เรยี กวา่ “วัยร่นุ ” จะต้องมพี ัฒนาการทุกดา้ นไปพรอ้ ม ๆ กนั ตามพัฒนาการทางรา่ งกายระยะนีเ้ ขา้ สู่ “วยั รุ่น ตอนกลาง” จะมวี ฒุ ภิ าวะทางเพศ ฟรอยด์ (Freud, 1961) กลา่ ววา่ พฤตกิ รรมแทบทกุ อยา่ งของมนษุ ยม์ สี าเหตุ จากแรงจูงใจทางเพศ หรอื แรงผลกั ทางเพศทง้ั ส้นิ บุคคลทีก่ ระทำ� ผดิ คือผู้ทีป่ ฏบิ ัติไปตามสญั ชาตญาณดิบ คอื Id ขาดการควบคมุ ขาดสติ ขาดวัฒนธรรมและคุณธรรม มนุษยเ์ ราเกิดมาพร้อม Id ส่วน Ego และ Superego น้ันจะค่อย ๆ พัฒนาการข้ึนมาตามประสบการณ์ของเด็ก การกระท�ำท่ีเบ่ียงเบน ไม่ถูกต้องนั้น จะถูก Ego ควบคุมและคอยห้าม ฉะนั้นหากต้องการให้วัยรุ่นมีพฤติกรรมที่มีแนวโน้มในทางท่ีดีต้องมีภาวะจิตใจค่อนไป ทาง Superego 2. ด้านให้ความรู้ ผู้วิจัยได้ศึกษาแนวคิดเก่ียวกับอิทธิพลสื่อสังคมออนไลน์ อินเทอร์เน็ตเป็นแหล่ง รวมของส่ือลามกอนาจารอย่างครบครัน เม่ือเทคโนโลยีสื่อสารสนเทศได้ถูกพัฒนาเป็นที่รู้จักกันมากขึ้น อินเทอร์เน็ตได้กลายเป็นแหล่งรวมสื่อลามกอนาจาร จากสื่อทุกประเภทเข้าไว้ด้วยกัน ด้วยความสะดวกใน การเชอ่ื มตอ่ ประกอบกบั ระบบมลั ตมิ เี ดยี บนสอ่ื อนิ เทอรเ์ นต็ ชว่ ยกระตนุ้ ใหผ้ บู้ รโิ ภคเสพสอื่ ลามกอนาจารผา่ น สื่ออินเทอร์เน็ต ดังน้ัน หนังสือการ์ตูน นิตยสาร ปฏิทิน ภาพยนตร์ โทรทัศน์ คลิปวีดีโอ การสนทนาผ่าน อินเทอร์เน็ต วีซีดี เซ็กส์โฟน การค้าประเวณี จึงผนวกรวมอยู่บนระบบอินเทอร์เน็ตท่ีว่ิงตรงสู่ภายในบ้าน (สุภาวดี พรหมมา, 2551) บนโทรศัพท์มือถือ ท�ำให้เกิดพฤติกรรมเลียนแบบส่ือเกิดค่านิยมเร่ืองเพศและ ความรักเป็นปัจจัยส�ำคัญท่ีมีส่วนกระตุ้นท�ำให้เกิดปัญหาอาชญากรรมทางเพศผ่านส่ือสังคมออนไลน์ได้ง่าย สื่อมวลชนจึงเปน็ ตัวการสำ� คัญในการกลน่ั กรองถ่ายทอดความรแู้ ละปลูกฝงั ค่านิยมทางเพศแก่วยั รนุ่ 3. ดา้ นสงั คมและเศรษฐกจิ ผวู้ จิ ยั ไดศ้ กึ ษาพฤตกิ รรมการแสดงออกในการเบยี่ งเบนทางสงั คมมสี าเหตุ มาจากพฤติกรรมของวัยรุ่นที่มีการกระตุ้นจากพัฒนาการตามวัย มีความต้องการเพ่ือน มีความต้องการเรื่อง เพศ และมีความต้องการทางสงั คม ซง่ึ เปน็ ปัจจยั ภายในด้านตัวบุคคล ในระยะนีว้ ยั รุ่นจะไดร้ ับความรู้เร่ืองเพศ จากครอบครัว โรงเรียน สังคม กลมุ่ เพ่อื น และส่ิงแวดล้อม ฟรอยด์ (Freud, 1961) เชือ่ ว่าการแสดงออกของ สญั ญาณเปน็ พลงั งานและแรงขบั ทอ่ี ยใู่ ตจ้ ติ สำ� นกึ เปน็ ตวั กำ� หนดพฤตกิ รรมของมนษุ ย์ ปจั จยั ภายนอกดา้ นสงั คม คอื เพอื่ น การเลยี นแบบสอ่ื และการตอ่ ตา้ นทางสงั คมเปน็ ตวั กระตนุ้ ทเ่ี ขา้ มามบี ทบาทอยา่ งมากตอ่ พฤตกิ รรม การใช้สื่อสังคมออนไลน์ของวัยรุ่น ฉะน้ันการพัฒนาทางด้านสังคมของวัยรุ่นจะสามารถก�ำหนดไปทิศทางท่ี ถูกต้องนั้นจะต้องได้รับการปลูกฝังและส่งเสริมท่ีดี โดยหน่วยงานภาครัฐสนับสนุนสถาบันต่าง ๆ เริ่มจาก การปลูกฝังและสร้างบรรทัดฐานการควบคุมและลงโทษทางสังคมร่วมกัน ไปพร้อมกัน โดยเร่ิมจากสถาบัน ครอบครัว โรงเรียน ศาสนาและเพ่ือน และทุกสถาบันทางสังคมต้องร่วมมือกัน เจตคติที่ดีทางความคิดเพ่ือ ควบคมุ พฤติกรรมของเยาวชนให้ไปแนวทางท่ถี ูกตอ้ ง 4. ด้านนโยบายและกฎหมาย ผู้วิจัยได้ศึกษานโยบายและกฎหมายอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ และจากแนวคดิ ของ คอนคลิน (Conklin, 2004) กลา่ วว่า อาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ หมายถงึ การละเมดิ กฎหมายอาญา การกระทำ� ความผดิ ทางคอมพวิ เตอรโ์ ดยผา่ นอนิ เตอรเ์ นต็ เกดิ ขนึ้ อยา่ งรวดเรว็ ตงั้ แต่ ค.ศ. 1990 เป็นต้นมา ปัจจุบันทั่วโลกได้จ�ำแนกประเภทอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ได้ 9 ประเภทตามข้อมูลของ คณะอนกุ รรมการเฉพาะกจิ รา่ งกฎหมายอาญาทางคอมพวิ เตอร์ ซง่ึ อาชญากรรมทางเพศผา่ นสอ่ื สงั คมออนไลน์ เป็นปญั หาสำ� คญั ระดบั นานาชาติ ได้บรรจอุ ย่ดู ้วย ดงั น้ันประเทศไทยต้องปรบั ปรงุ แก้ไขพระราชบญั ญตั ิ และ กฎหมายท่ีเกี่ยวข้องเพ่ิมบทลงโทษ เพ่ือให้เจ้าหน้าที่รัฐบังคับใช้กฎหมายตามสถานการณ์ในโลก และสภาวะ ทางสงั คมให้ทนั กับความก้าวหนา้ ของเทคโนโลยสี มยั ใหม่ ตามหลกั แนวคดิ ทฤษฎีป้องกัน ดังนัน้ อาชญากรจะ 92 บณั ฑิตวทิ ยาลยั มหาวิทยาลยั สวนดสุ ติ
ไมก่ ระทำ� ผดิ หากมกี ารบงั คบั ใชก้ ฎหมายอยา่ งเขม้ งวด กฎหมายมบี ทลงโทษทรี่ นุ แรงทำ� ใหโ้ อกาสในการกระทำ� ผดิ สำ� เรจ็ มนี อ้ ย การปอ้ งกนั อาชญากรรมทด่ี ตี อ้ งมมี าตรการหรอื แนวทางทล่ี ดโอกาสของคนรา้ ยในการกระทำ� ความผดิ ดังน้นั มาตราในการป้องกันอาชญากรรมทีด่ ี ต้องลดโอกาสของการกระทำ� ผิดให้เหลอื นอ้ ยทส่ี ุดและ เพ่ิมโอกาสในการจบั กมุ คนรา้ ยให้มากทสี่ ดุ (พรชัย ขันตี, 2553) ตามหลกั การส�ำคญั ของแนวคดิ ทฤษฎปี อ้ งกนั การลงโทษตามกฎหมายท่ีวา่ “ความรนุ แรง ความรวดเรว็ และความแน่นอนในการลงโทษนนั้ เป็นหัวใจส�ำคัญ ของการป้องกนั อาชญากรรม” (Zimring & Hawkins, 1973) 5. ดา้ นจรรยาบรรณสอ่ื หนว่ ยงานภาครฐั ตอ้ งมมี าตรการทชี่ ดั เจนเกยี่ วกบั ระเบยี บการนำ� เสนอขอ้ มลู ของสอ่ื มวลชนเกยี่ วกบั เหยอ่ื บนพน้ื ฐานของสทิ ธมิ นษุ ยชน ดว้ ยสทิ ธศิ กั ดศ์ิ รคี วามเปน็ มนษุ ย์ ไมช่ น้ี ำ� หรอื ซำ้� เตมิ เหยอื่ ออกสอ่ื ใหเ้ กดิ ความอบั อาย ตอ้ งมศี ลี ธรรมจรยิ ธรรมและจรรยาบรรณ ความเปน็ กลางในการสอื่ สารขอ้ มลู และปกปิดข้อมูลเก่ียวกับเหยื่อภายใต้กรอบของกฎหมาย ต้องเข้มแข็งเร่ืองการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง เชน่ พระราชบัญญตั ิคอมพวิ เตอร์ มาตรา 14, 16 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 เป็นต้น สือ่ มวลชน เป็นตัวการส�ำคัญในการถ่ายทอดความรู้และค่านิยมทางเพศแก่วัยรุ่นอาจมีการน�ำเสนอพฤติกรรมทางเพศที่ ไมเ่ หมาะสมสำ� หรบั สังคมไทยได้ ดังนนั้ หากวยั รนุ่ รบั รู้ค่านิยมทางเพศจากส่อื โดยขาดการวิเคราะห์ไตรต่ รอง หรอื ขาดผ้ทู ช่ี ่วยชีแ้ นะ อาจทำ� ให้วัยรุ่นรบั ร้ปู ระสบการณท์ างเพศทีผ่ ิด ๆ ได้ (สิริวรรณ ธัญญผล, 2547) ข้อเสนอแนะ 1. ด้านครอบครัว กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงสาธารณสุข และ กระทรวงวฒั นธรรม มงุ่ เนน้ การสรา้ งความตระหนกั รแู้ กพ่ อ่ แมผ่ ปู้ กครอง เพอ่ื ใหส้ ามารถปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรม ของลกู และสามารถปอ้ งกนั ภยั ใหล้ กู ได้ มงุ่ เนน้ การสรา้ งครอบครวั ทอี่ บอนุ่ บดิ ามารดาตอ้ งเตรยี มพรอ้ มตง้ั แต่ การวางแผนการมีชีวิตคู่ ตระหนักถึงความรับผิดชอบในครอบครัว การเป็นแบบอย่างที่ดีในการด�ำเนินชีวิต การสรา้ งจติ สำ� นกึ ทด่ี ี บดิ ามารดาตอ้ งอบรมสง่ั สอนบตุ รใหร้ จู้ กั มคี ณุ ธรรม จรยิ ธรรม และศลี ธรรม ในการดำ� เนนิ ชีวิตของเด็ก เพ่ือให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพในสิ่งแวดล้อมทางสังคมที่ดีท่ีเป็นแบบอย่างท่ีดีแก่เด็ก สรา้ งเครอ่ื งมอื และบรกิ ารเสรมิ สำ� หรบั ผปู้ กครองในการปอ้ งกนั เดก็ และเยาวชนจากการเขา้ ถงึ สอ่ื สงั คมออนไลน์ ท่ีผดิ กฎหมายและการใชท้ ไ่ี มเ่ หมาะสม และสร้างการร้เู ท่าทนั สื่อ 2. ดา้ นการใหค้ วามรู้ กระทรวงศกึ ษาธกิ าร และกระทรวงดจิ ทิ ลั เพอ่ื เศรษฐกจิ และสงั คม กำ� หนดและ ผลักดันการรู้เท่าทันสื่อสังคมออนไลน์ เพ่ือการพัฒนาองค์ความรู้และการวิจัยในระดับประเทศ เพ่ือพัฒนา เครอ่ื งมอื การเฝ้าระวงั ปอ้ งกนั ปราบปราม โดยสำ� นักงานกองทุนสนบั สนุนการวจิ ยั จดั หาและรวบรวมขอ้ มูล แหลง่ เงนิ ทุนสนับสนุนการพัฒนาองคค์ วามรู้และการวจิ ัยท้งั ในและต่างประเทศ สง่ เสรมิ และสนบั สนุนใหเ้ กิด การน�ำองค์ความรู้จากการวิจัยไปสู่การปฏิบัติและขับเคล่ือนนโยบาย ต้องจัดท�ำแผนโครงการเชิงรุก โดยจัด สัมมนาอบรมหลักสตู รการบรรยายให้ความรแู้ กเ่ จ้าหนา้ ทรี่ ฐั และหน่วยงานภาครัฐจะต้องจดั ท�ำแผนโครงการ เชิงรับ โดยจัดกิจกรรมต้ังศูนย์ประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ให้ค�ำปรึกษารับเรื่องร้องทุกข์แก่ประชาชนและเหย่ือ ผเู้ สยี หายทเี่ ขา้ มารบั บรกิ ารหรอื ตดิ ตอ่ ราชการ และผา่ นโปรแกรมประยกุ ตบ์ นมอื ถอื และสถาบนั ทางการศกึ ษา ควรจดั ใหม้ อี าจารย์จิตวิทยาประจำ� โรงเรยี น 3. ด้านสังคมและเศรษฐกิจ กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงดิจิทัลเพื่อ ปีท่ี 16 ฉบับท่ี 1 ประจำ�เดือนมกราคม - เมษายน 2563 93
เศรษฐกิจและสังคม และกระทรวงศึกษาธิการ สนับสนุนให้เกิดศูนย์ประสานงาน/ปฏิบัติการในการส่งเสริม การเรยี นรู้ และหน่วยฝึกอบรมดา้ นการรเู้ ทา่ ทนั สื่อสงั คมออนไลน์ โดยมีการด�ำเนนิ งานดงั นี้ พัฒนาบุคลากร ผ้ปู ฏบิ ัตงิ านในหนว่ ยงานของรัฐ สถานศึกษา องคก์ าร ภาคประชาสงั คม พัฒนาผูผ้ ลิต ผู้ประกอบการ องค์กร วชิ าชีพด้านส่ือ เครอื ขา่ ยเด็กและเยาวชนต่าง ๆ ผปู้ ระกอบการ วทิ ยากรแกนนำ� และผู้ท่เี ก่ียวข้องทุกภาคสว่ น พัฒนาชุดความรู้ ชุดฝึกอบรม หลกั สูตร สำ� หรบั เด็กและเยาวชน พ่อแม่ ผู้ปกครอง/บคุ คลแวดล้อมเด็ก ครู ผแู้ ทนศาสนา ผปู้ ฏบิ ตั งิ านในหนว่ ยงานตา่ ง ๆ จดั ทำ� เปน็ ชดุ ความรเู้ ผยแพรใ่ นสอื่ รปู แบบตา่ ง ๆ ทมี่ กี ารเชอื่ มโยง ข้อมูลระบบสารสนเทศโดยมีหน่วยงานกลางเป็นผู้รับผิดชอบการสร้างช่องทางการส่ือสารเชิงรุก หน่วยงาน ภาครัฐที่เกี่ยวข้องและภาคเอกชนทุกภาคส่วนต้องจัดกิจกรรมร่วมกันในสังคม และหน่วยงานภาครัฐควรจัด ทำ� แผนโครงการ MOU เพือ่ ให้เดก็ นอกระบบสามารถเข้าถึงและมีสว่ นร่วมได้ 4. ด้านนโยบายและกฎหมาย กระทรวงยุติธรรม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และ ส�ำนักงานต�ำรวจแห่งชาติ ต้องพัฒนาและปรับปรุงกฎหมาย แก้ไขกฎหมายให้ทันต่อสถานการณ์และ มปี ระสทิ ธภิ าพ และผลกั ดนั ใหม้ กี ฎ ระเบยี บ หรอื กฎหมายใหมเ่ พอื่ ปกปอ้ งคมุ้ ครองเดก็ และเยาวชน การควบคมุ เนื้อหาสื่อออนไลน์ที่ ไม่เหมาะสมและเป็นอันตรายต่อเด็กและเยาวชน โดยให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล และกลมุ่ อายขุ องเดก็ และเยาวชน การบงั คบั ใชก้ ฎหมายและระเบยี บทเ่ี กย่ี วขอ้ งโดยสรา้ งและพฒั นากลไกทาง กฎหมาย พัฒนาเคร่ืองมือทางเทคโนโลยีเพ่ือใช้ในการควบคุมดูแลเรื่องเวลา การเข้าถึงและการใช้งานให้ สอดคล้องรองรับกับกฎหมายและระเบียบท่ีเก่ียวข้อง ปรับปรุงและพัฒนาคู่มือการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ผปู้ ฏบิ ตั งิ านในระดบั ตา่ ง ๆ สง่ เสรมิ จรยิ ธรรมและจรรยาบรรณของผปู้ ระกอบการ กำ� หนดมาตรการทางกฎหมาย ในการลงโทษผู้ประกอบการที่ผลิตหรือให้บริการสื่อออนไลน์ไม่เหมาะสมแก่เด็กและเยาวชน การก�ำหนด มาตรการทางกฎหมายของผู้ประกอบการและผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตให้รับผิดชอบต่อสิทธิมนุษยชนของเด็ก และเยาวชน จัดให้มีระบบการช่วยเหลือคุ้มครองและเยียวยาผู้กระท�ำผิดที่เป็นเด็กและเยาวชนเพื่อการกลับ คนื สสู่ งั คม จดั ใหม้ รี ะบบเฝา้ ระวงั ในชมุ ชนเพอื่ การชว่ ยเหลอื คมุ้ ครองเดก็ และเยาวชนทถี่ กู กระทำ� ความรนุ แรง บนอินเทอร์เนต็ ไดอ้ ย่างทนั ทว่ งที และบรู ณาการกระบวนการสืบสวน สอบสวน และการใหค้ วามดแู ลเด็กและ เยาวชนทเี่ ปน็ ผเู้ สยี หายในระหว่างการสอบสวนและดำ� เนนิ คดี 5. ดา้ นจรรยาบรรณสอื่ กระทรวงยตุ ธิ รรมและกระทรวงวฒั นธรรม สรา้ งความตระหนกั ใหส้ งั คมเรอ่ื ง การร้เู ทา่ ทันสื่อออนไลน์ ส่งเสริมการผลติ สื่อปลอดภัยและสรา้ งสรรค์ สร้างมาตรการจูงใจใหผ้ ู้ผลิตสอ่ื ผลิตส่อื ทปี่ ลอดภยั และสรา้ งสรรคส์ ำ� หรบั เดก็ และเยาวชน สง่ เสรมิ เครอื ขา่ ยเดก็ และเยาวชนในการผลติ สอ่ื สรา้ งสรรค์ เพอื่ สรา้ งการเรยี นรแู้ ละเขา้ ถงึ เดก็ และเยาวชน สนบั สนนุ สอื่ มวลชนใหต้ ระหนกั ถงึ ความสำ� คญั ของการกระทำ� รุนแรงระหว่างเด็กด้วยกันเองบนอินเทอร์เน็ต และเผยแพร่วิธีการแก้ไขปัญหาความรุนแรงดังกล่าวเพ่ือสร้าง กลไกการตดิ ตามสถานการณส์ อ่ื เพอื่ สง่ เสรมิ การเรยี นรดู้ า้ นการปกปอ้ งคมุ้ ครองเดก็ และเยาวชน สรา้ งจติ สำ� นกึ ให้สื่อมวลชนและเจ้าหน้าท่ีภาครัฐตระหนกั ถึงการมีศีลธรรม จริยธรรม และจรรยาบรรณ ในการนำ� เสนอข่าว ข้อมูลเกี่ยวกับประชาชนและเหย่ือบนพ้ืนฐานของสิทธิมนุษยชนภายใต้กรอบของกฎหมายและต้องเข้มแข็ง เร่อื งการใชก้ ฎหมายอยา่ งจรงิ จัง 94 บณั ฑติ วทิ ยาลัย มหาวิทยาลยั สวนดุสิต
เอกสารอา้ งองิ จ�ำนงค์ อดวิ ัฒนสทิ ธิ และคณะ. (2540). สังคมวิทยา. กรงุ เทพฯ: ภาควชิ าสงั คมวทิ ยาและมนษุ ยวทิ ยา คณะ สงั คมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร.์ พรชยั ขันตี. (2553). ทฤษฎีอาชญาวิทยา: หลกั การงานวิจัยและนโยบายประยุกต์. กรงุ เทพฯ: สุเนตร์ฟลิ ม์ . ภิเษก ชัยนริ ันดร์. (2557). รายงานพัฒนาเดก็ และเยาวชน ประจำ� ปี 2556. กรุงเทพฯ: ส�ำนักงานฯ. ส�ำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ. (2561). สถิติความรุนแรงทางเพศของไทยยังน่าห่วง. [Online]. Available: http://www.thaihealth.or.th/Content/45786-สถิติ%20’ ความรุนแรงทางเพศ’%20ของไทยยงั นา่ ห่วง.html [2562, พฤษภาคม 14]. สิรวิ รรณ ธัญญผล. (2547). ค่านยิ มทางเพศและพฤกรรมเสี่ยงทางเพศของสตรวี ยั รุน่ . วิทยานิพนธพ์ ยาบาล ศาสตรมหาบญั ฑิต สาขาวิชาการพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เชียงใหม่. สุดสงวน สุธสี ร. (2547). อาชญาวทิ ยา. กรุงเทพฯ: มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร.์ สุภาวดี พรหมมา. (2551). การส่ือสารเพื่อลดการเปิดรับส่ือลามกของเยาวชนกรณีศึกษาจังหวัด นครศรธี รรมราช. ดษุ ฎนี พิ นธก์ ารจดั การดษุ ฎบี ณั ฑติ สาขาการจดั การการสอื่ สาร บณั ฑติ วทิ ยาลยั มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสติ . โสภา ชูพกิ ุลชยั ชปีลมันน์ ราชบัณฑิต. (2536). บุคลิกภาพและพัฒนาการ: แนวโนม้ สพู่ ฤติกรรมปกตแิ ละ การมีพฤติกรรมเบ่ียงเบนของเด็กและเยาวชน. กรุงเทพฯ: คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์และ มนุษยศาสตร์ สาขาอาชญาวทิ ยาและงานยตุ ิธรรม มหาวิทยาลัยมหดิ ล. โสภา ชูพิกลุ ชัย ชปลี มันน์ ราชบณั ฑิต. (2547). อาหารเสรมิ คณุ ภาพชวี ติ . กรุงเทพฯ: อัมรินทรป์ รนิ้ ตง้ิ แอนด์ พบั ลิชช่ิง. Conklin, John E. (2004). Criminology. Boston: Pearson. Freud, Sigmund. (1961). The Ego and the Id. In The Complete Psychological Works of Sigmund Freud, vol. 19. London: Hogerth. Gerbner, G. and Gross, L. (1976, April). The scary world of TV, s heavy. viewer. Psychology Today: 41-45. Maslow, H. A. (1965). Eupsychian Management. Massachusetts: Ing. Presdee, Mile. (2001). “Cyber Crime”, in McLauglin, Eugene and, John Muncie. The Sage Dictionary of Criminology. London: Sage. Travis Hirschi. (1969). Causes of Delinquency. New York: University of California. Zimring, Franklin and Gordor Hawkins. (1973). Deterrence. Chicago: University of Chicago. ปที ี่ 16 ฉบบั ที่ 1 ประจ�ำ เดอื นมกราคม - เมษายน 2563 95
คณะผูเ้ ขียน นางสาวปารณีย์ วรสิทธจ์ิ ติ ติ บัณฑิตวิทยาลยั มหาวิทยาลัยสวนดสุ ติ อาคารเฉลมิ พระเกียรติ 50 พรรษา มหาวชิราลงกรณ เลขท่ี 145/9 ถนนสโุ ขทยั เขตดุสติ กรุงเทพมหานคร 10300 e-mail: [email protected] ผ้ชู ว่ ยศาสตราจารย์ ดร. ชาตชิ าย มหาคตี ะ บณั ฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยสวนดุสิต อาคารเฉลิมพระเกียรติ 50 พรรษา มหาวชริ าลงกรณ เลขท่ี 145/9 ถนนสโุ ขทยั เขตดุสติ กรงุ เทพมหานคร 10300 e-mail: [email protected] ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร. อาภาศิริ สวุ รรณานนท์ บัณฑติ วิทยาลยั มหาวทิ ยาลยั สวนดสุ ิต อาคารเฉลมิ พระเกยี รติ 50 พรรษา มหาวชิราลงกรณ เลขท่ี 145/9 ถนนสโุ ขทัย เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร 10300 e-mail: [email protected] 96 บณั ฑิตวทิ ยาลัย มหาวทิ ยาลัยสวนดสุ ติ
ความผูกพันของพนักงานทม่ี ตี อ่ ประสิทธิภาพในการปฏบิ ัติงานขององค์กร ในภาคอุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ และชิ้นสว่ น Organizational Commitment Affecting Work Efficiency of Employees in the Automotive and Part Industry หน่งึ กรงทอง* เอมอร ตระกูลสมั พนั ธ์ และพรทพิ ย์ ช่มุ เมอื งปกั คณะบรหิ ารธุรกจิ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ Nueng Krongthong* Em-on Trakulsampan and Porntip Shoommuangpak Faculty of Business Administration, King Mongkut’s University of Technology North Bangkok Received: May 9, 2019 Revised: July 18, 2019 Accepted: July 24, 2019 บทคัดย่อ การค้นคว้าอิสระคร้ังน้ีมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความผูกพันของพนักงานที่มีต่อประสิทธิภาพใน การปฏิบัติงานขององค์กรในภาคอุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ และชิ้นส่วน จ�ำแนกตามปัจจัยด้าน ประชากรศาสตร์ ปจั จยั ดา้ นการปฏบิ ตั งิ าน ปจั จยั ดา้ นองคก์ ร ความผกู พนั และประสทิ ธภิ าพในการปฏบิ ตั งิ าน กลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ในการวิจัย คือ พนักงานองค์กรในภาคอุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ และชิ้นส่วน จำ� นวน 505 คน โดยใชแ้ บบสอบถามเปน็ เครอื่ งมอื เกบ็ รวบรวมขอ้ มลู วเิ คราะหข์ อ้ มลู โดยใช้ คา่ ความถ่ี คา่ เฉลย่ี ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ท�ำการทดสอบสมมติฐาน Independent Samples (t-test) One-way ANOVA (F-test) และการวเิ คราะหถ์ ดถอยพหคุ ณู ผลการศึกษา พบว่า กล่มุ ตัวอยา่ ง เป็นเพศชายมากกว่าเพศหญิง มีอายรุ ะหว่าง 21-30 ปี ส่วนใหญส่ ังกดั ฝ่ายส�ำนักงาน จบการศึกษาระดับปริญญาตรี มีรายได้ตอ่ เดอื นเฉลย่ี ที่ 20,000-30,000 บาท ระยะเวลาการปฏบิ ตั งิ าน 1-5 ปี และพนักงานมคี วามผูกพนั ตอ่ องค์กรอยใู่ นระดบั มาก ผลการวิเคราะห์ ปัจจัยด้านการปฏิบัติงานที่ส่งผลต่อความผูกพัน ได้แก่ ความก้าวหน้า และการมี ส่วนร่วมในการตัดสินใจ ปัจจัยด้านองค์กรท่ีส่งผลต่อความผูกพัน ได้แก่ การมีส่วนร่วมในการบริหารงาน เงินเดือนและสวัสดิการ การได้รับการพัฒนาความรู้ความสามารถ และสภาพแวดล้อมองค์กร ส่วนปัจจัย ดา้ นการปฏบิ ตั ิงานท่สี ง่ ผลตอ่ ประสิทธิภาพในการปฏบิ ัตงิ าน ไดแ้ ก่ ความก้าวหน้า ปัจจยั ดา้ นองค์กรที่ส่งผล ตอ่ ประสทิ ธภิ าพในการปฏบิ ตั งิ าน ไดแ้ ก่ การมสี ว่ นรว่ มในการบรหิ ารงาน ความสมั พนั ธก์ บั ผรู้ ว่ มงาน เงนิ เดอื น และสวสั ดกิ าร ปจั จยั ดา้ นความผกู พนั ทสี่ ง่ ผลตอ่ ประสทิ ธภิ าพในการปฏบิ ตั งิ าน ไดแ้ ก่ การทมุ่ เทความพยายาม ในการปฏิบตั ิงาน และความรูส้ ึกเปน็ สว่ นหนง่ึ ขององคก์ ร คำ� สำ� คญั : ความผกู พนั ตอ่ องคก์ ร พนกั งาน ประสทิ ธภิ าพในการปฏบิ ตั งิ าน ภาคอตุ สาหกรรมยานยนต์ และชน้ิ สว่ น * หน่งึ กรงทอง (Corresponding Author) ปีที่ 16 ฉบบั ท่ี 1 ประจำ�เดอื นมกราคม - เมษายน 2563 97 e-mail: [email protected]
Abstract This independent study was aimed to study employees’ organizational commitment affecting work efficiency in the automotive and part industry. The study was explored and classified in terms of demographic factors, operating factors, organizational factors, organizational commitment and efficiency in the workplace. The samples in this research comprised 505 employees of the automotive and part industry and the questionnaire was used as the tool in collecting data. The data analysis was conducted in terms of frequency, mean and standard deviation. The hypotheses testing employed Independent samples (t-test), One-way ANOVA (F-test) and multiple regression analysis. The results indicated that most of the samples were male, aged between 21 and 30 years old, worked in the manangement departure, graduated with the bachelor degree, with monthly salary between 20,000 and 30,000 baths and with working experience of 1-5 years. The employees’ organizational commitment was found in the high level. The results revealed that the operating factors affecting organizational commitment included job progress and participation in decision making. The organizational factors affecting organizational commitment consisted of participation in administration, salaries and benefits, knowledge development and corporate environment. The operating factors affecting work efficiency was job progress whereas the organizational factor affecting work efficiency comprised participation in administration, relationship with colleagues, and salaries and benefits. The organizational commitment affecting work efficiency included dedication to work, work effort and sense of organizational membership. Keywords: Organizational Commitment, Employees, Work Efficiency, Automotive and Part Industry บทน�ำ องค์กรจะประสบความส�ำเร็จตามเป้าหมายที่ได้ก�ำหนดไว้ ต้องอาศัยปัจจัยที่ส�ำคัญหลายปัจจัย ทรัพยากรมนุษย์ก็ถือเป็นปัจจัยที่มีส่วนช่วยในการผลักดันให้องค์กรสามารถด�ำเนินกิจการให้มีประสิทธิภาพ และเป็นกำ� ลังส�ำคัญในการนำ� พาองค์กรขบั เคลื่อนไปขา้ งหนา้ สเู่ ปา้ หมายทไี่ ดก้ �ำหนดไว้ จึงนับได้วา่ ทรัพยากร มนุษย์เปรียบเสมือนขุมทรัพย์ท่ีมีค่ามหาศาล ดังน้ันจึงเป็นสิ่งท่ีส�ำคัญอย่างย่ิงที่องค์กรจะต้องให้ความส�ำคัญ และตระหนักถึง ในยุคปัจจุบันการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์น้ัน มีสิ่งส�ำคัญท่ีจะต้องด�ำเนินควบคู่กันไป คือ การปลูกฝังสร้างจติ ส�ำนกึ ใหพ้ นักงานเกดิ ความพงึ พอใจ ความผูกพัน ความซ่อื สตั ย์ และจงรกั ภักดที ี่จะร่วมมือ และปฏิบตั ิงานใหก้ ับองค์กรตลอดไป โดยองค์กรจะต้องใส่ใจดแู ลรักษาความกา้ วหนา้ ในอาชีพให้กับพนกั งาน 98 บณั ฑติ วทิ ยาลัย มหาวิทยาลยั สวนดสุ ติ
