Abstract This research was aimed to: 1) investigate the level of people’s quality of life and the level of people’s community attachment at Nam Pad District, Uttaradit. 2) study and compare the levels of people’s community attachment by personal factors and 3) study the relation between people’s quality of life and people’s community attachment. The quantitative research and survey research were adopted in this study. The sample consisted of 396 residents, aged over 18 years drawn by using Taro Yamane. The tool used was questionnaires with the reliability coefficient of Cronbach’s alpha of .965. The statistics used in the data analysis included frequency, mean, standard deviation. The statistical test for comparing group difference included t-test and F-test, as well as Scheffe’s method for multiple comparison when the statistical significance level exceeded .05, and Pearson's Correlation for testing the statistical relationship. The research findings revealed that overall people’s quality of life and community attachment at Nam Pad District, Uttaradit were at the high level. Regarding the socioeconomic characteristics, the samples with different gender and age did not have different community attachment. But the sample with different educational level, marital status and occupation had different community attachment. The correlation between people’s quality of life and community attachment was positive at the moderate level. Keywords: People’s Quality of Life, People’s Community Attachment บทน�ำ คุณภาพชีวิตของประชาชน คือ มาตรฐานการด�ำรงชีวิตอนั เหมาะสมของประชาชนตามความจ�ำเปน็ พ้ืนฐานในสงั คม ส่งิ แวดล้อม ครอบครวั การมีทอ่ี ยูอ่ าศัย ฐานะทางการเงิน วัฒนธรรมเพ่ือนบา้ น การพัฒนา ทรัพยากรมนุษย์ คือ การท�ำให้มนุษย์มีประสิทธิภาพและมีคุณภาพในด้านการท�ำงานเพื่อพัฒนาตนเอง ครอบครัว สงั คมและประเทศชาติ ซ่งึ สถานการณค์ ณุ ภาพชีวติ ของประชาชนคนไทยในปัจจบุ ัน ดา้ นคุณภาพ การศึกษา ไดแ้ กป่ ญั หาการไม่รหู้ นังสือ ขาดความรูใ้ นการประกอบอาชีพ ปญั หาความเสมอภาคทางการศึกษา ด้านการวา่ งงาน สง่ ใหเ้ กดิ ปญั หาอ่นื ๆ ตามมา เช่น ปญั หาอาชญากรรม แหล่งชุมชนแออัด ความเสื่อมโทรม ของศีลธรรม เชน่ การแพร่ระบาดของยาเสพติดให้โทษ การกอ่ อาชญากรรมทางเพศ การอพยพยา้ ยถิ่นของ คนในชนบทเข้าสู่เมืองท�ำให้เกิดปัญหาชุมชนเมือง การอพยพย้ายถ่ินของคนในชนบทเข้าสู่เมืองมีสาเหตุจาก ฝนแล้ง ผลผลิตราคาตกต�ำ่ ความยากจน ปัญหาการท�ำลายทรพั ยากรธรรมชาตมิ ีสาเหตจุ ากความยากจนและ ขาดความรู้ความเข้าใจในคุณค่าของทรัพยากรธรรมชาติ เช่น การบุกรุกพื้นท่ีเขตป่าสงวนเพราะขาดท่ีดิน ทำ� กิน (ทศพร พวงสมบัติ, 2560) 192 บัณฑิตวิทยาลยั มหาวทิ ยาลยั สวนดสุ ติ
จากกระแสโลกท่ีมีแต่ความเปลี่ยนแปลงท�ำให้ประเทศไทยเล็งเห็นถึงปัญหาต่าง ๆ ที่จะเกิดข้ึนกับ ประชาชนคนไทยจงึ ไดม้ บี ทบญั ญตั ใิ นเรอื่ งเกย่ี วกบั การพฒั นาคณุ ภาพชวี ติ และความเปน็ อยทู่ ด่ี ขี องประชาชน กำ� หนดใหเ้ ปน็ หนา้ ทขี่ องรฐั ทจี่ ะตอ้ งดำ� เนนิ การโดยกำ� หนดไวใ้ นหมวด 5 แนวนโยบายพนื้ ฐานแหง่ รฐั ในมาตรา ตา่ ง ๆ ของรฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย 2560 ไดใ้ หค้ วามสำ� คญั วางรากฐานใหป้ ระชาชนคนไทยเปน็ คน ท่ีสมบูรณ์ มีคุณธรรมจริยธรรม มีสุขภาพท่ีดี ครอบครัวอบอุ่นและมีความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม ซ่ึงคนและชุมชนก็เป็นอีกกลไกหน่ึงที่ส�ำคัญต่อการพัฒนาประเทศให้มีความม่ันคง ม่ังค่ัง ยั่งยืน เพ่ือให้มี ความสอดคล้องเช่อื มโยงกบั แผนพฒั นาเศรษฐกิจและสังคมแหง่ ชาติ ฉบับท่ี 12 (พ.ศ. 2560-2564) ในแผน ยทุ ธศาสตรก์ รมพฒั นาชมุ ชน (พ.ศ. 2560-2564) กรมพฒั นาชมุ ชนไดก้ ำ� หนดทศิ ทางนโยบาย และยทุ ธศาสตร์ ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั การพฒั นาคนพฒั นาชมุ ชน ซง่ึ เปน็ หนว่ ยงานทด่ี แู ลรบั ผดิ ชอบสง่ เสรมิ พฒั นาคนและพฒั นาชมุ ชน (กรมพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย, 2560) กล่าวได้ว่า คุณภาพชีวิตเป็นส่ิงท่ีมีคุณค่ามีความส�ำคัญและ จ�ำเป็นต่อบุคคลและสังคมเป็นส่ิงท่ีมนุษย์สามารถก�ำหนดและสร้างเพื่อให้ระดับการมีคุณภาพชีวิตที่ดีข้ึนได้ จึงต้องมีการพัฒนาตนเองเพราะคุณภาพชีวิตเป็นเร่ืองส�ำคัญมากท้ังในระดับบุคคลและสังคมในปัจจุบันและ ความส�ำคัญของประเทศชาติเม่ือประชาชนในสังคมมีคุณภาพชีวิตท่ีดีย่อมท�ำให้คุณภาพชีวิตในสังคมและ ประเทศดขี น้ึ ดว้ ย แตท่ งั้ นร้ี ฐั ตอ้ งมนี โยบายทจ่ี ะเออ้ื ตอ่ การพฒั นาคณุ ภาพชวี ติ ของประชากร เชน่ สภาพแวดลอ้ ม การศึกษา การประกอบอาชีพ รายไดข้ องประชากร เป็นตน้ (เนตรนภา พงษศ์ รี, 2552: 10-11) ในยุคท่ีทุกคนต่างมีการแข่งขันและพยายามพัฒนาชุมชนของตนให้เป็นชุมชนท่ีน่าอยู่โดยพยายาม อาศยั ปจั จยั หลาย ๆ ประการเขา้ มาชว่ ยปรบั เปลยี่ นชมุ ชนเพอ่ื ใหพ้ รอ้ มรบั มอื กบั สถานการณห์ รอื สภาพแวดลอ้ ม ตา่ ง ๆ ท่ีเปลี่ยนแปลงไปอยตู่ ลอดเวลา และเป็นปัจจัยหนงึ่ ที่สง่ ผลต่อความผกู พนั ตอ่ ชมุ ชน ความเช่อื คา่ นยิ ม ทศั นคติ และพฤตกิ รรมทแี่ สดงออกของประชาชนเปรยี บเสมอื นสงิ่ ทช่ี ว่ ยยดึ โยงใหป้ ระชาชนในชมุ ชนอยรู่ ว่ มกนั อย่างสันติและมีความสุข ความผูกพันต่อชุมชนเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งของชุมชนท่ีมีส่วนส�ำคัญอย่างย่ิง ในการพัฒนาความรู้สึกและพฤติกรรมของประชาชนให้เกิดความรักและหวงแหนหรือเสียสละ ประชาชนที่มี ความผกู พนั ตอ่ ชมุ ชนพรอ้ มทจ่ี ะเออ้ื อำ� นวยตอ่ การพฒั นาชมุ ชน ซงึ่ จะทำ� ใหป้ ระชาชนรสู้ กึ วา่ พวกเขาเปน็ สว่ นหนง่ึ ของชมุ ชน พร้อมทีจ่ ะท่มุ เทกำ� ลงั กายกำ� ลงั ใจสร้างสิง่ ต่าง ๆ อย่างเต็มที่ และปรารถนาท่ีจะอาศยั อยใู่ นชมุ ชน นั้นตลอดไป แสดงว่าประชาชนได้เกิดความผูกพันต่อชุมชนและพร้อมที่จะก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับชุมชน ไมว่ า่ ชมุ ชนจะอยภู่ ายใตส้ ถานการณใ์ ด ๆ ถงึ แมโ้ ลกจะเปลยี่ นแปลงไปอยา่ งไรทกุ คนตา่ งกต็ อ้ งสดู้ น้ิ รน แสวงหา และแข่งขันเพ่ือให้ตนเองและครอบครวั มสี ิ่งตา่ ง ๆ ทเี่ อ้ืออ�ำนวยต่อการดำ� รงชีวิตตอบสนองต่อความต้องการ ของตนและครอบครวั มงุ่ หวงั ใหต้ นและครอบครวั มคี ณุ ภาพชวี ติ ทดี่ จี นละเลยหรอื หา่ งไกลจากครอบครวั ชมุ ชน หรือแม้แต่กระท่ังวิถีการด�ำรงชีวิตเปลี่ยนแปลงไป แต่ถึงอย่างไรก็ต้องไม่ละเลยที่จะสนใจที่จะเรียนรู้มองหา คณุ คา่ ของชวี ติ และเหน็ คณุ คา่ การอยรู่ ว่ มกนั ในชมุ ชนอนั เปน็ เรอ่ื งทดี่ งี ามทเ่ี ปน็ รากเหงา้ ของตนใหม้ คี วามรสู้ กึ รกั และผูกพันตอ่ ชมุ ชนเปน็ หนง่ึ เดียวกัน รว่ มคิดรว่ มทำ� ร่วมรับผลประโยชน์ภายใตบ้ รรทัดฐานและวัฒนธรรม มีความปรารถนาที่จะมีสัมพันธ์ทางสังคมอาศัยอยู่ร่วมกันในวิถีชีวิต ประเพณี วัฒนธรรมที่สอดคล้องกับ สิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติตามลักษณะพื้นท่ีทางภูมิศาสตร์ในชุมชนของตนเพราะคุณภาพชีวิตและ ความผูกพันต่อชุมชนได้ก่อเกิดประโยชน์แก่ตัวประชาชนและชุมชน ซึ่งความผูกพันต่อชุมชนเป็นส่วนส�ำคัญ ส�ำหรับการอยู่รอดของประชาชนและของชุมชนในยุคการเปลี่ยนแปลงในทุก ๆ ด้านรวมท้ังช่วยเสริมสร้าง ความเขม้ แขง็ ให้แกก่ ารพัฒนาประเทศชาตติ อ่ ไป ปีที่ 16 ฉบับที่ 1 ประจำ�เดือนมกราคม - เมษายน 2563 193
ประชาชนทอี่ าศยั อยใู่ นชมุ ชนอำ� เภอนำ้� ปาด ในปจั จบุ นั ตอ้ งเผชญิ กบั ภาวะการณเ์ ปลยี่ นแปลงอนั เปน็ ผลมาจากปจั จยั ภายนอกและปจั จยั สง่ิ แวดลอ้ มสงั คมในชมุ ชน โดยสภาพประชาชนและชมุ ชนเปลย่ี นแปลงไป ตามกระแสโลกาภิวัฒน์และความก้าวหน้าของเทคโนโลยีสมัยใหม่ เกิดผลกระทบต่อแบบแผนการด�ำเนิน ชีวิตของประชาชนและชมุ ชนไดเ้ ปล่ียนแปลงไป จะเห็นไดว้ ่าประชาชนและชมุ ชนมลี ักษณะหลากหลายย่ิงขึน้ ประชาชนในชมุ ชนมีวิถีชีวติ เปล่ยี นแปลงไปจากเดมิ การเปลย่ี นแปลงท่เี กิดข้ึนอาจส่งผลใหช้ วี ติ ประชาชนและ ชุมชนสั่นคลอนได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านคุณภาพชีวิตและความผูกพันต่อชุมชน และความสัมพันธ์ระหว่าง คณุ ภาพชวี ติ กบั ความผกู พนั ตอ่ ชมุ ชนทมี่ ตี อ่ กนั ทางสงั คมอาจสง่ ผลกระทบตอ่ ความมนั่ คงของสงั คมและประเทศ ได้ เช่น ความยากจน ภาวะวิกฤตเศรษฐกจิ การแพรร่ ะบาดยาเสพติด ความรนุ แรงในครอบครัว ผูส้ ูงอายถุ ูก ปลอ่ ยให้อยู่ตามลำ� พัง และปฏิสมั พันธข์ องประชาชนทีม่ ีต่อกันในชุมชนเสอื่ มถอยลดนอ้ ยลง ดังน้ัน ผวู้ จิ ัยจึงมี ความสนใจในการศกึ ษาคณุ ภาพชวี ติ ของประชาชนที่สมั พันธ์กับความผกู พันตอ่ ชมุ ชน อ�ำเภอนำ�้ ปาด จังหวดั อตุ รดติ ถ์ เพอื่ เปน็ แนวทางในการปอ้ งกนั และแกไ้ ขปญั หารวมทงั้ เสรมิ สรา้ งพฒั นาชมุ ชนใหป้ ระชาชนมคี ณุ ภาพ ชีวติ ท่ดี มี คี วามสุขกับการอยรู่ ่วมกนั อยา่ งสันตแิ ละมคี วามสุข วตั ถุประสงค์ 1. เพอื่ ศกึ ษาระดบั คณุ ภาพชวี ติ ของประชาชน และระดบั ความผกู พนั ของประชาชนตอ่ ชมุ ชน อำ� เภอ น้�ำปาด จังหวดั อุตรดิตถ์ 2. เพือ่ ศึกษาเปรียบเทยี บระดบั ความผูกพันของประชาชนตอ่ ชมุ ชน อ�ำเภอน�้ำปาด จงั หวดั อุตรดิตถ์ จ�ำแนกตามปัจจยั ส่วนบคุ คล เพศ อายุ ระดบั การศกึ ษา สถานภาพ อาชพี 3. เพอื่ ศกึ ษาความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งคณุ ภาพชวี ติ ของประชาชนกบั ความผกู พนั ของประชาชนตอ่ ชมุ ชน อำ� เภอน้�ำปาด จังหวดั อุตรดิตถ์ แนวคดิ ทฤษฎีทเี่ ก่ียวขอ้ ง ผู้วิจัยได้ศึกษาทฤษฎีแนวความคิดและงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้องเพื่อเป็นพื้นฐานและแนวทางในการวิจัย ดงั ตอ่ ไปนี้ 1. ทฤษฎีความต้องการของมาสโลว์ ที่อธิบายถึงพฤติกรรมของมนุษย์ว่ามีความต้องการเป็นระดับ ตา่ ง ๆ ดงั นี้ 1) ความต้องการทางรา่ งกาย (physiological needs) 2) ความต้องการความปลอดภัยและมัน่ คง (safety and security needs) 3) ความต้องการทางสังคมและความรัก (social and love needs) 4) ความตอ้ งการ การยกย่อง (esteem needs) 5) ความตอ้ งการความเป็นจริงในชวี ิต (self-actualization needs) ทฤษฎีความต้องการของมาสโลว์ กล่าวได้ว่า มนุษย์ย่อมมีพฤติกรรมที่แสดงออกเพ่ือแสวงหาสิ่งท่ีดี ทีส่ ดุ ให้แก่ตนเองเปน็ ส่ิงจำ� เป็นสำ� หรบั ความอยรู่ อดและการมคี ุณภาพชวี ิตความเป็นอยทู่ ่ดี ี 2. ทฤษฎมี นษุ ยน์ ิเวศ (Human ecology theory) เกิดจากทฤษฎปี ฏิสัมพนั ธข์ องมนษุ ย์ (theories of human interaction) ซึง่ มองว่าเหตุการณท์ ี่เกดิ ขนึ้ ในอดีตทผี่ ่านมาจะช่วยให้มนษุ ย์สามารถคาดการณก์ บั ส่ิงที่อาจเกิดข้ึนในอนาคต ดังน้ัน ทฤษฎีมนุษย์นิเวศจะอธิบายความสัมพันธ์ที่เกิดข้ึนระหว่างมนุษย์กับ ส่ิงแวดล้อมและให้ความส�ำคัญกับระบบที่เกิดขึ้นของความสัมพันธ์น้ี กล่าวคือ รูปแบบของชุมชนท่ีมนุษย์ 194 บณั ฑิตวทิ ยาลยั มหาวิทยาลัยสวนดุสิต
อยู่อาศัยจะขนึ้ อยู่กบั ความสมั พนั ธ์ระหว่างมนุษยก์ ับทีอ่ ยอู่ าศัยหรือสงิ่ แวดล้อม สว่ นวัฒนธรรมจะถกู สร้างข้นึ โดยสงั คมยอ่ ย ๆ ซง่ึ มีพื้นฐานขน้ึ อยกู่ บั ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งมนุษย์ พชื สตั ว์ และสภาพแวดลอ้ ม (จิตตินันท์ เดชะคุปต์ และณัฐชนา พวงทอง, 2560: 47) ความสัมพันธ์ท่ีเกิดขึ้นระหว่างประชาชนกับส่ิงแวดล้อม ในทุกด้าน ซ่ึงความผูกพันของประชาชนต่อชุมชนจะขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนกับท่ีอยู่อาศัย เกิดความพึงพอใจและเกิดความผกู พนั ตอ่ ชมุ ชน 3. ทฤษฎปี ริวรรตนิยมเชิงโครงสร้าง (Exchange Structuralism Theory) เป็นทฤษฎีทีเ่ กี่ยวข้อง กับการแลกเปลี่ยนระหว่างคนหมู่มาก คู่แลกเปลี่ยนไม่จ�ำเป็นต้องเห็นหน้ากันก็ได้เรียกอีกอย่างหน่ึงว่า การแลกเปลย่ี นรวมหมู่ (Collective Exchange Theory) หลักการแลกเปลยี่ นรวมหมู่เบอื้ งตน้ เปน็ การมุง่ ตอบคำ� ถามว่า องค์การทางสังคมเกิด ดำ� รงอยู่ เปล่ยี นแปลง และล่มสลายไดอ้ ย่างไร (สญั ญา สญั ญาววิ ัฒน์, 2540: 87-88) เป็นการมองความผูกพันต่อชุมชนในมุมมองของความสัมพันธ์เชิงแลกเปลี่ยนประชาชนจะ ยึดติดกับชุมชนเพื่อให้ได้มาซึ่งรางวัลหรือผลลัพธ์ที่แน่นอนจากชุมชน ซ่ึงประชาชนและชุมชนต่างมี ความเกยี่ วขอ้ งสัมพนั ธก์ ัน พพิ ฒั น์ จนั ทรา (2542: 14) คณุ ภาพชวี ติ เปน็ การมองชวี ติ ของมนษุ ยโ์ ดยภาพรวมเพราะมนษุ ยป์ ระกอบดว้ ย ร่างกาย จิตใจ สติปัญญา อารมณ์ ความรู้สึกนึกคิด และในขณะเดียวกันมนุษย์มีความส�ำคัญ การเมือง เศรษฐกิจ ดังน้ัน จึงไม่สามารถกล่าวถึงมนุษย์ในแง่ใดแง่หนึ่งเท่านั้นแต่ต้องมองมนุษย์ในทุกแง่ทุกมุม หรือ ทุกด้าน เพราะฉะนั้นคุณภาพชีวิตท่ีมีสภาพความเป็นอยู่ดี (Well-being) ในทุกด้านเพียงแต่ว่าจะดีได้น้อย เพียงใดระดับคุณภาพชีวิตของมนุษย์จึงพิจารณาชีวิตความเป็นอยู่ในเวลานั้น ๆ คุณภาพชีวิตมีมุมมองท่ี แตกต่างกันไปตามรูปแบบการดำ� เนินชีวติ ของแต่ละบุคคล เช่น วยั เพศ การศกึ ษาในวิชาสาขาตา่ ง ๆ และ ภูมหิ ลงั ของบคุ คล องคก์ ารอนามยั โลก (World Health Organization) ไดใ้ หอ้ งคป์ ระกอบของคณุ ภาพชวี ติ 4 ดา้ น ดงั นี้ 1) ด้านรา่ งกาย (physical domain) 2) ดา้ นจิตใจ (psychological domain) 3) ด้านความสัมพันธท์ างสงั คม (social relationships) 4) ดา้ นส่งิ แวดลอ้ ม (environment) ประเทศไทยเลง็ เหน็ ถึงปญั หาต่าง ๆ ที่จะเกิดข้ึนกับประชาชนคนไทยไดม้ ีบทบัญญัติในเรื่องเก่ียวกบั การพฒั นาคณุ ภาพชวี ติ และความเปน็ อยทู่ ด่ี ขี องประชาชนกำ� หนดใหเ้ ปน็ หนา้ ทขี่ องรฐั ทจี่ ะตอ้ งดำ� เนนิ การโดย กำ� หนดไวใ้ นหมวด 5 แนวนโยบายพน้ื ฐานแหง่ รฐั เชน่ มาตรา 56 รฐั ตอ้ งจดั หรอื ดำ� เนนิ การใหม้ สี าธารณปู โภค ข้ันพ้ืนฐานท่ีจ�ำเป็นต่อการด�ำรงชีวิตของประชาชนอย่างท่ัวถึงตามหลักการพัฒนาอย่างย่ังยืน โครงสร้างหรือ โครงขา่ ยขนั้ พนื้ ฐานของกจิ การสาธารณปู โภคขน้ั พน้ื ฐานของรฐั อนั จำ� เปน็ ตอ่ การดำ� รงชวี ติ ของประชาชนหรอื เพอ่ื ความมนั่ คงของรฐั มาตรา 75 รฐั พงึ จดั ระบบเศรษฐกจิ ใหป้ ระชาชนมโี อกาสไดร้ บั ประโยชนจ์ ากความเจรญิ เตบิ โตทางเศรษฐกิจไปพร้อมกันอยา่ งท่ัวถึง เป็นธรรม และย่ังยนื สามารถพึ่งพาตนเองได้ตามหลักเศรษฐกจิ พอเพยี ง ขจดั การผกู ขาดทางเศรษฐกจิ ทไี่ มเ่ ปน็ ธรรมและพฒั นาความสามารถในการแขง่ ขนั ทางเศรษฐกจิ ของ ประชาชนและประเทศ (รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย, 2560) และกรมการพฒั นาสังคมและสวัสดกิ าร กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (2560) ซ่ึงมีภารกิจท่ีส�ำคัญในการให้บริการสวัสดิการ สังคมสงเคราะห์ การส่งเสริมและสนับสนุนให้ชุมชน/ท้องถิ่น จัดสวัสดิการสังคม ทั้งนี้เพ่ือให้กลุ่มเป้าหมาย สามารถด�ำรงชีวิตพ่ึงพาตนเองได้อย่างมีศักยภาพ และลดความเหลื่อมลำ�้ ของสังคมภายใต้นโยบายท่ีเกิดจาก การร่วมคดิ ร่วมทำ� ร่วมรับผิดชอบ ปที ่ี 16 ฉบบั ที่ 1 ประจ�ำ เดือนมกราคม - เมษายน 2563 195
