Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วารสารวิชาการสาธารณสุขชุมชน (Academic Journal of Community Public Health: AJCPH)

วารสารวิชาการสาธารณสุขชุมชน (Academic Journal of Community Public Health: AJCPH)

Description: วารสาร

Search

Read the Text Version

วารสารวชิ าการสาธารณสุขชมุ ชน ปีที่ 6 ฉบบั ท่ี 2 เมษายน – มถิ นุ ายน 2563 Received: 14 Jan 2020, Revised: 17 Feb 2020 Accepted: 5 Mar 2020 นิพนธต์ น้ ฉบับ การประเมนิ ความเส่ยี งการใชส้ ารเคมีกาจัดศัตรพู ืชของเกษตรกร ในตาบลหนองปลาสะวาย อาเภอบา้ นโฮ่ง จงั หวดั ลาพูน วนั ชยั รัตนพรม1,* สมชาย แสนวงค์2 ณัฐพงษ์ พอสุยะ3 บทคดั ยอ่ สารเคมีกาจัดศัตรูพืชเป็นอันตรายต่อสุขภาพร่างกายทั้งมนุษย์และสัตว์ แต่ยังพบว่าเกษตรกร ยังคงมีการใช้สารเคมีกาจัดศัตรูพืชอยู่เป็นจานวนมากและเป็นพ้ืนท่ีกว้าง โดยส่วนใหญ่มีการใช้ไม่ถูก วิธีจึงทาให้ได้รับสารเคมีสะสมไว้จนร่างกายและแสดงอาการต่าง ๆ การศึกษาเชิงพรรณนาแบบ ภาพตัดขวางน้ีมีวัตถุประสงค์เพ่ือศึกษาความรู้ เจตคติ การปฏิบัติตนและหาความสัมพันธ์ระหว่าง ความรู้ เจตคติ การปฏิบัติตนในการใช้สารเคมีกาจัดศัตรูพืชของเกษตรกร ประเมินความเสี่ยงในการ ใช้สารเคมีกาจัดศัตรูพืช และหาความสัมพันธ์ของการปฏิบัติกับความเส่ียงในการใช้สารเคมีกาจัด ศตั รพู ืชของเกษตรกรในตาบลหนองปลาสะวาย อาเภอบ้านโฮ่ง จงั หวัดลาพูน เก็บรวบรวมข้อมูลด้วย แบบสอบถาม พบวา่ กลุม่ ตัวอยา่ งสว่ นใหญ่เปน็ ผูผ้ สมสารเคมีกาจัดศัตรพู ืชดว้ ยตนเอง (ร้อยละ 58.50) ไม่พบอาการผิดปกติทันทีหลังการใช้สารเคมีกาจัดศัตรูพืช (ร้อยละ 68.00) ในรอบ 6 เดือนท่ีผ่านมา ไม่เคยได้รับข้อมูลข่าวสารความรู้ในการป้องกันอันตรายจากการใช้สารเคมีกาจัดศัตรูพืช (ร้อยละ 69.10) ในรอบปีที่ผ่านมาไม่เคยเข้าร่วมการอบรมเกี่ยวกับการใช้สารป้องกันกาจัดศัตรูพืช (ร้อยละ 63.40) กลุ่มตัวอย่างมีความรู้เกี่ยวกับการใช้สารเคมีกาจัดศัตรูพืชอยู่ในระดับมาก (ค่าเฉลี่ย 7.87) มี เจตคติอยู่ในระดับปานกลาง (ค่าเฉล่ีย 2.26+0.19) มีการปฏิบัติตัวอยู่ในระดับน้อย (ค่าเฉลี่ย 1.58+0.24) โดยความรู้ เจตคติ และการปฏิบัติในการใช้สารเคมีกาจัดศัตรูพืชไม่มีความสัมพันธ์กัน ทางสถิติ (P-value>0.05) การประเมินความเส่ียงในการป้องกันการใช้สารเคมีกาจัดศัตรูพืช พบว่า ส่วนใหญ่มีความเสี่ยงอยู่ในระดับต่า (ร้อยละ 42.30) การหาความสัมพันธ์ของระดับการปฏิบัติตนใน การป้องกันการใช้สารเคมีกาจัดศัตรูพืชกับระดับความเส่ียงในการใช้สารเคมีกาจัดศัตรูพืชของกลุ่ม ตวั อย่าง พบวา่ มีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ (P-value<0.01) ดังนัน้ เพื่อลดความเส่ียง ในการใช้สารเคมีกาจัดศัตรูพืช ควรส่งเสริมการอบรมให้เกษตรกรปฏิบัติตนอย่างถูกต้องรวมถึงสร้าง ความตระหนกั ต่อการปอ้ งกนั อนั ตรายและส่งเสรมิ การใช้เกษตรอนิ ทรยี ์ต่อไป คาสาคญั พฤตกิ รรม การประเมนิ ความเสย่ี ง สารเคมีกาจดั ศตั รูพืช 1 นกั วิชาการสาธารณสุขชานาญการ สานกั งานสาธารณสุขอาเภอบา้ นโฮ่ง จังหวัดลาพูน 2 นักวิชาการสาธารณสุขชานาญการ รพ.สต.หนองปลาสะวาย อาเภอบ้านโฮ่ง จงั หวัดลาพูน 3 นักวชิ าการสาธารณสขุ รพ.สต.บ้านหนองเขียด อาเภอบา้ นโฮ่ง จงั หวัดลาพูน * Corresponding author: [email protected] Academic Journal of Community Public Health 143 Vol. 6 No. 2, April – June 2020

วารสารวชิ าการสาธารณสขุ ชมุ ชน ปที ่ี 6 ฉบับที่ 2 เมษายน – มิถุนายน 2563 Original Article Risk assessment of Farmers Using Pesticides in Nongplasawai Sub-District, Banthong District, Lamphun Province Wanchai Rattanaprom1,*, Somchai Sanwong2, Nuttapong Posuya3 Abstract Pesticide has harmful to the health of both humans and animals, but still found that farmers still use a lot of pesticides and a wide area. Farmers use it incorrectly, resulting in the accumulation of chemicals until the body and show various symptoms. The objective was to study the knowledge, attitude and practice and to find the relationship in using pesticides of farmers, to assess the risk of pesticide use of farmers, and to find the relationship in using pesticides with risk in using pesticides of farmers in Nongplasawa Sub-district, Banthong District, Lamphun Province. Researcher collected data with questionnaires. The results showed that most of the samples were mixed pesticides and insecticide by themselves (5 8 . 5 0 %) , the most of samples do not experience abnormal symptoms immediately after using pesticides (68.00 %). In the past six months, never received information and knowledge to prevent the dangers of using pesticides (69. 10 %) and in the past one year, never participated in training on the use of pesticides (63.40 %). The samples had knowledge about pesticide use at a high level (������= 7.87), attitude had moderate level (������= 2.26+0.19), practice had low level (������= 1. 58 + 0. 24 ), the knowledge, attitude and practice in using pesticides without significant correlation ( P-value>0.05) . Risk assessment for the prevention of pesticide use found that most of the risks has low (42 . 30 %). The relationship of the practice in the prevention of pesticide use and the level of risk of using pesticides of the samples found that there was a statistically significant correlation (P-value<0.01). Therefore, to reduce the risk of using pesticides Should promote the training for farmers to behave correctly, including raising awareness on prevention and further promoting the use of organic agriculture. Keywords: Behavior, Risk Assessment, Pesticides 1 Public Health Technical Officer (Professional Level), Banthong District Public Health, Lamphun 2 Public Health Technical Officer (Professional Level), Nongplasawai Health Promoting Hospital 3 Public Health Technical Officer, Bang Nong Khiat Health Promoting Hospital * Corresponding author: [email protected] 144 Vol. 6 No. 2, April – June 2020 Academic Journal of Community Public Health

วารสารวชิ าการสาธารณสุขชมุ ชน ปีท่ี 6 ฉบับท่ี 2 เมษายน – มิถุนายน 2563 บทนา และ 1 ใน 3 ของเกษตรกรที่ได้รับการคัดกรองอยู่ ในสภาวะเส่ียงท่ีจะป่วยจากการใช้สารเคมี แม้ไม่ ประเทศไทยประชากรส่วนใหญ่ประกอบ ปว่ ยด้วยพษิ เฉียบพลันกอ็ าจป่วยในระยะยาวได้4 อาชีพเกษตรกรรม มีเกษตรกรท่ีข้ึนทะเบียนอยู่ใน ภาคการเกษตรจานวน 7,942,582 ครัวเรือน1 ความเส่ียงในการใช้สารเคมีกาจัดศัตรูพืช ส่วนใหญ่เป็นแรงงานนอกระบบที่มีลักษณะการ ข้างต้นเป็นผลมาจากการท่ีเกษตรกรมีพฤติกรรม ประกอบอาชีพกันเองที่มุ่งเน้นนาผลผลิตทางการ การใช้สารเคมีทางการเกษตรที่ไม่ถูกต้อง โดย เกษตรไปใช้เพ่ือบริโภคและสร้างรายได้ให้กับ เกษตรกรสามารถได้รับหรือได้สมั ผัสสารเคมีในทุก ครัวเรือน ทาให้เกษตรกรส่วนใหญ่พยายามเพ่ิม ขั้นตอน ไม่ว่าจะเป็นระหว่างการซ้ือมาจากร้าน ผลผลิตให้ทันต่อการบริโภค ผลผลิตท่ีสวยงาม จาหน่ายและนามาจดั เกบ็ ไวใ้ นทบ่ี ้านหรือบริเวณที่ สมบูรณ์ทาให้ได้ราคาสูงข้ึนด้วยการพ่ึงพาการใช้ เพาะปลกู ขณะเตรียมผสมสารกาจดั ศตั รพู ืช ขณะ สารเคมีหลายชนิด หลายรูปแบบเพ่ิมมากขึ้น2 ทา ใหม้ ีความเสี่ยงอันตรายตอ่ สขุ ภาพ รวมถึงขาดการ ตรวจเช็คอุปกรณ์เครื่องมือท่ีใช้กับสารเคมีกาจัด ให้ความสาคัญและตระหนักจากส่ิงคุกคามในการ ศัตรูพืช ขณะกาลังฉีดพ่นสารเคมี หรือแม้แต่ ประกอบอาชีพให้เกิดอันตรายต่าง ๆ3 เห็นได้จาก ภายหลังการฉีดพ่น ขณะที่กาลังทาความสะอาด การตรวจคัดกรองความเส่ียงโดยการเจาะเลือด อุปกรณ์ต่างๆ ขณะท่ีนาภาชนะบรรจุสารเคมีไป เพ่ือตรวจหาเอนไซม์โคลีนเอสเตอเรส ด้วย ทาลาย3 เมื่อเกษตรกรสัมผัสสารเคมีอาการ กระดาษทดสอบ ( Reactive Paper) จานวน ภายหลงั ที่พบภายใน 24 ชว่ั โมง จะทาให้เกษตรกร 418,672 คน ใน 72 จังหวัด พบว่ามีความเสี่ยง มอี าการน้าลายไหล ร้อยละ 22.20 เหง่ือออกมาก หรือไม่ปลอดภัย จานวน 153,905 คน คิดเป็น รอ้ ยละ 37.80 คล่ืนไส้ ร้อยละ 37.80 เวียนศีรษะ ร้อยละ 36.76 เม่ือเทียบผลการตรวจคัดกรอง ร้อยละ 60 มีปัญหาด้านสายตา ร้อยละ 46.70 สารเคมีกาจัดศัตรูพืชในกลุ่มเกษตรกรในช่วง 5 ปี เครยี ด นอนไม่หลับ ร้อยละ 48.80 โดยอาการอาจ ตั้งแต่ปี 2555 - 2559 พบว่า ปี พ.ศ. 2555 คัด พบได้ต้ังแต่หลายสัปดาห์จนหลายเดือน5 หาก กรอง 244,822 ราย ใน 31 จังหวัด มีความเส่ียง สัมผัสอย่างในระยะยาวอาจมีผลกระทบต่อระบบ หรือไม่ปลอดภัย 75,749 ราย คิดเป็นร้อยละ ประสาทโดยเฉพาะอย่างยิ่งมีความสัมพันธ์ต่อการ 30.94 ปี พ.ศ. 2556 คัดกรอง 310,490 ราย ใน เกิดโรคซึมเศร้า โรควิตกกังวล เสี่ยงต่อการฆ่าตัว 50 จังหวัด มีความเส่ียงหรือไม่ปลอดภัย 95,739 ตาย6 นอกจากน้ีพบว่ามีผลต่อระบบฮอร์โมน ราย คิดเป็นร้อยละ 30.83 ในปี พ.ศ. 2557 คัด ระบบสืบพันธุ์ และผลกระทบต่อสารพันธุกรรม กรอง 314,603 ราย ใน 71 จังหวัด มีความเส่ียง กอ่ ใหเ้ กดิ โรคมะเรง็ ตามมา7 หรือไม่ปลอดภัย 107,989 ราย คิดเป็นร้อยละ 34.33 ในปี พ.ศ. 2558 คัดกรอง 325,944 ราย มี ในภาคเหนือมีเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนมี ความเสี่ยงหรือไม่ปลอดภัย 113,547 ราย คิดเป็น จานวน 1,752376 ครัวเรือน ซ่ึงมากเป็นอันดับที่ ร้อยละ 34.84 และปี 2559 ดาเนินการเจาะเลือด สองของประเทศ สาหรับจังหวัดลาพูนมีเกษตรกร ตรวจคัดกรอง จานวน 4 แสนคนใน 72 จังหวดั มี ที่ข้ึนทะเบียน จานวน 81,855 ครัวเรือน8 มีเน้ือที่ ความเสี่ยงหรือไม่ปลอดภัย 1.5 แสนคน คิดเป็น ถือครองเพ่ือการเกษตร รวม 692,182 ไร่ คิดเป็น ร้อยละ 36.76 ซ่ึงเห็นได้ว่าในรอบ 5 ปีเพิ่มสูงขึ้น ร้อยละ 24.58 ของเนื้อท่ีจังหวัด ส่วนใหญ่ เกษตรกรทาสวนลาไย มีแหล่งผลิตที่สาคัญ ได้แก่ อาเภอเมอื ง ป่าซาง ล้ี และบ้านโฮง่ ปลูกกระเทยี ม มีแหล่งผลิตสาคัญ ได้แก่ อาเภอล้ี ป่าซาง และ Academic Journal of Community Public Health 145 Vol. 6 No. 2, April – June 2020

วารสารวิชาการสาธารณสุขชมุ ชน ปที ่ี 6 ฉบับที่ 2 เมษายน – มิถุนายน 2563 บ้านโฮ่ง ปลูกหอมแดง มีแหล่งผลิตสาคัญ ได้แก่ วธิ ดี าเนินการวิจยั อาเภอบ้านโฮง่ ล้ี และป่าซาง ปลูกพชื ผักต่าง ๆ มี แหล่งผลิตสาคัญ ได้แก่ อาเภอเมือง และอาเภอ การศึกษานเ้ี ป็นการศกึ ษาเชงิ พรรณนาแบบ บ้านโฮ่ง9 เห็นได้ว่าจังหวัดลาพูนเป็นแหล่งผลิต ภาพตดั ขวาง (Cross-Sectional Study) พืชผักท่ีสาคัญของภาคเหนือ โดยเฉพาะอาเภอ บ้านโฮ่งเป็นแหล่งผลิตท่ีสาคัญในภาคเกษตรทุก ประชากรและกลมุ่ ตัวอย่าง ประเภท ไม่ว่าจะเป็นพืชสวน พืชไร่ ตลอดจนการ ประชากรในการศึกษา คือ เกษตรกรใน ทานา ทั้งนี้ผลผลติ ส่วนหนงึ่ จะป้อนเป็นวัตถุดบิ แก่ ตาบลหนองปลาสะวาย อาเภอบ้านโฮ่ง จังหวัด โรงงานอุตสาหกรรมแปรรูป และส่วนหน่ึงจะถูก ลาพูน จานวน 8 หมู่บ้าน ได้แก่ หมู่บ้านหนองสูน ส่งไปจาหน่ายในจังหวัดต่าง ๆ เช่น เชียงใหม่ หมู่บ้านหนองปลาสะวาย หมู่บ้านท่ากอม่วง ลาปาง กรงุ เทพฯ นครสวรรค์ เป็นตน้ หมู่บ้านหนองเขียด หมู่บ้านห้วยสะแหล หมู่บ้าน หนองเจริญ หมู่บ้านสันเจดีย์ริมปิง หมู่บ้านปา ด้วยเหตุนี้ผู้วิจัยตระหนักว่าเกษตรกรมี กล้อง รวมจานวน 2,096 คน10 กาหนดขนาด ความเสี่ยงในการสัมผัสสารเคมีกาจัดศัตรูพืช ตัวอย่างด้วยการคานวณด้วยวิธีของยามาเน่11 ซ่ึง ก่อให้เกิดอันตรายและผลกระทบต่อสุขภาพเป็น กาหนดระดับความเชื่อมั่น 95% ได้ขนาดตัวอย่าง อย่างย่งิ ประกอบกบั อาเภอบ้านโฮ่ง จังหวัดลาพูน เท่ากับ 336 คน หลังจากนั้นสุ่มตัวอย่างแบบชั้น เป็นพื้นท่ีที่มีการทาเกษตรกรรมเป็นส่วนใหญ่ ภู มิ ( Stratified Random Sampling) แ ล ะ ดังนั้นผู้ศึกษาจึงสนใจที่จะประเมินความเส่ียงใน คานวณสัดสว่ นของกลุม่ ตัวอย่างแตล่ ะหมบู่ ้านดว้ ย การใชส้ ารเคมีกาจดั ศตั รูพชื ศึกษาความรู้ ทศั นคติ การเทียบบัญญัติไตรยางศ์ คัดเลือกกลุ่มตัวอย่าง ก า ร ป ฏิ บั ติ ต น แ ล ะ ห า ค ว า ม สั ม พั น ธ์ ใ น ก า ร ใ ช้ แบบอย่างง่ายแบบอาสาสมัคร ( Voluntary สารเคมีกาจัดศัตรูพืชของเกษตรกร รวมถึงหา Selection) โ ดยมีเกณฑ์การ เข้า (Inclusion ความสัมพันธ์ของการปฏิบัติตนกับความเส่ียงใน criteria) คือ ต้องเป็นเกษตรกรท่ีมีภูมิลาเนาและ การใช้สารเคมีกาจัดศัตรูพืชของเกษตรกรตาบล พ้ืนท่ีเกษตรกรรมอยู่ในตาบลหนองปลาสะวายใน หนองปลาสะวาย อาเภอบ้านโฮ่ง จังหวัดลาพูน รอบ 6 เดือนที่ผ่านมาได้มีส่วนเก่ียวข้องกับการ โ ด ย ผ ล ก า ร ศึ ก ษ า จ ะ น า ไ ป ใ ช้ เ ป็ น ข้ อ มู ล เพาะปลูก มีความสามารถในการสื่อสารภาษาไทย ประกอบการวางแผนดาเนินงานพัฒนาพฤติกรรม อ่านออกเขียนได้ ทั้งน้ีการเข้าร่วมการศึกษาของ การใช้สารกาจัดศัตรูพืช ให้เกษตรกรมีความ กลุ่มตัวอย่างจะคานึงถึงหลักจริยธรรมการวิจัยใน ตระหนักให้การป้องกันตนเอง ปฏิบัติตนอย่าง มนษุ ย์ โดยก่อนเข้าร่วมการศึกษาจะดาเนนิ การขอ ถูกต้องในการใช้สารกาจัดศัตรูพืช ตลอดจนเพื่อ ยิ น ย อ ม ใ น ก า ร ร ว บ ร ว ม ข้ อ มู ล ก า ร แ จ้ ง ลดอันตรายจากการได้รับสารกาจดั ศัตรูพืชในกลุ่ม วัตถุประสงค์รวมถึงสิทธิต่างๆ การสามารถออก เกษตรกร ผู้สัมผัสสารและประชาชนผู้บริโภค จากการศึกษาได้โดยไม่มีผลกระทบใดๆ รวมถึง ผลติ ผลทางการเกษตรต่อไป การเก็บรักษาความลับ โดยการศึกษาน้ีได้ผ่านการ พิจารณาจริยธ รรมก ารวิจัยในมนุษย์จา ก คณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยเก่ียวกับมนุษย์ สานักงานสาธารณสุขจังหวัดลาพูน กระทรวง สาธารณสขุ (เลขท่ี REC2563-02) 146 Vol. 6 No. 2, April – June 2020 Academic Journal of Community Public Health

วารสารวิชาการสาธารณสุขชมุ ชน ปีที่ 6 ฉบับที่ 2 เมษายน – มิถนุ ายน 2563 เครอ่ื งมอื และการเก็บรวบรวมข้อมูล ตอนท่ี 6 ข้อมูลความเจ็บป่วยหรืออาการ ดาเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยการใช้ ผิ ด ป ก ติ ที่ เ กิ ด ข้ึ น ทั น ที ห ลั ง ก า ร ใ ช้ ห รื อ สั ม ผั ส แบบสอบถามที่ปรับปรุงจากการประเมินความ สารเคมีกาจัดศัตรูพืชของกลุ่มตัวอย่าง โดย เส่ียงในการทางานของเกษตรกรจากการสัมผัส ประเมินความเสี่ยงด้วยการทาเมตริกซ์ (matrix) สารเคมีกาจัดศัตรูพืช (แบบ นบก.1-56) ตลอดจน ระหว่างระดับการปฏบิ ตั ิตนในการใช้สารเคมกี าจัด เอกสารและงานวิจัยที่เก่ียวข้อง ได้แบบสอบถาม ศัตรูพืช แบ่งออกเป็น 3 ระดับ คือ ระดับน้อย แบง่ ออกเปน็ 6 ตอน ประกอบด้วย (ระหว่าง 15 – 24 คะแนน) ระดับปานกลาง ตอนท่ี 1 ขอ้ มูลทั่วไปของกลุ่มตัวอย่าง เช่น (ระหวา่ ง 25 – 30 คะแนน) ระดับสงู (ระหว่าง 31 เพศ อายุ ระดับการศึกษา โรคประจาตัว เป็นตน้ -45 คะแนน) กับกลุม่ อาการที่เกิดข้นึ ทันทีหลงั การ ตอนท่ี 2 การใช้สารเคมีกาจัดศัตรูพืชของ ใช้สารเคมีกาจัดศัตรูพืช แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ เกษตรกร เช่น การประกอบอาชพี ลักษณะการทา กลุ่มท่ี 1 มีอาการระดับน้อย กลุ่มที่ 2 มีอาการ เกษตรกรรม ระยะเวลาในการประกอบอาชีพ ระดับปานกลาง และกลุ่มที่ 3 มีอาการระดับสูง ลักษณะการใช้ วัตถุประสงค์การใช้ จานวนวัน โดยเลือกกลุ่มอาการผิดปกติท่ีสูงท่ีสุด (มากกว่า 1 เฉล่ียในการใช้ การได้รับข้อมูลข่าวสารและการ อาการขึ้นไป) มาใช้ในการทาเมตริกซ์ กรณีกลุ่ม อบรมเก่ยี วกับการใชส้ ารเคมกี าจัดศตั รพู ืช เป็นต้น ตัวอย่างมีอาการผิดปกติมากกว่า 1 กลุ่ม จะทา ตอนที่ 3 ความรู้เก่ียวกับการใช้สารเคมี การเลือกอาการกลุ่มท่ีมีความเส่ียงสูงกว่ามาใช้ใน กาจัดศัตรูพืช มีลักษณะเป็นแบบถูกผิด แปลผล การทาเมตริกซ์ หลงั จากนั้นจะแปลผลระดับความ ระดับความรู้ในการใช้สารเคมีกาจัดศัตรูพืชเป็น 3 เส่ียง แบ่งคะแนนระดับความเสี่ยงเป็น 5 ระดับ ระดับ คือระดับน้อย (0 -3 คะแนน) ระดับปาน คือ ความเสี่ยงในระดับต่า ระดับปานกลาง (ความ กลาง (4 – 6 คะแนน) และระดับมาก (7-10 เส่ียงท่ียอมรับได)้ ระดับค่อนข้างสูง ระดบั สูง และ คะแนน)11 ระดบั สูงมาก (ความเสยี่ งที่ยอมรบั ไม่ได)้ ตอนท่ี 4 ทัศนคติเกี่ยวกับการใช้สารเคมี กาจัดศัตรูพืช ลักษณะเป็นแบบประมาณค่า 3 การวิเคราะหข์ ้อมลู ระดับ (Rating Scale) แปลผลระดับทัศนคติใน จากแบบสอบถามวิเคราะห์ข้อมูลทั่วไป การใช้สารเคมีกาจัดศัตรูพืชด้วยค่าเฉลี่ยและส่วน ขอ้ มูลเกี่ยวกับการใช้สารเคมีกาจัดศัตรูพืช ความรู้ เบี่ยงเบนมาตรฐาน เป็น 3 ระดับ คือ ระดับน้อย ทศั นคติ และการปฏิบัติตนในการใช้สารเคมีกาจัด (คา่ เฉลีย่ 1.00 – 1.66 ) ระดบั ปานกลาง (คา่ เฉลี่ย ศัตรูพืช ด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถ่ี ร้อย 1.67 – 2.33) และ ระดับมาก (ค่าเฉล่ีย 2.34 – ละ ค่าเฉล่ีย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การ 3.00) วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างความรู้ เจตคติ ตอนที่ 5 การปฏิบัติตนในการใช้สารเคมี และการปฏิบัติตนในการใช้สารเคมีกาจัดศัตรูพืช กาจัดศัตรูพืช ลักษณะเป็นแบบประมาณค่า 3 ของเกษตรกร ใช้สถิติสัมประสิทธ์ิสหสัมพันธ์ของ ระดับ แปลผลระดับการปฏิบัติในการใช้สารเคมี เพียร์สัน (Pearson’s Correlation Coefficient) กาจัดศัตรูพืชด้วยค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบน และวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของระดับการปฏิบัติ มาตรฐาน เป็น 3 ระดับ คือ ระดับน้อย (ค่าเฉล่ีย ตนกับระดับความเส่ียงในการใช้สารเคมีกาจัด 1.00 – 1.66 ) ระดับปานกลาง (ค่าเฉล่ีย 1.67 – ศัตรพู ชื ของกลุม่ ตัวอยา่ ง ดว้ ยสถติ ิไควสแควร์ (Chi 2.33) และ ระดับมาก (ค่าเฉล่ีย 2.34 – 3.00) –Square) Academic Journal of Community Public Health 147 Vol. 6 No. 2, April – June 2020

วารสารวชิ าการสาธารณสขุ ชมุ ชน ปที ี่ 6 ฉบบั ท่ี 2 เมษายน – มถิ ุนายน 2563 ผลการวิจัย ระยะเวลาประกอบอาชีพระหว่าง 11 – 15 ปี (ร้อยละ 43.20) การใช้สารเคมีจะเป็นผู้ผสม ผลการวิเคราะห์ข้อมูลทั่วไป พบว่า กลุ่ม สารเคมีด้วยตนเอง (ร้อยละ 58.50) มีการใช้เฉล่ีย ตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศชาย (ร้อยละ 55.50) น้ อ ย ก ว่ า 7 วั น / เ ดื อ น ( ร้ อ ย ล ะ 5 8 . 8 0 ) อายุเฉลี่ยเท่ากับ 53.80+9.67 ปี สาเร็จการศึกษา วัตถุประสงค์ของการใช้เพ่ือกาจัดแมลง (ร้อยละ ระดับประถมศึกษา (ร้อยละ 74.60) ไม่มีโรค 50.00) ในรอบ 6 เดือนไม่เคยได้รับข้อมูลเก่ียวกับ ประจาตวั (รอ้ ยละ 89.60) ดงั ตารางที่ 1 การป้องกันตนการใช้สารเคมีกาจัดศัตรูพืช (ร้อย ละ 69.10) และในรอบ 1 ปีไม่เคยเข้าร่วมอบรม ลักษณะการใช้สารเคมีกาจัดศัตรูพืชของ เก่ียวกับการป้องกันตนการใช้สารกาจัดศัตรูพืช กลุ่มตัวอย่าง ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่าง (ร้อยละ 63.40) ดังตารางที่ 2 ส่วนใหญ่ทาสวน (ร้อยละ 64.50) ทาการเกษตร โดยเพาะปลูกด้วยตนเอง (ร้อยละ 86.90) มี ตารางท่ี 1 แสดงข้อมูลทว่ั ไปของกลุ่มตัวอยา่ ง (n= 366 คน) ข้อมูลท่ัวไป จานวน ร้อยละ เพศ ชาย 203 55.50 หญิง 163 44.50 อายุ 20 – 30 ปี 12 3.30 31 – 40 ปี 16 4.40 41 - 50 ปี 88 24.00 51 – 60 ปี 161 44.00 60 ปขี ึ้นไป 89 24.30 Mean + SD (Min:max) 53.80 + 9.67 (20:78) ระดับการศกึ ษา ประถมศกึ ษา 273 74.60 มธั ยมศึกษาตอนต้น 62 16.90 มัธยมศกึ ษาตอนปลาย 27 7.40 อนปุ รญิ ญาตรหี รือประกาศนียบัตร 4 1.10 โรคประจาตัว ไมม่ โี รคประจาตัว 328 89.60 มีโรคประจาตัว 38 10.40 148 Vol. 6 No. 2, April – June 2020 Academic Journal of Community Public Health

