Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วารสารบัณฑิตวิทยาลัย (ม.ค.-เม.ย.63)

วารสารบัณฑิตวิทยาลัย (ม.ค.-เม.ย.63)

Published by boomsdu, 2023-01-12 06:24:17

Description: วารสารบัณฑิตวิทยาลัย (ม.ค.-เม.ย.63)

Search

Read the Text Version

ตารางท่ี 3 แสดงคา่ Factor Loading องค์ประกอบดา้ นคณุ ภาพระบบปฏบิ ัตกิ าร (Platform Quality) จากตารางท่ี 3 ด้านคุณภาพระบบปฏิบัติการ (Platform Quality) ก่อนท�ำการวิเคราะห์ปัจจัย เชงิ สำ� รวจประกอบดว้ ยตวั แปรทงั้ หมด 8 ตวั แปร และหลงั ทำ� การวเิ คราะหป์ จั จยั เชงิ สำ� รวจพบวา่ ตวั แปรไดถ้ กู แบ่งออกเปน็ 3 องค์ประกอบด้วยกัน ได้แก่ การออกแบบเวบ็ ไซต์ (Website Design) ตวั แปรทีส่ �ำคัญท่สี ุดคือ การจดั ประเภทและแบง่ หมวดหมู่ กลมุ่ โรคหรอื แบง่ ประเภทขอ้ มลู อยา่ งเปน็ ระบบ คา่ Factor Loading เทา่ กบั 0.857 ความเปน็ สว่ นตัวและความปลอดภยั (Privacy & Security) ตวั แปรท่ีสำ� คญั ที่สดุ คือ มกี ารรักษาและ การควบคมุ ความปลอดภัยในการแลกเปลี่ยนขอ้ มูลของผ้ใู ช้บรกิ าร คา่ Factor Loading เท่ากบั 0.850 และ ความมนั่ คงของระบบ (Stability) ตัวแปรท่ีส�ำคัญทีส่ ดุ คอื สามารถใชง้ านได้อยา่ งตอ่ เนอ่ื งไม่เกดิ ปัญหาขดั ข้อง ในขณะใชง้ าน ค่า Factor Loading เท่ากับ 0.846 42 บณั ฑิตวทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั สวนดุสิต

ตารางที่ 4 แสดงค่า Factor Loading องค์ประกอบด้านคุณภาพการบริการสุขภาพ (Health Service Quality) จากตารางที่ 4 ดา้ นคุณภาพการบรกิ ารสุขภาพ (Health Service Quality) กอ่ นทำ� การวเิ คราะห์ ปจั จยั เชงิ สำ� รวจประกอบดว้ ยตวั แปรทง้ั หมด 9 ตวั แปร และหลงั ทำ� การวเิ คราะหป์ จั จยั เชงิ สำ� รวจ พบวา่ ตวั แปร ได้ถูกแบ่งออกเป็น 3 องค์ประกอบด้วยกัน ได้แก่ การบริการจากแพทย์เฉพาะทาง ตัวแปรที่ส�ำคัญที่สุดคือ บรกิ ารจากแพทยท์ มี่ คี วามชำ� นาญในการรกั ษาเฉพาะโรค คา่ Factor Loading เทา่ กบั 0.844 การมปี ฏสิ มั พนั ธ์ กับผู้ใช้บริการ ตัวแปรที่สำ� คัญท่ีสุดคือ มีเจ้าหน้าที่คอยให้คำ� แนะน�ำและให้ข้อมูลแก่ผู้ใช้บริการอย่างรวดเร็ว ค่า Factor Loading เท่ากับ 0.839 และความน่าเชื่อถือในระดับผู้เช่ียวชาญ ตัวแปรที่ส�ำคัญที่สุดคือ มีการตรวจสอบความนา่ เช่ือถอื ของโรงพยาบาล คา่ Factor Loading เท่ากับ 0.834 ปีท่ี 16 ฉบบั ที่ 1 ประจ�ำ เดือนมกราคม - เมษายน 2563 43

เน้อื หาทางการแพทย คณุ ภาพ ความถกู ตองของเนอ้ื หา เน้ือหาทางการแพทย ความสมบรู ณข องเนอ้ื หา การออกแบบเวบ็ ไซต คุณภาพ กราะรบบบรกิกาารรสคุขน ภหาาพ ควาคมวเาปมนปสลว อนดตภัวยัและ ระบบปฏบิ ตั ิการ ความมน่ั คงของระบบ คณุ ภาพ การบเรฉิกพาาระจทากางแพทย การบริการสขุ ภาพ การมปี ฏิสมั พันธกบั ผูใชบ ริการ ความนาเช่ือถือในระดบั ผเู ช่ียวชาญ ภาพท่ี 2 กรอบแนวคดิ การวจิ ยั หลังทำ� การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงส�ำรวจ ทม่ี า: ผูว้ จิ ัยประยุกต์จาก แบบจ�ำลองความสำ� เร็จของระบบสารสนเทศ (Delone & Mclean, 2003) จากภาพที่ 2 กรอบแนวคิดการวิจัยหลังท�ำการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงส�ำรวจ สามารถอธิบาย ไดด้ ังนี้ จากผลการวเิ คราะห์องค์ประกอบความสำ� เร็จของระบบเทคโนโลยสี ารสนเทศดา้ นสขุ ภาพ กรณศี กึ ษา ระบบการค้นหาการบรกิ ารสขุ ภาพ มีตัวแปรสังเกตได้ 3 ตัวแปร ได้แก่ 1) ดา้ นคุณภาพเนอ้ื หาทางการแพทย์ 2) คุณภาพระบบปฏบิ ตั กิ าร 3) คุณภาพการบริการสขุ ภาพ ดา้ นคณุ ภาพเนือ้ หาทางการแพทย์ พบตัวแปรแฝง จ�ำนวน 3 ตัวแปร ได้แก่ เนื้อหาทางการแพทย์ ความถูกต้องของเน้ือหา และความสมบูรณ์ของเน้ือหา ดา้ นคณุ ภาพระบบปฏบิ ตั ิการ พบตวั แปรแฝงจำ� นวน 3 ตวั แปร ไดแ้ ก่ การออกแบบเวบ็ ไซต์ ความเปน็ สว่ นตวั และความปลอดภยั และความมนั่ คงของระบบ ดา้ นการบรกิ ารสขุ ภาพ พบตวั แปรแฝงจำ� นวน 3 ตวั แปร ไดแ้ ก่ การบริการจากแพทย์เฉพาะทาง การมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ใช้บริการ และความน่าเช่ือถือในระดับผู้เช่ียวชาญ ตามล�ำดับ อภปิ รายผล องค์ประกอบความส�ำเร็จของระบบเทคโนโลยีสารสนเทศด้านสุขภาพ กรณีศึกษา ระบบการค้นหา การบริการสุขภาพ สามารถจัดกลุ่มองค์ประกอบความส�ำเร็จของระบบเทคโนโลยีสารสนเทศด้านสุขภาพ การค้นหาการบรกิ ารสุขภาพ ได้ทัง้ หมด 3 กลุ่มองคป์ ระกอบ ตามตารางท่ี 1-4 ไดแ้ ก่ 1) องค์ประกอบดา้ น คุณภาพของเน้อื หา 2) องค์ประกอบด้านคุณภาพระบบปฏิบตั ิการ 3) องค์ประกอบด้านคณุ ภาพการบรกิ าร สขุ ภาพ จากตารางท่ี 2 พบวา่ องคป์ ระกอบดา้ นคณุ ภาพของเนอื้ หา มตี วั แปรทสี่ ำ� คญั อยู่ 3 ตวั แปร ซง่ึ มคี วามสำ� คญั 44 บณั ฑติ วทิ ยาลัย มหาวทิ ยาลัยสวนดุสิต

ตามล�ำดับดังต่อไปนี้ คือ ตัวแปรด้านคุณภาพเน้ือหาทางการแพทย์ ตัวแปรด้านความถูกต้องของเนื้อหา และตัวแปรดา้ นความสมบรู ณข์ องเนือ้ หา จากตารางท่ี 3 พบวา่ องค์ประกอบดา้ นคณุ ภาพระบบปฏิบัตกิ าร มตี ัวแปรที่ส�ำคัญอยู่ 3 ตัวแปร ซึง่ มคี วามส�ำคญั ตามลำ� ดบั ดังตอ่ ไปนี้ ตวั แปรด้านการออกแบบเวบ็ ไซต์ ตวั แปร ดา้ นความเปน็ สว่ นตวั และความปลอดภยั ตวั แปรดา้ นความมนั่ คงของระบบ จากตารางที่ 4 พบวา่ องคป์ ระกอบ ดา้ นคณุ ภาพการบรกิ ารสุขภาพ มีตัวแปรท่ีสำ� คญั อยู่ 3 ตัวแปร ซงึ่ มคี วามสำ� คญั ตามล�ำดบั ดงั ต่อไปนี้ ตัวแปร ด้านการบริการจากแพทย์เฉพาะทาง ตัวแปรดา้ นการมปี ฏิสมั พนั ธ์กับผู้ใชบ้ รกิ าร ตัวแปรดา้ นความน่าเชอ่ื ถือ ในระดับผ้เู ช่ียวชาญ โดยทง้ั 3 องคป์ ระกอบดังกลา่ วมคี วามสอดคลอ้ งกบั งานวิจยั ของ Hossain (2016) และ สามารถสรุปเป็นกรอบแนวคิดการวิจัยหลังท�ำการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงส�ำรวจได้ตามภาพที่ 2 และเม่ือ เปรียบเทียบกับงานวิจัยดา้ นความส�ำเรจ็ ของเทคโนโลยีสารสนเทศดา้ นสุขภาพ ระบบ iHeath ของ Zakaria (2017) พบว่า มีความสอดคลอ้ งกนั ในมมุ มองด้านคุณภาพเนอื้ หาทางการแพทย์ โดย Zakaria ใหค้ วามส�ำคญั กบั คณุ ภาพเนอ้ื หา ความถกู ตอ้ งของขอ้ มลู และความสมบรู ณข์ องเนอื้ หา ตามลำ� ดบั ในสว่ นของตวั แปรทส่ี ำ� คญั ทส่ี ดุ ขององคป์ ระกอบด้านคุณภาพของระบบปฏบิ ตั ิการ คอื การออกแบบเวบ็ ไซต์ ตามด้วยความเปน็ ส่วนตัว และความปลอดภยั และความม่ันคงของระบบ ตามลำ� ดบั แตกต่างจากงานวจิ ัยเร่อื ง ประสิทธภิ าพการใชง้ าน ระบบข้อมูลด้านสุขภาพของ Sebetci (2018) ท่ีมีการให้ความส�ำคัญของคุณภาพระบบปฏิบัติการในด้าน ความมน่ั คงระบบมาเปน็ อนั ดบั แรก การออกแบบเวบ็ ไซตเ์ ปน็ อนั ดบั ทส่ี อง และมมุ มองดา้ นการบรกิ ารสขุ ภาพ มกี ารใหค้ วามสำ� คญั ดา้ นการบรกิ ารจากแพทย์เฉพาะทาง เป็นอันดับแรก สอดคลอ้ งกบั งานวจิ ยั ของ Wiley, Souba, Chris, Haluck & Melvyn (2001) ท่ใี หค้ วามสำ� คัญด้านการบรกิ ารจากแพทย์เฉพาะทางเปน็ อนั ดับ แรกต่อมุมมองด้านการบริการสุขภาพ จากการวิเคราะห์ปัจจัย (Factor Analysis) และตัวแปรที่ได้จาก การวเิ คราะหท์ างคา่ สถติ สิ ามารถนำ� ไปเปน็ พนื้ ฐานในการประเมนิ ระดบั ความสำ� คญั ในการพฒั นาระบบเทคโนโลยี สารสนเทศด้านสุขภาพของระบบการค้นหาการบริการสุขภาพและน�ำไปสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ของธุรกิจ การบริการด้านสขุ ภาพในอนาคตไดต้ อ่ ไป ขอ้ เสนอแนะ องค์กร และผดู้ แู ลระบบการค้นหาการบรกิ ารสขุ ภาพควรใหค้ วามสำ� คญั ต่อองค์ประกอบในทกุ ๆ มติ ิ โดยการพัฒนาคุณภาพของเน้ือหา คุณภาพของระบบปฏิบัติการ และคุณภาพของการให้บริการ ให้มี ประสิทธิภาพ โดยให้ความส�ำคัญในการพัฒนาระบบตามล�ำดับตัวแปรที่มีความส�ำคัญมากที่สุด ดังน้ี 1) มิติ ด้านคุณภาพของเน้ือหา ควรมีการพัฒนาด้านเน้ือหาทางการแพทย์เป็นล�ำดับแรกให้มีความเข้าใจง่าย มีการอธิบายให้รายละเอียดท่ีชัดเจน ครบถ้วน 2) มิติด้านคุณภาพระบบปฏิบัติการ ควรเน้นไปที่ด้าน การออกแบบเว็บไซต์ ให้ดูเรียบง่าย มีการแบ่งข้อมูลหมวดหมู่ที่ชัดเจนเพื่อให้ผู้ใช้บริการใช้งานได้ง่ายข้ึน ไม่เกิดความสับสนในการค้นหาข้อมูล 3) มิติด้านการบริการสุขภาพ ควรให้ความส�ำคัญกับการบริการจาก แพทยเ์ ฉพาะทางเปน็ ลำ� ดบั แรก โดยการใหข้ อ้ มลู แพทยท์ เี่ หมาะสมกบั โรคและกลมุ่ ผใู้ ชบ้ รกิ ารใหไ้ ดร้ บั คำ� แนะนำ� ทถ่ี กู ต้องตามความตอ้ งการของผูใ้ ช้บรกิ ารรายบคุ คล ซึ่งองค์ประกอบต่าง ๆ เป็นองค์ประกอบที่มีความส�ำคัญต่อการพัฒนาระบบการค้นหาการบริการ สุขภาพ และเป็นพ้ืนฐานในการพัฒนาผลติ ภณั ฑก์ ารบริการด้านเทคโนโลยีสขุ ภาพต่อไป ปที ่ี 16 ฉบบั ท่ี 1 ประจ�ำ เดือนมกราคม - เมษายน 2563 45

เอกสารอ้างอิง กองสขุ ภาพระหวา่ งประเทศ. (2561). สถานพยาบาลทว่ั ประเทศทผ่ี า่ นมาตรฐานสากล. [Online]. Available: http://www.thaiembassy.org/yangon/ [2562, มกราคม 3]. คณวฒั น์ จนั ทรลาวณั ย.์ (2560). เปดิ ตวั ‘สตารท์ อพั สขุ ภาพ’ หนนุ ไทยเปน็ ‘ศนู ยก์ ลางการแพทยเ์ อเชยี -โลก. [Online]. Available: http://www.hfocus.org/content/2017/07/14198 [2562, มกราคม 3]. ศูนย์วจิ ัยกสิกรไทย. (2561). Medical Tourism ยังโตต่อเนอ่ื ง เปิดโอกาสโรงพยาบาลเอกชนขยายฐาน ลกู ค้าตา่ งชาติ. [Online]. Available: https://www.kasikornbank.com/th/business/sme/ KSMEKnowledge/article/KSMEAnalysis/Documents/HotelTourGrowthTourismTrend [2562, มกราคม 5]. Ahadzadeh, A. S. (2017). Online health information seeking among women: the moderating role of health consciousness. Elsevier: 58-71. American Academy of Orthopedic Surgeons. (2018). How do I Develop a Workflow for Data Capture. [Online]. Available: http://www.ajrr.net/enroll-with-us/all-about-the- data/101-patient-reported-outcomes/531-develop-workflow-data-capture [2019, January 5]. Chang, M. Y. (2014). Exploring user acceptance of an e-hospital service: An empirical study in Taiwan. Elsevier, 38: 35-43. Delone & Mclean. (2003). The DeLone and McLean Model of Information Systems Success: A Ten-Year Update. Journal of Management Information Systems: 9-30. Dunnebeila, S. (2012). Determinants of physicians’ technology acceptance for e-health in ambulatory care. Elsevier, 81: 746-760. Hair, J. F. Jr., Anderson, R. E., Tatham, R. L. & Black W. C. (1998). Multivariate data analysis: 5-15. Hossain, M. A. (2016). Assessing m-Health success in Bangladesh an empirical investigation using IS success models. Journal of Enterprise Information Management: 774-796. Krejcie & Morgan. (1970). Determining Sample Size for Research Activities. Educational and Psychological Measurement, 30: 607-610. Sebetci, O. (2018). Enhancing end-user satisfaction through technology compatibility: An assessment on health information system. Elsevier: 1-10. Teresa, W. & Malay, G. (2015). Digital Health Consumer Adoption: 2015. [Online]. Available: https://rockhealth.com/reports/digital-health-consumer-adoption-2015/ [2019, January 9]. 46 บณั ฑติ วทิ ยาลัย มหาวิทยาลยั สวนดุสิต

Venkatesh, V. & Davis, F. D. (2000). A Theoretical Extension of the Technology Acceptance Model: Four Longitudinal Field Studies. Management Science, 46: 169-332. Wiley, W. Souba, Chris, A. Haluck & Melvyn, A. J. (2001). Marketing strategy: An essential component of business development for academic health centers. The American Journal of Surgery, 181: 105-114. Wu, I. L. (2011). The adoption of mobile healthcare by hospital’s professionals. Elsevier, 51: 587-596. Zakaria, N. (2017). Success factors in developing iHeart as a patient-centric healthcare system. Elsevier, 35: 753-775. คณะผู้เขยี น นางสาวพัทธนันท์ มารียาห์ แสงกหุ ลาบ วิทยาลยั นวัตกรรม มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ ท่าพระจนั ทร์ เลขที่ 2 ถนนพระจนั ทร์ แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร 10200 e-mail: [email protected] ผ้ชู ่วยศาสตราจารย์ ดร. อัญณิฐา ดษิ ฐานนท์ วทิ ยาลยั นวัตกรรม มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ เลขท่ี 2 ถนนพระจันทร์ แขวงพระบรมมหาราชวงั เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร 10200 e-mail: [email protected] ปที ่ี 16 ฉบับที่ 1 ประจำ�เดอื นมกราคม - เมษายน 2563 47



สภาพและลักษณะการท�ำประชาคมชมุ ชนตามแนวทางการมสี ว่ นร่วม และตามหลักการทางกฎหมายของเทศบาลนครขอนแกน่ The Conditions and Attributes of a Community Stage under the Participative Approach and Principles of Law of Khon Kaen Municipality ธนกฤต เกตสุ ทิ ธ์ิ* และศริ ิศกั ด์ิ เหล่าจนั ขาม วทิ ยาลัยการปกครองท้องถนิ่ มหาวิทยาลัยขอนแก่น Thanakit Getsit* and Sirisak Laochankham College of Local Administration, Khon Kaen University Received: August 5, 2019 Revised: August 29, 2019 Accepted: September 19, 2019 บทคดั ย่อ งานวิจัยนี้มุ่งศึกษาสภาพและลักษณะการท�ำประชาคมในกระบวนการจัดท�ำแผนพัฒนาท้องถิ่นของ เทศบาลนครขอนแกน่ และเปรยี บเทยี บความสอดคลอ้ งของลกั ษณะการทำ� ประชาคมทเ่ี ทศบาลนครขอนแกน่ ทำ� อยกู่ บั กฎหมายทเี่ กย่ี วขอ้ ง โดยเกบ็ ขอ้ มลู จากการสมั ภาษณเ์ ชงิ ลกึ แบบกง่ึ โครงสรา้ งจากผใู้ หข้ อ้ มลู หลกั โดย การเลือกแบบจ�ำเพาะเจาะจง ไดแ้ ก่ บุคลากรของเทศบาลทรี่ บั ผิดชอบในการจดั ทำ� ประชาคม และประชาชน ทเ่ี ขา้ รว่ มในการจดั ทำ� ประชาคมทม่ี ที อี่ ยอู่ าศยั ในเขตเทศบาลนครขอนแกน่ ขอ้ มลู ทไี่ ดจ้ ากการสมั ภาษณน์ ำ� มา วิเคราะหด์ ้วยการตีความ คน้ หาประเดน็ กำ� หนดประเด็น และนำ� มาเปรียบเทียบหาความสอดคล้องกบั หลัก การมสี ว่ นร่วม หลกั การทำ� ประชาคม และกฎหมายท่ีเกีย่ วข้อง ผลการวจิ ยั พบวา่ สภาพและลกั ษณะการทำ� ประชาคมของเทศบาลนครขอนแกน่ ด�ำเนินการสอดคล้องกบั หลกั การทำ� ประชาคม หลักการมสี ว่ นรว่ ม และ การทำ� ประชาคมของเทศบาลนครขอนแกน่ สอดคลอ้ งกบั หลกั การทกี่ ฎหมายกำ� หนด โดยเจา้ หนา้ ทข่ี องเทศบาล ทปี่ ฏิบตั งิ านดา้ นประชาคมชุมชน มีความรูค้ วามเข้าใจดีเก่ยี วกบั ข้นั ตอน ระเบยี บปฏบิ ตั ิ ความหมาย หลกั การ การทำ� ประชาคมและการมสี ว่ นรว่ มของประชาชน อยา่ งไรกต็ าม ยงั มขี อ้ คน้ พบวา่ ประชาชนทเ่ี ขา้ มามสี ว่ นรว่ ม ในการจดั ทำ� ประชาคมอาจไมไ่ ดเ้ ขา้ มารว่ มโดยธรรมชาติ การเขา้ มามสี ว่ นรว่ มของประชาชนในการทำ� ประชาคม ด�ำเนินการและขับเคลื่อนโดยเทศบาลผ่านกลไกของประธานชุมชน และประชาชนบางส่วนยังขาดความรู้ ความเขา้ ใจทถี่ กู ตอ้ งในกระบวนการทำ� ประชาคม ทางเทศบาลจงึ ควรเสรมิ สรา้ งความรเู้ ขา้ ใจในการมสี ว่ นรว่ ม ในการท�ำประชาคมให้แก่ประชาชนให้มากยิ่งข้ึนและเพ่ิมช่องทางที่หลากหลายในการเข้าถึงการมีส่วนร่วม สำ� หรบั ประชาชนทุกสาขาอาชพี และกลุ่มวยั คำ� ส�ำคญั : การประชาคม การมีสว่ นร่วม เทศบาลนครขอนแก่น ปีที่ 16 ฉบบั ท่ี 1 ประจำ�เดือนมกราคม - เมษายน 2563 49 * ธนกฤต เกตสุ ทิ ธ์ิ (Corresponding Author) e-mail: [email protected]

Abstract This research was aimed to study the conditions and attributes of a community stage in the process of the local development planning of the Khon Kaen Municipality and to compare the concordance between the community stage that the Khon Kaen Municipality had established and related laws. The research employed the semi-structured in-depth interviews to collect data from the key informants selected by purposive sampling. The key informants included personnel of the municipality who were responsible for establishing the community stage and people who participated in the community stage and had the residence in Khon Kaen Municipality. The data from the interviewing was analyzed by interpreting, finding issues, determining issues and comparing issues to explore the consistency with the participation principles, the community stage principles and relevant laws. The research results revealed that the condition and attributes of the community stage of Khon Kaen Municipality were executed in accordance with the principles of community stage and participative approach. Moreover, the community stage operation of Khon Kaen Municipality was consistent with the following principles prescribed by law, The municipality officers who operated in the community stage process had good knowledge and understanding about the procedures, the regulations, the definitions, the principles of the community stage operation and public participation. However, the findings indicated that people with participation in the community stage might not participate perceptively. The participation of the people in the community stage operations was carried out and driven by the municipality through the mechanism of the community president. Some people still lacked the correct knowledge and understanding in process of the community stage, therefore the municipality should enhance more knowledge and understanding of public participation in the community stage to people and expand various accesses to participation for all kinds of people. Keywords: Community Stage, Public Participation, Khon Kaen Municipality บทน�ำ ประชาธิปไตย ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 (ราชบณั ฑติ ยสถาน, 2525) เปน็ ระบบการปกครองท่ียึดถือหลักการมีส่วนร่วมและยึดเสียงส่วนใหญ่ของประชาชนในการตัดสินใจในกิจกรรม การเมืองและกิจการสาธารณะ ซ่ึงการท่ีจะบ่งบอกว่าสังคมการเมืองนั้นเป็นประชาธิปไตยหรือไม่ สามารถ แสดงออกได้หลากหลายรูปแบบวิธีการหน่ึงที่เป็นที่นิยมและยอมรับกัน คือ การประชาคมเพ่ือเปิดโอกาสให้ 50 บัณฑติ วิทยาลยั มหาวทิ ยาลยั สวนดสุ ติ

ประชาชนมีส่วนร่วม ดังน้ัน ในระดับชุมชนกระบวนการประชาคมจึงเป็นกิจกรรมที่ส�ำคัญอย่างหนึ่งใน การส่งเสริมการเป็นประชาธิปไตยในชุมชน เป็นกระบวนการสร้างการมีส่วนร่วมให้กับพลเมืองได้มีโอกาส ในการถกเถยี ง ซกั ถาม และตดั สนิ ใจในประเดน็ สาธารณะตา่ ง ๆ โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ การรว่ มตดั สนิ ใจในนโยบาย สาธารณะทมี่ ผี ลตอ่ ชมุ ชนและประชาชนในระดบั ทอ้ งถน่ิ สำ� หรบั มลู เหตขุ องงานวจิ ยั นเ้ี กดิ จากผวู้ จิ ยั ไดม้ โี อกาส เข้าร่วมประชุมเชิงปฏิบัติการเพ่ือจัดท�ำแผนพัฒนาเทศบาลอย่างมีส่วนร่วม ประจ�ำปีงบประมาณ 2561 ภายใต้แผนพัฒนาท้องถ่ินสี่ปี ซ่ึงกิจกรรมส�ำคัญในการประชุมคร้ังน้ัน คือ การท�ำประชาคม ในวันท่ี 24 กรกฎาคม 2561 ณ โรงแรมพูลแมน ขอนแก่น ราชา ออคิด จังหวัดขอนแก่นจัดโดยเทศบาลนครขอนแกน่ และในระหว่างการเข้าประชุมผู้วิจัยตั้งข้อสังเกตว่าโครงการพัฒนาท้องถ่ินที่เทศบาลนครขอนแก่นท่ีก�ำลัง ด�ำเนินการอยู่จะมีการปรับแผนและโครงการบริการสาธารณะเหล่าน้ันล้วนส�ำคัญต่อการพัฒนาชุมชนและ มกี ารใชจ้ ่ายงบประมาณตา่ ง ๆ การจัดทำ� ประชาคมในครั้งนน้ั ยังปรากฏเปน็ ข้อสงั เกตวา่ ประชาชนทเ่ี ขา้ รว่ ม ในการประชาคมส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนสูงวัย และสังเกตได้ว่าวันท่ีจัดการประชาคมก�ำหนดเอาวันและเวลาที่ อยู่ในช่วงวันและเวลาราชการซึ่งห้วงเวลาที่จัดอาจท�ำให้ประชาชนท่ีสนใจแต่อาจติดภารกิจอื่นไม่สามารถเข้า ร่วมรบั ฟงั การประชาคมในคร้งั นไ้ี ด้ ดังนั้น ความสำ� คญั ของการทำ� ประชาคม จงึ ไมใ่ ช่เป็นเพียงกจิ กรรมทางการเมืองท่เี ชญิ คนมารว่ มกัน และรับฟังส่ิงที่หน่วยของรัฐต้องการจะสื่อสาร แต่ควรเป็นพื้นท่ีที่หน่วยงานของรัฐจัดข้ึนเพ่ือเปิดรับฟัง ความคดิ เหน็ และนำ� เอามตขิ องการประชมุ นน้ั ไปกำ� หนดเปน็ แนวนโยบายหรอื ปรบั ปรงุ นโยบาย (ประเวศ วะส,ี 2536) ตามหลักการแล้วประชาชนจะต้องมีส่วนร่วมในทุก ๆ ข้ันตอน (ปวีณา วีรยางกูร, 2554) เน่ืองจาก การจัดท�ำประชาคมและผลของมติการท�ำประชาคมนั้นมีผลกระทบเก่ียวข้องกับประชาชนในพื้นท่ีโดยตรง ประชาชนจึงต้องเป็นส่วนหน่ึงในกระบวนการได้มาซึ่งประเด็นทางนโยบายอันเกิดจากการมีส่วนร่วมใน การตัดสินใจและการตัดสินใจนั้นอยู่บนพื้นฐานของเสียงส่วนใหญ่ของประชาชนอันเป็นรากฐานส�ำคัญของ ประชาธิปไตย (Robert A. Dahl, 1998) และท้ายทสี่ ดุ ผลของการตัดสินใจครัง้ น้ี กจ็ ะเป็นหนา้ ท่ขี องเทศบาล นครขอนแก่นที่จะน�ำเข้าสู่กระบวนการเสนอ สภาท้องถิ่นเพื่อเห็นชอบและประกาศเป็นเทศบัญญัติต่อไป ดว้ ยความสำ� คญั และปรากฏการณท์ เี่ กดิ ขน้ึ ผวู้ จิ ยั จงึ สนใจจะศกึ ษาสภาพและลกั ษณะของการทำ� ประชาคมชมุ ชน ที่เทศบาลด�ำเนินการอยู่ว่าสอดคล้องตามหลักการมีส่วนร่วมในการท�ำประชาคมและสอดคล้องตามกฎหมาย ทเ่ี ก่ยี วขอ้ งก�ำหนดไว้หรอื ไม่หากจะท�ำใหส้ อดคล้องกบั หลักการและกฎหมายแล้วควรมแี นวทางอย่างไร วัตถุประสงค์ 1. เพ่ือศึกษาสภาพการท�ำประชาคมในกระบวนการจัดท�ำแผนพัฒนาท้องถ่ินของเทศบาล นครขอนแก่น 2. เพือ่ ศึกษาลักษณะการมีส่วนร่วมในการท�ำประชาคมกบั หลกั การมสี ่วนร่วม 3. เพ่อื ศกึ ษาการทำ� ประชาคมท่เี กดิ ขน้ึ กับหลกั การตามทกี่ ฎหมายก�ำหนด แนวคิดทฤษฎที เ่ี ก่ียวขอ้ ง งานวิจัยนี้ได้น�ำเอาแนวคิด ทฤษฎี กฎหมายที่เกี่ยวข้องมาอภิปรายเพ่ือใช้เป็นกรอบวิเคราะห์ ปที ่ี 16 ฉบับท่ี 1 ประจำ�เดอื นมกราคม - เมษายน 2563 51