Kanter Rosabeth Moss (1972 อ้างถึงใน พยอม วงศส์ ารศรี, 2534) ส่วนความเช่อื มโยงระหวา่ ง บุคคลกับระบบทท่ี �ำใหเ้ กิดความผูกพัน ซึง่ คานเตอร์ (Kanter) แบ่งระบบสังคมเปน็ 3 ประการ ดังนี้ 1. การด�ำรงอยู่อย่างต่อเนื่องของสมาชิก คือ ความคาดหวังของบุคคลที่จะอยู่ในระบบเพ่ือด�ำเนิน การคำ�้ จุนและแสดงบทบาทของกลมุ่ 2. ความยดึ เหนี่ยวของกลมุ่ คือ ความสามารถในการสรา้ งความสมคั รสมานสามัคคีกันของบคุ คลใน การพฒั นาความใกล้ชิดซง่ึ กนั และกัน มคี วามผูกพันกันอย่างเหนยี วแน่น 3. การควบคมุ ทางสังคม คือ ความเตม็ ใจเช่ือฟงั ของบคุ คลทค่ี ล้อยตามระบบค่านิยมและความเชอ่ื ของกล่มุ หรือท�ำตามกฎระเบียบของกลุ่มทกุ อยา่ ง Fishbein and Ajzen (1975 quoted in Jeffres, Dobos and Sweeney, 1987: 621-622 อา้ งถงึ ใน อำ� ไพ หมืน่ สทิ ธิ,์ 2540: 11) ไดใ้ หค้ วามหมายของความผูกพันตอ่ ชุมชนวา่ เป็นการแสดงความพอใจ และความตง้ั ใจของบคุ คลทีจ่ ะยังคงอาศยั อยู่ในชมุ ชน รปู แบบของความผกู พันตอ่ ชมุ ชน Jennifer E. Cross (2004 อ้างถึงใน นยั น์ปพร สภุ ากรณ์, 2550: 44) ความผกู พันกับชุมชนยังสามารถแบ่งออกได้เปน็ 5 มติ ิ ได้แก่ 1) ความสัมพนั ธ์ทางสังคม 2) ความผูกพัน ในสถานที่ 3) ความเป็นอตั ลกั ษณ์ 4) การทำ� หนา้ ที่ 5) ความรู้สึกรักชมุ ชน การวิจัยเร่ือง คุณภาพชีวิตของประชาชนท่ีสัมพันธ์กับความผูกพันต่อชุมชน อ�ำเภอน้�ำปาด จังหวัด อตุ รดิตถ์ ผ้วู ิจยั ไดใ้ ชข้ ้อมูลเน้อื หาแนวคิดทฤษฎี นักวชิ าการต่าง ๆ และงานวจิ ัยทเ่ี ก่ียวข้องน�ำมาเปน็ ตัวแปร ตน้ เก่ียวกบั คณุ ภาพชีวติ ของประชาชน ได้แก่ (องค์การอนามยั โลก) (World Health Organization [WHO], 1994) ดา้ นสขุ ภาพรา่ งกาย ดา้ นจติ ใจ และดา้ นความปลอดภยั ชวี ติ และทรพั ยส์ นิ (รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั ร ไทย, 2560) ดา้ นสวสั ดิการ และดา้ นเศรษฐกจิ ตวั แปรตาม (Jennifer E. Cross, 2004 อ้างถงึ ใน นัยน์ปพร สภุ ากรณ์, 2550: 44) ได้แก่ ด้านความสัมพนั ธ์ทางสังคม ดา้ นความผูกพนั ในสถานท่ี ดา้ นความเปน็ อัตลกั ษณ์ ด้านการท�ำหน้าที่ และด้านความรู้สึกรักชุมชน มาเป็นแนวทางกรอบแนวคิดในการวิจัยครอบคลุมเนื้อหาใน ประเดน็ การศกึ ษาวจิ ัย ดังต่อไปน ี้ 196 บณั ฑิตวิทยาลยั มหาวทิ ยาลยั สวนดสุ ติ
กรอบแกนรอวบคแิดนวคิด ตตัววั แแปปรรตตาม ความผูกพนั ต่อชมุ ชน ตัวตแัวปแรตปน้ รตน้ 1. ดา้ นความสมั พนั ธท์ างสังคม ปจั จัยสว่ นบุคคล 2. ด้านความผกู พันในสถานท่ี 3. ด้านความเปน็ อัตลกั ษณ์ 1. เพศ 4. ดา้ นการท้าหนา้ ท่ี 2. อายุ 5. ดา้ นความร้สู กึ รักชมุ ชน 3. ระดับการศึกษา 4. สถานภาพ 5. อาชีพ คุณภาพชวี ิตของประชาชน 1. ดา้ นสุขภาพรา่ งกาย 2. ด้านจิตใจ 3. ดา้ นความปลอดภยั ชีวติ และทรัพย์สนิ 4. ดา้ นสวสั ดกิ าร 5. ดา้ นเศรษฐกจิ ภาพท่ี 1ภการพอทบี่ แ1นกวรคอิดบแนวคิด จสงัมหมวตดั อฐิ สอตุ1าุตมร.นรม ดดกตรติ ติ ิฐะาถถาดร์์นออับว21กยย..คิจาใู่ใู่ปรุณยันรนะรวรภรดะิจะะับาชดัยดพคาับับชุณชมมนีวภาติาใกานกขพชอชุมงีวปชติ นรขะออช้างาปเภชรอนะนชา้าแชปลนาะดรแะลจดะังบัรหะควดวัดบัาอมคุตวผราูกดมพิตผนัถูก์ขพทอัน่ีมงขีปปอัจรงจะปัยชรสาะช่วชนนาชบตนอุ่คตชค่อุมลชชมุเนพชนศอ�ำออเา้าภเยภอุ อรนะน้ำ� ด้าปปับาากดดารจศงั ึกหษวัดา ส2ถ.า นปภราะพชแาชละนอในาชชีพมุ ชแนตอกำ�ตเ่าภงอกันำ�้ มปรี าะดดบัจคงั หวาวมดั ผอกู ตุ พรันดติ อ่ถช์ ทุมมี่ชปีนจัทจี่แยัตสกว่ตน่างบกคุ นั คล เพศ อายุ ระดบั การศกึ ษา สถานภาพ และอา3ช. คีพวแามตสกัมตพา่ ันงกธ์ันระหมวีรา่ะงดคบั ณุ คภวาาพมชผวี กู ติ พขันอตงป่อรชะุมชชานชนทกแ่ี บัตคกวตา่ามงผกูกนั พนั ของประชาชนต่อชมุ ชน อา้ เภอน้าปาด จ3งั ห. วคดั วอาุตมรสดมัติ ถพ์ นัมธคี ์รวะามหสวมัา่ งพคนั ณุ ธ์ทภาางพบชวีวกิตอขยใู่อนงรปะรดะับชมาาชกนกบั ความผกู พนั ของประชาชนตอ่ ชุมชน อำ� เภอ นำ้� ปาด จงั หวดั อุตรดิตถ์ มคี วามสมั พันธ์ทางบวกอยู่ในระดบั มาก ระเบยี บวิธวี ิจยั rรeะsเeบaยีrcบrรYheกกวaว)sมาาmeิธรรปaaวีศกรrnก�ำึcิจะeหhษชยั ,)กกนาา1กาาวด9รรรจิก7กทศยั ล3้าึั้กงค:ุม่หหษร1ตนมงั้า2ัวดนดว5อกจิจรี้)ยล้าปูัยทาุ่่มนคแง่ีรตวบระนวัไ้ังบดอดน3ก้แยัี้บร6า่ากูป,คงร่7แปวว8ไบจิดรา5ยะับ้แมคชเกกเชนาช่ างิปชื่อรปกรนวมาะริจทร่ัมิชนัยกีอ่าาเ้าชาณ9ชหศน5ิงนัยท(%ปQดอ่อี รuขยาโิมดศaนใู่ านnยัายณอดอtใiยชกt�ำ(aู่ใเ้ลQคภนtุ่มiuวออvตaาา้eนัวnมเำ�้ภอrtคeปiยอtsลaา่านetดงา้าiaคvดปจre้าcเาังนคดhrหวeล)วจณs่ืใอัดeงัชจหนaอว้าวrตุใธิกcดันกีรhสอดกา)ูตุตรติารใรสชถรขดำ�้วสอ์ ติทริธุ่งมถว่ีมีกท์จอีาทา5รโ(า%ม่ี Sรสยีอu้าุยาไ1rรายดv8วมุe้ขจ1ปาyน8เี(นาSปuด(ขี Trขน้ึvaอeไrปoyง ข้ึนไป รกวลมมุ่ ปตรัวะอชยา่ กงรจทา้ ั้งนหวมนด3จ9�ำ6นควนน 36,785 คน การก�ำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างค�ำนวณจากสูตรของทาโร ยามาเน (Taro Yเaคmร่ือaงnมeือ,ท1่ีใ9ช7้ใน3ก: า1ร2ว5ิจ)ัยทค่ีรือะดแับคบวสาอมบเถชาื่อมมั่น(Qu9e5s%tioโnดnยaใiชreค้ sว)าทม้ังคฉลบาับดมเคี ่ลาดอ่ื ัชนนในีคกวามรสุ่มอด5ค%ล้อง (IOC) ได้ขนาดทขั้งอฉงบกับลทมุ่ ี่ต0ัว.9อ5ย9่างแจลำ� ะนคว่านคว3า9ม6เชคื่อนม่ันของเครื่องมือ (Reliability) ทั้งฉบับท่ี 0.965 ด้วยวิธีการหาค่าสัมประสิทธิ์ แอลฟ่าของครอนบาค (Cronbach’s Alpha Coefficient อ้างถงึ ใน ประคอง กรรณสตู , 2542: 10-11) ปที ี่ 16 ฉบบั ท่ี 1 ประจ�ำ เดือนมกราคม - เมษายน 2563 197 6
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม (Questionnaires) ทั้งฉบับมีค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ทั้งฉบับที่ 0.959 และค่าความเช่ือม่ันของเครื่องมือ (Reliability) ทั้งฉบับท่ี 0.965 ด้วยวิธีการหา ค่าสัมประสิทธิแ์ อลฟา่ ของครอนบาค (Cronbach’s Alpha Coefficient อา้ งถงึ ใน ประคอง กรรณสูต, 2542: 10-11) สถติ ทิ ่ีใช้ในการวิเคราะห์ขอ้ มลู 1) สถติ เิ ชงิ พรรณนา (Descriptive Statistics) ได้แก่ การแจกแจงความถ่ี (Frequency) ร้อยละ (Percentage) ใชใ้ นการบรรยายลกั ษณะขอ้ มลู ทว่ั ไปเกย่ี วกบั ลกั ษณะเฉพาะสว่ นบคุ คล ไดแ้ ก่ เพศ อายุ ระดบั การศกึ ษา สถานภาพ อาชพี และคา่ เฉลี่ย (Mean) สว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) ใชใ้ น การวเิ คราะหข์ ้อมลู คุณภาพชีวิตของประชาชน และข้อมูลความผูกพันของประชาชนตอ่ ชมุ ชน อำ� เภอน�ำ้ ปาด จังหวดั อตุ รดติ ถ์ 2) สถิติเชิงอ้างอิง (Inferential Statistics) ได้แก่ t-test ใช้ส�ำหรับทดสอบความแตกต่างด้าน สถานภาพสว่ นบคุ คลทมี่ ตี วั แปร แบง่ เปน็ 2 กลมุ่ และการวเิ คราะหค์ วามแปรปรวนทางเดยี ว F-test ใชส้ ำ� หรบั ทดสอบความแตกตา่ งของขอ้ มูลมากกวา่ 2 กล่มุ กรณีพบความแตกตา่ งอย่างมีนัยสำ� คัญทางสถติ ิท่ีระดบั .05 ทำ� การทดสอบความแตกตา่ งของคา่ เฉลยี่ เปน็ รายคดู่ ว้ ยวธิ ขี องเชฟเฟ่ (Scheffe’s Method) และการวเิ คราะห์ ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งคณุ ภาพชวี ติ ของประชาชนกบั ความผกู พนั ของประชาชนตอ่ ชมุ ชน อำ� เภอนำ้� ปาด จงั หวดั อุตรดติ ถ์ โดยใช้ค่าสมั ประสิทธิส์ หสัมพันธเ์ พยี ร์สนั (Pearson’s Correlation Coefficient) ผลการศึกษา ผลวจิ ยั นเี้ ปน็ สว่ นหนง่ึ ของงานวจิ ยั เรอื่ งคณุ ภาพชวี ติ ของประชาชนทสี่ มั พนั ธก์ บั ความผกู พนั ตอ่ ชมุ ชน อำ� เภอน�ำ้ ปาด จังหวัดอุตรดิตถ์ ดังน้ัน การวจิ ัยในเร่อื งนจี้ ึงเป็นการนำ� เสนอผลทไ่ี ด้จากการวเิ คราะหค์ ุณภาพ เครอ่ื งมือวัด ปจั จัยส่วนบคุ คล คุณภาพชวี ติ ของประชาชน และความผูกพนั ของประชาชนต่อชมุ ชน เพ่อื ตอบ วัตถปุ ระสงคข์ องบทความวิจยั มีรายละเอียดดงั นี้ สว่ นที่ 1 ปจั จยั ส่วนบุคคลผตู้ อบแบบสอบถาม จำ� แนกตาม เพศ อายุ ระดับการศึกษา สถานภาพ และอาชพี พบว่า ส่วนใหญเ่ ปน็ เพศชาย จำ� นวน 227 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 57.32 สว่ นใหญ่อายุ 41-50 ปี จ�ำนวน 118 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 29.80 สว่ นใหญม่ ี ระดบั การศกึ ษาประถมศกึ ษา จำ� นวน 136 คน คดิ เป็นร้อยละ 34.34 ส่วนใหญส่ ถานภาพสมรส จ�ำนวน 235 คน คิดเป็นรอ้ ยละ 59.34 สว่ นใหญ่มีอาชพี เป็นเกษตรกร จ�ำนวน 145 คน คดิ เปน็ ร้อยละ 36.62 สว่ นที่ 2 ผลระดบั คณุ ภาพชวี ติ ของประชาชน และระดบั ความผูกพันของประชาชนต่อชมุ ชน 198 บณั ฑติ วิทยาลัย มหาวิทยาลัยสวนดุสิต
จ้าแนกตาม เพศ อายุ ระดับการศึกษา สถานภาพ และอาชีพ พบว่า ส่วนใหญ่เป็นเพศชาย จ้านวน 227 คน คิดเป็นร้อยละ 57.32 ส่วนใหญ่อายุ 41-50 ปี จ้านวน 118 คน คิดเป็นร้อยละ 29.80 ส่วนใหญ่มีระดับ การศึกษาประถมศึกษา จ้านวน 136 คน คิดเป็นร้อยละ 34.34 ส่วนใหญส่ ถานภาพสมรส จา้ นวน 235 คน คิดเป็น ร้อยละ 59.34 ส่วนใหญ่มอี าชีพเป็นเกษตรกร จา้ นวน 145 คน คดิ เป็นรอ้ ยละ 36.62 สว่ นท่ี 2 ผลระดบั คณุ ภาพชีวิตของประชาชน และระดับความผกู พันของประชาชนตอ่ ชุมชน ตารางท่ี 1 ผลค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนแยกตามรายประเด็นใน ตารางที่ 1 ผลภคาา่ พเฉรลวี่ยมแทลัง้ ะ5สว่ ดนา้ เนบ่ยี งเบนมาตรฐานระดบั คุณภาพชีวิตของประชาชนแยกตามรายประเดน็ ในภาพรวม ทัง้ 5 ดา้ น ประเด็นรายการ X S.D. แปลผล อันดบั ดา้ นสุขภาพร่างกาย 4.53 0.49 มากทีส่ ุด 1 ดา้ นจิตใจ 4.29 0.62 มาก 4 ด้านความปลอดภัยชวี ติ และทรพั ย์สิน 4.48 0.57 มาก 2 ด้านสวสั ดิการ 4.48 0.57 มาก 2 ด้านเศรษฐกิจ 4.17 0.80 มาก 5 ภาพรวม 4.39 0.53 มาก มคอ4.าย่า5เกู่ใฉ3นทลรรีส่ย่ีะอุดอดงคยับคล4ุณใู่ณุม.งน5มาภภ3รกาาะารพพดค4อบัื.ชชอ3งีวีวมล9ดติิตาง้าขดกขมนอ้าอา4นคงง.คปวท3ปอืรา9่ีมระมีคดะดชปุณชา้า้าลนนาชภอชทนคาดนอวม่ีพภา้าอคีชเมัย�ำณุีวภปชเติ อภภีวลคนอาิตอ่า้าพนแเดปฉช�้ำลภาลปวีะดัย่ียติทาชมคจดรีวางัา่ัพกิตหเจฉยทแวังล์สัด่ีสลหยิ่ีนอุดะวมุตทัดคคารรอก่าอืดัพุตเทติ ฉดยรสถ่ี ล้า์สด์ดุ ี่นยพินิตอสคบถคุขยอืว์ า่ภู่ใา่พดนเาฉา้รบรพลนะะวรด่ียสด่า่าับอขุับงยครกภมะุณ่ใูาาานยดพกภรับรคาะ4า่คพ่าดง.ุณเ4ชกบัฉ8วี าภลมิตย่ีเยาาโทพอดกค่ายยา่ชก4ู่ใเภีวฉั.บน4าิตลรดพ8โะยี่้าดรเดอนวทยับยมสภ่าใู่มวกนาคาัสบัพร่ากดะเดรทฉิกดวา้ ่ีสลาบมนั ุด่ียร สคว่าเัสฉดลกิ ่ยี าอรยค่ใู น่าเรฉะลดย่ีบั อมยาู่ใกน4ร.ะ4ด8บั แมลาะกคา่4เ.ฉ4ล8ี่ยแตลา่้ ทะค่สี ุดา่ เฉคลือี่ยดต้า�่ำนทเศ่สี รุดษคฐอืกิจดค้าน่าเเฉศลรี่ยษอฐยกู่ใจินรคะา่ ดเบัฉมลา่ียกอย4ูใ่.1น7ระดบั มาก 4.17 ต ตาารราางงทที่ ่ี22 ผในรผลาภลคยาค่าปพเ่าฉรรเละวฉยี่มเลดแท่ียน็ลงั้ แะ5ใลสนะว่ดภนส้าาเน่วบพน่ียรเงวบเมบ่ียทนงง้ัเมบา5นตดรมฐา้ าานตนรรฐะาดนับรคะวดามับผคูกวพาันมขผอูกงพปัรนะขชอางชปนรตะอ่ ชชามุ ชชนนตแ่อยชกุมตาชมนราแยยปกระตเาดม็น7 ประเด็นรายการ X S.D. แปลผล อันดบั ดา้ นความสมั พันธท์ างสังคม 4.27 0.65 มาก 1 ด้านความผกู พันในสถานที่ 4.23 0.68 มาก 2 ด้านความเปน็ อตั ลกั ษณ์ 4.18 0.56 มาก 5 ดา้ นการทา้ หนา้ ท่ี 4.18 0.72 มาก 5 ดา้ นความรสู้ ึกรกั ชุมชน 4.22 0.62 มาก 3 ภาพรวม 4.22 0.59 มาก คคคคมเคตปว่ว่าืา่อาอ็นกาาเเชฉฉมมอดุม4ลลตัสผ้าช.ี่ยี่ยัมลก2ูนนตอกั3พพคคโค่ำ�ษยันนัดรววทวู่ณใธอตยาาาน่ีส์ทงอม่ม์ภมรุดคลาชสผผาะงา่งมุคพกูัมูกสดมเฉชพือพพงัราับลนควันันันดมคยี่มมโขธ้าขดาืออคอน์ทกคยอย่งาดา่คภใู่างปเ้นาเ4งฉปวาฉรนรส.าพลระล2ะคมัง่ียะชรย่ี3ดวคเวาอชอปบัามมชยยารมมน็นคู่ชอใู่ใรานคอนาตู่้สนงกเรัต่าอ่รลึกฉตะเะล4ชงรลฉ่อดด.มุมกััก1ย่ีลบัชับชษาช8อี่ยุมมนมุมณยอเาคชชทาใู่กพย์ือนนนกคา่ ู่ใบร4กา่นค4วะดพ.เับ2รฉ่า่า.ด้า2บ7ะเลดบนัปฉ2ดวี่ย้ารมคลร่ัาบนอดอะา่ียวกงม้ายกชาอปลานาใู่ามยงรนรชก4ทู่ใรมทะรนน.่ีู้สม2าา้ชะ4รีึก2คหอดาคะ.ร2วา้นชดือับดักาเ7้านับภมา้มชดทมนอาผรุม้า่ี อานกทคนอูกชก�ำ้าา่มี่คงพ4นปเเลคีว4ฉ.ภัน1าางว.ลคอ2ดต8มมายี่ 2่าน่อผมาเจอเทช้�ำูกผแฉังยุปคมพห่ากูลลู่ใกนือชพาัะวน่ียบัรดัดคนในัอะนอด่าตยดดคสเตุจ้าอ่ฉู่ใ้าบัถ่ารนังนลชนดมเาหครี่ฉยมุกนติาวะวตลชกาทถัดดา้่า่ียนร์่ีมอ4ทับมคทม.ผุตี่สีรา่คม1าำ� ะเูกุดรา่ก8หาฉดเดพกทนลฉคบัิตัน่ีสย่ีล้าือค4ถุอทดใยี่ ว.นด์ยม่ี2าคค้มาสู่ใา2มน่านือีกรถผเรคะทาฉแกูดะวดนลสี่ลพด้าาับทดุีย่ะัันนบมี่ อยู่ในระดสับ่วมนาทก่ี 34.ผ1ล8การวิเคราะห์เปรียบเทียบระดับความผูกพันของประชาชนต่อชุมชน อ้าเภอน้าปาด จังหวัด อตุ รดติ ถ์ สเปว่ น็ รทาี่ ย3ดผา้ ลนกจา้ารแวเนิ คกรตาาะมหปเ์ ปัจจรยัี สบ่วเทนบยี บุคคระลดสบั รคุปวผาลมไผดกู้ดพงั นนั ้ี ของประชาชนตอ่ ชมุ ชน อำ� เภอนำ้� ปาด จงั หวดั อุตรดติ ถ์ 1เป. ็นดา้รนาเยพดศา้ นพบจวำ� ่าแนระกดตับาคมวปาจัมจผัยูกสพว่ันนขบอุคงปครละชสารชุปนผตลอ่ ไชดมุ ้ดชังนนี้จ้าแนกตามเพศ ในภาพรวมเพศชายและเพศ หญิงมีควา1ม. ผดกู พา้ นั เตพอ่ ศชุมพชบนวในา่ ดร้าะนดคบั วคามวสามั ผพกูันพธ์ทนั าขงอสงั ปคมระดชา้ านชคนวตาอ่มชผุมูกพชนั ในจสำ� แถนานกทต่ี าดมา้ เนพคศวาใมนเภปา็นพอรตั วลมักเษพณศ์ชดา้ายน แกลาระทเพา้ หศนห้าญทงิี่ แมลคี ะวดาา้มนผคกู วพานัมรตสู้ อ่ กึ ชรมุ ักชชนมุ ใชนนดมา้ คีนวคาวมาผมูกสพมั นั พตนั ่อธชท์ ุมาชงนสไงัมคแ่ มตกดตา้ า่นงคกวนั ามผกู พนั ในสถานที่ ดา้ นความเปน็ 2. ด้านอายุ พบว่า ระดับความผูกพันของประชาชนต่อชุมชนจ้าแนกตามอายุ ในภาพรวมและรายด้าน ความสัมพันธ์ทางสังคม ด้านความผูกพันในสถานที่ ด้านความเป็นอัตลักษปณีที่์ 1ด6้าฉนบบักทาี่ ร1ทปร้าะหจำ�นเด้าอื ทนี่มแกรลาะคมด้-าเนมษคาวยานม2ร56ู้ส3ึก รกั ชมุ ชน มคี วามผกู พนั ตอ่ ชมุ ชนไมแ่ ตกต่างกนั 199 3. ด้านการศึกษา พบว่า ระดับความผูกพันของประชาชนต่อชุมชนจ้าแนกตามระดับการศึกษา ในภาพรวมและรายด้านความสัมพันธ์ทางสังคม ด้านความผูกพันในสถานที่ ด้านความเป็นอัตลักษณ์ ด้านการท้า
