วารสารวิชาการสาธารณสขุ ชมุ ชน ปีที่ 6 ฉบบั ท่ี 2 เมษายน – มถิ นุ ายน 2563 บทนา และ เมื่อไม่สามารถควบคุมระดับความดันโลหิต ให้อยู่ในเกณฑ์ปกติได้ ต้องมีการรักษาด้วยยาร่วม โรคความดันโลหิตสูง (Hypertension) ด้วย เพื่อลดการทาลายอวัยวะสาคัญ เช่น ไต เป็นปัญหาสาคัญของกระทรวงสาธารณสุขทุก หั ว ใ จ แ ล ะ ส ม อ ง ซึ่ ง จ ะ ช่ ว ย ป้ อ ง กั น ประเทศท่วั โลกรวมทง้ั ประเทศไทย และมีแนวโน้ม ภาวะแทรกซ้อนที่ทาให้เกิดการเสียชีวิตได้ ใน เพ่ิมข้ึนอย่างต่อเน่ือง1 จากสถิติของประเทศ ปัจจุบันเป้าหมายของระดับความดันโลหิตใน สหรัฐอเมริกาในช่วงปี ค.ศ. 1999-2000 และ ผู้สูงอายุท่ีไม่มีโรคเบาหวานและไตใช้เกณฑ์ น้อย 2009-2010 พบว่าผู้สูงอายุท่ีมีความดันโลหิตสูงมี กว่ า 1 50 /9 0 มิ ลลิ เ มต รป ร อท แ ล ะถ้ า มี จานวนเพ่ิมข้ึนจากร้อยละ 17.70 เป็นร้อยละ โรคเบาหวาน และไต ใชเ้ กณฑ์ นอ้ ยกวา่ 140/90 21.20 และคาดว่าในอีก 10 ปีข้างหน้า จะมี มิลลิเมตรปรอท6 จากการศึกษาปัจจัยท่ีสัมพันธ์ จานวนผู้สูงอายุที่มีความดันโลหิตสูงเพิ่มข้ึนเป็น ร้อยละ 35-412 สาหรับในประเทศไทยจาก กับการควบคุมแรงดันเลือดในผู้ป่วยโรคความดัน รายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุไทยใน พ.ศ. 2557 โลหิตสูงพบว่าผู้ป่วย มีพฤติกรรมการดูแลตนเอง พบผสู้ ูงอายุที่มอี ายุ 66-69 ปี ทงั้ เพศหญงิ และเพศ โดยรวมในด้านการควบคุมอาหาร การออกกาลัง ชายเป็นโรคความดันโลหิตสูงถึงร้อยละ 53 และ กาย การรับประทานยา และการจัดการกับ 60 ตามลาดับ และผู้สูงอายุท่ีมีอายุ 80 ปีข้ึนไป ความเครียดอยู่ในระดับต่า ร้อยละ 65.97 ซึ่งการ เพศหญิง และเพศชาย เป็นโรคความดันโลหิตสูง รกั ษาพยาบาลที่ผ่านมา อาจไม่สง่ เสริมให้ผู้สูงอายุ ร้อยละ 59 และ 69 ตามลาดับ โดยอัตราตายของ นาศักยภาพของตนเอง มาใช้ในการปฏิบัติตัวเพ่ือ โรคความดันโลหิตสูงต่อแสนประชากรในช่วงปี ควบคุมความดันโลหิต มักกาหนดโดยทีมสุขภาพ พ.ศ. 2552-2554 เท่ากับ 3.62, 3.89 และ 5.79 ทาให้ผู้สูงอายุไม่สามารถคิดหรือทาสิ่งต่าง ๆ ด้วย ตามลาดับ3 ซง่ึ จะเห็นไดว้ ่าผ้สู ูงอายุทเ่ี ปน็ โรคความ ตนเอง รับรู้สภาพปัญหาตนเองน้อย ไม่ตระหนัก ดันโลหติ สูงมีจานวนมาก โดยมีจานวนเพ่ิมขึ้นตาม หรือเห็นความสาคัญ ขาดแรงจูงใจ ขาดความรู้ อายุทมี่ ากข้ึน เน่อื งจากเมื่อบคุ คลอายมุ ากข้นึ น้นั ก็ รวมทั้งต้องฝืนใจในการปรับพฤติกรรม8 จึงทาให้ จะมีความเสื่อมถอยของหลอดเลือดจะเพมิ่ ขึ้น โรค ไม่สามารถปรับเปล่ียนพฤติกรรมหรือปฏิบัติได้ไม่ ความดันโลหิตสูงเป็นโรคท่ีส่งผลให้เกิดความ ดีเท่าท่ีควร เช่น รับประทานาหารเค็มมากเกินไป ผิดปกติต่ออวัยวะต่าง ๆ หลายระบบในร่างกาย ผู้ ข า ด ก า ร อ อ ก ก า ลั ง ก า ย ดื่ ม เ ค ร่ื อ ง ดื่ ม ท่ี มี ที่มีภาวะความดันโลหิตสูงเร้ือรังที่ไม่สามารถ แอลกอฮอล์มากเกินไป ขาดการพักผ่อนที่เพียงพอ ควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในระดับปกติได้ และรับประทานยาไม่สม่าเสมอ9 เป็นต้น จาก ต่อเน่ืองโดยเป้าหมายที่วางไว้น้อยกว่า 150/90 การศึกษาเก่ียวกบั กลวธิ ีการปรับเปลี่ยนพฤตกิ รรม มิลลิเมตรปรอท4 มักเกิดภาวะแทรกซ้อนต่อ สุขภาพในผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง ได้แก่ อวัยวะท่ีสาคัญ เช่น หัวใจ หลอดเลือด ตา ไต โปรแกรมการจัดการแบบมีส่วนร่วมในการดูแล และสมองเป็นตน้ ซงึ่ เป็นภาวะท่ีอันตรายอย่างยิ่ง5 สขุ ภาพในผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง10 โปรแกรม รวมถึงภาระท้ังด้านการดูแล และด้านค่าใช้จ่าย การดูแลสุขภาพที่บ้านโดยทีมสุขภาพ11 และ การรักษาโรคความดันโลหิตสูงเป็นการรักษา โปรแกรมการสนับสนุนทางสังคม12 ผลการศึกษา ร่วมกันระหว่างการรักษาโดยไม่ใช้ยาคือ การ เหล่านี้แม้ว่าจะช่วยให้ผู้ป่วยเป ลี่ยนแปลง ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพในการดูแลตนเอง พฤติกรรมในทางที่ดีข้ึน แต่ก็ไม่ดาเนินการท่ีเน้น เฉพาะกลุ่มผู้ป่วยที่ควบคุมความดันโลหิตไม่ได้ Academic Journal of Community Public Health 43 Vol. 6 No. 2, April – June 2020
วารสารวชิ าการสาธารณสุขชมุ ชน ปที ่ี 6 ฉบบั ที่ 2 เมษายน – มิถุนายน 2563 และส่วนใหญ่เป็นการดาเนินกิจกรรมในลักษณะ กับ ผู้ช้ีแนะ14 สอดคล้องกับการศึกษาของวนิดา กลุ่ม ซ่ึงอาจไม่เหมาะกับผู้ป่วยสูงอายุที่ควบคุม ส ติ ป ร ะ เ ส ริ ฐ (2558) ผ ล ข อ ง ก า ร ช้ี แ น ะ ต่ อ ความดันโลหิตไม่ได้ เน่ืองจากกลุ่มผู้สูงอายุมี พฤติกรรมสุขภาพและระดับความดันโลหิตของ ความบกพร่องทางด้านการรับรู้ท่ีลดลงจากการ ผู้สูงอายุโรคความดันโลหิตสูงชนิดไม่ทราบสาเหตุ เส่อื มตามวัย ที่ไม่สามารถควบคุมความดันโลหิตได้ พบว่า ผลต่างของคะแนนพฤตกิ รรมสุขภาพก่อนและหลัง การให้ข้อมูลโดยการชี้แนะ (Coaching) การทดลองของกลุ่มทดลองสูงกว่า กลุ่มควบคุม เป็นวิธีการหน่ึงที่มีประสิทธิภาพ และยังเป็น อย่างมีนัยสาคัญทางสถิตทิ ่ีระดับ .05 สมรรถนะหน่ึงของผู้ปฏิบัติการขั้นสูง13 ที่อาจช่วย พัฒนาความสามารถของผู้ป่วยโรคความดันโลหิต สาหรับจังหวัดลพบุรี พบอัตราการป่วยโรค สูงท่ีไม่สามารถควบคุมความดันโลหิตได้ และ ความดันโลหติ สูงต่อแสนประชากรใน พ.ศ. 2558- ปัญหาสว่ นใหญ่มสี าเหตเุ ก่ยี วกบั พฤตกิ รรมสุขภาพ 2560 เพิ่มข้ึนเป็นร้อยละ 23.19, 22.18 และ ซ่ึงการช้ีแนะนี้จะทาให้เกิดการเรียนรู้โดยตรง ใน 24.37 ตามลาดับ และพบในวัยสูงอายุ ร้อยละ ทุกขั้นตอนของกระบวนการชี้แนะ จะนาสู่การ 4 1 . 1 3 , 4 4 . 1 4 แ ล ะ 4 7 . 5 5 ต า ม ล า ดั บ ดแู ลสุขภาพของตนเองตามสภาพปัญหาของผู้ป่วย เช่นเดียวกับโรงพยาบาลโคกสาโรง จังหวัดลพบุรี แต่ละด้าน และสามารถเช่ือมโยงความรู้ แปล พบมีผู้ป่วยสงู อายโุ รคความดันโลหติ สงู ที่มารับการ ข้อมูลให้มีความหมาย มีแรงจูงใจ และหาวิธีการ รักษาตัวที่คลินิกโรคเรื้อรัง ใน พ.ศ. 2558-2560 แก้ไขปัญหาภายใต้บริบทสิ่งแวดล้อมของตนเอง ร้อยละ 54.10, 55.15 และ 58.35 ตามลาดับ ซึ่ง และช่วยสะท้อนให้ผู้ป่วยเห็นถึงความสามารถใน จะเห็นได้ว่ามีจานวนเพิ่มขึ้นทุกปี และยังไม่มีการ การคิด การตัดสินใจ รวมท้ังการปรับพฤติกรรม นากระบวนการชี้แนะมาใช้ในการส่งเสริม ป้องกัน สุขภาพให้ดีขึ้น เพื่อนาไปสู่การดูแลท่ีย่ังยืน โดย เพื่อให้มีการปรับพฤติกรรมสุขภาพ ในการศึกษา มีพยาบาลเป็นผู้ช้ีแนะ เน่ืองจากการปฏิบัติงาน ครั้งนี้ผู้วิจัยจึงนาการช้ีแนะ ซ่ึงเป็นกระบวนการ ข อ ง พ ย า บ า ล เ ป็ น ก า ร ป ฏิ บั ติ ง า น โ ด ย ใ ช้ ประกอบดว้ ย 4 ขนั้ ตอน ได้แก่ 1) มกี ารประเมิน กระบวนการพยาบาล ซ่ึงมีข้ันตอนคล้าย และวิเคราะห์ปัญหา 2) กาหนดวัตถุประสงค์และ กระบวนการชี้แนะ และถือว่าเป็นบทบาทหนึ่งของ วางแผน 3) นาแผนท่ีวางไว้มาปฏิบัติ 4) การ ผู้ปฏิบัติการพยาบาลข้ันสูง ซึ่งต้องใช้ทักษะและ ประเมินผลการปฏิบัติ และปรับเปล่ียนแนวทาง สมรรถนะในการจัดการ มีความรู้ที่กว้างและลึก มาใช้ในการดูแลผู้ป่วยสูงอายุในกลุ่มที่ไม่สามารถ ใช้วิจารณญาณในการไตร่ตรองหาเหตุผลเพื่อ ควบคุมความดันโลหิตได้ เพื่อเป็นการพัฒนา ตัดสินใจทางคลินิกในการจัดการกับผู้ป่วยที่มี ศักยภาพของพยาบาลในด้านการส่งเสริม ป้องกัน ปัญหาซับซ้อนให้มีทักษะในการดูแลสุขภาพได้ แ ล ะ ว า ง รู ป แ บ บ ก า ร ดู แ ล สุ ข ภ า พ ไ ด้ อ ย่ า ง มี ท้ังนี้เพราะการช้ีแนะจะช่วยปรบั ปรุงแกไ้ ขจดุ อ่อน เปา้ หมาย และเพ่ือใหผ้ ้ปู ว่ ยไดพ้ ัฒนาความรู้ และ ของการสอนแบบเดิม ๆ ท่ีมุ่งเน้นให้ผู้ป่วยเข้าใจ มีทักษะในการจัดการตนเองให้สามารถควบคุม เฉพาะข้อมูล แต่การชี้แนะมุ่งสอนให้ผู้ป่วยใช้ ความดันโลหิตได้ ในด้านการควบคุมอาหาร การ ทักษะ หรือสอนเทคนิคเฉพาะด้าน ต้องมีกลวิธี ด่ืมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และการสูบบุหร่ี และมีขั้นตอนในการปฏิบัติ เพ่ือให้ผู้ป่วยนาทักษะ การออกกาลังกาย การรับประทานยา และ การ ไปปฏิบัติได้จริง และมีการปฏิบัติอย่างต่อเน่ือง จัดการกับความเครียด เพราะพฤติกรรมแต่ละ อีกทั้งยังช่วยสร้างสัมพันธภาพอันดีระหว่างผู้ป่วย ด้านเป็นปัจจัยท่ีมีส่วนเกี่ยวข้องกับโรคความดัน 44 Vol. 6 No. 2, April – June 2020 Academic Journal of Community Public Health
วารสารวชิ าการสาธารณสขุ ชมุ ชน ปีท่ี 6 ฉบับที่ 2 เมษายน – มิถุนายน 2563 โลหิตสูง อันจะทาให้ผู้ป่วยดารงชีวิตได้อย่างมี 3. ยนิ ดเี ข้าร่วมวจิ ัย ความสุขท้ังทางร่างกาย จิตใจ สังคม และจิต เกณฑก์ ารคดั ออก (Exclusion criteria) วิญญาณ และมีคณุ ภาพชวี ติ ท่ีดตี ่อไป 1. กลุ่มตัวอย่างเป็นโรคความดันโลหิตสูงท่ี มีภาวะแทรกซ้อน ได้แก่ โรคเบาหวาน โรคหัวใจ ดังนั้นผู้วิจัยในฐานะผ่านการรับรองจาก โรคหลอดเลือดสมอง โรคไต จนทาให้มีข้อจากัด สภาการพยาบาล เป็นผู้ปฎิบัติการพยาบาลขั้นสูง ทางกายท่ีไม่สามารถปฏิบัติกิจวัตรประจาวันได้ สาขาการพยาบาลผู้สูงอายุ จึงต้องการศึกษาผล ด้วยตนเอง ของการนากระบวนการช้ีแนะท่ีเปน็ สมรรถนะหนึ่ง 2. ระดับความดันโลหิตมากกว่า 180/110 ของพยาบาลผู้ปฎิบัติการข้ันสูง มาใช้กับผู้ป่วย มิลลเิ มตรปรอท ซึง่ ต้องพบแพทยท์ นั ที กลุ่มน้ี โดยเชื่อว่ากระบวนการช้ีแนะนี้ จะช่วยให้ การคานวณขนาดของกล่มุ ตวั อยา่ ง สามารถพัฒนาศักยภาพของบุคคล ให้ปรับ กาหนดขนาดตัวอย่างโดยวิเคราะห์อานาจ พฤติกรรมสุขภาพได้ตรงกับสภาพปัญหา ความ ก า ร ท ด ส อ บ ( Power analysis) ข อ ง โ พ ลิ ท ต้องการ และมีอานาจในการตัดสินใจเลือกวิธีการ และเบค15 คานวณหาค่าขนาดอิทธิพล (effect ดูแลสุขภาพด้วยตนเอง เป็นวิธีการที่ทาให้เกิด size) จากงานวิจัยที่ผ่านมาใกล้เคียงท่ีสุดกับ ความย่ังยืนอีกด้วย งานวิจัยในคร้ังนี้ คือผลของการพัฒนาศักยภาพ การดูแลตนเองของผู้สูงอายุที่เป็นโรคความดัน วิธีดาเนินการวิจยั โลหิตสูง16 ได้ขนาดอิทธิพลเท่ากับ 0.8 เม่ือเปิด ตารางโคเฮน17 โดยกาหนดระดับความเชื่อมั่น การวิจัยคร้ังนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง เพ่ือ ที่ .05 ได้ขนาดกลุ่มตัวอยา่ งเท่ากับ 26 ราย และ เปรียบเทียบผลต่างของคะแนนพฤติกรรมสุขภาพ เพ่ือป้องกันการสูญหายของกลุ่มตัวอย่างระหว่าง และระดับความดันโลหิต ก่อนและหลงั การทดลอง การทดลอง ผ้วู ิจัยจึงเพ่ิมเป็นกลุ่มละ 30 ราย รวม ภายในกลุ่ม และ ระหว่างกลุ่ม ของผู้สูงอายุโรค ทัง้ หมด 60 ราย ความดันโลหิตสูงท่ีควบคุมไม่ได้ที่ได้รับการช้ีแนะ การเก็บรวบรวมขอ้ มลู กับกลุ่มที่ได้รับการสอน สุขศึกษาตามปกติ ผู้วิจัยดาเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลต้ังแต่ ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2560 – 30 เมษายน เดือน 1 ตุลาคม 2561- 30 กันยายน 2562 โดย 2561 จานวน 60 คน สุ่มเข้ากลุ่มทดลอง จานวน แบ่งกลุ่มตัวอย่างออกเป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่มทดลอง 30 คน และกลุ่มควบคุมจานวน 30 คน โดย ที่ได้รับการช้ีแนะ และ กลุ่มควบคุมท่ีได้รับการ กาหนดเกณฑใ์ นการคัดเข้า และคัดออกดังน้ี สอนสุขศึกษาตามปกติ การคัดเลือกกลุ่มตัวอย่าง เข้ากลุ่มทดลอง และ กลุ่มควบคุม ใช้วิธีการสุ่ม เกณฑก์ ารคัดเข้า (Inclusion criteria) อย่างง่าย (Simple Random Sampling) ด้วย 1. มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ที่ป่วยเป็นโรคความ การจับฉลากเข้ากลุ่มทดลอง และ กลุ่มควบคุม ดันโลหิตสูงท่ีควบคุมไม่ได้ ไม่มีภาวะแทรกซ้อน กลุ่มละ 30 คน โดยมีขน้ั ตอนตอ่ ไปนี้ หรือไม่มีโรคร่วม เช่น โรคเบาหวาน โรคหวั ใจ โรค 1. ผู้วิจัยขออนุญาตจากคณะกรรมการ หลอดเลือดสมอง และโรคไตเป็นต้น ท่ีมารับ จริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ของโรงพยาบาลพระ บริการทีแ่ ผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลโคกสาโรง นารายณ์มหาราช จังหวัดลพบรุ ี 2. มีสติสมั ปชญั ญะดี สามารถติดต่อสอ่ื สาร ได้ อ่านออกเขียนได้ สามารถรว่ มทากิจกรรม และ ใหข้ ้อมลู ดว้ ยตนเองได้ Academic Journal of Community Public Health 45 Vol. 6 No. 2, April – June 2020
วารสารวชิ าการสาธารณสขุ ชมุ ชน ปที ี่ 6 ฉบบั ท่ี 2 เมษายน – มิถนุ ายน 2563 2. เม่ือได้รับหนังสืออนุมัติจากผู้อานวยการ ป ร ะ เ มิ น ผ ล ก า ร ป ฏิ บั ติ แ ล ะ ก า ร ป รั บ เ ป ลี่ ย น โรงพยาบาลพระนารายณ์มหาราชแล้ว ผู้วิจัยเข้า แนวทางโดยผูป้ ว่ ยมีส่วนร่วมในการประเมินตนเอง พบผู้อานวยการโรงพยาบาลโคกสาโรง เพื่อชี้แจง ถึงปัญหา และ อุปสรรคท่ีเกิดขึ้น ระหว่างการ วัตถุประสงค์ รวมท้ังขั้นตอนการดาเนินการวิจัย ปฏบิ ตั ิกิจกรรมการดแู ลสุขภาพตามแผนการช้ีแนะ และขอความร่วมมือในการดาเนนิ การวจิ ยั โดยแต่ละครั้งมกี จิ กรรมดังนี้ 3. ผู้วจิ ัยดาเนนิ การทดลองดงั น้ี สัปดาห์ที่ 1 ได้รับแผนการชี้แนะที่แผนก ผู้ป่วยนอกช่วงเวลา 8.30-12.00 น.มีขั้นตอนการ กลุ่มทดลอง ดาเนนิ กิจกรรมดงั นี้ 1. ผู้วจิ ัยพบผูส้ งู อายเุ ป็นรายบุคคล ท่แี ผนก ข้ันตอนท่ี 1 ประเมินพฤติกรรมสุขภาพ ผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลโคกสาโรง จากนั้นสร้าง และวิเคราะห์ปัญหาท่ีเป็นสาเหตุให้ผู้ป่วยไม่ สัมพันธภาพโดยแนะนา ตนเอง และช้ีแจง สามารถควบคมุ ความดันโลหิตได้ วัตถุประสงค์การวิจัย ข้ันตอน และระยะเวลา รวมทั้งการร่วมมือในการทาวิจัย และ พิทักษ์สิทธิ์ 1.1 ผู้วิจัยทักทายผู้ป่วยด้วยความเป็น ผู้ป่วยโดยการอธิบายให้ผู้ป่วยเข้าใจว่าในการร่วม กันเองแสดงท่าทีที่เป็นมิตร ขออนุญาตวัดความ การวิจัยในคร้ังนี้ผู้ป่วยสามารถปฏิเสธหรือถอนตัว ดันโลหิต สอบถามสภาพความเป็นอยู่ท่ัวไป แบบ อกจาการวิจัยได้ตลอดเวลาที่ต้องการ และไม่มี แผนการดาเนินชีวิต สนทนาเกี่ยวกับความ ผลกระทบใดๆต่อการรักษาพยาบาลเมื่อผู้ป่วย เจ็บป่วยที่ผ่านมา การรักษาพยาบาลที่ได้รับ การ สมัครใจยินดีท่ีเข้าร่วมในการศึกษาวิจัย ให้ผู้ป่วย ดูแลตนเองที่ผ่านมา เช่น การควบคุมอาหาร ลงชื่อในใบยินยอมเข้าร่วมวิจัย หลังจากน้ันผู้วิจัย หรือไม่ อย่างไร การออกกาลังกายสม่าเสมอ ให้ผู้ป่วยตอบแบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล แบบ หรือไม่ อย่างไร และประสบการณ์เก่ียวกับโรค ประเมินพฤติกรรมสุขภาพ และวัดระดับความดัน ความดันโลหิตสงู เปน็ อย่างไร เป็นตน้ โลหติ 1.2 ผู้วิจัยใช้เทคนิคการตั้งคาถาม 2. ข้ันตอนการช้ีแนะ ประกอบด้วย 4 ปลายเปิด เพ่ือกระตุ้นให้ผู้ป่วยมีส่วนร่วมในการ ขั้นตอนคือ 1) การประเมินและการวิเคราะห์ ประเมินปัญหาท่ีเป็นสาเหตุให้ควบคุมความดัน ปัญหาในการปฏิบัติกิจกรรมการดูแลสุขภาพของ โลหิตไม่ได้ และเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการ ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง ในด้านการควบคุม ในการแก้ปัญหาของผ้ปู ่วย เช่น สิ่งที่ทาให้ผู้ปว่ ยไม่ อาหาร การดื่มเคร่ืองด่ืมท่ีมีแอลกอฮอล์ การสูบ สามารถควบคุมความดันโลหิตได้ และอะไรเป็น บุหรี่ การออกกาลังกาย การรับประทานยา และ สาเหตใุ หเ้ กดิ พฤติกรรมนนั้ การจัดการกับความเครียดเพ่ือค้นหาปัญหา และ สาเหตุท่ีไม่สามารถควบคุมความดันโลหิตได้ 1.3 ผู้วิจัยกระตุ้นให้ผู้ป่วยประเมินและ 2) กา หน ดวั ตถุ ปร ะส งค์แ ละ ว า งแ ผน กา ร สรุปปัญหาในแต่ละด้านท่ีอาจเป็นสาเหตุ ให้ผ้ปู ว่ ย ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้เหมาะสม โดยมีผู้วิจัย ไม่สามารถควบคุมความดันโลหิตได้ ได้แก่ ด้าน คอยชี้แนะ สนับสนุน และให้ข้อมูลย้อนกลับ ก า ร ค ว บ คุ ม อ า ห า ร ก า ร ดื่ ม เ ค ร่ื อ ง ดื่ ม ที่ มี 3) นาแผนท่ีวางไวม้ าปฏบิ ัติ โดยมีผู้วิจยั คอยชี้แนะ แอลกอฮอล์ และการสูบบุหร่ี การออกกาลังกาย ให้คาแนะนาเพิ่มในบางกิจกรรมที่ยังปฏิบัติไม่ การรับประทานยา และการจัดการกบั ความเครยี ด ถูกต้อง และให้ข้อมูลย้อนกลับเชิงบวก 4) การ ทั้งนี้ผู้วิจัยกระตุ้นให้ผู้ป่วยสะท้อนคิดอย่างมี วจิ ารณญาณ โดยให้ผ้ปู ่วยทาความเขา้ ใจกบั ปญั หา รู้ถึงสาเหตุของปัญหา และอุปสรรค รวมท้ังใช้ 46 Vol. 6 No. 2, April – June 2020 Academic Journal of Community Public Health
วารสารวชิ าการสาธารณสขุ ชมุ ชน ปที ่ี 6 ฉบับที่ 2 เมษายน – มิถนุ ายน 2563 คาพูดทางบวกในการเสริมแรงผู้ป่วยให้เกิดความ แพทย์ การจัดการกับความเครียดโดยใช้เทคนิค มั่นใจ ผ่อนคลายด้วยวิธีหายใจแบบลึก ๆ ช้า และ สม่าเสมอ การฟังเพลง การอ่านหนังสือ และการ 1.4 ผู้วิจัยรวบรวมปัญหา และอุปสรรค ทาสมาธิ ให้ผู้ป่วยย้อนกลับบอกสิ่งท่ีต้องปรับปรุง ที่เป็นสาเหตุให้ผู้ป่วยไม่สามารถควบคุมความดัน แก้ไขขณะปฏบิ ัตกิ จิ กรรม โลหิตได้แล้ว สรุปให้ผู้ป่วยทราบ และให้ผู้ป่วย ตัดสินใจเลือกปัญหาทตี่ อ้ งแก้ไขก่อน 3.2 สร้างความม่ันใจในการปฏิบัติโดย การแจกแผ่นพับโรคความดันโลหิตสูงในผู้สูงอายุ 2. ขั้นตอนท่ี 2 วางแผนในการปฏิบัติ และแบบบันทึกพฤติกรรมสุขภาพของผู้ป่วยโรค กิจกรรมสุขภาพ เพ่ือแก้ไขปัญหาที่เป็นสาเหตุให้ ความดันโลหิตสูง เพื่อให้ผู้ป่วยบันทึกทุกสัปดาห์ ผู้ป่วยไม่สามารถควบคมุ ความดนั โลหิตได้ หลังจากน้ันนัดผู้ป่วยอีก สัปดาห์ ที่ 4, 8 และ12 โดยทบทวนการปรับพฤติกรรมตามเป้าหมาย ขัน้ ตอนนี้ดาเนินการต่อเนือ่ งจากข้ันที่ 1 ร่วมกัน และใช้คาพูดทางบวกในการเสริมแรง เพ่ือให้ผู้ปว่ ยปฏิบัติตามแผนที่เป็นสภาพการณ์จริง ผู้ป่วยให้เกิดความม่ันใจ พร้อมทั้งประเมิน ดังน้ี พฤติกรรมสุขภาพ และวัดความดันโลหิต กล่าวคา อาลา ชมเชย และให้กาลังใจผู้ป่วย ผู้วจิ ัยกลา่ วคา 2.1 ผู้วิจัยกระตุ้นให้ผู้ป่วยตั้งเป้าหมาย อาลาสนิ้ สุดการวิจยั และวางแผนการปฏิบัติท่ีมีความเฉพาะเจาะจง และสามารถปฏิบัติได้ตามความรู้พ้ืนฐาน และ กลมุ่ ควบคุม ประสบการณ์เดิมของผู้ป่วย โดยการต้ังเป้าหมาย กลุ่มคว บคุมได้รับการสอนสุขศึกษา วา่ ต้องการแก้ไขปัญหาพฤติกรรมด้านไหนก่อน ใช้ ระยะเวลาเท่าไหร่ในการแก้ไขปัญหาแต่ละด้าน ตามปกติ โดยสอนในตอนเช้าท่ีแผนกผู้ป่วยนอก หรือจะแก้ไขปัญหาไปพร้อม ๆ กันในแต่ละด้านก็ ซ่ึงเป็นกลุ่มเปิด หรือสอนรายบุคคลในรายท่ี ได้ ผิดปกติท่ีโต๊ะซักประวัติแบบรีบเร่ง ไม่มีลาดับ ขัน้ ตอน และ ยงั เปน็ สถานทม่ี ีเสยี งดงั รบกวน 2.2 เปิดโอกาสให้ผู้ป่วยซักถามปัญหา ต่าง ๆ ท่ีสงสัย หรือต้องการทราบข้อมูลเพ่ิมเติม ข้ันตอนการดาเนนิ งาน และถ้าหากผู้ป่วยวางแผนการปฏิบัติไม่ครอบคลุม 1. แผนการชี้แนะเพ่ือการปรับพฤติกรรม ผวู้ จิ ยั จะใหค้ าแนะนา และชี้แนะเพ่ิมเตมิ สุขภาพของผู้สูงอายุโรคความดันโลหิตสูงชนิดไม่ 3. ข้ันตอนท่ี 3 การปฏิบัติกิจกรรม ทราบสาเหตุ โดยใช้แนวคิดการชี้แนะของแฮส สุขภาพเพ่ือแก้ไขปัญหาท่ีเป็นสาเหตุให้ผู้ป่วยไม่ (HASS) 18 มาประยุกต์ใช้ ซ่ึงประกอบด้วย 4 สามารถควบคมุ ความดันโลหติ ได้ ขั้นตอนคือ 1) การประเมินและวิเคราะห์ปัญหา 2) การกาหนดวัตถุประสงค์และว างแผน 3.1 ฝึ ก ป ฏิ บั ติ กิ จ ก ร ร ม ท่ี ห้ อ ง ใ ห้ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้เหมาะสม 3) นาแผนที่ คาปรึกษาแผนกผู้ป่วยนอกโรงพยาบาลโคกสาโรง วางไว้มาปฏิบัติ 4) การประเมินผลการปฏิบัติและ ท่ีมีปัญหาแต่ละด้านของผู้ป่วย เช่น การเลือก การปรับเปลี่ยนแนวทาง ซึ่งผู้วิจัยดาเนินการตาม รับประทานอาหารให้เหมาะสมกับโรคความดัน กระบวนชี้แนะท้ัง 4 ขั้นตอน จานวน 4 คร้งั โลหิตสูง อาหารท่ีควรรับประทาน หรืออาหารท่ี ควรงดหรือทานให้น้อยที่สุด การงดด่ืมเครื่องด่ืมที่ 2. เครอ่ื งวัดความดันโลหติ มีแอลกอฮอล์ และการสูบบุหรี่ รูปแบบการออก กาลังกายท่ีเหมาะสม เช่น การเดิน การข่ีจักรยาน และการว่ายน้า การรับประทานยาตามคาส่ังของ Academic Journal of Community Public Health 47 Vol. 6 No. 2, April – June 2020
