29 ทาเกิดศัตรูได้ ผู้นาลักษณะน้ีจะใช้ได้ดีในช่วงภาวะวิกฤตเท่านั้น ผลของการเป็นผู้นาลักษณะน้ี จะทา ให้ผู้ได้บังคบั บัญชาไมม่ ีความเชอ่ื ม่นั ในตนเอง และไมเ่ กิดความรเิ ร่ิมสร้างสรรค์ 1.2) ผู้นาแบบประชาธิปไตย (Democratic Leaders)ใช้การตัดสินใจของกลุ่มหรือให้ผู้ ตามมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ รับฟังความคิดเห็นส่วนรวม ทางานเป็นทีม มีการส่ือสารแบบ 2 ทาง ทาให้เพื่อผลผลิตและความพึงพอใจในการทางาน บางครั้งการอิงกลุ่มทาให้ใช้เวลานานในการตัดสิน ใจ ระยะเวลาทีเ่ ร่งดว่ นผู้นาลกั ษณะน้ีไม่เกดิ ผลดี 1.3) ผู้นาแบบตามสบายหรือเสรีนิยม (Laissez faire leaders) จะให้อิสระกับผู้ได้ บังคับบัญชาเต็มท่ีในการติดสินใจในการแก้ปัญหา จะไม่มีการกาหนดเป้าหมายที่แน่นอนไม่มีหลัก เกณฑ์ ไม่มีระเบียบ จะทาให้เกิดความคับข้องใจหรือความไม่พอใจของผู้ร่วมงานได้และได้ผลผลิตต่า การทางานของผู้นาลักษณะนี้เป็นการกระจายงานไปที่กลุ่ม ถ้ากลุ่มมีความรับผิดชอบและมีแรงจูงใจ ในการทางานสูง สามารถควบคมุ ได้ดี มผี ลงานและความริเร่มิ สร้างสรรค์ ผู้วิจัยได้สรุปว่า ลักษณะผู้นาแต่ละแบบจะสร้างบรรยากาศในการทางานท่ีแตกต่างกัน ดังน้ันพฤติกรรมของผู้นาจะต้องมีทักษะทางการบริหารในการเลือกใช้ลักษณะของผู้นาแบบใดย่อม ขึน้ อยูก่ บั ความเหมาะสมท่ีสามารถควบคมุ บุคลากรได้ 2) แนวคิดจากการศึกษาของลิเคอร์ท (Likert’s Michigan Studies) แห่งมหาวิทยาลัย มิชิแกน จากผลศกึ ษาไว้ ดังน้ี เรนสิส ลิเคอร์ท (Rensis Likert) และสถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยมิชิแกน (อ้างใน Miner, 1992, p. 236) ทาการวจิ ัยด้านสถาวะผ้นู าโดยใช้เครอื่ งมือท่ี Likert และกลุ่มคิดข้ึน ประกอบ ด้วย ความคดิ รวมยอดเร่ือง ภาวะผู้นา แรงจูงใจ การติดตอ่ สอ่ื สาร การปฏิสัมพันธ์ และการใช้อิทธิพล การตัดสนิ ใจ การตงั้ เป้าหมาย การควบคุมคุณภาพและสมรรถนะของเป้าหมาย โดยแบ่งลักษณะผู้นา เป็น 4 แบบ คือ 2.1) แบบใช้อานาจ (Explorative authoritative) ผู้บรหิ ารใชอ้ านาจเผดจ็ การสูง ไวว้ างใจ ผู้ได้บังคับบัญชาเล็กน้อย บังคับบัญชาแบบขู่เข็ญมากกว่าการชมเชย การติดต่อส่ือสาร เป็นไปทาง เดยี วจากบนลงลา่ ง การตดั สินใจอยใู่ นระดบั เบือ้ งบนมาก 2.2) แบบใช้อานาจเชิงเมตตา (Benevolent authoritative) ปกครองแบบพ่อ ปกครอง ลูก ให้ความไว้วางใจผู้ใต้บังคับบัญชา จูงใจโดยการให้รางวัล แต่บางครั้งขู่ลงโทษ ยอมให้การติดต่อ ส่ือสารจากเบ้ืองล่างสู่เบื้องบน ได้บ้าง รับฟังความคิดเห็นจากผู้ใต้บังคับบัญชาบ้าง และบางครั้งยอม ให้การตัดสนิ ใจแตอ่ ยู่ภายใตก้ ารควบคุมอยา่ งใกล้ชดิ ของผู้บังคับบัญชา 2.3) แบบปรึกษาหารือ (Consultative democratic) ผู้บริหารจะให้ความไว้วางใจและการ ตัดสินใจแต่ไม่ท้ังหมด จะใช้ความคิดและความคิดเห็นของผู้ใต้บังคับบัญชาเสมอให้รางวัลเพ่ือสร้าง แรงจูงใจจะลงโทษนาน ๆ คร้ังและใช้การบริหารแบบที่มีส่วนรวม มีการติดต่อส่ือสารแบบ 2 ทาง จาก
30 ระดับล่างขึ้นบนและจากระดับบนลงล่าง การวางนโยบายและการตัดสินใจมาจากระดับบน ขณะ เดียวกนั ก็ให้ยอมการตัดสินใจบางอยา่ งอยู่ในระดับล่างผูบ้ รหิ ารเปน็ ทป่ี รึกษาในทุกด้าน 2.4) แบบมีส่วนรวมอย่างแท้จริง (Participative democratic) ผู้บริหารให้ความไว้วางใจ และเช่ือถือผู้ใต้บังคับบัญชา ยอมรับความคิดเห็นของผู้ใต้บังคับบัญชาเสมอ มีการให้รางวัลตอบแทน เป็นความม่ันคงทางเศรษฐกิจแก่กลุ่ม มีการบริหารแบบมีส่วนร่วม ต้ังจุดประสงค์ร่วมกันมีการ ประเมินความก้าวหนา้ มกี ารติดตอ่ สอื่ สารแบบ 2 ทางทงั้ จากระดับบนลงลา่ งในระดับเดียวกัน หรือใน กลุ่มผรู้ ว่ มงานสามารถตัดสนิ ใจเก่ียวกับการบรหิ ารไดท้ ั้งในกล่มุ บรหิ ารและกลุ่มผ้รู ว่ มงาน ผู้วิจัยได้สรุปความว่าลักษณะสภาวะผู้นาทั้ง 4 แบบนี้ มีความสัมพันธ์กับการปฏิบัติงาน ของผู้บริหารกบั ผู้ตามการทจ่ี ะประความสาเร็จกบั การปฏิบตั งิ านใหบ้ รรลุเป้าหมายได้นั้น ผู้นาสามารถ วิเคราะห์ตนเองในพฤติกรรมสภาวะผู้นาต่าง ๆ กันและแบบท่ีดีท่ีสุด คือ ลักษณะของผู้นาแบบมีส่วน รว่ มอย่างแทจ้ ริง 3) แนวคิดแบบตาข่ายการจัดการของเบลคและมูตัน (Blake and Mouton’s Managerial Grid) เบลคและมตู นั Blake and Mouton กล่าวว่า ภาวะผู้นาท่ีดีมีปัจจัย 2 อย่าง คือ คน (People) และผลผลิต (Product) โดยกาหนดคุณภาพและลักษณะสัมพันธภาพของคนเป็น 1-9 และกาหนด ผลผลิตเป็น 1-9 เช่นกัน และสรุปว่าถ้าคนมีคุณภาพสูงจะส่งผลให้ผลผลิตมีปริมาณและคุณภาพสูง ตามไปด้วย เรียกรปู แบบนี้ว่า Nine-Nine style (9, 9 style) ซ่ึงรูปแบบของการบริหารแบบตาข่ายน้ี จะแบ่งลักษณะเด่น ๆ ของผู้นาไว้ 5 แบบ คือ แบบมุ่งงานเป็นหลัก แบบมุ่งคนเป็นหลัก แบบมุ่งงาน ตา่ ม่งุ คนตา่ แบบทางสายกลาง และแบบทางานเป็นทมี (1) แบบมุ่งงาน (Task-oriented /Authority compliance) แบบ 9,1 ผู้นาจะมุ่งเอา แต่งานเปน็ หลกั (Production Oriented) สนใจคนน้อย มีพฤติกรรมแบบเผด็จการ จะเป็นผู้วางแผน กาหนดแนวทางการปฏิบัติ และออกคาส่ังให้ผู้ใต้บังคับบัญชาปฏิบัติตามเน้นผลผลิตไม่สนใจสัมพันธ ภาพของผรู้ ่วมงาน หา่ งเหินผู้รว่ มงาน (2) แบบมุ่งคนสงู (Country club management) แบบ 1, 9 ผู้นาจะเน้นการใช้มนุษย สัมพันธ์และเน้นความพึงพอใจของผู้ตามในการทางาน ไม่คานึงถึงผลผลิตขององค์การส่งเสริมให้ทุก คนมีความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวใหญ่ที่มีความสุข นาไปสู่สภาพการณ์ส่ิงแวดล้อมและมี ความสุขในการทางาน การนิเทศในการทางานควรมีเพียงเล็กน้อยไม่จาเป็นต้องมีการควบคุมในการ ทางาน ลักษณะคล้ายการทางานในครอบครัวท่ีมุ่งเน้นความพึงพอใจ ความสนุกสนานในการทางาน ของผูร้ ว่ มงาน เพ่อื หลกี เล่ยี งการตอ่ ต้านตา่ ง ๆ (3) แบบม่งุ งานตา่ ม่งุ คนตา่ (Impoverisbed) แบบ 1, 1 ผูบ้ ริหารจะสนใจคนและสนใจ งานน้อยมาก ใช้ความพยายามเพียงเล็กน้อยเพื่อให้งานดาเนินไปตามที่มุ่งหมาย และคงไว้ซึ่งสมาชิก ภาพขององคก์ าร ผู้บริหารมีอานาจในตนเองต่า มีการประสานงานกับผู้ใต้บังคับบัญชาน้อยเพราะขาด สภาวะผู้นา และมักจะมอบหมายใหผ้ ใู้ ต้บงั คับบญั ชาทาเป็นสว่ นใหญ่
31 (4) แบบทางสายกลาง (middle of the road management) แบบ5, 5 ผู้บริหารหวัง ผลงานเท่ากบั ขวัญและกาลงั ใจของปฏบิ ัตงิ าน ใชร้ ะบบราชการท่ีมีกฎระเบยี บแบบแผน ผลงานได้จาก การปฏิบัติตามระเบียบ โดยเน้นขวัญ ความพึงพอใจ หลีกเล่ียงการใช้กาลังและอานาจยอมรับผลท่ี เกดิ ขึน้ ตามความคาดหวังของผู้บรหิ าร มีการจัดต้ังคณะกรรมการในการทางานหลีกเลี่ยงการทางานที่ เสยี งเกินไป มีการประนีประนอมในการจัดการกับความขัดแย้ง ผู้ร่วมคาดหวังว่าผลประโยชน์มีความ เหมาะสมกบั การปฏบิ ัตงิ านทไ่ี ดก้ ระทาลงไป (5) แบบทางานเป็นทีม (Team management) แบบ 9, 9 ผู้บริหารให้ความสนใจท้ัง เรื่องงานและขวัญกาลังใจผู้ใต้บังคับบัญชา คือ ความต้องการขององค์การและความต้องการของคน ทางานจะไม่ขัดแย้งกัน เน้นการทางานอย่างมีประสิทธิภาพ บรรยากาศในการทางานสนุกผลสาเร็จ ของงานเกิดจากความรู้สึกยึดมั่นของผู้ปฏิบัติตามอาศัยซึ่งกันและกัน ระหว่างสมาชิก สัมพันธ์ภาพ ระหว่างผู้บริหารกับผู้ตาม เกิดจากความไว้ใจ เค้ารพนับถือซ่ึงกันและกัน ผู้บริหารแบบน้ีเชื่อว่า ตน เป็นเพียง ผู้เสนอแนะหรือให้คาปรึกษาแก่ผู้ใต้บังคับบัญชาเท่าน้ัน อานาจการวินิจฉัยสั่งการและ อานาจการปกครองบังคับบัญชายังอยู่ท่ีผู้ใต้บังคับบัญชามีการยอมรับความสามารถของแต่ละบุคคล ก่อใหเ้ กิดความคดิ สร้างสรรค์ในการทางาน ผวู้ ิจยั ได้สรปุ วา่ ผ้นู าตามความคิดน้ีจะวัดท่ีคุณภาพของคน และผลผลิตของงาน และพบว่า ลักษณะผ้นู าท่ีมพี ฤติกรรมแบบทางานเปน็ ทมี จะมปี ระสทิ ธิภาพมากทสี่ ุด 4) แนวคดิ ทฤษฎี เอก็ ซ์ วาย ของแคเกรเกอร์ (mcGregor’s : T Y Theory) ดักลาส แมคเกรเกอร์ (Douglas McGregor 1960, pp. 33-34 อ้างถึงในสร้อยตระกูล อรรถมานะ, 2541 หน้า 106-107) เป็นนักจิตสังคมจิตสังคมอเมริกา ซึ่งทฤษฎีนี้เกี่ยวกับข้องกับ ทฤษฎีแรงจูงใจและทฤษฏีความต้องการข้ันพ้ืนฐานของมาสโลว์ ซึ่ง McGregor มีความเห็นว่า การ ทางานกับคนจะต้องคานึงถงึ ธรรมชาติของมนุษยแ์ ละพฤตกิ รรมของมนุษย์ คือ มนุษย์มีความต้องการ พื้นฐานและแรงจูใจ ผู้บริหารที่มีประสิทธิภาพจะต้องให้ส่ิงที่ผู้ตามหรือผู้ใต้บังคับบัญชาเกิดความ ศรทั ธาและกระตอื รอื ร้นช่วยกันปฏิบัติงานให้บรรลุจดุ ม่งุ หมาย Theory X พ้ืนฐานของคน คือ ไม่ชอบทางาน พ้ืนฐานคนข้ีเกียจ อยากได้เงิน อยากสบาย เพราะฉะน้ันบุคคลกลุ่มนี้จาเป็นต้องคอยควบคุมตลอดเวลา และต้องมีการลงโทษมีกฎระเบียบอย่าง เครง่ ครดั Theory Y เปน็ กลุ่มท่ีมองในแง่ดี มีความตระหนกั ในหนา้ ทค่ี วามรับผิดชอบเต็มใจทางาน มี การเรียนรู้ มกี ารพัฒนาตนเอง พฒั นางาน มคี วามคิดสรา้ งสรรค์ และมีศักยภาพในตนเอง ผู้วิจัยได้สรุปว่า ผู้นาต้องเข้าใจความแตกต่างพ้ืนฐานของบุคคลสามารถวิเคราะห์บุคลากร ในองค์กร โดยสมมติฐาน ตามทฤษฎีเอ็กซ์ ให้ความสาคัญกับความต้องการค้านความม่ันคงของ บุคลากร สว่ นทฤษฎวี าย จะสมมติฐานให้ความสาคัญกับส่ิงที่ทาให้บุคลากร เกิดความพึงพอใจในการ ปฏบิ ัตงิ านเพอื่ สร้างแรงจงู ใจตรงตามทต่ี อ้ งการ เกิดความกระตือรือร้นให้บรรลวุ ตั ถุประสงค์
32 2.2.2.3 ทฤษฎตี ามสถานการณ์ (Situational or contingency leadership theory) เป็นทฤษฎีท่ีนาปัจจัยส่ิงแวดล้อมของผู้นามาพิจารณาว่ามีความสาคัญต่อความสาเร็จของ ผู้บริหาร ขนึ้ อย่กู ับส่ิงแวดล้อมหรอื สถานการณท์ ีอ่ านวยให้ ซึ่งศึกษาจากแนวคดิ ทฤษฎีตา่ ง ๆ ดังน้ี 1) แนวคดิ ทฤษฎี 3-D Management Style เรดดิน (Reddin, 1970, p. 230 อ้างใน เสริศักดิ์ วิศาลาภรณ์, 2536, หน้า 20) เพิ่มมิติ ประสิทธิผล เข้ากับมิติพฤติกรรมด้านงาน และมิติพฤติกรรมด้านมนุษย์สัมพันธ์ เรดดินกล่าวว่าแบบ ภาวะผู้นาต่าง ๆ อาจมีประสิทธิผลหรือไม่ก็ได้ข้ึนอยู่กับสถานการณ์ ซ่ึงประสิทธิผลจะหมายถึง การท่ี ผู้บริหารประสบความสาเร็จในผลงานตามบทบาทหน้าท่ีและความรับผิดชอบท่ีมีอยู่แบบภาวะผู้นาจะมี ประสิทธิผลมากหรือน้อยไม่ได้ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการบริหารท่ีมุ่งงานหรือมนุษยสัมพันธ์ซ่ึงแบบภาวะ ผู้นากับสถานการณ์ท่ีเข้ากันได้อย่างเหมาะสม เรียกว่า มีประสิทธิผลแต่ถ้าไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ เรียกว่า ไม่มีประสิทธิผล และ เรดดินยังแบ่งผู้นาตามแนวคิดทฤษฎี 3D Management Style ออกเปน็ 4 แบบ ดังตารางที่ 2 แสดงภาวะผนู้ าตามแนวคิดทฤษฎี 3-D management Style ดงั น้ี ตารางที่ 2.1 ภาวะผนู้ าตามแนวคิดทฤษฎี 3-D management Style ผนู้ าทีไ่ ม่มีประสทิ ธภิ าพ ลักษณะพ้ืนฐาน ผนู้ าท่มี ปี ระสิทธภิ าพ ภาวะผู้นา 1. แบบหนีงาน (Deserter) แบบแบ่งแยก แบบข้าราชการ (Bureaucrat) คือ คือ ผู้นาท่ีเอาแต่ผลของงาน (Separated) ทางานแบบเคร่ืองจักรไม่มีความคิดสร้าง อยา่ งเดียว สรรคใ์ หง้ านเสร็จไปวัน ๆ 2. แบบอัตตนิยม (Autocrat) แบบเสียสละ แบบเผด็จการท่ีมีใจเมตตา (Benevo- คือ ผู้นาท่ีเอาแต่ผลของงาน Dedicated lent Autocrat) คือ มคี วามเมตตากรุณา อย่างเดียว ผู้ร่วมงานมากขน้ึ 3. แบบนักบุญ (Missionary) แบบเนน้ ความสมั พันธ์ แบบนักพัฒนา (Developer) คือ ต้อง คือ ผู้นาเห็นแก่สัมพันธภาพ (Related) รจู้ กั พฒั นาผ้ตู ามให้มีความรบั ผดิ ชอบงาน เ สี ย ส ล ะ ท า ค น เ ดี ย ว จึ ง ไ ด้ มากขน้ึ คุณภาพงานต่า 4. แบบประนีประนอม (Com- แบบผนึกรวมกนั แบบนักบริหาร (Executive) คือ ต้องมี promiser) คือผู้นาจะประณี (Integrated) ผลงานดีเลิศและสมั พันธภาพก็ดีดว้ ย ประนอมทกุ ๆ เรอื่ ง