ดังจะไดอ้ ธิบายตอ่ ไป หลักประชาธปิ ไตย (Democracy) หลกั ประชาธปิ ไตย (Democracy) เปน็ แนวความคดิ ดงั้ เดมิ ตง้ั แตส่ มยั กรกี โบราณ (Campbell, 2008) ที่มีการน�ำเอาความคิดเร่ืองการตัดสินใจร่วมกันมาปรับใช้ในระบบการปกครอง โดยรวมค�ำว่า Demos (ประชาชน) กบั Krates (ปกครอง) กลายเป็นคำ� วา่ Democracy หรอื ประชาธปิ ไตย ในยุครฐั ชาตสิ มยั ใหม่ Robert A. Dahl (1998) นักวชิ าการด้านประชาธิปไตยไดใ้ หค้ วามหมายของประชาธปิ ไตย ว่า 1. การมสี ว่ นร่วมอยา่ งมีประสทิ ธิภาพ การไดร้ บั ความรว่ มมือจากทกุ ภาคสว่ น 2. ทกุ เสยี งตอ้ งมคี วามเทา่ เทยี มกนั โดยทที่ กุ คนไมว่ า่ จะมคี วามแตกตา่ งกนั ในฐานะทางดา้ นเศรษฐกจิ อยา่ งไร เสยี งของประชาชนแต่ละคนต้องมีความเทา่ เทียมกนั 3. นำ� เสนอทางเลอื กและผลของทางเลอื กนน้ั โดยมกี ารนำ� เสนอแนวทางทหี่ ลากหลายใหเ้ ลอื ก มเี หตุ และผลมาอธบิ ายเพ่อื ใหไ้ ด้แนวทางทีด่ ีทสี่ ุด 4. เสียงข้างมากถือเป็นท่ีสดุ เป็นการยอมรบั เอาขอ้ ตกลงของประชาชนสว่ นใหญ่ 5. ประชาชนมีส่วนร่วมในทุกข้ันตอน โดยท่ีประชาชนสามารถควบคุมผู้น�ำได้ ผู้น�ำจะไม่สามารถใช้ อทิ ธิพลครอบง�ำประชาชน การปกครองเนน้ การมีสิทธิ เสรีภาพที่เสมอภาคกนั ของพลเมือง จงึ สรปุ ไดว้ ่า ประชาธปิ ไตย คือ การถือมติของประชาชนส่วนใหญ่เป็นศนู ยก์ ลาง ซ่ึงประชาชนทุกคน มสี ทิ ธิ เสรภี าพเทา่ เทยี มกนั อยา่ งไรกต็ ามถงึ แมป้ ระชาธปิ ไตยนยิ มถอื มตขิ องประชาชนเสยี งสว่ นมากแตก่ ต็ อ้ ง ไมก่ ระทบตอ่ เสยี งส่วนนอ้ ย ซ่ึงกจิ กรรมการสรา้ งการมสี ่วนร่วมและการท�ำประชาคมกเ็ ป็นส่วนหนึง่ ทีบ่ ง่ บอก ถึงความเป็นประชาธปิ ไตยในสังคมการเมอื งนั้น ๆ หลกั การมีส่วนร่วม ในมิตขิ องการมสี ว่ นรว่ มของประชาชน James L. Creighton (อา้ งถึงใน วนั ชยั วัฒนศัพท์, 2535) มองวา่ “กระบวนการมสี ว่ นรว่ มของประชาชนเป็นกระบวนการสอื่ สารสองทางทม่ี เี ป้าหมายโดยรวมเพื่อที่จะ ใหเ้ กดิ การตดั สนิ ใจดขี น้ึ และไดร้ บั การสนบั สนนุ จากสาธารณชน” โดยเปา้ หมายของการมสี ว่ นรว่ มของประชาชน คือ การให้ข้อมูลต่อสาธารณชนและให้สาธารณชนแสดงความคิดเห็นต่อโครงการหรือนโยบายของรัฐ และ มีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหา นอกจากนั้น ปวีณา วีรยางกูร (2554) ก็ไดใ้ หค้ วามหมายของการมีสว่ นรว่ มวา่ เปน็ การดำ� เนนิ การ ของบุคคลท่ีเข้าไปมสี ่วนร่วมในการคิด วางแผน ปฏบิ ัติ ประเมินผล จนไดร้ บั ผลประโยชนต์ ่าง ๆ จากกิจกรรม ใดกิจกรรมหนงึ่ ทีจ่ ัดท�ำขน้ึ โดยองค์กรใดองคก์ รหนึ่ง หรือหนว่ ยงานใดหน่วยงานหนง่ึ ทรี่ ว่ มกนั ดำ� เนินการเปน็ กระบวนการ ทุกขั้นตอนมีความรับผิดชอบและผลประโยชน์จากการด�ำเนินงานอย่างเท่าเทียมกัน จากที่ได้ กล่าวถึงความหมายของการมีส่วนร่วมตอ่ ไปจะขอกล่าวถึงระดับของการมสี ่วนร่วม ซง่ึ Cohen and Uphoff (1977) ไดก้ ำ� หนดระดับของการมีส่วนรว่ มไว้ 4 ระดบั คือ 1. การมสี ว่ นรว่ มในการตดั สนิ ใจ (Decision Making) คอื ประชาชนสามารถทจี่ ะกำ� หนดความตอ้ งการ ของตนเองได้ 2. การมีส่วนร่วมในการด�ำเนินการ (Implementation) คือ ประชาชนสามารถท่ีจะมีส่วนร่วมใน การดำ� เนนิ งาน จากทไ่ี ดต้ ดั สินใจร่วมกันไปเพอื่ ใหเ้ กดิ ประโยชนส์ าธารณะ 52 บณั ฑิตวทิ ยาลัย มหาวทิ ยาลัยสวนดสุ ติ

3. การมีส่วนร่วมในการรับผลประโยชน์ (Benefit) คือ นโยบายที่ได้ตัดสินใจที่จะด�ำเนินการนั้น ประชาชนจะต้องมสี ิทธไิ ดร้ บั ประโยชน์ 4. การมสี ว่ นรว่ มในการประเมนิ ผล (Evaluation) คอื ประชาชนสามารถทจ่ี ะตดิ ตามตรวจสอบ แกไ้ ข นโยบายตา่ ง ๆ ทีต่ ัดสินใจรว่ มกนั จากเสยี งข้างมาก รวมไปถงึ มสี ว่ นรว่ มในการรบั ผิดชอบผลกระทบทเี่ กดิ จาก การดำ� เนนิ งานและ ในสว่ นของ ถวลิ วดี บรุ กี ลุ (2551) กไ็ ดแ้ บง่ ระดบั ของการมสี ว่ นรว่ มเพม่ิ เตมิ จาก Cohen และ Uphoff ที่ไดแ้ บง่ ไว้โดยระดบั การมีสว่ นร่วมจะเร่มิ จากระดับต�ำ่ ไปมากซง่ึ มี 6 ระดบั ดังนคี้ ือ ระดับแรก การให้ข้อมูลแก่ประชาชนเก่ียวกับการตัดสินใจของผู้วางแผนจัดท�ำโครงการแต่ไม่เปิดให้ ประชาชนแสดงความคิดเหน็ เชน่ การแถลงข่าว การแจกข่าว ระดบั ที่สอง การเปิดรับฟังความคดิ เห็นของประชาชน ให้ประชาชนแสดงความคิดเหน็ เพ่ือให้ขอ้ มูล อาจจะท�ำด้วยวิธีการส�ำรวจ การบรรยายให้ประชาชนทราบแล้วรับฟังความคิดเห็นเม่ือประชาชนได้แสดง ความคดิ เห็นแล้ว ระดบั ทส่ี าม การน�ำขอ้ มูลท่ีไดจ้ ากการส�ำรวจความคดิ เห็นของประชาชน มาปรกึ ษาหารือ เจรจากัน อย่างเป็นทางการระหว่างผู้วางแผนโครงการกับประชาชน เพื่อประเมินความก้าวหน้า ข้อสงสัยต่าง ๆ เช่น การประชมุ ระดับที่ส่ี การน�ำข้อมูลที่ได้ปรึกษาหารือกันน�ำมาร่วมกันวางแผน โดยให้ประชาชนมีส่วนร่วม รับผิดชอบรว่ มกนั ในการวางแผนเตรียมโครงการ และผลทจี่ ะเกิดขึน้ จากการดำ� เนินโครงการ ระดบั ทหี่ า้ ใหป้ ระชาชนมสี ว่ นรว่ มในการปฏบิ ตั ิ โดยใหป้ ระชาชนกบั ผวู้ างแผนโครงการรว่ มกนั ปฏบิ ตั ิ ตามกรอบโครงการ เพ่ือให้บรรลตุ ามวัตถุประสงค์และ ระดบั สดุ ทา้ ย ประชาชนมสี ว่ นรว่ มในการควบคมุ เปน็ ระดบั สงู สดุ ของการมสี ว่ นรว่ ม เพอ่ื แกไ้ ขปญั หา ที่ขัดแย้ง เช่น การลงประชามติ นอกจากนั้นการที่ประชาชนจะเข้าไปมีส่วนร่วมได้จะต้องประกอบด้วย องค์ประกอบเหล่าน้ีอันเป็นเง่ือนไขพ้ืนฐานของการมีส่วนร่วมของประชาชน (ถวิลวดี บุรีกุล, 2551) คือ 1) อสิ รภาพ คอื ประชาชนมอี สิ รภาพทจ่ี ะสามารถเขา้ รว่ มกจิ กรรม หรอื ไมเ่ ขา้ รว่ มกจิ กรรมกไ็ ด้ ดว้ ยความสมคั รใจ 2) ความเสมอภาค คือ ประชาชนท่ีเข้าร่วมในกิจกรรมใด ต้องมีสิทธิเท่าเทียมกับผู้เข้าร่วมคนอ่ืน ๆ เช่น ประชาชนคนอ่ืนมีสิทธิแสดงความคิดเห็นได้ เราก็สามารถที่จะแสดงความคิดเห็นนั้นได้เช่นกัน และ 3) ความสามารถ คอื ประชาชนหรอื กลมุ่ ตอ้ งมคี วามสามารถทจี่ ะเขา้ รว่ มในกจิ กรรมนนั้ ๆ หมายถงึ วา่ ประชาชน ทกุ คนมสี ทิ ธทิ จ่ี ะเขา้ รว่ มในกจิ กรรม แตบ่ างกจิ กรรมมคี วามซบั ซอ้ นเกนิ ความสามารถของประชาชนทเี่ ขา้ รว่ ม จึงท�ำใหเ้ กิดการมีสว่ นร่วมไมไ่ ด้ จงึ สรปุ ได้ว่า หลกั การมีส่วนร่วม เปน็ หลกั การพนื้ ฐานในกระบวนการทางสงั คม ท่ีเป็นส่วนประกอบ ของประชาธิปไตย ที่มีจุดประสงค์สร้างการมีส่วนร่วมของประชาชน เป็นกระบวนการหน่ึงในการสร้าง ความรว่ มมอื ระหวา่ งประชาชนกบั องคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถน่ิ ทตี่ อ้ งเปดิ โอกาสใหป้ ระชาชนมสี ว่ นรว่ มในการรบั รู้ ขอ้ มลู ขา่ วสาร แสดงความคดิ เหน็ มสี ว่ นรว่ มในการปฏบิ ตั ดิ ำ� เนนิ งาน ตรวจสอบ รบั ผดิ ชอบในผลกระทบทเ่ี กดิ ขน้ึ และไดร้ บั ผลประโยชนจ์ ากการดำ� เนินงานหรือโครงการ โดยการมสี ว่ นร่วมประชาชนตอ้ งมีความสมัครใจ ด้วยตนเอง มีอิสรภาพทางด้านความคิด ไม่ถูกชักจูงหรือถูกครอบง�ำ มีความสามารถในการมีส่วนร่วมอย่าง ปีท่ี 16 ฉบบั ที่ 1 ประจ�ำ เดือนมกราคม - เมษายน 2563 53

เต็มท่ีตามศักยภาพของตน ท�ำให้เกิดฉันทามติ ง่ายต่อการน�ำไปปฏิบัติ จากที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่าสังคมใดท่ี ปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยจะต้องเปิดโอกาสให้ประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วม ล�ำดับต่อไปจะได้กล่าว ถงึ หลักการทำ� ประชาคม ซง่ึ เป็นกระบวนการหน่งึ ในการสรา้ งการมีส่วนร่วมในการตดั สินใจของประชาชน หลักการทำ� ประชาคม ประชาคม ตามความหมายในพจนานกุ รม ฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. 2554 ไดอ้ ธบิ ายวา่ เปน็ ชมุ ชน หรือกลุม่ ชนซ่ึงอยูร่ วมกนั และมีการตดิ ตอ่ สมั พันธ์กัน นอกจากน้ี นีรนชุ ฉวีนวล (2552) ก็ไดส้ รุปความหมาย ของประชาคม วา่ กล่มุ คน หรอื กลุ่มชมุ ชน ทีอ่ าศัยอยรู่ วมกันในแตล่ ะพน้ื ที่ มคี วามรสู้ ึกผกู พัน เปน็ เจ้าของใน พน้ื ทน่ี น้ั ๆ โดยมวี ตั ถปุ ระสงคร์ ว่ มกนั ทจ่ี ะสรา้ งกระบวนการแลกเปลย่ี นเรยี นรรู้ ว่ มกนั ในการพฒั นาชมุ ชนของ ตนเอง ตอ่ มา ประเวศ วะสี (2536) ไดข้ ยายความในมติ ทิ เี่ กย่ี วขอ้ งกบั ภาครฐั วา่ การประชาคม คอื การสนบั สนนุ ให้คนในสงั คมรวมตัวกนั เปน็ กลมุ่ เพอื่ ดแู ลตนเองและจดั ทำ� กจิ กรรมตา่ ง ๆ เพือ่ ประโยชนข์ องชุมชน กลุ่ม หรือ องคก์ รของตน เพอ่ื จะทำ� ใหเ้ กดิ การพฒั นาทยี่ ง่ั ยนื โดยไดร้ บั การรว่ มมอื และสนบั สนนุ จากภาครฐั โดยการจดั ทำ� ประชาคมแบง่ ลกั ษณะออกเปน็ 2 ลกั ษณะ คอื 1) การจัดทำ� ประชาคมอยา่ งเป็นทางการ เป็นการจัดเวทีหรือการจัดประชมุ 2) การจดั ทำ� ประชาคมอย่างไม่เปน็ ทางการ เปน็ การสนทนากลุ่มเลก็ ๆ เชน่ ในศาลาวดั การพบปะ พูดคุยอาจเป็นครงั้ คราว ดงั น้ัน ประชาคม จึงเปน็ การรวมตัวของคนในชมุ ชน เพื่อร่วมกันทำ� กิจกรรมต่าง ๆ ของชุมชนดว้ ย ตนเอง เชน่ การแกไ้ ขปญั หาชมุ ชน การวางแผนพัฒนาชุมชน การก�ำหนดข้อตกลงรว่ มกันโดยกระบวนการมี สว่ นรว่ มของประชาชนทมี่ วี ตั ถปุ ระสงคห์ รอื สนใจในเรอ่ื งเดยี วกนั เปน็ การรวมตวั กนั ตามสถานการณห์ รอื สภาพ ปัญหาท่ีเกิดข้ึน โดยไม่มีใครสั่ง ไม่มีกฎหมายเฉพาะรองรับเพราะประชาคมเป็นกิจกรรมทางสังคม ที่คนใน ชมุ ชนมารวมตวั กนั ดว้ ยจติ สำ� นกึ ทต่ี อ้ งการแกไ้ ขปญั หาของชมุ ชน ความคดิ สรา้ งสรรคท์ จ่ี ะทำ� สงิ่ ใดสงิ่ หนง่ึ เชน่ เรอ่ื งเศรษฐกจิ ของชมุ ชน เรอ่ื งการวา่ งงาน ปญั หายาเสพตดิ เรอ่ื งขนาดนำ้� ทำ� นา เรอ่ื งการปลกู พชื ปลอดสารพษิ เร่ืองสิทธิ หน้าที่ ความเสมอภาค เร่ืองการดูแลและรักษาและแบ่งปันผลประโยชน์ในทรัพยากรของชุมชน ฯลฯ และไมจ่ ำ� กดั ขนาดของการรวมตวั กนั ของสมาชกิ ในชมุ ชน เพอื่ ความเจรญิ กา้ วหนา้ ของชมุ ชนหรอื ทอ้ งถน่ิ ร่วมคิด ร่วมตัดสินใจ ร่วมด�ำเนินการ และร่วมรับผิดชอบอย่างเสมอภาค เท่าเทียมกันภายใต้ขอบเขตของ กฎหมาย และศลี ธรรมอนั ดขี องสงั คม เปน็ สทิ ธขิ นั้ พนื้ ฐานของพลเมอื งตามรฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย ท�ำให้คนในชุมชนเกิดการเรียนรู้ร่วมกัน มีความรัก ความเอ้ืออาทร ผูกพันต่อกันด้วยความรู้สึกนึกคิดใน ความเปน็ เจา้ ของชมุ ชน (สมาน รนิ ทวฒุ ,ิ 2559) นอกจากจะไดท้ ราบแนวคดิ ความหมายของการทำ� ประชาคม ไปแลว้ ข้างต้นตอ่ ไปจะกลา่ วถงึ กระบวนการจดั ท�ำประชาคม ในกระบวนการการประชาคมน้ันโดยท่ัวไปสามารถแบ่งขั้นตอนในกระบวนการจัดท�ำไว้ดังนี้ (สมาน รนิ ทวุฒ,ิ 2559) ขั้นตอนแรก ก�ำหนดหัวข้อท่ีจะประชาคมให้ชัดเจน โดยหัวข้อนั้นต้องเป็นสาระส�ำคัญหรือสิ่งที่ ประชาชนให้ความสนใจ เป็นการคน้ หาปัญหา ค้นหาความคาดหวงั คน้ หาเปา้ หมายการพัฒนาของประชาชน ในชุมชน อนั เป็นประเดน็ ส�ำคญั ทจ่ี ะทำ� ใหป้ ระชาชนเขา้ ร่วมการประชาคม อาจจะเปน็ ประเด็น ด้านเศรษฐกจิ สงั คม การเมือง การปกครอง ศาสนา วฒั นธรรม รวมถงึ วถิ ีชวี ติ ความเปน็ อยูข่ องคนในชมุ ชน 54 บัณฑิตวทิ ยาลยั มหาวิทยาลัยสวนดสุ ิต

ขน้ั ตอนทสี่ อง กำ� หนดระยะเวลาและสถานทจี่ ะประชาคม เพอื่ ใหป้ ระชาชนในทอ้ งถนิ่ มเี วลาเตรยี มตวั ศกึ ษาหาขอ้ มลู ในประเดน็ การท�ำประชาคมก่อน ขั้นตอนท่ีสาม ประชาสัมพันธ์ให้ทุกคนทราบและเชิญเข้าร่วมประชาคม เพ่ือให้ประชาชนได้ทราบ และเปดิ โอกาสใหผ้ ู้ท่ีสนใจเขา้ ร่วมการประชาคม ขน้ั ตอนทสี่ ี่ จดั เตรยี มวสั ดอุ ปุ กรณแ์ ละสถานทใ่ี หพ้ รอ้ ม เพอื่ ความสะดวกและงา่ ยตอ่ การทำ� ประชาคม ขนั้ ตอนทหี่ า้ เจา้ หนา้ ทเี่ ตรยี มตวั พรอ้ มในการประชาคม โดยจะตอ้ งมกี ารปรกึ ษา พดู คยุ มกี ารวางแผน ลว่ งหนา้ รว่ มกนั หาวธิ กี ารแกไ้ ขปญั หาเฉพาะหนา้ เลอื กวธิ กี ารและเทคนคิ เพอ่ื ลดอปุ สรรคในขณะทำ� กจิ กรรม ประชาคมใหไ้ ดม้ ากที่สุด ขนั้ ตอนสดุ ทา้ ย ดำ� เนนิ การประชาคมตามกำ� หนดการและสรปุ ผลการประชาคม โดยมกี ารเปดิ โอกาส ให้ประชาชนที่เข้าร่วมประชาคมสามารถแสดงความคิดเห็นได้ และต้องมีการสรุปผลการประชาคมทุกครั้ง หลังจากท่ีประชาชนไดแ้ สดงความคดิ เหน็ เพอื่ ความเข้าใจไปในทศิ ทางเดยี วกนั เกิดการยอมรับจากประชาชน ส่วนใหญ่ จงึ สรปุ ไดว้ า่ การประชาคม เปน็ การชมุ นมุ กนั ของคนในสงั คมทอี่ าศยั อยใู่ นพน้ื ทใ่ี กลเ้ คยี งกนั โดยแตล่ ะ คนตา่ งมีแนวคิด ความเชื่อ ทศั นคติ วตั ถุประสงค์ อยา่ งเดยี วกนั หรอื ใกล้เคยี งกันมาตดิ ต่อสือ่ สารผา่ นการรวม เป็นกลุ่มไมว่ า่ จะเป็นทางการหรอื ไมเ่ ปน็ ทางการ ไดม้ าแลกเปล่ยี นความรู้ ความคดิ เหน็ โดยไม่มีใครส่ัง ไม่มี กฎหมายเฉพาะรองรบั เพอ่ื ใหไ้ ดแ้ นวทางทนี่ ำ� ไปสเู่ ปา้ หมายเดยี วกนั ในทางปฏบิ ตั อิ นั เปน็ ความตอ้ งการของคน ในสงั คม ดงั นั้น การมสี ่วนร่วมในการทำ� ประชาคม จึงเปน็ กระบวนการหนึง่ ทที่ ำ� ใหไ้ ด้มาของมติ ความต้องการ ของประชาชนส่วนใหญ่ ท่ีประชาชนได้เข้ามามีบทบาท มีส่วนร่วมในข้ันตอน ในกระบวนการซ่ึงผลหรือ กระบวนการเหล่านเ้ี ปน็ วิธกี ารหนงึ่ ของการเปน็ ประชาธิปไตย กฎหมายทเ่ี กี่ยวขอ้ งกับการท�ำประชาคม การมีส่วนร่วมของประชาชนได้ถูกก�ำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยหลายฉบับต้ังแต่ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ที่มีใจความส�ำคัญที่ก�ำหนดให้มีการกระจายอ�ำนาจ การปกครองไปสอู่ งคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถนิ่ ใหม้ อี ำ� นาจบรหิ ารจดั การภายในทอ้ งถน่ิ กระทง่ั รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศักราช 2560 ก็ยงั มีใจความสำ� คัญทเ่ี นน้ ให้ “รัฐพงึ ส่งเสรมิ ให้ประชาชนและชุมชนมี ความรู้ความเข้าใจท่ีถูกต้องเก่ียวกับการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และมสี ว่ นร่วมในการพฒั นาประเทศด้านตา่ ง ๆ การจดั ทำ� บรกิ ารสาธารณะทัง้ ในระดับชาตแิ ละระดบั ทอ้ งถน่ิ การตรวจสอบการใชอ้ ำ� นาจรฐั การตอ่ ตา้ นการทจุ รติ และประพฤตมิ ชิ อบ รวมถงึ การตดั สนิ ใจทางการเมอื งและ การอนื่ ๆ บรรดาทอี่ าจมผี ลกระทบตอ่ ประชาชนหรอื ชมุ ชน” จากทไี่ ดก้ ลา่ วมาแลว้ ยงั มกี ฎหมายอนื่ อกี ทกี่ ลา่ วถงึ การกระจายอ�ำนาจและใหค้ วามสำ� คญั กับการมีสว่ นร่วมของประชาชน อาทิ พระราชบญั ญัติระเบียบบริหาร ราชการแผน่ ดนิ พ.ศ. 2534 มาตรา 3/1 ท่มี ีใจความส�ำคัญว่า “การบรหิ ารราชการต้องเป็นไปเพอ่ื ประโยชน์ สขุ ของประชาชน ใหเ้ กดิ ผลสมั ฤทธต์ิ อ่ ภารกจิ ภาครฐั การกระจายภารกจิ และทรพั ยากรใหแ้ กท่ อ้ งถน่ิ กระจาย อำ� นาจการตดั สนิ ใจ และการตอบสนองความตอ้ งการของประชาชนในการปฏบิ ตั หิ นา้ ทข่ี องสว่ นราชการ ตอ้ งใช้ วิธกี ารบริหารกจิ การบ้านเมืองทดี่ ี โดยใหค้ ำ� นงึ ถงึ การมีส่วนร่วมของประชาชน การเปดิ เผยขอ้ มูล การตดิ ตาม ตรวจสอบและประเมนิ ผลการปฏบิ ตั งิ าน” แสดงวา่ พระราชบญั ญตั ริ ะเบยี บบรหิ ารราชการแผน่ ดนิ พ.ศ. 2534 ปีที่ 16 ฉบับที่ 1 ประจำ�เดอื นมกราคม - เมษายน 2563 55

ดงั กลา่ วไดใ้ หค้ วามสำ� คญั กบั ประชาชนในการมสี ว่ นรว่ มในการบรหิ ารราชการขององคก์ รภาครฐั โดยตอ้ งใชว้ ธิ ี การบริหารกิจการบ้านเมืองท่ีดี ซ่ึงหากองค์กรของรัฐจะบริหารราชการจะต้องสามารถเชื่อมโยงไปปฏิบัติให้ สอดคลอ้ งกับ พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองท่ีดีด้วย ซึ่งพระราชกฤษฎีกา ว่าดว้ ยหลักเกณฑแ์ ละวธิ ีการบรหิ ารกิจการบ้านเมืองทด่ี ี พ.ศ. 2546 ที่หมวด 1 มาตรา 6 มใี จความสำ� คัญ ก�ำหนดไว้ว่า “การบริหารกิจการบ้านเมืองท่ีดี ต้องบรรลุเป้าหมาย ดังต่อไปนี้ 1) เกิดประโยชน์สูงสุดของ ประชาชน 2) เกิดผลสัมฤทธ์ิต่อภารกิจของรัฐ 3) มีประสิทธิภาพและเกิดความคุ้มค่าในเชิงภารกิจของรัฐ 4) ไมม่ ขี นั้ ตอน การปฏบิ ตั งิ านเกนิ ความจำ� เปน็ 5) มกี ารปรบั ปรงุ ภารกจิ ของสว่ นราชการใหท้ นั ตอ่ สถานการณ์ 6) ประชาชนได้รับความอ�ำนวยความสะดวกและได้รับการตอบสนองความต้องการ 7) มีการประเมินผล การปฏบิ ัตริ าชการอย่างสม�่ำเสมอ” หากพิจารณาดูแลว้ จะพบว่าความส�ำคัญของการบรหิ ารกจิ การบ้านเมือง ทด่ี กี ย็ ังเน้นให้เกิดผลประโยชนส์ งู สุดกบั ประชาชนและให้ประชาชนมีส่วนร่วมแม้กระทัง่ เม่ือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะด�ำเนินกิจการใด ๆ จะต้องปฏิบัติให้สอดคล้องกับกฎหมายนี้ อนั เปน็ การใชบ้ งั คบั เฉพาะองคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถนิ่ และกฎหมายทวี่ า่ นี้ คอื ระเบยี บของกระทรวงมหาดไทย วา่ ดว้ ย การจดั ทาํ แผนพฒั นาขององคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถน่ิ (ฉบบั ที่ 2) พ.ศ. 2559 ทไ่ี ดม้ กี ารกำ� หนดใหอ้ งคก์ ร ปกครองส่วนท้องถิ่นในการด�ำเนินการจัดท�ำแผนพัฒนาท้องถ่ินจะต้องให้ประชาชนในท้องถ่ินได้เข้ามามี ส่วนร่วม ดังใจความส�ำคัญข้อ 17 (1) “เวลาท่ีองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินจะจัดท�ำแผนพัฒนาท้องถิ่น คณะกรรมการพัฒนาท้องถิ่นต้องจัดประชาคมท้องถ่ิน เพื่อแจ้งแนวทางการพัฒนาท้องถิ่น รับทราบปัญหา ความตอ้ งการ โดยนำ� ข้อมลู พน้ื ฐานจากหมบู่ า้ นหรือชุมชนมาพจิ ารณาประกอบ” ดงั นัน้ การทีอ่ งคก์ รปกครองส่วนทอ้ งถิ่นไดร้ ับอ�ำนาจจากการกระจายอำ� นาจการบรหิ ารราชการจาก สว่ นกลางมา จะตอ้ งบรหิ ารราชการเปน็ ไปเพอ่ื ประโยชนส์ ขุ ของประชาชน ตามวธิ กี ารบรหิ ารกจิ การบา้ นเมอื ง ทีด่ ี โดยใหป้ ระชาชนมีสว่ นรว่ ม แลว้ ในการจัดทำ� แผนพฒั นาทอ้ งถน่ิ ตา่ ง ๆ จะตอ้ งมที �ำประชาคมในทอ้ งถิ่น โดยให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม เพื่อให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการ แผ่นดิน พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองท่ีดี และระเบียบกระทรวง มหาดไทยวา่ ด้วยการจัดท�ำแผนพัฒนาทอ้ งถิ่นอันเป็นไปตามข้อก�ำหนดของกฎหมาย กรอบแนวคิด จากค�ำถามการวิจัยท่ีว่า “สภาพและลักษณะการมีส่วนร่วมในการท�ำประชาคมของเทศบาลนคร ขอนแกน่ เปน็ ไปตามหลักการและกฎหมายทเี่ กีย่ วข้องหรือไม่ หากจะทำ� ให้สอดคลอ้ งกับหลกั การมีสว่ นรว่ ม ในการทำ� ประชาคมและกฎหมายทเ่ี กยี่ วขอ้ งแลว้ ควรมแี นวทางอยา่ งไร” ผวู้ จิ ยั จงึ ไดก้ ำ� หนดกรอบในการศกึ ษา งานวิจยั น้โี ดยใช้ หลกั การท�ำประชาคม หลกั การมสี ่วนร่วม และกฎหมายทเ่ี กีย่ วกบั การท�ำประชาคม มาเป็น กรอบวิเคราะห์ว่าการจัดท�ำประชาคมของเทศบาลนครขอนแก่นเป็นไปตามหลักการมีส่วนร่วมในการท�ำ ประชาคมหรือไม่ หากเทศบาลนครขอนแก่นจัดท�ำสอดคล้องกับหลักการและกฎหมายท่ีเก่ียวข้องแล้วหรือ จดั ทำ� ไมส่ อดคลอ้ งกบั หลกั การหรอื กฎหมายทเ่ี กยี่ วขอ้ งกต็ อ้ งหาแนวทางการพฒั นาใหด้ ยี งิ่ ขนึ้ หรอื หาแนวทาง การพัฒนาการมีส่วนร่วมในการจัดท�ำประชาคมให้สอดคล้องกับหลักการและกฎหมาย โดยสรุปได้เป็นภาพ ดังท่ปี รากฏขา้ งล่างน้ี 56 บัณฑติ วทิ ยาลัย มหาวทิ ยาลยั สวนดสุ ิต

ภาพที่ 1 กรอบแนวคิด ท่ีมา: ผ้วู ิจยั ระเบยี บวิธีวจิ ัย งานวิจัยน้ีเป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพ ข้อมูลท่ีใช้ในการวิเคราะห์ได้จากการสัมภาษณ์เชิงลึกแบบ กึ่งโครงสรา้ งจากกลุม่ ผู้ใหข้ ้อมลู หลกั โดยใชว้ ิธีเลือกแบบจำ� เพาะเจาะจง ประกอบดว้ ย เจา้ หน้าท่ขี องเทศบาล นครขอนแกน่ จำ� นวน 3 คน และประชาชนทอี่ าศยั อยใู่ นเขตเทศบาลนครขอนแกน่ ทเี่ ขา้ รว่ มการประชาคมเพอื่ จดั ท�ำแผนพฒั นาท้องถน่ิ จำ� นวน 10 คน ผลการศกึ ษา จากการวเิ คราะหข์ อ้ มลู ผลการวจิ ยั พบวา่ สภาพและลกั ษณะการมสี ว่ นรว่ มในการทำ� ประชาคมชมุ ชน ของเทศบาลนครขอนแก่น มีผลการศึกษาอยู่ 3 ประเด็น 1. สภาพการทำ� ประชาคมในกระบวนการจัดทำ� แผนพฒั นาทอ้ งถ่ินของเทศบาลนครขอนแกน่ สภาพการท�ำประชาคมของเทศบาลนครขอนแก่นมีความสอดคล้องกับหลักการของการท�ำ ประชาคม กล่าวคือ ประชาชนท่ีอาศัยอยู่ในชุมชนเดียวกันได้มารวมตัวกันเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ในการเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาในชุมชน การวางแผนพัฒนาชุมชน จนมีการก�ำหนดข้อตกลงร่วมกัน (สมาน รินทวุฒิ, 2559) โดยเทศบาลนครขอนแก่น ได้มีการเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการท�ำ ประชาคมตั้งแตข่ ัน้ ตอนแรกจนถึงขน้ั ตอนสุดท้าย ดงั ตอ่ ไปนี้ ปีที่ 16 ฉบบั ที่ 1 ประจ�ำ เดอื นมกราคม - เมษายน 2563 57