อัตลกั ษณ์ ด้านการทำ� หน้าท่ี และด้านความรู้สึกรักชุมชน มีความผกู พนั ตอ่ ชุมชนไม่แตกต่างกัน 2. ด้านอายุ พบว่า ระดับความผูกพันของประชาชนต่อชุมชนจ�ำแนกตามอายุ ในภาพรวมและ รายดา้ นความสมั พนั ธท์ างสังคม ด้านความผกู พันในสถานท่ี ดา้ นความเปน็ อตั ลกั ษณ์ ดา้ นการท�ำหนา้ ที่ และ ดา้ นความรู้สึกรักชุมชน มีความผูกพันต่อชุมชนไมแ่ ตกตา่ งกนั 3. ด้านการศึกษา พบว่า ระดับความผูกพันของประชาชนต่อชุมชนจ�ำแนกตามระดับการศึกษา ในภาพรวมและรายด้านความสัมพันธ์ทางสังคม ด้านความผูกพันในสถานที่ ด้านความเป็นอัตลักษณ์ ด้าน การทำ� หนา้ ที่ไมแ่ ตกตา่ งกัน ยกเวน้ ด้านความรสู้ กึ รักชมุ ชน แตกต่างกนั อย่างมนี ยั สำ� คัญทางสถติ ทิ ่ีระดับ .05 จงึ ทำ� การทดสอบความแตกตา่ งของคา่ เฉลยี่ เปน็ รายคู่ โดยวธิ ขี องเชฟเฟ่ (Scheffe’s Method) ผลการทดสอบ เพอื่ เปรยี บเทยี บความแตกตา่ งระดบั ความผกู พนั ของประชาชนตอ่ ชมุ ชน ดา้ นความรสู้ กึ รกั ชมุ ชน จำ� แนกตาม ระดับการศึกษาพบว่าระดับการศึกษาที่แตกต่างกัน จ�ำนวน 1 คู่ คือ ระดับการศึกษามัธยมศึกษาตอนต้น กบั ระดับการศึกษามัธยมศกึ ษาตอนปลาย 4. ดา้ นสถานภาพ พบวา่ ระดบั ความผกู พนั ของประชาชนตอ่ ชมุ ชนจำ� แนกตามสถานภาพ ในภาพรวม และรายด้านความผูกพันในสถานที่ ด้านความเป็นอัตลักษณ์ ด้านการท�ำหน้าที่ ด้านความรู้สึกรักชุมชน ไม่แตกต่างกัน ยกเว้นด้านความสัมพันธ์ทางสังคม แตกต่างกันอย่างมีนัยส�ำคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 จึงท�ำ การทดสอบความแตกตา่ งของคา่ เฉลี่ยเปน็ รายคู่ โดยวธิ ีของเชฟเฟ่ (Scheffe’s Method) ผลการทดสอบเพ่อื เปรยี บเทยี บความแตกตา่ งระดบั ความผกู พนั ของประชาชนตอ่ ชมุ ชน ดา้ นความสมั พนั ธท์ างสงั คม จำ� แนกตาม สถานภาพพบว่าสถานภาพทแ่ี ตกต่างกนั จำ� นวน 1 คู่ คือ สถานภาพโสด กบั สถานภาพสมรส 5. ด้านอาชีพ พบว่า ระดับความผูกพันของประชาชนต่อชุมชนจ�ำแนกตามอาชีพ ในภาพรวมและ รายดา้ นความสัมพันธ์ทางสังคม ดา้ นความผูกพันในสถานท่ี ด้านความเป็นอัตลกั ษณ์ ดา้ นความรู้สกึ รกั ชุมชน ไม่แตกต่างกัน ยกเว้นด้านการท�ำหน้าท่ีแตกต่างกันอย่างมีนัยส�ำคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 จึงท�ำการทดสอบ ความแตกตา่ งของคา่ เฉลยี่ เปน็ รายคู่ โดยวธิ ขี องเชฟเฟ่ (Scheffe’s Method) ผลการทดสอบเพอ่ื เปรยี บเทยี บ ความแตกต่างระดับความผูกพันของประชาชนต่อชุมชนด้านการท�ำหน้าท่ี จ�ำแนกตามอาชีพพบว่าอาชีพท่ี แตกต่างกัน จำ� นวน 1 คู่ คือ อาชพี คา้ ขาย/ธุรกจิ สว่ นตวั กบั อาชีพขา้ ราชการ/พนกั งานรฐั วสิ าหกจิ สว่ นที่ 4 ผลวเิ คราะหค์ วามสมั พนั ธร์ ะหวา่ งคณุ ภาพชวี ติ ของประชาชน กบั ความผกู พนั ของประชาชน ต่อชุมชน อำ� เภอน้�ำปาด จงั หวัดอตุ รดิตถ์ ซึ่งมผี ลดังน้ี พบวา่ ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งคณุ ภาพชวี ติ ของประชาชน กบั ความผกู พนั ของประชาชนตอ่ ชมุ ชน โดย ภาพรวมมคี วามสมั พนั ธใ์ นระดบั ปานกลาง มคี า่ สมั ประสทิ ธสิ์ หสมั พนั ธ์ .528 มคี วามสมั พนั ธใ์ นทศิ ทางเดยี วกนั ในเชงิ บวกและเมอื่ พจิ ารณาเปน็ รายดา้ นพบวา่ ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งคณุ ภาพชวี ติ ของประชาชนกบั ความผกู พนั ของประชาชนตอ่ ชมุ ชน ดา้ นสขุ ภาพรา่ งกายมคี า่ สมั ประสทิ ธส์ิ หสมั พนั ธเ์ ทา่ กบั .168 ดา้ นจติ ใจมคี า่ สมั ประสทิ ธ์ิ สหสมั พนั ธเ์ ทา่ กบั .481 ดา้ นความปลอดภยั ชีวิตและทรพั ยส์ นิ มีคา่ สมั ประสทิ ธ์สิ หสมั พันธเ์ ทา่ กับ .420 ด้าน สวัสดกิ ารมีค่าสมั ประสทิ ธ์ิสหสัมพนั ธ์เทา่ กับ .075 ดา้ นเศรษฐกจิ มีค่าสมั ประสิทธ์ิสหสมั พันธ์เทา่ กับ .075 คูท่ ม่ี ีความสมั พันธ์กนั มากทีส่ ดุ คือ คคู่ ณุ ภาพชวี ิตดา้ นจิตใจ กบั ความผูกพันตอ่ ชุมชนด้านความรูส้ ึก รกั ชมุ ชน คา่ สมั ประสทิ ธส์ิ หสมั พนั ธ์เทา่ กับ .823 รองลงมา คอื คู่คุณภาพชีวิตดา้ นสวัสดกิ าร กับ ความผกู พนั ต่อชมุ ชนดา้ นความรสู้ ึกรกั ชุมชน ค่าสมั ประสทิ ธิส์ หสัมพันธเ์ ทา่ กบั .799 รองลงมา คือ ส่วนคูท่ ม่ี คี วามสมั พันธ์ 200 บัณฑติ วทิ ยาลัย มหาวทิ ยาลยั สวนดุสิต
ต�่ำท่ี คือ คุณภาพชีวิตด้านสวัสดิการ กับ ความผูกพันต่อชุมชนด้านความสัมพันธ์ทางสังคม ค่าสัมประสิทธ์ิ สหสัมพนั ธ์ เทา่ กบั .015 เท่ากบั คู่คณุ ภาพชีวิตดา้ นเศรษฐกจิ กบั ความผกู พนั ตอ่ ชุมชนด้านความสมั พนั ธท์ าง สังคม ค่าสัมประสิทธส์ิ หสมั พนั ธเ์ ทา่ กับ .015 อภปิ รายผล ส่วนท่ี 5 การอภิปรายผลคุณภาพชวี ติ ของประชาชน 1. ดา้ นสขุ ภาพรา่ งกาย พบวา่ ระดบั คุณภาพชวี ติ ของประชาชนอย่ใู นระดบั มากท่ีสุด คา่ เฉลย่ี 4.53 เนอื่ งจากประชาชนมสี ขุ ภาพร่างกายทแี่ ขง็ แรง การไม่มีโรคระบาดหรอื โรคตดิ ต่อเรอื่ รงั การมีความร้เู ก่ยี วกบั มลภาวะและสารพิษต่าง ๆ สอดคล้องกับงานวิจัยของ อมั พร ไทยช�ำ (2553) ได้ศึกษาคุณภาพชีวติ กล่มุ เกษตร มรี ะดบั คณุ ภาพชวี ติ ในภาพรวมระดบั สงู ทกุ ดา้ น และคณุ ภาพชวี ติ ดา้ นชวี ติ ครอบครวั ของเกษตรกรในภาพรวม อยู่ในระดับสูง แต่คุณภาพชีวิตด้านความสามารถในการประกอบอาชีพของเกษตรในภาพรวมอยู่ในระดับต่�ำ เกษตรกรส่วนใหญ่มีความรู้สึกว่ามีความสุขในชีวิต มีความพอใจในตนเอง และมีความพอใจกับสุขภาพด้าน รา่ งกาย 2. ด้านจิตใจ พบว่า ระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยภาพรวมอยู่ในระดับมากค่าเฉล่ีย 4.29 เนอื่ งจากคนในชุมชนมคี วามสามคั ครี กั ใครป่ รองดองกันอยา่ งเป็นพี่น้องกนั การกล้าคดิ กล้าพูดกลา้ ทำ� ในสิ่งที่ ดี และเปน็ ประโยชนแ์ กช่ มุ ชน มคี วามสามารถควบคมุ อารมณข์ องตนเองไดเ้ มอื่ มปี ญั หากบั ผอู้ นื่ สอดคลอ้ งกบั งานวิจัย ณฐั วฒุ ิ แพงสวสั ด์ิ (2552) ไดศ้ กึ ษาเรื่องคุณภาพชีวิตของประชาชนในเขตองคก์ ารบรหิ ารสว่ นตำ� บล ชยั พร อำ� เภอบงึ กาฬ จังหวัดหนองคาย พบวา่ อยู่ในระดบั ดีทง้ั โดยรวมและรายดา้ นเกือบทกุ ด้าน เฉพาะดา้ น จติ ใจเทา่ นนั้ ทป่ี ระชาชนทมี่ กี ารศกึ ษาระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนปลายมคี ณุ ภาพชวี ติ อยใู่ นระดบั ดมี าก และปรากฏ วา่ ประชาชนเพศชายมีคณุ ภาพด้านจติ ใจดกี วา่ เพศหญงิ 3. ดา้ นความปลอดภยั ชวี ติ และทรพั ยส์ นิ พบวา่ ระดบั คณุ ภาพชวี ติ ของประชาชนโดยภาพรวมอยใู่ น ระดบั มาก คา่ เฉลยี่ 4.48 เนอื่ งจากชมุ ชนไมม่ ปี ญั หาอาชญากรรมตา่ ง ๆ ชมุ ชนมสี ภาพชมุ ชนทป่ี ลอดภยั เหมาะแก่ การพักอยูอ่ าศยั มคี วามรสู้ ึกปลอดภัยในชวี ิตและทรพั ย์สนิ เสมอเม่อื อาศยั อยู่ในชมุ ชน สอดคล้องกบั งานวิจยั ศรีสดุ า มีช�ำนาญ และสมชาย ลกั ขณานุรักษ์ (2553) ศกึ ษาเรอ่ื งคณุ ภาพชีวิตของประชาชนและเปรียบเทยี บ คณุ ภาพชวี ติ ของประชาชนในอำ� เภอนครชยั ศรี จงั หวดั นครปฐม พบวา่ คณุ ภาพชวี ติ ของประชาชนอยใู่ นระดบั ดีและเมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่าอยู่ในระดับดีทุกด้าน ท้ังด้านครอบครัว ด้านสุขภาพกายและจิต ด้านเศรษฐกจิ และสงั คม และด้านความปลอดภยั ชีวิตและทรัพย์สนิ 4. ด้านสวัสดิการ พบว่า ระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ค่าเฉลี่ย 4.48เนื่องจากผู้สูงอายุในครอบครัวได้รับเบ้ียผู้สูงอายุ การได้รับสวัสดิการจากภาครัฐอย่างสม่�ำเสมอ และ ตอ่ เนอื่ ง ในหมบู่ า้ นมกี องทนุ หมบู่ า้ นเพอ่ื ชว่ ยเหลอื คนในชมุ ชนและการไดร้ บั สทิ ธพิ เิ ศษเกยี่ วกบั คา่ ยา คา่ รกั ษา พยาบาลตา่ ง ๆ สอดคล้องกับงานวิจัย สุภาวิดา นากรกั ษา (2559) ไดศ้ ึกษาเรื่องความพึงพอใจตอ่ สวสั ดกิ าร และการบรหิ ารสวสั ดกิ าร ทส่ี ง่ ผลตอ่ ความเหนอ่ื ยลา้ ในการทำ� งานและความผกู พนั ในอาชพี ของพยาบาลวชิ าชพี พบวา่ ความพงึ พอใจตอ่ สวสั ดกิ ารสง่ ผลตอ่ ความเหนอื่ ยลา้ ในการทำ� งานของพยาบาล และสง่ ผลตอ่ ความผกู พนั ในอาชีพ ปที ี่ 16 ฉบับที่ 1 ประจ�ำ เดอื นมกราคม - เมษายน 2563 201
5. ดา้ นเศรษฐกจิ พบวา่ ระดบั คณุ ภาพชวี ติ ของประชาชนโดยภาพรวมอยใู่ นระดบั มาก คา่ เฉลยี่ 4.17 เนอ่ื งจากประชาชนในชมุ ชนไดร้ บั การจา้ งงานมากขน้ึ กวา่ เดมิ มกี ารสง่ เสรมิ พฒั นาอาชพี อยา่ งเหมาะสมใหก้ บั ประชาชนในชุมชน และภายในชุมชนมีการจัดตั้งบริษัทห้างร้านต่าง ๆ มากข้ึน สอดคล้องกับงานวิจัยของ จันทรัตร์ กฤชอาคม (2553) ได้ศึกษาเร่ืองคุณภาพชีวิตของชาวนาในเขตต�ำบลโนนพะยอม อ�ำเภอชนบท จังหวัดขอนแก่น มีคุณภาพชีวิตภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง ประกอบอาชีพท�ำนาเป็นหลัก มีรายได้เฉล่ีย 7,699.41 บาท/เดอื น มีรายจ่ายเฉลย่ี 6,030.92 บาท/เดือน มหี นี้สนิ เฉลีย่ 49,762.75 บาท สว่ นท่ี 6 การอภิปรายผลความผูกพนั ของประชาชนต่อชมุ ชน 1. ดา้ นความสมั พันธท์ างสงั คม พบว่า ระดับความผูกพันของประชาชนตอ่ ชุมชนโดยภาพรวมอยูใ่ น ระดบั มาก คา่ เฉล่ยี 4.27 เน่อื งจากประชานมคี วามตอ้ งการอย่ใู นชมุ ชน และด�ำรงอยอู่ ย่างต่อเนือ่ งตลอดไป การมีความรู้สึกที่ดีต่อเพื่อนบ้านทุกคนและคนในชุมชนมีความสามัคคีเป็นอันหน่ึงอันเดียวกัน สอดคล้องกับ งานวจิ ยั ของ ภสู ทิ ธ์ ขนั ติกุล และกณิกนนั ท์ โภชฌงค์ (2554) ได้ศึกษาเรอ่ื งความผูกพนั ของครอบครวั ทหาร ต่อชุมชนยานเกราะ เขตดุสติ กรงุ เทพมหานคร ผลการศึกษาพบวา่ ประชาชนในชมุ ชนยานเกราะมสี ว่ นรว่ ม ในกจิ กรรมตา่ ง ๆ ของชมุ ชนโดยภาพรวมอยรู่ ะดบั มาก ปจั จยั ทม่ี อี ทิ ธพิ ลตอ่ ความผกู พนั ของประชาชนในชมุ ชน ยานเกราะ ได้แก่ อายุ สถานภาพ อาชีพ รายได้ตอ่ เดอื น ระยะเวลาทีอ่ าศัยอยใู่ นชมุ ชนการเปน็ สมาชิกกลมุ่ ทางสังคม 2. ด้านความผูกพันในสถานท่ี พบว่า ระดับความผูกพันของประชาชนต่อชุมชนโดยภาพรวมอยู่ใน ระดับมาก คา่ เฉล่ีย 4.23 เนอ่ื งจากประชาชนมคี วามรักชุมชนและร้สู กึ เป็นสว่ นหนง่ึ ของชมุ ชน และมคี วามรัก และหวงแหนต่อชมุ ชนซง่ึ เปน็ สถานทปี่ ฏิบตั งิ านหรืออาศัยอยใู่ นชุมชน การร่วมสร้างความสมัครสมานสามคั คี กันของคนในชุมชนใหเ้ หนยี วแน่นมาก และความสามารถรบั รสู้ ภาพส่งิ แวดลอ้ มละแวกบ้าน ทอ่ี ยอู่ าศัย หรอื ครอบครัวเพื่อนบา้ น สอดคลอ้ งกบั งานวิจยั ของ ภสู ิทธ์ ขนั ติกลุ และกณิกนนั ท์ โภชฌงค์ (2554) ไดศ้ กึ ษาเร่อื ง ความผูกพันของครอบครวั ทหารต่อชุมชนยานเกราะ เขตดสุ ิต กรงุ เทพมหานคร ภาพรวมและรายด้านอยใู่ น ระดับสูง ลักษณะความผูกพันของครอบครัวทหารในชุมชนยานเกราะจะมีลักษณะเป็นบ้านหลังใหญ่ที่ทุกคน ตอ้ งดูแล ปกป้อง ทงั้ หวั หน้าครอบครัวและคนในครอบครัวจะรกั ชมุ ชนท่ีตนอาศัยอยู่มาก 3. ดา้ นความเปน็ อตั ลกั ษณ์ พบวา่ ระดบั ความผกู พนั ของประชาชนตอ่ ชมุ ชนโดยภาพรวมอยใู่ นระดบั มากค่าเฉล่ีย 4.18 เน่ืองจากประชาชนมีความพึงพอใจในวิถีชีวิต และการด�ำเนินชีวิตในปัจจุบันที่เป็นอยู่ มีการปฏิบตั ติ ามจารตี ประเพณี ขนบธรรมเนียม ทมี่ กี ารสืบทอดกันมานานภายในชุมชน และชมุ ชนมลี กั ษณะ เฉพาะท่ีท�ำให้ชุมชนเป็นที่รู้จักหรือจดจ�ำได้ สอดคล้องกับงานวิจัยของ นุชนาฎ เชียงชัย (2558: 4) ค�ำว่า อัตลกั ษณ์ หมายถึง ความเป็นตวั ตนที่แตกต่างจากสง่ิ อื่นใด สามารถบ่งชล้ี กั ษณะเฉพาะของตัวบุคคล สังคม ชุมชน หรือประเทศนนั้ ๆ ได้ เช่น เชอ้ื ชาติ ภาษา วัฒนธรรมทอ้ งถิ่น และศาสนา เป็นต้น และข้อแตกต่างที่ เหน็ ไดช้ ดั จากสองค�ำนีค้ อื “เอกลักษณ”์ เปน็ สงิ่ ตายตัวสามารถเปลยี่ นแปลได้สว่ น “อัตลกั ษณ”์ นั้นสามารถ เปล่ียนแปลงหรอื พฒั นาให้ดขี ึน้ 4. ดา้ นการทำ� หน้าท่ี พบวา่ ระดบั ความผูกพันของประชาชนตอ่ ชุมชนโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ค่าเฉล่ีย 4.18 เน่ืองจากประชาชนมีความพร้อมทุ่มเทให้กับงานท่ีตนปฏิบัติอยู่อย่างเติมท่ีเต็มความสามารถ มีความจงรักภักดีต่อหน่วยงานและหน้าที่การท�ำงานในชุมชน และมีความพึงพอใจในการท�ำงานพร้อมที่จะ ปฏบิ ตั งิ านในชุมชนตอ่ ไป สอดคล้องกับงานวจิ ัยของ สภุ าวิดา นากรกั ษา (2559 ไดศ้ กึ ษาเรอ่ื งความพงึ พอใจ 202 บณั ฑิตวิทยาลัย มหาวทิ ยาลัยสวนดสุ ิต
ต่อสวัสดิการและการบริหารสวัสดิการท่ีส่งผลต่อความเหน่ือยล้าในการท�ำงานและความผูกพันในอาชีพของ พยาบาลวิชาชีพ โดยความพึงพอใจต่อการบริหารสวัสดิการส่งผลต่อด้านความผูกพันในอาชีพและด้าน ความอดทนในอาชพี 5. ดา้ นความรสู้ กึ รกั ชมุ ชน พบวา่ ระดบั ความผกู พนั ของประชาชนตอ่ ชมุ ชนโดยภาพรวมอยใู่ นระดบั มากค่าเฉล่ีย 4.22 เนื่องจากคนในชุมชนมีความสุข และมีการพัฒนาชุมชนมากข้ึน คนในชุมชนมีการรักษา ภมู ปิ ญั ญาเกา่ ของชมุ ชนไวอ้ ยา่ งเหนยี วแนน่ และคนในชมุ ชนสามารถปรบั ประยกุ ตห์ ลกั ธรรมคำ� สอนทางศาสนา มาใช้กับชวี ิตได้อย่างเหมาะสม สอดคลอ้ งกับงานวิจัยของ นัยนป์ พร สภุ ากรณ์ (2550) ไดศ้ ึกษาความผกู พัน กับชุมชนของประชาชนในชุมชนแขวงวัดกัลยาณ์ เขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร พบว่าระดับความผูกพันกับ ชุมชนอยูใ่ นระดบั สงู และดา้ นความรูส้ กึ รกั ชุมชนในระดบั สงู ท่สี ดุ สว่ นท่ี 7 อภปิ รายผลความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งคณุ ภาพชวี ติ ของประชาชน กบั ความผกู พนั ของประชาชน ตอ่ ชมุ ชน พบวา่ ระดบั ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งคณุ ภาพชวี ติ ของประชาชน กบั ความผกู พนั ของประชาชนตอ่ ชมุ ชน อำ� เภอนำ�้ ปาด จงั หวดั อตุ รดติ ถ์ โดยภาพรวมมคี วามสมั พนั ธใ์ นระดบั ปานกลาง คา่ สมั ประสทิ ธส์ิ หสมั พนั ธ์ .528 มีความสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกันในเชิงบวก คู่ท่ีมีความสัมพันธ์กันมากท่ีสุด คือ คู่คุณภาพชีวิตด้านจิตใจ กบั ความผูกพันต่อชมุ ชนด้านความรู้สกึ รักชุมชน รองลงมา คือ คคู่ ณุ ภาพชีวิตดา้ นสวัสดกิ าร กบั ความผูกพัน ต่อชุมชน ด้านความรู้สึกรักชุมชน ส่วนคู่ท่ีมีความสัมพันธ์ต่�ำท่ีสุด คือ คู่คุณภาพชีวิตด้านสวัสดิการ กับ ความผกู พนั ตอ่ ชมุ ชนดา้ นความสมั พนั ธท์ างสงั คมเทา่ กบั คคู่ ณุ ภาพชวี ติ ดา้ นเศรษฐกจิ กบั ความผกู พนั ตอ่ ชมุ ชน ด้านความสมั พนั ธท์ างสงั คม สอดคลอ้ งกบั งานของ ธงชัย สังผอม (2560: 144-154) พบว่า ปัจจยั การรับรู้ บรรยากาศองคก์ รและปจั จัย การท�ำงานมีความสัมพันธ์ทางบวกกับคณุ ภาพชีวิตในการทำ� งาน และตัวแปรที่ มีอ�ำนาจสูงสุดในการพยากรณ์คุณภาพชีวิตในการท�ำงานของข้าราชการต�ำรวจภูธรจังหวัดนนทบุรี ในปัจจัย การรับรู้บรรยากาศองค์กร ไดแ้ ก่ ตวั แปรดา้ นโครงสร้างและปัจจยั การทำ� งาน ไดแ้ ก่ ด้านความสมดลุ ของชวี ติ สว่ นที่ 8 ผลการทดสอบสมมติฐาน สมมติฐานข้อที่ 1 ระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน และระดับความผูกพันของประชาชนต่อชุมชน อ�ำเภอน้ำ� ปาด จงั หวดั อุตรดิตถ์ อยใู่ นระดับมากอภิปรายผลการวิจัยได้ดังนี้ 1. พบวา่ ระดบั คุณภาพชีวิตของประชาชนโดยภาพรวมทัง้ 5 ดา้ น มีคา่ เฉล่ียอยใู่ นระดบั มาก พบว่า ดา้ นสุขภาพรา่ งกาย มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดบั มากท่ีสุด รองลงมา ดา้ นความปลอดภัยชีวติ และทรัพยส์ นิ มีค่าเฉลย่ี อย่ใู นระดบั มาก และดา้ นสวัสดิการมคี า่ เฉล่ยี อยูใ่ นระดับมาก และค่าเฉลย่ี ต่ำ� ที่สดุ ไดแ้ ก่ ด้านเศรษฐกิจอยู่ใน ระดบั มาก ผลการวจิ ยั ดงั กลา่ วเปน็ ไปตามสมมตฐิ านทกี่ ำ� หนดไว้ เนอ่ื งจากประชาชนมสี ขุ ภาพรา่ งกายทแี่ ขง็ แรง จติ ใจคนในชมุ ชนมคี วามสามคั ครี กั ใครป่ รองดองกนั อยา่ งเปน็ พนี่ อ้ ง มคี วามปลอดภยั ชวี ติ และทรพั ยส์ นิ ชมุ ชน ไมม่ ปี ญั หาอาชญากรรมตา่ ง ๆ ไดร้ บั สวสั ดกิ ารจากภาครฐั อยา่ งสมำ่� เสมอและตอ่ เนอื่ ง เชน่ ผสู้ งู อายใุ นครอบครวั ได้รับเบ้ียผู้สูงอายุ และคนในชุมชนได้รับการจ้างงานมากขึ้นกว่าเดิมและได้รับการส่งเสริมพัฒนาอาชีพ อย่างเหมาะสมให้กบั คนในชมุ ชน 2. พบว่า ความผูกพันของประชาชนต่อชุมชนโดยภาพรวมทั้ง 5 ด้าน มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก พบว่าด้านความสัมพันธ์ทางสังคมมีค่าเฉล่ียสูงท่ีสุดอยู่ในระดับมาก รองลงมา ด้านความผูกพันในสถานท่ีมี ปีที่ 16 ฉบบั ที่ 1 ประจำ�เดือนมกราคม - เมษายน 2563 203