33 ผนู้ าท่ไี มม่ ีประสิทธิภาพลกั ษณะพ้นื ฐาน ภาวะผูน้ าผนู้ าทีม่ ปี ระสิทธภิ าพ 1. แบบหนีงาน (Deserter) คือ ผู้นาที่เอาแต่ผลของงานอย่างเดียวแบบแบ่งแยก (Sepa- rated) แบบข้าราชการ (Bureaucrat) คือ ทางานแบบเครื่องจักรไม่มีความคิดสร้างสรรค์ให้งานเสร็จ ไปวัน ๆ 2. แบบอัตตนิยม (Autocrat) คือ ผู้นาท่ีเอาแต่ผลของงานอย่างเดียว แบบเสียสละ Dedicated แบบเผค็จการที่มีใจเมตตา (Benevolent Autocrat) คือ มีความเมตตากรุณาผู้ร่วมงาน มากขึน้ 3. แบบนกั บุญ (Missionary) คอื ผนู้ าเห็นแกส่ ัมพันธภาพเสียสละทาคนเดยี วจึงได้คุณภาพ งานตา่ แบบเน้นความสัมพันธ์ (Related) แบบนักพฒนา (Developer) คือ ต้องรู้จักพัฒนาผู้ตามให้มี ความรับผิดชอบงานมากขนึ้ 4. แบบประนีประนอม (Compromiser) คือผู้นาจะประนีประนอมทุก ๆ เรื่องแบบผนึก รวมกัน (Integrated) แบบนักบริหาร (Executive) คือ ต้องมีผลงานดีเลิศและสัมพันธภาพก็ดีด้วย (เสรมิ ศกั ดิ์ วิศาลาภรณ์, 2536, หน้า 21) ผู้วิจัยได้สรุป ภาวะผู้นาตามแนวคิดของเรดดิน ได้คานึงถึงภาวะผู้นา 3 ประเภท คือ ลักษณะภาวะผู้นาท่ีไม่มีประสิทธิภาพ ลักษณะพ้ืนฐานภาวะผู้นา และลักษณะภาวะผู้นาที่มีประสิทธิ ภาพ นามาเปรียบเทียบมีความเข้าใจชัดเจนมากยิ่งข้ึน ผู้นาหรือนักบริหารท่ีมีผลงานดีเลิศต้องมี สมั พันธภาพทดี่ ี 2) แนวคิดทฤษฎีวงจรชีวติ Life-Cycle Theory เฮอร์เซย์และบลันชาร์ด (Hersey and Blanchand อ้างใน ประเสริฐสมพงษ์ธรรม, 2537, หน้า 50) ได้เสนอทฤษฎีวงจรชีวิต โดยได้รับอิทธิพลจากทฤษฎีเรดดินและยังยึดหลักการ เดียวกัน คือ แบบภาวะผู้นาอาจมีประสิทธิผลหรือไม่ก็ได้ ข้ึนอยู่กับสถานการณ์ องค์ประกอบของ ภาวะผู้นาตามสถานการณ์ตามทฤษฎีของเฮอรเ์ ซย์และบลันชาร์ดประกอบดว้ ย (1) ปรมิ าณการออกคาส่ัง คาแนะนาตา่ ง ๆ หรอื พฤตกิ รรมดา้ นงาน (2) ปริมาณการสนบั สนุนทางอารมณ์ สังคม หรือพฤติกรรมดา้ นมนุษยสมั พนั ธ์ (3) ความพรอ้ มของผ้ตู ามหรอื กลมุ่ ผตู้ าม เฮอร์เซยแ์ ละบลนั ชาร์ด แบง่ ภาวะผนู้ าออกเป็น 4 แบบ คอื (1) ผู้นาแบบบอกทุกอย่าง (Telling) ผู้นาประเภทน้ีจะให้คาแนะนาอย่างใกล้ชิดและดูแล ลูกน้องอย่างใกล้ชิด เหมาะสมกับผู้ตามท่ีมีความพร้อมอยู่ในระดับท่ี 1 คือ (M1) บุคคลมีความพร้อม อยู่ในระดับตา่
34 (2) ผู้นาแบบขายความคิด (Selling) ผู้นาประเภทน้ีจะคอยชี้แนะบ้างว่าผู้ตามขาดความ สามารถในการทางาน แต่ถ้าผู้ตามได้รับการสนับสนุนให้ทาพฤติกรรมนั้นโดยการให้รางวัลก็จะทาให้ เกิดความเต็มใจท่ีจะรับผิดชอบงานและกระตือรือร้นท่ีจะทางานมากข้ึน ผู้บริหารจะใช้วิธีการติดต่อ สอ่ื สารแบบ 2 ทาง และต้องคอยสั่งงานโดยตรง อธบิ ายให้ผ้ตู ามเขา้ ใจ จะทาให้ผู้ตามเข้าใจและตัดสิน ใจในการทางานได้ดี เหมาะกับผู้ตามที่มีความพร้อมในการทางานอยู่ในระดับที่ 2 คือ (M2) บุคคลมี ความพรอ้ มอยูใ่ นระดับต่าถงึ ปานกลาง (3) ผู้นาแบบเน้นการทางานแบบมีส่วนรว่ ม (Participation) ผนู้ าประเภทนี้จะคอยอานวย ความสะดวกต่าง ๆ ในการตัดสินใจ มีการซักถาม มีการติดต่อส่ือสาร 2 ทางหรือรับฟังเรื่องราว ปัญหาต่าง ๆ จากผู้ตาม คอยให้ความช่วยเหลือในด้านต่าง ๆ ทั้งทางตรงและทางอ้อม ทาให้ผู้ตาม ปฏิบัติงานไดเ้ ต็มความรู้ความสามารถและมีประสิทธิภาพ เหมาะกับผู้ตามที่มีความพร้อมอยู่ในระดับ 3 (M3) คือความพรอ้ มขิงผู้ตามอยู่ในระดับปานกลางถึงระดับสูง ซึ่งเป็นบุคคลท่ีมีความสามารถแต่ไม่ เตม็ ใจท่จี ะรับผิดชอบงาน (4) ผนู้ าแบบมอบหมายงานใหท้ า (Delegation) ผู้บรหิ ารเพยี งให้คาแนะนาและช่วยเหลือ เล็ก ๆ น้อย ๆ ผู้ตามคิดและตัดสินใจเองทุกอย่าง เพราะถือว่าผู้ตามท่ีมีความพร้อมในการทางาน ระดับสูงสามารถทางานให้มีประสิทธิภาพได้ดี เหมาะกับผู้ตามท่ีมีความพร้อมอยู่ในระดับ 4 (M4) คือ ความพรอ้ มอยู่ในระดับสูง ซ่ึงเป็นบุคคลที่มีทั้งความสามารถแล้เต็มใจหรือมั่นใจในการรับผิดชอบการ ทางาน ผู้วิจัยได้สรุปภาวะผู้นาตามแนวคิดของเฮอร์เซย์ และบลันชาร์ด แสดงถึงความสัมพันธ์ ภาวะผู้นากับผู้ตามขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ใช้ประกอบการบริหารบุคลากรใน 4 แบบและในแบบที่ 4 ผ้นู าแบบมอบหมายงานให้ทา (Delegation) จะเปน็ ลักษณะภาวะผู้นาท่มี ปี ระสิทธิภาพมากทส่ี ดุ 3) แนวคิดแบบภาวะผู้นาท่ีมีประสิทธิผล ของฟิดเลอร์ (Fiedler’s Contingency Model of Leadership Effectiveness) ฟิดเลอร์ (Fiedler, 1967 : 79 อ้างใน สร้อยตระกูล อรรถมานะ, 2541, หน้า 264-265) กลา่ ววา่ ภาวะผนู้ าทีม่ ปี ระสิทธิภาพทีค่ านงึ ถึงตัวแปรกาหนดสถานการณท์ ีเ่ อ้ือตอ่ การใช้ความเป็นผู้นา ประกอบดว้ ยปัจจยั 3 สว่ น คอื (1) ความสัมพันธ์ระหว่างผู้นาและผู้ตาม บุคลิกภาพของผู้นา มีส่วนสาคัญที่จะทาให้กลุ่ม ยอมรบั (2) โครงสรา้ งของงาน งานท่ีให้ความสาคัญ เก่ียวกับโครงสร้างของงานอานาจของผู้นาจะ ลดลง แตถ่ า้ งานใดต้องใชค้ วามคิด การวางแผน ผู้นาจะมอี านาจมากขนึ้ (3) อานาจของผนู้ า ผนู้ าทดี่ ีทสี่ ุด คือ ผทู้ เี่ หน็ งานสาคัญทีส่ ุดแต่ถ้าผู้นาที่จะทาเช่นน้ีได้ผู้นา ต้องมีอานาจและอิทธิพลมากแต่ถ้าผู้นามีอิทธิพลหรืออานาจไม่มากพอจะกลายเป็นผู้ นาท่ีเห็นความ สาคญั ของสมั พันธภาพระหว่างผู้นาและผตู้ ามมากกว่าเหน็ ความสาคญั ของงาน
35 ผู้วิจัยได้สรุปแนวแบบภาวะผู้นาที่มีประสิทธิผลคิดตามทฤษฎีของฟิดเลอร์ (Fiedler) ผู้นา ได้คานึงถึงตวั แปร ได้แก่ ความสมั พันธ์ระหว่างบุคลโครงสรา้ งของงาน และอานาจของผู้นา ท่ีสามารถ กาหนดสถานการณ์ ที่เอื้อให้ผู้บริหารใช้ความเป็นผู้นาที่มีประสิทธิภาพและสามารถควบคุมสถาน การณข์ ององค์กรได้ 2.1.2.4 ทฤษฎภี าวะผูน้ าการเปลีย่ นแปลง (Transformational leadership theory) ภาวะผนู้ าการเปลย่ี นแปลง (Transformational leadership theory) เปน็ ทฤษฎีของการ ศึกษาภาวะผู้นาแนวใหม่ หรือกระบวนทัศน์ใหม่ (New paradigm) ของภาวะผู้นาโดยมีแบสและอโว ลิโอ (Bass & Avolio) เป็นสองท่านแรกที่ได้กล่าวถึงภาวะผู้นาการเปล่ียนแปลงโดยแสดงให้เห็นเป็น ทฤษฎีของการศึกษาภาวะผู้นาแนวใหม่ เนื่องจากภาวะผู้นาการเปล่ียนแปลงเป็นการเปล่ียนแปล ง กระบวนทัศน์ไปสู่ความเป็นผู้นาท่ีมีวิสัยทัศน์ (Visionary) และมีการกระจายอานาจ หรือเสริมสร้าง พลังจูงใจ (Empowering) และเป็นผู้มีคุณธรรม (Moral agents) และกระตุ้นผู้ตามให้มีความเป็น ผนู้ า ก่อนจะมาเป็นแนวคิดทฤษฎีภาวะผู้นาการเปล่ียนแปลง ทฤษฎีภาวะผู้นาท่ีเร่ิมต้นมาก่อน คือ ทฤษฎีภาวะผู้นาแบบมีบารมี (Charismatic leadership) โดยแมกซ์เวเบอร์ (Max Weber) ใน ทศวรรษที่ 1920 ได้เสนอทฤษฎีภาวะผู้นาแบบมีบารมีเม่ือผลงานของเขาได้แปลเป็นภาษาอังกฤษใน ปี ค.ศ.1947 ได้กระตุ้นความสนใจของนักสังคมวิทยาและนักรัฐศาสตร์ท่ีศึกษาด้านภาวะผู้นา พฤตกิ รรมของผู้นาแบบมบี ารมจี ะประกอบด้วย (1) การสรา้ งภาพประทับใจให้ผูต้ ามมีความมน่ั ใจในตัวผนู้ า (2) ประกาศอย่างชัดเจนถงึ เปา้ หมายทางอดุ มการณ์ (3) สอ่ื สารให้ผูต้ ามทราบถงึ ความคาดหวังอย่างสูงทผ่ี นู้ ามตี ่อผู้ตาม (4) แสดงความมน่ั ใจแก่ผตู้ าม ทฤษฏีภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปรงในทัศนะของแบสและอโวลิโอ (Bass &Avoli อ้างถึงใน ประยุทธ ชูสอน, 2548, หน้า 16) ได้พัฒนารูปร่างข้ึน โดยการศึกษาวิจัยรวบรวมข้อมูลพัฒนาละ ฝกึ อบรมจากทุกระดับในองคก์ ารและในสังคม ทงั้ กับผู้นาทุกระดบั ในสังคม ทง้ั กบั ผู้นาทุกระดับและไม่ มีประสิทธิภาพ ไม่มีกิจกรรม จนถึงผู้นาท่ีมีประสิทธิภาพสูง มีความกระตือรือร้น ท้ังในวงการธุรกิจ อุตสาหกรรม ราชการทหาร โรงพยาบาล สถานศึกษา ในต่างเช้ือชาติและต่างวัฒนธรรม ผลการ ศึกษาแสดงให้เห็นว่าภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลง ท่ีวัดโดยเครื่องมือวัดภาวะผู้นาพหุองค์ประกอบ (Multifactor Leadership Questionnaire: MLQ) ที่สร้างและพัฒนาโดยแบสละอโวลิโอเป็นภาวะ ผู้นาที่มีประสิทธิภาพ และให้ความพึงพอใจมากกว่าภาวะผู้นาแบบแลกเปลี่ยน (Transactional leadership) ซ่งึ มีงานวจิ ัยเชิงประจักษ์และการศึกษาเชิงทฤษฏีจานวนมาก แสดงให้เห็นว่าภาวะผู้นา การเปลี่ยนแปลง (Transactional leadership) มีอิทธิพลอย่างมีมัยสาคัญต่อการเพ่ิมการปฏิบัติงาน
36 ของบุคลากรและขององค์การต่อมาแบส (Bass, 199, 121 อ้างใน ประเสริฐ สมพงษ์ธรรม, 2537, หน้า 60) ได้เสนอภาวะผู้นาแบบพิสัยเต็ม (The full RangeModel of Leadership) โดยใช้ผลจาก การวิเคราะห์องค์ประกอบภาวะผู้นา 3 แบบ คือภาวะผู้นาการเปล่ียนแปลง(Transformational leadership) ภาวะผู้นาการแลกเปลี่ยน (Transactionalleadership) ภาวะผู้นาปล่อยตามสบาย (Laissez-faire leadership) ดังมรี ายการละเอียดตอ่ ไปน้ี 1) ภาวะผู้นาการเปล่ียนแปลง (Transformational leadership) คือการที่ผู้นาหรือ ผู้บริหารประพฤติตัวเป็นแบบอย่าง หรือ เป็นโมเดลสาหรับผู้ตามหรือบุคลากร ผู้นาจะเป็นที่ยกย่อง เคารพนับถือ ศรัทธา ไว้วางใจ และทาให้ผู้ตามเกิดความภาคภูมิใจเมื่อได้ร่วมงานกัน และเป็น กระบวนการที่ผู้นาเปลี่ยนแปลงความพยายามของผู้ตามให้ขึ้น จากตามพยายามท่ีคาดหวังเป็นผลให้ การปฏิบัติงานเกิดความคาดหวังโดยผู้แสดงบทบาททาให้ผู้ตามมีความรู้สึกไว้วางใจ ยินดีจงรักภักดี และนับถือทาให้ผู้ตามกลายเป็นผู้มีศักยภาพ เป็นนักพัฒนา เป็นผู้ที่เสริมแรงได้ด้วยตนเอง ซึ่งผู้นา จะตอ้ งยกกระดบั ความรู้สึกของผู้ตาม ให้ความสาคัญและคุณค่าของผลลัพธ์ที่ต้องการและวิธีการท่ีจะ บรรลุผลลัพธ์ที่ต้องการ ทาให้ผู้ตามไม่คานึงถึงปะโยชน์ส่วนตน แต่อุทิศตนเพื่อองค์การโดยกระตุ้น ระดับความต้องการของมาสโลว์ (Bass 1985; Bass and Avolio 199, Bass, 1991 อ้างใน ประเสริฐ สมพงษธ์ รรม, 2537, หนา้ 61-66) ซง่ึ พฤติกรรมภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลง ตามแนวคิดของแบส และอโวลิโอมีองค์ประกอบ 4 ประการ (1) การมีอิทธิพลเชิงอุคมคติ (Charisma or Idealized Influence : CI or II) ผู้นาแสดง พฤติกรรมตามบทบาท ทาให้ผู้ตามมีความช่ืนชม มีความภูมิใจ จงรักภักดี และเชื่อถือในตัวผู้นาและ ผูน้ าได้วางแผน กาหนดแนวทางให้ผู้ตามแสดงตามโดยการสร้างวิสัยทัศน์ (Vision ) รวมกัน โดยผู้นา ซ่ึงเป็นผู้ท่ีมีวิสัยทัศน์ (Vision) และรู้ถึงพันธกิจ (Mission) ขององค์การ สร้างความเช่ือมั่น ความ ไว้วางใจในภารกิจโดยรวม เป็นผู้นาในลักษณะที่มีพฤติกรรม เจตคติ และค่านิยมของความเป็นผู้นา แสดงให้ผู้ตามเห็นว่าสามารถปฏิบัติงานบรรลุวัตถุประสงค์ในส่ิงที่ผู้ตามรู้สึกว่าเป็นไปได้สร้าง วิสัยทศั น์และวตั ถปุ ระสงคใ์ นอนาคต (2) กาสรสร้างแรงบันดาลใจ (Inspirational Motivation-IM) เป็นกระบวนการท่ีผู้นาทา ใหผ้ ตู้ ามเกดิ อารมณก์ ระตุ้น จูงใจให้ไมเ่ หน็ ประโยชนส์ ่วนตน แตอ่ ทุ ศิ ตนเพอ่ื ทมี งาน เห็นคุณค่าของผล การปฏบิ ตั งิ าน เปน็ ผลทาให้ผู้ เกิดความพยายามในการปฏิบัติงานเป็นพิเศษ โดยผู้นาใช้วิธีการง่าย ๆ ชักชวน สร้างอารมณ์ให้ผู้ตามเข้าใจวิสัยทัศน์และความหมาย มีความรู้สึกตระหนักว่าพันธกิจ ท่ีต้อง ทาเป็นสิ่งสาคัญเช่น ผู้นาใช้คาพูดหรือสัญลักษณ์สร้างจินตนาการ ภาวะผู้นาการสร้างแรงบันดาลใจ จะปรากฏเม่ือผู้นากระตุนเร้าใจ ผู้ตามเกิดแรงจูงใจให้ปฏิบัติงาน และสร้างความมั่นใจว่าผู้ตาม มี ความสามารถกระทาให้บรรลุตามวัตถุประสงค์โดย ผู้นาสร้างความม่ันใจ ผู้นาสร้างความเชื่อใน
37 เหตุผลท่ีทาให้ผู้ตามรับรู้ว่าสิ่งท่ีบุคลากรทาน้ันมีวัตถุประสงค์ และสร้างความคาดหวังในความสาเร็จ ใหผ้ ูต้ าม (3) การกระตุ้นทางปัญญา(Intellectual Stimulation-IS)เป็นกระบวนการที่ผู้นากระตุ้น ผู้ตามใหเ้ หน็ วิธกี าร หรือแนวทางใหม่ในการแกป้ ัญหาโดยการกระทาให้ผู้ตามมีความพอใจและมีความ ต้ังใจด้วยการใช้ลัญลักษณ์ จินตนาการและภาษาที่เข้าใจง่าย ส่งเสริมให้ผู้ตามเข้าใจในบทบาทและ ยอมรับในบทบาท สร้างความม่ันใจและส่งเสริมคุณค่าของผลลัพธ์ท่ีต้องการเป็นผลให้บุคลากรเกิด ความพยายาม ในการปฏิบัติงานมากข้ึนและแก้ปัญหาในการปฏิบัติงานมากขึ้นและแก้ปัญหาในการ ปฏิบัติงานด้วยความเรียบร้อย การกระต้นเชาว์ปัญญา เป็นการใช้การจูงใจโดยให้ข้อเท็จจริง ความรู้ หลักการ แนวคิด ทฤษฏีต่าง ๆ รวมทั้งกิจกรรม กลวิธี โครงการข้อเสนอแนะ โดยเสนความคิดอย่าง เปิดเผยตรงไปตรงมา มีการสนับสนุนและคัดค้านโต้แย้งพยายามเน้นจุดอ่อนของวัฒนธรรมดั้งเดิม และเน้นจุดแข็งของวัฒนธรรมในองค์การ ซ่ึงสถานการณ์ท่ีผู้นาการเปล่ียนแปลง ใช้กระตุ้นเชาว์ ปัญญาเพ่ือเปลี่ยนแปลงกลุ่มและองค์การเมื่อกลุ่มหรือองค์การถูกคุกคามจากสภาพแวดล้อม เกิด ปัญหารนุ แรงเกี่ยวกบั การลดประสิทธิภาพของหน่วยงานงานขาดประสิทธิภาพ เพราะเคร่ืองมือชารุด ขาดวัสดุอปุ กรณ์ ผู้ตามไม่มาทางาน ผู้นาต้องมีอานาจเพียงพอท่ีทาการเปล่ียนแปลง และริเริ่มวิธีการ ทสี่ ามากรแก้ปัญหาได้ท่ีองค์การเผชิญอยู่ โดยเฉพาะอย่างย่ิงผู้บริหารระดับสูงและระดับกลางจะต้อง ใช้สมาธิ ในการคิดคน้ กลวิธีและมีกิจกรรมท่ีแสดงออกให้เห็นถึงปัญหาของตนเองและผู้ตาม โดยการ วิเคราะห์การวางแผนปฏิบัติและประเมินเกิดโนทัศน์ แล้วแจ้งให้ผู้ตามรู้ถึงโอกาสหรือการคุกคาม ท่ีองค์การเผชิญอยู่ รวมท้ังจุดแข็งจุดอ่อนขององค์การและการได้เปรียบ เม่ือเปรียบเทียบกับองค์การ อื่น ๆ (4) การคานึงถงึ ความเป็นปัจเจกบุคคล (Individualized Consideration-IC) เป็นกระบวน การที่ผู้นาประพฤติทาตนเป็นผู้มุ่งเน้นการพัฒนา (Individualized of Followers) วินิจฉัยและยก ระดับความต้องการของผู้ตาม มีการติดต่อกับผู้ตามเป็นรายบุคคล และติดต่อส่ือสารแบบสองทาง เอา ใจใส่ความต้องการตามความแตกต่างระหว่างบุคคลของผู้ตามกระจายอานาจความรับผิดชอบส่งเสริม ให้ผู้ตามเกิดจินตภาพด้วยตนเอง มีความมั่นคง สามารถบูรณาการความต้องการ มีทัศนภาพท่ีชัดเจน ได้รับข่าวสารตามท่ีปรารถนาเกิดความต้องการเฉพาะมีความรู้สึกเป็นตัวของตัวเอง มีความรับผิดชอบ และควบ คมุ ตัวเองได้ จากนัน้ ผูน้ าสรา้ งความมัน่ ใจและส่งเสริมคุณค่าของผลลัพธ์ท่ีกาหนด 2) ภาวะผู้นาการแลกเปลี่ยน (Transactionalleaderships) เป็นกระบวนการที่ผู้นาให้ รางวัลหรือลงโทษผู้ตามขึ้นอยู่กับการปฏิบัติงานของผู้ตาม ผู้นาใช้กระบวนการแลกเปล่ียนเสริมแรง ตามสถานการณ์ ผนู้ าจงใจผู้ตามใหป้ ฏบิ ัตงิ านตามระดับที่คาดหวงั ไว้ ผู้นาจูงใจโดยเช่ือมโยงความต้อง การและรางวัลกบั ความสาเรจ็ ตามเป้าหมายรางวลั ส่วนใหญ่เป็นรางวลั ภายนอก ภาวะผู้นาแลกเปลี่ยน ประกอบด้วยการให้รางวัลตามสถานการณ์ (Contingent Reward : CR) การบริหารแบบวางเฉย (Management by Exception : ME)