ขน้ั ตอนแรก เทศบาลนครขอนแกน่ มกี ารกำ� หนดประเดน็ ทจี่ ะทำ� ประชาคมในทอ้ งถน่ิ อยา่ งชดั เจน เช่น เร่ืองเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาชุมชน การวางแผนพัฒนาชุมชน เป็นต้น โดยให้ประธานชุมชนเป็นผู้ไป ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนเลือกหัวข้อที่ต้องการประชาคมกันก่อน โดยก่อนท่ีจะท�ำการประชาคมได้ให้ ประชาชนในชุมชนตดั สนิ ใจวา่ ประชาชนแต่ละชมุ ชนมีความตอ้ งการอะไร เพอ่ื ให้ไดม้ ติของความต้องการของ ประชาชนแลว้ นำ� ไปบรรจไุ วใ้ นแผนชุมชน ดงั ท่ีผูใ้ ห้ข้อมลู หลักได้กล่าวไว้ตอนหนงึ่ ในการสมั ภาษณ์วา่ “…ก่อนท่ีจะได้มาซ่ึงร่างแผนพัฒนาท้องถ่ิน เราต้องไปรับฟังปัญหาความต้องการของ ประชาชนก่อนโดยจัดเวทีเล็ก ๆ ในชุมชน หรือเรียกว่าแผนชุมชน โดยให้ประธานชุมชน เป็นผปู้ ระชาสมั พนั ธ์ใหป้ ระชาชนในชมุ ชนทราบ…” เจ้าหน้าท่เี ทศบาล (สมั ภาษณ,์ 6 มิถนุ ายน 2562) ขนั้ ตอนทสี่ อง เทศบาลนครขอนแกน่ ไดก้ ำ� หนดระยะเวลาใหป้ ระชาชนไดม้ กี ารเตรยี มความพรอ้ ม ในการเข้ามามีส่วนร่วมในการประชาคมชุมชนโดยก�ำหนดวันที่จะจัดท�ำประชาคมอย่างชัดเจนผ่าน การประชาสัมพันธข์ องประธานชมุ ชน ขั้นตอนท่ีสาม เทศบาลนครขอนแก่นได้ให้ประธานชุมชนประชาสัมพันธ์และเชิญประชาชนใน ชุมชนเข้าร่วมการประชาคม เพื่อจะได้หารือโดยการส่งหนังสือเชิญไปยังประชาชนที่ได้แจ้งความจ�ำนง ท่ีจะ เขา้ ร่วมการประชาคมชมุ ชนเพื่อจดั ทำ� แผนพัฒนาทอ้ งถน่ิ ขั้นตอนท่ีสี่ เทศบาลนครขอนแก่นได้มีการจัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์และสถานท่ีให้พร้อมใน การประชาคม หากเปน็ การประชาคมชมุ ชนในระดบั ชมุ ชนจะนยิ มจดั ทศ่ี าลาประชาคมของชมุ ชนนนั้ ๆ หากเปน็ การประชาคมชมุ ชนในระดบั นคร เทศบาลนครขอนแกน่ จะนยิ มจดั ทโี่ รงแรมพลู แมน ราชา ออคดิ อำ� เภอเมอื ง จังหวดั ขอนแกน่ ขั้นตอนท่หี ้า เทศบาลนครขอนแก่นมกี ารตรียมความพรอ้ ม วางแผนในการจัดทำ� ประชาคม โดย เจ้าหน้าท่ีต้องมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการมีท�ำประชาคม เน่ืองจากเป็นเจ้าหน้าท่ีผู้ท่ีเก่ียวข้องกับ กระบวนการจัดท�ำแผนพฒั นาท้องถิน่ โดยตรง ดงั ทผ่ี ใู้ ห้ขอ้ มลู หลักไดก้ ลา่ วไว้ตอนหนง่ึ ในการสมั ภาษณว์ า่ “…การประชาคม คล้าย ๆ กบั ประชามติท่เี กีย่ วกบั ความต้องการของคนส่วนใหญ่ในชุมชน การท�ำประชาคมของเราจะต้องสอดคล้องกับระเบียบท่ีก�ำหนดไว้ ก่อนที่จะมีการท�ำประชาคม เราก็ต้องเข้าใจในระเบยี บ หลักการ ขั้นตอน วตั ถปุ ระสงคเ์ สียก่อนคอ่ ยจะไปลงมอื ปฏบิ ัติได้…” เจา้ หนา้ ท่เี ทศบาล (สัมภาษณ์, 6 มถิ นุ ายน 2562) ขั้นตอนสุดท้าย เทศบาลนครขอนแก่นด�ำเนินการประชาคมตามก�ำหนดเวลา มีเจ้าหน้าที่ของ เทศบาลนครขอนแกน่ เปน็ วทิ ยากรทำ� หนา้ ทเี่ ปน็ ตวั กลางในการทำ� ใหเ้ กดิ การเรยี นรรู้ ะหวา่ งประชาชนทเี่ ขา้ มา ร่วมการประชาคม จนกระท่ังหาข้อสรุปของประเด็นในการท�ำประชาคมให้ได้ (สมาน รินทวุฒิ, 2559) หลงั จากนนั้ ประชาชนในทปี่ ระชมุ ทำ� การลงมตเิ หน็ ชอบนโยบายตา่ ง ๆ ทก่ี ำ� ลงั จะถกู ไปบรรจอุ ยใู่ นแผนพฒั นา เทศบาลนครขอนแก่นโดยการยกมือ อันเป็นมติตามหลักประชาธิปไตยที่ยอมรับเอาเสียงส่วนมากเป็นท่ีสุด 58 บณั ฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยสวนดสุ ติ

(Campbell, 2008) ดงั ทีผ่ ูใ้ ห้ข้อมลู หลกั ไดก้ ล่าวไวต้ อนหนง่ึ ในการสมั ภาษณว์ า่ “…มาประชุมรับทราบโครงการท่ีชุมชนได้เสนอ ว่าจะถูกน�ำไปจัดต้ังโครงการไหม หากมี อะไรแสดงความเหน็ กแ็ สดงความคดิ เหน็ ตรงทป่ี ระชมุ นน้ั ถา้ ไมก่ เ็ ขยี นขอ้ เสนอแนะภายหลงั แลว้ ยกมือเพือ่ เห็นชอบโครงการ…” ประชาชน (สมั ภาษณ,์ 31 พฤษภาคม 2562) หลังจากการประชาคมเทศบาลก็ต้องน�ำเอาผลของการประชาคมไปผ่านการเห็นชอบตาม กระบวนการนิตบิ ัญญตั ิก่อนทจี่ ะประกาศเปน็ เทศบญั ญตั ิตอ่ ไป จากสภาพของการท�ำประชาคม แม้เทศบาลได้ดำ� เนินการประชาคมสอดคล้องตามหลักการแล้ว กต็ าม แตย่ งั พบวา่ ประชาชนทเ่ี ขา้ มามสี ว่ นรว่ มการประชาคมเพอ่ื รว่ มประชมุ จดั ทำ� แผนพฒั นาทอ้ งถนิ่ บางสว่ น ยงั ขาดความเขา้ ใจเกย่ี วกบั ความหมาย ความสำ� คญั ของการทำ� ประชาคมทจี่ ะทำ� ใหไ้ ดม้ าซงึ่ แผนพฒั นาทอ้ งถนิ่ ของเทศบาลนครขอนแก่น ดังทผี่ ู้ให้ข้อมลู หลักไดก้ ลา่ วไวต้ อนหน่งึ ในการสมั ภาษณว์ า่ “…ไมค่ อ่ ยรู้ เขา้ ใจ ขนั้ ตอน ความหมายของการประชาคม มาเขา้ รว่ มประชมุ เพราะวา่ งจาก การทำ� งาน เพ่ือจะไดท้ ราบความเปน็ มาเป็นไปของชมุ ชน…” ประชาชน (สมั ภาษณ์, 31 พฤษภาคม 2562) นอกจากนย้ี งั พบอีก คือ การเขา้ มารว่ มการท�ำประชาคมอาจไม่ได้เกิดขึน้ โดยธรรมชาติ เนอื่ งจาก การทำ� ประชาคมครง้ั นดี้ ำ� เนนิ การและขบั เคลอ่ื นโดยเทศบาลนครขอนแกน่ ประชาชนมาเขา้ รว่ มโดยมปี ระธาน ชุมชนเป็นผู้ขับเคล่ือนและบริหารจัดการท้ังการประชาสัมพันธ์และการเดินทางโดยได้รับการสนับสนุนจาก เทศบาลนครขอนแกน่ กลา่ วโดยสรปุ ในประเดน็ นี้ คอื การจดั ทำ� ประชาคมเทศบาลนครขอนแกน่ เทศบาลนครดำ� เนนิ การ สอดคล้องกับหลักการท�ำประชาคม เนื่องจากเทศบาลนครขอนแก่นก็ได้ด�ำเนินการตั้งแต่ขั้นตอนการก�ำหนด หัวข้อ ระยะเวลา สถานท่ีในการประชาคมรวมท้ังจัดหาวัสดุอุปกรณ์ ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนเข้าร่วม เจ้าหน้าท่ีมีความเตรียมพร้อมกับการจัดท�ำประชาคม จนกระท่ังมีการจัดท�ำประชาคมตามก�ำหนดการและมี การสรปุ ผลการประชาคม โดยมีวทิ ยากรทีเ่ ป็นเจ้าหน้าทเ่ี ทศบาลนครขอนแกน่ ด�ำเนินการ (สมาน รนิ ทวฒุ ,ิ 2559) เจ้าหนา้ ท่ขี องเทศบาลนครขอนแก่นมีความรู้ ความเข้าใจเกยี่ วกบั ความหมาย ความสำ� คญั และข้นั ตอน ในการท�ำประชาคม แต่ว่าประชาชนบางส่วนยังขาดความรู้ความเข้าใจท่ีถูกต้องในกระบวนการท�ำประชาคม ทด่ี ำ� เนนิ การโดยเทศบาลและการเขา้ มามสี ว่ นรว่ มของประชาชนในการทำ� ประชาคมดำ� เนนิ การและขบั เคลอ่ื น โดยเทศบาลผ่านกลไกของประธานชุมชน 2. ลักษณะการมีส่วนร่วมในการท�ำประชาคมกบั หลกั การมีส่วนรว่ ม ลักษณะการมีส่วนร่วมในการท�ำประชาคมกับหลักการมีส่วนร่วมท่ีเทศบาลนครขอนแก่น ด�ำเนินการอยู่สอดคล้องหลักการมีส่วนร่วม กล่าวคือ ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารในการจัดท�ำประชาคม อันถือว่าเป็นการให้ข้อมูลต่อสาธารณะ แล้วให้ประชาชนแสดงความคิดเห็นต่อโครงการหรือนโยบายของรัฐ ปที ี่ 16 ฉบับที่ 1 ประจำ�เดอื นมกราคม - เมษายน 2563 59

และมสี ่วนร่วมในการแก้ไขปญั หา จนได้รับผลประโยชนจ์ ากการดำ� เนนิ การดังกล่าว (James L. Creighton อ้างถงึ ใน วันชัย วัฒนศพั ท์, 2535) โดยการท่ปี ระชาชนเข้ามามีสว่ นร่วมในการจัดทำ� ประชาคมของเทศบาล นครขอนแกน่ มี 4 ระดบั ดังต่อไปนี้ ระดบั แรก เทศบาลนครขอนแกน่ ไดใ้ หป้ ระชาชนมสี ว่ นรว่ มในการตดั สนิ ใจ แสดงความคดิ เหน็ โดย เปดิ รบั ฟังความคดิ เห็นของประชาชน ให้ประชาชนแสดงความคดิ เห็นตอ่ นโยบายทก่ี �ำลงั จะท�ำการลงมติ ดังที่ ผ้ใู หข้ ้อมลู หลกั ได้กล่าวไวต้ อนหนงึ่ ในการสมั ภาษณว์ ่า “…มาประชุมรับทราบโครงการที่ชุมชนได้เสนอ ว่าจะถูกน�ำไปจัดต้ังโครงการไหม หากมี อะไรแสดงความเห็นก็แสดงความคดิ เห็นตรงทป่ี ระชุมนัน้ ถ้าไมก่ ็เขยี นขอ้ เสนอแนะภายหลงั …” ประชาชน (สมั ภาษณ์, 31 พฤษภาคม 2562) ระดับท่ีสอง เทศบาลนครขอนแก่นได้ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการด�ำเนินงานจากท่ีได้ตัดสินใจ ไป เนื่องจากนโยบายต่าง ๆ ต้องตอบสนองต่อความต้องการของคนในชุมชนจะต้องให้ประชาชนในชุมชน เข้ามาร่วมด�ำเนินงาน และบางนโยบายถ้าชุมชนใดมีความสามารถเพียงพอท่ีจะด�ำเนินการเองได้ ก็สามารถ ดำ� เนินการบรหิ ารจัดการกนั เองได้เลย โดยเทศบาลนครขอนแก่นคอยเป็นผูส้ นบั สนุน ระดบั ทส่ี าม เทศบาลนครขอนแกน่ ใหป้ ระชาชนมสี ว่ นรว่ มในการรบั ผลประโยชน์ คอื เมอ่ื นโยบาย ทีป่ ระชาชนได้ตดั สนิ ใจเลอื กและน�ำไปบรรจุไวใ้ นแผนพฒั นาทอ้ งถ่นิ ของเทศบาลนครขอนแกน่ ทปี่ ระกาศเป็น เทศบัญญัติ จนไดน้ �ำไปปฏิบตั ิแลว้ ประชาชนไดร้ ับสิทธิประโยชน์จากนโยบายนัน้ และ ระดบั สดุ ทา้ ย ประชาชนไดม้ สี ว่ นรว่ มในการประเมนิ ผล ตรวจสอบ ตดิ ตามไดโ้ ดยสามารถรอ้ งเรยี น ได้ที่ศูนย์ร้องทุกข์ของเทศบาลนครขอนแก่น (Cohen and Uphoff, 1977) ดังท่ีผู้ให้ข้อมูลหลักได้กล่าวไว้ ตอนหนึง่ ในการสมั ภาษณว์ า่ “…การตรวจสอบเทศบาลมีช่องทางรบั เรือ่ งรอ้ งทุกข์ ร้องเรยี น ตามระเบียบของกฎหมาย ในกรณที ปี่ ระชาชนเหน็ วา่ ไมถ่ กู ตอ้ ง ส่ิงทป่ี ระชาชนจะทำ� คอื 1) โทรหาผ้บู รหิ าร 2) แจง้ ความ กรณขี ดั ผลประโยชน์หรอื ลดิ รอนสทิ ธิสว่ นบุคคลโดยใช้ช่องทางของกฎหมายอื่นตรวจสอบ…” เจ้าหนา้ ทเ่ี ทศบาล (สมั ภาษณ,์ 6 มิถนุ ายน 2562) กล่าวโดยสรปุ ในประเด็นน้ี คือ เทศบาลนครขอนแกน่ ด�ำเนินการทำ� ประชาคมสอดคลอ้ งกับหลกั การท�ำประชาคมและแนวทางการมีส่วนร่วมท่ีเทศบาลนครขอนแก่นเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมใน การท�ำประชาคม ตั้งแต่กระบวนการให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการให้ประชาชนแสดงความคิดเห็น ตัดสินใจ วางแผน ด�ำเนินการ ร่วมปฏิบัติ และรับผลประโยชน์ จนกระทั่งให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการควบคุม ตรวจสอบ (Cohen and Uphoff, 1977) 3. การท�ำประชาคมท่เี กดิ ขึน้ กับหลกั การตามท่กี ฎหมายก�ำหนด การทำ� ประชาคมทเ่ี กดิ ขนึ้ กบั หลกั การตามทก่ี ฎหมายกำ� หนด เทศบาลนครขอนแกน่ ไดป้ ฏบิ ตั กิ าร ท�ำประชาคมสอดคลอ้ งกับกฎหมายท่ีก�ำหนด อันไดแ้ ก่ รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช 2560 60 บัณฑติ วทิ ยาลัย มหาวทิ ยาลัยสวนดุสิต

พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการ บริการกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 รวมถึงระเบียบของกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการจัดทําแผนพัฒนา ขององค์กรปกครองส่วนทอ้ งถิ่น (ฉบบั ท่ี 2) พ.ศ. 2559 กลา่ วคือ เทศบาลนครขอนแกน่ ในฐานะทเ่ี ป็นองค์กร ปกครองสว่ นทอ้ งถนิ่ ทไี่ ดร้ บั การกระจายอำ� นาจมาจากราชการสว่ นกลาง ใหม้ หี นา้ ทม่ี าบรหิ ารราชการแผน่ ดนิ ในระดบั ทอ้ งถน่ิ โดยเปดิ โอกาสใหป้ ระชาชนในทอ้ งถนิ่ ไดเ้ ขา้ มามสี ว่ นรว่ มในการพฒั นาทอ้ งถนิ่ โดยการเขา้ มา ร่วมแสดงความคิดเห็น ตัดสินใจ เสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาในชุมชน การวางแผนพัฒนาชุมชน จนมี การก�ำหนดข้อตกลงร่วมกัน เก่ียวกับการจัดท�ำแผนพัฒนาท้องถิ่น เพ่ือให้เกิดประโยชน์สูงสุดของประชาชน ซง่ึ เป็นเป้าหมายในการบรหิ ารราชการแผน่ ดิน โดยการมสี ่วนร่วมของประชาชนมีหลากหลายวธิ ี แต่วธิ ีทีน่ ยิ ม ใช้กนั น้ี คือ การให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดท�ำประชาคม และน�ำมติจากการประชาคมไปบรรจุไว้ใน แผนพัฒนาท้องถ่ิน ดังใจความส�ำคัญของระเบียบของกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการจัดทําแผนพัฒนาของ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2559 ที่ได้มีการก�ำหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้ท�ำ การประชาคม ตามหลกั การ ขั้นตอน การจดั ท�ำประชาคมคอื ข้อ 17 (1) “เวลาทีอ่ งค์กรปกครองสว่ นทอ้ งถนิ่ จะจดั ทำ� แผนพฒั นาทอ้ งถนิ่ คณะกรรมการพฒั นาทอ้ งถน่ิ ตอ้ งจดั ประชาคมทอ้ งถนิ่ เพอื่ แจง้ แนวทางการพฒั นา ท้องถ่ิน รับทราบปัญหา ความต้องการ โดยน�ำข้อมูลพ้ืนฐานจากหมู่บ้านหรือชุมชนมาพิจารณาประกอบ” ดังน้ัน เทศบาลนครขอนแก่น จึงต้องมีการประชาคมชุมชนในท้องถ่ินก่อน แล้วน�ำผลจากการประชาคมไป กำ� หนดเปน็ แผนพฒั นาทอ้ งถน่ิ โดยเทศบาลนครขอนแกน่ ตอ้ งปฏบิ ตั เิ พอ่ื ใหส้ อดคลอ้ งกบั ระเบยี บและกฎหมาย ต่าง ๆ ท่ีกล่าวมาข้างต้น และน�ำผลจากการประชาคมไปบรรจุไว้ในแผนพัฒนาท้องถ่ิน อันจะประกาศเป็น เทศบัญญัติที่ใช้บังคับเป็นกฎหมายในเขตเทศบาลนครขอนแก่นต่อไป ดังน้ัน ประเด็นนี้จึงสรุปได้ว่า การท�ำ ประชาคมตามท่ีเทศบาลนครขอนแก่นไดป้ ฏิบัติสอดคล้องกับกฎหมายทก่ี �ำหนด อภปิ รายผล การท�ำประชาคมของเทศบาลนครขอนแก่น ได้ด�ำเนินการสอดคล้องกับหลักการท�ำประชาคมและ หลักการมีสว่ นร่วม และปฏบิ ตั ิสอดคล้องกับหลักการทกี่ ฎหมายก�ำหนด ได้แก่ รัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักร ไทย พทุ ธศักราช 2560 พระราชบัญญัตริ ะเบียบบรหิ ารราชการแผน่ ดิน พ.ศ. 2534 พระราชกฤษฎีกาวา่ ด้วย หลกั เกณฑแ์ ละวิธกี ารบริการกิจการบา้ นเมอื งท่ดี ี พ.ศ. 2546 รวมถึงระเบยี บของกระทรวงมหาดไทยวา่ ด้วย การจดั ทาํ แผนพฒั นาขององคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถนิ่ (ฉบบั ท่ี 2) พ.ศ. 2559 โดยการจดั ทำ� ประชาคมเจา้ หนา้ ท่ี ของเทศบาลนครขอนแกน่ มคี วามรู้ ความเขา้ ใจเก่ียวกบั หลักการในการท�ำประชาคมเปน็ อยา่ งดี อย่างไรก็ตาม แม้การท�ำประชาคมของเทศบาลนครขอนแก่นจะได้ด�ำเนนิ การสอดคลอ้ งกับหลกั การ ท�ำประชาคมและหลักการมีส่วนร่วม งานวิจัยน้ียังพบว่า ประชาชนท่ีเข้ามาร่วมประชุมจัดท�ำแผนพัฒนา ทอ้ งถนิ่ บางส่วนยังขาดความรู้ ความเข้าใจเกย่ี วกบั การทำ� ประชาคม การมีสว่ นรว่ ม การเขา้ มามสี ่วนร่วมของ ประชาชนในการท�ำประชาคมด�ำเนินการและขับเคล่ือนโดยเทศบาลผ่านกลไกของประธานชุมชน ซึ่งหาก พจิ ารณาตามความหมายท่ี สมาน รนิ ทวฒุ ิ (2559) ไดใ้ ห้ไว้ การประชาคม คือ การท่ปี ระชาชนมวี ัตถปุ ระสงค์ หรอื สนใจในเรอื่ งเดยี วกนั มกี ารรวมตวั กนั เพอ่ื รว่ มตดั สนิ ใจตามสถานการณห์ รอื สภาพปญั หาทเ่ี กดิ ขนึ้ โดยไมม่ ี ปีท่ี 16 ฉบบั ที่ 1 ประจ�ำ เดือนมกราคม - เมษายน 2563 61

ใครสั่ง ไม่มีกฎหมายเฉพาะรองรับ เพราะประชาคมเป็นกิจกรรมทางสังคม ท่ีคนในชุมชนมารวมตัวกันด้วย จติ สำ� นกึ ทตี่ อ้ งการแกไ้ ขปญั หาของชมุ ชน ความคดิ สรา้ งสรรคท์ จี่ ะทำ� สงิ่ ใดสงิ่ หนง่ึ ดงั นนั้ แลว้ การประชาคมจะ ตอ้ งเกิดจากการรเิ รมิ่ ของประชาชนในท้องถ่ินและ จากการสงั เกตของผวู้ จิ ยั พบวา่ ประชาชนทเ่ี ขา้ รว่ มในการมสี ว่ นรว่ มทำ� ประชาคมเพอื่ จดั ทำ� แผนพฒั นา ท้องถิ่นส่วนใหญ่เป็นผู้สูงวัย วันเวลาท่ีท�ำการประชาคมจัดท�ำแผนพัฒนาท้องถิ่นก็อยู่ในช่วงวันเวลาราชการ ซง่ึ หว้ งเวลาดงั กลา่ วอาจจะทำ� ใหป้ ระชาชนทส่ี นใจเขา้ รว่ มแตต่ ดิ งานหรอื ภารกจิ อนื่ ไมส่ ามารถเขา้ มามสี ว่ นรว่ ม ได้ ซ่ึงมีประเดน็ สอดคล้องกับงานวิจัยของ อสุ มา อาแช (2553) ที่ไดท้ �ำการศกึ ษาเพ่อื อยากทราบกระบวนการ และขั้นตอนการจัดท�ำประชาคมขององค์การบริหารส่วนต�ำบลปูโยะ อ�ำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส ผลการวจิ ยั พบวา่ ประชาชนยงั ขาดความรู้ ความเขา้ ใจในการจดั ทำ� แผนพฒั นาทอ้ งถน่ิ ไมก่ ลา้ แสดงความคดิ เหน็ ขาดการมีส่วนร่วมในการเข้าร่วมประชาคม เม่ือน�ำข้อค้นพบจากงานวิจัยนี้ไปอภิปรายกับผลการวิจัยของ ปวีณา วีรยางกูร (2554) ที่ได้ท�ำการศึกษาเพื่ออยากทราบระดับการมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนา ท้องถนิ่ : กรณศี ึกษาองค์การบรหิ ารสว่ นตำ� บลออ้ มเกร็ด อำ� เภอปากเกร็ด จังหวดั นนทบรุ ี ผลการวจิ ยั พบว่า ระดบั การมสี ว่ นรว่ มของประชาชนในภาพรวมอยใู่ นระดบั ตำ�่ เมอื่ พจิ ารณารายดา้ น พบวา่ ระดบั การมสี ว่ นรว่ ม ในการดำ� เนนิ กจิ กรรม การมสี ว่ นรว่ มในการตดิ ตามผลและประเมนิ ผลอยใู่ นระดบั ตำ่� สดุ การมสี ว่ นรว่ มในระดบั ปานกลาง คอื การมสี ่วนร่วมของประชาชนในการรับผลประโยชน์ ซึ่งจากผลงานวจิ ัยนศี้ ึกษาเพียงอยากทราบ ระดบั ทป่ี ระชาชนมสี ว่ นรว่ ม เพอ่ื นำ� มาจดั ลำ� ดบั ใหไ้ ดข้ องผลการวจิ ยั แสดงใหเ้ หน็ วา่ ยงั ขาดการมองในประเดน็ ความรคู้ วามเขา้ ใจของเจา้ หนา้ ทแี่ ละประชาชน ในกระบวนการมสี ว่ นรว่ มในการพฒั นาทอ้ งถน่ิ อกี ทงั้ การศกึ ษา ในประเด็นการจดั ทำ� ประชาคมกบั หลักการมสี ว่ นร่วม ข้อเสนอแนะ 1. จากผลการวจิ ยั พบวา่ สภาพการทำ� ประชาคมทเี่ ทศบาลนครขอนแกน่ ไดด้ ำ� เนนิ การสอดคลอ้ งกบั หลักการท�ำประชาคม ประชาชนท่ีได้เข้ามาร่วมการประชาคมเข้าร่วมโดยการด�ำเนินการและขับเคลื่อนโดย เทศบาลผา่ นกลไกของประธานชมุ ชน อกี ทง้ั ประชาชนบางสว่ นยงั ขาดความรคู้ วามเขา้ ใจ เกยี่ วกบั ความสำ� คญั ขน้ั ตอน หลกั การของการทำ� ประชาคม ดงั นน้ั เทศบาลนครขอนแกน่ ควรเสรมิ สรา้ ง ความรู้ ความเขา้ ใจ เกย่ี วกบั ความสำ� คัญของการท�ำประชาคมให้ประชาชนและการทำ� ประชาคม ประชาชนในชุมชนควรรเิ รม่ิ กันเองโดยที่ ไม่ต้องรอระเบียบหรือค�ำส่ังจากทางราชการ เนื่องจากเจตนารมณ์ท่ีแท้จริงของการท�ำประชาคม คือ การท่ี ประชาชนในชมุ ชนรเิ รม่ิ มารวมตัวประชาคมกันเอง โดยเทศบาลนครขอนแก่นควรท�ำหน้าทส่ี นับสนุน 2. ผลการวิจัยแม้ว่า ลักษณะการมีส่วนร่วมในการท�ำประชาคมท่ีเทศบาลนครขอนแก่นด�ำเนินการ สอดคล้องกับหลักการมีส่วนร่วม แต่เทศบาลนครขอนแกน่ ควรจัดท�ำการประชาคมในวนั เสาร-์ อาทิตย์ เพ่อื ให้ ประชาชนท่ีว่างเว้นจากภารกิจการท�ำงานมีเวลาเข้าร่วมโดยไม่กระทบกับเวลาการท�ำงาน อีกทั้งควรเพิ่ม ช่องทางการประชาสัมพันธ์และการเข้าถึงการประชุมให้หลากหลายช่องทางเพื่อให้ประชาชนทุกสาขาอาชีพ และทุกกลุ่มวัยให้สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ เช่น การถ่ายทอดสดผ่านโทรทัศน์ท้องถ่ินหรือ social network การบนั ทกึ เทป การสรปุ ขอ้ มลู การประชมุ เพอื่ สอื่ สารกบั สาธารณะภายหลงั เสรจ็ สนิ้ การประชมุ เพอ่ื เพมิ่ ชอ่ งทาง การมีส่วนรว่ มให้ประชาชนสามารถเข้าถึงขอ้ มูลข่าวสารได้สะดวก ใหส้ อดคล้องกบั สภาพสังคมในปจั จบุ นั 62 บณั ฑติ วิทยาลยั มหาวทิ ยาลัยสวนดุสิต