คา่ เฉลยี่ อยใู่ นระดบั มาก รองลงมาดา้ นความรสู้ กึ รกั ชมุ ชนมคี า่ เฉลย่ี อยใู่ นระดบั มาก สว่ นคา่ เฉลยี่ ตำ่� ทส่ี ดุ ไดแ้ ก่ ดา้ นความเปน็ อัตลกั ษณ์อยู่ในระดับมากเทา่ กับดา้ นการทำ� หน้าทอ่ี ย่ใู นระดับมาก ผลการวิจยั ดงั กลา่ วเปน็ ไป ตามสมมติฐานท่ีก�ำหนดไว้ เนื่องจากประชาชนมีความสัมพันธ์ทางสังคมต้องการอยู่ในชุมชนและด�ำรงอยู่ อยา่ งตอ่ เนอ่ื งตลอดไป มคี วามผกู พนั ในสถานท่ี มคี วามรกั และหวงแหนตอ่ ชมุ ชนซงึ่ เปน็ สถานทป่ี ฏบิ ตั งิ านหรอื อาศัยอยู่ในชุมชน มีความเป็นอัตลักษณ์ปฏิบัติตามจารีตประเพณี ขนบธรรมเนียม ท่ีมีการสืบทอดกันมา ยาวนานภายในชุมชน มีการท�ำหน้าท่ีพรอ้ มทุม่ เทใหก้ ับงานทีต่ นปฏิบตั ิอยอู่ ยา่ งเติมท่เี ตม็ ความสามารถ สมมตฐิ านขอ้ ท่ี 2 ประชาชนในชมุ ชนอำ� เภอนำ�้ ปาด จงั หวดั อตุ รดติ ถ์ ทมี่ ปี จั จยั สว่ นบคุ คลแตกตา่ งกนั มีระดบั ความผกู พนั ต่อชุมชนทแี่ ตกต่างกนั อภปิ รายผลการวิจัยได้ดงั น้ี 1. เพศ พบวา่ เพศชายและเพศหญงิ มคี วามผูกพันตอ่ ชมุ ชนไมแ่ ตกต่างกนั ไม่เป็นไปตามสมมติฐาน ที่ก�ำหนดไว้ เนื่องจากเพศชายและเพศหญิงมีมีสิทธิและเสรีภาพความเท่าเทียมกันระหว่างเพศชายและเพศ หญิงมีความเสมอภาคกันมีความปรารถนาในการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มร่วมมือสนับสนุนและพ่ึงพาอาศัย กนั มผี ลประโยชน์รว่ มกนั สอดคลอ้ งกบั งานของ Wasserman (1982: 423 อา้ งถงึ ใน อ�ำไพ หมน่ื สิทธิ์, 2540: 11) ได้แบง่ ความผกู พันต่อชมุ ชนออกเปน็ 2 มิติ คือ ความเป็นปึกแผ่นของชมุ ชน (community solidarity) หมายถงึ ทศั นคตแิ ละความรสู้ กึ ของผอู้ ยอู่ าศยั ทมี่ ตี อ่ คน แตล่ ะคนในชมุ ชนทงั้ หมดและความพงึ พอใจตอ่ ชมุ ชน (community satisfaction) หมายถึง ทศั นคตแิ ละความรูส้ ึกของผูอ้ ยู่อาศยั ทม่ี ตี อ่ ถ่ินทีอ่ าศัยและชุมชนของ ตนเอง 2. อายุ พบว่า ประชาชนที่มีอายุที่แตกต่างกันมีความผูกพันต่อชุมชนโดยภาพรวมไม่แตกต่างกัน ไม่เป็นไปตามสมมติฐานท่ีก�ำหนดไว้ เนื่องจากประชาชนท่ีมีชีวิตอาศัยอยู่ในชุมชนไม่ว่าจะมีอายุเท่าไหร่ย่อม เป็นสมาชิกของชุมชนด�ำรงอยู่ร่วมกันถึงประชาชนจะมีอายุต่างกัน ต่างก็มีประสบการณ์มีความรู้ความเข้าใจ และรบั ผดิ ชอบตอ่ หนา้ ทเ่ี หมอื นกนั รวมทงั้ มที ศั นคตใิ นการมองปญั หาในชมุ ชนยอ่ มมคี วามคดิ เหน็ ทเ่ี หมอื นกนั ผทู้ มี่ อี ายมุ ากกวา่ จะเปน็ ผทู้ มี่ ปี ระสบการณม์ วี ฒุ ภิ าวะมภี มู คิ วามรอู้ าศยั อยใู่ นชมุ ชนมากอ่ นอยา่ งยาวนานและ ต่อเน่ืองยิ่งส่ังสมองค์ความรู้ต่าง ๆ ไว้มากมายเมื่อมีการถ่ายทอดให้แก่คนท่ีอายุน้อยกว่า ไม่ว่าค่านิยมหรือ ขนบธรรมเนียมประเพณีตา่ ง ๆ แสดงถึง การยอมรับและทำ� ใหป้ ระชาชนทุกวยั ตระหนกั วา่ ตนเป็นส่วนส�ำคญั สอดคล้องกบั งานของ สรุ พร เส้ยี นสลาย (2560: 2-7) กลมุ่ คนทเ่ี ปน็ ชมุ ชนมีลักษณะรว่ มกัน คือ คนทมี่ ารวม กลุ่มกนั เปน็ คนทีย่ ึดถอื ค่านิยม หรือใหค้ ณุ คา่ (value) ใหค้ วามสำ� คญั กับสิ่งต่าง ๆ แบบเดียวกนั เชน่ คนใน ชมุ ชนชาวนา อาจใหค้ วามสำ� คญั หรอื ใหค้ ณุ คา่ กบั การมอี าหารเพยี งพอ ความสงบเงยี บ ความสามคั คี การยดึ ถอื เรื่องบาปบุญคุณโทษหรือค่านิยมในเรื่องอ่ืนเหมือนกันกลุ่มคนท่ีเป็นชุมชนจะมีวิถีชีวิตหรือวิถีการด�ำเนินชีวิต (way of life) เหมือนกนั 3. ระดับการศึกษา พบว่า ประชาชนที่มีระดับการศึกษาที่แตกต่างกันมีความผูกพันต่อชุมชนโดย ภาพรวมไม่แตกต่างกัน ยกเว้นด้านความรู้สึกรักชุมชนแตกต่างกันที่ระดับการศึกษามัธยมศึกษาตอนต้น กับ มัธยมศึกษา ตอนปลาย เป็นไปตามสมมติฐานที่ก�ำหนดไว้ เน่ืองจากพ้ืนฐานทางการศึกษาเป็นกระบวนการ เรยี นรเู้ พอื่ ความเจรญิ งอกงามของบคุ คลและสงั คมโดยการถา่ ยทอดความรู้ การฝกึ การอบรม การสบื สานทาง วัฒนธรรมการสร้างสรรค์จรรโลงความก้าวหน้าทางวิชาการมุ่งให้คนเป็นคนเฉลียวฉลาดเป็นผู้มีความรู้ ความสามารถ สามารถคดิ พจิ ารณาเรอื่ งตา่ ง ๆ ไดอ้ ยา่ งมเี หตมุ ผี ล ซงึ่ ประชาชนทม่ี รี ะดบั การศกึ ษามธั ยมศกึ ษา ตอนตน้ อาจจะเขา้ ใจในเนอ้ื หาแตม่ มุ มองพนื้ ฐานการรบั รแู้ ละเขา้ ใจถงึ ความรสู้ กึ ของตนเองจงึ มคี วามผกู พนั ตอ่ 204 บัณฑติ วิทยาลยั มหาวิทยาลัยสวนดสุ ติ
ชมุ ชนแตกต่างจากมธั ยมศกึ ษาตอนปลาย สอดคล้องกบั งานของ สนธยา พลศรี (2547: 53-54) การด�ำรงอยู่ ของชมุ ชนแลว้ พบวา่ ทกุ ดา้ นยอ่ มมกี ารพฒั นา และการพฒั นาชมุ ชนมเี ปา้ หมายทส่ี ำ� คญั 2 ประการ คอื การพฒั นา คนใหม้ คี วามสขุ และการพฒั นาคนใหเ้ ขม้ แขง็ พง่ึ ตนเองได้ และมคี วามสขุ ซง่ึ การศกึ ษาเปน็ อกี สว่ นสำ� คญั ของ การพัฒนาคนให้มคี ณุ ภาพ คือ ทำ� ให้คนมีความรู้ ความสามารถ มีทกั ษะในการประกอบกิจการงานให้บรรลุ เป้าหมายได้อยา่ งมปี ระสิทธิภาพ มีความสามารถใน การประกอบอาชีพเลี้ยงตนเองและครอบครัว มีความรู้ ทางการเมืองและมีความรทู้ ี่จำ� เปน็ ในการด�ำรงชวี ิต เฉลียวฉลาด มีวิสัยทศั น์ สขุ ภาพดี สามารถพงึ่ ตนเองได้ ใช้ชวี ิตร่วมกับผอู้ นื่ ไดเ้ ป็นตน้ 4. สถานภาพ พบว่า ประชาชนที่มีสถานภาพท่ีแตกต่างกันมีความผูกพันต่อชุมชนโดยภาพรวม ไมแ่ ตกตา่ งกนั ยกเวน้ ดา้ นความสมั พนั ธท์ างสงั คมแตกตา่ งกนั ทส่ี ถานภาพโสด กบั สถานภาพสมรส เปน็ ไปตาม สมมติฐานท่กี �ำหนดไว้ เนอื่ งจากชมุ ชนมีแนวทางปฏบิ ตั ิใหป้ ระชาชนทุกคนเขา้ ไปมีสว่ นร่วมในกิจกรรมตา่ ง ๆ โดยไมไ่ ดม้ ีข้อห้ามหรอื ขอ้ ก�ำหนด คอื ไม่วา่ ประชาชนจะมีสถานภาพใด โสด สมรส หม้าย หยา่ หรอื แยกกนั อยทู่ ุกคนมีสิทธเิ ข้าร่วมกจิ กรรมไดโ้ ดยเท่าเทียมเสมอกนั ทำ� ใหป้ ระชาชนมคี วามรสู้ ึกทด่ี ตี อ่ กัน มีความสามัคคี เปน็ อันหนึง่ อันเดียวกนั ในส่วนที่ประชาชนท่ีมสี ถานภาพโสดมีความผูกพันต่อชมุ ชนแตกต่างจากประชาชนท่ี มสี ถานภาพสมรส อาจเนอื่ งจากมมี มุ มองหนา้ ทค่ี วามรบั ผดิ ชอบตา่ งกนั ยอ่ มสง่ ผลใหม้ คี วามรสู้ กึ ผกู พนั ตอ่ ชมุ ชน แตกต่างกัน สอดคล้องกับงานของ สนธยา พลศรี (2547: 25-26) ความเป็นสัตว์สังคมของมนุษย์กล่าวคือ มนษุ ยไ์ มส่ ามารถดำ� รงชวี ติ อยไู่ ดเ้ พยี งลำ� พงั คนเดยี วตอ้ งพง่ึ พาอาศยั ผอู้ นื่ จงึ จะมชี วี ติ รอดจงึ ตอ้ งใชช้ วี ติ รว่ มกบั ผอู้ น่ื ในลกั ษณะของชมุ ชนและสงั คม มคี วามสมั พนั ธท์ างสงั คม (Social Relationship) คอื มกี ารตดิ ตอ่ สมั พนั ธ์ กนั มีความสนใจทางสงั คมรว่ มกัน เขา้ ไปมีส่วนร่วมกับผู้อ่นื มีกจิ กรรมตา่ ง ๆ ร่วมกนั เปน็ ความสมั พนั ธก์ นั ตาม บทบาทและหนา้ ที่ โดยมองวา่ สถานภาพ เปน็ ตัวก�ำหนดบทบาทหนา้ ทใ่ี ห้คนแต่ละคน แตล่ ะต�ำแหน่ง ว่าตอ้ ง มีหน้าทีต่ ้องท�ำอะไร กับใครบ้าง 5. อาชพี พบวา่ ประชาชนทม่ี อี าชพี ทแี่ ตกตา่ งกนั มคี วามผกู พนั ตอ่ ชมุ ชนโดยภาพรวมไมแ่ ตกตา่ งกนั ยกเวน้ ดา้ นการทำ� หนา้ ท่แี ตกต่างกันทอ่ี าชพี ค้าขาย/ธุรกิจสว่ นตวั กับ อาชีพขา้ ราชการ/พนกั งานรัฐวิสาหกิจ เปน็ ไปตามสมมตฐิ านทก่ี ำ� หนดไว้ เนอ่ื งจากประชาชนทม่ี อี าชพี คา้ ขาย/ธรุ กจิ สว่ นตวั อาจจะไมม่ เี วลาหรอื โอกาส สำ� หรบั เขา้ รว่ มกจิ กรรมต่าง ๆ ของชุมชนเนือ่ งจากตอ้ งเดนิ ทางไปท�ำงาน หรือติดต่อประสานงานในตา่ งพนื้ ท่ี จงึ สง่ ผลให้ ขาดโอกาสเขา้ รว่ มกจิ กรรมตา่ ง ๆ ในชมุ ชนสว่ นผทู้ ม่ี อี าชพี ขา้ ราชการ/พนกั งานรฐั วสิ าหกจิ ถอื เปน็ บคุ คลทีม่ คี วามรแู้ ละมีโอกาสไดร้ บั ขอ้ มลู ขา่ วสารหรือเป็นผู้จดั ทำ� กิจกรรมส�ำคัญตา่ ง ๆ พร้อมทมุ่ เทให้กับงาน ทต่ี นปฏบิ ตั อิ ยอู่ ยา่ งเตม็ ทเ่ี ตม็ ความสามารถในชมุ ชนจงึ ทำ� ใหม้ เี วลาโอกาสเขา้ รว่ มกจิ กรรมบอ่ ยครง้ั ยอ่ มสง่ ผล ให้มีประชาชนผู้มอี าชพี อาชพี ค้าขาย/ธุรกิจส่วนตัว มคี วามผูกพันต่อชุมชนเขตอำ� เภอนำ้� ปาด จงั หวัดอตุ รดิตถ์ แตกตา่ งจากอาชพี ขา้ ราชการ/พนกั งานรฐั วสิ าหกจิ สอดคลอ้ งกบั งานของ สำ� ราญ จชู ว่ ย (2555: 26-27) กลา่ ววา่ การพัฒนาคุณภาพชีวิต เพ่ือให้พัฒนาตนเองและสังคมไปสู่เป้าหมายที่พึงปรารถนาบุคคลแต่ละคนแต่ละ ครอบครัวจงึ ต้องมกี ารพฒั นาตนเอง ในดา้ นการศกึ ษา การมีแนวคิดเจตคติท่ดี ี การรู้จกั บรหิ ารตนเอง การมี ความเออื้ อาทรตอ่ บคุ คลอ่ืน มีอาชีพ รายได้ ทพี่ อเพยี งต่อการด�ำรงชวี ิต มีคุณธรรมและศลี ธรรมและทส่ี �ำคัญ คอื ในหลกั ของแผนพฒั นาเศรษฐกิจและสงั คมแห่งชาติ ฉบบั ท่ี 12 (พ.ศ. 2560-2564) การพฒั นาประเทศใน ระยะแผนพัฒนาเศรษฐกจิ และสังคมแหง่ ชาติ ฉบับท่ี 12 ม่งุ บรรลุเป้าหมาย คือ ใหป้ ระชาชนมีความเปน็ อยู่ท่ี ดีมีสุข มคี วามผาสกุ มคี วามมัน่ คงปลอดภยั มคี ุณภาพชวี ิตท่ดี ี สภาพแวดล้อมที่ดี และสามารถ พ่ึงตนเองได้ ปที ่ี 16 ฉบับท่ี 1 ประจำ�เดือนมกราคม - เมษายน 2563 205
มีศักยภาพในการแข่งขันให้คนไทยมีความม่ันคงทางเศรษฐกิจ แข่งขันได้ มีเสถียรภาพ และมีความย่ังยืน สร้างความเข้มแข็งของฐานการผลิตและบริการเดิมและขยายฐานใหม่โดยการใช้นวัตกรรมท่ีเข้มข้นมากข้ึน สรา้ งความเขม้ แขง็ ของเศรษฐกจิ ฐานรากซงึ่ เปน็ การสง่ เสรมิ สนบั สนนุ ใหป้ ระชาชนทกุ กลมุ่ อาชพี มอี าชพี ทม่ี น่ั คง มรี ายไดย้ ่อมส่งผลให้ประชาชนมีความเปน็ อยทู่ ี่ดีมีสุข สมมตฐิ านข้อท่ี 3 ความสัมพันธ์ระหวา่ งคณุ ภาพชวี ติ ของประชาชน กบั ความผกู พนั ของประชาชน ตอ่ ชมุ ชน อำ� เภอน�้ำปาด จงั หวัดอุตรดิตถ์ มคี วามสัมพันธ์ทางบวกอยใู่ นระดบั มากอภปิ รายผลการวิจยั ไดด้ งั น้ี พบว่า ความสัมพันธ์ระหว่างคุณภาพชีวิตของประชาชนกับความผูกพันของประชาชนต่อชุมชน มคี วามสมั พนั ธอ์ ยใู่ นระดบั ปานกลาง ไมเ่ ปน็ ไปตามสมมตฐิ านทก่ี ำ� หนดไว้ เนอ่ื งจากคณุ ภาพชวี ติ ของประชาชน ด้านสวัสดิการ การได้รับสิทธิพิเศษเก่ียวกับค่ายา ค่ารักษาพยาบาลต่าง ๆ และด้านเศรษฐกิจภายในชุมชน มกี ารจัดต้ังบริษทั ห้างร้านต่าง ๆ มากขน้ึ กับ ความผูกพนั ของประชาชนต่อชุมชนด้านความสมั พนั ธ์ทางสังคม คนในชมุ ชน มคี วามสามัคคีเปน็ อันหน่ึงอนั เดียวกนั มีความสมั พนั ธอ์ ยใู่ นระดับต�่ำ ขอ้ เสนอแนะ ข้อเสนอแนะท่ีได้จากการวิจัย 1. จากการศึกษาคุณภาพชีวิตของประชาชนด้านสุขภาพร่างกาย พบว่ ามีความรู้เกี่ยวกับมลภาวะ และสารพิษต่าง ๆ อยู่ในระดับต�่ำท่ีสุด ดังนั้น รัฐบาลหรือหน่วยงานท่ีรับผิดชอบควรเข้ามาให้ความรู้หรือ จดั ทำ� โครงการรณรงคส์ รา้ งความเขา้ ใจเกยี่ วกบั การใชส้ ารเคมแี กป่ ระชาชนเพอื่ ทปี่ ระชาชนจะไดต้ ระหนกั และ ป้องกนั ตนเองจากอนั ตรายการใช้สารเคมีอย่างถกู ต้อง 2. จากการศกึ ษาคณุ ภาพชวี ิตของประชาชนด้านเศรษฐกจิ พบวา่ ตอ้ งการใหภ้ ายในชุมชนมกี ารจัด ตงั้ บริษทั ห้างร้านตา่ ง ๆ มากขึน้ ดงั นัน้ ควรส่งเสริมและพฒั นาอาชีพอยา่ งเหมาะสมใหก้ ับคนในชุมชนหรอื ให้ ได้รับการจ้างงานมากขึ้นกว่าเดิมซ่ึงจะส่งผลให้คุณภาพชีวิตประชาชนดีข้ึนกว่าท่ีเป็นอยู่มีรายได้เพียงพอท่ีจะ อาศัยอยูใ่ นชุมชนตอ่ ไป 3. จากการศกึ ษาความผกู พนั ของประชาชนตอ่ ชมุ ชนดา้ นความเปน็ อตั ลกั ษณ์ พบวา่ ชมุ ชนมลี กั ษณะ เฉพาะท่ีท�ำให้ชุมชนเป็นที่รู้จักหรือจดจ�ำได้อยู่ในระดับต�่ำที่สุด ดังนั้น ผู้น�ำชุมชนหรือหน่วยงานท่ีเก่ียวข้อง ควรจัดกิจกรรมประชาสัมพันธ์สนับสนุนส่งเสริมพัฒนา ผลิตภัณฑ์ หรือประเพณีวัฒนธรรม สถานท่ีสำ� คัญ อนั โดดเดน่ มเี อกลกั ษณใ์ นชมุ ชนใหบ้ คุ คลภายนอกรจู้ กั มากยงิ่ ขน้ึ ซง่ึ จะเปน็ การสง่ เสรมิ การทอ่ งเทย่ี วและสรา้ ง ความเข้มแข็ง เกิดความม่ันคงทางเศรษฐกิจใหแ้ ก่ประชาชน ขอ้ เสนอแนะสำ� หรับการวจิ ยั คร้งั ตอ่ ไป 1. ควรมีการศึกษาเปรียบเทียบคุณภาพชีวิตของประชาชนเพ่ือหาความเหมือนและความแตกต่าง หรือควรศึกษาด้านใดที่เชื่อมโยงกับคุณภาพชีวิตของประชาชนตลอดการน�ำผลการวิจัยมาใช้พัฒนาคุณภาพ ชวี ิตของประชาชนให้มคี ณุ ภาพดียิง่ ขน้ึ 2. ควรมกี ารศกึ ษาแนวนโยบายของรฐั เรอื่ งใด ดา้ นใดบา้ ง ทสี่ ง่ ผลตอ่ คณุ ภาพชวี ติ ของประชาชนและ ความผูกพันของประชาชนต่อชุมชน เพ่ือก่อให้เกิดองค์ความรู้ใหม่อันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาคุณภาพ ชวี ติ และชมุ ชนต่อไป 206 บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยสวนดสุ ิต
เอกสารอา้ งองิ กรมการพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความม่ันคงของมนุษย์. (2560). แผน ยทุ ธศาสตร์กรมพัฒนาสงั คมและสวัสดิการ พ.ศ. 2560-2564. [Online]. Available: http:// www.dsdw.go.th/ [2561, มนี าคม 26]. กรมพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย. (2560). ข้อมูลความจ�ำเป็นพื้นฐาน. กรุงเทพฯ: กรมพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย. จันทรัตร์ กฤชอาคม. (2553). คุณภาพชีวิตของชาวนาในเขตต�ำบลโนนพะยอม อ�ำเภอชนบท จงั หวดั ขอนแกน่ . วทิ ยานพิ นธป์ รญิ ญาสาธารณสขุ ศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาวชิ าการพยาบาลชมุ ชน คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ขอนแกน่ . จติ ตินนั ท์ เดชะคุปต์ และณฐั ชนา พวงทอง. (2560). การศกึ ษาชีวติ ครอบครวั และชมุ ชน (พมิ พค์ รง้ั ท่ี 2). นนทบรุ ี: มหาวทิ ยาลยั สโุ ขทยั ธรรมาธริ าช. ณฐั วฒุ ิ แพงสวสั ด.์ิ (2552). คณุ ภาพชวี ติ ของประชาชนในเขตองคก์ ารบรหิ ารสว่ นตำ� บลชยั พร อำ� เภอบงึ กาฬ จังหวัดหนองคาย. ปริญญารัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการปกครองท้องถ่ิน มหาวทิ ยาลัยราชภัฏอดุ รธานี. ทศพร พวงสมบัติ. (2560). การพฒั นาคณุ ภาพชีวติ ของประชากร. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยแม่โจ.้ ธงชยั สังผอม. (2560). ปจั จยั ท่มี ีอทิ ธิพลต่อคณุ ภาพชวี ิตในการท�ำงานของข้าราชการตำ� รวจภูธรจงั หวดั นนทบุรี. วทิ ยานิพนธร์ ฐั ประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต คณะศิลปศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยราชพฤกษ์. นยั น์ปพร สุภากรณ์. (2550). ความผูกพนั กบั ชมุ ชนของประชาชนในชุมชนแขวงวัดกลั ปย์ าณ์ เขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร. วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาสังคมวิทยาประยุกต์ คณะสงั คมศาสตร์ มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร.์ นชุ นาฎ เชียงชัย. (2558). การใช้อตั ลกั ษณ์เพ่อื การส่งเสรมิ การท่องเที่ยวของจงั หวดั ลำ� ปาง. วิทยานิพนธ์ ปริญญาบริหารธรุ กิจมหาบัณฑติ บัณฑิตวทิ ยาลยั มหาวิทยาลยั ศิลปากร. เนตรนภา พงษ์ศรี. (2552). แนวทางการพัฒนาคุณชีวิตตามเกณฑ์ จปฐ. ของชุมชนตัดใหม่เทศบาล นครสวรรค์ จงั หวัดนครสวรรค์. วิทยานพิ นธศ์ ลิ ปศาสตรมหาบณั ฑิต สาขายุทธศาสตร์การพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค.์ ประคอง กรรณสูต. (2542). สถิติเพอ่ื การวิจยั ทางพฤตกิ รรมศาสตร.์ กรงุ เทพฯ: จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั . พยอม วงศส์ ารศรี. (2534). การบรหิ ารทรพั ยากรมนษุ ย์ (พมิ พค์ รั้งท่ี 6). กรุงเทพฯ: สถาบนั ราชภฏั สวนดสุ ติ . พพิ ฒั น์ จนั ทรา. (2542). คณุ ภาพชวี ติ การทาํ งานของขา้ ราชการครใู นสงั กดั สาํ นกั งานประถมศกึ ษาจงั หวดั สระแก้ว. วิทยานิพนธ์การศึกษามหาบัณฑิต สาขาการบริหารการศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลยั บรู พา. ปที ่ี 16 ฉบบั ที่ 1 ประจำ�เดือนมกราคม - เมษายน 2563 207