อันจะส่งผลให้พนักงานมีความมุ่งม่ันที่จะสร้างชื่อเสียง และสร้างความส�ำเร็จให้กับองค์กรโดยไม่เห็นแก่ ความเหนด็ เหนอ่ื ยและยากล�ำบาก แต่การท่ีองค์กรจะคาดหวงั และมงุ่ ผลใหพ้ นักงานปฏบิ ตั เิ ชน่ นัน้ ได้ จำ� เป็น อย่างยิ่งที่องค์กรจะต้องอาศัยปัจจัยต่าง ๆ เป็นแรงเสริมเพ่ือกระตุ้นให้พนักงานพร้อมที่จะอุทิศตนเพื่อ ปฏิบัติงานหรือหน้าท่ีของตนจนสุดความสามารถให้กับองค์กร เพราะด้วยความรู้สึกว่าตนเองก็มีส่วนร่วมใน การเป็นเจา้ ขององค์กรเชน่ เดยี วกนั จากข้อมูลกรมส่งเสริมการคา้ ระหวา่ งประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ในปี 2559 พบว่า สนิ คา้ ส่งออกท่ี ส�ำคญั ทสี่ ุดอนั ดบั 1 ของประเทศไทย คือ รถยนต์ และอปุ กรณป์ ระกอบ ซงึ่ มีมลู คา่ 368,633 ล้านบาท มลู ค่า การสง่ ออกของอุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ และชิน้ สว่ นมอี ตั ราการเตบิ โตขึ้นอย่างตอ่ เนอ่ื งจากข้อมลู 5 ปี ย้อนหลัง ส่งผลให้องค์กรในอุตสาหกรรมน้ีจ�ำเป็นต้องมีการขยายอัตราก�ำลังผลิตเพิ่มขึ้น แต่ในทางกลับกัน จ�ำนวนพนกั งานทล่ี าออกจากงานกลบั มีอตั ราเพมิ่ ขึน้ อยา่ งต่อเน่อื ง ส่งผลให้ก�ำลงั การผลิตไม่เพยี งพอ ดังน้นั ผู้วจิ ยั จึงตอ้ งการศกึ ษาความผูกพนั ของพนักงาน ในภาคอุตสาหกรรมการผลติ ยานยนต์ และ ชนิ้ สว่ นเพื่อใหอ้ งค์กรและบคุ คลทเี่ กีย่ วข้องทราบถงึ ความรูส้ กึ ความคิดเห็นตอ่ การปฏบิ ตั งิ าน และต่อองค์กร ตลอดจนสามารถนำ� ขอ้ มลู ทไ่ี ดไ้ ปใชเ้ ปน็ แนวทางในการเสรมิ สรา้ งความผกู พนั เพอ่ื รกั ษาพนกั งานทมี่ คี ณุ คา่ ตอ่ องค์กรไว้ให้นานที่สุด รวมถึงวิธีการแก้ไขปรับปรุงองค์กร ซ่ึงจะช่วยให้พนักงานสามารถปฏิบัติงานได้อย่างมี ประสทิ ธภิ าพ 1000000 800000 600000 400000 200000 0 2555 2556 2557 2558 2559 ทม่ี ทา:ี่มก(า2ร:5มกก5สรร9่งมม)เสภสกร่งาาิมเรพสกภจทารดัารมิี่พหค1กท้าาารแง่ี ระ1าสคหนดแา้วงสร(่าม2ะดงูล5ปหงม5ครวะ9ูล่า่าเก)คงทป่าาศกรรสากะรรง่เสทะอง่ทอศอรกอวกขกงรอพขะงาอทอณงรตุอิชวตุสยงสาพ์ (หา2าหก5ณก5รชิร9รร)ยม,ม์ยก(ย2าอาน5งนบ5ยยร9นนิห)ตต,า์แแ์กรลขลอ้อะะงกมกบาูลารรรติหออลาออารกดกขจแจอ้ ารามกงกงงูลางาตนานลนการดมแกรางรงจาดั นหางาน ววตั ตั ถถปุุปรระะสสงงคค์ ์ แปแกลรลาะะระสรประิทะฏยธยิบะิภ321ะตัเ...เา321ว งิวพ...ลาลเเเเเนเใาพพพาพพพนใใออ่ืื่ื่อ่อืนอื่่ือนกศศศศศศกกากกึึกึกึึกึราากษษษรษรปษษปปาาาาฏาาปปปฏปฏปิบปจจัััจิบัจับิจัตจัจจจจตัจัตงิัยยัยััยจงิัยางิ ดาดดดัยดนาน้าา้า้้าน้าดนนนนนท้ากปกกทปมี่นาาาร่ีมรผีรรรกะผีะปลปปชาชลตฏฏฏาราต่อบิกบิปบิก่อคตัรัตรตัฏวคศิงิงศงิาิาบวาาาามนานสัตนสผมติตแงูกปแผราลรพัจล์กู์นะไจันไะดพปดัยปแ้ันจัแ้ปแดจักจลก้าัจจแ่ยัะเ่นยัจพลเดปอพดัยะศา้รงศา้นปดะคอนอสร้์กอาาองะิทรนายคงสธยุอคแก์หิภิทุ ลก์งหรนาธทคะรนพิภว่ ทคี่ส์ก่วใยาวง่นส่ียรงพอาง่กางมิทใอานาแนผนธทิรลกรูกพิปธะระาพฏลพิ ะดรคันตบิลดปบั ว่อทตัตับฏงคาิง่ีสอ่างบิามวง่คานนาอัตผนวมขิทรงิูกาผอะราธมพกูะงดนพิ ผพัพดนบัขลกู นับนักทอตพกักขาง่อี่สนังรอพาป่างขศรงนรนอพศอกึะักิทึงกนษสงพษกัธาิทานิงาพนธรากัิภาลรนงยาาตาพยไน่อดไใด้น้ แนวคดิ ทฤษฎีที่เก่ยี วข้อง เรื่องความผูกพันต่อองค์กรได้มีนักวิชาการหลายท่านทาการศึปกีทษี่ 1า6มฉาบเบั ปท็น่ี 1รปะระยจะำ�เหดือนนึ่งมกดราังคนม้ัน- เมแษนายวนค2ิด56แ3ละ99 ทฤษฎีเรื่อง ความผูกพันต่อองค์กรจึงแตกต่างกันออกไป ตามความสนใจ และทัศนะของแต่ละท่าน โดยผู้วิจัยได้ รวบรวมประเดน็ ต่าง ๆ ทม่ี ีความเชื่อมโยงและเกย่ี วขอ้ งเพ่อื มาอธบิ ายในเร่ืองความผกู พันต่อองค์การ ดงั นี้
แนวคิดทฤษฎที เี่ กีย่ วขอ้ ง เร่ืองความผูกพันต่อองค์กรได้มีนักวิชาการหลายท่านท�ำการศึกษามาเป็นระยะหนึ่ง ดังน้ัน แนวคิด และทฤษฎีเรอ่ื ง ความผกู พนั ตอ่ องคก์ รจงึ แตกตา่ งกนั ออกไป ตามความสนใจ และทัศนะของแต่ละท่าน โดย ผวู้ จิ ยั ไดร้ วบรวมประเดน็ ตา่ ง ๆ ทมี่ คี วามเชอื่ มโยงและเกยี่ วขอ้ งเพอ่ื มาอธบิ ายในเรอ่ื งความผกู พนั ตอ่ องคก์ าร ดงั น้ี Steers (1977: 22) กลา่ ววา่ ความผูกพนั ตอ่ องคก์ ร หมายถงึ ความรู้สึกของสมาชกิ วา่ เปน็ สว่ นหนง่ึ ขององค์กร มีความเต็มใจ เสียสละประโยชนส์ ว่ นตวั เพื่อองค์กร และปรารถนาทจ่ี ะเปน็ สมาชกิ ขององค์กรน้ัน ตลอดไป นอกจากนค้ี วามผกู พันองคก์ รยงั เป็นตวั บ่งชีป้ ระสทิ ธิผลขององคก์ รในลักษณะหนึ่ง Allen and Meyer (1990: 1-8) กลา่ วว่า พนกั งานท่ีมีความผกู พันต่อองคก์ รจะมีลักษณะเป็นบคุ คล ทีอ่ ย่กู บั องค์กรไมว่ ่าจะเปน็ อย่างไร มาท�ำงานสม่�ำเสมอ ท่มุ เทในการท�ำงาน ปกป้องทรัพยส์ ินของบรษิ ทั และ มเี ปา้ หมายรว่ มกบั องคก์ ร อเลนและเมเยอร์ มแี นวคดิ ท่วี ่า ความผกู ผันตอ่ องคก์ รประกอบด้วย 3 องคป์ ระกอบ ดังนี้ 1. ความผูกผันต่อองค์กกรด้านความรู้สึก หมายถึง ความผูกพันท่ีเกิดข้ึนจากความรู้สึกภายใน ส่วนบุคคล เป็นความรู้สึกผูกพันและเป็นอันหน่ึงอันเดียวกันกับองค์กร รู้สึกว่าตนเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร เต็มใจที่จะทุ่มเทและอทุ ิศตนให้กับองค์กร 2. ความผกู พันตอ่ องคก์ รดา้ นความต่อเนือ่ ง หมายถงึ ความผูกพนั ทเ่ี กดิ ขึ้น จากการคิดค�ำนวณของ บุคคลที่อยู่บนพ้ืนฐานของการลงทุนท่ีบุคคลให้กับองค์กร และผลตอบแทนที่บุคคลได้รับจากองค์กร โดยจะ แสดงออกในรูปของพฤติกรรมต่อเน่ืองในการท�ำงานว่าจะท�ำงานอยู่กับองค์กรนั้นต่อไป หรือจะโยกย้าย เปล่ียนแปลงทท่ี ำ� งาน 3. ความผกู พนั ตอ่ องคก์ รดา้ นบรรทดั ฐานทางสงั คม (Normative commitment) หมายถงึ ความรสู้ กึ ทเ่ี กดิ ขนึ้ จากคา่ นยิ มหรอื บรรทดั ฐานของสงั คม เปน็ ความรสู้ กึ ทเ่ี กดิ ขน้ึ เพอื่ ตอบสนองแทนสง่ิ ทบ่ี คุ คลไดร้ บั จาก องค์กร แสดงออกในรปู ของความจงรักภักดีของบุคคลต่อองคก์ ร Sheldon (1971: 16) ใหค้ วามหมายวา่ ความผูกพันตอ่ องค์กร หมายถงึ ทัศนคติของผู้ปฏบิ ตั งิ าน ซ่ึงเชอ่ื มโยงระหว่างบุคคลกับองคก์ ร เป็นการประเมินองคก์ รในดา้ นบวก และมีการใชค้ วามพยายามอยา่ งสุด ความสามารถในการทำ� งานเพอ่ื ให้บรรลุจุดหมายทไี่ ดว้ างไว้ Marsh and Mannari (1977: 57-75) ใหค้ วามหมายว่า ความผูกพันตอ่ องค์กรเป็นความตง้ั ใจของ พนักงานที่จะใช้ความพยายาม และทุ่มเทอย่างมาก เพื่อประโยชน์ขององค์กร มีความรู้สึกอยากท่ีจะอยู่กับ องคก์ รตลอดไป และมคี วามรสู้ กึ เปน็ สว่ นหนงึ่ ขององคก์ ร ตลอดจนการยอมรบั เปา้ หมายและคา่ นยิ มขององคก์ ร Buchanan (1974: 535-546) ไดอ้ ธบิ าย “Commitment” วา่ เปน็ การมคี วามรสู้ กึ พอใจกบั บทบาท ของตนในกลุ่ม มีความผกู พนั ชอบพอกับเป้าหมาย และคา่ นิยมของกลุ่ม โดยไมค่ �ำนึงถงึ ความคุ้มค่าในเชงิ วัตถุ พร้อมท้ังได้แบง่ ความยึดมนั่ ตอ่ องคก์ ารออกเป็น 3 ประการ ดังนี้ 1. ความรู้สึกเป็นอันหน่ึงอันเดียวกันกับองค์การ (Identification) คือ ความเต็มใจจะปฏิบัติงาน ยอมรับในคา่ นิยม และวตั ถปุ ระสงค์ขององค์การ ถือเสมือนวา่ องค์การเป็นของตน 2. ความมีสว่ นร่วมกบั องคก์ าร (Involvement) คือ ความเต็มใจที่จะทำ� งานตามบทบาทหน้าทขี่ อง ตนเองอย่างเต็มท่ี เพ่ือความกา้ วหนา้ และเพื่อประโยชน์ขององคก์ าร 100 บัณฑิตวทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั สวนดุสติ
3. ความจงรักภักดีต่อองค์การ (Loyalty) คือ ความรู้สึกยึดมั่นในองค์การและปรารถนาที่จะเป็น สมาชิกของการต่อไป โสภา ทรพั ยม์ ากอดุ ม (2533) นิยามไวว้ ่า ความผกู พนั ต่อองคก์ ร หมายถึง การทสี่ มาชิกในองคก์ ร มคี วามผกู พนั และความซอื่ สตั ยต์ อ่ องคก์ ร การยอมรบั เปา้ หมาย คา่ นยิ มขององคก์ ร และการเปน็ สว่ นหนงึ่ ของ องค์กร ตลอดจนความแนว่ แนท่ ่จี ะคงไวซ้ ่ึงการเป็นสมาชิกในองค์กรนน้ั ๆ อาจกล่าวโดยสรปุ ไดว้ า่ ความผูกพันตอ่ องค์กร หมายถงึ ทศั นคตหิ รอื ความรูส้ กึ ของผ้ปู ฏิบัตงิ านทม่ี ี ตอ่ องค์กร เชน่ มีความจงรักภักดตี อ่ องค์กร ยอมรับเปา้ หมาย คา่ นยิ ม และวฒั นธรรมขององคก์ ร มคี วามรสู้ ึก เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับองค์กร มีความยินดีที่จะใช้ความรู้ความสามารถท่ีตนเองมีอยู่อย่างเต็มท่ี มคี วามทุ่มเท มุ่งม่ัน และต้งั ใจในการปฏิบัติงานอยู่เสมอ รวมไปถึงการมีส่วนร่วมในทุกกจิ กรรมขององคก์ ร กกรรอบอแบนแวนคดิวคิด ความผูกพนั ตอ่ องค์กร ประสิทธิภาพในการปฏิบตั งิ าน - ความรู้สึกเป็นสว่ นหนงึ่ ของ - ปริมาณงาน ปัจจัยด้านประชากรศาสตร์ องคก์ ร - คณุ ภาพ - เพศ - การยอมรบั เปา้ หมาย นโยบาย - ผลผลติ - อายุ การบรหิ ารขององค์กร - หนว่ ยงาน - การทมุ่ เทความพยายามใน - ตาแหน่งในการปฏบิ ตั งิ าน การปฏบิ ตั ิงานเพอ่ื องคก์ ร - ระดบั การศกึ ษา - ความห่วงใยในอนาคตของ - รายไดต้ อ่ เดอื น องค์กร - ระยะเวลาที่ปฏิบตั ิงาน - ความตอ้ งการท่จี ะดารง ความเป็นสมาชิกขององค์กร ปัจจัยด้านการปฏบิ ตั ิงาน - ความภกั ดีตอ่ องค์กร - ความทา้ ทายของงาน - ความเสยี สละเพอื่ องค์กร - ความก้าวหน้าของงาน - ความยากงา่ ยของงาน ภาพท่ี 2 กรอบแนวคิด - การมสี ่วนรว่ มในการตดั สินใจ ปัจจยั ดา้ นองคก์ ร - เงินเดือนและสวสั ดกิ าร - ความสมั พนั ธก์ ับผรู้ ่วมงาน - ความสัมพันธ์กับผู้บังคับบญั ชา - ความมีอิสระในการทางาน - การมีส่วนร่วมในการบรหิ ารงาน - การได้รบั การพัฒนาความรู้ ความสามารถ - สภาพแวดล้อมองค์กร ภาพที่ 2 กรอบแนวคดิ ปีที่ 16 ฉบับท่ี 1 ประจำ�เดอื นมกราคม - เมษายน 2563 101 ระเบยี บวธิ วี จิ ยั
ระเบยี บวิธีวจิ ัย การศึกษาความผูกพันของพนักงานที่มตี อ่ องค์กรในภาคอุตสาหกรรมการผลติ ยานยนต์ และช้ินส่วน มขี อบเขตของการวิจัยเปน็ 5 ขอ้ ดงั นี้ 1. การวิจัยครั้งนี้จะศึกษาถึงความผูกพันของพนักงานท่ีมีต่อองค์กรในภาคอุตสาหกรรมการผลิต ยานยนต์ และชิ้นส่วนจำ� แนกตามสถานภาพส่วนบุคคลด้านเพศ อายุ หน่วยงาน ต�ำแหน่ง ระดับการศึกษา รายได้ และระยะเวลาทป่ี ฏบิ ัตงิ าน 2. ประชากรที่ใช้ในการศึกษาคร้ังนี้ คือ พนักงานที่ปฏิบัติงานในองค์กรภาคอุตสาหกรรมการผลิต ยานยนต์ และชิน้ ส่วน จำ� นวน 37.87 ล้านคน (ส�ำนักงานสถติ แิ หง่ ชาต,ิ 2559) ซง่ึ ผ้วู ิจยั ได้ใช้การคำ� นวณหา ขนาดกลมุ่ ตวั อยา่ งตามตารางสำ� เรจ็ รปู ของ Taro Yamane (ธานนิ ทร์ ศลิ ปจ์ าร,ุ 2558: 49) ทร่ี ะดบั ความเชอื่ มนั่ 95% ค่าความคลาดเคลื่อน ±5% ไดข้ นาดกลุ่มตัวอยา่ งทงั้ สิน้ 400 คน 3. ตัวแปรทใ่ี ช้ในการศกึ ษาแบ่งไดเ้ ป็น 2 ประเภท คือ 3.1 ตัวแปรอิสระ (Independent Variable) ได้แก่ ปัจจัยด้านประชากรศาสตร์ ปัจจัยด้าน การปฏบิ ัติงาน ปจั จัยดา้ นองค์กร และความผกู พันตอ่ องคก์ ร 3.2 ตวั แปรตาม (Dependent Variable) ได้แก่ ประสิทธิภาพในการปฏิบัตงิ าน 4. พ้ืนท่ีในการวิจัยครั้งน้ีศึกษาเฉพาะพนักงานท่ีปฏิบัติงานในภาคอุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ และช้นิ สว่ น 5. ระยะเวลาในการเก็บรวบรวมข้อมูลของงานวิจัยคร้ังน้ี ด�ำเนินการในวันที่ 1 มิถุนายน- 1 พฤศจกิ ายน พ.ศ. 2560 การเก็บรวบรวมขอ้ มลู ผู้วิจยั ได้ด�ำเนนิ การเกบ็ รวบรวมข้อมูลโดยได้ดำ� เนินการเป็น 6 ขัน้ ตอน ดังน้ี 1. ก�ำหนดข้อมูลและตัวช้ีวัด เป็นการก�ำหนดว่าข้อมูลที่ต้องการมีอะไรบ้าง โดยการศึกษา และ วิเคราะหจ์ ากวตั ถุประสงค์ หรอื ปญั หาของการวิจยั วา่ มตี วั แปรอะไรบ้างที่เป็นตัวแปรอิสระ ตวั แปรตาม และ ตวั แปรที่เก่ียวข้อง และจะใชอ้ ะไรเปน็ ตวั ชว้ี ดั จงึ จะไดข้ ้อมูลทสี่ อดคลอ้ งกบั สภาพความเปน็ จรงิ 2. ก�ำหนดแหล่งข้อมูลท้ังจากแหล่งข้อมูลปฐมภูมิหรือทุติยภูมิ โดยการก�ำหนดว่าแหล่งข้อมูลหรือ ผู้ให้ข้อมูลเปน็ ใครอยู่ทีไ่ หน มขี อบเขตเทา่ ไร และพิจารณาว่าแหลง่ ขอ้ มูลน้ัน ๆ สามารถท่จี ะใหข้ อ้ มลู ได้อย่าง ครบถว้ น 3. กำ� หนดกลมุ่ ตวั อยา่ ง โดยการเลอื กใชว้ ธิ กี ารสมุ่ ตวั อยา่ งอยา่ งเหมาะสม และขนาดของกลมุ่ ตวั อยา่ ง ที่เหมาะสม 4. เลือกวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล โดยการแจกแบบสอบถาม ซึ่งเป็นวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลท่ี เหมาะสม ท�ำให้ไดร้ ับข้อมูลอยา่ งครบถ้วน และยังเป็นข้อมลู ทเี่ ชื่อถือได้ 5. น�ำเคร่ืองมือเก็บรวบรวมขอ้ มลู ไปทดลองใช้ เปน็ การทดลองใช้เคร่ืองมือท่สี รา้ งขน้ึ เพอ่ื น�ำขอ้ มลู มาวเิ คราะหต์ รวจสอบคณุ ภาพทจ่ี ะตอ้ งปรบั ปรงุ และแกไ้ ขใหอ้ ยใู่ นสภาพทส่ี ามารถเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ไดอ้ ยา่ ง มปี ระสทิ ธิภาพ 6. นำ� แบบสอบถามทไี่ ดม้ าทำ� การตรวจสอบความถกู ตอ้ งสมบรู ณ์ และนำ� ไปวเิ คราะหข์ อ้ มลู ทางสถติ ิ ด้วยเคร่อื งคอมพวิ เตอรต์ อ่ ไป 102 บัณฑิตวิทยาลัย มหาวทิ ยาลยั สวนดสุ ติ
ผลการศกึ ษา 1. ผลการวเิ คราะหข์ ้อมูลด้านประชากรศาสตรข์ องผตู้ อบแบบสอบถาม 1.1 ด้านเพศ พบวา่ เพศของผู้ตอบแบบสอบถามมากทีส่ ุด ไดแ้ ก่ เพศชาย คิดเปน็ ร้อยละ 59.01 ทเี่ หลอื ไดแ้ ก่ เพศหญิง คิดเปน็ ร้อยละ 40.99 1.2 ดา้ นอายุ พบว่า อายขุ องผู้ตอบแบบสอบถามมากท่สี ุด ไดแ้ ก่ อายุ 21-30 ปี คิดเป็นร้อยละ 54.85 รองลงมาไดแ้ ก่ อายุ 31-40 ปี คดิ เป็นร้อยละ 26.14 อายุมากกวา่ 40 ปีขนึ้ ไป คิดเปน็ รอ้ ยละ 13.66 อายุน้อยกวา่ 21 ปี คดิ เปน็ ร้อยละ 5.35 ตามลำ� ดับ 1.3 ด้านหน่วยงาน พบว่า หน่วยงานของผู้ตอบแบบสอบถามมากที่สุด ได้แก่ ฝ่ายส�ำนักงาน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 65.74 ทเ่ี หลอื ได้แก่ ฝ่ายผลติ คดิ เปน็ ร้อยละ 34.26 1.4 ดา้ นระดบั งาน พบวา่ ระดับงานของผู้ตอบแบบสอบถามมากทสี่ ุด ไดแ้ ก่ ระดับปฏิบตั กิ าร คิดเป็นร้อยละ 74.06 ทเี่ หลือไดแ้ ก่ ระดับหัวหน้างาน คดิ เป็นรอ้ ยละ 25.94 1.5 ดา้ นระดบั การศกึ ษา พบวา่ ระดบั การศกึ ษาของผตู้ อบแบบสอบถามมากทส่ี ดุ ไดแ้ ก่ ปรญิ ญา ตรี คิดเป็นร้อยละ 71.49 รองลงมาได้แก่ ต่�ำกว่าปริญญาตรี คิดเป็นร้อยละ 16.04 และน้อยท่ีสุด ได้แก่ สูงกวา่ ปรญิ ญาตรี คิดเป็นรอ้ ยละ 12.48 1.6 ด้านรายได้ พบว่า รายได้ของผู้ตอบแบบสอบถามมากที่สุด ได้แก่ 20,000-30,000 บาท คดิ เปน็ รอ้ ยละ 39.41 รองลงมาไดแ้ ก่ 30,001-40,000 บาท คดิ เป็นรอ้ ยละ 24.75 นอ้ ยกว่า 20,000 บาท คิดเปน็ รอ้ ยละ 23.37 40,000 บาทข้นึ ไป คิดเป็นร้อยละ 12.48 ตามล�ำดับ 1.7 ด้านระยะเวลาการปฏิบัติงาน พบว่า ระยะเวลาการปฏิบัติงานของผู้ตอบแบบสอบถาม มากทสี่ ุด ได้แก่ 1-5 ปี คิดเปน็ ร้อยละ 46.14 รองลงมาได้แก่ 10 ปีขน้ึ ไป คิดเป็นรอ้ ยละ 22.18 6-10 ปี คดิ เป็นร้อยละ 18.81 น้อยกว่า 1 ปี คดิ เปน็ รอ้ ยละ 12.87 ตามล�ำดับ 2. ผลการวเิ คราะหข์ ้อมลู เก่ียวกับความผกู พันตอ่ องคก์ ร 2.1 แสดงโดยภาพรวม พบว่า ความผูกพันต่อองค์กรโดยภาพรวมอยู่ในระดับความส�ำคัญมาก โดยมคี า่ คะแนนเฉลีย่ เท่ากับ 3.67 ส�ำหรับผลการพิจารณาเป็นรายดา้ น ได้แก่ ดา้ นการทมุ่ เทความพยายามใน การปฏบิ ตั งิ านเพอ่ื องคก์ ร มรี ะดบั ความสำ� คญั อยใู่ นระดบั มาก โดยมคี า่ คะแนนเฉลยี่ เทา่ กบั 3.91 ดา้ นความรสู้ กึ เป็นส่วนหน่ึงขององค์กรและด้านความภักดีต่อองค์กร มีระดับความส�ำคัญอยู่ในระดับมาก โดยมีค่าคะแนน เฉล่ยี เทา่ กบั 3.71 ด้านความหว่ งใยในอนาคตขององคก์ รมีระดับความสำ� คญั อยใู่ นระดับมาก โดยมคี า่ คะแนน เฉลี่ยเท่ากับ 3.70 ด้านความเสียสละเพ่ือองค์กร มีระดับความส�ำคัญอยู่ในระดับมาก โดยมีค่าคะแนนเฉล่ีย เท่ากับ 3.61 ด้านการยอมรับเป้าหมาย นโยบายการบริหารขององค์กรมีระดับความส�ำคัญอยู่ในระดับมาก โดยมีค่าคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 3.52 และด้านความต้องการที่จะด�ำรงความเป็นสมาชิกขององค์กร มีระดับ ความสำ� คญั อยใู่ นระดบั มาก โดยมคี ่าคะแนนเฉล่ยี เทา่ กบั 3.50 2.2 การเปรยี บเทยี บความแตกตา่ งของความผกู พนั ตอ่ องคก์ ร จำ� แนกตามปจั จยั ประชากรศาสตร์ 2.2.1 ด้านเพศ พบว่า ความผูกพันต่อองค์กรโดยภาพรวมไม่มีความแตกต่างกันอย่างมี นยั สำ� คญั ทางสถติ ทิ ร่ี ะดบั .05 และเมอ่ื เปรยี บเทยี บเปน็ รายดา้ น ไดแ้ ก่ ดา้ นความรสู้ กึ เปน็ สว่ นหนงึ่ ขององคก์ ร ด้านการยอมรับเป้าหมาย นโยบายการบรหิ ารขององคก์ ร ดา้ นการท่มุ เทความพยายามในการปฏบิ ัตงิ านเพ่ือ ปที ่ี 16 ฉบบั ที่ 1 ประจ�ำ เดือนมกราคม - เมษายน 2563 103
องค์กร ด้านความห่วงใยในอนาคตขององค์กร ด้านความภักดีต่อองค์กร และด้านความเสียสละเพ่ือองค์กร ไมม่ ีความแตกตา่ งกันอย่างมนี ยั สำ� คัญทางสถติ ิทีร่ ะดบั .05 ส่วนการเปรยี บเทยี บรายข้อ พบวา่ ความผกู พัน ตอ่ องค์กร มคี วามแตกต่างกนั อยา่ งมนี ยั ส�ำคญั ทางสถิตทิ ่ีระดบั .05 จ�ำนวน 1 รายการ ได้แก่ ไม่คดิ ลาออกถงึ แมอ้ งค์กรจะประสบปัญหาสภาพคล่องทางการเงิน 2.2.2 ด้านอายุ พบว่า ความผูกพันต่อองค์กรโดยภาพรวมมีความแตกต่างกันอย่างมี นยั สำ� คญั ทางสถติ ทิ ร่ี ะดบั .05 และเมอ่ื เปรยี บเทยี บเปน็ รายดา้ น ไดแ้ ก่ ดา้ นความรสู้ กึ เปน็ สว่ นหนงึ่ ขององคก์ ร ดา้ นการยอมรบั เปา้ หมาย นโยบายการบรหิ ารขององคก์ ร และดา้ นความเสยี สละเพอ่ื องคก์ ร ไมม่ คี วามแตกตา่ ง กันอย่างมีนัยส�ำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ส่วนการเปรียบเทียบเป็นรายข้อ พบว่า ความผูกพันต่อองค์กร มคี วามแตกต่างกนั อย่างมนี ัยสำ� คัญทางสถิตทิ รี่ ะดบั .05 จ�ำนวน 17 รายการ ไดแ้ ก่ ความคดิ เห็นสอดคลอ้ ง กับนโยบาย ความมงุ่ มั่นท�ำงาน การใช้ความรเู้ ต็มที่ พรอ้ มอทุ ิศแรงกายแรงใจ เตม็ ใจทำ� งานลว่ งเวลา ทำ� งาน นอกเหนือความรับผดิ ชอบ ปญั หาองคก์ ร ค�ำนึงถึงผลประโยชน์องค์กร อนั ดบั แรก ตดั สินใจถูกต้อง ไม่คดิ จะ ลาออก สมคั รใจท�ำงาน รสู้ ึกร้อนใจเมอื่ พบอุปสรรค ไมค่ ิดย้ายองค์กร ปรารถนาอยู่ที่องคก์ รน้ี รกั องค์กร ยนิ ดี ลาออกเพ่ือช่วยเหลือองค์กร และคิดถึงส่วนรวม ผู้วิจัยจึงทดสอบความแตกต่างเป็นรายคู่ด้วยวิธีของเชฟเฟ่ (Scheffe) พบรายคู่ที่ไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยส�ำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 จ�ำนวน 2 คู่ ได้แก่ ความคิดเหน็ สอดคลอ้ งกับนโยบาย และท�ำงานนอกเหนอื ความรบั ผดิ ชอบ 2.2.3 ดา้ นหนว่ ยงาน พบวา่ ความผกู พนั ตอ่ องคก์ รโดยภาพรวมไมม่ คี วามแตกตา่ งกนั อยา่ ง มนี ยั สำ� คญั ทางสถติ ทิ รี่ ะดบั .05 และเมอื่ เปรยี บเทยี บเปน็ รายดา้ น ไดแ้ ก่ ดา้ นความรสู้ กึ เปน็ สว่ นหนงึ่ ขององคก์ ร ด้านการยอมรับเปา้ หมาย นโยบายการบริหารขององคก์ ร ดา้ นการท่มุ เทความพยายามในการปฏิบัติงานเพ่ือ องคก์ ร ดา้ นความห่วงใยในอนาคตขององคก์ ร ดา้ นความต้องการทจ่ี ะดำ� รงความเป็นสมาชกิ ขององค์กร ดา้ น ความภกั ดตี อ่ องคก์ ร และดา้ นความเสยี สละเพอ่ื องคก์ ร ไมม่ คี วามแตกตา่ งกนั อยา่ งมนี ยั สำ� คญั ทางสถติ ทิ ร่ี ะดบั .05 2.2.4 ดา้ นระดบั งาน พบวา่ ความผกู พนั ตอ่ องคก์ รโดยภาพรวมไมม่ คี วามแตกตา่ งกนั อยา่ ง มนี ยั สำ� คญั ทางสถติ ทิ รี่ ะดบั .05 และเมอื่ เปรยี บเทยี บเปน็ รายดา้ น ไดแ้ ก่ ดา้ นความรสู้ กึ เปน็ สว่ นหนง่ึ ขององคก์ ร ดา้ นการยอมรบั เป้าหมาย นโยบายการบรหิ ารขององคก์ ร ดา้ นการทมุ่ เทความพยายามในการปฏิบตั ิงานเพอื่ องค์กร ด้านความห่วงใยในอนาคตขององค์กร ด้านความต้องการที่จะด�ำรงความเป็นสมาชิกขององค์กร ดา้ นนความภกั ดตี ่อองค์กร และด้านความเสียสละเพ่อื องคก์ ร ไมม่ คี วามแตกตา่ งกันอย่างมนี ยั สำ� คญั ทางสถิติ ที่ระดับ .05 สว่ นการเปรยี บเทียบรายข้อ พบว่า ความผูกพันต่อองค์กร มคี วามแตกตา่ งกนั อย่างมีนัยส�ำคญั ทางสถิตทิ ่ีระดับ .05 จ�ำนวน 3 รายการ ได้แก่ ความคิดเหน็ สอดคล้องกนั นโยบายขององคก์ ร ยินดที ำ� งาน นอกเหนอื ความรับผดิ ชอบ และคิดถงึ สว่ นรวม 2.2.5 ด้านระดับการศึกษา พบวา่ ความผูกพนั ต่อองคก์ รโดยภาพรวมมคี วามแตกต่างกนั อย่างมีนัยส�ำคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 และเมื่อเปรียบเทียบเป็นรายด้าน ได้แก่ ด้านการยอมรับเป้าหมาย นโยบาย การบริหารขององคก์ ร ดา้ นการทุ่มเทความพยายามในการปฏบิ ัติงานเพื่อองคก์ ร ด้านความต้องการ ทจี่ ะดำ� รงความเปน็ สมาชกิ ขององคก์ ร และดา้ นความเสยี สละเพอื่ องคก์ ร ไมม่ คี วามแตกตา่ งกนั อยา่ งมนี ยั สำ� คญั ทางสถิติที่ระดับ .05 ส่วนการเปรียบเทียบเป็นรายข้อ พบว่า ความผูกพันต่อองค์กร มีความแตกต่างกัน อยา่ งมีนัยส�ำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 จำ� นวน 14 รายการ ไดแ้ ก่ ไม่ลงั เลท�ำหน้าทีใ่ นนามองคก์ ร คดิ ว่าตนเอง มคี วามสำ� คญั พรอ้ มอทุ ศิ แรงกายแรงใจ ใหค้ วามสำ� คญั กบั องคก์ ร ปญั หาขององคก์ ร คำ� นงึ ถงึ ผลประโยชนอ์ งคก์ ร 104 บณั ฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยสวนดสุ ิต
มคี วามสขุ ทอ่ี ยู่ รูส้ ึกร้อนใจเม่อื พบอปุ สรรค ไม่คดิ ย้ายองคก์ ร ปรารถนาอยทู่ อ่ี งค์กรนี้ รักองคก์ ร ปกปอ้ งข้อมลู ยินดีลดเงินเดือนเม่ือเกิดสถานการณ์วิกฤต และคิดถึงส่วนรวม ผู้วิจัยจึงทดสอบความแตกต่างเป็นรายคู่ ด้วยวธิ ีของเชฟเฟ่ (Scheffe) พบรายคทู่ ่ีไมม่ คี วามแตกตา่ งกนั อย่างมีนัยส�ำคญั ทางสถิติท่รี ะดบั .05 จ�ำนวน 4 คู่ ได้แก่ คดิ ว่าตนเองมีความส�ำคัญ พร้อมอุทิศแรงกายแรงใจ มคี วามสขุ ทีอ่ ยู่ และปกป้องขอ้ มลู 2.2.6 ดา้ นระดบั รายได้ พบวา่ ความผกู พนั ตอ่ องคก์ รโดยภาพรวมมคี วามแตกตา่ งกนั อยา่ ง มนี ยั สำ� คญั ทางสถิตทิ รี่ ะดับ .05 และเมื่อเปรยี บเทียบเป็นรายด้าน ได้แก่ ด้านความภักดตี อ่ องค์กร และด้าน ความเสยี สละเพอ่ื องคก์ ร ไมม่ คี วามแตกตา่ งกนั อยา่ งมนี ยั สำ� คญั ทางสถติ ทิ รี่ ะดบั .05 สว่ นการเปรยี บเทยี บเปน็ รายข้อ พบว่า ความผูกพันต่อองค์กร มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยส�ำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 จ�ำนวน 14 รายการ ได้แก่ ไม่ลังเลท�ำหน้าท่ีในนามองค์กร ความภาคภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหน่ึง ความส�ำเร็จขององค์กร ความคิดเหน็ สอดคลอ้ ง การบริหารงาน วัฒนธรรม ความมุง่ ม่ัน ใช้ความร้อู ย่างเตม็ ท่ี ท�ำงานลว่ งเวลา ท�ำงาน นอกเหนอื ความรบั ผดิ ชอบ ปญั หาขององคก์ ร ผลประโยชน์ ตัดสินใจถกู ตอ้ ง สมคั รใจทำ� งาน ไมค่ ิดย้ายองค์กร ปรารถนาทจี่ ะอยู่ รักองค์กร ปกป้องข้อมูล ยินดีลดเงนิ เดอื นเมื่อวกิ ฤต และคิดถงึ สว่ นรวม ผวู้ จิ ยั จึงทดสอบ ความแตกตา่ งเปน็ รายคดู่ ว้ ยวธิ ขี องเชฟเฟ่ (Scheffe) พบรายคทู่ ไี่ มม่ คี วามแตกตา่ งกนั อยา่ งมนี ยั สำ� คญั ทางสถติ ิ ทรี่ ะดบั .05 จำ� นวน 6 คู่ ไดแ้ ก่ ความภาคภมู ใิ จทไี่ ดเ้ ปน็ สว่ นหนง่ึ ความสำ� เรจ็ ขององคก์ ร ใชค้ วามรอู้ ยา่ งเตม็ ท่ี ท�ำงานนอกเหนือความรบั ผดิ ชอบ รักองคก์ ร และคดิ ถึงสว่ นรวม 2.2.7 ด้านระยะเวลาการปฏิบัติงาน พบว่า ความผูกพันต่อองค์กรโดยภาพรวมไม่มี ความแตกตา่ งกนั อยา่ งมนี ยั สำ� คญั ทางสถติ ทิ ร่ี ะดบั .05 และเมอื่ เปรยี บเทยี บเปน็ รายดา้ น ไดแ้ ก่ ดา้ นความรสู้ กึ เปน็ สว่ นหนง่ึ ขององคก์ ร ดา้ นการยอมรบั เปา้ หมาย นโยบายการบรหิ ารขององคก์ ร ดา้ นความหว่ งใยในอนาคต ขององคก์ ร และดา้ นความตอ้ งการทจี่ ะดำ� รงความเปน็ สมาชกิ ขององคก์ ร ไมม่ คี วามแตกตา่ งกนั อยา่ งมนี ยั สำ� คญั ทางสถิติท่ีระดับ .05 ส่วนการเปรียบเทียบเป็นรายข้อ พบว่า ความผูกพันต่อองค์กร มีความแตกต่างกัน อยา่ งมนี ยั สำ� คญั ทางสถติ ทิ ร่ี ะดบั .05 จำ� นวน 9 รายการ ไดแ้ ก่ ความมงุ่ มน่ั ในการทำ� งาน ใชค้ วามรอู้ ยา่ งเตม็ ที่ พร้อมอุทิศแรงกายแรงใจ ปัญหาขององค์กร ค�ำนึงถึงผลประโยชน์ขององค์กร รู้สึกร้อนใจหากพบอุปสรรค ไม่คิดย้ายองค์กร รักองค์กร และคิดถึงส่วนรวม ผู้วิจัยจึงทดสอบความแตกต่างเป็นรายคู่ด้วยวิธีของเชฟเฟ่ (Scheffe) พบรายคทู่ ไี่ มม่ คี วามแตกตา่ งกนั อยา่ งมนี ยั สำ� คญั ทางสถติ ทิ รี่ ะดบั .05 จำ� นวน 4 คู่ ไดแ้ ก่ ใชค้ วามรู้ อยา่ งเต็มที่ คำ� นงึ ถึงผลประโยชน์ขององค์กร รูส้ กึ รอ้ นใจหากพบอปุ สรรค และไม่คิดยา้ ยองคก์ ร 3. ผลการวิเคราะห์ข้อมลู เกี่ยวกับประสิทธภิ าพในการปฏิบัตงิ าน 3.1 แสดงโดยภาพรวม พบวา่ ประสทิ ธภิ าพในการปฏบิ ตั งิ านโดยภาพรวมอยใู่ นระดบั ความสำ� คญั มาก โดยมีค่าคะแนนเฉล่ียเท่ากับ 3.93 ส�ำหรับผลการพิจารณาเป็นรายด้าน ได้แก่ ด้านผลผลิตมีระดับ ความสำ� คัญอยใู่ นระดับมาก โดยมคี ่าคะแนนเฉลย่ี เท่ากบั 4.02 ดา้ นคุณภาพ มีระดบั ความสำ� คญั อยใู่ นระดบั มาก โดยมีค่าคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 4.00 และด้านปริมาณงาน มีระดับความส�ำคัญอยู่ในระดับมาก โดยมีค่า คะแนนเฉล่ยี เท่ากับ 3.75 3.2 การเปรยี บเทยี บความแตกตา่ งของความผกู พนั ตอ่ องคก์ ร จำ� แนกตามปจั จยั ประชากรศาสตร์ 3.2.1 ด้านเพศ พบว่า ประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานโดยภาพรวมไม่มีความแตกต่างกัน อยา่ งมีนยั สำ� คญั ทางสถติ ิทร่ี ะดบั .05 และเมื่อเปรยี บเทียบเปน็ รายด้าน ไดแ้ ก่ ด้านปรมิ าณ ดา้ นคณุ ภาพ และ ด้านผลผลิต ไม่มีความแตกต่างกันอยา่ งมนี ยั สำ� คัญทางสถติ ิทรี่ ะดับ .05 ปที ่ี 16 ฉบับที่ 1 ประจ�ำ เดอื นมกราคม - เมษายน 2563 105