3. ประชาชนควรมคี วามตระหนกั ในการมสี ว่ นรว่ มกบั เทศบาลนครขอนแกน่ เพอ่ื จะไดใ้ ชส้ ทิ ธิ หนา้ ท่ี ในฐานะพลเมืองตามท่กี ฎหมายก�ำหนดไปมสี ่วนร่วมในการชว่ ยแก้ไขพฒั นาท้องถ่นิ ใหด้ ียง่ิ ขน้ึ เอกสารอ้างอิง ถวิลวดี บุรกี ุล. (2551). การมีสว่ นร่วม : แนวคิด ทฤษฎีและกระบวนการ. กรงุ เทพฯ: สถาบนั พระปกเกลา้ . นีรนุช ฉวีนวล. (2552). การมสี ว่ นร่วมของประชาชนในการประชาคมท้องถ่ิน: ศึกษากรณเี ทศบาลต�ำบล หนองไผแ่ กว้ อ�ำเภอบา้ นบงึ จงั หวัดชลบรุ .ี วทิ ยานิพนธร์ ฐั ประศาสนศาสตรมหาบณั ฑติ สาขา การบรหิ ารทวั่ ไป วทิ ยาลยั บริหารรัฐกิจ มหาวทิ ยาลยั บรู พา. ประเวศ วะส.ี (2536). แนวคดิ และยทุ ธศาสตรส์ งั คมสมานภุ าพและวชิ ชา (จบ). มตชิ นสดุ สปั ดาห,์ 13: 31-32. ปวีณา วีรยางกรู . (2554). การมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาท้องถิ่น: กรณศี กึ ษาองคก์ ารบริหาร ส่วนต�ำบลอ้อมเกร็ด อ�ำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี. รายงานการศึกษาอิสระปริญญา รฐั ประศาสนศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาวชิ ารฐั ประศาสนศาสตร์ คณะวทิ ยาการจดั การ มหาวทิ ยาลยั ศิลปากร. ราชบัณฑิตยสถาน. (2552). พจนานุกรมฉบับราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 (พิมพ์ครงั้ ที่ 3). กรุงเทพฯ: อกั ษรเจริญทัศน์. วนั ชยั วฒั นศพั ท.์ (2535). คมู่ อื การมสี ว่ นรว่ มของประชาชนในการตดั สนิ ใจของชมุ ชน. กรงุ เทพฯ: โครงการ สำ� หรับการแกป้ ญั หาชุมชน. สมาน รนิ ทวฒุ .ิ (2559). ความร/ู้ บทความ. [Online]. Available: https://bit.ly/2W07zbY [2562, เมษายน 21]. อุสมา อาแช. (2553). กระบวนการและข้ันตอนการจัดท�ำประชาคมขององค์การบริหารส่วนต�ำบลปูโยะ อ�ำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส. รายงานการศึกษาอิสระปริญญารัฐประศาสนศาสตร มหาบัณฑิต สาขาการปกครองท้องถ่ิน วทิ ยาลัยการปกครองทอ้ งถ่ิน มหาวทิ ยาลัยขอนแกน่ . Campbell, D. J. (2008). The basic concept for the democracy ranking of the quality of democracy. Vienna: Democracy Ranking. Cohen, J. M. & Uphoff, N. Rural. (1977). Development Participation: Concept and Measure for Project Design Implementation and Evaluation. New York: Cornell. Robert A. Dahl. (1998). On Democracy. United States of America: Yale. ปีที่ 16 ฉบบั ท่ี 1 ประจ�ำ เดือนมกราคม - เมษายน 2563 63

คณะผู้เขียน นายธนกฤต เกตุสิทธิ์ วิทยาลยั การปกครองทอ้ งถิ่น มหาวทิ ยาลัยขอนแก่น เลขท่ี 123 ถนนมิตรภาพ ต�ำบลในเมอื ง อ�ำเภอเมอื ง จังหวัดขอนแกน่ 40002 e-mail: [email protected] ดร. ศิริศักดิ์ เหล่าจันขาม วทิ ยาลยั การปกครองท้องถน่ิ มหาวิทยาลัยขอนแกน่ เลขท่ี 123 ถนนมิตรภาพ ตำ� บลในเมอื ง อ�ำเภอเมอื ง จงั หวัดขอนแก่น 40002 e-mail: [email protected] 64 บัณฑิตวิทยาลยั มหาวิทยาลัยสวนดุสิต

มาตรการเพ่มิ ประสทิ ธิภาพระบบการพฒั นาพฤตินิสัย ของผตู้ อ้ งขังทัณฑสถานวยั หนุ่มกลาง Measurement of Increasing Effectiveness of Offenders Rehabilitation of Central Correctional Institution for Yong Offenders สรายธุ รน่ื รมย์* เพญ็ ศรี พัทธว์ ิวัฒนศริ ิ และชาติชาย มหาคตี ะ บัณฑติ วิทยาลยั มหาวทิ ยาลัยสวนดสุ ิต Sarayuth Reunrom* Phensri Patvivatanasiri and Chatchai Mahakeeta Graduate School, Suan Dusitt University Received: August 19, 2019 Revised: September 29, 2019 Accepted: October 1, 2019 บทคัดยอ่ การวิจัยคร้ังนี้มีวัตถุประสงค์เพ่ือให้ได้มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพระบบการพัฒนาพฤตินิสัยของ ผู้ต้องขังทัณฑสถานวัยหนุ่มกลาง โดยเป็นการวิจัยแบบผสมผสาน ในการวิจัยเชิงคุณภาพใช้การสัมภาษณ์ เชงิ ลกึ ผ้ใู ห้ขอ้ มลู สำ� คัญรวมทั้งสน้ิ 4 กล่มุ จ�ำนวน 26 คน และการจดั สนทนากลุ่มย่อยกับผูต้ อ้ งขังวัยหนมุ่ จ�ำนวน 10 คน ในการวิจัยเชิงปรมิ าณไดใ้ ชแ้ บบสอบถามเปน็ เครอ่ื งมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ ทัณฑสถานวัยหนุ่มกลาง จ�ำนวน 161 คน และส�ำนักพัฒนาพฤตินิสัย กรมราชทัณฑ์ จ�ำนวน 59 คน รวมท้ังส้นิ 220 คน ซงึ่ เป็นการเก็บจากทกุ หน่วยของประชากร เมอื่ สังเคราะห์ผลการวิจัยเชงิ ปรมิ าณและเชิงคุณภาพ ผู้วจิ ยั ไดน้ ำ� มาจดั ท�ำเป็นมาตรการโดยใชช้ อ่ื ว่า “Reformation model” ซง่ึ ประกอบดว้ ย การปรบั ปรงุ ผกู้ ระทำ� ผดิ โดยหาสาเหตทุ แี่ ทจ้ รงิ การบงั คบั ใชน้ โยบาย ท่ีมีความชัดเจนเป็นรูปธรรม การสร้างโปรแกรมการแก้ไขฟื้นฟูท่ีเน้นสาเหตุของการกระท�ำผิด การส่งเสริม อาชีพในช่วงเตรียมความพรอ้ มก่อนปลอ่ ย การฟืน้ ฟูต้องใหค้ รอบครัวและชมุ ชนของผ้ตู อ้ งขงั เขา้ มามีส่วนรว่ ม การสรา้ งแรงจงู ใจแกผ่ ตู้ อ้ งขงั มหี ลกั เกณฑก์ ารใหร้ างวลั และการลงโทษทช่ี ดั เจนมมี าตรฐานเดยี วกนั มกี ารดแู ล ภายหลงั ปลอ่ ย การฝึกอบรมใหค้ วามรู้ เสรมิ ทักษะและเทคนคิ เฉพาะทางให้กับเจา้ หนา้ ที่ โครงสรา้ งพื้นฐาน ของเรอื นจำ� ตอ้ งมคี วามเหมาะสมกบั ชว่ งวยั การสง่ เสรมิ ความรว่ มมอื ระหวา่ งหนว่ ยงานภายนอก และการสรา้ ง เครือขา่ ยของเจา้ หน้าทที่ ณั ฑสถานทุกระดบั ทุกส่วนและทุกฝ่าย คำ� ส�ำคัญ: ระบบการพัฒนาพฤตนิ ิสัย ผตู้ ้องขัง ทณั ฑสถานวยั หนุ่มกลาง * สรายุธ ร่ืนรมย์ (Corresponding Author) ปีที่ 16 ฉบับท่ี 1 ประจ�ำ เดือนมกราคม - เมษายน 2563 65 e-mail: [email protected]

Abstract The research aimed to study the measurement of increasing effectiveness of offenders rehabilitation of Central Correctional Institution for Young Offenders. The research was the mix method research which contained of qualitative and quantitative research. In the qualitative research, in-depth interviews of 26 key informants were conducted and a small group conversation with 10 young inmates. In the quantitative research, questionnaires were used as a tool for data collection from 161 middle-aged correctional officers and 59 Bureau of Behavioral Development, Department of Corrections, totaling 220 people, which were collected from every unit of the population. Findings from the quantitative and qualitative, the researcher had been synthesized in order to figure out Models on Measurement of Increasing Effectiveness of Offenders Rehabilitation of Central Correctional Institution for Young Offenders. The researcher had put it in a model, called “REFORMATION MODEL” which comprised the following: Reform referred to reform offenders by finding the real causes; Enforcement referred to policy enforcement that was tangible and direct responsibility; Formation referred to the creation a program to edit the highlighted in the cause of restoration offense; Occupation referred to the promotion of the profession which emphasizing on vocational training and short term job training; Rehabilitation referred to rehabilitation with family and community involvement; Motivation referred to the motivation to the offenders with reward and punishment in the same standards; After-care referred to the carefulness for a later release with the evaluation at every stage; Training Course referred to the training of the knowledge, skill and special techniques for the officers; Infrastructure referred to the basic structure of the prison must be appropriate for the age range; Organization referred to the promotion of cooperation between the authorities and all the public and private sectors; Network referred to the creation of a network of prison officers at all levels and all parts of every department. Keywords: Rehabilitation System, Offenders, Central Correctional Institution for Young Offenders บทน�ำ กรมราชทณั ฑซ์ ง่ึ เปน็ หนว่ ยงานสดุ ทา้ ยในกระบวนการยตุ ธิ รรม นอกจากจะมหี นา้ ทใี่ นการควบคมุ ดแู ล ผู้กระท�ำผิดต่าง ๆ ตามค�ำพิพากษาของศาลแล้ว ยังมีหน้าที่ส�ำคัญประการอ่ืนอีก เพราะความรับผิดชอบใน การควบคมุ ดแู ลผตู้ อ้ งขงั ของกรมราชทณั ฑน์ นั้ มไิ ดม้ อี ยแู่ ตเ่ พยี งการควบคมุ มใิ หผ้ ตู้ อ้ งขงั หลบหนเี ทา่ นนั้ แตย่ งั มภี ารกจิ หลกั อกี ประการหนงึ่ นน่ั คอื การแกไ้ ขและพฒั นาพฤตนิ สิ ยั ของผตู้ อ้ งขงั ใหก้ ลบั คนื สสู่ งั คมไดอ้ ยา่ งปกติ 66 บัณฑิตวทิ ยาลัย มหาวทิ ยาลยั สวนดุสิต

สขุ แตอ่ ยา่ งไรก็ตาม ผตู้ อ้ งขงั เหล่าน้ไี ด้ถูกหลอมรวมมาจากสถาบันทางสังคม หรือสภาพแวดลอ้ มของตนมา เป็นระยะเวลาที่ยาวนาน การแก้ไขในเรือนจ�ำเพียงช่ัวระยะหน่ึงจึงเป็นเรื่องท่ีเหมือนจะเป็นไปได้ยากยิ่ง กรมราชทัณฑ์จึงต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการพัฒนาวิธีการในการปฏิบัติต่อผู้ต้องขัง เพ่ือสนองต่อ ความตอ้ งการและความคาดหวงั ของสงั คม ทมี่ งุ่ หวงั ใหง้ านราชทณั ฑพ์ ฒั นาเปน็ งานทมี่ งุ่ ปรบั เปลย่ี นความคดิ และ พฤติกรรมของผู้กระท�ำผิดซึ่งอยู่ภายใต้อ�ำนาจตามกฎหมายท่ีจะต้องปฏิบัติต่อผู้ต้องขัง การลงโทษเพื่อแก้ไข และพฒั นาพฤตนิ สิ ยั ของผตู้ อ้ งขงั จะเนน้ ทต่ี วั ผกู้ ระทำ� ผดิ มากกวา่ การกระทำ� ผดิ โดยจะเนน้ การศกึ ษาผกู้ ระทำ� ผดิ เปน็ รายบคุ คลหรอื การจำ� แนกลกั ษณะเพอ่ื หาสาเหตกุ ารกระทำ� ผดิ และหาแนวทางแกไ้ ข โดยกรมราชทณั ฑ์ ได้ให้เรือนจ�ำและทัณฑสถานต่าง ๆ เป็นแหล่งพัฒนาจิตใจและฟื้นฟูพฤติกรรมที่บกพร่องของผู้ต้องขัง ด้วยการประกอบกิจกรรมทางศาสนาเพ่ือพัฒนาจติ ใจปรับเปลี่ยนทศั นคตทิ ดี่ แี ละค่านิยมทีถ่ ูกต้องดว้ ยการฝึก ระเบยี บวนิ ยั การทำ� กจิ กรรมกฬี า การฝกึ อบรมลกู เสอื และการนนั ทนาการตา่ ง ๆ สง่ เสรมิ ใหผ้ ตู้ อ้ งขงั มคี วามรู้ ในวชิ าสามญั และวชิ าชพี รวมถงึ ธรรมะศกึ ษา หรอื ดว้ ยวธิ กี ารตา่ ง ๆ ตามแตเ่ รอื นจำ� หรอื ทณั ฑสถานจะพจิ ารณา ด�ำเนินการ เพือ่ ใหพ้ วกเขาเหล่าน้ันสามารถกลบั ไปใชช้ ีวติ อยใู่ นสงั คมไดอ้ ย่างปกตสิ ุข ปรับตวั เข้ากบั กฎเกณฑ์ และเง่ือนไขของสังคมได้ ไม่สร้างปัญหาและเพิ่มภาระให้กับสังคม หากแต่การด�ำเนินการดังกล่าวยังขาด การศึกษาวเิ คราะห์อย่างลกึ ซงึ้ เพ่อื ก�ำหนดรูปแบบ หลกั สตู ร และวิธกี ารใหเ้ ป็นมาตรฐานและถูกต้องตามหลกั วิชาการ อีกท้ัง ในเร่ืองของอาคารสถานท่ี วัสดุอุปกรณ์ และการพัฒนาหรือการจัดเตรียมบุคลากรเพ่ือให้มี ความพรอ้ มและเพยี งพอ กม็ ไิ ดม้ กี ารคำ� นงึ ถงึ และนำ� มาพจิ ารณาอยา่ งจรงิ จงั เพอื่ ใหส้ อดคลอ้ งกบั ความตอ้ งการ ดงั กลา่ ว จงึ กลายเปน็ อปุ สรรคทส่ี ำ� คญั ยงิ่ อนั จะสง่ ผลทำ� ใหก้ ารพฒั นางานในดา้ นการแกไ้ ขพฒั นาพฤตนิ สิ ยั ของ ผู้ต้องขังให้เป็นบุคคลท่ีสามารถเข้ากับสังคมท่ัวไปได้เมื่อพ้นโทษแล้ว ไม่ประสบความส�ำเร็จเท่าท่ีควร ดังน้ัน เพอ่ื ทำ� ใหก้ รมราชทณั ฑเ์ ปน็ องคก์ รทมี่ ปี ระสทิ ธภิ าพในการควบคมุ แกไ้ ขและพฒั นาพฤตนิ สิ ยั ของผตู้ อ้ งขงั เพอื่ คนื คนดสี สู่ งั คม โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ในการบำ� บดั ฟน้ื ฟแู ละแกไ้ ขพฤตนิ สิ ยั ของผตู้ อ้ งขงั วยั หนมุ่ ซง่ึ อาจเปน็ กำ� ลงั หลกั ในการพฒั นาประเทศอยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพไดต้ อ่ ไปในอนาคต จงึ ควรมกี ารศกึ ษาและวจิ ยั เพอ่ื สรา้ งมาตรการ เพิ่มประสิทธิภาพระบบการพัฒนาพฤตินิสัยของผู้ต้องขังวัยหนุ่ม ให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับ สภาพการณ์ปัจจุบัน โดยเฉพาะในด้านของกระบวนการในการแก้ไขฟื้นฟูผู้ต้องขังวัยหนุ่ม ซึ่งจะต้องเน้น การศึกษาท่ีตัวของผู้ต้องขังวัยหนุ่มเป็นรายบุคคลหรือจ�ำแนกลักษณะเพื่อหาสาเหตุของการกระท�ำความผิด และหาวิถีทางแก้ไข เพ่ือแก้ไขฟื้นฟูผู้ต้องขังวัยหนุ่มให้กลับตนเป็นคนดี อันจะน�ำไปสู่การป้องกันการกระท�ำ ผดิ ซำ�้ ไดอ้ ยา่ งแทจ้ ริง ต่อไป วัตถุประสงค์ 1. เพอ่ื ศกึ ษาปญั หา อปุ สรรค ในการดำ� เนนิ งานดา้ นการพฒั นาพฤตนิ สิ ยั ผตู้ อ้ งขงั ทณั ฑสถานวยั หนมุ่ กลาง 2. เพอื่ ใหไ้ ดม้ าตรการเพมิ่ ประสทิ ธภิ าพระบบการพฒั นาพฤตนิ สิ ยั ของผตู้ อ้ งขงั ทณั ฑสถานวยั หนมุ่ กลาง แนวคดิ ทฤษฎที เ่ี ก่ียวขอ้ ง งานวจิ ยั นป้ี ระกอบด้วยทฤษฎที ่ีเก่ียวขอ้ งดังนี้ ปรัชญาของงานราชทัณฑ์ไทย ประกอบด้วยทฤษฎีงานราชทัณฑ์ซ่ึงเป็นแนวคิดและหลักปรัชญาใน ปที ี่ 16 ฉบบั ท่ี 1 ประจำ�เดอื นมกราคม - เมษายน 2563 67

การปฏิบัติต่อผู้กระท�ำความผิดซึ่งอธิบายถึงเหตุผลที่สังคมต้องลงโทษผู้กระทำ� ความผิด เช่น หากมีความเช่ือ เกี่ยวกับสาเหตุของการกระท�ำความผิดเพราะสิ่งแวดล้อมและขาดโอกาสทางสังคมการปฏิบัติต่อผู้กระท�ำ ความผิดกต็ อ้ งเนน้ การอบรมแก้ไขมากกว่าการลงโทษเพอื่ ให้เกรงกลัว แตถ่ ้าหากมคี วามเชื่อวา่ คนท�ำความผดิ เพราะไมก่ ลวั กฎหมายกจ็ ะตอ้ งปฏบิ ตั ติ อ่ ผกู้ ระทำ� ความผดิ อยา่ งเดด็ ขาดใหเ้ กดิ ความเกรงกลวั เขด็ หลาบไมก่ ลา้ กระทำ� ความผิดต่ออกี ต่อไป (มหาวทิ ยาลยั สุโขทัยธรรมาธริ าช, 2550: 11-5) แนวคิดในการลงโทษเพ่ือแกไ้ ข ฟน้ื ฟเู ปน็ แนวทางทใี่ หผ้ กู้ ระทำ� ความผดิ ไดม้ โี อกาสกลบั ตวั และปรบั ปรงุ แกไ้ ขพฤตนสิ ยั ไมใ่ หก้ ระทำ� ผดิ มากขน้ึ โดยหลีกเลี่ยงไม่ให้ผู้กระท�ำผิดถูกลงโทษในลักษณะท่ีเป็นการท�ำลายศักยภาพในการกลับสู่สังคมของเขาด้วย การใช้มาตรการลงโทษที่ไม่ท�ำให้เกิดรอยมลทินและได้เรียนรู้จากผู้กระท�ำผิดอ่ืน ๆ ผู้ต้องขังวัยหนุ่ม เป็น ผู้ต้องขังท่ีมีช่วงอายุอยู่ระหว่าง 18-25 ปี หากสามารถแก้ไขและฟื้นฟูพฤตินิสัยผู้ต้องขังวัยหนุ่มได้ ผู้ต้องขัง วัยหนมุ่ เหลา่ น้ี ก็จะเป็นกำ� ลังหลกั ในการพฒั นาประเทศชาติไดใ้ นอนาคต แนวทางการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังวัยหนุ่มของประเทศไทย โดยก�ำหนดหลักเกณฑ์การย้ายผู้ต้องขัง วยั หน่มุ ว่าผ้ตู อ้ งขงั วัยหนมุ่ ต้องมคี ุณสมบัติ ดังต่อไปนี้ (กรมราชทัณฑ,์ 2552: 10) 1) อายุไม่เกนิ 25 ปี คดีเดด็ ขาด 2) มโี ทษเหลือจ�ำคกุ ต่อไปเกิน 6 เดือน และไมเ่ กินอำ� นาจการควบคุมของทณั ฑสถานวัยหนุ่ม หรอื สถานแรกรบั ผตู้ อ้ งขังวัยหนุ่ม 3) ไม่เป็นโรคติดต่อเร้อื รัง หรือโรคจิตโรคประสาท 4) ไม่เปน็ ผูท้ พุ พลภาพ 5) ไม่เปน็ ผู้ทมี่ พี ฤตกิ ารณ์ เบ่ียงเบนทางเพศ 6) ผา่ นการจำ� แนกลักษณะผตู้ อ้ งขัง โดยคณะกรรมการจำ� แนกลกั ษณะผตู้ อ้ งขงั ของเรือนจำ� แนวทางการปฏบิ ตั ติ อ่ ผตู้ อ้ งขงั วยั หนมุ่ ของตา่ งประเทศ การปฏบิ ตั ติ อ่ ผตู้ อ้ งขงั วยั หนมุ่ ในประเทศตา่ ง ๆ จะมีลักษณะคล้ายคลึงกันในลักษณะท่ีค่อนข้างจะผ่อนปรนมากกว่าผู้ต้องขังท่ีเป็นผู้ใหญ่ ซึ่งการปฏิบัติต่อ ผู้ต้องขังวัยหนุ่มในประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศอังกฤษ ได้รับการยกย่องว่าเป็นแบบอย่างในการให้ การปฏบิ ตั ติ อ่ ผตู้ อ้ งขงั วยั หนมุ่ โดยมรี ายละเอยี ด ดงั นี้ (มหาวทิ ยาลยั สโุ ขทยั ธรรมาธริ าช, 2550: 129-131) เชน่ ในประเทศสหรัฐอเมรกิ า มีแนวความคิดในเร่อื งการปฏิบัตติ ่อผ้ตู อ้ งขงั วัยหนมุ่ ในประเทศสหรฐั อเมรกิ า ได้เริ่ม ขี้นครง้ั แรกในปี ค.ศ. 1876 โดยมีการจดั ตง้ั ทัณฑสถานเอลมริ า่ (Elmira Reformatory) ขึน้ ในมลรัฐนิวยอร์ก อาคารสถานทข่ี องทณั ฑสถานแหง่ นมี้ ลี กั ษณะคลา้ ยคลงึ กบั ระบบออรเ์ บริ น์ (Auburn system) แตไ่ ดเ้ นน้ หนกั ในเรื่องการปฏิบัติต่อผู้กระท�ำผิด แบบมีเหตุผลและมนุษยธรรมมากยิ่งขึ้น แนวความคิดและความเป็นมา การจัดต้ังระบบทัณฑสถานวัยหนุ่มบอร์สตัลในสหรัฐอเมริกาและในประเทศอังกฤษนับเป็นยุคทองการปฏิรูป การแกไ้ ขปญั หาอาชญากรรมวยั หนมุ่ อยา่ งแทจ้ รงิ สว่ นหนง่ึ สาเหตสุ ำ� คญั อนั เปน็ ตน้ กำ� เนดิ ของระบบนี้ เนอ่ื งจาก รายงานสถิติผู้กระท�ำความผิดวัยหนุ่ม ของคณะกรรมการเรือนจ�ำอังกฤษ ค.ศ. 1895 แสดงให้เห็นถึง ความล้มเหลวของการจ�ำคกุ ผกู้ ระท�ำความผิดวัยหนมุ่ ใหอ้ ยู่รวมกบั ผู้ต้องขังทเ่ี ป็นผู้ใหญ่ เป็นตน้ ทฤษฎดี า้ นอาชญาวทิ ยาและทณั ฑวทิ ยา ในการวเิ คราะหพ์ ฤตกิ รรมของผตู้ อ้ งขงั วยั หนมุ่ ประกอบดว้ ย ทฤษฎีอาชญาวิทยาและทณั ฑวทิ ยา ได้แก่ ทฤษฎอี าชญาวทิ ยาดง้ั เดมิ (Theory of Classical School of Criminology) ทเ่ี น้นการปรับปรุง แก้ไขกระบวนการยุติธรรม ให้มีความเป็นธรรมและเสมอภาค โดยมิให้ตกเป็นเคร่ืองมือของผู้ปกครอง เพื่อ 68 บณั ฑติ วทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั สวนดุสิต

รกั ษาอำ� นาจการปกครอง (พรชยั ขนั ต,ี 2553: 62-63) ทฤษฎีเลือกอย่างมเี หตผุ ล (Theory of Rational Choice) ที่เปรยี บเทยี บระหว่างผลท่บี คุ คลจะได้ รับกับผลเสียที่อาจเกิดข้ึนจากการประกอบอาชญากรรม หากเห็นว่าจะได้ผลประโยชน์มากกว่าก็จะเลือก ประกอบอาชญากรรมซึ่งผลประโยชน์ท่ีต้องการน้ันไม่ได้อยู่ในลักษณะของทรัพย์สินเท่านั้น แต่อาจเป็น ผลประโยชน์หรอื ความพึงพอใจทางจิตใจไดอ้ ีกดว้ ย (พรชัย ขันตี, 2553: 17-18) ทฤษฎสี ังคมไร้ระเบียบ (Theory of Social Disorganization) ปจั จยั ทางดา้ นวฒั นธรรมและฐานะ ทางสงั คมเศรษฐกิจซ่ึงเดก็ วยั ร่นุ ไดแ้ สดงออกมา และร้ถู งึ เงอ่ื นไขที่อาจเป็นสาเหตขุ องพฤติกรรมอาชญากรรม โดย คลิฟฟอร์ทชอร์ (Clifford Shaw, 1930 อ้างถึงใน พรชัย ขันตี, 2553: 19-21) นักสังคมศาสตร์ของ มหาวิทยาลัยชิคาโก ได้น�ำทฤษฎีสังคมไร้ระเบียบของโรเบิร์ตปาร์คมาใช้เป็นแนวทางในการศึกษาปัญหา อาชญากรรมของเยาวชนในเมืองชิคาโก โดยได้น�ำระเบียบวิธีวิจัยของระบบนิเวศวิทยา และการศึกษา อตั ชวี ประวัตมิ าใชศ้ ึกษาปัญหา ทฤษฎคี วามกดดนั (Theory of Strain) โดย โรบ์ิรท เมอร์ตัน (Merton, Robert K., 1938 อ้างถึง ใน พรชยั ขันต,ี 2553: 9-11) เปน็ ผู้นำ� หลกั การสงั คมไรบ้ รรทดั ฐานของเดอรค์ ารม์ มาสร้างเปน็ ทฤษฎีขึน้ ใหม่ เพื่ออธิบายพฤติกรรมอาชญากรรมในประเทศสหรัฐอเมริกา โดยอธิบายไว้ว่าสภาพสังคมมีอิทธิพลใน การปลกู ฝังใหบ้ คุ คลมคี า่ นยิ มหรอื ความอยากบางประการ แตใ่ นขณะเดยี วกนั โครงสรา้ งทางสงั คมก็อาจจ�ำกดั ความสามารถของบคุ คลเฉพาะกลุ่มในการบรรลคุ วามตอ้ งการนั้น ทฤษฎีควบคุมทางสังคม (Theory of Social Control) ทฤษฎีควบคุมที่นับว่าได้รับการยอมรับ มากทีส่ ดุ ในวงการอาชญาวิทยากค็ ือทฤษฎีพนั ธะทางสังคม (Theory of Social Bonding) ของทราวิสเฮอรช์ ิ โดยมีใจความส�ำคัญว่าบุคคลที่มีความผูกพันกับองค์กรหรือกลุ่มในสังคม ซ่ึงได้แก่ ครอบครัว โรงเรียนและ เพ่ือนฝูงมักจะมีแนวโน้มท่ีจะไม่ประกอบอาชญากรรม หลักการส�ำคัญของทฤษฎีนี้ก็คือพันธะทางสังคมหรือ ความผูกพนั กับสงั คม (Social Bond) ทเ่ี ฮอรช์ ิได้แบง่ ออกเปน็ 4 ประเภท คอื ความผกู พนั (Attachment) ข้อผูกมัด (Commitment) การเข้าร่วม (Involvement) และความเชื่อ (Belief) (Hirschi Travis, 1969 อา้ งถงึ ใน พรชัย ขนั ตี, 2553: 12-13) ทฤษฎีการคบหาสมาคมที่แตกต่างกันของเอ็ดวิน ซัทเธอร์แลนด์ (Theory of Sutherland’s Differential Association) ทฤษฎขี องซทั เธอร์แลนด์ (Sutherland, Edwin H., 1937) นำ� เสนอว่าพฤติกรรม อาชญากรรม เกดิ จากการทบี่ คุ คลไดเ้ รยี นรพู้ ฤตกิ รรมอาชญากรรม และมคี วามเหน็ ดว้ ยกบั พฤตกิ รรมทล่ี ะเมดิ กฎหมายนั้น ซึ่งการเรียนรู้พฤติกรรมและทัศนคติเกิดจากการคบหาสมาคมกับบุคคลที่ใกล้ชิด (พรชัย ขันตี, 2553: 10) ทฤษฎตี ตี รา (Theory of Labelling ) ทฤษฎอี ธบิ ายวา่ เยาวชนทก่ี ระทำ� ผดิ หรอื มพี ฤตกิ รรมเบยี่ งเบน ครง้ั แรกหากแตด่ งั้ เดมิ ไมไ่ ดถ้ กู ผปู้ กครองตราหนา้ หรอื ประณามวา่ เปน็ คนเกเรหรอื คนไมส่ ามารถปรบั ปรงุ ตวั ได้ ก็ยังสามารถที่จะแก้ไขปรับปรุงพฤติกรรมได้ ในทางตรงกันข้ามหากผู้ปกครองได้ตราหน้าหรือประณามว่า เยาวชนเป็นคนเกเรหรือตัววุ่นวายแล้ว จะท�ำให้เยาวชนดังกล่าวมีพฤติกรรมอาชญากรรมเบี่ยงเบนจนยากที่ จะแก้ไขได้ (พรชยั ขนั ต,ี 2553: 20) ทฤษฎีการลงโทษเพือ่ การแก้ไขฟื้นฟูผูก้ ระท�ำความผดิ (Theory of Rehabilitation) มีแนวความคดิ หลกั ทางด้านอาชญาวิทยาทสี่ ำ� คัญอยา่ งยิ่ง 2 แนวความคิด คือ แนวความคดิ ด้านอาชญาวทิ ยาในยคุ ตน้ ท่จี ะ ปที ี่ 16 ฉบบั ท่ี 1 ประจ�ำ เดอื นมกราคม - เมษายน 2563 69

มงุ่ มั่นลงโทษเพอ่ื ปอ้ งกนั มใิ ห้ผู้ใดกระทำ� ความผดิ ซำ้� ขนึ้ อีก และปราบปรามเพอื่ ใหป้ รากฏเป็นตัวอยา่ งแก่ผ้อู ืน่ และแนวความคิดด้านอาชญาวิทยาปฎิฐานนิยม ซึ่งเน้นหนักในการปฏิบัติต่อผู้กระท�ำผิด โดยให้ความส�ำคัญ กับการแก้ไขทีต่ น้ เหตเุ พอ่ื บำ� บัดรักษาและฟน้ื ฟู กระบวนการลงโทษผกู้ ระทำ� ความผดิ ในปจั จบุ นั ได้นำ� ปรชั ญา ท้ังสองแนวคิดมาประยกุ ต์ใชเ้ ปน็ แนวทางปฏิบัติ กรอบแนวคิด ภาพท่ี 1 กรอบแนวคิด ระเบียบวิธีวจิ ยั ประชากรและกลุ่มตวั อย่าง ในการวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้วิธีการเลือกกลุ่มผู้ให้ข้อมูลส�ำคัญอย่างเฉพาะเจาะจง (Purposive Selection) เพ่ือให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการวิจัย และตามความประสงค์ของผู้วิจัย โดยจะเลือกกลุ่ม ผู้ใหข้ ้อมลู ส�ำคญั รวมท้งั สิน้ จำ� นวน 26 คน ดังนี้ - ผบู้ รหิ ารระดบั สงู ในกรมราชทณั ฑ์ ซง่ึ เปน็ ผทู้ ม่ี คี วามเชยี่ วชาญและประสบการณท์ างดา้ นการบรหิ าร งานราชทัณฑ์เป็นอย่างดี จ�ำนวน 1 คน คือ อธิบดีหรือรองอธิบดีท่ีมีหน้าท่ีรับผิดชอบเกี่ยวกับการพัฒนา 70 บณั ฑิตวทิ ยาลัย มหาวิทยาลยั สวนดสุ ติ