วารสารวิชาการสาธารณสขุ ชมุ ชน ปีที่ 6 ฉบบั ท่ี 2 เมษายน – มิถนุ ายน 2563 3. เอกสารประกอบการชี้แนะ ได้แก่ ภาพ ดันโลหิตสูงมากกว่า 6 ปี คิดเป็นร้อยละ 70 ส่วน พลิก แผ่นพับ และแบบบันทึกพฤติกรรมสุขภาพ ใหญ่ไม่สูบบุหรี่ร้อยละ 80 ไม่ด่ืมแอลกอฮอล์ ร้อย ของผู้ป่วยในแตล่ ะสัปดาห์ ละ 83.30 และประวัติในครอบครัวไม่มีความดัน โลหิตสูงร้อยละ 56.70 ส่วนในกลุ่มควบคุม เคร่อื งมอื ท่ใี ช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล จานวน 30 คนเป็นเพศชายร้อยละ 53.30 เพศ 1. แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคลของ หญงิ รอ้ ยละ 46.70 สว่ นใหญอ่ ายุ 60-70 ปี คดิ ผู้สูงอายุโรคความดันโลหิตสูง ได้แก่ เพศ อายุ เป็นร้อยละ 66.67 มีสถานภาพหม้าย คิดเป็น อาชีพ สภาภาพสมรส ระดับการศึกษา รายได้ ร้ อ ย ล ะ 56.70 มี ก า ร ศึ ก ษ า อ ยู่ ใ น ร ะ ดั บ ระดับความรุนแรงของโรค ระยะเวลาในการเป็น ประถมศึกษา คิดเป็นร้อยละ 67.90 ส่วนใหญ่มี โรค และความดันโลหิต อาชีพรับจ้างทาไร่ทานา ร้อยละ 71 รายได้น้อย 2. แบบประเมินพฤติกรรมสุขภาพของ กว่าเดือนละ 5,000 บาท คิดเป็นร้อยละ 50 ป่วย ผู้สูงอายุโรคความดันโลหิตสูงชนิดไม่ทราบสาเหตุ เปน็ โรคความดันโลหติ สูงมากกวา่ 6 ปี คิดเปน็ รอ้ ย ซึ่งประกอบ ด้วย พฤติกรรมการควบคุมอาหาร ละ 56.70 ส่วนใหญ่ไม่สูบบุหรี่ร้อยละ 86.70 ไม่ การดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ และและการสูบ ดื่มแอลกอฮอล์ ร้อยละ 86.70 และ ประวัติใน บุหรี่ การออกกาลังกาย การรับประทานยา และ ครอบครัวไมม่ ีความดันโลหติ สูงรอ้ ยละ 70 การจัดการกับความเครียด และหาความเช่ือม่ัน คะแนนเฉล่ียพฤติกรรมสุขภาพ ในกลุ่ม โดยนาไปทดลองใช้กับผู้สูงอายุโรคความดันโลหิต ทดลอง ระยะหลังการทดลองสูงกว่าก่อนการ สูงที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่างจานวน 30 คนได้ค่าความ ทดลอง ระดับความดันโลหิต ในระยะหลังการ เช่ือมั่นเท่ากับ .81 โดยลักษณะคาถามเป็นมาตรา ทดลอง ต่ากว่าก่อนการทดลอง และ พบว่า สว่ นแบบประมาณค่า (Rating scale) 4 ระดับ แตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (p<.05) ดงั แสดงในตารางท่ี 1 การพิทกั ษส์ ิทธิกลมุ่ ตัวอยา่ ง คะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมสุขภาพ ในกลุ่ม โครงการวิจัยผ่านการพิจารณาของ ควบคุม ระยะก่อนการทดลอง และหลังการ คณะกรรมการจริยธรรมการพัฒนาในคนของ ทดลอง พบว่าไม่แตกต่างกัน (p>.05) ดังแสดงใน โรงพยาบาลพระนารายณ์มหาราช จังหวัดลพบุรี ตารางท่ี 2 (KHN 26/2560) คะแนนเฉล่ียพฤติกรรมสุขภาพ และ ระดับ ผลการวิจัย ความดันโลหิต ระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่ม ควบคุม ในระยะก่อนการทดลองพบว่าไม่แตกต่าง ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงในกลุ่มทดลอง กนั (p>.05) ดงั แสดงในตารางที่ 3 จานวน 30 คน เป็นเพศชายร้อยละ 55.33 เพศ คะแนนเฉลี่ยพฤตกิ รรมสขุ ภาพในระยะหลัง หญิง ร้อยละ 44.67 ส่วนใหญ่อายุ 60-70 ปี คิด เป็นร้อยละ 73.33 มีสถานภาพหม้าย คิดเป็น การทดลองของกลุ่มทดลอง สูงกว่ากลุ่มควบคุม ร้อยละ 46.7 มีการศึกษาอยูใ่ นระดบั ประถมศึกษา ระดับความดันโลหิตในกลุ่มทดลอง ต่ากว่า กลุ่ม คิดเป็นร้อยละ 66.70 ส่วนใหญ่มีอาชีพรับจ้างทา ควบคุม และพบว่าแตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญ ไร่ทานา ร้อยละ 71 รายได้น้อยกว่าเดือนละ ทางสถติ ทิ ่ีระดบั .05 (p<.05) ดงั แสดงในตารางที่ 4 5,000 บาท คิดเป็นร้อยละ 46 ป่วยเป็นโรคความ 48 Academic Journal of Community Public Health Vol. 6 No. 2, April – June 2020
วารสารวชิ าการสาธารณสุขชมุ ชน ปีที่ 6 ฉบับท่ี 2 เมษายน – มิถุนายน 2563 ตารางท่ี 1 ผลการเปรียบเทียบคะแนนเฉลยี่ พฤติกรรมสุขภาพ และ ระดับความดนั โลหิตในระยะกอ่ น ทดลอง และ หลงั ทดลอง ภายในกลุม่ ทดลอง ก่อนทดลอง หลังทดลอง t p พฤตกิ รรมสุขภาพ X SD X SD พฤติกรรมโดยรวม 49.63 2.93 70.63 3.11 34.62* < 0.001 ด้านการควบคุมอาหาร 22.47 1.83 31.27 2.18 19.30* < 0.001 ด้านการดืม่ เครือ่ งดมื่ ท่ีมีแอลกอฮอล์ 5.63 .85 7.20 .99 10.50* < 0.001 และการสบู บหุ ร่ี ด้านการออกกาลังกาย 11.40 1.03 15.37 .71 16.38* < 0.001 ดา้ นการจดั การกบั ความเครียด 3.60 .49 6.57 .50 20.09* < 0.001 ดา้ นการรบั ประทานยา 6.53 1.13 10.23 1.10 15.70* < 0.001 ค่าความดันโลหิตซีสโตลคิ 162.67 7.48 148.13 9.63 12.17* < 0.001 ค่าความดันโลหิตไดแอสโตลคิ 92.17 7.79 86.97 6.57 3.03* < 0.005 *p < .05 ตารางท่ี 2 ผลการเปรียบเทียบคะแนนเฉล่ียพฤติกรรมสุขภาพ และ ระดับความดันโลหิต ในระยะกอ่ น การทดลอง และ หลังการทดลอง ภายในกลุม่ ควบคมุ ก่อนทดลอง หลงั ทดลอง t p พฤตกิ รรมสขุ ภาพ X SD X SD พฤติกรรมโดยรวม 50.13 2.24 50.80 2.55 29.00 .06 ด้านการควบคุมอาหาร 22.87 1.71 23.00 2.10 .72 .47 ด้านการดื่มเคร่อื งดม่ื ที่มีแอลกอฮอล์ 5.70 .75 5.83 .98 1.07 .29 และการสบู บุหร่ี ดา้ นการออกกาลงั กาย 11.33 .88 11.60 .89 2.11 .06 ดา้ นการจัดการกับความเครยี ด 3.50 .50 3.60 .49 1.79 .08 ด้านการรบั ประทานยา 6.73 .45 6.77 .56 .57 .58 ค่าความดันโลหติ ซสี โตลิค 161.07 6.75 160.00 6.54 .80 .42 คา่ ความดนั โลหิตไดแอสโตลคิ 91.43 7.95 92.40 6.05 .16 .11 *p < .05 Academic Journal of Community Public Health 49 Vol. 6 No. 2, April – June 2020
วารสารวิชาการสาธารณสขุ ชมุ ชน ปที ี่ 6 ฉบบั ที่ 2 เมษายน – มถิ ุนายน 2563 ตารางท่ี 3 ผลการเปรยี บเทียบคะแนนเฉล่ียพฤติกรรมสุขภาพ และ ระดับความดันโลหิต ระหว่างกลุม่ ทดลองและกลมุ่ ควบคมุ ในระยะกอ่ นการทดลอง กล่มุ ทดลอง กล่มุ ควบคมุ t p พฤตกิ รรมสุขภาพ X SD X SD พฤติกรรมโดยรวม 49.63 2.93 50.13 2.44 .46 .74 ด้านการควบคุมอาหาร 22.47 1.83 22.87 1.71 .38 .87 ดา้ นการดื่มเคร่ืองดื่มท่ีมีแอลกอฮอล์ 5.63 .85 5.70 .75 .32 .74 และการสูบบุหร่ี ดา้ นการออกกาลังกาย 11.40 1.03 11.33 .88 .79 .26 ดา้ นการจัดการกับความเครียด 3.60 .49 3.50 .50 .44 .76 ดา้ นการรบั ประทานยา 6.53 1.13 6.73 .45 .37 .89 ค่าความดนั โลหิตซีสโตลิค 162.67 7.48 161.07 6.75 .38 .86 ค่าความดันโลหติ ไดแอสโตลคิ 92.17 7.79 91.43 7.95 .72 .91 *p < .05 ตารางที่ 4 ผลการเปรยี บเทียบคะแนนเฉลยี่ พฤติกรรมสุขภาพ และระดบั ความดันโลหิต ระหว่างกลุม่ ทดลองและกลุ่มควบคมุ ในระยะหลงั การทดลอง กลมุ่ ทดลอง กลุ่มควบคุม t p พฤติกรรมสขุ ภาพ X SD X SD พฤติกรรมโดยรวม 70.63 3.11 50.80 2.66 26.99* < 0.001 ดา้ นการควบคุมอาหาร 31.27 2.18 23.00 2.10 14.95* < 0.001 ดา้ นการดืม่ เคร่ืองดื่มท่ีมีแอลกอฮอล์ 7.20 .99 5.83 .98 5.34* < 0.001 และการสูบบุหร่ี ดา้ นการออกกาลังกาย 15.37 .71 11.60 .89 17.98* < 0.001 ดา้ นความเครียด 6.57 .05 3.60 .49 22.92* < 0.001 ด้านการรับประทานยา 6.77 .56 6.67 .56 15.28* < 0.001 คา่ ความดนั โลหติ ซสี โตลคิ 148.13 9.63 160.00 6.54 5.57* < 0.001 ค่าความดันโลหิตไดแอสโตลคิ 86.97 6.57 92.40 6.05 3.30* < 0.002 *p < .05 การอภิปรายผลการวจิ ัย โลหิตลดลง จากก่อนทดลอง และลดลงมากกว่า กลุ่มควบคุม ได้ผลแตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญ จ า ก ผ ล ก า ร ศึ ก ษ า วิ จั ย ข้ า ง ต้ น ส า ม า ร ถ ทางสถิติท่ีระดับ .05 (p<.05) แสดงให้เห็นว่า อภิปรายได้ว่า คะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมสุขภาพใน กระบวนการช้ีแนะช่วยเพิ่มพูนทักษะการปฏิบัติ กลุ่มทดลองเพ่ิมขึ้นจากก่อนการทดลอง และ พฤติกรรมสุขภาพอย่างต่อเน่ือง และสม่าเสมอ เพิ่มข้ึนมากกว่ากลุ่มควบคุม ส่วนระดับความดัน โดยมีผู้วิจัยเป็นผู้ให้ข้อมูล สอนฝึกปฏิบัติ การให้ 50 Vol. 6 No. 2, April – June 2020 Academic Journal of Community Public Health
วารสารวิชาการสาธารณสขุ ชมุ ชน ปที ่ี 6 ฉบับท่ี 2 เมษายน – มถิ ุนายน 2563 คาช้ีแนะ สนับสนุน และให้ข้อมูลย้อนกลับ จึงทา ประโยชน์ต่อผู้ป่วยการท่ีผู้ป่วยได้รู้ถึงประโยชน์ที่ ให้ผู้ป่วยมีการพัฒนาทักษะ และสามารถปฏิบัติ เกิดขึ้นกับตนเอง ทาให้เกิดแรงจูงใจที่จะเรียนรู้ พฤติกรรมสุขภาพได้ถูกต้องด้วยความชานาญ ใน และ ทาให้เห็นความสาคัญในการปฏิบัติกิจกรรม การวิจัยครั้งน้ี ผู้วิจัยใช้กระบวนการชี้แนะท่ี ซ่ึงพบว่าผู้ป่วยสามารถวางแผนปฏิบัติกิจกรรมที่ ประกอบด้วย 1) การประเมินและการวิเคราะห์ ถูกต้องมากข้ึน พร้อมกับให้คาชมเชยเม่ือปฏิบัติ ปัญหาในการปฏิบัติกิจกรรมการดูแลสุขภาพของ ถูกต้อง นอกจากน้ีผ้วู ิจัยยงั ใหข้ ้อมลู ย้อนกลับ และ ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง ในด้านการควบคุม ให้คาแนะนาเพิ่มเติม ทาให้ผู้ป่วยมีความรู้ อาหาร การดื่มเครื่องด่ืมท่ีมีแอลกอฮอล์ การสูบ ความสามารถ พัฒนาทักษะการปฏิบัติพฤติกรรม บุหรี่ การออกกาลังกาย การรับประทานยา และ ตามศักยภาพของตนเองในสถานการณ์จริง ได้ การจัดการกับความเครียด เพื่อค้นหาปัญหาและ ถูกต้องมากข้ึน และเน้นปฏิบัติต่อเนื่อง พร้อมทั้ง สาเหตุที่ไม่สามารถควบคุมความดันโลหิตได้ 2) เปิดโอกาสให้ผู้ป่วย ได้ร่วมการประเมินผล ซึ่งทา กาหนดวัตถุประสงค์และวางแผนการปรับเปล่ียน ให้ผู้ป่วยได้รู้ว่า ปฏิบัติกิจกรรมของตนนั้นบรรลุ พฤติกรรมให้เหมาะสม โดยมีผู้วิจัยคอยช้ีแนะ เป้าหมายหรือไม่ มีอุปสรรคในการปฏิบัติกิจกรรม สนับสนนุ และ ใหข้ อ้ มลู ยอ้ นกลับ 3) นาแผนท่ีวาง หรือไม่ และมีการหาแนวทางแก้ปัญหาร่วมกัน ไว้มาปฏิบัติ โดยมีผู้วิจัยคอยช้ีแนะให้คาแนะนา ทาให้ผู้ป่วยมีความม่ันใจในการปฏิบัติกิจกรรมจน เพิ่มในบางกิจกรรมท่ียังปฏิบัติไม่ถูกต้อง และให้ สามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพได้อย่าง ข้อมูลย้อนกลับเชิงบวก 4) การประเมินผลการ ต่อเนื่อง ซ่ึงต่างจากกลุ่มควบคุมที่ได้รับการสอน ปฏิบัติและการปรับเปลี่ยนแนวทางโดยผู้ป่วยมี สุขศึกษาตามปกติ ส่วนใหญ่รูปแบบการสอนเป็น ส่วนร่วมในการประเมินตนเองถึงปัญหา และ ลักษณะการให้ข้อมูล คาแนะนา ช่วยให้ผู้ป่วย อุปสรรคที่เกิดข้ึน กระบวนการดังกล่าวทาให้ ได้รับความรู้ในปัญหาเฉพาะเรื่องที่กาลังมีปัญหา ผู้วิจัยและผู้ป่วยทราบปัญหาท่ีแท้จริงของผู้ป่วย และจาเป็นต้องรู้เท่านั้น เน่ืองจากมีข้อจากัดใน และผู้ป่วยเกิดความตระหนักในเร่ืองพฤติกรรม เร่ือง เวลา บคุ ลากร จึงไม่สามารถวางแผนร่วมกับ สุขภาพ สอดคล้องกับการศึกษาของ Sangster ผู้ป่วยได้ และเมื่อผู้ป่วยนาไปปฏิบัติ ก็ขาดการ และคณะ19 ศึกษาผลของการฝึกการออกกาลัง ประเมินผลร่วมกัน จึงทาให้ผู้ป่วยมีคะแนน กายร่มกับประเมินการเคล่ือนไหวและน้าหนักตัว พฤติกรรมสุขภาพแต่ละด้านต่ากว่ากลุ่มท่ีได้รับ ของผู้ป่วยระยะฟื้นฟูสมรรถภาพโรคหัวใจ ใช้ การชี้แนะ และระดับความดันโลหิต สูงกว่ากลุ่มท่ี โปรแกรมการชี้แนะเป็นรายบคุ คลในเร่อื งแผนการ ได้รับการช้ีแนะ ชี้ให้เห็นชัดว่าสามารถจัดบริการ ดาเนินชีวิต เรื่องอาหาร และ การออกาลังกาย ให้ประชาชนได้ และมีผลการดาเนินงานเกิดขึ้น พบว่า หลังการเข้าร่วมโปรแกรมกลุ่มทดลองมีการ จริง ส่งผลต่อผู้ป่วยเกิดความตระหนักในเร่ือง เคลื่อนไหวร่างกายเพ่ิมขึ้นอย่างมีนัยสาคัญทาง พฤติกรรมสุขภาพ และปรับพฤติกรรมสุขภาพของ สถติ เิ ม่อื เทยี บกับกลุ่มเปรียบเทยี บ (p<.05) ตนเองใหด้ ีข้นึ ส่งผลตอ่ คุณภาพชวี ิตที่ดีตอ่ ไป การวางแผนการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ประโยชนท์ ีไ่ ด้จากการวิจัยและข้อเสนอแนะ สุขภาพของผู้ป่วยโดย ผู้วิจัยกระตุ้นให้ผู้ป่วย 1. ด้านการปฏิบัติจากผลการวิจัยพบว่า ต้ังเป้าหมาย เพ่ือนามาวางแผนการปฏิบัติ กิจกรรมท่ีผู้ป่วยสามารถปฏิบัติได้จริงตามความรู้ คะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมสุขภาพของผู้สูงอายุโรค และประสบการณ์เดิมของผู้ป่วย และก่อให้เกิด ความดันโลหิตสูงชนิดไม่ทราบสาเหตุ เพิ่มข้ึนจาก Academic Journal of Community Public Health 51 Vol. 6 No. 2, April – June 2020
วารสารวชิ าการสาธารณสุขชมุ ชน ปีที่ 6 ฉบับที่ 2 เมษายน – มิถุนายน 2563 ก่อนการทดลอง และเพ่ิมขึ้นมากกว่ากลุ่มควบคุม ตลอดจนการใช้ Software ในการวิเคราะห์ข้อมูล ส่วน ระดับความดันโลหติ ลดลง จากก่อนทดลอง ขอขอบคุณ นายแพทย์ นุสิทธ์ิ ชัยประเสริฐ และ ลดลงมากกว่ากลมุ่ ควบคุม ได้ผลแตกตา่ งกัน นายแพทย์ชานาญการพิเศษ ด้าน อายุรกรรม อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ.05 (p<.05) โรงพยาบาลโคกสาโรง ที่ให้คาปรึกษา และ ดั ง นั้ น ก า ร ไ ด้ รั บ แ ผ น ก า ร ช้ี แ น ะ เ พ่ื อ ก า ร ป รั บ แนะนาเป็นอย่างดี และขอขอบคุณพยาบาลทุก พฤติกรรมสุขภาพของผู้สูงอายุโรคความดันโลหิต ท่านในโรงพยาบาลโคกสาโรงที่ให้ความร่วมมือใน สงู ชนิดไม่ทราบสาเหตุ ช่วยแก้ปัญหาความรุนแรง การทาวิจัยครั้งน้ี จนทาให้งานวิจัยสาเร็จลุล่วงไป ของโรค และป้องกันการเกิดภาวะฉุกเฉินท่ีสมอง ด้วยดี สุดท้ายนี้ขอขอบคุณครอบครัวท่ีให้ความ ขาดเลอื ดไปเลี้ยงหรือโรคหลอดเลอื ดสมองได้ และ ช่วยเหลอื และใหก้ าลังใจตลอดมา มีคณุ ภาพชีวิตทด่ี ขี ึน้ บคุ ลากรด้านสาธารณสขุ ควร นาแผนการชี้แนะท่ีผู้วิจัยศึกษาข้ึนไปให้บริการใน เอกสารอา้ งองิ ผู้ป่วยกลุ่มโรคดังกล่าว รวมถึงขยายผลในระดับ ชุมชนตอ่ ไป 1. World Health Organization. A global brief on hypertension.[Internet]. 2. ด้านการบริหารและวิชาการ วางแผน American; 2013. [cited 2017 July 27]. นโยบาย ควรสนับสนุนงบประมาณให้มีการจัด from http://www. Ish- world.com อบรม/ส่งเจ้าหน้าท่ีอบรม เรื่อง การช้ีแนะ /downloads/pdf/ (Coaching) และ การจัดเวที KM เพื่อการปรับ global_brief_hypertension. พฤติกรรมสุขภาพของผู้สูงอายุโรคความดันโลหิต สูงชนิดไม่ทราบสาเหตุนี้ เนื่องจากทาให้ผู้ป่วย 2. Freid, V. M., Bernstein, A. B., & Bush, M. สามารถกลับไปใชช้ วี ติ อยา่ งปกติ และคณุ ภาพชีวิต A. Multiple Chronic conditions among ท่ีดี adults ageed 45 and over:Trends Over The past 10 years. [Internet]. American; 3. ด้านการวิจัย ควรศึกษาวิจัยของผู้ป่วย 2012. [cited 2017 July 27]. Available กลมุ่ เดิมนี้ต่อไป วัดผลซา้ 6 เดอื น 1 ปี เพื่อดคู วาม from http://www. Cdc. Gov/nchs. คงทนของโปรแกรมการช้ีแนะ และ ศึกษาวิจัย แผนการช้ีแนะเพื่อการปรับพฤติกรรมสุขภาพใน 3. สานกั โรคไม่ติดต่อกรมควบคมุ โรคกระทรวง ผู้ป่วยกลุ่มโรคไม่ติดเช้ืออ่ืน เช่น โรคเบาหวาน สาธารณสขุ . จานวนและอตั ราตายด้วยโรค หรือ โรคไตเรอื้ รังตอ่ ไป ความดนั โลหติ สูง ปี พ.ศ. 2544-2555; (เข้าถึง เมือ่ 27 กรกฏาคม 2560). เข้าถึงไดจ้ ากจาก กติ ตกิ รรมประกาศ http://www. Thaincd. Com/information-statistic/non- ขอขอบคุณ นายแพทย์ ไพโรจน์ สุรัตนวนิช communicable-disease-data. นายแพทย์สาธารณสุขจังห วัดลพบุรี และ นายแพทย์ ชาติชัย มหาเจริญสิริ ผู้อานวยการ 4. James PA. , Oparil S, Carter BL, โรงพยาบาลโคกสาโรง ท่ีอนุญาตให้ทาการวิจัย Cushman WC, Dennison-Himmelfarb C, ขอขอบคุณ รองศาสตราจารย์ ดร.ไพรัตน์ วงษ์ Handler J, et.al. Evidence-Based นาม ที่ให้คาปรึกษาในการวิเคราะห์ข้อมูล Guideline for the Management of High Blood Pressure in Adults: Report form 52 Vol. 6 No. 2, April – June 2020 Academic Journal of Community Public Health
วารสารวิชาการสาธารณสขุ ชมุ ชน ปที ่ี 6 ฉบบั ที่ 2 เมษายน – มถิ นุ ายน 2563 the Panel Member Appointed to the 10. มาลยั กาเนดิ ชาติ. การจัดการแบบมสี ว่ นร่วม Eighth Joint National Committee ในการดูแลสุขภาพของผู้ป่วยโรคความดนั (JNC8). JAMA. 2014; 311:507-20. โลหิตสูงตาบลหนองไขน่ า้ อาเภอหนองแค 5. weber, M. A., et al. Clinical practice จงั หวดั สระบรุ ี. วทิ ยานพิ นธ์สาธารณสขุ ศาสต guideline for the management of รมหาบัณฑติ สาขาวชิ าการจัดการระบบ hypertension in the community:A สขุ ภาพ. บณั ฑิตวทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั มหา statement by the American Society of สารคราม; 2552. Hypertension and the International Society of Hypertension. [Internet]. 11. สุชาดา อุปพัทธวานิชย์. ผลของการดูแล American; 2013.[cited 2017 July 27]. สุขภาพท่บี า้ นโดยทีมสุขภาพต่อความรู้ Available from http://www.ash- พฤติกรรมการดูแลตนเองและคา่ ความดัน us.org/documents/ ash_ish-guideline. โลหิตของผู้ป่วยโรคความดนั โลหติ สูงชนิดไม่ 6. สมาคมความดนั โลหติ สูงแห่งประเทศไทย. ทราบสาเหตุโรงพยาบาลแก่งหางแมวจังหวดั แนวทางการรักษาโรคความดันโลหติ สงู ในเวช จนั ทบุร.ี วทิ ยานพิ นธพ์ ยาบาลศาสตรมหา ปฏบิ ัติท่วั ไป(ฉบับปรุงปรงุ พ.ศ. 2558). บัณฑิต สาขาวชิ าการพยาบาลเวชปฏบิ ัติ (เขา้ ถึงเมื่อ 27 กรกฏาคม 2560); เขา้ ถงึ ได้ ชมุ ชน. บัณฑิตวิททยาลยั มหาวิทยาลัยบรู พา; จากจาก http://www. 2550. Thaihypertension.org. 7. ปัญญา จิตตพ์ ลู กุศล. ปัจจัยที่สมั พันธ์กับการ 12. จรนิ ทรัตน์ ขนั การไถ. ผลการสนบั สนนุ ทาง ควบคุมแรงดันเลือดในผู้ป่วยโรคความดันโลหิต สังคมตอ่ พฤตกิ รรมการออกกาลงั กายผสู้ งู อายุ สงู โรงพยาบาลทบั สะแก จงั หวดั โรคความดันโลหติ สงู . วทิ ยานิพนธค์ รุศาสตรม ประจวบครี ีขันธ.์ วารสารวิจยั ระบบ หาบณั ฑติ สาขาวิชาการสง่ เสรมิ สุขภาพ. สาธารณสขุ 2550; 3(2): 1336-1343. บณั ฑิตวทิ ทยาลยั ราชภัฏนครสวรรค์; 2550. 8. Dusing, R. Overcoming barriers to effective blood pressure control in 13. Spross, J. A. Expert Coaching and patients with hypertension. Curr Med Guidance. In A.B. Harmric, J. A. Spross, Res Opin. Aug ; 2006. 22(8): 1545-53. & C. M. Hanson (Eds). Advance nursing 9. Sritirakul, S. Nuntawan, C. Thrakul, S. practice:An integrative approach. (4 th Bullangpo, P. Paonibol, U. Factors ed.) pp ;2009: 159-190 related to the failure of controlling hypertension. Journal Public Health ; 14. วนดิ า สตปิ ระเสริฐ. ผลการชี้แนะต่อ 1999. 29(1): 49-58. พฤติกรรมสุขภาพและระดบั ความดันโลหิตของ ผ้ปู ว่ ยโรคความดนั โลหิตสงู ชนดิ ไมท่ ราบสาเหตุ ทไ่ี มส่ ามารถควบคมุ ความดันโลหิตได้. วิทยานิพนธป์ ริญญาพยาบาลศาสตรมหา บณั ฑิต สาขาการเวชปฏบิ ตั ิชุมชน. บัณฑิต วทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั บรู พา; 2558. Academic Journal of Community Public Health 53 Vol. 6 No. 2, April – June 2020
วารสารวชิ าการสาธารณสขุ ชมุ ชน ปีที่ 6 ฉบบั ท่ี 2 เมษายน – มิถุนายน 2563 15. Polit, DF. Beck, CT. Nursing 18. Haas, S. A. Coaching:Developing key Research:Gernerating and Assessing players. Journal of Nursing vidence for Nursing Practice.(8th ed). Adminstration 1992; 22(6): 54-58. . Philadephia:Lippincott; 2008. 19. Sangster,J., Furber,S., Allman- 16. ณฐั สุรางค์ บุญจนั ทรแ์ ละคณะ. ผลของการ Farinelli,M., Phongsavan,P., Redferm,J., พัฒนาศักยภาพการดูแลตนเองของผสู้ ูงอายทุ ี่ Hass,M., & Bauman,A. Effectiveness of เป็นโรคความดันโลหติ สงู . J Nurs Sci; 2554. Pedometer-Based Telephone Coaching 29(Suppl2): 93-102. Program on Weight and Physical Activity for People Referred to a 17. Cohen, J. Statistical Power Analysis for Cardiac Rehabilitation Programe: A the Behavioral Sciences. New York, NY: randomized controlled. Journal of Routledge Academic; 1988. Cardiopulmonary Rehabilitation & Prevention; 2015: 35(2), 124-129. 54 Vol. 6 No. 2, April – June 2020 Academic Journal of Community Public Health