3.2.2 ด้านอายุ พบว่า ประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานโดยภาพรวมมีความแตกต่างกัน อย่างมนี ัยสำ� คญั ทางสถิติท่รี ะดับ .05 และเมือ่ เปรียบเทยี บเปน็ รายด้าน ไดแ้ ก่ ด้านปรมิ าณ ดา้ นคุณภาพ และ ด้านผลผลติ มคี วามแตกต่างกนั อยา่ งมนี ัยสำ� คญั ทางสถติ ทิ ีร่ ะดับ .05 สว่ นการเปรียบเทียบเป็นรายข้อ พบว่า ความผูกพันต่อองค์กร มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยส�ำคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 จ�ำนวน 7 รายการ ได้แก่ ปฏิบัติงานส�ำเร็จตามปริมาณงาน ปฏิบัติงานถูกต้องแม่นย�ำ มีความเพียรพยายามในงานที่ได้รับมอบหมาย ทำ� งานรวดเรว็ ท�ำงานเสร็จตามเวลา มีการทบทวนตรวจสอบงานทท่ี ำ� และสามารถผลติ สินค้าไดต้ ามจ�ำนวน ทกี่ ำ� หนด ผวู้ จิ ยั จงึ ทดสอบความแตกตา่ งเปน็ รายคดู่ ว้ ยวธิ ขี องเชฟเฟ่ (Scheffe) พบวา่ รายคทู่ กุ คมู่ คี วามแตกตา่ ง กนั อยา่ งมนี ัยส�ำคัญทางสถติ ิทรี่ ะดบั .05 3.2.3 ดา้ นหนว่ ยงาน พบวา่ ประสทิ ธภิ าพในการปฏบิ ตั งิ านโดยภาพรวมไมม่ คี วามแตกตา่ ง กันอยา่ งมนี ยั ส�ำคัญทางสถติ ทิ ่ีระดับ .05 และเมื่อเปรยี บเทยี บเป็นรายด้าน ได้แก่ ด้านปรมิ าณ ดา้ นคณุ ภาพ และดา้ นผลผลติ ไมม่ คี วามแตกตา่ งกันอยา่ งมนี ยั สำ� คัญทางสถิตทิ ี่ระดับ .05 3.2.4 ดา้ นระดบั งาน พบวา่ ประสทิ ธภิ าพในการปฏบิ ตั งิ านโดยภาพรวมไมม่ คี วามแตกตา่ ง กันอย่างมีนยั สำ� คัญทางสถิติทร่ี ะดับ .05 และเมอ่ื เปรียบเทยี บเป็นรายด้าน ได้แก่ ดา้ นปรมิ าณ ด้านคุณภาพ และดา้ นผลผลติ ไมม่ คี วามแตกตา่ งกนั อยา่ งมนี ยั สำ� คญั ทางสถติ ทิ ร่ี ะดบั .05 สว่ นการเปรยี บเทยี บรายขอ้ พบวา่ ประสิทธภิ าพในการปฏบิ ัตงิ าน มคี วามแตกต่างกันอย่างมนี ยั สำ� คัญทางสถติ ทิ ่รี ะดบั .05 จำ� นวน 2 รายการ ได้แก่ ปรับปรงุ การทำ� งานใหด้ ียิง่ ข้ึน และสนิ คา้ ทผี่ ลติ ได้มาตรฐาน 3.2.5 ดา้ นระดบั การศกึ ษา พบวา่ ประสทิ ธภิ าพในการปฏบิ ตั งิ านโดยภาพรวม มคี วามแตกตา่ ง กนั อยา่ งมนี ยั สำ� คญั ทางสถติ ทิ รี่ ะดบั .05 และเมอ่ื เปรยี บเทยี บเปน็ รายดา้ น ไดแ้ ก่ ดา้ นปรมิ าณ ไมม่ คี วามแตกตา่ ง กันอย่างมีนัยส�ำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ส่วน ด้านคุณภาพ และด้านผลผลิต มีความแตกต่างกันอย่าง มนี ยั สำ� คญั ทางสถติ ทิ ร่ี ะดบั .05 สว่ นการเปรยี บเทยี บเปน็ รายขอ้ พบวา่ ความผกู พนั ตอ่ องคก์ ร มคี วามแตกตา่ งกนั อย่างมีนัยส�ำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 จ�ำนวน 10 รายการ ได้แก่ ปฏิบัติงานถูกต้องแม่นย�ำ จัดล�ำดับ ความส�ำคัญของงาน ปรับปรุงการท�ำงาน วางแผนงานล่วงหนา้ มคี วามเพยี รพยายามในงานทไี่ ด้รับมอบหมาย ทำ� งานรวดเรว็ ทำ� งานเสรจ็ ตามเวลา ผลติ สนิ คา้ ไดต้ ามจำ� นวนทกี่ ำ� หนด สนิ คา้ ทผ่ี ลติ ไดม้ าตรฐาน และไดส้ นิ คา้ ครบตามจ�ำนวนที่ลูกค้าต้องการ ผู้วิจัยจึงทดสอบความแตกต่างเป็นรายคู่ด้วยวิธีของเชฟเฟ่ (Scheffe) พบรายคู่ท่ไี มม่ ีความแตกตา่ งกนั อยา่ งมนี ัยสำ� คญั ทางสถติ ิทีร่ ะดบั .05 จ�ำนวน 2 คู่ ไดแ้ ก่ ปฏิบตั ิงานถกู ต้อง แมน่ ยำ� และได้สินค้าครบตามจ�ำนวนที่ลกู ค้าต้องการ 3.2.6 ด้านรายได้ พบว่า ประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานโดยภาพรวมมีความแตกต่างกัน อย่างมีนยั สำ� คัญทางสถิตทิ ร่ี ะดบั .05 และเมือ่ เปรยี บเทยี บเป็นรายด้าน ไดแ้ ก่ ด้านปรมิ าณ ด้านคุณภาพ และ ด้านผลผลติ มคี วามแตกตา่ งกนั อยา่ งมีนยั ส�ำคัญทางสถติ ทิ รี่ ะดบั .05 ส่วนการเปรียบเทยี บเปน็ รายข้อ พบว่า ความผูกพันตอ่ องค์กร มคี วามแตกตา่ งกันอย่างมีนยั ส�ำคัญทางสถิติที่ระดบั .05 จำ� นวน 10 รายการ ได้แก่ ปฏิบัติงานส�ำเร็จตามปริมาณงาน ระยะเวลาท่ีใช้ต่อช้ิน ปฏิบัติงานถูกต้องแม่นย�ำ จัดล�ำดับความส�ำคัญของ งาน ปรบั ปรุงการท�ำงาน วางแผนงานลว่ งหน้า มคี วามเพยี รพยายามในงานทไี่ ดร้ ับมอบหมาย ท�ำงานรวดเรว็ ทบทวนตรวจสอบงาน และสินค้าท่ีผลิตได้มาตรฐาน ผู้วิจัยจึงทดสอบความแตกต่างเป็นรายคู่ด้วยวิธีของ เชฟเฟ่ (Scheffe) พบรายคู่ท่ไี ม่มี ความแตกตา่ งกนั อย่างมีนัยส�ำคัญทางสถติ ทิ ่รี ะดบั .05 จ�ำนวน 2 คู่ ได้แก่ ปฏบิ ตั งิ านสำ� เรจ็ ตามปรมิ าณงาน และสินคา้ ที่ผลิตได้มาตรฐาน 106 บัณฑติ วทิ ยาลัย มหาวิทยาลัยสวนดสุ ิต
3.2.7 ด้านระยะเวลาการปฏิบัติงาน พบว่า ประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานโดยภาพรวม ไมม่ คี วามแตกตา่ งกนั อยา่ งมนี ยั สำ� คญั ทางสถติ ทิ ร่ี ะดบั .05 และเมอ่ื เปรยี บเทยี บเปน็ รายดา้ น ไดแ้ ก่ ดา้ นปรมิ าณ และดา้ นคณุ ภาพ ไมม่ คี วามแตกตา่ งกนั อยา่ งมนี ยั สำ� คญั ทางสถติ ทิ ร่ี ะดบั .05 สว่ นดา้ นผลผลติ มคี วามแตกตา่ ง กันอย่างมีนัยส�ำคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 ส่วนการเปรียบเทียบเป็นรายข้อ พบว่า ความผูกพันต่อองค์กร มคี วามแตกต่างกนั อย่างมนี ยั สำ� คัญทางสถิตทิ รี่ ะดบั .05 จำ� นวน 2 รายการ ไดแ้ ก่ ความเพียรพยายามในงาน ทีไ่ ดร้ บั มอบหมาย และ การทบทวนตรวจสอบงาน ผวู้ ิจยั จงึ ทดสอบความแตกต่างเปน็ รายคดู่ ้วยวิธขี องเชฟเฟ่ (Scheffe) ไม่พบรายคูใ่ ดที่มคี วามแตกตา่ งกันอยา่ งมนี ัยส�ำคัญทางสถิตทิ ่ีระดับ .05 4. ผลการวิเคราะหข์ ้อมูลปัจจัยทีม่ อี ทิ ธิพลต่อความผูกพนั 4.1 ปัจจัยด้านการปฏิบัติงานท่ีส่งผลต่อความผูกพัน พบว่า ความท้าทาย ความก้าวหน้า ความยากง่ายและการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ มีความสัมพันธ์เชิงพหุกับความผูกพันอยู่ที่ .452 อย่าง มีนัยส�ำคัญทางสถิติที่ระดับ .001 ท้ังยังพบว่า ความก้าวหน้า การมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ ส่งอิทธิพลต่อ ความผกู พนั อยา่ งมนี ยั สำ� คญั ทางสถติ ทิ รี่ ะดบั .001 โดยมคี า่ นำ�้ หนกั .407 และ .279 ตามลำ� ดบั สว่ นความยากงา่ ย และความท้าทายไมส่ ่งอิทธพิ ลต่อความผูกพัน อย่างมนี ัยสำ� คัญทางสถติ ทิ ร่ี ะดับ .05 4.2 ปัจจัยด้านองค์กรที่ส่งผลต่อความผูกพัน พบว่า เงินเดือนและสวัสดิการ ความสัมพันธ์กับ ผรู้ ว่ มงาน ความสมั พนั ธก์ บั ผบู้ งั คบั บญั ชา ความมอี สิ ระในการทำ� งาน การมสี ว่ นรว่ มในการบรหิ ารงาน การไดร้ บั การพัฒนาความรู้ความสามารถ และสภาพแวดลอ้ มองค์กร มีความสัมพนั ธเ์ ชิงพหุกบั ความผูกพนั อยู่ที่ .667 อยา่ งมีนัยสำ� คญั ทางสถิติที่ระดบั .001 ท้ังยงั พบวา่ การมีส่วนรว่ มในการบริหารงาน เงินเดือนและสวสั ดกิ าร การได้รับการพัฒนาความรู้ความสามารถ และสภาพแวดล้อมองค์กร ส่งอิทธิพลต่อความผูกพัน อย่างมี นัยสำ� คัญทางสถติ ิทรี่ ะดบั .001 โดยมีค่าน้�ำหนกั .230 .220 .189 และ .163 ตามลำ� ดับ ส่วนความสมั พันธก์ ับ ผู้ร่วมงานส่งอิทธิพลต่อความผูกพัน อย่างมีนัยส�ำคัญทางสถิติท่ีระดับ .01 โดยมีค่าน้�ำหนัก .101 สว่ นความสมั พนั ธก์ บั ผบู้ งั คบั บญั ชาและความมอี สิ ระในการทำ� งานสง่ อทิ ธพิ ลตอ่ ความผกู พนั ธอ์ ยา่ งมนี ยั สำ� คญั ทางสถิติทร่ี ะดบั .05 โดยมคี า่ นำ้� หนกั .082 และ .079 ตามล�ำดับ 5. ผลการวเิ คราะหข์ ้อมลู ปจั จยั ทีม่ อี ทิ ธพิ ลตอ่ ประสทิ ธภิ าพในการปฏบิ ตั งิ าน 5.1 ปัจจัยด้านการปฏิบัติงานที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน พบว่า ความท้าทาย ความก้าวหน้า ความยากง่าย และการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ มีความสัมพันธ์เชิงพหุกับประสิทธิภาพ ในการปฏบิ ตั งิ านอยทู่ ี่ .323 อยา่ งมนี ยั สำ� คญั ทางสถิติทรี่ ะดบั .001 ท้ังยังพบวา่ ความกา้ วหน้าสง่ อทิ ธพิ ลต่อ ประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานอย่างมีนัยส�ำคัญทางสถิติที่ระดับ .001 โดยมีค่าน้�ำหนัก .398 ส่วนการมี ส่วนร่วมในการตัดสินใจและความยากง่ายของงานส่งอิทธิพลต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน อย่างมี นัยส�ำคัญทางสถิติท่ีระดับ .01 โดยมีค่าน�้ำหนัก .147 และ .104 ตามล�ำดับ ส่วนความท้าทายของงาน ไม่สง่ อิทธิพลต่อประสิทธิภาพใน การทำ� งานอย่างมนี ัยสำ� คญั ทางสถิตทิ ่ีระดบั .05 5.2 ปจั จัยด้านองค์กรทสี่ ่งผลตอ่ ประสทิ ธภิ าพในการปฏิบตั ิงาน พบว่า เงนิ เดือนและสวัสดิการ ความสัมพันธ์กับผู้ร่วมงาน ความสัมพันธ์กับผู้บังคับบัญชา ความมีอิสระในการท�ำงาน การมีส่วนร่วมใน การบริหารงาน การได้รับการพัฒนาความรู้ความสามารถ และสภาพแวดล้อมองค์กร มีความสัมพันธ์ เชิงพหุกับประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานอยู่ที่ .510 อย่างมีนัยส�ำคัญทางสถิติท่ีระดับ .001 ท้ังยังพบว่า การมสี ว่ นรว่ มใน การบรหิ ารงาน ความสมั พนั ธก์ บั ผรู้ ว่ มงาน เงนิ เดอื นและสวสั ดกิ าร สง่ อทิ ธพิ ลตอ่ ประสทิ ธภิ าพ ปีท่ี 16 ฉบบั ที่ 1 ประจำ�เดือนมกราคม - เมษายน 2563 107
ในการปฏิบัติงานอย่างมีนยั สำ� คัญทางสถติ ทิ ีร่ ะดบั .001 โดยมีค่าน้ำ� หนกั .233 .207 และ .186 ตามล�ำดับ ส่วนความมีอสิ ระในการท�ำงานส่งอทิ ธิพลตอ่ ประสทิ ธภิ าพในการปฏิบัตงิ าน อย่างมีนยั สำ� คญั ทางสถิตทิ ร่ี ะดบั .01 โดยมคี า่ นำ้� หนัก .125 ความสมั พนั ธ์กบั ผูบ้ ังคบั บญั ชาสง่ อทิ ธิพลตอ่ ประสทิ ธภิ าพในการปฏบิ ัติงานอยา่ งมี นัยส�ำคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 โดยมีค่าน้�ำหนัก .100 ส่วนสภาพแวดล้อมองค์กร และการได้รับการพัฒนา ความรคู้ วามสามารถไม่ส่งอทิ ธพิ ลต่อประสิทธภิ าพในการปฏบิ ตั งิ านอย่างมีนยั ส�ำคญั ทางสถติ ิทร่ี ะดบั .05 5.3 ปัจจัยด้านความผูกพันท่ีส่งผลต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน พบว่า ความรู้สึกเป็น ส่วนหน่ึงขององค์กร การยอมรับเป้าหมาย นโยบายการบริหารขององค์กร การทุ่มเทความพยายาม ในการปฏิบัติงานเพื่อองค์กร ความหว่ งใยในอนาคตขององค์กร ความต้องการทีจ่ ะดำ� รงความเปน็ สมาชิกของ องค์กร ความภักดีต่อองค์กร ความเสียสละเพ่ือองค์กร มีความสัมพันธ์เชิงพหุกับประสิทธิภาพ ในการปฏิบัติงานอยู่ท่ี .535 อย่างมีนัยส�ำคัญทางสถิติที่ระดับ .001 ทั้งยังพบว่า การทุ่มเทความพยายาม ในการปฏงิ านเพ่ือองค์กรและความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรส่งอิทธิพลต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน อย่างมนี ยั ส�ำคัญทางสถติ ทิ ีร่ ะดับ .001 โดยมีคา่ น�ำ้ หนัก .282 และ .225 ตามลำ� ดบั สว่ นความเสยี สละเพอื่ องคก์ รสง่ อทิ ธพิ ลตอ่ ประสทิ ธภิ าพในการปฏบิ ตั งิ านอยา่ งมนี ยั สำ� คญั ทางสถติ ทิ รี่ ะดบั .001 โดยคา่ นำ�้ หนกั .132 ส่วนความภักดีต่อองค์กรส่งอิทธิพลต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานอย่างมีนัยส�ำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยมีค่าน้�ำหนัก .103 ส่วนความห่วงใยในอนาคตขององค์กร ความต้องการท่ีจะด�ำรงความเป็นสมาชิกของ องค์กร และการยอมรับเป้าหมาย นโยบายการบริหารงานขององค์กร ไม่ส่งอิทธิพลต่อประสิทธิภาพ ในการปฏบิ ตั งิ าน อยา่ งมีนัยส�ำคัญทางสถิติที่ระดบั .05 6. ผลการวิเคราะห์ข้อคิดเหน็ และข้อเสนอแนะเพอื่ สรา้ งความผูกพนั ตอ่ องคก์ ร พบว่า พนักงานที่ปฏิบัติงานขององค์กรในภาคอุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์และช้ินส่วนมี ขอ้ เสนอแนะโดยรวม 63 ขอ้ เสนอโดยขอ้ เสนอแนะเพอ่ื สรา้ งความผกู พนั ธต์ อ่ องคก์ รมากทส่ี ดุ คอื ใสใ่ จสวสั ดกิ าร ของพนกั งานจ�ำนวน 16 ขอ้ เสนอ รองลงมาคือ การปลกู ฝังวัฒนธรรม ค่านิยม นโยบายและเป้าหมายจำ� นวน 15 ขอ้ เสนอ การจดั ให้มีกิจกรรมสานสมั พันธ์จ�ำนวน 11 ข้อเสนอ ผู้บรหิ ารพบปะพนักงานทุกระดับจ�ำนวน 8 ขอ้ เสนอ การปฏบิ ัติตามหนา้ ท่ขี องตนเองจ�ำนวน 7 ข้อเสนอ มโี ปรแกรมชว่ ยเหลือพนักงาน ยกตวั อยา่ งเช่น คา่ รกั ษาพยาบาล จำ� นวน 2 ขอ้ เสนอ การเสริมสร้างหลกั ธรรมและความสามัคคจี �ำนวน 2 ข้อเสนอ มีการสลบั สบั เปลยี่ นงานจำ� นวน 1 ขอ้ เสนอ จดั อบรมเพอ่ื พฒั นาบคุ ลากรจำ� นวน 1 ขอ้ เสนอ ใหร้ างวลั แกพ่ นกั งานจำ� นวน 1 ขอ้ เสนอ และการจดั กิจกรรมชว่ ยเหลือสงั คมจำ� นวน 1 ขอ้ ตามลำ� ดบั อภิปรายผล ประเดน็ สำ� คญั ทไ่ี ดพ้ บจากผลการวจิ ยั ในเรอื่ งนี้ ผวู้ จิ ยั จะไดน้ ำ� มาอภปิ รายเพอื่ สรปุ เปน็ ขอ้ ยตุ ใิ หท้ ราบ ถงึ ขอ้ เทจ็ จริงโดยมีการนำ� เอกสาร และงานวจิ ยั ทีเ่ ก่ียวข้องมาอา้ งอิงสนบั สนุนหรอื ขดั แยง้ ได้ ดงั น้ี 1. จากการศึกษาข้อมูลด้านการปฏิบัติงานของพนักงานท่ีเป็นกลุ่มตัวอย่างของการวิจัย พบว่า พนักงานมีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก ทั้งนี้อาจเป็นเพราะลักษณะงานมีความก้าวหน้า ความท้าทาย และ ความยากงา่ ยของงานทำ� ใหพ้ นกั งานไดใ้ ชค้ วามรคู้ วามสามารถ และความคดิ รเิ รม่ิ สรา้ งสรรคใ์ นการปฏบิ ตั งิ าน อยตู่ ลอดเวลา ซึ่งขัดแยง้ กับผลงานวจิ ัยของ เบญจวรรณ พชั รพงศพ์ รรณ (2555) ซึ่งศกึ ษาวจิ ยั เรอ่ื งปัจจยั ทีม่ ี 108 บัณฑิตวทิ ยาลัย มหาวทิ ยาลัยสวนดุสิต
ผลต่อความผูกพันองค์กรของพนักงานบริษัทบางกอกเอ็นเตอร์เทนเม้นต์ พบว่า พนักงานบริษัทบางกอก เอ็นเตอร์เทนเม้นต์ จ�ำกัด มีปัจจัยด้านลักษณะงานท่ีปฏิบัติ ทั้ง 5 ด้าน คือ ด้านอิสระในการท�ำงาน ด้านความหลากหลายของงาน ด้านความมีเอกลักษณ์ของงาน ด้านผลป้อนกลับของงาน ด้านงานที่มีโอกาส ปฏิสัมพันธ์กับผู้อ่นื อยใู่ นระดบั มาก 2. จากการศึกษาปัจจัยด้านความผูกพันต่อองค์กรของพนักงานท่ีเป็นกลุ่มตัวอย่างของการวิจัย พบวา่ พนกั งานมคี วามคดิ เหน็ อยใู่ นระดบั มาก เมอ่ื พจิ ารณาเปน็ รายดา้ น พบวา่ พนกั งานมคี วามคดิ เหน็ สงู สดุ ในเรอื่ ง ความต้องการจะดำ� รงเปน็ สมาชกิ ท้ังนอ้ี าจเป็นเพราะพนักงานรกั และผกู พนั ตอ่ องค์กร ซ่งึ ขัดแย้งกับ ผลงานวิจัยของ พรพกิ ุล นชุ ปาน (2551) ซ่งึ ศึกษาวจิ ัยเร่อื งความผกู พันต่อองคก์ ารของพนกั งาน กรณศี ึกษา พนกั งานรายวนั บรษิ ทั ซเี ลซตกิ า (ประเทศไทย) จำ� กดั พบวา่ พนกั งานรายวนั บรษิ ทั ซเี ลซตกิ า (ประเทศไทย) จ�ำกัด มีความผูกพันต่อองค์การในภาพรวมอยู่ในระดับมาก และเม่ือพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า พนักงาน มคี วามผกู พนั ตอ่ องคก์ ารระดบั สงู สดุ ในเรอื่ งเตม็ ใจทจ่ี ะทมุ่ เทในการปรบั ปรงุ การปฏบิ ตั งิ านใหด้ ขี น้ึ อยา่ งตอ่ เนอื่ ง รองลงมาคือ ความตอ้ งการดำ� รงสมาชกิ ภายในองคก์ าร และความเช่ือม่ันอย่างแรงกล้าการยอมรับเป้าหมาย ตามลำ� ดับ 3. จากการศึกษาความแตกต่างของความผูกพันต่อองค์กรของพนักงานบริษัทในภาคอุตสาหกรรม การผลติ ยานยนต์ และชน้ิ สว่ นท่เี ป็นกลุ่มตัวอยา่ งของการวิจยั จำ� แนกตาม เพศ อายุ หน่วยงาน ระดับงาน ระดับการศึกษา รายได้ และระยะเวลาในการปฏิบตั งิ าน อภิปรายผลได้ดงั นี้ 3.1 การศึกษาความแตกต่างของความผูกพันต่อองค์กร จ�ำแนกตามเพศ พบว่า เพศไม่มี ความแตกต่างกัน ต่อความผูกพันต่อองค์กรของพนักงาน ทั้งน้ีอาจเป็นเพราะปัจจุบันเพศชายและเพศหญิง ต่างมีประสิทธิภาพ และความสามารถทัดเทียมกันในการปฏิบัติงาน ซ่ึงสอดคล้องกับผลงานวิจัยของ สุธิษา แก้วประเสรฐิ (2550) ซง่ึ ศึกษาวจิ ยั เร่อื งความผูกพันของพนักงานท่มี ีต่อบริษัท คอมเซเวน่ อนิ เตอรเ์ นชน่ั แนล จำ� กัด พบว่า พนกั งานทีม่ เี พศต่างกัน มีความผูกพันตอ่ องค์กรไมแ่ ตกตา่ งกัน 3.2 การศึกษาความแตกต่างของความผูกพันต่อองค์กร จ�ำแนกตาม อายุ พบว่า อายุมี ความแตกต่างกัน ต่อความผูกพันต่อองค์กรของพนักงาน ท้ังนี้อาจเป็นเพราะพนักงานท่ีมีอายุมาก อาจจะมี ความผกู พนั ตอ่ องคก์ รมากกวา่ พนกั งานทอ่ี ายนุ อ้ ย เนอื่ งจากพนกั งานทอี่ ายยุ งั นอ้ ยมโี อกาสทจ่ี ะสามารถเลอื ก งานไดม้ ากกวา่ ซ่งึ ขัดแย้งกับผลงานวิจัยของ มนัส ธาราวัชรศาสตร์ (2551) เรื่องความผูกพนั ตอ่ องคก์ ารของ พนักงานบริษัท อนิ โนเวกซ์ (ประเทศไทย) จำ� กัด พบวา่ อายไุ มม่ ีผลต่อระดับความผูกพนั ต่อองค์การ 3.3 การศกึ ษาความแตกตา่ งของความผกู พนั ตอ่ องคก์ ร จำ� แนกตาม หนว่ ยงาน พบวา่ หนว่ ยงาน ไมม่ คี วามแตกตา่ งกนั ตอ่ ความผกู พนั ตอ่ องคก์ รของพนกั งาน ทงั้ นอี้ าจเปน็ เพราะพนกั งานทสี่ งั กดั ในหนว่ ยงาน ท่ีต่างกันก็มีความผูกพันต่อองค์กรเหมือนกัน ซึ่งสอดคล้องกับผลงานวิจัยของ กอบสุข อินทโชติ (2554) ซงึ่ ศึกษาวจิ ยั เร่อื งความสมั พนั ธ์ระหว่างคณุ ภาพชีวิตการท�ำงานกบั ความผกู พันองคก์ ารของพนกั งานในบรษิ ัท ผลติ ชิ้นสว่ นอตุ สาหกรรมยานยนตแ์ ห่งหน่ึงในนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร จังหวัดชลบุรี พบวา่ หนว่ ยงานท่ี แตกต่างกันท�ำใหค้ วามผกู พนั ตอ่ องคก์ ารของพนักงานไมแ่ ตกต่างกนั 3.4 การศกึ ษาความแตกตา่ งของความผกู พนั ตอ่ องคก์ ร จำ� แนกตาม ระดบั การศกึ ษา พบวา่ ระดบั การศกึ ษามีความแตกต่างกนั ตอ่ ความผูกพนั ตอ่ องคก์ รของพนกั งาน ทั้งน้อี าจเป็นเพราะในการท�ำงานต้องใช้ ทักษะ ความชำ� นาญมาก ซง่ึ ขดั แย้งกับผลงานวจิ ัยของ พรพกิ ลุ นชุ ปาน (2551) เรือ่ งความผูกพนั ต่อองคก์ าร ปีที่ 16 ฉบบั ท่ี 1 ประจำ�เดอื นมกราคม - เมษายน 2563 109
ของพนักงาน กรณศี ึกษาพนกั งานรายวัน บรษิ ทั ซีเลซติกา (ประเทศไทย) จำ� กัด พบวา่ ระดับการศกึ ษาไม่มี ความสมั พนั ธ์กบั ความผกู พันตอ่ องค์การของพนักงานรายวนั 3.5 การศึกษาความแตกต่างของความผูกพันต่อองค์กร จ�ำแนกตาม รายได้ พบว่า รายได้มี ความแตกตา่ งกนั ตอ่ ความผกู พนั ตอ่ องคก์ รของพนกั งาน ทงั้ นอี้ าจเปน็ เพราะพนกั งานทม่ี รี ะดบั รายไดต้ อ่ เดอื นมาก ท�ำให้มีความสัมพันธ์ต่อความผูกพันองค์กรมากกว่าพนักงานท่ีมีรายได้ต่อเดือนน้อย ซ่ึงสอดคล้องกับผลงาน วิจัยของ วรพจน์ ลิติกรณ์ (2550) ศึกษาวิจัยเร่ืองความผูกพันต่อองค์กรของพนักงาน บริษัท ยานภัณฑ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จ�ำกัด รายได้ต่อเดือนมีความสัมพันธ์ต่อความผูกพันต่อองค์กรของพนักงานบริษัท ยานภัณฑ์ อินเตอร์ เนชน่ั แนลจำ� กัด 3.6 การศึกษาความแตกต่างของความผูกพันต่อองค์กร จ�ำแนกตาม ระยะเวลาการปฏิบัติงาน พบว่าระยะเวลาการปฏบิ ตั ิงาน ไมม่ ีความแตกต่างกนั ต่อความผูกพันตอ่ องค์กรของพนกั งาน ทง้ั น้ี อาจเปน็ เพราะพนกั งาน ทกุ คนรกั และผกู พนั กบั เหมอื นครอบครวั ซง่ึ ขดั แยง้ กบั ผลงานวจิ ยั ของ ปารชิ าต บวั เปง็ (2554) เร่ืองปัจจยั ทีม่ ีผลตอ่ ความผกู พนั ต่อองคก์ รของพนกั งาน บรษิ ัท ไดกน้ิ อินดสั ทรสี ์ ประเทศไทย (จ�ำกัด) พบว่า ระยะเวลาการปฏิบัตงิ านตา่ งกันมีระดับความผูกพนั ต่อองค์กรแตกต่างกัน ข้อเสนอแนะ 1. องคก์ รควรสรา้ งบรรยากาศในการทำ� งาน สรา้ งความรสู้ กึ ทด่ี ดี า้ นจติ ใจ พรอ้ มทง้ั สรา้ งความสมั พนั ธ์ ที่ดีระหว่างบุคคล เพื่อผลักดันให้พนักงานมองว่าองค์กรเปรียบเสมือนครอบครัว ยกตัวอย่างเช่น การให้ ผลตอบแทนเปน็ หนุ้ เพอื่ ทำ� ใหพ้ นกั งานรสู้ กึ วา่ ตนเองเปน็ สว่ นหนงึ่ ขององคก์ ร หรอื การจดั กจิ กรรมนนั ทนาการ เพ่อื สร้างความสมั พันธ์ระหวา่ งแผนกภายในองค์กรและเพือ่ ใหพ้ นกั งานรสู้ กึ ผอ่ นคลาย เป็นต้น 2. องค์กรควรสร้างให้พนักงานโดยเฉพาะในระดับหัวหน้างานและระดับผู้บริหารให้เกิดการปฏิบัติ พฤติกรรมเชิงบวกต่อผู้ใต้บังคับบัญชา โดยหัวหน้างานควรมอบหมายงานในลักษณะท่ีมีความท้าทาย มีความส�ำคัญ เพ่ือดึงดูด จูงใจพนักงาน ให้มีความกระตือรือร้นในการท�ำงาน พร้อมคอยช่วยเหลือสอนงาน สรา้ งการทำ� งานแบบมสี ว่ นรว่ ม และอำ� นวยความสะดวกในการทำ� งาน ตลอดจนการแสดงออกของหวั หนา้ งาน ในการให้ความสำ� คัญ ความยตุ ิธรรม และการชมเชยอย่างเหมาะสม 3. ในการสร้างความผูกพันของพนักงาน เป็นส่ิงท่ีเราต้องสร้างในมุมของจิตใจมากกว่าเรื่องส่ิงของ หรอื ผลตอบแทน ดงั น้นั เรือ่ งของผลตอบแทนและรางวลั จากผลงานต่าง ๆ จึงเป็นปัจจัยรอง ๆ ลงไป แตก่ ย็ ัง ขาดไมไ่ ด้เช่นกนั 4. การบรหิ ารจัดการในการสรา้ งความท้าทายในการท�ำงาน ควรสรา้ งโอกาสของการหมนุ เวยี นงาน ใหม้ ากขนึ้ เพอ่ื ใหพ้ นกั งานเกดิ การเรยี นรทู้ หี่ ลากหลาย ลดปญั หาความนา่ เบอ่ื ของงาน กระตนุ้ ความทา้ ทายใน งานใหเ้ กิดข้นึ 110 บัณฑติ วทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั สวนดุสติ
เอกสารอา้ งอิง กรมส่งเสรมิ การค้าระหวา่ งประเทศ กระทรวงพาณชิ ย์. (2559). สินค้าออกสำ� คัญ 10 อนั ดบั แรก. [Online]. Available: http://www2.ops3.moc.go.th/. [2560, พฤษภาคม 17]. กองบริหารข้อมูลตลาดแรงงาน กรมการจัดหางาน. (2559). สถานการณ์การว่างงาน การเลิกจ้าง และ ความตอ้ งการแรงงาน. [Online]. Available: https://www.msociety.go.th/ewtadmin/ewt/ mso_web/article_attach/16737/19469.pdf. [2560, พฤษภาคม 16]. กอบสุข อินทโชติ. (2554). ความสัมพันธ์ระหว่างคุณภาพชีวิตการท�ำงานกับความผูกพันองค์การของ พนักงานในบริษัทผลิตช้ินส่วนอุตสาหกรรมยานยนต์แห่งหน่ึงในนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร จงั หวดั ชลบรุ .ี วทิ ยานพิ นธก์ ารจดั การมหาบณั ฑติ คณะการจดั การและการทอ่ งเทยี่ ว มหาวทิ ยาลยั บูรพา. เบญจวรรณ พัชรพงศ์พรรณ. (2555). ปัจจัยที่มีผลต่อความผูกพันองค์กรของพนักงาน บริษัท บางกอก เอ็นเตอร์เทนเม้นต์ จำ� กดั , 14 (1): 1-6. ธานนิ ทร์ ศลิ ปจ์ ารุ. (2558). การวิจัยและวิเคราะหข์ อ้ มูลทางสถิติด้วย SPSS และ Amos (พมิ พค์ รั้งที่ 13). กรงุ เทพฯ: วี.อินเตอร์ พริน้ ท.์ ปาริชาต บัวเป็ง. (2554). ปัจจัยที่มีผลต่อความผูกพันต่อองค์กรของพนักงาน บริษัท ไดกิ้น อินดัสทรีส์ ประเทศไทย (จ�ำกัด). การค้นคว้าอิสระปริญญาบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต วิชาเอกธุรกิจระหว่าง ประเทศ คณะบรหิ ารธรุ กิจ บณั ฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธญั บรุ ี. พรพิกุล นุชปาน. (2551). ความผูกพันต่อองค์การของพนักงาน กรณีศึกษาพนักงานรายวัน บริษัท ซเี ลซติกา (ประเทศไทย) จ�ำกัด. ปญั หาพเิ ศษรัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑติ คณะรัฐศาสตร์และ นิตศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยบรู พา. มนสั ธาราวชั รศาสตร.์ (2551). ความผกู พนั ตอ่ องคก์ ารของพนกั งานบรษิ ทั อนิ โนเวกซ์ (ประเทศไทย) จำ� กดั . การคน้ คว้าอิสระปริญญาบรหิ ารธรุ กจิ มหาบัณฑิต คณะบริหารธุกิจ บณั ฑติ วิทยาลยั มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม.่ วรพจน์ ลติ ิกรณ์. (2550). ความผูกพันต่อองค์กรของพนักงาน บรษิ ัท ยานภัณฑ์ อินเตอร์เนชน่ั แนล จำ� กดั รายไดต้ อ่ เดอื นมคี วามสมั พนั ธต์ อ่ ความผกู พนั ตอ่ องคก์ รของพนกั งานบรษิ ทั ยานภณั ฑ์ อนิ เตอร์ เนชั่นแนล จ�ำกัด. ปัญหาพิเศษรัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต คณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยบรู พา. ส�ำนักงานสถิติแห่งชาติ. (2559). จ�ำนวนแรงงานผู้มีงานท�ำ. [Online]. Available: https://www. m-society.go.th/article_attach/16646/19404.pdf. [2560, พฤษภาคม 18]. สุธษิ า แกว้ ประเสรฐิ . (2550). ความผกู พันของพนกั งานที่มีต่อบริษัท คอมเซเว่น อนิ เตอร์เนช่ันแนล จำ� กดั . ปัญหาพเิ ศษรัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต คณะรฐั ศาสตร์และนิตศิ าสตร์ มหาวิทยาลยั บูรพา. โสภา ทรพั ยม์ ากอดุ ม. (2553). ความยดึ มนั่ ผกู พนั ตอ่ องคก์ าร: ศกึ ษากรณกี ารไฟฟา้ ฝา่ ยผลติ แหง่ ประเทศไทย. สารนิพนธ์รัฐศาสตรมหาบัณฑติ คณะรัฐศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์. ปีท่ี 16 ฉบบั ท่ี 1 ประจำ�เดือนมกราคม - เมษายน 2563 111