พฤตินสิ ยั ผู้ตอ้ งขงั - กลมุ่ ผบู้ รหิ ารในระดบั ทณั ฑสถานของทณั ฑสถานวยั หนมุ่ กลาง ซง่ึ เปน็ ผทู้ ม่ี คี วามรแู้ ละประสบการณ์ ตรง ประกอบไปด้วย ผู้อ�ำนวยการทัณฑสถาน ผู้อ�ำนวยการส่วน หัวหน้าฝ่ายและหัวหน้างานท่ีมีหน้าท่ี รับผดิ ชอบเก่ยี วกับการพัฒนาพฤตินสิ ยั ผตู้ ้องขังวยั หนุ่ม จำ� นวน 5 คน - กลมุ่ ผทู้ รงคณุ วฒุ ดิ า้ นอาชญาวทิ ยาและด้านทณั ฑวิทยา จ�ำนวน 5 คน - กลุ่มนกั จิตวิทยาและนักสังคมสงเคราะห์ จำ� นวน 5 คน - กลมุ่ ผตู้ อ้ งขงั วยั หนมุ่ ทงั้ ทยี่ งั ไมเ่ คยเขา้ รว่ มโปรแกรม กำ� ลงั ดำ� เนนิ การตามโปรแกรม และทเ่ี คยผา่ น การด�ำเนินการตามโปรแกรมแกไ้ ขฟนื้ ฟูมาแลว้ เขา้ ร่วมสนทนากลมุ่ ย่อย (Focus Group) จ�ำนวน 10 คน ในการวิจัยเชิงปริมาณ ประชากรที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ คือ เจ้าหน้าที่ทัณฑสถานวัยหนุ่มกลาง จำ� นวน 161 คน และเจา้ หนา้ ทส่ี ำ� นักพัฒนาพฤตินิสัย กรมราชทณั ฑ์ จำ� นวน 59 คน รวมทงั้ ส้นิ จ�ำนวน 220 คน (เกบ็ ขอ้ มลู จากทกุ หนว่ ยของประชากร) การสรา้ งเครือ่ งมอื และการตรวจสอบคุณภาพเครอ่ื งมอื ทใ่ี ชใ้ นการวจิ ัย เครอ่ื งมือในการวิจัยเชงิ คุณภาพ (Qualitative Research) ใชแ้ บบสัมภาษณ์เชงิ ลึกเป็นเคร่ืองมือใน การเกบ็ รวบรวมข้อมลู ดงั น้ี ขั้นตอนท่ี 1 การศึกษาทบทวนวรรณกรรมจากแนวคิดทฤษฎีและงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้อง มาสร้าง แบบสัมภาษณ์เชิงลกึ โดยให้ครอบคลมุ ตามวัตถปุ ระสงค์ทต่ี อ้ งการศึกษา ขั้นตอนที่ 2 ผู้วิจัยจะน�ำเคร่ืองมือ คือ แบบสัมภาษณ์เชิงลึกดังกล่าวไปให้อาจารย์ท่ีปรึกษาและ ผเู้ ชย่ี วชาญ เพอื่ ตรวจสอบความถกู ตอ้ งวา่ แบบสมั ภาษณเ์ ชงิ ลกึ นน้ั ถกู ตอ้ ง ครบถว้ น ตรงประเดน็ ของการศกึ ษา ครั้งนี้ ขนั้ ตอนที่ 3 เมอื่ ผเู้ ชย่ี วชาญตรวจสอบความถกู ตอ้ งแลว้ ผวู้ จิ ยั ไดน้ ำ� แบบสมั ภาษณด์ งั กลา่ วไปทดสอบ ความเขา้ ใจและเนอื้ หาของแบบสัมภาษณก์ ่อนน�ำไปใช้จรงิ เครื่องมือในการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) ใช้แบบสอบถาม (Questionnaire) เปน็ เครอื่ งมือในการเก็บรวบรวมข้อมลู ดังน้ี 1. น�ำข้อมลู ท่ไี ดจ้ ากการศกึ ษาวิจัยเชงิ คุณภาพมาวเิ คราะห์ สังเคราะห์ ก�ำหนดขอบเขตและเน้ือหา ในการสร้างแบบสอบถาม เพื่อให้ครอบคลุมถึงวตั ถปุ ระสงคท์ ่ีต้องการ 2. น�ำแบบสอบถามท่ีสร้างข้ึนไปให้อาจารย์ที่ปรึกษาและผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบอีกครั้ง เพ่ือ ความเหมาะสมและเทยี่ งตรงตามเนอื้ หา (Content Validity) 3. น�ำแบบสอบถามท่ีแก้ไขปรับปรุงแล้วไปท�ำการทดสอบ (Try-out) เพ่ือหาความถูกต้องและ เหมาะสมของแบบสอบถามกับข้าราชการราชทัณฑ์ที่ปฏิบัติงานเกี่ยวกับการแก้ไขและพัฒนาพฤตินิสัย ผู้ต้องขัง จ�ำนวน 30 รายท่ีไม่ใช่ประชากรท่ีศึกษา ค�ำนวณค่าความเชื่อมั่น (Reliability) ด้วยวิธีการหาค่า สมั ประสทิ ธิแ์ อลฟ่าของครอนบาค (Conbach’s α-Coefficient) ได้ค่าความเช่อื ม่นั เท่ากับ 0.89 4. จากนั้นได้น�ำแบบสอบถามมาปรับปรุงอีกครั้งก่อนน�ำไปเก็บรวบรวมข้อมูล โดยแบบสอบถามได้ แบ่งออกเปน็ 2 ส่วน ดงั นี้ ส่วนท่ี 1 ขอ้ มูลท่ัวไปของกลุ่มประชากรผ้ตู อบแบบสอบถาม ไดแ้ ก่ เพศ อายุ ระดบั การศกึ ษาสูงสดุ ระดบั ต�ำแหน่ง และประสบการณใ์ นงานราชทณั ฑ์ ปที ่ี 16 ฉบบั ที่ 1 ประจำ�เดอื นมกราคม - เมษายน 2563 71

ส่วนที่ 2 ระดับความคิดเห็นเกี่ยวกับมาตรการเพ่ิมประสิทธิภาพระบบการพัฒนาพฤตินิสัยของ ผตู้ อ้ งขงั วัยหนุม่ การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู เชิงคุณภาพ ผวู้ จิ ัยไดด้ ำ� เนินการ ดังน้ี 1) ผู้วจิ ัยท�ำหนงั สือถงึ ผูใ้ ห้ข้อมลู สำ� คัญ (Key Information) เพื่อขอความอนเุ คราะห์สัมภาษณต์ าม แบบสัมภาษณ์ท่ีผ่านความเห็นชอบจากอาจารย์ท่ีปรึกษาและผู้เชี่ยวชาญ โดยให้ผู้ให้ข้อมูลส�ำคัญ เปน็ ผู้นดั หมาย วนั สัมภาษณ์ 2) ผู้วิจัยเดินทางไปด�ำเนินการสัมภาษณ์แบบเจาะลึก (In-depth interview) ด้วยตนเอง โดย ขออนญุ าตบนั ทกึ เสยี ง และถา่ ยภาพในขณะทที่ ำ� การสมั ภาษณ์ รว่ มกบั การจดบนั ทกึ ในประเดน็ สำ� คญั ในขณะ สมั ภาษณ์ 3) ส�ำหรบั กลมุ่ ผ้ตู ้องขงั ที่เข้ารว่ มสนทนากลมุ่ ยอ่ ย (Focus Group) โดยผู้วจิ ัยทำ� หนังสอื ขออนุญาต เพ่ือขอสัมภาษณ์กลุ่มผู้ต้องขังตามแบบสัมภาษณ์ท่ีผ่านความเห็นชอบจากอาจารย์ท่ีปรึกษาและผู้เช่ียวชาญ แลว้ ภายใตค้ วามยนิ ยอมของผู้ตอ้ งขัง โดยผวู้ ิจยั ด�ำเนนิ การสัมภาษณ์ด้วยตนเอง 4) เม่ือผู้วิจัยได้ข้อมูลที่ได้จากการจดบันทึกภาคสนาม (Field Notes) พร้อมเทปบันทึกเสียงและ ภาพถ่ายแล้ว น�ำมาตรวจสอบคัดกรองและเรียบเรียงข้อมูลดิบ เพ่ือความสมบูรณ์ของข้อมูลและเนื้อหาตาม ประเดน็ สมั ภาษณใ์ ห้ครอบคลุมตามวัตถุประสงค์ของการวิจัย เพ่อื นำ� ขอ้ มูลไปทำ� การวเิ คราะห์และสงั เคราะห์ ในขัน้ ของการวิจัยตอ่ ไป การเกบ็ รวบรวมข้อมูลเชงิ ปริมาณ ผู้วิจัยไดด้ �ำเนนิ การ ดงั นี้ 1) ผู้วิจยั มหี นังสือถึงหนว่ ยงาน 2 แหง่ ไดแ้ ก่ ส่วนกลางกรมราชทัณฑ์ และทณั ฑสถานวัยหนมุ่ กลาง เพอื่ ขอความอนเุ คราะหต์ อบแบบสอบถาม (Questionnaire) ทผ่ี วู้ จิ ยั ไดจ้ ดั ทำ� ขน้ึ ตามประเดน็ ทไ่ี ดจ้ ากการวจิ ยั ในเชิงคุณภาพ 2) ผวู้ จิ ยั นำ� สง่ แบบสอบถามดังกล่าวและเกบ็ คืนกลบั ด้วยตนเอง ตามเวลาทก่ี ำ� หนด 3) ผวู้ จิ ยั ทำ� การตรวจสอบความสมบรู ณแ์ ละความครบถว้ นของแบบสอบถามกอ่ นจะนำ� ไปลงรหสั ใน โปรแกรมคอมพิวเตอร์เพอ่ื ท�ำการวเิ คราะหข์ ้อมลู ตอ่ ไป การวเิ คราะหข์ อ้ มูล การวิเคราะหข์ อ้ มลู เชิงคณุ ภาพ 1) ผวู้ จิ ยั น�ำข้อมูลท่ไี ด้จากการสมั ภาษณเ์ ชิงลกึ (In-depth Interview) และจากการเขา้ ร่วมสนทนา กลุ่มย่อย (Focus Group) ผู้ต้องขังวัยหนุ่ม จากแบบสัมภาษณ์เชิงโครงสร้าง มาท�ำการถอดข้อความและ ถอดเทป ค�ำสัมภาษณ์เป็นรายบุคคล 2) ผวู้ จิ ยั นำ� ขอ้ มลู ดงั กลา่ วมาสรปุ วเิ คราะห์ และจดั หมวดหมเู่ รยี บเรยี งคำ� สมั ภาษณใ์ หต้ รงกบั ประเดน็ การศึกษาและสรปุ คำ� ใหส้ มั ภาษณต์ ามประเด็นของการศึกษาวิจยั 3) เม่ือด�ำเนนิ การสรปุ วเิ คราะห์ จดั หมวดหมู่ และเรยี บเรียงคำ� ให้สมั ภาษณข์ องผู้ใหข้ อ้ มูลสำ� คัญใน แตล่ ะกลุ่มแล้ว ผวู้ จิ ัยได้น�ำผลจากการสมั ภาษณผ์ ู้ให้ข้อมูลส�ำคญั ทั้งกลมุ่ มาทำ� การกลน่ั กรอง วเิ คราะห์ และ สังเคราะห์ข้อมูลอีกคร้ัง เพ่ือให้ได้ผลการศึกษาท�ำเป็นค�ำตอบหรือความคิดเห็นของผู้ให้ข้อมูลส�ำคัญ ในภาพรวมทงั้ หมด 72 บณั ฑิตวิทยาลยั มหาวิทยาลัยสวนดุสติ

4) น�ำความคิดเห็นของผู้ให้ข้อมูลส�ำคัญในการวิจัยเชิงคุณภาพ มาจัดท�ำเป็นข้อค�ำถาม เพ่ือน�ำไป ด�ำเนนิ การศกึ ษาวิจัยในเชิงปริมาณ ต่อไป การวเิ คราะหข์ อ้ มูลเชิงปรมิ าณ เมื่อผู้วิจัยได้เก็บรวบรวมแบบสอบถามกลับคืนมาครบถ้วน และท�ำการตรวจสอบความถูกต้องของ แบบสอบถามแลว้ ผวู้ จิ ยั ไดด้ ำ� เนนิ การลงรหสั (Coding) ตามขอ้ มลู และนำ� มาประมวลผลโดยโปรแกรมสำ� เรจ็ รปู สำ� หรับแบบสอบถามสว่ นท่ีเปน็ มาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scales) การใหค้ ะแนนตามลำ� ดับ 5, 4, 3, 2 และ 1 ตามแบบลิเคอรท์ สเกล (Likert Scales) สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลครั้งน้ี ใช้สถิติพรรณนา (Descriptive Statistics) โดยใช้ค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลย่ี (Mean) และสว่ นเบยี่ งเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) เพือ่ วิเคราะหข์ อ้ มลู ส่วนบุคคลของประชากร รวมถึง ระดับความคิดเห็นท่ีมีต่อมาตรการเพ่ิมประสิทธิภาพระบบการพัฒนา พฤตินิสยั ผตู้ ้องขงั วยั หน่มุ ในด้านนโยบาย ด้านอาคารสถานท่ี ดา้ นกระบวนการแก้ไขฟ้ืนฟู ด้านบคุ ลากร และ ด้านความรว่ มมือในการแก้ไขฟ้นื ฟผู ้ตู ้องขังวยั หนุม่ ผลการศกึ ษา ผลการวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพ สภาพปัญหา และอุปสรรค ในการด�ำเนินงานด้านการพัฒนาพฤตินิสัยผู้ต้องขังทัณฑสถานวัยหนุ่ม กลาง มีดงั นี้ 1. ปัญหาดา้ นนโยบาย 1) นโยบายก�ำหนดมาชัดเจน แต่การปฏิบัติหรือการขับเคล่ือนไม่ชัด ไม่มีแนวทางปฏิบัติอย่าง จรงิ จงั หรอื เปน็ มาตรฐานเดยี วกนั เนอื่ งจากขอ้ จำ� กดั บางประการของเรอื นจำ� แตล่ ะแหง่ ตา่ งกนั 2) นโยบายดา้ น การพัฒนาพฤตนิ สิ ยั ของกรมราชทณั ฑ์ เน้นการทำ� งานในภาพรวมของผ้ตู ้องขงั ทกุ กลุ่มมากกวา่ การเจาะจงไป ทผี่ ตู้ อ้ งขงั เฉพาะกลมุ่ หรอื เฉพาะราย 3) นโยบายเกยี่ วกบั การควบคมุ หรอื ความมน่ั คงของผบู้ รหิ ารเรอื นจำ� หรอื ทณั ฑสถาน บางนโยบาย เป็นอุปสรรคตอ่ การดำ� เนนิ การตามโปรแกรมแกไ้ ขฟนื้ ฟู 2. ปญั หาด้านงบประมาณ 1) งบประมาณท่ีได้รบั การจดั สรรไม่เพยี งพอและเหมาะสมกบั ภารกิจทเี่ พ่ิมมากขึ้น 2) ภาครฐั / รัฐบาล ยงั มที ัศนคตใิ นเชิงลงโทษมากกว่าการแก้ไขและพฒั นาพฤตินิสยั ทำ� ใหง้ บประมาณที่ได้รบั การจดั สรร เกี่ยวกับการแก้ไขฟื้นฟูพฤตินิสัยผู้ต้องขังนั้นมีน้อยมากเมื่อเทียบกับงบประมาณด้านการควบคุมและเสริม ความมัน่ คง 3. ปัญหาด้านอาคารสถานท่ี 1) เรือนจ�ำหรือทัณฑสถานส่วนใหญ่ถูกสร้างขึ้นด้วยวัตถุประสงค์ในการควบคุมไม่ให้หลบหนี เท่านั้น ท�ำให้โครงสร้างพื้นฐานไม่เอื้อต่อการแก้ไขฟื้นฟูพฤตินิสัยผู้ต้องขัง 2) อาคารสถานที่ของทัณฑสถาน วัยหน่มุ กลางมีการแบง่ แดนออกอย่างชัดเจน กว้างขวาง เพ่ือประโยชน์ต่อการควบคุม แดนบางแดนถกู ปรับ เป็นแดนของการแก้ไขฟื้นฟูแต่ก็ยังปฏิบัติภารกิจด้านการแก้ไขฟื้นฟูได้ไม่เต็มท่ี เพราะโครงสร้างเดิมมิได้ สร้างมาเพื่อใช้ในการแก้ไขฟื้นฟู 3) การออกแบบอาคารสถานที่ไม่เหมาะสม มีข้อจ�ำกัดจากอาคารสถานที่ ในการดำ� เนินงาน ซงึ่ ต้องขน้ึ อยกู่ ับการควบคมุ ดูแลผู้ต้องขงั เป็นหลกั ปที ่ี 16 ฉบับที่ 1 ประจ�ำ เดือนมกราคม - เมษายน 2563 73

4. ปัญหาดา้ นการจำ� แนกลักษณะผตู้ อ้ งขงั 1) ระบบการจ�ำแนกยังไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ เจ้าหน้าที่ขาดความรู้ความสามารถใน การจำ� แนกเพอื่ หาสาเหตกุ ารกระทำ� ผดิ ทแ่ี ทจ้ รงิ ของผตู้ อ้ งขงั 2) ผตู้ อ้ งขงั มกั จะปดิ บงั ขอ้ มลู ทแ่ี ทจ้ รงิ ของตนเอง เนอ่ื งจากอายหรอื กลวั จะมผี ลตอ่ รปู คดี หรอื ประเดน็ ในการสมั ภาษณไ์ มค่ รอบคลมุ ทำ� ใหไ้ มไ่ ดร้ บั ขอ้ มลู ทแี่ ทจ้ รงิ 5. ปญั หาดา้ นตวั โปรแกรมการแก้ไขฟ้ืนฟู 1) การนำ� ตวั โปรแกรมแกไ้ ขฟน้ื ฟลู งไปใชจ้ รงิ ไมต่ รงกบั กลมุ่ เปา้ หมายเพราะไมส่ ามารถหาสาเหตุ ที่แทจ้ ริงของผู้กระทำ� ผดิ ได้ ซ่งึ เปน็ ผลมาจากการจ�ำแนกท่ไี มม่ ปี ระสทิ ธภิ าพ 2) ความคาดหวังในการเข้าร่วม โปรแกรมของกรมราชทณั ฑแ์ ละของผตู้ อ้ งขงั นน้ั ตา่ งกนั ทำ� ใหว้ ตั ถปุ ระสงคแ์ ละผลลพั ธข์ องการเขา้ รว่ มโปรแกรม ออกมาต่างกัน 6. ปญั หาดา้ นบคุ ลากร 1) อัตราก�ำลังเจ้าหน้าที่ท่ีปฏิบัติหน้าที่ด้านแก้ไขฟื้นฟูไม่สอดคล้องกับภารกิจและจ�ำนวนผู้ต้องขัง ทเ่ี พม่ิ มากขน้ึ 2) เจา้ หนา้ ทท่ี ปี่ ฏบิ ตั หิ นา้ ทด่ี า้ นจำ� แนกลกั ษณะผตู้ อ้ งขงั และดา้ นการแกไ้ ขฟน้ื ฟพู ฤตนิ สิ ยั ยงั ขาด ความรู้ ความช�ำนาญเฉพาะดา้ น 3) ขาดแคลนบคุ ลากรและวทิ ยากรเฉพาะทางในการให้ความร้แู ก่ผตู้ อ้ งขังได้ อย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ 4) ทัศนคติของเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ส่วนใหญ่ถูกปลูกฝังหรือฝึกมาเพื่อควบคุม ผู้ต้องขังไม่ให้หลบหนีเป็นหลัก ท�ำให้มีทัศนคติในเชิงลบกับผู้ต้องขัง 5) การทุจริตและการขาดจิตส�ำนึกของ เจ้าหน้าท่ีจ�ำแนกลักษณะผู้ต้องขังหรือเจ้าหน้าท่ีท่ีมีหน้าท่ีเกี่ยวข้อง 6) เจ้าหน้าที่จ�ำแนกเป็นผู้หญิง เสียส่วนใหญ่ ส่งผลใหก้ ารท�ำงานในเรอื นจำ� ชายซงึ่ มขี อ้ จ�ำกัดเร่ืองเพศนั้นค่อนขา้ งล�ำบาก 7. ปญั หาดา้ นความร่วมมือ 1) ครอบครวั และชมุ ชน ไมส่ ามารถให้ความร่วมมือกับกรมราชทัณฑไ์ ดอ้ ย่างเต็มที่ 2) การเปิด โอกาสใหภ้ าคประชาสงั คมเขา้ มามสี ว่ นรว่ มยงั มนี อ้ ย สว่ นใหญย่ งั เปน็ ไปในรปู แบบของการบรจิ าคหรอื การชว่ ยเหลอื แบบขาดความตอ่ เนื่อง 3) ทศั นคติของคนในสังคมท่ยี งั มองในเร่อื งของการใชเ้ รอื นจ�ำเป็นสถานทลี่ งโทษและ แกแ้ ค้นทดแทนมากกวา่ การเปน็ ท่ปี รับเปล่ยี นตนเอง จึงทำ� ใหเ้ กิดความรว่ มมือน้อยกว่าที่ควรจะเป็น มาตรการเพ่มิ ประสิทธภิ าพระบบการพัฒนาพฤตินสิ ัยของผตู้ อ้ งขังวัยหนมุ่ มีดังน้ี 1. ด้านนโยบายการแกไ้ ขฟ้ืนฟผู ้ตู อ้ งขงั วัยหนุม่ 1) รัฐบาลต้องมีนโยบายที่ชัดเจนและพยายามผลักดันให้เกิดความต่อเนื่องในทุก ๆ ผู้บริหารท่ี โยกยา้ ยมา 2) กรมราชทณั ฑ์และทัณฑสถานวยั หนุ่มกลางควรต้องก�ำหนดทิศทางในการปฏบิ ตั เิ พอื่ ให้เป็นไป ตามนโยบาย การแก้ไขฟน้ื ฟูผู้ต้องขงั วัยหนุ่มใหช้ ัดเจน จริงจัง เปน็ ระบบ 3) ควรให้เจ้าหนา้ ทใ่ี นทณั ฑสถาน ทุกระดับ ทุกส่วน ทุกฝ่าย เข้ามามีส่วนร่วมในการด�ำเนินนโยบายด้านการแก้ไขฟื้นฟูพฤตินิสัยผู้ต้องขัง 4) ควรเพมิ่ อตั รากำ� ลงั เจา้ หนา้ ทใี่ หส้ อดคลอ้ งกบั จำ� นวนผตู้ อ้ งขงั และเพมิ่ งบประมาณดา้ นแกไ้ ขฟน้ื ฟใู หม้ ากขนึ้ 2. ดา้ นสถานทเ่ี อื้อตอ่ การแก้ไขฟ้ืนฟผู ู้ตอ้ งขงั วยั หนุม่ 1) โครงสรา้ งพนื้ ฐานตอ้ งเหมาะสมกบั ชว่ งวยั 2) ควรมบี รเิ วณกวา้ งขวางเพยี งพอทจ่ี ะจดั กจิ กรรม ให้กบั ผ้ตู ้องขงั เพอื่ ให้ผ้ตู อ้ งขังวัยหนมุ่ ไดใ้ ชพ้ ลงั งานท่ีตนมีและได้แสดงออกไปในทางท่ถี ูกตอ้ งซ่งึ แตกตา่ งจาก ผู้ต้องขังวัยอ่ืน 3) สถานที่ต้องเอ้ือต่อการเรียนรู้ จัดกิจกรรม รวมถึงการพัฒนาทักษะด้านต่าง ๆ 4) ควรมี แดนที่สามารถแบ่งได้อย่างชัดเจนของแต่ละภารกิจของกรมราชทัณฑ์ 5) การจัดภูมิทัศน์ควรออกแบบ เป็นการเฉพาะ 74 บณั ฑติ วทิ ยาลยั มหาวิทยาลัยสวนดสุ ิต

3. ด้านกระบวนการในการแก้ไขฟ้ืนฟูผู้ตอ้ งขงั วยั หน่มุ 1) ข้ันตอนในการจ�ำแนกลักษณะผู้ต้องขังของกระบวนการยุติธรรมประเทศไทยควรวางไว้ใน ขน้ั ตอนของศาลโดยนกั อาชญาวทิ ยาทม่ี คี วามรคู้ วามชำ� นาญเฉพาะดา้ น 2) ควรจำ� แนกลกั ษณะผตู้ อ้ งขงั วยั หนมุ่ เพื่อดูพฤติการณ์ตามความเส่ียงก่อนว่ามีพฤติการณ์ท่ีอาจเป็นอันตรายหรือหลบหนีมากน้อยเพียงใดและดูว่า กลมุ่ ใดพอจะแกไ้ ขได้ แลว้ จงึ จำ� แนกซำ้� ในกลมุ่ ทพ่ี อจะแกไ้ ขไดว้ า่ สาเหตทุ แ่ี ทจ้ รงิ ในการกระทำ� ความผดิ คอื อะไร 3) ระบบ การจำ� แนกลักษณะผตู้ ้องขงั ตอ้ งมีการพัฒนาให้มีประสิทธภิ าพ สามารถคน้ หาและวนิ จิ ฉัยการแก้ไข พฤตนิ สิ ยั ผตู้ อ้ งขงั ไดเ้ ปน็ รายบคุ คล ตอ้ งมคี วามละเอยี ดและหาสาเหตกุ ารกระทำ� ผดิ ทแี่ ทจ้ รงิ ได้ 4) ตวั โปรแกรม ควรเนน้ การแกไ้ ขทีส่ าเหตขุ องการกระทำ� ผดิ เสริมความรู้ ปรบั ทัศนคติผูต้ อ้ งขังและฝกึ ฝนทกั ษะ 5) การแก้ไข ฟน้ื ฟผู ตู้ อ้ งขงั วยั หนมุ่ ตอ้ งดำ� เนนิ การอยา่ งเปน็ ระบบทถี่ กู กำ� หนดขนึ้ โดยคณะทำ� งานทคี่ ำ� นงึ ถงึ ความเหมาะสม ระหวา่ งการควบคุมและการแกไ้ ขฟน้ื ฟทู ี่ต้องดำ� เนินการควบคกู่ ันไป 6) กำ� หนดระยะเวลาของแต่ละแผนงาน ใหช้ ดั เจน แนน่ อนและเหมาะสม ซงึ่ ขนึ้ อยกู่ บั วา่ ผตู้ อ้ งขงั วยั หนมุ่ กลมุ่ นน้ั มอี ตั ราความเสยี่ งทจ่ี ะกระทำ� ผดิ ซำ�้ มากนอ้ ย เพียงใด 7) ต้องสรา้ งแรงจูงใจใหก้ ับผตู้ อ้ งขงั วยั หนมุ่ โดยการก�ำหนดหลกั เกณฑ์การให้รางวัลและการลงโทษที่ ชดั เจน มมี าตรฐานเดยี วไมเ่ ลอื กปฏบิ ตั ิ ซงึ่ ใชว้ ธิ สี อบถามความสมคั รใจโดยโนม้ นา้ วใหเ้ หน็ ประโยชนค์ วบคไู่ ปกบั วธิ กี ารกงึ่ บงั คบั 8) ควรมกี ารประเมนิ ผลการดำ� เนนิ งานในทกุ ขน้ั ตอน ชว่ งกอ่ นเขา้ รว่ มโปรแกรม หลงั การเขา้ รว่ ม โปรแกรม และต้องมีการติดตามดูพฤติกรรมผู้ต้องขังวัยหนุ่มที่ย้ายไปคุมขังที่อื่นหรือติดตามดูการประกอบ อาชพี หลงั พน้ โทษรวมทงั้ มีการสร้างตัวชี้วัดความสำ� เร็จหลงั พ้นโทษประกอบการติดตามและประเมินผลดว้ ย 4. ด้านบคุ ลากรในการแก้ไขฟื้นฟูผู้ตอ้ งขงั วัยหนุม่ 1) เจ้าหน้าท่ีผู้มีหน้าท่ีในการแก้ไขฟื้นฟูผู้ต้องขังต้องมีจิตส�ำนึกของการเป็นผู้แก้ไขฟื้นฟูที่ดี ไมท่ จุ รติ ไมเ่ หน็ แกพ่ วกพอ้ ง โดยเฉพาะในขน้ั ตอนของการจำ� แนกลกั ษณะผตู้ อ้ งขงั 2) บคุ ลากรทจ่ี ะมาทำ� หนา้ ท่ี ในการแก้ไขฟื้นฟูผู้ต้องขังวัยหนุ่มต้องมีความรู้ในเชิงสหวิชาชีพโดยเฉพาะความรู้เกี่ยวกับจิตวิทยาวัยรุ่น อาชญาวิทยา ทัณฑวิทยา หลกั สิทธมิ นษุ ยชนและหลักธรรมะ 3) บุคลากรท่ีทำ� หนา้ ท่ีในการแก้ไขฟน้ื ฟตู ้องมี ทศั นคตเิ ชงิ บวกในการใหโ้ อกาสผตู้ อ้ งขงั มคี วามเปน็ ครแู ละเพอ่ื นไปในตวั เปน็ กนั เองกบั ผตู้ อ้ งขงั ดำ� รงตนเปน็ แบบอย่างที่ดีแก่ผู้ต้องขัง 4) ควรมีการปรับทัศนคติเจ้าหน้าท่ีให้ตระหนักถึงภารกิจการแก้ไขฟื้นฟูผู้ต้องขัง มากขนึ้ 5) ควรมหี ลกั สูตรการฝึกอบรม (Training Course) จัดฝกึ อบรมใหค้ วามรู้เสริมทกั ษะและเทคนิคให้ กับเจา้ หนา้ ทท่ี ่ปี ฏิบตั ิหนา้ ที่ ดา้ นการแกไ้ ขฟ้ืนฟูผตู้ อ้ งขังวยั หนมุ่ อยา่ งต่อเน่ืองและสม่�ำเสมอ 6) ควรมกี ารจัด ประชุมและอบรมเพือ่ เพมิ่ เติมความรู้ใหม่ ๆ ในด้านการแก้ไขและพัฒนาพฤตนิ สิ ยั ใหแ้ กผ่ ู้ดำ� เนนิ การอยอู่ ย่าง สม�ำ่ เสมอและต่อเนอ่ื ง และมีการแลกเปลยี่ นประสบการณ์ซงึ่ กันและกนั 5. ดา้ นความรว่ มมอื ในการแก้ไขฟนื้ ฟผู ตู้ อ้ งขังวยั หนุ่ม 1) ครอบครวั และชมุ ชนตอ้ งเขา้ มามสี ว่ นรว่ มในการแกไ้ ขฟน้ื ฟผู ตู้ อ้ งขงั วยั หนมุ่ โดยเฉพาะในชว่ ง ของการเตรยี มความพร้อมก่อนปลอ่ ย คอยประคบั ประคอง ให้โอกาส ไม่ประณามซ้�ำเตมิ หรอื ตตี รา 2) ควร ประสานขอความร่วมมือจากหน่วยงานภายนอกท้ังในภาคเอกชนและภาครัฐให้เข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไข ฟื้นฟูพฤตินิสัยผู้ต้องขังวัยหนุ่ม ทั้งในเร่ืองของวิทยากรที่มีความรู้ความสามารถเฉพาะด้าน ตลอดจนมี งบประมาณที่ไดร้ ับการจดั สรรไม่เพยี งพอ ผลการวจิ ัยเชิงปริมาณ ผลการศึกษาข้อมูลทว่ั ไปของผูต้ อบแบบสอบถามมีดังนี้ ปที ่ี 16 ฉบับที่ 1 ประจ�ำ เดอื นมกราคม - เมษายน 2563 75