38 3) ภาวะผู้นาแบบปล่อยตามสบาย (Laissez-Faire Leadershhip : LF) พฤติกรรมความ ไมม่ ภี าวะผู้นา (No leadership behavior) เปน็ ภาวะผนู้ าท่ีไมม่ ีความหมาย ขาดความรบั ผิดชอบไมมี การตัดสินใจ ไม่เต็มใจท่ีจะเลือกยืนอยู่ฝ่ายไหน ขาดการมีส่วนร่วมเม่ือผู้ตามต้องการผู้นา ผู้นาจะไม่ อยู่ ไม่มีวสิ ัยทศั น์เกีย่ วกบั ภารกจิ ขององค์การไม่มีความชดั เจนในเป้าหมาย จากการศึกษาแนวคิดและทฤษฏีภาวะผู้นา ซ่ึงมีการกล่าวถึงคุณลักษณะของผู้นาไว้มาก มาย ในแต่ละยุคตามระยะเวลาการพัฒนาและเปล่ียนแปลง จะเห็นได้ว่าภาวะผู้นามีอิทธิพลต่อการ บรหิ ารจดั การ โดยเฉพาะผู้ตาม หรอื บุคลากรผู้ร่วมงานได้มีความร้สู ึกไว้วางใจ ยินดีจงรักภักดี ยอมรับ นับถือ มีบรรยากาศในองค์การท่ีดี มีแรงจูงใจในการปฏิบัติงานในภารกิจ และวิสัยทัศน์ขององค์การ ทาให้เกดิ ความพงึ พอใจในการปฏิบตั งิ าน ก่อใหเ้ กดิ ประสทิ ธภิ าพและประสทิ ธผิ ลตามมา 2.3 แนวคดิ เก่ียวกับพระสังฆาธกิ าร การศึกษาวิจัยครั้งน้ี ผู้วิจัยได้ศึกษาค้นคว้าแนวคิด ทฤษฎีเก่ียวกับพระสังฆาธิการ จากเอกสารและบทความทางวิชาการต่าง ๆ ดงั น้ัน จึงไดป้ ระมวลเน้ือหาสาระเกี่ยวกับพระสังฆาธิการ ไว้ ดงั ต่อไปน้ี 2.3.1 ความหมายของพระสงั ฆาธิการ ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ มหาเถรสมาคมได้อาศัยอานาจดังกล่าวออกกฎมหาเถร สมาคมเพื่อจัดระเบียบการปกครองคณะสงฆ์ให้มีความเรียบร้อยดีงามยิ่งขึ้นเร่ือยมาจนถึงปัจจุบัน มีกฎมหาเถรสมาคม รวมทั้งสิ้น 24 ฉบับ ในกฎมหาเถรสมาคม ฉบับท่ี 23 (พ.ศ. 2541) ว่าด้วย ระเบยี บการปกครองคณะสงฆ์ สว่ นกฎมหาเถรสมาคม ฉบบั ที่ 24 (พ.ศ. 2541) หมวด 1 ข้อ 4 ได้ให้ความหมายพระสังฆาธิการไว้ว่า พระสังฆาธิการ, สานักงาน พระพทุ ธศาสนาจังหวดั อานาจเจรญิ (2545, หนา้ 8) คาว่า “พระสังฆาธิการ” มาจากคา ว่า “สังฆ” และ “อธิการ” เป็น พระสังฆาธิการ แปล ตามรูปศัพท์ได้ว่า พระภิกษุผู้ทางานโดยสิทธิขาดในทางคณะสงฆ์ หรือพระภิกษุผู้ทางานในคณะสงฆ์ โดยมอี านาจเตม็ ตามตาแหนง่ จึงหมายถึงพระภกิ ษผุ ดู้ ารงตาแหน่งปกครองคณะสงฆ์ พระสังฆาธิการ หรือพระภิกษุผู้ดารงตาแหน่งปกครองคณะสงฆ์นี้ กาหนดตามอานาจ ปกครองตามลาดบั ชน้ั คอื 1) เจา้ คณะใหญ่ 2) เจา้ คณะภาค รองเจ้าคณะภาค 3) เจา้ คณะจังหวัด รองเจ้าคณะจังหวดั 4) เจา้ คณะอาเภอ รองเจา้ คณะอาเภอ 5) เจา้ คณะตาบล รองเจา้ คณะตาบล
39 6) เจา้ อาวาส รองเจา้ อาวาส ผชู้ ว่ ยเจ้าอาวาส เจ้าอาวาส จึงเป็นพระสังฆาธิการในลาดับท่ี 6 ซ่ึงการตาแหน่งพระสังฆาธิการของเจ้า อาวาสดังกล่าวนี้ จะมีอานาจเต็มตามกฎหมายคณะสงฆ์ กฎ มติ คาส่ังของมหาเถรสมาคมครอบคลุม งานทุกสว่ นในเขตปกครองหรือในวดั สรุปได้วา่ เจา้ อาวาส หมายถึง พระสังฆาธิการผู้มีอานาจหน้าที่ปกครองดูแลวัดในแต่ละวัด ซึ่งมีลักษณะความเป็นผู้นาทางการปกครองและในการพัฒนาพระภิกษุ สามเณร และคฤหัสถ์ที่อยู่ใน วดั ในหมู่บ้าน และในชมุ ชน 2.3.2 หน้าที่และอานาจของเจ้าอาวาส การปกครองคณะสงฆไ์ ทยในปัจจุบนั ถอื วา่ เป็นการปกครองในระบอบประชาธิปไตย โดยมี สมเด็จพระสังฆราชเป็นประธาน มีการบังคับบัญชากันลงไปตามลาดับชั้นนับต้ังแต่ระดับมหาเถระ สมาคมลงไปจนถึงเจ้าอาวาสอันเป็นการปกครองบังคับบัญชาตามเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติ คณะสงฆ์ (ฉบบั ที่ 2) พ.ศ. 2535 พระราชบัญญัตคิ ณะสงฆ์ (ฉบบั ท่ี 2) พ.ศ. 2535 มาตรา 3 ได้กาหนดอานาจหน้าที่ของเจ้า อาวาสไว้ ดงั น้ี มาตรา 37 เจ้าอาวาสมีหน้าที่ดังน้ี พระวิสุทธิภัทรธาดา (ประสิทธ์ิ พฺรหฺมร สี) (2554, หน้า 4) (1) บารุงรกั ษาวดั จดั กิจการและศาสนสมบัตขิ องวัดใหเ้ ปน็ ไปด้วยดี (2) ปกครองและสอดส่องให้บรรพชิตและคฤหัสถ์ท่ีมีท่ีอยู่ หรือพานักอาศัยอยู่ในวัดนั้น ปฏิบัตติ ามพระธรรมวนิ ยั กฎมหาเถรสมาคม ข้อบงั คบั ระเบียบหรือคาสง่ั ของมหาเถรสมาคม (3) เป็นธรุ ะในการศึกษาอบรมและสงั่ สอนพระธรรมวินัยแก่บรรพชิตและคฤหสั ถ์ (4) ให้ความสะดวกตามสมควรในการบาเพญ็ กศุ ล หน้าท่เี จ้าอาวาสดังกล่าวมาน้ี เป็นหน้าที่โดยภาพรวมลักษณะอย่างกว้าง ๆ มิได้ช้ีชัดถึงวิธี ปฏิบัติแต่อย่างใด เพราะวิธีปฏิบัติน้ันได้กาหนดหรือจะกาหนดไว้ในกิจการประเภทน้ัน ๆ แต่พอ กาหนดได้โดยลกั ษณะงานเปน็ 4 คือ ก. หนา้ ทต่ี ้องปฏบิ ตั ิใหเ้ ปน็ รูปธรรม 1) บารงุ รักษาวัดให้เปน็ ไปด้วยดี 2) จดั กิจการของวดั ใหเ้ ปน็ ไปด้วยดี 3) จดั ศาสนสมบตั ิของวดั ใหเ้ ป็นไปดว้ ยดี การบารุงรักษาวัด คือการก่อสร้าง การบูรณปฏิสังขรณ์ การปรับปรุงตกแต่งการกาหนด แบบแปลนแผนผัง ซึ่งล้วนแต่เป็นงานที่ต้องทาด้วยแรงเงินแรงงานและแรงความคิดอันเป็นส่วนสร้าง สรรคแ์ ละเสริมสร้างส่วนท่ีเป็นวัตถุให้ปรากฏเป็นรูปธรรมศาสนสถานและศาสนวัตถุของวัดวาอาราม ตา่ ง ๆ จกั ได้รบั การปรับปรุงพฒั นาให้เปน็ ไปดว้ ยดี ดว้ ยหนา้ ทขี่ องเจ้าอาวาสข้อนี้
40 การจัดกิจการของวัด คือ การจัดกิจการของวัดตามหน้าท่ีผู้ปกครองวัดและหน้าท่ีจัดกิจ การแทนวัดในฐานะผู้แทนนิติบุคคล กิจการของวัดโดยซ่ึงหมายถึงกิจการ 5 ประเภท คือ การศาสน ศึกษา การศกึ ษาสงเคราะห์ การเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนา การสาธารณูปการ และการสาธารณสงเคราะห์ ซ่ึงสอดคล้องกับระเบียบการปกครองคณะสงฆ์ส่วนกลางและส่วนภูมิภาคซึ่งวิธี ปฏิบัติน้ันมหาเถร สมาคมได้กาหนดขึ้น หรือท่ีจะกาหนดข้ึนในกาลต่อไปหรือท่ีต้องปฏิบัติตามจารีตประเพณีอันดีงาม ส่วนกจิ การท่ีต้องจัดการแทนวัดในฐานะผู้แทน เช่น การรับทรัพย์สินการอรรถคดี กิจการเหล่านี้ เจ้า อาวาสจะต้องจัดการให้เป็นไปได้ด้วยดี คือเป็นไปโดยถูกต้องตามระเบียบแบบแผนหรือจารีตว่าด้วย เร่ืองนั้น การจดั การศาสนสมบตั ิ หมายถงึ การดูแลและรกั ษา การใชจ้ ่าย การจดั หาทรพั ย์สินของวัด ตลอดจนการบัญชีท้ังส่วนท่ีเป็นศาสนวัตถุ ศาสนสถานและศาสนสมบัติของวัดท่ีตนเป็นเจ้าอาวาสให้ เป็นไปดว้ ยดี คอื ให้เป็นไปตามวธิ กี ารทีก่ าหนดในกฎกระทรวง ข. หน้าท่ใี นการปกครองบรรพชติ และคฤหัสถ์ในวัด 1) ปกครองพรรพชติ และคฤหัสถ์ในวัด 2) สอดสอ่ งบรรพชิตและคฤหัสถ์ในวัด ปกครอง หมายถึง การคุ้มครองปกปักรักษาให้บรรพชิตและคฤหัสถ์ผู้ท่ีมีอยู่หรือพานัก อาศัยอยู่ในวัดน้ัน ได้เป็นอยู่ด้วยความผาสุก ให้ความอนุเคราะห์ในส่วนท่ีอยู่อาศัยและปัจจัยตาม สมควร หรือกล่าวอีกนัยหน่ึงว่า ช่วยบาบัดทุกข์บารุงสุขแก่บรรพชิตและคฤหัสถ์ดังกล่าวด้วยพรหม วหิ ารธรรมตามควรแก่เหตุ สอดส่อง หมายถึง การตรวจตราและเอาใจใส่ดูแลการประพฤติปฏิบัติของบรรพชิตและ คฤหสั ถ์ท่มี ถี ิ่นที่อยู่หรอื พานักอาศัยอยใู่ นวัดนั้น ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยดีงามรวมถึงควบคุมและ บังคับบัญชาบรรพชิตและคฤหัสถ์ดังกล่าวให้ปฏิบัติตามพระธรรมวินัย กฎหมาย กฎมหาเถรสมาคม และรวมถึงการวา่ กลา่ วและนาช้ีแจง เกี่ยวกับการปฏิบัติดังกล่าวด้วย ทั้งนี้เพื่อความเจริญรุ่งเรืองแห่ง วดั และพระศาสนาอันเปน็ ส่วนรวม ปกป้องคุ้มครองบรรพชิตและคฤหัสถ์ คือ การคอยปกป้องผองภัยอันตรายทั้งหลายภาย นอก ไม่ให้เข้ามาเบียดเบียนทาร้ายพระภิกษุสามเณรหรือคฤหัสถ์ ที่อยู่ภายในวัดของตนให้มีความ ปลอดภัยจากอันตรายทั้งหลายเปรียบเสมือนแม่ไก่กางปีกป้องคุ้มครองลูกของตนให้มีความปลอดภัย จากภยันตรายทัง้ ปวงน่นั เอง, พระมหาบุญมี ปญุ ฺวฑุ โฺ ฒ (2555, หน้า 6-69) ค. หนา้ ท่ีเป็นธรุ ะจัดการศกึ ษาและอบรม 1) ในการจดั การศาสนศึกษา 2) ในการอบรมสัง่ สอนพระธรรมวินัย การจัดการศาสนศกึ ษา หมายถึง การจัดให้มีการเรียนการสอนพระปริยัติธรรมให้บรรพชิต และคฤหัสถ์ได้ศึกษาเล่าเรียน ท้ังแผนกบาลีและแผนกธรรม (รวมถึงธรรมศึกษาด้วย) หรือเฉพาะ
41 แผนกใดแผนกหนึ่ง ซึ่งยึดแบบแผนตามจารีตประเพณีที่โดยปฏิบัติสืบมาโดยตรง ได้แก่ การจัดตั้ง สานักศาสนศึกษาแผนกบาลีและแผนกธรรม หรือการให้พระภิกษุสามเณรไปเรียนท่ีวัดใกล้เคียงซ่ึงมี สานักศาสนศกึ ษาดงั กลา่ ว การอบรมสั่งสอนพระธรรมวินัย หมายถึง การจัดให้มีการอบรมสั่งสอนพระธรรมวินัยแก่ บรรพชติ ตามวิธีการที่กาหนดในคาส่ังมหาเถรสมาคม เร่ือง ให้ภิกษุสามเณรเรียนพระธรรมวินัย พ.ศ. 2528 และการจดั ใหม้ ีการอบรมสงั่ สอนพระธรรมวินัยแก่คฤหัสถ์ในรูปแบบอื่น ๆ รวมถึงการฝึกอบรม ระเบียบแบบแผนเก่ียวกับการปฏิบัติตามพระธรรมวินัยและการปฏิบัติศาสนกิจของพระสงฆ์ ฝึกซ้อม เร่ืองสังฆกรรมและพิธีกรรมทางพระศาสนา ตลอดจนฝึกอบรมการปฏิบัติการปฏิบัติศาสนกิจของ คฤหัสถ์ เชน่ การท าวตั รสวดมนตป์ ระจาวันพระ การสมาทานอโุ บสถศีลและปฏิบัตศิ าสนพธิ อี ืน่ ๆ ง. หน้าทอ่ี านวยความสะดวกในการบาเพญ็ กุศล หน้าทอ่ี านวยความสะดวกในการบาเพ็ญกุศลน้ัน เป็นหน้าที่เชื่อมโยงผูกพันกับสังคมท้ังใน ส่วนวัดและนอกวัด และเป็นหน้าท่ีอันเกี่ยวกับผลประโยชน์ท้ังโดยตรงและโดยอ้อมซ่ึงพอแยกได้โดย ลักษณะ คือ 1) การอานวยความสะดวกแก่บรรพชิตและคฤหัสถ์ ที่ขอใช้วัดเป็นท่ีจัดบาเพ็ญกุศลทั้ง ท่ีเปน็ ส่วนตวั และส่วนรวม 2) การอานวยความสะดวกในการบาเพ็ญกุศลของวัดเอง ทั้งท่ีเป็นการประจาและเป็น การจร 3) การอานวยความสะดวกแก่ประชาชนผู้จะบาเพ็ญกุศลนอกวัด แต่ขอรับคาปรึกษา และความอุปถมั ภจ์ ากเจ้าอาวาสหรอื จากวัด 4) การสร้างสถานที่เพ่ืออานวยความสะดวกในการบาเพ็ญกุศล เช่น การสร้างฌาปน สถาน มีเมรเุ ผาศพ ศาลาพกั ศพหรอื ศาลาบาเพญ็ กุศลและทเ่ี กบ็ ศพ เป็นต้น หน้าที่เจ้าอาวาสข้อนี้ มีคาที่ต้องพิเคราะห์คือ คาว่า “ตามสมควร” คือต้องให้การบาเพ็ญ กุศลท่ีเกิดจากการอานวยความสะดวกน้ัน เป็นไปตามระเบียบแบบแผนไม่มีสิ่งที่เป็นพิษภัย เช่น อบายมขุ แฝงอยู่ เป็นต้น จากหน้าที่ของเจ้าอาวาสตามท่ีระบุไว้ 4 ประการ ข้างต้นน้ี ทาให้เจ้าอาวาสต้องมีอานาจ เพอ่ื ใชใ้ นการควบคุมดแู ลและบริหารสงั่ การ ตามความในมาตราที่ 3 แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 อันเป็นกฎหมายสูงสุด ของคณะสงฆไ์ ทย ใหอ้ านาจเจ้าอาวาสไว้วา่ 3 ประการ คอื มาตรา 3 เจา้ อาวาสมีอานาจดังนี้ (1) ห้ามบรรพชิตและคฤหสั ถ์ซ่งึ มไิ ด้รับอนุญาตของเจา้ อาวาสเขา้ ไปอยู่อาศยั ในวัด (2) สั่งใหบ้ รรพชิตและคฤหัสถ์ซึง่ ไมอ่ ยูใ่ นโอวาทของเจา้ อาวาสออกไปเสียจากวัด
42 (3) สั่งให้บรรพชิตและคฤหัสถ์ท่ีมีที่อยู่หรือพานักอาศัยในวัด ท างานภายในวัดหรือให้ทา ทณั ฑ์บนหรือให้ขอขมาโทษในเม่ือบรรพชิตหรือคฤหัสถ์ในวัดน้ันประพฤติผิด คาส่ังเจ้าอาวาสซ่ึงได้สั่ง โดยชอบด้วยพระธรรมวนิ ยั กฎมหาเถรสมาคม ขอ้ บงั คับระเบยี บหรือคาสงั่ ของมหาเถรสมาคม อน่ึง ในกรณีท่ีไม่มีเจ้าอาวาสหรือเจ้าอาวาสไม่อาจปฏิบัติหน้าท่ีได้ ให้แต่งตั้งผู้รักษาการ แทนเจา้ อาวาส ใหผ้ ้รู กั ษาการแทนเจา้ อาวาสมอี านาจและหนา้ ที่เช่นเดียวกับเจ้าอาวาส สรุปได้ว่า หน้าที่ของเจ้าอาวาส ได้แก่ บารุงรักษาวัด จัดกิจการและศาสนสมบัติของ วัดและปกครองและสอดส่องให้บรรพชิตและคฤหัสถ์ที่มีที่อยู่พร้อมต้องเป็นธุระในการศึกษาอบรม และส่ังสอนพระธรรมวินัยแก่บรรพชิตและคฤหัสถ์นั้นด้วย ท้ังยังต้องคอยอานวยความสะดวกแก่ พทุ ธศาสนกิ ชนในการบาเพ็ญกุศลตามท่ีสมควร ดังกล่าวน้ี ทาให้เจ้าอาวาสต้องมีอานาจเพ่ือใช้ในการ ควบคุมดแู ลและบริหารส่ังการ เพื่อใหก้ ารปฏิบตั หิ นา้ ท่ีที่ได้รับมอบหมายเป็นไปได้ด้วยความเรียบร้อย ดีงามตามหลักพระธรรมวินัย กฎหมายคณะสงฆ์ กฎ มติ คาส่ังของมหาเถรสมาคมศาสนศึกษา ดังกล่าวว่า คณะสงฆ์ยังมิได้กาหนดวัตถุประสงค์ไว้โดยชัดเจนแต่โดยหลักสูตรและเนื้อหาวิชาแล้ว คงอนุมานได้ว่า มวี ัตถุประสงค์ 9 ประการ คอื 1. เพอื่ พระสงฆ์รกั ษาตนและหมู่คณะ 2. เพอ่ื ใชอ้ บรมสัง่ สอนพระธรรมวนิ ัยแกบ่ รรพชิตและคฤหัสถ์ 3. เพอ่ื ใชพ้ ฒั นาชาตบิ า้ นเมืองดว้ ยคุณธรรมของพระศาสนา 4. เพือ่ ใชใ้ นกจิ การคณะสงฆ์และการพระศาสนา 5. เพอ่ื รกั ษาหลกั พระธรรมวินยั ของพระพทุ ธศาสนา 6. เพ่ือสรา้ งศาสนทายาทสืบอายพุ ระพุทธศาสนา 7. เพื่อความมนั่ คงแห่งพระพุทธศาสนา 8. เพอื่ ความตัง้ ม่นั แหง่ พระสทั ธรรม 9. เพื่อความม่นั คงของประเทศชาติอนั เป็นสว่ นรวม 2.4 ขอ้ มูลพน้ื ทที่ ท่ี าการศึกษา อาเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลาภู แบ่งพื้นที่การปกครองออกเป็น 9 ตาบล 1. ตาบล นากลาง 6 วดั 2. ตาบลฝงั่ แดง 13 วดั 3. ตาบลกดุ ดินจ่ี 13 วัด 4. ตาบลดงสวรรค์ 6 วัด 5. ตาบลเก่า กลอย 13 วัด 6. กดุ แห่ 5 วัด 7. ตาบลโนนเมอื ง 9 วัด 8. ตาบลอุทัยสวรรค์ 10 วัด 9. ตาบลด่านช้าง 11 วดั 2.4.1 ที่ตั้งและอาณาเขต อาเภอนากลางมีอาณาเขตติดต่อกับเขตการปกครองข้างเคียงดงั ต่อไปน้ี ทศิ เหนือ ติดตอ่ กับอาเภอนาดว้ ง (จังหวดั เลย) และอาเภอสวุ รรณคหู า