ภูสิทธ์ ขันติกุล และกณิกนันท์ โภชฌงค์. (2554). ความผูกพันของครอบครัวทหารต่อชุมชนยานเกราะ เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร. สาขาวิชาการจัดการนวัตกรรมสังคม คณะมนุษยศาสตร์และ สังคมศาสตร์ รายงานการวิจัย มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา. ทุนอุดหนุนจากมหาวิทยาลัย ราชภัฏสวนสนุ นั ทา ปีงบประมาณ 2554. รฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย พทุ ธศกั ราช 2560. (2560). กรงุ เทพฯ: ไฮเอด็ . ศรสี ดุ า มชี ำ� นาญ และสมชาย ลกั ขณานรุ กั ษ.์ (2553). คณุ ภาพชวี ติ ของประชาชน และเปรยี บเทยี บคณุ ภาพ ชีวิตของประชาชนในอ�ำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม. วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาสังคมศาสตร์เพื่อการพัฒนา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏ นครปฐม. สนธยา พลศร.ี (2547). ทฤษฎแี ละหลกั การพัฒนาชุมชน (พิมพ์ครงั้ ท่ี 5). กรุงเทพฯ: โอเดยี นสโตร์. สญั ญา สญั ญาววิ ฒั น.์ (2540). ทฤษฎีและกลยทุ ธ์การพัฒนาสงั คม (พมิ พ์คร้ังที่ 2). กรงุ เทพฯ: จุฬาลงกรณ์ มหาวทิ ยาลัย. สำ� ราญ จชู ว่ ย. (2555). การพัฒนาคณุ ภาพชีวิตและสงั คม (พมิ พ์คร้ังที่ 1). กรงุ เทพฯ: ไทภมู .ิ สภุ าวดิ า นากรกั ษา. (2559). ความพงึ พอใจตอ่ สวสั ดกิ ารและการบรหิ ารสวสั ดกิ ารทสี่ ง่ ผลตอ่ ความเหนอื่ ยลา้ ในการท�ำงานและความผูกพันในอาชีพของพยาบาลวิชาชีพ. วิทยานิพนธ์บริหารธุรกิจ มหาบณั ฑติ คณะพาณิชยศาสตรแ์ ละการบญั ชี มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร.์ สุรพร เสี้ยนสลาย. (2560). หน่วยที่ 2 ชุมชนกับครอบครัว การศึกษาชีวิตครอบครัวและชุมชน (พิมพ์ครง้ั ท่ี 2). นนทบรุ :ี มหาวทิ ยาลัยสโุ ขทยั ธรรมาธิราช. องคก์ ารอนามยั โลก (World Health Organization [WHO]. (1994). CBR Guidelines ขององคก์ ารอนามยั โลก ฉบบั ภาษาไทย (Community Based Rehabilitation). กรุงเทพฯ: พรเี ม่ยี ม เอ็กซเ์ พรส. อัมพร ไทยช�ำ. (2553). คุณภาพชีวิตของเกษตรกร : กรณีศึกษาเกษตรกรปลูกไม้ยูคาลิปตัสในเขตพ้ืนท่ี ภาคตะวนั ออก. วทิ ยานพิ นธส์ งั คมสงเคราะหศ์ าสตรมหาบณั ฑติ สาขาวชิ าการบรหิ ารและนโยบาย สวัสดกิ ารสงั คม คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร.์ อำ� ไพ หมืน่ สิทธ์ิ. (2540). ความพึงพอใจตอ่ ชมุ ชน : กรณศี กึ ษาชุมชนบ้านเจน็ ตำ� บลต�ำนาน อำ� เภอเมือง จังหวัดพัทลุง. วิทยานิพนธ์สังคมวิทยาและมานุษยวิทยามหาบัณฑิต สาขาสังคมวิทยา คณะสงั คมวิทยาและมานษุ ยวทิ ยา มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์. Taro, Yamane. (1973). Statistics: An Introductory Analysis (3rd ed.). Tokyo: Harper. 208 บัณฑติ วทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั สวนดุสติ
คณะผเู้ ขียน นางสาวญาตนิ ันท์ โคกมา คณะศลิ ปศาสตร์ มหาวิทยาลยั ราชพฤกษ์ เลขท่ี 9 หมู่ 1 ถนนนครอนิ ทร์ ตำ� บลบางขนุน อำ� เภอบางกรวย จงั หวดั นนทบุรี 11130 e-mail: [email protected] ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร. พิชติ รัชตพิบลุ ภพ คณะศิลปศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยราชพฤกษ์ เลขท่ี 9 หมู่ 1 ถนนนครอินทร์ ต�ำบลบางขนนุ อ�ำเภอบางกรวย จังหวดั นนทบุรี 11130 e-mail: [email protected] ปที ่ี 16 ฉบบั ที่ 1 ประจ�ำ เดือนมกราคม - เมษายน 2563 209
การบริหารครกู ารศกึ ษาพน้ื ฐานเอกชน: กระบวนการ กฎหมาย และแรงจูงใจ Teacher Administration of the Private Basic Education Schools: Process Legal and Motivation ธานฐั ภทั รภาคร*์ ประกฤติ พลู พัฒน์ ผดงุ พรมมลู และสุขุม เฉลยทรพั ย์ บณั ฑิตวทิ ยาลยั มหาวิทยาลัยสวนดสุ ติ Thanat Pattarapark* Prakit Bhulapatana Padung Prommoon and Sukhum Chaleysub Graduate School, Suan Dusit University Received: August 28, 2019 Revised: November 11, 2019 Accepted: December 24, 2019 บทคดั ย่อ การศกึ ษาขนั้ พนื้ ฐานเอกชนมบี ทบาทสำ� คญั ในการแบง่ เบาภาระของรฐั บาลในการจดั การศกึ ษาใหก้ บั เยาวชนของชาติได้เป็นอย่างมาก และครูในโรงเรียนเอกชนถือว่าเป็นบุคลากรที่ส�ำคัญต่อการจัดการศึกษา เปน็ อยา่ งยิ่ง การบริหารครโู รงเรยี นเอกชนเพอ่ื สรา้ งความพงึ พอใจใหก้ ับครมู ากข้นึ ให้ครูมคี วามรสู้ ึกผูกพนั จงรักภักดีต่อโรงเรียน เต็มใจท่ีจะให้ความร่วมมือ และจัดการเรียนการสอนตามหน้าที่ของตนอย่างเต็ม ประสิทธิภาพ ใหผ้ ้บู ริหารโรงเรียนสามารถวางแผนระยะยาวกับครไู ด้ แนวทางสำ� คญั ทจ่ี ะชว่ ยสง่ เสรมิ การปฏบิ ตั หิ นา้ ทข่ี องครเู อกชนมี 3 ดา้ น ดงั นี้ คอื 1. ดา้ นกระบวนการ บรหิ ารจดั การครู ประกอบดว้ ย การไดม้ าของครใู นโรงเรยี นเอกชน การดแู ลรกั ษาและพฒั นาครใู หม้ พี ฒั นาการ ในการปฏบิ ตั งิ าน การประเมนิ ผลการปฏบิ ตั งิ านของครเู พอ่ื ตอบแทนผลงานของครู การเตรยี มความพรอ้ มเมอ่ื จะใหค้ รอู อกจากงาน ทงั้ การเกษยี ณอายตุ ามวยั หรอื การออกจากงานกอ่ นวยั 2. ดา้ นกฎหมายตา่ ง ๆ ทเี่ กย่ี วขอ้ ง อาทิ ดา้ นความเสมอภาคในการจ้าง ด้านสิทธิประโยชนแ์ ละเงินชดเชย ดา้ นกฎหมายแรงงาน ดา้ นกฎหมาย สขุ ภาพและความปลอดภยั และ 3. ดา้ นแรงจงู ใจ ในดา้ นตา่ ง ๆ อาทิ การใหผ้ ลตอบแทน การไดร้ บั การยอมรบั จากผบู้ รหิ ารและเพอ่ื นรว่ มงาน รวมถงึ ความมนั่ คงกา้ วหนา้ ในอาชพี และการรองรบั การดำ� รงชวี ติ หลงั ออกจาก งานหรอื เกษยี ณอายุ เปน็ ตน้ ซงึ่ ปจั จยั เหลา่ นล้ี ว้ นแลว้ แตม่ ผี ลสำ� คญั อยา่ งยง่ิ ทจี่ ะกระตนุ้ สง่ เสรมิ ใหค้ รโู รงเรยี น เอกชนมคี วามเตม็ ใจทจี่ ะใหค้ วามรว่ มมอื กบั โรงเรยี นและผบู้ รหิ าร มคี วามพรอ้ มทจ่ี ะทำ� หนา้ ทขี่ องตนอยา่ งเตม็ ความสามารถ มปี ระสทิ ธภิ าพสงู สดุ และพฒั นาตนเองอยา่ งตอ่ เนอื่ ง ซงึ่ จะสง่ ผลดตี อ่ การจดั การเรยี นการสอน ใหก้ ับนกั เรยี น ค�ำส�ำคญั : การศกึ ษาข้นั พ้ืนฐานเอกชน การบรหิ ารครู * ธานัฐ ภทั รภาคร์ (Corresponding Author) ปที ่ี 16 ฉบับที่ 1 ประจำ�เดอื นมกราคม - เมษายน 2563 211 e-mail: [email protected]
Abstract Private basic education had an important role in alleviating the government's burden of providing education for the nation's youth. The private school teachers were considered as personnel that were very important for educational management. The management of private school teachers was aimed at satisfying teachers, making them feel attached, loyal to schools and willing to cooperate as well as managing their teaching duties with full efficiency which enabled the school administrators to develop long-term plans with teachers. There were 3 important guidelines to help promote the duties of private school teachers as follows: 1) Teacher management process consisted of the acquisition of private school teachers, the care and development of teachers to achieve professional development, the performance evaluation of teachers and the preparation of teachers for their full retirement age or early retirement 2) Relevant legal issues such as employment equality, benefits and compensation, labor laws and health and safety laws and 3) Motivation such as compensation, recognition from management and colleagues, career stability and advancement and life support after job resignation or retirement, etc. These factors were all very important to stimulate and encourage private school teachers to willingly cooperate with schools and administrators. Moreover, they also encouraged teachers to perform duties at their best with maximum efficiency and continuously develop themselves which benefited the teaching and learning management for students. Keywords: Private Basic Education, Teacher Administration บทนำ� การจดั การดา้ นการศกึ ษานน้ั ถอื วา่ เปน็ หนา้ ที่ ๆ สำ� คญั ของทกุ ประเทศ เพราะจะตอ้ งพฒั นาคนในชาติ ให้มีคณุ ภาพเพอ่ื ที่จะเปน็ พลังสำ� คญั ในการขบั เคลือ่ นประเทศในอนาคต เปน็ ท่ีรับทราบกนั ดวี ่าหากประชาชน ชาติใดมีคุณภาพในการศึกษาแล้วจะน�ำพาให้ประเทศชาติเจริญก้าวหน้าข้ึน ด้วยว่าคนเป็นทรัพยากรที่จะไป ขบั เคลอื่ นปจั จยั อนื่ ๆ สำ� หรบั การจดั การศกึ ษาในระบบโรงเรยี นของรฐั บาลนนั้ มปี ญั หาเกย่ี วกบั การรบั นกั เรยี น เข้าเรียนได้จ�ำนวนจ�ำกัด จึงเป็นผลท�ำให้นักเรียนไม่สามารถเข้าศึกษาในโรงเรียนของรัฐบาลได้ทั้งหมด ดว้ ยเหตนุ ร้ี ฐั บาลของนานาประเทศ จงึ ไดส้ ง่ เสรมิ ใหเ้ อกชนเขา้ มามบี ทบาทในการจดั ตง้ั โรงเรยี นขน้ึ มาเพอื่ ชว่ ย รองรบั ปริมาณผู้เรยี น ซ่ึงเรียกกันวา่ โรงเรียนเอกชน ซง่ึ ครเู ป็นบุคลากรทสี่ �ำคญั ในการด�ำเนนิ การตามภารกจิ ในหน้าทนี่ ี้จ�ำเปน็ อย่างย่งิ ที่ ผู้ปฏบิ ัติต้องมีความร้คู วามสามารถ มีความรบั ผิดชอบ และมที ักษะ ดงั นั้น “ครู” จึงต้องได้รับการพัฒนาความร้ใู หม่อย่างตอ่ เนือ่ ง ต้องมีประสบการณ์ท่จี ะเข้าใจผเู้ รียน และสามารถแก้ปัญหา ใหก้ บั ผเู้ รยี นได้ การปฏบิ ตั หิ นา้ ทข่ี องครจู งึ ตอ้ งการความตอ่ เนอื่ ง เพอ่ื สะสมประสบการณ์ แตผ่ ทู้ ปี่ ระกอบอาชพี 212 บัณฑติ วิทยาลยั มหาวทิ ยาลัยสวนดสุ ติ
ครูของโรงเรียนการศึกษาข้ันพื้นฐานเอกชน กลับมีการโยกย้ายเปล่ียนงานกันอยู่มาก ซึ่งการเปลี่ยนงานของ ครูโรงเรียนเอกชนเป็นดัชนีช้ีให้เห็นถึงการท่ีครูยังไม่มีความยึดมั่นผูกพันกับองค์กร ซึ่งการที่จะสร้างให้ครูมี ความจงรกั ภกั ดตี อ่ องคก์ รไดน้ น้ั การใหผ้ ลตอบแทนตอ่ การปฏบิ ตั หิ นา้ ท่ี การใหค้ วามมน่ั คงในการทำ� งาน และ การสร้างขวัญบ�ำรุงจิตใจถือว่าเป็นเร่ืองส�ำคัญ หากโรงเรียนเอกชนไม่สามารถที่จะตอบสนองปัจจัยเหล่านี้ให้ ครูเกดิ ความพงึ พอใจไดแ้ ลว้ สุเทพ สุขสว่าง (2538) กล่าวว่า ความพงึ พอใจ หมายถึง สภาพความรสู้ กึ ของ บุคคลที่มีความสุข เมื่อได้รับการตอบสนองความต้องการในระดับท่ีเทียบเท่าหรือดีกว่าที่ตนคาดหวัง ดังน้ัน ความพึงพอใจก็คือสภาพของอารมณ์ ความรู้สึกด้านบวกของบุคคลน่ันเอง ดังนั้น ครูก็จ�ำเป็นต้องแสวงหา งานใหม่ หรือแสวงหาองค์กรใหม่ที่สามารถให้ได้ตามที่ตนมุ่งหวัง ซ่ึงหากสถานการณ์เป็นเช่นนี้จะท�ำให้ครู ขาดทักษะ ขาดความต่อเนื่องในการสอน เพราะโรงเรียนต้องรับครูใหม่เข้ามาต้องมาสร้างประสบการณ์ใหม่ และเมอ่ื ครปู ฏบิ ตั หิ นา้ ทไ่ี ปแลว้ พบวา่ แรงจงู ใจและสงิ่ ตอบแทนไมเ่ พยี งพอกจ็ ะเปลยี่ นงานอกี นน่ั คอื ปญั หาใหญ่ ในการจัดการเรียนการสอนที่จะหมุนเวียนอย่างต่อเน่ืองและผลเสียจะตกอยู่กับนักเรียน ดังน้ันผู้เขียนจึงได้มี ความประสงค์ที่จะศึกษารูปแบบการบริหารครูโรงเรียนการศึกษาข้ันพ้ืนฐานเอกชน เพื่อจะสร้างรูปแบบที่ สง่ เสริมใหค้ รมู ขี วัญก�ำลังใจ มคี วามพร้อมในการปฏิบัตภิ ารกิจอย่างเต็มความสามารถ และมีความพงึ พอใจใน สายวิชาชพี ส�ำหรับผู้ที่เก่ียวข้องกับการจัดการศึกษาล้วนทราบกันดีว่า โรงเรียนการศึกษาข้ันพ้ืนฐานเอกชน มีบทบาทและหนา้ ท่สี ำ� คญั ในการแบ่งเบาภาระการให้การศกึ ษาเยาวชนไทย จากโรงเรยี นในสงั กดั ของรฐั บาล ไดม้ าก ดงั จะเหน็ ไดว้ า่ มนี กั เรยี นในโรงเรยี นการศกึ ษาขนั้ พนื้ ฐานเอกชน จำ� นวน 2,548,147 คน โดยแบง่ เรยี น ตามโรงเรยี นการศึกษาขนั้ พ้นื ฐานเอกชน ท้ังใน กทม. และตา่ งจงั หวัด 4,355 โรงเรยี น มีครูในโรงเรยี นเอกชน เหล่านี้ถึง 160,494 คน (กลุ่มงานสถิติโรงเรียนเอกชน ส�ำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน ปี 2556) ดังนั้น การบริหารจัดการครูของโรงเรียนการศึกษาขั้นพื้นฐานเอกชน จึงควรที่จะได้รับความสนใจ เพือ่ ท่จี ะควบคมุ และพฒั นาปจั จยั ตา่ ง ๆ ทีจ่ ะสง่ ผลตอ่ การพฒั นาคุณภาพชีวติ ครใู ห้ดีขน้ึ มีรายได้สวสั ดิการที่ เพยี งพอเทา่ เทยี มกบั อาชพี อน่ื ๆ โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ เมอื่ เทยี บกบั ครใู นระบบราชการเพราะหากไมเ่ ทา่ เทยี มกนั จะทำ� ใหเ้ กดิ การเปรยี บเทยี บอยา่ งชดั เจน หนว่ ยงานทเี่ กยี่ วขอ้ งตอ้ งสง่ เสรมิ ใหค้ รโู รงเรยี นการศกึ ษาขน้ั พนื้ ฐาน เอกชน มคี วามมนั่ คงในอนาคต มีความพรอ้ มในการปฏิบตั ิหน้าที่ ใหค้ รูโรงเรยี นการศกึ ษาข้ันพืน้ ฐานเอกชน มีความจงรกั ภกั ดมี นั่ คงต่อโรงเรยี น เพือ่ ท่ีจะสง่ ผลดีตอ่ การท�ำหนา้ ท่ใี นการถ่ายทอด อบรม ส่งั สอน นกั เรียน ไดอ้ ย่างเต็มประสิทธภิ าพ เนือ้ หา จากการศึกษาพบว่า ครูโรงเรียนเอกชนมีการเปรียบเทียบสิ่งท่ีตนได้รับ ทั้งในด้านของผลตอบแทน สวสั ดกิ าร ความมน่ั คงของการทำ� งานและความมน่ั คงหลงั การเกษยี ณอายุ วา่ ยงั ไมเ่ ทา่ เทยี มกบั ทคี่ รขู องโรงเรยี น รัฐบาลได้รับ เช่น ด้านเงินเดือนของครูโรงเรียนเอกชนน้ันถึงจะมีกฎหมายควบคุมเงินเดือนให้เป็นไปตาม วุฒกิ ารศกึ ษา เชน่ ครูโรงเรียนเอกชนที่มคี ณุ วฒุ ปิ รญิ ญาตรกี ฎหมายก�ำหนดวา่ ตอ้ งไดร้ บั เงนิ เดือนไม่นอ้ ยกว่า 15,000 บาท ซ่ึงในทางปฏิบัติแล้ว พบว่าโรงเรียนเอกชนบางแห่งมีเอกสารการจ่ายเงินเดือนให้ครู 15,000 ปีที่ 16 ฉบับท่ี 1 ประจ�ำ เดอื นมกราคม - เมษายน 2563 213
บาท ถูกต้องตามกฎหมายแต่ก�ำหนดให้ครูต้องบริจาคเงินกลับให้ทางโรงเรียนบางส่วน หรืออาจจะได้รับเงิน เดอื นตามกฎหมายกำ� หนด แตก่ ารปรบั เลอื่ นเงนิ เดอื นมอี ตั ราสว่ นทไ่ี มเ่ หมาะสมเพราะผบู้ รหิ ารโรงเรยี นเอกชน มเี ป้าหมายควบคุมต้นทุนเพอ่ื สรา้ งผลกำ� ไร เมอ่ื ครูไดร้ ับเงินเดอื นน้อยจงึ ตอ้ งรับสอนพเิ ศษ เพือ่ เพิม่ รายไดใ้ ห้ เพียงพอกับการด�ำเนินชีวิตจึงต้องท�ำงานมากกว่า 10-12 ช่ัวโมงต่อวัน ซึ่งถือว่าเป็นการท�ำงานที่หนักมาก อีกทั้งด้านสวัสดิการต่าง ๆ ที่ได้รับก็อยู่ในระบบประกันสังคม ซึ่งยังไม่เท่าเทียมกับระบบสวัสดิการของ ครูโรงเรียนรัฐบาล เพราะครูโรงเรียนรัฐบาล เริ่มต้นในตำ� แหน่งครูผู้ช่วย ในอัตราเงินเดือน 15,050 บาท ยงั ไม่รวมกบั เงนิ ช่วยอ่ืน ๆ และมีโครงสร้างการปรบั เงินเดอื นทช่ี ัดเจน รวมทง้ั มสี วัสดิการรองรับทัง้ ตัวครูและ พอ่ แม่ และครอบครัว เปน็ ตน้ ปจั จยั เหลา่ นจ้ี งึ เปน็ สาเหตทุ ท่ี ำ� ใหค้ รโู รงเรยี นเอกชนสว่ นใหญป่ รารถนาจะสอบแขง่ ขนั เขา้ รบั ราชการ ในโรงเรยี นของรัฐดว้ ยเชอ่ื ว่าการเป็นครูในสงั กัดโรงเรยี นของรฐั จะท�ำให้คุณภาพชวี ิตในเร่อื งดา้ นต่าง ๆ ตอ่ ไป น้ดี มี ากกวา่ การเป็นครขู องโรงเรยี นเอกชน คอื ดา้ นความมนั่ คงในอาชพี ความมัน่ คงในรายได้ ความม่นั คงใน สวสั ดิการ ต้องการรายได้ทีด่ ี และความมั่นคงหลงั หมดอายุการท�ำงาน ดังนน้ั บทความน้จี ึงมจี ดุ มงุ่ หมายเพอ่ื สะทอ้ นใหท้ ราบถงึ แนวทางการพัฒนาการบรหิ ารครูการศกึ ษาขั้นพนื้ ฐานโรงเรียนเอกชน บทวเิ คราะห์ วิจารณ์ และขอ้ เสนอแนะ โดยผู้เขยี นได้ศกึ ษาปจั จัยที่สง่ ผลต่อการสรา้ งความพงึ พอใจใหก้ บั ครูโรงเรยี นเอกชน (Mondy, Noe and Premeaux, 1999) คอื 1. ดา้ นการบรหิ ารจดั การครขู องผบู้ รหิ ารโรงเรยี นเอกชนขน้ั พนื้ ฐาน หากผบู้ รหิ าร โรงเรยี นเอกชนตอ้ งการทจ่ี ะใหค้ รทู เี่ กง่ มคี วามรู้ ความสามารถและมปี ระสทิ ธภิ าพมารว่ มงานดว้ ยความเตม็ ใจ และร่วมงานดว้ ยการใชค้ วามรคู้ วามสามารถอย่างเตม็ ทแ่ี ลว้ ควรให้ความส�ำคัญกับเร่อื ง ดงั ต่อไปน้ี 1.1 การได้ มาของครู ได้แก่ กระบวนการคัดเลือกและรับสมัครครู ของโรงเรียนเอกชนส่วนใหญ่ยังไม่ได้วางระบบ อย่างชัดเจน Dale S. Beach (1962) ได้ให้ความเห็นในการบริหารทรัพยากรมนุษย์ให้มีประสิทธิภาพไว้ว่า กำ� หนดนโยบายและแผนงานการเลอื กสรรบคุ คล จดั ใหม้ กี ารฝกึ อบรม กำ� หนดขอ้ ตอบแทน จดั อตั รากำ� ลงั และมี การเสรมิ แรงจงู ใจ ดงั นน้ั ผเู้ ขยี นจงึ มขี อ้ เสนอแนะดงั นี้ ผบู้ รหิ ารโรงเรยี นเอกชน ควรมกี ารวางแผนดา้ นทรพั ยากร ครู รุง่ แก้วแดง และชยั ณรงค์ สุวรรณสาร (2536: 195-196) ได้กล่าววา่ ประสทิ ธิภาพและประสทิ ธิผลของ องค์การน้ัน ๆ จะบรรลุได้ตามเป้าหมายต้องมีระบบการวางแผนที่ดี หากมีการวางแผนที่ดีแล้วองค์การก็จะ ขับเคล่ือนได้ดี และส่งผลต่อความส�ำเร็จต่อผู้ปฏิบัติด้วย เช่น มีการก�ำหนดอัตราครูไว้สอดคล้องกับสัดส่วน ของจ�ำนวนนกั เรียน มกี ารสำ� รวจอัตรากำ� ลงั ครทู ่ขี าดและก�ำหนดคณุ สมบัติ วธิ ีการคดั เลอื กครู ทีม่ ีมาตรฐาน ไดอ้ ยา่ งชดั เจนอยา่ งเหมาะสม มกี ารประชาสมั พนั ธต์ ำ� แหนง่ ทตี่ อ้ งการโดยรว่ มมอื กบั องคก์ รทเ่ี กย่ี วขอ้ งและชมุ ชน ในเขตพ้ืนที่ เพ่ือให้ได้ครูท่ีมีคุณสมบัติตรงตามต้องการต่อความต้องการของโรงเรียนและชุมชน ด�ำเนินการ รบั สมคั รโดยมขี นั้ ตอนทถี่ กู ตอ้ ง ยตุ ธิ รรม โปรง่ ใส และสามารถตรวจสอบได้ กำ� หนดใหม้ รี ะบบคดั เลอื กโดยบคุ คล หรือองค์กร ท่ีเกี่ยวข้องร่วมเป็นกรรมการโดยประกาศเกณฑ์การคัดเลือกให้ทราบท่ัวกัน ด�ำเนินการคัดเลือก โดยบรสิ ุทธ์ิ ยตุ ธิ รรม สามารถตรวจสอบได้ ใหเ้ ป็นทีย่ อมรบั ของผทู้ ี่มีสว่ นเกย่ี วขอ้ ง เมือ่ ได้ครใู หมแ่ ล้วมกี ารให้ ความรเู้ พื่อให้ครูมีความสามารถในการปฏิบัตหิ น้าท่ี มีการก�ำหนดแผนความเจรญิ ก้าวหนา้ ในสายอาชีพ และ ความมน่ั คงในอนาคต มกี ารทำ� สญั ญาจา้ ง แจง้ กฎระเบยี บ สทิ ธิ หนา้ ท่ี เงนิ เดอื น รายได้ และสวสั ดกิ ารทถี่ กู ตอ้ ง 214 บณั ฑติ วทิ ยาลัย มหาวทิ ยาลยั สวนดุสิต