วารสารวชิ าการสาธารณสขุ ชมุ ชน ปีท่ี 6 ฉบับท่ี 2 เมษายน – มิถนุ ายน 2563 Received: 18 Dec 2019, Revised: 9 Jan 2020 Accepted: 21 Feb 2020 นิพนธต์ ้นฉบบั การพัฒนารปู แบบการดแู ลผูป้ ว่ ยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ภายใต้รูปแบบ การจัดการโรคเรอื้ รัง (Chronic Care Model) ในคลนิ ิกโรคเบาหวาน โรงพยาบาลขนุ หาญ อาเภอขนุ หาญ จังหวัดศรสี ะเกษ ศภุ าวดี พันธ์หนองโพน1,* วรพจน์ พรหมสัตยพรต2 ผดุงศษิ ฏ์ ชานาญบริรักษ์3 บทคดั ยอ่ การวิจัยเชิงปฏิบัติการน้ี มีวัตถุประสงค์เพ่ือพัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ภายใต้รูปแบบการจัดการโรคเร้ือรัง (Chronic Care Model) ในคลินิกโรคเบาหวาน โรงพยาบาลขุนหาญ อาเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ ผู้เข้าร่วมการวิจัยเลือกตามเกณฑ์ที่กาหนด ประกอบด้วย 1) กลุ่มบริหาร จานวน 15 คน 2) กลุ่มภาคประชาชน จานวน 94 คน 3) กลุ่มทีมสหสาขาวิชาชีพ จานวน 15 คน รวมทั้งส้ิน 124 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสังเกตการณ์มีส่วนร่วม แบบสัมภาษณ์ แบบสอบถาม แบบประเมินการมีส่วนร่วมในการจัดระบบบริการสุขภาพ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิง พรรณา ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉล่ีย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าต่าสุด-สูงสุด และวิเคราะห์เชิงเน้ือหาของข้อมูล ผลการศึกษาพบวา่ การจัดการการดูแลผปู้ ่วยโรคไมติดต่อเรอ้ื รังในคลินิกเบาหวานครง้ั นม้ี ีการจัดการตาม 6 องค์ประกอบของแบบจาลองการดูแลโรคเร้ือรงั ของแวคเนอรท่ีสาคัญ 6 ประการคือ 1) ด้านระบบบรกิ าร มี การปรับระบบการทางานใหม่ให้ผู้ป่วยเข้าถึงได้ง่ายขึ้น 2) ด้านการสนับสนุนการจัดการตนเอง มีกิจกรรม กลุ่ม ให้ความรู้และการมาตรวจตามนัด 3) ด้านการออกแบบบริการ มีการจัดรูปแบบบริการเดียวกันใน เครือข่าย กาหนดกิจกรรมของคลินิกเบาหวานให้ชดั เจน 4) ด้านการสนับสนุนการตัดสินใจ จัดทาคู่มือแนว ทางการดูแลรักษาผู้ป่วยเบาหวาน และมีอาสาสมัครสาธารณสุขประจาหมู่บ้านเป็นจิตอาสา ให้ความ ช่วยเหลือผู้ป่วยในชุมชน 5) ระบบสารสนเทศทางคลินิก พัฒนาระบบข้อมูลท้ังเครือข่าย มีแผนท่ีในการ ติดตามเย่ียมบ้าน และโปรแกรมการตรวจสอบผู้ปว่ ยขาดนัด 6) ด้านส่งิ สนับสนุนในชุมชน พัฒนาระบบการ บริหารจัดการแบบมีส่วนร่วม ภายหลังนากระบวนการดูแลที่พัฒนาขึ้นไปใช้ ทาให้ผู้ป่วยกลุ่มเป้าหมาย สามารถควบคุมระดับน้าตาลในเลือดได้ดีอยู่ในระดับท่ีควบคุมได้มากขึ้น ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่า กระบวนการพัฒนาระบบบริการทพี่ ัฒนาขน้ึ เปน็ ผลสาเร็จจากการปรับระบบบริการแนวใหม่ทเี่ นน้ กิจกรรมที่ ครบวงจรทง้ั ระบบ เนน้ การทางานเชอ่ื มประสานกับชุมชนและเครือข่ายในพ้ืนที่ โดยมีกลไกการสนบั สนุนทดี่ ี ของหน่วยบรกิ ารและทมี ผูด้ ูแลทั้งในและนอกสถานบรกิ าร คาสาคัญ การพฒั นารูปแบบ ผปู้ ว่ ยโรคเบาหวาน การจดั การโรคเรอื้ รัง (Chronic Care Model) 1 นิสติ ปรญิ ญาโท หลักสตู รสาธารณสขุ ศาสตรมหาบณั ฑติ คณะสาธารณสขุ ศาสตร์ มหาวิทยาลยั มหาสารคาม 2 รองศาสตราจารย์ คณะสาธารณสขุ ศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม 3 อาจารย์ วทิ ยาลยั พยาบาลศรีมหาสารคาม *Corresponding author: [email protected] Academic Journal of Community Public Health 55 Vol. 6 No. 2, April – June 2020
วารสารวิชาการสาธารณสุขชมุ ชน ปีที่ 6 ฉบับท่ี 2 เมษายน – มถิ นุ ายน 2563 Original Article Development of Care for Patients with Type 2 Diabetes under the Chronic Disease Management Model (Chronic Care Model) in Diabetes Clinic Khunhan Hospital, Khunhan District, Sisaket Province Supawadee Pannongpon1,* Vorapoj Promasatayaprot2, Phadoongsit Chumanaborirak3 Abstract This study was an action research, aimed to develop the diabetes care system for patients under the Chronic Care Model in the diabetes clinic Khunhan Hospital, Khunhan District, Sisaket Province. The co-researchers were collected according to the criteria including. 1) The administrative group of 15 people. 2) The citizen group of 94 people. 3) The group of 15 people multidisciplinary team. This research conducted co-researchers 124 people. The data were collected by using participatory observation forms, interview questionnaires and evaluation forms for participation in health service system management. The data were analyzed by using descriptive statistics including percentage, average, mean and standard deviation, lowest - highest value and analyzed content analysis. The study found that the management of chronic non- communicable diseases in the diabetes clinic was managed in accordance with the 6 components of the Wagner's chronic care model, which are 6 important things: 1)Service system have adjusted the working system to make patients more easily accessible. 2 ) Self-management support have group activity providing knowledge and checking up by appointment. 3) Service design the same service format is provided in the network, clearly define the activities of the diabetes clinic. 4) Decision support creates guidelines for diabetes care and the village public health volunteers are volunteers to help patients in the community. 5) Clinical information system develop the entire network of information systems have a map to track home visits and a lack of appointment monitoring programs. 6) Community support develops a participatory management system. After implementing the developed care process making the target patients able to control blood sugar levels well at a more controlled level. The results show that the developed service system development process was a successful result of a new service system focusing on a complete system of activities. Focus on working with communities and local networks. There was good support mechanisms of the service unit and the care team both interior and exterior the service place. Keyword: Model development, diabetis mellitus type 2 : chronic care model 1 Graduate students, Master Degree of Public Health, Mahasarakham University 2 Associate Professor, Faculty of Public Health, Mahasarakham University 3 Lecturer, Sri Mahasarakham College of Nursing *Corresponding author: [email protected] 56 Vol. 6 No. 2, April – June 2020 Academic Journal of Community Public Health
วารสารวชิ าการสาธารณสุขชมุ ชน ปีที่ 6 ฉบบั ท่ี 2 เมษายน – มิถนุ ายน 2563 บทนา มีข้อจากัด คือ (1) ด้านบุคลากร บุคลากรไม่ เพียงพอต่อการดาเนินงาน เช่น ภาระงานมาก ปัจจุบันโรคเบาหวานชนิดที่ 2 เป็นปัญหา เกินไป ข้อจากดั นักกายภาพบาบัดในการตรวจเท้า สาคัญในระบบสุขภาพของประเทศไทยและทั่ว ทีมสหสาขาวิชาชีพไม่มีส่วนร่วมในการดาเนินงาน โลก สาหรับประเทศไทยวัยผู้ใหญ่ป่วยเป็น (2) ด้านผู้รับบริการ รวมถึงผู้ป่วยเบาหวานและ โรคเบาหวานถึง 4.8 ล้านคน และหลายรายเกิด ญาติดูแล ผู้สูงอายุไม่มีญาติดูแล เสียค่าใช้จ่ายใน ภาวะแทรกซ้อน ใน พ.ศ. 2556-2557 พบว่า การเดินทาง การขาดนัด การขาดยา การหยุดยา ประชากรไทยอายุ 15 ปีข้ึนไป มีความชุก เอง และพฤติกรรมการดแู ลตนเองไม่เหมาะสม (3) เบาหวานถึงร้อยละ 8.9 ซ่ึงปัจจัยเสริมท่ีทาให้ ดา้ นทรัพยากร เครอื่ งตรวจวิเคราะหอ์ งค์ประกอบ เสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน ได้แก่ ผู้ท่ีมีภาวะ ทางเคมีของโลหิตแบบอัตโนมัติมีเครื่องเดียวเกิด ความดันโลหติ สงู ไขมนั ในเส้นเลือดสูง กรดยูริกใน ความล่าช้า ผลระดับน้าตาลในเลือดออกไม่ทัน เลือดสูง การใช้ยาสเตียรอยด์อย่างไม่ถูกวิธี และ ระยะเวลาทีแ่ พทย์ตรวจ (4) ดา้ นงบประมาณ การ ปัจจัยเสี่ยงที่สาคัญคือ น้าหนักเกิน ภาวะอ้วน จัดสรรงบประมาณ ยังใช้ระบบการจัดสรรต่อหัว และวิถีชีวิตนั่ง ๆ นอน ๆ1 และพบว่ามีผู้เสียชีวิต ประชากรของแต่ละพื้นที่ งบประมาณไม่ได้ตาม จากโรคเบาหวานชนิดที่ 2 มากกว่าร้อยละ 70.0 เป้าหมายหรือเกิดความล่าช้าในการทางาน (5) ของผ้ปู ว่ ยเบาหวานทงั้ หมด2 ด้านนโยบาย มีการเปล่ียนแปลงตัวชี้วัดทุกปี การ ถ่ายทอดนโยบายสู่การปฏิบัติล่าช้าและไม่ชัดเจน จังหวัดศรีสะเกษเป็นอีกจังหวัดหน่ึงในภาค และ (6) ด้านการดาเนินงาน ขาดการวางรูปแบบ ตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยที่พบว่ามี การดูแลผู้ป่วยเบาหวานที่มารับบริการให้สามารถ อัตราป่วย อัตราตาย และการเกิดเบาหวานราย เข้าถึงบริการ ขั้นตอนการรับบริการไม่มีรูปแบบ ใหม่มีแนวโน้มสูงข้ึนเช่นเดียวกัน จากการสารวจ ชัดเจนไม่ต่อเนื่อง ขาดการสื่อสารทาให้การดูแล ข้อมูลผู้ป่วยโรคเบาหวานในเขตเทศบาลตาบลขุน ต่อเน่ืองจึงไม่เกิดข้ึน ส่งผลกระทบให้ผู้ป่วยบาง หาญ อาเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ พบว่า ปี รายมีภาวะน้าตาลในเลือดสูงหรือต่าเกินไป และ 2560 มีจานวนผู้ป่วยเบาหวานจานวน 301 คน จากข้อจากัดดังกล่าวทาให้ผลการดาเนินงานใน และร้อยละ 78.4 ของผู้ป่วยเบาหวานชนิดท่ี 2 ไม่ การดูแลผู้ป่วยโรคเบาหวานที่สามารถควบคุม สามารถควบคุมระดับน้าตาลในเลือดให้อยู่ใน ร ะ ดั บ น้ า ต า ล ไ ด้ ไ ม่ ผ่ า น เ ก ณ ฑ์ ตั ว ช้ี วั ด ร ะ ดั บ เกณฑ์ปกติ ท้ังน้ีคลินิกโรคเบาหวานได้ปฏิบัติตาม กระทรวง แนวทางปิงปองจราจรชีวิต 7 สี ร่วมกับผู้จัดการ รายกรณีโรคเบาหวานในการพัฒนาด้านการ ดังน้ันผู้วิจัยจึงเล็งเห็นความสาคัญในการ สง่ เสริมคุณภาพชวี ิตในด้านการสาธารณสุข มีการ พัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดท่ี ให้สุขศึกษาเป็นรายกลุ่มและรายบุคคล และยัง 2 ในคลินิกโรคเบาหวาน โรงพยาบาลขุนหาญ พบว่ามีโรคร่วมไดแ้ ก่ โรคความดันโลหิตสูงรอ้ ยละ ตามแนวคิดของรูปแบบการดูแลผู้ป่วยโรคเรื้อรัง 45.60 อัตราการขาดนัดผู้ป่วย ร้อยละ 25.00 (Chronic Care Model) 6 องค์ประกอบ คือ ส่ิง ภาวะแทรกซ้อนทางตา ร้อยละ 3.76 ทางไต สนับสนุนในชุมชน หน่วยงานบริการสุขภาพ การ รอ้ ยละ 29.53 โรคหลอดเลือดหัวใจ ร้อยละ 4.33 สนับสนุนการจัดการตนเอง การออกแบบระบบ โรคหลอดเลือดสมองร้อยละ 2.93 และถูกตัดขา การให้บริการ การสนับสนุนการตัดสินใจ และ พิการ ร้อยละ 0.393 จากการดาเนินงานท่ีผ่านมา ระบบสารสนเทศทางคลินิก มาจัดระบบบริการใน Academic Journal of Community Public Health 57 Vol. 6 No. 2, April – June 2020
วารสารวิชาการสาธารณสขุ ชมุ ชน ปที ี่ 6 ฉบับท่ี 2 เมษายน – มิถุนายน 2563 การพัฒนา ปรับปรุงกระบวนการบริหารจัดการ ผรู้ ับผิดชอบงานโรคเบาหวานงานปฐมภูมิและองค์ การดูแลผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดท่ี 2 ในคลินิก รวม จานวน 1 คน ผู้รับผิดชอบงานเย่ียมบ้าน โรคเบาหวานใหม้ ีประสิทธิภาพมากยิง่ ขึ้น จานวน 1 คน รวม 15 คน วิธดี าเนนิ การวิจยั เคร่ืองมือท่ีใช้ในการวิจัย ข้อมูลเชิง คุณภาพ ได้แก่ 1) การบันทึก โดยทาการบันทึก รูปแบบการวิจัย การวิจัยคร้ังน้ี เป็นแบบ การดาเนนิ การและกิจกรรม ได้แก่ สมุดบันทกึ การ การวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) โดย ประชุม เครื่องบันทึกเสียง กล้องถ่ายรูป และ ผู้วิจัยมีส่วนร่วมในการวิจัยกับผู้ร่วมวิจัยในการ นาฬิกาบันทึกเวลาการบันทึกภาพ 2) การสนทนา รว่ มคิด ร่วมปฏิบัติ ร่วมสงั เกตผลและร่วมสะท้อน กลุ่ม โดยเปิดโอกาสให้เข้าร่วมวิจัย สนทนากลุ่ม ผลตามแนวคิด Kemmis and McTaggart, 19884 เพ่ือแลกเปล่ียนเรียนรู้ การออกแบบกระบวนการ มี 4 ขั้นตอน ได้แก่ การวางแผน (Planning) การ และบันทึกด้วยแบบบันทึกการสนทนากลุ่ม 3) ปฏิบัติ (Action) การสังเกต (Observation) และ แบบสัมภาษณ์กลุ่มผู้นาชุมชน อาสาสมัคร การสะทอ้ นผล (Reflection) สาธารณสุขประจาหม่บู า้ น ทีมบริหาร ทีมสหสาขา วิชาชีพ ผู้ดูแลผู้ป่วยเบาหวาน จานวน 4 ชุด ดังนี้ กลุ่มเป้าหมาย โดยกาหนดผู้เข้าร่วมวิจัยท่ี ชุดท่ี 1 แบบสัมภาษณก์ ลุ่มผู้นาชุมชน อาสาสมัคร เป็นตวั แทนของผู้มีสว่ นเกีย่ วข้องในการดูแลผู้ป่วย สาธารณสุขประจาหมู่บ้าน ประกอบด้วย แบบ โรคเบาหวานในชุมชนเทศบาลตาบลขุนหาญ สมั ภาษณ์ขอ้ มูลลักษณะทางประชากร จานวน 12 อาเภอขุนหาญ จังหวดั ศรีสะเกษ โดยใช้เกณฑ์การ ข้อ ใช้ระดับการวัดข้อมูลประเภทนามบัญญัติ คัดเข้า (Inclusion Criteria) และเกณฑ์การคัด และสัมภาษณ์ในการศึกษาบริบท สภาพปัญหา ออก (Exclusion Criteria) ประกอบด้วย 1) ทีม และความตอ้ งการของการดแู ลผปู้ ว่ ยโรคเบาหวาน บริหาร ได้แก่ ตัวแทนคณะกรรมการแผนงาน ชนิดที่ 2 จานวน 6 ขอ้ เปน็ ข้อคาถามปลายเปดิ ให้ จานวน 5 คน ตัวแทนคณะกรรมการงานโรคไม่ แสดงความคิดเห็น ชุดท่ี 2 แบบสัมภาษณ์ทีม ตดิ ต่อเรื้อรัง จานวน 5 คน ตัวแทนคณะกรรมการ บริหาร และทีมสหสาขาวิชาชีพ ประกอบด้วย ด้านคลินิกและระบบบริการ (PCT) จานวน 5 คน แ บ บ สั ม ภ า ษ ณ์ ข้ อ มู ล ลั ก ษ ณ ะ ท า ง ป ร ะ ช า ก ร รวม 15 คน 2) ภาคประชาชน ได้แก่ ตัวแทน จานวน 12 ข้อ ใชร้ ะดบั การวัดข้อมูลประเภทนาม ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 จานวน 35 คน ตัวแทน บั ญ ญั ติ แ บ บ สั ม ภ า ษ ณ์ ค ว า ม คิ ด เ ห็ น แ ล ะ ผู้ดแู ลในครอบครัวผู้ป่วยเบาหวาน จานวน 35 คน ข้ อ เ ส น อ แ น ะ เ ก่ี ย ว กั บ รู ป แ บ บ ก า ร ดู แ ล ผู้ ป่ ว ย ตัวแทนอาสาสมัครสาธารณสุขประจาหมู่บ้าน โรคเบาหวานชนิดที่ 2 ในคลินิกโรคเบาหวาน จานวน 12 คน ตัวแทนผนู้ าชุมชน จานวน 12 คน โรงพยาบาลขุนหาญ อาเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะ รวม 94 คน 3) ทีมสหสาขาวิชาชีพ ได้แก่ แพทย์ เกษ จานวน 3 ข้อ เป็นข้อคาถามปลายเปิดแสดง ทว่ั ไปประจาคลนิ ิก จานวน 4 คน พยาบาลวิชาชีพ ความคิดเห็น ชุดท่ี 3 แบบสัมภาษณ์ผู้ดูแลใน ประจาคลินิก จานวน 4 คน เภสชั กรประจาคลินิก ครอบครัวผู้ป่วยเบาหวาน ประกอบด้วย แบบ จานวน 1 คน ทันตแพทย์ประจาคลินิก จานวน 1 สัมภาษณ์ขอ้ มูลลักษณะทางประชากร จานวน 10 คน นักกายภาพบาบัดประจาคลินิกจานวน 1 คน ข้อ ใช้ระดับการวัดข้อมูลประเภทนามบัญญัติ นักโภชนาการประจาคลินกิ จานวน 1 คน นักการ แบบสัมภาษณ์ในการศึกษาบริบท สภาพปัญหา แพทย์แผนไทยประจาคลินิก จานวน 1 คน และความตอ้ งการของการดแู ลผ้ปู ว่ ยโรคเบาหวาน 58 Vol. 6 No. 2, April – June 2020 Academic Journal of Community Public Health
วารสารวชิ าการสาธารณสขุ ชมุ ชน ปที ่ี 6 ฉบบั ท่ี 2 เมษายน – มิถุนายน 2563 ชนิดที่ 2 จานวน 6 ข้อ เป็นข้อคาถามปลายเปิด การปฏิบัติตัวเก่ียวกับการดูแลตนเองของผู้ป่วย แสดงความคิดเห็น และชุดที่ 4 แบบสัมภาษณ์ เบาหวาน เป็นข้อคาถามวัดการปฏิบัติตัวของ ผู้ป่วยเบาหวาน ประกอบด้วย แบบสัมภาษณ์ ผ้ปู ่วยเบาหวานในด้านการควบคุมโรค จานวน 25 ข้อมูลลักษณะทางประชากร จานวน 12 ข้อ ใช้ ข้อ ลักษณะคาถามเป็นแบบมาตราส่วนประเมิน ระดับการวัดข้อมูลประเภทนามบัญญัติ แบบ ค่ า ( Rating Scale) ใ ช้ ม า ต ร า วั ด แ บ บ ลิ เ คิ ต สัมภาษณ์ข้อเสนอแนะท่ีต้องการให้หน่วยงาน (Likert’s Scale) โดยมีตัวเลือก 3 ข้อแบ่งเป็น 3 พัฒนาการให้บริการ จานวน 3 ข้อ เป็นข้อคาถาม ระดับ5 ปลายเปิดแสดงความคิดเห็น 4) แบบบันทึกการ สังเกต โดยการสงั เกตในชุมชน และหน่วยบริการ คุณภาพของเครื่องมือ ผ่านการตรวจสอบ สุขภาพ โดยบันทึกทุกอย่างท่ีสังเกตได้ พร้อมทา ความตรงเชิงเน้ือหา (content validity) โดย การบนั ทึกภาพ ผู้เช่ียวชาญท้ัง 3 ท่าน หาความเช่ือม่ันของแบบ สมั ภาษณ์ (Reliability) โดยการหาค่าสัมประสิทธิ์ ข้อมูลเชิงปริมาณ ได้แก่ แบบสอบถามการ แอลฟาของครอนบาค (Cronbach’s Alpha- มีส่วนร่วม สาหรับผู้นาชุมชน อาสาสมัคร Coefficient) แ บ่ ง เ ป็ น 1) ก ลุ่ ม ผู้ น า ชุ ม ช น สาธารณสุขประจาหมู่บ้าน ทีมบริหาร และทีมสห อาสาสมัครสาธารณสุขประจาหมู่บ้าน แบบ สาขาวิชาชีพ จานวน 20 ข้อ แบ่งเป็น 1) การมี ประเมินการมีส่วนร่วมในการพัฒนารูปแบบการ ส่วนร่วมในการตัดสินใจ (Decision making) 2) ดูแลผู้ป่วยโรคเบาหวานตามรูปแบบการจัดการ ก า ร มี ส่ ว น ร่ ว ม ใ น ก า ร ด า เ นิ น ง า น โรคเรื้อรัง (Chronic Care Model) ได้ค่าความ (Implementation) 3) การมีส่วนร่วมในการรับ เชื่อม่ันเท่ากับ 0.76 2) กลุ่มทีมบริหารและทีมสห ผลประโยชน์ (Benefits) และ 4) การมีส่วนร่วมใน สาขาวิชาชีพ แบบประเมินการมีส่วนร่วมในการ การประเมินผล (Evaluation) มีลักษณะข้อ พัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วยโรคเบาหวานตาม คาถามเป็นแบบปลายปดิ และแบบปลายเปิด การ รูปแบบการจัดการโรคเรื้อรัง (Chronic Care จัดระดับของการมีส่วนร่วมใช้เกณฑ์ตามแบบ Model) ได้ค่าความเช่ือม่ันเท่ากับ 0.79 3) กลุ่ม มาตรวัดของลิเคอร์ท (Likert’s Type Scale) มี 3 ผู้ป่วยเบาหวาน แบบประเมินด้านทศั นคตเิ ก่ียวกับ ระดับ5 2) แบบทดสอบความรู้เร่ืองโรคเบาหวาน การดูแลตนเองของผู้ป่วยเบาหวาน ได้ค่าความ ของผู้ดูแลในครอบครัวผู้ป่วยเบาหวาน และผู้ป่วย เช่ือมั่นเท่ากับ 0.78 และด้านการปฏิบัติตัว โรคเบาหวาน จานวน 30 ข้อ ใชล้ ักษณะขอ้ คาถาม เกี่ยวกับการดูแลตนเองของผู้ป่วยเบาหวานได้ค่า เป็นแบบ 2 ตัวเลือก คือ ถูก ผิด นาคะแนน ความเช่ือมั่นเท่ากับ 0.79 แบบทดสอบความรู้โดย เปรียบเทียบความแตกต่างคะแนนเฉลี่ยความรู้ ใช้สูตรของ Kuder-Richardson (KR20) ได้ค่า เกี่ยวกับโรคเบาหวานของกลุ่มผู้ดูแลในครอบครัว ค ว า ม เ ช่ื อ มั่ น ข อ ง แ บ บ ส อ บ ถ า ม ด้ า น ค ว า ม รู้ ผู้ปว่ ยเบาหวาน และผู้ปว่ ยโรคเบาหวาน ก่อนและ โรคเบาหวาน เท่ากับ 0.77 และ 4) กลุ่มผู้ดูแลใน หลังดาเนินการ โดยใช้สถิติ Paired t-test5 3) ครอบครัวผู้ป่วยเบาหวาน แบบทดสอบความรู้ ได้ แบบสอบถามเกี่ยวกับทัศนคติเก่ียวกับการดูแล ค่าความเชื่อม่ันของแบบสอบถามด้านความรู้เรื่อง ตนเองของผู้ป่วยเบาหวาน จานวน 15 ข้อ โรคเบาหวาน เท่ากบั 0.79 ลักษณะคาถามเป็นแบบมาตราส่วนประเมินค่า (Rating Scale) ตวั เลือก 3 ขอ้ ใช้มาตราวัดแบบลิ การวิเคราะห์ข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลเชิง เคิต (Likert’s Scale) มี 3 ระดบั 5 4) แบบสอบถาม ปริมาณ การมีส่วนร่วม ความรู้เร่ืองโรคเบาหวาน ของผู้ดูแลในครอบครัวผู้ป่วยเบาหวาน และผู้ป่วย Academic Journal of Community Public Health 59 Vol. 6 No. 2, April – June 2020
วารสารวชิ าการสาธารณสขุ ชมุ ชน ปที ่ี 6 ฉบับที่ 2 เมษายน – มิถุนายน 2563 โรคเบาหวาน ทัศนคติและการปฏิบัติตัวเกี่ยวกับ 2 ไม่สามารถควบคมุ ระดับน้าตาลในเลือดให้อยู่ใน การดูแลตนเองของผู้ป่วยเบาหวาน โดยใช้ เกณฑ์ปกติ มีสาเหตุจาก 1) ด้านบุคลากรมีภาระ โปรแกรมสาเร็จรูป วิเคราะห์ด้วยสถิติบรรยาย งานมากเกินไป ข้อจากัดนักกายภาพบาบัดในการ และสถิติอ้างอิง ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉล่ีย ตรวจเท้า ทีมสหสาขาวิชาชีพไม่มีส่วนร่วมในการ ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน Paired t-test และ ดาเนินงาน 2) ด้านผู้รับบริการ รวมถึงผู้ป่วย วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ การจาแนกประเภท เบาหวานและญาติดูแล ผู้สูงอายุไม่มีญาติดูแล ข้อมลู ประมวลความเช่อื มโยง และสร้างขอ้ สรปุ เดินทางลาบาก เสียค่าใช้จ่ายในการเดินทาง การ จ ริ ย ธ ร ร ม ก า ร วิ จั ย คณะ กรร มกา ร ขาดนัด การขาดยา การหยุดยาเอง พฤติกรรมการ จริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ สาขาสาธารณสุข ดูแลตนเองไม่เหมาะสม 3) ด้านทรัพยากร ศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ได้ออกหนังสือ เคร่ืองตรวจวิเคราะห์องค์ประกอบทางเคมีของ ใบรับรองอนุมัติ เลขท่ี 121/2562 ลงวันท่ี 26 โลหิตแบบอัตโนมัติเกิดความล่าช้า ผลเลือดออก มิถุนายน 2562 และสามารถใช้ได้ถึงวันที่ 25 ไมท่ นั ระยะเวลาที่แพทย์ตรวจ 4) ด้านงบประมาณ มิถนุ ายน 2563 การจัดสรรงบประมาณยังใช้ระบบการจัดสรรต่อ ระยะเวลาดาเนินการ เดือนมิถุนายน หัวประชากรของแต่ละพ้ืนที่ งบประมาณไม่ไดต้ าม 2562 ถึง เดอื นตุลาคม 2562 เป้าหมายหรือเกิดความล่าช้าในการทางาน 5) ผลการวิจัย ด้านนโยบาย มีการเปล่ียนแปลงตัวช้ีวัดทุกปี การ ถ่ายทอดนโยบายสู่การปฏิบัติล่าช้าและไม่ชัดเจน กระบวนการดาเนินงานการพัฒนารูปแบบ 6) ด้านการดาเนินงาน ขาดการสื่อสาร ขาดการ การดูแลผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ภายใต้ ทางานเป็นทีม ขาดการวางรูปแบบการดูแลผู้ป่วย รูปแบบการจัดการโรคเร้ือรัง (Chronic Care เบาหวานที่มารับบริการให้สามารถเข้าถึงบริการ Model) ในคลินิกโรคเบาหวาน โรงพยาบาลขุน ข้ันตอนการรับบริการไม่มีรูปแบบชัดเจนไม่ หาญ อาเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ โดย ตอ่ เน่ือง ขาดการส่ือสาร สามารถสรุปเป็นข้ันตอนและวิธีการดาเนินงานได้ ดงั นี้ ข้นั ตอนท่ี 2 กระบวนการพัฒนา การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ ขั้นตอนท่ี 1 ผลการศึกษาบริบทของการ (Action Research) โดยผู้วิจัยมีส่วนร่วมในการ ดูแลผปู้ ่วยโรคเบาหวานชนิดท่ี 2 ภายใตร้ ูปแบบ วิจัยกับผู้ร่วมวิจัย การร่วมคิด ร่วมปฏิบัติ ร่วม การจัดการโรคเรื้อรัง (Chronic Care Model) สังเกตผล และร่วมสะทอ้ นผล กลุ่มเป้าหมายเป็นผู้ ในคลินิกโรคเบาหวาน โรงพยาบาลขุนหาญ ทมี บริหาร จานวน 15 คน ภาคประชาชน จานวน อาเภอขนุ หาญ จังหวดั ศรสี ะเกษ 94 คน และ ทีมสหสาขาวิชาชีพ จานวน 15 คน ขอ้ มูลการวจิ ัยแตล่ ะขนั้ ตอนมีดังน้ี ตาบลสิ เป็นชุมชนเมอื ง ต้ังอย่บู รเิ วณรอบๆ 1 ) ข้ั น ก า ร ว า ง แ ผ น ( Planning) 4 กึ่งกลางอาเภอขุนหาญ มีพื้นที่รับผิดชอบ 14 กิจกรรม ประกอบด้วย 1) จัดประชุมเชิง หมู่บ้าน จานวนประชากร 13,298 คน จากการ ปฏิบัติการ เพื่อวิเคราะห์บริบทของชุมชน สรุปผลการดาเนินงานของโรงพยาบาลขุนหาญใน ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ บรบิ ทชุมชน และบริบท ปี 2561 พบว่า ประชาชนในเขตเทศบาลตาบลขุน โ ร ง พ ย า บ า ล ขุ น ห า ญ ใ น ก า ร ใ ห้ บ ริ ก า ร ผู้ ป่ ว ย หาญ เป็นผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ร้อยละ โรคเบาหวาน ระบบบริการในการดูแลผู้ป่วยโรค 11.4 และร้อยละ 78.4 ของผ้ปู ่วยเบาหวานชนดิ ท่ี 60 Academic Journal of Community Public Health Vol. 6 No. 2, April – June 2020
วารสารวิชาการสาธารณสขุ ชมุ ชน ปที ่ี 6 ฉบับที่ 2 เมษายน – มิถุนายน 2563 เร้อื รงั โดยประยุกต์ตามรูปแบบการดูแลผ้ปู ่วยโรค ให้กับผู้ป่วยเบาหวาน ผู้ดูแลในครอบครัวผู้ป่วย เรื้อรัง (Chronic Care Model) ได้แก่ ทรัพยากร เบาหวาน ผู้นาชุมชน อาสาสมัครสาธารณสุข และนโยบายของชุมชน หน่วยงานบริการสุขภาพ ประจาหมู่บ้าน พัฒนาระบบฐานข้อมูล โปรแกรม การสนับสนุนการดูแลตนเอง การออกแบบระบบ การตามนัด ให้สอดคลอ้ งกบั การทางานในปัจจุบัน การให้บริการ การสนับสนุนการตัดสินใจ รวมไป ระยะเวลา 1 วัน ประเมินผลตามตัวชี้วัดของ ถึงระบบข้อมูลทางคลินิก 2) วิเคราะห์การมีส่วน กระทรวงสาธารณสขุ และประเมนิ ผล ร่วมผู้มีส่วนเก่ียวข้องในการดูแลผู้ป่วยเบาหวาน ในดา้ นการวางแผน การดาเนนิ การ การมีสว่ นรว่ ม 3) ข้ันการสังเกตผล (Observation) 4 รับผลประโยชน์ และการประเมนิ ผล สรปุ ประเด็น กิจกรรม ประกอบด้วย 1) ติดตาม สนับสนุน ให้ ปัญหา 3) ประชุมจัดทาแผนปฏิบัติการ เพ่ือหา คาแนะนา 2) เก็บรวบรวมข้อมูล ไดแ้ ก่ การมีส่วน แนวทางการปฏิบัติ 4) กาหนดแผนปฏิบัติการ รว่ มของผ้นู าชุมชน อาสาสมัครสาธารณสุขประจา ร่วมกัน หมู่บ้าน ทีมบริหาร และทีมสหสาขาวิชาชีพ ความรู้ ทัศนคติ และการปฏิบัติของผู้ป่วย 2) ขั้นปฏิบัติการ (Action) 1 กิจกรรม โรคเบาหวาน การบันทึกภาพ การสนทนากลุ่ม ประกอบด้วย การดาเนินกิจกรรมตามแผนปฏิบัติ การสัมภาษณ์ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการดูแลผู้ป่วย การระบบบริการเพื่อพัฒนาคุณภาพบริการผู้ป่วย โรคเบาหวาน จดบันทึกข้ันตอน และเวลาในการ โรคเรื้อรังโดยยึดตามรูปแบบการดูแลผู้ป่วยโรค จัดบริการ รวมทั้งสังเกตการณ์ปัจจัยสนับสนุน เรือ้ รัง 6 องค์ประกอบ คือ ทรัพยากรและนโยบาย และปัจจัยอุปสรรคการดาเนินงานตามแผนท่ีวาง ของชุมชน หนว่ ยงานบริการสขุ ภาพ การสนับสนุน ไว้ สาหรับการสะท้อนกลับกระบวนการและผล การดูแลตนเอง การออกแบบระบบการให้บริการ การปฏบิ ัติท่ีจะเกดิ ขึน้ ตามมา การสนับสนุนการตัดสินใจระบบข้อมูลทางคลินิก มีโครงการย่อยดังน้ี 1) โครงการพัฒนาศักยภาพ ข้ันท่ี 4 การสะท้อนผล (Reflection) 3 NCD Team 4.0 และภาคีเครือข่าย เป็นการ กิจกรรม ประกอบด้วย 1) จัดประชุมเพ่ือสรุปผล จัดบริการเชิงรับในคลินิกโรคเบาหวาน และการ การดาเนินงานตามรูปแบบการดูแลผู้ป่วยโรค จัดบริการเชิงรุกในชุมชน ระยะเวลา 2 วัน เรื้อรัง (Chronic Care Model) ในการพัฒนา ประเมินผลตามตัวชี้วัดของกระทรวงสาธารณสุข คุณภ าพบ ริกา รร่ ว มกั บภ า คีเ ครือ ข่าย ซ่ึ ง และประเมินผลจากการสอบถาม 2) โครงการ ป ร ะ ก อ บ ด้ ว ย อ ง ค์ ป ร ะ ก อ บ ดั ง ต่ อ ไ ป นี้ ปรับเปล่ียนพฤติกรรมสุขภาพผู้ป่วยเบาหวาน องค์ประกอบท่ี 1 ทรัพยากรและนโยบายของ ตาบลสิ อาเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ โดยการ ชุมชน องค์ประกอบที่ 2 หน่วยงานบริการสุขภาพ จัดอบรมการให้ความรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวาน องค์ประกอบท่ี 3 การสนับสนุนการดูแลตนเอง อาหารลดเสี่ยงลดโรค แทรกซ้อน การดูแลเท้า องค์ประกอบท่ี 4 การออกแบบระบบการ การฝึกปฏิบัติการใช้เครื่องเจาะน้าตาลในเลือด ให้บริการ องค์ประกอบท่ี 5 การสนับสนุนการ ระยะเวลา 1 วัน ประเมินผลจากการประเมิน ตัดสินใจ และ องค์ประกอบที่ 6 ระบบข้อมูลทาง ความรู้ก่อน และหลังดาเนินการ 3) โครงการ คลินิก 2) สรุปผลการมีส่วนร่วม การคืนข้อมูล พัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศทางการแพทย์เพื่อ ภาวะสุขภาพหลังการวิจัยพัฒนารูปแบบการดูแล การปรับเปล่ียนพฤติกรรมสุขภาพ เป็นการจัดทา ผู้ ป่ ว ย โ ร ค เ บ า ห ว า น ช นิ ด ที่ 2 ใ น ค ลิ นิ ก กลุ่ม Line หรือทางโทรศัพท์ ให้ข้อมลู ทางสุขภาพ โรคเบาหวาน โรงพยาบาลขุนหาญ จังหวัดศรีสะ เกษ 3) ข้ันตอนการสะท้อนผลการปฏิบัติเป็นการ Academic Journal of Community Public Health 61 Vol. 6 No. 2, April – June 2020
วารสารวิชาการสาธารณสขุ ชมุ ชน ปที ี่ 6 ฉบบั ท่ี 2 เมษายน – มิถุนายน 2563 นาเสนอแนวทางการพัฒนารปู แบบการดูแลผู้ป่วย เบาหวาน การมีส่วนร่วมในการดาเนินการ ความรู้ โรคเบาหวานชนิดท่ี 2 พร้อมท้ังชี้แจงขั้นตอนการ เร่ืองโรคเบาหวาน เปรียบเทียบผลก่อนและหลัง ดาเนินกิจกรรม เพื่อถอดบทเรียน แลกเปล่ียน ดาเนินการ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ครอบคลุม การวิจัย เรียนรู้ ปัญหาอุปสรรค ข้อเสนอแนะ และปัจจัย ครงั้ นี้ไดผ้ ลการประเมินตามประเด็นต่าง ๆ ดงั นี้ แห่งความสาเร็จในการดาเนินงานพัฒนารูปแบบ การดูแลผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดท่ี 2 โดยให้ 1) ด้านภาวะสุขภาพผู้ป่วยโรคเบาหวาน ผู้เข้าร่วมประชุมมีส่วนร่วมในการแสดงความ พบว่า ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง มีอายุเฉลี่ย 52.77 คิ ด เ ห็ น ใ น ก า ร พั ฒ น า รู ป แ บ บ ก า ร ดู แ ล ผู้ ป่ ว ย ปี การศึกษาอยู่ในระดับประถมศึกษา ประกอบ โรคเบาหวานชนิดท่ี 2 ในคลินิกโรคเบาหวาน อาชีพเกษตรกรรม รองลงมาค้าขาย ผู้ป่วย ต่อไป ข้อมูลท่ีได้รับการสะท้อนกลับเป็น โ ร ค เ บ า ห ว า น มี ร ะ ย ะ เ ว ล า ข อ ง ก า ร เ ป็ น กระบวนการกลุ่มในลักษณะวิพากษ์วิจารณ์ หรือ โรคเบาหวานน้อยกว่า 5 ปี ส่วนใหญ่มีภูมิลาเนา ประเมินผลการปฏิบัติงานระหว่างบุคคลที่มีส่วน อยู่บ้านศรีขุนหาญ รองลงมา คือ บ้านหนองแล้ง ร่วมในการวิจัย เป็นวิธีการปรับปรุงการปฏิบัติงาน บ้านโนน และบ้านใหม่พัฒนา ซึ่งเป็นเขตชุมชน แบบดง้ั เดิมไปเป็นการปฏิบัตงิ านแบบใหม่ เมือง ข้ันตอนท่ี 3 ผลของการพัฒนา 2) ด้านความรูเ้ รื่องโรคเบาหวาน ทศั นคติ เดิมรูปแบบการดูแลผู้ป่วยโรคเบาหวาน และการปฏิบัติตัวเกี่ยวกับการดูแลตนเองของ ชนิดที่ 2 ในคลินิกโรคเบาหวาน โรงพยาบาลขุน ผู้ป่วยโรคเบาหวาน พบว่า ภาพรวมความรู้เร่ือง หาญ จังหวัดศรีสะเกษ โดยปฏิบัติตามแนวทาง โรคเบาหวานของกลุ่มผู้ดูแลในครอบครัวและ ปิงปองจราจรชีวิต 7 สี ร่วมกับผู้จัดการรายกรณี ผู้ป่วยโรคเบาหวานอยู่ในระดับสูง และมีระดับ โรคเบาหวานในการพัฒนาด้านการส่งเสริม คะแนนเฉลี่ยสูงข้ึนมากกว่าก่อนการเริ่มกิจกรรม คุณภาพชีวิตในด้านการสาธารณสุข ยังขาดการ ซง่ึ แตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ (p-value กาหนดรูปแบบหรือแนวทางการดาเนินงานที่ <0.001) แสดงให้เห็นว่า ผู้ป่วยโรคเบาหวานและ สอดคล้องกับบริบทของพ้ืนท่ี ขาดการติดตาม ผู้ดูแลในครอบครัวเห็นความสาคัญในการเข้าร่วม ควบคุมกากับอย่างเป็นระบบ ขาดการบูรณาการ และตระหนักถึงผลกระทบท่ีเกิดขึ้นกับผู้ป่วย การดาเนินงานร่วมกับภาคีเครือข่ายท่ีเกี่ยวข้อง โรคเบาหวาน ส่วนทัศนคติและการปฏิบัติตัว และนอกจากน้ียังพบว่าผู้ป่วยโรคเบาหวานท่ีเป็น เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพของผู้ป่วยโรคเบาหวาน เป้าหมายในพื้นท่ียังขาดความรู้ ความเข้าใจในการ อยู่ในระดับสูงมากกว่าการเร่ิมกิจกรรม แสดงให้ ปฏิบัติตัว จึงนาไปสู่การดาเนินการศึกษาวิจัยเพื่อ เห็นว่า การได้รับความรู้แนวทางการปฏิบัติตนท่ี พัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดท่ี ถูกต้อง จนเกิดความมั่นใจในการปฏิบัติ ส่งผลให้ 2 ในคลินิกโรคเบาหวาน โรงพยาบาลขุนหาญ ผู้ป่วยโรคเบาหวานตระหนักถึงประโยชน์ที่ได้รับ จงั หวัดศรีสะเกษ ซ่ึงผู้วิจัยได้ดาเนนิ การติดตามผล จากการดูแลสุขภาพตนเองมากข้ึน รวมไปถึง การดาเนินงาน โดยประเมินผลการดูแลผู้ป่วย ผู้ดูแลในครอบครัวด้วยเช่นกัน ดังตารางที่ 1 และ 2 62 Vol. 6 No. 2, April – June 2020 Academic Journal of Community Public Health
วารสารวชิ าการสาธารณสขุ ชมุ ชน ปที ่ี 6 ฉบับที่ 2 เมษายน – มถิ ุนายน 2563 ตารางท่ี 1 เปรยี บเทยี บคะแนนเฉล่ยี ระดบั ความรู้ของผดู้ ูแลในครอบครวั ผปู้ ่วยเบาหวาน กอ่ นและหลัง การดาเนนิ การ ระดบั ความรู้ N Mean SD Min Max df t 95%CI P-value กอ่ นดาเนินการ 35 15.42 2.45 10 20 34 -16.08 14.60-16.24 <0.001 หลังดาเนินการ 35 23.10 1.86 21 27 22.47-23.73 *มนี ัยสาคัญทางสถิติท่รี ะดับ 0.05 ตารางท่ี 2 เปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยระดับความรู้ของผ้ปู ว่ ยโรคเบาหวาน กอ่ นและหลงั ดาเนินการ ระดบั ความรู้ N Mean SD Min Max df t 95%CI P-value ก่อนดาเนนิ การ 35 18.05 2.37 12 20 34 -18.20 17.27-18.83 <0.001 หลังดาเนินการ 35 27.20 2.18 24 30 26.47-27.93 *มนี ัยสาคัญทางสถิตทิ ี่ระดับ 0.05 3) ด้านการมีส่วนร่วม กลุ่มผู้บริหาร การเข้าร่วม และมีบทบาทในการพัฒนารูปแบบ ทีมสหสาขาวิชาชีพ ผู้นาชุมชน และอาสาสมัคร การดูแลผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ในคลินิก สาธารณสุขประจาหมู่บ้าน หลังดาเนินการ พบว่า โรคเบาหวาน โรงพยาบาลขุนหาญ อาเภอขุนหาญ การมีส่วนร่วมอยู่ในระดับปานกลาง และมีระดับ จังหวัดศรีสะเกษ ทาให้เกิดการมีส่วนร่วมเพิ่มมาก คะแนนเฉลี่ยสูงขึ้นมากกว่าก่อนการเริ่มกิจกรรม ขนึ้ และเกิดความตระหนกั ร้ใู นภาวะสุขภาพผปู้ ่วย แสดงให้เห็นว่าภาคีเครือข่ายเห็นความสาคัญใน โรคเบาหวานในชมุ ชน ดังตารางท่ี 3 และ 4 ตารางท่ี 3 เปรยี บเทียบระดับการมสี ว่ นรว่ มของกลมุ่ ทมี บริหารและทมี สหสาขาวชิ าชพี กอ่ นและหลัง ดาเนนิ การ กอ่ นดาเนนิ การ (n = 30 คน) หลงั ดาเนนิ การ (n = 30 คน การมสี ว่ นร่วม Mean SD ระดับการ Mean SD ระดับการ มีส่วนรว่ ม มีสว่ นร่วม 1. ดา้ นการมสี ว่ นรว่ มในการตัดสนิ ใจ 2.08 0.58 ปานกลาง 2.26 0.39 ปานกลาง 2. ดา้ นการมีส่วนร่วมการรบั ผลประโยชน์ 2.01 0.41 ปานกลาง 2.18 0.35 ปานกลาง 3. ดา้ นการมสี ว่ นร่วมในการประเมินผล 1.92 0.48 ปานกลาง 2.09 0.25 ปานกลาง 4. ด้านการมสี ่วนร่วมในการปฏบิ ตั กิ าร 1.80 0.52 ปานกลาง 2.13 0.28 ปานกลาง รวม 1.95 0.99 ปานกลาง 2.16 0.25 ปานกลาง ตารางท่ี 4 เปรยี บเทยี บระดับการมสี ่วนร่วมของผู้นาชุมชน อาสาสมัครสาธารณสุขประจาหมบู่ า้ น ก่อน และหลงั ดาเนินการ กอ่ นดาเนินการ (n = 30 คน) หลังดาเนนิ การ (n = 30 คน การมสี ว่ นรว่ ม Mean SD ระดบั การ Mean SD ระดบั การ มสี ่วนร่วม มีส่วนร่วม 1. ดา้ นการมสี ่วนรว่ มในการตัดสินใจ 2.37 0.55 มาก 2.87 0.20 มาก 2. ด้านการมีส่วนรว่ มการรับผลประโยชน์ 2.29 0.60 ปานกลาง 2.84 0.34 มาก Academic Journal of Community Public Health 63 Vol. 6 No. 2, April – June 2020
วารสารวชิ าการสาธารณสขุ ชมุ ชน ปที ี่ 6 ฉบับท่ี 2 เมษายน – มถิ นุ ายน 2563 การมสี ่วนร่วม ก่อนดาเนินการ (n = 30 คน) หลงั ดาเนินการ (n = 30 คน 3. ด้านการมีสว่ นรว่ มในการประเมินผล Mean SD ระดบั การ Mean SD ระดับการ 4. ด้านการมีสว่ นรว่ มในการปฏบิ ตั ิการ มีส่วนร่วม มีสว่ นร่วม รวม 2.25 0.63 ปานกลาง 2.63 0.43 มาก 2.22 0.65 ปานกลาง 2.64 0.39 มาก 2.28 0.60 ปานกลาง 2.74 0.27 มาก ซ่ึ ง ก า ร พั ฒ น า รู ป แ บ บ ก า ร ดู แ ล ผู้ ป่ ว ย กิจกรรมการดูแลผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดท่ี 2 โรคเบาหวานชนิดท่ี 2 ภายใต้รูปแบบการจัดการ ภายใต้รูปแบบการจัดการโรคเร้ือรัง (Chronic โรคเร้ือรัง (Chronic Care Model) ในคลินิก Care Model) ในคลนิ ิกโรคเบาหวาน โรงพยาบาล โรคเบาหวาน โรงพยาบาลขนุ หาญ อาเภอขุนหาญ ขุนหาญ อาเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ ดัง จังหวัดศรีสะเกษ ทาให้เกิดเป็นข้ันตอน และ แสดงในภาพประกอบ 1 ยน่ื บัตรคิว เจาะเลอื ดตรวจหาระดบั นา้ ตาลในเลอื ด (FBS,HbA1C) ชัง่ นา้ หนัก/วัดสัญญาณชพี /วัดรอบเอว ซกั ประวตั ิ ประเมิน คดั กรองสขุ ภาพ คดั กรองภาวะแทรกซอ้ น หตั ถการ ปงิ ปองสีเขียวแก่ ลงผลเลอื ดในสมุดประจาตัวผปู้ ่วย ปงิ ปองสีแดง ปิงปองสเี หลือง แยกกลมุ่ ปงิ ปองจราจรชีวิต 7 สี ปงิ ปองสดี า พบพยาบาล NCD พบแพทย์ พบผูจ้ ัดการรายกรณี/ -Health Coaching Center พบพยาบาล นัดหมายก่อนกลบั ทมี สหสาขาวชิ าชีพ -ให้คาปรกึ ษาขอ้ มูล พบเภสชั กร รบั ยา/รบั คาแนะนา (ตามปัญหาท่ีพบ) -วางแผนการดแู ลตอ่ เนอื่ ง -ใหค้ าปรึกษา แนะนา กลับบ้าน วางแผนการดแู ล ปงิ ปองสีส้ม ผปู้ ่วยรายกรณ/ี ราย กล่มุ พบผู้จดั การรายกรณี/ทีมสห -จัดกจิ กรรมกลมุ่ สาขาวชิ าชพี (ตามปัญหาทพ่ี บ) สมั พนั ธ์ (ครอบครวั -จดั กลุม่ ดูแลสขุ ภาพ และผู้ปว่ ย) -Empowerment -Empowerment -เยีย่ มบ้าน ,Mapping ภาพประกอบที่ 1 ขั้นตอนและกิจกรรมใหมใ่ นการพฒั นารูปแบบการดแู ลผปู้ ่วยโรคเบาหวานชนดิ ที่ 2 ในคลนิ ิก 64 โรคเบาหวาน โรงพยาบาลขนุ หาญ อาเภอขุนหาญ จังหวดั ศรสี ะเกษ Academic Journal of Community Public Health Vol. 6 No. 2, April – June 2020
วารสารวิชาการสาธารณสขุ ชมุ ชน ปที ี่ 6 ฉบับท่ี 2 เมษายน – มิถนุ ายน 2563 ข้ันตอนที่ 4 ปจั จยั แห่งความสาเรจ็ จัดการตนเอง และตัดสินใจในการดูแลผู้ป่วย ใ ช้ รู ป แ บ บ ก า ร ถ อ ด บ ท เ รี ย น โ ด ย เบาหวานได้เองท่ีบ้าน สามารถดูแลผู้ป่วย เบาหวานในภาวะฉุกเฉินและให้การดูแลเบื้องต้น กระบวนการ After Action Review (AAR) ของ กอ่ นมาโรงพยาบาลได้ กลุ่มผู้มีส่วนเก่ียวข้องกับการพัฒนากระบวนการ ดูแลผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดท่ี 2 ในคลินิก สรปุ และอภปิ รายผลการวิจัย โรคเบาหวาน โรงพยาบาลขนุ หาญ อาเภอขุนหาญ จงั หวัดศรีสะเกษ การศึกษาคร้ังน้ีแสดงให้เห็นว่าความสาเร็จ ปัจจัยที่ทาให้การวิจัยน้ีประสบผลสาเร็จ ข อ ง ก า ร พั ฒ น า รู ป แ บ บ ก า ร ดู แ ล ผู้ ป่ ว ย ประกอบดว้ ย 1) มีกระบวนการดาเนินงานทุกภาค โรคเบาหวานชนิดท่ี 2 ในคลินิกโรคเบาหวาน ส่วนเข้ามามีส่วนร่วมในการดาเนินงานต้ังแต่ขั้น โรงพยาบาลขุนหาญ อาเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะ วางแผน ขั้นดาเนินการ ข้ันประเมินผลและขั้น เกษ บรรลุผลได้จาเป็นต้องมีภาคีเครือข่ายท่ี สะท้อนผลข้อมูลกลับสู่ผู้ป่วยเบาหวาน ครอบครัว เข้มแข็ง เห็นความสาคัญของปัญหา มองปัญหา และชุมชนอย่างเป็นระบบ เกิดการทางานเป็นทีม ด้านสุขภาพของผู้ป่วยโรคเบาหวานเป็นเป้าหมาย และมีแกนนาท่ีมีความมุ่งมั่นและเข้มแข็งทาให้ เดยี วกนั เกิดกระบวนการแลกเปลยี่ นเรียนรู้ ความ ร่วมกันแกไ้ ขปัญหา 2) มีการวิเคราะห์สถานการณ์ คิดเห็น และประสบการณ์ระหว่างกลุ่มภาคี ของผู้ป่วยเบาหวานในพื้นท่ีร่วมกัน เพ่ือนาไปสู่ เครือข่าย เพ่ือร่วมคิด วิเคราะห์ปัญหา ร่วมกัน การจัดทาแผนการดูแลผู้ป่วยเบาหวานรายบุคคล ก่อนจัดทาแผนปฏิบัติการในการดูแลผู้ป่วย 3) มีระบบที่ปรึกษาร่วมกันในเครือข่ายโดยให้ โรคเบาหวานชนิดที่ 2 อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ผู้ดูแลในครอบครัวผู้ป่วยเบาหวาน อาสาสมัคร และได้มุ่งเน้นการทาความเข้าใจและสร้างการมี สาธารณสุขประจาหมู่บ้าน และผู้นาชุมชน ส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายในการปฏิบัติงานตาม ติดตามและกากับดูแลอย่างใกล้ชิดและส่งต่อ แผน โดยมีทีมผู้วิจัยทาหน้าที่เป็นพี่เล้ียง เป็นท่ี ข้อมูลหรือการขอคาปรึกษาหรือขอความ ปรึกษาให้คาแนะนา เป็นผู้ประสาน ความร่วมมือ ช่วยเหลือกรณีที่ไม่สามารถดูแลผู้ป่วยเองได้ โดย ในการปฏิบัติตามแผน ในกรณียังไม่พบปัญหา ให้บริการตลอดเวลาด้วยเทคโนโลยีกลุ่ม LINE อุปสรรคในการดาเนินงาน ทีมผู้วิจัยได้ทาหน้าที่ หรือทางโทรศัพท์ 4) ทีมสหสาขาวิชาชีพเป็นทีมพี่ เป็นผู้สะท้อนขอ้ มูลกลบั และประสานความรว่ มมือ เล้ียงติดตามกากับและประเมินผลเป็นระยะเพ่ือ ในการแกไ้ ข ปรับปรงุ วธิ ีการปฏบิ ัติ รวมทั้งร่วมกัน ติดตามการดาเนินงานของกระบวนการดูแลผู้ป่วย กาหนดแผนการปรับปรุงในวงจรต่อไป ซึ่งข้อมูลท่ี เบาหวานในชุมชนอย่างต่อเน่ือง 5) เจ้าหน้าท่ีมี ได้จากการปรับปรุงช่วยให้การวางแผนมีความ ความเสียสละ มีความพร้อมและตั้งใจปฏิบัติงาน สมบูรณ์ และมีคุณภาพเพ่ิมขึ้น ดังน้ันจะเห็นได้ว่า มีความต้องการท่ีจะ พัฒนาคุณภาพระบบบริการ วงจรปฏิบัติการที่เกิดขึ้นในการวิจัยคร้ังนี้ได้มีการ ใหม่ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้ป่วยเบาหวานให้ พัฒนาเป็นลาดับอย่างต่อเนื่อง ไม่ได้หยุดหรือจบ ผู้ป่วยได้รับบริการท่ีเหมาะสมมีมาตรฐานตาม ลงเมื่อหมุนครบรอบ 1 วงจร แต่ละวงจร แนวทางในการดูแลผ้ปู ่วยโรคเรอ้ื รัง 6) อาสาสมัคร ปฏิบัติการได้หมุนไปข้างหน้าเร่ือย ๆ ตามบริบท สาธารณสุขประจาหมู่บ้าน ทาหน้าที่เป็นจิตอาสา และการเปล่ียนแปลงท่ีเกิดขึ้น เพ่ือยกระดับ เข้ามาปฏิบัติงานช่วยเหลือเจ้าหน้าที่และผู้ป่วย มาตรฐานคณุ ภาพใหส้ งู ขนึ้ ในแตล่ ะรอบของวงจร ทาให้ผู้ป่วยและผู้ดูแลในครอบครัวมีการบริหาร 65 Academic Journal of Community Public Health Vol. 6 No. 2, April – June 2020