ผวู้ จิ ยั ไดเ้ กบ็ แบบสอบถามจากประชากร 2 กลมุ่ คอื เจา้ หนา้ ทท่ี ณั ฑสถานวยั หนมุ่ กลาง และเจา้ หนา้ ท่ี ส�ำนักพฒั นาพฤตินิสัย กรมราชทัณฑ์ จากการน�ำมาวิเคราะห์ผลทางสถิติ พบวา่ กลมุ่ ประชากรสว่ นใหญ่เป็น เพศชาย จำ� นวน 167 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 75.91 มอี ายอุ ยใู่ นชว่ งระหวา่ ง 25-35 ปี จำ� นวน 72 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 32.73 มีระดบั การศึกษาอยูใ่ นระดบั ปริญญาตรี จ�ำนวน 124 คน คดิ เป็นร้อยละ 56.36 สว่ นใหญป่ ฏบิ ัตหิ น้าท่ี ในเรอื นจ�ำ/ทัณฑสถาน จำ� นวน 161 คน คิดเป็นรอ้ ยละ 73.18 และมีประสบการณ์ในงานราชทัณฑ์ระยะเวลา 5-10 ปี จ�ำนวน 61 คน คดิ เปน็ ร้อยละ 27.73 1. ระดบั ความคดิ เหน็ เกยี่ วกบั มาตรการเพมิ่ ประสทิ ธภิ าพระบบการพฒั นาพฤตนิ สิ ยั ผตู้ อ้ งขงั วยั หนมุ่ ด้านนโยบายการแก้ไขฟื้นฟูผู้ต้องขังวัยหนุ่ม จากการส�ำรวจข้อมูลระดับความคิดเห็นเก่ียวกับมาตรการเพิ่ม ประสทิ ธิภาพระบบการพัฒนาพฤตนิ ิสยั ผูต้ ้องขงั วยั หนุ่ม ดา้ นนโยบายการแก้ไขฟืน้ ฟผู ู้ต้องขังวัยหนุ่ม โดยรวม อยู่ที่ระดับมาก และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้านของปัจจัย พบว่า การก�ำหนดนโยบายท่ีชัดเจนและพยายาม ผลักดนั ใหเ้ กิดความตอ่ เน่อื งในทุก ๆ ผบู้ ริหารทโ่ี ยกย้ายมา อย่ใู นระดบั มากทส่ี ดุ 2. ระดบั ความคดิ เหน็ เกย่ี วกบั มาตรการเพม่ิ ประสทิ ธภิ าพระบบการพฒั นาพฤตนิ สิ ยั ผตู้ อ้ งขงั วยั หนมุ่ ด้านสถานท่เี อ้อื ต่อการแกไ้ ขฟนื้ ฟูผตู้ ้องขงั วยั หนุ่ม จากการสำ� รวจข้อมลู ระดบั ความคิดเหน็ เก่ยี วกบั มาตรการ เพมิ่ ประสทิ ธภิ าพระบบการพฒั นาพฤตนิ สิ ยั ผตู้ อ้ งขงั วยั หนมุ่ ดา้ นสถานทเี่ ออื้ ตอ่ การแกไ้ ขฟน้ื ฟผู ตู้ อ้ งขงั วยั หนมุ่ โดยรวมอยทู่ รี่ ะดบั มาก และเมอ่ื พจิ ารณาเปน็ รายดา้ นของปจั จยั พบวา่ ควรมแี ดนทส่ี ามารถแบง่ ไดอ้ ยา่ งชดั เจน ของแต่ละภารกิจของกรมราชทัณฑ์ (แดนที่เน้นการควบคุมไม่ให้หลบหนี/แดนที่เน้นการแก้ไขฟื้นฟู) อยู่ใน ระดับมาก 3. ระดบั ความคดิ เหน็ เกยี่ วกบั มาตรการเพมิ่ ประสทิ ธภิ าพระบบการพฒั นาพฤตนิ สิ ยั ผตู้ อ้ งขงั วยั หนมุ่ ดา้ นกระบวนการในการแกไ้ ขฟน้ื ฟผู ตู้ อ้ งขงั วยั หนมุ่ จากการสำ� รวจขอ้ มลู ระดบั ความคดิ เหน็ เกยี่ วกบั มาตรการ เพ่ิมประสิทธิภาพระบบการพัฒนาพฤตินิสัยผู้ต้องขังวัยหนุ่ม ด้านกระบวนการในการแก้ไขฟื้นฟูผู้ต้องขัง วัยหนุ่มโดยรวมอยู่ที่ระดับมาก และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้านของปัจจัย พบว่า ระบบการจ�ำแนกลักษณะ ผู้ต้องขังต้องมีการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพ สามารถค้นหาและวินิจฉัยการแก้ไขพฤตินิสัยผู้ต้องขังได้เป็น รายบคุ คล อยูใ่ นระดบั มาก 4. ระดบั ความคดิ เหน็ เกย่ี วกบั มาตรการเพม่ิ ประสทิ ธภิ าพระบบการพฒั นาพฤตนิ สิ ยั ผตู้ อ้ งขงั วยั หนมุ่ ดา้ นบคุ ลากรในการแกไ้ ขฟน้ื ฟผู ตู้ อ้ งขงั วยั หนมุ่ จากการสำ� รวจขอ้ มลู ระดบั ความคดิ เหน็ เกย่ี วกบั มาตรการเพม่ิ ประสิทธิภาพระบบการพัฒนาพฤตินิสัยผู้ต้องขังวัยหนุ่ม ด้านความร่วมมือในการแก้ไขฟื้นฟูผู้ต้องขังวัยหนุ่ม โดยรวมอยูท่ ร่ี ะดับมาก และเม่ือพจิ ารณาเป็นรายดา้ นของปัจจัย พบว่า ครอบครัวและชมุ ชนเขา้ มามีสว่ นรว่ ม ในการแกไ้ ขฟน้ื ฟผู ตู้ อ้ งขงั วยั หนมุ่ โดยเฉพาะในชว่ งของการเตรยี มความพรอ้ มกอ่ นปลอ่ ย คอยประคบั ประคอง ให้โอกาส ไม่ประณามซ�้ำเติมหรือตีตรา ให้ก�ำลังใจและยอมรับผู้ต้องขังในการกลับสู่สังคม ให้เขาสามารถ ช่วยเหลอื ตนเองได้ภายหลังพน้ โทษ อยู่ในระดบั มาก อภปิ รายผล จากผลการวิจัย สามารถอภิปรายผลการศึกษาถึงมาตรการเพ่ิมประสิทธิภาพระบบการพัฒนา พฤตินสิ ยั ผตู้ ้องขงั วัยหนุ่ม เปน็ รายดา้ นไดด้ งั นี้ 1. ด้านนโยบาย ในส่วนของการเสนอให้มีการก�ำหนดนโยบายที่ชัดเจนและพยายามผลักดันให้เกิด 76 บณั ฑิตวิทยาลยั มหาวิทยาลัยสวนดุสิต

ความต่อเนื่องในทุก ๆ ผู้บริหารท่ีโยกย้ายมา ผลการศึกษาดังกล่าวสอดคล้องกับผลการศึกษาวิจัยของ สำ� นกั วจิ ยั และพฒั นาระบบงานราชทณั ฑก์ รมราชทณั ฑ์ กลมุ่ งานพฒั นาระบบดา้ นทณั ฑวทิ ยา สำ� นกั ทณั ฑวทิ ยา (2545) โดยได้ศกึ ษาวจิ ยั เร่อื ง “แนวทางการปฏบิ ัติต่อผู้ตอ้ งขงั วยั หน่มุ ” โดยผลการศึกษาพบว่า ปัญหาและ อปุ สรรคในการปฏบิ ตั ติ อ่ ผตู้ อ้ งขงั วยั หนมุ่ สว่ นหนงึ่ คอื ขาดการวางแผนงานและโครงการในการพฒั นาผตู้ อ้ งขงั วัยหนุ่มท่ีชัดเจนและตอ่ เน่อื งอยา่ งเปน็ ระบบ นอกจากน้ี การก�ำหนดแผนกลยทุ ธ์ แนวทางการปฏิบัตเิ พอื่ ให้ เปน็ ไปตามนโยบาย ท่ีจรงิ จัง ชัดเจน เป็นรูปธรรม โดยมีเป้าหมาย ทิศทาง แผนการด�ำเนนิ งานและระยะเวลา ไปสเู่ ปา้ หมายทชี่ ดั เจน แนน่ อน และตอ่ เนอื่ ง ยงั สอดคลอ้ งกบั ผลการศกึ ษาวจิ ยั ของ สำ� นกั วจิ ยั และพฒั นาระบบ งานราชทัณฑ์ (2549) ซ่ึงได้ท�ำการศึกษาวิจัยเรื่อง “แนวทางการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังวัยหนุ่ม กรณีศึกษา ทัณฑสถานวัยหนุ่มในประเทศไทย” โดยผลการศึกษาพบว่า นโยบายการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังวัยหนุ่มและ การปฏิบตั ติ อ่ ผู้ต้องขังวัยหนุม่ ควรมมี าตรการเฉพาะที่แตกต่างจากผ้ตู ้องขังผใู้ หญ่ 2. ด้านอาคารสถานท่ี กล่าวคือ ควรมีแดนที่สามารถแบ่งได้อย่างชัดเจนของแต่ละภารกิจของ กรมราชทัณฑ์ (แดนที่เน้นการควบคุมไม่ให้หลบหนี/แดนท่ีเน้นการแก้ไขฟื้นฟู) ซึ่งจากผลการศึกษาวิจัยของ ส�ำนักทัณฑวิทยา (2545) ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง “แนวทางการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังวัยหนุ่ม” พบว่า ปัญหาและ อุปสรรคในการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังวัยหนุ่ม ส่วนหนึ่งคือ สถานที่ภายในเรือนจ�ำคับแคบ ไม่สามารถแยกให้ การปฏบิ ัติเป็น การเฉพาะได้ ไม่มีอาคารเรยี นเปน็ สัดส่วน ในขณะทผี่ ลการศกึ ษาวจิ ัยของ ทัณฑสถานวยั หนมุ่ กลาง (2549) ส�ำนักวิจัยและพัฒนาระบบงานราชทัณฑ์เร่ือง “แนวทางการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังวัยหนุ่ม กรณี ศึกษาทัณฑสถานวัยหนุ่มในประเทศไทย” ระบุว่าปัญหาอุปสรรคอีกประการหน่ึง คือ ลักษณะทางกายของ อาคารสถานท่ีของทัณฑสถานวัยหนุ่มเหมือนกับสภาพเรือนจ�ำท่ัวไป ท�ำให้ไม่เอ้ือต่อนโยบายที่เน้นการแก้ไข ฟื้นฟูปรับเปลี่ยนทัศนคติและพฤติกรรม ท้ังน้ี ยังสอดคล้องกับมาตรฐานองค์การสหประชาชาติว่าด้วย การปฏิบตั ติ ่อผตู้ ้องขงั ข้อ 68 ที่ระบุวา่ “การจดั ให้มเี รือนจำ� หลายประเภทและการจัดให้มีแดนต่าง ๆ ของ เรอื นจำ� แยกเปน็ หลายแดนตามประเภทของนกั โทษ เปน็ เรอ่ื งทคี่ วรดำ� เนนิ การเพอ่ื ประโยชนแ์ กก่ ารแกไ้ ขนกั โทษ ให้เหมาะสมแก่ลักษณะของนักโทษนั้น” และเพ่ือป้องกันการถ่ายทอดพฤติกรรมอาชญากรตามทฤษฎีของ ซัทเธอร์แลนด์ (Sutherland, 1937) ว่าความผูกพันกับเพ่ือนจะสร้างสภาพแวดล้อมท่ีเหมาะสมส�ำหรับ การเรียนรู้ และการส่งเสริมสนบั สนนุ ในดา้ นพฤติกรรมและความเหน็ ดว้ ยกับพฤติกรรมดงั กลา่ ว โดยบุคคลจะ เรียนรู้พฤตกิ รรมและความเชือ่ ในอาชญากรรมจากสภาพแวดล้อมทางสังคมท่อี ยใู่ กล้ชิดกับบคุ คล 3. ด้านกระบวนการ ส�ำหรับในส่วนของระบบการจ�ำแนกลักษณะผู้ต้องขังต้องมีการพัฒนาให้มี ประสทิ ธภิ าพ สามารถคน้ หาและวนิ จิ ฉยั การแกไ้ ขพฤตนิ สิ ยั ผตู้ อ้ งขงั ไดเ้ ปน็ รายบคุ คลเพอื่ ไมใ่ หก้ ระทำ� ความผดิ ซำ้� อกี ซง่ึ สอดคลอ้ งกบั แนวคดิ ของทฤษฎหี ลกั ปรชั ญาของทฤษฎอี าชญาวทิ ยาดง้ั เดมิ คอื ศกึ ษาเกย่ี วกบั พฤตกิ รรม ของมนุษย์กับการลงโทษทางอาญามนุษย์จะเลือกประกอบอาชญากรรม เมื่อผ่านกระบวนการตัดสินใจด้วย เจตจำ� นงอสิ ระ (Free Will) การตดั สนิ ใจของมนษุ ยท์ จ่ี ะปฏบิ ตั ติ ามกฎหมาย หรอื ละเมดิ กฎหมายเปน็ กระบวนการ ที่มีเหตุผล โดยค�ำนึงถึงความเส่ียงที่จะได้รับโทษและผลประโยชน์ท่ีจะได้รับจากการประกอบอาชญากรรม (สธุ าทิพย์ กสิฤกษ,์ อาภาศริ ิ สวุ รรณานนท์ และจันทร์แรม เรอื นแป้น, 2561: 199) นอกจากนั้นยงั สอดคลอ้ ง กบั ทฤษฎีการลงโทษเพอ่ื แก้ไขฟืน้ ฟูผู้กระท�ำความผดิ (Theory of Rehabilitation) ซง่ึ เนน้ การศกึ ษาทตี่ ัว ของผู้กระท�ำผิดเป็นรายบุคคลหรือจ�ำแนกลักษณะของผู้กระท�ำผิดเพ่ือหาสาเหตุของการกระท�ำความผิดและ วถิ ีทางแก้ไข และยงั สอดคลอ้ งกับ “แนวทางการปฏบิ ัติตอ่ ผตู้ ้องขงั วัยหน่มุ ของประเทศสหรัฐอเมรกิ า” ซ่งึ ถือ ปที ี่ 16 ฉบบั ที่ 1 ประจำ�เดือนมกราคม - เมษายน 2563 77

เป็นตน้ แบบในการปฏบิ ัติตอ่ ผ้ตู อ้ งขงั วัยหน่มุ ในประเทศอืน่ ๆ โดยเน้นหนกั ไปในเรือ่ งการปฏบิ ัติต่อผูต้ อ้ งขงั วยั หนุม่ ทก่ี ระทำ� ความผิดเปน็ รายบคุ คล 4. ด้านบุคลากร จากผลการวิจัยผู้ให้ข้อมูลส�ำคัญต่างให้ความส�ำคัญกับบุคลากรที่รับผิดชอบด้าน การแกไ้ ขฟน้ื ฟผู ตู้ อ้ งขงั วยั หนมุ่ โดยเฉพาะการปรบั ทศั นคตเิ จา้ หนา้ ทใ่ี หต้ ระหนกั ถงึ ภารกจิ การแกไ้ ขฟน้ื ฟผู ตู้ อ้ งขงั นอกเหนอื จากการควบคมุ ไมใ่ หห้ ลบหนี ซง่ึ สอดคลอ้ งกบั “แนวทางการปฏบิ ตั งิ านดา้ นการแกไ้ ขฟน้ื ฟผู ตู้ อ้ งขงั ของประเทศอังกฤษ” ซึ่งเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ของประเทศอังกฤษจะมีความผูกพันกับผู้ต้องขังในความดูแล มากข้นึ กว่าอดตี ที่ผ่านมา ต้องมีบทบาทหลายอย่างตอ่ ผูต้ ้องขังและการแกไ้ ขกลายเปน็ ปรัชญาทสี่ �ำคัญในงาน ราชทณั ฑ์ ซงึ่ การปกครองทเี่ ขม้ งวดและทารณุ ในอดตี ชว่ ยใหน้ กั โทษกลบั ตวั ไดเ้ พยี งเลก็ นอ้ ยเทา่ นน้ั และยงั ทำ� ให้ พวกเขากลบั มพี ฤตกิ รรมทางอาชญากรรมทหี่ นกั ขน้ึ อกี ทงั้ ยงั สอดคลอ้ งกบั ผลการวจิ ยั ของ ทณั ฑสถานวยั หนมุ่ กลาง (2549) ส�ำนักวิจยั และพฒั นาระบบงานราชทัณฑ์ โดยผลการศึกษาวจิ ัยพบว่าเจ้าหน้าท่ผี ปู้ ฏบิ ตั งิ านใน ทัณฑสถานวัยหนุ่มยังมีทัศนคติ ความรู้ความเข้าใจในการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังวัยหนุ่มที่ไม่ถูกต้องเหมาะสมกับ ลักษณะงานและปรัชญา การแก้ไขผู้ต้องขังวัยหนุ่ม ท้ังน้ีเน่ืองจากเจ้าหน้าที่ขาดการพัฒนาศักยภาพและ ขดี ความสามารถในการจดั โปรแกรมและกจิ กรรมเพอ่ื การแกไ้ ขฟน้ื ฟผู ตู้ อ้ งขงั เฉพาะตามลกั ษณะคดแี ละสาเหตุ ของการกระท�ำผิด 5. ด้านความร่วมมือ ในส่วนของการไดร้ บั ความร่วมมือจากผ้มู ีส่วนใหก้ ารสนับสนนุ ในด้านการแกไ้ ข ฟ้ืนฟูผ้ตู อ้ งขังวยั หนุ่ม ไดแ้ ก่ การทค่ี รอบครวั และชุมชนต้องเขา้ มามีส่วนร่วมในการแก้ไขฟน้ื ฟผู ู้ต้องขังวัยหนมุ่ โดยเฉพาะในชว่ งของการเตรยี มความพรอ้ มกอ่ นปลอ่ ย คอยประคบั ประคอง ใหโ้ อกาส ไมป่ ระณามซำ�้ เตมิ หรอื ตีตรา ซ่ึงผลงานวิจัยได้สอดคล้องกับมาตรฐานองค์การสหประชาชาติว่าด้วยการปฏิบัติต่อผู้ต้องขัง ข้อ 79 ที่ระบวุ า่ “สง่ิ ทจ่ี ะตอ้ งใหค้ วามสำ� คัญเปน็ พเิ ศษ คือ การสง่ เสริมใหน้ กั โทษและครอบครัวของนกั โทษไดร้ กั ษา และพัฒนาความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน เพื่อประโยชน์ที่ดีท่ีสุดของนักโทษและครอบครัวของนักโทษนั้น” และ ขอ้ 80 ทรี่ ะบวุ า่ “สงิ่ ทจ่ี ะตอ้ งคดิ เตรยี มไวต้ ง้ั แตแ่ รกรบั นกั โทษเขา้ สเู่ รอื นจำ� คอื อนาคตของนกั โทษหลงั การพน้ โทษ ดงั นนั้ จงึ ตอ้ งสง่ เสรมิ และชว่ ยเหลอื ใหน้ กั โทษยงั คงมคี วามสมั พนั ธท์ ดี่ กี บั บคุ คลและองคก์ รภายนอกเรอื นจำ� ซงึ่ จะเปน็ ประโยชนอ์ ยา่ งดที สี่ ดุ สำ� หรบั ครอบครวั ของนกั โทษและตอ่ การบำ� บดั ฟน้ื ฟทู างสงั คมแกน่ กั โทษเองดว้ ย สอดคลอ้ งกบั ทฤษฎกี ารควบคุมทางสงั คม (Theory of Social Control) ทฤษฎีพนั ธะทางสังคม (Theory of Social Bonding) และทฤษฎตี ตี รา (Theory of Labelling) ซง่ึ อธบิ ายไดว้ า่ สถาบนั ทางสงั คมโดยเฉพาะสถาบนั ครอบครวั โรงเรยี น และศาสนา มคี วามสำ� คญั ในการปอ้ งกนั อาชญากรรมผา่ นกระบวนการควบคมุ บคุ คล และ บคุ คลทว่ั ไปอาจมพี ฤตกิ รรมอาชญากรรมครงั้ แรกหรอื ดงั้ เดมิ ไดบ้ า้ งเปน็ ครงั้ คราว แตไ่ มส่ มำ�่ เสมอและไมร่ นุ แรง หรอื รา้ ยแรง หากแตเ่ มอ่ื บคุ คลทม่ี พี ฤตกิ รรมดงั กลา่ วถกู ดำ� เนนิ การตามกลไกควบคมุ ทางสงั คมแลว้ โดยเฉพาะ ถกู ดำ� เนนิ คดโี ดยหนว่ ยงานในกระบวนการยตุ ธิ รรมของรฐั บคุ คลดงั กลา่ วกจ็ ะเขา้ สกู่ ระบวนการกำ� หนดตนเอง เป็นอาชญากรรมหรอื บุคคลผดิ ปกติ ตลอดจนได้รบั ความอบั อายหรอื ความเส่ือมเสยี จงึ ไม่สามารถกลับไปใช้ ชีวิตอย่างบุคคลธรรมดาในสังคมได้อีก เป็นเหตุให้บุคคลดังกล่าวสร้างความรู้สึกนึกคิดว่าเป็นอาชญากรท่ี ไมส่ ามารถแก้ไขได้ จึงได้เพ่ิมโอกาสทำ� ให้บคุ คลมพี ฤติกรรมอาชญากรรมถาวร เมื่อสังเคราะห์ผลการวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพเพื่อได้มาตรการเพ่ิมประสิทธิภาพระบบ การพฒั นาพฤตนิ สิ ยั ของผตู้ อ้ งขงั ทณั ฑสถานวยั หนมุ่ กลาง ผวู้ จิ ยั ไดน้ ำ� มาจดั ทำ� เปน็ รปู แบบ (Model) โดยใชช้ อ่ื วา่ “Reformation Model” ซงึ่ ประกอบดว้ ย R = Reform = การปรบั ปรงุ ผกู้ ระทำ� ผดิ โดยหาสาเหตทุ แี่ ทจ้ รงิ 78 บณั ฑิตวทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลัยสวนดุสิต

เพื่อให้สามารถแก้ไขพฤตินิสัยผู้ต้องขังเป็นรายบุคคล E = Enforcement = การบังคับใช้นโยบายท่ีมี ความชดั เจน เปน็ รูปธรรม F = Formation = การสร้างโปรแกรมการแกไ้ ขฟืน้ ฟทู ่ีเนน้ สาเหตุของการกระท�ำ ความผดิ O = Occupation = การสง่ เสรมิ อาชีพในช่วงของการเตรยี มความพร้อมก่อน R = Rehabilitation = การฟื้นฟูต้องให้ครอบครัวและชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขฟื้นฟู M = Motivation = การสร้าง แรงจูงใจแก่ผู้ต้องขัง มีหลักเกณฑ์การให้รางวัลและการลงโทษที่ชัดเจนมีมาตรฐานเดียวกัน A = After – care = การดูแลภายหลังปล่อยจะต้องมีการติดตามประเมินผลในทุกขั้นตอน T = Training Course = การฝึกอบรมให้ความรู้ เสรมิ ทกั ษะและเทคนคิ เฉพาะทางให้กบั เจา้ หนา้ ทีท่ ป่ี ฏิบัตงิ าน I = Infrastructure = โครงสรา้ งพนื้ ฐานของเรอื นจ�ำตอ้ งมคี วามเหมาะสมกบั ชว่ งวยั O = Organization = การสง่ เสรมิ ความรว่ มมอื ระหวา่ งหนว่ ยงานภายนอกทง้ั ภาครฐั และเอกชน N = Network = การสรา้ งเครอื ขา่ ยของเจา้ หนา้ ทที่ ณั ฑสถาน ทุกระดับ ทุกส่วนและทกุ ฝา่ ย ข้อเสนอแนะ ขอ้ เสนอแนะท่ไี ดจ้ ากการวิจยั ระยะสน้ั กรมราชทณั ฑค์ วรมกี ารจดั อบรมใหค้ วามรใู้ นดา้ นเทคนคิ การจำ� แนกลกั ษณะผตู้ อ้ งขงั วยั หนมุ่ เพอื่ หาสาเหตกุ ารกระทำ� ผดิ และเทคนคิ การแกไ้ ขฟน้ื ฟพู ฤตนิ สิ ยั ผตู้ อ้ งขงั ใหก้ บั เจา้ หนา้ ทรี่ าชทณั ฑอ์ ยา่ งจรงิ จงั และต่อเนือ่ ง อันเปน็ การพัฒนาระบบการจ�ำแนกลกั ษณะผ้ตู อ้ งขังใหม้ ีประสิทธิภาพมากยง่ิ ข้นึ สามารถปฏิบัติ ตอ่ ผตู้ อ้ งขงั วยั หนมุ่ ไดเ้ ปน็ รายบคุ คล และการออกแบบโปรแกรมการแกไ้ ขฟน้ื ฟู มกี ารประชมุ เตรยี มความพรอ้ ม ระหวา่ งเจา้ หนา้ ทภ่ี ายในเรอื นจำ� หรอื ทณั ฑสถานทมี่ สี ว่ นเกย่ี วขอ้ ง ควบคไู่ ปกบั การจดั สถานทใี่ นการดำ� เนนิ การ อบรมใหเ้ หมาะสม มีการแบ่งพ้นื ท่ีตามภารกิจของกรมราชทณั ฑท์ ชี่ ัดเจน ระยะกลาง กรมราชทัณฑ์ควรมีการปรับทัศนคติและปรับเปล่ียนกระบวนทัศน์ในการท�ำงานให้กับ เจา้ หนา้ ทรี่ าชทณั ฑ์ เพอื่ ใหเ้ ลง็ เหน็ ถงึ ความสำ� คญั ของภารกจิ ดา้ นการแกไ้ ขฟน้ื ฟผู ตู้ อ้ งขงั นอกเหนอื จากภารกจิ ด้านการควบคุมไมใ่ หห้ ลบหน ี ระยะยาว หน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมอาจต้องช่วยกันผลักดันให้การจ�ำแนกลักษณะผู้ต้องขัง วยั หนมุ่ อยใู่ นขน้ั ตอนของศาลโดยนกั อาชญาวทิ ยาทมี่ คี วามรคู้ วามสามารถเฉพาะดา้ น แลว้ ใหศ้ าลเปน็ ผกู้ ำ� หนด โปรแกรมแกไ้ ขฟ้นื ฟูโดยให้กรมราชทัณฑ์เป็นเพยี งผ้บู ังคบั ใช้โปรแกรมแก้ไขฟ้นื ฟูกับผู้ต้องขงั เทา่ น้ัน ขอ้ เสนอแนะสำ� หรบั การวิจัยครงั้ ตอ่ ไป 1. ควรมีการวิจัยต่อยอดให้ครอบคลุมถึงมาตรการเพ่ิมประสิทธิภาพระบบการพัฒนาพฤตินิสัยของ ผ้ตู ้องขงั ประเภทอนื่ ๆ นอกเหนือจากผู้ต้องขงั วัยหนมุ่ เพ่อื ลดอัตราการกระท�ำผิดซำ�้ ของผู้ตอ้ งขงั ทุกประเภท ในประเทศไทย 2. ควรมีการศึกษาเจาะลึกถึงมาตรการเพ่ิมประสิทธิภาพระบบการพัฒนาพฤตินิสัยของผู้ต้องขัง วยั หนมุ่ ในแตล่ ะดา้ น โดยเฉพาะดา้ นความรว่ มมอื ในการแกไ้ ขฟน้ื ฟผู ตู้ อ้ งขงั วยั หนมุ่ ในสว่ นของครอบครวั และ ชมุ ชนที่ต้องเขา้ มามีส่วนรว่ มในการแกไ้ ขฟื้นฟูผตู้ อ้ งขงั วยั หนมุ่ 3. ควรมกี ารวจิ ยั ในเรอ่ื งมาตรการกลไกการตดิ ตามผลและตวั ชวี้ ดั ความสำ� เรจ็ ในระยะภายหลงั ปลอ่ ย ทมี่ ปี ระสทิ ธิภาพ ปีท่ี 16 ฉบับที่ 1 ประจ�ำ เดือนมกราคม - เมษายน 2563 79

เอกสารอ้างอิง กรมราชทณั ฑ.์ (2552). แผนแมบ่ ทดา้ นการแกไ้ ขฟน้ื ฟพู ฒั นาพฤตนิ สิ ยั พ.ศ. 2552-2556. กระทรวงยตุ ธิ รรม. ทณั ฑสถานวยั หนมุ่ กลาง. (2549). เอกสารบรรยายกิจการ ทัณฑสถานวัยหนมุ่ กลาง. (เอกสารอัดส�ำเนา). พรชยั ขนั ต.ี (2553). การบรณู าการทฤษฎที างอาชญาวทิ ยาการบรหิ ารงานยตุ ธิ รรมและสงั คม (2557101). เอกสารประกอบการบรรยาย หลักสูตรปรัชญาดษุ ฎีบัณฑิต สาขาวิชาการบรหิ ารงานยุติธรรมและ สังคม บณั ฑติ วทิ ยาลยั มหาวิทยาลยั ราชภัฏสวนดสุ ติ . มหาวิทยาลัยสุโขทยั ธรรมาธริ าช. (2550). ทฤษฎีการราชทัณฑ์. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยสุโขทยั ธรรมาธริ าช. สำ� นกั ทณั ฑวทิ ยา. (2545). รายงานการวจิ ยั เรอื่ ง แนวทางการปฏบิ ตั ติ อ่ ผตู้ อ้ งขงั วยั หนมุ่ . (เอกสารอดั สำ� เนา). ส�ำนักวจิ ยั และพัฒนาระบบงานราชทณั ฑ.์ (2549). รายงานการวิจัย เร่อื ง แนวทางการปฏบิ ัติตอ่ ผ้ตู อ้ งขัง วัยหนุม่ : กรณศี กึ ษา ทณั ฑสถานวัยหน่มุ ในประเทศไทย. (เอกสารอัดส�ำเนา). สุธาทิพย์ กสิฤกษ์, อาภาศิริ สวุ รรณานนท์ และจนั ทร์แรม เรอื นแป้น. (2561). รปู แบบการพฒั นาทางสงั คม จิตวิทยาในการที่จะน�ำมาใช้ในการลดวิกฤติความไม่สงบในจังหวัดปัตตานี. วาสารวิชาการ บณั ฑติ วิทยาลยั สวนดสุ ติ , 14 (2), ประจาํ เดือนพฤษภาคม-สงิ หาคม 2561. Hirschi, Travis. (1969). Causes of Delinquency. Berkeley, CA: University of California. Sutherland, Edwin H. (1937). The Professional Thief. Chicago: University of Chicago. คณะผเู้ ขียน นายสรายุธ รน่ื รมย์ บัณฑิตวทิ ยาลัย มหาวิทยาลัยสวนดสุ ิต อาคารเฉลิมพระเกียรติ 50 พรรษา มหาวชิราลงกรณ เลขท่ี 145/9 ถนนสุโขทัย เขตดสุ ิต กรุงเทพมหานคร 10300 e-mail: [email protected] ดร. เพญ็ ศรี พัทธว์ วิ ัฒนศิริ บณั ฑติ วิทยาลยั มหาวิทยาลยั สวนดุสิต อาคารเฉลิมพระเกียรติ 50 พรรษา มหาวชิราลงกรณ เลขที่ 145/9 ถนนสุโขทยั เขตดสุ ิต กรุงเทพมหานคร 10300 e-mail: [email protected] ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร. ชาติชาย มหาคีตะ บณั ฑิตวทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลัยสวนดุสติ อาคารเฉลิมพระเกยี รติ 50 พรรษา มหาวชิราลงกรณ เลขท่ี 145/9 ถนนสุโขทยั เขตดุสิต กรุงเทพทหานคร 10300 e-mail: [email protected] 80 บัณฑติ วิทยาลัย มหาวิทยาลัยสวนดุสิต