ตามกฎหมายใหค้ รเู ขา้ ใจอยา่ งชดั เจน 1.2 การดแู ลรกั ษาและพฒั นาครู ซง่ึ เปน็ กระบวนการบรหิ ารและสง่ เสรมิ ครูใหม่ท่ีรับมา ให้มีการพัฒนาเพื่อเพ่ิมประสิทธิภาพให้สูงขึ้น ผู้บริหารโรงเรียนเอกชนควรท่ีจะมีการให้ ความเขา้ ใจในกฎระเบยี บ และมกี ารประเมนิ ผลงานครอู ยา่ งยตุ ธิ รรม โปรง่ ใส สามารถตรวจสอบได้ ใหก้ ารสง่ เสรมิ ครูในการแข่งขันหรือเผยแพร่ผลงานของครู มีการหารือร่วมกันก่อนมอบหมายหน้าท่ีให้ครูปฏิบัติงานท่ี ตรงกับความรู้ความสามารถ จัดให้มีการฝึกอบรมและพัฒนาความรู้ความสามารถของครู มีการด�ำเนินการ ตดิ ตามตอ่ เนอ่ื งหลังสน้ิ สดุ โครงการพฒั นา หรือการอบรมครู มกี ารกำ� หนดและแจ้ง กฎระเบยี บ ในการปฏบิ ตั ิ หนา้ ทไ่ี วอ้ ยา่ งชดั เจน เปน็ ธรรม โปรง่ ใส มกี ารกำ� หนดโครงสรา้ งของเงนิ เดอื น ผลตอบแทน สวสั ดกิ าร ความเจรญิ ก้าวหน้าในหน้าท่ีโดยบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร เป็นไปตามกฎหมายก�ำหนด มีการส�ำรวจครูท่ีมีปัญหา มีความวิตกกังวล แล้วจัดกระบวนการเยียวยาเพ่ือลดระดับความเครียด ช�ำนาญ ภู่เอ่ียม (2537) กล่าวถึง ความพงึ พอใจวา่ หมายถงึ ปจั จยั ทส่ี ามารถลดความตงึ เครยี ดของมนษุ ยใ์ หน้ อ้ ยลงไดต้ อ้ งตอบสนองความตอ้ งการ ของมนุษย์ เพราะความตึงเครียดเป็นผลมาจากความต้องการของมนุษย์ เมื่อมนุษย์ได้รับการตอบสนอง ความตงึ เครยี ดกจ็ ะลดนอ้ ยลงหรอื หมด กลบั มคี วามพงึ พอใจมาแทน ดงั นน้ั ควรใหโ้ อกาสครไู ดช้ แี้ จงถงึ ปญั หา อปุ สรรค ในการทำ� งานหรอื ในการดำ� รงชวี ติ ประจำ� วนั รวมทง้ั ใหค้ วามสำ� คญั ตอ่ ขวญั กำ� ลงั ใจ เอาใจใสใ่ นความปลอดภยั ความเปน็ อยู่และสุขภาพของครูอยา่ งสม่�ำเสมอ 1.3 การประเมนิ ผลการปฏบิ ัติงานของครู คือ การพจิ ารณา ผลตอบแทน ผู้บริหารโรงเรียนเอกชนควรให้ความเป็นธรรม และให้โอกาสครูได้สร้างผลงานและได้รับ การประเมนิ อยา่ งบรสิ ทุ ธยิ์ ตุ ธิ รรม ซง่ึ ผเู้ ขยี นมขี อ้ เสนอแนะคอื ผบู้ รหิ ารโรงเรยี นเอกชนควรสง่ เสรมิ ใหค้ รมู กี ารนำ� วทิ ยาการเทคโนโลยสี นเทศมาชว่ ยในการจดั การเรียนการสอน มีการสนับสนนุ ด้านอุปกรณก์ ารเรียนการสอน ใหม่ ๆ สง่ เสรมิ ใหเ้ กดิ ความรว่ มมอื ในการวางแผนจดั การและการดำ� เนนิ การในชนั้ เรยี นใหเ้ หมาะสมอยา่ งเปน็ ระบบ มกี ารสง่ เสรมิ ใหค้ รจู ดั ทำ� แผนเพอื่ พฒั นา และผบู้ รหิ ารมกี ารปฏบิ ตั ติ ามกฎหมาย ระเบยี บแบบแผนของ ทางราชการ ยดึ มั่นในคุณธรรมจรยิ ธรรมอย่างเครง่ ครดั 1.4 การออกจากงานของครโู รงเรยี นเอกชนทั้งก่อน การเกษยี ณอายตุ ามวยั หรอื การออกจากงานกอ่ นวยั นนั้ ผบู้ รหิ ารควรมรี ะเบยี บปฏบิ ตั ทิ ช่ี ดั เจนเพอ่ื เปน็ การสรา้ ง ขวัญก�ำลังใจ ให้ครูมีความม่ันใจว่าจะได้รับการดูแลอย่างต่อเน่ือง 2. การสนับสนุนทางด้านกฎหมายและ การสนบั สนนุ จากภาครฐั รฐั เปน็ หนว่ ยงานทที่ ำ� หนา้ ทสี่ ง่ เสรมิ การศกึ ษาใหม้ ปี ระสทิ ธภิ าพสงู สดุ มบี ทบาททง้ั ดา้ น การส่งเสริมโรงเรยี น ส่งเสรมิ บคุ ลากรทางการศึกษาและสง่ เสรมิ ผเู้ รยี นดว้ ย สอดคล้องกบั แนวคิด เวอร์เซอร์ และเดวิส (Werther & Davis, 1982) กล่าววา่ ปจั จัยด้านสงิ่ แวดลอ้ มที่ครอบคลมุ ไปถึงสถานที่ คน ระบบ และวัฒนธรรม องค์การ และสงิ่ แวดล้อมภายนอกองคก์ าร ได้แก่ ขอ้ เสนอเชิงนโยบายของรฐั สงั คม เศรษฐกจิ เทคโนโลยี ที่มีต่อประสิทธิภาพและประสิทธิผลการทํางาน และเป็นสภาพแวดล้อมท่ีคนอยากทํางาน และ ไมอ่ ยากทาํ งาน สภาพแวดลอ้ มจงึ นบั วา่ เปน็ สว่ นสาํ คญั อยา่ งยง่ิ ของคณุ ภาพชวี ติ การทาํ งาน ดงั นน้ั รฐั ควรมบี ทบาท ในการดำ� เนนิ การดงั น้ี 2.1 ดา้ นความยตุ ธิ รรมเทา่ เทยี มในการใหค้ า่ ตอบแทนครู มกี ารกำ� หนดโครงสรา้ งเงนิ เดอื น ผลตอบแทน และความก้าวหน้าในอาชีพไว้เป็นลายลักษณ์อักษร และเท่าเทียมกัน มีการประเมินผลงาน เพื่อพัฒนาค่าจ้าง ค่าตอบแทน อย่างเป็นธรรมและมีความเสมอภาค 2.2 ด้านรายรับและผลตอบแทน มกี ารจา่ ยคา่ ตอบแทนและกำ� หนดชว่ั โมงการทำ� งานตามกฎหมาย ควรมกี ฎระเบยี บคมุ้ ครอง สำ� หรบั งานพเิ ศษ นอกเวลาทำ� การอยา่ งเปน็ ธรรมและใหท้ ำ� งานพเิ ศษตามจำ� นวนชวั่ โมงทกี่ ฎหมายกำ� หนด 2.3 ดา้ นสทิ ธอิ น่ื ๆ รฐั ควร จัดให้มีการส่งเสริมความรู้ด้านผลประโยชน์ท่ีควรได้รับ มีกระบวนการช่วยเหลือและส่งเสริมอย่างเป็นระบบ 2.4 ดา้ นกฎหมายแรงงาน เปน็ ประเดน็ สำ� คญั ทร่ี ฐั ตอ้ งมกี ารใหค้ วามรดู้ า้ นกฎหมายแรงงานและสวสั ดกิ ารสงั คม ปีที่ 16 ฉบบั ที่ 1 ประจ�ำ เดือนมกราคม - เมษายน 2563 215
มกี ารคุม้ ครองครตู ามกฎหมาย 2.5 ดา้ นสขุ ภาพ รัฐต้องมบี ทบัญญัติทคี่ ุม้ ครองด้านสขุ อนามัย การเยียวยาเม่ือ เจ็บไข้และได้รับอุบัติเหตุ รวมถึง การระวังและความปลอดภัย ควรจัดให้มีการตรวจสุขภาพ ส่งเสริมระบบ ปฐมพยาบาล และจัดให้มีสวัสดิการรักษาพยาบาล มรี ะบบรักษาความปลอดภัย 3. การเสรมิ สรา้ งแรงจงู ใจ นับว่าเปน็ กระบวนการส�ำคญั ท่ีจะทำ� ใหค้ รเู กดิ ความมุมานะ เต็มใจทจ่ี ะปฏิบตั หิ น้าท่ีเป็นแรงเสริมท่ีจะชว่ ยให้ ผ้บู รหิ ารสามารถขบั เคล่อื นการท�ำงานของครูให้มีประสทิ ธผิ ลทสี่ ูงกวา่ เดิม โดยผ้บู ริหารหรอื ผู้มสี ่วนเกีย่ วขอ้ ง ควรคำ� นึงและส่งเสรมิ ครู ซงึ่ สอดคล้องกบั มาสโลว์ (Maslow, 1970) นกั จิตวิทยาแหง่ มหาวิทยาลยั แบรนดีส์ ผคู้ ดิ ทฤษฎลี าํ ดบั ความตอ้ งการ (Hierarchy of Needs Theory) ซงึ่ ระบวุ า่ บคุ คลมคี วามตอ้ งการ โดยเรยี งลำ� ดบั ได้ดังนี้ ความต้องการทางร่างกาย ความต้องการความปลอดภัย ความต้องการทางสังคม ความต้องการ เกยี รตยิ ศชอื่ เสยี ง และความตอ้ งการเตมิ ความสมบรู ณใ์ หช้ วี ติ ซงึ่ สามารถนำ� มาประยกุ ตไ์ ดด้ งั นี้ 3.1 ดา้ นพฒั นา รายไดเ้ พือ่ รองรับการด�ำเนนิ ชีวิต จดั ให้มีการพฒั นารายไดข้ องครเู พอื่ การด�ำรงชวี ิต และการสรา้ งความมนั่ คง ในอนาคตอยา่ งมรี ะบบ มีการจัดโครงสร้างของรายได้เป็นลายลกั ษณอ์ ักษร 3.2 ใหค้ วามมัน่ คงในอนาคตและ หลงั การเกษยี ณ จดั ใหม้ แี ผนความกา้ วหนา้ ในตำ� แหนง่ หนา้ ที่ จดั ใหม้ เี งนิ กองทนุ ทใี่ หค้ วามชว่ ยเหลอื ดา้ นสขุ ภาพ กองทนุ เลี้ยงชพี หรือกองทุนบ�ำเหนจ็ บ�ำนาญ 3.3 ใหก้ ารยอมรบั ในบทบาทหน้าทีแ่ ละการปฏิบัติหน้าท่ขี องครู ใหโ้ อกาสในการเขา้ รบั การอบรม สมั มนา เพอ่ื เพมิ่ เตมิ ความรู้ มกี ารรบั ฟงั ความคดิ เหน็ 3.4 สรา้ งความภาคภมู ใิ จ ให้การยกยอ่ งมีการมอบหมายบทบาทผ้นู ำ� ให้ตามความรู้ ความสามารถตามวาระโอกาสท่ีเหมาะสม ขอ้ เสนอแนะ 1. ผบู้ รหิ ารโรงเรยี นเอกชนควรจดั ใหม้ รี ะบบแนะแนวใหค้ ำ� ปรกึ ษากอ่ นเกษยี ณอายหุ รอื กอ่ นทคี่ รจู ะ ลาออก เพื่อให้ครูมีความพร้อมท้ังด้านร่างกายและจิตใจในการด�ำรงชีวิตต่อไป ควรจัดให้มีระบบสวัสดิการ ด้านกองทุนเพื่อการเล้ียงชีพหลังเกษียณอายุอย่างพอเพียงต่อการด�ำรงชีวิต เพ่ือเตรียมความพร้อมก่อน การเกษียณ ควรจัดให้มีโครงการแนะน�ำตรวจสุขภาพ รักษาสุขภาพ ก่อนการเกษียณ และมีโครงการดูแล สทิ ธิประโยชน์ อนั พงึ มี พงึ ได้ และมีการเยี่ยมเยือน ตดิ ตามให้ค�ำแนะน�ำตอ่ เนือ่ งหลงั การเกษียณ 2. ดา้ นการสนบั สนนุ จากภาครฐั ถอื ว่าเป็นปจั จัยสว่ นท่ีส�ำคัญในการสง่ เสรมิ ครโู รงเรยี นเอกชนใหม้ ี ความพร้อม ความเตม็ ใจ ที่จะปฏบิ ัตหิ น้าทีใ่ ห้ดี หนว่ ยงานของภาครัฐทม่ี ีหนา้ ทบ่ี ริหารจัดการโรงเรียนเอกชน ควรท่ีจะพัฒนากฎหมาย โดยก�ำหนดและส่งเสริมให้ครูได้รับการดูแลจากภาครัฐอย่างทั่วถึงเป็นธรรม โดย ผ้เู ขยี นมีขอ้ เสนอแนะดังนี้ ควรมีการก�ำหนดโครงสร้างเงินเดอื น ผลตอบแทน ความก้าวหนา้ ในอาชพี ของครู โรงเรียนเอกชนไว้เป็นลายลักษณ์อักษร และใหเ้ ทา่ เทยี มกนั กบั ครูในโรงเรยี นของรัฐบาล ก�ำหนดให้มีหลกั การ ประเมินผลงานเพื่อพัฒนาค่าจ้าง ค่าตอบแทนอย่างเป็นธรรมและมีความเสมอภาค มีการบังคับให้จ่าย คา่ ตอบแทนและกำ� หนดชวั่ โมงการทำ� งานตามกฎหมายอยา่ งเครง่ ครดั ควบคมุ ใหม้ กี ารจา่ ยรายได้ สำ� หรบั งาน พิเศษนอกเวลาท�ำการอย่างเป็นธรรมและให้ท�ำงานพิเศษตามจ�ำนวนช่ัวโมงท่ีกฎหมายก�ำหนด จัดให้มี การแนะน�ำให้ความรู้ด้านสิทธิประโยชน์และเงินชดเชยอย่างเป็นระบบ มีการให้ความรู้ด้านกฎหมายแรงงาน และสวสั ดิการสังคม มกี ารดำ� เนนิ การบริหารรวมถึงการให้สทิ ธิ เสรีภาพแกค่ รูตามกฎหมาย 3. การสร้างเสริมแรงจูงใจให้ครู เป็นการกระตุ้นให้ครูมีแรงเสริมในการปฏิบัติหน้าท่ี โดยจัดให้มี ผลตอบแทนเปน็ เงนิ รางวลั หรอื การยกยอ่ งชมเชยใหก้ ารยอมรบั อยา่ งเหมาะสม โดยมขี อ้ เสนอแนะดงั นี้ ผบู้ รหิ าร โรงเรยี นเอกชนควรจดั ใหม้ กี ารวางระบบพฒั นารายไดข้ องครเู พอื่ รองรบั ปจั จยั สใ่ี นการดำ� รงชวี ติ และการสรา้ ง 216 บัณฑติ วิทยาลยั มหาวทิ ยาลัยสวนดุสิต
ความมน่ั คงในอนาคตของครู มกี ารจดั โครงสรา้ งของรายไดแ้ ละมกี ารกำ� หนดคณุ สมบตั หิ รอื ระเบยี บในการเพม่ิ รายได้อย่างเป็นลายลักษณ์อักษร จัดให้มีแผนความก้าวหน้าในสายอาชีพ มีโครงสร้างของความก้าวหน้าใน ตำ� แหนง่ หนา้ ท่ี จดั ใหม้ เี งนิ กองทนุ ทใ่ี หค้ วามชว่ ยเหลอื ดา้ นสขุ ภาพ กองทนุ เลยี้ งชพี หรอื กองทนุ บำ� เหนจ็ บำ� นาญ มกี ารใหโ้ อกาสในการเขา้ รบั การอบรมสมั มนา เพอ่ื เพม่ิ เตมิ ความรู้ มกี ารรบั ฟงั ความคดิ เหน็ ใหโ้ อกาสในการนำ� เสนองาน มกี ารใหก้ ารยกยอ่ ง ชมเชย ใหร้ างวลั ประกาศเกยี รตคิ ณุ ตามโอกาสอยา่ งเหมาะสม มกี ารมอบหมาย บทบาทผนู้ ำ� ใหต้ ามความรู้ ความสามารถตามวาระ หากผบู้ รหิ ารโรงเรยี นเอกชนสามารถทจ่ี ะบรหิ ารจดั การใหค้ รไู ดร้ บั การปฏบิ ตั แิ ละผลประโยชนอ์ ยา่ ง ยุติธรรมท้ัง 3 ประการนี้แล้วจะเป็นเหตุผลส�ำคัญท่ีท�ำให้ครูต้องการที่จะมาเป็นบุคลากรและหวังที่จะอยู่ใน ต�ำแหน่งในระยะยาว บทสรปุ การบรหิ ารจดั การครขู องโรงเรยี นขน้ั พนื้ ฐานเอกชน ใหม้ กี ารปฏบิ ตั หิ นา้ ทไี่ ดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพสงู สดุ นน้ั ต้องบรหิ ารสนับสนุนองค์ประกอบทงั้ 3 ด้าน คือ ด้านการบรหิ ารงานบุคคล ด้านกฎหมาย/กฎระเบียบ ตา่ ง ๆ ทีเ่ กีย่ วขอ้ ง และดา้ นแรงจูงใจ ให้กับครูอยา่ งเพยี งพอตามสถานภาพ หรือเทา่ เทียมกับหนว่ ยงานอ่นื ๆ ท่เี ก่ียวข้องกนั โดยอาจเข้าใจไดอ้ ย่างนวี้ ่า 1. ดา้ นการบรหิ ารงานบคุ คล 1.1 เพอ่ื ใหค้ รูมปี จั จัยสท่ี ่เี พยี งพอตอ่ การด�ำรงชพี เพราะการบรหิ ารงานบุคคลนจ้ี �ำเป็นต้องใหเ้ งินเดือนค่าตอบแทน และสวัสดกิ ารอนั เป็นพน้ื ฐาน ของการดำ� รงชวี ติ ของครู 1.2 ใหก้ ารดแู ลและพัฒนาครูในการปฏบิ ตั ิงานใหม้ ีองค์ความรู้ทท่ี ันสมยั เพอ่ื ใหค้ รู สามารถสร้างผลงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ 1.3 มีการประเมินผลการปฏิบัติงานของครูและมีการพิจารณา ความดี ความชอบอย่างเปน็ ธรรม เพ่ือให้เกดิ ขวญั กำ� ลังใจ 1.4 มกี ารให้ความช่วยเหลือหรือแนะน�ำเพ่อื ใหค้ รู มคี วามพรอ้ มในการออกจากงาน ทง้ั กอ่ นการเกษยี ณอายตุ ามวยั หรอื การออกจากงานกอ่ นวยั 2. ดา้ นกฎหมาย กฎระเบียบตา่ ง ๆ เพื่อใหค้ วามปลอดภัย ความเท่าเทยี ม และความมั่นคงในอาชพี เพราะกฎหมายท่เี กีย่ วขอ้ ง กบั ครู ส่วนใหญ่จะเน้นในการสง่ เสรมิ อุดหนนุ รบั รอง สทิ ธิ เสรีภาพ ความเสมอภาค และความยุตธิ รรมท่ีครู ต้องได้รบั จากสว่ นงานที่เก่ยี วขอ้ ง โดยมีองคป์ ระกอบรายได้คอื 2.1 ดา้ นความเสมอภาคในการจา้ ง 2.2 ดา้ น ค่าจ้าง 2.3 ด้านสิทธิประโยชน์และเงินชดเชย 2.4 ด้านกฎหมายแรงงาน 2.5 ด้านกฎหมายสุขภาพและ ความปลอดภยั 3. ดา้ นแรงจงู ใจ เปน็ การใชก้ ลยทุ ธใ์ นการบรหิ ารจดั การ เพอ่ื ใหค้ รมู ขี วญั กำ� ลงั ใจ และความมนั่ ใจ กล่าวคือ แรงจงู ใจน้นั มาจาก 3.1 ปัจจยั ภายใน เช่น การยกย่องช่ืนชม เม่อื ครูท�ำดี มผี ลงานเปน็ ทีย่ อมรบั ต่อ ผ้ทู ี่เก่ยี วขอ้ ง การให้เกยี รติตอ่ วชิ าชพี ครู ให้ภาพลักษณท์ ี่ดี ใหค้ รูมีความรู้สกึ ภาคภมู ใิ จในตำ� แหนง่ หน้าทีแ่ ละ มีความสุขการปฏิบัติงาน 3.2 ปัจจัยภายนอก เช่น เมื่อครูมีผลการปฏิบัติหน้าที่ดี ก็จัดให้มีผลตอบแทนใน การเงิน เช่น การข้ึนเงนิ เดือนให้ตามความสามารถ ระยะเวลาในการปฏิบตั ิงาน มคี วามรับผิดชอบในหน้าท่ี การงานจนเป็นที่ประจกั ษ์ การใหเ้ งนิ รางวัลในรปู ของโบนัส เมอื่ โรงเรียนมี ผลประกอบการท่ดี ี เปน็ ตน้ เม่ือครูโรงเรยี นการศึกษาขน้ั พ้นื ฐานเอกชน ไดร้ ับการดแู ลและสนับสนุนใน 3 ดา้ นดังกล่าว ครูของ โรงเรียนขั้นพื้นฐานเอกชน ก็จะปฏิบัติหน้าท่ีด้วยความเต็มใจ เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพและมีประสิทธิผล อยา่ งสงู สดุ ต่อเนอ่ื ง ตามกระบวนการเสริมแรงจงู ใจ ดังแผนภาพน้ี ปีที่ 16 ฉบบั ที่ 1 ประจ�ำ เดือนมกราคม - เมษายน 2563 217
