บุคคลเช่นนี้ย่อมไม่ถูก จองจำเพราะทรัพย์กงกหาปณะบ้าง ไม่ถูกจองจำเพราะทรัพย์หนี้งกหาปณะบ้าง ไม่ถูกจองจำ เพราะทรัพย์ตั้งร้อยกหาปณะบ้าง ฉันใด บุคคลบางคนในโลกนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ท่าบาปกรรมแบ้เพียงเล็กน้อย บาปกรรมนั้นก็ นำ เขาไปสู่นรกไต้ ส่วนบุคคลบางคนในโลกนี้ท่าบาปกรรมเพียงเล็กน้อยเช่นนั้นแล บาปกรรม นั้นให้ผลในป็จชุบันเท่านั้น ไม่ให้ผลแบ้แต่น้อยในอัตภาพที่ ๒ ไม่จำเป็นต้องพูดถึงผลมาก บุคคลที่ท่าบาปกรรมเพียงเล็กน้อย บาปกรรมนั้นก็นำเขาไปสู่นรกไต้คือบุคคลเช่นไร คือ บุคคลบางคนในโลกนี้ไม่เจริญกาย ไม่เจริญศีล ไม่เจริญจิต ไม่เจริญบัญญา มีคุณน้อย มีอัตภาพน้อย มักอยู่เป็นทุกข์เพราะผลกรรมเล็กน้อย บุคคลเช่นนี้แลท่าบาปกรรมแบ้เพียง เล็กน้อย บาปกรรมนั้นก็นำเขาไปสู่นรกไต้ www.kalyanamitra.org

กฎแฟงกรรม ะ ๑๗๙ บุคคลที่ทำบาปกรรมเพียงเล็กน้อยเช่นนั้นแล บาปกรรมนั้นให้ผลในปัจจุบันเท่านั้น ไม่ ให้ผลแม้แต่น้อยในอัตภาพที่ ๒ ไม่จำเป็นต้องใ51คลึงผลมาก คือบุคคลเช่นไร คือ บุคคลบางคนในโลกนี้เจริญกาย เจริญสืล เจริญจิต เจริญปัญญาแล้ว มีคุณไม่น้อย มี อัตภาพใหญ่ เป็นอัปปมาณวิหาริ บุคคลเช่นนี้ทำบาปกรรมเพียงเล็กน้อยเช่นนั้นแล บาปกรรมนั้น ให้ผลในปัจจุบันเท่านั้น ไม่ให้ผลแม้แต่น้อยในอัตภาพที่ ๒ ไม่จำเป็นต้องใ5!ดลึงผลมาก(๒) ภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้เจริญกาย เจริญศีล เจริญจิต เจริญปัญญาแล้ว มีคุณ ไม่น้อย มีอัตภาพใหญ่ เป็นอัปปมาณวิหาริ บุคคลเช่นนี้ทำบาปกรรมเพียงเล็กน้อยเช่นนั้นแล บาปกรรมนั้นให้ผลในปัจจุบันเท่านั้น ไม่ให้ผลแม้แต่น้อยในอัตภาพที่ ๒ ไม่จำเป็นต้องพูดลึงผล มาก เจ้าของแกะหรือคนฆ่าแกะบางคนสามารถที่จะฆ่า จองจำ หรือเผาคนลักแกะหรือทำ ตามที่ตนปรารถนา แต่บางคนไม่สามารถที่จะฆ่า จองจำ หรือเผาคนลักแกะหรือทำตามที่ตน ปรารถนาไต้ เจ้าของแกะหรือคนฆ่าแกะที่สามารถที่จะฆ่า จองจำ หรือเผาคนลักแกะ หรือทำตามที่ตน ปรารถนาไต้คือเจ้าของแกะหรือคนฆ่าแกะเช่นไร คือ เจ้าของแกะหรือคนฆ่าแกะบางคนในโลกนี้ขัดสน มีสมปติน้อย มีโภคะน้อย เจ้าของ แกะหรือคนฆ่าแกะเช่นนี้ สามารถที่จะฆ่า จองจำ หรือเผาคนลักแกะหรือทำตามที่ตนปรารถนา 1เดv เจ้าของแกะหรือคนฆ่าแกะที่ไม่สามารถที่จะฆ่า จองจำ หรือเผาคนลักแกะ หรือทำตามที่ ตนปรารถนาไต้คือเจ้าของแกะหรือคนฆ่าแกะเช่นไร คือ เจ้าของแกะหรือคนฆ่าแกะบางคนในโลกนี้เป็นผู้มั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก เป็น พระราชา หรือมหาอำมาตย์ของพระราชา เจ้าของแกะหรือคนฆ่าแกะเช่นนี้ ไม่สามารถที่จะฆ่า จองจำ หรือเผาคนลักแกะ หรือทำตามที่ตนปรารถนาไต้ แท้ที่จริง คนที่ประนมมือย่อมขอเจ้าของ แกะหรือคนฆ่าแกะไต้ว่า \"ขอท่านจงให้แกะหรือทรัพย์ที่มีบุลค่าเท่ากับแกะแก่ฉันต้วยเถิด\" ฉันใด บุคคลบางคนในโลกนี้ก็ ฉันนั้น เหมือนกัน ทำ บาปกรรมแม้เพียงเล็กน้อยเช่นนั้นแล บาปกรรมนั้นก็นำเขาไปสู่นรกไต้ ส่วนบุคคลบางคนในโลกนี้ทำบาปกรรมเพียงเล็กน้อยเช่นนั้น www.kalyanamitra.org

กฎแฟงกรรม ะ ๑<^๐ แล บาปกรรมนั้นให้ผลในปัจจุบันเท่านั้น ไม่ให้ผลแม้แต่น้อยในอัตภาพที่ ๒ ไม่จำเป็นต้องพูด ถึงผลมาก บุคคลที่ท่าบาปกรรมแม้เพียงเล็กน้อย บาปกรรมนั้นก็นำเขาไปสู่นรกไต้คือบุคคลเช่นไร คือ บุคคลบางคนในโลกนี้ไม่เจริญกาย ไม่เจริญศีล ไม่เจริญจิต ไม่เจริญปัญญามีคุณน้อย มีอัตภาพน้อย มักอยู่เป็นทุกข์เพราะผลกรรมเล็กน้อยบุคคลเช่นนี้แลท่าบาปกรรมแม้เพียง เล็กน้อย บาปกรรมนั้นก็นำเขาไปสู่นรกไต้ บุคคลที่ท่าบาปกรรมเพียงเล็กน้อยเช่นนั้นแล บาปกรรมนั้นให้ผลในปัจจุบันเท่านั้น ไม่ ให้ผลแม้แต่น้อยในอัตภาพที่ ๒ ไม่จำเป็นต้องพูดถึงผลมาก คือบุคคลเช่นไร คือ บุคคลบางคนในโลกนีเจริญกาย เจริญศีล เจริญจิต เจริญปัญญาแล้วมีคุณไม่น้อย มี อัตภาพใหญ่ เป็นอัปปมาณวิหารี บุคคลเช่นนี้ท่าบาปกรรมเพียงเล็กน้อยเช่นนั้นแล บาปกรรมนั้น ให้ผลในปัจจุบันเท่านั้น ไม่ให้ผลแม้แต่น้อยในอัตภาพที่ ๒ ไม่จำเป็นต้องพูดถึงผลมาก(๓) ภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดพึงกล่าวอย่างนี้ว่า\"บุคคลนี้ท่ากรรมไว้อย่างใด ๆ เขาจะต้องเสวยกรรม บันอย่างบัน ๆ\"เมื่อเป็นเช่นนั้น การอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ย่อมมีไม่ไต้ โอกาสที่จะท่าที่ลุ[ดแห่ง ทุกข์โดยชอบย่อมไม่ปรากฏ ส่วนผู้ใดพึงกล่าวอย่างนีว่า \"บุคคลนีท่ากรรมที่ต้องเสวยผลไว้อย่างใด ๆ เขาต้องเสวยผล ของกรรมบันอย่างนั้น ๆ\" เมื่อเป็นเช่นนั้น การอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ย่อมมีไต้ โอกาสที่จะท่า ที่ธุ[ดแห่งทุกข์โดยชอบย่อมปรากฏ โลณผลสูตร จบ สาระสำคัญของพระสูตรนี้ จะเห็นได้ว่า บาปกรรมอย่างเดียวคัน ทำ แล้วให้ผลไม่เท่าคัน ขึนคับการปฎิปัตของบุคคลนั้น คือ บุคคลมีกาย วาจา ใจอบรมดีแล้ว บาปย่อมให้ผลไม่มาก หรือไม่ส่งผลเลย บุคคลมีปกติอยู่ด้วยทุกข์ เมื่อทำบาปย่อมให้ผลมาก สามารถนำเขาไปนรกได้ เปรืยบเหมีอนก้อนเกลือ (บาปที่ทำ) ที่เท่าคัน ล้าใส่ลงในล้วยนํ้า (บุญที่ทำ) ก็ได้รสเค็มมาก แต่ หากใส่ลงในแม่นํ้า รสก็เค็มน้อย หรือไม่มีรสเค็มของเกลือเลย ฉะนั้นความรู้ที่ไต้จากพระสูตรนี้ จึงเป็นเสมือนช่องทางที่จะช่วยให้เราแล้ไขวิบากกรรม ชั่วที่เคยท่าพลาดพลั้งไปในอดีต ต้วยการทั้งใจละความชั่วทั้งหลาย หมั่นสั่งสมบุญคุศลให้มาก www.kalyanamitra.org

กฎแฟงกรรม (ร)^^ ที่ลุfดเท่าที่จะเป็นไปได้แล้วกลั่นจิตใจของตัวเองให้ผ่องใส ไม่เป็นคนเจ้าทุกข์ หากทำเช่นนี้ได้ สมาเสมอเป็นการฟ้องกันมิให้บาปอคุศลได้ช่องส่งผลบาป ย่อมเป็นหลักประกันความปลอดกัย ในการดำเนินชีวิตของตัวเองในวัฎฎสงสารได้ ความแรื่องกฎแห่งกรรมเป็นสึ๋งที่สากลที่ใคร ๆ ไม่ว่าอยู่ในศาสนาหรือความเชื่อที่ แตกต่างกันก็พอทำความเข้าใจและยอมรับได้ ทั้งนี้เพราะอยู่บนพื้นฐานของหลักเหตุและผลที่ ชัดเจน กล่าวคือ \"ทำดีด้องได้รับผลดีจริง ทำ ชั่วด้องได้รับผลชั่วจริง\"ตังทุทธภาษิต'ว่า \"บุรุษทำกรรมเหล่าใดไว เขาย่อมเห็นกรรมเหล่านั้นในตน ผู้ทำ กรรมดีย่อมได้รับผลดึ ผู้ทำ กรรมชั่วย่อมได้รับผลชั่ว บุคคลหว่านพืช เช่นใดย่อมได้รับผลเช่นนั้น\" แต่ทำไมบางคนจึงสงสัย หรือไม่เชื่อเรื่องกฎแห่งกรรม ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะมักปรากฏให้ เห็นอยู่เสมอว่า ผู้คนจำนวนไม่น้อย ชื่งเป็นที่รู้กันดีในสังคมว่า พวกเขาทำผิดศีล ผิดกฎหมายอยู่ เนือง ๆ แต่ก็ไม่ถูกลงโทษทัณฑ์แต่ประการใด ยังคงลอยนวลอยู่ในสังคม มีความสะดวกสบาย มี ทรัพย์สินเงินทองมากมาย บางคนก็มีดำแหน่งหน้าที่ใหญ่โตในวงราชการ หรือการเมือง บางคน ก็มีอำ นาจอิทธิพลเป็นเจ้าพ่อธุรกิจเถื่อนต่าง ๆ ในทางกลับกันคนดีบางคน ซงไม่เคยทำผิดศีล ผิด กฎหมาย กลับประสบโชคร้ายต่าง ๆ เช่น บางคนก็ประสบลัยอันตรายทางธรรมชาติ บางคนก็ถูก ใส่ร้ายฟ้ายสี บางคนก็ถูกฆาตกรรม ฯลฯ สภาพการณ์เหล่านี้ทำให้ผู้คนไม่น้อยสงสัย และไม่เชื่อ กฎแห่งกรรม แล้วทำไมการออกผลของวิบากกรรม