วารสารวชิ าการสาธารณสุขชมุ ชน ปีท่ี 6 ฉบบั ท่ี 2 เมษายน – มิถุนายน 2563 ตารางที่ 2 ลกั ษณะการใช้สารเคมีของกลุ่มตัวอยา่ ง (n= 366 คน) การใชส้ ารเคมขี องกลุม่ ตวั อย่าง จานวน รอ้ ยละ การประกอบอาชพี 17.50 18.00 ทาไร่ 64 64.50 ทานา 66 86.90 5.50 ทาสวน 236 1.10 6.60 ลกั ษณะการทาเกษตรกรรม 0.30 เพาะปลกู (ทาเอง) 318 18.90 43.20 เพาะปลกู (รบั จ้าง) 20 37.70 รับจา้ งฉีดพน่ 4 58.50 44.50 รับจา้ งอื่นๆ ที่เกีย่ วข้องทางการเกษตร 24 42.10 3.50 ระยะเวลาประกอบอาชีพเกษตรกรรม 58.80 น้อยกวา่ 5 ปี 1 40.20 ระหว่าง 5 – 10 ปี 69 50.00 49.50 ระหว่าง 11 – 15 ปี 158 0.50 มากกว่า 15 ปีข้นึ 138 69.10 30.90 การใชส้ ารเคมกี าจดั ศตั รูพืช 63.40 เป็นผู้ผสมสารเคมี 214 36.60 อย่ใู นบรเิ วณที่มกี ารฉดี พน่ 163 เปน็ ผู้ฉีดพน่ เองหรอื รบั จ้างฉดี พน่ 154 อื่นๆ 13 จานวนวันเฉล่ียในการใช้สารเคมีกาจัดศัตรูพืช นอ้ ยกว่า 7 วนั /เดอื น 219 มากกวา่ 7 วัน/เดือน 147 วัตถุประสงค์ของการใช้ กาจัดแมลง 183 กาจัดวชั พชื 181 อนื่ ๆ 2 การไดร้ ับข้อมลู เกี่ยวกบั การป้องกันตนในการใช้ สารเคมกี าจัดศตั รูพชื ในรอบ 6 เดอื น ไมเ่ คย 253 เคย 113 การอบรมเกีย่ วกบั การปอ้ งกนั ตนในการใชส้ ารเคมี กาจัดศตั รพู ชื ในรอบ 1 ปี ไม่เคย 232 เคย 134 Academic Journal of Community Public Health 149 Vol. 6 No. 2, April – June 2020

วารสารวชิ าการสาธารณสุขชมุ ชน ปที ่ี 6 ฉบบั ที่ 2 เมษายน – มิถนุ ายน 2563 ความรู้ ทัศนคติและการปฏิบัติเกี่ยวกับ 2.45+0.58 รองลงมาคือสารเคมกี าจัดศัตรูพืชเป็น การใช้สารเคมีกาจัดศัตรูพืชของกลุ่มตัวอย่าง อันตรายต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อม ค่าเฉลี่ย ผลการศึกษาพบว่า 1.) ระดับความรู้เกี่ยวกับการ 2.43+0.70 และ 3.) ระดับการปฏิบัติตัวในการใช้ ใช้สารเคมีกาจัดศัตรูพืชอยู่ในระดับมาก (ร้อยละ สารเคมกี าจดั ศตั รพู ืชกล่มุ ตัวอย่างอย่ใู นระดับนอ้ ย 92.60) โดยกลุ่มตัวอย่างมีความรู้ความเข้าใจ คา่ เฉลี่ย 1.58+0.24 โดยกลุ่มตัวอย่างมีการปฏบิ ัติ เก่ียวกับการดูดซึมสารเคมีเข้าสู่ร่างกาย การตรวจ ตนมากที่สุดเก่ียวกับการใช้สารเคมีกาจัดแมลงใน ซ่อมแซมอุปกรณ์ฉีดพ่น การแต่งตัวป้องกันขณะ การปฏิบัติงาน ค่าเฉล่ีย 2.46+0.63) รองลงมา ฉีดพ่นสารเคมี และการพบแพทย์หากพบอาการ การใช้สารเคมีกาจัดวัชพืชในการฉีดพ่น ค่าเฉล่ีย ไม่สบายในระหว่างหรือหลังจากฉีดพ่นสารเคมี เท่ากับ 2.40+0.65 เม่ือพิจารณาความสัมพันธ์ กาจัดศตั รูพืช (ร้อยละ 100.00) 2.) ระดับทัศนคติ ระหว่างความรู้ ทัศนคติ และการปฏิบัติในการใช้ เก่ียวกับการใช้สารเคมีกาจัดศัตรูพืชของกลุ่ม สารเคมีกาจัดศัตรูพืชของกลุ่มตัวอย่างพบว่าไม่มี ตวั อย่างอยู่ในระดับปานกลางค่าเฉล่ีย 2.26+0.19 ความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ (P- โดยกลุ่มตัวอย่างมีทัศนคติมากท่ีสุดเก่ียวกับการ value>0.05) ดงั ตารางท่ี 3 แต่งตัวป้องกันขณะฉีดพ่นสารเคมี ค่าเฉล่ีย ตารางที่ 3 แสดงความสมั พนั ธ์ของความรู้ ทัศนคติ และการปฏิบัติตนในการใชส้ ารเคมีกาจดั ศัตรพู ชื ของ กล่มุ ตวั อยา่ ง ลกั ษณะความสมั พนั ธ์ Mean r P- Value ความรู้-ทศั นคติ 7.87 - 2.26+0.19 -0.091 0.08 ความรู้-การปฏบิ ัติ 7.87 – 1.58+0.24 -0.011 0.83 ทศั นคต-ิ การปฏิบัติ 2.26+0.19 – 1.58+0.24 0.066 0.21 การประเมินความเสี่ยงในการใช้สารเคมี เส่ียงด้วยการทาเมทริกซ์ (Metrix) พบว่ากลุ่ม กาจัดศัตรูพืช ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่าง ตัวอย่างส่วนใหญ่ความเสี่ยงในระดับต่า (ร้อยละ ส่วนใหญ่ไม่มีอาการผิดปกติทันทีหลังการใช้ 42.30) ระดับปานกลางซึ่งยอมรับได้ (ร้อยละ สารเคมีกาจัดศัตรูพืช (ร้อยละ 68.00) สาหรับ 32.00) ระดับค่อนข้างสูง (ร้อยละ 16.10) และใน กลุ่มตัวอย่างท่ีมีอาการทันทีหลังการใช้ในระดับ ระดับสูง (ร้อยละ 9.60) ดังตารางท่ี 4 และตาราง น้อย (กลุ่มท่ี1) ส่วนใหญ่พบอาการเวียนศีรษะ ที่ 5 เม่ือพิจารณาความสัมพันธ์ของระดับการ (ร้อยละ 9.80) รองลงมาอาการเจ็บคอ คอแหง้ ตา ปฏิบัติตนในการป้องกันการใช้สารเคมีกาจัด แดง แสบตา ตาคัน (ร้อยละ 8.70) ระดับปาน ศัตรพู ืชกับระดับความเสี่ยงในการใชส้ ารเคมีกาจัด กลาง (กลุ่มท่ี 2) ส่วนใหญ่พบตาพร่ามัว (ร้อยละ ศัตรูพืชของกลุ่มตัวอย่าง พบว่ามีความสัมพันธ์กัน 7.40) กล้ามเนื้ออ่อนล้า (ร้อยละ 5.50) เป็น ตะคริว (ร้อยละ 2.70) ท้ังนี้ไม่พบอาการทันทีหลัง อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ (2=261.27 ;P- การใช้ในระดับสูง (กลุ่มท่ี 3) เม่ือประเมินความ value<0.01) ดงั ตารางท่ี 6 150 Vol. 6 No. 2, April – June 2020 Academic Journal of Community Public Health

วารสารวชิ าการสาธารณสขุ ชมุ ชน ปีที่ 6 ฉบบั ที่ 2 เมษายน – มถิ ุนายน 2563 ตารางท่ี 4 แสดงจานวนและรอ้ ยละการประเมินความเสย่ี ง (Metrix) ของกลุ่มตัวอย่าง (n= 366 คน) การปฏิบตั ิตน รวม กลมุ่ ระดบั น้อย ระดับปานกลาง ระดับสงู อาการ (15 – 24 คะแนน) (25–30 คะแนน) (31– 45 คะแนน) จานวน (รอ้ ยละ) จานวน (ร้อยละ) จานวน (ร้อยละ) จานวน (ร้อยละ) ไมม่ ี ตา่ ปานกลาง คอ่ นข้างสูง 241 อาการ 155 (64.31) 80 (33.19) 6 (2.50) (65.84) กลุ่มท่ี 1 ปานกลาง คอ่ นข้างสูง สงู 72 37 (51.40) 28 (38.90) 7 (9.70) (19.67) กลุ่มท่ี 2 ค่อนข้างสงู สูง สูง 53 25 (47.20) 23 (43.40) 5 (9.40) (14.49) กลุ่มท่ี 3 สงู สูง สูงมาก ตารางท่ี 5 แสดงจานวนและร้อยละระดับความเส่ียงในการใชส้ ารเคมีของกลมุ่ ตวั อยา่ ง (n= 366 คน) ระดบั ความเส่ียง จานวน รอ้ ยละ กลุม่ ที่ 1 ความเสย่ี งในระดบั ต่า 155 42.30 กลุม่ ที่ 2 ความเสย่ี งในระดับปานกลาง (ความเสีย่ งทย่ี อมรับได้) 117 32.00 กลุ่มท่ี 3 ความเส่ยี งในระดับค่อนขา้ งสงู 59 16.10 กลุ่มที่ 4 ความเส่ยี งในระดับสูง 35 9.60 กลุ่มที่ 5 ความเส่ยี งในระดับสูงมาก (ความเสย่ี งทยี่ อมรับไม่ได)้ - - ตารางท่ี 6 แสดงความสัมพันธ์ของระดับการปฏิบัติตนกับระดับความเส่ียงในการใช้สารเคมีกาจัด ศัตรูพืชของกลุ่มตัวอยา่ ง (n= 366 คน) ระดับความเสี่ยง ระดบั ต่า ปานกลาง คอ่ นขา้ งสูง สงู สูงมาก 2 การปฏิบตั ติ น จานวน จานวน จานวน จานวน จานวน (ร้อยละ) (รอ้ ยละ) (ร้อยละ) (ร้อยละ) (รอ้ ยละ) ระดบั น้อย 155 37 25 - - 2= 261.27 (15–24 คะแนน) (100.00) (31.60) (42.40) df=6 ระดบั ปานกลาง - 80 28 23 - P-value (25–30 คะแนน) (68.40) (47.50) (65.70) <0.01 ระดับสูง -- 6 12 - (31-45 คะแนน) (10.20) (34.30) Academic Journal of Community Public Health 151 Vol. 6 No. 2, April – June 2020

วารสารวชิ าการสาธารณสขุ ชมุ ชน ปที ี่ 6 ฉบบั ที่ 2 เมษายน – มิถุนายน 2563 สรปุ ผลและอภิปรายผลการวิจยั มือปลายเท้า คอแห้ง ตาพร่ามัว และอ่ืนๆ สอดคล้องกับ จวิ เชาวถ์ าวร17และ ธนติ า สุกิน18 ท่ี ผลการศึกษาพบว่ากลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มี พบว่าการสัมผัสปัจจัยคุกคามสุขภาพจากการ อาชีพทาสวนเป็นหลักที่เพาะปลูกด้วยตนเองมา ทางาน ส่วนใหญ่ทาให้เกิดอาการกับระบบโครง อย่างน้อย 11 – 15 ปี แรงงานภาคการเกษตร ร่างกล้ามเน้ือ และอาการ 5 กลุ่มแรกท่ีมักพบ ส่วนใหญ่เป็นเพศชายเป็นไปตามวิถีสังคมและ ได้แก่ เหง่ือออกมากภายหลังการใช้สารเคมี ชา วัฒนธรรมแบบล้านนาที่เพศชายจะเป็นบุคคล ปลายมือปลายเท้า คอแห้ง ตาพร่ามัว และ หลักท่ีหารายได้ให้กับครอบครัว ดูแลสมาชิกใน กลา้ มเน้อื เป็นตะคริว ครัวเรือน สอดคล้องกับ พัตราภรณ์ ณะแก้ว13 และอุเทน ชัยวงค์14 ที่พบว่าผู้ชายส่วนใหญ่มีส่วน นอกจากน้ีพบว่ากลุ่มตัวอย่างมีความรู้ เกี่ยวข้องกับการใช้สารเคมีกาจัดศัตรูพืช เพราะ เก่ียวกับการใช้สารเคมีกาจัดศัตรูพืชอยู่ในระดับ ต้องใช้ความแข็งแรงในการออกแรงยก ขน หรือ มาก ทัศนคติอยู่ในระดับปานกลาง แต่การปฏิบัติ แบกอุปกรณ์ฉีดพ่นสารเคมีกาจัดศัตรูพืชท่ีออก ในการใช้สารเคมีอยู่ในระดับน้อยและปัจจัยท้ัง แรงอย่างต่อเน่ืองเป็นเวลานาน เห็นได้จากกลุ่ม สามไม่มีความสัมพันธ์กันน้ัน อาจเป็นเพราะกลุ่ม ตัวอย่างจะฉีดพ่นสารเคมีกาจัดแมลงอย่างน้อย 7 ตัวอย่างไม่เคยได้รับการอบรมและข้อมูลเกี่ยวกับ ครงั้ ต่อเดือน และติดตามผลหลังการใช้ในชว่ ง 3 – ก า ร ใ ช้ ส า ร เ ค มี ก า จั ด ศั ต รู พื ช อ ย่ า ง ป ล อ ด ภั ย 7 วัน ประกอบกับกลุ่มตัวอย่างทาการเกษตรมาเป็น ระยะเวลาหลายปีจึงปฏิบัติงานด้วยความเคยชิน กลุ่มตัวอย่างไม่เคยได้รับข้อมูลข่าวสาร อาศัยความรู้ความเข้าใจท่ีถ่ายทอดสืบต่อกันมา ความรู้ในการป้องกันอันตรายจากการใช้สารเคมี ภายในครวั เรือน และจากเพือ่ นบา้ น สอดคล้องกับ กาจัดศัตรูพืช และไม่เคยเข้าร่วมการอบรม อุเทน ชัยวงค์14 พบว่าเกษตรกรที่ใช้สารเคมีและ เก่ียวกับการใช้สารเคมีกาจัดศัตรูพืชอย่างถูกวิธี สารอินทรีย์มีความรู้อยู่ในระดับสูง ทัศนคติอยู่ใน สอดคล้องกับพิสิษฐ์ อัจฉฤกษ์15 ที่พบว่าแหล่ง ระดับปานกลาง อย่างไรก็ตามการศึกษาพบว่าการ ความรู้ส่วนใหญ่ของเกษตรกรได้จากเพื่อนบ้านที่ ปฏิบัติตนในการป้องกันการใช้สารเคมีกาจัด ไม่เคยเข้ารับฝึกอบรทางด้านการเกษตร ดังน้ัน ศตั รพู ืชกับระดับความเส่ียงในการใช้สารเคมีกาจัด หน่วยงานของราชการควรเผยแพร่องค์ความรู้ ศัตรูพืชของกลุ่มตัวอย่างมีความสัมพันธ์กันอย่างมี ด้านสารเคมีกาจัดศัตรูพืชให้แก่เกษตรกรมากขึ้น นัยสาคัญทางสถิติ ดังน้ันเพื่อลดความเส่ียงในการ และต่อเน่ือง ส่งเสริมการจัดการศัตรูพืชแบบ ใช้สารเคมีกาจัดศัตรูพืช ควรมีการคัดกรองและ ผสมผสานและเทคนิคทางเลอื กให้เกษตรกรในการ ตรวจสุขภาพประจาปี จัดการอบรมเพ่ือเพิ่มพูน ลดการใช้สารเคมีกาจัดศัตรูพืช การปฐมพยาบาล ความรู้ให้เกษตรกรปฏิบัติตนอย่างถูกต้องรวมถึง เบ้ืองตน้ เมื่อไดร้ บั พษิ ใหก้ บั เกษตรกรอย่างทั่วถึง16 สร้างความตระหนักต่อการป้องกันอันตรายและ ส่งเสริมการใชเ้ กษตรอินทรีย์ตอ่ ไป กล่มุ ตวั อย่างส่วนใหญ่มีความเสี่ยงในการใช้ สารเคมีกาจัดศัตรูพืชอยู่ในระดับต่า อาจเป็น ข้อเสนอแนะ เพราะกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ไม่มีอาการผิดปกติ 1. ควรประยุกต์วิธีวิจัยทางระบาดวิทยา ทันทีหลังการใช้สารเคมีกาจัดศัตรูพืช แต่กลุ่ม ตัวอย่างส่วนหน่ึงท่ีสัมผัสสารเคมีก็ยังพบอาการ การศึกษาเชิงคุณภาพที่ครอบคลุมทุกมิติคือ ด้าน เวียนศีรษะ เคืองตา แสบตา แสบจมูก ชาปลาย ร่างกาย ด้านจิตใจ ด้านสังคม และด้านจิต 152 Vol. 6 No. 2, April – June 2020 Academic Journal of Community Public Health

วารสารวิชาการสาธารณสุขชมุ ชน ปที ่ี 6 ฉบับท่ี 2 เมษายน – มิถนุ ายน 2563 วิญญาณในลักษณะความร่วมมือระหว่างสห [อนิ เตอรเ์ นต็ ]. หนังสือพมิ พ์กรงุ เทพธุรกจิ . สาขาวิชา [เขา้ ถงึ เมือ่ 19 ธนั วาคม 2561]. เข้าถงึ ได้จาก 2. ควรศึกษาสถานะสุขภาพของเกษตรกร www.thaihealth.or.th. โดยการประเมินแบบอื่น เช่น การตรวจร่างกาย 5. อัมราภรณ์ ภู่ระยา้ .การสร้างรูปแบบการสร้าง การตรวจทางหอ้ งปฏบิ ัติการ เปน็ ต้น เสริมสุขภาพเพ่ือลดอนั ตรายด้านสุขภาพจาก 3. ควรส่งเสริมการปฏิบัติตนในการใช้ การใชส้ ารเคมีกาจดั ศัตรูพืชของเกษตรกร หมู่ สารเคมีกาจัดศัตรูพืชอย่างถูกวิธีและการสร้าง ท่ี 9 ตาบลห้วยเฮยี อาเภอนครไทย จงั หวัด ความตระหนักในการใช้เกษตรอินทรีย์ในการ พษิ ณุโลก [วทิ ยานิพนธ์].พษิ ณุโลก: เพาะปลกู มหาวิทยาลัยนเรศวร; 2553. 6. Cheryl,L,Beseler,L Stallones,JA., กิตตกิ รรมประกาศ Hoppin,MCR. Alavanja,A.,Blair,T.,Keefe ขอขอบคุณความกรุณาและความช่วยเหลือ and Kamel,F. Depression and pesticide อย่างสูงยิ่งจากบุคลากร เจ้าหน้าที่ สานักงาน exposures among private pesticide สาธารณสุขจังหวัดลาพูน สาธารณสุขอาเภอบ้าน applications enrolled in the Agricultural โฮ่ง และผู้ที่มีสว่ นเกี่ยวข้องทใ่ี ห้การช่วยเหลือและ Health Study. Retrieved October 11, สนบั สนุนการวจิ ัยในพืน้ ทีใ่ หส้ าเรจ็ ลลุ ว่ งไปดว้ ยดี 2013 from www.ncbi.nlm.nih.gov. 7. ศนู ย์ขอ้ มูลพิษวิทยารามาธิบดี.พิษจลศาสตร์ เอกสารอ้างองิ และพิษพลศาสตร์[วทิ ยานพิ นธ์].คณะ แพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธบิ ด.ี [เขา้ ถึง 1. กรมส่งเสริมวชิ าการเกษตร. จานวนผู้ขนึ้ เมือ่ 10 พฤศจิกายน 2561]. เขา้ ถงึ ได้จาก ทะเบยี นเกษตรกรปี 2559 [อินเตอร์เนต็ ]. www.med.mahidol.ac.th. ศนู ยเ์ ทคโนโลยสี ารสนเทศและสื่อสาร. [เข้าถึง 8. กรมส่งเสรมิ วิชาการเกษตร.จานวนผู้ขึ้น เมือ่ 20 กรกฎาคม 2559]. เขา้ ถงึ ได้จาก ทะเบียนเกษตรกรปี 2559 [อินเตอรเ์ นต็ ]. www.agriinfo.doae.go.th. ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและสอ่ื สาร: [เขา้ ถึง เม่อื 10 พฤศจิกายน 2561]. เขา้ ถึงได้จาก 2. สานกั ระบาดวิทยา.ข้อมูลเฝา้ ระวังโรคทาง www.agriinfo.doae.go.th. ระบาดวทิ ยา รายงาน 506 พ.ศ. 2555 9. สานักงานการเกษตรจงั หวัดลาพนู . สภาวะ [อนิ เตอร์เนต็ ]. [เข้าถึงเมื่อ 1 ตลุ าคม 2555]. เศรษฐกิจจงั หวดั ลาพนู [อินเตอรเ์ นต็ ]. [เข้าถึง เขา้ ถึงได้จาก www.moph.go.th. เม่ือ 10 พฤศจิกายน 2561]. เขา้ ถงึ ไดจ้ าก www.lamphun.go.th 3. สานกั โรคจากการประกอบอาชพี และ 10.สาธารณสุขอาเภอบ้านโฮ่ง. รายงานการดาเนนิ สิ่งแวดล้อม. คู่มือสาหรับเจา้ หนา้ ที่สาธารณสุข โครงการปอ้ งกันและเฝ้าระวงั ผลกระทบต่อ แนวทางดาเนินงานเกษตรกรปลอดโรค สขุ ภาพจากการใชส้ ารเคมีทางการเกษตรของ ผูบ้ รโิ ภคปลอดภยั สมุนไพรล้างพิษ กายจติ เกษตรกรในพน้ื ทีจ่ งั หวัดลาพูน.ลาพูน: ผ่องใส. นนทบรุ ี: กรมควบคมุ โรค; 2553. สานักงานสาธารณสขุ จงั หวดั ลาพูน; 2562. 4. สานกั งานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสรมิ สุขภาพ.กระทรวงสาธารณสขุ ระวังโรค เกษตรกรไทยเผย 5 ปี ยอดเส่ียงสารพิษพุ่ง 153 Academic Journal of Community Public Health Vol. 6 No. 2, April – June 2020

วารสารวชิ าการสาธารณสุขชมุ ชน ปีที่ 6 ฉบับท่ี 2 เมษายน – มถิ นุ ายน 2563 11.Taro Yamane. Statistics: An 16.ปัทมา เม่ียงมกุ ข.์ พฤติกรรมการใชส้ ารเคมี Introductory Analysis. 3rdEd. New York: กาจดั ศัตรูพืช และทัศนคตดิ ้านความเส่ียงของ Harper and Row Publications; 1973. เกษตรกรปลูกผกั ในจังหวัดปทุมธานี. วทิ ยานพิ นธ์วทิ ยาศาสตรมหาบณั ฑติ สาขา 12. Best, J. W.Research in education (4th เศรษฐศาสตรเ์ กษตรและทรัพยากร. กรุงเทพ: ed.). New Jersey: Prentice Hall; 1981. มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์; 2558. 13.พัตราภรณ์ ณะแก้ว.การศึกษาสถานะสุขภาพ 17.จิว เชาวถ์ าวร.ภาวะสขุ ภาพตามความเสีย่ งจาก และปัจจัยเส่ียงของเกษตรกรที่ใชส้ ารกาจดั การทางานของเกษตรกรปลกู หอมแดงตาบล ศตั รพู ชื ตาบลเมืองจงั อาเภอภูเพียง จังหวดั จาป่าหวาย อาเภอเมือง จังหวดั พะเยา. น่าน. วิทยานพิ นธ์สาธารณสขุ ศาสตรมหา วทิ ยานิพนธ์พยาบาลศาสตรมหาบัณฑติ บัณฑติ . พะเยา: มหาวิทยาลยั พะเยา; 2560. สาขาวชิ าการพยาบาลอาชีวอนามยั . เชียงใหม่: มหาวทิ ยาลยั เชียงใหม่; 2556. 14.อุเทน ชัยวงค์. ปัจจัยเสีย่ งเก่ียวกับการใช้ สารเคมกี าจัดศตั รูพืช ชนิด 18. ธนติ า สุกิน.การรับรภู้ าวะสขุ ภาพและความ Carbofuran,Dicrotophos, EPN และ ตระหนกั ต่อการใชส้ ารเคมีกาจัดศตั รูพืชของ Methomyl ที่มีผลต่อภาวะสุขภาพของ เกษตรกรบ้านห้วยขอน ตาบลหว้ ยหม้าย เกษตรกร ในเขตพื้นท่ีจงั หวัดอานาจเจริญ อาเภอสอง จังหวดั แพร่. วทิ ยานพิ นธ์ [วิทยานิพนธ์]. สาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต สาธารณสขุ ศาสตรมหาบัณฑิต. เชยี งใหม่: สาขาการสร้างเสริมสขุ ภาพ.อุบลราชธาน:ี มหาวทิ ยาลัยเชยี งใหม่; 2556. มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั อุบลราชธานี; 2555. 15. พิสิษฐ์ อัจฉฤกษ.์ ความต้องการฝึกอบรมการ ใชส้ ารปอ้ งกนั กาจัดศตั รูพชื ของเกษตรกรใน อาเภอเมือง จังหวดั พษิ ณุโลก. วทิ ยานพิ นธ์ วทิ ยาศาสตรมหาบัณฑติ สาขาวิชาส่งเสรมิ การเกษตร.เชียงใหม่: มหาวิทยาลยั เชียงใหม่; 2542. 154 Vol. 6 No. 2, April – June 2020 Academic Journal of Community Public Health