ภาพท่ี 1 แสดงถึงการเสรมิ แรงจงู ใจทีม่ ีผลต่อความพยายามในการทำ� งาน การศกึ ษาของเดก็ และเยาวชนไทยจะมพี ฒั นาการทส่ี งู ขนึ้ อกี แนน่ อนหากทกุ ภาคสว่ นชว่ ยกนั ผลกั ดนั ใหค้ รขู องโรงเรยี นการศึกษาขน้ั พน้ื ฐานเอกชนมคี ณุ ภาพชีวิตที่ดีข้ึน ทำ� ใหค้ ่าเสยี โอกาส (Opportunity cost) ทค่ี รคู าดหวงั มคี วามคมุ้ คา่ มากพอทจ่ี ะไมเ่ ปลย่ี นงาน เปลย่ี นอาชพี ยอ่ มจะทำ� ใหค้ รเู กดิ ความรสู้ กึ หวงตำ� แหนง่ พยายามท่ีจะรักษาต�ำแหน่งไว้ นั้นหมายความว่าจะเกิดความตั้งใจปฏิบัติหน้าท่ี ท�ำให้โรงเรียนการศึกษา ข้นั พน้ื ฐานเอกชน สามารถรักษาครูทม่ี ีประสบการณ์การท�ำงานนาน ๆ ไวไ้ ด้ ซึง่ ครทู ี่มีประสบการณน์ ีย้ อ่ มจะ สรา้ งผลงานได้ดี มกี ารแกป้ ัญหาตา่ ง ๆ ได้ดีกวา่ ครูใหม่ ๆ ผลของการจดั การเรยี นการสอนยอ่ มมีประสทิ ธิภาพ สูงขนึ้ ตามไปด้วย เอกสารอ้างองิ ช�ำนาญ ภู่เอ่ียม. (2537). การสร้างความพึงพอใจให้เกิดแก่ผู้รับบริการในโรงพยาบาลของรัฐ. อุตรดิตถ์: พอี อฟเซท็ อาร์ม. รุ่ง แก้วแดง และชัยณรงค์ สุวรรณสาร. (2536). แนวคิดเก่ียวกับประสิทธิผลและประสิทธิภาพองค์การ. ประมวลสาระชุดวิชาทฤษฎแี ละแนวปฏบิ ตั ใิ นการบรหิ ารการศึกษา เลม่ 3 หน่วย ท่ี 11. นนทบุร:ี สาขาวิชาศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั สุโขทยั ธรรมาธิราช. สุเทพ สุขสว่าง. (2538). ความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของครูในโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา ส�ำนักงานประถมศึกษาจังหวัดขอนแก่น. วิทยานิพนธ์การศึกษามหาบัณฑิต สาขาจิตวิทยา การศกึ ษา มหาวทิ ยาลยั ขอนแกน่ . 218 บัณฑติ วิทยาลยั มหาวิทยาลัยสวนดุสติ
Dale S. Beach. (1962). Public Personal Administration. New York: Harper & Row. Maslow, A. H. (1970). Motivation and personality. New York: Harper & Row. Mondy, W., Noe, M. and Premeaux, R. (1999). Human Resource Management (7th ed.). London: Prentice-Hall International. Werther, William B. Jr. & Davis, Keith. (1982). Personal management and Human Resources. Tokyo: McGraw-Hill. คณะผู้เขยี น นายธานัฐ ภัทรภาคร์ บัณฑติ วทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลัยสวนดสุ ิต อาคารเฉลมิ พระเกยี รติ 50 พรรษา มหาวชริ าลงกรณ เลขท่ี 145/9 ถนนสโุ ขทัย เขตดุสติ กรงุ เทพมหานคร 10300 e-mail: [email protected] รองศาสตราจารย์ ดร. ประกฤติ พลู พัฒน์ บัณฑิตวทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั สวนดสุ ิต อาคารเฉลมิ พระเกียรติ 50 พรรษา มหาวชริ าลงกรณ เลขท่ี 145/9 ถนนสุโขทัย เขตดุสติ กรุงเทพมหานคร 10300 e-mail: [email protected] ผูช้ ่วยศาสตราจารย์ ดร. ผดงุ พรมมลู บัณฑติ วทิ ยาลัย มหาวทิ ยาลยั สวนดุสิต อาคารเฉลมิ พระเกียรติ 50 พรรษา มหาวชิราลงกรณ เลขที่ 145/9 ถนนสุโขทัย เขตดุสิต กรงุ เทพมหานคร 10300 e-mail: [email protected] รองศาสตราจารย์ ดร. สุขุม เฉลยทรพั ย์ บัณฑติ วิทยาลัย มหาวิทยาลยั สวนดสุ ิต อาคารเฉลิมพระเกยี รติ 50 พรรษา มหาวชิราลงกรณ เลขที่ 145/9 ถนนสุโขทัย เขตดุสติ กรุงเทพมหานคร 10300 e-mail: [email protected] ปที ่ี 16 ฉบับท่ี 1 ประจำ�เดือนมกราคม - เมษายน 2563 219
ปลายรางมรณะ The Railway Man ธรี เดช ชืน่ ประภานุสรณ*์ บณั ฑติ วทิ ยาลัย มหาวิทยาลยั สวนดสุ ติ Teeradet Chuenprapanusorn* Graduate School, Suan Dusit University Received: December 4, 2020 Accepted: December 17, 2020 ชอ่ื เรอ่ื ง ปลายรางมรณะ (The Railway Man) ผแู้ ต่ง อรี คิ โลแมกซ์ (เขียน) คำ� เมือง (แปล) จ�ำนวนหนา้ 312 หน้า ผูพ้ มิ พ์ บริษัท สนั สฤต จำ� กดั ภาษา ภาษาไทย “ผมออกจากโรงเรยี นก็ทำ� งาน ออกจากงานกไ็ ปเป็นทหาร พอเปน็ ทหารก็ลงนรกเลย” อรี คิ โรแมกซ์ มหาสงครามเอเซยี บรู พาไดก้ อ่ กำ� เนดิ ขนึ้ ในซกี โลกตะวนั ตกและเรม่ิ แผข่ ยายความรนุ แรงเขา้ สเู่ อเชยี บรู พาในช่วงปี พ.ศ. 2484-2488 โดยมแี กนนำ� สองฝา่ ยทเ่ี รียกตนเองวา่ ฝ่ายอักษะ (Axis) อันประกอบไปด้วย ประเทศญ่ปี ่นุ และประเทศเยอรมันนี เป็นแกนนำ� ในขณะเดยี วกันฝ่ายสัมพันธมติ ร (Allies) มปี ระเทศอังกฤษ สหรฐั อเมรกิ า เปน็ แกนนำ� ในการท�ำสงครามในครั้งนี้ สรา้ งความสญู เสียอย่างใหญ่หลวงใหก้ บั มวลมนษุ ยชาติ “ศัตรู” ในความเข้าใจท่ัวไปนั้นหมายถึงคนที่เคยพบหน้าคร่าตากัน มีปฏิสัมพันธ์ในเชิงลบ เกิดการเกลียดชังกนั จนยากท่จี ะเยยี วยา แต่ในสภาวะสงครามนั้นการเปน็ ศตั รกู นั นัน้ อาจมีเหตผุ ลเดยี ว คอื “การที่เราท้ังสองตา่ งมนี ายคนละคนเท่านั้นเอง” * ธรี เดช ชืน่ ประภานุสรณ์ (Corresponding Author) ปที ่ี 16 ฉบบั ท่ี 1 ประจำ�เดอื นมกราคม - เมษายน 2563 221 e-mail: [email protected]
เนือ้ หาและบทวเิ คราะห์ นวนิยายเรื่อง The Railway Man เป็นนวนิยายรูปแบบอัตชีวประวัติ (Autobiography) ท่ีถูก ถอดความจากประวัติจริงของผู้ประพันธ์เอง ดังนั้น ตัวละครทุกตัวท่ีได้ถูกอ้างถึงล้วนแล้วแต่มีตัวตนจริง ๆ (Real Person) ตามการบันทกึ ท่ีมใิ ชก่ ารสมมติขนึ้ แตอ่ ย่างไร การถ่ายถอดภาพแห่งความหลังและการสะท้อน (Reflex) ให้เห็นภาพอันแสนโหดร้ายท่ีถูกเก็บกด อยู่ภายใต้ความทรงจ�ำท่ีปวดร้าวและแสนทรมานมากว่า 7 ทศวรรษนั้น จึงได้ไหลพร่างพรูออกมาเปรียบ ประหน่ึงสายน้ำ� ทไ่ี หลบ่าจากทส่ี งู ลงสทู่ ่ีตำ�่ อยา่ งรวดเร็วและรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ วันเวลา บุคคล ล้วนแล้วแต่ได้ถูกผนึกฝังแน่นในความทรงจ�ำของผู้ประพันธ์ เสมอมาจนยากท่ีจะลบล้างไปให้สิ้นจากมโนทัศน์ได้ ดังน้ัน ผู้ประพันธ์จึงพยายามท่ีจะชี้ให้เห็นว่า “การท่ี คนเรามีนายต่างกันนั้น” สามารถสร้างความโหดร้ายเยี่ยงสัตว์นรกและสร้างความสูญเสียกับมวลมนุษยชาติ ได้ถึงขนาดนี้เชียวหรอื ซึง่ ยังคงเป็นค�ำถาม “ท่ีคา้ งคาใจ” ผปู้ ระพันธ์เสมอมา ดังน้ัน การถ่ายถอดบุคลิกภาพของตัวละครท่ีช่ือ อิริค โลแมกซ์ ท่ีมีค�ำถาม “ท่ีค้างคาใจ” ตนเอง มาอย่างยาวนาน จึงกลายมาเป็นส่ิงที่น่าค้นหาข้อมูลและน�ำมาเป็นแบบอย่างหรือ “กระจกเงา” สะท้อน บคุ ลกิ ภาพของมนษุ ยไ์ ดเ้ ป็นอย่างดีทด่ี ูแล้วไมม่ ีวันท่จี ะล้าสมัยไปไดเ้ ลย กระบวนการทางสงั คมประกติ (Socialization) หรือ “การเรยี นรูเ้ พ่ือการกลอ่ มเกลา” บุคลิกภาพ และพฤติกรรมการรับรู้ทางสังคม เจตคติ การเปล่ียนแปลงเจตคติ แรงจูงใจทางสังคม ความขัดแย้ง ความก้าวร้าว ตลอดจนการใช้อ�ำนาจทางสังคมเพ่ือเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมมนุษย์ท่ีไม่ถูกต้องและเหมาะสม จึงน่าจะถกู “คล่”ี และ “คาย” ออกมาเพ่ือใช้ในการศึกษาความเป็นมนษุ ย์ในครั้งน้ี ส�ำหรับบุคลิกภาพของ อิริค โลแมกซ์ เมื่อกล่าวถึงในเชิงวรรณกรรมอาจกล่าวได้ว่าเป็นตัวละครที่ ผสมผสาน (Mixed-Person) กันระหว่างการเป็น Protagonist (ตัวเอก หรือ ตัวชูโรง) และ Antagonist (การตอ่ ตา้ นหรอื ปรปกั ษ)์ ไปในคราวเดยี วกนั จนทำ� ใหเ้ หน็ ความกระจา่ งชดั ในตวั ของเขามากขนึ้ เพราะการเปน็ ตัวละครแบบ Protagonist น้ัน มาจากพฤติกรรมภายนอกที่เขาแสดงออกต้ังแต่อดีตจวบจนปัจจุบันและ ในขณะเดยี วกนั พฤติกรรมทเี่ ขาแสดงออกนนั้ ก็มตี วั ละครทเ่ี ปน็ เสมอื นกับเงา “Shadow” เข้ามาแฝงเร้นและ ตดิ ตราตรงึ ใจ (Printed) อยใู่ นจติ ใตส้ ำ� นกึ ของตนเองอยตู่ ลอดเวลา สงิ่ นนั้ กค็ อื Antagonist ทแี่ อบแฝงอยแู่ ละ “รอคอย การแก้แค้น” จากการถูกทรมานและทารุณกรรมในขณะถูกจับตัวเป็นเชลยสงครามที่ จังหวัด กาญจนบุรี เพื่อการปลดปล่อยความทุกข์ทรมานมาตลอดทั้งชีวิตให้สิ้นสุดลงก่อนที่เขาจะส้ินลมหายใจไปใน ชาตภิ พน้ี ดงั นน้ั พฤตกิ รรมทเี่ ขาแสดงออกจงึ มลี กั ษณะทเี่ ปน็ ปจั เจกบคุ คลนยิ ม (Individualism) ยากทคี่ นทว่ั ไป จะเข้าถึงได้เนื่องด้วยเกิดจาก “รอยร้าวอันรุนแรง” ท่ีเขาได้รับจากการเป็นเชลยสงครามในช่วงสงครามโลก ครั้งทสี่ อง ซงึ่ บาดเจ็บรุนแรงและทรมานจติ ใจของเขาเปน็ อย่างย่งิ จนกลายมาเป็น “ปม” ของความขัดแยง้ (Conflict) อนั รุนแรงทเ่ี ผาผลาญตวั ตนของเขามาอย่างยาวนาน ความขัดแย้ง หรือ Conflict ท่ีเกิดขึ้นกับ โลแมกซ์ นั้น อาจกล่าวได้ว่า มีลักษณะท่ีทับซ้อนและ เปลย่ี นแปลงไปตามพฒั นาการของอารมณแ์ ละความรสู้ กึ ตามชว่ งวยั ของเขา โดยในระยะเรม่ิ แรกความขดั แยง้ ทีเ่ กิดข้ึนเปน็ ความขดั แย้งภายในจิตใจ (Internal Conflict or Psychological Conflict) ทเี่ กิดขึน้ ในขณะที่ 222 บณั ฑติ วทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลัยสวนดุสิต
ตนเองยังเยาวว์ ยั โลแมกซช์ ื่นชอบและหลงใหลในรถจักรไอนำ�้ อยา่ งคลัง่ ไคล้ เอาจรงิ เอาจังตามจินตนาการที่ ตนเองรับรแู้ ละรบั ทราบ แต่ในขณะเดียวกันการเข้าเรยี นในโรงเรียนท่ีจดั การศกึ ษาแบบจารีตนยิ ม (Traditionalism) ซ่งึ เปน็ ที่ชื่นชอบของคนในสมัยน้ันท่ีเน้นการสร้าง “ปรัชญาเมธีหรือผู้รู้อันสูงส่ง” กลับสวนทางกับความคิดของ เดก็ หนมุ่ อย่างโลแมกซ์ ทีช่ นื่ ชอบการปฏิบตั ิการมากกว่าการเรียนรูท้ างปรชั ญาเพยี งอยา่ งเดยี ว ดงั นน้ั ความขดั แยง้ ภายในจติ ใจ (Internal Conflict or Psychological Conflict) ของเขาไดค้ อ่ ย ๆ กอ่ ตวั ขนึ้ และขยายตวั ขน้ึ ทา่ มกลางบคุ ลกิ ภาพทเี่ งยี บสงบของเขา จนทำ� ใหเ้ ขาเปน็ เดก็ ทช่ี อบเกบ็ ตวั มคี วามสขุ กบั การน่ังดรู ถจักรไอน้�ำวิง่ แล่นบนรางรถไฟ ดังคำ� บรรยาย ความว่า “แต่ทสี่ ำ� คัญทสี่ ดุ อยู่ทีน่ ัน่ และไดเ้ หน็ มนั ถึงเวลาทผ่ี มจบการศึกษา จากโรงเรยี นเมอื่ ปี 1936 งานอดิเรกได้กลายเปน็ ความลมุ่ หลง วา่ กันตามจริง ผมใชเ้ วลาวา่ งเกือบทง้ั หมดระหว่างปี 1933 จนถงึ ตอนท่อี าสาสมัครเข้าเปน็ ทหารเม่ือปี 1939…..ผมไม่ใช่แคฝ่ ันถงึ รถไฟ ผมไล่ตระเวนไปดมู ันดว้ ย รอบนไหล่ทางหรอื ยอดเนนิ ที่ทางรถไฟตดั ผ่าน อนั หนาวเหนบ็ ด้วยความหวงั ว่าจะได้เหน็ หัวรถจกั รเลือ่ งชื่อท่ีนาน ๆ ครงั้ จะผา่ นมาซักแวบหนง่ึ ” (หนา้ 33-34) จากค�ำบรรยายข้างต้น ท�ำให้เห็นได้ว่าโลแมกซ์ เป็นเด็กท่ีมีจินตนาการและอยากเรียนรู้ส่ิงใหม่ ๆ ทบี่ ุคคลรอบข้างมองว่าไมน่ ่าสนใจและไม่เหมาะสมกบั สงั คมซึ่งผู้เขียนจะได้นำ� เสนอในช่วงต่อจากน้ีไป ยอ้ นกลบั มาในชว่ งหนง่ึ พบวา่ ความขดั แยง้ ทางสงั คม (Social Conflict) ทเ่ี กดิ ขน้ึ ของมวลมนษุ ยชาติ ได้อุบตั ิขน้ึ จนกลายเปน็ ในสงครามโลกครั้งที่สองทตี่ อ้ งแยกมนุษย์ออกเป็น 2 ฝา่ ย ท�ำการประหตั ประหารกัน จนนำ� พาไปสคู่ วามขดั แยง้ ภายในจติ ใจ (Psychological Conflict) ของบคุ คลทไ่ี ดร้ บั ผลกระทบจากพษิ ภยั แหง่ สงครามน้ี ในทส่ี ุด ซึ่งไม่เว้นแต่เด็กหนุ่มวัย 21 ปี อย่างโลแมกซ์ ซ่ึงต้องลาออกจากการเป็นพนักงานไปรษณีย์ไปสู่ เส้นทางของการเป็นทหารส่ือสารในกองทัพอังกฤษ และถูกจับเป็นเชลยสงคราม พร้อมกับการถูกทรมาน อย่างสาหสั สากนั ในที่สุด เพือ่ นหลาย ๆ คนท่ีไปรว่ มสงครามตา่ งสญู เสียชวี ติ ตอ่ หนา้ ต่อตา ท�ำใหบ้ าดแผลของ สงครามและความโหดร้ายป่าเถื่อนของผู้ชนะ ได้กลายมาเป็นปมขัดแย้งภายใน (Internal Conflict or Psychological Conflict) ที่มเี หตมุ าจากความขดั แย้งทางสงั คม (Social Conflict) ทย่ี ากทจี่ ะเยยี วยาได้ ดงั น้นั ปมขดั แยง้ ตา่ ง ๆ ที่เกดิ ขึน้ กบั ตวั ละครอย่างโลแมกซ์ จงึ มกี ารปรับเปลย่ี นเป็นแบบ “พลวัตร” หรอื ไม่หยดุ น่งิ (Dynamic) อย่ตู ลอดเวลาตราบเทา่ ท่ีเขายังมีชีวติ อยใู่ นโลกใบนี้ โดยความขัดแย้งของเขาเร่ิมต้นจากความขัดแย้งทางสังคมแล้วน�ำพาไปสู่ความขัดแย้งภายในจิตใจ แล้วกลับกลายมาเป็นความขัดแย้งทางสังคมที่มีความขัดแย้งภายในจิตใจซ่อนเร้นอยู่ ดังน้ัน ความขัดแย้งท่ี โลแมกซม์ อี ยจู่ งึ เปน็ ความขดั แยง้ ทเ่ี ปลยี่ นแปลงไปตามสภาวะและสถานการณต์ า่ ง ๆ ทเ่ี ขาไดเ้ ผชญิ ในชว่ งเวลา นน้ั ๆ (ตั้งแต่เด็ก เปน็ ทหาร ปลดจากทหาร และมชี ีวิตอย่จู นถึงปจั จุบนั ) ปีท่ี 16 ฉบบั ท่ี 1 ประจำ�เดือนมกราคม - เมษายน 2563 223
อาจกล่าวได้ว่าการเป็นตัวละครตัวแบน (Flat Character) ที่เกิดข้ึนในข้ันปฐมวัยของเขาจึงต้อง ปรับเปลีย่ นไปเปน็ ตัวละครแบบตวั กลม (Round Character) ไปในท่ีสดุ เพราะส่งิ แวดล้อม (Environment) ทเ่ี ขาไดร้ บั กอ่ ใหเ้ กดิ การหลอ่ หลอมกลายมาเปน็ ตวั ตนของเขาในชว่ งหนง่ึ แตห่ ลงั จากนน้ั การเปน็ ตวั ละครแบบ Protagonist ทีเ่ ป็น Flat Character ของเขากไ็ ดก้ ลับมาสตู่ วั ตนที่แทจ้ รงิ ของเขาอกี ครงั้ หนึง่ หลงั จากทไ่ี ดร้ บั การปลดปลอ่ ยทางจิตและได้รับค�ำตอบท่ีตนเองคน้ หามาอย่างยาวนาน คุณค่าของนวนิยายเรื่องน้ีเป็นคุณค่าที่สะท้อนให้เห็นถึงผลของสงครามท่ีนำ� พาไปสู่การเปล่ียนแปลง ทางจิตวิทยาของมนษุ ย์ท่มี ีค�ำถามวา่ “ทา้ ยที่สดุ แล้วมนุษยไ์ ดอ้ ะไรจากการมชี ีวติ อยู่” แลว้ คณุ ละ่ อยากตอบคำ� ถามนไ้ี หม ถา้ อยากตอบกล็ องหานวนยิ ายเลม่ นมี้ าอา่ นแลว้ ทา่ นจะไดค้ ำ� ตอบ ทีท่ �ำใหท้ า่ นเขา้ ใจในความเปน็ “มนุษย์” มากขึน้ ผู้เขียน ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร. ธีรเดช ชน่ื ประภานสุ รณ์ บัณฑิตวทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลัยสวนดสุ ติ อาคารเฉลมิ พระเกยี รติ 50 พรรษา มหาวชริ าลงกรณ เลขท่ี 145/9 ถนนสุโขทัย เขตดสุ ติ กรงุ เทพมหานคร 10300 e-mail: [email protected] 224 บณั ฑิตวทิ ยาลัย มหาวทิ ยาลัยสวนดุสติ
นโยบายและการด�ำเนนิ งานจดั พิมพว์ ารสารวชิ าการบณั ฑิตวิทยาลยั สวนดสุ ติ บัณฑติ วทิ ยาลยั มหาวิทยาลัยสวนดสุ ิต นโยบายวารสาร วารสารวชิ าการบณั ฑติ วทิ ยาลัยสวนดสุ ติ มหาวิทยาลยั สวนดุสติ ด�ำเนนิ การมาต้งั แตป่ ี พ.ศ. 2547 มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ผลงานทางวิชาการ ในประเภทบทความวิจัย บทความวิชาการ บทความปริทัศน์ แ ละบทความวิจารณ์หนังสือ เพ่ือเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้ความคิดด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ (ครุศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ รฐั ศาสตร์ นิติศาสตร์ อาชญาวิทยา บริหารธรุ กิจ และสาขาอน่ื ทีเ่ กยี่ วข้อง) วารสารวชิ าการบัณฑติ วทิ ยาลยั สวนดุสติ มหาวิทยาลัยสวนดุสติ เปน็ วารสารปรากฏอยใู่ นฐาน TCI (Thai Journal Citation Index Centre) หรือศนู ย์ดชั นกี ารอา้ งอิงวารสารไทย โดยปฏบิ ัตกิ ารพฒั นาคณุ ภาพ วารสารตามเกณฑม์ าตรฐานวชิ าวชิ าการตามทสี่ ำ� นกั งานคณะกรรมการการอดุ มศกึ ษา (สกอ.) และ สำ� นกั งาน กองทนุ สนบั สนุนการวจิ ัย (สกว.) กำ� หนด กองบรรณาธิการของวารสารประกอบด้วยผทู้ รงคณุ วุฒทิ ่มี ีตำ� แหน่ง ทางวชิ าการ ศาสตราจารย์ รองศาสตราจารย์ และผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ รวมท้งั ผูท้ รงคุณวฒุ ิระดบั ปริญญาเอก มีผลงานวิจัยต่อเนื่อง ซ่ึงเป็นบุคลากรจากสถาบันภายนอกและภายใน และมีผู้ทรงคุณวุฒิ (Peer Review) อ่านพิจารณาบทความ ซ่งึ เป็นผเู้ ช่ยี วชาญและมผี ลงานทางวิชาการอย่างต่อเน่อื ง การดำ� เนนิ งานจดั พิมพ์วารสาร 1. รับตน้ ฉบับบทความจากผ้เู ขยี น 2. กองบรรณาธกิ ารวารสารตรวจสอบความถกู ตอ้ งและสมบรู ณข์ องตน้ ฉบบั บทความ ตามขอ้ กำ� หนด การสง่ บทความเพอ่ื รบั พิจารณาการตพี มิ พ์ และตรวจสอบการละเมิดลิขสทิ ธ์ิ (Turnitin) 3. กองบรรณาธิการวารสารจัดส่งต้นฉบบั ใหผ้ ทู้ รงคณุ วฒุ ิ (Peer Review) อ่านพจิ ารณาบทความ 4. ส่งบทความให้ผเู้ ขยี นแก้ไขตามผลการพจิ ารณาของผ้ทู รงคณุ วฒุ ิ (Peer Review) 5. กองบรรณาธิการวารสารตรวจสอบความถูกต้องและคุณภาพของบทความและพิจารณาต้นฉบับ วารสารฉบบั ทีจ่ ะจัดพิมพ์ 6. คณะทำ� งานด�ำเนนิ การจดั ท�ำรูปเลม่ การจัดพมิ พ์ 7. บรรณาธกิ ารตรวจสอบความถกู ตอ้ ง ความสมบรู ณ์ และคณุ ภาพของตน้ ฉบบั วารสารฉบบั จดั พมิ พ์ 8. คณะทำ� งานจัดพมิ พแ์ ละเผยแพรว่ ารสาร กำ� หนดการจัดพมิ พว์ ารสาร วารสารวิชาการบัณฑิตวิทยา ลัยสวนดุสิต มหาวิทยาลัยสวนดุสิต เป็นวารสารราย 4 เดือน โดย จัดพิมพเ์ ผยแพร่ปลี ะ 3 ฉบบั ฉ บับท่ี 1 เดอื นมกราคม-เมษายน ฉ บับที่ 2 เดือนพฤษภาคม-สิงหาคม ฉ บับที่ 3 เดือนกนั ยายน-ธันวาคม ปีท่ี 16 ฉบับที่ 1 ประจ�ำ เดือนมกราคม - เมษายน 2563 225