จึงไม่เป็นไปตามทุทธดำรัส ที่เป็นเช่นนี้เพราะ วิบากกรรมของแต่ละคนมีความสลับซับช้อนมาก จึงดูเหมือนไม่เป็นไปตามทุทธดำรัส ทั้งนี้ เนื่องจากแต่ละคนเคยทำทั้งกรรมดี และกรรมชั่วปะปนกันไปในแต่ละวัน และอีกประการหนื่ง จุลลนันทิยชาดก:พระสูตรและอรรถกถาแปล จุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๕๗ หน้า ๓๘๙ www.kalyanamitra.org

กฎแฟงกรรม คือการทำกรรมทั้งดีและชั่วของคนเรานั้นมิได้ทำกันเพียงแค่ครั้งเดียว แต่ทำสันบ่อย ๆ ดังนั้นการ ออกผลของกรรม จึงขึ้นอยู่กับอิทธิพลของแรงกรรมแต่ละฝ่ายที่ชิงโอกาสให้ผลกันอยู่ กล่าวคือ ถ้าชิวงใดที่กรรมดีมีแรงมาก ก็จะออกผลค่อนทำให้กรรมชั่วหมดโอกาสส่งผล จึงจำเป็นด้องตั้งท่าคอยโอกาสอยู่ จนกระทั้งกรรมดีหมดแรง ต่อจากนั้นก็จะเป็นโอกาสแห่งการ ออกผลของกรรมชั่วบ้าง เพราะเหตุนี้ชีวิตของคนเราจึงมีทั้งลุ[ขและทุกข์สลับกันใป อย่างใรก็ตาม แบ้จะกล่าวว่า กฎแห่งกรรมเป็นเรื่องของเหตุและผลก็ตาม สำ หรับผู้ที่ยัง ใม่ใดียดถือความเชื่อ หรือศาสนาใดใว้เป็นที่พง ก็ควรยึดหลักกฎแห่งกรรมเป็นแนวปฎิบ้ติใน การดำเนินชีวิตใว้เพื่อความอุ่นใจ และความปลอดภัยใว้ค่อน เพราะแบ้ว่ากฎแห่งกรรมจะมี หรือใม่มีจริงอย่างที่พระสัมมาส้มพุทธเจ้าตรัสใว้ก็ตาม เขาย่อมใด้รับความบันเทิงทั้งในโลกนี้ และโลกหน้า ดังที่ตรัสแสดงแก่ชาวบ้านสาลาใน\"อป็ณณกสูตร\"มีรายละเอียด ดังนี้ อบ้ณณกสูตร' ว่าด้วยการปฎิบํติใม่ผิด พระพุทธเจ้าเสด็จโปรดชาวบ้านสาลา [๙๒]ข้าพเจ้าใด้สดับมาอย่างนี้ สมัยหนี้ง พระ^พระภาคเสด็จจาริกใปในแคว้นโกศล พร้อมกับภิกษุสงฆ์หสู่ใหญ่ เสด็จ ถึงบ้านพราหมณ์ของชาวโกศลชื่อสาลา พราหมณ์และคหบดีชาวบ้านสาลาใด้สดับข่าวว่า \"ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ใด้ยินว่า ท่านพระสมณโคดมเป็นศากยบุตร เสด็จออกผนวชจาก ศากยตระถูล เสด็จจาริกอยู่ในแคว้นโกศล พร้อมกับภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่เสด็จถึงบ้านพราหมณ์ชื่อ สาลาโดยลำดับ ท่านพระโคดมนั้นมีกิตติศัพท์อันงามขจรใปอย่างนี้ว่า 'แบ้เพราะเหตุนี้ พระผู้มี- พระภาคพระองค์นั้น เป็นพระอรหันต์ตรัสรู้ด้วยพระองค์เองโดยชอบ เพียบพร้อมด้วยวิชชาและ จรณะ เสด็จใปดี รู้แจ้งโลก เป็นสารถีแกผู้ที่ควรจึเกใด้อย่างยอดเยี่ยม เป็นศาสดาของเทวดาและ 'พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์;มจร เล่ม ©๓ หน้า ๙๕ www.kalyanamitra.org