วารสารวิชาการสาธารณสุขชมุ ชน ปที ่ี 6 ฉบบั ท่ี 2 เมษายน – มถิ ุนายน 2563 ก า ร พั ฒ น า รู ป แ บ บ ก า ร ดู แ ล ผู้ ป่ ว ย กับ ดารณี เทียมเพ็ชร และคณะ8 พบว่า ระบบ โรคเบาหวานชนิดท่ี 2 ภายใต้รูปแบบการจัดการ การดูแลผู้ป่วยเบาหวานลงสู่ชุมชน ผู้ป่วยได้รับ โรคเรื้อรัง (Chronic Care Model) ในคลินิก การดูแลต่อเน่ือง เริ่มจากทีมผู้ให้บริการพยาบาล โรคเบาหวาน โรงพยาบาลขุนหาญ อาเภอขุนหาญ ไ ด้ รั บ รู้ ร่ ว ม กั น ใ น ก า ร ว า ง แ ผ น ก า ร ดู แ ล ผู้ ป่ ว ย จังหวัดศรีสะเกษ ซ่ึงผลการศึกษาพบว่า รูปแบบ ประชุมทีม เครือข่ายผู้รับผิดชอบผู้ป่วยเบาหวาน การดูแลผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดท่ี 2 ภายใต้ ในโรงพยาบาลและในชุมชนเพ่ือกาหนดนโยบาย รูปแบบการจัดการโรคเร้ือรัง (Chronic Care โครงสร้างทีม และวิเคราะห์ปัญหาการดูแลผู้ป่วย Model) ในคลินิกโรคเบาหวาน โรงพยาบาลขุน ท่ีเป็นอยู่ในปัจจุบัน จะเห็นได้ว่า การมีส่วนร่วม ห า ญ อ า เ ภ อ ขุ น ห า ญ จั ง ห วั ด ศ รี ส ะ เ ก ษ ของทีม วางแผนในการปฏิบัติ ตัดสินใจแก้ปัญหา ประกอบด้วย 6 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) ส่ิง ทาให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลแบบไร้รอยต่อ ระบบ สนับสนุนในชมุ ชน 2) หน่วยงานบริการสุขภาพ 3) การส่งต่อการดูแลอย่างต่อเน่ือง ผู้ป่วยเข้าถึง การสนับสนุนการจัดการตนเอง 4) การออกแบบ บริการ ทาให้เกิดเครือข่ายความร่วมมือในการ ระบบการให้บริการ 5) การสนับสนุนการตัดสินใจ ดูแลผ้ปู ่วยอย่างตอ่ เนื่องแบบไรร้ อยตอ่ การดูแลผู้ป่วยโรคเบาหวาน 6) ระบบสารสนเทศ ทางคลินิก โดยทั้ง 6 องค์ประกอบของรูปแบบการ การพัฒนาองค์ความรู้และการสนับสนุน จัดการโรคเร้ือรัง ( Chronic Care Model) นี้ ก า ร จั ด ก า ร ต น เ อ ง ข อ ง ผู้ มี ส่ ว น เ กี่ ย ว ข้ อ ง เกี่ยว ข้องกับการประเมินบริบทพ้ืนที่และ ประกอบด้วย ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ผู้ดูแลใน สถานการณ์ปัญหาในชุมชน บทบาทหน้าท่ีและ ครอบครัวผู้ป่วยเบาหวาน โดยการให้ความรู้ การ กจิ กรรมการพัฒนาที่ครอบคลุมแบบองค์รวม การ ปฏิบัติ การรับรู้ และการสร้างการมีส่วนร่วมโดย แลกเปล่ียนเรียนรู้ร่วมกัน ซ่ึงสอดคล้องกับ การเปิดโอกาสให้ผู้มีส่วนเก่ียวข้องมีบทบาทในทุก การศึกษาของ กิติวรรณ จรรยาสุทธิวงศ์6 พบว่า กระบวนการ ส่งผลให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องให้ การพัฒนาการดูแลผู้ป่วยเบาหวานน้ันหน่วยงาน ความสาคญั ต่อการดูแลผ้ปู ่วยโรคเบาหวาน ซึ่งการ บริการด้านสุขภาพจาเป็นต้องประสานเชื่อมโยง มีส่วนร่วมของชุมชน ทาให้เกิดการขับเคล่ือนการ ทรัพยากรท่ีมีอยู่ในชุมชน โดยการใช้ทรัพยากร ดาเนินงานและพัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วย ขององค์กรให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชนใน โรคเบาหวานชนิดที่ 2 ส่งผลให้ผปู้ ว่ ยโรคเบาหวาน ชุมชน ผู้นาชุมชน และอาสาสมัครสาธารณสุข มีความรู้และตระหนักเกี่ยวกับโรคเบาหวาน ลด ประจาหมู่บ้าน การจัดสรรงบประมาณเพ่ือดูแล การเกิดภาวะแทรกซ้อน ซ่ึงสอดคล้องกับ สุปรียา ผู้ป่วยเบาหวานในการคัดกรองภาวะแทรกซ้อน เสียงดัง9 พบว่า พฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเอง ผู้ป่วยโรคเบาหวานในชุมชน การจัดซื้อเครื่องมือ ของผู้ป่วยโรคเบาหวานท่ีควบคุมระดับน้าตาลใน ทางการแพทย์ในชุมชน สอดคล้องกับ พระครู เลือดไมไ่ ด้ ค้นหาปัญหา และสาเหตขุ องพฤตกิ รรม สุวาน พัฒนบัณฑิต (พระพุทธศาสนา) และคณะ7 การดูแลตนเอง ปรับเปล่ียนพฤติกรรมการดูแล พบว่า การมีส่วนร่วมของเครือข่าย การสร้าง ตนเองให้เหมาะสม สนับสนุนให้มีการรวมกลุ่ม เครือข่ายในการจัดบริการสุขภาพในระดับชุมชน ผู้ดูแล บุคคลในครอบครัวมีส่วนร่วมในการดูแล ออกแบบระบบบริการการดูแลสุขภาพเช่ือมโยง ป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนเพ่ิมมากข้ึนหรือ กับหน่วยงานสาธารณสุขในการดูแลด้านส่งเสริม รนุ แรงขนึ้ ป้องกัน รักษา และการฟ้ืนฟูสภาพ ซึ่งสอดคล้อง 66 Vol. 6 No. 2, April – June 2020 Academic Journal of Community Public Health
วารสารวชิ าการสาธารณสขุ ชมุ ชน ปที ่ี 6 ฉบบั ท่ี 2 เมษายน – มถิ นุ ายน 2563 การประเมินการส่วนร่วมในการพัฒนา ซึ่งปัจจัยแห่งความสาเร็จในการศึกษาวิจัย รูปแบบการดูแลผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 คร้ังนี้เกิดจากการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่าย ภายใต้รูปแบบการจัดการโรคเรื้อรัง (Chronic ตลอดจนผู้มีส่วนเก่ียวข้องมีส่วนร่วมในการพัฒนา Care Model) ในคลินิกโรคเบาหวาน โรงพยาบาล อย่างเป็นระบบ ส่งผลให้เกิดการบูรณาการ การ ขุนหาญ อาเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ การที่ ทางานเป็นทีมและมีแกนนาที่มีความมุ่งม่ันและ ประชาชนได้มีโอกาสเข้าร่วมในกิจกรรมท่ีมีความ เข้มแข็ง ทาให้การดาเนินงานระหว่างภาคี สอดคล้องกับวิถีชีวิต วัฒนธรรมของชุมชน โดย เครอื ข่ายมีความสอดคลอ้ งกบั บริบทพ้ืนที่ การร่วมคิด ร่วมตัดสินใจ ร่วมวางแผน ร่วม ดาเนินการ ร่วมติดตามประเมินผล และร่วมรับ ขอ้ เสนอแนะทไี่ ด้จากการวจิ ัย ผลประโยชน์ที่เกิดข้ึนจากการพัฒนากระบวนการ 1) การศึกษาโดยนารูปแบบการจัดการโรค มี ส่ ว น ร่ ว ม ข อ ง ป ร ะ ช า ช น ห รื อ ชุ ม ช น เ ป็ น กระบวนการซ่ึงประชาชนหรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เร้ือรัง (Chronic Care Model) ของแวคเนอรซึ่ง ได้มีโอกาสแสดง ทัศนคติและเข้าร่วมในกิจกรรม ครอบคลุม 6 องคป์ ระกอบที่สาคัญ และนอกจากนี้ ต่าง ๆ ท่ีมีผลต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน รูปแบบการศึกษาเป็นแบบพรรณนาที่มีการผสาน โดยการเข้ามามีส่วนร่วมอาจเป็นขั้นตอนใด วิธีการศึกษาท้ังเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพเข้า ข้ันตอนหน่ึงหรือครบทุกขั้นตอนก็ได้ อาจเป็นทั้ง ด้วยกัน ทาให้เห็นภาพของการจัดการการดูแล รายบุคคล กลุ่มคน หรือองค์กร ที่มีความคิดเห็น ผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรังในคลินิกเบาหวานได สอดคล้องกัน มีความรับผิดชอบร่วมกัน เพื่อให้ ชดั เจนขึ้น เกิดการพฒั นาเปลย่ี นแปลงไปในทิศทางท่ีดีข้นึ ซึ่ง สอดคล้องกับการศึกษาที่ผ่านมาของ ชัยวุฒิ จันดี 2) การทางานของพยาบาลในคลินิก กระยอม และคณะ10 พบว่า การพัฒนาระบบ เบาหวานควรเชื่อมโยงกับผู้ให้บริการในชุมชนใน บริการผู้ป่วยเบาหวานโดยพัฒนาระบบบริหาร รูปแบบเครอื ขา่ ยการดูแล จดั การแบบมีส่วนร่วม พัฒนาทรัพยากรบุคคลตาม สมรรถนะแต่ละวิชาชีพ ในรูปแบบทีมสหสาขา 3) พยาบาลที่เป็นผู้จัดการรายกรณีต้อง วิชาชีพ ด้านการออกแบบบริการ มีระบบให้ สรา้ งเครอื ขา่ ยที่เข้มแข็งเกิดการปฏิบตั อิ ย่างจรงิ จัง คาปรึกษา จัดทามาตรฐานแนวทางปฏิบัติ (CPG) ต่อเนื่องให้ ถึงชุมชนพร้อมท้ังติดตาม สนับสนุน ช่วยใหท้ ีมสุขภาพวางแผนป้องกนั และวางแผนการ การทางาน และเน้นการทางานเป็นทีมร่วมกับสห รกั ษาที่เหมาะสมเปน็ รายบคุ คลได้ มีการนิเทศงาน สาขาวิชาชีพ และติดตามประเมินผลของเครือข่าย มีระบบให้ คาปรึกษาผ่านพี่เล้ียง พัฒนาระบบข้อมูลทั้ง ข้อเสนอแนะสาหรบั การวจิ ยั ในคร้งั ต่อไป เครอื ข่าย จะเห็นวา่ ระบบข้อมูลท่ดี ีน้ัน สามารถทา 1) ควรมกี ารนา Chronic Care Model มา ให้ทีมสุขภาพวางแผนในการดูแลผู้ป่วยได้ถูกต้อง แ ล ะ ป ร ะ เ มิ น ป ร ะ สิ ท ธิ ภ า พ ก า ร ท า ง า น ข อ ง จัดทาเป็นรูปแบบการดูแลผู้ป่วยโรคเร้ือรังอ่ืน ๆ ระบบงานได้ เชน่ โรคความดนั โลหิตสูง โรคหลอดเลือดในสมอง ทุกกลุ่มตามสภาพปัญหาและความต้องการของ ชุมชนนั้น ๆ ภายในบริบทตามทุนทางสังคม และ เป็นแหล่งประโยชน์ต่อชุมชน เพื่อให้ผู้ป่วยโรค เร้ือรังมีคุณภาพชีวิตดีและมีความสุขในชุมชนมาก ทส่ี ดุ Academic Journal of Community Public Health 67 Vol. 6 No. 2, April – June 2020
วารสารวชิ าการสาธารณสขุ ชมุ ชน ปที ี่ 6 ฉบบั ท่ี 2 เมษายน – มถิ นุ ายน 2563 2) ควรพัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วย 4. Kemmis, S. and McTaggart, R. The โรคเบาหวานชนิดที่ 2 โดยใช้ Chronic Care Action Research Reader. Australia: Model เปน็ การวิจัยเชงิ พัฒนา Victoria Deakin University Press; 1988. 3) ควรมีการออกแบบโปรแกรมการ 5. สมุ ทั นา กลางคาร และวรพจน์ พรหมสัตย ดาเนินงานเฉพาะงานโรคเบาหวานให้สอดคล้อง พรต. หลักการวิจัยทางวิทยาศาสตร์สุขภาพ. กับตวั ช้ีวดั ของกระทรวงและบริบทของแต่ละพ้นื ท่ี พิมพค์ รงั้ ที่ 6. มหาสารคาม: สารคามการพมิ พ์; เพอื่ สะดวกต่อการใหบ้ ริการของผรู้ บั ผิดชอบงาน 2553. กิตตกิ รรมประกาศ 6. กติ ิวรรณ จรรยาสุทธิวงศ์. การพัฒนารูปแบบ การดแู ลผูป้ ว่ ยเบาหวานชนิดท่ี2 ภายใต้ระบบ วิ ท ย า นิ พ น ธ์ ฉ บั บ นี้ ส า เ ร็ จ ส ม บู ร ณ์ ไ ด้ สุขภาพอาเภอในศูนย์บริการสาธารณสุข สังกดั ข อ ข อ บ พ ร ะ คุ ณ ผู้ อ า น ว ย ก า ร แ ล ะ เ จ้ า ห น้ า ท่ี องค์กรปกครองส่วนท้องถ่นิ เทศบาลเมอื งศรสี ะ โรงพยาบาลขุนหาญ ภาคีเครือข่ายในชุมชน เกษ จงั หวัดศรสี ะเกษ.วิทยานิพนธ์ ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ผู้ดูแลในครอบครัวเขต สาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต มหาวทิ ยาลัย เทศบาลตาบลขุนหาญ อาเภอขุนหาญ จังหวัดศรี มหาสารคาม; 2558. สะเกษ รวมถึงครอบครัว ท่ีให้ความร่วมมือในการ เข้าร่วมการศึกษาวิจัย ทาให้การวิจัยคร้ังนี้สาเร็จ 7. พระครูสวุ ธิ านพฒั นบัณฑิต (พระพุทธศาสนา), ราบร่ืน ธวลั รัตน์ แดงหาญ (พระพทุ ธศาสนา) สรัญญา วภชั ชวธิ .ี การพฒั นารูปแบบการดแู ลสขุ ภาพ เอกสารอ้างองิ องค์รวมของพระสงฆ์ในจงั หวัดขอนแกน่ โดย เน้นการมีส่วนร่วมของเครือข่าย. Journal of 1. สมาคมโรคเบาหวานแหง่ ประเทศไทยในพระ The Office of ODPC 7 Khon Kaen; 2013: ราชปู ถมั ภส์ มเดจ็ พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยาม P 117–130. บรมราชกุมารี. แนวทางเวชปฏิบตั สิ าหรบั โรคเบาหวาน 2560. กรงุ เทพฯ: บรษิ ัท ร่มเยน็ 8. ดารณี เทยี มเพช็ ร, กศิมา สง่ารตั นพิมาน, มเี ดยี จากดั ; 2017. มญั ฑติ า อกั ษรดี, เพ็ญพร ทวีบุตรและวรเดช ช้างแกว้ . การพฒั นาระบบการดูแลผู้ปว่ ย 2. ชชั ลติ รตั รสาร. สถานการณ์ปจั จุบนั และ เบาหวานลงสู่ชมุ ชนแบบไร้รอยตอ่ อาเภอ ความรว่ มมือเพ่ือปฏิรปู การดูแลรกั ษา เมอื ง จงั หวัดสระแก้ว. วารสารพยาบาล โรคเบาหวานในประเทศไทย การยกระดับ กระทรวงสาธารณสขุ ; 2557: 10(4), 10-20. มาตรฐานการดแู ลรักษา และขยายการเขา้ ถึง การรกั ษาโรคเบาหวาน นาไปสสู่ ังคมสขุ ภาพที่ 9. สุปรียา เสยี งดงั . พฤติกรรมการดแู ลสุขภาพ ยั่งยืน. กรงุ เทพฯ: บริษัทโนโว นอรด์ ิสค์ ฟาร์ ตนเองของผู้ปว่ ยโรคเบาหวานที่ควบคมุ ระดับ มา (ประเทศไทย); 2017. น้าตาลในเลอื ดไม่ได้. วารสารเครือข่าย วทิ ยาลัยพยาบาลและการสาธารณสขุ ภาคใต้; 3. งานเวชระเบยี นและสถติ ิ โรงพยาบาลขนุ หาญ. 2560: 4(1), 191–204. รายงานสถติ ิการบริการโรงพยาบาลขนุ หาญ ประจาปี 2560. ศรสี ะเกษ: โรงพยาบาลขุน หาญ; 2560. 68 Vol. 6 No. 2, April – June 2020 Academic Journal of Community Public Health
วารสารวชิ าการสาธารณสขุ ชมุ ชน ปที ่ี 6 ฉบับท่ี 2 เมษายน – มิถุนายน 2563 10. ชัยวุฒิ จนั ดีกระยอม และกาญจนา จันทะนุย. การพฒั นาระบบบรกิ ารผู้ปว่ ยเบาหวานใน หน่วยบรกิ ารปฐมภูมิภายใต้บรบิ ทพนื้ ท่ีอาเภอ ทุรกนั ดาร อาเภอยางสีสุราช จังหวัด มหาสารคาม. รายงานการวิจยั . มหาสารคาม: โรงพยาบาลยางสสี ุราช จังหวัดมหาสารคาม; 2560. Academic Journal of Community Public Health 69 Vol. 6 No. 2, April – June 2020
วารสารวชิ าการสาธารณสุขชมุ ชน ปีที่ 6 ฉบับที่ 2 เมษายน – มถิ นุ ายน 2563 Received: 6 Feb 2020, Revised: 26 Feb 2020 Accepted: 15 Mar 2020 นิพนธต์ น้ ฉบบั ความรอบรดู้ า้ นสุขภาพเร่ืองฉลากโภชนาการในเด็กวยั เรียน: กรณศี ึกษาจงั หวัดเพชรบุรี อัจฉราวดี ศรยี ะศักด์ิ1,* ฤทยั วรรณ แก้วมาลัย2 เนตรนภา เครอื สงา่ 2 นิศาชล ตันติภริ มย์2 ปริญญาพร ชาวบา้ นเกาะ2 เบญจรตั น์ เอย่ี มสะอาด2 บทคดั ย่อ การวิจัยน้ีเป็นการวิจัยเชิงพรรณาแบบภาคตัดขวาง (cross-sectional descriptive study) มี วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความรู้เกี่ยวกับโภชนาการ อิทธิพลของความสัมพันธ์ ระหว่างบุคคลต่อความรอบรู้ด้านสุขภาพเร่ืองฉลากโภชนาการ กลุ่มตัวอย่างในการศึกษาครั้งน้ีเป็น นกั เรียนชน้ั ประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรยี นประถมศึกษาขนาดใหญ่ในจังหวดั เพชรบรุ ี 3 โรงเรยี น จานวน 102 คนเลือกมาโดยสุ่มตัวอย่าง เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามประกอบด้วย 1) แบบประเมินอิทธิพล ของความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล 2)แบบประเมินความรู้เกี่ยวกับฉลากโภชนาการ และ 3) แบบ ประเมินความรอบรู้ด้านสุขภาพเร่ืองฉลากโภชนาการ GDA ซึ่งมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.85, 0.82 และ 0.77 ตามลาดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงบรรยาย ได้แก่ ค่าเฉล่ีย ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน และสมั ประสิทธ์สิ หสมั พนั ธ์ของเพียรส์ ัน ผลการวจิ ัยพบว่า ความรเู้ ก่ียวกับโภชนาการของเด็กวยั เรยี น โดยรวมอยู่ในระดับพอใช้ (x̅=9.52, SD=2.44) อทิ ธิพลของความสัมพันธ์ระหวา่ งบุคคลโดยรวมอยใู่ น ระดับสูง (x̅=36.58, SD=4.90) และความรอบรู้ด้านสุขภาพเร่ืองฉลากโภชนาการในเด็กวัยเรียนโดย รวมอยู่ในระดับพอใช้ (x̅=12.55, SD=3.48) ความรู้เก่ียวกับโภชนาการ อิทธิพลของความสัมพันธ์ ระหว่างบุคคลมีความสัมพันธ์กับความรอบรู้ด้านสุขภาพในเด็กวัยเรียน อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ี ระดับ .05 (r=0.389, p<0.001, r=0.213, p=0.032 ตามลาดับ) บุคลากรด้านสุขภาพ และโรงเรียน มบี ทบาทสาคัญในการสง่ เสริมความรู้ความเข้าใจเรอื่ งโภชนาการให้กับเด็กวัยเรียนโดยการสอดแทรก หรือบูรณาการในการจัดการเรียนการสอนและอาจจะใช้อิทธิพลของความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลใน การพัฒนาความรอบร้ดู ้านสขุ ภาพเรอื่ งฉลากโภชนาการในเดก็ วัยเรียน คาสาคญั ความรอบรดู้ ้านสุขภาพ ฉลากโภชนาการ เดก็ วัยเรียน 1 อาจารย์พยาบาล วทิ ยาลยั พยาบาลพระจอมเกลา้ จงั หวัดเพชรบรุ ี 2 นกั ศึกษาพยาบาลศาสตรบณั ฑติ วิทยาลยั พยาบาลพระจอมเกลา้ จงั หวดั เพชรบรุ ี * Corresponding author: [email protected] 70 Academic Journal of Community Public Health Vol. 6 No. 2, April – June 2020
วารสารวิชาการสาธารณสุขชมุ ชน ปที ี่ 6 ฉบบั ท่ี 2 เมษายน – มิถุนายน 2563 Original Article Nutrition-Label Health Literacy of School age children: Case study in Phetchaburi Province Atcharawadee Sriyasak 1,*, Ruethaiwan Kaewmalai2, Natenapa Khruesa-nga2, Nisachon Tantiphirom2, Parinyaporn Chaobankoh2, Benjarat Iamsaard2 Abstract This cross-sectional descriptive study aimed to find out the relationship between nutritional knowledge, interpersonal relationship influences and nutrition- label health literacy of school age children. The 102 grade 6 students were randomly recruited from the three large primary school in Phetchaburi province. Three validated, self-reported questionnaires with multiple-choice questions were used for data collection. In this study, the overall Cronbach’s alpha coefficient was 0.85, 0.82 and 0.77 respectively. Descriptive statistic and Pearson’s product moment correlation were used for analysis. The result revealed that the average score of nutritional knowledge and nutrition-label health literacy of school age children were at the fair level (x̅=9.52, SD=2.44 and x̅ =12.55, SD=3.48) . However, the average score of interpersonal relationship influences was at the high level (x̅=36.58, SD=4.90). The significance was found between the relationship of nutritional knowledge, interpersonal relationship influences and nutrition-label health literacy of school age children (r=0.389, p<0.001, r=0.213, and p=0.032 respectively). In conclusion, the healthcare providers and schools play a vital role to promote nutritional knowledge by integrated in learning activities. Moreover, they can use interpersonal relationship influences to promote nutrition-label health literacy among school age children. Keywords: Nutrition-label, Health literacy, School-age children 1 Nursing instructor, Prachomklao college of nursing, Phetchaburi province 2 Nursing student, Prachomklao college of nursing, Phetchaburi province * Corresponding author: [email protected] Academic Journal of Community Public Health 71 Vol. 6 No. 2, April – June 2020
วารสารวชิ าการสาธารณสขุ ชมุ ชน ปีที่ 6 ฉบบั ที่ 2 เมษายน – มถิ นุ ายน 2563 บทนา การอบรมท่ีดีจะทาให้เด็กขาดความรู้และขาดการ ตระหนักถึงโทษหรือพิษภัยจากการบริโภคอาหาร เด็กวัยเรียนมีปัญหาเร่ืองโรคอ้วนมากขึ้น ที่ไม่ถูกต้อง9 จึงส่งผลให้การเข้าถึง การทาความ สาเหตุเนื่องจากเด็กจะเลือกรับประทานอาหาร เข้าใจ การประเมินและใช้สารสนเทศด้านสุขภาพ ตามใจชอบจึงมีแนวโน้มว่าเด็กจะได้รับอาหารที่มี ลดลง ไขมันและพลังงานมากเกินไป1 สถานการณ์เด็กท่ี พบปัญหาโภชนาการเกินและโรคอ้วนมีอัตรา บิดามารดาหรือผู้เลี้ยงดูมีบทบาทสาคัญต่อ เพ่ิมข้ึนอย่างต่อเน่ือง จากการสารวจพบว่า เด็ก การกาหนดพฤติกรรม รวมทั้งลักษณะนิสัยและ อายุ 6-12 ปี อ้วนเพ่ิมขน้ึ จากร้อยละ 5.8 เป็นร้อย เจตคตติ ่อการบริโภคของเด็ก อีกท้ังยังเป็นผู้อบรม ละ 6.7 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.6 ในระยะเวลา 3 ส่ังสอนเรื่องการบริโภค เช่น การห้ามรับประทาน ปี2 และจากการสารวจพฤติกรรมการบริโภค อาหารท่ีไม่มีประโยชน์ การควบคุมให้รับประทาน อาหารว่างและขนมของเด็กนกั เรียน พบว่า เด็กใน อาหารตามท่ีจัดให้ และการให้เหตุผลในการเลือก ระดับประถมศึกษามีการบริโภคขนมขบเคี้ยวและ รับประทานอาหารท่ถี ูกสุขลักษณะ เป็นแบบอย่าง เคร่ืองด่ืมคิดเป็นร้อยละ 47 ของอาหารที่บริโภค ในการรับประทานอาหาร9 อิทธิพลจากเพ่ือนก็ ต่อวัน คดิ เป็นพลังงาน 500 กิโลแคลอรี ซึ่งเท่ากับ นับว่ามีความสาคัญกับพฤติกรรมการบริโภค หนึ่งในส่ีของพลังงานที่ควรได้รับต่อวัน3 จาก อาหารของเด็ก จากการศึกษาปัจจัยทานาย ร า ย ง า น ก า ร ส า ร ว จ ก า ร บ ริ โ ภ ค อ า ห า ร ข อ ง พฤติกรรมการบริโภคอาหารของนักเรียนช้ัน ประชาชนไทย การสารวจสุขภาพประชาชนไทย ประถมศึกษาปีที่ 4-6 ของบุญฤทธิ์ ประสิทธิ์นรา โดยการตรวจร่างกาย คร้ังที่ 4 พ.ศ.2551-2552 พันธ์ุ และคณะ10 พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีค่าเฉลี่ย พบว่า การกินขนมกรุบกรอบความถี่เพ่ิมข้ึนใน ของการเลือกรับประทานอาหารตามเพ่ือนที่เป็น กลุ่มเด็ก 6-14 ปี โดยพบว่าเด็กอายุ 6-14 ปี มี ผู้นาเพ่ือต้องการให้กลุ่มเพื่อนยอมรับมีค่าเฉล่ีย มากกวา่ หนึ่งในสี่คนกินขนมกรบุ กรอบทกุ วัน4 สงู สุด สถานการณ์ภาวะโภชนาการเด็กวัยเรียนใน ความรอบรูด้ ้านสขุ ภาพในเด็กวัยเรียน จาก จังหวัดเพช รบุรี มีภาว ะเริ่มอ้วนและอ้ว น การประเมินคว ามรอบรู้ด้านสุขภ าพและ เปรียบเทยี บข้อมูลย้อนหลัง 3 ปี พบว่า ปี 2558 - พฤตกิ รรมสขุ ภาพของกลุ่มเด็กวยั เรียน (อายุ 7-14 2560 ร้อยละ 9.52 12.56 และ 12.43 ตามลาดับ ป)ี ของกองสุขศึกษา11 ส่วนใหญ่มีความรอบรู้ด้าน และมีภาวะเต้ียปี 2558-2560 ร้อยละ 6.94 5.81 สุขภาพอยู่ในระดับพอใช้ (ร้อยละ 59.94) ส่วน และ ร้อยละ 4.73 ตามลาดบั 5 พฤติกรรมสุขภาพตามสุขบัญญัติแห่งชาติ พบว่า มีพฤติกรรมสุขภาพอยู่ในระดับพอใช้ (ร้อยละ สาเหตุของปัญหาภาวการณ์บริโภคอาหาร 36.72) จากผลการประเมินความรอบรู้ด้าน เกินของเด็กซึ่งมีแนวโน้มเพ่ิมข้ึน6 มาจากการ สุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพของประชาชนส่วน ส่ือสารทางการตลาดของอุตสาหกรรมอาหารด้วย ใหญ่อยู่ในระดับพอใช้ ซ่ึงไม่เพียงพอต่อการมี การโฆษณา7 เน่ืองจากเด็กยังขาดวุฒิภาวะทาให้ พฤติกรรมสุขภาพที่ยั่งยืนและนาไปสู่การมีสุข ส่งผลต่อความเช่ือ ทัศนคติ และพฤติกรรมของ ภาวะตอ่ ไป เด็กไปจนโต8 และเด็กเป็นวัยท่ีมีการเรียนรู้ส่ิง ต่างๆรอบตัว พฤติกรรมบริโภคนิสัยของเด็กจะ ฉลากโภชนาการเป็นข้อมูลที่ช่วยให้ได้รับ ได้รับผ่านการเรียนรู้และซึมซับเก็บไว้ หากขาด สารอาหารตามความต้องการ ช่วยให้ทราบถงึ ชนิด และปริมาณสารอาหารที่จะได้รับจากการบริโภค 72 Vol. 6 No. 2, April – June 2020 Academic Journal of Community Public Health