วารสารวชิ าการสาธารณสุขชมุ ชน ปีที่ 6 ฉบบั ท่ี 2 เมษายน – มถิ นุ ายน 2563 Received: 8 Dec 2019, Revised: 6 Feb 2020 Accepted: 13 Feb 2020 นพิ นธ์ตน้ ฉบบั ประสิทธผิ ลของการพอกยาสมนุ ไพรตอ่ อาการปวดเข่าในผูป้ ่วยโรคข้อเข่าเสื่อม โรงพยาบาลส่งเสริมสขุ ภาพตาบลบา้ นภูมิ อาเภอดอนตมู จงั หวดั นครปฐม เกยี รตสิ ุดา เชอ้ื สพุ รรณ1,* วชิ ัย โชควิวัฒน์2 ศุภะลักษณ์ ฟกั คา2 และธวัชชัย กมลธรรม2 บทคดั ยอ่ การวิจัยคร้ังน้ีมีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิผลของการพอกยาสมุนไพร ต่อระดับ ความปวดของข้อเข่า วิธีการศึกษาเป็นแบบก่ึงทดลองโดยมีการเปรียบเทียบก่อนและหลังการได้รับ การรักษาด้วยวิธีการพอกเข่า กลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ในการวิจัยได้แก่ ผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อม จานวน 30 ราย ใช้แบบประเมินระดับความรนุ แรงของโรคขอ้ เข่าเส่ือม (Oxford Knee Score) และแบบประเมิน ความเจ็บปวด (VRS) ในการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล สถิติทีใ่ ช้ในการวิเคราะห์ขอ้ มลู ไดแ้ ก่ ค่าความถ่ี รอ้ ย ละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน และ t – testผลการวิจัย พบว่าจานวนผู้สูงอายุที่มีอาการ ปวดเข่าจากโรคข้อเข่าเสื่อมจานวนทั้งหมด 30 ราย เป็นเพศหญิงมากกว่าเพศชาย โดยเพศหญิง 18 ราย คิดเป็นร้อยละ 60 เพศชาย 12 ราย คิดเป็นร้อยละ 40 อายุกลุ่มทดลองเฉลี่ย 59.63 ปี (SD = 6.408) ส่วนใหญ่จะอยู่ในช่วงอายุระหว่าง 55 – 59 ปี คิดเป็นร้อยละ 40 รองลงมาอายุ 50 –54 ปี และอายุ 60 – 64 ปี ร้อยละ 20หลังการเขา้ ร่วมการพอกเขา่ กลุ่มทดลองมีค่าคะแนนเฉล่ียของระดับ ความรุนแรงของโรคข้อเข่าเส่อื มเท่ากับ 30.23 (SD = 2.873) ซ่ึงสูงกวา่ ก่อนการเข้ารว่ มการพอกเข่า ท่ีมีค่าคะแนนเฉลี่ยของระดับความรุนแรงของโรคข้อเข่าเสื่อมเท่ากับ 25.07 (SD = 2.852) อย่างมี นัยสาคัญทางสถิติ (p-value) ที่ระดับ 0.01หลังการเข้าร่วมการพอกเข่า กลุ่มทดลองมีค่าคะแนน เฉล่ยี ของระดับความเจ็บปวดเทา่ กับ 2.63 (SD = .964) ซึ่งต่ากวา่ ก่อนการเข้าร่วมการพอกเขา่ ท่ีมีค่า คะแนนเฉล่ียของระดับความเจ็บปวดเท่ากับ 4.90 (SD = .803) อย่างมนี ัยสาคัญทางสถิติ (p-value) ที่ระดับ 0.01สรุปได้ว่าการใช้ยาพอกเข่าสามารถใช้เป็นทางเลือกในการรักษาทดแทนการใช้ยาแบบ รบั ประทานได้ คาสาคัญ การพอก ผู้ปว่ ยโรคขอ้ เขา่ เสือ่ ม อาการปวดเข่า 1 นักศึกษา หลกั สูตรการแพทยแ์ ผนไทยประยกุ ต์มหาบัณฑิต วิทยาลยั สหเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภฎั สวนสุนนั ทา 2 อาจารย์ วทิ ยาลัยสหเวชศาสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฎั สวนสุนนั ทา * Corresponding author: [email protected] 155 Academic Journal of Community Public Health Vol. 6 No. 2, April – June 2020

วารสารวิชาการสาธารณสขุ ชมุ ชน ปที ่ี 6 ฉบบั ท่ี 2 เมษายน – มิถนุ ายน 2563 Original Article Effectiveness of Herbal Poultice for Knee Pain Relief in Patients with Osteoarthritis of Knee in Banpoom Tambon Health Promoting hospital Don Tum District, Nakhon Pathom Province Keitsuda Chuesuphan1,*, Vichai Chokevivat2, Supalak Fakkham2, Thavatchai Kamoltham2 Abstract The aims of this research was to compare effectiveness of herbal poultice on the pain level of the knee. The research design was a quasi-experimental with pretest- posttest design by poultice for knee method. The samples used in the research were 30 osteoarthritis patients. Used tools comprised severity assessment form for knee osteoarthritis (Oxford Knee Score) and measurement of pain (VRS) were collected and data analyzed by frequency, percentage, mean, standard deviation and t- test. The results revealed the number of elderly with knee pain from knee osteoarthritis totaled 30 patients were females more than males occurs in 60% in 18 females and 40% in 12 males patients, average age 59.63 years (SD = 6.408). Most of 40% of persons were 55-59 years old had knee osteoarthritis, 20% were followed by the age of 50-54 years old and 60-64 years old. After participated of poultice of the knee. The experimental group had an average score of Oxford knee score equal to 30.23 (SD = 2.873) which was higher than before participated of poultice of the knee with an average score of the Oxford knee score of 25.07 (SD = 2.852). Statistical significance (p-value) at 0.01. After participated of poultice of the knee. The experimental group had an average score of level of pain equal to 2. 63 ( SD = 0. 964) which was lower than before participated of poultice of the knee with an average score of level of pain to 4.90 (SD = 0.803). Statistical significance (p-value) at 0.01. The results concluded that use of herbal poultice on the knee can be used as an alternative treatment instead of oral medicine. Keywords:poultice, osteoarthritis patients, osteoarthritic pain 1 Student (Master of Applied Thai Traditional Medicine), College of Allied Health Sciences, Suansunandha Rajabhat University 2 Lecturer, College of Allied Health Sciences, Suansunandha Rajabhat University * Corresponding author: [email protected] 156 Vol. 6 No. 2, April – June 2020 Academic Journal of Community Public Health

วารสารวชิ าการสาธารณสุขชมุ ชน ปีที่ 6 ฉบับท่ี 2 เมษายน – มิถุนายน 2563 บทนา รกั ษาด้วยยากนิ และยาฉีด 199 คน รักษาด้วยการ ซื้อยาชุด ยาหม้อและยาสมุนไพรมารับประทาน โรคข้อเข่าเสื่อมเป็นโรคที่พบบ่อยมากที่สุด เ อ ง 33 ค น ท า ก า ย ภ า พ บ า บั ด 118 ค น โรคหนึ่งในประชากรทั่วโลก โดยเฉพาะผู้ท่ีมีอายุ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม 151 คน ได้รับการเยี่ยม 50 ปีข้ึนไปพบอุบัติการณ์การเกิดข้อเข่าเสื่อม บ้านโดยบุคลากรสุขภาพ 86 คน ได้รับการตดิ ตาม ตั้งแต่ร้อยละ 15.6 ร้อยละ 27.8 ใน the third อาการโดยอาสาสมัครสาธารณสุขประจาหมู่บ้าน National Health and Nutrition Examination (อสม.) 149 คน และไปรับการตรวจตามนัดที่ Survey (NHANES III) ร้อยละ 16.1 ในประเทศ สถานพยาบาล 192 คน สาหรับสถานพยาบาล จีน ร้อยละ 21.2 ในประเทศญี่ปุ่น ร้อยละ 37.8 หลักท่ีกลุ่มตัวอย่างใช้บริการในการดูแลรักษาโรค ในประชากรผู้สูงอายุในประเทศเกาหลี ร้อยละ 6 คือ โรงพยาบาลศูนย์หรือโรงพยาบาลทัว่ ไปซ่ึงเป็น – 35 ในคนไทย และร้อยละ 60 ในพระสงฆ์ของ โรงพยาบาลขนาดใหญ่และมีแพทย์เฉพาะทาง ไทย1 กระดูกและข้อ ร้อยละ 42.10 โรงพยาบาลชุมชน ร้อยละ 18.90 และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ รายงานผลการสารวจสุขภาวะผู้สูงอายุใน ตาบล รอ้ ยละ 16.90 ไทยล่าสุดใน พ.ศ. 25562 ซึ่งเก็บข้อมูลจาก ผู้สูงอายุจานวน 14,000 คน ที่ได้รับการสุ่มเป็น จ า น ว น ผู้ สู ง อ า ยุ ใ น เ ข ต รั บ ผิ ด ช อ บ ข อ ง ตัวแทนจาก 28 จังหวัดใน 12 เครือข่ายบริการ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตาบลบ้านภูมิ มี สุขภาพท่วั ประเทศ พบว่ากลมุ่ ตัวอยา่ งส่วนใหญ่ไม่ จานวน 552 คน และได้รับการคัดกรองวินิจฉัย เคยได้รับการตรวจโรคข้อเข่าเสอ่ื มถึงรอ้ ยละ 72.9 จากแพทย์เฉพาะทางออร์โธปิดิคส์ว่าเป็นโรคข้อ ขณะท่ีกลุ่มทเี่ คยได้รับการตรวจและวินจิ ฉัยว่าเป็น เขา่ เสือ่ มที่ยังไม่ได้รับการรักษาด้วยการผา่ ตดั และ โรคนี้มีร้อยละ 10.6 โดยได้รับการวินิจฉัยตั้งแต่ ไม่มีโรคร่วม เช่น Below Knee amputation ใส่ ก่อน พ.ศ. 2553 ร้อยละ 38.20 ช่วง พ.ศ. 2553 ขาเทยี ม OA hip, OA ankle ซง่ึ จากสถติ ิพบผู้ปว่ ย – 2555 ร้อยละ 36.20 และ พ.ศ. 2556 ร้อยละ โรคข้อเข่าเสื่อมที่เข้ารับการตรวจรักษาท่ีหน่วย 20.50 มีผู้สูงอายุท่ีได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ว่า ตรวจดังกล่าว ในปี พ.ศ. 2558 โดยในที่นี้รวมทั้ง ปว่ ยเป็นโรคขอ้ เข่าเส่ือม ร้อยละ 10.60 ในจานวน ผู้ป่วยเก่าและผู้ป่วยใหม่ท่ีมาตรวจรักษาต่อเนื่อง นี้ เป็นเพศชายร้อยละ 2.20 และเพศหญิงร้อยละ มีจานวน 92 คน ร้อยละ 16.66 และมีแนวโน้ม 8.40; ผลการประเมินความรุนแรงของโรค พบว่า สั ด ส่ ว น ข อ ง ผู้ ป่ ว ย โ ร ค ข้ อ เ ข่ า เ สื่ อ ม ที่ ไ ม่ ร ะ บุ กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ได้รับบริการตรวจคัดกรอง ตาแหน่งต่อจานวนผู้ป่วยทเ่ี ข้ามารับการรกั ษาด้วย จากโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตาบลมากที่สุดถึง โรคอ่ืน ๆ สูงข้ึน และยังพบว่าส่วนใหญ่มักพบใน ร้อยละ 37.80 รองลงมาคือโรงพยาบาลศูนย์หรือ ตาแหนง่ ของขอ้ เขา่ และมีแนวโน้มสงู ขึ้นเชน่ กนั 3 โรงพยาบาลท่ัวไปร้อยละ 31.80 และโรงพยาบาล ชุมชน ร้อยละ 19.60 ผลการประเมนิ ความรุนแรง โรคข้อเข่าเสื่อม มีคาจากัดความตามเกณฑ์ พบว่าส่วนใหญ่ ร้อยละ 56.40 ไม่พบอาการ การวินิจฉัยโรคข้อเข่าเส่ือมของ The American ผิดปกติ รองลงมาคือเริ่มมีอาการผิดปกติร้อยละ College of Rheumatology ( ACR) ดั ง น้ี มี 12.80 มีอาการรุนแรงปานกลาง ร้อยละ 16.20 อาการปวดข้อเข่าและมีปุ่มกระดูกงอกในภาพรังสี และมีอาการระดับรุนแรง ร้อยละ 4.40; ด้าน ของข้อเข่า และมีลักษณะดังต่อไปน้ีอย่างน้อย วิธีการบาบัดรักษา พบว่ากลุ่มตัวอย่างได้รับการ 1 ข้อ ได้แก่ 1. อายุมากกว่า 50 ปี 2. อาการฝืด Academic Journal of Community Public Health 157 Vol. 6 No. 2, April – June 2020

วารสารวชิ าการสาธารณสขุ ชมุ ชน ปีท่ี 6 ฉบับท่ี 2 เมษายน – มิถนุ ายน 2563 แข็งในตอนเช้า ประมาณ 30 นาที 3.มีเสียงกรอบ ในภาวะที่สังคมไทยจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ แกรบ (crepitus) ขณะเคล่ือนไหวเข่า ภายใน 10 – 15 ปีข้างหน้าและมีสัดส่วนผู้สูงอายุ มากกว่าร้อยละ 10 หากสามารถหาแนวทางการ การแบ่งความรุนแรงของโรคใช้การแบ่ง ป้องกันโรคน้ีได้ น่าจะทาให้คุณภาพชีวิตของ ของ Kellgren-Lawrence grading system4 โดย ประชากรไทยวัยสูงอายุดีข้ึนและลดค่าใช้จ่ายท่ี ข้ันโรคที่ศูนย์ แสดงถึงไม่มีภาวะโรคข้อเข่าเส่ือม ต้องลงทุนกับโรคนี้เพื่อใหท้ างรัฐสามารถผันเงินไป ข้ันโรคที่หนึ่งแสดงปุ่มกระดูกงอกบริเวณข้อเข่า ใช้จ่ายด้านสุขภาพในโรคอ่ืนท่ีจาเป็นได้อย่างมี เล็กน้อย ขั้นโรคที่สองมีปุ่มกระดูกงอกชัดเจน ข้ัน ประสิทธภิ าพสงู สูด1 โรคท่สี ามมีช่องขอ้ เข่าแคบลง และข้ันโรคที่สี่มชี ่อง ข้อแคบลงชัดเจนร่วมกับมีเนื้อใต้กระดูกอ่อน ปญั หาดังกล่าวทาใหผ้ ู้สงู อายุมคี วามลาบาก กระดา้ ง ในการปฏิบัติกิจวัตรประจาวัน ซ่ึงอาการและ อาการแสดงดังกล่าวจะมากน้อยแตกต่างกันไป ส า ห รั บ ใ น ป ร ะ เ ท ศ ไ ท ย โ ร ค ข้ อ เ ข่ า เ สื่ อ ม ความรุนแรงของโรคที่เพ่ิมขึ้นจะส่งผลกระทบ จัดเป็นภาระโรคท่ีมีความสาคัญเป็นอันดับ 6 โรค ทางด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และสังคม ด้าน นี้เกิดข้ึนเนื่องจากผิวข้อเข่าเสื่อมสภาพและหลุด รา่ งกายผู้สูงอายุมีอาการปวดเข่า ทาให้มีการใช้ยา ลอก ทาให้เกิดอาการข้อเข่าอักเสบ หากไม่ได้รับ ลดปวด ยาต้านการอักเสบท่ีไม่ใช่สเตียรอยด์ การ การรักษาที่ถูกต้องและเหมาะสม ภาวะน้ีจะ ฉีดยาสเตียรอยด์เข้าข้อ เพื่อบรรเทาอาการปวด รุนแรงข้ึนจนกระดูกผิวข้อทรุดตัว แนวกระดูกขา โก่งหรือเกผิดรูป ซึ่งอาจทาให้ทุพพลภาพจนไม่ แต่ยาต่าง ๆ ไม่สามารถหยุดย้ังการทาลายของข้อ สามารถเดินได้ตามปกติ โดยปัจจัยเส่ียงของการ ได้ เม่ือมีการทาลายของข้อในระยะท้าย ๆ เกิดโรคได้แก่ ภาวะอ้วน เพศหญิง การใช้งานของ ผู้สูงอายุจะปวดจนนอนไม่หลับในเวลากลางคืน2 ข้อเขา่ มากเกนิ ไปหรือใชผ้ ดิ วิธี การบาดเจ็บของข้อ ทาให้ผู้สูงอายุไม่สามารถดูแลตนเองหรือเข้าร่วม เข่า พันธุกรรม การสูบบุหร่ี ฯลฯ แม้ว่าจะมี กิจกรรมทางสังคม บทบาททางสังคมลดลง ต้อง รายงานจากองค์ความรู้ต่าง ๆ ท่ีจะช่วยชะลอการ พงึ่ พาผู้อืน่ 5 เกิดภาวะข้อเข่าเสื่อมก็ตาม เช่น การงดนั่งกับพ้ืน การฝึกกล้ามเน้ือรอบข้อเข่า การฝึกโยคะ การรา จากลาดบั ความเป็นมาและความสาคัญของ ไท้เก๊ก เป็นต้น แต่ก็ยังไม่ได้เป็นที่ทราบและนาไป ปัญหาท่ีกล่าวมาข้างต้น ผู้วิจัยในฐานะแพทย์แผน ปฏิบัติอย่างแพร่หลายในปัจจุบันมีวิธีการรักษา ไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในทมี สุขภาพที่มีบทบาทสาคัญใน โรคนี้มากมายหลายวธิ ีได้แก่การฝึกกล้ามเนื้อ การ ด้านการเสริมสร้างสุขภาพ ส่งเสริม และป้องกัน งดการงอเข่ามาก ๆ การให้ยาลดอาการปวด โรค ได้ตระหนักถึงความสาคัญ และเล็งเห็นถึง อั ก เ ส บ ก า ร ใ ห้ ย า ก ลุ่ ม ส า ร ธ ร ร ม ช า ติ ที่ มี ปัญหาของผู้ป่วยโรคข้อเข่าเส่ือม อีกท้ังการตรวจ องค์ประกอบของกระดูกอ่อน การฉีดสารเข้าข้อ และคัด กรอง ผู้ป่ว ยก ลุ่มน้ียั งทาได้ มากใ น การส่องกล้องล้างข้อเข่าไปจนถึงการผ่าตัดจัด โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตาบล เนื่องจากใกล้ กระดูกและการเปลี่ยนข้อเข่าเทียม กระบวนการ บ้านและสะดวกในการมารับบริการมากกว่า รักษาเหล่าน้ีต้องเสียค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง เช่น สาหรับกลุ่มผู้มารับบริการแพทย์แผนไทยเกือบ การเปลี่ยนขอ้ เข่าเทียมปฐมภูมิในโรงพยาบาลรัฐมี ทั้งหมดที่มาด้วยอาการปวดกล้ามเนื้อ ปวดตามข้อ คา่ ใช้จา่ ยประมาณ 1 แสนบาทตอ่ ราย1 อาการหนึ่งท่ีพบมากคือ อาการปวดเข่าจากเข่า เส่ือม เข่าอักเสบ ซึ่งมาจากหลายสาเหตุ เช่น เสื่อมตามอายุ น้าหนักตัวมาก ทางานหนัก 158 Vol. 6 No. 2, April – June 2020 Academic Journal of Community Public Health

วารสารวิชาการสาธารณสุขชมุ ชน ปที ่ี 6 ฉบบั ที่ 2 เมษายน – มถิ ุนายน 2563 อุบัติเหตุ เป็นต้น การรักษาโดยการนวดและ 1. คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง ประคบนั้นคงยังไม่เพียงพอ อีกทั้งทางกรมการ กับผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ว่าเป็นโรค แพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกได้ผลักดัน ข้อเข่าเส่ือม จานวน 30 ราย โดยใช้เครื่องมือคัด ตารับยาพอกเข่าซึ่งช่วยบรรเทาอาการปวดข้อเข่า กรองขอ้ เขา่ เสื่อม (oxford knee score) ได้มารักษาร่วมกับการนวดประคบ ทางผู้วิจัยจึง 2. สอบถามความสมัครใจและอธิบาย สนใจท่ีจะศึกษาวิธีการลดความเจ็บปวดของผูป้ ่วย เกี่ยวกบั การเขา้ ร่วมการวิจยั โรคข้อเข่าเสื่อมด้วยวิธีการพอกยาสมุนไพรท่ีเข้า 3. ทาการรักษาด้วยการพอกยาสมุนไพร รับการตรวจรักษา ในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ คร้งั ละ 1 ชว่ั โมง วนั เวน้ วนั จานวน 12 คร้ัง ตาบลบ้านภูมิ อาเภอดอนตูม จังหวัดนครปฐม 4. วัดระดับความเจ็บปวดก่อนการรักษา โดยใช้วิธีการพอกยาสมุนไพรและมีการใช้ โดยใช้แบบประเมินความเจ็บปวดตามมาตราวัด เคร่อื งมือในการเก็บข้อมูลเพ่ือประเมินระดับความ Visual Rating Scales: VRS รุนแรงของโรคข้อเข่าเส่ือม เพื่อท่ีจะได้นาข้อมูล 5. วัดระดับความเจ็บปวดหลังการรักษา ดังกล่าวมาใช้ในการลดภาวะความเจ็บปวดของ โดยใช้แบบประเมินความเจ็บปวดตามมาตราวัด ผู้ป่วยโรคข้อเข่าเส่ือม และใช้ในการให้ความรู้แก่ Visual Rating Scales:VRS ผู้ป่วยหรือการให้คาแนะนา ในลักษณะสื่อต่าง ๆ 6. ตรวจสอบข้อมูลความถูกต้อง และนาไป ท่ีสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันมากท่ีสุด เพื่อ วเิ คราะห์ข้อมูล เป็นการส่งเสริมให้ผู้ป่วยโรคขอ้ เข่าเส่อื มมีคุณภาพ ประชากรและกลมุ่ ตวั อย่าง ชีวติ ท่ีดีขน้ึ และลดความรนุ แรงของโรคต่อไป ประชากร ท่ีใช้ศึกษาครั้งน้ีเป็นผู้ป่วยท่ีมี วตั ถปุ ระสงคก์ ารวจิ ยั อาการปวดเข่า เข้ารับการรักษาในคลินิกแพทย์ เพ่ือเปรียบเทียบประสิทธิผลของการพอก แผนไทย โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตาบลบ้าน ยาสมนุ ไพรตอ่ ระดับความปวดของข้อเขา่ ก่อนและ ภมู ิ อาเภอดอนตูม จงั หวัดนครปฐม ระหว่างเดือน หลังการไดร้ บั การรักษาดว้ ยวธิ ีการพอกเข่า พฤศจิกายน พ.ศ. 2561 ถึงเดือน มกราคม พ.ศ. วธิ ดี าเนินการวิจยั 2562 คดั เลือกกลุ่มตวั อย่างแบบเฉพาะเจาะจง กลุ่มตัวอย่าง ที่ศึกษาได้คัดเลือกกลุ่ม ก า ร วิ จั ย ค ร้ั ง น้ี เ ป็ น ก า ร วิ จั ย กึ่ ง ท ด ล อ ง ตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง กับผู้ป่วยที่ได้รับการ ( Quasi Experimental Research) มี ก ลุ่ ม วินิจฉัยจากแพทย์แผนปัจจุบันว่าเป็นโรคข้อเข่า ตั ว อ ย่ า ง เ ดี ย ว ( Single Subject Research) เส่ือม (Osteoarthritis knee) ซ่ึงผู้ป่วยท่ีมารับ ทดสอบก่อน – หลัง (one group pretest – การรักษาไม่จากัดเพศ จานวน 30 คน โดย posttest design) เพื่อศึกษาประสิทธิผลของการ ทาการศึกษาในคลินิกแพทยแ์ ผนไทย โรงพยาบาล พอกยาสมนุ ไพรต่อระดบั ความปวดในผ้ปู ว่ ยข้อเข่า ส่งเสริมสุขภาพตาบลบ้านภูมิ อาเภอดอนตูม เสื่อม ซ่ึงได้รับการพิจารณาจากเห็นชอบจาก จังหวดั นครปฐม คณะกรรมการพิจารณาจริยธรรมการวิจัยใน เกณฑใ์ นการคัดเลือกผู้ปว่ ยเขา้ รว่ มในการศึกษา มนุษย์มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา เลขท่ี 1. เพศชาย หรอื เพศหญิง COA.1-52/2017 2. อายุ 50 ปี ขน้ึ ไป Academic Journal of Community Public Health 159 Vol. 6 No. 2, April – June 2020

วารสารวิชาการสาธารณสขุ ชมุ ชน ปีท่ี 6 ฉบับท่ี 2 เมษายน – มิถนุ ายน 2563 3. แพทย์แผนไทยวินิจฉัยว่าเป็นโรคข้อ ความรุนแรงของโรคข้อเสื่อม 6 ท่ีมีความไว เขา่ เส่ือม (Osteoarthritis knee) น่าเช่ือถือแม่นยาประกอบด้วย 24 คาถามซ่ึงจะ ประกอบด้วย 3 ส่วนได้แก่อาการปวดมี 5 คาถาม 4. ผปู้ ่วยมอี าการปวดเขา่ อาการปวดขณะเดินอาการปวดขณะข้ึนบันได 5. ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคข้อเข่า อาการปวดในเวลากลางคืนอาการปวดขณะพัก เสอื่ ม ท่ีไม่มแี ผนการรักษาทางศัลยกรรม อาการปวดเวลาลงน้าหนักการติดแข็งของข้อมี 2 6. ไม่มีความผิดปกติเก่ียวกับการรับ คาถามอาการฝืดตึงในข้อเวลาเช้า และอาการฝืด ความรสู้ ึก ตึงข้อเวลากลางคืนความสามารถในการทาหน้าท่ี 7. ผู้ป่วยมีความยินดีให้ความร่วมมือใน มี 17 คาถามเก่ียวกับการขึ้น-ลงบันได การเปลี่ยน การวจิ ัย ทา่ จากการนงั่ เป็นยืน ยืนเปน็ นั่ง กม้ ลงกับพ้ืน เดิน เกณฑใ์ นการคดั เลอื กผ้ปู ่วยออกจากการศกึ ษา บนพื้นราบ เข้า–ออกรถยนต์ เดินซื้อของ สวม- 1. เคยไดร้ ับการผา่ ตัดเปลย่ี นข้อเขา่ เทยี ม ถอดถุงเท้า ลุก และล้มตัวจากเตียงเดิน เข้า–ออก 2. ได้รับการฉีดยาเขา้ ข้อเพ่ือรักษาอาการ อ่างอาบน้า นั่งลง-ลุกจากโถส้วม การทางานบ้าน ปวด เช่น สเตียรอยดใ์ นระยะ 3 เดือน ทงั้ หนัก และเบา7 3. เจ็บป่วยเร้ือรังปฏิบัตกิ ิจวัตรประจาวัน เองไม่ได้ (Bedridden) หรือพิการที่ไม่เก่ียวข้อง สาหรับในประเทศไทยได้มีการใช้แบบ กับโรคข้อ เข่าเส่ือม เช่น โรคหลอดเลือดสมอง ป ร ะ เ มิ น ค ว า ม รุ น แ ร ง ข อ ง โ ร ค ข้ อ เ ข่ า เ ส่ื อ ม เปน็ ต้น Western Ontario and McMaster Universities 4. มีอาการไม่พึงประสงค์จากการพอกยา Osteoarthritis Index ( WOMAC) 7 โ ด ย น า ม า สมุนไพร เช่น มีอาการปวดมากข้ึนหรือมีอาการท่ี ประยกุ ตเ์ รอื่ งเป็นและแปลให้เปน็ ภาษาไทยได้แก่ แย่ลง มีผ่ืนคัน มีอาการบวม และแพ้ยาพอก สมนุ ไพร 1.1.1 แบบบันทึกความความ เครื่องมือทีใ่ ช้ในการวิจยั รุนแรงของข้อเข่าเสื่อมของ8 เป็นมาตราส่วน 1. เครื่องมือในการประเมินความรุนแรง ประมาณค่า (visual analog scales) เครื่องมือ ของโรคข้อเข่าเสื่อมเคร่ืองมือในการประเมินใน การประเมินระดับความรุนแรงของโรคข้อเข่า งานวิจัยโดยการวัดมาตราส่วนประมาณค่าได้แก่ เสื่อมท่ีได้รับความนิยมในต่างประเทศ Western เครื่องมือการประเมินระดับความรุนแรงของโรค Ontario and McMaster Universities ข้อเข่าเส่ือม (WOMAC),Lequesne OA index Osteoarthritis Index ( WOMAC) 7 โ ด ย น า ม า และ Oxford KneeScore ประยุกต์เร่ืองการสวมถอดถุงเท้าเป็นสวมรองเท้า หรือถุงเท้าและตัดหัวข้อเรื่องการเดินเข้าออกอ่าง 1.1 WOMAC (Western Ontario อาบน้าและแปลให้เป็นภาษาไทยเชิงเส้นตรงมี and McMaster University Osteoarthritis ความยาว 10 เซนติเมตรซ่ึงได้มีการวัดความ Index)เป็นแบบประเมินความรุนแรงของโรคข้อ ตรงกันตามเน้ือหาของแบบบันทึกความรุนแรงได้ เข่าเส่ือมท่ีเริ่มพัฒนาโดยเบลลามี่บูชาแนน โกลด์ ค่าความตรง 0.83 ค่าความเชื่อม่ันของเครื่องมือ ส มิ ธ แ ค ม เ บ ล ล์ แ ล ะ ส ติ ท ท์ 6 ( Bellamy, เท่ากับ 0.94 ประกอบด้วยข้อคาถามท้ังหมด 23 Buchanan, Goldsmith, Campbell, Stitt ในปี ข้อการรับรู้อาการปวดข้อเข่าจานวน 8 ข้ออาการ 1982 และได้มีการใช้กันอย่างแพร่หลายใช้ ข้อติดแข็งจานวน 2 ข้อและความสามารถในการ WOMAC เป็นเครื่องมือในการวัดผลลัพธ์เก่ียวกับ เคล่ือนไหวข้อเข่าจานวน 13 ข้อโดยเลข 0 160 Vol. 6 No. 2, April – June 2020 Academic Journal of Community Public Health