Allen, N. J. and Meyer, J. P. (1990). The Measurement and Antecedents of Affective, Continuance, and Normative Commitment to the Organization. Journal of Occupational Psychology, 63: 1-8. Buchanan, B. (1974). Building Organization Commitment: The Socialization of Managers in Work Organization. Administrative Science Quarterly, 19 (4): 535-546. Marsh, R. M. and Mannari, H. (1977, March). Organizational Commitment and Turnover: a Prediction Study. Administrative Science Quarterly, 22 (1): 57-75. Sheldon, Mary E. (1971). Investment and Involvements as Mechanisms Producing Commitment to the Organization. Administrative Science Quarterly, 16. Steers, R. M. (1977). Antecedents and Outcomes of Organizational Commitment. Administrative Science Quarterly: 22. คณะผ้เู ขยี น นางสาวหนง่ึ กรงทอง คณะบริหารธุรกจิ มหาวิทยาลยั เทคโนโลยพี ระจอมเกล้าพระนครเหนือ เลขที่ 1518 ถนนประชาราษฎร์ 1 แขวงวงศ์สวา่ ง เขตบางซื่อ กรงุ เทพมหานคร 10800 e-mail: [email protected] นางสาวเอมอร ตระกลู สมั พันธ์ คณะบริหารธรุ กิจ มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยพี ระจอมเกลา้ พระนครเหนือ เลขที่ 1518 ถนนประชาราษฎร์ 1 แขวงวงศ์สว่าง เขตบางซอ่ื กรงุ เทพมหานคร 10800 e-mail: [email protected] ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร. พรทิพย์ ชุม่ เมอื งปัก คณะบรหิ ารธรุ กิจ มหาวิทยาลยั เทคโนโลยพี ระจอมเกล้าพระนครเหนอื เลขท่ี 1518 ถนนประชาราษฎร์ 1 แขวงวงศส์ วา่ ง เขตบางซ่ือ กรุงเทพมหานคร 10800 e-mail: [email protected] 112 บณั ฑติ วิทยาลยั มหาวทิ ยาลยั สวนดสุ ิต
การพฒั นาชุดกิจกรรมการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ข้นั วิชาชีววิทยา เร่ืองโครงสรา้ งและหน้าทข่ี องพืชดอกสำ� หรับนกั เรยี นชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ี่ 5 The Development of Learning Activity Packages Based on 7E Inquiry Process in Biology on Structures and Functions of Plants for Mathayom Suksa V Students ศิริพร วามะลุน* และสุพรรนี อะโอกิ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภัฏอุบลราชธานี Siriporn Wamalun* and Supannee Aoki Faculty of Science, Ubon Ratchathani Rajabhat University Received: August 6, 2019 Revised: September 11, 2019 Accepted: October 1, 2019 บทคดั ย่อ การวจิ ยั นม้ี วี ตั ถปุ ระสงคเ์ พอื่ 1) พฒั นาชดุ กจิ กรรมการเรยี นรแู้ บบสบื เสาะหาความรู้ 7 ขนั้ วชิ าชวี วทิ ยา เร่ืองโครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอกส�ำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 5 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ มาตรฐาน 80/80 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 5 ก่อนเรียนและ หลงั เรยี นโดยใชช้ ดุ กจิ กรรม 3) หาคา่ ดชั นปี ระสทิ ธผิ ลของชดุ กจิ กรรมการเรยี นรู้ แบบสบื เสาะหาความรู้ 7 ขนั้ ตัวอยา่ งที่ใช้ในการวจิ ยั เปน็ นักเรียนช้นั มธั ยมศึกษาปีที่ 5 ท่ีศึกษาในภาคเรยี นท่ี 2 ปีการศกึ ษา 2558 โรงเรยี น คำ� เขอ่ื นแกว้ ชนปู ถัมภ์ จังหวัดยโสธร สงั กัดสำ� นักงานเขตพ้นื ทก่ี ารศึกษามัธยมศกึ ษาเขต 28 จำ� นวน 40 คน ซึ่งได้จากการสุ่มแบบเจาะจง เครื่องมือท่ีใช้ในการวิจัยคร้ังน้ี คือ 1) ชุดกิจกรรมการเรียนรู้แบบสืบเสาะหา ความรู้ 7 ขนั้ วชิ าชวี วทิ ยาเรอื่ งโครงสรา้ งและหนา้ ทขี่ องพชื ดอกสำ� หรบั นกั เรยี นชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5 จำ� นวน 7 ชดุ 2) แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นจำ� นวน 40 ขอ้ มคี า่ ความยากตงั้ แต่ .47-.73 คา่ อำ� นาจจำ� แนกตง้ั แต่ .25-.45 และค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบทั้งฉบับเท่ากับ .97 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉล่ีย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่า t ผลการวิจัยพบว่า 1) ชุดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ สืบเสาะหาความรู้ 7 ขั้น มีประสิทธิภาพเท่ากับ 83.55/85.75 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ท่ีตั้งไว้ 80/80 2) นักเรียน ท่ีเรียนด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้ มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยส�ำคัญทาง สถิติที่ระดับ .01 3) ค่าดัชนีประสทิ ธิผลของชุดกจิ กรรมการเรยี นรู้ มคี ่าเท่ากับ .8409 ค�ำสำ� คญั : ชุดกจิ กรรมการเรยี นรู้ การสบื เสาะหาความรู้ 7 ข้นั นกั เรยี นช้นั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 5 * ศิริพร วามะลนุ (Corresponding Author) ปที ี่ 16 ฉบบั ที่ 1 ประจำ�เดอื นมกราคม - เมษายน 2563 113 e-mail: [email protected]
Abstract The purposes of this research were to 1) develop learning activity packages based on learning cycle model of 7E inquiry process in biology on structures and functions of plant for Mathayom Suksa V students to achieve the standardized criteria of 80/80 2) compare the students, achievement before and after using the learning activity packages and 3) study the effectiveness index of the learning activity packages based on learning cycle model of 7E inquiry process. The samples used in this study consisted of 40 Mathayom Suksa V Students in the second semester of academic year 2015 of Chumkeankawchanupatham School, Yasothon province which is under the Secondary Educational Area Office 28. The samples were recruited by using purposive sampling. The research tools included 1) seven learning activity packages based on 7E inquiry process in biology on structures and functions of plant and 2) the learning achievement assessment consisting of 40 items with multiple-choices items on pre-test and post-test. The difficulty indices of the test ranged from .47-.73, the discrimination indices ranged from .25-.45, and the reliability value was .97. The data were analyzed by using mean, standard deviation, and t-test. The research findings were as follows: 1) the efficiency of the developed learning activity packages was 83.55/85.75, which exceeded the criteria of 80/80 2) the students, achievement after using the developed learning activity packages was higher than that before using the packages at the statistical significance level of .01 and 3) the effectiveness index of the developed learning activity packages was .8409. Keyword: Learning Activity Packages, 7E Inquiry Process, Mathayom Suksa V Students บทน�ำ การศกึ ษาทางดา้ นวทิ ยาศาสตรม์ บี ทบาทสำ� คญั ยงิ่ ในสงั คมโลก มคี วามสำ� คญั ตอ่ ชวี ติ ของมนษุ ยท์ ง้ั ใน การด�ำรงชีวิตประจ�ำวันและอาชีพ เครื่องมือเครื่องใช้ตลอดจนผลผลิตต่าง ๆ ที่ใช้เพ่ืออ�ำนวยความสะดวก ล้วนเป็นผลจากความรวู้ ิทยาศาสตร์ผสมผสานกับความคดิ สรา้ งสรรคแ์ ละศาสตรอ์ ื่น วทิ ยาศาสตร์เป็นศาสตร์ ทส่ี มั พนั ธก์ บั ศาสตรอ์ น่ื ๆ ประกอบดว้ ยเนอ้ื หาสาระ และกระบวนการทม่ี นษุ ยใ์ ชศ้ กึ ษาปรากฏการณใ์ นธรรมชาติ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ สามารถตรวจสอบความรู้อย่างเป็นระบบ โดยใช้ข้อมูลท่ีหลากหลายและ ตรวจสอบได้ วทิ ยาศาสตร์เปน็ วัฒนธรรมของโลกสมัยใหมซ่ ึ่งเป็นสงั คมแหง่ การเรียนรู้ (Knowledge Based Society) ดงั นนั้ ทกุ คนจงึ จำ� เปน็ ตอ้ งไดร้ บั การพฒั นาใหร้ วู้ ทิ ยาศาสตร์ เพอ่ื ทจี่ ะมคี วามรคู้ วามเขา้ ใจในธรรมชาติ และเทคโนโลยีทีม่ นษุ ยส์ ร้างสรรคข์ น้ึ สามารถนำ� ความรู้ไปใช้ได้อยา่ งมเี หตผุ ล และมีคณุ ธรรม (ส�ำนกั วชิ าการ และมาตรฐานการศึกษา, 2551: 1) การพัฒนาคุณภาพของคนจึงเป็นสิ่งส�ำคัญท่ีสุด การปฏิรูปการศึกษาส่งผลให้คนไทยมีคุณลักษณะ 114 บัณฑติ วิทยาลัย มหาวทิ ยาลยั สวนดุสติ
อนั พงึ ประสงค์ คอื การเป็นนักสืบเสาะแสวงหาความรู้ดว้ ยความสนใจใฝ่รู้ และพัฒนาตนเองไดอ้ ยา่ งตอ่ เนอ่ื ง ดงั นั้นเปา้ หมายของการศึกษาจึงเน้นทกั ษะการคดิ เพื่อสรา้ งความรู้ ค้นหาความรจู้ ากแหล่งตา่ ง ๆ มีความคดิ อย่างมีวิจารณญาณในการเลือก การตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ อย่างถูกต้อง และเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม มีค่านิยมท่ีดีต่อสังคม พัฒนาให้ประชาชนคนไทยเป็นผู้มีความรอบรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (พมิ พพ์ นั ธ์ เดชะคปุ ต,์ 2550: 1) การจัดการศกึ ษามงุ่ เน้นความสำ� คัญท้ังด้านความรู้ ความคิด ความสามารถ คณุ ธรรม กระบวนการเรยี นรแู้ ละความรับผดิ ชอบต่อสังคม เพื่อพัฒนาคนใหม้ ีความสมดลุ โดยยดึ หลกั ผูเ้ รียน มีความส�ำคัญท่ีสุด ครูผู้สอนและผู้จัดการศึกษาจะต้องเปลี่ยนบทบาทจากการเป็นผู้น�ำ ผู้ถ่ายทอดความรู้ (กระทรวงศกึ ษาธิการ, 2544: 21) ซง่ึ ใช้กระบวนการสบื เสาะ เปิดโอกาสใหผ้ เู้ รียนได้เรยี นร้จู ากประสบการณ์ จริง ก�ำหนดสถานการณ์จ�ำลองเพื่อฝึกปฏิบัติให้ท�ำเป็น คิดเป็น โดยมีครูเป็นเพียงที่ปรึกษาให้ค�ำแนะน�ำ (กระทรวงศกึ ษาธิการ, 2545: 1-3) การศกึ ษาวทิ ยาศาสตรใ์ นระบบโรงเรยี นระดบั มธั ยมศกึ ษากำ� หนดใหใ้ ชห้ ลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษา ขน้ั พน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 ไดก้ ลา่ วถงึ ความสำ� คญั ของการเรยี นวทิ ยาศาสตรไ์ วว้ า่ เปน็ หลกั สตู รในการพฒั นา คุณภาพผู้เรียน และกระบวนการน�ำหลักสูตรไปสู่การปฏิบัติในระดับเขตพื้นท่ีการศึกษา และสถานศึกษา โดยได้มีการก�ำหนดวิสัยทัศน์ จุดหมาย สมรรถนะส�ำคัญของผู้เรียน คุณลักษณะอันพึงประสงค์ มาตรฐาน การเรียนรู้ และตัวชี้วัดที่ชัดเจน เพื่อให้เป็นทิศทางในการจัดท�ำหลักสูตรการเรียนการสอนในแต่ละระดับ นอกจากนั้นได้ก�ำหนดโครงสร้าง เวลาเรียนพื้นฐานของแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้ มาตรฐานการเรียนรู้และ ตัวชี้วัดที่ก�ำหนดไว้ ช่วยท�ำให้เห็นผลคาดหวังท่ีต้องการในการพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนท่ีชัดเจน ซึ่งจะ สามารถช่วยให้หน่วยงานท่ีเกี่ยวข้องในระดับท้องถิ่นและสถานศึกษาวางแผน ก�ำหนดแนวปฏิบัติการสอนให้ เปน็ ไปอยา่ งมปี ระสทิ ธผิ ล อกี ทง้ั ใหเ้ กดิ ความชดั เจนในเรอ่ื งการวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรู้ และชว่ ยแกป้ ญั หา การเทียบโอนระหว่างสถานศึกษา เป็นการส่งเสริมสนับสนุนเพื่อพัฒนาเยาวชนของชาติไปสู่คุณภาพตาม มาตรฐานการเรยี นรทู้ กี่ ำ� หนดไว้ (กระทรวงศกึ ษาธิการ, 2551: 2-3) การศกึ ษาวชิ าชวี วทิ ยาเปน็ วทิ ยาศาสตร์สาขาหนง่ึ ท่ศี ึกษาเกยี่ วกบั สิ่งมชี ีวติ ไมว่ า่ จะเป็นจุลนิ ทรยี ์ พืช หรือสัตว์ ซ่ึงมเี นื้อหาสาระมาก การจดั การเรยี นการสอนของครูส่วนใหญจ่ ึงเปน็ แบบบรรยาย ทำ� ใหผ้ เู้ รียนได้ รับความรู้จากครูผู้สอน และจากหนังสือเรียนในห้องเรียนเท่าน้ัน และเม่ือพิจารณาผลจากการทดสอบทาง การศกึ ษาระดบั ชาตขิ น้ั พน้ื ฐาน (O-NET) ในวชิ าวทิ ยาศาสตร์ สาระท่ี 1 สงิ่ มชี วี ติ กบั กระบวนการดำ� รงชวี ติ มาตรฐาน ว1.1 ปกี ารศกึ ษา 2557-2558 ของนกั เรยี นชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 6 โรงเรยี นคำ� เขอ่ื นแกว้ ชนปู ถมั ภ์ จงั หวดั ยโสธร เป็นโรงเรยี นขนาดใหญ่ โดยมคี ะแนนเฉลี่ยเทา่ กับ 42.77 และ 30.96 ตามลำ� ดบั ซงึ่ มคี ะแนนเฉลยี่ ลดลงและ ต่�ำกว่าในระดบั ประเทศ ท้ังนีอ้ าจมีสาเหตุมาจากหลาย ๆ ส่วน อาทิเช่น ความพรอ้ มของครู ผ้เู รียน เครอื่ งมอื รปู แบบหรอื วิธีการสอน อปุ กรณ์วิทยาศาสตร์ อาคารสถานที่ และแหล่งเรียนร้ทู ี่เหมาะสม จากสภาพดังกลา่ ว สง่ิ ทน่ี ำ� มาปรบั แกไ้ ขไดเ้ ปน็ อนั ดบั ตน้ ๆ คอื การเปลยี่ นแปลงพฤตกิ รรมการสอนของครแู ละพฤตกิ รรมการเรยี น รู้ของผู้เรียน กล่าวคือ ลดบทบาทของครูผู้สอนจากการเป็นผู้บอกเล่า บรรยาย สาธิต เป็นการวางแผนจัด กิจกรรมให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ กิจกรรมต่าง ๆ จะต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนมีบทบาทในการเรียนรู้ ต้ังแต่เริ่ม กิจกรรมการเรียนน้ัน เน้นการพัฒนากระบวนการคิด วางแผนลงมือปฏิบัติ ศึกษา ค้นคว้า วิเคราะห์ข้อมูล การแกป้ ญั หาการมปี ฏสิ มั พนั ธซ์ ง่ึ กนั และกนั กจิ กรรมการเรยี นรตู้ อ้ งพฒั นาผเู้ รยี น ใหเ้ จรญิ ทง้ั รา่ งกาย อารมณ์ สงั คมและสตปิ ญั ญา (กระทรวงศกึ ษาธกิ าร, 2545: 142) กระบวนการเรยี นรทู้ จี่ ะชว่ ยสง่ เสรมิ ใหผ้ เู้ รยี นไดพ้ ฒั นา ปีที่ 16 ฉบบั ที่ 1 ประจำ�เดือนมกราคม - เมษายน 2563 115
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน มีทักษะวิทยาศาสตร์ และมีเจตคติทางวิทยาศาสตร์ สถาบันส่งเสริมการสอน วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยไี ดส้ ง่ เสรมิ ใหจ้ ดั การเรยี นการสอนโดยใชก้ ระบวนการสบื เสาะหาความรู้ การสบื เสาะ หาความร้เู ปน็ รปู แบบการเรยี นการสอนท่ีใชต้ ามทฤษฎีการสร้างความรู้ (Constructivism) เปน็ กระบวนการ ทผี่ เู้ รยี นจะตอ้ งสืบค้น เสาะหา สำ� รวจตรวจสอบ และคน้ ควา้ ดว้ ยวธิ กี ารตา่ ง ๆ จนทำ� ใหต้ นเองเกดิ ความเขา้ ใจ และเกดิ การรบั รคู้ วามรนู้ นั้ อยา่ งมคี วามหมาย จงึ จะสามารถสรา้ งเปน็ องคค์ วามรขู้ องตนเอง และเกบ็ เปน็ ขอ้ มลู ไวใ้ นสมองได้อย่างยาวนาน สามารถน�ำมาใช้ไดเ้ มอื่ มสี ถานการณ์ใด ๆ มาเผชิญหนา้ (สาขาชีววิทยา สถาบนั ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, 2550) กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ 7 ขั้น เปน็ การสอนทเ่ี น้นการถ่ายโอนการเรยี นรู้ และใหค้ วามสำ� คญั เก่ียวกับการตรวจสอบความรู้เดิมของผู้เรียน ซ่ึงเป็นส่ิงท่ีผู้สอนไม่ควรละเลยหรือละทิ้ง จากการตรวจสอบ พนื้ ความรเู้ ดมิ ของผเู้ รยี นจะทำ� ใหผ้ สู้ อนไดเ้ หน็ วา่ ผเู้ รยี นจะตอ้ งเรยี นรอู้ ะไรกอ่ นทจี่ ะเรยี นในเนอื้ หานน้ั ๆ ทำ� ให้ ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างมีความหมายและไม่เกิดแนวคิดที่ผิดพลาด นอกจากนี้ยังเน้นให้ผู้เรียนสามารถน�ำ ความรทู้ ไ่ี ดร้ บั ไปประยกุ ตใ์ ชใ้ หเ้ กดิ ประโยชนใ์ นชวี ติ ประจำ� วนั ได้ การสอนโดยใชก้ ระบวนการสบื เสาะหาความรู้ 7 ขน้ั มขี ้นั ตอน ดังน้ี 1) ขั้นตรวจสอบความรูเ้ ดิม (Elicitation Phase) เป็นการกระตุน้ ใหผ้ ู้เรยี นมีความสนใจ ตน่ื เตน้ กบั การเรยี นและสามารถสรา้ งความรไู้ ดอ้ ยา่ งมคี วามหมาย 2) ขน้ั เรา้ ความสนใจ (Engagement Phase) เปน็ การนำ� เขา้ สบู่ ทเรยี นดว้ ยการซกั ถามปญั หา การทบทวนความรเู้ ดมิ 3) ขนั้ สำ� รวจและคน้ หา (Exploration Phase) เป็นการเปดิ โอกาสให้ผเู้ รยี นไดใ้ ชแ้ นวความคดิ ทม่ี ีอยกู่ ่อนแล้วนำ� มาจดั ความสัมพันธ์กบั หัวขอ้ ท่กี �ำลงั จะเรียนให้เข้าเป็นหมวดหมู่ มีการวางแผนก�ำหนดแนวทางการส�ำรวจตรวจสอบ ต้ังสมมติฐาน ก�ำหนดทาง เลือกท่ีเป็นไปได้ ลงมอื ปฏบิ ตั ิเพอ่ื เกบ็ รวบรวมข้อมูล ข้อสนเทศ หรือปรากฏการณต์ า่ ง ๆ จะดำ� เนินไปด้วยตัว ของผู้เรยี นเอง โดยมคี รเู ป็นเพียงผูค้ อยให้คำ� แนะน�ำ หรือผู้เรม่ิ ต้นในกรณีที่ผ้เู รียนไม่สามารถหาจดุ เรม่ิ ตน้ ของ กิจกรรม หรอื กระบวนการได้ 4) ขั้นอธิบาย (Explanation Phase) เป็นการนำ� ขอ้ มูลมาวเิ คราะห์ แปลผล สรุปผล และน�ำเสนอผลที่ได้ในรูปแบบต่าง ๆ 5) ข้ันขยายความคดิ (Elaboration Phase) เป็นการน�ำความรู้ ทสี่ ร้างขน้ึ ไปเช่อื มโยงกบั ความรู้เดิมหรอื แนวคดิ ที่ไดค้ น้ คว้าเพ่มิ เติม หรือขอ้ สรปุ ที่ไดไ้ ปใช้ในสถานการณห์ รอื เหตุการณอ์ ืน่ ๆ 6) ข้นั ประเมนิ ผล (Evaluation Phase) เปน็ การประเมนิ การเรยี นรู้ด้วยกระบวนการตา่ ง ๆ รวมถงึ การประเมนิ ผลของครตู ่อการเรียนรขู้ องผู้เรยี นด้วย 7) ขน้ั น�ำความรู้ไปใช้ (Extension Phase) ผู้เรียน สามารถนำ� ความรทู้ ไี่ ดไ้ ปประยกุ ตใ์ ชใ้ นชวี ติ ประจำ� วนั (Eisenkraft, 2003: 57-59) และจากการศกึ ษางานวจิ ยั ท่ีเก่ียวกับการจัดการเรียนการสอนโดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ 7 ข้ัน พบว่า ผู้เรียนท่ีเรียนด้วย ชดุ กิจกรรมการเรียนรู้แบบวฏั จกั รการเรยี นรู้ 7 ขนั้ มีผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียนหลังเรยี นสงู กวา่ นักเรียนท่เี รียน ดว้ ยวธิ ีปกติ อยา่ งมีนยั ส�ำคัญทางสถติ ทิ ่รี ะดับ .01 และมคี วามสามารถด้านการคิดวิเคราะห์หลงั เรยี นสูงกวา่ นักเรยี นทีเ่ รยี นดว้ ยวิธีปกติ อยา่ งมีนัยส�ำคญั ทางสถติ ทิ ร่ี ะดับ .01 (เรณุกานต์ โชตกิ นกกุล, 2558: 97) นอกจากนนั้ สอ่ื ประกอบการเรยี นรกู้ เ็ ปน็ เครอื่ งมอื สำ� คญั ทช่ี ว่ ยใหก้ ารจดั การเรยี นรนู้ า่ สนใจไมน่ า่ เบอ่ื ชดุ กจิ กรรมหรอื ชดุ การสอนเปน็ อกี ทางเลอื กหนงึ่ ทน่ี า่ สนใจนำ� มาใชใ้ นการเรยี นการสอนวทิ ยาศาสตร์ แนวทาง การจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์โดยใช้ชุดกิจกรรมเป็นการรวบรวมส่ือการสอนอย่างสมบูรณ์แบบตาม แผนทว่ี างไว้ เพอ่ื ใหบ้ รรลจุ ดุ มงุ่ หมายของการสอน ชดุ กจิ กรรมเปน็ สอื่ ประสมสำ� เรจ็ รปู เพอื่ ใหค้ รใู ชใ้ นการสอน มีอุปกรณ์ท่ีใช้ในการเรียน คู่มือครู เนื้อหา แบบทดสอบ และมีการก�ำหนดจุดมุ่งหมายของการเรียนไว้อย่าง เหมาะสม ช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียนมีพัฒนาการในการเรียนท่ีดีได้ นอกจากน้ีชุดกิจกรรมยังสามารถจัดกิจกรรม 116 บณั ฑิตวทิ ยาลยั มหาวิทยาลัยสวนดสุ ิต
การเรียนรู้โดยผสมผสานหลายรูปแบบการสอน เช่น การใช้ทักษะกระบวนการการแก้ปัญหา การสอนแบบ ร่วมรู้สืบเสาะ เป็นต้น โดยเน้นให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติการเรียนรู้ด้วยตนเองท�ำให้มีโอกาสได้แสดงความคิด เหน็ จากประสบการณ์ของแตล่ ะคนอยา่ งกวา้ งขวาง (ภพ เลาหไพบูลย,์ 2542: 225) จากผลงานวจิ ยั การพัฒนาการเรียนการสอนโดยใช้ชดุ กิจกรรมการเรยี นรู้ วารณุ ี อินทรบ�ำรุง (2554: 54) ได้พฒั นาการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ เรอื่ งสารชีวโมเลกลุ ระดับชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5 โดยใชก้ ระบวนการ สืบเสาะหาความรู้ 7 ขั้น ผลการวิจัยพบว่า แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ขั้น มีประสิทธิภาพเท่ากับ 84.48/86.20 สูงกว่าเกณฑ์ 80/80 ท่ีตั้งไว้ และนักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยส�ำคัญทางสถิติท่ีระดับ .01 ศิริพร ฤทธ์ิมาก (2557: 75-76) ได้พัฒนา ชดุ กิจกรรมการเรียนรู้ตามวัฏจักรการเรียนรู้ 7E เรื่องแรงและกฎการเคลอื่ นที่สำ� หรบั นกั เรียนช้นั มธั ยมศกึ ษา ปที ่ี 4 ผลการวจิ ยั พบวา่ ชดุ กจิ กรรมการเรยี นรตู้ ามวฏั จกั รการเรยี นรู้ 7E มปี ระสทิ ธภิ าพ 77.20/75.10 สงู กวา่ เกณฑ์ 75/75 ท่ีต้ังไว้ และนักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยส�ำคัญทาง สถติ ิทรี่ ะดบั .01 จากเหตุผลและความส�ำคัญดังกล่าวข้างต้น ผู้วิจัยจึงสนใจศึกษาสร้างชุดกิจกรรมการเรียนรู้ วิชา ชวี วทิ ยาเรอ่ื งโครงสรา้ งและหนา้ ทข่ี องพชื ดอกสำ� หรบั นกั เรยี นชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5 โดยใชก้ ระบวนการสบื เสาะ หาความรู้ 7 ขน้ั ตามหลกั สตู รการศกึ ษาขนั้ พนื้ ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 เพอ่ื นำ� มาใชเ้ ปน็ สอ่ื ประกอบการจดั การเรยี น และเปรียบเทียบผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนของผูเ้ รยี นกอ่ นเรียนและหลงั เรยี นดว้ ยชุดกิจกรรมการเรยี นรู้ วัตถุประสงค ์ 1. พฒั นาชดุ กจิ กรรมการเรยี นรแู้ บบสบื เสาะหาความรู้ 7 ขน้ั วชิ าชวี วทิ ยา เรอ่ื งโครงสรา้ งและหนา้ ที่ ของพืชดอก สำ� หรับนกั เรยี นชั้นมธั ยมศึกษาปีท่ี 5 ใหม้ ีประสทิ ธภิ าพตามเกณฑม์ าตรฐาน 80/80 2. เปรยี บเทยี บผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นของนกั เรยี นกอ่ นเรยี นและหลงั เรยี นดว้ ยชดุ กจิ กรรมการเรยี นรู้ วชิ าชีววิทยา เรอ่ื งโครงสรา้ งและหนา้ ทีข่ องพืชดอกส�ำหรับนักเรียนชัน้ มธั ยมศึกษาปที ี่ 5 3. เพือ่ ศึกษาดัชนปี ระสิทธผิ ลของชุดกจิ กรรมการเรียนรแู้ บบสบื เสาะหาความรู้ 7 ข้ัน วชิ าชีววทิ ยา เร่อื งโครงสร้างและหน้าท่ขี องพืชดอกส�ำหรบั นักเรียนช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5 แนวคิดทฤษฎีทเ่ี กย่ี วข้อง Eisenkraft (2003: 56-59) ไดเ้ สนอรูปแบบการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความร้จู าก 5 ขัน้ เป็น 7 ขัน้ โดยมีเป้าหมายเพ่ือกระตุ้นใหเด็กได้มีความสนใจและสนุกกับการเรียน และยังสามารถปรับประยุกต์สิ่งท่ีได้ เรยี นรไู้ ปสู่การสร้างประสบการณข์ องตนเอง การสอนตามแบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ข้ัน เปน็ การสอนที่เน้น การถายโอนการเรียนรู้ และให้ความสําคัญเกี่ยวกับการตรวจสอบความรู้เดิมของเด็ก ซ่ึงเป็นส่ิงที่ครูละเลย ไมไ่ ดแ้ ละการตรวจสอบความรพู้ นื้ ฐานเดมิ ของเดก็ จะทำ� ใหค้ รคู น้ พบวา่ นกั เรยี นตอ้ งเรยี นรอู้ ะไรกอ่ น กอ่ นทจี่ ะ เรียนรู้ในเน้ือหาบทเรียนนั้น ๆ ซ่ึงจะช่วยให้เด็กเกิดการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ ข้ันของการเรียนรู้ตาม แนวคดิ ของ Eisenkraft ดังนี้ 1. ข้นั ตรวจสอบความรู้เดิม (Elicitation Phase) ครจู ะตอ้ งท�ำหน้าทใี่ นการตงั้ คำ� ถามเพือ่ กระตนุ้ ให้ ปที ี่ 16 ฉบบั ท่ี 1 ประจำ�เดอื นมกราคม - เมษายน 2563 117