ตดิ ตอ่ เรา ว ารสารวิชาการบัณฑติ วิทยาลยั สวนดสุ ติ มหาวิทยาลยั สวนดสุ ติ บ ัณฑติ วิทยาลยั มหาวทิ ยาลยั สวนดุสติ เลขท่ี 145/9 อาคารเฉลิมพระเกียรติ 50 พรรษา มหาวชิราลงกรณ ถนนสโุ ขทยั เขตดสุ ิต กรุงเทพฯ 10300 โทรศัพท์: 02-241-7191-5 ต่อ 4135 website:http://www.graduate.dusit.ac.th/journal E-mail:[email protected] ผปู้ ระสานงาน : คณุ จารภุ า ยม้ิ ละมัย คุณณชั ชา ถาวรบุตร ขอ้ แนะน�ำการส่งบทความ ห ลกั เกณฑ์การลงตพี มิ พบ์ ทความในวารสารวิชาการบณั ฑติ วทิ ยาลยั สวนดุสิต 1. บทความท่ีผเู้ ขียนสง่ มาเพ่ือการพิจารณาตอ้ งไม่เคยตีพิมพใ์ นวารสารใดวารสารหน่ึงมาก่อน 2. บทความทผี่ เู้ ขียนสง่ มาเพือ่ การพจิ ารณาตอ้ งไมเ่ คยอยู่ระหว่างการขอตพี มิ พใ์ นวารสารอน่ื 3. เนอ้ื หาในบทความควรเกดิ จากการสงั เคราะหค์ วามคดิ โดยผเู้ ขยี นเอง ไมไ่ ดล้ อกเลยี นหรอื ตดั ทอน ม าจากผลงาน ท า งวิช าการของผู้อ่ืน หรือจากบทความอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือปราศจากการอ้างอิงที่ เหมาะสม 4. ผู้เขยี นตอ้ งเขียนบทความตามขอ้ ก�ำหนดการเขียนตน้ ฉบับบทความส่งวารสาร 5. ผู้เขียนจะได้รับใบตอบรับการตีพิมพ์บทความในวารสาร เม่ือผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิ (Peer Review) และกองบรรณาธกิ าร 6. ผู้เขียนต้องแก้ไขความถูกต้องของบทความตามข้อเสนอแนะของผู้ทรงคุณวุฒิ (Peer Review) และกองบรรณาธิการ 7. หลงั จากผเู้ ขยี นแกไ้ ขความถกู ตอ้ งของบทความแลว้ กองบรรณาธกิ ารทำ� การตรวจสอบความถกู ตอ้ ง คณุ ภาพ และความสมบูรณ์ของบทความอีกครง้ั กอ่ นส่งต้นฉบับทำ� การจดั พมิ พ์ ขอ้ กำ� หนดการสง่ บทความเพอ่ื พจิ ารณาการตพี มิ พใ์ นวารสารวชิ าการบณั ฑติ วทิ ยาลยั สวนดสุ ติ ก องบรรณาธิการก�ำหนดระเบียบการส่งต้นฉบับบทความเพ่ือให้ผู้เขียนยึดเป็นแนวทางในการส่ง ตน้ ฉบบั สำ� หรบั รบั พจิ ารณาการตพี มิ พใ์ นวารสารวชิ าการบณั ฑติ วทิ ยาลยั สวนดสุ ติ บณั ฑติ วทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั สวนดสุ ติ และกองบรรณาธิการสามารถตรวจสอบต้นฉบบั ก่อนการตีพิมพ์ เพื่อให้วารสารมคี ณุ ภาพ สามารถ น�ำไปใชอ้ ้างอิงประโยชน์ทางวิชาการได้ 1. การเตรียมต้นฉบบั มรี ายละเอยี ด ดงั น้ี 1.1 ขนาดของต้นฉบบั พมิ พห์ นา้ เดยี วบนกระดาษขนาด A4 โดยเวน้ ระยะหา่ งระหวา่ งกระดาษดา้ นบนและดา้ นซา้ ย มอื 1.5 นวิ้ ด้านลา่ งและขวามือ 1 นว้ิ 226 บณั ฑิตวทิ ยาลัย มหาวิทยาลยั สวนดุสติ
1.2 รปู แบบอักษรและการจดั วางตำ� แหนง่ ใชร้ ูปแบบอักษร TH SarabunPSK พิมพ์ดว้ ยโปรแกรมไมโครซอฟท์เวริ ์ด โดยใช้ขนาด ชนิด ของตัวอกั ษร รวมท้ังการจดั วางต�ำแหนง่ ดังน้ี 1.2.1 ทา้ ยกระดาษ ประกอบด้วย 1) ชอ่ื เรอ่ื งตน้ ฉบับของผู้เขยี น ขนาด 14 ชนดิ ตวั ธรรมดา ต�ำแหน่งชิดขอบกระดาษ ด้านซ้าย 2) เลขหน้า ขนาด 14 ชนดิ ตัวธรรมดา ตำ� แหน่งชิดขอบกระดาษด้านขวา 1.2.2 ชื่อเรื่อง (ภาษาไทย) ขนาด 16 ชนิดตวั หนา ต�ำแหนง่ ก่งึ กลางหนา้ กระดาษ 1.2.3 ชอ่ื เรอ่ื ง (ภาษาอังกฤษ) ขนาด 16 ชนดิ ตวั หนา ตำ� แหน่งกึ่งกลางหนา้ กระดาษ 1.2.4 ชือ่ ผเู้ ขยี น ขนาด 14 ชนดิ ตัวหนา ต�ำแหนง่ ก่ึงกลางหน้ากระดาษ (ในกรณที ่ีมีอาจารย์ ท่ีปรกึ ษาให้ลงชือ่ อาจารย์ทีป่ รกึ ษาดว้ ย โดยลงอาจารยท์ ป่ี รึกษาหลกั เปน็ รายช่ือสุดทา้ ย) 1.2.5 ที่อยู่หรือหน่วยงานสังกัดของผู้เขียนและอีเมล์ ขนาด 14 ชนิดตัวหนา ต�ำแหน่ง กงึ่ กลางหน้ากระดาษ 1.2.6 หัวขอ้ ของบทคดั ยอ่ ภาษาไทยและอังกฤษ ขนาด 14 ชนดิ ตัวหนา ต�ำแหน่งชิดขอบ กระดาษด้านซ้าย 1.2.7 เนื้อหาบทคัดย่อภาษาไทยและอังกฤษ ขนาด 14 ชนิดตัวธรรมดา จัดพิมพ์เป็น 1 คอลมั น์ บรรทดั แรกเว้น 1 Tab จากขอบกระดาษดา้ นซา้ ย และพิมพใ์ ห้ชดิ ขอบทั้งสองด้าน 1.2.8 หัวข้อเร่ือง ขนาด 14 ชนดิ ตวั หนา ต�ำแหนง่ ชดิ ขอบกระดาษด้านซา้ ย 1.2.9 หัวข้อย่อย ขนาด 14 ชนิดตัวธรรมดา ระบุหมายเลขหน้าหัวข้อย่อย โดยเรียงตาม ลำ� ดบั หมายเลขตำ� แหน่งเว้น 1 Tab จากขอบกระดาษด้านซา้ ย และพมิ พ์ให้ชดิ ขอบท้ังสองดา้ น 1.2.10 เนอื้ หา ขนาด 14 ชนดิ ตัวธรรมดา จดั พมิ พเ์ ปน็ 1 คอลัมม์ บรรทดั แรกเวน้ 1 Tab จากขอบกระดาษด้านซา้ ย และพิมพ์ให้ชิดขอบทง้ั สองด้าน 1.3 จ�ำนวนหน้าตน้ ฉบบั ความยาวท้งั หมด ไมค่ วรเกิน 15 หน้ากระดาษ (นับตัง้ แตช่ ่ือเรอื่ ง-เอกสารอ้างอิง) 2. การเรยี งล�ำดบั เน้ือหาตน้ ฉบบั บทความ เน้ือหาภาษาไทยท่ีมคี �ำศัพทภ์ าษาอังกฤษ ควรแปลเปน็ ภาษาไทยใหม้ ากทส่ี ุด (ในกรณีท่คี ำ� ศพั ท์ ภาษาอังกฤษเปน็ ค�ำเฉพาะทแ่ี ปลไม่ได้ หรอื แปลแล้วไมไ่ ด้ความหมายชดั เจน ให้เขียนทับศัพทไ์ ด)้ และควรใช้ ภาษาทผี่ ู้อ่านเข้าใจง่าย ชดั เจน หากใช้ค�ำยอ่ ตอ้ งเขยี นคำ� เตม็ ไว้ครง้ั แรกกอ่ น 2.1 การเรยี งลำ� ดับเนื้อหาตน้ ฉบับบทความวิจยั - ชอ่ื เรื่องภาษาไทย - ชื่อเร่อื งภาษาอังกฤษ - ชื่อผูเ้ ขียน คณะ มหาวทิ ยาลยั หรอื หน่วยงานสงั กดั ภาษาไทย - ชอ่ื ผเู้ ขยี น คณะ มหาวทิ ยาลยั หรอื หนว่ ยงานสงั กัด ภาษาองั กฤษ - อีเมลลข์ องผเู้ ขยี น - บทคดั ย่อภาษาไทยและค�ำสำ� คญั ปที ่ี 16 ฉบับที่ 1 ประจ�ำ เดือนมกราคม - เมษายน 2563 227
- บทคดั ยอ่ ภาษาอังกฤษและคำ� สำ� คัญ - บทน�ำ - วัตถุประสงค์ - แนวคิดทฤษฎีท่ีเกยี่ วขอ้ งและกรอบแนวคิด - ระเบียบวิธีวิจยั - ผลการศกึ ษา - อภิปรายผล - ขอ้ เสนอแนะ - เอกสารอ้างอิง 2.2 การเรยี งล�ำดบั เน้ือหาต้นฉบับบทความวชิ าการและปรทิ ัศน์ - ชือ่ เร่ืองภาษาไทย - ชอื่ เร่อื งภาษาอังกฤษ - ช่ือผู้เขยี น คณะ มหาวิทยาลยั หรือหนว่ ยงานสังกัด ภาษาไทย - ชอ่ื ผู้เขียน คณะ มหาวทิ ยาลยั หรือหนว่ ยงานสังกดั ภาษาองั กฤษ - อีเมลล์ของผเู้ ขียน - บทคัดย่อภาษาไทยและค�ำสำ� คญั - บทคดั ยอ่ ภาษาอังกฤษและค�ำสำ� คัญ - บทน�ำ - เนอ้ื หา - บทวเิ คราะห์ วิจารณ์ และข้อเสนอแนะ - บทสรปุ - เอกสารอา้ งอิง 3. การอ้างอิง การอ้างอิงเอกสารให้ใช้ระบบ APA Style (American Psychological Association Style) การอ้างอิงแทรกในเนือ้ หาใชร้ ะบบนามปี ระบุ (ชื่อผู้แต่ง, ปที ี่พมิ พ์: หนา้ ) การอา้ งองิ ทา้ ยเรอื่ งให้เรมิ่ ตน้ ดว้ ย เอกสารภาษาไทยกอ่ นแลว้ ตามดว้ ยภาษาองั กฤษ และตอ้ งมรี ายการอา้ งองิ อยา่ งนอ้ ย 5 รายการ ตอ่ 1 บทความ ตัวอยา่ งการเขียนเอกสารอ้างองิ หนงั สอื ชอ่ื ผแู้ ต่ง. (ปีที่พมิ พ์). ช่ือเรอื่ ง. เมอื งท่พี ิมพ:์ สำ� นักพมิ พ.์ บทความในหนงั สือ ชอ่ื ผแู้ ตง่ บทความ. (ปที พ่ี มิ พ)์ . ชอ่ื บทความ. ใน ชอ่ื ผแู้ ตง่ หนงั สอื (บรรณาธกิ าร), ชอ่ื หนงั สอื . (เลขหนา้ ทปี่ รากฏ บทความจากหนงั สอื หนา้ ใดถึงหน้าใด). เมอื งท่พี ิมพ:์ สำ� นกั พมิ พ์. วารสาร ชอื่ ผแู้ ตง่ . (ปที พ่ี มิ พ)์ . ชอ่ื บทความ. ชอื่ วารสาร. ปที ่ี (ฉบบั ท)่ี , เลขหนา้ ของบทความจากหนา้ แรก-หนา้ สดุ ทา้ ยท่ี ปรากฏตพี มิ พ.์ 228 บัณฑติ วิทยาลัย มหาวทิ ยาลยั สวนดุสติ
รายงานการประชมุ ช่ือผู้แตง่ . (ปีท่ีพิมพ์). ช่อื เอกสารรายงานการประชมุ . วันเดือนปีท่ีจัด. สถานทจ่ี ดั . เลขหน้า. วิทยานิพนธ์ ชอ่ื ผเู้ ขยี นวทิ ยานพิ นธ.์ ปที พี่ มิ พ.์ ชอ่ื วทิ ยานพิ นธ.์ วทิ ยานพิ นธป์ รญิ ญามหาบณั ฑติ หลกั สตู ร, ชอื่ มหาวทิ ยาลยั . ชอื่ ผเู้ ขยี นวทิ ยานพิ นธ.์ ปที พี่ มิ พ.์ ชอ่ื วทิ ยานพิ นธ.์ วทิ ยานพิ นธป์ รญิ ญาดษุ ฎบี ณั ฑติ หลกั สตู ร, ชอ่ื มหาวทิ ยาลยั . หนงั สอื พิมพ์ ชอ่ื ผู้แตง่ . (ปี, เดือนทีพ่ ิมพ์). ชือ่ บทความ. ชื่อหนงั สอื พิมพ์, ปีที่ (ฉบับที)่ , เลขหนา้ ทป่ี รากฏของบทความ. สือ่ อินเตอรเ์ นต็ ชอื่ ผแู้ ตง่ . (ปที ี่พมิ พ)์ . ชอื่ เร่ือง. (ออนไลน์) แหล่งท่ีมา URL: http://. (วันเดือนปที สี่ ืบค้น). การอ้างองิ ภาษาองั กฤษใช้เชน่ เดียวกับภาษาไทย หมายเหตุ 1. ผ้แู ตง่ ชาวไทยให้ใส่ชื่อและนามสกุล โดยไมต่ อ้ งใสค่ �ำหน้าช่อื ยกเว้นราชทนิ นาม ฐานันดรศักด์ิ ใหน้ ำ� ไปใส่ท้ายชื่อ โดยใช้เครื่องหมายจุลภาคค่นั ระหวา่ งราชทินนามและฐานนั ดรศกั ดิ์ ส่วนสมณศักดใ์ิ ห้คงรูป ตามเดมิ 2. กรณผี ้แู ต่ง 2 คน กรณีภาษาไทย ใหใ้ สช่ อ่ื สองคนตามล�ำดับทป่ี รากฏ เชื่อมด้วยค�ำว่า “และ” ส�ำหรบั ภาษาต่างประเทศ ใชเ้ คร่ืองหมาย & คั่นระหว่างคนที่ 1 และ คนที่ 2 3. ผู้ เขียนต้นฉบับบทความสามารถดูรายละเอียดการเขียนอ้างอิงจากแหล่งข้อมูลเก่ียวกับ APA Style 6th edition 4. การใช้ภาษาองั กฤษในบทความ 4.1 ชือ่ เฉพาะ ใหข้ ้ึนตน้ ดว้ ยอกั ษรตัวใหญ่ทกุ คำ� เช่น International Association for Impact Assessment 4.2 ภาษาองั กฤษทั้งในวงเลบ็ และนอกวงเล็บ ให้ใชต้ ัวเล็ก เชน่ local knowledge, advanced model เปน็ ตน้ 4.3 ตั ว ย่อให้ใช้อักษรตัวใหญ่ท้ังหมด และควรมีค�ำเต็มบอกไว้ในการใช้คร้ังแรก เช่น IAIA (International Association for Impact Assessment) 4.4 หัวขอ้ เรือ่ ง ให้ข้ึนต้นด้วยอกั ษรตวั ใหญ่ 4.5 ค�ำสำ� คัญ อกั ษรตัวแรกใหใ้ ชต้ วั ใหญ่ 5. การสง่ ตน้ ฉบบั บทความ ผู้เขียนสง่ ตน้ ฉบับบทความตามข้อก�ำหนดของวารสาร จำ� นวน 3 ชุด พรอ้ มแผ่นซีดี 1 แผน่ เปน็ File Microsoft Word พรอ้ มหลักฐานการช�ำระเงนิ ค่าใชจ้ ่ายในการตพี ิมพ์ สง่ ดว้ ยตนเอง หรือทางไปรษณยี ์ ลงทะเบยี นมาท่ี ปที ี่ 16 ฉบับท่ี 1 ประจ�ำ เดอื นมกราคม - เมษายน 2563 229
กองบรรณาธิการวารสารวิชาการบัณฑิตวทิ ยาลัยสวนดสุ ติ มหาวิทยาลยั สวนดสุ ิต บัณฑิตวิทยาลยั มหาวิทยาลัยสวนดสุ ติ เลขที่ 145/9 อาคารเฉลมิ พระเกียรติ 50 พรรษา มหาวชิราลงกรณ ถนนสุโขทยั เขตดสุ ิต กรงุ เทพฯ 10300 6. การพิจารณาบทความ ต้นฉบับบทความจะได้รับการพจิ ารณาจากผทู้ รงคณุ วฒุ ิ (Peer Review) ภายนอก ในสาขาวิชา นั้ น ๆ จ�ำนวนไม่น้อยกว่า 2 ท่าน โดยเป็นการประเมินแบบอ�ำพรางสองฝ่าย (Double Blind) และ ส่งผลการพจิ ารณาแก่ผเู้ ขยี น เพือ่ ปรบั ปรุง แกไ้ ข บทความ หรอื พิมพต์ ้นฉบบั ใหม่ แลว้ แตก่ รณี เมือ่ บทความ ผ่านการพจิ ารณาจากผทู้ รงคณุ วฒุ แิ ละกองบรรณาธกิ ารแลว้ ผเู้ ขยี นจงึ จะไดร้ บั ใบตอบรบั การตพี มิ พบ์ ทความใน วารสาร ต้นฉบับบทความจะได้รับการตรวจสอบการละเมดิ ลขิ สิทธิอ์ อนไลน์ ผา่ นโปรแกรมส�ำเรจ็ รูปออนไลน์ TurnItIn 7. ลขิ สทิ ธิ์ ต้ น ฉ บับบทความท่ีได้รับการตีพิมพ์ในวารสารวิชาการบัณฑิตวิทยาลัยสวนดุสิต มหาวิทยาลัย สวนดสุ ติ ถอื เปน็ ลิขสทิ ธข์ิ องมหาวิทยาลัยสวนดุสิต 8. ความรบั ผดิ ชอบ เน้ื อหาต้นฉบับที่ปรากฏในวารสารเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียน ทั้งน้ี ไม่รวมความผิดพลาด อันเกดิ จากเทคนคิ การพมิ พ์ ค า่ ใชจ้ า่ ยในการตพี มิ พ์ บทความละ 3,500 บาท ท้งั น้ี วารสารจะไม่คืนเงินดังกลา่ วแกผ่ ู้เขยี น หากไม่ได้รับการพจิ ารณาจาก ผทู้ รงคุณวุฒิ (Peer Review) การโอนเงนิ ดังกล่าวมาท่ี ธนาคารกรงุ ศรีอยุธยา สาขามหาวิทยาลยั ราชภัฏสวนดสุ ติ บัญชีออมทรพั ย์ เลขทีบ่ ญั ชี 420-1-75977-0 ชอ่ื บญั ช:ี นางสาวองคอ์ ร สงวนญาติ และนางนวลปราง รกั ษาภกั ดี และนางสาวณชั ชา ถาวรบตุ ร ค�ำช้แี จงสิทธิส์ ่วนบคุ คล ทางวารสาร ใหค้ วามสำ� คญั กบั ความเปน็ สว่ นตวั ของผเู้ ขา้ ใชร้ ะบบวารสารออนไลนน์ ี้ ดงั นน้ั ชอื่ นามสกลุ และอเี มล์ของผู้เขา้ มาใช้ระบบวารสารออนไลนข์ องเรา จะไม่ถูกนำ� ไปใชเ้ พ่ือประโยชนอ์ ่ืน นอกจากการติดต่อ สอื่ สารจากทางวารสารเทา่ นน้ั และจะไมถ่ กู นำ� ไปสง่ ตอ่ หรอื เผยแพรแ่ กบ่ คุ คลอน่ื ใดทไี่ มเ่ กยี่ วขอ้ งกบั ทางวารสาร 230 บณั ฑิตวิทยาลยั มหาวทิ ยาลัยสวนดสุ ิต
ว า ร ส า ร วิ ช า ก า ร บั ณ ฑิ ต วิ ท ย า ลั ย ม ห า วิ ท ย า ลั ย ส ว น ดุ สิ ต วนั ท.่ี .......................เดอื น............................... พ.ศ........................... ข้อมูลส่วนตัว สมคั รในนามหนว่ ยงาน......................................................................................................................................................................................................... สมัครในนามบุคคล ชือ่ -สกุล............................................................................................................................................................................................ อาย.ุ .............................. ป ี อาชีพ.........................................................ตำ� แหนง่ .................................................................................... การศกึ ษา...................................................โทรศพั ท.์ ........................................................อเี มล.์ ........................................................................ สถานทจ่ี ัดสง่ วารสารบณั ฑิตวทิ ยาลยั ฯ ที่ทำ� งานปจั จบุ ัน....................................................................................................................................................................................................... เลขท่ี................................................................................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................................................................................. ที่อย่ปู ัจจบุ นั ................................................................................................................................................................................................................ เลขท่ี................................................................................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................................................................................. การสมัครสมาชิก 1 ปี 2 ฉบับ 500 บาท 2 ปี 4 ฉบับ 900 บาท การชำ� ระค่าสมาชกิ เงนิ สด โอนเงนิ ผา่ นธนาคารกรงุ ศรีอยุธยา สาขามหาวิทยาลยั ราชภัฏสวนดสุ ิต ในนาม: นางสาวองคอ์ ร สงวนญาติ และนางนวลปราง รกั ษาภกั ดี และนางสาวณชั ชา ถาวรบตุ ร บัญชอี อมทรัพย์ เลขที่บญั ชี 420-1-75977-0 กรณุ าแนบส�ำเนาการโอนเงินพรอ้ มใบสมคั ร หรือส่งแฟกซ์ 02-243-3408 หรือทาง E-mail: [email protected] สอบถามรายละเอยี ดได้ท่ี : บัณฑิตวิทยาลัย มหาวทิ ยาลยั สวนดุสิต 145/9 อาคารเฉลมิ พระเกียรติ 50 พรรษา มหาวชิราลงกรณ ถนนสุโขทัย เขตดสุ ติ กรุงเทพฯ 10300 โทรศพั ท:์ 02-241-7191-5 ตอ่ 4135 โทรสาร 02-243-3408 website : http://www.graduate.dusit.ac.th/journal
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241