วารสารวชิ าการสาธารณสขุ ชมุ ชน ปที ี่ 6 ฉบบั ที่ 2 เมษายน – มิถุนายน 2563 หมายถึงไม่มีอาการและหมายเลข 10 หมายถึงมี ผ้เู ชี่ยวชาญ จานวน 4 คน ได้แก่ นกั กายภาพบาบัด อาการมากที่สุด แพทย์ออร์โ ธ ปิดิกส์ ผู้เช่ียว ช าญผู้สูงอายุ ผู้เชีย่ วชาญบาบัดโรคทางกาย ตรวจสอบความตรง เกณฑ์ในการใหค้ ะแนนมีดงั นี้7 เชิงเน้ือหาได้มีการหาค่าความตรงเชิงเนื้อหาโดย คะแนน 0 – 57.5 หมายถึง ระดับท่ี 1 การประเมนิ ในผ้ปู ่วยจานวน 114 คน เปรียบเทียบ คะแนน 57.6 – 115.0 หมายถึง ระดบั ที่ 2 คะแนน WOMAC ฉบับภาษาไทยร่วมกับการ คะแนน 115.1 – 172.5 หมายถึง ระดบั ที่ 3 ประเมินด้วย Lequesne Index of severity for คะแนน 172.6 – 230.0 หมายถงึ ระดบั ท่ี 4 osteoarthritis of the knee (ISOA knee) ด้าน สามารถอธิบายระดับของความรุนแรงโรคข้อเข่า อาการปวดและหน้าที่การทางานของร่างกาย เสอ่ื มไดด้ ังนี้ พบว่ามีความสัมพันธ์กันในด้านอาการปวดหน้าที่ ระดับที่ 1 เป็นระดับท่ีไม่มีความรุนแรง การทางานของร่างกายได้ค่าความสอดคล้อง ผู้สูงอายุสามารถเดินทางไกลเดินข้ึนบันไดหรือลง ภ า ย ใ น อ ยู่ ใ น ช่ ว ง 0. 85- 0. 97 ( internal บันไดนั่งพับเพียบได้โดยไม่มีอาการปวดข้อเข่า consistency)9 สามารถปฏิบัตกิ ิจกรรมไดป้ กติ ระดับท่ี 2 เป็นระดับท่ีโรคมีความรุนแรง 1.2 Lequesne Index of severity for น้อยผู้สูงอายุจะมีอาการปวดข้อเข่าเมื่อต้อง osteoarthritis of the knee ( ISOA knee) เดินทางเป็นระยะทางไกลหรือขึ้น–ลงบันไดเมอ่ื นั่ง เป็นการศึกษาเก่ียวกับการทาหน้าท่ีหรือความ พักก็จะหายปวดการลุกจากท่านั่งเป็นท่ายืนอาจมี รุ น แ ร ง ข อ ง โ ร ค ข้ อ เ ข่ า เ สื่ อ ม ใ ช้ เ พื่ อ ป ร ะ เ มิ น อาการปวดสามารถปฏิบัติกิจกรรมได้แต่เหมือน ประสิทธิผลการรักษาโดยมีการสอบถามในหัวข้อ ปกติ 11 หัวข้อ ประกอบด้วย 3 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่ 1 ระดับท่ี 3 เป็นระดับท่ีมีความรุนแรงปาน อาการไม่สุขสบายหรืออาการปวดจานวน 7 ขอ้ ใน กลางผู้ป่วยจะมีอาการปวดมากขึ้นบ่อยจนไม่ เรอ่ื งอาการปวดเวลากลางคนื อาการข้อตดิ ขัดเวลา สามารถขึ้น-ลงบันไดได้ไม่สามารถน่ังยองๆหรือนั่ง เชา้ หลงั จากต่ืนนอนปวดเมอื่ ยเมอื่ ยนื นาน 30 นาที พับเพียบไม่ได้นานเม่ือน่ังแล้วลุกขึ้นได้ยากเดิน ปวดขณะเดินปวดเม่ือลุกจากเก้าอี้น่ังที่ไม่มีท่ีพนัก ทางไกลและไม่สามารถเดนิ บนที่ลาดชนั ได้ แขนส่วนท่ี 2 ระยะทางสูงสุดในการเดินจานวน 2 ระดับท่ี 4 เป็นระดับที่มีความรุนแรงมาก ข้อระยะทางสูงสดุ ทเี่ ดินได้ส่วนที่ 3 การใช้อุปกรณ์ ผู้สูงอายุจะมีอาการปวดเข่าตลอดท้ังขณะที่ใช้ข้อ ในการช่วยเดินกิจวัตรประจาวัน จานวน 4 และพักข้อหรือทุกก้าวที่ต้องเคล่ือนไหวมีอาการ ขอ้ ความ สามารถในการขึน้ บันไดความสามารถใน ข้ อ เ ข่ า ฝื ด ม า ก เ ม่ื อ ต้ อ ง ใ น อิ ริ ย า บ ถ เ ดิ ม น า น การลงบันไดความสามารถในการหมุนตัวหรือน่ัง โดยเฉพาะขณะตื่นนอนตอนเช้ามีความผิดปกติ ยองๆความสามารถในการเดินบนทางที่ไม่เรียบ รู ป ร่ า ง ข้ อ เ ข่ า เ สี ย ส ม ดุ ล ใ น ก า ร ท ร ง ตั ว แ ล ะ การประเมินแต่ละคาถามให้คะแนนตามความ เคล่ือนไหวตอ้ งได้รบั การชว่ ยเหลือจากผู้อน่ื รนุ แรงอาการปวดระยะทางท่เี ดินความสามารถใน 1.1.2. แบบประเมินความรุนแรงโรคข้อ การปฏิบัติกิจกรรมคะแนนแบ่งเป็น 6 ระดับ เข่าเส่ือม ของวิไล คุปต์นิรัติศัยกุลที่ได้มีการ คะแนน 1-4 คะแนนไม่มีความรุนแรงคะแนน 5-7 ประยุกต์จากเคร่ืองมือ Western Ontario and คะแนนมีความรุนแรงเล็กน้อยคะแนน 8-10 McMaster Universities Osteoarthritis Index คะแนนรุนแรงปานกลางคะแนน 11-13 รุนแรง (WOMAC) ปรับให้เข้ากับวัฒนธรรมไทยโดยมี มากคะแนน 14 ขน้ึ ไปมีความรนุ แรงทส่ี ุด10 Academic Journal of Community Public Health 161 Vol. 6 No. 2, April – June 2020

วารสารวิชาการสาธารณสุขชมุ ชน ปที ่ี 6 ฉบับท่ี 2 เมษายน – มถิ นุ ายน 2563 1.3 เครื่องมือคัดกรองข้อเข่าเส่ือม เพ่ือใช้ประเมินประสิทธิผลการรักษาความความ ( Oxford knee score) เ ป็ น ก า ร คั ด ก ร อ ง รุนแรงของข้อเข่าเส่ือมจากเครื่องมือคัดกรองข้อ ประเมินความรุนแรงของโรคข้อเข่าเสื่อมเพ่ือใช้ เข่าเส่ือม oxford knee score ซ่ึงได้มีการปรับใช้ ประเมินประสิทธิภาพการรักษา โดยมีการ ให้เป็นฉบับภาษาไทยโดยมีการประเมินทั้งหมด สอบถามใน 11 หัวข้อ การประเมินความรุนแรงมี 11 หัวข้อ และการประเมินความรุนแรงใน 4 4 ระดับ11 ระดบั คะแนนรวมท่ีได้ 0 ถึง 19 มีข้อบ่งช้ี: เป็น 2. แบบประเมินความเจ็บปวด Visual โรคข้อเขา่ เส่ือมระดับรุนแรง ควรรับการรักษาจาก rating scale:VRS (Donovan Ivers Marilee. A ศลั ยแพทยผ์ ้เู ชี่ยวชาญกระดกู และขอ้ ทันที Practical Approach to pain Assessment, in pain) คือการวัดโดยใช้เส้นตรงยาว 10 เซนตเิ มตร คะแนนรวมที่ได้ 20 ถึง 29 มีข้อบ่งช้ี: มี แบ่งเป็น 10 ช่อง ช่องละ 1 เซนติเมตร ให้ผู้ป่วย อาการโรคข้อเข่าเส่ือมระดับปานกลาง ควร ทาเครื่องหมายบนเส้นตรงท่ีมีตัวเลขแทนค่าความ ปรึกษาศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญกระดูกและข้อเพื่อ รุนแรงของความปวดโดยปลายข้างหนึ่งแทนค่า รับการตรวจรักษา เอกซเรย์ข้อเข่า และประเมิน ด้วยเลข 0 หมายถึง ไม่ปวด ปลายอีกข้างแทนค่า อาการของโรค ด้วยเลข 10 หมายถึง ปวดรุนแรงมากท่ีสุด ผู้ป่วย ทาเครอ่ื งหมายตรงเลขใดถือเปน็ คะแนนความปวด คะแนนรวมท่ีได้ 30 ถึง 39 มีข้อบ่งชี้: พบ คะแนนความปวด (pain score) เริ่มมีอาการของโรคข้อเข่าเส่ือม ควรได้รับ คาแนะนาจากศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญกระดูกและ 0 – 1 คือ ยอมรับได้ ข้อเรื่องการออกกาลังกายอย่างเหมาะสม การ 2 – 3 คือ พอราคาญ ควบคุมน้าหนักเพ่ือไม่ให้อ้วน หลีกเล่ียงท่าหรือ 4 คือ มีอาการปวดเล็กนอ้ ยพอทนได้ กิจกรรมที่จะทาให้เกิดอาการและความรุนแรง 5 คอื ปวดปานกลาง ของโรคมากข้ึนและการประเมินระดับอาการของ 6 – 7 คอื ปวดมากพอสมควร โรค 8 – 9 คอื ปวดจนไม่อยากทาอะไร 10 คือ ปวดมากทสี่ ดุ คะแนนรวมท่ีได้ 40 ถึง 48 ยังไม่พบอาการ ผิดปกติ แตค่ วรตรวจรา่ งกายเปน็ ประจาทุกปี การศึกษาคร้ังนี้ผู้วิจัยได้ใช้แบบบันทึกการ คัดกรองประเมินความรุนแรงของโรคข้อเข่าเส่ือม 162 Vol. 6 No. 2, April – June 2020 Academic Journal of Community Public Health

วารสารวชิ าการสาธารณสุขชมุ ชน ปที ่ี 6 ฉบบั ท่ี 2 เมษายน – มิถุนายน 2563 3. ตารับยาพอกสมุนไพร ประกอบด้วย 5. วัดระดับความเจ็บปวดหลังการรักษา สมุนไพร ดังน้ีหวั ดองดึง, ผักเสี้ยนผีท้ังห้า, หัวว่าน โดยใช้แบบประเมินความเจ็บปวด โดยผู้วิจัยเป็นผู้ น้า อย่างละ 3 บาท ไพล ใบพลับพลึง ใบส้มป่อย อธิบายระดับความเจ็บปวดตามมาตราวัด Visual อย่างละ 2 บาท เกลือเม็ด ดินสอพอง อย่างละ 1 Rating Scales: VRS บาท 6. ผู้วิจัยนาข้อมูลที่ได้มาตรวจสอบความ 4. การศกึ ษาและการเกบ็ รวบรวมข้อมลู ถูกต้องและสมบรู ณก์ อ่ นนาไปวเิ คราะหข์ ้อมูล ขอบเขตด้านตัวแปร ในการวิจัยคร้ังน้ี ผวู้ ิจัยได้กาหนดขอบเขตด้านตัวแปรไว้ ดงั นี้ สถิติท่ใี ช้ในการวเิ คราะห์ข้อมลู ตัวแปรต้นท่ีใช้ในการศึกษาครั้งน้ี คือ 1. การวิเคราะห์ข้อมูลส่วนบุคคล โดยการ ตารับยาพอกเข่า แจกแจงความถี่ คานวณหาค่าเฉล่ีย ร้อยละ และ ตัวแปรตาม คือ อาการปวดเขา่ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การเก็บรวบรวมขอ้ มูล 2. เปรียบเทยี บผลการประเมนิ ระดบั อาการ 1. คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างเฉพาะเจาะจง ปวดเข่า ในกลุ่มทดลอง ก่อนและหลังการทดลอง กับผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์แผนไทยว่า วเิ คราะหข์ ้อมลู โดยใชส้ ถิติ Paired t-test เปน็ โรคขอ้ เข่าเสอ่ื ม (Osteoarthritis knee) ท่ีเข้า รับการรักษาท่ีคลินิกแพทย์แผนไทย โรงพยาบาล ผลการศกึ ษา ส่งเสริมสุขภาพตาบลบ้านภูมิ อาเภอดอนตูม จังหวัดนครปฐม โดยใช้เครื่องมือคัดกรองข้อเข่า ส่วนที่ 1 ข้อมูลส่วนบุคคลของกลุ่ม เส่ือม (oxford knee score) เพ่ือประเมินคัด ตัวอยา่ ง กรองความรนุ แรงของโรคข้อเขา่ เสอื่ ม กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยผู้ป่วยโรคข้อเข่า 2. สอบถามความสมัครใจและอธิบาย เสื่อม ท่ีมารับบริการที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ เกี่ยวกับการเข้าร่วมการวิจัย เม่ือผู้ป่วยยินยอมให้ ตาบลบ้านภูมิ อาเภอดอนตูม จังหวัดนครปฐม ความร่วมมือ จึงดาเนินการในข้ันตอนของการ จานวน 30 ราย จาแนกตามเพศ และอายุ พบว่า รักษาต่อไป จานวนผู้สูงอายุท่ีมีอาการปวดเข่าจากโรคข้อเข่า 3. วัดระดับความเจ็บปวดก่อนการรักษา เสื่อมจานวนทั้งหมด 30 ราย เป็นเพศหญิง โดยใช้แบบประเมนิ ความเจ็บปวด โดยผู้วิจยั เป็นผู้ มากกว่าเพศชาย โดยเพศหญิง 18 ราย คิดเป็น อธิบายระดับความเจ็บปวดตามมาตราวัด Visual ร้อยละ 60 เพศชาย 12 ราย คิดเป็นร้อยละ 40 Rating Scales: VRS อายุกลุ่มทดลองเฉล่ีย 59.63 ปี (SD = 6.408) 4. ทาการรักษาด้วยการพอกยาสมุนไพร สว่ นใหญ่จะอย่ใู นชว่ งอายุระหว่าง 55 – 59 ปี คิด ตารับยาประกอบด้วย หัวดองดึงผักเส้ียนผีท้ังห้า เปน็ รอ้ ยละ 40 รองลงมาอายุ 50 –54 ปี และอายุ หัวว่านน้า อย่างละ 3 บาท ไพล ใบพลับพลึง ใบ 60 – 64 ปี รอ้ ยละ 20 ดงั แสดงในตารางที่ 1 ส้มป่อย อย่างละ 2 บาท เกลือเม็ด ดินสอพอง ส่วนที่ 2 ข้อมูลระดับความรุนแรงของโรค อย่างละ 1 บาททั้งด้านหน้าและด้านหลังเข่า ข้อเข่าเส่ือมก่อนและหลังการพอกยาสมุนไพร จากน้ันนาผ้ากอ๊ ซมาพนั รอบเข่า ทง้ิ ไว้1 ชั่วโมงพอ พบว่า หลังการเข้าร่วมการพอกเข่า กลุ่มทดลองมี สมุนไพรที่พอกแห้งให้แกะผ้าก๊อซและเช็ดทา ค่าคะแนนเฉลี่ยของค่า Oxford knee score ความสะอาด เท่ากับ 30.23 (SD = 2.873) ซึ่งสูงกว่าก่อนการ Academic Journal of Community Public Health 163 Vol. 6 No. 2, April – June 2020

วารสารวชิ าการสาธารณสุขชมุ ชน ปที ่ี 6 ฉบับท่ี 2 เมษายน – มิถนุ ายน 2563 เข้าร่วมการพอกเข่าที่มีค่าคะแนนเฉล่ียของค่า ลดลง อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ (p-value) ที่ Oxford knee score เท่ากับ 25.07 (SD = 2.852) ระดบั 0.01 ดงั แสดงในตารางที่ 2 กล่าวคือ คะแนนเพิ่มสูงขึ้น ระดับความเจ็บปวด ตารางที่ 1 ขอ้ มูลส่วนบคุ คลของกลมุ่ ตวั อยา่ ง จาแนกตามเพศ และอายุ (n = 30) ขอ้ มูลส่วนบุคคล จานวน ร้อยละ เพศ ชาย 12 40 หญงิ 18 60 อายุ 50 – 54 ปี 6 20 55 – 59 ปี 12 40 60 – 64 ปี 6 20 65 – 69 ปี 3 10 70 ปขี ึน้ ไป 3 10 x=̄ 59.63, SD= 6.408, Min = 50, Max = 77 ตารางท่ี 2 ระดับความรนุ แรงของโรคขอ้ เขา่ เสอ่ื ม (n=30) ระดบั ความรุนแรงของโรคข้อเข่าเสอ่ื ม x̄ SD t p-value - 33.935 < 0.01 Oxford knee score (กอ่ น) 25.07 2.852 2.873 Oxford knee score (หลัง) 30.23 ส่วนที่ 3 ข้อมูลระดับความเจ็บปวดก่อน ซึ่งต่ากว่าก่อนการเข้าร่วมการพอกเข่าที่มีค่า และหลังการพอกยาสมุนไพร พบวา่ หลังการเข้า คะแนนเฉล่ียของระดับความเจ็บปวดเทา่ กับ 4.90 ร่วมการพอกเข่า กลุ่มทดลองมีค่าคะแนนเฉล่ีย (SD = .803) อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ (p-value) ของระดับความเจบ็ ปวดเท่ากับ 2.63 (SD = .964) ที่ระดบั 0.01 ดงั แสดงในตารางที่ 3 ตารางที่ 3 ระดบั ความเจ็บปวด (n = 30) x̄ SD t p-value ระดับความเจบ็ ปวด 4.90 .803 16.784 < 0.01 VRS (ก่อน) 2.63 .964 VRS (หลัง) 164 Vol. 6 No. 2, April – June 2020 Academic Journal of Community Public Health

วารสารวิชาการสาธารณสขุ ชมุ ชน ปที ี่ 6 ฉบับที่ 2 เมษายน – มิถนุ ายน 2563 สรปุ และอภิปรายผลการวิจยั กลุ่มตัวอย่างมีระดับคะแนนความรุนแรงของโรค ขอ้ เข่าเส่ือมเฉล่ีย 25.07 ในขณะที่หลังการทดลอง การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง โดยมี กลุ่มตัวอย่างมีระดับคะแนนความรุนแรงของโรค วัตถุประสงค์เพ่ือเปรียบเทียบประสิทธิผลของการ ข้อเขา่ เส่ือมเฉลีย่ 30.23 เมื่อนามาเปรยี บเทยี บกับ พอกยาสมุนไพร ต่อระดับความปวดของข้อเข่า คะแนนหลังการทดลองพบว่า กลุ่มตัวอย่างมี ก่อนและหลังการได้รับการรักษาด้วยวิธีการพอก ระดับคะแนนสูงกว่าก่อนการทดลอง อย่างมี เข่า กลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ในการศึกษาครั้งน้ี คือ ผู้ที่ นัยสาคัญทางสถิติ (p-value) ที่ระดับ 0.01 โดย เป็นโรคข้อเข่าเสื่อมท่ีมารับบริการท่ีคลินิกแพทย์ ระดับคะแนนความรุนแรงของโรคข้อเข่าเส่ือมจะ แผนไทย โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตาบลบ้าน แปรผกผันกับคะแนนระดับความเจ็บปวด ภูมิ อาเภอดอนตูม จังหวัดนครปฐม จานวน 30 กล่าวคือ ถ้าคะแนนระดับความรุนแรงของโรคข้อ ราย ระหวา่ งเดือนพฤศจิกายน 2561 ถึง มกราคม เข่าเสื่อมย่ิงสูงขึ้นแสดงว่าอาการปวด การทา 2562 โดยเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง กจิ วัตรประจาวัน การกา้ วขนึ้ ลงรถ ระยะเวลาการ ตามคุณสมบตั ิ ดังน้ี อายุ 50 ปขี ึ้นไป มีอาการปวด เดิน การลุกข้ึนจากเก้าอ้ี การลุกน่ัง การทางาน เข่า ไดร้ บั การวนิ ิจฉัยว่าเป็นโรคข้อเข่าเสอื่ ม ที่ไม่มี บ้าน การเดินลงบันไดทาได้ดีขึ้น และระดับความ แผนการรักษาทางศัลยกรรม ไม่มีความผิดปกติ เจ็บปวดจะลดต่าลง แสดงให้เห็นถึงประสิทธิผล เก่ียวกับการรับรู้ความรู้สึก โรคเบาหวาน มี ของการพอกยาสมุนไพรที่ประกอบไปด้วย ความสามารถในการเข้าใจภาษาไทยและสื่อสาร สมุนไพรท่ีมีฤทธ์ิต้านการอักเสบ ลดอาการปวด มี โดยภาษาพูดได้อย่างดี และยินดีให้ความร่วมมือ สว่ นช่วยลดอาการปวดเขา่ และเพิ่มการทากิจวัตร ในการวิจัยผลการวจิ ยั พบวา่ ประจาวันในผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อมให้เพ่ิมมากขึ้น 1. ภายหลังการเข้าร่วมการพอกเข่าด้วยยา ได้ สมุนไพร กลุ่มตัวอย่างมีคะแนนเฉลี่ยของค่า 2. ผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อมมีระดับคะแนน Oxford knee score สูงกว่าก่อนการเข้าร่วมการ ความปวดของข้อเข่าต่ากว่าก่อนการทดลอง พอกเข่าด้วยยาสมุนไพร อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ หลังจากผลการพอกยาสมุนไพร ผลการทดลอง (p-value) ท่ีระดับ 0.01 กล่าวคือ คะแนน พบว่ากอ่ นการทดลองกล่มุ ตัวอยา่ งมีระดับคะแนน Oxford knee score เพ่ิมสูงขึ้น ระดับคว าม ความเจ็บปวดเฉลี่ย 4.90 ในขณะท่ีหลังการ เจ็บปวดลดลง ทดลองกลุ่มตัวอย่างมีระดับคะแนนความเจ็บปวด 2. ภายหลังการเข้าร่วมการพอกเข่าด้วยยา เฉลี่ย 2.63 ซึ่งต่ากว่าก่อนการทดลอง อย่างมี สมุนไพร กลุ่มตัวอย่างมีคะแนนเฉล่ียของระดับ นัยสาคัญทางสถิติ (p-value) ที่ระดับ 0.01 ซึ่ง ความเจ็บปวดต่ากว่าก่อนการเข้าร่วมการพอกเข่า เป็นผลมาจากการพอกยาสมุนไพรมีผักเสี้ยนผีท้ัง ด้วยยาสมุนไพร อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ (p- ห้า หั ว ด อ ง ดึ ง หั ว ว่ าน น้ า แ ล ะ ไ พ ล เ ป็ น value) ที่ระดับ 0.01 ส่วนประกอบหลัก ที่มีฤทธ์ิในการลดการอักเสบ อภปิ รายผล และลดความปวดได้ สอดคล้องกับสรรพคุณ 1. ผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อมมีระดับคะแนน สมุนไพร ซึ่งผักเส้ียนผี มีฤทธ์ิแก้ปวด เป็นยาชา เฉพาะท่ี ใช้ในตารับยานวด หัวดองดึง แก้ปวด ความรุนแรงของโรคข้อเข่าเส่ือมสูงกว่าก่อนเข้า ตามข้อ แก้โรคปวดข้อ (gout) ตาผสมทายา ร่วมการทดลอง หลังจากการได้รับการพอกยา ประคบแก้ปวดข้อ แก้ปวดเมื่อยตามกล้ามเน้ือ แก้ สมุนไพร ผลการทดลอง พบว่าก่อนการทดลอง Academic Journal of Community Public Health 165 Vol. 6 No. 2, April – June 2020

วารสารวิชาการสาธารณสขุ ชมุ ชน ปที ี่ 6 ฉบบั ท่ี 2 เมษายน – มถิ ุนายน 2563 ข้ออักเสบฟกบวม หัวว่านน้า พอกแก้ปวดตามข้อ เอกสารอ้างองิ และกล้ามเน้ือ และไพลแก้ปวดเม่ือยกล้ามเนื้อ เป็นยาชาเฉพาะท่ี ถูนวดตัว แก้เคล็ดขัดยอก ฟก 1. ภทั รวณั ย์ วรธนารัตน,์ ธรี ะ วรธนารตั น,์ ชนิกา ช้าบวม ข้อเท้าแพลง โดยไพลมีฤทธิ์ต้านการ องั สนันทส์ ขุ , ชูศักด์ิ กจิ คณุ าเสถยี ร, เทพรัตน์ อักเสบ เน่ืองจากมีสาร dimethoxyphenyl กาญจนเทพศักด์ิ และพทิ วัส ลลี ะพฒั นะ. วิถี butadiene (DMPBD) ที่สามารถยับยั้งการบวม ชีวิตกบั โรคกระดูกและข้อ. กรงุ เทพฯ: จรัล ได้สูงท่ีสุดและสามารถระงับความเจ็บปวดได้ดี สนทิ วงศก์ ารพิมพ์; 2557. เทียบเท่ากับแอสไพริน และสอดคล้องกับปิยะพล พูลสุข และคณะ12 ได้ศึกษาประสิทธิผลของยา 2. สรุ เดช ดวงทพิ ยส์ ริ ิกลุ และคณะ.รายงานผล พอกสมุนไพรเพ่ือบรรเทาอาการปวดเข่าในผู้ป่วย การศึกษาเบ้ืองตน้ การสารวจสุขภาวะ โรคข้อเข่าเสื่อม แสดงให้เห็นว่าการพอกยา ผู้สูงอายไุ ทย ปี 2556 ภายใต้แผนงานส่งเสริม สมุนไพรใหผ้ ลในการรักษาและบรรเทาอาการปวด สขุ ภาพผูส้ งู อายุและผูพ้ ิการ. โครงการประเมิน เข่าสาหรับผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อมได้ ซึ่งทาให้ผล เทคโนโลยีและนโยบายดา้ นสขุ ภาพ (HITAP); การศกึ ษาเป็นไปตามสมมตฐิ านทีต่ ง้ั ไว้ 2556. ข้อเสนอแนะ 3. หน่วยเวชระเบยี น. รายงานสถิตปิ ระจาป.ี งาน 1. แพทย์แผนไทยและบุคลากรทีมสุขภาพ เวชระเบียนและสถิติ โรงพยาบาลส่งเสริม สุขภาพตาบลบ้านภมู ิ. นครปฐม; 2558. ท่ีทางานเกี่ยวข้องกับผู้ป่วยโรคข้อเข่าเส่ือม ควรมี การสนับสนุน นาเสนอและกระตุ้นให้มีการใช้ 4. Kellgren, J. H, & Lawrence, J. S. ตารับยาพอกสมุนไพรในผู้ป่วยให้เพ่ิมมากข้ึน เพ่ือ Radiological assessment of เพิ่มการใช้ยาสมุนไพร และส่งเสริมภูมิปัญญาไทย osteoarthrosis. ให้มากขึ้น เพื่อบรรเทาอาการปวดในผู้ป่วยโรคข้อ Annal Rheumatism Disease. 1957; 16: เข่าเสื่อม ซึ่งจะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถดารงชีวิตได้ 494 – 502. อยา่ งมีคุณภาพ 5. Holman, H. R., & Lorig, K. R. 2. ควรมีการจัดทากิจกรรมสาธิตการพอก Overcoming barriers to successful aging ยาสมุนไพรในผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อมข้ึน ที่คลินิก self-management of osteoarthritis. In แพทย์แผนไทยในโรงพยาบาลและโรงพยาบาล Successful aging. West Journal สง่ เสริมสุขภาพตาบลให้เพิม่ มากขนึ้ ร่วมกับการให้ Medicine. 1997; 167: 256 – 268. คาแนะนาเร่ืองการปฏิบัติตัวขณะอยู่ท่ีบ้าน และ ประสานงานกับทีมสุขภาพอื่น ๆ เพ่ือกระตุ้นให้ 6. Bellamy, N., Buchanan, W. W., เกิดการปฏบิ ตั อิ ย่างตอ่ เน่ืองและสมา่ เสมอ Goldsmith, C. H., Campbell, J., & Stitt, W. Validity study of WOMAC: A health status instrument of measuring clinically important patient relevant outcome to antirheumatic drug therapy in patient with osteoarthritis of the hip or knee. Journal of Rheumatology. 1988; 15: 1833 – 1840. 166 Vol. 6 No. 2, April – June 2020 Academic Journal of Community Public Health