เดก็ ไดแ้ สดงความรเู้ ดมิ คำ� ถามอาจจะเปน็ ประเดน็ ปญั หาทเี่ กดิ ขนึ้ ตามสภาพสงั คมทอ้ งถน่ิ หรอื ประเดน็ ขอ้ คน้ พบ ทางวิทยาศาสตร์ การนําวิทยาศาสตร์มาใช้ในชีวิตประจ�ำวันและเด็กสามารถเช่ือมโยงการเรียนรู้ไปยัง ประสบการณท์ ต่ี นมี ทำ� ใหค้ รไู ดท้ ราบวา่ เดก็ แตล่ ะคนมคี วามรพู้ นื้ ฐานเปน อยา่ งไร ครคู วรเตมิ เตม็ สว่ นใดใหก้ บั นกั เรยี น และครยู งั สามารถวางแผนการจดั การเรยี นรไู้ ดอ้ ยา่ งเหมาะสม สอดคลอ้ งกบั ความตอ้ งการของนกั เรยี น 2. ขน้ั เรา้ ความสนใจ (Engagement Phase) เปน็ การนำ� เขา้ สเู่ นอื้ หาในบทเรยี นหรอื เรอ่ื งทนี่ า่ สนใจ ซง่ึ อาจเกดิ จากความสนใจของนกั เรยี น หรอื เกดิ จากการอภปิ รายภายในกลมุ่ เรอื่ งทน่ี า่ สนใจอาจมาจากเหตกุ ารณ์ ทก่ี าํ ลงั เกดิ ขน้ึ ในชว่ งเวลานนั้ หรอื เปน็ เรอื่ งทเ่ี ชอ่ื มโยงกบั ความรเู้ ดมิ ทเ่ี ดก็ เพง่ิ เรยี นรมู้ าแลว ครทู าํ หนา ทก่ี ระตนุ้ ใหน้ กั เรยี นสรา้ งคาํ ถามยวั่ ยใุ หน้ กั เรยี นเกดิ ความอยากรอู้ ยากเหน็ และกำ� หนดประเดน็ ทจ่ี ะศกึ ษาใหก้ บั นกั เรยี น ในกรณีที่ยังไม่มีประเด็นท่ีน่าสนใจ ครูอาจให้ศึกษาจากสื่อต่าง ๆ เชน หนังสือพิมพ์ วารสาร อินเทอร์เน็ต เป็นต้น ซึ่งทําให้นักเรียนเกิดความคิดขัดแย้งจากส่ิงท่ีนักเรียนเคยรู้มาก่อน ครูเป็นผู้ที่ท�ำหน้าท่ีกระตุ้นให้ นักเรียนคิดโดยเสนอประเด็นที่ส�ำคัญข้ึนมาก่อน แต่ไม่ควรบังคับให้นักเรียนยอมรับประเด็นหรือคําถามท่ีครู ก�ำลงั สนใจเปน็ เร่ืองทีใ่ หน้ ักเรยี นศกึ ษาเพ่อื นําไปสกู่ ารสํารวจตรวจสอบในข้นั ตอนต่อไป 3. ขน้ั สาํ รวจคน้ หา (Exploration Phase) เมอื่ นกั เรยี นทำ� ความเขา้ ใจในประเดน็ หรอื คาํ ถามทส่ี นใจ จะศกึ ษาอยา่ งถอ่ งแทแ้ ลว้ กม็ กี ารวางแผนกาํ หนดแนวทางการสาํ รวจตรวจสอบตง้ั สมมตฐิ านกำ� หนดทางเลอื ก ทีเ่ ป็นไปได้ ลงมอื ปฏบิ ัติเพอื่ เกบ็ รวบรวมขอ้ มูลข้อสนเทศ หรอื ปรากฏการณ์ตา่ ง ๆ วิธกี ารตรวจสอบอาจทาํ ได้ หลายวิธี เช่น สืบค้นข้อมูล ส�ำรวจ ทดลอง กิจกรรมภาคสนาม เป็นตน เพื่อให้ได้ข้อมูลอย่างพอเพียง ครทู าํ หนา้ ทกี่ ระตนุ้ ใหน้ กั เรยี นตรวจสอบปญั หา และดาํ เนนิ การสาํ รวจตรวจสอบและรวบรวมขอ้ มลู ดว้ ยตนเอง 4. ขั้นอธิบาย (Explanation Phase) เม่ือได้ข้อมูลมาแล้วนักเรียนก็จะน�ำข้อมูลเหล่านั้นมาท�ำ การวิเคราะห์ แปลผล สรุปผลและนําเสนอผลท่ีได้ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น บรรยายสรุป รูปวาด สร้างแบบ จําลองตาราง กราฟ ฯลฯ ซ่ึงจะช่วยให้นักเรียนเห็นแนวโน้มหรือความสัมพันธ์ของข้อมูล สรุปและอภิปราย ผลการทดลอง โดยอ้างอิงประจกั ษพ์ ยานอย่างชัดเจนเพ่อื นาํ เสนอแนวคิดตอ่ ไป ขั้นนี้จะทาํ ใหน้ กั เรยี นได้สรา้ ง องค์ความรู้ใหม่ การค้นพบในขั้นน้ีอาจเป็นไปได้หลายทาง เช่น สนับสนุน สมมติฐาน แต่ผลท่ีได้จะอยู่ ในรปู แบบใดกส็ ามารถสรา้ งความร้แู ละชว่ ยนักเรยี นใหเ้ กดิ การเรียนรู้ 5. ขั้นขยายความรู้ (Elaboration Phase) เป็นการนําความรู้ที่สร้างข้ึนไปเชื่อมโยงกับความรู้เดิม หรอื แนวคดิ เดมิ ทค่ี น้ ควา้ เพมิ่ เตมิ หรอื นาํ แบบจาํ ลอง หรอื ขอ้ สรปุ ทไี่ ดไ้ ปใชอ้ ธบิ ายสถานการณ์ หรอื เหตกุ ารณ์ อน่ื ๆ ถา้ ใช้อธบิ ายเรอ่ื งราวตา่ ง ๆ ไดม้ ากก็แสดงว่ามีขอ้ จาํ กัดนอ้ ย ซ่ึงก็จะชว่ ยใหเ้ ชอื่ มโยงเก่ียวกับเรอื่ งราว ตา่ ง ๆ และทําให้เกดิ ความรกู้ ว้างขวางขน้ึ ครูควรจัดกิจกรรมหรอื สถานการณ์ให้นกั เรียนมคี วามร้มู ากขน้ึ และ ขยายกรอบแนวคิดของตนเองและต่อเติมให้สอดคล้องกับประสบการณ์เดิม ครูควรส่งเสริมให้นักเรียน ตัง้ ประเดน็ เพอ่ื อภิปรายและแสดงความคดิ เห็นเพ่มิ เติมใหช้ ดั เจนมากย่งิ ข้ึน 6. ขั้นประเมินผล (Evaluation Phase) เป็นการประเมินการเรียนรู้ด้วยกระบวนการต่าง ๆ ว่า นักเรียนรู้อะไรบาง อย่างไร และมากน้อยเพียงใด ขั้นน้ีจะช่วยให้นักเรียนสามารถนําความรู้ที่ได้มาประมวล และปรับประยกุ ตใ์ ชใ้ นเรื่องอน่ื ๆ ได้ ครคู วรสง่ เสริมให้นักเรียนนำ� ความรู้ใหมท่ ี่ได้ไปเช่ือมโยงกับความรู้เดิม และสรา้ งเปน็ องคค์ วามร้ใู หม่ นอกจากน้ีครคู วรเปดิ โอกาสให้นักเรยี นไดต้ รวจสอบซ่ึงกนั และกัน 7. ขัน้ นําความรูไ้ ปใช้ (Extention Phase) ครจู ะต้องมกี ารจดั เตรยี มโอกาสให้นกั เรียนนําความร้ทู ี่ ได้ไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมและเกิดประโยชน์ต่อชีวิตประจําวัน ครูเป็นผู้ท�ำหน้าที่กระตุ้นให้นักเรียน 118 บณั ฑติ วทิ ยาลัย มหาวทิ ยาลัยสวนดุสิต
สามารถนาํ ความรไู้ ปสร้างความรู้ใหม่ ซ่ึงจะชว่ ยใหนกั เรยี นสามารถถ่ายโอนการเรียนรูไ้ ด้ ชดุ กจิ กรรมการเรยี นรู้ หรอื ชดุ การเรยี นเปน็ สอื่ ทค่ี รนู ำ� มาใชป้ ระกอบการสอน นกั การศกึ ษาหลายทา่ น หผใหู้เมรไหชช้คาดียุด่วมวยใ้นยกาหาถบใมิจยึงค้หรหกถวกร้ผชรึงามลาุด้เูรมรารุวกมกหยียนัติจากนขมาถกราสอาบุปรนร่ือยงรรรเ�ำชกขรมะรสุดอาียลสกื่อรงนกงวุาสกชครัติจรอาดุเ์อู้ถกรรนหกยุปีรยสห่จิมารนรองกลมาะรมนยราู้กสีปหรยหถางมรชรึงครละือกนเอ์าสสรชาิดยยียิ่ือทรุดมชา่เนกกธรางนิภาารรยีมิดรู้รไวานปีวเเมพมรรร้ดราไยีไู้ียะังวบรวนนนส้ดดวุ้ญเหิที้้วมปงั ชอยนลธไน็ มรกวภิาี้สน้อดันยาศ่ือุรช้วอพรทโนยยีสด่ีคลชุกบ่าะยริมงันอุญในู ลตปหาามชิศร้ดสโมมตดิะรอา(ิศกยดใ2(ศชริอใ25คหร้ิป5บ4ล(ีส4้สร72้กอะ6ะ:อ5งนั อ:ก94กดจ1อา56ับคดัด6บ-:เล9เ8นก1ข6้อ()ื้อา26)้างกรห5ไ8ไกสลวด4า)ับอ้เ่าแ้ใ7ปกนหเวล:นลน็ว้คะ9นื้าอ่่าชววว5ักหาดุัตชว-กมาถ9าุ่ดาเแหุป6รรกชลม)ียรศิจดุะาะกึกไกยกวสดวษรวัตจิง้ใา่ าร่าหคกถหมส์้ครุปชลเกอื่รพวุดราามปาื่อะกยรกมรสิชจทเาะหร่กวง่ารีสยยคมนรเมนใรร์าไหดมยีเเยรพพ้้นู้ว่อื่ือา่รู้ กามรงุ่เรใหียนผ้ เู้รรู้ ยีหนมเากยดิ ถกึงารสเื่อรกยี านรรเอู้ รยี า่นงหมลปี ารยะอสยทิ ่าธงภิ ปารพะมกชีออ่ืบเกรันยี กจหัดลเขา้ายไอวย้เปา่ ็งนชนุดอกเรจียากจว่ะาใสช่ืสอ้ ำ�ปหรระบัสผมเู้ รพยี ื่อนมเุ่ปงใน็ หร้ผาู้เยรบียคุนคล เกิดแกลาว้ รยเงั รใียชนป้ รรู้อะยก่าองบมกีปารระสสอิทนธแิภบาบพอมน่ืีช่ือเชเรน่ ียปกรหะลกาอยบอกย่ารงบนรอรกยจาายกกจาะรเใรชยี้สนาเหปรน็ ับกผลู้เรมุ่ ียยนอ่ เยป็สนวุรทิายยบ์ มุคลู คคลำ� แ(ล2้ว5ย5ัง1ใ:ช4้ 1) ปรใะหก้คอวบากมาหรสมอานยแไวบว้ บ่าอนื่ชุดเชกน่ิจกปรรระมกกอาบรกเารรยี บนรรรู้ ยหามยากยารถเึงรยี เนอเกปส็นากรลท่มุ จี่ ยัดอ่ ทย�ำสขุว้นึ ิทเพย์อื่ มใลู ชคป้ าร(ะ2ก5อ5บ1:ก4า1ร)สใอหนค้ ขวอามงคหรมูาหยรือ ไวว้ป่ารชะุดกกอจิบกกรารรมเรกยีารนเขรยีอนงนรู้กั หเมรยีายนถวึงชิ าเอใดกสวชิาราทห่ีจนัดง่ึ ทเาพขอ่ื ึ้นจเะพสอ่ื ง่ใชเส้ปรรมิ ะใกหอผ้ บเู้ กรยีารนสไอดนเ้ กขดิ อกงคารรเู รหยีรนือปรตู้ระามกอทบหี่ กลากั รสเรตู ยี รนกขำ� อหงนด ก1Mนกเรททปะ4าาัก่ีเดi็นนนผสคทขเดบrรร)เขสiรเaส้อคุู้เเนว้รวบตี่ไรา้ครอียดmูสย่ือตังนผัง้ชียใียรบน้ใตจรรสไู้เกัดนธื่อหนรววห้ปูาบ(นา์รเรง1ียค้ิช้ใจงสรรทภรเวู้มAช9นวาขอนรนิือม่าเือา7s้กใาเะึ้นรงสธดทปพh2ชมจหจิหยี พวา:โ็bว่นีค่นหกมนวชดชิรย3าสyสรกมร่าาไุดวาย-นสใูไาดรยงรา1หจก(ชทลอคผะนยมถ1ด้0คนา้ปดนำ�ทัู้ญสขึงท9ตย)ี รึ่งวก์รทออ้ัง7ง่ิา่ไ์ชสาเนะาโดเ(ขงนี่สง2พุดมพ2อดรชกกัใ้น้ึาแ:กๆ5ลยหกนือ่ทุดเอคแล1ิรจ5ผ้งจา้คกเดัญบอละ5ียปก3วู้เะวิจสยรผะกน-เรหส:็นากท1ทียอหู้่าเราสม่ง1นรรร7น่ีงทปมบรลเาหียร4ูป้สาม)สศกมาปทงัมมน)ใรแขีใกจึอกาานรี่อกาหิมไบรนั้ราลษนะซยดากยใ้นเถกบา่ตารหกรท่ึขง้ใใู่าักบนวปียเหอนขออผ้รี่เแรเรถกันนรอนงร้คเูเ้ชบยีลรรรงึชเะียร้นงดุวทนรลกะยีียุด้ทูกนกาผชยีกุรใตเี่านนกอ่ีปปชามเู้นุดู้เราาขไไริจขบร้สรห็นมดสรกเว้าียกสะอร่ือดส้เวว้อมริจในยรีกกื่องจต้วัต่าอะนการนตดิอเสยบ่าถบนยมปรชกบนจงาทุปขรเบกุดคน็าบรดปเKๆเรมอากอราชรรสว้แะeน็รกเแงจิียงัดะยใ�ำรลสเpชตานนกรนหเครียวง้โfจรุด้นยีรชะูปดไคนeัญวเนรดนกุนดภส์ทร่ายrรม้ดอริจกางยีู้ตโาาทีต่จaกไู้ีดยใผันกามพาน้ังวนnาหาง่ิรยมู้สรไเาว้รกรdกข้ปสผวสรรผทอา่วู้เา้ึน้รู้อเไถม็นร้เู่ีหน่าAMรรลชะรแนยีทกเียทลsแดุดียทคหลนiทดhานrักลด์กนะร้ังiรมรี่คเbสaสใะจิสนพ่อืหู้เศเชารอymปตูรกผองลกัลกึยูส้กบรยีน็ร(ูม้เบงังเรถษิจ1รกหรนร(นจอื้าท9กงึ1ียเมาายีรราวทงช7หร่ี9นอกอืนขกชัู้ตแป่ว2ร7ไนยาสึ้นนกุดสลมย:วปร2ู่ซดใำ�รักกาะว้1สตเนรช:ร่ึงรรมเา่ใิจ5ะส่อาุดปชรว3มียช-ากงกุคียนจุกด-ช1นทร้สร1อรนนคา7ทๆะดุกร่ีคถอ่ืร0บรธวเ)ู้กากส่ีรบตมรห)สอ์กากรูอใสิจ�ำียา่รกมยอมาชไสลคบนิกนงรดรา่านกา้ปา่อัญธลรจดสรง้ใยๆา้วเรนพหรมบปุตเอ้วถวถะรมใีาข้คยน็นแาหึงทงึกยีนKนก้ัมนลวรนอีท่รนชeเชนาคูปา้ววตปูปบา้ดุำ�pรุดรมทัต�ำอแใ็นแกใสกู้ทfเนกแห์หถบนeรบาตาจิ(ี่ปากน2ุปrยีรมบ้นทม้บนกรรา5สะนaารข่ีาเักรขสระ5ปออนยnะรรรออเเอก3น็รถนันdรมสขู้เ�ำงงน:ปอียยีใงอหทบนน็นคง้่ี์ กาชรุดสกื่อิจสการรมะหกาวร่าเงรคียรนูแรลู้ไะวน้ว่าักเรชียุดนกซิจ่ึงกปรรมะกอารบเดร้ียวยนครู้าหแนมะายนถาึงที่ใรหูป้นแักบเรบียขนอไงดก้ทาราสกิ่ือจกสารรรมะกหาวร่าเรงียคนรูแจลนะบนรักรเรลียุ น พฤซตึ่งิกปรรระมกเปอ็นบผดล้วขยอคง�ำกแานรเะรนีย�ำนทรู้่ีใกหา้นรักรวเรบียรนวมไดเน้ท้ือ�ำหกาิจทก่ีนรารมมากสารร้าเงรชียุดนกาจรนสอบนรนรลั้นุพไดฤ้มตาิกจรารกมขเอปบ็นขผ่ายลของงคกวาารมเรู้ีทยนี่ รู้ หลกักาสรูรตวรบตร้อวงมกเนาร้ือใหหา้นทัก่ีนเ�ำรมียานสไรดา้ ้เงรชียุดนกราู้รเสนอื้อนหนาั้นนไั้นดจ้มะาจตา้อกงขตอรบงแขา่ลยะขชอัดงเคจวนาทม่ีจรู้ทะส่หี ื่อลกัสสารตู ครตว้อามงกหามราใหย้นใหกั ้ผเรู้เยีรนียไนดเเ้กริดียนรู้ พฤเตนกิ ื้อรหรามนต้นัามจเะปตา้ อ้หงมตารยงขแอลงะกชารัดเเรจยี นนท่จี ะสอื่ สารความหมายใหผ้ ูเ้ รยี นเกิดพฤตกิ รรมตามเปา้ หมายของการเรยี น สโดูงยกโขดใ้นึาชยร้ขใเรช้ันยี ้ขตจน้ันอาจสนกตางูกกอกขาานก้ึนรรกาเศรราึกียศรษนเึกรราษียแู้แานบนแรบวนู้แคว7บิดคบขทิด้ันฤท7ษเฤรฎษขื่อีทฎ้ันง่ีเโีทกคเ่ีเ่ียรรกงว่ือี่ยสขงวร้อโ้ขาคงง้อรแผงงลู้วสะิผจรหัู้วย้านิจสง้าัยแนทสลใี่ขจนะอสหใงจรนพ้าส้าืงชรทสด้าื่ี่ของอสอกกื่อางเพรกพสาืชื่ออรดใสนหออป้ผกนู้เรรปะเียพเรนภะ่ือมทเใีผภหชลทุด้ผสชกู้เัมรุิดจฤียกกทนริจธมรก์ิทมีผรากลรงมาสกรกัมาเราฤรเรียทรเียนรธนียร์ิทู้นารงู้ กรกอบรอแนบวแคนดิ วคิด ตวั แตปวั รแตปารมตาม ตวัตแวั แปปรรออิสสิ รระะ การสอนโดยใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ 1. ประสิทธิผลของชุดกิจกรรมการเรียนรู้ แบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ข้ัน วิชาชวี วทิ ยา 2. ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียน เรอ่ื ง โครงสร้างและหนา้ ที่ของพชื ดอก สาหรบั 3. ดัชนีประสทิ ธิผลของชดุ กิจกรรมการเรียนรู้ นักเรยี นชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ภาภพาทพี่ ท1่ี ก1รอกบรอแนบวแคนดิ วคดิ สมมติฐานการวจิ ยั 5 ท่ี เรียนโดยใช้ชุดกิจกรรมกปาีทรี่ 1เ6รียฉบนับทรีู่้แ1 ปบระบจำ�สเดืบือนเสมการาะคหม -าเคมษวายานม2ร5ู้63 119 นั ก เรี ย น ชั้ น มั ธ ย ม ศึ ก ษ า ปี ที่ 7 ขั้น วชิ าชวี วิทยา เร่ืองโครงสรา้ งและหน้าทีข่ องพืชดอก มผี ลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นหลังเรยี นสูงกว่ากอ่ นเรียน
สมมตฐิ านการวิจัย นกั เรยี นชั้นมธั ยมศึกษาปีท่ี 5 ทีเ่ รยี นโดยใชช้ ุดกิจกรรมการเรยี นรแู้ บบสบื เสาะหาความรู้ 7 ขัน้ วิชา ชวี วิทยา เรื่องโครงสรา้ งและหน้าที่ของพชื ดอก มผี ลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นหลงั เรียนสูงกวา่ กอ่ นเรียน ระเบียบวธิ ีวจิ ัย การวิจัยเรื่อง การพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ขั้น วิชาชีววิทยา เร่ือง โครงสร้างและหน้าท่ีของพชื ดอกส�ำหรบั นักเรยี นช้นั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 5 ผวู้ จิ ัยได้ด�ำเนินงานในสว่ นต่าง ๆ ดังนี้ ประชากร ประชากรที่ใช้ในการวิจัยคร้ังนี้เป็นนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 5 แผนการเรียนวิทยาศาสตร์- คณติ ศาสตร์ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศกึ ษา 2558 โรงเรียนค�ำเขือ่ นแก้วชนูปถัมภ์ อำ� เภอคำ� เข่ือนแก้ว จังหวดั ยโสธร จ�ำนวน 7 หอ้ งเรียน จ�ำนวนนกั เรยี น 266 คน โดยใช้ห้องเรียนเป็นหนว่ ยในการส่มุ จดั ห้องเรียนเปน็ แบบคละความสามารถ ตวั อย่าง ตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคร้ังนี้ ได้แก่ นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 5 แผนการเรียนวิทยาศาสตร์- คณิตศาสตร์ โรงเรยี นคำ� เข่อื นแก้วชนปู ถัมภ์ อ�ำเภอคำ� เขือ่ นแกว้ จงั หวัดยโสธร ท่ีกำ� ลงั ศกึ ษาในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2558 จ�ำนวน 1 ห้องเรียน คือ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/1 จ�ำนวนนักเรียน 40 คน ที่ได้มาโดย การส่มุ แบบเจาะจง (purposive sampling) ตัวแปรที่ศกึ ษา 1) ตวั แปรอิสระ - การสอนโดยใช้ชุดกิจกรรมการเรยี นรแู้ บบสบื เสาะหาความรู้ 7 ขั้น 2) ตัวแปรตาม - ประสิทธิผลของชุดกจิ กรรมการเรียนรู้ - ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียน - ดชั นีประสทิ ธผิ ลของชดุ กิจกรรมการเรยี นรู้ เคร่ืองมอื ท่ีใช้ในการวิจัยและวิธีการสรา้ งเครอื่ งมอื ในการวิจัย 1) ชดุ กจิ กรรมการเรยี นรแู้ บบสบื เสาะหาความรู้ 7 ขนั้ วชิ าชวี วิทยา เรอ่ื งโครงสร้างและหน้าทีข่ อง พืชดอกส�ำหรับนกั เรยี นช้นั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 5 ทีผ่ วู้ ิจัยสรา้ งขึน้ ประกอบด้วย คู่มือครู แผนการจดั การเรยี นรู้ ชดุ กจิ กรรมการเรยี นรู้ จ�ำนวน 7 ชุด ชุดละ 3 ชวั่ โมง รวมเป็นเวลา 21 ช่ัวโมง 2) แบบทดสอบประจ�ำชุดกิจกรรมการเรียนรู้ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 5 เรื่องโครงสร้างและหน้าท่ีของ พชื ดอก จำ� นวน 7 ชุด ชุดละ 10 ขอ้ ชนดิ เลือกตอบ 5 ตวั เลอื ก 3) แบบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน เร่ืองโครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอกส�ำหรับนักเรียน ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 5 แบบปรนยั ชนดิ เลอื กตอบ 5 ตัวเลือก จ�ำนวน 40 ข้อ ซึ่งผ้วู จิ ัยสร้างขึ้น มเี กณฑ์การให้ คะแนนคอื ตอบถกู ให้ 1 คะแนน ตอบผดิ หรอื ไมต่ อบให้ 0 คะแนน 120 บัณฑิตวทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั สวนดสุ ติ
วธิ ดี �ำเนนิ การทดลอง 1) รูปแบบการวิจยั การวจิ ยั ครั้งน้ี ผ้วู จิ ัยได้ใช้ตามแบบแผนการทดลองกลมุ่ เดยี วสอบกอ่ นและหลัง (One Group Pretest–Posttest Design) 2) ขนั้ ตอนด�ำเนนิ การวิจยั 2.1) เลือกกลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 5/1 ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2558 โรงเรยี นค�ำเขื่อนแกว้ ชนปู ถัมภ์ ส�ำนกั งานเขตพืน้ ท่ีการศึกษามธั ยมศกึ ษาเขต 28 จ�ำนวน 40 คน โดยการสุม่ แบบเจาะจง 2.2) ช้ีแจงและท�ำความเข้าใจกับผู้เรียน เกย่ี วกบั การใช้ชุดกิจกรรมการเรยี นรู้ดว้ ยตนเองเพ่อื ให้ เกิดความเข้าใจ และคุ้นเคยกับวิธีการเรียนด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยผู้เรียนต้องอ่านค�ำชี้แจงในการใช้ ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ หลังจากนั้นท�ำแบบทดสอบก่อนเรียน สืบค้นข้อมูลจากบัตรเนื้อหา ตรวจสอบ ความเขา้ ใจดว้ ยการทำ� บัตรกิจกรรม และบัตรคำ� ถาม แลว้ ทำ� แบบทดสอบหลงั เรยี น ขัน้ สุดทา้ ยคือตรวจสอบ ความถกู ต้องด้วยบัตรเฉลยกิจกรรม และบตั รเฉลยค�ำถาม 2.3) ดำ� เนนิ การสอนตามขน้ั ตอนการใชช้ ดุ กจิ กรรมการเรยี นรใู้ นแตล่ ะชดุ โดยกำ� หนดเวลาสปั ดาห์ ละ 3 ชั่วโมง รวมเปน็ 7 สปั ดาห์ 21 ชั่วโมง 2.4) หลงั การทดลองส้นิ สดุ ผู้วิจัยนำ� แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นวิชาชวี วิทยา เรื่อง โครงสร้างและหนา้ ท่ขี องพืชดอก ชดุ เดิมไปทำ� การทดสอบอกี ครง้ั แล้วตรวจใหค้ ะแนน 2.5) น�ำคะแนนจากการท�ำแบบทดสอบในการสอนทุกชุดและคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จากแบบทดสอบท้งั ก่อนเรียนและหลังเรียน มาวิเคราะหเ์ พอื่ ทดสอบสมมติฐาน 2.6) น�ำคะแนนการประเมินท่ีได้จากแบบประเมินทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์มาท�ำ การวเิ คราะห์ดว้ ยวธิ กี ารทางสถิติ รอ้ ยละ ค่าเฉล่ยี ( ) สว่ นเบ่ยี งเบนมาตรฐาน (S.D.) และสถิตเิ ชงิ ทดสอบ (t-test) ส�ำหรบั วเิ คราะห์ผลการทดสอบกอ่ นและหลังเรียน ผลการศกึ ษา 1. ประสทิ ธภิ าพของชดุ กจิ กรรมการเรยี นรแู้ บบสบื เสาะหาความรู้ 7 ขนั้ วชิ าชวี วทิ ยาเรอื่ ง โครงสรา้ ง และหนา้ ทีข่ องพชื ดอก ส�ำหรบั นักเรยี นช้ันมธั ยมศึกษาปที ี่ 5 ชดุ กจิ กรรมการเรียนร้แู บบสืบเสาะหาความรู้ 7 ข้ัน ส�ำหรบั นักเรียนช้นั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 5 วิชา ชวี วิทยาเรอ่ื ง โครงสรา้ งและหนา้ ที่ของพชื ดอก จ�ำนวน 7 ชุด (ภาพที่ 1) แต่ละชดุ ประกอบดว้ ย บตั รคำ� ส่ัง แบบทดสอบก่อนเรียน บัตรเนื้อหา บัตรกิจกรรม บัตรค�ำถาม บัตรเฉลยกิจกรรม บัตรเฉลยค�ำถาม และ บัตรเฉลยแบบทดสอบหลังเรียน ชุดกิจกรรมแต่ละชุดได้ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการออกแบบ อาทิเช่น เลือก ตัวอย่างพืชในท้องถ่ินที่เหมาะสมกับชุดกิจกรรมการเรียนรู้แต่ละชุด การวาดภาพระบายสีพืชตัวอย่างใน ชุดกิจกรรม การออกแบบกิจกรรมการทดลองต่าง ๆ ในชุดกิจกรรมการเรียนรู้ ท�ำให้ภาพประกอบที่ใช้ใน ชุดกิจกรรมการเรยี นรู้แต่ละชดุ มีความหลากหลายและเปน็ ภาพพชื ทีพ่ บไดใ้ นทอ้ งถ่ิน ปีท่ี 16 ฉบับท่ี 1 ประจ�ำ เดือนมกราคม - เมษายน 2563 121
ท่เี หมาะสมกบั ชุดกิจกรรมการเรยี นรแู้ ตล่ ะชดุ การวาดภาพระบายสีพชื ตัวอย่างในชุดกจิ กรรม การออกแบบกจิ กรรม การทดลองต่าง ๆ ในชุดกิจกรรมการเรียนรู้ ทาให้ภาพประกอบที่ใช้ในชุดกิจกรรมการเรียนรู้แต่ละชุดมีความ หลากหลายและเปน็ ภาพพืชที่พบได้ในทอ้ งถนิ่ ภภาาพพทท่ี 1ี่ 1ชุดชกดุ จิกกิจรกรรมรกมากราเรรยี เรนียรู้จนารนูจ้ วำ� นนว7นชุด7 ชดุ ปสมระกสาปสริทมรธะกภิ สาาริทพคธกาขิภนาอารวงพคชณดุ�ำขนกEอ1จิวงชกณ(ปรุดรรEกะม1จิ สกก(ิทาปรรธรรเภิ ะรมายีสกพนิทาดรธราู้้ เิภ(นรEาียก1พ/รนEะดร2บา้)ู้ (นวกEนกา1/หกรEาะน2รบด))/เวกกEน�ำณ2หก(ฑปานร์ ด8)ะเ/0กสE/ทิณ280ธ(ฑปภิ ด์รา8ังพะแ0สดส/ทิา้8ดนธ0งผภิในดลาตงัลพแาพั ดรสธา้าด์)งนงทผใี่นล1ตลาพั รธา)์ งท่ี 1 8 E1 = ƩX E2 = ƩF n n A x 100 B x 100 เม ื่อเมือ่ ƩEE21XEƩE21 X แแแแททททนนนนปปปปรระะรรสสะะทิทิสสธธททิิ ภิิภธธาาิิภภพพาาขขพพออขขงงออกผงงรลกผะลบลรัพะวลธบนพั์ กวธาน์ รการ แแททนนคคะแะนแนนขนอขงอแงบแบบฝบกึ ฝหกึ ัดหหดัรือหงราือนงาน ƩFƩF แแททนนคคะแะนแนรนวรมวขมอขงอผงลผลลพั ลธพัห์ ลธ์หงั เลรยีงั เนรยี น A A แแททนนคคะแะนแนเนตเ็มตขม็ อขงอแงบแบบฝบกึ ฝหกึดั หทกุัดชทนิ้ กุ รชว้นิ มรกวันมกนั B B แแททนนคคะแะนแนเนตเ็มตขม็ อขงอแงบแบบทบดทสอดบสหอบลังหเรลียงั นเรียน n n แแททนนจาจนำ� วนนวผนเู้ ผรยีูเ้ รนียน ตารางที่ 1 ประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ขั้น วิชาชีววิทยา เร่ือง โครงสร้าง และหน้าทีข่ องพืชดอก สาหรบั นักเรยี นชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 5 (E1/E2) กาหนดเกณฑ์ 80/80 จานวน คะแนน ค่าเฉล่ยี แหลง่ ข้อมลู นักเรยี น คะแนนเตม็ รวม รอ้ ยละ (X) ค12า่ 2ประบสัณิทฑธิตภิวิทายพาลขยั อมงหกาวรทิ ะยบาลวัยนสวกนาดรสุ ิต(E1) 40 260 8,684 217.10 83.55 ค่าประสิทธิภาพของผลลพั ธ์ (E2) 40 40 1,372 34.30 85.75
ƩX แทน คะแนนของแบบฝึกหัดหรอื งาน ƩF แทน คะแนนรวมของผลลัพธ์หลังเรยี น A แทน คะแนนเตม็ ของแบบฝกึ หัดทุกชิน้ รวมกัน B แทน คะแนนเตม็ ของแบบทดสอบหลังเรยี น n แทน จานวนผู้เรยี น ตารางท่ี 1 ประสทิ ธภิ าพของชดุ กจิ กรรมการเรยี นรแู้ บบสบื เสาะหาความรู้ 7 ขนั้ วชิ าชวี วทิ ยา เรอ่ื ง โครงสรา้ ง ตารา งที่ 1 ประสิทแธลิภะาหพนขา้ อทงีข่ ชอุดงกพิจชื กดรอรกมกสา�ำรหเรรียับนนรกั ู้แเบรียบนสชืบ้ันเสมาธั ะยหมาศคกึ วษามาปรู้ ที 7่ี 5ข้ัน(Eว1ิช/าEช2ีว)วกิท�ำยหานเดรเ่ือกงณโฑคร์ 8งส0/ร8้า0ง และหน้าทข่ี องพืชดอก สาหรบั นักเรยี นช้นั มธั ยมศึกษาปที ี่ 5 (E1/E2) กาหนดเกณฑ์ 80/80 จานวน คะแนน คา่ เฉลี่ย แหลง่ ขอ้ มลู นักเรียน คะแนนเตม็ รวม รอ้ ยละ (X) ค่าประสิทธิภาพของกระบวนการ (E1) 40 260 8,684 217.10 83.55 ค่าประสทิ ธิภาพของผลลัพธ์ (E2) 40 40 1,372 34.30 85.75 ซึ่งมีคมะคี แะนแนนเนตจจ็เมาตากกม็2ตต6า2า0ร6รา0คางงะแคแแสะสนแดดนนงงปนปนรรนักะะกัเสรสิเทียริทธนียธิภนิภ4าา4พ0พ0ขคขอคนองนงกมกมรีคระคี ะะบะแบแวนวนนนนกนกเาเฉาฉรลรล่ีย(ย่ี(EเE1เท1ท)่า)ซา่ กซก่ึงับไ่ึงบั ดไ2ด้2จ1จ้1า7าก7.กก.11กา00ารครวควิเะะคิเแแครนนรานาะนะหคคห์คิดิดค์ะเเะแปปแน็น็นนนรรน้ออ้รระยยะหลลหวะะว่า8า่ง83เง3รเ..5ีรย5ยี5น5นแลซะ่งึ และปปรระะสสิทิทธิภธาิภพาขพอขงอผลงผลลัพลธ์ัพ(Eธ2์) (ซEึ่ง2ได) ้จซา่ึงกไกดา้จราวเิกคกราระวหิเค์ คะรแานะนหจ์คาะกแกานรนทจาาแกบกบาทรดทส�ำอแบบวัดบผทลดสสมั อฤบทวธท์ิัดาผงลกสาัรมเฤรียทนธ์ิทาง ซ่งึ มคี กะาแรนเนรียเตน็มซ4ง่ึ 0มคี ะแนนนนเนตกั ม็ เร4ยี 0นค4ะ0แคนนนมนคี กัะเแรนียนนเฉ4ล0่ียเคทนา่ กมับคี ะ34แ.น3น0เคฉะลแี่ยนเทน่าคกดิ บั เป3น็ 4ร.3อ้ 0ยลคะะ8แ5น.7น5คสิดรเปุ ปไน็ดรว้ ้อ่ายละ ชุดกิจ8ก5ร.7รม5กสารปุเรไียดน้วรา่ ู้แชบุดบกจิสกืบรเสรามะกหาารคเรวียานมรแู้ 7บบข้ันสบื วเิชสาาชะีวหวาิทคยวาามเรรื่อู้ ง7โคขรน้ั งสวริช้าางชแีวลวะทิหยนา้าทเร่ีข่อื องงโพคืชรดงสอรก้าสงแาหละรับหน้าที่ นกั เรยีขนอชงพั้นมืชัธดยอมกศกึสษำ� หาปรีทับ่ีน5กั มเรีปยี รนะสชทิน้ั ธมภิ ธั ายพมศ(Eกึ 1/ษEา2ป) เที ท่ี า่ 5กบั มีป83ร.ะ5ส5ทิ/8ธ5ภิ .7า5พซ(ึง่Eส1งู /กEว2่า)เกเทณา่ ฑกท์ บั ีก่ า8ห3น.5ด5ไว/8้ 5.75 ซ่งึ สูงกว่า เกณฑ2.ท์ ก่กี า�ำรหเปนรดียไวบ้เทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนกับหลังเรียนของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 5 พทจ่ีชื ัดดกอขทากอจ่ี รงดัเรพกยี ืชานรดรเ2อสู้โรด.กมยี ยกนกชาราุดรโู้ รกดกเาิจยปรกชรครดุยี ารกบนมจิเวกทกณายีรรรบคเรม่าผียเกลฉนาสลรรมัยีู่้แเรฤบ(ยีทบXนธสร)ท์ิืบแู้ แาเบสลงากบะะสาสหรถบื เาติ รเคสิเยี ชวานงิาะทมกหดรอ่ าู้สน7คอเวรขบายีั้นม(นtรว-กtู้ชิ 7eบั าsขหชtน้ั)วีลวงั วิทเชิรยยีาาชนเวีขรว่ืออทิ งงยนโาคกั รเเรรงอื่ยีสงนรา้ ชโงคน้ัแรมลงะธัสหยรมนา้ งศ้าแทกึ ล่ีขษะอาหงปนที า้ ่ี ท5่ี สมการXการ=ค�ำƩนXวณ ค่าเฉลีย่ ( ) และสถติ ิเชงิ ทดสอบ (t-test) =nแแแ ทททนนนƩnแXผคจ ทาละนนแรววนคมนนะขคเแฉอะลนงแคีย่นนะนเแฉในนลนก่ยี ทลมุ่ั้งหมดในกลุ่ม เม ือ่ X ƩX เม่อื n ƩX แทน ผลรวมของคะแนนทงั้ หมดในกลมุ่ n แทน จ�ำนวนคะแนนในกลมุ่ ตารางท่ี 2 คะแนนผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นกอ่ นเรยี นและหลงั เรยี นโดยใชช้ ดุ กจิ กรรมการเรยี นรแู้ บบสบื เสาะหา ต ารางท่ี 2 คควะปคาแวที มนาี่ รม5นู้ ร7ผู้ ล7ขส้ันขัมัน้วฤิชทวาธชิชิ์ทวีาวชาทิงีวกยวาิทารยเเรรา่ือียเงนรโือ่คกร่งอโงนคสเรรรา้งียงสนแรแล้าละงหแะหลนะ้าลทหังเ่ขีนรอีา้ยงทนพข่ีโืชดอดยงอใพกชชื ้ชสดุดาอกหกิจรกับสรน�ำรหกั มเรรกบั ียานนรกัเชรั้นเียรมนียธั นรยู้แชมบน้ัศบมกึ สษัธืบยาปมเสทีศ9า่ีกึ ะ5ษหาา คะแนน n X tp หลังเรยี น 40 34.30 ก่อนเรยี น 40 4.18 72.095 .000* *มมีนีนยั ัยสสาคำ� ญัคญัทาทงาสงถสิตถทิ ติ ่ีรทิ ะี่รดะับด.ับ01.0d1f=d3f9= 39 จากตารางข้างต้นแสดงให้เห็นว่านักเรียนที่เรียนด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ขั้น วชิ าชวี วิทยา เร่อื ง โครงสร้างและหน้าท่ีของพืชดอก สาหรับนกั เรียนช้ันมัธยมศกึ ษาปีท่ี 5 มคี ่าเฉลีย่ ของคะแนน วัดผลสัมฤ3ท.ธว์ิทิเาคงรกาาะรหเร์หยี านคห่าดลงััชเนรียีปนรสะสงู กิทวธา่ ิผกลอ่ ขนอเรงชยี นุดกอิจยก่ารงรมมนี กยั าสราเครียัญนทราู้แงบสปถบที ติี่ส1ทิ6ืบ่ีรฉเบสะบัดาทะับี่ 1ห.ปา0รค1ะวจำ�าเดมอื รนู้ม7กรขาค้ันม -วเิชมษาาชยีวนว2ิท56ย3า 123 เร่ือง โครงสรา้ งและหน้าทขี่ องพชื ดอก สาหรับนักเรยี นชัน้ มัธยมศึกษาปีท่ี 5
ความรู้ 7 ขัน้ วิชาชีววทิ ยา เรื่องโครงสรา้ งและหนา้ ที่ของพชื ดอก สาหรบั นกั เรียนช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5 คะแนน n X tp หลังเรยี น 40 34.30 กอ่ นเรียน 40 4.18 72.095 .000* *มีนัยสาจคาญั กทตาางรสาถงติขิท้าง่ีรตะด้นบั แส.0ด1งใdหf้เ=ห็น39ว่านักเรียนท่ีเรียนด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 7คะขวขแัดั้น้นั ผนวลวนชิ ชิสวาามั3ดัชชฤ.ผวี วีทวลววธทิ สิทิเิท์ ยจคัมยาาารฤงากาเกทตรเะาธรอ่ืาหรอื่ิ์ทรงเ์หงราาโยีงงาคโขนกคคร้าาหงร่างรสงดลตเสรงััชร้น้าเรยีนรแง้าียนแีปสงนลหแดรสะลละงหงูใะสังหกนเหิทรว้เา้หน่าียธทก็นิผา้น่ีข่อทลวสอน่าข่ีขูงงนเกออพรักวงยีงืชเพ่าชนดรกุืชดียอออ่ดนกกยนอิจทา่สเกกี่เงรารมรียหสียีนรนรำ�นมยับัหดอสกนร้วายาับักยคร่าเชนญัเงรรุดกัมียทียกเนนี ารนิจชัยงยี กรส้ันสนู้รแถม�ำชรบิตคธั มั้นทิยบญั กมมีร่สาทะัธศืบรดายกึเเงรับมษสสียศาา.ถน0ปึกะติร1หษีทู้แทิ ่ีาาบี่ร5ปคะบวทีมดสาีค่ีับืบ5ม่าเเรม.สฉ0ู้ ีคาล17ะา่่ียหเขฉขาอลั้นคงยี่วคขวาะมิอชแรงานู้ น7 ชวี วิทยา เร3ื่อ.งวโิเคครรางะสหร้า์หงาแคล่าะดหัชนน้าีปทร่ขีะสอิทงพธิผชื ลดขออกงชสุด�ำกหิจรกับรนรักมเกราียรนเรชียนั้ นมรัธู้แยบมบศสกึ ืบษเสาปาะที ห่ี 5าความรู้ 7 ขั้น วิชาชีววิทยา เรอื่ ง โครงสร้างและหน้าทขี่ องพืชดอก สาหรับนกั เรยี นช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 5 สมการการคำ� นวณ ดัชสดนมัชนกปี าีปรรระกะสาสิทรทิ คธธผิาผิ นลลว(ณ( EE..II..)) == คคผะลแะนแคนนูณรนขวรมอวจงมาคจกะแาแกบนบแนบทเดบตส็มทอกดบับสหอจล�ำบังนเหรวียลนนังคเร-นยี คน–ะแ-คนะคนแะรนวแมนนจนราวรกมวแจมบาจบกาทแกดบแสบบอบบทกทดอ่ สดนอสเรบอียบกน่อกนอ่ นเรเียรนยี น ผลคูณของคะแนนเตม็ กับจานวนคน – คะแนนรวมจากแบบทดสอบกอ่ นเรยี น ตาตราารางงทท่ี ี่33 คเเครร่า่าอ่ื่อื ดดงงัชัชโโนนคคปี ีรรปงรงรสะสะรสรส้าา้ทิ งิทงแธแธิผลิลผะละลหห(น(EนE้า..I้าทI..))ที่ขข่ขีอของออพงงงชชืพชุดดดุืชอกกดกิจจิอกกกสรราสรรหำ�มมรหบักกรานาับรักรเนเเรรรักยียีียเนนรนรชียรูแ้้นันู้แบมชบบัธนั้ บยสมมสบื ธั ศืบเยกึสเมษสาศะาาึกหปะษีทาหคา่ีา5ปวคาที วมี่า5รมู้ ร7ู้ 7ขน้ัข้ันวชิวิาชชาวีชวีวิทวยิทายา จานวน ผลรวมของคะแนน ดชั นปี ระสทิ ธผิ ล นกั เรียน คะแนนเต็ม แบบทดสอบกอ่ นเรยี น แบบทดสอบหลงั เรยี น (E.I.) 40 40 167 1372 0.84 09 คิดร้อเปยน็ละรอ้ 8ย4จล.0าจะก9าต8กแ4าตสร.า0ดาร9งงาวขงแ่า้าขนสงา้ตักดง้เนงรตวพยีน้ า่ บนพนมวกับ่าคี เวะรด่าแียัชนนดนนัชมีปในคีรนะะปี กสแราิทนะรเสธนริผิทใียลนธนกิผเ(พEาล.มิ่รI.(เข)Eร้ึนยี.Iขร.น)อ้อเขงยพชอลิมุ่ดะงขกช8้ึนิจุด4กรก.อ้0ริจร9ยกมลระรคมา8น4คว.�ำ0ณน9ไวดณ้เทไ่าดก้เทับ่า0ก.ับ8400.984ห0ร9ือคหิดรเือป็น ออภภิปิปรราายผผลล ใตทตตหอ่นา่เีคแดเตกนผ้ปมคลเ่้าวาออเู้น้คลแวรยะรคงกี่นฝา�ำเยตยี วรมแแึากะนนนาียรนแลนท1มเเนแฝปอตะะา.ักแรป 1กึงทมลกนู้ไษต.ลทชดยี่ี่รคีตำ�แกะชะดุง้ตนกัทาว่ลุดตกพบงกาลษแ่ีระ่กรารมุไอจิฤะปะมงวจิะะรดกบตกลีรค้กบหบัถเริไุะงรกวรวววว้ราผพะหารลรา่นสม้ดิบมมฤถรางวงกกชกทบรตว่มา้าสาาอับสานงกาิคุักยรรรบบใงผกรคตาสเหเสุรรคิตดราอลรืบ้ผยัมียยีรอ่คชเนู้เเเรตนสกนตอรลสปใียอบืาดียรรบนาดิ รู้เเนเู้นนกเะเตปโปปเสอ็ถสอรใหร่อ็นิด็นาดงู้าใยาีกาตะชแโหชกมมนาคอนหุดลดุ้ผถ็ามสรวกกเาระู้กสาีใใู้ปอาาถคจิหหสมอจิมงรสกสวงัมผ้้ผนกแระใรคราเู้ปี้สูไรลู้หรา้รมสมดโรอระมงย้ีผดิรท้มะอนสผผแนูู้้เยธแสงัรงโเู้ไู้บเไใิรครดภีดคบทิยดชบยีียค์ย้มนาบธแ้้ผผรนนวใภพิไสรู้าเูเ้ชาสผสดรรยาาดยม้ผาู้ีาเย้ยีแพยบ่ิงรงรมูเ้มนนสบคีรุยคยขู้เาาปเียสดวงคุค้ึ่ินนรรป็ขนานางถลคสถ็นมมนค้ึขเปเลาเปปจคฐลอาวมรเัดจ็ารน็ดิาอนืงปึกาทนตถัดมเกฐษรน็กหนปาทคาถเากาผรขน็นเริเ�ำดกราอู้ยีเล้ึนกึขนัรรเยฝงนือจผหษนึ้ียยไรึกึดาไกเู้ด็นะดึนจารดกนผเ้หกผ�ำียสราตู้้อวเฝนนัวีเ้ยูรนรานาีกรึก่าีตวยนรมมสทยีงกนะ7ดันาไคาเน้ังาดหรรสมชวเชเ7รีย้ตปถปวนิุดาาุดตน่าาชเ็มรกนน็ใรัดไงมจแถดุถิจสีสยดเสตคเกนรแำ�้นารแิน่ลวยีรชคสดัียคตราะรใน่วญัวันู้ไญ่ลจมคมชยงไดรแะุดวกถดสหแ้แดูไ้ลชามาน่ง้ดาล้สวชมระเุดีกัดค้ดสะยวเว่ตสมจิรวรว้งตตยคอนกียีกาิมหยสนอวบรมนใจิใตา่งจารเบหสรรกอคเนมมู้ยดู้ส้ผนแสรงวเทสังวู้้เรรลออนาตรชน่ีเยิมมะงงนียอมา่วใ้นนมยจงรู้ เรขยี จนัดรปไู้ ดัญต้ หลาอกดาเรวขลาาดทแำ� คใลหนผ้ คเู้ รรยี ู ลนดสภามาราะรถสสรร้าา้ งงคอวงาคมค์ พวรา้อมมรแเู้ ปลน็ะคขวอางมตมนั่นเอใจงไใดห้้แอกกี ่คทรง้ั ู ชเนดุ ่ือกงจิ จการกรชมุดกกาิจรกเรรยีรนมรกยู้างัรชเรว่ ียยนรู้ ขจถดัูกปจัญดไหวา้เปก็นารหขมาวดดแหคมลู่ นสาคมราู ลรดถภนารไปะใสชร้ไา้ดง้ทคันวทาีมชพุดรกอ้ ิจมกแรลระมคกวาารมเรมียนั่ นใรจู้แใหบแ้บกสค่ืบรเสู เานะอื่ หงาจคาวกาชมดุ รกู้ จิ7กขรั้นรมวกิชารชเีวรวยี ิทนยา รู้ถเรูกื่อจงัดโคไวร้เงปส็นร้าหงมแวลดะหมนู่้าสทาี่ขมอางรพถืชนด�ำอไกปใสชา้ไหดร้ทับันนทักี เรชียุดนกชิจ้ันกมรัธรยมมกศาึกรเษราียปนีทรีู่้แ5บมบีปสรืบะเสิทาะธิภหาพคเวทา่ามกรับู้ 783ข.5้ัน5/ว8ิช5า.75 ชีวซวึ่งทิอยู่ใานเกร่ือณงฑโค์มรางตสรรฐา้ งนแทลี่กะาหหนา้ดทไวข่ี ้คอืองพ8ชื0ด/8อ0กแสำ�ดหงใรหบั ้เนห็กันเวร่ายี ชนุดชกั้นิจกมรธั รยมมกศาึกรษเราียปนีทร่ีู้แ5บบมสปี ืบรเะสสาะิทหธาภิ คาวพาเมทร่าู้ ก7ับข้ัน 83ว.ิช5า5ช/8ีว5ว.ิท7ย5าซงเ่ึ รอื่อยงใู่ นโเคกรณงฑสรม์ ้าางตแรลฐะานหทนก่ี้าำ�ทห่ีขนอดงไพวืชค้ ดอื อ8ก0/ส8า0หแรสับดนงักใหเรเ้ หียน็ วชา่ั้นชมดุ ัธกยจิ มกศรรึกมษกาาปรีทเร่ี ยี 5นเรปแู้ ็นบชบุดสกบื ิจเสการะรม หาทค่มี วีปารมะรสู้ ทิ 7ธิภขาน้ั พ วเพชิ ราาชะีวผวู้วิทจิ ยัยาไดเ้ศรกึื่อษงาโหคลรักงกสารร้าแงลแะลสะรห้านงชา้ ดุ ทกี่ขิจอกงรพรืชมดตาอมกแนสว�ำคหิดรทบั ฤนษักฎเรีกียานรเชร้นัยี นมรธั ู้ยแมลศะไกึ ดษ้ดาาปเนที ิน่ี ก5าร เป็นชุดกิจกรรมที่มีประสิทธิภาพ เพราะผู้วิจัยได้ศึกษาหลักการและสร้างชุดกิจกรรมตามแนวคิดทฤษฎ1ี 0 124 บัณฑิตวทิ ยาลัย มหาวทิ ยาลัยสวนดุสติ
การเรียนรู้ และได้ด�ำเนินการสร้างชุดกิจกรรมอย่างมีระบบ โดยมีการศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษา ขน้ั พน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 และวเิ คราะหเ์ นอ้ื หาของกจิ กรรม กำ� หนดจดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ วางแผนการสอน อกี ทัง้ ผา่ นการประเมินคุณภาพจากผเู้ ช่ยี วชาญ 5 ท่าน ชว่ ยใหผ้ ูเ้ รยี นไดร้ บั ความร้ตู ามจดุ ประสงค์การเรียนรู้ และได้ท�ำการหาประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมการเรียนรู้ก่อนท่ีจะน�ำไปทดลองจริง จึงถือได้ว่าผู้เรียนที่เรียน ดว้ ยชดุ กจิ กรรมการเรยี นรู้แบบสบื เสาะหาความรู้ 7 ขนั้ จะสามารถเกิดการเรียนรู้ได้อย่างมปี ระสิทธิภาพ ซึ่ง สอดคลอ้ งกบั ผลการวจิ ยั ของ วารณุ ี อนิ ทรบำ� รงุ (2554: 87) ไดท้ ำ� การวจิ ยั การพฒั นาการจดั กจิ กรรมการเรยี น รู้เรื่องสารชีวโมเลกุล กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 5 โดยใช้กระบวนการสืบเสาะ หาความรู้ 7 ขั้น มีประสทิ ธภิ าพเทา่ กับ 84.48/86.20 ซ่ึงสงู กว่าเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 และสอดคล้องกับ ผลการวจิ ยั ของ ฐติ ยิ า ดวงจติ (2555: 57) ไดศ้ กึ ษาผลของการใชช้ ดุ กจิ กรรมวทิ ยาศาสตรท์ ม่ี ตี อ่ ทกั ษะกระบวนการ ทางวทิ ยาศาสตร์ และความสามารถในการแกป้ ญั หาทางวทิ ยาศาสตร์ ของนกั เรยี นชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 1 โรงเรยี น สตรพี ทั ลงุ จงั หวดั พทั ลงุ พบวา่ ประสทิ ธภิ าพของชดุ กจิ กรรมวทิ ยาศาสตรเ์ ทา่ กบั 80.14/80.56 ซงึ่ เปน็ ไปตาม เกณฑ์มาตรฐานที่ก�ำหนด และสอดคล้องกับผลการวิจัยของ พรพิศ แก้วบ้านเหล่า (2556: 82-83) ได้ท�ำ การวจิ ยั การพฒั นากจิ กรรมการเรยี นรู้ เรอ่ื ง บรรยากาศ สำ� หรบั นกั เรยี นชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 1 กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ วทิ ยาศาสตร์ โดยใช้รูปแบบการเรยี นการสอนแบบ 7 ขน้ั รว่ มกับแผนผงั มโนมติ พบวา่ แผนการจดั กิจกรรม การเรยี นรูโ้ ดยใชร้ ปู แบบการเรียนรแู้ บบ 7 ข้ัน รว่ มกับแผนผงั มโนมติ มีประสทิ ธิภาพเท่ากบั 88.40/87.31 และสอดคล้องกับผลการวิจัยของ ศิริพร ฤทธ์ิมาก (2557: 75-76) ได้ท�ำการวิจัยการพัฒนาชุดกิจกรรม การเรยี นรตู้ ามวฏั จกั รการเรยี นรู้ 7E เรอ่ื งแรงและการเคลอ่ื นที่ สำ� หรบั นกั เรยี นชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 4 มปี ระสทิ ธภิ าพ เทา่ กบั 77.20/75.10 และสอดคลอ้ งกับผลการวิจัยของ จริ าภรณ์ คงหนองลาน (2557: 104) ได้ทำ� การวิจัย การพฒั นาชดุ กจิ กรรมการเรยี นรตู้ ามกระบวนการสบื เสาะหาความรตู้ ามวฏั จกั รการเรยี นรู้ 7 ขนั้ (7E) รายวชิ า เคมีเพิม่ เตมิ เรื่องสารละลาย สำ� หรบั นกั เรยี นชนั้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 5 มปี ระสทิ ธภิ าพเทา่ กบั 81.44/82.80 และ สอดคลอ้ งกบั ผลการวจิ ยั ของ เรณกุ านต์ โชตกิ นกกลุ (2558: 95) ไดท้ ำ� การวจิ ยั การพฒั นาชดุ กจิ กรรมการเรยี น รู้ตามวฏั จกั รการเรยี นรู้ 7 ขนั้ เรอื่ งเซลล์ไฟฟา้ เคมี กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศกึ ษาปีท่ี 6 มีประสทิ ธิภาพเท่ากบั 88.59/82.87 และสอดคล้องกบั ผลการวจิ ยั ของ พิลกึ นิลศริ ิ (2558: 69) ไดพ้ ฒั นา ชดุ กจิ กรรมวทิ ยาศาสตร์ เรอ่ื ง การสงั เคราะหแ์ สงทม่ี ตี อ่ ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี น สำ� หรบั นกั เรยี นชน้ั มธั ยมศกึ ษา ปที ี่ 5 พบว่า ชดุ กจิ กรรมทพี่ ัฒนาข้ึนมปี ระสิทธภิ าพ 83.59/80.06 ซึง่ สงู กวา่ เกณฑ์มาตรฐาน 80/80 ท่กี ำ� หนด ไว้ และสอดคล้องกับผลการวิจัยของ ปรียารัตน์ ปัททุม (2558: 152) ชุดการสอนวิทยาศาสตร์ โดยใช้ กระบวนการสะทอ้ นธรรมชาติของวทิ ยาศาสตร์ และเทคโนโลยี เรื่อง สิง่ มชี ีวติ กับสิง่ แวดลอ้ ม สำ� หรับนักเรียน ชั้นประถมศกึ ษาปีที่ 4 ถงึ ประถมศกึ ษาปที ี่ 6 มีประสิทธิภาพเทา่ กบั 88.64/85.83 ซง่ึ สูงกวา่ เกณฑ์มาตรฐาน ที่ก�ำหนดไว้ คือ 80/80 สอดคล้องกับผลการวิจัยของ เดชา วงศ์เจริญ (2558) ได้ท�ำการวิจัยเพ่ือพัฒนา ชดุ กจิ กรรมการเรยี นรู้แบบสืบเสาะหาความรมู้ ปี ระสิทธิภาพ E1/E2 เท่ากบั 80.85/80.10 2. นักเรียนที่เรียนโดยใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ขั้น วิชาชีววิทยา เรื่อง โครงสร้างและหน้าท่ีของพืชดอก ส�ำหรับนกั เรียนชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี 5 น้ี มผี ลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนหลังเรยี น สูงกว่าก่อนเรียนอยา่ งมีนัยส�ำคญั ทางสถิติทีร่ ะดบั .01 ซึ่งสามารถสรปุ ไดว้ า่ นกั เรียนมีผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี น เพิ่มขึ้นเมื่อเรียนด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ข้ัน วิชาชีววิทยา เร่ือง โครงสร้างและ ปีที่ 16 ฉบบั ท่ี 1 ประจำ�เดอื นมกราคม - เมษายน 2563 125
หน้าทข่ี องพชื ดอก ท้งั 7 ชุด เนอ่ื งมาจากผวู้ ิจยั ไดส้ รา้ งชดุ กจิ กรรมแตล่ ะชุดตามทฤษฎคี วามแตกต่างระหวา่ ง บคุ คล และทฤษฎสี อื่ ประสม โดยเนน้ กจิ กรรมทใ่ี หน้ กั เรยี นไดศ้ กึ ษาและลงมอื ปฏบิ ตั กิ จิ กรรมดว้ ยตนเอง ทำ� ให้ นักเรียนอยากรอู้ ยากเห็น กระตอื รือรน้ ในการเรยี น ให้ความรว่ มมอื ในกิจกรรมกลุ่ม รว่ มกจิ กรรมและทำ� งาน อยา่ งมคี วามสขุ ซง่ึ กจิ กรรมมคี วามยากงา่ ยเหมาะสมกบั ระดบั ชน้ั ของนกั เรยี น จงึ ทำ� ใหน้ กั เรยี นเกดิ การเรยี นรู้ สามารถสร้างความเข้าใจด้วยตนเองได้ ตอบสนองต่อเรื่องความแตกต่างระหว่างบุคคล และส่งเสริมให้เกิด การพัฒนาการเรียนรู้ตรงศักยภาพสูงสุด ซ่ึงสอดคล้องกับผลการวิจัยของ วารุณี อินทรบ�ำรุง (2554: 87) ได้ท�ำการวิจัยการพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เร่ืองสารชีวโมเลกุล กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ช้นั มัธยมศึกษาปีท่ี 5 โดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ 7 ขั้น นักเรียนมีผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนหลังเรยี น โดยการจดั กจิ กรรมการเรยี นรแู้ บบสืบเสาะหาความรู้ 7 ขนั้ สูงกว่าก่อนเรยี นอยา่ งมีนัยสำ� คัญทางสถิติทร่ี ะดบั .01 และสอดคล้องกบั ผลการวจิ ัยของ พรพศิ แกว้ บ้านเหล่า (2556: 82-83) ไดท้ ำ� การวิจัยการพฒั นากจิ กรรม การเรยี นรู้ เรอื่ ง บรรยากาศ สำ� หรบั นกั เรยี นชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 1 กลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ โดยใชร้ ปู แบบ การเรยี นการสอนแบบ 7 ขนั้ รว่ มกบั แผนผังมโนมติ พบว่า นกั เรียนทเ่ี รยี นดว้ ยแผนการจดั การเรยี นรู้โดยใช้ รูปแบบการเรียนรู้แบบ 7 ข้ัน ร่วมกับแผนผังมโนมติมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อยา่ งมนี ยั สำ� คญั ทางสถติ ทิ ร่ี ะดบั .01 และสอดคลอ้ งกบั ผลการวจิ ยั ของ ศริ พิ ร ฤทธมิ์ าก (2557: 75-76) ไดท้ ำ� การวจิ ยั การพฒั นาชดุ กจิ กรรมการเรยี นรตู้ ามวฏั จกั รการเรยี นรู้ 7E เรอื่ ง แรงและการเคลอื่ นท่ี สำ� หรบั นกั เรยี น ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 4 พบว่า นักเรียนมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนหลังเรียนด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้สูงกว่า กอ่ นเรยี นอยา่ งมนี ยั สำ� คญั ทางสถติ ทิ ร่ี ะดบั .01 และสอดคลอ้ งกบั ผลการวจิ ยั ของ จริ าภรณ์ คงหนองลาน (2557: 104) ได้ท�ำการวิจยั การพัฒนาชุดกจิ กรรมการเรียนรตู้ ามกระบวนการสืบเสาะหาความร้ตู ามวัฏจกั รการเรียน รู้ 7 ข้ัน รายวิชาเคมีเพิ่มเติม เร่ือง สารละลาย ส�ำหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 5 นักเรียนมีผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรยี นหลงั เรยี นดว้ ยชุดกจิ กรรมการเรยี นรู้สงู กว่ากอ่ นเรียนอยา่ งมนี ัยสำ� คญั ทางสถิตทิ รี่ ะดับ .05 และ สอดคลอ้ งกบั ผลการวจิ ยั ของ เรณกุ านต์ โชตกิ นกกลุ (2558: 95) ไดท้ ำ� การวจิ ยั การพฒั นาชดุ กจิ กรรมการเรยี น รู้ตามวฏั จักรการเรยี นรู้ 7 ข้นั เรอ่ื ง เซลลไ์ ฟฟา้ เคมี กลุม่ สาระการเรียนรูว้ ทิ ยาศาสตร์ ช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ี่ 6 นักเรียนที่เรียนด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้ตามวัฏจักรการเรียนรู้ 7 ขั้น มีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนหลังเรียน สูงกว่านักเรียนท่ีเรียนด้วยวิธีปกติ อย่างมีนัยส�ำคัญทางสถิติท่ีระดับ .01 และสอดคล้องกับผลการวิจัยของ ปรียารัตน์ ปัททุม (2558: 152) การสร้างชดุ การสอนวทิ ยาศาสตร์ โดยใชก้ ระบวนการสะทอ้ นธรรมชาตขิ อง วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี เร่ือง สิ่งมีชีวิตกับส่ิงแวดล้อม ส�ำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 4 ถึง ประถมศึกษาปีที่ 6 ผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยส�ำคัญ ทางสถิติท่ีระดับ .05 และสอดคล้องกับผลการวิจัยของ ศิวพร ศรีจรัส, ชนวัฒน์ ตันติวรานุรักษ์ และเชษฐ์ ศิริสวัสดิ์ (2560: 83) ได้ศึกษาผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบวัฏจักรสืบเสาะหาความรู้ 7 ข้ัน ร่วมกับ การใช้ค�ำถามระดับสูงที่มีผลต่อการคิดอย่างมีเหตุผลและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เร่ือง ระบบย่อยอาหาร ของนกั เรยี นชั้นมธั ยมศึกษาปที ่ี 4 พบว่า ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนหลังเรียนสูงกวา่ ก่อนเรยี นอย่างมีนัยส�ำคัญ ทางสถิติท่รี ะดับ .05 3. การวเิ คราะหค์ า่ ดัชนปี ระสิทธผิ ล พบว่า มีคา่ เทา่ กับ .8409 แสดงว่าการเรียนโดยใชช้ ดุ กิจกรรม การเรียนรู้แบบสบื เสาะหาความรู้ 7 ขัน้ วิชาชีววิทยา เร่อื ง โครงสร้างและหนา้ ทขี่ องพชื ดอก ส�ำหรบั นกั เรยี น ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ท�ำให้นักเรียนมีความรู้เพ่ิมขึ้น 0.8409 หรือคิดเป็นร้อยละ 84.09 ที่เป็นเช่นน้ีอาจ 126 บัณฑิตวทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั สวนดสุ ิต
เนอื่ งมาจากนกั เรยี นไดฝ้ กึ ทกั ษะจากการทำ� กจิ กรรม แบบฝกึ หดั การทำ� แบบทดสอบแตล่ ะครงั้ กท็ ำ� ใหน้ กั เรยี น ได้ทบทวนความรแู้ ละเนือ้ หาท่ีเรียน ซ่งึ เปน็ การเพ่มิ พูนความรแู้ ละความเข้าใจใหม้ ีความแม่นยำ� มากขนึ้ ท�ำให้ นกั เรียนเกดิ การเรียนรูต้ ามทฤษฎกี ารเรยี นรแู้ ละการเรยี นรเู้ พ่อื รอบรู้ สามารถเช่ือมโยงความรู้ ความสัมพนั ธ์ ของกระบวนการเรยี นรตู้ า่ ง ๆ ทผ่ี วู้ จิ ยั เลอื กมาใชใ้ หเ้ หมาะสมกบั สาระการเรยี นรู้ และจดุ ประสงค์ ซง่ึ สอดคลอ้ ง กบั ผลการวจิ ยั ของ ระพพี รรณ พงษป์ ลมื้ (2557) ศกึ ษาการพฒั นาชดุ การสอนทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ขน้ั บรู ณาการสำ� หรบั นกั เรยี นชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 3 มคี า่ ดชั นปี ระสทิ ธผิ ล เทา่ กบั 0.74 ซง่ึ มคี า่ สงู กวา่ เกณฑ์ 0.5 ทกี่ ำ� หนด แสดงใหเ้ หน็ วา่ ชดุ การสอนทพี่ ฒั นาขนึ้ มปี ระสทิ ธผิ ลชว่ ยใหผ้ เู้ รยี นเกดิ การเรยี นรไู้ ดจ้ รงิ และสอดคลอ้ ง กบั ผลการวจิ ยั ของ ปรยี ารตั น์ ปทั ทมุ (2558: 152) ชดุ การสอนวทิ ยาศาสตรโ์ ดยใชก้ ระบวนการสะทอ้ นธรรมชาติ ของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เร่ือง สิ่งมีชีวิตกับส่ิงแวดล้อม ส�ำหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 4 ถึง ประถมศึกษาปีท่ี 6 มีค่าดัชนีประสิทธิผลของชุดการสอนพัฒนาขึ้นเท่ากับ .8070 และสอดคล้องกับผล การวจิ ยั ของ ชฎาวฒุ ิ เนอื งนนั ท์ (2561) ชดุ กิจกรรมวิทยาศาสตร์บรู ณาการ โดยใช้แหล่งเรยี นร้ทู ้องถิ่น เร่ือง ชีวติ สัมพนั ธ์ สำ� หรบั นักเรยี นชั้นประถมศกึ ษาปีท่ี 3 มคี ่าดชั นีประสทิ ธิผลของชุดกิจกรรม มีค่าเทา่ กับ .7213 แสดงวา่ การเรยี นดว้ ยชดุ กจิ กรรมวทิ ยาศาสตรบ์ รู ณาการ โดยใชแ้ หลง่ เรยี นรทู้ อ้ งถนิ่ เรอ่ื ง ชวี ติ สมั พนั ธ์ สำ� หรบั นกั เรียนชัน้ ประถมศกึ ษาปที ่ี 3 ท�ำให้นกั เรียนมคี วามรูเ้ พม่ิ ขึ้น .7213 หรอื คิดเปน็ ร้อยละ 72.13 ขอ้ เสนอแนะ ขอ้ เสนอแนะทไี่ ดจ้ ากการวิจัย 1. ภาพวาดตัวอย่างที่ใช้ประกอบการบรรยายในชุดกิจกรรมการเรียนรู้แต่ละชุด ต้องชัดเจนและ เหมอื นกับภาพจริงมากทส่ี ุด เพอ่ื ใหผ้ เู้ รียนไม่เกดิ การสบั สนในการเรยี นรู้ และเขา้ ใจเนือ้ หามากย่งิ ขน้ึ 2. เพ่ิมเตมิ ภาพตวั อย่างประกอบการบรรยายในเนอ้ื หาชุดกจิ กรรมการเรียนรใู้ หม้ คี วามหลากหลาย เพอ่ื ใหผ้ ู้เรียนเกดิ ความรคู้ วามเขา้ ใจและสามารถสร้างองคค์ วามร้ไู ดด้ ว้ ยตนเอง ข้อเสนอแนะสำ� หรับการวิจยั ครงั้ ต่อไป 1. ควรเลอื กภาพตวั อยา่ งประกอบการบรรยายในชดุ กจิ กรรมการเรยี นรใู้ หเ้ หมาะสมกบั เนอื้ หา และ พบได้ในท้องถ่ินของผู้เรียน เพื่อใหผ้ ูเ้ รยี นเกิดความรู้ความเขา้ ใจในเรอ่ื งท่ีศึกษาอย่างถ่องแท้ 2. การออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ ต้องมีความเหมาะสมกับผู้เรียน และเหมาะสมกับเวลาท่ีใช้ใน การทำ� กิจกรรม เอกสารอา้ งอิง กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. (2544). หลกั สตู รการศกึ ษาขนั้ พนื้ ฐาน พทุ ธศกั ราช 2544. กรงุ เทพฯ: ครุ สุ ภาลาดพรา้ ว. กระทรวงศึกษาธิการ. (2545). หลักสูตรการศึกษาข้ันพื้นฐาน. กรุงเทพฯ: องค์การรับส่งสินค้าและพัสดุ (ร.ส.พ.). กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. (2551). ตวั ชว้ี ดั และสาระการเรยี นรแู้ กนกลาง กลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตรต์ าม หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขนั้ พื้นฐาน พุทธศักราช 2551. กรงุ เทพฯ: ครุ ุสภาลาดพร้าว. ปที ่ี 16 ฉบับที่ 1 ประจำ�เดือนมกราคม - เมษายน 2563 127
จิราภรณ์ คงหนองลาน. (2557). การพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้แบบวัฏจักร การเรยี นรู้ 7 ข้นั (7E) รายวชิ าเคมเี พิ่มเตมิ เรื่องสารละลาย สำ� หรบั นกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษา ปีท่ี 5. วิทยานิพนธ์วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาวิทยาศาสตร์ศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏ พบิ ูลสงคราม. ชฎาวุฒิ เนืองนันท์. (2561). ชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์บูรณาการ โดยใช้แหล่งเรียนรู้ท้องถ่ิน เร่ือง ชีวิต สัมพันธ์ส�ำหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 3. วิทยานิพนธ์ครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชา หลกั สูตรและประเมินผลการศกึ ษา มหาวิทยาลยั ราชภฏั อบุ ลราชธานี. ฐิติยา ดวงจติ . (2555). ผลการใชช้ ดุ กิจกรรมวิทยาศาสตรท์ ี่มตี ่อทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์และ ความสามารถในการแกป้ ญั หาทางวทิ ยาศาสตร์ ของนกั เรยี นชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 1 โรงเรยี นสตรี พัทลุง จังหวัดพัทลุง. วิทยานิพนธ์ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลยั สุโขทัยธรรมาธิราช. เดชา วงศ์เจริญ. (2558). การพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ข้ัน วิชาเคมี เรื่อง สารชีวโมเลกุลส�ำหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 6. วิทยานิพนธ์ครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการพฒั นาหลักสตู รและการเรียนการสอน มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั อบุ ลราชธาน.ี บุญชม ศรสี ะอาด. (2547). การพัฒนาการสอน. กรุงเทพฯ: สุวีริยสาสน.์ ปรยี ารตั น์ ปทั ทมุ . (2558). การพฒั นาชดุ การสอนวทิ ยาศาสตรโ์ ดยใชก้ ารสะทอ้ นธรรมชาตขิ องวทิ ยาศาสตร์ และเทคโนโลยีเรื่องสิ่งมีชีวิตกับส่ิงแวดล้อมส�ำหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 4 ถึงประถม ศึกษาปีท่ี 6. วิทยานิพนธ์ครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการพัฒนาหลักสูตรและการเรียน การสอน มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั อบุ ลราชธานี. พรพศิ แกว้ บา้ นเหลา่ . (2556). การพฒั นากจิ กรรมการเรยี นรเู้ รอ่ื ง บรรยากาศสำ� หรบั นกั เรยี นชนั้ มธั ยมศกึ ษา ปที ี่ 1 กลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ โดยใชร้ ปู แบบการเรยี นการสอนแบบ 7E รว่ มกบั แผนผงั มโนมต.ิ การศกึ ษาคน้ ควา้ อสิ ระการศกึ ษามหาบณั ฑติ สาขาวชิ าหลกั สตู รและการสอน มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม. พิมพพ์ ันธ์ เดชะคุปต.์ (2550). ประมวลบทความ ปรบั วธิ ีเรยี น เปล่ยี นวิธสี อนวิทยาศาสตร์ สหู่ อ้ งเรยี นแหง่ การคิด. กรงุ เทพฯ: จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย. พิลกึ นิลศิริ. (2558). การพัฒนาชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ เรือ่ ง การสังเคราะหด์ ว้ ยแสงท่มี ีต่อผลสมั ฤทธ์ิ ทางการเรยี นและการคดิ วเิ คราะห์ สำ� หรบั นกั เรยี นชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5. วทิ ยานพิ นธว์ ทิ ยาศาสตร มหาบัณฑิต สาขาวิชาชวี วิทยาศกึ ษา มหาวิทยาลยั มหาสารคาม. ภพ เลาหไพบลู ย์. (2542). แนวทางการสอนวิทยาศาสตร์. กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนาพาณชิ . ระพีพรรณ พงษ์ปล้ืม. (2557). การพัฒนาชุดการสอนทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ข้ันบูรณาการ สำ� หรบั นักเรยี นช้นั มธั ยมศกึ ษา. วทิ ยานพิ นธ์ครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาวทิ ยาศาสตร์ศกึ ษา มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์. 128 บณั ฑิตวทิ ยาลัย มหาวทิ ยาลัยสวนดสุ ติ