43 ทศิ ตะวนั ออก ติดต่อกับอาเภอกุดจับ (จังหวัดอุดรธาน)ี และอาเภอเมือง หนองบวั ลาภู ทศิ ใต้ ตดิ ตอ่ กบั อาเภอศรบี ญุ เรือง และอาเภอเอราวณั (จังหวัดเลย) ทิศตะวันตก ตดิ ต่อกับอาเภอนาวงั แผนภมู ิที่ 2.2 แผนทอี่ าเภอนากลาง จงั หวดั หนองบัวลาภู 2.5 งานวจิ ัยท่เี กี่ยวขอ้ ง นารีรัตน์ โอภาษี (2550) ได้วิจัยเร่ือง เทคนิคการเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อการเลิกสูบบุหร่ี ด้วยหลักสัปปุริสธรรม 7 ประการ โดยมีวัตถุประสงค์เพ่ือนาหลักธรรมสัปปุริสธรรม 7 ประการ มาประยกุ ตใ์ ชใ้ นการปรับเปล่ยี นพฤตกิ รรมเพอ่ื การไม่สูบบุหร่ี และเพอ่ื ส่งเสริมใหห้ น่วยงานราชการใน จังหวัดสรุ นิ ทร์เป็นเขตปลอดบุหรีป่ ลอดโรค และปลอดภยั จากการทางาน วธิ กี ารศึกษานาหลักสัปปุริส ธรรม 7 ประการ มาเป็นเทคนิคการเปลี่ยนพฤติกรรม เพ่ือการเลิกสูบบุหร่ี ซ่ึงประกอบด้วย ศรัทธา การกระตุ้นให้เกิดความพึงพอใจในการเลิกสูบบุหร่ี หิริ กระตุ้นให้เกิดความละอายต่อการสูบบุหร่ี โอตตัปปะ กระตุ้นให้เกิดความเกรงกลัวต่อกฎหมายและสุขภาพ พหุสุตตะ กระตุ้นให้เกิดการฟัง บ่อย ๆ เกย่ี วกับโทษภยั ของการสูบบุหรี่ วิริยะ กระตุ้นให้เกิดความพยายามเลิกสูบบุหรี่ โดยนาบุคคล ทีเ่ ลิกไดส้ าเร็จมาเปน็ ตัวอยา่ ง สติ กระตุ้นให้เกิดการระลึกนึกเสมอว่าการสูบบุหร่ีไม่ดี ปัญญา กระตุ้น ให้เกิดความคิดเห็นท่ีถูกต้องต่อการสูบบุหร่ีโดยนาหลักสัปปุริสธรรมทั้ง 7 ประการ นาเข้าสู่กระบวน การเปลย่ี นทศั นคติ ค่านิยม และเปลี่ยนพฤตกิ รรมตอ่ การเลิกสูบบุหร่ี ผลการศึกษาดังน้ี 1) พฤติกรรม ระดับต้น คือ มีเจตนาลดการสูบบุหรี่ลงเหลือวันละ 1-3 มวน เท่าน้ัน แต่พยายามเลิกต่อไป พบ 17
44 คน คิดเป็นร้อยละ 34.2 2) พฤติกรรมระดับกลาง คือมีพลังจิตมุ่งมั่นละเว้นการสูบบุหรี่ได้บางคร้ัง โดยการห้ามใจมิให้สูบบุหรี่เป็นบางวัน แต่พยายามเลิกต่อไป พบว่า มีจานวน 2 คน หรือร้อยละ 4 3) พฤติกรรมระดับสูง คือมีพลังปัญญาเลิกเด็ดขาด เลิกสูบบุหรี่โดยเด็ดขาดตลอดไป พบว่ามีจานวน 31 คน คิดเป็นร้อยละ 62 นับว่าเป็นเทคนิคที่ได้รับผลดีอย่างน่าพอใจ จึงสรุปได้ว่าการนาเอาหลัก ธรรมสัปปรุ สิ ธรรม 7 ประการ ซึ่งเป็นหลักธรรมที่ทาให้คนเป็นคนดี มาประยุกต์ใช้ในการปรับเปล่ียน พฤติกรรมเพื่อการเลิกสูบบุหรี่ ได้ผลอย่างเป็นท่ีน่าพอใจ ซ่ึงเป็นอีกแนวทางหนึ่งท่ีสามารถช่วยเหลือ บุคคลทต่ี ้องการเลิกสูบบุหรใี่ ห้เลกิ สูบบหุ รีไ่ ดส้ าเร็จ พระครูอุทัยกิจพิพัฒน์ (วิรัต สุกอินทร์) (2553) ได้ศึกษาภาวะผู้นาของพระสังฆาธิการ จังหวัดอุทัยธานีตามหลักสัปปุริสธรรม 7 การวิจัยฉบับนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษาภาวะผู้นาของ พระสังฆาธิการจังหวัดอุทัยธานีตามหลักสัปปุริสธรรม 7 (2) เพื่อเปรียบเทียบภาวะผู้นาของพระ สังฆาธิการจังหวัดอุทัยธานีตามหลักสัปปุริสธรรม 7 โดยจาแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล (3)เพื่อเสนอ แนะแนวทางการเป็นผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรม 7 งานวิจัยนี้เป็นงานวิจัยเชิงสารวจ (Survey Research) กลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ในการวิจัยได้แก่ พระสังฆาธิการในจ้งหวัดอุทัยธานี จานวน 170 รูป ซึ่งใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย (Simple Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถาม มีลกั ษณะเปน็ แบบตรวจสอบรายการและมาตราส่วนประเมินค่า 5 ระดับและแบบสอบถามปลายเปิด ซ่ึงผู้วิจัยสร้างข้ึนเอง โดยมีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ .9784 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรม สาเร็จรปู เพือ่ การวจิ ัยทางสังคมศาสตร์ สถิตทิ ใ่ี ช้ได้แก่ ค่าความถ่ี ค่าร้อยละ ค่าเฉล่ีย ค่าส่วนเบ่ียงเบน มาตรฐาน เปรียบเทียบโดยการทดสอบสมมติฐานโดยการทดสอบค่าที (t-test) และค่าเอฟ (F-test) การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One-way ANOVA) และทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ย เปน็ รายคู่ด้วยวิธีผลต่างนยั สาคญั นอ้ ยทสี่ ุด (Least Significant Difference : LSD) ผลการศึกษาวิจัย ภาวะผู้นาของพระสังฆาธิการจังหวัดอุทัยธานีตามหลักสัปปุริสธรรมโดย รวมอยู่ในระดับมาก และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้านโดยเรียงจากมากไปหาน้อยตามค่าเฉลี่ย สรุปได้คือ ด้านปริสัญญุตา ด้านอัตตัญญุตา ด้านอัตถัญญุตา ด้านปุคคลปโรปรัญญุตา ด้านธัมมัญญุตา ด้าน มัตตัญญุตา และด้านกาลัญญุตา การเปรียบเทียบภาวะผู้นาของพระสังฆาธิการจังหวัดอุทัยธานี ตาม หลักสัปปุริสธรรม โดยรวมปฏิเสธสมมติฐานท่ีต้ังไว้ท้ังหมด กล่าวคือ พรรษา ตาแหน่ง การศึกษา นักธรรม การศึกษาบาลี ประสบการณ์การปฏิบัติงาน แนวทางในการพัฒนาภาวะผู้นาตามหลัก สปั ปรุ ิสธรรมของพระสังฆาธิการจังหวัดอุทัยธานี คือ พระสังฆาธิการควรนาหลักสัปปุริสธรรมทั้ง 7 มา ประยุกต์ใช้ในการบริหารกิจการคณะสงฆ์ และส่งเสริมให้มีการปฏิบัติท่ีเป็นรูปธรรม จะทาให้การ บรหิ ารกิจการคณะสงฆ์จงั หวัดอทุ ยั ธานี เกดิ เอกภาพและประสิทธภิ าพย่งิ ขึน้ อรนุช โขพิมพ์ (2555) ได้ ทาการวิจัยเร่ืองน้ีมีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาภาวะผู้นาของ ผู้บริหารตามหลักสัปปุริสธรรม 7 ของผู้บริหารโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา จังหวัด
45 ขอนแก่น เพื่อเปรียบเทียบภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรม 7 ของผู้บริหารโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา จังหวัดขอนแก่น ตามความคิดเห็นของบุคลากร โดยจาแนกตามสถานภาพและ ประสบการณ์การทางานและเพื่อศึกษาแนวทางส่งเสริมภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรม 7 ของ ผู้บรหิ ารโรงเรยี นพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา จังหวัดขอนแก่น โดยได้สุ่มกลุ่มตัวอย่าง 2 กลุ่ม คือ กลมุ่ ผ้บู รหิ าร จานวน 30 รปู /คน และครู จานวน 111 รูป/คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบ สอบถามมาตราสว่ นประมาณค่า สถติ ทิ ีใ่ ชใ้ นการวจิ ัย ไดแ้ ก่ คา่ รอ้ ยละ คา่ เฉลย่ี ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตร ฐาน เปรียบเทียบโดยการทดสอบสมมติฐานโดยการทดสอบค่าที (t-test) และค่าเอฟ (F-test) การ วิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One-way ANOVA) และทดสอบความแตกต่างของค่าเฉล่ียเป็น รายคู่ด้วยวิธีผลต่างนัยสาคัญน้อยที่สุด (Least Significant Difference : LSD) โดยกาหนดนัยสาคัญ ทางสถิตทิ ่ีระดบั 0.05 ผลการวิจัยพบว่า ภาวะผู้นาของผู้บริหารตามหลักสัปปุริสธรรม 7 ของผู้บริหารโรงเรียน พระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา จังหวัดขอนแก่น ในภาพรวมมีความคิดเห็นอยู่ในระดับมากใน รายด้านพบว่าทุกด้านมีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก ได้แก่ ด้านอัตถัญญุตา ด้านปริสัญญุตา ด้าน กาลัญญุตา ด้านปุคคลปโรปรัญญุตา ด้านมัตตัญญุตา ด้านธัมมัญญุตา และ ด้านอัตตัญญุตา การ เปรียบเทียบภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรม 7 ของผู้บริหารโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกสามัญ จังหวัดขอนแก่นตามความคิดเห็นของบุคลากร โดยจาแนกตามสถานภาพและประสบการณ์ พบว่า มรี ะดบั ความคิดเห็นในภาพรวมและรายด้านทุกด้านมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญท่ีระดับ 0.05 จึงสอดคล้องกับสมมติฐานท่ีต้ังไว้ แนวทางส่งเสริมภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรม 7 ของผู้บริหาร โรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกสามัญ จังหวัดขอนแก่น ผู้บริหารควรนาหลักสัปปุริสธรรม 7 มา ประยุกต์ใช้ในการบริหารโรงเรียนและส่งเสริมให้มีการปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม เพื่อท่ีจะทาให้เกิด ประสทิ ธิภาพและประสทิ ธผิ ลในองคก์ รการศกึ ษาย่งิ ขน้ึ พระมหาศุภโชค มณิโชติ (มณีโชติ) (2556) ได้ศึกษาเรื่อง ภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริส ธรรม 7 ของเจ้าอาวาสในอาเภอตากฟ้า จังหวัดนครสวรรค์ นี้มีวัตถุประสงค์คือ (1) เพ่ือศึกษาภาวะ ผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรม 7 ของเจ้าอาวาสในอาเภอ ตากฟ้า จังหวัดนครสวรรค์ (2) เพื่อเปรียบ เทียบภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรม 7 ของเจ้าอาวาสในอาเภอตากฟ้า จังหวัดนครสวรรค์ (3) เพ่ือ ศึกษาปัญหาและอุปสรรคของภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรม 7 ของเจ้าอาวาสในอาเภอตากฟ้า จังหวัดนครสวรรค์ ดาเนินการวิจัยโดยวิธีวิจัยเชิงสารวจ (Survey Research) ประชากรท่ีใช้ในการ วิจัยคร้ังนี้ ได้แก่ พระภิกษุ ในอาเภอตากฟ้า จานวน 595 รูป ตัวอย่างท่ีใช้ในการวิจัย ได้จากการสุ่ม ตวั อย่างแบบงาย (simple random sandom) ได้กลุ่มตวั อย่าง จานวน 194 รูป เคร่ืองมือที่ใช้ในการ เก็บรวบรวมข้อมูลในการวิจัยครั้งนี้เป็นแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลจากแบบสอบถามโดยใช้ โปรแกรมสาเร็จรูปเพ่ือการวิจัยทางสังคมศาสตร์ โดยใช้สถิติค่าความถ่ี (Frequency) ค่าร้อยละ
46 (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) ค่าเบ่ียงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) การทดสอบค่าที (t-test) และการทดสอบค่าเอฟ (F-test) ด้วยวิธีการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One Way ANOVA) ในกรณีตัวแปรต้นต้ังแต่สามกลุ่มข้ึนไป เม่ือพบว่ามีความแตกต่างจะทาการเปรียบเทียบ ความแตกต่างรายคู่ด้วยวิธีการของ (Least Significant Difference : LSD) โดยกาหนดระดับ นัยสาคัญทางสถติ ิท่ี 0.05 ผลการศึกษา พบว่า 1. พระภิกษุมีความคิดเห็นต่อภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรม 7 ของเจ้าอาวาสในอาเภอตากฟ้า จังหวัดนครสวรรค์ ในภาพรวม อยู่ในระดับมากท่ีสุด เม่ือพิจารณา รายละเอียดในแต่ละด้าน พบว่า พระภิกษุมีความคิดเห็นต่อภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรม 7 ของเจ้าอาวาสในอาเภอ ตากฟ้า จังหวัดนครสวรรค์ ด้านกาลัญญุตาอยู่ในระดับมาก ส่วนด้านอ่ืน ๆ อยู่ในระดับมากท่ีสุด 2. เปรียบเทียบความคิดเห็นพระภิกษุต่อภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรม 7 ของเจ้าอาวาสในอาเภอตากฟ้า จังหวัดนครสวรรค์ โดยจาแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล ได้แก่ อายุ พรรษา ตาแหน่งพระสังฆาธิการ วุฒิการศึกษาสายสามัญ วุฒิการศึกษาแผนกธรรม วุฒิการศึกษา แผนกบาลี และประสบการณ์ในการปฏิบัติหน้าท่ีพระสังฆาธิการ ท่ีแตกต่างกัน ผลการวิจัยพบว่า พระภกิ ษมุ ีความคดิ เหน็ ตอ่ ภาวะผู้นาตามหลกั สัปปุริสธรรม 7 ของเจ้าอาวาสในอาเภอตากฟ้า จังหวัด นครสวรรค์ ด้านอายุ พรรษา ตาแหน่งพระสังฆาธิการ วุฒิการศึกษาสายสามัญ วุฒิการศึกษาแผนก ธรรม วุฒิการศึกษาแผนกบาลี และประสบการณ์ในการปฏิบัติหน้าท่ีพระสังฆาธิการ ไม่แตกต่างกัน โดยมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ 0.05 3. ปัญหาอุปสรรคและข้อเสนอแนะต่อภาวะผู้นาตามหลัก สัปปุริสธรรม 7 ของเจ้าอาวาสในอาเภอตากฟ้า จังหวัดนครสวรรค์ (1) พระสังฆาธิการบางรูปไม่มี ความเข้าใจในบทบาทหน้าที่ของตน (2) พระสังฆาธิการบางครั้งเชื่อมั่นในการทางานของตนเองสูง เม่ือเกดิ ข้อผิดพลาดแล้วทาให้งานเกิดความเสียหายและเสียเวลาแก้ไข เพราะไม่ยึดหลักการ (3) พระ สังฆาธิการยังขาดเหตุผลในการปฏิบัติงาน ยึดติดอยู่กับรูปแบบเดิมในการบริหารงาน ถือสิ่งที่เคย ปฏิบตั ิมาแลว้ และไม่ค่อยแก้ไขหรอื พัฒนาตนเอง ทาให้งานของพทุ ธศาสนาไม่เดินหนา้ พระครูสุจิตฺกิจฺจานุกูล (พระเฉลียว แขวงอินทร์) (2557) ได้ศึกษาเรื่องศึกษาหลัก ธรรมสัปปุริสธรรม 7 ของข้าราชการ ครูโรงเรียนอนุบาลนครปฐม อาเภอเมืองนครปฐม จังหวัด นครปฐม การศึกษาครั้งน้ีมีวัตถุประสงค์ 1) เพ่ือศึกษาหลักธรรมสัปปุริสธรรม 7 ของข้าราชการครู โรงเรียนอนุบาลนครปฐม อาเภอเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม 2) เพื่อศึกษาความคิดเห็นของ ข้อ เสนอแนะแนวทางในหลักธรรม สัปปุริสธรรม 7 ของข้าราชการครูโรงเรียนอนุบาลนครปฐม การศึกษา ได้ศึกษาเชิงสารวจจากประชากรท่ีใช้ในการศึกษาเป็นครู จานวนท้ังส้ิน 62 คน เครื่องมือท่ีใช้ใน การศึกษา คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ประกอบด้วย ค่าความถ่ี ค่าร้อยละ ค่า เฉล่ยี และสว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน ผลการศึกษาพบว่า มีผู้ตอบแบบสอบถามเพศหญิงมากกว่าเพศชาย ส่วนใหญ่ผู้ตอบ แบบ สอบถามท่ีมีช่วงอายุ 41 ปีขึ้นไป และส่วนใหญ่มีประสบการณ์ในการทางาน 11 ปีข้ึนไป ความคิด