รูปแบบการป้องกนั ปัญหาอาชญากรรมทางเพศผ่านสือ่ สังคมออนไลน์ ของนักเรียนระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย สังกดั ส�ำนักงานคณะกรรมการการศึกษา ข้นั พน้ื ฐาน ในเขตกรงุ เทพมหานคร Model on Sex Crime Prevention through Online Social Media of High School Students, Office of the Basic Education Commission in Bangkok ปารณีย์ วรสทิ ธิจ์ ิตติ* ชาตชิ าย มหาคตี ะ และอาภาศริ ิ สุวรรณานนท์ บณั ฑติ วทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลัยสวนดุสิต Paranee Worrasitjitti* Chatchai Mahakeeta and Apasiri Suwannanon Graduate School, Suan Dusitt University Received: June 7, 2019 Revised: August 12, 2019 Accepted: August 14, 2019 บทคัดย่อ การวิจัยมีวัตถุประสงค์เพ่ือให้ได้รูปแบบการป้องกันปัญหาอาชญากรรมทางเพศผ่านส่ือออนไลน์ ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย สังกัดส�ำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ในเขต กรงุ เทพมหานคร เพอื่ นำ� มาใชล้ ดวกิ ฤตปญั หาอยา่ งเปน็ รปู ธรรม และอาชญากรรมทางเพศผา่ นสอื่ สงั คมออนไลน์ ลดลง โดยใช้การวิจัยแบบผสมผสานระหว่างการวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ซึ่งการวิจัยเชิงปริมาณ ใช้ แบบสอบถามแบบมีโครงสร้างเปน็ เคร่อื งมอื ในการเกบ็ รวบรวมข้อมูล จ�ำนวนทง้ั ส้ิน 398 คน สำ� หรบั การวิจัย เชิงคุณภาพ ใช้การสัมภาษณเ์ ชงิ ลกึ กบั ผู้ใหข้ อ้ มลู สำ� คัญรวม 8 สาขา จ�ำนวน 30 คน เม่ือสังเคราะห์ผลการวิจัย ผู้วิจัยได้น�ำมาจัดท�ำเป็นรูปแบบการป้องกันปัญหาอาชญากรรมทางเพศ ผ่านส่ือสังคมออนไลน์ ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย สังกัดส�ำนักงานคณะกรรมการการศึกษา ขนั้ พนื้ ฐาน ในเขตกรงุ เทพมหานคร โดยใช้ชื่อวา่ “SAFETY ONLINE MODEL” ซึ่งประกอบด้วย Society หมายถงึ การปฏสิ ัมพนั ธท์ ด่ี ใี นสังคม Act หมายถึง การมกี ฎหมายทท่ี ันสมยั Family หมายถึง การให้ความรกั ความอบอุ่นในครอบครัว Environment หมายถึง การสร้างความสัมพันธ์ในทางบวกในสังคม Teach หมายถึง เป็นการตอบสนองความต้องการของเยาวชน Youth หมายถึง การมีคุณธรรมในการด�ำเนนิ ชีวิตทีด่ ี Operation หมายถงึ เจา้ หนา้ ทบ่ี งั คบั ใชก้ ฎหมายทม่ี ปี ระสทิ ธภิ าพ New Technology หมายถงึ การมกี ฎหมาย เท่าทันเทคโนโลยีสมัยใหม่ Learning หมายถึง การเรียนรู้พฤติกรรมท่ีเหมาะสม Information หมายถึง การประชาสัมพันธ์ให้รู้เท่าทันส่ือ Norms หมายถึง บ้าน วัด โรงเรียน สร้างบรรทัดฐานท่ีดีแก่เยาวชนและ Ethics หมายถงึ ภาครัฐสร้างจิตสำ� นกึ ทางบวก ค�ำสำ� คัญ: การปอ้ งกัน อาชญากรรมทางเพศผา่ นสอื่ สงั คมออนไลน์ นกั เรียนระดบั มธั ยมศึกษา * ปารณยี ์ วรสทิ ธิ์จิตติ (Corresponding Author) ปีที่ 16 ฉบบั ท่ี 1 ประจำ�เดอื นมกราคม - เมษายน 2563 81 e-mail: [email protected]

Abstract The research was aimed to figure out the model on sex crime prevention through online social media of high school students in Bangkok in order to minimize the crisis and sex crimes through online social media precisely. The mixed method research incorporating quantitative and qualitative researches was employed in this study. In terms of quantitative research, a questionnaire had been prepared as a tool to collect data which comprised 398 persons. Regarding the qualitative research, the in-depth interview was executed with 30 experts and specialists from 8 sources. Based on the synthesis of the findings, the researcher developed the model on sex crime prevention through online social media of high school students in Bangkok, the Office of the Basic Education Commission in Bangkok. The model was called “SAFETY ONLINE MODEL,” which comprised the following: Society referred to pleasant interaction in society ; Act referred to having up-to-date laws; Family referred to family love and warmth ;Environment referred to building positive relationship in society; Teach referred to meeting young people’s needs; Youth referred to good morality in life; Operation referred to efficient law reinforcement by state officers; New Technology referred to having laws that keep abreast with modern technology; Learning, referred to learning proper behavior; Information referred to being informed to keep abreast with the media; Norms referred to norms set forth by houses, temples and schools for youth and Ethics referred to the cultivation of positive conscience by the public sector. Keywords: Prevention, Sex Crime Prevention (Online Social Media), High School Students บทน�ำ โลกในยคุ ปจั จบุ นั มสี ภาพสงั คมทเ่ี ปลย่ี นแปลงอยา่ งรวดเรว็ ทำ� ใหก้ ารสอ่ื สารผา่ นทางอนิ เทอรเ์ นต็ นนั้ ได้เติบโตและได้รับความนิยมจากผู้บริโภคทุกระดับ โดยเฉพาะการใช้ส่ือสังคมออนไลน์ผ่านระบบโทรศัพท์ มือถือในยุคปัจจุบันเป็นที่นิยมจากผู้บริโภคสูงที่สุด ยุคสังคมปัจจุบันการสื่อสารผ่านทางอินเทอร์เน็ตเข้ามามี บทบาทในชีวติ ประจำ� วันของมนษุ ยเ์ ป็นอยา่ งมากทำ� ให้เกดิ วัฒนธรรมใหม่ท่ีเรยี กว่า “สังคมก้มหนา้ ” เรม่ิ จาก ยุคดิจิทัล 1.0 เปิดโลกอินเตอร์เน็ตเป็นยุคบุกเบิกของการท�ำกิจการออนไลน์ เช่น e-mail website ต่อมา ยคุ ดจิ ทิ ลั 2.0 เรม่ิ Social network ยคุ สงั คมออนไลนผ์ บู้ รโิ ภคเรมิ่ สรา้ งเครอื ขา่ ยเพอ่ื การสอื่ สาร และยคุ ดจิ ทิ ลั 3.0 เข้าสู่ Application and big data เป็นยุคข้อมูลทุกอย่างร่วมกันบนสมาร์ทโฟน ปัจจุบันเราอยู่ในยุค “ดิจิทลั 4.0” และ “ดิจิทัลไทยแลนด์” เปน็ วลที ่คี นไทยเรม่ิ จะได้ยนิ บ่อยขน้ึ ในชว่ งหลายปมี าน้ี หลายคนอาจ จะสงสยั วา่ หมายถงึ อะไร เกี่ยวข้องกับพวกเราอย่างไร สง่ ผลอะไรต่อชวี ิตบา้ ง และประเทศไทยในตอนนี้อย่ใู น ยุคใด คนไทยมีชีวิตผูกติดกับดิจิทัลมานานแล้วไม่ว่าจะเป็นการใช้อินเทอร์เน็ตซ้ือขายออนไลน์ อีคอมเมิร์ซ ทำ� ธุรกรรมการเงินผ่านแอพพลิเคช่ัน การสื่อสารที่อินเทอร์เน็ตเข้ามามีบทบาทมากข้ึนทุก ๆ วัน ในยุค 4.0 เทคโนโลยถี กู นำ� มาพฒั นาต่อยอดเพือ่ ลดบทบาทของมนุษย์ และสรา้ งสรรค์พฒั นาสง่ิ ใหม่ ๆ โดยใช้ชือ่ ยคุ น้วี า่ 82 บณั ฑติ วิทยาลยั มหาวทิ ยาลยั สวนดสุ ติ

เป็นยุค Machine-to-Machine เราสามารถสั่งงานเปิด-ปิดอุปกรณ์ต่าง ๆ ผ่านแอพพลิเคช่ัน การพูดค�ำว่า “แคปเจอร”์ กบั แอพถา่ ยภาพในสมารท์ โฟน โทรศพั ทจ์ ะถา่ ยรปู ใหอ้ ตั โนมตั โิ ดยทเี่ ราไมต่ อ้ งกดถา่ ยเลยดว้ ยซำ�้ หรอื เป็นสอ่ื การเรยี นร้แู บบ Interactive เปน็ ตน้ (ยคุ Digital 4.0 เมือ่ โลกขับเคล่ือนด้วยเทคโนโลย)ี ปจั จุบนั นคี้ ำ� วา่ “Social Network” ไมใ่ ชส่ ง่ิ ใหมอ่ กี จากการสำ� รวจพฤตกิ รรมผใู้ ชอ้ นิ เทอรเ์ นต็ ในประเทศไทย ปี 2558- 2560 ของส�ำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนกิ ส์ (องค์การมหาชน) กระทรวงดจิ ทิ ัลเพอื่ เศรษฐกจิ และ สงั คม พบวา่ ยอดของผใู้ ชส้ อื่ สงั คมออนไลนใ์ นประเทศไทยนนั้ โดยกจิ กรรมยอดนยิ มของผใู้ ชอ้ นิ เทอรเ์ นต็ ผา่ น อปุ กรณ์เคลอ่ื นทสี่ มาร์ทโฟนโดยใชท้ ่บี า้ น อนั ดบั 1 ได้แก่ การใชบ้ รกิ าร “Social Network” เช่น Youtube Facebook Instagram และ Line Application เปน็ ต้น ตามตารางดังนี้ ตารางที่ 1 สถติ ิส่อื สังคมออนไลนท์ น่ี ยิ มใชม้ ากท่ีสุดในประเทศไทย ปี พ.ศ. 2558-2560 ลำ� ดบั 2558 2559 2560 ข้อมลู 1 Facebook YouTube YouTube You tube เปน็ เวบ็ ไซตท์ ใี่ หบ้ รกิ ารวดิ โี อผา่ นอนิ เทอรเ์ นต็ 92.1% 97.3% 97.1% ที่มียอดผู้ชมวิดีโอของทางเว็บไซต์ทะลุหลัก 100 ล้าน ครั้งต่อวัน หรือคิดเป็นราว 29 เปอร์เซ็นต์ของยอด การเปิดดูคลิปวิดีโอท้ังหมดในสหรัฐฯ ในแต่ละเดือน มีผูอ้ พั โหลดวิดโี อขน้ึ เว็บกวา่ 65,000 เรื่อง 2 Line Facebook Facebook Facebook เชื่อว่าตอนนี้คงไม่มีใครไม่รู้จักเฟสบุ๊ค 85.1% 94.8% 94.6% แบรนดใ์ หญต่ า่ ง ๆ มกี ารสรา้ งแฟนเพจเพอ่ื เพมิ่ ชอ่ งทาง ในการสอื่ สารกบั กลมุ่ ลกู คา้ เชน่ ใหค้ นกดตดิ ตามขา่ วสาร เกยี่ วกบั แบรนดข์ องตวั เองโดยการกด like ทเี่ พจนนั้ เอง 3 Google Line Line Line เป็นแอปพลิเคช่ันแชทยอดฮิต ท่ีปัจจุบันในไทย 67.0% 94.6% 95.8% มีผู้ใช้งานมากกว่า 33 ล้าน มีจุดเด่นคือเป็นเจ้าแรกท่ี สามารถส่งสต๊ิกเกอร์น่ารัก ๆ ให้คนอื่นได้ ในมุมของ การตลาด นอกจากไลน์ ก็ยงั มี Official Account ซ่งึ เป็นอีกช่องทางหน่ึงท่ีแบรนด์สามารถส่งข้อมูลข่าวสาร ใหก้ บั ผู้ติดตามเองไดม้ ากย่ิงข้นึ 4 Instagram Instagram Instagram Instagram คอื สอ่ื สงั คมออนไลนท์ เี่ ราสามารถอพั โหลด 43.9% 57.6% 56% รปู ภาพต่าง ๆ และแชรใ์ หก้ ับผตู้ ดิ ตามของเราได้ โดยที่ แบรนดต์ า่ ง ๆ สมัยนีก้ ็นยิ มใช้ Instagram เปน็ สอื่ กลาง เพื่อโปรโมทและให้ข้อมูลข่าวสารกับผู้ติดตาม เช่นเดยี วกนั ท่มี า: สำ� นักงานพัฒนาธรุ กรรมทางอิเลก็ ทรอนกิ ส์ (องคก์ ารมหาชน) กระทรวงดจิ ทิ ลั เพือ่ เศรษฐกิจและสงั คม (DE) (2558-2560) ปที ่ี 16 ฉบบั ที่ 1 ประจ�ำ เดอื นมกราคม - เมษายน 2563 83

จากขอ้ มลู ของ สำ� นกั งานกองทนุ สนบั สนนุ การสรา้ งเสรมิ สขุ ภาพ (2561) ระบวุ า่ สถติ ผิ ใู้ ชด้ จิ ทิ ลั ทงั้ โลก โดยการรวบรวมสถิติการใช้งานอินเตอร์เน็ตจาก “We Are Social” ดิจิทัลเอเยนซี่ และ “Hootsuite” ผู้ใหบ้ รกิ ารระบบจดั การ Social Media และ Marketing Solutions ชีว้ ่าประเทศไทยเสพติดอินเตอร์เนต็ มากทีส่ ุดในโลก และเขตกรงุ เทพมหานคร เป็นเมอื งทม่ี ผี ูใ้ ช้ Facebook สูงท่ีสดุ ในโลกเป็นอนั ดบั ท่ี 1 จำ� นวน 22,000,000,000 คน ในเขตกรงุ เทพมหานคร เปน็ เมอื งหลวง เปน็ ศนู ยก์ ลางความเจรญิ ทกุ อยา่ ง ตงั้ แตเ่ ศรษฐกจิ สาธารณูปโภค การศกึ ษา การปกครอง การส่ือสาร เทคโนโลยี และอนื่ ๆ อีกมาก มกี ารกระจายการเปิดรา้ น อนิ เทอรเ์ นต็ ทว่ั พนื้ ทม่ี ากทสี่ ดุ ในประเทศไทย ขอ้ เสยี ของการเปดิ รา้ นอนิ เทอรเ์ นต็ นน้ั ยงั เปน็ ชอ่ งทางการเขา้ ถงึ อบายมุข เว็บโป๊ คลิปโป๊ ส่ิงล่อแหลมอนาจารเน้ือหาไม่เหมาะสม รวมท้ังยังเป็นศูนย์รวมสื่อเทคโนโลยี อิเล็กทรอนิกส์ เพราะฉะนั้นไม่น่าแปลกเลยที่นักเรียนในเขตกรุงเทพมหานครจะเข้าถึงแหล่งรวมสื่อลามก อนาจารไดง้ า่ ยจากร้านอนิ เทอร์เน็ต และจากอนิ เทอรเ์ น็ตมือถือทุกที่ทุกเวลา เปน็ สาเหตุหนึ่งทำ� ให้เกดิ ปัญหา การล่วงละเมิดทางเพศ มีการแสวงหาผลประโยชนท์ างเพศจากเด็กและเยาวชน และเกดิ การต้ังครรภก์ ่อนวยั อนั ควร เพราะสงั คมไทยในปัจจบุ ันเปล่ียนไป เศรษฐกจิ ตกตำ่� ผู้คนเครียดกันมากข้นึ อารมณร์ นุ แรงขนึ้ สภาพ จิตใจท่ีเส่ือม ขาดศีลธรรม ไม่มีจิตส�ำนึก เกิดจากพฤติกรรมเลียนแบบ หนังสือพิมพ์ 13 ฉบับโดยมูลนิธิ หญงิ ชายกา้ วไกล พบว่าเกดิ เหตคุ วามรนุ แรงทางเพศทงั้ หมด 317 ขา่ ว ซง่ึ ชว่ งอายขุ องผถู้ กู กระทำ� เกนิ ครงึ่ เปน็ กลมุ่ เดก็ และเยาวชน อายุ 5-20 ปี ถงึ 60.6% ดา้ นกล่มุ ผูถ้ ูกกระท�ำมากทส่ี ุดคือนกั เรียนนักศึกษาถึง 60.9% (สำ� นักงานกองทนุ สนบั สนนุ การสร้างเสริมสขุ ภาพ, 2561) จากความสำ� คญั ของปญั หาดังกล่าว จะเห็นได้ว่าพฤตกิ รรมการใชส้ ือ่ สงั คมออนไลนข์ องนักเรยี นไทย เริ่มเกิดพฤติกรรมเบี่ยงเบน และมีแนวโน้มท่ีจะใช้ไปในทางที่ผิดมากข้ึน ถ้าหากไม่มีการป้องกันและแก้ไข อาจจะนำ� ไปสปู่ ญั หาดา้ นอาชญากรรม ทำ� ใหเ้ ยาวชนเกดิ หลงผดิ กอ่ ใหเ้ กดิ ผลกระทบตอ่ ความมน่ั คงและสว่ นรวม ในประเทศ ดว้ ยเหตนุ จี้ งึ มคี วามสำ� คญั อยา่ งยง่ิ ทจ่ี ะตอ้ งมกี ารศกึ ษารปู แบบการปอ้ งกนั ปญั หาอาชญากรรมทาง เพศผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายสังกัดการศึกษาข้ันพื้นฐาน ในเขต กรุงเทพมหานคร เพื่อหาแนวทางป้องกันไม่ให้เยาวชนมีพฤติกรรมการใช้ส่ือสังคมออนไลน์ไปในทางที่ผิด เปน็ การสรา้ งความตระหนกั ใหก้ บั หนว่ ยงานทเี่ กย่ี วขอ้ งรว่ มกนั หารปู แบบการปอ้ งกนั อาชญากรรมเพอ่ื ลดวกิ ฤต ปญั หาทถ่ี กู ตอ้ งในการชแ้ี นะเยาวชนไดอ้ ยา่ งถกู ทาง ผวู้ จิ ยั จงึ มคี วามสนใจทจี่ ะศกึ ษาในเรอ่ื งนี้ เพอ่ื ใหไ้ ดร้ ปู แบบ การปอ้ งกนั ปญั หาอาชญากรรมทางเพศผา่ นสอื่ สงั คมออนไลน์ ของนกั เรยี นระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย สงั กดั ส�ำนกั งานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพน้ื ฐาน ในเขตกรงุ เทพมหานคร เพ่อื นำ� มาใชล้ ดวกิ ฤตปัญหาอย่างเป็น รปู ธรรม และปญั หาอาชญากรรมทางเพศผา่ นส่อื สังคมออนไลนล์ ดลง วตั ถปุ ระสงค์ เพอ่ื ใหไ้ ดร้ ปู แบบการปอ้ งกนั ปญั หาอาชญากรรมทางเพศผา่ นสอ่ื สงั คมออนไลน์ ของนกั เรยี นระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย สงั กดั สำ� นกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขนั้ พนื้ ฐาน ในเขตกรงุ เทพมหานคร เพอ่ื นำ� มา ใชล้ ดวกิ ฤติปัญหาอย่างเปน็ รปู ธรรม และอาชญากรรมทางเพศผา่ นสื่อสังคมออนไลนล์ ดนอ้ ยลง แนวคดิ ทฤษฎที เ่ี ก่ียวขอ้ ง ผวู้ จิ ยั ไดม้ าทบทวนวรรณกรรมรวบรวมแนวคดิ ทฤษฎแี ละงานวจิ ยั ทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั การศกึ ษาจากหนงั สอื เอกสาร และรายงานการวจิ ัยตา่ ง ๆ ประกอบด้วยหวั ข้อดงั น้ี 84 บัณฑติ วิทยาลัย มหาวทิ ยาลยั สวนดุสติ

แนวคิดเกย่ี วกบั การพัฒนาตามวยั ชว่ งวัยรุ่น สแตนลยี ์ ฮอลล์ (Stanley Hall, n.d., อา้ งถงึ ใน โสภา ชูพิกุลชัย ชปีลมันน์ ราชบัณฑิต, 2547: 78) นักจิตวิทยา กล่าวถึง วัยรุ่นว่าเป็นวัยของพายุบุแคม และ ความกดดนั วยั รนุ่ เปน็ ของการกระทำ� ทย่ี งั เหมอื นเดก็ แตก่ เ็ หมอื นผใู้ หญ่ พฒั นาการของวยั รนุ่ ประกอบดว้ ย พฒั นาการ ทางรา่ งกาย พฒั นาการทางอารมณ์ พฒั นาการทางสงั คม พฒั นาการทางสตปิ ญั ญา และพฒั นาการทางจรยิ ธรรม แนวคิดเก่ียวกับอิทธิพลสือ่ สังคมออนไลน์ ภิเษก ชยั นริ นั ดร์ (2557) กล่าวถงึ ความหมายของ Social Media ค�ำว่า “Social” หมายถึง สังคม ซึ่งในที่นี้จะหมายถึงสังคมออนไลน์ ซ่ึงมีขนาดใหม่มากในปัจจุบัน คำ� วา่ “Media” หมายถงึ สอื่ ซงึ่ กค็ อื เนอื้ หา เรอื่ งราว บทความ วดี โี อ เพลง รปู ภาพ เปน็ ตน้ สอื่ สงั คมออนไลน์ (Social Media) เป็นรูปแบบการส่ือสารข้อมูลท่ีมีการน�ำเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเข้ามามี สว่ นเกย่ี วขอ้ ง โดยมรี ปู แบบการสอ่ื สารทหี่ ลากหลาย ทงั้ ในรปู แบบของการสรา้ งและการเผยแพรข่ อ้ มลู ปจั จบุ นั กระแสของการใชง้ านอนิ เตอรเ์ นต็ และโทรศัพท์ประเภทสมาร์ทโฟน และอุปกรณ์พกพา แนวคดิ ทฤษฎจี ิตวเิ คราะห์ (Psychoanalytic Theory) เกิดจากสัญชาตญาณดบิ (Sigmund Freud, 1981 อา้ งถึงใน โสภา ชพู ิกลุ ชัย ชปลี มนั น์ ราชบณั ฑิต, 2536: 13-15) ซิกมันด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud) ได้น�ำเสนอโครงสร้างของบุคลิกภาพของมนุษย์ 3 ส่วนเช่ือมโยงกัน คือ อิด (Id) เป็นแหล่งรวมแรงขับ แรงกระตุ้น ความปรารถนา และสัญชาตญาณดิบ และจะไม่ยอมรับรู้เก่ียวข้องกับการพิจารณาหาความจริง อย่างมีหลักเกณฑ์ อิดจะโต้ตอบทนั ทีเพอ่ื ปลดปล่อยความเครยี ด อัตตา (Ego) ทำ� หน้าท่ีสนองความตอ้ งการ ของอิด โดยยึดเอาเหตุผลและข้อเท็จจริงเป็นหลัก และท�ำหน้าที่เป็นตัวกลางจัดการระหว่างความต้องการท่ี ไร้เหตุผลของอิด นอกจากนี้อัตตายังเป็นตัวควบคุมการตัดสินใจจะถูกควบคุมอีกระบบคือมโนธรรม และ อภิอตั รา (Superego) เป็นพลังทห่ี นุนให้บุคคลท�ำแต่ความดเี พื่อสว่ นรวม จะพัฒนามาจากการปลกู ฝงั อบรม สัง่ สอนตง้ั แตเ่ ดก็ ในวัยทารกผ่านกระบวนการเรยี นร้ทู ่ีดีทางสงั คมโดยพอ่ แม่ แนวคิดทฤษฎีการขัดเกลาทางสังคม (Theory of Socialization) หมายถึง กระบวนการใน การถา่ ยทอดความรู้ ความคดิ ทศั นคติ อดุ มการณ์ บคุ ลกิ ภาพ ของสมาชกิ สงั คมจากรนุ่ หนง่ึ ไปสอู่ กี รนุ่ หนงึ่ ซง่ึ เปน็ ไปท้ังทางตรงและทางออ้ ม โดยผ่านตวั แทนของสงั คม (agent) สามารถท�ำได้ 2 ทาง คอื (จำ� นงค์ อดวิ ฒั นสิทธิ และคณะ, 2540: 43-44) การขดั เกลาทางสังคมโดยตรง และการขัดเกลาทางสงั คมโดยทางอ้อม นอกจากน้ี การเขา้ กลมุ่ เพื่อน ทัง้ ในท่ที �ำงานและสถานศึกษากล็ ้วนช่วยให้เกิดการปรับตวั และพัฒนาบคุ ลกิ ภาพได้ แนวคดิ ทฤษฎกี ารเลยี นแบบ (Theory Imitation) ชอง กาเบรยี ล ทารด์ (Jean Gabriel Tarde, n.d.; อา้ งถงึ ใน สดุ สงวน สธุ สี ร, 2547) ไดเ้ สนอแนวคดิ ดา้ นจติ วทิ ยาทเ่ี กย่ี วกบั การเลยี นแบบโดยกฎของการเลยี นแบบ ที่เขาเสนอมี 3 กฎดังนี้ 1) คนท่ีมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดจะมีการเลียนแบบพฤติกรรมกัน 2) การเลียนแบบ มแี นวโนม้ จะแพรจ่ ากสง่ิ ทมี่ มี ากกวา่ ไปสสู่ งิ่ ทม่ี นี อ้ ยกวา่ อาจกลา่ วอกี นยั หนงึ่ วา่ บคุ คลจะเลยี นแบบผทู้ ม่ี สี ถานะ เหนือกวา่ ตน เชน่ ลูกเลยี นแบบพอ่ แม่ ลูกนอ้ งเลียนแบบเจ้านาย เปน็ ตน้ 3) มกี ารแทรกแทนพฤตกิ รรม โดย ช้วี า่ การมพี ฤตกิ รรมใหมแ่ ทนท่พี ฤตกิ รรมเกา่ แนวคิดทฤษฎกี ารปลูกฝัง (Cultivation Theory) เกอรบ์ เนอร์ และกรอส (Gerbner, G. & Gross, L., 1976) ไดพ้ ฒั นาทฤษฎกี ารปลกู ฝงั โดยมสี มมตฐิ านวา่ ขา่ วสารจากสอื่ มวลชน โดยเฉพาะในโทรทศั นไ์ ดป้ ลกู ฝงั ปั้นแต่งความคิดของผู้รับสารเกี่ยวกับโลกที่แท้จริง อิทธิพลของวิทยุโทรทัศน์ในสังคมสมัยใหม่น้ีแพร่กระจาย เขา้ ไปสูท่ กุ ประตบู ้าน เน้ือหาวทิ ยุโทรทศั น์มักจะเกย่ี วขอ้ งกับความรนุ แรง อาชญากรรมความขดั แย้งเรอ่ื งราว ทางเพศเสมอ จนทำ� ใหผ้ ชู้ มเกดิ ความรสู้ กึ โลกนเี้ ตม็ ไปดว้ ยความรนุ แรงและความขดั แยง้ ความไมป่ ลอดภยั ใน ทรพั ยส์ นิ การดนิ้ รนตอ่ สู้ นอกจากนนั้ เนอ้ื หาในวทิ ยโุ ทรทศั น์ กม็ กั แสดงใหเ้ หน็ วา่ ตวั ละครในเรอ่ื งมอี ำ� นาจหรอื ปที ี่ 16 ฉบับท่ี 1 ประจ�ำ เดอื นมกราคม - เมษายน 2563 85