เรณกุ านต์ โชตกิ นกกุล. (2558). การพัฒนาชุดกิจกรรมการเรยี นรตู้ ามรูปแบบวฏั จกั รการเรียนรู้ 7 ขน้ั เรือ่ ง เซลลไ์ ฟฟ้าเคมี กล่มุ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ ช้นั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 6. วิทยานิพนธค์ รศุ าสตร มหาบัณฑิต สาขาวิชาหลกั สตู รและการเรียนการสอน มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม. วารุณี อินทรบ�ำรุง. (2554). การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ เรื่องสารชีวโมเลกุล กลุ่มสาระการเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5 โดยใช้กระบวนการสบื เสาะหาความรู้ 7 ขน้ั . วทิ ยานิพนธ์ การศึกษามหาบณั ฑิต สาขาวชิ าหลกั สตู รและการสอน มหาวิทยาลยั มหาสารคาม. ศิริพร ฤทธิ์มาก. (2557). การพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้ตามวัฏจักรการเรียนรู้ 7E เร่ืองแรงและกฎ การเคลอ่ื นท่ี ส�ำหรบั นักเรยี นชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 4. วิทยานพิ นธก์ ารศกึ ษามหาบัณฑติ สาขาวชิ า วิทยาศาสตรศ์ ึกษา มหาวิทยาลยั นเรศวร. ศิวพร ศรีจรัส, ชนวัฒน์ ตนั ติวรานรุ ักษ์ และเชษฐ์ ศิริสวัสด.ิ์ (2560). ผลการจดั กิจกรรมการเรยี นรแู้ บบวฏั จกั ร สืบเสาะหาความรู้ 7 ขัน้ (7E) ร่วมกบั การใช้คำ� ถามระดับสงู ที่มีผลตอ่ การคิดอยา่ งมีเหตุผลและ ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน เรื่อง ระบบย่อยอาหาร ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 4. วารสาร การศกึ ษามหาวิทยาลยั นเรศวร, 19 (2): 83-94. สาขาชีววิทยา สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. (2550). รูปแบบการเรียนการสอนท่ี พัฒนากระบวนการคิดระดับสูง วิชาชีววิทยา ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย. [Online]. Available: http://www.ipst.ac.th/biology/Bio-Articles/mag-content10.html [2558, กรกฎาคม 21]. สำ� นกั วชิ าการและมาตรฐานการศกึ ษา. (2551). ตวั ชว้ี ดั และสาระการเรยี นรแู้ กนกลาง กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ วทิ ยาศาสตร.์ กรุงเทพฯ: ชุมนมุ สหกรณก์ ารเกษตรแห่งประเทศไทย. สคุ นธ์ สนิ ธพานนท.์ (2553). นวตั กรรมการเรยี นการสอนเพอื่ พฒั นาคณุ ภาพของเยาวชน. กรงุ เทพฯ: อกั ษร เจรญิ ทศั น์. สุวทิ ย์ มลู ค�ำ. (2551). กลยทุ ธก์ ารสอนคิดแก้ปัญหา (พมิ พ์คร้งั ที่ 4). กรุงเทพฯ: การพมิ พ์. อรนุช ลมิ ตศริ .ิ (2546). นวัตกรรมและเทคโนโลยีการเรียนการสอน (พมิ พค์ ร้ังท่ี 3). พษิ ณุโลก: มหาวิทยาลัย นเรศวร. Ashby, S. (1972). The Fourth Revolution Instructional Technology in Higher Education. New York: McGraw-Hill. Eisenkraft, A. (2003). Expanding the 5E Model. Science Education, 5 (6): 57-59. Kepfer, Ph. & Miriam, K. (1972). Introduction to Learning Package in Learning Packages in America Education. New Jersey: Education. ปที ี่ 16 ฉบับที่ 1 ประจำ�เดอื นมกราคม - เมษายน 2563 129
คณะผู้เขยี น นางสาวศริ ิพร วามะลนุ คณะวทิ ยาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั อุบลราชธานี ถนนราชธานี ต�ำบลในเมือง อ�ำเภอเมอื ง จังหวัดอบุ ลราชธานี 34000 e-mail: [email protected] ดร. สุพรรนี อะโอกิ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภฏั อบุ ลราชธานี ถนนราชธานี ตำ� บลในเมือง อ�ำเภอเมือง จังหวดั อุบลราชธานี 34000 e-mail: [email protected] 130 บณั ฑติ วทิ ยาลยั มหาวิทยาลัยสวนดุสติ
ประสิทธิผลของสอ่ื ดิจทิ ลั เพอ่ื การเลา่ เรือ่ งผ่านภาพทม่ี ีตอ่ แรงจูงใจของผูเ้ รียน และความสามารถด้านภาษาองั กฤษ The Effectiveness of Digital Storytelling on Students’ Motivation and English Literacy กง่ิ กาญจน์ สุพรศิริสิน* สมสิรี มนสั รัตนา เจงพิบลู พงศ์ และภทั รพร จันทมณุ ี คณะมนุษยศาสตร์และสงั คมศาสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฏั สรุ าษฎร์ธานี Kingkan Supornsirisin* Somsiree Manus Rattana Jangpiboonpong and Pattaraporn Janthamunee Faculty of Humanities and Social Sciences, Suratthani Rajabhat University Received: April 21, 2019 Revised: September 15, 2019 Accepted: September 20, 2019 บทคดั ยอ่ งานวจิ ยั ชิน้ นมี้ วี ตั ถุประสงค์ คอื 1. เพ่ือหาประสิทธิผลของส่ือดจิ ทิ ลั เพือ่ การเล่าเร่ืองผ่านภาพท่มี ตี ่อ ทักษะการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ และแรงจูงใจของผู้เรยี น 2. เพ่ือหาประโยชนแ์ ละอปุ สรรคในการใชง้ านของสือ่ ดจิ ิทลั เพื่อการเลา่ เรอื่ งผา่ นภาพ กลมุ่ ตัวอยา่ งทใ่ี ช้ในการวิจัยคร้งั นี้ใช้วิธกี ารสุ่มแบบเจาะจง คอื เป็นนักศกึ ษา ชัน้ ปที ี่ 3 สาขาวชิ าภาษาองั กฤษธุรกจิ มหาวทิ ยาลัยราชภัฏสุราษฎรธ์ านี จำ� นวน 32 คน ทีล่ งทะเบยี นเรียน ภาษาอังกฤษใน 2 รายวิชา คือ วิชาภาษาอังกฤษเพื่อการโรงแรม และวิชาภาษาอังกฤษเพ่ือการท่องเที่ยว เครือ่ งมือที่ใช้ในการวิจยั คอื 1) แบบสอบถามเพือ่ สอบถามการพัฒนาทักษะการเรยี นรู้ภาษาองั กฤษ และเพื่อ หาแรงจูงใจท่ีมีต่อการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ 2) แบบสัมภาษณ์ก่ึงโครงสร้าง และ 3) การอภิปรายกลุ่มย่อย วเิ คราะหข์ อ้ มลู โดยใชส้ ถติ ิ คา่ เฉลยี่ สว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน คา่ รอ้ ยละ ผลการวจิ ยั พบวา่ 1) นกั ศกึ ษามที ศั นคติ และแรงจงู ใจเชงิ บวกต่อสื่อดิจิทัลเพอ่ื การเล่าเรอ่ื งผา่ นภาพ และเหน็ ว่าทกั ษะการพูดภาษาอังกฤษเป็นทักษะ ได้รับการพัฒนามากทส่ี ุด 2) จากผลการสัมภาษณแ์ ละอภิปรายกลุม่ ย่อย ผเู้ รียนได้สนับสนุนประสิทธิผลของ การใช้งานสื่อดิจิทัลเพ่ือการเล่าเรื่องผ่านภาพว่ามีประสิทธิผลในเร่ืองของการพัฒนาทักษะการเรียนรู้ภาษา อังกฤษของผู้เรียน และมีความสนุกสนานในการเรียนรู้เพ่ือพัฒนาศักยภาพด้านภาษาอังกฤษท้ังทางการพูด และการเขียนผา่ นสอื่ ดจิ ิทัลท่ผี สมผสานทัง้ รปู ภาพและค�ำไว้ด้วยกนั คำ� ส�ำคญั : ส่ือดจิ ทิ ัลเพ่ือการเล่าเรอื่ งผา่ นภาพ แรงจงู ใจ ทกั ษะภาษาอังกฤษ * ก่งิ กาญจน์ สุพรศริ สิ นิ (Corresponding Author) ปที ี่ 16 ฉบับท่ี 1 ประจำ�เดอื นมกราคม - เมษายน 2563 131 e-mail: [email protected]
Abstract The purposes of the study were: 1) to determine the effectiveness of digital storytelling towards English language learning skills and the students’ motivation; and 2) to investigate the benefits and challenges presented by digital storytelling. Thirty-two third year Business English majors at Suratthani Rajabhat University chosen purposively as the subjects for the study had registered in two separate courses, English for Hotel and English for Tourism. Research instruments included 1) the questionnaires, designed to assess language skills and language learning motivation, 2) semi-structured interviews, and 3) small group discussions. The data were analyzed to find out the statistics of mean, standard deviation, and percentage. The findings revealed that 1) their attitude and motivation towards digital storytelling were highly positive and English speaking skill was the most improvement skill while using it. 2) the results from the interviews and small group discussions both supported the effectiveness of using digital storytelling as an effective language learning tool to improve students’ English language learning skills, and they appeared to enjoy their learning of improving themselves in English both orally and in writing through a digital medium that combined visual images with the written word. Keywords: Digital Storytelling, Motivation, English skills บทนำ� ครผู สู้ อนภาษาองั กฤษใหแ้ กว่ ยั เดก็ ในระดบั ประถมศกึ ษาและระดบั มธั ยมศกึ ษา หรอื วยั ผใู้ หญใ่ นระดบั อุดมศึกษาได้ตระหนักว่าผู้เรียนในปัจจุบันมีวิธีการคิดและการแสดงออกแตกต่างจากผู้เรียนในสมัยก่อน เปน็ อยา่ งมาก ผเู้ รยี นในปจั จบุ นั หรอื เรยี กอกี อยา่ งหนงึ่ วา่ กลมุ่ คนรนุ่ ใหม่ (Millennial) ไดเ้ กดิ และเตบิ โตในโลก ของเทคโนโลยีสารสนเทศ ปัจจุบันน้ีผู้เรียนกลุ่มนี้เข้าถึงส่ือดิจิทัลต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็วในระยะเวลาอันส้ัน พวกเขาเรยี นรกู้ ารใชง้ านและมีความเชย่ี วชาญในการใชเ้ ครอื่ งมอื ต่าง ๆ ได้เปน็ อย่างดี รวมทั้งการใช้งานด้าน คอมพวิ เตอร์ การใชง้ านแทปเลต็ เครอ่ื งเลน่ วดี โี อเกม เครอ่ื งเลน่ ดนตรดี จิ ทิ ลั และโทรศพั ทม์ อื ถอื ทมี่ คี วามทนั สมยั อุปกรณ์เหล่านี้เพิ่มจ�ำนวนในการใช้งานทั้งในประเทศและต่างประเทศผ่านการใช้งานในรูปแบบอินเตอร์เน็ต เป็นจ�ำนวนมาก อาจจะกล่าวได้ว่าผู้เรียนกลุ่มนี้มีความสามารถในการใช้เทคโนโลยีอย่างมากหรืออาจจะ มีมากกว่าผ้สู อนและผูป้ กครอง (Sylvester & Greenidge, 2009) นอกจากน้ีผู้เรียนกลมุ่ น้ีได้รับการสนบั สนนุ การเรียนรู้ผ่านเทคโนโลยีสารสนเทศท่ีถูกใช้งานทางด้านภาคสังคมมากข้ึน และสามารถใช้งานเทคโนโลยี เหล่านนั้ ได้เปน็ อยา่ งดี (Swingle, 2016) ขณะที่มีเทคโนโลยใี หม่ ๆ เข้ามาอย่างต่อเนอื่ ง จงึ ได้มีการสนบั สนนุ ใหใ้ ชเ้ ทคโนโลยีในหอ้ งเรยี นเพอื่ การศกึ ษามากขนึ้ Sandars & Morrison (2007) กลา่ ววา่ ผเู้ รยี นในปจั จบุ นั ไมใ่ ชแ่ คไ่ ดป้ ระโยชนจ์ ากการใชง้ าน วิกพิ ีเดีย บลอ็ ก และแชทรูมเพ่อื การใช้งานสว่ นตวั เทา่ นั้น แต่เครอื่ งมือเหลา่ น้ีสามารถกอ่ ให้เกดิ ประโยชนต์ อ่ 132 บณั ฑติ วทิ ยาลัย มหาวิทยาลยั สวนดุสิต
การเรยี นรขู้ องผเู้ รยี นทง้ั ในและนอกหอ้ งเรยี นได้ นอกเหนอื จากการใชง้ านดา้ นสอ่ื เทคโนโลยที ม่ี ภี าพและกราฟกิ เปน็ องคป์ ระกอบ ผเู้ รยี นในปจั จบุ นั นยี้ งั เหน็ ประโยชนข์ องการใชง้ านเหลา่ นน้ั ผา่ นทางชอ่ งทางอนื่ มากมายดว้ ย แหลง่ ข้อมูลทีล่ �้ำลกึ และประสบการณ์ในการใช้งานมากขนึ้ ดงั นั้นจึงไม่เปน็ ท่ีนา่ แปลกใจเลยว่าผเู้ รยี นสามารถ สืบค้นข้อมูลในการใช้ส่ือเหล่าน้ันอย่างง่ายดาย เช่น การใช้เทคโนโลยีภาพ เสียงบันทึก และวิดีโอ ซึ่งไม่ใช่ การใช้งานแค่การอ่านในหนังสือเพียงอย่างเดียวแล้ว (Oblinger, 2003) นอกจากนี้ Robin (2008) ได้กล่าวว่า ผู้เรียนในปัจจุบันไม่ใช่แค่ผู้เสพข่าวสารเพียงอย่างเดียว แต่พวกเขายังเป็นผู้สร้างข่าวสารผ่าน การใช้งานทางสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งเป็นการใช้งานแบบกิจกรรมผสมผสานกับเทคโนโลยีที่ส่งผลส�ำคัญต่อ การศกึ ษาในปัจจุบันเป็นอย่างมาก (Borland, 2007) เพอ่ื เสรมิ สรา้ งใหเ้ กดิ การเรยี นรกู้ บั ผเู้ รยี นในกลมุ่ ดจิ ทิ ลั มากขน้ึ ผสู้ อนจำ� เปน็ ตอ้ งปรบั ปรงุ การสอนให้ เข้ากับความต้องการของผู้เรียน มิเช่นน้ันแล้วผู้สอนจะลดประสิทธิผลต่อการเรียนรู้ให้กับผู้เรียนอย่างมาก (Prensky, 2001) นอกจากนี้ปัจจัยท่ีจ�ำเป็นและส�ำคัญต่อการเรียนรู้คือผู้เรียนต้องมีแรงจูงใจในการเรียนรู้ ซ่ึงเป็นตัวแปรส�ำคัญที่ก่อให้เกิดความส�ำเร็จในการเรียน จะเห็นได้ว่าผู้เรียนในระดับมหาวิทยาลัยใช้เวลา ในการเรยี นรสู้ อื่ เทคโนโลยดี จิ ทิ ลั มากวา่ 20 ปแี ลว้ ผสู้ อนในระดบั มหาวทิ ยาลยั จงึ ควรตระหนกั รวู้ า่ การสอนโดยใช้ ครูเป็นศูนย์กลางเป็นวิธีการที่ล้าสมัยและกระตุ้นให้ผู้เรียนเบ่ือหน่ายในการเรียนรู้ ในปัจจุบันนี้ด้านการสอน ภาษาองั กฤษ ไดม้ กี ารทำ� วจิ ยั เกย่ี วกบั การใชง้ านดา้ นเทคโนโลยใี นหอ้ งเรยี นมากขนึ้ ทง้ั จากบลอ็ กของผสู้ อนเอง วกิ ิพีเดีย เวป็ เควส และยูทปู นอกจากนย้ี ังมีสื่อการสอนเพิ่มเติมท่เี พมิ่ ความหลากหลายให้กับบทเรยี นผ่านส่ือ การสอนสังคมออนไลน์ เช่น เฟสบุค การให้บริการข้อความด่วนออนไลน์ เพื่อติดต่อสื่อสารกับผู้เรียนนอก ห้องเรียนได้อย่างดี จึงเป็นท่ีน่าสังเกตว่าผู้สอนภาษาอังกฤษในระดับอุดมศึกษาต้องมีความสามารถในการใช้ งานเทคโนโลยดี ิจิทลั ในบทเรยี นเพิม่ มากขนึ้ อีกทัง้ การสอนภาษาอังกฤษเปน็ ภาษาต่างประเทศยังมีการเรยี น การสอนแบบออนไลน์มากมาย ซ่ึงผู้สอนสามารถเพ่ิมส่ือการเรียนรู้ในรูปแบบของคลังความรู้ออนไลน์ และ บนั ทกึ ลงไปในแผน่ ซดี ี แฟลซไดรฟ์ หรอื บนั ทกึ ลงในคลาวด์ เพอื่ เปน็ บทเรยี นทเ่ี หมาะสมกบั ความสามารถดา้ น ภาษาองั กฤษแบบรายบุคคล และกอ่ ใหเ้ กดิ การเรยี นรอู้ ยา่ งมคี วามเข้าใจและมีโอกาสในการฝกึ ปฏิบตั ไิ ดท้ ุกท่ี ทกุ เวลา ในปจั จบุ นั สามารถเขา้ ถงึ ขอ้ มลู ทว่ั โลกไดอ้ ยา่ งรวดเรว็ แคเ่ พยี งปลายนวิ้ ซงึ่ ขอ้ มลู อาจจะอยใู่ นรปู แบบ ของไฟล์ Microsoft word หรอื ไฟล์ PDF ซึง่ ส่ือเทคโนโลยีเหล่าน้ยี ังมีข้อจำ� กัดในการเรยี นรู้แบบมสี ว่ นรว่ ม เทคโนโลยีรูปแบบหน่ึงซึ่งมีการค้นพบเมื่อไม่นานมาน้ีในการสนับสนุนการเรียนรู้ของผู้เรียนแบบมี สว่ นรว่ มอยา่ งมปี ฏสิ มั พนั ธ์ คอื รปู แบบการใชส้ อ่ื ดจิ ทิ ลั เพอ่ื การเลา่ เรอ่ื งผา่ นภาพ ซง่ึ เปน็ การนำ� ขอ้ มลู ผา่ นการใช้ งานมัลติมีเดียและส่ือเทคโนโลยีสารสนเทศ สื่อดิจิทัลเพื่อการเล่าเร่ืองผ่านภาพน้ีมีประโยชน์ในการสร้าง ความเขา้ ใจในดา้ นเนอื้ หาผา่ นการใชเ้ สยี ง ภาพ ความคดิ สรา้ งสรรค์ และทกั ษะการคดิ ซง่ึ ผจู้ ดั ทำ� เปน็ ผอู้ ดั เสยี ง ผา่ นการเลา่ เรอ่ื งภาพในรปู แบบของสอ่ื มลั ตมิ เิ ดยี (Porter, 2004) จากหนงั สอื ของ Ohler ในปี 2008 ทชี่ อ่ื วา่ การเล่าเรื่องผ่านภาพดิจิทัลในห้องเรียน ผู้เขียนเล่าว่าส่ือดิจิทัลเพื่อการเล่าเร่ืองผ่านภาพเป็นการสร้าง กระบวนการความคดิ สรา้ งสรรค์ ซงึ่ อาจจะออกมาในรปู แบบของการเลา่ เรอื่ งสว่ นบคุ คลหรอื นทิ านผา่ นการใช้ เทคโนโลยดี จิ ทิ ลั การเลา่ เรอื่ งครงั้ แรกไดถ้ กู จดั ทำ� ขน้ึ ในรปู แบบของเสยี งและภาพ ดนตรี ลกู เลน่ เพอื่ สรา้ งสรรค์ การเล่าเรื่องให้มีอรรถรสมากขึ้น (Porter, 2004) Digital Storytelling Association (2002) ได้อธบิ ายวา่ สื่อดิจิทัลเพื่อการเล่าเร่ืองผ่านภาพเป็นเครื่องมือในการสร้างสรรค์ผลงานเพื่อการเล่าเร่ืองในอดีตให้มี ความทันสมัยมากขึ้นโดยการใช้งานผ่านส่ือดิจิทัลและสร้างสรรค์เน้ือเรื่องให้มีองค์ประกอบด้านสารสนเทศ ปที ี่ 16 ฉบับท่ี 1 ประจ�ำ เดือนมกราคม - เมษายน 2563 133
มากขึ้นเพ่ือเป็นการบอกกล่าว แบ่งปัน และรักษา นอกจากน้ีสื่อดิจิทัลเพ่ือการเล่าเร่ืองผ่านภาพเพิ่ม ความสามารถด้านการเช่ือมภาพ ดนตรี การเล่าเรื่อง เสียง ให้ผสมผสานกันอย่างลงตัวอีกท้ังยังเพ่ิม ความหลากหลายไปยงั ตวั แสดง สถานการณ์ และเนื้อหาให้มีความลกึ ซึ้งมากข้ึน สอื่ ดจิ ทิ ลั เพอื่ การเลา่ เรอ่ื งผา่ นภาพนอกจากจะใชอ้ งคป์ ระกอบของกลอ้ ง คอมพวิ เตอร์ และเครอื่ งมอื ทท่ี นั สมยั แลว้ สอื่ ดจิ ทิ ลั เพอ่ื การเลา่ เรอ่ื งผา่ นภาพยงั มปี ระโยชนใ์ นการใชง้ านทห่ี ลากหลายมากขน้ึ (Meadows, 2003) จากงานวิจัยของ Robin (2008) ระบุว่าการเล่าเร่ืองผ่านภาพแบบดิจิทัลมีวัตถุประสงค์เพ่ือเล่าเรื่อง ส่วนบุคคล เรื่องราวเหตุการณ์ในอดีตที่เป็นประวัติศาสตร์ และเพื่อใช้เป็นคู่มือในการแจ้งหรือแนะน�ำใน การใช้งาน ทางด้านการน�ำไปใช้ดา้ นการศึกษา Robin (2006) กล่าวว่า สือ่ ดจิ ิทัลเพอ่ื การเล่าเรอื่ งผา่ นภาพ ท�ำให้ผู้เรียนสามารถรวบรวมข้อมูลอย่างเป็นระบบ และมีทักษะการแก้ปัญหาท้ังยังเพิ่มความสามารถด้าน การท�ำงานร่วมกันเป็นทีม กระบวนการการสร้างส่ือดิจิทัลเพ่ือการเล่าเรื่องผ่านภาพ สามารถออกแบบผ่าน การเรียนร้ใู นรปู แบบของโครงงานและเปน็ การเพ่มิ ศักยภาพในการเรยี นรดู้ ้านเนอื้ หา ในห้องเรียนทางภาษา การเล่าเร่ืองได้น�ำมาใช้ในหลายวิธีและหลากหลายวัตถุประสงค์ทั้งนี้เพ่ือ พัฒนาการใช้ภาษาและพัฒนาทักษะของภาษาเป้าหมาย รวมท้ังก่อให้เกิดการเรียนรู้ทางด้านวัฒนธรรมและ วรรณคดีของภาษาเปา้ หมายด้วย Hendrickson (1992) กล่าววา่ การเล่าเรื่องและฟังเรือ่ งราวเป็นวธิ กี ารใน อดีตเพ่อื พัฒนาภาษาทุกภาษาสำ� หรบั ผเู้ รยี นทกุ วัย และทุกระดบั ความรู้ เรือ่ งราวทถ่ี ูกน�ำมาใช้ในหอ้ งเรียนจะ ประกอบไปด้วยการพัฒนาภาษาแบบผสมผสานด้านภาษาศาสตร์และด้านวัฒนธรรม เพ่ือให้ผู้เรียนเกิด ความเข้าใจเพิ่มขึ้นและช่วยพฒั นาทกั ษะ ฟงั พดู อ่านและเขียน จึงไม่เปน็ ทน่ี า่ แปลกใจเลยว่าการผสมผสาน ของรปู ภาพ เสยี ง ดนตรี ด้วยสอื่ การเรยี นรู้ดังกล่าวสามารถก่อให้เกดิ การเรยี นรู้ และพฒั นาความเข้าใจให้แก่ ผู้เรยี น (Farmer, 2004; Royer & Richards, 2007; Salkhord, Gordjian & Pazhakh, 2013) ก่อนหน้าท่ีจะเกิดการประดิษฐ์คิดค้นคอมพิวเตอร์ขึ้นมา การเล่าเรื่องได้น�ำมาใช้ในห้องเรียนภาษา องั กฤษเพอ่ื พฒั นาผเู้ รยี นดา้ นการพดู และการเขยี น การเลา่ เรอื่ งผา่ นภาพเพอื่ ใชใ้ นการเรยี บเรยี งเรอื่ งราว ทำ� ให้ เกิดการพัฒนาด้านการเขียนของผู้เรียนและยังเป็นต้นแบบในการเรียนรู้เพ่ือพัฒนาทักษะด้านการเขียน อย่างเป็นขั้นตอน นอกจากสือ่ ดจิ ิทลั เพอื่ การเลา่ เรอ่ื งผ่านภาพจะพฒั นาทกั ษะการเขยี นแล้ว ยงั มีประโยชน์ให้ ผเู้ รยี นเกดิ การเรยี นรแู้ บบมสี ว่ นรว่ มและมปี ฏสิ มั พนั ธก์ บั ผอู้ นื่ มากขน้ึ กอ่ ใหเ้ กดิ ความรว่ มมอื เพอื่ การทำ� งานเปน็ ทมี Smelda, Dakich & Sharda (2014) ได้รายงานว่าสอ่ื ดจิ ิทัลเพ่อื การเลา่ เร่อื งผา่ นภาพกระตนุ้ ใหผ้ เู้ รยี น เกิดการท�ำงานแบบร่วมมือกันในรูปแบบของการจัดท�ำโครงงาน และก่อให้เกิดการสื่อสารระหว่างผู้เรียน มากข้ึน มที กั ษะด้านการจดั การ มีความมน่ั ใจในการตั้งคำ� ถามและกล้าแสดงความคดิ เห็นมากขน้ึ สื่อดิจิทัลเพ่ือการเล่าเรื่องผ่านภาพได้มีกระบวนการจัดการในการท�ำงานสองรูปแบบใหญ่ ๆ คือ ถ้าหากผู้ออกแบบเป็นผู้สอน สื่อดิจิทัลเพื่อการเล่าเรื่องผ่านภาพได้ออกแบบขึ้นมาเพ่ือพัฒนาความเข้าใจ ด้านเนื้อหาให้แก่ผู้เรียน (Sadik, 2008) และเพื่อช่วยผู้สอนในการพัฒนาความเป็นมืออาชีพให้แก่ผู้เรียน โดยน�ำเอาเทคโนโลยีมาช่วยในการเรียนการสอน (Li, 2007; Heo, 2009) ในขณะที่ผู้เรียนเป็นผู้ออกแบบ สื่อดจิ ิทลั เพ่ือการเลา่ เร่ืองผ่านภาพจะก่อให้เกดิ ประโยชน์ในการพัฒนาดา้ นการฟงั เพื่อความเข้าใจ (Verdugo & Belmonte, 2007) พฒั นาทกั ษะการพดู และการสอ่ื สาร (Somdee & Suppasetseree, 2012) และพฒั นา ทักษะการเขียนเล่าเรอื่ ง (Dogan & Robin, 2009) นอกจากนี้ Abdel-Hack & Helwa (2014) ได้อธิบายจาก รายงานการสรุปผลการศึกษาเกี่ยวกับส่ือดิจิทัลเพ่ือการเล่าเรื่องผ่านภาพมาว่าเป็นวิธีการทางการศึกษาแบบ 134 บัณฑติ วทิ ยาลัย มหาวิทยาลัยสวนดุสติ
นวตั กรรมรปู แบบใหมท่ เี่ พม่ิ ศกั ยภาพใหผ้ เู้ รยี นเกดิ การเรยี นรโู้ ดยเนน้ ผเู้ รยี นเปน็ ศนู ยก์ ลาง และสง่ เสรมิ ใหเ้ กดิ ผลลัพธ์ที่ดีกับผู้เรียนในการเรียนการสอน นอกจากน้ียังกระตุ้นให้ผู้เรียนมีความสนใจในการเรียนรู้และสร้าง สิ่งแวดล้อมการเรียนรู้แบบใหม่เพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียนมีทักษะการแก้ปัญหาแบบสร้างสรรค์และมีทักษะ การสอ่ื สารอยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ ย่ิงไปกว่านั้นส่อื ดิจทิ ัลเพอ่ื การเล่าเรอ่ื งผา่ นภาพยังถกู น�ำมาใช้เพ่อื การพัฒนา หลักสูตร กระตุ้นให้ผู้เรียนมีความคิดเป็นล�ำดับและเกิดการเรียนรู้แบบเข้มข้นมากข้ึน Somdee & Suppasetseree (2012) ได้ท�ำการวิจัยกับนักศึกษาในระดับอุดมศึกษาในจังหวัดนครราชสีมาพบว่า ส่ือการเรียนรู้ดิจิทัลเพ่ือการเล่าเรื่องผ่านภาพมีคุณค่าในการพัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษ และเพิ่ม แรงจงู ใจให้กับผเู้ รยี นมากขึ้น งานวิจัยเร่ืองสื่อดิจิทัลเพ่ือการเล่าเรื่องผ่านภาพได้มีการจัดท�ำมากขึ้นในหลาย ๆ ประเทศ อย่างไร กต็ ามยงั มขี อ้ จำ� กดั ในการใชง้ านในประเทศไทยอยมู่ าก โดยเฉพาะการเรยี นการสอนทย่ี งั คงเนน้ กจิ กรรมทมี่ คี รู เป็นศูนย์กลาง อีกทั้งยังขาดผลงานวิจัยท่ีรองรับถึงประสิทธิผลของการใช้งานของสื่อดิจิทัลเพ่ือการเล่าเร่ือง ผ่านภาพในการเรียนการสอนภาษาอังกฤษในระดับอุดมศึกษาในประเทศไทย ซึ่งในขณะท่ีผู้เรียน มีความสามารถด้านการใช้งานเทคโนโลยีที่สูงมาก แต่ก็ยังมีข้อจ�ำกัดทางด้านการน�ำเอาเทคโนโลยีมาใช้ ในการจดั การเรยี นรใู้ นหอ้ งเรยี น งานวจิ ยั ชนิ้ นจ้ี งึ มคี วามสำ� คญั ตอ่ ครผู สู้ อนภาษาองั กฤษในการนำ� เอาเทคโนโลยี มาช่วยในการจัดการเรียนรู้ภายในห้องเรียน เพ่ือเพ่ิมศักยภาพการเรียนรู้ทักษะภาษาอังกฤษ กับการใช้ เทคโนโลยที ีท่ ันสมยั ไปพรอ้ ม ๆ กนั วัตถุประสงค์ 1. เพ่ือหาประสิทธิผลของสื่อดิจิทัลเพื่อการเล่าเรื่องผ่านภาพ ที่มีต่อทักษะการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ และแรงจงู ใจของผู้เรยี น 2. เพ่อื หาประโยชนแ์ ละอุปสรรคในการใช้งานของสื่อดิจิทัลเพ่ือการเล่าเร่ืองผา่ นภาพ แนวคดิ ทฤษฎีทเี่ ก่ยี วขอ้ ง การเล่าเรอ่ื งด้วยระบบดิจทิ ัล (Digital Storytelling) การเลา่ เรอ่ื งดว้ ยสอ่ื ดจิ ทิ ลั (Digital Storytelling) เปน็ คำ� ทเี่ กดิ ขนึ้ เมอ่ื ไมน่ านมานี้ หลงั จากทเี่ ทคโนโลยี ทำ� ใหเ้ ครอ่ื งมอื ตา่ ง ๆ เชน่ กลอ้ งถา่ ยรปู โนต๊ บคุ๊ แทบ็ เบลต็ มรี าคาถกู และแพรห่ ลาย การเลา่ เรอ่ื งดว้ ยสอ่ื ดจิ ทิ ลั ทำ� ใหค้ นเราสามารถท่ีจะแบ่งปันแงม่ ุมตา่ ง ๆ ในชวี ิตหรือจินตนาการกับผอู้ น่ื ผา่ นการผลิตวดี ทิ ัศน์ แอนิเมช่ัน ภาพถ่าย เสียงพูด หรือดนตรี ในรูปแบบของสื่อดิจิทัล ซ่ึงสามารถเผยแพร่ผ่านอุปกรณ์คอมพิวเตอร์และ อินเทอรเ์ น็ต เร่ืองราวทีเ่ ล่าผ่านสื่อดิจิทลั มกั จะประกอบดว้ ยภาพเคลอ่ื นไหว ภาพน่งิ แอนนเิ มชนั่ ดนตรี และ เสยี งบรรยาย การเล่าเรอื่ งผ่านส่อื ดิจทิ ัล เปน็ กจิ กรรมหลักอย่างหนงึ่ ของโครงการ ซมั ซงุ สรา้ งพลงั การเรียนรู้ สอู่ นาคต โดยทน่ี กั เรยี นอาจจะผลติ ผลงานเปน็ งานเดยี่ ว หรอื งานกลมุ่ และผลงานเหลา่ นี้ สามารถทจ่ี ะอพั โหลด ไปไวบ้ นอนิ เทอรเ์ นต็ เพอ่ื เผยแพรไ่ ด้ (นวตั กรรมการศกึ ษา, 2559) การเล่าเร่ืองผา่ นสือ่ ดิจิทลั (Digital Storytelling) คือ การน�ำเทคโนโลยมี าใชเ้ ปน็ เครื่องมอื ช่วยสอน ในชัน้ เรยี นโดยเครือ่ งมือเหล่าน้ัน ไดแ้ ก่ เคร่ืองบนั ทกึ วีดทิ ศั น์ กล้องถ่ายรูป เครือ่ งบันทึกเสยี ง คอมพิวเตอร์ ปีท่ี 16 ฉบบั ท่ี 1 ประจำ�เดอื นมกราคม - เมษายน 2563 135