47 เห็นเก่ียวกับหลักธรรมสัปปุริสธรรม 7 ของข้าราชการครูโรงเรียนอนุบาลนครปฐม อาเภอเมือง นครปฐม จังหวัดนครปฐมโดยรวมค่าเฉล่ียอยู่ในระดับมาก และส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานตามความคิด เห็นของผู้ตอบแบบสอบถามสอดคล้องไปในทางเดียวกัน เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ค่าเฉลี่ย มากทส่ี ดุ ไดแ้ ก่ ด้านปคุ คลปโรปรญั ญตุ า (รู้จกั บคุ คล) รองลงมาดา้ นธัมมญั ญุตา (รู้หลกั การ) และต่าสุด ด้านอัตตัญญุตา (รู้ตน) และความคิดเห็นของข้อเสนอแนะท่ีมีค่าความถี่มากที่สุด ด้านธัมมัญญุตา (รู้จกั เหตุ) สทิ ธิชัย กิม่ นอก (2557) ไดศ้ ึกษาเร่ือง การศึกษาการปฏิบัติตามหลักสัปปุริสธรรม 7 ของ ผู้บริหารสถานศึกษาในสังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 31 งานวิจัยเร่ืองนี้มี วตั ถุประสงค์ 1) เพอื่ ศึกษาระดับการปฏิบตั ิตามหลักสัปปรุ ิสธรรม 7 ของผู้บริหารสถานศึกษาในสังกัด สานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษามัธยมศึกษา เขต 31 ตามความคิดเห็นของครูและผู้บริหาร 2) เพื่อ เปรียบเทียบการปฏิบัติตามหลักสัปปุริสธรรม 7 ของผู้บริหารสถานศึกษาในสังกัดสานักงานเขตพื้นท่ี การศึกษามัธยมศกึ ษา เขต 31 ตามความคดิ เหน็ ของครูและผู้บรหิ ารจาแนกตามตาแหน่งหน้าท่ี ขนาด และท่ตี ง้ั ของโรงเรยี น กลมุ่ ตวั อยา่ งท่ีใชใ้ นการวจิ ัยคร้งั นี้ คือ ครูและผบู้ ริหารท่ีปฏิบัติหน้าที่ในโรงเรียน สังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 31 ปีการศึกษา 2557 ประกอบด้วย ผู้บริหาร โรงเรียน จานวน 108 คน และครู จานวน 236 คน รวม 344 คน เคร่ืองมือท่ีใช้ในการเก็บรวบรวม ข้อมูลเป็นแบบสอบถามด้านละ 10 ข้อ รวมทั้งหมด จานวน 70 ข้อ เป็นมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) ประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าสัมประสิทธิ์อัลฟ่า (Alpha Coefficient) ตามวิธีการของ ครอนบราค (Cronbach) เท่ากับ 0.98 วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) ค่าส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation = S.D.) เปรียบเทียบโดยการทดสอบ สมมตฐิ านโดยการทดสอบค่าที (t-test) และคา่ เอฟ (F-test) โดยใชโ้ ปรแกรมคอมพิวเตอร์สาเรจ็ รปู ผลการวิจยั พบว่า 1. การปฏบิ ัติตามหลักสัปปุริสธรรม 7 ของผู้บริหารสถานศึกษาในสังกัด สานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษามัธยมศึกษา เขต 31 ตามความคิดเห็นของครูและผู้บริหารในภาพรวม และรายด้านอยใู่ นระดับมากเรียงตามลาดับดังน้ี 1) ความเป็นผู้รู้จักชุมชน (ปริสัญญุตา) 2) ความเป็น ผู้รกั บคุ คล (ปุคคลัญญุตา) 3) ความเปน็ ผูร้ ูจ้ ักกาลเวลา (กาลญั ญุตา) 4) ความเป็นผู้รู้จักเหตุ (ธัมมัญญุ ตา) 5) ความเปน็ ผู้ร้จู กั ตน (อัตตญั ญุตา) 6) ความเปน็ ผู้รู้จักประมาณ (มัตตัญญุตา) และ 7) ความเป็น ผรู้ จู้ ักผล (อัตถัญญุตา) 2. ผลการเปรียบเทียบการปฏิบัติตามหลักสัปปุริสธรรม 7 ของผู้บริหารสถาน ศึกษาในสังกดั สานกั งานเขตพื้นทีก่ ารศกึ ษามัธยมศึกษา เขต 31 ตามความคิดเห็นของครูและผู้บริหาร มีการปฏิบัติตามหลักปุริสธรรม 7 จาแนกตามตาแหน่งหน้าที่ ขนาดโรงเรียนและท่ีตั้งของโรงเรียน ดังนี้ 2.1 ครูและผู้บริหารมีความคิดเห็นต่อการปฏิบัติตามหลักสัปปุริสธรรม 7 ของผู้บริหารสถาน ศกึ ษาในสังกัดสานกั งานเขตพน้ื ท่กี ารศึกษามัธยมศึกษา เขต 31 โดยภาพรวมและรายด้านไม่แตกต่าง กัน 2.2 ครูและผู้บริหารที่ปฏิบัติงานในโรงเรียนที่ขนาดต่างกันมีความคิดเห็นต่อการปฏิบัติตามหลัก
48 สัปปุริสธรรม 7 ของผู้บริหารสถานศึกษาในสังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 31 โดยภาพรวมและรายด้านไม่แตกต่างกัน ยกเว้นด้านความเป็นผู้รู้จักกาล (กาลัญญุตา) เมื่อเปรียบ เทียบระดับความคิดเห็นของครูและผู้บริหารต่อการปฏิบัติตามหลักสัปปุริสธรรม 7 ของผู้บริหาร สถานศึกษาสังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 31 จาแนกตามขนาดของโรงเรียน พบว่า มีความแตกต่างกัน จึงทาการเปรียบเทียบรายคู่ตามวิธีการของเชฟเฟ่ (Scheffe’s Method) 2.3 ครูและผู้บริหารที่ปฏิบัติงานตามท่ีตั้งของโรงเรียนต่างกัน มีความคิดเห็นต่อการปฏิบัติตาม หลักสัปปุริสธรรม 7 ของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษามัธยมศึกษา เขต 31 โดยภาพรวมและรายด้านไม่แตกตา่ งกนั 2.6 กรอบแนวคิดในการวจิ ยั การทาการวิจัยเร่ือง ภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอ นากลาง จังหวัดหนองบัวลาภู ผู้วิจัยได้ ศึกษาแนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้อง โดยนามา กาหนดเป็นกรอบความความคิดการวิจัย (Conceptual Framework) ประกอบด้วยตัวแปรต้น (Independent Variables) และตวั แปรตาม (Dependent Variables) ดังนี้ ตวั แปรต้น ตวั แปรตาม (Independent Variables) (Dependent Variables) ปจั จยั ส่วนบุคคล ภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระ สังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัด 1. พรรษา หนองบวั ลาภู 2. ตาแหน่งพระสังฆาธิการ 3. วุฒิการศกึ ษาทางธรรม 1. ดา้ นธัมมัญญุตา 4. วฒุ กิ ารศกึ ษาแผนกบาลี 2. ดา้ นอัตถญั ญุตา 5. ประสบการณ์การปฏิบัติ 3. ดา้ นอัตตญั ญตุ า หน้าที่ 4. ด้านมตั ตัญญุตา 5. ดา้ นกาลญั ญุตา 6. ดา้ นปรสิ ัญญตุ า 7. ด้านปุคคลปโรปรญั ญตุ า แผนภูมทิ ี่ 2.3 แสดงสรปุ กรอบแนวคิดที่ใชใ้ นการวจิ ัย
บทท่ี 3 วิธีดำเนนิ กำรวิจัย การวิจัยเรื่อง “การประยุกต์ใช้หลักสาราณียธรรมในการบริหารงานของพระสังฆาธิการ ในเขตการปกครองคณะสงฆ์ อาเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลาภู” เป็นการวิจัยแบบผสม (Mixed Method) โดยเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) ซ่ึงเป็นการวิจัยเชิงสารวจ (Survey Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) โดยใช้การสัมภาษณ์เชิงลึก (In DepthInterview) กับผู้ให้ข้อมูลสาคัญ (Key Informants) ผู้วิจัยได้ดาเนินการวิจัยตามลาดับ ขน้ั ตอนดังนี้ 3.1 ประชากรและกลุ่มตัวอยา่ ง 3.2 เทคนคิ วิธีการสมุ่ ตัวอยา่ ง 3.3 เครือ่ งมอื ท่ใี ชใ้ นการเก็บรวบรวมขอ้ มลู 3.4 การสรา้ งเคร่อื งมอื 3.5 การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล 3.6 การวเิ คราะหข์ ้อมลู 3.7 สถติ ทิ ีใ่ ช้ในการวเิ คราะหข์ อ้ มลู 3.1 ประชำกรและกล่มุ ตัวอยำ่ ง 3.1.1 ประชำกร ประชากร (Population) ประชากรท่ีใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ พระสังฆาธิการในเขต ปกครองคณะสงฆ์อาเภอนากลาง จังหวดั หนองบวั ลาภู จานวน 256 รปู (แบบรายงานข้อมูลพระสังฆาธิการ อาเภอนากลาง, 2559) 3.1.2 กลุม่ ตัวอย่ำง กลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ในการศึกษาคร้ังนี้ คือ พระสังฆาธิการในเขตปกครองคณะสงฆ์อาเภอนา กลาง จังหวัดหนองบัวลาภู จานวน 150 รูป ซ่ึงผู้ศึกษาได้กาหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างโดยคานวณ จากสตู รของ ทาโร่ ยามาเน่ (Taro Yamane, อา้ งใน บุญชม ศรีสะอาด, 2545, หนา้ 43) ดังต่อไปนี้ สูตร n = N 1+(Ne)2
50 เมอื่ n แทน ขนาดของกล่มุ ตวั อยา่ ง N แทน จานวนประชากรในการวิจยั ครัง้ นี้ E แทน คา่ ความคาดเคลื่อนทจี่ ะยอมให้เกิดขน้ึ ได้ ท่ีระดับความเช่อื มั่น 95% n = 256 1+ 256x(0.05)2 = 150.98 จากการคานวณตามสูตรได้ 150.98 ผู้วิจัยจึงปรับขนาดของกลุ่มตัวอย่างเป็น 150 รูป ทาการสุ่มกลุ่มตัวอย่างจากขนาดของกลุ่มตัวอย่าง 150 รูป โดยคานวณสัดส่วนของกลุ่มตัวอย่างจาก การเทยี บบัญญัติไตรยางศ์ เลขทศนิยมต่ากว่า 0.5 ให้ตัดทิง้ ออก 3.2 เทคนิควธิ กี ำรส่มุ ตัวอย่ำง 3.2.1 เลือกการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบแบ่งช้ัน (Stratified Random Sampling) จากน้ัน คานวณหาสดั สว่ น ตามจานวนชอ่ื หมู่บ้าน (บญุ ชม ศรีสะอาด, 2545, หน้า 45) จากนั้นทาการสุ่มแบบ ง่าย (Simple Random Sampling) จากการทาสลากรายช่ือของพระสังฆาธิการในเขตปกครองคณะ สงฆ์อาเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลาภู จับสลากรายช่ือใดแล้วให้นาคืนใส่กล่องเพื่อให้สลากรายชื่อ มีโอกาสถูกเลือกเท่ากัน จนกว่าจะได้รายช่ือของพระสังฆาธิการในเขตปกครองคณะสงฆ์อาเภอนา กลาง จังหวัดหนองบัวลาภู โดยไมซ่ า้ รายชอ่ื เดมิ จนครบจานวนกล่มุ ตัวอย่าง 150 รปู ดงั ตารางท่ี 3.1 ตำรำงที่ 3.1 ช่อื ตำบลในเขตปกครอง จำนวนประชำกรและจำนวนกลุ่มตวั อย่ำง ตำบลในเขตปกครอง จำนวนประชำกร (รูป) กลุ่มตวั อยำ่ ง ตาบลนากลาง 50 30 ตาบลดา่ นช้าง 23 15 ตาบลนาเหล่า 20 11 ตาบลนาแก 20 10 ตาบลกุดดินจี่ 38 19 ตาบลฝ่งั แดง 39 21 ตาบลเก่ากลอย 24 18 ตาบลวงั ทอง 42 26 256 150 รวม
51 3.3 เคร่อื งมือที่ใชใ้ นกำรเก็บรวบรวมขอ้ มลู เคร่ืองมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลคร้ังนี้เป็นแบบสอบถามจานวน 1 ฉบับเก่ียวกับ ภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลาภู ซึง่ ผวู้ จิ ัยไดส้ รา้ งขน้ึ เองซง่ึ แบ่งออกเป็น 3 ตอนดังน้ี ตอนที่ 1 สถานภาพของผู้ตอบแบบสอบถามมีลักษณะคาถามเป็นแบบตรวจสอบรายการ (Check list) ประกอบด้วยพรรษา ตาแหน่งพระสังฆาธิการ วุฒิการศึกษาทางธรรม วุฒิการศึกษา แผนกบาลี และประสบการณก์ ารปฏบิ ตั หิ น้าที่ ตอนที่ 2 ภาวะผู้นาตามหลกั สัปปรุ สิ ธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัด หนองบัวลาภู โดยมีลักษณะเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับตามแนวคิดของลิเคอร์ท (Likert’s) กาหนดเกณฑก์ ารให้คะแนนดงั น้ี บญุ ชม ศรีสะอำด (2545, หน้า 102) 5 หมายถึง มคี วามคดิ เหน็ อยูใ่ นระดบั มากท่ีสดุ 4 หมายถงึ มีความคดิ เหน็ อย่ใู นระดบั มาก 3 หมายถึง มคี วามคดิ เห็นอยูใ่ นระดบั ปานกลาง 2 หมายถึง มคี วามคิดเหน็ อยู่ในระดับ นอ้ ย 1 หมายถงึ มีความคิดเห็นอยูใ่ นระดับ นอ้ ยท่สี ุด ตอนที่ 3 ข้อเสนอแนะเก่ียวกับภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขต อาเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลาภู ท้ัง 7 ด้าน คือ 1) ด้านธัมมัญญุตา 2) ด้านอัตถัญญุตา 3) ด้าน อัตตญั ญุตา 4) ด้านมตั ตัญญุตา 5) ดา้ นกาลญั ญตุ า 6) ด้านปรสิ ัญญตุ า และ 7) ดา้ นปคุ คลปโรปรัญญุตา ตอนที่ 4 แนวทางการสัมภาษณ์ แนวทางสัมภาษณ์สาหรับการวิจัยคร้ังน้ี เป็นแนวทางการสัมภาษณ์แบบไม่มีโครงสร้าง (Unstructured Interview Guide) เพ่ือสัมภาษณ์พระสังฆาธิการ เกี่ยวกับภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริส ธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลาภู ท้ัง 7 ด้านประกอบด้วย ด้าน ธัมมัญญุตา ด้านอัตถัญญุตา ด้านอัตตัญญุตา ด้านมัตตัญญุตา ด้านกาลัญญุตา ด้านปริสัญญุตา และ ด้านปุคคลปโรปรัญญุตา เป็นแนวคาถามในลักษณะยืดหยุ่นที่ต้องการข้อมูลเชิงลึกจากผู้ให้สัมภาษณ์ โดยใช้ผู้วิจัยจะทาการสัมภาษณ์เชิงลึกด้วยตนเอง (In depth Interview) เพ่ือสนับสนุนการวิจัยเชิง ปรมิ าณท่ไี ม่สามารถขยายรายละเอยี ดได้ (วิไลวัจน์ กฤษณะภูติ, 2558, หน้า 57) โดยสัมภาษณ์กับพระ สังฆาธิการที่ถูกเลือกให้เป็นกลุ่มเป้าหมาย (Purposive Sampling) จานวน 5 รูป ซึ่งมีคุณสมบัติ คือ เป็นผู้ท่ี มีประสบการณ์บริหารกิจการคณะสงฆ์ ประกอบด้วย เจ้าคณะอาเภอ จานวน 1 รูป รองเจ้า คณะตาบล 1 รูป เลือกเจา้ คณะตาบลทมี่ ีระยะดารงตาแหน่งมากทส่ี ุด จานวน 3 รูป