วารสารวชิ าการสาธารณสุขชมุ ชน ปที ่ี 6 ฉบับที่ 2 เมษายน – มิถุนายน 2563 7. American Academy of Orthropaedic 10.Lequesne, M. Indices of severity and Surgeons. Osteoarthritis of the knee disease activity for osteoarthritis. stateof the condition [Electronic Seminarin Arthritis and Rheumatism. Version]. 1 – 25. Retrieved September 1991; 20: 48 – 54. 11, 2017, from http//aaos.org/Research/documents/O 11.Dawson J, Fitzpatrick R, Murray D Carr- Ainfo Knee-State.pdf. 2004. A. Questionnaire on the Perceptions of patient 8. แววดาว ทวชี ัย. พฤติกรรมการดแู ลตนเองและ about total knee replacement. J joint. ความรุนแรงของโรคข้อเขา่ เสื่อมในผ้สู ูงอายุ. Surg Br. 1988; 80(1): 63 – 69. พยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการ พยาบาลผสู้ งู อายุ. บัณฑติ วิทยาลยั 12.ปยิ ะพล พลสู ุข. ประสทิ ธผิ ลของยาพอกเข่า มหาวทิ ยาลัยเชียงใหม่; 2543. สมุนไพรเพ่ือบรรเทาอาการปวดเขา่ ในผู้ป่วย โรคข้อเข่าเสือ่ ม. ธรรมศาสตร์เวชสาร. 2560; 9. Kuptniratsaikul, V., & 18 (1). Rattanachaiyanont, M. Validation of a modified thai versionof the Western Ontario and McMaster (WOMAC) osteoarthritis index for knee osteoarthritis. Clinical Rheumatology. 2007; 26: 1641 – 1645. Academic Journal of Community Public Health 167 Vol. 6 No. 2, April – June 2020

วารสารวิชาการสาธารณสขุ ชมุ ชน ปีท่ี 6 ฉบับท่ี 2 เมษายน – มถิ นุ ายน 2563 Received: 24 Jan 2020, Revised: 18 Mar 2020 Accepted: 28 Mar 2020 นิพนธต์ ้นฉบับ ปจั จัยความสาเรจ็ การขับเคล่ือนการดาเนนิ งาน รพ.สต.ติดดาว เขตอาเภอเมืองพะเยา จงั หวดั พะเยา ภานุพนั ธ์ ไพฑรู ย์1,* บทคดั ยอ่ การศึกษาคร้ังนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษากระบวนการดาเนินงานและศึกษาปัจจัยท่ีส่งผลต่อ ความสาเร็จในการขบั เคลอ่ื นการดาเนนิ งานโรงพยาบาลส่งเสรมิ สุขภาพตาบลติดดาว (รพ.สต.ติดดาว) ในสังกัดสานักงานสาธารณสุขอาเภอเมือง จังหวัดพะเยา รูปแบบการวิจัยเป็นการศึกษาเชิงคุณภาพ ทาการศกึ ษาด้วยการทบทวนรวบรวมข้อมูลเอกสารการดาเนินงาน รพ.สต.ติดดาวในเขตอาเภอเมือง พะเยา ปีงบประมาณ 2560-2562 และศึกษาจากการประชุม กลุ่มตัวอย่างคือ เจ้าหน้าที่สาธารณสุข ในพ้ืนท่ีอาเภอเมือง จังหวัดพะเยา จานวน 30 คน ผลการวิจัยพบว่า ด้านการขับเคล่ือนการ ดาเนนิ งาน รพ.สต.ติดดาว มีข้นั ตอนการดาเนนิ งานโดยมกี ารจัดตั้งคณะทางาน กาหนดบทบาทหน้าท่ี การทางาน กาหนดเป้าหมายและวางแผนร่วมกันในระดับอาเภอ วิเคราะห์และประเมินผลการ ดาเนินงาน ทบทวนสาเหตุและหาแนวทางพฒั นาแนวแก้ไขปัญหาร่วมกัน ได้แก่ วิเคราะห์องค์กร วาง แผนการดาเนนิ งาน การส่ือสารองค์กร เรียนรู้ร่วมกัน สรุปผลคืนข้อมูล และนาผลการปฏบิ ัติงานท่ีได้ พัฒนาต่อเนื่อง สอดคล้องกับหลักบริหารองค์กร และการพัฒนาระบบคุณภาพอย่างต่อเน่ือง (Continuous Quality Improvement: CQI) ด้านปัจจัยความสาเร็จในการดาเนินงานพัฒนา คุณภาพ รพ.สต.ติดดาว คือ 1) กลยุทธ์ขององค์กร วิเคราะห์ผล กาหนดเป้าหมาย วางแผน และ ถ่ายทอดสู่การปฏิบัตงิ านทีม่ ีความชัดเจนเป็นหน่ึงเดยี ว 2) โครงสร้างขององค์กร มีการจัดคณะทางาน มอบหมายภารกจิ หน้าท่ีอย่างชัดเจน 3) ระบบการปฏิบัตงิ าน จดั ทาแผนปฏบิ ตั ิการ ตรวจสอบคน เงิน ของ จัดระบบส่ือสารภายในองค์กร สร้างการมีส่วนร่วมและเรียนรู้ร่วมกัน 4) บุคลากร มีความรู้ ความเข้าใจในบทบาทหน้าท่ีของตนเอง 5) ทักษะความรู้ความสามารถ บุคลากรมีความรู้ ความสามารถและทักษะในการปฏิบัติงาน 6) รูปแบบการบริหารจัดการ ผู้บริหารและผู้ปฏิบัติงาน ร่วมงานแผนการดาเนินงาน 7) ค่านิยมร่วม กาหนดเป้าหมายหนึ่งเดียวร่วมกัน คณะทางานมุ่งมั่น ทุ่มเท เสียสละ เอาใจใส่ เต็มใจและให้ความรว่ มมอื ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ผลการดาเนินงาน รพ.สต.ใน เขตอาเภอเมือง ผ่านการประเมินคุณภาพ รพ.สต.ระดับ 5 ดาว ครบทุกแห่ง ในปี 2562 เป็นอาเภอ แรกในจงั หวดั พะเยา คาสาคญั รพ.สต.ติดดาว อาเภอเมืองพะเยา ปจั จัยความสาเร็จ 1 นักวิชาการสาธารณสขุ ชานาญการสานักงานสาธารณสุขอาเภอเมอื ง จังหวัดพะเยา * Corresponding author: [email protected] 168 Vol. 6 No. 2, April – June 2020 Academic Journal of Community Public Health

วารสารวชิ าการสาธารณสขุ ชมุ ชน ปที ี่ 6 ฉบับท่ี 2 เมษายน – มถิ ุนายน 2563 Original Article Success factor driving the operation of 5 stars All Health Promoting Hospital in Maung Phayao District, Phayao Province. Panupan Paitoon1,* Abstract The purpose of this study was to study the operational process and to study the factors that affect success in the implementation of quality development of the Sub-district Health Promoting Hospital Tid Dao of Muang, Payao. This research was conducted as a qualitative research study, operated from September 2017 to September 2019. The data were collected by review data documents and lesson Learned. The sample were Director and staff of quality service system from the Sub-district Health Promoting Hospital of Muang, Payao amount 30 people. The results showed that the driving operations consisted of establishing a working group, defining individual roles, setting goals and planning, analyzing and evaluating operations, reviewing causes and finding solutions to problems with participation and continuous improvement in accordance with corporate management principles and CQI quality system development. The results of the study revealed that the factors that affect success in the implementation of quality development of the Sub-district Health Promoting Hospital Tid Dao were as follows: 1) the Corporate strategy (fixing goals, planning the operations and transferring into practice) 2) the organizational structure (functional grouping and duties assignment in a clear and pertinent way) 3) the operational system (the action plan, the organization's communication system, participate) 4) the personnel perform duties well and are evaluated for work 5) the knowledge, skills, and abilities (personnel have good knowledge, good skills and abilities workwise), (6) the good organization of a convenient format (the director and subordinate joint operational planning.), 7) The Shared values, the set one goal, the working group is dedicated, sacrificing, caring, willing and cooperating to help each other.This study was a guideline to manage and solve other public health problems. Keywords: Sub-district Health Promoting Hospital Tid Dao, Muang Payao, factors success. 1 Public Health Technical Officer, Professional Level. Meaung Phayao District Public Health Office. * Corresponding author: [email protected] Academic Journal of Community Public Health 169 Vol. 6 No. 2, April – June 2020

วารสารวิชาการสาธารณสขุ ชมุ ชน ปที ่ี 6 ฉบบั ที่ 2 เมษายน – มิถนุ ายน 2563 บทนา การบริหารจัดการซ่ึงจะทาให้เกิดการจัดการเป็น ร ะ บ บ ทั้ ง อ ง ค์ ก ร มุ่ ง เ น้ น พั ฒ น า ศั ก ย ภ า พ ก า ร การพัฒนาระบบสุขภาพของประเทศไทยมี จดั บริการ (คน เงนิ ของ) เพ่ือให้เกิดการพัฒนาขีด ความเจริญก้าวหน้ามากขึ้นกว่าเดิมสามารถขยาย ความสามารถและคุณภาพบริการสาธารณสุขของ การ เข้ าถึ งบริ กา รสุ ขภ า พโ ดย มีกา รส ร้า ง หน่วยบรกิ าร โดยมีเป้าหมายร่วมเพ่ือสุขภาวะของ โรงพยาบาลอาเภอและสถานอี นามัยครอบคลุมใน ประชาชน (District Health system: DHS) รพ. ทุกพื้นที่ทั่วประเทศปัจจุบันสถานีอนามัยได้ สต.ติดดาว จะได้รับบริการที่ได้มาตรฐานใน 5 ปรับเปล่ียนมาเป็นโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ ประเด็น (5 ดาว 5 ดี) ได้แก่ 1) การบริหารดี ตาบล (รพ.สต.) ได้มีการยกระดับการให้บริการ 2) ประสานงานดี ภาคีมีส่วนร่วม 3) บุคลากรดี เพ่ิมมากข้ึนในทุกด้านท้ังด้านการรักษาส่งเสริม 4) บริการดี และ 5) ประชาชนมีสุขภาพดีจากการ ป้องกันฟ้ืนฟูรวมถึงงานคุ้มครองผู้บริโภคทาให้ ดาเนินงานการพัฒนาคุณภาพหน่วยบริการปฐม ประชาชนได้รบั บริการสุขภาพที่จาเป็นได้ในหน่วย ภูมิ รพ.สต.ติดดาว ซ่ึงเริ่มดาเนินงาน ในปี 2560 บริการสุขภาพใกล้บ้าน 1ถึงแม้ว่ามี รพ.สต. เป้าหมายคือ รพ.สต.ท่ัวประเทศทั้งในสังกัด ครอบคลุมทุกพ้ืนที่และสามารถเข้าถึงบริการได้ กระทรวงสาธารณสุขและนอกสังกัดกระทรวง ส ะ ด ว ก ม า ก ขึ้ น แ ต่ จ า ก ส ถ า น ก า ร ณ์ ก า ร พั ฒ น า สาธารณสุข 9,806 แห่ง ซ่ึงในปี 2560-2561 มี ระบบบริการปฐมภูมิในระยะท่ีผ่านมา (ช่วงระยะ หน่วยบริการปฐมภูมิผ่านเกณฑ์ (5 ดาว) 5,089 2547 – 2558) พบว่าอัตราการใช้บริการผู้ป่วย แห่ง คิดเป็นร้อยละ 51.90 โดยเกินเป้าหมาย นอกใน รพ.สต. เพิ่มมากข้ึนสถานการณ์บุคลากร ที่ต้ังไว้ปี 2561 ผ่านเกณฑ์ ร้อยละ 25.00 และ ยังขาดแคลนเช่นวชิ าชีพแพทย์ทันตแพทย์เภสัชกร กระทรวงสาธารณสุขเล็งเห็นความสาคัญและ พยาบาลวิชาชีพและคุณภาพบริการโรคเรื้อรังยัง ประโยชน์ของโครงการนี้จึงได้ดาเนินการต่อเน่ือง ไ ม่ ดี ข้ึ น 1ก ร ะ ท ร ว ง ส า ธ า ร ณ สุ ข จึ ง ไ ด้ ก า ห น ด ในปี 2562 โดยตั้งเป้าหมาย รพ.สต. ผ่านเกณฑ์ นโยบายการพัฒนาคุณภาพหน่วยบริการสุขภาพ คุณภาพ ทั่วประเทศร้อยละ 60 (สะสมปี 60-62) ทุ ก ร ะ ดั บ โ ด ย เ ฉ พ า ะ ก า ร พั ฒ น า คุ ณ ภ า พ ใ น และ รพ.สต. ผ่านเกณฑ์คุณภาพทุกแห่งภายในปี โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตาบลโดยมีเป้าหมาย 25641 ให้ประชาชนมีสุขภาพดี เจ้าหน้าท่ีมีความสุข ระบบสุขภาพย่ังยืนอันจะนาไปสู่วิสัยทัศน์ของ อาเภอเมืองพะเยา จังหวัดพะเยา มี กระทรวงสาธารณสุขคือเป็นองค์กรหลักด้าน รพ.สต. ในพ้ืนท่ีทง้ั สิ้น 15 แห่ง การขับเคล่ือนการ สุขภาพท่ีรวมพลังสังคมเพ่ือประชาชนสุขภาพดีใน พฒั นาคุณภาพ รพ.สต.ตดิ ดาว ไดด้ าเนินการต้ังแต่ ที่สดุ 1 ปี 2560 ซึ่งผลการดาเนินงานพบวา่ ในปี 2560 มี รพ.สต.ผ่านเกณฑ์คุณภาพ จานวน 2 แห่ง กระทรวงสาธารณสุข ได้มีการพัฒนา ปี 2561 จานวน 4 แห่ง และปี 2562 จานวน เคร่ืองมือการพัฒนาคุณภาพหน่วยบริการสุขภาพ 9 แห่ง รวมผ่านเกณฑ์คุณภาพแล้วครบทุกแห่ง ใ น ร ะ ดั บ ร พ .ส ต .ข้ึ น คื อ เ ก ณ ฑ์ พั ฒ น า คุ ณ ภ า พ เป็นอาเภอแรกของจงั หวัดพะเยา ท้ังนีพ้ ้นื ทีอ่ าเภอ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตาบลติดดาว (รพ.สต. เมืองพะเยา มีลักษณะชุมชนและสังคมที่มีความ ตดิ ดาว) เพื่อพัฒนาคุณภาพของหน่วยบริการปฐม ซับซ้อน มีท้ังชุมชนเขตเมืองและเขตชนบท ภูมิในรูปแบบของเครือข่ายบริการโดยมุ่งเน้น ผสมผสานกัน ความสาเร็จของการดาเนินงาน รพ. เช่ือมโยงระบบบริการกระบวนการบริการรวมท้ัง สต.ติดดาว จึงสร้างความภาคภูมิใจแก่เจ้าหน้าที่ 170 Vol. 6 No. 2, April – June 2020 Academic Journal of Community Public Health

วารสารวิชาการสาธารณสขุ ชมุ ชน ปีที่ 6 ฉบับท่ี 2 เมษายน – มถิ ุนายน 2563 ผู้ปฏิบัติงานทุกระดับ ผู้วิจัยจึงมีความสนใจศึกษา การรวบรวมข้อมลู ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสาเร็จในการดาเนินงานโดย ผู้ วิ จั ย ไ ด้ ก า ห น ด วิ ธี ก า ร ศึ ก ษ า ต า ม การถอดบทเรียน เพ่ือเป็นแนวทางการดาเนินงาน วัตถปุ ระสงค์โดยแบ่งออกเปน็ 3 กจิ กรรม ได้แก่ และรูปแบบการดาเนินงานที่มีประโยชน์ สามารถ กิจกรรมที่ 1 ศึกษา ทบทวน รวบรวม ใช้ในการวางแผนและเป็นแนวทางในการ วิเคราะห์ข้อมูลทุติยภูมิด้านกระบว นการ พัฒนาการดาเนินงานดา้ นสาธารณสุขอน่ื ๆ ต่อไป ขับเคล่ือนการดาเนินงาน โรงพยาบาลส่งเสริม สขุ ภาพตาบลติดดาว ปี 2560 -2562 การศกึ ษาครงั้ นมี้ ีวัตถปุ ระสงค์ ดังน้ี กิจกรรมท่ี 2 จัดประชุมถอดบทเรียน 1. เพ่ือศึกษากระบวนการดาเนินงานรพ. ความสาเร็จ รวมไปถึงเง่ือนไขและกระบวนการ สต.ติดดาว ในสังกัดสานักงานสาธารณสุขอาเภอ ดาเนินงาน รพ.สต.ติดดาว ในสังกัดสานักงาน เมือง จังหวดั พะเยา สาธารณสุขอาเภอเมือง จังหวัดพะเยากลุ่ม 2. เพ่ือศึกษาปัจจัยท่ีส่งผลต่อความสาเร็จ ตัวอย่างคือผู้อานวยการโรงพยาบาลส่งเสริม ในการขับเคลื่อนการดาเนนิ งาน รพ.สต.ติดดาวใน สุขภาพตาบลและเจ้าหน้าที่ที่เก่ียวข้องจานวน 30 สังกัดสานักงานสาธารณสุขอาเภอเมือง จังหวัด คน พะเยา กิจกรรมที่ 3 สังเคราะห์ข้อมูลการถอด วธิ ดี าเนนิ การวจิ ยั บทเรียน กระบวนการดาเนินงาน และวิเคราะห์ ข้อมูลปัจจัยความสาเร็จที่นาไปสู่ โรงพยาบาล การศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาเชิงคุณภาพ ส่งเส ริมสุ ขภ า พตา บลผ่า นเก ณฑ์คุ ณภ า พ (Qualitative study) ใช้วิธีการศึกษาด้วยการ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตาบลติดดาว ของ ประชุมกลุ่มถอดบทเรียน โดยมีประชากรและกลุ่ม หน่วยบรกิ ารในเขตอาเภอเมือง จังหวดั พะเยา ตวั อย่างดังน้ี วธิ กี ารวิเคราะห์ข้อมูล 1) ประชากร คือ โรงพยาบาลส่งเสริม ก า ร ศึ ก ษ า ก ร ะ บ ว น ก า ร ด า เ นิ น ง า น สขุ ภาพตาบลในสังกัดสานักงานสาธารณสขุ อาเภอ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตาบลติดดาว ทาการ เมืองพะเยาทั้งสิ้น 15 แห่ง เจ้าหน้าทปี่ ฏบิ ตั ิงานใน วิเคราะห์ส่วนประกอบ (Component Analysis) พนื้ ท่ี 124 คน แ ล ะ ก า ร วิ เ ค ร า ะ ห์ แ บ บ อุ ป นั ย ( Analytic 2 ) ก ลุ่ ม ตั ว อ ย่ า ง คื อ ผู้ อ า น ว ย ก า ร Induction) จากการประชุมกลุ่มถอดบทเรียน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตาบล และเจ้าหน้าท่ี ข้อมูลที่นามาวิเคราะห์เป็นข้อมูลการบรรยาย ผู้รับผิดชอบงานพัฒนาคุณภาพระบบบริการใน ( Descriptive) วิ เ ค ร า ะ ห์ เ นื้ อ ห า ( Content โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตาบล ในสังกัด Analysis) และสรปุ ผล สานักงานสาธารณสุขอาเภอเมือง จังหวัดพะเยา จานวน 15 แห่ง โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ ขอ้ พจิ ารณาด้านจรยิ ธรรม ตาบลละ 2 คน จานวน 30 คน โดยทาการเลือก กา รศึ กษ าวิ จัย น้ีไ ด้รั บก าร พิจ าร ณ า ข น า ด ก ลุ่ ม ตั ว อ ย่ า ง ด้ ว ย วิ ธี แ บ บ เ จ า ะ จ ง (Purposive Sampling) จริยธรรมการวิจัยในมนุษย์กับคณะกรรมการ จ ริ ย ธ ร ร ม ก า ร วิ จั ย ใ น ม นุ ษ ย์ ข อ ง ส า นั ก ง า น สาธารณสุขจังหวัดพะเยา เลขท่ีจริยธรรมท่ี 001/2563 ลงวนั ท่ี 25 พฤศจกิ ายน 2562 Academic Journal of Community Public Health 171 Vol. 6 No. 2, April – June 2020

วารสารวิชาการสาธารณสุขชมุ ชน ปีที่ 6 ฉบับท่ี 2 เมษายน – มถิ นุ ายน 2563 ผลการวิจัย เ ลี้ ย ง ใ ห้ ค า แ น ะ น า เ บ้ื อ ง ต้ น ห ลั ง จ า ก นั้ น คณะกรรมการระดับอาเภอคัดเลือกรพ.สต. ท่ีมี 1. การดาเนินงาน รพ.สต. ติดดาวในสังกัด คะแนนตามเกณฑ์พื้นฐานรพ.สต. ติดดาว เน้น สานกั งานสาธารณสขุ อาเภอเมอื ง จงั หวดั พะเยา กลุ่ม 5 ดาว (80 คะแนนขึน้ ไป) เสนอรายชื่อพร้อม แบบประเมินให้คณะกรรมการประเมินระดับ 1 . 1 ก า ร จั ด ต้ั ง ค ณ ะ ท า ง า น จั ด ต้ั ง จังหวัด และคณะกรรมการประเมินผลระดับ คณะทางานซึ่งประกอบด้วยผบู้ รหิ าร ผูอ้ านวยการ จงั หวัด ประเมนิ ผลและพิจารณาผลการประเมนิ รพ.สต. กลุ่มสหวิชาชีพ โดยมีทีมพ่ีเลี้ยง คือ โรงพยาบาลพะเยาและสานักงานสาธารณสุข 1.4 ทบทวนสาเหตุปัญหา และแนวทาง อาเภอเมืองพะเยา กาหนดบทบาทหน้าท่ี เตรียม แก้ไข จากการตรวจเย่ียมและประเมินรับรอง ความพร้อม แก่ รพ.สต. ทุกแห่ง ให้คาแนะนา รพ.สต. ติดดาว ปี 2560-2561 ผา่ นเกณฑ์คณุ ภาพ และตดิ ตามประเมินผล รพสต.ติดดาว จานวน 6 แห่ง แต่ยังมีประเด็นที่ ต้องทวนระบบงาน ซ่ึงคณะกรรมการระดบั จงั หวัด 1.2 กาหนดเปา้ หมาย วางแผนดาเนนิ งาน ไดใ้ ห้คาแนะนาในหลายประเดน็ เช่น การมีและใช้ คณะทางานกาหนดเป้าหมายในการดาเนินงาน ข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล การประเมินผลลัพธ์ และจัดทาแผนการเป็น 3 ระยะ คอื งาน การปฏิบัติตามระบบมาตรฐานงานด้านต่างๆ และ ระบบสนับสนุนสาคัญจาก รพแม่ข่าย IC ระยะท่ี 1เป็นระยะเร่ิมต้น ดาเนินการ LAB Drug คุม้ ครองผู้บริโภคซึ่งทาให้หน่วยบริการ ในปี 2560 เป้าหมายในการดาเนินงานซึ่งเป็น หลายแห่งไม่ผ่านเกณฑ์ประเมินในรอบแรก แต่ได้ PCC จานวน 2 แห่ง เพื่อเป็น รพ.สต. นาร่อง ปรับปรุงแก้ไขและรับการประเมินซ้าในรอบท่ีสอง เฉพาะหัวข้อที่ยังไม่ผ่าน ด้วยเหตุน้ีเอง ทาง ระ ย ะ ที่ 2 ปี 2561 เ ป้ า ห ม า ย ก า ร คณะทางาน รพ.สต. ติดดาวอาเภอเมืองพะเยา จึง ดาเนินการใน รพ.สต. ที่มีความพร้อมรับการ มีแนวคิดในการพัฒนาคุณภาพระบบบริการของ ประเมินตามตัวชี้วัดกระทรวงสาธารณสุข ร้อยละ รพ.สต. แห่งอื่น ๆ เพื่อให้ผ่านเกณฑ์การประเมิน 25 จานวน 4 แห่ง โดยพบว่า ยงั มีปัญหาอุปสรรค อย่างราบร่ืน โดยได้ดาเนินการวิเคราะห์องค์กร และยังไมผ่ ่านเกณฑ์การประเมิน 2 แห่ง จงึ ทาการ ด้วยการใช้ SWOT Analysis ดงั นี้ ประเมนิ ซ้า และผ่านเกณฑ์ในระยะต่อมา วิเคราะห์จุดแข็ง (Strengths) ผู้บริหารมี ระยะที่ 3 ปี 2562 เป้าหมายการ ส่วนร่วมกาหนดนโยบายแนวทางการพัฒนางาน ดาเนินการ ร้อยละ 100 เน่ืองจากคณะกรรมการ วางแผนการดาเนินงาน นิเทศติดตาม ประเมินผล และเจา้ หน้าที่ รพ.สต. อีก 9 แห่งท่ีเหลอื ไดม้ กี าร พร้อมท้ังมีทีมพี่เล้ียงจากโรงพยาบาลแม่ข่าย ที่มี พิจารณาหลักเกณฑ์และบทเรียนของ รพ.สต. ท่ี ความรอบรู้ ความชานาญและมีประสบการณ์การ ผ่านเกณฑ์ประเมินในปีท่ีผ่านมาร่วมกัน จึง ทางานระดับสูงมาช่วยเป็นท่ีปรึกษา นอกจากน้ียัง กาหนดเป้าหมายให้ผ่านเกณฑ์พร้อมกันท้ังหมด 9 มีการวางแผนการใช้งบประมาณพร้อมทั้งมีระบบ แห่ง รวมเป็น 15 แห่ง (ยอดสะสม) ร้อยละ 100 การบันทึกข้อมูลและจัดเก็บข้อมูลทุกแห่งมีการ ในปี 2562 ให้ได้ ติดตามประเมินผลเพื่อพัฒนางานอย่างต่อเนื่องมี การคืนข้อมูลสรุปผลจากการนิเทศติดตามและ 1.3 วิเคราะห์และการประเมินผลการ ดาเนินงานหน่วยบริการ ที่จะเข้ารับการประเมิน คุณภาพ ดาเนินการประเมินตนเองตามแบบ ประเมิน รพ.สต. ติดดาว ส่งมายังสานักงาน สาธารณสุขอาเภอเมือง จังหวัดพะเยา โดยมีทีมพี่ 172 Vol. 6 No. 2, April – June 2020 Academic Journal of Community Public Health