วารสารวิชาการสาธารณสุขชมุ ชน ปที ่ี 6 ฉบบั ที่ 2 เมษายน – มถิ นุ ายน 2563 อาหารน้ันๆและยังช่วยให้หลีกเลี่ยงสารอาหารที่ วัตถปุ ระสงค์การวจิ ยั ไม่ต้องการ ได้12 การอ่านฉลากโภชนาการก่อน 1. เพ่ือประเมินความรู้เก่ียวกับโภชนาการ เลือกซื้ออาหารจึงเป็นเรื่องสาคัญ เน่ืองจาก ผู้บริโภคสามารถนาข้อมูลบนฉลากมาพิจารณา อทิ ธิพลของความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและความ เพื่อเลือกรับประทานอาหารให้เหมาะกับสุขภาพ รอบรดู้ า้ นสุขภาพเร่อื งฉลากโภชนาการ ของตนเอง และหลีกเลี่ยงอาหารที่อาจส่งผลเสีย ต่อสุขภาพได้ การรับประทานอาหารโดยไม่ 2. เพ่ือศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความรู้ คานึงถึงพลงั งานและสารอาหารท่ีได้รับ อาจทาให้ เก่ียวกับโภชนาการ อิทธิพลของความสัมพันธ์ ผู้บริโภคได้รับสารอาหารในปริมาณที่ไม่เหมาะสม ระหว่างบุคคลต่อความรอบรู้ด้านสุขภาพเร่ือง และเสยี่ งต่อการเกิดโรคต่าง ๆ ฉลากโภชนาการ ดังนั้น ผู้วิจัยจึงสนใจท่ีจะศึกษาความรอบรู้ กรอบแนวคิดการวิจัย ด้านสุขภาพเร่ืองฉลากโภชนาการในเด็กวัยเรียน การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความรู้ จังหวัดเพชรบุรี เพ่ือนาผลท่ีได้มาเป็นแนวทางใน ก า ร ส่ ง เ ส ริ ม ค ว า ม รู้ ค ว า ม เ ข้ า ใ จ เ รื่ อ ง ฉ ล า ก เกี่ยวกับโภชนาการ อิทธิพลของความสัมพันธ์ โภชนาการใหก้ บั เด็กวัยเรียนตอ่ ไป ระหว่างบุคคลต่อความรอบรู้ด้านสุขภาพเร่ือง ฉลากโภชนาการของเด็กนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปที ่ี 6 ในเขตอาเภอเมืองเพชรบุรี จังหวดั เพชรบุรี วิธีดาเนินการวิจัย กลุ่มตัวอย่าง คือ โรงเรียนประถมศึกษา ขนาดใหญ่ในจังหวัดเพชรบุรี จานวน 3 โรงเรียน ก า ร วิ จั ย นี้ เ ป็ น ก า ร วิ จั ย เ ชิ ง พ ร ร ณ า แ บ บ ไดแ้ ก่ เด็กนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียน ภ า ค ตั ด ข ว า ง ( cross-sectional descriptive วัดดอนไก่เตี้ย โรงเรียนอนุบาลจังหวัดเพชรบุรี study) โดยศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความรู้ และโรงเรียนเทศบาล 3 ชุมชนวัดจันทราวาส เก่ียวกับโภชนาการ อิทธิพลของความสัมพันธ์ จานวน 102 คน เนื่องจากโรงเรียน 33 โรงเรียน ระหว่างบุคคลต่อความรอบรู้ด้านสุขภาพเรื่อง มีข้อจากัดในการเดินทาง และใช้ระยะเวลาในการ ฉลากโภชนาการของเด็กวัยเรียนในโรงเรียนเขต เดินทางนาน อีกทั้งยังเป็นโรงเรียนขนาดเล็ก และ อาเภอเมืองเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี จานวน 102 ขนาดกลาง ซึ่งมีจานวนนักเรียนประถมศึกษาปีที่ คน ดาเนินการวิจัยตั้งแต่ ตุลาคม – ธันวาคม 2562 6 ไม่เพียงพอที่จะศึกษา โดยคานวณขนาดกลุ่ม ตัวอย่างตามสูตรของ Cohen13 ประชากร คือ นกั เรียนช้นั ประถมศกึ ษาปีที่ 6 ปีการศึกษา 2562 ในโรงเรียนเขตอาเภอเมือง สูตรคานวณกลุ่มตัวอย่าง เพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี จานวนทั้งหมด 36 โรงเรียน มีนกั เรยี นรวมทัง้ สน้ิ 1,128 คน N = (1−������2) ������2 Academic Journal of Community Public Health 73 Vol. 6 No. 2, April – June 2020
วารสารวชิ าการสาธารณสขุ ชมุ ชน ปที ่ี 6 ฉบบั ที่ 2 เมษายน – มิถนุ ายน 2563 N = 9.6 (1−0.3192) สว่ นท่ี 3 แบบประเมินความรเู้ ก่ียวกับฉลาก 0.3192 โภชนาการ ของ อรทัย ใจบุญ17 ซึ่งมีค่าความ N = 86.4 คน เชื่อมั่นเท่ากับ 0.82 เป็นแบบวัดความรู้เก่ียวกับ ฉลากโภชนาการวัดจากคาถาม (ในระดับความจา) N หมายถึง ขนาดของกลุม่ ตัวอย่าง เกี่ยวกับฉลากโภชนาการแบบ GDA ได้แก่ ความหมายของฉลากโภชนาการ รูปแบบของ หมายถึง เป็นค่าที่ได้จากการเปิดตาราง ฉลากและเงื่อนไขการแสดงฉลากโภชนาการ ผลิตภัณฑ์ท่ีแสดงฉลากโภชนาการ องค์ประกอบ table โดยการกาหนดค่า power ค่าระดับ ของฉลากโภชนาการ ประโยชน์ของฉลาก โภชนาการ (8 ข้อ), ปริมาณพลังงานและ นัยสาคัญ ( ) และจานวนตัวแปรทานายทศ่ี ึกษา R หมายถึง ค่าสัมประสิทธ์ิสหสัมพันธ์ การ สารอาหารสาหรับอาหารระหว่างมื้อที่แนะนาให้ บริโภคต่อวัน (4 ข้อ), ปริมาณพลังงานและ ป้องกันการลดลงของกลุ่มตัวอย่างจึงเพ่ิมจานวน สารอาหารสูงสุดที่แนะนาให้บริโภคต่อวัน (1 ข้อ) อกี ร้อยละ 2014 รวมเป็นกลมุ่ ตัวอยา่ งทั้งหมด 102 และผลกระทบทางสุขภ าพท่ีเกิดจากการ คน และคัดเลือกตัวอย่างโดยการจับสลากแบบไม่ รับประทานขนมขบเค้ียว (2 ข้อ) รวมทั้งหมด 15 ใสค่ นื เพ่อื เลอื กหอ้ งเรยี น ทง้ั 3 โรงเรียน ข้อ คาตอบแบบ 4 ตวั เลือก เครื่องมอื ทใี่ ชใ้ นการวิจยั ประกอบด้วย ส่วนท่ี 4 แบบประเมินความรอบรู้ด้าน ส่วนท่ี 1 แบบสอบถามข้อมูลทั่วไปของ สุขภาพเรื่องฉลากโภชนาการ GDA ของ อรทัย ใจ นักเรยี น บุญ17 ซง่ึ มีค่าความเชอื่ มั่นเท่ากับ 0.77 โดยวดั จาก ส่ว น ท่ี 2 แ บ บส อ บ ถ า ม อิท ธิ พ ล ข อ ง แบบทดสอบความสามารถใน 4 องค์ประกอบ ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ของ อุทุมพร ผึ่งผาย ได้แก่ การเข้าถึง (การอ่าน 6 ข้อ และการคานวณ 15 ซึ่งมีค่าความเช่ือมั่นเท่ากับ 0.85 จานวน 10 5 ข้อ), การเข้าใจ (การแปลความหมายข้อมูลที่ ข้อ โดยมีลักษณะของแบบวัดเป็นมาตรประมาณ ปรากฏบนฉลาก) 3 ข้อ การประเมิน (เปรียบเทยี บ ค่า (Rating scale) 5 ระดับ ตั้งแต่ 1-5 คะแนน ข้อมูลบนฉลากเพื่อการตัดสินใจเลือก) 2 ข้อ และ คอื เหน็ ด้วยอย่างย่ิง เห็นดว้ ย ไมแ่ น่ใจ ไม่เหน็ ดว้ ย การนาไปใช้ (การประยุกต์ใช้ความรู้อย่างถูกต้อง/ และไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง โดยมีข้อความทางบวก เหมาะสม) 4 ขอ้ รวมทัง้ หมด 20 ข้อ และทางลบ โดยข้อความทางบวกมี 7 ข้อ ได้แก่ ข้อท่ี 1, 2, 3, 4, 6, 7, 9 ข้อความทางลบมี 3 ข้อ แบบสอบถามอิทธิพลของความสัมพันธ์ ได้แก่ข้อที่ 5, 8 และ 10 โดยแบ่งระดับการรับรู้ ระหว่างบุคคลของอุทุมพร ผึ่งผาย15 แบบประเมิน เป็น 3 ระดับ พิจารณาการให้ระดับคะแนนจาก ความรู้เกี่ยวกับฉลากโภชนาการของอรทัย ใจบุญ เกณฑ์การแบง่ กลมุ่ ของ Levin and Rubin16 ดงั น้ี 17 และแบบประเมินความรอบรู้ด้านสุขภาพเรื่อง 1-16 คะแนน มีอิทธิพลของความสัมพันธ์ ระหวา่ งบุคคลในระดบั ตา่ ฉลากโภชนาการ GDA ของอรทัย ใจบุญ ซึ่งเป็น แบบสอบถามท่ีผ่านการประเมินจากผู้เชี่ยวชาญ 17-32 คะแนน มีอิทธิพลของความสัมพันธ์ เพื่อหาความตรงตามเนื้อหา และความเช่ือม่ัน ระหว่างบุคคลในระดับปานกลาง มาแล้ว หลังจากน้ันนาแบบสอบถามไปทดลองใช้ ในเด็กนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 6 ที่ไม่ใช่กลุ่ม 33-50 คะแนน มีอิทธิพลของความสัมพันธ์ ตัวอย่าง จานวน 30 ราย และนามาหาค่าความ ระหว่างบุคคลในระดบั สงู 74 Vol. 6 No. 2, April – June 2020 Academic Journal of Community Public Health
วารสารวชิ าการสาธารณสขุ ชมุ ชน ปที ่ี 6 ฉบบั ที่ 2 เมษายน – มถิ นุ ายน 2563 เช่ือม่ัน โดยใช้สูตร Cronbach’s Alpha เท่ากับ การวิเคราะห์ข้อมูล .65 และสูตร KR-20 เท่ากับ 0.98 และ 0.98 1. ข้อมูลท่ัวไปของกลุ่มตัวอย่างทาการ ตามลาดบั วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติในการแจกแจงความถ่ี การพทิ กั ษส์ ทิ ธิ์ของกล่มุ ตัวอยา่ ง รอ้ ยละ ค่าเฉลี่ย สว่ นเบยี่ งเบนมาตรฐานและพสิ ัย ก า ร วิ จั ย ค ร้ั ง น้ี ผ่ า น ก า ร พิ จ า ร ณ า จ า ก 2. วิเคราะห์หาค่าเฉล่ียและค่าเบี่ยงเบน ค ณ ะ ก ร ร ม ก า ร จ ริ ย ธ ร ร ม ก า ร วิ จั ย ใ น ม นุ ษ ย์ มาตรฐานของอิทธิพลของความสัมพันธ์ระหว่าง วิทยาลยั พยาบาล พระจอมเกล้า จงั หวัดเพชรบุรี บุคคล ความรู้เก่ียวกับฉลากโภชนาการและความ เลขที่ PCKCN REC 28/2562 วันท่ี 29 ตุลาคม รอบรู้ด้านสขุ ภาพเร่อื งฉลากโภชนาการของเด็กวัย พ.ศ. 2562 ซึ่งผู้วิจัยพิทักษ์สิทธ์ิของกลุ่มตัวอย่าง เรยี น โดยชีแ้ จงวตั ถุประสงค์ในการวจิ ัยและรายละเอียด ของการทาวิจัย ประโยชน์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้น 3. วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่าง ความรู้ รวมทั้งการชี้แจงให้กลุ่มตัวอย่างทราบถึงสิทธิที่ เกี่ยวกับฉลากโภชนาการ ความรอบรู้ด้านสุขภาพ กลุ่มตัวอย่างจะเข้าร่วมหรือไม่เข้าร่วมการวิจัยได้ เ รื่ อ ง ฉ ล า ก โ ภ ช น า ก า ร แ ล ะ อิ ท ธิ พ ล ข อ ง ตลอดเวลาโดยไมม่ ผี ลกระทบใด ๆ ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลของเด็กวัยเรียน โดย ใ ช้ ค่ า สั ม ป ร ะ สิ ท ธิ์ ส ห สั ม พั น ธ์ ข อ ง เ พี ย ร์ สั น (Pearson’s product moment correlation การเกบ็ รวบรวมข้อมูล coefficient) หลังจากคณะผู้วิจัยช้ีแจงวัตถุประสงค์ของ ผลการวจิ ยั ก า ร วิ จั ย แ ล ะ ไ ด้ รั บ อ นุ ญ า ต จ า ก ผู้ อ า น ว ย ก า ร โรงเรียนท้ัง 3 แห่งแล้ว คณะผู้วิจัยได้เข้าพบ 1. ข้อมูลท่ัวไปของเด็กวัยเรียน พบว่า นักเรียนเพื่อแนะนาตัวชี้แจงวัตถุประสงค์ การ จากกลุ่มตัวอย่างที่จานวน 102 คน ส่วนใหญ่เป็น พิทักษ์สิทธ์ผู้เข้าร่วมการวิจัย และมอบเอกสารขอ เพศหญิง ร้อยละ 83.3 และเพศชาย ร้อยละ 16.7 อนุญาตจากผู้ปกครองโดยผู้วิจัยนาเอกสารชี้แจง มีอายุเฉล่ียของกลุ่มตัวอย่างคือ 11 ปี กลุ่ม ข้อมูลสาหรับผู้ปกครองของผู้เขา้ ร่วมวิจัย เอกสาร ตวั อย่างมีภาวะโภชนาการอย่ใู นระดบั น้าหนักน้อย ยินยอมและตวั อยา่ งแบบสอบถามให้ผเู้ ข้าร่วมการ มากที่สุด (ร้อยละ 55.9) อาศัยอยู่กับบิดาและ วิจัยนาไปให้ผู้ปกครองเซ็นยินยอมและนาส่งคืน มารดามากท่ีสดุ คิดเป็นร้อยละ 67.6 รองลงมาคือ คุณครูประจาชั้น จากน้ันคณะผู้วิจัยดาเนินการ อาศัยอยู่กับมารดา คิดเป็นร้อยละ 14.7 ระดับผล เก็บข้อมูลด้วยตนเอง โดยประสานงานผ่าน การเรียนเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่าง อยู่ในช่วง 3.51- อาจารย์ท่ีเกี่ยวข้องเพ่ือขอให้ผู้วิจัยเข้าเก็บข้อมูล 4.00 มากท่ีสุด คิดเป็นร้อยละ 89.2 รองลงมาคือ แล้วแจกแบบสอบถามให้นักเรียนในห้องเรียน ระดับผลการเรียนอยู่ในช่วง 3.00-3.50 คิดเป็น โดยใช้เวลาในการทาแบบสอบถาม 45-60 นาที ร้อยละ 10.8 ได้รับเงินมาโรงเรียนวันละ 40-50 และส่งคืนให้ผู้วิจัยหลังจากเสร็จส้ินทันที จากน้ัน บาท มากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 35.3 รองลงมาคือ ตรวจสอบความสมบรูณ์และความถูกต้องก่อน ได้รับเงินวันละ 60 บาท ข้ึนไป คิดเป็นร้อยละ นามาบนั ทกึ ด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์สาเรจ็ รูป 33.3 และเกือบทั้งหมด (ร้อยละ 97.1) ไม่เคย รับประทานขนมขบเค้ียวในรอบ 1 เดือนท่ีผ่านมา รายละเอยี ด ดงั ตารางท่ี 1 Academic Journal of Community Public Health 75 Vol. 6 No. 2, April – June 2020
วารสารวิชาการสาธารณสขุ ชมุ ชน ปที ี่ 6 ฉบับท่ี 2 เมษายน – มถิ ุนายน 2563 ตารางท่ี 1 จานวนและรอ้ ยละของขอ้ มลู ส่วนบุคคลของเด็กวยั เรียน (n=102) ข้อมูลสว่ นบุคคล จานวน (คน) ร้อยละ เพศ 16.7 83.3 ชาย 17 14.7 หญิง 85 42.1 27.5 อายุ (x̅=11.45 ปี, SD=0.50) 10.8 4.9 นาหนัก (กโิ ลกรมั ) 5.9 21-30 15 12.7 40.2 31-40 43 35.3 5.9 41-50 28 55.9 51-60 11 34.3 2.9 มากกว่า 60 5 3.9 2.9 (x̅=41.29, SD=11.55) 3.9 ส่วนสูง (เซนติเมตร) 14.7 67.6 121-130 6 13.7 131-140 13 10.8 89.2 141-150 41 151-160 36 มากกวา่ 160 6 (x̅=148.10, SD=8.75) ภาวะโภชนาการ* นา้ หนกั น้อย 57 นา้ หนักปกติ 35 เส่ยี ง (pre-obese) 3 อว้ นระดบั 1 4 อว้ นระดบั 2 3 บุคคลที่อย่ดู ้วยขณะเรยี น บิดา 4 มารดา 15 บิดาและมารดา 69 อ่นื ๆ 14 ระดับผลการเรยี นเฉลี่ย 3.00 – 3.50 11 3.51 – 4.00 91 (x̅=3.84, SD=0.20) 76 Vol. 6 No. 2, April – June 2020 Academic Journal of Community Public Health
วารสารวิชาการสาธารณสขุ ชมุ ชน ปีท่ี 6 ฉบับที่ 2 เมษายน – มถิ นุ ายน 2563 ขอ้ มูลส่วนบุคคล จานวน (คน) รอ้ ยละ เงินท่ีไดร้ บั มาโรงเรยี น น้อยกว่า 40 บาท 5 4.9 40 – 50 บาท 36 35.3 51 – 60 บาท 27 26.5 60 บาท ขึน้ ไป 34 33.3 (x̅=57.26, SD=15.06) การกินขนมขบเคยี ว เคย 3 2.9 ไม่เคย 99 97.1 หมายเหตุ: *การประเมินภาวะโภชนาการของกลุ่มตัวอย่างโดยอาศัยค่าดัชนีมวลกาย (BMI) อ้างอิงตามเกณฑ์ของสานักโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข18 2. ระดับความรู้เกี่ยวกับโภชนาการ การวิเคราะห์ในรายข้อพบว่า กลุ่มตัวอย่าง อิทธิพลของความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล และ มากกวา่ คร่ึง (ร้อยละ 52-ร้อยละ 66.7) ยังตอบผิด ความรอบรดู้ า้ นสุขภาพเรอื่ งฉลากโภชนาการ หรือไม่รู้ ในประเด็นความรู้เรื่องฉลากโภชนาการ ได้แก่ “ ผลิตภัณฑ์ท่ีต้องแสดงฉลากโภชนาการ 2.1 ความรู้เกี่ยวกับโภชนาการของเด็กวัย แบบ GDA ปริมาณน้าตาลจากขนมขบเคียวท่ีเด็ก เรียน ผลการวิจัย พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีความรู้ ควรได้รับใน 1วัน (กรัม) ปริมาณไขมันจากขนม ขบเคียวท่ีเด็กควรได้รับใน 1 วัน (กรัม) ปริมาณ เกี่ยวกับโภชนาการ อยู่ในระดับพอใช้ (x̅=9.52, โซเดียมจากขนมขบเคียวท่ีเด็กควรได้รับใน 1 วัน SD=2.44) เมื่อจาแนกตามระดับความรู้ พบว่า (มลิ ลิกรัม) ปริมาณพลงั งานและสารอาหารสูงสุดที่ กลุ่มตัวอย่างมีความรู้เก่ียวกับโภชนาการในระดับ แนะน้าให้บริโภคต่อวัน และประโยชน์ของฉลาก พอใช้ ร้อยละ 47.1 รองลงมามีความรู้เก่ียวกับ โภชนาการแบบ GDA ” โภชนาการอยู่ในระดับดี ร้อยละ 34.3 และมี ค ว า ม รู้ เ ก่ี ย ว กั บ โ ภ ช น า ก า ร ใ น ร ะ ดั บ ไ ม่ ดี /ต้ อ ง ปรับปรุง ร้อยละ 18.6 ตามลาดับ รายละเอียด ดัง ตารางท่ี 2 ตารางท่ี 2 ค่าเฉล่ียและร้อยละของกลมุ่ ตัวอย่าง จาแนกตามคา่ คะแนนความรู้เกย่ี วกับโภชนาการ คะแนนความรเู้ กยี่ วกบั โภชนาการ จานวน ร้อยละ ระดบั 0 - 7 คะแนน 19 18.6 ไมด่ ี/ตอ้ งปรบั ปรุง 8 - 10 คะแนน 11 - 15 คะแนน 48 47.1 พอใช้ รวม 35 34.3 ดี 102 100.0 พอใช้ Academic Journal of Community Public Health 77 Vol. 6 No. 2, April – June 2020
วารสารวิชาการสาธารณสุขชมุ ชน ปที ี่ 6 ฉบับที่ 2 เมษายน – มถิ นุ ายน 2563 2.2 อิทธิพลของความสัมพันธ์ระหว่าง ส่วนใหญ่มีค่าคะแนนอิทธิพลของความสัมพันธ์ บุคคลในเด็กวัยเรียน ผลการวิจัย พบว่า กลุ่ม ระหว่างบุคคลอยู่ในระดับสูง ร้อยละ 78.4 และมี ตัวอย่างมีค่าคะแนนอิทธิพลของความสัมพันธ์ คา่ คะแนนอิทธิพลของความสมั พันธ์ระหวา่ งบุคคล อยู่ในระดับปานกลาง ร้อยละ 21.6 ตามลาดับ ระหว่างบุคคลโดยรวมอยู่ในระดับสูง (x̅=36.58, รายละเอยี ด ดังตารางท่ี 3 SD=4.90) เม่ือจาแนกตามระดับ กลุ่มตัวอย่าง ตารางที่ 3 ค่าเฉล่ียและร้อยละของกลุ่มตัวอย่าง จาแนกตามค่าคะแนนอิทธิพลของความสัมพันธ์ ระหวา่ งบุคคล คะแนนอทิ ธิพลของความสัมพนั ธ์ระหว่างบคุ คล จานวน รอ้ ยละ ระดับ 1 - 16 คะแนน 0 0 ตา่ 17 - 32 คะแนน 22 21.6 ปานกลาง 33 - 50 คะแนน 80 78.4 สงู รวม 102 100.0 สูง 2.3 ความรอบรู้ด้านสุขภาพเร่ืองฉลาก เพียงพอ) ร้อยละ 38.2 และมีความรอบรู้ด้าน โภชนาการของเด็กวัยเรียน ผลการวิจัย พบว่า สุขภาพในระดับดี (หรือเพียงพอ) ร้อยละ 20.6 กลุ่มตัวอย่างมีความรอบรู้ด้านสุขภาพโดยรวมอยู่ ตามลาดบั รายละเอียดดงั ตารางที่ 4 การวเิ คราะห์ แต่ละด้านของความรอบรู้ด้านสุขภาพพบว่า กลุ่ม ในระดับพอใช้ (x̅=12.55, SD=3.48) เม่ือจาแนก ตัว อ ย่า ง ร้อ ย ล ะ 37.3 ถึ ง ร้ อ ยล ะ 73.5 มี ตามระดบั กลุม่ ตวั อย่างส่วนใหญม่ ีความรอบรูด้ ้าน ความสามารถในการคานวณข้อมลู โภชนาการ การ สุขภาพอยู่ในระดับพอใช้ ร้อยละ 41.2 (รองลงมา เข้าใจ การประเมินและการประยุกต์ใช้ข้อมูล อยู่ คือมีความรอบรู้ด้านสุขภาพในระดับต่า (หรือไม่ ในระดบั ตา่ /ต้องปรบั ปรุง ดังตารางที่ 4 ตารางที่ 4 ค่าเฉล่ียและร้อยละของกลุ่มตัวอย่าง จาแนกตามค่าคะแนนความรอบรู้ด้านสุขภาพเรื่อง ฉลากโภชนาการ คะแนนความรอบรูด้ ้านสุขภาพ จานวน ร้อยละ ระดับ 0 - 9 คะแนน 39 38.2 ต่า (หรือไมเ่ พียงพอ) 10 - 13 คะแนน 14 - 20 คะแนน 42 41.2 พอใช้ รวม 21 20.6 ดี (หรอื พอเพียง) 102 100.0 พอใช้ 3. ความสัมพันธ์ระหว่างความรู้เก่ียวกับ ผลการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่าง โภชนาการ อิทธิพลของความสัมพันธ์ระหว่าง ค ว า ม รู้ เ ก่ี ย ว กั บ โ ภ ช น า ก า ร อิ ท ธิ พ ล ข อ ง บุคคลกับความรอบรู้ด้านสุขภาพเรื่องฉลาก ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลกับความรอบรู้ด้าน โภชนาการ สขุ ภาพเรือ่ งฉลากโภชนาการ โดยการวิเคราะห์ค่า 78 Vol. 6 No. 2, April – June 2020 Academic Journal of Community Public Health
วารสารวชิ าการสาธารณสขุ ชมุ ชน ปที ่ี 6 ฉบบั ที่ 2 เมษายน – มิถุนายน 2563 สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน (Pearson’s p<0.001) อิทธิพลของความสัมพันธ์ระหว่าง product moment correlation coefficient) บุ ค ค ล มี ค ว า ม สั ม พั น ธ์ ต่ า กั บ ค ว า ม ร อ บ รู้ ด้ า น พบว่า ความรู้เกี่ยวกับโภชนาการมีความสัมพันธ์ สุขภาพในเด็กวัยเรียน อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ี ปานกลางกับความรอบรู้ด้านสุขภาพในเด็กวัย 0.05 (r=0.213, p=0.032) รายละเอียด ดังตาราง เรียน อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ี 0.01 (r=0.389, ที่ 5 ตารางที่ 5 ค่าสัมประสิทธส์ิ หสมั พันธ์ระหว่างความรเู้ กยี่ วกับโภชนาการ อิทธิพลของความสมั พันธ์ ระหวา่ งบุคคลกับความรอบรู้ด้านสุขภาพเรอื่ งฉลากโภชนาการ ปัจจัย ความรอบรูด้ ้านสขุ ภาพ ความรู้เก่ยี วกบั โภชนาการ r p-value อิทธิพลของความสมั พันธร์ ะหวา่ งบุคคล **p < 0.01, *p < 0.05 0.389** 0.001 0.213* 0.032 สรปุ และอภิปรายผลการวจิ ัย 1 วัน (กรัม) ปริมาณโซเดียมจากขนมขบเคียวที่ จากสมมติฐานพบว่า ความรู้เกี่ยวกับ เด็กควรไดร้ ับใน 1 วัน (มิลลิกรมั ) ปริมาณพลงั งาน โภชนาการ อิทธิพลของความสัมพันธ์ระหว่าง และสารอาหารสงู สดุ ท่ีแนะน้าให้บริโภคต่อวันและ บุคคล มีความสัมพันธ์กับความรอบรู้ด้านสุขภาพ เรื่องฉลากโภชนาการ อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ ประโยชน์ของฉลากโภชนาการแบบ GDA ” ท้ังนี้ ระดับ .01 และ .05 โดยพบว่า ความรู้เก่ียวกับ โภชนาการมีความสัมพันธ์ปานกลางกับความรอบ อาจมาจากฉลากโภชนาการแบบ GDA ยังไม่มีการ รู้ด้านสุขภาพเร่ืองฉลากโภชนาการ (r=0.389, ใช้ท่แี พร่หลายบนผลิตภัณฑข์ นมขบเคี้ยวทั่วไป20 p<0.001) ซึ่งสอดคล้องกับผลการศึกษาของบุษ รัตน์ พุฒวิชัยดิษฐ์ และนพวรรณ เปียซ่ือ19 ที่ อิทธิพลของความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลมี พบว่า เมื่อนักเรียนได้รับโปรแกรมการอ่านฉลาก โภชนาการ มีคว ามรู้เพ่ิมข้ึน มีอิทธิพลให้ ความสัมพันธ์ต่ากับความรอบรู้ด้านสุขภาพเรื่อง พฤติกรรมการอ่านฉลากโภชนาการเพิ่มข้ึนด้วย ฉ ล า ก โ ภ ช น า ก า ร ( r=0.213, p=0.032) ซ่ึ ง และในการศึกษาครั้งน้ี พบว่า นักเรียนช้ัน ประถมศึกษาปีท่ี 6 มากกว่าคร่ึง (52 - 66.7) ยัง สอดคล้องกับผลการศึกษาของนุชจรินทร์ สุทธิ ขาดความรู้โดยเฉพาะในประเด็นของข้อมูล วโรตมะกุล21 ที่พบว่า บิดามารดาและครอบครัว เกี่ยวกบั ฉลากโภชนาการ ได้แก่ “ ผลติ ภัณฑ์ท่ตี อ้ ง เป็นบุคคลกลุ่มแรกทางสังคมที่มีความสัมพันธ์ แสดงฉลากโภชนาการแบบ GDA ปริมาณน้าตาล จากขนมขบเคียวที่เด็กควรได้รับใน 1วัน (กรัม) ใกล้ชิดมีบทบาทสาคัญในการส่งเสริมพฤติกรรม ปริมาณไขมันจากขนมขบเคียวที่เด็กควรได้รับใน สุขภาพและยังเป็นผู้ที่มีส่วนร่วมในการถ่ายทักษะ และประสบการณ์ท่ีสาคัญร่วมกับครูประจาช้ัน เกี่ยวกับการศึกษาของเด็กวัยเรียน22 นอกจากน้ี การท่ีเด็กในวัยน้ีได้ทากิจกรรมและใช้เวลาส่วน ใหญ่อยู่ท่ีโรงเรียนร่วมกับคุณครูและเพ่ือน สภาพ สงั คมในการคบเพื่อนและส่ิงแวดลอ้ มที่โรงเรยี นจึง เป็นส่วนสาคัญในการส่งเสริมและสนับสนุนการ แส ด งพ ฤ ติก ร ร มสุ ข ภ า พ ขอ ง เ ด็ก วั ยเ รี ย น Academic Journal of Community Public Health 79 Vol. 6 No. 2, April – June 2020