52 3.4 กำรสรำ้ งเครอ่ื งมอื ผวู้ ิจัยมขี ั้นตอนการสรา้ งเครื่องมือทใี่ ช้ในการเก็บรวบรวมข้อมลู ในการวิจัยคร้ังนี้ดังน้ี 3.4.1 ศึกษาแนวคิดทฤษฎแี ละงานวิจยั ที่เกีย่ วข้องเกยี่ วกับภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรม ของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จงั หวัดหนองบวั ลาภู และจากคูม่ อื เอกสารตา่ ง ๆ 3.4.2 วิเคราะห์ลกั ษณะขอ้ มูลทต่ี อ้ งการจากวัตถุประสงค์ของการวิจัยแล้วกาหนดเป็นโครง สรา้ งของเคร่อื งมอื 3.4.3 สรา้ งแบบสอบถามจานวน 35 ข้อ โดยกาหนดด้านละ 5 ข้อ แล้วนาเสนออาจารย์ที่ ปรึกษาและปรบั ปรงุ แก้ไขตามข้อเสนอแนะ 3.4.4 นาแบบสอบถามให้ผู้เช่ียวชาญจานวน 3 ท่านตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) โดยหาค่าดัชนีความสอดคล้องของข้อคาถามกับนิยามศัพท์เฉพาะ (Item of Objective Congruence : IOC) แล้วเลือกข้อคาถามท่ีมีค่า IOC ตั้งแต่ 0.50 ข้ึนไป ได้จานวน 35 ข้อ แลว้ นาไปใชเ้ ป็นแบบสอบถาม บุญธรรม กิจปรดี าบริสทุ ธ์ิ (2542, หน้า 114) ได้ค่าความตรงอยู่ระหว่าง 0.60-1.00 3.4.5 ปรับปรุงแก้ไขแบบสอบถามตามที่ผ้เู ชีย่ วชาญเสนอแนะจานวน 40 ข้อ แล้วนาเสนอ อาจารย์ที่ปรึกษาแล้วนาแบบสอบถามไปทดลองใช้ (Try out) กับประชากรท่ีไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง จานวน 30 รูป คอื พระสงั ฆาธกิ ารในเขตปกครองคณะสงฆอ์ าเภอหนองบัวลาภู ทไี่ มใ่ ช่กลุม่ ตวั อยา่ ง 3.4.6 นาแบบสอบถามที่คัดเลือกไว้ตามข้อ 3.4.5 มาหาค่าความเท่ียง (Reliability) ของ แบบสอบถามทั้งฉบับโดยใช้สูตรสัมประสิทธิ์แอลฟา (Alpha Coefficient) ตามวิธีการของครอนบาค (Cronbach) ไดค้ ่าสัมประสิทธ์ิแอลฟาเท่ากบั .978 3.4.7 ปรับปรุงแก้ไขแบบสอบถามให้เป็นเคร่ืองมือฉบับสมบูรณ์แล้วนาไปเก็บข้อมูลเพื่อ การวจิ ัยต่อไป 3.4.8 เครื่องมือที่เป็นแบบสัมภาษณ์ เครื่องมือท่ีใช้ในการวิจัยประเภทท่ีสอบเป็นแนวการสัมภาษณ์ ผู้วิจัยสร้างจากแนวคิด ทฤษฎีและงานวจิ ยั ท่ีเกยี่ วข้อง เป็นข้ันตอนตามลาดบั ดังนี้ 1. ศึกษาแนวคิดทฤษฎีและงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้องกับ ภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของ พระสงั ฆาธกิ ารในเขตอาเภอนากลาง จงั หวดั หนองบวั ลาภู แล้วรวบรวมข้อมูลที่ได้สร้างเป็นข้อคาถาม ตามกรอบแนวคดิ และวัตถุประสงคก์ ารวจิ ยั 2. ดาเนินการสร้างเคร่ืองมือท่ีเป็นแบบสัมภาษณ์สาหรับการวิจัย ตามกรอบแนวคิดท่ีได้ จากการศกึ ษาแนวคิดทฤษฎีและงานวิจยั ทเ่ี ก่ยี วข้องเพอื่ ตอบวัตถปุ ระสงค์ของการวจิ ัย 3. นาแบบสัมภาษณ์ที่ผู้วิจัยสร้างข้ึน ให้ผู้เช่ียวชาญตรวจสอบ จานวน 3 ท่าน โดยให้ ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบความเท่ียงตรงตามเน้ือหา (Content Validity) และพิจารณาความเหมาะสม ของสานวนภาษาท่ใี ชส้ อ่ื ความหมายใหช้ ดั เจน
53 4. แก้ไขถ้อยคาของแบบสัมภาษณ์ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น นาเครื่องมือท่ีเป็นแบบสัมภาษณ์ท่ีที่ ปรบั ปรุงแกไ้ ขอย่างถกู ตอ้ งและเหมาะสมแลว้ นาไปเก็บรวบรวมข้อมลู ในการวิจยั 3.5 กำรเก็บรวบรวมขอ้ มลู ผวู้ จิ ยั ดาเนินการเก็บรวบรวมขอ้ มูลตามข้ันตอนดงั นี้ 3.5.1 ขอความร่วมมือจากบัณฑิตวิทยาลัยมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตศรี ลา้ นช้าง เพอ่ื ทาหนงั สือขออนญุ าตเก็บข้อมลู พระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลาภู จานวน 150 วัด 3.5.2 ผู้วิจัยนาหนังสือจากบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขต ศรีล้านช้างไปยังพระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลาภู จานวน 150 วัด เพ่ือขอ ความอนุเคราะห์ในการเกบ็ รวบรวมข้อมูล 3.5.3 ผูว้ ิจยั นาแบบสอบถามทั้งหมดไปเก็บรวบรวมขอ้ มูลด้วยตนเอง 3.5.4 นาแบบสอบถามที่รวบรวมมาได้จานวน 150 ฉบับ ทาการตรวจสอบความถูกต้อง สมบูรณ์ไดจ้ านวนทงั้ สน้ิ 150 ฉบับ คิดเป็นรอ้ ยละ 100 3.6 กำรวเิ ครำะหข์ อ้ มลู ขอ้ มูลท่ีผ่านการตรวจสอบความถูกต้องและความสมบูรณ์แล้วและลงรหัสแล้วประมวลผล และวเิ คราะห์ขอ้ มลู ทางสถิติโดยใช้โปรแกรมสาเรจ็ รปู โดยดาเนินการดังน้ี 3.6.1 วเิ คราะหส์ ถานภาพของผตู้ อบแบบสอบถามโดยการแจกแจงความถ่ี 3.6.2 วิเคราะห์ภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลาภู โดยภาพรวมรายด้านและรายข้อโดยการคานวณหาค่าเฉล่ีย (Mean) และส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard deviation) กาหนดเกณฑ์การแปลผลค่าเฉลี่ยดังนี้ (บุญชม ศรีสะอาด, 2546 หนา้ 162) 4.51 - 5.00 หมายถงึ มคี วามคดิ เหน็ อยู่ในระดับ มากที่สุด 3.51 - 4.50 หมายถึง มีความคดิ เหน็ อยู่ในระดับ มาก 2.51 - 3.50 หมายถึง มีความคดิ เหน็ อยใู่ นระดับ ปานกลาง 1.51 - 2.50 หมายถึง มีความคดิ เห็นอยู่ในระดบั น้อย 1.00 - 1.50 หมายถงึ มีความคดิ เหน็ อยูใ่ นระดับ นอ้ ยที่สุด 3.6.3 เปรียบเทียบภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอ นากลาง จังหวัดหนองบัวลาภู จาแนกตามพรรษา ตาแหน่งพระสังฆาธิการ วุฒิการศึกษาทางธรรม วุฒกิ ารศึกษาแผนกบาลี และประสบการณ์การปฏิบัติหน้าท่ี โดยใช้สถิติทดสอบเอฟ (F-test) เมื่อพบ ความแตกต่างจะทดสอบความแตกตา่ งของค่าเฉลี่ยรายคู่ด้วยวิธีการของเชฟเฟ่ (Scheffé)
54 3.6.4. ข้อมูลเก่ียวกับปัญหาและอุปสรรคของพระสังฆาธิการในบริหารจัดการสงฆ์ตาม ระบอบประชาธิปไตย ซ่ึงเป็นข้อมูลเชิงคุณภาพในพื้นที่การปกครองคณะสงฆ์ในเขตอาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ใช้การวิเคราะห์เน้ือหา (Content Analysis) จัดหมวดหมู่และพรรณนาวิเคราะห์ (Descriptive Approach) แลว้ นาเสนอแบบบรรยายความเรยี ง (ชาย โพสติ า, 2556, หน้า 187) 3.7 สถติ ทิ ่ีใชใ้ นกำรวเิ ครำะห์ข้อมูล การวิเคราะหข์ ้อมูลการศึกษาวจิ ัยคร้ังนผ้ี ูว้ ิจัยวิเคราะหโ์ ดยใช้สถติ ดิ ังนี้ 3.7.1 สถิตบิ รรยำย 3.7.1.1 ความถี่ 3.7.1.2 คา่ เฉล่ีย (̅) 3.7.1.3 สว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน (S.D.) 3.7.2 สถติ ทิ ดสอบสมมตฐิ ำน 3.7.2.1 การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One way ANOVA) โดยใช้สถิติ ทดสอบเอฟ (F-test) เมือ่ พบความแตกต่างจะทดสอบความแตกต่างของค่าเฉล่ียรายคู่ด้วยวิธีการของ เชฟเฟ่ (Scheffe') 3.7.3 สูตรกำรหำคำ่ สถิตทิ ีใ่ ชใ้ นกำรวิจัย มดี ังนี้ 3.7.3.1 กำรหำค่ำรอ้ ยละ (Percentage) X 100 P= n เม่ือ P = คา่ ร้อยละ X = จานวนผู้ตอบแบบสอบถาม n = จานวนกลุ่มตัวอย่าง 3.7.3.2 กำรหำค่ำเฉล่ีย (Mean) X X= n เม่อื X = ค่าเฉลย่ี ของกลุ่มตวั อยา่ ง n = จานวนกลุม่ ตัวอย่าง 3.7.3.3 กำรหำคำ่ สว่ นเบีย่ งเบนมำตรฐำน (Standard Deviation ; S.D.) n fx 2 fx 2 S.D = nn 1 เม่ือ S.D. = ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
55 fX = ผลรวมคะแนนของผตู้ อบแบบสอบถาม n = จานวนกลุม่ ตัวอยา่ ง 3.7.3.4 สถติ ทิ ดสอบสมมติฐำน การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดยี ว (One way ANOVA) MSb F = MSw เมอื่ F = คา่ สถติ ิใช้ในการเปรยี บเทียบคา่ วกิ ฤตในการแจกแจง แบบ F เพ่อื ทราบความมนี ยั สาคญั MSb = คา่ ความแปรปรวนระหว่างกลมุ่ MSw = คา่ ความแปรปรวนภายในกลมุ่ 3.7.3.5 กำรหำคำ่ ดชั นคี วำมสอดคลอ้ งของแบบสอบถำมแตล่ ะข้อ X IOC = N เม่ือ IOC = ดชั นคี วามสอดคล้องระหว่างวตั ถุประสงคก์ ับเนอ้ื หา หรอื ระหว่างขอ้ ของแบบสอบถามกับวัตถปุ ระสงค์ X = ผลรวมของคะแนนความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญแตล่ ะท่าน N = จานวนผ้เู ช่ยี วชาญท้งั หมด 3.7.3.6 สูตรกำรหำควำมเช่ือมั่นของแบบสอบถำม (ค่ำสัมประสิทธ์ิอัลฟ่ำ ; - Coefficient) k k 1 1 si2 st2 α = - เมื่อ α = คา่ สัมประสทิ ธอิ์ ัลฟ่า (คา่ ความเช่ือมน่ั ) k = จานวนข้อของแบบสอบถาม st2 = ผลรวมของคา่ ความแปรปรวน
บทท่ี 4 ผลการวเิ คราะหข์ ้อมูล การวิจัยเร่ือง “ศึกษาภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอ นากลาง จังหวัดหนองบัวลาภู” โดยมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของ พระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลาภู 2) เพื่อเปรียบเทียบภาวะผู้นาตามหลัก สปั ปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จงั หวัดหนองบัวลาภู 3)เพ่ือศึกษาข้อเสนอแนะ เก่ียวกับภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัดหนองบัว ลาภู กล่มุ ประชากรที่ใชใ้ นการวิจัยครั้งนี้ คือ พระสังฆาธิการ ในเขตปกครองคณะสงฆ์อาเภอนากลาง จังหวดั หนองบวั ลาภู จานวน 256 รปู นามาหากลุ่มตัวอย่างตามสูตร โดยการคานวณตามสูตรของทา โร่ ยามาเน่ (Taro Yamane)ได้ขนาดกลุ่มตัวอย่าง ทั้งหมด จานวน 150 รูป เคร่ืองมือท่ีใช้ในการเก็บ รวบรวมข้อมูล คือ แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ ผู้วิจัยได้แจกแบบสอบถามให้กับกลุ่มประชากร โดยอธิบายเหตุผลรวมถึงวิธีการตอบ และทาการสัมภาษณ์กับผู้ให้ข้อมูลหลัก จานวน 5 คน จากนั้น ทาการตรวจสอบความสมบูรณ์ของแบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ แล้วนามาวิเคราะห์และ ประมวลผล โดยใช้คอมพิวเตอร์โปรแกรมสาเร็จรูปทางสถิติ และนาเสนอผลการวิเคราะห์โดยการใช้ ตารางประกอบการบรรยายและใชส้ ัญลกั ษณอ์ ธิบายรายละเอียดดังตอ่ ไปน้ี 4.1 สญั ลักษณ์ที่ใชใ้ นการนาเสนอผลการวเิ คราะห์ขอ้ มลู เพอ่ื ให้เกดิ ความเขา้ ใจตรงกันในการนาเสนอและการแปลความหมายผลการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วจิ ัยไดก้ าหนดสัญลกั ษณแ์ ละอักษรย่อท่ีใช้ในการวิเคราะห์ข้อมลู ดังนี้ แทน คา่ เฉล่ยี (Mean) S.D. แทน คา่ ส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) n แทน จานวนกลุ่มตัวอย่าง df แทน คา่ ความเปน็ อิสระ (Degree of Freedom) SS แทน ผลรวมกาลงั สอง (Sum of Squares) MS แทน คา่ เฉลีย่ กาลงั สอง (Mean Square) F แทน ค่าสถติ ทิ ดสอบ F-test P-value แทน ระดับนัยสาคญั ทางสถติ ิ ** แทน มนี ยั สาคัญทางสถติ ิทรี่ ะดบั 0.01
57 * แทน มนี ยั สาคญั ทางสถิติทรี่ ะดับ 0.05 Scheffe’ แทน เปรียบเทยี บรายค่ทู ี่แตกต่าง วิเคราะห์ข้อมูลระดับปฏิบัติโดยใช้เกณฑ์ประเมินค่าความคิดเห็นของเบสต์เบสท์ (Best) (ประกอบ กรรณสตู ร, 2542, หนา้ 108) ดังน้ี คะแนนเฉลี่ย ( ) = 1.00-1.50 หมายถงึ มภี าวะผู้นาตามหลกั สปั ปุริสธรรม น้อยท่ีสดุ คะแนนเฉล่ีย ( ) = 1.51-2.50 หมายถึง มภี าวะผนู้ าตามหลกั สปั ปุริสธรรม น้อย คะแนนเฉล่ยี ( ) = 2.51-3.50 หมายถงึ มภี าวะผนู้ าตามหลกั สปั ปรุ สิ ธรรม ปานกลาง คะแนนเฉลี่ย ( ) = 3.51-4.50 หมายถงึ มภี าวะผ้นู าตามหลกั สปั ปรุ สิ ธรรม มาก คะแนนเฉลี่ย ( ) = 4.51-5.00 หมายถงึ มีภาวะผู้นาตามหลกั สัปปรุ ิสธรรม มากทส่ี ดุ สามารถนามาแสดงผลการวิเคราะห์ข้อมูลตามลาดับ ดังนี้ 4.1 ผลการวเิ คราะห์สถานภาพของผตู้ อบแบบสอบถาม 4.2 ผลการวเิ คราะห์ข้อมลู 4.3 ผลการสัมภาษณ์เกี่ยวกับภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขต อาเภอนากลาง จังหวดั หนองบัวลาภู 4.4 ข้อเสนอแนะเกีย่ วกับภาวะผู้นาตามหลักสัปปรุ สิ ธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอ นากลาง จังหวดั หนองบัวลาภู 4.4 สรุปองค์ความรู้จากการวิจัย
58 4.2 ผลการวเิ คราะห์สถานภาพของผตู้ อบแบบสอบถาม ผลการวิเคราะห์ปัจจัยส่วนบุคคลของผู้ตอบแบบสอบถาม ประกอบด้วย พรรษา ตาแหน่ง พระสังฆาธิการ วุฒิการศึกษาทางธรรม วุฒิการศึกษาแผนกบาลี ประสบการณ์การปฏิบัติหน้าท่ี ผล ปรากฏดังตารางที่ 4.1 ตารางท่ี 4.1 แสดงจานวน และร้อยละของผู้ตอบแบบสอบถาม ปัจจัยส่วนบคุ คล จานวน (คน) (n = 150) 1. พรรษา รอ้ ยละ ตา่ กวา่ 5 พรรษา 18 6 - 10 พรรษา 51 11.8 11 - 15 พรรษา 38 33.6 16 - 20 พรรษา 24 25.0 21 พรรษา ข้ึนไป 19 15.8 150 12.5 รวม 100 2. ตาแหน่งพระสงั ฆาธกิ าร 75 รองเจา้ อาวาส 65 49.3 เจา้ อาวาส 9 42.8 เจา้ คณะตาบล 1 5.9 เจ้าคณะอาเภอ 150 0.7 100 รวม 20 3. วฒุ กิ ารศกึ ษาทางธรรม 28 13.2 นกั ธรรมชัน้ ตรี 102 18.4 นักธรรมช้ันโท 150 67.1 นักธรรมชั้นเอก 100 103 รวม 34 67.8 4. วุฒกิ ารศึกษาแผนกบาลี 13 22.4 เปรียญธรรม 1 - 2 ประโยค 150 8.6 เปรยี ญธรรม 3 - 6 ประโยค 100 เปรยี ญธรรม 7 - 9 ประโยค รวม