วารสารวิชาการสาธารณสุขชมุ ชน ปีที่ 6 ฉบับท่ี 2 เมษายน – มิถนุ ายน 2563 ประเมินผล ให้กับหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องเพื่อนาไป 2562 เพ่ือเป้าหมาย รพ.สต. ติดดาวคุณภาพทุก พัฒนางานต่อไป แห่งทั้งน้ีได้มีการแก้ไข พัฒนาการดาเนินงานด้าน ตา่ ง ๆ ไดแ้ ก่ วิเคราะห์ จุดอ่อน (Weakness) รพ.สต. ติดดาวเขตอาเภอเมืองพะเยา การดาเนินการใน 1) การวางแผนการดาเนินงาน ได้มี ระยะแรก มีการส่ือสารภายในองค์กรท่ียังไม่ การจัดประชุมอบรมเตรียมความพรอ้ มและพฒั นา ชัดเจน หน่วยบริการไม่ได้ศึกษามาตรฐานการ ศักยภาพ รพ.สต. ทั้งหมด เรียนรู้และทาความ ประเมินอย่างละเอียดทาให้ไม่เข้าใจรายละเอียด เข้าใจเกณฑ์การประเมินผล พร้อมท้ังเชิญทีมงาน การประเมินบางหัวข้อ จึงทาให้ไม่ผ่านการ ระดับจังหวัดมาเป็นผู้ช้ีแจงการดาเนินงาน ทีมพ่ี ประเมินต้องมกี ารประเมินซ้าในบางหมวดขาดการ เลี้ยงระดับอาเภอตรวจเย่ียมเตรียมความพร้อม วิเคราะห์ข้อมูล และการนาข้อมูลมาใช้ในบริบท ให้กบั หน่วยบรกิ ารก่อนการประเมิน พื้นที่ของตนเองรวมท้ังปัญหาด้านสถานท่ีต้ังของ สถานบริการ และพ้ืนที่ใช้สอยภายในอาคารของ 2) การส่ือสารองค์กร จัดตั้งไลน์กลุ่ม หนว่ ยบรกิ ารบางแหง่ มจี ากัดและหนว่ ยบริการบาง สื่อสาร โดยพ่ีเลี้ยงอาเภอ เป็นผู้สรุปผลการตรวจ แห่งมีงบประมาณในการพัฒนาการดาเนินงาน ติดตามราย รพ.สต. จุดเด่น จุดด้อย ส่วนขาด คอ่ นข้างจากัดนอกจากน้ีไมไ่ ดม้ ีการเรยี นรูร้ ว่ มกนั เพ่ือให้ ผู้บริหาร/ทีมงานใน รพ.สต. อื่น ๆ ท่ีมี ลักษณะใกล้เคียงนาไปปรับปรุง พัฒนาในพ้ืนท่ี วิเคราะห์โอกาส (Opportunities) ภาคี ของตนเอง เครือขา่ ยในชุมชนมีความเข้มแข็ง ได้แก่ เครือข่าย องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน เครือข่ายชุมชน 3) สร้างการเรียนรู้ร่วมกัน หน่วย เครือข่าย อสม. เครือข่ายนักจัดการสุขภาพใน บริการ/ รพ.สต. แห่งอ่ืนเข้าร่วมสังเกตการณ์การ ครอบครัว เครือขา่ ยผ้สู ูงอายุ เป็นตน้ รวมท้ังระบบ ประเมินและการตรวจเยี่ยมของคณะกรรมการ ติดต่อส่ือสารเข้าถึงได้ง่าย เช่น ระบบออนไลน์ จังหวัดที่ตรวจประเมินใน รพ.สต. อื่นๆ ผู้ โซเซยี ลเนตเวิร์ค เปน็ ต้นนอกจากนี้ยังมีการบูรณา สังเกตการณ์สามารถนาความรู้ ข้อเสนอแนะ ไป การการดาเนินงานกับหน่วยงานอ่ืน ภาครัฐ/ ปรับปรุงแก้ไข พัฒนาส่วนขาดของตนเอง ให้ตรง เอกชน/ภาคประชาชน/อปท. ทีเ่ ก่ยี วขอ้ งอีกดว้ ย ตามาตรฐานมากที่สุด วิ เ ค ร า ะ ห์ อุ ป ส ร ร ค (Threats) ใ น 4) การสรุปการดาเนินงานและคืน ระยะแรกปี 2560-2561 เกณฑ์การประเมินมี ข้อมูล สรุปข้อเด่น ข้อด้อย นามาปรับปรุงวาง ความละเอียดค่อนข้างสูง ทาให้หลายแห่งไม่ผ่าน แผนการดาเนินงานอย่างต่อเนอื่ ง เกณฑ์ประเมิน ต่อมาปี 2562 มีการปรับเกณฑ์ ปรงุ เกณฑ์การประเมินใหม่ ให้สอดคล้องกับบรบิ ท ปี 2562 รพ.สต. ในสังกัดสานักงาน ของหน่วยบริการนอกจากนี้ยังพบว่าหน่วยบริการ สาธารณสุขอาเภอเมือง จังหวัดพะเยากาหนด บางแห่งเจ้าหน้าท่ีมีน้อย ทาให้ไม่สามารถเรียนรู้ เป้าหมายการพัฒนาคุณภาพ รพสต.ติดดาวครบ ร่วมกันได้อย่างเต็มท่ีและการไม่ยอมรับและรับฟัง ทุกแห่ง และสามารถบรรลุเป้าหมายได้ โดยผ่าน ความคดิ เห็นซ่ึงกนั และกนั เกณฑ์ระดับ 5 ดาว (80 คะแนน) ครบทุกแห่ง เป็นอาเภอแรกในจังหวัดพะเยา เม่ือวันท่ี 29 1.5 การปรับปรงุ พัฒนาและแก้ไข กนั ยายน 2562 ปัญหา เมื่อวิเคราะห์องค์กรแล้วจึงนาจุดแข็ง จุดอ่อนของการดาเนินงานมาปรับปรุงแก้ไขในปี 2. ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสาเร็จใน การขับเคลื่อนการดาเนินงาน รพ.สต. ตดิ ดาว Academic Journal of Community Public Health 173 Vol. 6 No. 2, April – June 2020

วารสารวชิ าการสาธารณสุขชมุ ชน ปที ี่ 6 ฉบบั ท่ี 2 เมษายน – มิถุนายน 2563 ปั จ จั ย ท่ี ส่ ง ผ ล ต่ อ ค ว า ม ส า เ ร็ จ ใ น ก า ร เก้ือกูลกัน อย่างเต็มกาลังความสามารถจนบรรลุ ขับเคล่ือนการดาเนินงาน รพ.สต.ติดดาว อาเภอ เป้าหมายผา่ นเกณฑ์ครบทุกแหง่ เมืองพะเยา คือ สรปุ ผลและอภิปรายผลการวจิ ัย 1) กลยุทธ์ขององค์กร มีการวิเคราะห์ผล กาหนดเป้าหมาย วางแผนการดาเนินงาน และ ด้านกระบวนการดาเนินงาน จากผล ถ่ายทอดสู่การปฏิบัติงาน ท่ีมีความชัดเจนคลอบ การศึกษาคร้ังนี้ ผู้วิจัยเห็นว่า ข้ันตอนการ คลุมทงั้ ในระดับอาเภอและตาบล ดาเนินงานต่าง ๆ ดังกล่าวมาแล้วสอดคล้องกับ การจัดโครงสร้างองค์กรซึ่งเป็นระบบการบริการ 2) โ ค ร ง ส ร้ า ง ข อ ง อ ง ค์ ก ร มี ก า ร จั ด จัดการองค์กร ซึ่งฝ่ายบริหารได้ทราบแนวทางการ คณะทางาน มอบหมายภารกิจหน้าที่ท่ีชัดเจนทุก ทางาน การกาหนดนโยบาย และการวินิจฉัยสั่ง ระดบั การนามาซ่ึงผลสาเรจ็ ในการปฏิบตั ิงาน นอกจากนี้ ผูว้ ิจยั เหน็ วา่ กระบวนการดาเนนิ งานยังสอดคล้อง 3) ระบบการปฏิบัติงาน บริหารจัดการเป็น กั บ แ น ว ท า ง CQI (Continuous Quality ระบบ ประสานความร่วมมือกับภาคีเครือข่าย Improvement) โดยมีองค์ประกอบสาคัญ คือ มี ศึกษาเกณฑ์การประเมิน กระบวนการประเมิน ขั้นตอนการดาเนินงานแบบ PDCA (Plan Do วิเคราะห์และเพ่ิมเติมส่วนขาด แลกเปล่ียนเรียนรู้ Check Act) ซึ่งแทรกอยู่ในกระบวนการทางาน วิธีดาเนินงาน ติดตามความก้าวหน้าและ การพัฒนาคุณภาพ รพ.สต.ตดิ ดาวของอาเภอเมอื ง ประเมินผลการดาเนินงานพัฒนาคุณภาพอย่าง พะเยา โดยมรี ปู แบบการทากิจกรรมทงี่ ่าย ๆ ไดแ้ ก่ ต่อเน่ือง การร่วมสังเกตการณ์ การปรับใช้ข้อมูลในพื้นที่ การวิเคราะห์ข้อมูลดว้ ย SWOT Analysis เป็นต้น 4) บุคลากร บุคลากรทุกระดับ มีความรู้ ทาให้การดาเนินงานมีความต่อเน่ืองและหน่วย ความเข้าใจในบทบาทหน้าท่ีของตนเอง และ บริการสามารถเรียนรู้ร่วมกันได้อย่างรวดเร็ว สามารถปฏบิ ัตหิ น้าที่ทร่ี ับผิดชอบได้เป็นอย่างดี สามารถผ่านเกณฑ์ประเมนิ ครบทุกแหง่ เป็นอาเภอ แรกของจังหวัดพะเยาทั้ง ๆ ท่ีเป็นพื้นที่ที่มีความ 5) ทักษะความรู้ความสามารถ บุคลากรมี ซบั ซอ้ นในการดาเนินงานค่อนขา้ งสูงสอดคล้องกับ ความรู้ความสามารถและมที ักษะในการปฏิบตั ิงาน การศึกษาของ อรมณี ภัทรทิพากร, มรรยาท รุจิ พ ร้ อ ม ทั้ ง ไ ด้ รั บ ก า ร พั ฒ น า ศั ก ย ภ า พ ต า ม ห น้ า ที่ วิชชญ์และฉัตรชัย มิ่งมาลัยรักษ์2 ท่ีพบว่า CQI ปฏบิ ัตงิ านของตนเอง ช่วยเพ่ิมระดับความพึงพอใจในงาน ส่งผลกระทบ ใ น เ ชิ ง บ ว ก ต่ อ ป ร ะ ส บ ก า ร ณ์ ก า ร เ รี ย น รู้ ข อ ง 6) รูปแบบการบริหารจัดการ ผู้บริหารทุก บุคลากรเก่ียวกับ CQI และการรับรู้ความพึงพอใจ ระดับต่างให้ความสาคัญ กับการส่งเสริมและ ในงานของบุคลากร ปัจจัยแห่งความสาเร็จของทีม พฒั นาคุณภาพ รพ.สต. ติดตาวมีการจูงใจโน้มนา้ ว พัฒนาคุณภาพ ได้แก่ การใช้เวลาและโอกาสเพ่ือ ให้บุคลากรในหน่วยงานเห็นความสาคัญและเกิด สะท้อนปัญหา,กาหนดเป้าหมายและระยะเวลา, ความมุ่งมั่น ร่วมมือในการดาเนินงาน พร้อมท้ัง แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและสนับสนุนผู้ร่วมงาน ติดตามการดาเนินงานด้วยตนเอง ทาให้เป็นการ ประโยชน์ของ CQI ได้แก่ การเพ่ิมขี้นของขวัญ กระตุ้นให้ รพ.สต. พัฒนาตนเองเพ่ิมมากข้ึน 7) คา่ นิยมร่วม บุคคลากรทุกระดับ มีความ สนใจมุ่งมั่นในการพัฒนาคุณภาพตามเกณฑ์การ ประเมนิ โดยมเี ปา้ หมายเดียวกันคอื ผ่านเกณฑ์การ ประเมนิ ในปี 2562 ทุกหนว่ ยบรกิ ารต่างทมุ่ เท เอา ใจใส่ ซือ่ สัตย์ เต็มใจและให้ความร่วมมอื ช่วยเหลือ 174 Vol. 6 No. 2, April – June 2020 Academic Journal of Community Public Health

วารสารวิชาการสาธารณสุขชมุ ชน ปีที่ 6 ฉบับท่ี 2 เมษายน – มิถนุ ายน 2563 และกาลังใจ ประสิทธิภาพงาน คุณภาพการ เ ป็ น ร ะ บ บ แ ล ะ ปั จ จั ย ด้ า น ผู้ บ ริ ห า ร ที่ ใ ห้ บรกิ าร และความพึงพอใจในงาน ความสาคัญและความใส่ใจในภารกิจ และยัง สอดคล้องกับการศึกษาของ พิสิษฐ์ ฉัตรวิวัฒนา ด้านปัจจัยความสาเร็จ ผู้วิจัยเห็นว่า ผล กุล5ที่พบว่า ปัจจัยที่สาคัญต่อความสาเร็จด้าน การศึกษาคร้ังนี้สอดคล้องกับแนวคิดการบริหาร คุณภาพคือปัจจัยด้านบริหารงาน และปัจจัยด้าน องค์กรของ Henri J. Fayol3 ทไี่ ด้สรปุ ไว้ว่า หัวใจ การวางแผนงานโดยละเอียด ของการบริหารจัดการท่ีมีคนจานวนมาก เพื่อให้ งานสาเร็จตามเป้าหมายนั้นมี5 ปัจจัย เรียกว่า 2. โครงสร้างองค์กร การจัดองค์กรที่ดีมี POCCC ได้แก่1) การวางแผน (Planning) 2) การ จั ด อ ง ค์ ก า ร ( Organizing) 3 ) ก า ร ส่ั ง ก า ร ส่วนช่วยให้เกิดความคล่องตัวในการปฏิบัติงาน ( Commanding) 4) ก า ร ป ร ะ ส า น ง า น ( Co- ผู้บริหารสามารถตัดสินใจในการบริหารจัดการได้ Ordinating)และ 5) การควบคุม (Controlling) อย่างถูกต้องและรวดเร็วสอดคล้องกับการศึกษา นอกจากนี้ยังสอดคล้องกับหลักการบริหารของ ของหทัยรัตน์ คงสืบและวไิ ลลักษณ์ เรืองรัตนตรยั 5 Fayol ด้านการแบ่งงานกันทา (Division of พบว่าปัจจัยความสาเร็จด้านโครงสร้างขององค์กร Work) ซ่ึงจะทาให้คนเกิดความชานาญเฉพาะ มาจากการจัดกลุ่มงานมอบหมายหน้าที่อย่าง อย่ า ง ( Specialization) อั น เ ป็น ห ลั กก า ร ใ ช้ ชัดเจน และสอดคล้องกับการศึกษาของ กุศลาสัย ป ร ะ โ ย ช น์ ข อ ง ค น แ ล ะ ก ลุ่ ม ค น ใ ห้ ท า ง า น เ กิ ด สรุ าอามาตย์, สงครามชัย ลีทองดี และเสฐียรพงษ์ ประโยชน์สูงสุดและสอดคล้องกับหลักการบริหาร ศิวินา6 ที่ พบว่า การมีคณะกรรมการดาเนินงานที่ ด้านอานาจหน้าท่ี (Authority) เป็นเครื่องมือที่จะ ทาให้ผู้บริหารมีสิทธิ์ที่จะสั่งให้ผู้อื่นปฏิบัติงานที่ มีบทบาทหน้าท่ีในการสนับสนุน ให้คาแนะนาใน ต้ อ ง ก า ร ไ ด้ โ ด ย จ ะ มี ค ว า ม รั บ ผิ ด ช อ บ การพัฒนารพ.สต.ติดดาว มีนโยบายที่ชัดเจน มี (Responsibility) เกิดข้นึ ตามมาดว้ ย ซง่ึ จะมีความ ช่องทางในการติดต่อท่ีเหมาะสม ถือเป็นปัจจัย สมดุลซ่ึงกันและกันนอกจากนี้ การศึกษาคร้ังน้ีได้ ส่งเสริมให้การดาเนินงานมีประสิทธิภาพมาก นาหลักการ 7s McKinsey เปนเครื่องมือท่ีนามา ยิง่ ข้นึ ใชในการบริหาร มีสวนสาคัญตอความสาเร็จของ องค กรโดยนาผลการวิเคราะห ตามหลักการมา 3. ระบบการปฏิบัติงาน การจัดระบบการ กาหนดกลยุทธ เพ่ือให เกิดประโยชน และ ทางาน ก็มีความสาคัญอย่างยิ่ง ดังการศึกษาของ ประสิทธิภาพสูงสุดต อการบริหาร องค กร กุศลาสัย สุราอามาตย์, สงครามชัย ลีทองดี และ ประกอบไปด้วย เสฐียรพงษ์ ศิวินา7พบว่า ปัจจัยแห่งความสาเร็จ ของการดาเนินงาน รพ.สต.ติดดาว คือ การมีส่วน 1. กลยุทธ์ขององค์กร ช่วยให้องค์กร ร่วมในการพัฒนา การทางานร่วมกันระหว่าง กาหนดและพัฒนาข้อได้เปรียบทางการแข่งขัน ทีมสหวิชาชีพในโรงพยาบาลแม่ข่าย และ รพ.สต. ข้ึนมาได้และเป็นแนวทางที่บุคคลภายในองค์กรรู้ การมีระบบกากับ ติดตาม ประเมินผลท่ีมี ว่าจะใช้ความพยายามไปในทิศทางใดจงึ จะประสบ ประสิทธิภาพเป็นปัจจัยส่งเสริมให้การดาเนินงาน ความสาเร็จสอดคล้องกับการศึกษาของ เฉลิมวุฒิ มีประสิทธภิ าพมากยง่ิ ข้นึ อุตโน, จาลอง โพธิ์บุญ, และ วิสาขา ภู่จินดา4ที่ พบว่าปัจจัยสาคัญท่ีส่งผลให้ อปท. มีผลการ 4. บุคลากร ทรัพยากรมนุษย์นบั เป็นปัจจัย ดาเนินงานดี คือ กระบวนการดาเนินงานท่ีชัดเจน ท่ีมีความสาคัญต่อการดาเนินงานขององค์กร องค์กรจะประสบความสาเร็จหรือไม่ส่วนหน่ึงจะ ข้ึนอยู่กับการจัดการทรัพยากรมนุษย์ สอดคล้อง กับการศึกษาของบุญทิพย์ ลิขิตพงษ์วิทย์ และ Academic Journal of Community Public Health 175 Vol. 6 No. 2, April – June 2020

วารสารวชิ าการสาธารณสขุ ชมุ ชน ปีท่ี 6 ฉบับท่ี 2 เมษายน – มถิ นุ ายน 2563 ประเสริฐ อินทร์รักษ์8ท่ีพบว่า หน่ึงในปัจจัยความ ผอู้ านวยการ รพ.สต.ท่ีให้ความสาคัญ และจูงใจให้ บุคลากรเห็นความสาคัญและร่วมดาเนินงาน เป็น เป็นเลิศในการบริหารวิทยาลัยพยาบาล สังกัด ปัจจยั หนงึ่ ท่ที าใหก้ ารดาเนนิ งานประสบความเร็จ กระทรวงสาธารณสุข คือการมุ่งเน้นบุคลากร ซ่ึง 7. ค่านิยมร่วม ค่านิยมและบรรทัดฐานที่ คล้ายกันกับแนวคิดความเป็นเลิศของ Peter & ยดึ ถือร่วมกันโดยสมาชิกขององค์กรที่ได้กลายเป็น Waterman9ที่กล่าวถึงไว้ว่าการเพ่ิมผลผลิตโดย รากฐานของระบบการบริหาร และวิธีการปฏิบัติ อ า ศั ย พ นั ก ง า น ใ ห้ ค ว า ม ส า คั ญ กั บ คุ ณ ค่ า แ ล ะ ของบุคลากรและผู้บริหารภายในองค์กรสอดคล้อง กับการศึกษาของมุทิตา วรกัลยากุล11 ท่ีพบว่า คุณภาพการบริการที่มุ่งสู่ผู้รับบริการ ส่วน ปัจจั ยด้า นค่า นิยม ร่ว ม มีคว ามสั มพัน ธ์กั บ Dubrin10ให้ความเห็นว่า การมีบุคลากรทเี่ พียงพอ ความสาเร็จในการบริหารงานของเทศบาลนคร จะทาให้มัน่ ใจว่าจะทาใหอ้ งค์การไปส่เู ปา้ หมายได้ รงั สติ จังหวัดปทุมธานี 5. ทักษะ ความรู้ ความสามารถผล ดังน้ัน ปัจจัยความสาเร็จในการดาเนินงาน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตาบลติดดาว ของ การศึกษาดังกล่าวสอดคล้องกับการศึกษาของ หน่วยบริการในสังกัดสานักงานสาธารณสุขอาเภอ หทัยรัตน์ คงสืบและวิไลลักษณ์ เรืองรัตนตรัย6 เมืองพะเยา เกิดจากระบบบริหารจัดการภายใน องค์กร ท่ีดาเนินการอย่างเป็นระบบ บุคลกรใน ที่พบว่าบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถและ องค์มีเป้าหมายในการพัฒนาร่วมกัน ประกอบกับ การดาเนินงานแบบทีมพี่เล้ียง การคืนข้อมูล การ ทั ก ษ ะ ใ น ก า ร ป ฏิ บั ติ ง า น แ ล ะ ไ ด้ รั บ ก า ร พั ฒ น า ส่ือสารภายในอยา่ งสม่าเสมอ มสี ่วนช่วยเร่งให้การ ศักยภาพตามสายงานท่ีรับผิดชอบ เป็นปัจจัย ดาเนนิ พัฒนาโรงพยาบาลสง่ เสริมสุขภาพตาบลติด ดาว ประสบความสาเร็จผ่านเกณฑ์การประเมินได้ ส า คั ญ ต่ อ ค ว า ม ส า เ ร็ จ ใ น ก า ร ด า เ นิ น ง า น เร็วมากย่งิ ขนึ้ เช่นเดียวกับการศึกษาของมุทิตาวรกัลยากุล11 ท่ี พบว่าปัจจัยด้านทักษะมีคว ามสัมพันธ์กับ กิตติกรรมประกาศ ความสาเร็จในการบริหารงานและเมื่อนามาสร้าง ขอขอบคุณหน่วยงานสถานบริการในสังกัด พีน่ ้อง ชาวสาธารณสขุ อาเภอเมืองพะเยาทกุ คน ที่ สมการพยากรณ์พบว่าปัจจัยด้านทักษะส่งผลต่อ ร่วมแรงร่วมใจ ร่วมดาเนินการจนสามารถผ่าน ความสาเรจ็ ในการบรหิ ารงานมากทสี่ ุด เกณฑ์การประเมนิ ครบทุกแห่งเป็นอาเภอแรกของ จังหวัดพะเยา และขอขอบพระคุณ ผู้เข้าร่วมการ 6. รูปแบบการบริหารจัดการผู้วิจัยเห็นว่า วิจัยทุกท่านที่ได้ให้ความร่วมมือและเสียสละเวลา เขา้ ร่วมการวจิ ยั ในคร้ังนี้ ความเป็นผู้นาขององค์กรจะมีบทบาทท่ีสาคัญต่อ ความสาเรจ็ หรอื ล้มเหลวขององค์กร ผู้นาท่ีประสบ ความสาเรจ็ จะต้องวางโครงสร้างวฒั นธรรมองคก์ ร ด้ ว ย ก า ร เ ช่ื อ ม โ ย ง ร ะ ห ว่ า ง ค ว า ม เ ป็ น เ ลิ ศ แ ล ะ พฤติกรรมทางจรรยาบรรณให้เกิดขึ้นสอดคล้อง กับการศึกษาของ เฉลิมวุฒิ อตุ โน, จาลอง โพธิบ์ ุญ , และ วสิ าขา ภูจ่ นิ ดา4 ท่ีพบวา่ ปัจจยั สาคัญทส่ี ่งผล ให้ อปท. มีผลการดาเนินงานดี คือ ปัจจัยด้าน ผู้ บ ริ ห า ร ท่ี ใ ห้ ค ว า ม ส า คั ญ กั บ ก า ร ป ฏิ บั ต ง า น สอดคล้องกับการศึกษาของ บุญทิพย์ ลิขิตพงษ์ วิทย์ และประเสริฐ อินทร์รักษ์8 ที่พบว่าหน่ึงใน ปัจจัยความเป็นเลิศในการบริหารคือ ภาวะผู้นา ของผู้บริหาร สอดคล้องกับหทัยรัตน์ คงสืบและ วิไลลั กษณ์ เรือง รัตน ตรัย 6 ท่ี พบว่า การ ที่ 176 Vol. 6 No. 2, April – June 2020 Academic Journal of Community Public Health

วารสารวิชาการสาธารณสขุ ชมุ ชน ปีท่ี 6 ฉบบั ท่ี 2 เมษายน – มถิ ุนายน 2563 เอกสารอ้างองิ หอ้ งปฏิบตั กิ ารดา้ นการแพทย์และสาธารณสขุ ตามเกณฑม์ าตรฐานโรงพยาบาลส่งเสริมสขุ ภาพ 1. กองยุทธศาสตร์และแผน.แผนยทุ ธศาสตร์ชาติ ตาบลตดิ ดาว ในเครือขา่ ยบริการปฐมภูมิ ระยะ 20 ปีด้านสาธารณสขุ และแผนปฏบิ ตั ิการ อาเภอจตรุ พกั ตรพมิ าน จงั หวัดรอ้ ยเอ็ด. คารบั รองการปฏบิ ตั ิราชการ ปี 2561: วารสารโรงพยาบาลมหาสารคาม. 16(1): 63- กระทรวงสาธารณสขุ , 2560. 69; มกราคม – เมษายน2562. 8.บญุ ทิพย์ ลิขติ พงษว์ ทิ ย์ และประเสรฐิ อินทร์ 2. อรมณี ภทั รทิพากร, มรรยาท รจุ วิ ชิ ชญ์และ รักษ.์ ปัจจยั ความเป็นเลิศในการบรหิ ารวิทยาลยั ฉตั รชยั ม่งิ มาลัยรกั ษ์. “ผลของ CQI ตอ่ ความ พยาบาล สงั กดั กระทรวงสาธารณสุข. วารสาร พึงพอใจในงานของบุคลากรในงานพฒั นา เครือข่ายวทิ ยาลยั พยาบาลและการสาธารณสขุ คณุ ภาพการบรกิ ารโรงพยาบาลธรรมศาสตร์ ภาคใต้. 4(1): 117-134; มกราคม - เมษายน เฉลมิ พระเกียรติ”,TUH Journal online. 1(1): 2560. 42-52 ; มกราคม - เมษายน 2559. 9. Peters, T., and Waterman Jr., R..Insearch of Excellence.New york: Harper Collins 3. Henri J. Fayol.แนวคดิ และทฤษฎกี ารจัดการ. Publisher; 1982. สืบค้นจาก 10.Dubrin, A. J.. Essential of Management. http://adisony.blogspot.com/2012/10/h (9th ed). New York: South-Western enri-fayol.html. เม่ือวนั ที่ 15 ธันวาคม 2562 CollegePublishing; 2012. 11.มุทติ า วรกลั ยากุล. ความสาเรจ็ ในการ 4.เฉลมิ วุฒิ อุตโน, จาลอง โพธบิ์ ุญ, และ วสิ าขา ภู่ บรหิ ารงานของเทศบาลนครรังสติ จงั หวดั จินดา. ประสิทธิภาพการบริหารจดั การงาน ปทมุ ธานี. วารสารวทิ ยบริการ. 24(1) : 144 – สาธารณสุขมูลฐานขององคก์ รปกครองสว่ น 158; มกราคม-มนี าคม 2556. ทอ้ งถนิ่ ในประเทศไทย. วารสารรม่ พฤกษ์ มหาวิทยาลัยเกริก. 33 (3): 9-30; กนั ยายน – ธนั วาคม 2558. 5. พิสษิ ฐ์ ฉตั รววิ ัฒนากุล. การศึกษาปัจจยั ความสาเร็จการดาเนินงานโครงการยา้ ยกองพัน สรรพาวุธซอ่ มบารงุ เขตหลังของกองพนั ทหาร ช่างเคร่อื งมอื พเิ ศษปีงบประมาณ 2555 – 2559. หลักสตู รรฐั ศาสตรมหาบัณฑติ คณะ รฐั ศาสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์; 2558. 6.หทัยรตั น์ คงสืบและวไิ ลลักษณ์ เรอื งรัตนตรยั . ปจั จยั ความสาเรจ็ ในการดาเนินงานพัฒนา คุณภาพโรงพยาบาลสง่ เสริมสุขภาพตาบลติด ดาว. วารสารวจิ ัยและพฒั นาดา้ นสขุ ภาพ สานกั งานสาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา, 5(1): 72-84; มกราคม - มิถนุ ายน 2562. 7.กศุ ลาสัย สุราอามาตย์, สงครามชยั ลที องดี และ เสฐียรพงษ์ ศิวินา. รปู แบบการพฒั นาคณุ ภาพ Academic Journal of Community Public Health 177 Vol. 6 No. 2, April – June 2020