วารสารวิชาการสาธารณสขุ ชมุ ชน ปที ี่ 6 ฉบับที่ 2 เมษายน – มิถุนายน 2563 น อ ก เ ห นื อ จ า ก ก า ร ดู แ ล ข อ ง ค ร อ บ ค รั ว แ ล ะ 1.3 ควรมีการศึกษาเพ่ิมเติมเก่ียวกับ ส่ิงแวดล้อมที่บ้าน23 และในการศึกษาคร้ังน้ีพบว่า อทิ ธิพลของครปู ระจาชั้นท่ีมผี ลต่อความรอบรู้ด้าน กลุ่มตัวอย่างซึ่งเป็นเด็กวัยเรียนมีค่าคะแนน สขุ ภาพของเด็กวยั เรยี น อิทธิพลของความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลโดยรวม ระดับสูง กิตติกรรมประกาศ ขอ้ เสนอแนะ ผู้วิจัยขอขอบคุณกลุ่มตัวอย่างโรงเรียนวัด ขอ้ เสนอแนะในการนา้ ผลการวจิ ยั ไปใช้ ดอนไก่เต้ีย โรงเรียนอนุบาลจังหวัดเพชรบุรี และ 1.1 โรงเรียนมีบทบาทสาคัญในการ โรงเรียนเทศบาล 3 ชุมชนวัดจันทราวาส รวมถึง ผู้เก่ียวข้องทุกท่านท่ีไม่ได้กล่าวนามไว้ในท่ีน้ี ท่ี ส่งเสริมความรู้ความเข้าใจเรื่องโภชนาการให้กับ กรุณาเอื้อเฟ้ือข้อมูลและให้ความร่วมมือในด้าน เด็กวัยเรียน การสอดแทรกหรือบูรณาการความรู้ ตา่ งๆท่ีมสี ่วนช่วยให้การจดั ทาโครงการวิจัยฉบับนี้ เก่ียวกับโภชนาการลงไปในการจัดการเรียนการ สาเร็วลุลว่ งไปไดด้ ว้ ยดี สอน อาจมีส่วนช่วยในการพัฒนาความรู้ ความ เ ข้ า ใ จ ข อ ง เ ด็ ก วั ย เ รี ย น เ ก่ี ย ว กั บ โ ภ ช น า ก า ร เอกสารอา้ งอิง นอกจากน้ีบิดามารดาหรือผู้ปกครองก็มีส่วนสาคัญ ในการถา่ ยทอดข้อมูลข่าวสารและการประพฤติตน 1. วาสนา บญุ จู, สริ พิ นั ธุ์ จุลกรงั คะ, อญั ชนยี ์ เป็นแบบอย่าง หากโรงเรียนหรือบุคคลากร อทุ ัยพฒั นาชีพ. การให้โภชนศกึ ษาเพ่อื สง่ เสริม สาธารณสุขกระตุ้นให้บิดามารดาหรือผู้ปกครอง พฤติกรรมการบริโภคอาหารไทยของเด็กวยั เห็นถึงความสาคัญของการมีความรู้เก่ียวกับ เรยี น. วารสารการวจิ ยั เพอื่ พัฒนาชุมชน 2551; โภชนาการ ก็จะมีส่วนช่วยส่งเสริมเด็กวัยเรียนอีก 2: 83-91. ทางหนึ่ง ทาให้เด็กสามารถเปรียบเทียบและเลือก บริโภคอาหารท่ีเป็นประโยชน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 2. กระทรวงสาธารณสขุ . กรมอนามยั . รายงาน ขนม เพอื่ ให้เกิดบริโภคนิสยั เพ่อื สขุ ภาพต่อไปได้ การสารวจอาหารและโภชนาการของประเทศ ไทย ครัง้ ที่ 5. กรุงเทพฯ: โรงพิมพอ์ งค์การ 1.2 บุคคลากรสาธารณสุขสามารถจัด รับสง่ สนิ ค้าและพัสดุภณั ฑ์; 2556. กิจกรรมเพ่ือส่งเสริมภาวะโภชนาการให้แก่เด็กวัย เรียนในกลุ่มเด็กวัยเรียนท่ีมีความรอบรู้ด้าน 3. อุไรพร จิตตแ์ จง้ , ประไพศรี ศิรจิ กั รวาล, กิตติ สขุ ภาพต่า สรณเจรญิ พงศ,์ ปยิ ะดา ประเสริฐสม, ผสุ ดี จนั ทรบ์ าง. การศึกษาพฤติกรรมการบริโภค ข้อเสนอแนะในการทา้ วจิ ัยครังต่อไป ขนมและอาหารวา่ งของเดก็ 3-15 ป.ี โครงการ 1.1 การศึกษาคร้ังต่อไปควรพัฒนา เด็กไทยไม่กนิ หวาน; 2557. โปรแกรมส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพในเด็กวัย เรียน เพ่ือช่วยให้เด็กวัยเรียนมีความรอบรู้ด้าน 4. สถาบนั วจิ ัยระบบสาธารณสขุ . รายงานการ สุขภาพเรอื่ งฉลากโภชนาการ สารวจการบริโภคอาหารของประชาชนไทย 1.2 ควรมีการศึกษาประเด็นความรอบรู้ การสารวจสุขภาพประชาชนไทยโดยการตรวจ ด้านสุขภาพในโรงเรียนขนาดเล็ก หรือขนาดกลาง ร่างกาย ครัง้ ที่ 4 พ.ศ.2551-2552. นนทบุรี: หรอื ในเขตชนบท เดอะกราฟิโก ซสิ เต็มส์; 2554. 80 Vol. 6 No. 2, April – June 2020 Academic Journal of Community Public Health
วารสารวชิ าการสาธารณสุขชมุ ชน ปีท่ี 6 ฉบับท่ี 2 เมษายน – มถิ นุ ายน 2563 5. กรมอนามัย. ศูนย์อนามยั ท่ี 5 ราชบุรี. สขุ ภาพ : กลมุ่ เดก็ วยั เรยี น กลมุ่ วยั ทางาน. สถานการณ์พฤติกรรมสขุ ภาพ ทพี่ งึ ประสงค์ใน กรุงเทพฯ: นิวธรรมดาการพิมพ์; 2559. เดก็ วยั เรียน [อินเทอรเ์ นต็ ]. 2561 [เข้าถึงเม่ือ 12.ศูนยเ์ บาหวานศริ ริ าช. ทาไมจึงตอ้ งอา่ นฉลาก 17 กนั ยายน 2562]. เขา้ ถึงได้จาก: โภชนาการ [อินเทอร์เน็ต]. 2558 [เขา้ ถึงเม่ือ https://apps.hpc.go.th/ 30 สงิ หาคม 2562]. เข้าถึงได้จาก: https://www.si.mahidol.ac.th/ 6. เปรมฤดี ภมู ิถาวร และพัฒน์ มหาโชคเลิศ 13.Cohen, J. Statistical power analysis for วัฒนา. โรคอว้ นในเด็กและวยั ร่นุ โรคร้ายที่ the behavioral sciences. 2nd ed. ปะทขุ นึ้ ในศตวรรษนี้ [อินเทอรเ์ นต็ ]. 2556 Hillsdale, NJ: Lawrence Erlbaum [เขา้ ถงึ เมอ่ื 30 สิงหาคม 2562]. เข้าถึงได้จาก: Associates; 1988. https://med.mahidol.ac.th/ 14.บญุ ใจ ศรีสถติ ย์นรากูร. ระเบียบวธิ ีการวจิ ยั ทางการพยาบาลศาสตร์ . กรุงเทพฯ: ยูแอนด์ 7. มูลนธิ เิ พือ่ การพฒั นานโยบายสุขภาพระหว่าง ไอ อินเตอร์มีเดีย; 2553. ประเทศ. การโฆษณา พฤติกรรมการซ้ือ และ 15.อุทุมพร ผ่ึงผาย, ศิริยพุ า สน่ันเรืองศักด์ิ, นฤมล การบรโิ ภคอาหารของเด็กวยั เรยี น ธีระรงั สกิ ุล. ปจั จัยทานายพฤติกรรมสุขภาพ [อนิ เทอร์เนต็ ]. 2556 [เข้าถึงเมอื่ 30 สิงหาคม ของเด็กวยั เรียน จงั หวดั สงิ หบ์ ุรี. วารสาร 2562]. เขา้ ถึงไดจ้ าก: พยาบาลศาสตร์ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั http://www.fhpprogram.org/ 2560; 29: 92-103. 16.Levin, I. R., & Rubin, S. D. Statistic for 8. สานกั งานกองทุนสนบั สนุนการสรา้ งเสริม management. 5th ed. New York: สุขภาพ. เลือกบริโภคขนม ใส่ใจสุขภาพเดก็ Prentice Hall; 1991. [อินเทอร์เน็ต]. 2559 [เขา้ ถึงเม่ือ 30 สิงหาคม 17.อรทยั ใจบญุ , ภรณี วัฒนสมบูรณ์, ลักขณา 2562]. เขา้ ถงึ ไดจ้ าก: เตมิ ศริ กิ ลุ ชยั , วราภรณ์ เสถยี รนพเกา้ . ความรู้ https://www.thaihealth.or.th/ และความแตกฉานด้านสขุ ภาพเรื่องฉลาก โภชนาการแบบ GDA ของนักเรียนชัน้ 9. ปริยาภรณ์ มณแี ดง. บทบาทพยาบาลอนามยั มัธยมศึกษา [อินเทอรเ์ นต็ ]. 2558 [เข้าถึงเม่ือ ชุมชนในการปอ้ งกนั โรคอ้วนในเด็กวัยเรยี น. 30 สงิ หาคม 2019]. เข้าถึงได้จาก: วารสารการพยาบาลและการดแู ลสขุ ภาพ http://ns2.ph.mahidol.ac.th/ 2560; 35: 16-24. 18.กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข. สานกั โภชนาการ. หุ่นดี สขุ ภาพดีงา่ ยๆ แค่ใช้ 4 10.บุญฤทธิ์ ประสทิ ธิน์ ราพันธุ์, วมิ ล ออ่ นเสง็ , ปฐ พฤติกรรม. นนทบรุ ี: กรมสนับสนุนบรกิ าร พร แสงเขยี ว, ดจุ เดอื น เขียวเหลือง, อดุลย์ สุขภาพ กระทรวงสาธารณสขุ ; 2561. วุฒจิ ูรพี นั ธุ์, อัญชลี เขม็ เพ็ชร, และคณะ. 19.บุษรตั น์ พุฒวิชยั ดิษฐ์, นพวรรณ เปียซือ่ . ผล ปจั จัยทานายพฤตกิ รรมการบรโิ ภคอาหารของ ของโปรแกรมส่งเสริมการอา่ นฉลากโภชนาการ นกั เรยี นช้ันประถมศกึ ษาปีท่ี 4-6. วารสาร ของขนมขบเค้ียวและเคร่อื งดื่มตอ่ ความรู้ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี อุตรดิตถ์ ทัศนคติ และพฤติกรรมการอ่านฉลาก 2560; 9: 41-53. 11.กองสขุ ศกึ ษา กรมสนับสนนุ บรกิ ารสขุ ภาพ กระทรวงสาธารณสขุ . การสร้างเสรมิ และ ประเมนิ ความรอบรู้ดา้ นสุขภาพและพฤติกรรม Academic Journal of Community Public Health 81 Vol. 6 No. 2, April – June 2020
วารสารวิชาการสาธารณสุขชมุ ชน ปที ่ี 6 ฉบบั ที่ 2 เมษายน – มิถุนายน 2563 โภชนาการในนกั เรียนชน้ั ประถมศึกษาปีที่ 5– 22.Bruce, T., & Meggitt, C. Child care and 6. รามาธิบดีพยาบาลสาร 2555; 18: 298- education. United Kingdom: Insignia 310. Books; 2012. 20.จรุ ีรัตน์ ห่อเกียรติ, น้องนชุ ศริ วิ งศ,์ สริ ิพนั ธ์ จุลกรงั คะ. ปัจจัยท่มี ผี ลต่อการรับรแู้ ละความ 23.เพญ็ ศรี กระหม่อมทอง, ศศิวมิ ล ปจุ ฉาการ, เขา้ ใจเกี่ยวกับสญั ลกั ษณ์ ทางโภชนาการแบบ ปนัดดา จัน่ ผอ่ ง. การสารวจภาวะสขุ ภาพ GDA บนฉลากขนมขบเค้ยี ว: กรณศี ึกษา อย. นักเรยี นในประเทศไทย พ.ศ. 2551. วารสาร นอ้ ย [อินเทอร์เนต็ ]. 2555 [เขา้ ถึงเมือ่ 22 การสง่ เสริมสุขภาพและอนามัยส่ิงแวดลอ้ ม พฤศจิกายน 2562]. เข้าถึงได้จาก: 2553; 33: 53-60. http://kucon.lib.ku.ac.th/ 21.นุชจรินทร์ สทุ ธิวโรตมะกลุ . ความสัมพนั ธ์ ระหว่างความฉลาดทางสุขภาพ อิทธิพลของ ครอบครัวและกล่มุ เพื่อนกบั พฤตกิ รรมการ บริโภคอาหารของเด็กวยั เรยี น [วิทยานิพนธ์ ปรญิ ญามหาบัณฑติ ]. ชลบรุ :ี มหาวทิ ยาลัย บรู พา; 2561. 82 Vol. 6 No. 2, April – June 2020 Academic Journal of Community Public Health
วารสารวชิ าการสาธารณสุขชมุ ชน ปีที่ 6 ฉบบั ที่ 2 เมษายน – มถิ ุนายน 2563 Received: 19 Feb 2020, Revised: 13 Mar 2020 Accepted: 23 Mar 2020 นิพนธต์ ้นฉบับ การประเมินผลโครงการต้นแบบตาบลฟันดี ตาบลแมพ่ ริก อาเภอแมพ่ ริก จังหวัดลาปาง ธวชั ชัย ปินเครือ1,* บทคัดยอ่ การศึกษาน้ีเป็นการวิจัยเชงิ พรรณนา มวี ัตถปุ ระสงค์เพื่อประเมินผลโครงการต้นแบบตาบลฟันดี ใน ด้านบริบท ปจั จยั นาเขา้ กระบวนการ ขนั้ ตอนการดาเนนิ งานและผลผลติ ของโครงการ โดยใช้ CIPP Model ศึกษาในกลุ่มผปู้ กครองเด็กอายุ 2-3 ปี ท่ีสมัครใจเข้าร่วมโครงการ จานวน 50 คนและเจา้ หนา้ ท่ีสาธารณสุข หรือทันตบคุ ลากรท่ีรับผิดชอบโครงการ จานวน 27 คน เก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์แบบมี โครงสร้างและการสัมภาษณ์เชิงลึก ในช่วงเวลาระหว่าง ตุลาคม 2561 ถึง กันยายน 2562 วิเคราะห์ข้อมูล เชิงปริมาณดว้ ยจานวน รอ้ ยละ ค่าเฉล่ียและส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐานและใช้เทคนคิ การวิเคราะห์เชงิ เนื้อหาใน ข้อมลู เชิงคุณภาพ มขี ้อค้นพบ ดังน้ี 1) ด้านบริบท พบว่า วัตถปุ ระสงค์ของโครงการมีความชัดเจนในขณะท่ี แผนงานไม่ชัดเจนเน่ืองจากกิจกรรมคล้ายคลึงและซ้าซ้อนกับงานประจา มีตัวช้ีวัดมากเกินไป โอกาสท่ีจะ ได้รับการสนับสนุนจากองค์กรอื่น ๆ มีข้อจากัดด้านช่วงเวลาของการทาแผนไม่ตรงกัน และการมีส่วนร่วม ของชุมชนขึ้นอยู่กับกิจกรรม 2) ด้านปัจจัยนาเข้า พบว่า ด้านงบประมาณ วัสดุอุปกรณ์และบุคลากรไม่ เพียงพอ ในส่วนด้านเวลาการดาเนินงานต้องปฏิบัติงานนอกเวลาเพ่ิมเติม รวมถึงด้านแผนดาเนินงาน ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายแต่ขาดคุณภาพ 3) ด้านกระบวนการ พบว่า ทุกกิจกรรมตามโครงการ มีข้อจากัด เร่ืองความไม่เพยี งพอและความไม่เหมาะสมของวัสดุอปุ กรณ์ บุคลากร การบริหารจดั การและผูป้ กครองเด็ก สง่ ผลต่อปรมิ าณและคณุ ภาพของการดาเนินงาน 4) ดา้ นผลิตผล พบวา่ การตรวจฟันหญิงตั้งครรภ์ในคลนิ ิก ฝากครรภ์บรรลุตัวช้ีวัดตามโครงการร้อยละ 100 ในขณะที่การเยี่ยมบ้านหลังคลอดพบร้อยละ 83.72 การ สอนเช็ดเหงือกพบ ร้อยละ 57.50 การประเมินความเส่ียงการเกิดฟันผุของเด็กในคลินกิ เด็กดี ในช่วงอายุ 9 เดือน และ 18 เดือนพบร้อยละ 65.30, 67.30 ตามลาดับ การฝึกทักษะการแปรงฟันแบบลงมือปฏิบัติ ใน อายุ 9 เดือน และ 18 เดือน พบร้อยละ 2.86, 9.09 ตามลาดับ การทาฟลอู อไรด์วานิช ในเด็กอายุ 9 เดือน และ 18 เดือนพบรอ้ ยละ 65.31, 67.35 ตามลาดับ การเย่ียมบ้านพบร้อยละ 42.86 กิจกรรมทั้งหมดนม้ี ีผล การดาเนินงานไม่บรรลุตัวช้ีวัดตามร้อยละ 90 ตามที่โครงการกาหนดไว้ ในด้านผลที่ตามมา กิจกรรม พฤติกรรมการแปรงฟันของเด็ก 2 คร้ังและ1 คร้ังต่อวันพบร้อยละ 40.81, 34.69 ตามลาดับ ภาพรวมมี แนวโน้มดีข้นึ ในส่วนดา้ นผลกระทบ พบว่า เด็กมีภาวะปราศจากฟันผพุ บรอ้ ยละ 85.42 ถือวา่ มแี นวโน้มที่ดี แตย่ ังไม่สามารถบรรลตุ วั ช้วี ดั ร้อยละ 100 ตามทโี่ ครงการกาหนดไว้ได้ คาสาคญั การประเมนิ ผล โครงการตน้ แบบตาบลฟนั ดี 1 ทนั ตแพทย์ชานาญการพิเศษ กลมุ่ งานทนั ตสาธารณสุข โรงพยาบาลแม่พริก อาเภอแมพ่ ริก จังหวดั ลาปาง * Corresponding author: [email protected] Academic Journal of Community Public Health 83 Vol. 6 No. 2, April – June 2020
วารสารวชิ าการสาธารณสุขชมุ ชน ปีที่ 6 ฉบับท่ี 2 เมษายน – มิถนุ ายน 2563 Original Article Evaluation of the prototype project of Good teeth Sub-district, Mae Phrik Sub-district, Mae Phrik District, Lampang Province Thawatchai pinkhrue1,* Abstract This study was a descriptive study. The objective was to evaluation of the prototype project of Good teeth Sub-district. In the context, inputs, process. Products and projects using CIPP Model study among parents of children aged 2-3 years were 50 people who voluntarily join the scheme and health or dental staff of 27 people responsible for the project. Data collected by questionnaire, structured interviews and in-depth interviews. In the period between October 2017 to September 2018 data, quantitative analysis by percentage, mean and standard deviation, and content analysis techniques used in qualitative findings are as follows. 1)Context: Found that The objectives of the project are clear. While the plan was not clear because of duplicate activities with routine work, There were too many indicators, Opportunity to receive support from other organizations There were limitations on the timing of budget plans that do not match. And Community participation depends on activities. 2) Input: Found that Budget, Insufficient materials and equipment for operations In terms of working time Personnel must perform additional part- time work. Including The operational plan covers the target group, but the operation results lack quality. 3) Process: Found that All activities under the project There were restrictions on inadequacy and inappropriateness. In terms of materials, equipment, personnel, management, and parents of children Affect the quantity and quality of operations. 4 ) Product: Output: Found that Dental examination for pregnant women in the antenatal clinic ( ANC) achieving the metrics as according to the 1 0 0 percent program. While Postpartum home visits found 8 3 . 7 2 percent. Teaching to wipe the gums found 57.50 percent. Assessment of the risk of children's tooth decay in the well Baby Clinic (WBC) during 9 months and 18 months was found at 65.30, 67.30 percent respectively. The practice of brushing skills, hands-on practice at the age of 9 months and 1 8 months found 2 . 8 6 , 9 . 0 9 percent respectively. Regarding the application of fluoride varnish in children aged 9 months and 18 months, found 65.31, 67.35 percent respectively. Regarding home visits, 42.86 percent were found These activities do not achieve the project-based indicators of 90 percent. And Outcome: The activity of tooth transformation behavior of children 2 times and 1 time per day was found 40.81, 34.69 percent respectively. Overall the trend is improving. And Impact: Found that Children without tooth decay. (caries free) 85.42 percent is considered to have a good trend but still cannot achieve the 100 percent metric as specified by the project. Keywords: Evaluation, Prototype project of Good teeth Sub-district 1 Dentist (Senior Professional Level), Mae Phrik Hospital * Corresponding author: [email protected] 84 Vol. 6 No. 2, April – June 2020 Academic Journal of Community Public Health
วารสารวิชาการสาธารณสขุ ชมุ ชน ปที ่ี 6 ฉบบั ที่ 2 เมษายน – มถิ นุ ายน 2563 บทนา เก่ียวกับการดูแลสุขภาพช่องปากเด็กแกผ่ ู้ปกครอง แต่ไม่มีการประเมินทักษะว่าทาได้จริงหรือไม่ โรคฟันผุ เป็นปัญหาสุขภาพช่องปากท่ีมี เน่ืองจากขาดการสอนแบบให้ฝึกปฏิบัติจริงมี โอกาสเกิดขึ้นได้กับมนุษย์ทุกคน ทุกสถานภาพ หลายโครงการท่ีประสบปัญหา ในส่วนโครงการ ทางเศรษฐกิจและทุกช่วงอายุ หากโรคเกิดการ ปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อม เช่น โครงการ ด.เด็ก ลุกลามไปจนกระท่ังถึงจุดที่เกิดพยาธิสภาพขึ้นกับ ยิม้ ได้ มกี ารปรับเปลย่ี นสภาพแวดล้อมมุ่งเน้นไปท่ี เนอ้ื ในโพรงประสาทฟันและเน้ือเย่ือรอบปลายราก ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กและร้านค้า ไม่ได้เน้นไปท่ี จะทาให้การรักษามีความยากและซับซ้อนมากข้ึน สภาพแวดล้อมท่ีบ้าน ทาให้พฤติกรรมการดูแล โดยเฉพาะในวัยเด็ก หากสูญเสียเนื้อฟันไปเป็น สุขภาพช่องปากเด็กของผู้ปกครองคงเป็นปัญหา ปริมาณมากจนไม่สามารถบรู ณะได้อาจเป็นเหตุให้ อยู่ และการเปล่ียนสภาพแวดลอ้ มที่บ้านก็มผี ลต่อ ตอ้ งถอนฟันออกไปจนอาจเกิดปัญหาฟันซอ้ นเกใน พ ฤ ติ ก ร ร ม ก า ร ดู แ ล สุ ข ภ า พ ช่ อ ง ป า ก เ ด็ ก ข อ ง อนาคต จะส่งผลให้รับประทานอาหารได้น้อยลง ผู้ปกครองสิ่งสาคัญจะอยู่ที่การทาอย่างไรให้ ส่ ง ผ ล ต่ อ ก า ร เ จ ริ ญ เ ติ บ โ ต ข อ ง ร่ า ง ก า ย แ ล ะ ผู้ปกครองทาได้ง่ายและรู้ว่าทาไมต้องทาจาก พัฒนาการของเด็ก ปัญหาโรคฟันผุในเด็กจึงเป็น การศึกษาในปัจจุบันแสดงให้เห็นว่า ระยะการติด ปัญหาท่สี าคญั ทไ่ี ม่ควรมองขา้ ม เชื้อเริ่มต้น ในช่วง 6 เดือนแรกก่อนที่ฟันข้ึน1 สัมพันธ์กับตุ่มเนื้อเย่ือ อวัยวะต่าง ๆ ท่ียังคงค้าง ในเขตอาเภอแม่พริก จังหวัดลาปางมีการ อยู่ในช่องปาก และยังพบอีกว่าในเด็กท่ีไม่พบเช้ือ ดาเนินการส่งเสริมทันตสุขภาพในเด็กปฐมวัยและ Mutans Streptococci (MS) จะมีค่าร้อยละของ หญิงต้ังครรภ์มาอย่างต่อเน่ืองตามนโยบายของ การทาความสะอาดเหงือกสูงกว่าเด็กท่ีพบเชื้อ2 กระทรวงสาธารณสุขต้ังแต่ปี 2546 ได้ขับเคลื่อน การให้ทันตสุขศึกษา 1 ครัง้ และสอนมารดาแปรง โครงการแม่ลูกฟันดี 102 ปี สมเด็จย่า ปี 2550 ฟนั ใหล้ ูกจะลดเชื้อ MS ในชอ่ งปากลูกได้ถึงรอ้ ยละ โครงการสายใยรักแห่งครอบครัว ปี 2551 25 ดังน้ันเพ่ือให้ในช่องปากสะอาดและคุ้นเคยกับ โครงการ ด.เด็กย้ิมได้ ปี 2552 โครงการสร้าง การทาความสะอาดในช่องปากจึงควรแนะนาให้ กระแสเพ่ือเด็กไทยไม่กินหวาน (มัน+เค็ม) ใน ผู้ปกครองเริ่มทาความสะอาดช่องปากของเด็ก ระดับครอบครัวและชุมชน ปี 2555 กิจกรรมออก ต้ังแต่แรกเกิดวันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็น ช่วง กาลัง แปรงฟันแลกไข่ และ ปี 2556 โครงการแม่ อาบน้าให้เด็ก โดยใช้ผ้าสะอาดชุบ น้าต้มสุกเช็ด ลูกรักษ์ฟัน โดยคาดหวังไว้ว่า เด็กแรกเกิดถึง 3 ปี กระพุ้งแก้ม เพดาน สันเหงือก ลิ้น3 2) ประเด็น ต้องปราศจากฟันผุไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 จาก การบริการของหน่วยงานสาธารณสุข พบปัญหา การศึกษาผลการดาเนินงานที่ผ่านมาสามารถ ในด้านคุณภาพในการให้ความรู้แก่แม่และเด็ก บรรลุเป้าหมายได้ในระดับหน่ึงแต่ยังพบประเด็น เช่น โครงการสายใยรักแหง่ ครอบครัว ทีม่ ีการสอน สาคัญที่ต้องพัฒนาอย่างต่อเน่ือง กล่าวคือ 1) การทาความสะอาดช่องปากเด็กให้กับแม่ของเด็ก ประเด็นพฤติกรรมการดูแลสุขภาพช่องปากเด็ก ที่พาลูกมารับการฉีดวัคซีน ซ่ึงติดปัญหาข้อจากัด โดยผู้ปกครองและพฤติกรรมการกินของเด็ก เช่น ด้านเวลาและการติดตามผล รวมถึงความไม่ใส่ใจ โครงการแม่ลูกฟันดี 102 ปี สมเด็จย่า และ โครงการสายใยรักแห่งครอบครัว มีการให้ความรู้ Academic Journal of Community Public Health 85 Vol. 6 No. 2, April – June 2020
วารสารวิชาการสาธารณสุขชมุ ชน ปที ่ี 6 ฉบบั ท่ี 2 เมษายน – มิถนุ ายน 2563 ของผู้ปกครองในการรับฟังผู้สอนในวันดังกล่าว “ในปี 2562 เด็กอายุ 3 ปี ในพื้นท่ีเป้าหมาย ต้อง เน่ืองด้วยคิดว่าสุขภาพช่องปากไม่ใช่ปัญหาสาคัญ ปราศจากฟันผุทุกคน” ผ่านกิจกรรมสาคัญ คือ และคิดว่าตนเองพาลูกมาเพื่อรับวัคซีนเท่าน้ัน ทา เด็กปฐมวัยและหญิงต้ังครรภ์ได้รับการตรวจช่อง ใหผ้ ลของโครงการออกมาไดไ้ ม่ดีเทา่ ท่ีควร ปากเพ่ือประเมินความเสี่ยงต่อการเกิดฟันผุและ ได้รับการจัดการความเสี่ยงจากทันตบุคลากรและ จากรายงานผลการสารวจสภาวะสุขภาพ ผู้ปกครองตามความจาเป็น มีระบบการเฝ้าระวัง ช่องปากระดับประเทศ ครง้ั ท่ี 7 ประเทศไทย พ.ศ. และดูแลสุขภาพช่องปากเด็กอย่างต่อเน่ืองจาก 2555 พบว่า เด็กก่อนวัยเรียนอายุ 3 ปี ร้อยละ สถานบริการสู่ครอบครัวและชุมชนมีส่วนร่วม มี 48.3 ปราศจากฟันผุในฟันน้านม สะท้อนถึงเด็ก ก า ร ติ ด ต า ม แ ล ะ ป ร ะ เ มิ น ผ ล ซ่ึ ง ถื อ ไ ด้ ว่ า เ ป็ น ก่อนวัยเรียนอายุ 3 ปี มีแนวโน้มปราศจากฟันผุ โครงการที่ตอบโจทย์ประเด็นปัญหาจากการ เพิ่มข้ึน เมื่อเทียบกับการสารวจในครั้ง ที่ผ่านมา ทบทวนโครงการทผี่ ่านมา4 (พ.ศ.2550)3 สาหรับผลการสารวจสภาวะสุขภาพ ช่องปากของจังหวัดลาปาง พบว่าเด็กก่อนวัยเรียน โครงการต้นแบบตาบลฟันดี ของตาบลแม่ อายุ 3 ปี ร้อยละ 43.69 ปราศจากฟันผุ4 ผลการ พริก อาเภอแม่พริกดาเนินมาได้ระยะหนึ่ง พบว่า สารวจสภาวะสุขภาพช่องปากของอาเภอแม่พริก ในปัจจุบันการบรรลุตามตัวชี้วัดเด็กอายุ 3 ทุกคน พบว่ากลุ่มเด็กก่อนวัยเรียนอายุ 3 ปี ร้อยละ 38 จะตอ้ งไมพ่ บมีปญั หาฟนั ผุ จึงเป็นเร่ืองท้าทายและ ปราศจากฟันผุ5 ซ่ึงในอาเภอแม่พริกน้อยกว่า มีความสาคัญในมิติของการประเมินผลโครงการ ระดับจังหวัดลาปางและระดับประเทศ สะท้อนถึง ดังกล่าวในภาพรวมทั้งระบบ ผู้วิจัยจึงเลือกใช้ ความจาเป็นและความสาคัญของสถานการณ์ แนวคิด CIPP Model ของ Stufflebeam6 ซึ่ง ดังกล่าว เพ่ือให้เกิดการพัฒนาอย่างต่อเน่ือง ใน ได้รับการยอมรับกันโดยทั่วไปในปัจจุบัน ภายใต้ ปีงบประมาณ 2557 กระทรวงสาธารณสุข โดย กรอบคาถามท่ีสาคัญว่า บริบท ปัจจัยนาเข้า ศูนย์อนามัยท่ี 1 เชียงใหม่ ได้กาหนดนโยบายและ กระบวนการ ผลผลิตท่ีเกิดจะสามารถพัฒนาไปสู่ สนับสนุนโครงการต้นแบบตาบลฟันดี โดยมี เป้าหมายเดก็ อายุ 3 ปตี ้องปราศจากโรคฟันผุ ร้อย มาตรการเพ่ือส่งเสริมสุขภาพช่องปากเด็กปฐมวัย ละ 100 ได้อย่างไร และแนวทางในการปรับปรุง เร่ิมตั้งแต่แม่ต้ังครรภ์ไปจนถึงเข้าเรียนในศูนย์ พัฒนาควรดาเนินการอย่างไร เพ่ือหาสาเหตุของ พัฒนาเด็กเล็กหรอื อนุบาล มีเป้าหมายอาเภอละ 1 ปัญหาและนาไปสู่การพัฒนาโครงการ ให้มี ตาบล ดาเนินการอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 3 ปี ประสทิ ธิภาพสูงสุดต่อไป ในช่วงปีงบประมาณ 2557 ถึง 2559 ได้แบ่งกลุ่ม เป้าหมายในการดาเนินงานออกเป็น 3 กลุ่ม วตั ถปุ ระสงคก์ ารวจิ ัย กลา่ วคอื กล่มุ ท่ี 1 เด็กทเี่ กดิ ตั้งแต่ 1 ตลุ าคม 2556 เพอ่ื ประเมินผลโครงการต้นแบบตาบลฟันดี ถึง 30 กนั ยายน 2557 กลุ่มที่ 2 เดก็ ท่ีเกดิ ต้งั แต่ 2 ตุลาคม 2557 ถึง 30 กันยายน 2558 กลุ่มท่ี 3 ตาบลแม่พริก อาเภอแม่พริก จังหวัดลาปาง ใน เด็กท่ีเกิดต้ังแต่ 1 ตุลาคม 2558 ถึง 30 กันยายน ดา้ นบริบท ปัจจัยนาเขา้ กระบวนการ และผลติ ผล 2559 โดยได้กาหนดเป้าหมายในระยะยาวไว้ว่า 86 Vol. 6 No. 2, April – June 2020 Academic Journal of Community Public Health