กฎแฟงกรรม : ๑(^๓ มนุษย์ทั้งหลาย เป็นพระพุทธเจ้า เป็นพระ^พระภาค'พระองค์ทรงรู้แจ้งโลกนี้พร้อมทั้งเหวโลก มารโลก พรหมโลก และหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ด้วยพระองค์เองแล้ว ทรงประกาศใใร้ผู้อื่นรู้ตาม ทรงแสดงธรรมมีความงามในเบื้องด้น มีความงามในท่ามกลาง และมี ความงามในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถและพยัญชนะบริสุทธ บรินุรณ์ ครบล้วน การได้พบพระอรหันต์ทั้งหลายเช่นนี้เป็นความดีอย่างแท้จริง\" ครั้งนั้น พราหมณ์และคหบดีชาวบ้านสาลาเข้าไปเสืาพระ^พระภาคถึงที่ประทับ บาง พวกถวายอภิวาทแล้วนั่ง ณ ที่สมควร บางพวกพุลสนทนาปราศรัยพอเป็นที่บันเทิงใจ พอเป็นที่ ระลึกถึงกันแล้วนั่ง ณ ที่สมควร บางพวกประนมมือไปทางที่พระ^พระภาคประทับนั่งแล้วนั่ง ณ ที่สมควร บางพวกประกาศชื่อและโคตรในสำนักของพระ^พระภาคแล้วนั่ง ณ ที่สมควร บางพวกก็นั่งนึ๋งอยู่ ณ ที่สมควร ตรัสอบ้ณณกธรรม พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกับพราหมณ์และคหบดีชาวบ้านสาลาผู้นั่งเรียบร้อยแล้วว่า \"พราหมณ์และคหบดีทั้งหลาย ศาสดาองค์ใดองค์หนี้งชื่งเป็นที่ชอบใจของท่านทั้งหลาย เป็นเหตุให้ได้ศรัทธาที่มีเหตุผล มีอยู่หรือ\" พราหมณ์และคหบดีเหล่านั้นกราบพูลว่า \"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ศาสดาองค์ใดองค์หนี้ง ชงเป็นที่ชอบใจของข้าพระองค์ทั้งหลาย เป็นเหตุให้ได้ศรัทธาที่มีเหตุผล ยังไม่มีเลย\" พระ^พระภาคตรัสว่า \"พราหมณ์และคหบดีทั้งหลาย เมื่อท่านทั้งหลายยังไม่ได้ศาสดา เป็นที่ชอบใจ พึงสมาทานอป็ณณกธรรมทั้แล้วประพฤติตามเถิด เพราะว่าอบัณณกธรรมที่ท่าน ทั้งหลายสมาทานให้บริบูรณ์ จักเป็นไปเพื่อประโยชน์เกือถูล เพื่อสุขแก่ท่านทั้งหลายตลอดกาล นาน อบัณณกธรรมนั้น เป็นอย่างไร นัฅถิกฑิฎเกับอัฅถิกทิฎฐิ คือ มีสมณพราหมณ์พวกหนี้ง^วาทะอย่างนี้ มีทิฎเอย่างนี้ว่า 'ทานที่ให้แล้วไม่มีผล ยัญ ที่บูชาแล้วไม่มีผล การเช่นสรวงกั!ม่มีผล ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีทำชั่วกึใม่มี โลกนี้ไม่มี โลก 'อป็ณณกธรรม หมายถึงธรรมที่ไม่ผิด ไม่เป็นสองแง่ เป็นเอกภาพ www.kalyanamitra.org