ดนตรี และอปุ กรณ์อน่ื ๆ ทีเ่ กยี่ วขอ้ งกับการผลิตสือ่ ตา่ ง ๆ การนำ� เทคโนโลยที ่ีมปี ระสทิ ธผิ ลมาใช้ในหอ้ งเรียน เริ่มเป็นที่นิยมใช้กันมากในช่วงต้นศตวรรษที่ 21 (Robin, 2008) ในปี 2005 มหาวิทยาลัยคีน (Kean University) ได้มีการจัดสัมมนาทางวิชาการเก่ียวกับ Digital Storytelling ได้น�ำเสนอไว้ว่า Digital Storytelling ไดเ้ ปน็ ทยี่ อมรบั ของโรงเรียนโดยทวั่ ไปเพราะวา่ มสี ่วนช่วยในกระบวนการการเรียนรู้ของผเู้ รยี น และแรงจูงใจในการเรียน Barrett (2005) ไดน้ ำ� เสนอในบทความวจิ ยั วา่ การเลา่ นทิ านผา่ นส่ือดจิ ทิ ลั (Digital Storytelling) เป็นจุดศูนย์กลางของกลยุทธ์ การเรียนรู้แบบมีผู้เรียนเป็นศูนย์กลางท้ัง 4 กลยุทธ์ ได้แก่ การสร้างขอ้ ผูกมดั แกผ่ เู้ รยี น (Student Engagement) การสะท้อนกลับเพ่อื การเรยี นรู้เชิงลึก (Reflection for Deep Learning) การควบรวมเทคโนโลยี (Technology Integration) และการเรียนรู้ผ่านการท�ำ โครงงาน (Project-Based Learning) Lambert (2007) กล่าวว่า มีปัจจัยส�ำคัญอยู่ 7 ข้อท่ีส่งผลต่อประสิทธิภาพของการสร้างสื่อด้วย การเล่านทิ านผ่านส่อื ดจิ ิทลั (Digital Storytelling) ได้แก่ 1. การก�ำหนดมุมมองการเล่าเร่ือง (A Point of View) คือ ในการสร้างส่ือการเล่านิทานผ่านสื่อ ดจิ ิทลั (Digital Storytelling) จะตอ้ งมีการก�ำหนดมุมมองการเลา่ เรื่องวา่ จะใช้แบบใดซ่งึ มอี ยู่ 3 แบบ ได้แก่ มุมมองแบบบุรษุ ท่ี 1 (First Person Point of View) คอื ผู้เลา่ เร่ืองมกั เลา่ จากประสบการณ์ตรงหรอื เล่าเร่ือง ผา่ นมุมมองความคดิ จากตัวเอกของเรอ่ื งและจะใชส้ รรพนาม วา่ “ฉัน” ในการเล่าเรอ่ื ง ตอ่ มา คอื มุมมองแบบ บุรุษที่ 2 (Second Person Point of View) คือ การเล่าเรื่องผ่านมุมมองความคิดของผู้ท่ีอยู่ใกล้ชิดกับ ตัวละครเอกเป็นเสมอื นผเู้ ฝ้ามองเหตุการณต์ ่าง ๆ ท่ีจะเกิดขึ้น และสุดทา้ ยคือ มุมมองความคดิ แบบบรุ ษุ ท่ี 3 คือ เลา่ จากผทู้ ่อี ยู่นอกเหตุการณ์แตเ่ ปน็ ผรู้ ู้ทง้ั หมด สามารถเข้าถึงความคดิ ของตวั ละครทกุ ตวั สำ� หรับ Digital Storytelling นิยมใช้การเล่าเร่ืองแบบสรรพนามบุรษุ ท่ี 3 2. การสรา้ งเงอ่ื นไขดว้ ยคำ� ถาม (Dramatic Question) คอื การสร้างความน่าตดิ ตามของเน้ือเรอ่ื ง ดว้ ยการเปดิ ประเดน็ เปน็ คำ� ถามตง้ั แตต่ น้ เรอ่ื ง ผฟู้ งั จะไดต้ ดิ ตามฟงั ไปเรอื่ ย ๆ เพอ่ื หาคำ� ตอบสำ� หรบั คำ� ถามนนั้ ผู้สรา้ ง Digital Storytelling มือใหม่มักจะลืมสิง่ นี้ 3. การสร้างสภาวะทางอารมณ์ (Emotional Content) คอื การสรา้ ง Digital Storytelling ทีด่ ีนั้น จะตอ้ งให้ผฟู้ ังสามารถหัวเราะ รอ้ งไห้ หรอื แสดงอารมณ์อืน่ ๆ ออกมา 4. ความประหยัด (Economy) คือ การสร้าง Digital Storytelling ที่ดีและมีประสิทธิภาพนั้น ไมจ่ ำ� เปน็ ตอ้ งใชเ้ ครอ่ื งมอื ทฟี่ มุ่ เฟอื ย อาจจะใชร้ ปู ภาพเพยี งแค่ 2-3 รปู คำ� พดู แค่ 2-3 คำ� หรอื สเปเชยี ลเอฟเฟค็ เพียงเล็กนอ้ ยก็สามารถสรา้ ง Digital Storytelling ที่ดไี ด้ 5. การใส่ลูกเล่นในน�้ำเสียง (Pacing) คือ การมีน�้ำเสียงท่ีหลากหลายจะช่วยดึงดูดความสนใจของ ผฟู้ งั ได้เป็นอยา่ งดีจะทำ� ใหก้ ารเลา่ นทิ านผ่านสอื่ ดจิ ิทลั (Digital Storytelling) ไม่น่าเบื่อ 6. พรสวรรคใ์ นเสยี ง (The Gift of Your Voice) การสรา้ งส่อื การเลา่ นิทานผ่านสอ่ื ดจิ ิทลั (Digital Storytelling) กำ� หนดใหผ้ เู้ รยี นบนั ทกึ เสยี ง และเขยี นบทดว้ ยตนเอง ดงั นนั้ การใชเ้ สยี งสงู ตำ�่ หรอื คณุ ลกั ษณะ ของเสยี งจะสามารถใชใ้ นการส่อื ความหมายตามทศิ ทางทีผ่ ู้เรียนก�ำหนดไว้เอง 7. เสียงประกอบ (Soundtrack) ในการสร้างสอ่ื นทิ านผ่านส่อื ดจิ ทิ ลั (Digital Storytelling) ดนตรี ประกอบเป็นองค์ประกอบหน่ึงที่ส�ำคัญที่จะท�ำให้การด�ำเนินเร่ืองราวน่าสนใจย่ิงขึ้น ซ่ึงผู้เรียนสามารถ ดาวน์โหลดเพลงไดอ้ ย่างถูกลิขสิทธิ์ 136 บัณฑติ วิทยาลัย มหาวทิ ยาลัยสวนดุสติ
นอกจากน้ี Bull & Kajder (2004) ได้เสนอแนะขัน้ ตอนการดำ� เนนิ การสรา้ ง Digital Storytelling สำ� หรับผู้เรียนไวอ้ ยู่ 7 ข้นั ตอน ดงั น้ี 1. เขียนบท คือ การเขียนเล่าเรื่องนิทานโดยใช้ภาษาให้เหมาะสมกับทักษะความสามารถของ ทงั้ ผสู้ รา้ ง และผรู้ บั ฟงั หรอื รบั ชม ถา้ ผสู้ รา้ งสอ่ื การเลา่ นทิ านใชค้ ำ� ศพั ทท์ ย่ี ากเกนิ ไปอาจจะทำ� ใหผ้ สู้ รา้ งไมส่ ามารถ พดู ออกเสยี งคำ� ศพั ทต์ า่ ง ๆ ไดอ้ ยา่ งคลอ่ งแคลว่ นกั อาจจะมกี ารพดู ตดิ ขดั ออกเสยี งผดิ ซงึ่ ยอ่ มสง่ ผลตอ่ คณุ ภาพ ของนิทาน ในขณะเดยี วกนั กล่มุ ผ้ฟู งั หรอื ผชู้ มยอ่ มเป็นปจั จัยส�ำคญั ในการกำ� หนดความยากง่ายของคำ� ศพั ท์ที่ ปรากฏในบท เพราะถ้ากลุ่มผู้ชมหรือผู้ฟังมีทักษะทางด้านภาษาอังกฤษไม่สูง ผู้สร้างจะต้องปรับใช้ค�ำศัพท์ ภาษาองั กฤษให้มี ความเหมาะสมกับทกั ษะของผฟู้ ัง 2. การวาง Storyboard คอื การวางโครงเรอื่ งเปน็ ฉาก ๆ และในแตล่ ะฉากจะมตี วั ละครทจ่ี ะปรากฏ อยู่ในฉากกี่ตัว แต่ละฉากจะมีลักษณะอย่างไร เพื่อเป็นการสร้างความเข้าใจตรงกันของสมาชิกในกลุ่มว่า ในแตล่ ะฉากใครจะตอ้ งพูด หรือต้องสรา้ งเสยี งประกอบ ดนตรปี ระกอบ หรอื เสยี งธรรมชาตแิ บบใด 3. ประชุมบท คือ การพูดต่อบทกันแบบปากเปล่าเป็นเสมือนการซ้อมพูดออกเสียงก่อนอัดจริง เพอ่ื ใหส้ มาชกิ มคี วามเขา้ ใจในการรบั -สง่ บทซงึ่ กนั และกนั จะไดม้ กี ารถา่ ยทอดอารมณค์ วามรสู้ กึ ผา่ นทางนำ�้ เสยี ง ในขณะพดู บรรยาย หรอื พูดโตต้ อบกัน 4. การล�ำดบั ภาพ คือ การจัดเรยี งภาพนงิ่ ภาพถา่ ย ภาพวาด หรอื ภาพเคลือ่ นไหวทใ่ี ช้ประกอบการ เลา่ นทิ านผ่านสือ่ ดิจทิ ัล (Digital Storytelling) โดยอาจจะมกี ารใช้ภาพแบบตา่ ง ๆ รว่ มกนั ไดใ้ นงานหน่งึ ชิ้น สำ� หรบั อปุ กรณใ์ นการสรา้ งภาพเหลา่ น้ี สามารถใชไ้ ดท้ งั้ กลอ้ งถา่ ยรปู กลอ้ งวดี ทิ ศั น์ และนำ� มาผา่ นกระบวนการ สร้างภาพใหฉ้ ายได้อย่างต่อเนอื่ งโดยใชอ้ ุปกรณต์ ัดตอ่ ภาพ หรอื อปุ กรณค์ อมพิวเตอร์ เป็นตน้ 5. การเพมิ่ เสยี งบรรยาย คอื การเพมิ่ เสยี งบรรยาย หรอื เสยี งพดู โตต้ อบกนั โดยเพม่ิ เขา้ ไปในภาพทฉ่ี าย 6. การเพม่ิ เสยี งเอฟเฟค็ และเทคนคิ การเชอ่ื มตอ่ ภาพ คอื การเพมิ่ เสยี งในธรรมชาติ เชน่ เสยี งนกรอ้ ง เสยี งฝนตก เสยี งลม เปน็ ต้น และการใช้โปรแกรมตดั ต่อภาพใหม้ ีความลน่ื ไหลต่อเน่ือง 7. การเพ่ิมเสียงเพลงประกอบ คือ การเพิ่มเสียงเพลง เสียงร้องเพลง หรือเสียงดนตรีที่มี ความสอดคลอ้ งกบั เนื้อหา หรอื ฉากนั้น ระเบียบวิธวี ิจยั กลุม่ ตวั อย่าง ผู้วิจัยได้ท�ำการศึกษากับนักศึกษาสาขาวิชาภาษาอังกฤษธุรกิจช้ันปีที่ 3 มหาวิทยาลัยราชภัฏ สุราษฎรธ์ านี จำ� นวน 32 คน ที่ได้ลงทะเบยี นเรียนใน 2 รายวิชา คือ วชิ าภาษาองั กฤษเพอ่ื การท่องเทยี่ ว และ วิชาภาษาองั กฤษเพ่ือการโรงแรม ซ่ึงเป็นกล่มุ ตวั อยา่ งทถี่ ูกเลอื กแบบเฉพาะเจาะจง เนือ่ งจากเป็นรายวิชาทม่ี ี การจัดท�ำโครงงาน จึงได้น�ำสื่อการเรียนรู้ดิจิทัลเพ่ือการเล่าเรื่องผ่านภาพมาใช้ในการจัดท�ำโครงงาน จากการจัดระดับความสามารถด้านภาษาอังกฤษ นกั ศึกษาสาขาวิชาภาษาอังกฤษธุรกจิ มีระดบั ความสามารถ ด้านภาษาอังกฤษในระดับ A2 ถึงระดับ B1 ซ่ึงจัดเป็นกลุ่มท่ีมีความสามารถทางภาษาอังกฤษในระดับดี กลุ่มตัวอยา่ งในการศกึ ษาเปน็ เพศหญงิ จ�ำนวน 26 คน และเพศชายจำ� นวน 6 คน ท้งั หมดเป็นนักศกึ ษาไทย ท่มี ีอายเุ ฉล่ยี 21 ปี ปีท่ี 16 ฉบับท่ี 1 ประจำ�เดือนมกราคม - เมษายน 2563 137
เครอื่ งมือวจิ ยั เครือ่ งมอื วจิ ยั ประกอบด้วย แบบสอบถามสองภาษา คือ ภาษาองั กฤษและภาษาไทยเพ่อื วดั ระดบั ทัศนคติและแรงจูงใจของผู้เรียนโดยมีค่าระดับความเช่ือม่ันของแบบสอบถามเท่ากับ 0.96 แบบสัมภาษณ์ กงึ่ โครงสรา้ งจำ� นวน 5 ขอ้ และการอภปิ รายกลมุ่ ยอ่ ยเพอื่ อภปิ รายถงึ อปุ สรรคและปญั หาในการใชง้ านสอ่ื ดจิ ทิ ลั เพอื่ การเลา่ เรอ่ื งผา่ นภาพ ผลวจิ ยั จากแบบสอบถามเพอ่ื หาแรงจงู ใจในการเรยี นรภู้ าษา ความคดิ และความเชอ่ื ของผู้เรียนต่อส่ือการเรียนรู้เพื่อค้นหาคุณค่าของการใช้งานได้น�ำมาวิเคราะห์ด้วยการใช้ระบบโปรแกรม ส�ำเรจ็ รปู ซ่ึงจากการตอบแบบสอบถามกอ่ นและหลงั การใช้เครอื่ งมือสามารถวิเคราะหข์ ้อมูลได้ 5 ระดบั ดงั น้ี 4.51-5.00 = มากท่ีสุด 3.51-4.50 = มาก 2.51-3.50 = ปานกลาง 1.51-2.50 = น้อย ≤ 1.50 = นอ้ ยท่ีสุด กระบวนการและการเกบ็ ข้อมลู วจิ ัย กลมุ่ ตวั อย่างได้ลงทะเบยี นเรยี น 2 รายวิชาและไดอ้ บรมการใช้งานโปรแกรมดจิ ทิ ัลเพ่อื การเล่าเร่ือง ผา่ นภาพและไดม้ อบหมายให้ทำ� งานโครงงานเปน็ กลมุ่ ๆ ละ 5-6 คน นกั ศึกษาท่เี รยี นรายวชิ าภาษาอังกฤษ เพอ่ื การโรงแรมไดท้ ำ� โครงงานโดยใชส้ อื่ ดจิ ทิ ลั เพอื่ การเรยี นเลา่ เรอื่ งผา่ นภาพในหวั ขอ้ การบรกิ ารผา่ นการทำ� งาน ของโรงแรม รีสอร์ทและสปา นักศึกษาในรายวิชาภาษาอังกฤษเพื่อการท่องเท่ียวได้ออกแบบโครงงานโดย กโรางรแใรชม้งไาดน้ทสาอ่ืโคดริจงงิทาลั นเโพดือ่ยใกชาส้ รือ่ เดลจิ่าิทเรัลอ่ื เพงผื่อา่กนารภเราียพนใเนลห่าเวั รขื่อ้องผส่าถนาภนาทพีท่ในอ่ หงัวเทขอ้่ยี กวาทรเี่บปร็นิกทารีน่ ผิย่านมกในารปทราะงเาทนศขไอทงโยรงกแรลมุม่ วิจยั ไรดสี ้ตออร์ทบแแลบะบสปสาอบนักถศากึมษกา่อในรแาลยวะชิหาลภังากษาารอทงั กำ� ฤโคษรเพงอื่งากนารทั้ง่อนงเีก้ทาีย่ รวสไดมั ้อภอากษแณบบ์ แโคลระงกงานรโอดภยปิการราใยชก้งาลนมุ่ สย่ืออ่ ดยจิ ไิทดลั ้จเพัด่ือท�ำขึ้น หกาลรงั เจลา่ กเรทือ่ ผ่ีงผเู้ ร่ายีนนภนาพำ� ใเนสหนวัอขโ้อคสรถงงาานนท่ีทแ่อลงะเทปี่ยรวะทเมเ่ี ปนิ ็นผทลี่นงิยามนใแนลปว้ ระกเาทรศสไทมั ยภากษลณุ่มวโ์ ิจดัยยไใดช้ตแ้ อบบบแบกบง่ึ โสคอรบงถสารมา้ กง่อไดนจ้ แดั ลทะำ� เพอ่ื สหอลบังกถาารมทกาลโคมุ่ รตงงัวาอนยา่ทง้ังนโด้ีกยารมสีคัม�ำภถาาษมณจ์ำ� แนลวะนกา5รขอภ้อิปซร่งึ าคยำ� กถลาุ่มมยท่อง้ัยหไดม้จดัดไทดา้ถขูก้ึนอหอลกังแจาบกบทข่ีผน้ึ ู้เรเียพนื่อนคา้นเสหนาอคโควารงมงคาดิน และ โกใคหแจกจปนาาาวลาลรกนกรราะังแเเเจาวมปลครนการรร่ายีรกใระเู้่ือสน5ชกรมเงึก่ือร้มงามขสรางขภู้ินอ้อืำ�ผสนอาผทเ่มัาซรสษงลงั้นภ่ึง็จผ่ืองาคภ3าราู้เาษกานูปรชกถพณาียแนาารแนล์มิดรแอเล้วเไพททลภรดะะั้งอ่ื่ีมกียน้ปิกหเอาีตพนาารมภรมื่อ่อรราดสปิ าคสูย้ผสไัมรวด้นรก่าื่อาเิภ้ถคุปหนยลดาูกรถาใมุ่กษิจาจอคึงายะณิทออคุณรอ่หปุกัล์วโทค์โยดแสาเด่า�ำไพยบรมยขดงรใบ่ือสใอาชจ้คชขำ�กนง้แดัแโ้ึน้สคปาเบลท่ืปอัญรระบเำ�ดพแเ็นปกขลิจกื่อทัญึ่งนึ้ิท่ารคโีมหมเหัลค้นราสทรลห่ือใขาง่ีมนงัางเส้อจีคตรกผรมจ็่าวอา้า่ารากูรลกงนปูมใกาจไชคภดราาแ้งเิด้จารการลัดนสพียเะแคทสมันกลรื่อาราภะแ่ือเรู้ภคลาพกสงาวษาะื่อรมษารณุปเสมือาเพรใอร์ทจกยี่ืเอบู้สพค้ังนาคึกถวรอื่รขา้นาอ3ู้ผอมอมภหา่ ภงกสนชิปผาลปิากนรคู้เคุ่มรราาิดุณัญียตารยไนทยัวกคดทอาถล่า้นงยมีุ่่มงึ ขา�ำ่อาีตยนอมง่ปอุ่อเงาปสยโสสวด็นอื่ไร่ือดิเยดทรค้จดมิจีมครัดีคิิทจแาทขาิลัทะลอ้ถาเัหละพขมาทป์ึ้โนมูื่อลดี่ญัมยีตหใ่อชา้ ในกระบวในนกการะเรบยี วนนแกละากราเรียสนอนแลผะู้เรกียานรไสดอ้ นบรมผกู้เราียรในชไ้งดา้อนบสื่อรดมิจกิทาัลรเใพชื่อ้งกาานรสเล่ือ่าดเริจ่อื ิทงัลผเา่ พน่ือภกาพารดเังลก่ารเะรบื่อวงนผก่าานรภาพ ดตังอ่ กไปรนะ้ีบวนการตอ่ ไปนี้ แแผผนทนทภภม่ีีม่ าาาาพพ:: GทGทeี่e่ี1t1tttiกniกnรgะรgSบะtSบวatนrวatกนerาtdกรeาเdwรรยี iเtwนรhียรitPกู้นhhารรoPู้กใtชhาoง้รoาSใtนชtooสง้ rอ่ืาSyดนt3oิจสทิrอ่ื yลั ด3ิจทิ ัล ผู้เรียนได้เลือกตัวโปรแกรมออนไลน์ในการผลิตโครงงานโดยใช้ส่ือดิจิทัลเพ่ือการเล่าเร่ืองผ่านภาพด้วย 138 ตบนณั เฑอิตงวิทหยลาลังัยจามหกาเวลิทือยกาลยัแสลวนะดคุส้นิตคว้าข้อมูลจากโปรแกรมจานวนหน่ึงแล้วจึงได้มีมติเลือกการใช้งานโปรแกรมเพื่อการ เลา่ เรอ่ื งผ่านภาพ 3.0 (MICROSOFT PHOTO STORY 3.0) เพื่อใช้ในการจัดทาโครงงานท้ัง 2 รายวิชา หลังจากนั้น ผู้เรียนเรียนรู้การใช้งานผ่านขั้นตอนการทางาน 7 ขั้นตอน และได้รับการฝึกฝนในการใช้งานโปรแกรมดังกล่าว
ผเู้ รยี นไดเ้ ลอื กตวั โปรแกรมออนไลนใ์ นการผลติ โครงงานโดยใชส้ อื่ ดจิ ทิ ลั เพอื่ การเลา่ เรอ่ื งผา่ นภาพดว้ ย ตนเอง หลงั จากเลอื ก และคน้ ควา้ ขอ้ มลู จากโปรแกรมจำ� นวนหนง่ึ แลว้ จงึ ไดม้ มี ตเิ ลอื กการใชง้ านโปรแกรมเพอ่ื การเล่าเรื่องผา่ นภาพ 3.0 (MICROSOFT PHOTO STORY 3.0) เพื่อใชใ้ นการจดั ท�ำโครงงานท้ัง 2 รายวชิ า หลังจากนั้นผู้เรียนเรียนรู้การใช้งานผ่านข้ันตอนการท�ำงาน 7 ขั้นตอน และได้รับการฝึกฝนในการใช้งาน โปรแกรมดงั กลา่ ว ในกระบวนการจดั ทำ� ไดม้ กี ารแบง่ กลมุ่ เพอื่ คดิ หวั ขอ้ เรอ่ื งและกำ� หนดเวลาในการจดั ทำ� ของ แต่ละข้ันตอนต้ังแต่กระบวนการการผลิต และการน�ำเสนอ ผู้สอนได้ท�ำงานร่วมกับผู้เรียนผ่านกระบวนการ การทำ� งานแบบโครงงาน โดยใหข้ อ้ คดิ เหน็ และใหข้ อ้ มลู กบั ผเู้ รยี นในแตล่ ะขนั้ ตอน โดยเฉพาะขน้ั ตอนการเขยี น เรื่องราวผู้เรียนต้องเพิ่มเน้ือหาค�ำศัพท์ และไวยากรณ์ท่ีได้เรียนรู้ในห้องเรียน เพื่อเอาไปจัดท�ำเป็นเน้ือหาใน โครงงานเพ่อื การน�ำเสนอ หลังจาก 10 สปั ดาหข์ องการเตรียมงาน สมาชกิ ในกลุ่มนำ� เสนอโครงงานสอ่ื ดจิ ิทัล เพอ่ื การเลา่ เรอื่ งผา่ นภาพในหอ้ งเรยี นและรบั ฟงั ขอ้ คดิ เหน็ จากเพอ่ื น และผสู้ อนหลงั จากการนำ� เสนอโครงงาน แลว้ ผเู้ รยี นไดต้ อบแบบสอบถาม แบบสมั ภาษณ์ และอภปิ รายกลมุ่ ยอ่ ยเพอื่ นำ� ขอ้ มลู มาวเิ คราะหห์ าผลการวจิ ยั ผลการศกึ ษา ผลการศึกษางานวิจัยสามารถวิเคราะห์ข้อมูลเพ่ือตอบวัตถุประสงค์การวิจัยดังนี้ 1) ทัศนคติและ แรงจงู ใจของผเู้ รยี นตอ่ การเรยี นรภู้ าษาองั กฤษ และการพฒั นาทกั ษะการเรยี นรภู้ าษาองั กฤษ (ตารางท่ี 1 และ 2) และ 2) ความคิดเห็นที่มีต่อส่ือดิจิทัลเพื่อการเล่าเร่ืองผ่านภาพ ท้ังทางด้านประโยชน์และด้านอุปสรรค ในการใช้งาน ตตาารราางงทท่ี ี่11ททัศศั นนคคตติ แิ และลแะรแงรจงงู จใงูจใขจอขงอผง้เู รผยี ้เู นรียตนอ่ ตกาอ่ รกเรายีรนเรรยี ภู้ นารษภู้ าาอษงั กาฤอษังกฤษ ก่อน หลัง ลาดับ ดา้ น ค่าเฉล่ีย สว่ น ความหมาย ค่าเฉลีย่ ส่วน ความหมาย เบ่ยี งเบน เบย่ี งเบน มาตรฐาน มาตรฐาน ทศั นคติและแรงจูงใจเชิงบวก 1. ฉนั เชื่อวา่ 4.44 .669 มาก 4.56 .619 มากท่สี ุด ภาษาองั กฤษมี ความสาคญั รองลงมา จากภาษาไทย 2. ฉันอยากใหพ้ อ่ แม่ 4.25 .508 มาก 4.53 .567 มากท่ีสดุ ภมู ิใจใน ความสามารถ ภาษาองั กฤษท่ฉี ันมี 3. การเรยี น 4.45 .440 มาก 4.66 .483 มากท่ีสดุ ภาษาองั กฤษมี ความสาคญั เพราะ เป็นภาษาเพื่อ การสือ่ สารระหว่าง ประเทศ ปีที่ 16 ฉบบั ท่ี 1 ประจำ�เดอื นมกราคม - เมษายน 2563 139 ภาพรวมด้านทัศนคติและ 4.38 .539 มาก 4.58 .556 มากทส่ี ดุ
ทัศนคติและแรงจูงใจเชิงบวก มาตรฐาน มาตรฐาน 1. ฉันเช่ือว่า 4.44 .669 มาก 4.56 .619 มากที่สุด ภาษาอังกฤษมี 11ภคภฉจคทานัววมาู(ตัศกาาษอิใมม่อนภจายใสส)คาอานษาากตังมคกดาใิ แหญาัฤไ้าทรลน้พษรถะยอ่ทอแแง่ฉี รลมันงง่มจมูงี าใจขอคงา่4ผเ.ฉ2เู้ ร5ลยี ่ยี นตอ่ มกเบาา.ส่ียตร5เว่งรก0รเฐน8่อยีบานนนนรภู้ าษควาอามังมกาหกฤมษาย ตตาารราางงทที่ ่ี คา่4เ.ฉ53ล่ีย .ส5่ว6หน7ลัง มคาวกาทมหี่สดุมาย ลา2ด. บั เบี่ยงเบน มาตรฐาน ทศั3น. คตแิ กลาะรแเรรยีงจนูงใจเชงิ บวก 4.45 .440 มาก 4.66 .483 มากท่ีสดุ 1. ภฉนัาษเชาือ่ อวงั ่ากฤษมี 4.44 .669 มาก 4.56 .619 มากที่สุด คภวาาษมาสอาังคกญัฤษเพมรี าะ เคปว็นามภสาษาคาญัเพร่ือองลงมา จกาากรสภือ่ าสษาารไรทะยหว่าง 2. ปฉันระอเยทาศกใหพ้ อ่ แม่ 4.25 .508 มาก 4.53 .567 มากท่ีสุด ทัศ6543ภภน....าาคพพแแตรรรรแิววภคเภกกปฉภจภคคฉภเภงงลมมปปจจรนันัาาวววาาาาาูมระดดนน็็งิรราาาููงงษษษษษะถไิใแจา้า้เสมมมมภวใใจเกูาาาาารรทจจนนงัชิื่อใ่ตสสสาอออออยีบงนเเศททาษสาาา้องัััังังงงจชชนงับมคคากกกกกศัศังาคูงิงงิ รังกญญาััเฤฤฤฤฤนนใบบบัพครรจาษษษษษคคตเววใะถบั่ือรพเหไทเมอตตอ่กกชหเพมรรยเ้ีี่ฉฉแิแิิงวรา่มรยีา่นันัลลลา่ยีะาีนงงมบะะะนรี ู้ 4.38 .539 มาก 4.58 .556 มากทสี่ ดุ 24..6452 ..744510 ปามนากกลาง 14..6696 ..478830 มนาอ้ กยทส่ี ุด 1.94 .878 น้อย 1.47 .915 นอ้ ยทสี่ ดุ 41..6388 ..545379 นมอ้ากย 41..4578 ..567516 มนา้อกยททีส่ี่สดุุด ดแแกรลทตาี งระอ่ัศ654ภบเมกนร...านั ีแียาคพดรนรตราแเงจภแิรวลจรบคฉภจภฉายีลามใางรนนัันัวกาาจษนกะจดิงาษษไถใขดแขาูงภจ้ามนมกูาาอ้ใอาร้อนังา่ตสกออจบงลมังมษทาอ้างังัเจกังใลููลชครกกาัศงจคงูฤใเใกอิงญัฤฤนใใับรนษนลจานงัษษียคตใตตรกบเหกไอนตแอ่ชเาามฤรย้เารลฉิแิงรรร่มษียรา่ภู้นัละลาายี ีนเงงามงบะแรนรษียีคลพู้พานวะบอบามรวังมวู้ภคี่ากา่เาวฤช2211กษากษ่ื.อ...ล9660มาลวุ่824ม8เอ่าุ่มชตภงัตอื่ัวกาวัอวฤษอา่ยษาภย่าอา่งา....ัง6487เงษรก5759เาียรฤ7815อียนษงันรมกู้ภรีคฤูภ้าวษษาามาษปมอคีาาสนนนังนวอาก้อ้ออ้ากังคฤมยยยกลัญษสฤาใงำ�ษเนคหใรญั็นนะครดเะุณหับ1111ด....น็ทค4465ับค่ีม่า9774ทใณุีแน่ีมรคกงแี า่าจรใรูงงนเใจรจ.ก...7ูง697ียสาใ7818นูงรจ5019รเสแรู้ภูงลยี าะนแษมรลาีทภู้นนนนะอัศา้้อ้อออ้มังษนยยยกยีทททาคฤัศอษี่่สสีตนงัุุดดิทแคก่ีลดตฤีะตทิษ่มอี่ ี ตตกแาราารงรรภบาเารงาันงียทพทดน่ี ราแ่ี2ภว2ลจรทเภามใากปงักาจกษทกจดาน็ทษษทใทารขาูงกั้านวัการักพะใอกั้อนษิชษกอจพภษัษงฒัมทาะางัะเกราฒัะบะูลชกรกศันกวษฤกกเใังาิงฤนนาามรษนาคาราลษทรยีคารอรเตบั บอขกัทเนพตแฟังพาา่ ียษรลักิแกูดรงั นรนู้ภะะลาฤษากงามษะะษาีคพกราวาบเอารรวังมยี เ่ากรนเฤช2ียกรษื่.อนู้ภล0วรุ่มา8่า้ภูษตภาาัวาจอษอษาังยานกาอ่าอฤวงัง.ัง6ษเนกรก319น517ฤียฤ295ักษนษศรมกึู้ภีคษาวษาาามอสนังาก้อคฤยัญษใเนหร็นะคดุณับ1.ทค5ี่ม่า4ใีแนรกงราจอ้ร1ูง621เใย03ร610จ.ล07ียสะ8นูง9รแู้ภลาะษมาีทนอัศ้อังนกยคฤษติทแี่ลดีะต่มอ8ี 140 บัณฑติ วทิ ยากลลัยุม่มหตาัววทิอยยา่าลยังสไวดนต้ ดุสอติ บแบบสอบถาม เพอื่ สะท้อนถงึ การพัฒนาทักษะภาษาองั กฤษที่ไดพ้ ัฒนาจากการใช้งาน ส่ือดิจิทัลเพื่อการเล่าเร่ืองผ่านภาพ จากตารางผลการศึกษา พบว่า ทักษะการพูดเป็นทักษะท่ีได้รับการพัฒนามาก ที่สุด รองลงมา คือ ทักษะการเขียน ทักษะการฟัง และทักษะการอ่าน ตามลาดับ จึงอาจสรุปได้ว่าการใช้เครื่องมือ
กลุ่มตัวอย่างได้ตอบแบบสอบถาม เพื่อสะท้อนถึงการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษท่ีได้พัฒนาจาก การใช้งานสอ่ื ดจิ ิทลั เพ่ือการเล่าเร่อื งผา่ นภาพ จากตารางผลการศกึ ษา พบว่า ทกั ษะการพดู เปน็ ทกั ษะท่ีไดร้ บั การพฒั นามากท่ีสดุ รองลงมา คอื ทกั ษะการเขียน ทกั ษะการฟงั และทกั ษะการอ่าน ตามล�ำดับ จงึ อาจสรปุ ไดว้ า่ การใชเ้ ครอื่ งมอื ดงั กลา่ วกระตนุ้ ใหผ้ เู้ รยี นมคี วามมน่ั ใจในการพดู มากขน้ึ และกระตนุ้ ใหผ้ เู้ รยี นพฒั นาทกั ษะ การพดู ใหม้ ศี ักยภาพ มากขึ้น ความคดิ เห็นด้านประโยชนแ์ ละด้านอปุ สรรคในการใช้งานที่มตี อ่ สอื่ ดจิ ิทัลเพ่อื การเล่าเรือ่ งผา่ นภาพ ด้านประโยชน์ของสื่อดจิ ิทัลเพ่อื การเลา่ เรอ่ื งผา่ นภาพ ผเู้ รยี นมคี วามเหน็ วา่ สอ่ื ดจิ ทิ ลั เพอื่ การเลา่ เรอ่ื งผา่ นภาพมปี ระโยชนใ์ นดา้ นการทำ� ใหก้ ารเรยี นรภู้ าษา องั กฤษมคี วามนา่ สนใจ และมคี วามสนกุ สนาน เปน็ กจิ กรรมทกี่ ระตนุ้ ผเู้ รยี นใหม้ คี วามกระตอื รอื รน้ โดยเฉพาะ การพัฒนาภาษาอังกฤษด้านการพูด และการเขยี น ทั้งยงั เป็นส่ือการเรียนรูท้ ่ีใชง้ านงา่ ย สามารถน�ำไปปรับใช้ กบั การนำ� เสนอแบบอน่ื ได้ด้วย นอกจากจะเปน็ สอ่ื ทชี่ ว่ ยใหก้ ารเรยี นรภู้ าษาองั กฤษสนกุ สนานแลว้ สอื่ ดจิ ทิ ลั เพอื่ การเลา่ เรอื่ งผา่ นภาพ ยงั สร้างส่ิงแวดล้อมในการเรียนท่ีผอ่ นคลาย เป็นการเรยี นร้ทู ่ีเน้นผู้เรียนเปน็ ศนู ย์กลาง และเรียนรกู้ ารทำ� งาน เปน็ ทมี ท้ังยังเปน็ ตวั ชว่ ยใหเ้ ข้าใจเนื้อหาในบทเรียนเพิม่ มากขน้ึ ดา้ นอุปสรรคของส่ือดิจิทัลเพือ่ การเล่าเรื่องผา่ นภาพ ผู้เรียนไม่มีปัญหาด้านการใช้งานสื่อดิจิทัลเพ่ือการเล่าเรื่องผ่านภาพ เน่ืองจากมีความช�ำนาญใน การใชเ้ ครอื่ งมอื ทางเทคโนโลยอี ยแู่ ลว้ และขน้ั ตอนการใชง้ านกม็ คี วามละเอยี ด เปน็ ขนั้ ตอนทำ� ใหเ้ ขา้ ใจงา่ ย ซงึ่ อุปสรรคในการทำ� โครงงานจะเป็นด้านการเขา้ ถึงบรบิ ทจริงในการใช้ภาษา ซ่งึ ผู้เรยี นยงั ไม่เคยไปสมั ผสั การใช้ ภาษาจรงิ ท่โี รงแรม และแหล่งทอ่ งเที่ยว ทำ� ให้คิดภาพการใชภ้ าษาจากการสบื คน้ ขอ้ มลู ทางอินเตอรเ์ น็ต และ หนงั สือเท่านัน้ อภิปรายผล จากผลการศึกษา พบว่า ภาพรวมผู้เรียนมีทัศนคติและแรงจูงใจเชิงบวกอยู่ในระดับมากที่สุด ( = 4.58, S.D. = .556) และมที ศั นคตแิ ละแรงจงู ใจเชงิ ลบอยใู่ นระดบั นอ้ ย ( = 1.54, SD. = .789) สอดคลอ้ ง กบั ผลการศึกษาของ Somdee & Suppasetseree (2012) ทเี่ หน็ วา่ ส่อื การเรยี นร้เู พอ่ื การเลา่ เร่ืองผา่ นภาพ ช่วยเพิ่มแรงจูงใจให้กับผู้เรียน ท�ำให้ผู้เรียนเรียนรู้การใช้ภาษาเพื่อการสื่อสารผ่านการใช้งานด้านเทคโนโลยี อยา่ งมคี วามสนกุ สนาน เนน้ การทำ� งานกลมุ่ ทมี่ ผี เู้ รยี นเปน็ ศนู ยก์ ลาง โดยมคี รผู สู้ อนเปน็ ฝา่ ยสนบั สนนุ การเรยี น รทู้ างดา้ นความถกู ต้องของภาษา นอกจากน้ที กั ษะทางภาษาที่มกี ารพฒั นามากท่สี ุด คือ ทกั ษะการพดู ซ่งึ เป็น ทกั ษะท่ผี เู้ รียนต้องใช้ และพัฒนามากทส่ี ุดจากการท�ำโครงงาน สอดคล้องกับผลการศึกษาของ Somdee & Suppasetseree (2012) ที่พบว่าผู้เรียนพัฒนาทักษะการพูดเพ่ือการส่ือสาร ทักษะการเขียนเป็นทักษะ รองลงมาที่ผู้เรียนต้องใช้ขณะที่ท�ำกิจกรรม สอดคล้องกับ โดแกน และโรบิน (Dogan & Robin, 2009) ที่สนบั สนนุ ว่าสื่อดิจทิ ัลเพอ่ื การเล่าเร่ืองผ่านภาพช่วยพัฒนาทกั ษะการเขยี นเลา่ เรือ่ ง จากข้อมูลการสัมภาษณ์และการอภิปรายกลุ่ม พบว่า ผู้เรียนเห็นคุณค่าต่อการใช้งานของส่ือดิจิทัล เพอื่ การเลา่ เรอ่ื งผา่ นภาพในการเนน้ ผเู้ รยี นเปน็ ศนู ยก์ ลาง สอดคลอ้ งกบั การศกึ ษาของ Abdel-Hack & Helwa ปีท่ี 16 ฉบบั ที่ 1 ประจ�ำ เดือนมกราคม - เมษายน 2563 141
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241