วารสารวชิ าการสาธารณสุขชมุ ชน ปีที่ 6 ฉบับที่ 2 เมษายน – มถิ นุ ายน 2563 ขอบเขตการวิจัย วธิ ีดาเนินการวจิ ยั การศึกษาคร้ังน้ีเป็นการประเมินโครงการ การวิจัยครั้งน้ีเป็นการวิจัยแบบพรรณนา ต้นแบบตาบลฟันดี ในเขตตาบลแม่พริก อาเภอแม่ (Descriptive study) โดยใช้ CIPP Model ใน พริก จังหวัดลาปาง ในด้านบริบท ปัจจัยนาเข้า ด้านบรบิ ท ปัจจัยนาเข้า กระบวนการ ขั้นตอนการ กระบวนการ และผลิตผลของโครงการ ในกลุ่ม ดาเนินงานและ ผลผลิตของโครงการ ผู้ปกครองเด็กหรือผู้ดูและเด็ก อายุ 2-3 ปี ที่เข้า ร่วมโครงการและเจ้าหน้าที่สาธารณสุขหรือทันต ประชากรที่ศึกษา ได้แก่ กลุ่มผู้ปกครอง สาธารณสุขท่ีรับผิดชอบโครงการ ในช่วงระหว่าง หรือผู้ดูแลเด็กอายุระหว่าง 2-3 ปี อาศัยอยู่ในเขต ตุลาคม 2561 ถึง กันยายน 2562 โดยได้กาหนด ตาบลแม่พริก ในช่วงปีงบประมาณ 2559 จานวน รายละเอียดของขอบเขตเชิงเน้ือหาในการวิจัย 437 คน และเจ้าหน้าท่ีสาธารณสุขหรือทันต ดงั น้ี สาธารณสุขหรือผู้เก่ียวข้องที่รับผิดชอบโครงการ จานวน 27 คน อาสาสมัครสาธารณสุขท่ีผ่านการ 1. C: Context บริบท ประกอบด้วย 1) อบรมการสอนแปรงฟันแบบฝกึ ปฏิบัติจริง จานวน วัตถุประสงค์ของโครงการชัดเจน 2) ตัวช้ีวัดของ 20 คน โครงการชัดเจน 3) โอกาสในการได้รับการ สนับสนุนจากองค์กรต่างๆ 4) การมีส่วนร่วมของ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ กลุ่มผู้ปกครองหรือ ชุมชน ผู้ดูแลเด็กอายุ 2-3 ปี จานวน 50 คน คัดเลือก แบบเจาะจง โดยใช้หลักในการคัดเลือก คือ 1) 2. I: Input ปจั จยั นาเข้า 1) งบประมาณ 2) สมัครใจเข้าร่วมโครงการ 2) เดก็ อายุ 2-3 ปี ที่เกิด บุคลากร 3) วัสดุอุปกรณ์ 4) เวลา 5) แผน ในช่วงปีงบประมาณ 2559 3) ปัจจุบันเด็กอาศัย ดาเนนิ งาน อยใู่ นตาบลแมพ่ ริก อาเภอแม่พริก จังหวดั ลาปาง 3) P: Process กระบวนการ ประกอบด้วย เจ้าหน้าที่สาธารณสุขหรือทันตบุคลากร 1) การปฏิบัติหน้าที่ในคลินิกฝากครรภ์ (ANC) 2) และผู้เกี่ยวข้อง จานวน 27 คน คัดเลือกแบบ การเยี่ยมบา้ นหลังคลอด 3) การตรวจและประเมิน เจาะจง โดยใช้หลักในการคัดเลือก คือ เป็น ค ว า ม เ สี่ ย ง ด้ า น ทั น ต ก ร ร ม ( Caries risk ผู้รับผิดชอบการดาเนินงานต้นแบบตาบลฟันดี assessment) 4) การสอนแปรงฟันแบบลงมือ ระดับอาเภอ ได้แก่ เจ้าหน้าที่ทันตบุคคลากร รพ. ปฏิบัติ (hands-on) 5) การเคลือบฟันด้วยน้ายา แม่พริก หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุขชุมชน รพ.สต. ฟลูออไรด์วานิช (Fluoride vanish 6) การเย่ียม แม่เชียงรายลมุ่ และ รพ.สต.แพะดอกเข็ม จานวน บ้านเดก็ 15 คน และ นักสุขภาพฟันดี หรือ อาสาสมัคร สาธารณสุขประจาหม่บู า้ น(อสม.)ทีไ่ ด้รับการอบรม 4) P: Product ผลิตผล ประกอบด้วย 1) การสอนแปรงฟันแบบฝึกปฏิบัติจริง จานวน 12 Output: การร่วมโครงการตามกิจกรรม 2) คน Outcome: พฤติกรรมการแปรงฟัน 3) Impact: ภาวะปราศจากฟันผุ (Caries free) Academic Journal of Community Public Health 87 Vol. 6 No. 2, April – June 2020
วารสารวชิ าการสาธารณสุขชมุ ชน ปีที่ 6 ฉบับที่ 2 เมษายน – มถิ ุนายน 2563 เคร่อื งมือทใี่ ชใ้ นการวจิ ยั ดงั ต่อไปน้ี ตารางท่ี 1 แสดงวัตถปุ ระสงค์ กลุ่มตัวอยา่ งและ เคร่อื งมือทใ่ี ช้ในการวิจัย กลมุ่ ตัวอย่าง เครอ่ื งมอื 1) กลุ่มผู้ปกครองหรือผดู้ ูแลเด็กอายุ 2 ถงึ 3 ปี - แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสรา้ ง 2) กลุ่มเจา้ หนา้ ที่สาธารณสขุ หรอื ทันตบคุ ลากรและ - แบบสอบถาม ผู้เกีย่ วข้อง - การสัมภาษณเ์ ชิงลกึ ทั้งนี้ ในการตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิง 2. ดาเนินการเก็บรวบรวมข้อมูล ทง้ั นี้ หาก เนื้อหา (Content Validity) ของแบบสอบถาม ข้อมูลที่ได้ไม่ครบถ้วน หรือไม่เพียงพอผู้วิจัยจะ แ ล ะ ก ร อ บ ค า ถ า ม ข อ ง แ บ บ สั ม ภ า ษ ณ์ แ บ บ มี ดาเนินการเก็บข้อมลู ซา้ อีกครั้ง โครงสรา้ ง โดยให้ผทู้ รงคณุ วฒุ ิ คือ ทพญ.ลลนา ถา คาฟู หัวหน้ากลุ่มงานทันตสาธารณสุข จังหวัด การวิเคราะห์ขอ้ มลู ลาปาง ตรวจสอบให้ตรงตามวัตถุประสงค์ของการ กา รวิ เ คร า ะห์ ข้อ มู ลเ ชิ งป ริม า ณ ใ ช้ วิจัยแล้วปรับปรุงแก้ไขจึงนาไปดาเนินการต่อไป ในส่วนแบบสอบถามได้นามาหาค่าความเชื่อม่ัน ค่าความถี่ จานวน ร้อยละ ค่าเฉล่ียและส่วน (Reliability) โดนนาไปทดลองเก็บข้อมูลกับกลุ่ม เบ่ยี งเบนมาตรฐาน ผูป้ กครองและกลุ่มเจ้าหน้าที่สาธารณสุขและทันต บุคลากรและผู้เก่ียวข้อง ในเขตตาบลแม่ปุ อาเภอ การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ ใช้เทคนิค แม่พริก จานวน 20 คน นาข้อมูลที่ได้มาคานวณ วิเคราะห์เชิงเนื้อหา (content analysis) การ คา่ สัมประสิทธ์ิอัลฟ่าของครอนบาค (Cronbach’s ตีความ วิเคราะห์ เปรียบเทียบปรากฏการณ์ การ Alpha coefficient) ได้ค่าความเช่ือมั่น เท่ากับ หาความสัมพันธ์ คาอธิบาย การสังเคราะห์และ 0.9340 แล้วจึงนาไปใชเ้ กบ็ ขอ้ มลู ตอ่ ไป สรา้ งขอ้ สรุป ในส่วนการตรวจสอบความถูกต้องของ ผลการวจิ ยั ข้อมูลเชิงคุณภาพได้ใช้หลักการตรวจสอบข้อมูล แ บ บ ส า ม เ ส้ า ( triangulation) ใ ห้ ไ ด้ ข้ อ มู ล ข้อมูลท่ัวไปของกลุ่มผู้ปกครอง พบว่า ส่วน ครบถว้ นถกู ต้องตามความเป็นจริง ใหญ่เปน็ เพศหญิง ร้อยละ 93.88 ช่วงอายุโดยแบ่ง ในช่วงอายุน้อยกว่า 30 ปี 30-39 ปี และ 40 ปี การเก็บรวบรวมขอ้ มลู ขึ้นไปอยู่ในเกณฑ์ที่ใกล้เคียงกัน ส่วนมากมีอาชีพ 1. ประสานงานและขอความร่วมมือใน แม่/พ่อบ้าน ร้อยละ 36.73 ตามมาด้วยอาชีพ รวบรวมข้อมูลกลุ่มตัวอย่าง ได้แก่เจ้าหน้าที่ และ เกษตรกร ร้อยละ 32.65 มีการศึกษาในระดับ ผู้เกี่ยวข้องที่ได้รับมอบหมาย รพ.แม่พริก รพ.สต. มัธยมศึกษา/ปวช เป็นส่วนใหญ่ร้อยละ 61.22 มี แม่เชียงรายลุ่ม รพ.สต. แพะดอกเข็ม และ รายได้ต่อเดือนมากว่า 10,000 บาท ร้อยละ ผู้ปกครองหรอื ผ้ดู ูแลเดก็ 59.18 ผู้ดูแลหลักส่วนใหญ่คือ แม่ ร้อยละ 69.39 และเป็นคนแปรงฟันให้ลูกวันละ 2 คร้ัง ร้อยละ 40.82 และข้อมูลทั่วไปของเจ้าหน้าที่สาธารณสุข หรือทันตบุคลากร พบว่า ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง 88 Vol. 6 No. 2, April – June 2020 Academic Journal of Community Public Health
วารสารวชิ าการสาธารณสุขชมุ ชน ปีท่ี 6 ฉบับที่ 2 เมษายน – มถิ ุนายน 2563 ร้อยละ 80.77 ส่วนใหญ่อายุ 40 ปีข้ึนไป ร้อยละ ความรุนแรงของสถานการณข์ องปัญหาฟันผุเทียบ กบั สุขภาพรา่ งกายอื่น ๆ 76.92 ตาแหน่งหน้าท่ีการทางานเจ้าหน้าท่ี 1.4 การมีส่วนร่วมของชุมชนต่อโครงการ สาธารณสุข ร้อยละ 37.77 ทันตบุคลากร ร้อยละ คะแนนเฉล่ีย 3.73 คะแนน จาก 5 คะแนน ผู้เก่ียวข้องสะท้อนว่าประชาชนไม่ตระหนักถึง 26.92 อสม.ร้อยละ 34.62 และ นักสุขภาพฟันดี ความสาคัญของสขุ ภาพช่องปากเท่าทคี่ วร เชน่ ไม่ ค่อยเข้าร่วมกิจกรรม อาจเน่ืองมาจากไม่มี ร้อยละ 7.69 และผลการประเมิน CIPP Model งบประมาณสนับสนุนหรือมขี องแจกให้ เป็นตน้ สรุปได้ ดังนี้ 2. Input: ปจั จยั นาเข้า 1. Context: บริบท 2.1 งบประมาณของโครงการเพียงพอต่อ 1.1 วัตถุประสงค์ของโครงการมีความ ชดั เจน คะแนนเฉลย่ี 3.95 คะแนน จาก 5 คะแนน การดาเนินโครงการ คะแนนเฉล่ีย 3.05 คะแนน พบวา่ วตั ถุประสงค์เพอื่ ลดฟนั ผุในเดก็ แรกเกิดถึง 5 จาก 5 คะแนน ผู้เกี่ยวข้องสะท้อนให้เห็นถึงความ ปชี ัดเจน แต่พบการสะท้อนข้อคิดเห็นวา่ การทาให้ กลุ่มเป้าหมายทุกคนปราศจากฟันผุสูงเกินไป และ ไม่เพียงพอ ว่า ปัจจุบันไม่มีงบประมาณเพียงพอ ผู้ปกครองที่เข้าใจหรือรู้และสามารถปฏิบัติได้จริง เช่น รพ.สต.แพะดอกเข็ม ต้องการเคร่ืองทาฟันท่ี ยงั มีน้อยเพียงร้อยละ 50 1.2 ตวั ช้วี ัดของโครงการมคี วามเหมาะสม ดีกว่าน้ีเพราะไม่สารถให้บริการขูดหินปูนได้ และ คะแนนเฉล่ีย 3.23 คะแนน จาก 5 คะแนน ผู้เกี่ยวข้องได้สะท้อนอุปสรรคและเสนอแนว บางส่วนสะท้อนถึงแนวคิดใหม่ด้านงบประมาณ ทางแก้ไขในมุมมองของคนปฏิบัติงาน เช่น 1) ว่า โครงการควรมีงบประมาณสนับสนุนแต่ละ ภาวะปราศจากฟันผุ ร้อยละ 100 สูงเกินไปส่งผล ต่อแรงจูงใจในการดาเนินงาน ควรปรับตัวชี้วัด กิ จ ก ร ร ม โ ด ย ต ร ง ( vertical program) เ ช่ น แบบข้ันบันได จึงค่อย ๆ เพ่ิมในภายหลัง 2) กรณี งบประมาณเพื่อไปอบรม อสม. เพ่ือเพิ่ม โรคฟันผุทุกปัจจัย (multifactorial) ตัวชี้วัดร้อย ละ 100 อาจเป็นไปไม่ได้จริงทางปฏิบัติ เน่ืองจาก ประสิทธิภาพดูแลสุขภาพช่องปากมากย่ิงข้ึน เป็น กจิ กรรมของเด็กในช่วง 1 ปีคร่ึงถึง 3 ปี เป็นช่วงที่ เดก็ มีการรับประทานอาหารท่หี ลากหลายและเป็น ตน้ ช่วงเวลาที่จะเกิดฟันผุและเชื้อโรคได้ง่าย ควร 2.2 จานวนบุคลากรเพียงพอต่อการ พจิ ารณาตามความเป็นจริง 1.3 โครงการมีโอกาสได้รับการสนับสนุน ดาเนินโครงการ คะแนนเฉลี่ย 3.14 คะแนน จาก จากหน่วยงานต่าง ๆ คะแนนเฉล่ีย 3.55 คะแนน 5 คะแนน ผู้เกี่ยวข้องได้สะท้อนสถานการณ์ท่ี จาก 5 คะแนน ผู้เก่ียวข้องมีข้อเสนอในการ ดาเนินงานจริง ว่า มีความไม่สอดคล้องกันของ สาคัญ ว่า บุคลากรน้อยเกินไป ทาให้เวลาในการ ช่วงเวลาในการทาแผนของทันตกรรม (ผ่านทาง กระทรวง) กับช่วงพิจารณางบของท้องถน่ิ สะท้อน ทางานไม่เพียงพอ การทางานตามภาระหน้าที่ ถึงโอกาสการได้รับสนับสนุน โดยปกติจะใช้ ตนเองแบบเต็มเวลา (Full Time Equivalent) ไม่ ความสัมพันธ์เป็นการส่วนตัว รวมกับขนาดและ เกิดข้ึนจริง เพราะปริมาณงานมากกว่าจานวน บุคลากร บุคลากรหน่ึงคนรับผิดชอบหมายหน้าท่ี จึงไม่ได้ทางานตรงกับภาระหน้าที่ของตาแหน่ง ของตน 2.3 วัสดุและอุปกรณ์เพียงพอต่อการ ดาเนินโครงการ คะแนนเฉล่ีย 3.14 คะแนน จาก 5 คะแนน ผู้เกี่ยวข้องสะท้อนขอจากัดของวัสดุ Academic Journal of Community Public Health 89 Vol. 6 No. 2, April – June 2020
วารสารวิชาการสาธารณสุขชมุ ชน ปที ี่ 6 ฉบบั ที่ 2 เมษายน – มถิ นุ ายน 2563 ปรกรณ์ไว้ว่า การสอนแปรงฟันขาดวัสดุอุปกรณ์ท่ี 3. Process: กระบวนการ จาเป็น เช่น แปรงสีฟันขนาดเล็ก น้ายาฟูลออไรด์ 3.1 คลนิ ิกฝากครรภ์ วานชิ ไม่เพยี งพอ เป็นต้น 3. 1. 1 ก า ร ม อ บ ห ม า ย ง า น มี ค ว า ม เหมาะสม คะแนนเฉล่ีย 4.11 คะแนน จาก 5 2.4 เวลาท่ีใช้ในการดาเนินโครงการมี คะแนน ความเหมาะสม คะแนนเฉลี่ย 3.45 คะแนน จาก 3.1. 2 เว ลาเพียงพอต่อการทางาน 5 คะแนนผู้เก่ียวข้องสะท้อนว่า เวลามีเพียงพอ คะแนนเฉลย่ี 3.67 คะแนน จาก 5 คะแนน แต่เน่ืองจากบุคลากรไม่เพียงพอ บางคร้ัง 3.1.3 ความถี่ของการทางาน คะแนน จาเป็นต้องทานอกเวลา แต่ไม่ได้รับค่าตอบแทน เฉล่ยี 3.44 คะแนน จาก 5 คะแนน เพ่มิ เติม 3.1.4 ทรัพยากรเพียงพอต่อการทางาน คะแนนเฉลย่ี 2.78 คะแนน จาก 5 คะแนน 2.5 ความชัดเจนของแผนดาเนินการ ผู้เกี่ยวข้องได้สะท้อนขอจากัดใน 4 ด้าน คะแนนเฉล่ีย 3.55 คะแนนจาก 5 คะแนนมี คือ 1) ด้านวัสดุ อุปกรณ์ในคลินิกฝากครรภ์ เช่น ผู้เกี่ยวข้อง สะท้อนถึงความไม่ชัดเจน ว่า ไม่ ควรมีตัวอย่างชุดฟันและแปรงสีฟันจาลองเพ่ือไว้ ชัดเจน ซ้าซ้อนกันทั้งประจาและงานโครงการอ่ืนๆ สอนผู้ปกครองก่อนส่งต่อไปแผนกอื่น เป็นต้น 2) เชน่ อาสาสมัครสาธารณสุข สะท้อนวา่ มีการเรยี ก ด้านบุคลกรไม่เพียงพอ เช่น ผู้รับผิดชอบหลัก ประชุม แนะนา แต่แผนไม่ชัดเจน ปริมาณงาน เพียงคนเดียวทาให้ทางานมากเกินไป คลินิกฝาก มากเกินไป ไม่รู้ต้องทาอะไรก่อนหลัง ให้คิดแผน ครรภ์ 1 คน ใช้เวลา 30 นาที ให้บริการผู้ป่วย กันเองแต่คิดไม่ครอบคลุม ท้ังนี้ควรมีการแนวทาง ทั่วไปได้ไม่ทั่วถึง เป็นต้น 3) ด้านการบริหาร แบบอย่างให้ จัดการ เช่น แบ่งงานไม่ชัดเจน บุคลากรท่ี รับผิดชอบโครงการ ไม่อยู่ในวันที่มีคลินิกฝาก 2.6 ความครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายของ ครรภ์เนื่องจากมีงานอ่ืนต้องทา เป็นต้น 4) ด้าน แผนงาน มีคะแนนเฉล่ีย 3.64 คะแนน จาก 5 ผู้ปกครองเด็กและหญงิ ต้งั ครรภ์ เช่น การนัดหมาย คะแนน พบว่า มีครอบคลุมกลุ่มเป้าหมาย และ ผู้ปกครองเด็กมักไม่ค่อยมาตามนัด บางครั้งมีการ อาจขยายการดาเนินงานไปตาบลอ่ืน ๆ ในโอกาส ปฏิเสธการรับบริการของผู้ปกครองมาจากคลินิก ตอ่ ไปดว้ ย ฝากครรภ์ เปน็ ตน้ 3.2 การเยี่ยมบ้านหลังคลอด 2.7 ความเหมาะสมของแผนงาน คะแนน 3. 2. 1 ก า ร ม อ บ ห ม า ย ง า น มี ค ว า ม เฉลี่ย 3.55 คะแนน จาก 5 คะแนนผู้เกี่ยวข้อง เหมาะสม คะแนนเฉลี่ย 4.61 คะแนน จาก 5 สะท้อนเรื่องความไม่เหมาะสมไว้ว่า ในความ คะแนน คาดหวังให้เกิดองค์ความรู้ใหม่ผ่านการจัดการ 3.2. 2 เว ลาเพียงพอต่อการทางาน ความรู้ (Knowledge management) โดยแต่ละ คะแนนเฉล่ีย 3.89 คะแนน จาก 5 คะแนน ตาบลแลกเปล่ียนความรู้กันเองผ่านนาเสนอผล การดาเนินงานเพียงอย่างเดียว บางคร้ัง กระบวนการลักษณะนี้อาจไม่เพียงพอต่อการเกิด การเรยี นรู้ไดท้ ้งั หมด เปน็ ตน้ 90 Vol. 6 No. 2, April – June 2020 Academic Journal of Community Public Health
วารสารวิชาการสาธารณสุขชมุ ชน ปที ี่ 6 ฉบับท่ี 2 เมษายน – มถิ ุนายน 2563 3.2.3 ความถี่ของการทางาน คะแนน 3.4 การฝกึ การแปรงฟนั แบบลงมือปฏิบตั ิ เฉล่ยี 3.89 คะแนน จาก 5 คะแนน 3. 4. 1 ก า ร ม อ บ ห ม า ย ง า น มี ค ว า ม เหมาะสม คะแนนเฉลี่ย 4.55 คะแนน จาก 5 3.2.4 ทรัพยากรเพียงพอต่อการทางาน คะแนน คะแนนเฉลี่ย 3.33 คะแนน จาก 5 คะแนน 3.4. 2 เวลาเพียงพอต่อการทางาน คะแนนเฉลี่ย 4.27 คะแนน จาก 5 คะแนน เ จ้ า ห น้ า ท่ี ส า ธ า ร ณ สุ ข ส ะ ท้ อ น ค ว า ม 3.4.3 ความถ่ีของการทางาน คะแนน ต้องการว่า 1) ด้านเวลา ไม่สามารถดาเนินการ เฉล่ีย 4.45 คะแนน จาก 5 คะแนน ตามกิจกรรมที่กาหนดไม่ครอบคลุมท้ังหมด เช่น 3.4.4 ทรัพยากรเพียงพอต่อการทางาน ช่วงเวลา 1 สัปดาห์หลังคลอดเร็วเกินไปสภาพ คะแนนเฉลี่ย 3.82 คะแนน จาก 5 คะแนน จิตใจแม่ยังไม่พร้อมและเจ้าหน้าท่ีจะเย่ียมบ้านไม่ เจ้าหน้าท่ีสาธารณสุขสะท้อนให้เห็นถึง ทัน เป็นต้น 2) การเสริมศักยภาพ เทคนิควิธีการ ปริมาณงาน เวลา และวัสดุอุปกรณ์ รวมถึงการ และวัสดุอุปกรณ์ในการไปดาเนินการให้กับ อสม. มอบหมายงานท่ีไม่เหมาะสม ในด้านผู้ปกครอง และผ้ปู กครอง เปน็ ต้น สะท้อนถึงผเู้ กีย่ วข้อง จนท.สาธารณสุข และ อสม. ควรสอนเทคนิควิธีการแปรงฟันผ่านการปฏิบัติ 3.3 การตรวจและประเมินความเสยี่ งดา้ น จรงิ และ การลงไปเย่ยี มบ้านอยา่ งชัดเจน ทนั ตกรรม 3.5 การทานายาเคลือบฟันด้วยนายา ฟลูออไรด์วานิช 3. 3. 1 ก า ร ม อ บ ห ม า ย ง า น มี ค ว า ม 3. 5. 1 ก า ร ม อ บ ห ม า ย ง า น มี ค ว า ม เหมาะสม คะแนนเฉล่ีย 4.57 คะแนน จาก 5 เหมาะสม คะแนนเฉลี่ย 4.75 คะแนน จาก 5 คะแนน คะแนน 3.5. 2 เวลาเพียงพอต่อการทางาน 3. 3. 2 เว ลาเ พียงพอต่อ การทางา น คะแนนเฉลี่ย 4.25 คะแนน จาก 5 คะแนน คะแนนเฉลี่ย 3.57 คะแนน จาก 5 คะแนน 3.5.3 ความถี่ของการทางาน คะแนน เฉลยี่ 3.88 คะแนน จาก 5 คะแนน 3.3.3 ความถี่ของการทางาน คะแนน 3.5.4 ทรัพยากรเพียงพอต่อการทางาน เฉลย่ี 3.14 คะแนน จาก 5 คะแนน คะแนนเฉลี่ย 3.50 คะแนน จาก 5 คะแนน ผู้เก่ียวข้องได้สะท้อนข้อจากัดด้านการ 3.3.4 ทรัพยากรเพียงพอต่อการทางาน ดาเนินงานในพ้ืนท่ี ในด้านผู้ปกครอง เช่น ไม่พา คะแนนเฉลี่ย 4.00 คะแนน จาก 5 คะแนน บุตรหลานมาตามนัดหมายส่งผลให้การทาฟูลออ ไรด์วานิชในเด็กไม่ครอบคลุม อาจส่งผลให้ ภาวะ เจ้าหน้าท่ีสาธารณสุข สะท้อนถึงปริมาณ ปราศจากฟันผุ ทุกคน ไม่ได้ตามเป้ าหมาย งานที่มากเกินจานวนบุคลากร ส่งผลต่อคุณภาพ ของการประเมินความเสี่ยงด้านทันตกรรม เช่น มี ผู้มารับบริการจานวนมาก ส่งผลให้ประเมินไม่ทัน และขัดแย้งในทางปฏบิ ัติว่าไม่สอดคล้องกบั ทฤษฎี ของฟันผุที่กล่าวว่าไม่ควรตรวจในช่วง 1 ปีคร่ึงถึง 3 ปีเพราะมีปัจจัยอื่น จานวนมากที่ส่งผลต่อการ เกิดฟนั ผุ เป็นตน้ Academic Journal of Community Public Health 91 Vol. 6 No. 2, April – June 2020
วารสารวชิ าการสาธารณสุขชมุ ชน ปที ่ี 6 ฉบบั ท่ี 2 เมษายน – มถิ ุนายน 2563 ป ร ะ ก อ บ กั บ น้ า ย า ฟู ล อ อ ไ ร ด์ ว า นิ ช มี ร า ค า แ พ ง 3.6.4 ทรัพยากรเพียงพอต่อการทางาน สง่ ผลตอ่ การจดั ซื้อเพราะงบประมาณมจี ากดั คะแนนเฉลย่ี 3.92 คะแนน จาก 5 คะแนน 3.6 การเย่ยี มบา้ นเดก็ เลก็ ผู้เกี่ยวข้องได้สะท้อนแนวทางการลงไป 3. 6. 1 ก า ร ม อ บ ห ม า ย ง า น มี ค ว า ม เยี่ยมบ้านเด็กเล็ก เช่น ให้มาตั้งแต่เด็กเกิดและ เหมาะสม คะแนนเฉลี่ย 4.69 คะแนน จาก 5 ชี้แจงการปฏิบัติ และ ให้มีการเยี่ยมบ้านเพ่ิมเติม คะแนน เพราะว่าช่วง 18 เดือนจนถึงก่อนเข้าศูนย์เด็กเล็ก 3.6. 2 เวลาเพียงพอต่อการทางาน ควรไปพบอย่างน้อย2-3ครั้ง เพราะเด็กกินเยอะ คะแนนเฉลีย่ 4.23 คะแนน จาก 5 คะแนน ขนึ้ และไมเ่ ลิกขวดนม เป็นต้น 3.6.3 ความถี่ของการทางาน คะแนน เฉล่ีย 4.15 คะแนน จาก 5 คะแนน 4. Product: ผลิตผล 4.1 Output: ผลผลิต ผู้เข้าร่วมในแต่ละ กิจกรรมเทยี บกับกลุม่ เป้าหมายทง้ั หมด ตารางท่ี 2 แสดงผ้เู ขา้ ร่วมในแตล่ ะกจิ กรรมเทยี บกบั กลุ่มเปา้ หมายทง้ั หมด กจิ กรรม จานวนผทู้ เ่ี ขา้ จานวน รอ้ ยละของผ้ทู ่เี ข้า หมายเหตุ ร่วมกจิ กรรม กลุม่ เป้าหมาย ร่วมกิจกรรม (คน) (n) ทังหมด (คน) มี 6 คน ทค่ี ลอด นอก ต.แม่พริก (N) ไม่ทราบข้อมลู 3 คน 1. คลินิก ANC 18 18 100 (ไมไ่ ดท้ าการ 2. การเยี่ยมบา้ นหลังคลอด 36 43 83.72 สัมภาษณ์ในกลมุ่ 9 เดอื น 2 คน) 3. ได้รับการสอนเชด็ เหงอื ก 23 40 57.50 4. การตรวจและประเมิน Caries 9 เดือน = 32 49 9 เดือน = 65.30 risk assessment เด็กในคลนิ ิก 18 เดือน = 33 18 เดือน = 67.30 WBC 9 เดอื น = 35 9 เดอื น = 1 18 เดอื น = 33 9 เดือน = 2.86 5. Hands-on (กลมุ่ เป้าหมายท่ลี ง 18 เดอื น = 3 18 เดอื น = 9.09 ปฏิบัติจริง) 49 9 เดือน = 1 49 9 เดือน = 2.04 6. Hands-on (กล่มุ เปา้ หมายตาม 18 เดือน = 4 18 เดอื น = 8.16 แผนดาเนินการ) 7. การเยยี่ มตามบา้ น 21 42.86 หมายเหตุ: เนื่องจากมีความผิดพลาดในการ แม่พริก (ประกอบด้วยบางส่วนของ ต.แม่พริก ดาเนินงานสอนการแปรงฟันโดยการปฏิบัติจริง และบางส่วนของ ต.พระบาทวังตวง) และได้ลง ซ่ึงเกิดจากผู้รับผิดชอบโครงการหลักคนท่ี 1 ปฏิบัติจริงไปแล้ว ต่อมาได้เปล่ียนผู้รับผิดชอบ (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2557) เข้าใจว่า โครงการ โครงการหลัก (ปีงบประมาณ 2558-ปัจจุบัน) โดย ครอบคลุมในส่วนเขตรับผิดชอบของโรงพยาบาล ผู้รับผิดชอบโครงการหลักคนท่ี 2 ได้ใช้รายช่ือท่ี 92 Vol. 6 No. 2, April – June 2020 Academic Journal of Community Public Health
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214