59 ตารางท่ี 4.1 (ตอ่ ) ปจั จัยส่วนบคุ คล จานวน (คน) (n = 150) 5. ประสบการณก์ ารปฏบิ ตั ิหนา้ ท่ี รอ้ ยละ ต่ากวา่ 5 ปี 72 6 - 9 ปี 48 47.4 10 ปขี นึ้ ไป 30 31.6 150 19.7 รวม 100 จากตารางที่ 4.1 พบว่า แสดงจานวนและร้อยละของข้อมูลท่ัวไปของผู้ตอบแบบสอบถาม สามารถอธิบายรายละเอยี ดในแตล่ ะประเดน็ ดังตอ่ ไปนี้ พรรษา ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่มีพรรษา 6-10 พรรษา จานวน 51 รูป คิดเป็นร้อยละ 33.6 รองลงมามีพรรษา 11-15 พรรษา มีจานวน 38 รูป คิดเป็นร้อยละ 25.0 มีพรรษา 16-20 พรรษา มีจานวน 24 รูป คิดเป็นร้อยละ 15.8 มีพรรษา 21 พรรษา ข้ึนไป มีจานวน 19 รูป คิดเป็นร้อยละ 12.5 และมีพรรษา ตา่ กว่า 5 พรรษา มจี านวน 18 รปู คิดเปน็ รอ้ ยละ 11.8 ตาแหน่งพระสังฆาธิการ ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นรองเจ้าอาวาส มีจานวน 75 49.3 คิดเป็นร้อยละ รองลงมาเป็นเจ้าอาวาส มีจานวน 65 รูป คิดเป็นร้อยละ 42.8 เป็นเจ้าคณะ ตาบล จานวน 9 คดิ เป็นรอ้ ยละ 5.9 เป็นเจา้ คณะอาเภอ 1 คิดเปน็ รอ้ ยละ 0.7 วุฒิการศึกษาทางธรรม ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่มีนักธรรมชั้นเอก มีจานวน 1.2 รูป คิดเป็นร้อยละ 61.1 รองลงมา นักธรรมช้ันโท มีจานวน 28 คิดเป็นร้อยละ 18.4 นักธรรมช้ันตรี มจี านวน 20 คิดเป็นร้อยละ 11.8 วุฒิการศึกษาแผนกบาลี ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่มีเปรียญธรรม 1-2 ประโยค มีจานวน 103 คดิ เปน็ รอ้ ยละ 67.8 รองลงมามเี ปรียญธรรม 3-6 ประโยค มีจานวน 34 คิดเป็นร้อยละ 22.4 เปรียญธรรม 7-9 ประโยค มีจานวน 13 คดิ เปน็ รอ้ ยละ 8.6 ประสบการณ์การปฏิบัติหน้าที่ ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่มีประสบการณ์การปฏิบัติ หน้าที่ต่ากว่า 5 ปี มีจานวน 72 คิดเป็นร้อยละ 47.4 ประสบการณ์การปฏิบัติหน้าท่ี 6 -9 ปี มีจานวน 48 คิดเป็นร้อยละ 31.6 มีประสบการณ์การปฏิบัติ 10 ปีข้ึนไป มีจานวน 150 รูป คิดเป็น รอ้ ยละ 19.7
60 4.3 ผลการวเิ คราะห์ข้อมลู 4.3.1 ผลการวิเคราะห์ระดับภาวะผนู้ าตามหลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขต อาเภอนากลาง จงั หวัดหนองบวั ลาภู โดยพิจารณาเปน็ รายดา้ น ตารางที่ 4.2 แสดงค่าเฉล่ีย ( ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) อันดับ และระดับความคิดเห็น ต่อภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัดหนองบวั ลาภู โดยรวม ภาวะผู้นาตามหลกั สัปปรุ ิสธรรมของพระสังฆาธกิ ารใน (n = 150) เขตอาเภอนากลาง จังหวดั หนองบัวลาภู ระดับความคิดเห็น S.D. อันดับ ระดบั 1. ด้านธมั มัญญุตา 4.06 0.66 4 มาก 2. ดา้ นอัตถญั ญุตา 4.24 0.60 1 มาก 3. ด้านอัตตญั ญุตา 4.09 0.64 3 มาก 4. ดา้ นมัตตญั ญุตา 4.04 0.65 6 มาก 5. ดา้ นกาลัญญุตา 4.04 0.57 7 มาก 6. ดา้ นปรสิ ัญญุตา 4.11 0.67 2 มาก 7. ดา้ นปุคคลปโรปรัญญุตา 4.09 0.60 5 มาก 4.10 0.56 - มาก รวม จากตารางท่ี 4.2 พบว่า ภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอ นากลาง จงั หวดั หนองบัวลาภูโดยรวมทุกด้านอยู่ในระดับมาก โดยเรียงลาดับค่าคะแนนเฉลี่ยภาวะผู้นา ตามหลักสัปปรุ สิ ธรรมของพระสังฆาธกิ ารในเขตอาเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลาภูจากมากไปหาน้อย ดังนี้ ด้านอัตถัญญุตา ด้านปริสัญญุตา ด้านอัตตัญญุตา ด้านธัมมัญญุตา ด้านปุคคลปโรปรัญญุตา ด้าน มตั ตญั ญุตา และ ด้านกาลัญญุตา
61 4.3.2 ระดับภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลาภูโดยหาค่าเฉลี่ยและค่าเบ่ียงเบนมาตรฐาน โดยพิจารณาเป็นรายข้อและใน ภาพรวม ตารางท่ี 4.3 แสดงค่าเฉลี่ย ( ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) อันดับ และระดับความคิดเห็น ต่อภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัดหนองบวั ลาภู ดา้ นธัมมญั ญุตา ด้านธมั มัญญตุ า (n = 150) ระดบั ความคดิ เหน็ 1. ท่านเป็นผู้ท่ีเข้าใจระเบียบกฎเกณฑ์ ของการบริหารกิจ S.D. อันดับ ระดับ การคณะสงฆ์ 4.06 0.81 3 มาก 2. ท่านเป็นผู้ที่ยึดหลักการและบริหารกิจการคณะสงฆ์อย่าง เป็นขั้นเป็นตอน 4.05 0.72 4 มาก 3.ท่านเป็นนักวางแผนและจัดทานโยบายสอดคล้องกับการ 3.91 0.90 5 มาก บริหารกิจการคณะสงฆ์ 4.05 0.82 2 มาก 4.25 0.84 1 มาก 4. ทา่ นระงบั อธิกรณ์ โดยใช้ พระธรรมวินัย 4.06 0.66 - มาก 5. ทา่ นเป็นพระเถระท่ที รงธรรมและวินัย รวม จากตารางท่ี 4.3 พบว่า ภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอ นากลาง จังหวัดหนองบัวลาภู ด้านธัมมัญญุตา โดยรวมอยู่ในระดับมาก เรียงลาดับจากค่าเฉล่ียสูงไป หาต่า ดงั นี้ ทา่ นเปน็ พระเถระท่ีทรงธรรมและวนิ ยั ทา่ นระงบั อธิกรณ์ โดยใช้ พระธรรมวินยั ท่านเป็นผู้ ทีเ่ ขา้ ใจระเบียบกฎเกณฑ์ ของการบริหารกิจการคณะสงฆ์ ท่านเป็นผู้ที่ยึดหลักการและบริหารกิจการ คณะสงฆ์อย่างเป็นขั้นเป็นตอน ท่านเป็นนักวางแผนและจัดทานโยบายสอดคล้องกับการบริหาร กจิ การคณะสงฆ์
62 ตารางที่ 4.4 แสดงค่าเฉลี่ย ( ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) อันดับ และระดับความคิดเห็น ต่อภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวดั หนองบวั ลาภู ด้านอัตถญั ญตุ า (n = 150) ดา้ นอัตถัญญุตา ระดบั ความคดิ เห็น S.D. อันดับ ระดับ 1. ท่านเป็นผู้ที่มีจุดมุ่งหมายหรือเป้าหมายในการบริหารกิจ 4.31 0.72 2 มาก การคณะสงฆ์ 2. การบริหารกิจการคณะสงฆ์ของท่านยดึ ประโยชน์ เพ่ือส่วน 4.35 0.69 1 มาก รวมเปน็ หลัก 3. ท่านเป็นนักพัฒนาท่ีมีการคิดโครงการหรือกิจกรรมต่าง ๆ 4.17 0.82 4 มาก มาพัฒนากิจการคณะสงฆ์ 4. ท่านเป็นผู้ที่มีความมุ่งม่ัน และมีความเพียรพยายามท่ีจะ 4.15 0.77 5 มาก ขับเคลื่อนไปสู่ จุดหมายท่ีตงั้ ไว้ 5. ท่านทุม่ เทกาลังใจกาลงั กายเพือ่ งานคณะสงฆ์ 4.21 0.76 3 มาก รวม 4.24 0.60 - มาก จากตารางท่ี 4.4 พบว่า ภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอ นากลาง จังหวัดหนองบัวลาภู ด้านอัตถัญญุตา โดยรวมอยู่ในระดับมาก เรียงลาดับจากค่าเฉลี่ยสูงไป หาต่า ดังน้ี การบริหารกิจการคณะสงฆ์ของท่านยึดประโยชน์ เพ่ือส่วนรวมเป็นหลัก ท่านเป็นผู้ที่มีจุด มุ่งหมายหรือเป้าหมายในการบริหารกิจการคณะสงฆ์ ท่านทุ่มเทกาลังใจกาลังกายเพื่องานคณะสงฆ์ ท่านเป็นนักพัฒนาท่ีมีการคิดโครงการหรือกิจกรรมต่าง ๆ มาพัฒนากิจการคณะสงฆ์ ท่านเป็นผู้ท่ีมี ความมงุ่ มั่นและมีความเพียรพยายามทจ่ี ะขับเคลื่อนไปสจู่ ดุ หมายทตี่ ง้ั ไว้
63 ตารางที่ 4.5 แสดงค่าเฉล่ีย ( ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) อันดับ และระดับความคิดเห็น ต่อภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวดั หนองบัวลาภู ดา้ นอัตตญั ญุตา ดา้ นอตั ตัญญตุ า (n = 150) ระดบั ความคิดเหน็ 1. ทา่ นเปน็ ผู้นาที่มวี สิ ยั ทัศน์ มคี วามคดิ รเิ รมิ่ สร้างสรรค์ S.D. อนั ดับ ระดับ 2. ท่านเป็นผู้ที่เป่ียมด้วยความรู้ ความสามารถและความเชื่อ 4.09 0.81 3 มาก ม่นั ในตนเอง 3.89 0.82 5 มาก 3. ทา่ นเป็นผู้ทม่ี ีความรบั ผิดชอบสูง 4.23 0.75 1 มาก 4. ท่านเป็นผู้ที่มจี ติ ใจโอบออมอารี และมคี วามเสยี สละ 4.23 0.73 2 มาก 5. ท่านข่มอนฏิ ฐารมณไ์ ด้ทกุ ขณะ 4.00 0.91 4 มาก 4.09 0.64 - มาก รวม จากตารางที่ 4.5 พบว่า ภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอ นากลาง จังหวัดหนองบัวลาภู ด้านอัตตัญญุตาโดยรวมอยู่ในระดับมาก เรียงลาดับจากค่าเฉล่ียสูงไป หาตา่ ดงั น้ี ท่านเปน็ ผทู้ ี่มีความรบั ผิดชอบสงู ท่านเป็นผูท้ มี่ ีจิตใจโอบออมอารแี ละมีความเสียสละ ท่าน เปน็ ผ้นู าที่มีวสิ ัยทศั น์ มคี วามคดิ รเิ ร่มิ สรา้ งสรรค์ ท่านข่มอนิฏฐารมณไ์ ด้ทกุ ขณะ ทา่ นเป็นผู้ที่เปี่ยมด้วย ความรู้ ความสามารถและความเช่ือมัน่ ในตนเอง
64 ตารางท่ี 4.6 แสดงค่าเฉลี่ย ( ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) อันดับ และระดับความคิดเห็น ต่อภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จงั หวัดหนองบวั ลาภู ดา้ นมัตตญั ญตุ า (n = 150) ดา้ นมัตตัญญตุ า ระดับความคดิ เหน็ S.D. อนั ดบั ระดบั 1. ท่านเป็นผู้กาหนดแผนหรือนโยบายในการบริหารกิจการคณะ 4.09 0.79 3 มาก สงฆท์ ่มี ีความเหมาะสมและพอดี 2. ทา่ นบริหารงบประมาณคมุ ค่าและเกิดประโยชน์ตอ่ องค์กร 3.93 0.86 4 มาก 3. ท่านเป็นตัวอย่างในการดาเนินชีวติ บนวถิ ีแหง่ ความสันโดษ 4.12 0.77 2 มาก 4. ทา่ นเปน็ ตัวอย่างท่ดี ีในการบริหารจัดการโดยยึดหลักมัชฌิมา 3.89 0.82 5 มาก ปฏปิ ทา 5. ท่านยนิ ดใี นปัจจัยสต่ี ามกาลงั ของตน 4.15 0.83 1 มาก รวม 4.04 0.65 - มาก จากตารางที่ 4.6 พบว่า ภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอ นากลาง จังหวัดหนองบัวลาภู ด้านมัตตัญญุตา โดยรวมอยู่ในระดับมาก เรียงลาดับจากค่าเฉล่ียสูงไป หาต่า ดังนี้ ท่านยินดีในปัจจัยส่ีตามกาลังของตน ท่านเป็นตัวอย่างในการดาเนินชีวิตบนวิถีแห่งความ สันโดษ ท่านเป็นผู้กาหนดแผนหรือนโยบายในการบริหารกิจการคณะสงฆ์ ที่มีความเหมาะสมและ พอดี ท่านบริหารงบประมาณคุมค่าและเกิดประโยชน์ต่อองค์กร ท่านเป็นตัวอย่างที่ดี ในการบริหาร จัดการโดยยึดหลกั มัชฌิมาปฏปิ ทา
65 ตารางท่ี 4.7 แสดงค่าเฉล่ีย ( ) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) อันดับ และระดับความคิดเห็น ต่อภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวดั หนองบัวลาภู ด้านกาลญั ญุตา ด้านกาลัญญตุ า (n = 150) ระดับความคิดเห็น 1. ท่านจัดทานโยบายหรือโครงการเหมาะสมกับจังหวะและ S.D. อันดับ ระดบั เวลา 4.19 0.72 1 มาก 2. ท่านสามารถจดั ลาดับความสาคัญของปัญหาก่อนและหลัง ไดด้ ี 4.06 0.71 2 มาก 3. ท่านเป็นผู้ท่ีแก้ไขปัญหาท่ี เกิดข้ึนได้ ทันต่อเหตุการณ์และ 3.99 0.76 4 มาก เวลา 4.02 0.79 3 มาก 4. ท่านเป็นตัวอย่างที่ดี ในการบริหารจัดการเวลาให้เกิด 3.96 0.75 5 มาก ประโยชน์ กับองคก์ รสูงสดุ 4.04 0.57 - มาก 5. ท่านไมไ่ ด้ทางานใหอ้ ากลู รวม จากตารางท่ี 4.7 พบว่า ภาวะผนู้ าตามหลกั สัปปรุ สิ ธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอนา กลาง จังหวดั หนองบัวลาภู ดา้ นกาลัญญตุ า โดยรวมอยู่ในระดับมาก เรียงลาดับจากค่าเฉล่ียสูงไปหาต่า ดังนี้ ท่านจัดทานโยบายหรือโครงการเหมาะสมกับจังหวะและเวลา ท่านสามารถจัดลาดับความสาคัญ ของปัญหาก่อนและหลงั ได้ดี ท่านเปน็ ตวั อย่างทดี่ ี ในการบริหารจดั การเวลาให้เกิดประโยชน์ กับองค์กร สูงสุด ทา่ นเป็นผทู้ ่แี ก้ไขปญั หาที่ เกดิ ขนึ้ ได้ ทันต่อเหตุการณแ์ ละเวลา ทา่ นไม่ไดท้ างานให้อากูล
66 ตารางที่ 4.8 แสดงค่าเฉล่ีย ( ) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) อันดับ และระดับความคิดเห็น ต่อภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จงั หวัดหนองบัวลาภู ดา้ นปรสิ ัญญตุ า (n = 150) ดา้ นปรสิ ัญญตุ า ระดับความคดิ เห็น S.D. อันดบั ระดบั 1. ทา่ นเป็นผู้ทม่ี ีมนุษยสัมพนั ธท์ ี่ดกี บั ทุกคนและทุกองค์กร 4.25 0.83 1 มาก 2. ทา่ นเปน็ นกั ประสานงานท่ดี กี บั ทุกองคก์ รและทกุ ภาคสว่ น 4.02 0.79 4 มาก 3. ท่านให้ความสาคัญกับประโยชน์ส่วนรวมมากกว่า 4.11 0.76 3 มาก ประโยชนส์ ว่ นตน 4. ท่านให้ความสาคัญในการพัฒนาคุณธรรมและจริยธรรม 4.19 0.81 2 มาก ของเยาวชนและประชาชน 5. ทา่ นเขา้ ใจในบรบิ ทรอบขา้ งเปน็ ขา้ งดี 4.01 0.76 5 มาก รวม 4.11 0.67 - มาก จากตารางที่ 4.8 พบว่า ภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอ นากลาง จังหวัดหนองบวั ลาภู ดา้ นปริสัญญตุ า โดยรวมอยู่ในระดับมาก เรียงลาดับจากค่าเฉลี่ยสูงไปหา ต่า ดังน้ี ท่านเป็นผู้ท่ีมีมนุษยสัมพันธ์ท่ีดีกับทุกคนและทุกองค์กร ท่านให้ความสาคัญในการพัฒนา คุณธรรมและจริยธรรมของเยาวชนและประชาชน ท่านให้ความสาคัญกับประโยชน์ส่วนรวมมากกว่า ประโยชน์ส่วนตน ท่านเป็นนักประสานงานท่ีดีกับทุกองค์กรและทุกภาคส่วน ท่านเข้าใจในบริบทรอบ ข้างเปน็ อยา่ งดี
67 ตารางที่ 4.9 แสดงค่าเฉล่ีย ( ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) อันดับ และระดับความคิดเห็น ต่อภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัดหนองบวั ลาภู ดา้ นปุคคลปโรปรญั ญตุ า ด้านปุคคลปโรปรญั ญตุ า (n = 150) ระดับความคิดเห็น 1. ท่านสามารถบรรจุ แต่งต้ังหรือจัดวางบุคคลได้ เหมาะสม S.D. อนั ดบั ระดับ กับงาน 4.05 0.77 4 มาก 2. ท่านให้โอกาสและสนับสนุนคนที่มี ความรู้ ความสามารถ ให้ดารงตาแหนง่ ทเ่ี หมาะสม 4.07 0.69 3 มาก 3. ท่านเป็นผู้ส่งเสริมให้ ภิกษุ สามเณรได้ มีโอกาสศึกษาเล่า 4.14 0.81 2 มาก เรยี นเพมิ่ เตมิ 4.19 0.74 1 มาก 4. ท่านสรรเสรญิ บคุ คลที่ควรสรรเสริญและขม่ บุคคลทีค่ วรข่ม 4.01 0.79 5 มาก 5. ทา่ นให้ความสาคัญกบั ทรพั ยากรมนุษย์ 4.09 0.60 - มาก รวม จากตารางท่ี 4.9 พบว่า ภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอ นากลาง จังหวัดหนองบัวลาภู ด้านปุคคลปโรปรัญญุตา โดยรวมอยู่ในระดับมาก เรียงลาดับจากค่า เฉลยี่ สูงไปหาต่า ดังนี้ ท่านสรรเสริญบุคคลที่ ควรสรรเสริญและข่มบุคคลท่ีควรข่ม ท่านเป็นผู้ส่งเสริม ให้ ภิกษุ สามเณรได้ มโี อกาสศกึ ษาเล่าเรยี นเพิม่ เติม ทา่ นใหโ้ อกาสและสนับสนุนคนท่ีมี ความรู้ ความ สามารถให้ดารงตาแหน่งที่เหมาะสม ทา่ นสามารถบรรจุ แต่งตั้งหรือจัดวางบุคคลได้ เหมาะสมกับงาน ท่านใหค้ วามสาคัญกบั ทรพั ยากรมนษุ ย์
68
69 จากตารางท่ี 10 พบว่า ผลการศึกษาการเปรียบเทียบความคิดเห็นของพระสงฆ์ต่อภาวะ ผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลาภู โดยรวม จาแนกตามพรรษา อยใู่ นระดับมากทุกดา้ น