วารสารวชิ าการสาธารณสขุ ชมุ ชน ปที ่ี 6 ฉบบั ท่ี 2 เมษายน – มถิ ุนายน 2563 Received: 26 Sep 2019, Revised: 20 Dec 2019 Accepted: 3 Feb 2020 นพิ นธ์ต้นฉบบั ความสัมพันธ์ระหวา่ งบรรยากาศองค์กรกบั คุณภาพชีวิตการทางานของพยาบาลวิชาชีพ โรงพยาบาลพระปกเกลา้ ศิวฉตั ร์ ศิรสทิ ธน์ิ ฤวัต1,* พาณี สตี กะลิน2 พรทพิ ย์ กรี ะพงษ์2 บทคดั ย่อ การวิจัยเชิงพรรณนาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ปัจจัยส่วนบุคคลของพยาบาลวิชาชีพ โรงพยาบาลพระปกเกล้า 2) ระดับบรรยากาศองค์กรของโรงพยาบาลพระปกเกล้า 3) ระดับคุณภาพชีวิตการ ทางานของพยาบาลวชิ าชพี โรงพยาบาลพระปกเกล้า และ 4) ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยสว่ นบุคคลบรรยากาศ องค์กรกับ คุณภาพชีวิตการทางานของพยาบาลวชิ าชีพโรงพยาบาลพระปกเกล้า ประชากรคือพยาบาลวิชาชีพ โรงพยาบาลพระปกเกลา้ จานวน 537 คน กล่มุ ตวั อยา่ งได้โดยการสมุ่ แบ่งชั้นภมู ติ ามสัดส่วนไดจ้ านวน 277 คน เครื่องมือ ประกอบด้วย แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล บรรยากาศองค์กร และคุณภาพชวี ิตการทางาน สถิติที่ ใช้คือ ร้อยละ ค่าพิสัย ค่าเฉล่ีย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและถดถอยพหูคูณแบบขั้นตอน ผลการวิจัยพบว่า 1) พยาบาลวิชาชีพส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง มีอายุเฉลี่ย 42 ปี สถานภาพ โสด สาเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี ปฏิบัติงานท่ีหอผู้ป่วยใน ระยะเวลาที่ปฏิบัติงานระหว่าง 10-18ปี เป็นข้าราชการ รายได้ 20,001-30,000 บาท/เดือน 2) บรรยากาศองค์กรในภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง สาหรับรายด้านโดยเฉพาะด้านการเปิด โอกาสให้เรียนรู้โดยการทดลองอยู่ในระดับปานกลาง ส่วนด้านอื่น ๆ อยู่ในระดับสูง 3) ภาพรวมคุณภาพชีวิต การทางาน อย่ใู นระดับสูง ยกเวน้ ด้านการมสี ุขภาพดี มีใฝร่ ดู้ ี ด้านการบริหารการใช้เงินเปน็ และการมีสงั คมดี ที่ อยู่ในระดับปานกลาง 4) ปัจจัยบรรยากาศองค์กรด้านการทางานเป็นทีม ความรับผิดชอบในงาน การเปิด โอกาสให้เรียนรู้โดยการทดลอง และระยะเวลาที่ปฏิบัติงาน ที่มีความสัมพันธ์และมีอิทธิพลต่อคุณภาพชีวิต พยาบาลวิชาชีพ ระยะเวลาในการทางานถึงมีความม่นั คงในงานมคี วามพัฒนาการทางด้านตาแหนง่ หน้าที่ โดย มีปัจจัยท่ีมผี ลต่อคุณภาพชวี ิตเรียงตามข้อมลู ท่ีได้คือ การทางานเป็นทมี ความรับผิดชอบในงาน การเปิดโอกาส ให้เรียนรู้โดยการทดลอง ระยะเวลาท่ีปฏิบัติงานในโรงพยาบาลพระปกเกล้า ข้อเสนอแนะ การศึกษาเร่ือง คุณภาพชีวิตในการทางานในประเทศไทย โดยเฉพาะในหน่วยงานภาครัฐยังอยู่ในวงจากัด ในการศึกษาครั้งนี้ เพ่ือมุ่งเน้นในด้านความสมดุลระหว่างชีวิตและการทางานใน 3 ประการ คือ 1.ความพึงพอใจของผู้ปฏิบัติงาน ต่อสภาพแวดล้อม ระบบและบรรยากาศในการทางาน 2. สวัสดิการและส่ิงอานวยความสะดวกเพ่ิมเติมให้ เหมาะแกค่ วามตอ้ งการของแต่ละหนว่ ยงาน 3. ความสัมพันธ์อนั ดรี ะหว่างบคุ ลากรในทมี การทางานและองคก์ ร คาสาคญั บรรยากาศองค์กร คุณภาพชวี ติ การทางาน พยาบาลวชิ าชีพโรงพยาบาลพระปกเกลา้ 1 พยาบาลวชิ าชีพชานาญการ โรงพยาบาลพระปกเกลา้ จนั ทบุรี 2 รองศาสตราจารย์ สาขาวิชาวทิ ยาศาสตร์สขุ ภาพ มหาวิทยาลยั สโุ ขทยั ธรรมาธริ าช * Corresponding author: [email protected] 178 Vol. 6 No. 2, April – June 2020 Academic Journal of Community Public Health

วารสารวชิ าการสาธารณสุขชมุ ชน ปที ี่ 6 ฉบับที่ 2 เมษายน – มถิ นุ ายน 2563 Original Article The Relationship between Organization Climate and the Registered Nurses’ Quality of Work Life at Prapokklao Hospital Siwachat Sirasitnaruewat1,*, Panee Sitakalin2, Phonthip Geerapong3 Abstract The objectives of this descriptive research were to study: (1) personal factors of registered nurses; (2) the levels of organizational climate; (3) the level of registered nurses’ quality of work life; and (4) the relationship between personal factors, organizational climate and registered nurses’ quality of work life, at Prapokklao Hospital. The population was 537 registered nurses, the stratified random sampling was used to select 277 register nurses, at Prapokklao hospital. The administrated questionnaires were used to collect the data. Percentage, mean, standard deviation, and stepwise multiple regression were analyzed data. This study found that: (1) Most of respondents were female, 42 years old on average, single, and graduated in bachelor; work at the in- patient units, have 10 to 18 yeas work experiences, and average salary of 20,001-30,000 baht per month; (2) The overall organizational climate was at a moderate level, especially the part of give a change of learning was at the moderate level other parts were at the high level; (3) The overall of registered nurse’ quality of work life was at a high level, except the part of good health, good knowledge, money management and having a good society were at moderate level; and (4) Factors of organizational climate include teamwork, job responsibilities, opportunity for learning by experiment and work experiences related and influenced to the registered nurse’ quality of work life at Prapokklao hospital Keywords: Organizational climate, Quality of work life, Registered nurse, Prapokklao Hospital. 1 Professional Nursing Nurse, Prapokklao Hospital 2 Association Professor, School of Health Science, Sukhothai Thammathirat Open University * Corresponding author: [email protected] Academic Journal of Community Public Health 179 Vol. 6 No. 2, April – June 2020

วารสารวชิ าการสาธารณสุขชมุ ชน ปที ่ี 6 ฉบับท่ี 2 เมษายน – มถิ ุนายน 2563 บทนา และโรงพยาบาลท่ัวไป 95 แห่ง ในระหว่าง พ.ศ. 2548-2553 มีอัตราการลาออกร้อยละ 40.84 การทางานร่วมกันในองค์กร การบริหาร โดยเป็นการลาออกภายในปีแรกของการทางาน จาเป็นต้อง บริหารท้ังเจ้าหน้าท่ี งบประมาณ ร้อยละ 48.68 และลาออกภายในปีท่ี 2 ร้อยละ อุปกรณ์ เคร่ืองมือต่าง ๆ หลักการบริหาร ขวัญ 25.573 พยาบาลวิชาชีพที่ลาออกจากงานส่วน กาลังใจในการทางานและเวลาในการปฏิบัติงาน ใหญม่ ีอายุในชว่ ง 30-34 ปี ยา้ ยงานภายในวิชาชีพ ผู้บริหารต้องมีแนวทางในการนาปัจจัยเหล่าน้ี ร้อยละ 86.29 ศึกษาต่อร้อยละ 3.36 และออก มาร่วมเป็นแนวทางในการบริหารให้เหมาะสม จากวิชาชีพพยาบาลร้อยละ 2.604 จากการ บ ร ร ลุ ต า ม เป้ า ป ร ะ ส ง ค์ แ ล ะ มี คุ ณ ภ า พ ทบทวนวรรณ กรรมของสมสมัย สุธีรศานต์ ในขณะเดียวกันต้องสามารถทาให้บุคคลมคี วามพึง (2550)5 พบว่าปัจจัยท่ีมีอิทธิผลต่อการลาออก พอใจในการทางานและเกิดความกระตือรือร้น โอนย้ายของพยาบาลคือ ปัจจัยส่วนบุคคลด้าน พร้อมที่จะมุ่งมั่นทจ่ี ะทางานให้บรรลเุ ป้าหมายของ สถานภาพสมรส พยาบาลมีความเสี่ยงต่อการถูก องค์กร ดังนั้นในการพัฒนาระบบบริการสุขภาพ ร้องเรียนมากขึ้น ต้องการปฏิบัติงานด้วยการ จาเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเสริมสร้างคนให้มีคุณภาพ ตัดสินใจของตนเอง ซึ่งหากผู้บริหารสามารถ ชีวิตที่ดี รวมทั้งการสร้างขวัญกาลังใจให้แก่ พัฒนาบรรยากาศในองค์กรให้ดีขึ้นจะทาให้เกิด บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสขุ 1 พยาบาล ความสุข มีขวัญ กาลังใจ และแรงจูงใจ นาไปสู่ วิชาชีพเป็นกาลังคนท่ีมีสัดส่วนมากที่สุดในสถาน การพัฒนางานตามเป้าหมายขององคก์ รน่นั เอง ใน บริการสุขภาพและมีผลกระทบต่อการบริการ การปฏิบัติงานของทีมพยาบาลนอกจากจะใช้ โดยตรง ด้วยลักษณะงานที่ต้องใกล้ชิดกับผู้ป่วย ความรู้ความสามารถแล้ว ยังเกี่ยวข้องกับ โดยตรงและตลอดระยะเวลาในการรักษา เป็นผู้ สภาพแวดล้อมขององค์กร ซึ้งบรรยากาศองค์กร ประสานงานกระบวนการรักษากับสหวิชาชีพ เป็นปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมขององค์กรอย่าง ต่ า ง ๆ ต้ อ ง ใช้ ค ว า ม รู้ แ ล ะ ทั ก ษ ะ วิ ช า ชี พ หน่ึงที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของทีมพยาบาลและ ความสามารถตามมาตรฐานการพยาบาล ใช้ความ เป็ น อ งค์ ป ร ะ ก อ บ ที่ ส า คั ญ ใน ก า ร ท า งา น ซึ่ งต่ อ อดทนอดกล้ัน ถูกกาหนดให้ผลลัพธ์ของงาน คุณภาพของงานและคุณภาพชีวิตการทางานของ บ ริ ก า ร ต้ อ ง ส อ ด ค ล้ อ ง กั บ ค ว า ม ต้ อ ง ก า ร ข อ ง พยาบาลวิชาชีพโรงพยาบาลพระปกเกล้า ผู้วิจัยมี ผู้รับบริการ ตอบสนองความคาดหวัง ความพึง ประสบการณ์การทางานมา 21 ปี จึงมีสนใจท่ีจะ พอใจของประชาชน สังคม และเป้าหมายวิชาชีพ ศึกษาบรรยากาศองคก์ รท่ีมีผลตอ่ คุณภาพชีวิตการ การพยาบาล2 ท างาน ข อ งพ ย าบ าล วิช าชี พ โรงพ ย าบ าล พระปกเกล้า จากอตั ราการลาออกของพยาบาลใน จากการศึกษาพบว่า พยาบาลวิชาชีพเป็น พ.ศ. 2560-2561 มีพยาบาลลาออกจานวน 97 กลุ่มที่มีอัตราการลาออก หรือการย้ายงาน คนและมีรายงานว่ามีการเขียนขอย้ายหน่วยงาน ค่อนข้างสูงเม่ือเปรียบเทียบกับวิชาชีพอ่ืน โดย พยาบาลวชิ าชีพท่ีเป็นลกู จ้างของโรงพยาบาลศูนย์ 180 Vol. 6 No. 2, April – June 2020 Academic Journal of Community Public Health

วารสารวิชาการสาธารณสขุ ชมุ ชน ปที ่ี 6 ฉบับที่ 2 เมษายน – มถิ นุ ายน 2563 กันตลอดทุกปี จานวนปีละ 50 คน6ุ ทาให้มีความ ประชากรและกลุ่มตัวอยา่ ง สนใจในการทาวิจัยเก่ียวกับคุณภาพชีวิตพยาบาล ป ระชากร ได้แก่ พ ยาบ าลวิช าชีพ ท่ี ในโรงพยาบาล การศึกษาตัวแปรพยากรณ์ได้แก่ ปฏิบัติงาน 6 แผนกของโรงพยาบาลพระปกเกล้า ปัจจัยส่วนบุคคล บรรยากาศองค์กร คุณภาพชีวิต ได้แก่ งานผู้ป่วยนอก งานอุบัติเหตุและฉุกเฉิน การทางาน และบรรยากาศองค์กรที่ส่งผลต่อ งานผู้ป่วยสามัญ หอผู้ป่วยพิเศษ งานห้องผ่าตัด คุณภาพชีวิตการทางานของพยาบาลวิชาชีพ และพักฟ้ืน และกลุ่มภารกิจกลุ่มการพยาบาล โรงพยาบาลพระปกเกล้า เพื่อที่จะเป็นแนวทางให้ พยาบาลวิชาชีพในโรงพยาบาลพระปกเกล้ารวม ผู้บริหารองค์กรได้นาไปพัฒนาและสามารถนามา ท้ังสิน้ มีขนาดจานวน 537 คน ปรับปรุงบรรยากาศองค์กรเพื่อเสริมสร้างคุณภาพ กลมุ่ ตัวอยา่ ง ได้จากการคานวณขนาดกลุ่ม ชวี ิตการทางานของบุคลากรในองคก์ ร ซ่ึงจะส่งผล ตัวอยา่ งโดยวิธใี ช้สูตรคานวณสาหรับการวิเคราะห์ ต่อคณุ ภาพชีวิตของประชาชนตอ่ ไป การถดถอยพหุ เพ่ือทดสอบสมมติฐานของ วตั ถุประสงค์การวจิ ัย Cohen (1988)7 สตู รทีใ่ ช้ 1. เพื่อศึกษาปัจจัยส่วนบุคคลของพยาบาล n=ƛ(1-������2) ������2 วชิ าชีพโรงพยาบาลพระปกเกลา้ 2. เพ่ือศึกษาระดับบรรยากาศองค์กรของ เม่ือ ������2คือ ค่าสัมประสทิ ธิ์การถดถอยจาก พยาบาลวชิ าชพี โรงพยาบาลพระปกเกลา้ การทดลองใช้เครื่องมือ ได้ค่า ������2= 0.13 จึง กาหนดให้ Effect size มีขนาดปานกลางเท่ากับ 3. เพ่ือศึกษาระดับคุณภาพชีวิตการทางาน 0.13 ของพยาบาลวชิ าชพี โรงพยาบาลพระปกเกลา้ ƛ คือ ค่าความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร 4. เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ปัจจยั ส่วนบุคคล อิสระและอานาจการทดสอบ โดยค่าท่ีปรากฏใน บรรยากาศองคก์ ร กบั คณุ ภาพชวี ิตการทางานของ ตารางของ Cohen ประกอบด้วยค่า u มี 22 ค่า พยาบาลวิชาชพี โรงพยาบาลพระปกเกลา้ วิธดี าเนนิ การวิจยั ค่า v มีค่า ได้แก่ 20,60,120,∞ และค่า Power of test =0.90 การวิจัยเป็นแบบพรรณนา (Descriptive Research) มีวัตถุประสงค์การวิจัยเพ่ือศึกษา V = 120 ซึ่งเป็นค่าที่จะทาให้ได้ขนาด ปัจจัยส่วนบุคคล ระดับบรรยากาศองค์กร ตวั อยา่ งท่ีเพียงพอทีส่ ดุ คุณภาพชีวิตการทางาน และศึกษาความสัมพันธ์ ระหว่างปัจจัยส่วนบุคคลบรรยากาศองค์กรกับ U = จานวนตัวแปรอสิ ระที่ต้องการทดสอบ คุ ณ ภ า พ ชี วิ ต ก า ร ท า ง า น ข อ ง พ ย า บ า ล วิ ช า ชี พ เท่ากับ 22 ตวั โรงพยาบาลพระปกเกลา้ จากการเปิดตารางของโคเฮนจะได้ค่า ƛ = 29.58 แทนค่าสตู ร n = 29.58(1- 0.13) = 198 0.13 181 Academic Journal of Community Public Health Vol. 6 No. 2, April – June 2020

วารสารวิชาการสาธารณสุขชมุ ชน ปที ี่ 6 ฉบับท่ี 2 เมษายน – มิถนุ ายน 2563 ซึ่งความสาคญั ของขนาดตวั อยา่ งที่ใช้ศึกษา การวิเคราะหข์ ้อมลู ตวั แบบถดถอยพหนุ ้ัน จรณิต แก้วกังวานและประ ข้อมูลส่วนบุคคล ด้านลักษณะประชากร ตาป สิงหศิวานนท์ (2554)8 ให้คาแนะนาว่าอย่าง และด้านลักษณะหน้าที่การปฏิบัติงานของกลุ่ม น้อยควรมีขนาดตัวอย่าง 10-20 ตัวอย่างต่อตัว ตัวอย่างโดยการแจกแจงความถ่ี ร้อยละ ค่าเฉล่ีย แปรอิสระ 1 ตัว การศึกษาคร้ังน้ีมีตัวแปรอิสระ และส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐาน ทั้งหมด 22 ตัว จึงควรมีขนาดตัวอย่าง อย่างน้อย คะแนนบรรยากาศองค์กรและคุณภาพชีวิต 220 คน และผู้วิจัยได้เพ่ิมกลุ่มตัวอย่างอีกร้อยละ การทางาน โดยรวมและรายด้าน โดยคานวณ 40 เนื่องจากคาดว่าจะได้รับแบบสอบถามคืน คา่ เฉล่ยี และสว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐาน ประมาณร้อย 80.00 ได้จานวนกลุ่มตัวอย่าง ปัจจัยท่ีสามารถร่วมทานายและหาตัวแบบ ทงั้ หมด 277 คน ท่ีดีที่สุดในการทานายบรรยากาศองค์กรท่ีส่งผล ต่อคุณภาพชีวิต โดยใช้สถิติการถดถอยพหุคูณแต่ เคร่ืองมือท่ีใช้ในการวิจัย ใช้แบบสอบถาม ละข้ันตอนแบบขั้นตอน (Multiple stepwise (Questionnaires) ซ่ึงสร้างขึ้นตามวัตถุประสงค์ Regression Analysis) และกรอบแนวคิดการวจิ ัยท่กี าหนด ผลการวิจยั การหาคุณภาพเคร่ืองมือ โดยการหาความ ต รงต าม เนื้ อ ห า (Content Validity) โด ย ใช้ ปัจจัยส่วนบคุ คล พบวา่ พยาบาลวชิ าชีพใน ผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน มี IOC > 0.50 และการหา โรงพยาบาลพระปกเกล้าที่ทาการศึกษาในครั้งนี้ ความเท่ียงแบบสอบถาม (Validity) โดยไปทดลอง ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 96.40 อายุของ ใช้ (Try out) กับพยาบาลวิชาชีพโรงพยาบาล กลุ่มพยาบาลวิชาชีพท่ีตอบแบบสอบถาม มีอายุ ตราด จานวน 30 คน เพื่อทดสอบความเข้าใจใน ช่วง 31- 37 ปี ร้อยละ 45.84 ไม่มีโรคประจาตัว เนื้อหาและความบกพร่องของแบบสอบถามใหต้ รง ร้อยละ 75.10 สถานภาพสมรสโสด ร้อยละ กับวตั ถุประสงค์ของแบบสอบถามแต่ละข้อ นาผล 47.70 การศึกษาอยู่ในระดับปริญญาตรี ร้อยละ ที่ได้มาวิเคราะห์หาความเช่ือมั่นของเคร่ืองมือด้วย 94.90 การปฏิบัติงานในหอผู้ป่วยใน ร้อยละ การห าค่าสั ม ป ระสิท ธิแอ ลฟ าต าม วิธีขอ ง 84.50 ระยะเวลาท่ีปฏิบัติงานอยู่ในช่วง 1-18 ปี ครอนบาค (Cronbach’s Alpha coefficient) ได้ ร้อยละ 52.30 สภาพการจ้างงานเป็นข้าราชการ ค่าความเช่ือมั่นของ บรรยากาศองค์กรเท่ากับ ร้อยละ 79.80 รายได้อยู่ในช่วง 20,001-30,000 0.80 และคุณภาพชีวิตการทางานเท่ากับ 0.92 บาทต่อเดอื น ร้อยละ 34.70 แสดงดังตารางที่ 1 เม่ือตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือเสร็จส้ินแล้ว จงึ นาแบบสอบถามไปใช้กับกลมุ่ ตวั อย่างทศี่ ึกษา 182 Vol. 6 No. 2, April – June 2020 Academic Journal of Community Public Health

วารสารวชิ าการสาธารณสขุ ชมุ ชน ปีที่ 6 ฉบบั ท่ี 2 เมษายน – มิถนุ ายน 2563 ตารางท่ี 1 จานวนและร้อยละของปัจจัยส่วนบุคคล (n = 277) ปัจจัยส่วนบคุ คล จานวน (คน) รอ้ ยละ เพศ 3.60 96.40 ชาย 10 33.20 หญิง 267 45.84 20.93 อายุ 94.90 24 – 30 ปี 92 05.10 31 – 37 ปี 127 47.70 47.30 38 – 60 ปี 58 02.09 02.20 ������̅= 36.66 ป,ี SD = 0.47 ปี, Min. = 24 ปี 52.30 ระดับการศกึ ษา 47.30 ปรญิ ญาตรี 263 84.50 7.20 ปริญญาโท 14 7.20 1.10 สถานภาพสมรส 79.80 โสด 132 10.80 9.00 คู่ 131 0.40 หยา่ /แยก 8 หมา้ ย 6 ระยะเวลาทปี่ ฏิบตั ิงาน 1 – 18 ปี 145 19 – 36 ปี 131 ������̅ = 14.76, SD = 0.50, Min. = 1 ปี, Max= 36 ปี หน่วยงานทีป่ ฏิบตั ิ หอผู้ปว่ ยใน 235 หอ้ งตรวจผ้ปู ว่ ยนอก 20 ห้องผ่าตดั และห้องคลอด 20 กลุ่มภารกจิ 3 สภาพการจ้างงาน ข้าราชการ 221 ลูกจา้ ง 30 พนกั งานกระทรวงสาธารณสขุ 25 พนกั งานราชการ 1 Academic Journal of Community Public Health 183 Vol. 6 No. 2, April – June 2020

วารสารวิชาการสาธารณสุขชมุ ชน ปที ี่ 6 ฉบับที่ 2 เมษายน – มิถุนายน 2563 ปจั จัยส่วนบคุ คล จานวน (คน) รอ้ ยละ ระดบั รายได้ 11 4.00 10,001 – 20,000 บาท/เดือน 96 34.70 20,001 – 30,000บาท/เดือน 67 24.20 30,001 – 40,000บาท/เดือน 60 21.70 40,000 – 50,000บาท/เดือน 43 15.50 >50,000 บาท/เดอื น 208 75.10 โรคประจาตวั 69 24.90 ไมม่ ี มี ระดับบรรยากาศองค์กรของโรงพยาบาล ระดับสูง (������̅ = 3.00 SD = 0.54) โดยพบว่าด้าน พระปกเกล้า ภาพรวมบรรยากาศองค์กรของ โรงพยาบาลพระปกเกล้า พบว่าอยู่ในระดับปาน ค ร อ บ ค รั ว ที่ ดี มี ค่ าเฉ ล่ี ย สู งสุ ด (���̅��� =3.28) รองลงมา คือด้านคุณธรรม ด้านน้าใจงาม ด้าน กลาง (���̅��� = 2.95, SD = 0.48) แสดงดังตารางที่ ผ่อนคลาย ด้านมีความรู้ดี ด้านบริหารใช้เงินเป็น 2 ด้านมีสังคมดี และพบว่าด้านการมีสุขภาพดีมี ค่ า เฉ ลี่ ย ต่ า สุ ด เท่ า กั บ 2.7 ดั ง ต า ร า งที่ 3 ภ า พ รว ม คุ ณ ภ า พ ชี วิ ต ก า รท า งา น ข อ ง พยาบาลวิชาชีพโรงพยาบาลพระปกเกล้า อยู่ใน ตารางท่ี 2 คา่ เฉลีย่ ส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐานชองคะแนนบรรยากาศองค์กรของโรงพยาบาลพระปกเกล้า รายด้านและในภาพรวม (n=277) บรรยากาศองคก์ ร ���̅��� SD ระดบั บรรยากาศ ความชัดเจนของเปา้ หมายและนโยบาย 3.00 0.60 สงู ข้อตกลงเพื่อม่งุ สู่ความสาเร็จ โครงสร้างองค์กร 3.00 0.44 สงู การปฏบิ ตั ิงานตามกฎระเบียบ การยกย่องชมเชยและให้รางวลั 3.00 0.44 สงู ความรับผิดชอบในงาน การเปิดโอกาสใหเ้ รียนรโู้ ดยการทดลอง 3.00 0.47 สูง การทางานเป็นทมี การสนบั สนนุ ในการปฏิบตั ิงาน 3.00 0.46 สงู ความจงรกั ภักดีในองคก์ ร ความอบอุ่นในการปฏิบัตงิ าน 3.00 0.40 สงู โดยรวม 2.50 0.51 ปานกลาง 3.00 0.51 สูง 3.00 0.54 สูง 3.00 0.49 สูง 3.00 0.46 สูง 2.95 0.48 ปานกลาง 184 Vol. 6 No. 2, April – June 2020 Academic Journal of Community Public Health

วารสารวิชาการสาธารณสุขชมุ ชน ปที ี่ 6 ฉบบั ท่ี 2 เมษายน – มถิ นุ ายน 2563 ตารางที่ 3 คา่ เฉล่ยี สว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐานของคะแนนคุณภาพชวี ิตการทางานของพยาบาลวิชาชพี โรงพยาบาลพระปกเกล้ารายดา้ นและในภาพรวม (n = 277) คุณภาพชีวติ การทางาน ���̅��� SD ระดบั คณุ ภาพชีวติ การมีสขุ ภาพดี 2.71 0.56 ปานกลาง การมนี ้าใจงาม 3.18 0.43 สูง การได้ผ่อนคลาย 3.00 0.52 สงู มใี ฝ่รดู้ ี 2.95 0.53 ปานกลาง มีคุณธรรม 3.24 0.51 สงู บริหารการใช้เงนิ เปน็ 2.90 0.63 ปานกลาง มีครอบครัวท่ีดี 3.28 0.56 สงู มีสังคมดี 2.77 0.59 ปานกลาง โดยรวม 3.00 0.54 สงู ปัจจัยส่วนบุคคล บรรยากาศองค์กร ท่ี ที่สามารถทานายคุณภาพชีวิตการทางานของ ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตการทางานของพยาบาล พยาบาลวิชาชีพโรงพยาลพระปกเกล้า ใน วิชาชีพ โรงพยาบาลพระปกเกล้า พบว่าตัวแปร การศึกษาครั้งน้ีมีท้ังหมด 20 ตัวแปร ได้แก่ เพศ ท้ังหมด มีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสาคัญทาง อายุ ระดับการศึกษา สถานภาพสมรส จานวน สถิติ (p-value < .05) ซึ่งจะเป็นปัจจัยท่ีมีค่า บุตร ระยะเวลาในการปฏิบัติงาน หน่วยงานท่ี สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์น้อยกว่า .8 ซ่ึงเป็นไปตาม ปฏิบัติ รายได้ สภาพการจ้างงาน โรคประจาตัว ขอ้ ตกลงที่จะวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณต่อปัจจัย และบรรยากาศองค์กรท้ัง 8 ด้าน ดังตารางท่ี 4 ตารางท่ี 4 คา่ สมั ประสทิ ธิ์สหสัมพนั ธ์ระหว่างตวั แปรต่างๆทน่ี าเข้าสมการพยากรณ์ทานาย คุณภาพชีวิต การทางานของพยาบาลวชิ าชพี โรงพยาบาลพระปกเกล้า ตวั แปร คณุ ภาพชวี ิตการทางานของพยาบาล วิชาชพี โรงพยาบาลพระปกเกล้า ปัจจยั ส่วนบุคคล r p-value เพศ อายุ .019 <.05* ระดับการศึกษา .194 <.05* สถานภาพสมรส .393 <.05* ระยะเวลาในการปฏบิ ัติ .046 <.05* หนว่ ยงานท่ปี ฏบิ ตั ิ .436 <.05* รายได้ .046 <.05* .078 <.05* Academic Journal of Community Public Health 185 Vol. 6 No. 2, April – June 2020