70 ตารางท่ี 4.11 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนต่อภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของ พระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลาภู โดยรวม ที่มีพรรษา ต่างกนั แหลง่ ความแปรปรวน SS df MS F Sig. ระหวา่ งกลมุ่ 2.357 4 0.594 1.975 0.101 ภายในกล่มุ 43.594 145 0.301 45.969 149 รวม * p< .05 จากตารางท่ี 4.11 พบว่า ผลการทดสอบด้วยค่าสถิติ F -test ด้วยวิธีการวิเคราะห์ความ แปรปรวนทางเดียว (One Way ANOVA) ท่ีระดับนัยสาคัญ 0.05 พระสังฆาธิการท่ีมีพรรษาต่างกัน มี ความคิดเห็นต่อภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัด หนองบวั ลาภู โดยภาพรวม ไม่แตกต่างกนั จึงปฏเิ สธสมมตฐิ านที่ตั้งไว้
71 ตารางท่ี 4.12 แสดงค่าเฉลี่ย ( ) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับความคิดเห็นต่อ ภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัด หนองบวั ลาภู ด้านธมั มญั ญตุ า จาแนกตามพรรษา พรรษา n S.D. ระดบั ต่ากวา่ 5 พรรษา 18 3.83 0.74 มาก 6 - 10 พรรษา 51 4.05 0.67 มาก 11 - 15 พรรษา 38 3.97 0.74 มาก 16 - 20 พรรษา 24 4.21 0.50 มาก 21 พรรษา ขึน้ ไป 19 4.29 0.49 มาก 150 4.06 0.66 มาก รวม จากตารางท่ี 4.12 พบว่าภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอ นากลาง จงั หวัดหนองบัวลาภู ด้านธมั มัญญตุ า จาแนกตามพรรษา อยู่ในระดบั มาก ตารางท่ี 4.13 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนต่อภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของ พระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลาภู ด้านธัมมัญญุตา ที่มี พรรษาต่างกัน แหล่งความแปรปรวน SS df MS F Sig. ระหวา่ งกลุ่ม 2.783 4 0.696 1.633 0.169 ภายในกลุ่ม 61.788 145 0.426 64.571 149 รวม * p< .05 จากตารางท่ี 4.13 พบว่า ผลการทดสอบด้วยค่าสถิติ F -test ด้วยวิธีการวิเคราะห์ความ แปรปรวนทางเดยี ว (One Way ANOVA) ท่ีระดบั นยั สาคญั 0.05 พระสังฆาธิการที่มีพรรษาต่างกัน มี ความคิดเห็นต่อภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัด หนองบัวลาภู ดา้ นธัมมัญญุตาไม่แตกต่างกัน จึงปฏิเสธสมมติฐานท่ีตั้งไว้
72 ตารางที่ 4.14 แสดงค่าเฉลี่ย ( ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับความคิดเห็นต่อ ภาวะผ้นู าตามหลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัด หนองบวั ลาภู ดา้ นอัตถญั ญุตา จาแนกตามพรรษา พรรษา n S.D. ระดับ ต่ากวา่ 5 พรรษา 18 4.07 0.77 มาก 6 - 10 พรรษา 51 4.19 0.58 มาก 11 - 15 พรรษา 38 4.19 0.68 มาก 16 - 20 พรรษา 24 4.41 0.49 มาก 21 พรรษา ขึ้นไป 19 4.40 0.38 มาก 150 4.24 0.60 มาก รวม จากตารางท่ี 4.14 พบว่าภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอ นากลาง จังหวัดหนองบวั ลาภู ดา้ นอัตถญั ญุตา จาแนกตามพรรษา อยู่ในระดับมาก ตารางท่ี 4.15 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนต่อภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของ พระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลาภู ด้านอัตถัญญุตา ท่ีมี พรรษาตา่ งกัน แหลง่ ความแปรปรวน SS df MS F Sig. ระหวา่ งกลุ่ม 1.939 4 0.485 1.341 0.257 ภายในกล่มุ 52.387 145 0.361 54.326 149 รวม * p< .05 จากตารางท่ี 4.15 พบว่า ผลการทดสอบด้วยค่าสถิติ F -test ด้วยวิธีการวิเคราะห์ความ แปรปรวนทางเดียว (One Way ANOVA) ทีร่ ะดับนัยสาคัญ 0.05 พระสงั ฆาธิการที่มีพรรษาต่างกัน มี ความคิดเห็นต่อภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัด หนองบวั ลาภู ด้านอตั ถัญญุตา ไม่แตกต่างกัน จงึ ปฏเิ สธสมมติฐานท่ตี ้ังไว้
73 ตารางที่ 4.16 แสดงค่าเฉล่ีย ( ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับความคิดเห็นต่อ ภาวะผู้นาตามหลกั สัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัด หนองบวั ลาภู ด้านอตั ตัญญุตา จาแนกตามพรรษา พรรษา n S.D. ระดบั ตา่ กว่า 5 พรรษา 18 3.94 0.73 มาก 6 - 10 พรรษา 51 3.97 0.69 มาก 11 - 15 พรรษา 38 4.10 0.68 มาก 16 - 20 พรรษา 24 4.30 0.44 มาก 21 พรรษา ขน้ึ ไป 19 4.26 0.42 มาก 150 4.09 0.64 มาก รวม จากตารางที่ 4.16 พบว่า ภาวะผูน้ าตามหลักสปั ปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอ นากลาง จังหวัดหนองบัวลาภู ดา้ นอัตตญั ญุตา จาแนกตามพรรษา อยู่ในระดับมาก ตารางที่ 4.17 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนต่อภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของ พระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลาภู ด้านอัตตัญญุตา ที่มี พรรษาต่างกัน แหล่งความแปรปรวน SS df MS F Sig. ระหวา่ งกลมุ่ 2.764 4 0.691 1.735 0.145 ภายในกลมุ่ 57.758 145 0.398 60.523 149 รวม * p< .05 จากตารางที่ 4.17 พบว่า ผลการทดสอบด้วยค่าสถิติ F -test ด้วยวิธีการวิเคราะห์ความ แปรปรวนทางเดยี ว (One Way ANOVA) ทร่ี ะดับนยั สาคญั 0.05 พระสงั ฆาธิการท่ีมีพรรษาต่างกัน มี ความคิดเห็นต่อภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัด หนองบวั ลาภู ดา้ นอตั ตญั ญตุ า ไม่แตกตา่ งกัน จงึ ปฏเิ สธสมมตฐิ านท่ตี ั้งไว้
74 ตารางที่ 4.18 แสดงค่าเฉลี่ย ( ) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับความคิดเห็นต่อ ภาวะผนู้ าตามหลกั สัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัด หนองบวั ลาภู ด้านมตั ตญั ญุตา จาแนกตามพรรษา พรรษา n S.D. ระดบั ตา่ กว่า 5 พรรษา 18 3.97 0.66 มาก 6 - 10 พรรษา 51 4.05 0.64 มาก 11 - 15 พรรษา 38 3.89 0.71 มาก 16 - 20 พรรษา 24 4.28 0.58 มาก 21 พรรษา ขน้ึ ไป 19 4.04 0.55 มาก 150 4.04 0.65 มาก รวม จากตารางที่ 4.18 พบวา่ ภาวะผู้นาตามหลกั สปั ปรุ ิสธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอ นากลาง จังหวัดหนองบัวลาภู ด้านมัตตัญญตุ า จาแนกตามพรรษา อยู่ในระดบั มาก ตารางที่ 4.19 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนต่อภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของ พระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลาภู ด้านมัตตัญญุตา ที่มี พรรษาต่างกนั แหล่งความแปรปรวน SS df MS F Sig. ระหวา่ งกลมุ่ 2.389 4 0.597 1.450 0.221 ภายในกลมุ่ 59.722 145 0.412 62.111 49 รวม * p< .05 จากตารางท่ี 4.19 พบว่า ผลการทดสอบด้วยค่าสถิติ F -test ด้วยวิธีการวิเคราะห์ความ แปรปรวนทางเดยี ว (One Way ANOVA) ท่รี ะดับนยั สาคญั 0.05 พระสงั ฆาธิการท่ีมีพรรษาต่างกัน มี ความคิดเห็นต่อภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัด หนองบวั ลาภู ดา้ นมัตตัญญุตา ไมแ่ ตกต่างกนั จึงปฏิเสธสมมติฐานท่ตี ้ังไว้
75 ตารางที่ 4.20 แสดงค่าเฉลี่ย ( ) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับความคิดเห็นต่อ ภาวะผนู้ าตามหลกั สัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัด หนองบวั ลาภู ดา้ นกาลัญญุตา จาแนกตามพรรษา พรรษา n S.D. ระดบั ต่ากวา่ 5 พรรษา 18 3.91 0.62 มาก 6 - 10 พรรษา 51 4.00 0.58 มาก 11 - 15 พรรษา 38 3.95 0.63 มาก 16 - 20 พรรษา 24 4.28 0.40 มาก 21 พรรษา ข้ึนไป 19 4.17 0.48 มาก 150 4.04 0.57 มาก รวม จากตารางที่ 4.20 พบว่า ภาวะผนู้ าตามหลกั สปั ปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอ นากลาง จังหวดั หนองบัวลาภู ดา้ นกาลญั ญุตา จาแนกตามพรรษา อยใู่ นระดบั มาก ตารางท่ี 4.21 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนต่อภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของ พระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลาภู ด้านกาลัญญุตา ที่มี พรรษาต่างกนั แหล่งความแปรปรวน SS df MS F Sig. ระหวา่ งกลุ่ม 2.423 4 0.606 1.908 0.112 ภายในกลุ่ม 46.046 145 0.318 48.470 149 รวม * p< .05 จากตารางที่ 4.21 พบว่า ผลการทดสอบด้วยค่าสถิติ F -test ด้วยวิธีการวิเคราะห์ความ แปรปรวนทางเดยี ว (One Way ANOVA) ที่ระดบั นัยสาคญั 0.05 พระสังฆาธิการที่มีพรรษาต่างกัน มี ความคิดเห็นต่อภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัด หนองบวั ลาภู ดา้ นกาลัญญตุ า ไมแ่ ตกต่างกัน จงึ ปฏิเสธสมมติฐานทีต่ ้ังไว้
76 ตารางที่ 4.22 แสดงค่าเฉลี่ย ( ) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับความคิดเห็นต่อ ภาวะผ้นู าตามหลกั สัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัด หนองบวั ลาภู ด้านปริสัญญตุ า จาแนกตามพรรษา พรรษา n S.D. ระดบั ตา่ กว่า 5 พรรษา 18 4.08 0.66 มาก 6 - 10 พรรษา 51 4.05 0.64 มาก 11 - 15 พรรษา 38 3.99 0.76 มาก 16 - 20 พรรษา 24 4.37 0.65 มาก 21 พรรษา ขน้ึ ไป 19 4.23 0.51 มาก 150 4.11 0.67 มาก รวม จากตารางท่ี 4.22 พบวา่ ภาวะผู้นาตามหลกั สัปปรุ ิสธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอ นากลาง จังหวัดหนองบัวลาภู ดา้ นปริสญั ญตุ า จาแนกตามพรรษา อย่ใู นระดบั มาก ตารางที่ 4.23 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนต่อภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของ พระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลาภู ด้านปริสัญญุตา ที่มี พรรษาต่างกัน แหล่งความแปรปรวน SS df MS F Sig. ระหวา่ งกลมุ่ 2.537 4 0.634 1.445 0.222 ภายในกลมุ่ 63.651 145 0.439 66.188 149 รวม * p< .05 จากตารางที่ 4.23 พบว่า ผลการทดสอบด้วยค่าสถิติ F -test ด้วยวิธีการวิเคราะห์ความ แปรปรวนทางเดยี ว (One Way ANOVA) ท่ีระดับนยั สาคญั 0.05 พระสังฆาธิการท่ีมีพรรษาต่างกัน มี ความคิดเห็นต่อภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัด หนองบวั ลาภู ดา้ นปริสัญญุตา ไม่แตกตา่ งกัน จึงปฏิเสธสมมตฐิ านท่ตี ั้งไว้
77 ตารางที่ 4.24 แสดงค่าเฉลยี่ ( ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) อันดับ และระดับความคิดเห็น ต่อภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จงั หวดั หนองบัวลาภู ดา้ นปคุ คลปโรปรัญญุตา จาแนกตามพรรษา พรรษา n S.D. ระดบั ต่ากว่า 5 พรรษา 18 3.92 0.65 มาก 6 - 10 พรรษา 51 4.02 0.54 มาก 11 - 15 พรรษา 38 3.97 0.66 มาก 16 - 20 พรรษา 24 4.43 0.53 มาก 21 พรรษา ข้นึ ไป 19 4.27 0.54 มาก 150 4.09 0.60 มาก รวม จากตารางที่ 4.24 พบว่า ภาวะผูน้ าตามหลกั สัปปุรสิ ธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอ นากลาง จังหวดั หนองบัวลาภู ดา้ นปุคคลปโรปรญั ญุตา จาแนกตามพรรษา อยู่ในระดบั มาก ตารางท่ี 4.25 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนต่อภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของ พระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลาภู ด้านปุคคลปโรปรัญญุ ตา ทม่ี พี รรษาต่างกัน แหล่งความแปรปรวน SS df MS F Sig. ระหว่างกลุ่ม 4.627 4 1.157 3.371 0.011* ภายในกลุ่ม 49.747 145 0.343 รวม 54.373 149 * p< .05 จากตารางท่ี 4.25 พบว่า ผลการทดสอบด้วยค่าสถิติ F -test ด้วยวิธีการวิเคราะห์ความ แปรปรวนทางเดียว (One Way ANOVA) ทีร่ ะดบั นยั สาคัญ 0.05 พระสงั ฆาธิการท่ีมีพรรษาต่างกัน มี ความคิดเห็นต่อภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัด หนองบัวลาภู ด้านปคุ คลปโรปรญั ญุตา แตกต่างกัน จงึ ยอมรบั สมมตฐิ านทตี่ ั้งไว้
78 ตารางท่ี 4.26 แสดงผลการเปรยี บเทยี บความคดิ เหน็ ต่อภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระ สังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลาภู ด้านปุคคลปโรปรัญญุตา จาแนกตามพรรษา เป็นรายค่ตู ามวธิ ีการของ LSD (Least/significant Differern) พรรษา ตา่ กว่า 6 - 10 11 - 15 16 - 20 21 พรรษา 5 พรรษา พรรษา พรรษา พรรษา ข้ึนไป ต่ากวา่ 5 พรรษา 6-10 พรรษา 3.92 0.529 11-15 พรรษา 4.02 0.529 16-20 พรรษา 3.97 0.783 21 พรรษา ขน้ึ ไป 4.43 0.007* 4.27 0.070 * p< .05 จากตารางท่ี 4.26 พบว่า การเปรียบเทียบความคิดเห็นของพระสังฆาธิการที่มีต่อภาวะ ผู้นาตามหลักสัปปุรสิ ธรรมของพระสังฆาธกิ ารในเขตอาเภอนากลาง จังหวัดหนองบวั ลาภู ด้านปุคคลป โรปรญั ญตุ า จาแนกตามพรรษา เปรยี บเทียบรายคู่ พบว่า แตกตา่ งกันอยา่ งมนี ัยสาคญั ทางสถิติ ท่ี .05 จานวน 1 คู่ ได้แก่ 16-20 พรรษา ไม่แตกต่างกันตามนัยสาคัญทางสถิติที่ .05 จานวน 4 คู่ ได้แก่ ต่า กวา่ 5 พรรษา 6-10 พรรษา 11-15 พรรษา 21 พรรษา ขึน้ ไป
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207