วารสารวิชาการสาธารณสุขชมุ ชน ปีท่ี 6 ฉบบั ท่ี 2 เมษายน – มิถุนายน 2563 ตวั แปร คณุ ภาพชีวติ การทางานของพยาบาล วชิ าชพี โรงพยาบาลพระปกเกล้า ตาแหน่งงาน r p-value โรคประจาตวั .159 <.05* บรรยากาศองค์กร .286 <.05* ความชัดเจนของเป้าหมายและนโยบาย ขอ้ ตกลงเพื่อมุ่งสู่ความสาเร็จ .291 <.05* โครงสรา้ งองคก์ ร .195 <.05* การปฏบิ ตั งิ านตามกฎระเบียบ .115 < .05* การยกยอ่ งชมเชยและให้รางวัล .301 < .05* ความรบั ผดิ ชอบในงาน .340 < .05* การเปิดโอกาสให้เรยี นรูโ้ ดยการทดลอง .388 < .05* ความจงรักภกั ดใี นองค์กร .336 < .05* การสนับสนนุ ในการปฏิบัติงาน .311 < .05* ความอบอนุ่ ในการปฏบิ ตั ิงาน .364 < .05* การทางานเป็นทีม .293 < .05* *p<.05(2-tailed),**p<.001(2-tailed) .464 < .05* ตารางท่ี 5 ผลการคน้ หาตวั แปรพยากรณ์ทีด่ ี โดยการวิเคราะหก์ ารถดถอยพหุคูณแบบข้ันตอน บรรยากาศองค์กร R R2 R2adj SEest F การทางานเป็นทีม .457 .209 .194 .195 95.095 ความรบั ผิดชอบในงาน .575 .330 .149 .325 69.507 การเปดิ โอกาสใหเ้ รยี นรโู้ ดยการทดลอง .558 .312 .309 .119 53.871 ระยะเวลาในการทางาน .584 .341 .336 .121 70.738 *มนี ยั สาคัญทางสถิติที่ระดับ < .05 ตารางท่ี 6 ค่าสัมประสิทธ์ิสหสัมพันธพ์ หุคูณของตวั แปรพยากรณ์ ตัวแปรพยากรณ์ B beta SEb t การทางานเปน็ ทมี .319 .297 .062 5.156 .286 .046 4.590 ความรบั ผิดชอบในงาน .229 .156 .082 2.348 .137 .072 2.315 การเปดิ โอกาสใหเ้ รยี นรู้โดยการทดลอง .195 ระยะเวลาในการปฏิบัตงิ าน .166 R=0.584, F= 70.738, R^2= 0.341, Constant=1.994 186 Vol. 6 No. 2, April – June 2020 Academic Journal of Community Public Health

วารสารวิชาการสาธารณสขุ ชมุ ชน ปีท่ี 6 ฉบับท่ี 2 เมษายน – มิถนุ ายน 2563 สรปุ และอภิปรายผลการวิจยั ได้อยู่ด้วยกันมีการพิจารณ าให้เจ้าหน้าที่ที่ ปฏิบัติงานท่ีมีปัญหาต้องการย้ายหน่วยงานมาอยู่ สาเหตุท่ีเกิดภาพรวมของบรรยากาศองคก์ ร งานผู้ป่วยนอก ก็มีการพิจารณารับย้ายหรือ ระดับปานกลางด้านการทางานเป็นทีม จากการ โยกย้ายมากขึ้น ง่ายขึ้น ส่วนเรื่องคุณธรรมองค์กร วิเคราะห์การทางานเป็นทีมเป็นการทางานของ มีการรับนโยบายของรัฐบาลและส่งเสริม ปลูกฝัง บุคคลมคี ุณภาพและประสทิ ธิผลขององค์กรในการ ต้ังแต่เปน็ นกั ศึกษาพยาบาล ร่วมมือกันพัฒนาองค์กรในด้านงานคุณภาพ การ บริการต่าง ๆ การทางานทีมจึงมีผลต่อคุณภาพ ด้านสุขภาพที่ได้ต่า ทางองค์กรได้จัดทา ชีวิตการทางานของพยาบาล ความรับผิดชอบใน โครงการลดโรคและป้องกันโรค ส่งเสริมการออก งาน จากการวิเคราะห์ที่มีผลต่อคุณภาพชีวิตการ กาลังกายการติดตามการลดน้าหนักอย่างต่อเน่ือง ท า ง า น เมื่ อ บุ ค ล า ก ร ทุ ก ค น ใ น อ ง ค์ ก ร มี ค ว า ม ตลอด ตรวจสุขภาพประจาปี รับผิดชอบในงานของตัวเองการทางานก็จะไม่เกิด ปัญหามีความราบรื่นในการทางานขององค์กร บ ร ร ย า ก า ศ อ ง ค์ ก ร ใน ภ า พ ร ว ม มี การเปิดโอกาสให้เรียนรู้ฯมีผลต่อการทางานและ ความสัมพันธ์ทางบวกกับคุณภาพชีวิตการทางาน คุณภาพชีวิตการทางานคือ การท่ีองค์กรหรือ ของพยาบาลวิชาชีพโรงพยาบาลพระปกเกล้า หั ว ห น้ าห น่ ว ย งาน ได้ มี ก ารเปิ ด โอ ก าส ให้ อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 ( ������2= ผู้ปฏิบัติงานได้มีโอกาสได้แสดงความคิดเห็นหรือ .341) แสดงให้เห็นว่าบรรยากาศองค์กรที่ดีก็จะมี ได้เสนอผลงานท่ีได้ใช้ในการพัฒนางานที่ทาอยู่ให้ คุณภาพชีวิตการทางานท่ีดีด้วย ซึ่งผลสอดคล้อง ดีย่ิงข้ึน ส่วนระยะเวลาในการปฏิบัติงานท่ีมีผลต่อ กับ มาสริน สกุลปักษ์9 ท่ีพบว่าบรรยากาศองค์กร คุณ ภาพชีวิตการทางานคือ ระยะเวลาท่ีได้ มี ค ว า ม สั ม พั น ธ์ ท า ง บ ว ก กั บ คุ ณ ภ า พ ชี วิ ต ก า ร ปฏิบัติงานจานวนปีท่ีมากข้ึนนั้นหมายถึงหน้าที่ ทางาน เม่ือได้พิจารณาความสัมพันธ์ระหว่าง ความรับผิดชอบท่ีมากขึ้นตาแหน่งที่สูงข้ึนย่อมมี ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อคุณภาพชีวิตการทางานของ ผลต่อคุณภาพชีวิตแน่นอน แต่ที่จะสอดคล้องกับ พยาบาลวิชาชีพโรงพยาบาลพระปกเกล้าพบว่า บริบทขององค์กรคือในการการพัฒนาสู่ความเป็น บ รรยากาศ องค์กร อายุ ส ถาน ภ าพ สมรส เลิศในด้านต่างๆของโรงพยาบาล ซ่ึงการจะนาไป การศึกษา ระยะเวลาการปฏิบัติงาน รายได้ โรค พัฒนาน้ันผู้วิจัยจะนาผลการวิจัยท่ีได้ไปนาเสนอ ประจาตัว เป็นตัวแปรอิสระที่มีผลต่อคุณภาพชีวิต ต่อผู้บริหารในทีมวิจัยของโรงพยาบาลเพื่อจะได้ การทางานสนับสนุนของพัทยา แก้วแพง10 เมื่อ นาผลของบรรยากาศองค์กรท่ีมีผลตอ่ คณุ ภาพชีวิต เข้าสมการพยากรณ์ที่ตัวแปรพยากรณ์สามารถ ทไี่ ด้ผลระดับตา่ มาปรับแก้ต่อไป ร่วมอธิบายความแปรผันของตัวแปรตามได้มาก ที่สุด พบว่าบรรยากาศองค์กรในรายด้าน ได้แก่ ด้านคุณภาพชีวิตในภาพรวมด้านครอบครัว การทางานเป็นทีม ความรับผิดชอบในงาน การ สูงสุดน้ันคือทางโรงพยาบาลมีการจัดสรรท่ีพัก เปิ ด โอ กาสให้ เรียน รู้โด ยการท ด ลอง แล ะ อาศัยเป็นแบบครอบครัวมากขึ้นทาให้ครอบครัว ระยะเวลาในการปฏิบัติงาน มีความสัมพันธ์ Academic Journal of Community Public Health 187 Vol. 6 No. 2, April – June 2020

วารสารวิชาการสาธารณสุขชมุ ชน ปที ่ี 6 ฉบับที่ 2 เมษายน – มถิ ุนายน 2563 ทางบวกในระดับสูง กับคุณภาพชีวิตการทางาน ประกอบด้วย การติดต่อสื่อสารชนิดเปิด การให้ พยาบาลวิชาชีพ อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ ความสนับสนุนร่วมกัน และการกระจายอานาจ .05 ซ่ึงผลการวิจัยนี้ สนับสนุนของ Steer.R.M. การตัดสินใจจะนาไปสู่การปฏิบัติงานที่ดีของ and Porter,L.11 เป็นแนวคิดจากการวิจัย กล่าว บุคลากรซึ่งสอดคล้องกันระหว่างความพึงพอใจใน ว่า ความสาคัญของบรรยากาศองค์กรเป็นตัวแปร งานของบุคคลกับประสิทธิผลขององค์กร หรือคือ สาคัญในการศึกษาองค์กร วิเคราะห์การทางาน คุณภาพชีวิตการทางาน คือ ประสิทธิผลของ ของบุคคลมีคุณภาพ และประสิทธิผลขององค์กร องค์กร อันเน่ืองจากความผาสกุ (Well being) ใน เพ่ือวิเคราะห์การทางานของบุคคลท่ีมีคุณภาพ ง า น ข อ ง ผู้ ป ฏิ บั ติ ง า น Huse,E.F. and และเพื่อให้เกิดประสิทธิผลขององค์กร นั่นคือ Cumming,T.g.15 บรรยากาศองค์กรมีส่วนกาหนดทัศนคติและ พฤติกรรมการทางานของคน Litwin,G.H., & เอกสารอา้ งอิง stringer.R.A.12 กล่าวว่าการท่ีหน่วยงานสนับสนุน ให้บุคลากรมีการร่วมมือ ยอมรับและมีทีมในการ 1. สานักนโยบายและยทุ ธศาสตร์สาธารณสขุ . ทางาน หากบุคคลเกิดความไมพ่ ึงพอใจในงานแล้ว กรอบยุทธศาสตร์งานสร้างเสริมสขุ ภาพและ ก็จะละเลยที่ จะป ฏิ บั ติงาน อย่างเต็มกาลัง ป้องกันโรคระดบั ชาติ ปี 2554-2558. ความสามารถ ขาดขวัญและกาลังใจท่ีดีในการ กรุงเทพฯ; 2554: หน้า 184-186 ทางาน รวมทั้งหากองค์กรมีสภาพแวดล้อมทาง กายภาพทางสังคมท่ีไม่ดีจะไม่สามารถเสริมสร้าง 2. กองการพยาบาล กระทรวงสาธารณสุข. ให้เกิดบรรยากาศที่ดีในองค์กรได้ ดังนั้นองค์กร บทบาทหนา้ ท่ีความรับผิดชอบเจา้ หนา้ ท่ี ควรเสริมสร้างบรรยากาศองค์กรให้สูงข้ึนเพ่ือเป็น ทางการพยาบาลที่ปฏบิ ัติการพยาบาลใน การกระตุ้นให้พยาบาลวชิ าชพี มีความรสู้ ึกพงึ พอใจ โรงพยาบาล.กรุงเทพฯ: ในงาน มีทัศนคติที่ดีต่อบุคลากรในองค์กรเกิด มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์; 2539. ความคิดริเร่ิมสร้างสรรค์ เน่ืองจากผลการศึกษา พยาบาลวิชาชีพในโรงพยาบาลพระปกเกล้าอยู่ 3. วจิ ติ ร ศรีสพุ รรณ และกฤษณา แสวงด.ี ในช่วง Generation X การนาแนวคิดเรื่องการ ข้อเสนอเชงิ นโยบายในการแก้ปัญหาการขาด บริหารคนต่างรุ่นในองค์กร ของณัฐวุฒิ พงศ์สิริ13 แคลนพยาบาลวิชาชพี ในโรงพยาบาล. วารสาร มาประยุกต์ใช้ในองค์กรเป็นสิ่งสาคัญอย่างยิ่ง การพยาบาล; 2555: หนา้ 8-10. เพ่ือที่จะสามารถจัดการคนท้ัง 3 วัยได้อย่าง ถูกต้องเป็นประโยชน์แก่บุคลากรและองค์กร และ 4. อรุณรตั น์ คนั ธา และ รัชนี ศุจจิ นั ทรรัตน.์ สนับสนุนกับความคิดของ Frederickson,G.H.14 พยาบาลความผูกพันต่อองค์การ คุณภาพชีวติ ก ล่ า ว ว่ า บ ร ร ย า ก า ศ อ ง ค์ ก ร ที่ มุ่ ง ค น ซ่ึ ง การทางานวฒั นธรรมองค์การ. วารสาร พยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหดิ ล; 2555: หน้า 7-17. 188 Vol. 6 No. 2, April – June 2020 Academic Journal of Community Public Health

วารสารวชิ าการสาธารณสขุ ชมุ ชน ปที ี่ 6 ฉบับที่ 2 เมษายน – มิถนุ ายน 2563 5. สมสมยั สุธีรศานต์ และจินตนา วรรณรัตน์. 11. Steer.R.M. and Porter,L. Motivation ปัจจัยท่ีมีอิทธิพลตอ่ การลาออก โอนยา้ ยของ and Work Behavior.New. York:McGraw- พยาบาลวิชาชีพฝา่ ยบรกิ ารพยาบาล Hill; 1979. โรงพยาบาลสงขลานครินทร์. วารสารพยาบาล ศาสตร์ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั ; 2551: หนา้ 12. Litwin,G.H., & Stringer.R.A. Motivation 145-159. and Organization Climate. Bonton: Havard University Press; 1968. 6. คณะกรรมการลูกคา้ สมั พนั ธโ์ รงพยาบาล พระปกเกลา้ .รายงานการสารวจความพึงพอใจ 13. ณฐั วฒุ ิ พงศ์สิริ. การบริหารคนต่างรุ่นใน ในการทางานของบุคลากรโรงพยาบาล องค์กร. 2552. (Online). สืบคน้ จาก พระปกเกล้า. โรงพยาบาลพระปกเกล้า; 2555. http.//www.hri.tu.ac.th./cms/seminarde tail.aspx.tid+MTOx/. 7. Cohen & Uphoff. Effective Behavior in Organizations. New York: Richard D. 14. Frederickson,G.H. New Public Irwin Inc; 1980. Administration Alabama the University of Alabama Press; 1980. 8. จรณิต แกว้ กังวาล และประตาป สิหสิวานนท์. ตาราการวจิ ัยทางคลนิ กิ บทท่ี 4. กรุงเทพฯ: 15. Huse, E.F. and Cumming, T.g. คณะเวชศาสตรเ์ ขตรอ้ น มหาวิทยาลยั มหิดล; Organization Development and Chang. 2554. 3rded. Minnesota: West Publishing; 1985. 9. มาสริน สกุลปกั ษ.์ ความสัมพันธร์ ะหว่าง ลกั ษณะงานและบรรยากาศองคก์ รต่อคุณภาพ ชวี ติ การทางานของพยาบาลวชิ าชพี โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า ความสมั พันธร์ ะหว่าง ลกั ษณะงานและบรรยากาศองคก์ รต่อคุณภาพ ชีวติ การทางานของพยาบาลวชิ าชพี โรงพยาบาลพระนั่งเกลา้ วารสารวจิ ยั ทาง วทิ ยาศาสตร์สุขภาพ; 2552: 5(1). 32-39. 10. พทั ยา แกว้ แพง. ปจั จยั ที่มีผลตอ่ คณุ ภาพชีวิต ของพยาบาลวชิ าชพี โรงพยาบาลสงขลา นครินทร.์ สงขลานครินทรเ์ วชสาร; 2548: 24 (2). หนา้ 112-116. Academic Journal of Community Public Health 189 Vol. 6 No. 2, April – June 2020

วารสารวิชาการสาธารณสุขชมุ ชน ปีที่ 6 ฉบบั ท่ี 2 เมษายน – มิถนุ ายน 2563 Received: 3 Dec 2019, Revised: 17 Feb 2020 Accepted: 24 Feb 2020 นิพนธต์ น้ ฉบบั ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งการบรหิ ารจัดการกองทนุ สขุ ภาพตาบล การเสริมพลังอานาจ องค์กรปกครองสว่ นทอ้ งถิน่ และการจดั ระบบสุขภาพชุมชน จังหวัดเชยี งราย รัฐวรรณ กลู วงค์1 พษิ ณุรักษ์ กันทวี2,* ภัทรพล มากมี3 บทคดั ยอ่ การวิจัยคร้ังนี้ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารจัดการกองทุนสุขภาพตาบล การเสริมพลัง อานาจองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและการจัดระบบสุขภาพชุมชน จังหวัดเชียงราย วิธีการศึกษา เป็นการ วิจัยเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวาง (Cross-sectional study) โดยใช้เคร่ืองมือทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ คอื แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์กึง่ โครงสรา้ ง ประชากร คอื กองทนุ สุขภาพตาบลทง้ั หมด 143 แห่ง โดย ตัวแทนประชากรท่ีศึกษาคือ ผู้แทนคณะกรรมการบริหารกองทุนสุขภาพตาบล กลุ่มตัวอย่าง คือ ประธาน กรรมการบริหารกองทนุ หรอื เลขานุการกองทุน จานวนท้งั สิ้น 143 คน เลือกแบบจาเพาะเจาะจง เก็บขอ้ มูล ระหว่าง วันท่ี 1 มีนาคม–31 พฤษภาคม 2562 วิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนา ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่า ต่าสุด ค่าสูงสุด ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน สถิติเชิงวิเคราะห์ได้แก่ สถิติสัมประสิทธ์ิสหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และการวเิ คราะหเ์ ชงิ คุณภาพ เป็นการวเิ คราะห์เชิงพรรณนา ผลการศึกษา การบริหารจดั การกองทนุ สขุ ภาพ ตาบลอยใู่ นระดับมาก (x̄ = 3.93, SD = 0.525) การเสรมิ พลงั อานาจองคก์ รปกครองส่วนทอ้ งถิน่ อยใู่ นระดับ มาก (x̄ = 3.79, SD = 0.569) และการจัดระบบสุขภาพชุมชนอยู่ในระดับดี (Mean =17.69) การบริหาร จดั การกองทุนสขุ ภาพตาบลมีความสมั พันธ์ทางบวกในระดับสูงกบั การเสริมสรา้ งพลังอานาจองคก์ รปกครอง สว่ นท้องถิ่น (r= .652**, p-value <0.001) สรุป การบริหารจัดการกองทุนสุขภาพตาบลมีความสัมพนั ธ์เชิง บวกระดับสงู กบั การเสริมพลังอานาจองค์กรปกครองส่วนทอ้ งถิน่ อยา่ งมีนยั สาคัญทางสถติ ิ โดยการที่ อปท. ได้รับการสนับสนุน ได้รับข้อมูลข่าวสาร ได้รับทรัพยากรและได้รับโอกาสในงาน ขณะเดียวกันกองทุน สุขภาพตาบลยังหนุนเสริมการจัดระบบสุขภาพชุมชนทั้งมิติการส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค ฟื้นฟูสุขภาพ และรักษาพยาบาลระดับปฐมภูมิเชิงรุก ท้ังน้ีผู้บริหารสปสช.ควรให้ความสาคัญกับการเสริมพลังอานาจ อปท. ในการบริหารจัดการกองทุนสุขภาพตาบลอยา่ งเหมาะสม และการให้ผลสะท้อนกลับ แก่ อปท. ในเชิง บวก เชน่ ให้การยอมรับ ยกย่องชมเชย ให้การสนับสนุนหรือจัดสรรทรัพยากรท้ังคน เงิน ของในการทางาน ให้เพยี งพอและมปี ระสทิ ธภิ าพ ตามเจตนารมณ์แหง่ พระราชบญั ญตั หิ ลกั ประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 กล่าวคอื กองทุนตอ้ งสนับสนนุ ระบบสุขภาพชุมชน นาไปสสู่ ขุ ภาวะทยี่ ั่งยนื ของประชาชนต่อไป คาสาคญั กองทุนสุขภาพตาบล การเสรมิ พลังอานาจ การจัดระบบสขุ ภาพชุมชนจงั หวดั เชยี งราย 1 นักศกึ ษาปรญิ ญาโท สาขาสาธารณสขุ ศาสตร์ มหาวิทยาลยั แม่ฟ้าหลวง เชยี งราย 2 อาจารย์สานักวทิ ยาศาสตรส์ ขุ ภาพ มหาวิทยาลัยแมฟ่ ้าหลวง เชยี งราย 3 อาจารย์คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลยั นเรศวร พิษณุโลก * Corresponding author: [email protected] 190 Vol. 6 No. 2, April – June 2020 Academic Journal of Community Public Health

วารสารวชิ าการสาธารณสขุ ชมุ ชน ปีท่ี 6 ฉบบั ที่ 2 เมษายน – มถิ นุ ายน 2563 Original Article The Relation among Local Health Insurance Fund Empowerment Local Administrative Organization and Community Health System Management Chiang Rai Provice Rattawan Kulwong1 , Phitsanuruk Kanthawee2,*, Phataraphon Markmee3 Abstract This research aim to study relationship among Tambon Health Fund, empowerment local administrative organization and community health system management Chiang Rai province Method: is cross- sectional descriptive research. The quantitative and qualitative tools, namely questionnaires and semi- structured interviews were used. The samples were the Board Chairman of the Tambon Health Fund Management Committee orFund Secretary, totaling 143 people. The purposive sampling was collected during March 1- May 31, 2019.Data were analyzed using descriptive statistics, percentage, mean, minimum value, the highest value. The standard deviation and analytical statistics are Pearson product moment correlation coefficient. And qualitative analysis Is descriptive analysis. Result: The study management of Tambon Health Fund was at a high level (x̄ =3.93, SD=0.525). Empowerment for local government organizations was at a high level (x̄ = 3.79, SD =0.569. And community health system management at a good level (Mean=17.69). The relationship between the management of Tambon health funds and the empowerment of local government organizations, it was found that the overall success District health fund management has a high level of a positive relationship with empowerment of local government organizations (r= .607, p-value<0.001). Summary and suggestions: The management of the Tambon Health Fund had a positive relationship high level with the empowerment of the local administrative organization with statistical significance. With the local administrative organization being supported Get information Get resources Get job opportunities (Kanter, 1997), And is related to the organization of health systems in the community such as health promotion, disease prevention, health rehabilitation and proactive primary care. National Health Committee should focus on empowerment of the local administrative organization in managing the Tambon Health Fund to achieve. And providing feedback in a positive way, such as accepting, praising, supporting, or allocating resources to work sufficiently and efficiently. According to the intention of the National Health Security Act 2002, that is, the fund must support the health systems in the community. Which willlead to the sustainablewell-beingofthepeople. Keywords: Tambon Health Fund, Empowerment, health security system in the community, Chiang Rai Province 1 Master degree student of Public Health, School of Health Science, Mae Fah Luang University 2 Public Health Lecturer, School of Health Science, Mae Fah Luang University 3 Fuculty of Public Health. Naresuan University, Phitsanuloke * Corresponding author: [email protected] Academic Journal of Community Public Health 191 Vol. 6 No. 2, April – June 2020

วารสารวิชาการสาธารณสุขชมุ ชน ปีที่ 6 ฉบบั ที่ 2 เมษายน – มถิ นุ ายน 2563 บทนา บริหารจัดการในรูปแบบของคณะกรรมการจาก สามภาคส่วน คือ ท้องถ่ิน สาธารณสุขและชุมชน พ ร ะ ร า ช บั ญ ญั ติ ห ลั ก ป ร ะ กั น สุ ข ภ า พ โดย สปสช. กาหนดเกณฑ์ประเมินผลการ แห่งชาติ พ.ศ.2545 กาหนดให้ประชาชนและ ดาเนินงานกองทุน 3 ด้าน คือ 1) การบริหาร ท้องถ่ินมีส่วนร่วมในระบบหลักประกันสุขภาพ จัดการแบบมีสว่ นร่วม 2) การสรา้ งนวตั กรรมแบบ ถ้ว น หน้า 1 สอ ดคล้ องกั บ รัฐ ธ รร มนูญ แห่ ง มีสว่ นรว่ ม 3) การรว่ มรับผลประโยชน์กองทนุ 3 ราชอาณาจักรไทยพ.ศ. 2550 มาตรา 80(2) ซึ่ง บัญญัติให้รัฐต้องดาเนินการตามแนวนโยบายด้าน ก อ ง ทุ น สุ ข ภ า พ ต า บ ล เ ป็ น ก ล ไ ก ใ น ก า ร การสาธารณสุข โดยต้องส่งเสริมสนับสนุนและ จัดระบบสุขภาพชุมชน โดย สปสช. สนับสนุน พัฒนาระบบสุขภาพที่เน้นการสร้างเสริมสุขภาพ ทรัพยากรต่าง ๆ เพ่ือให้ อปท. สามารถบริหาร นาไปสู่สุขภาวะของประชาชน2 และ พ.ร.บ. จัดการกองทุนไดอ้ ยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ จากรายงาน กระจายอานาจสู่ท้องถ่ิน พ.ศ. 2542 มาตรา16 สถานการณ์กองทุนสุขภาพตาบลจังหวัดเชียงราย และ 17 ระบุให้ อปท. มีอานาจหน้าท่ีจัดบริการ ทั้งหมด 143 แห่ง เร่ิมจัดตั้งกองทุนในปี พ.ศ. สาธารณะ การสาธารณสุข และการรกั ษาพยาบาล 2549-2554 จานวน 117 แห่งมีกองทุนเต็มพื้นที่ เพ่อื ประโยชนข์ องประชาชนในทอ้ งถิน่ ของตนเอง ในปี 2557 จากผลการประเมินกองทุน พบว่า มี กองทุนท่ีศักยภาพสูง (เกรดA+) ร้อยละ11.19 กองทุนหลักประกันสุขภาพระดับท้องถิ่น ศักยภาพดี (เกรดA) ร้อยละ 61.54 ศักยภาพปาน หรือพ้ืนท่ี ซ่ึงการศึกษาน้ีเรียกว่า“กองทุนสุขภาพ กลาง(เกรดB) ร้อยละ 20.28 ที่ต้องเร่งพัฒนา ตาบล”จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติหลักประกัน (เกรด C) ร้อยละ 6.29 และมีกองทุนท่ีเป็นศูนย์ สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545 มาตรา 18(1)(9) การเรียนรู้ระดับจังหวัด 6 แห่ง4 แสดงว่าเปน็ พ้นื ท่ี มาตรา 38 มาตรา 41 มาตรา 47 ให้อานาจ อปท. ที่ประสบความสาเร็จในการบริหารจัดการกองทุน บริหารจัดการร่วมกับภาคส่วนที่เก่ียวข้องในพ้ืนที่ สุข ภ า พ ตา บ ล ซึ่ง ผู้ วิจั ย มอ งว่ า ระ บ บก า ร โดยกองทุนต้องส่งเสริมระบบสุขภาพชุมชนเน้น ประเมินผลการดาเนินงานกองทุนท่ีผ่านมา ยังไม่ การสร้างเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค ฟื้นฟูสุขภาพ ครอบคลุมในด้านการประเมินผลและยังมีช่องว่าง และรักษาพยาบาลระดับปฐมภูมิเชิงรุก เพ่ือให้ (Gap) อยู่เนื่องจากเป็นการประเมินท่ีมุ่งเน้น ประชาชนเข้าถึงบริการสุขภาพอย่างเสมอภาคลด กระบวนการบริหารกองทุน 3 ดา้ นคือ การบริหาร ความเหลือ่ มลา้ ของการมีสขุ ภาพดีนาไปสู่สุขภาวะ จัดการ การมสี ว่ นร่วม และการสร้างนวตั กรรม แต่ ของประชาชน ซ่ึงสปสช.กาหนดเกณฑ์การใช้จ่าย ยังไม่สามารถสะท้อนให้เห็นผลลัพธ์ด้านสุขภาพ เงินกองทุน 5 ประเภท คือ 1) การจัดบริการของ ของประชาชนหรือระบบสุขภาพชุมชนจากการ หน่วยงานสาธารณสุข 2) การจัดกิจกรรมสร้าง ดาเนนิ งานกองทุนได้หรือไม่อยา่ งไร ผู้วจิ ยั จึงสนใจ เสริมสุขภาพและปอ้ งกนั โรคของกลุ่มประชาชน 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารจัดการ การจัดบริการสาธารณสุขของศูนย์เด็กเล็กศูนย์ กองทุนสุขภาพตาบลการเสริมสร้างพลังอานาจ พฒั นาคณุ ภาพชวี ิตผู้สูงอายุหรือคนพิการในชมุ ชน องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินและการจัดระบบ 4) สนับสนุนค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการกองทุน สุขภาพชุมชน จังหวัดเชียงราย โดยใช้กรอบ ให้มีประสิทธิภาพ และ 5) สนับสนุนกรณีเกิดโรค แ น ว คิ ด ก า ร เ ส ริ ม พ ลั ง อ า น า จ ข อ ง ค า น เ ต อ ร์ ระบาดหรือภัยพิบัติในพ้ืนที่ ท้ังนี้ อปท.ที่เข้าร่วม (Kanter, 1979)5 เป็นกรอบในการศึกษาดังกล่าว จัดต้ังกองทุนต้องสมทบเงินตามสัดส่วนและมีการ ผลการศึกษาครั้งนี้จะทาให้ทราบทิศทางการ 192 Vol. 6 No. 2, April – June 2020 Academic Journal of Community Public Health