มชี ัยชนะเหนือผู้อืน่ ด้วยวธิ กี ารใช้กำ� ลังหรอื ความรุนแรงเท่าน้นั ผชู้ มวทิ ยุโทรทัศนถ์ ูกปลูกฝงั ให้มคี วามรวู้ ่าโลก ท่ีเป็นอยู่ในวทิ ยโุ ทรทัศน์ คอื โลกที่แทจ้ รงิ ของเราทเี่ ต็มไปดว้ ยความรนุ แรง แนวคดิ ทฤษฎคี วบคมุ ทางสังคม (Social Control Theory) ทราวิส เฮอรช์ ิ (Travis Hirschi, 1969) ได้อธิบายถึงทฤษฎีการควบคุมทางสังคมว่า ผู้กระท�ำผิดมีความรู้สึกในจิตใจที่จะกระท�ำความผิดอยู่ร่�ำไป จงึ จำ� เปน็ ตอ้ งมกี ารควบคมุ ทางสงั คม หากการควบคมุ ทางสงั คมไมม่ ปี ระสทิ ธภิ าพเพยี งพอการกระทำ� ความผดิ ก็ย่อมจะเกิดขึน้ แนวคิดเกยี่ วกับอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ คอนคลิน (Conklin, 2004) กลา่ วว่า อาชญากรรม คอมพวิ เตอร์ (Computer Crime) หมายถงึ การละเมิดกฎหมายอาญาโดยอาศัยคอมพวิ เตอร์เปน็ เปา้ หมาย หรือวิธีการทางคอมพิวเตอร์มีการกระท�ำผิดหลายลักษณะ เช่น การยักยอก การโกง เป็นต้น การกระท�ำ ความผิดทางคอมพิวเตอร์โดยผ่านทางอินเทอร์เน็ตได้เกิดข้ึนอย่างรวดเร็วตั้งแต่ ค.ศ. 1990 เป็นต้นมา (Presdee, 2001) แนวคดิ เก่ียวกบั สอื่ มวลชนผา่ นส่อื สงั คมออนไลน์ สภุ าวดี พรหมมา (2551) กลา่ ววา่ แนวความคิด เรอื่ งของการรเู้ ทา่ ทนั สอ่ื (media Literacy) เปน็ ศพั ทท์ ใ่ี หมท่ ไ่ี ดร้ บั การกลา่ วถงึ ไมน่ านในสงั คมไทย เพราะดว้ ย ปัจจุบันการพัฒนาของเทคโนโลยีการสื่อสารท�ำให้มีข้อมูลข่าวสารอย่างท่วมท้นในสังคม มีเหตุการณ์ต่าง ๆ ทเ่ี กดิ ขนึ้ ในสงั คมอยา่ งมากมายทผ่ี รู้ บั สารตกเปน็ เหยอ่ื ของสอื่ ตา่ ง ๆ ดงั นน้ั จงึ เปน็ ความจำ� เปน็ ทจี่ ะตอ้ งพฒั นา คน ให้รู้เทา่ ทนั การพฒั นาของเทคโนโลยีการสอื่ สาร การรเู้ ทา่ ทันส่ือ เพราะหากมีความรูเ้ ท่าทนั สือ่ ก็สามารถ ที่จะเลือกทีจ่ ะรับส่ือ ร้จู กั ตคี วามต่าง ๆ รู้จกั ทจ่ี ะจดจ�ำ และใชป้ ระโยชนจ์ ากสื่อไมต่ กเป็นเหยื่อของการสื่อสาร กรอบแนวคดิ ตวั แปรตาม ตวั แปรตน้ สถานภาพส่วนบคุ คล ความคดิ เหน็ ตอ่ ปจั จยั เพอื่ ใหไ้ ดร้ ปู แบบ รูปแบบการป้องกันปัญหา - สถานภาพทางเพศ การป้องกันปัญหาอาชญากรรมทาง อาชญากรรมทางเพศผ่านสื่อ - สถานภาพทางอายุ เพศผา่ นสอ่ื สงั คมออนไลน์ ของนกั เรยี น สังคมออนไลน์ของนักเรียน - สถานภาพทางระดับการศกึ ษา ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย สังกัด มัธยมศึกษาตอนปลายสังกัด - สถานภาพทางครอบครวั ส�ำนักงานคณะกรรมการการศึกษา ส� ำ นั ก ง า น ค ณ ะ ก ร ร ม ก า ร - สถานภาพรายได้ ขัน้ พ้ืนฐาน ในเขตกรุงเทพมหานคร การศึกษาขั้นพื้นฐาน ในเขต - สถานท่ี - ปัจจยั ด้านครอบครัว กรงุ เทพมหานคร - ประเภทของสอ่ื สังคมออนไลน์ - ปจั จัยดา้ นเศรษฐกิจ - ดา้ นครอบครัว - ประเภทของสือ่ อิเลก็ ทรอนกิ ส์ - ปัจจยั ดา้ นสงั คม - ดา้ นให้ความรู้ - ปจั จยั ด้านจิตวิทยา - ดา้ นสงั คมและเศรษฐกจิ - ด้านนโยบายและกฎหมาย - ด้านจรรยาบรรณสือ่ การสัมภาษณ์แบบเชิงลกึ (In-depth Interview) ภาพที่ 1 กรอบแนวคิด 86 บณั ฑติ วทิ ยาลยั มหาวิทยาลยั สวนดสุ ิต

ระเบียบวิธีวจิ ยั การวจิ ัยเรื่องนีเ้ ป็นการวจิ ยั แบบผสมผสานระหว่างการศึกษาเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ดังน้ี ประชากรและกลุ่มตวั อยา่ ง การวจิ ยั เชงิ ปริมาณ ประชากร คือ นักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย สังกัดส�ำนักงานคณะกรรมการการศึกษา ข้นั พืน้ ฐาน ในเขตกรุงเทพมหานคร เป็นเยาวชนทมี่ อี ายุ 15-18 ปบี ริบูรณ์ ซึ่งมาจากโรงเรียนสังกัดส�ำนักงาน เขตพนื้ ท่ีการศกึ ษามัธยมศึกษา เขต 1 จ�ำนวน 67 โรงเรยี น และเขต 2 จำ� นวน 52 โรงเรยี น จำ� นวนทงั้ หมด 119 โรงเรยี น มจี ำ� นวนนักเรียน 236,877 คน กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย สังกัดส�ำนักงานคณะกรรมการการศึกษา ขั้นพ้ืนฐาน ในเขตกรุงเทพมหานครโดยวิธีการเลือกสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multistage) โดยเลือก กลมุ่ ตวั อยา่ งตามขนาดของโรงเรยี นทกุ ขนาด แบง่ ออกเปน็ 4 ขนาด คอื โรงเรยี นขนาดใหญพ่ เิ ศษ โรงเรยี นขนาด ใหญ่ โรงเรยี นขนาดกลาง และโรงเรยี นขนาดเลก็ ผู้วจิ ยั ได้เลอื กแบบกลุ่มตวั อยา่ งในการวจิ ยั เชงิ ปริมาณ โดย กระจายตามเขตพ้ืนที่การศึกษาในเขตกรุงเทพมหานครท่ีเป็นกลุ่มแบบตัวอย่างจากโรงเรียนสหศึกษา ซ่ึงเป็น โรงเรยี น ชาย-หญิงล้วน จากนกั เรยี นทม่ี าจากโรงเรียนสงั กดั สำ� นกั งานเขตพ้นื ทกี่ ารศึกษามัธยมศกึ ษา เขต 1 จ�ำนวน 8 โรงเรียน และเขต 2 จ�ำนวน 8 โรงเรยี น จ�ำนวนทงั้ หมด 16 โรงเรียน โดยการสุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะ เจาะจงในเขตกรงุ เทพมหานคร ได้กลุ่มตวั อยา่ งเป็นนักเรยี น จำ� นวน 398 คน ได้ทำ� การเลอื กสุ่มแบบตัวอย่าง โดยใช้สตู รทาโร่ ยามาเน่ ทร่ี ะดับความเช่อื ม่นั รอ้ ยละ 95 ความคลาดเคลอื่ นไม่เกินรอ้ ยละ 5 การวิจยั เชงิ คณุ ภาพ ผู้ให้ข้อมูลส�ำคัญเป็นผู้ทรงคุณวุฒิที่มีระดับการศึกษาตั้งแต่ปริญญาโทขึ้นไป ด�ำรงต�ำแหน่งทาง การบรหิ ารหรอื วิชาการ มีหน้าทหี่ รือภาระงานทรี่ บั ผดิ ชอบเก่ียวกบั ด้านเพศ ดา้ นเทคโนโลยี และด้านเยาวชน โดยมีประสบการณ์ปฏิบัติงาน 5 ปีขึ้นไป โดยสัมภาษณ์กลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิ 8 สาขา จ�ำนวนท้ังส้ิน 30 คน ประกอบดว้ ย กลุ่มผ้ทู รงคุณวฒุ ิกระบวนการยุตธิ รรม จ�ำนวน 5 คน กลุ่มผทู้ รงคุณวฒุ ทิ ี่เป็นนกั วิชาการดา้ น อาชญาวทิ ยา และนกั วชิ าการดา้ นสอื่ สารมวลชน จำ� นวน 5 คน กลมุ่ ผทู้ รงคณุ วฒุ กิ ระทรวงดจิ ทิ ลั เพอ่ื เศรษฐกจิ และสังคม จ�ำนวน 4 คน กลุ่มผทู้ รงคณุ วฒุ กิ ระทรวงพัฒนาสงั คมและความมนั่ คงของมนุษย์ จ�ำนวน 3 คน กลมุ่ ผูท้ รงคณุ วฒุ กิ ระทรวงศกึ ษาธิการ จำ� นวน 5 คน กลมุ่ ผูท้ รงคุณวฒุ กิ ระทรวงสาธารณสขุ จ�ำนวน 2 คน กลุ่มสมาคมผู้ปกครองและครู โรงเรียน จ�ำนวน 2 คน และกลุ่มผู้บริหารและผู้ปฏิบัติองค์การพัฒนาเอกชน จำ� นวน 5 คน การสร้างและตรวจสอบคณุ ภาพเครือ่ งมอื เครื่องมือท่ีใช้ในการวิจัยเชิงปริมาณ ในการเก็บรวบรวมข้อมูลการวิจัย คือ แบบสอบถามที่ได้รับ การออกแบบให้ครอบคลมุ วตั ถุประสงคใ์ นการวจิ ัย นำ� แบบสอบถามท่ีได้ปรับปรงุ และพัฒนาแล้วไปทดลองใช้ (Try-out) กับนักเรียนระดบั มธั ยมศึกษาระดบั ตอนปลายทไ่ี ม่ใช่กลมุ่ ตวั อย่าง จำ� นวน 30 คน เพือ่ วเิ คราะหห์ า ความเชอื่ มน่ั (Reliability) ของแบบสอบถามโดยวธิ หี าคา่ สมั ประสทิ ธแ์ิ อลฟา่ (α-coefficient) ของครอนบาค (Cronbach) กอ่ นนำ� แบบสอบถามทีส่ มบรู ณ์ไปใชใ้ นการเก็บข้อมูลเชิงปริมาณ โดยได้คา่ ความเช่ือมนั่ ท้ังหมด เท่ากบั 0.920 ปีท่ี 16 ฉบบั ที่ 1 ประจำ�เดือนมกราคม - เมษายน 2563 87

เครือ่ งมอื ทใ่ี ช้ในการวจิ ัยเชิงคณุ ภาพ สำ� หรบั การเก็บรวบรวมข้อมูลคอื แบบสัมภาษณ์เชงิ ลึกชนดิ กง่ึ มี โครงสรา้ ง สรา้ งจากการนำ� แบบสอบถามทผี่ า่ นการวเิ คราะห์ สงั เคราะห์ ผลจากวจิ ยั เชงิ ปรมิ าณในขนั้ ตอนแรก และน�ำมาสกัดในค�ำถามออกมาเพ่ือสร้างแบบสัมภาษณ์ ซึ่งประเด็นค�ำถามหลักท่ีสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ การวิจยั 5 ดา้ น ไดแ้ ก่ ดา้ นครอบครวั ดา้ นความรู้ ด้านสงั คมและเศรษฐกจิ ดา้ นนโยบายและกฎหมาย และ ดา้ นจรรยาบรรณสอ่ื โดยนำ� แบบสอบถามทผี่ า่ นการทดสอบความเชอื่ มนั่ นำ� ไปตรวจสอบคณุ ภาพโดยผเู้ ชยี่ วชาญ และสกดั คำ� ถามออกมาเพอ่ื สรา้ งแบบสมั ภาษณจ์ ากผทู้ รงคณุ วฒุ ทิ ง้ั หมด จำ� นวน 30 คน ไปใชใ้ นการเกบ็ รวบรวม ข้อมูล การวเิ คราะห์ข้อมลู การวจิ ยั เชงิ ปรมิ าณ 1. สถติ ิเชงิ พรรณนา ไดแ้ ก่ ร้อยละ ค่าเฉล่ีย และคา่ เบี่ยงเบนมาตรฐาน 2. สถติ ิ อ้างอิง ได้แก่ t-test, F-test (ANOVA) การวิจัยเชิงคุณภาพ การวิเคราะห์ข้อมูลเปน็ การสรปุ การวเิ คราะห์เนอื้ หา จากเอกสารและวิเคราะห์ ขอ้ มลู จากการสมั ภาษณเ์ ชิงลึก ผลการศึกษา 1. ผลการศกึ ษาขอ้ มลู เชิงปริมาณ 1.1 กลุ่มตัวอย่างผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศชาย จ�ำนวน 169 คน คิดเป็นร้อยละ 42.46 และเปน็ เพศหญงิ จำ� นวน 229 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 57.54 โดยสว่ นใหญม่ ชี ว่ งอยรู่ ะหวา่ ง อายุ 17-18 ปี จ�ำนวน 265 คน คดิ เป็นรอ้ ยละ 66.16 ศกึ ษาในระดบั ชัน้ มัธยมศึกษาปที ี่ 5 จ�ำนวน 171 คน คิดเปน็ ร้อยละ 42.96 ส่วนใหญ่จะมจี �ำนวนพน่ี อ้ ง 2 คน จ�ำนวน 186 คน คดิ เปน็ ร้อยละ 46.73 โดยสถานภาพทางครอบครวั บดิ ามารดายังอยู่ดว้ ยกัน จ�ำนวน 271 คน คิดเป็นรอ้ ยละ 68.09 ซงึ่ ผู้ตอบแบบสอบถามไม่มสี ว่ นหารายไดใ้ ห้ ครอบครัว จำ� นวน 344 คน คดิ เปน็ ร้อยละ 86.43 คา่ อุปการะเลยี้ งดจู ากครอบครวั ต�่ำกว่า 5,000 บาทตอ่ เดอื น จำ� นวน 237 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 59.55 และสดุ ทา้ ยสว่ นใหญผ่ ตู้ อบแบบสอบถามอาศยั อยกู่ บั บดิ ามารดา จำ� นวน 252 คน คิดเปน็ รอ้ ยละ 63.32 1.2 ปัจจยั ด้านครอบครวั พบวา่ ส่วนใหญบ่ ดิ ายงั มีชวี ิต จำ� นวน 376 คน คดิ เป็นร้อยละ 94.47 ซงึ่ มีระดับการศกึ ษาระดับประถมศกึ ษา จ�ำนวน 92 คน คดิ เปน็ ร้อยละ 23.12 และมอี าชพี พนักงานบรษิ ทั เอกชนเปน็ สว่ นมาก จำ� นวน 74 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 18.59 และมารดากย็ งั มชี วี ติ จำ� นวน 391 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 98.24 ซึ่งมรี ะดับการศกึ ษาระดับประถมศึกษา จำ� นวน 107 คน คดิ เปน็ ร้อยละ 26.88 และมีอาชพี ค้าขาย เปน็ ส่วนมาก จำ� นวน 97 คน คดิ เปน็ ร้อยละ 24.37 และทงั้ บิดาและมาดามลี กั ษณะงานแบบไปเชา้ กลับเย็น จ�ำนวน 234 คน คิดเป็นร้อยละ 58.79 ซ่ึงส่วนใหญ่ของผู้ตอบแบบสอบถามมีบิดามารดาเป็นผู้อุปการะ เลยี้ งดู จำ� นวน 245 คน คดิ เปน็ ร้อยละ 63.82 1.3 ปัจจัยทางเศรษฐกิจ พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ครอบครัวรายได้เฉล่ียต่อเดือน 10,000-20,000 บาท จำ� นวน 125 คน คดิ เป็นรอ้ ยละ 31.41 1.4 ปัจจัยทางสังคมผ่านสื่อสังคมออนไลน์ พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่รับรู้สื่อลามก ผ่านสอ่ื สังคมออนไลน์ ครัง้ แรกเมอ่ื อายุ 13-15 ปี จำ� นวน 179 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 44.97 โดยรบั /ดู ส่ือลามก ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ คนเดียว จ�ำนวน 185 คน คิดเป็นร้อยละ 46.48 โดยผู้ที่ชักชวนรับ/ดู ส่ือลามก 88 บัณฑิตวทิ ยาลัย มหาวิทยาลยั สวนดุสติ

ผา่ นสงั คมออนไลนม์ ากทส่ี ดุ คอื ครู่ กั จำ� นวน 249 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 62.56 ซงึ่ สถานทส่ี ว่ นมากเปน็ บา้ นตนเอง จำ� นวน 214 คน คิดเปน็ รอ้ ยละ 53.77 โดยมีการรบั และดูผ่าน Internet/Web เป็นส่อื แรก จำ� นวน 122 คน คิดเป็นร้อยละ 30.65 บนอุปกรณ์สมาร์ทโฟน จ�ำนวน 229 คน คิดเป็นร้อยละ 57.54 ด้วยพฤติกรรมทาง การมองเหน็ จำ� นวน 228 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 57.29 ผา่ นสอื่ สงั คมออนไลนป์ ระเภท Google+ จำ� นวน 203 คน คิดเป็นร้อยละ 51.01 ในช่วงเวลาวันหยุดเป็นหลัก จ�ำนวน 146 คน คิดเป็นร้อยละ 36.68 โดยจะ รับ/ดู สื่อลามกผา่ นสื่อสังคมออนไลนไ์ มเ่ กิน 30 นาทตี ่อครงั้ จ�ำนวน 264 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 66.33 ซ่งึ ใช้ระยะเวลา เฉลี่ยสัปดาหล์ ะ 1 ครง้ั จ�ำนวน 82 คน คดิ เป็นร้อยละ 20.60 ซ่งึ สอื่ ลามกทรี่ ับ/ดู ผ่านส่ือสงั คมออนไลน์ คอื ภาพการ์ตนู ภาพล้อเล่นลามกผ่านสือ่ สังคมออนไลน์ จำ� นวน 203 คน คิดเป็นร้อยละ 10.27 และกล่มุ ตวั อยา่ ง ส่วนใหญ่ ไมเ่ คยมปี ระสบการณ์ทางเพศสมั พันธ์ จำ� นวน 320 คน คิดเป็นร้อยละ 82.26 และมีส่วนน้อยท่ีเคย มีประสบการณท์ างเพศสมั พันธ์ ซึ่งระบวุ า่ มีทุกวนั จ�ำนวน 321 คน คิดเปน็ รอ้ ยละ 82.52 1.5 ปัจจัยทางจิตวิทยาอิทธิพลท่ีเป็นสาเหตุการเกิดปัญหาอาชญากรรมทางเพศผ่านสื่อสังคม ออนไลน์ โดยรวมอยใู่ นระดบั ความเหน็ ทป่ี านกลาง และเมอื่ พจิ ารณาเปน็ รายปจั จยั พบวา่ อนั ดบั แรกคอื ปจั จยั ด้านการต่อต้านทางสังคมมีอิทธิพลกับนักเรียนต่อการใช้ส่ือผ่านสื่อสังคมออนไลน์อยู่ในระดับความเห็นท่ี ปานกลาง รองลงมาคอื ปัจจยั ด้านการพัฒนาตามวยั มีอทิ ธิพลกบั นักเรยี นจากการใช้ส่ือผ่านส่อื สังคมออนไลน์ อยู่ในระดับความเห็นท่ีปานกลาง ปัจจัยด้านเพ่ือนมีอิทธิพลต่อการใช้สื่อผ่านสื่อสังคมออนไลน์อยู่ในระดับ ความเห็นท่ีน้อย และสุดท้ายปัจจัยด้านพฤติกรรมทางเพศจากการเลียนแบบสื่อของนักเรียนผ่านส่ือสังคม ออนไลนอ์ ย่ใู นระดับความเห็นทีน่ ้อย 2. ผลการศกึ ษาขอ้ มูลเชิงคุณภาพ จากผลการสมั ภาษณท์ ำ� ใหไ้ ดร้ ปู แบบการปอ้ งกนั ปญั หาอาชญากรรมทางเพศผา่ นสอ่ื สงั คมออนไลน์ ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย สังกัดส�ำนักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐาน ในเขต กรุงเทพมหานคร 5 ด้านคอื ดา้ นครอบครัว ดา้ นความรู้ ดา้ นสงั คมและเศรษฐกิจ ด้านนโยบายและกฎหมาย และดา้ นจรรยาบรรณส่ือ โดยมีผลการวจิ ัยดงั นี้ รูปแบบการป้องกันด้านครอบครัว ได้แก่ 1) ภาครัฐสนับสนุนสถาบันครอบครัวเริ่มจาก การปลกู ฝังเด็ก 2) หน่วยงานภาครฐั ต้องจดั ท�ำและสนบั สนนุ แผนโครงการต่าง ๆ เก่ียวกบั ครอบครัว รปู แบบการปอ้ งกันดา้ นความรู้ ได้แก่ 1) มกี ารประชาสัมพนั ธใ์ ห้ร้เู ท่าทนั สือ่ ทง้ั ทางส่อื หลกั และ สอื่ รอง ใหป้ ระชาชนตนื่ ตวั และระวงั ภยั จากผคู้ กุ คามอยเู่ สมอ เพอ่ื ลดการกอ่ อาชญากรรมทางเพศผา่ นสอื่ สงั คม ออนไลน์ 2) หนว่ ยงานภาครฐั จัดทำ� แผนโครงการเชิงรุกโดยการจดั สัมมนาอบรมพัฒนาหลกั สูตรการบรรยาย ให้ความรู้แก่เจ้าหน้าท่ีรัฐภายในหน่วยงาน และประสานงานเจ้าหน้าที่ระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ร่วมกัน 3) หน่วยงานภาครัฐจัดท�ำแผนโครงการเชิงรับโดยการจัดกิจกรรมต้ังศูนย์ประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ ค�ำปรกึ ษาแก่ประชาชนและเหย่ือผ้เู สียหายท่ีเข้ามาติดตอ่ ทางราชการ รูปแบบการป้องกันด้านสังคมและเศรษฐกิจ ได้แก่ 1) ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านจากหน่วยงาน ภาครัฐท่ีเก่ียวข้องและภาคเอกชนทุกภาคส่วนจัดกิจกรรมร่วมกันลงพื้นที่บรรยายให้ความรู้แก่ประชาชนใน สงั คมและจดั ตัง้ ศนู ย์ประสานงานรบั เรอื่ งร้องเรียนจากหน่วยงานภาครัฐ 2) หน่วยงานภาครฐั ทำ� แผนโครงการ MOU (Memorandum of Understanding) ตามแผนนโยบายประจำ� ปรี ะหวา่ งองคก์ ารสองฝา่ ยของหนว่ ยงาน ภาครัฐ หน่วยงานภาคเอกชน หรือระหว่างหน่วยงานภาครัฐภายในประเทศ 3) หน่วยงานภาครัฐสนับสนุน ปีท่ี 16 ฉบับที่ 1 ประจ�ำ เดือนมกราคม - เมษายน 2563 89

รูปแบบการป้องกันด้านสังคมและเศรษฐกิจ ได้แก่ 1) ผู้เช่ียวชาญเฉพาะด้านจากหน่วยงานภาครัฐท่ี เกี่ยวข้องและภาคเอกชนทุกภาคส่วนจัดกิจกรรมร่วมกันลงพ้ืนที่บรรยายให้ความรู้แก่ประชาชนในสังคมและจัดต้ัง ศูนย์ประสานงานรับเรื่องร้องเรียนจากหน่วยงานภาครัฐ 2) หน่วยงานภาครัฐทาแผนโครงการ MOU สทโสหเค(เดMัถรกงี่เรนยกคิ่มย่ีาอe่เวี่ยบมจวรบmยวขาใิ่มันคงกหขอ้oจตารกง้อr้ท านวั่าaางกเันงnภพรโสรกdปาเ่ิมๆรงถพคuับลปบูเาเรรm่ิมูกคทเอแบปูยีรบฝวบกลนนัิ่มแoังาทชงบบจคแfมโศลนกทบาลรUกางกาอษะกสห้าโnรกสบทานวรdปเรารคหืพอษาeอ้ป้ราแรรอ่ืนrงงปอ้sละัวใเบก้าtงลพหะหaขนกัรโูกเ้เ่ือnวรรพนัอจดฝ่างdใท้าดงาื่อ้หเงังiหัดรเน้าnนหแท้เยีนนฐgนจนลคนา)น้า้าโ่ะวนทโยตหโยสนศยกบรี่านงราบโัฐามาาล้า้าสบรายนแงทยคยนังแผบภีี่รสคแวาลนารัฐบลับมแะครนบะคใลัยกทรชโกังุมะใฎัยฐก้ัดคฎหเแภบหฎพฐับหมลาามาหอื่มใะ่ยยนชามนาล2ใปยก้กายนง)รยาฎโไปไะทดปรตหดรจคแ้ษาระ้แมามกวับทเกปาสบท่ ปา1่ยีรถ1คศง)รตะา)สุมปุงนหา3ังปแแรมคก)วรบักล่สาามหับ้ะไปรงถรปนขณอลร่วาแร่วงงงุมน์ใุงยผแคโนกแกทงกน์กปันกาาษไ้านจัไ้นไขรรขทปจโณภพสยพบุาพารอ์ใบงรนัรคะนงสะา้อแรรฝปรังยมัลฐา่าาคัจขชสะกยชมจอบสนันบขรุบภงัญบัอญั่วโหันาสงดมญญวนหแนยกะตัตัลน่วุนเันทแิแิรยะ่วสาไ่ิมลลสยงปถงจะะางภสาพกากนางับากฎรนฎคภวันส้อหภมหะาตถมมใาคมท่าหากคาราางบท้ยันรยัฐงันทันัๆฐี่ กกรับะคทวราวมงกใ้าหวท้หนันส้าขมอยั งทเทนั คตโอ่ นสโถลายนีสกมาัยรใหณมแ์ ่ ล2ะ) สปภรับาวปะรทุงแากงส้ไขงั แคผมน3น)โรยฐั บบาายลขยอกงรหะนด่วบัยกงาานรภพาฒั คนรัฐาดกา้ รนะนทโรยวบงาใยห/้ทแันผสนม/ัย ยททุ ันธตศ่อาสสถตารนค์ กวาารมณร์แว่ ลมะมสอื ภแาลวะะกทาารงปสรังะคสมา3น)งราฐันบราว่ ลมยกกนั รระะดหบั วกา่ างรอพงัฒคนก์ าดรภ้านาคนรโยฐั บภาายย/ใแนผปนร/ะยเุททธศศแาลสะตครวค์ าวมามรว่รม่วมมอื ือ รแะลหะวก่าางรชปารตะิตสา่ งนงๆานเกรว่ยี มวกนับรเดะห็กวเ่ายงาอวงชคน์กาแรภลาะคสร่ือฐั สภงั าคยมในอปอรนะไเลทนศอ์ แยลา่ะงคมวีมามาตรว่รมฐมานือรสะาหกวลา่ งชาตติ า่ ง ๆ เกี่ยวกบั เดก็ เยาวชน และรสูป่อื แสบงั คบมกอาอรนปไ้อลนงกอ์ ันยา่ดง้ามนมี จารตรรยฐานบสรารกณลสื่อ 1) หน่วยงานภาครัฐต้องมีมาตรการที่ชัดเจนเกี่ยวกับ ระเบียบการการรูปนแ�ำบเสบนกอาขร้อปม้อูลงกขันองดส้าื่อนมจวรลรยชานบเกรี่ยรณวกสับื่อเห1ย) ื่อหบนน่วยพง้ืนาฐนาภนาขคอรงัฐสติท้อธงิมนีมุษาตยรชกนารดท้ว่ีชยัดสเิทจธนิศเกัก่ียดวิ์ศกรับี ครวะาเบมียเปบ็นกมารนกษุ ายร์นไามเ่ชสี้นน�ำอหขร้อือมซูลำ�้ขเอตงมิสเื่อหมยวอ่ื ลอชอนกเกสี่ยื่อวใกหับ้เกเหดิ ยคอื่ วบานมพอ้ืนบั ฐอาานยข2อ)งสหิทนธว่ ิมยนงษุานยภชนาคดร้วฐั ยตสริทะธหิศนกั กั ดถิ์ศึงรศีคลีวธามรรเปม็น กจ3มจรฎ)รนยิ หรหุษธมยนรยาารว่์ ยบไมยม3งรแ3่ช3.ารล ).นี้นณะหผภาจนลหาผครว่คกรลรวยือรายกาัฐงรซาามาตส้ารบนเอ้เังสปรตเภงังรค็นิมเเาขณครเกค้มหารลรคแาะยาฐัะขวห่ืองตหาง็อ์ใเอ้มไ์นอรไดงเดือ่กกป้เ้งขMสาน็Mกม้ื่อรกoาoสแใรลdหdข่ือบาe้เeง็สกงังlเlคใาริดนโโับอรื่คดดกขงใวยยชาก้อาใใก้ราชมชมสฎรช้อชู้ลอ่ืบหื่อับื่อแสมงัวอวลคาา่า่าาะรยบั ย“ขป“อใSอ้ชSยก2Aมก้A่า)ปFงลูฎFหิEดจแEหTนขรTลY่วมงิ้อYะจยามOปังงยOูลกNากอนับเNLปยกภสILNดิา่่ียอื่าIงขENวคใจอ้นกEรMรมักบัฐงิ OMลูาตจเรหDเรงัOกเะกยEผยDี่ ห่ืLบัอยวE”นแภสกLพักอื่าตบั”ถรยใาเนข่ึงมหใตศตา่กรายวีล้ปูกามอื่ สธรแรรภารเอบูปผรารบบแยยมดขบใแจตงัอรพบนก้ิยงรดี้รกธข่งัอรฎนา่ บรวหี้มขสมแอาาลงรยะ ภาภพาทพี่ท2ี่ 2SASAFFEETTYYOONNLLININEE MODEL SoScoiceiteytyหหมมายถึง กกาารรมมที ีทกั ัษกะษทะาทงาสงั สคังมคทมดี่ ที เย่ีดาี วเชยนาวตช้องนมตีท้อกั งษมะีทตักา่ งษะๆตท่าี่ใงชใ้ ๆนกทาร่ีใสชอ่ื้ในสากราปรฏสิสื่อมั สพานัรธ์ ปรฏะหิสวัมา่ พงันกันธ์ใรนะสหังวค่ามงกกันารในปฏสัิบงคัตมิตนกราว่ รมปกันฏใิบนัตสิตงั คนมรอ่วื่นมกๆันเใพน่อื สสังรคา้ มงคอวื่นามๆสัมเพพนัื่อธส์ใรน้าทงาคงวบาวมกสเพัม่ือพเันรยีธน์ในรู้ทท่ีจาะงบอยวู่ดก้วเพยก่ือัน เรเปียน็นสรังู้ทคี่จมะภอายยดู่ใตว้ ้กยฎกรนั ะเเปบ็นยี สบังกคตมกิ ภาทายางใสตังก้ คฎมระแเลบะียกบฎกหตมิกายาทท่ีภางาสคังรคัฐไมด้กแาลหะนกดฎขห้ึนมายทภี่ าครฐั ได้กำ� หนดขนึ้ 90 บัณฑิตวิทยาลัย มหาวทิ ยาลัยสวนดสุ ติ 9

Act หมายถึง การบังคับใช้กฎหมายท่ีทันสมัย ซ่ึงฝ่ายนิติบัญญัติต้องปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติ และกฎหมายทเ่ี กย่ี วขอ้ ง เพอื่ ใหเ้ จา้ หนา้ ทภี่ าครฐั บงั คบั ใชก้ ฎหมายตามสถานการณป์ จั จบุ นั และสภาวะปญั หา ทางสงั คมใหท้ นั กับความก้าวหนา้ เทคโนโลยสี มยั ใหม่ Family หมายถงึ การมคี รอบครวั ทดี่ ี ใหค้ วามอบอนุ่ ใหก้ ารศกึ ษา ใหส้ งั คมทดี่ ี อบรมสงั่ สอนใหเ้ ยาวชน มีทัศนคตทิ ดี่ ี เพือ่ เยาวชนจะได้เติบโตอย่างมีศีลธรรม คุณธรรม และใช้ชวี ิตอย่างมีคุณภาพ Environment หมายถงึ การมสี ่งิ แวดล้อมทางสังคมท่ดี ี เปน็ แบบแผนความสัมพนั ธร์ ะหว่างสมาชกิ ในสังคมที่เปน็ แบบอยา่ งที่ดแี ก่เยาวชน Teach หมายถึง การอบรมเลี้ยงดูที่ดี เป็นการตอบสนองความต้องการของเยาวชนท้ังกายและใจ การมปี ฏสิ มั พนั ธ์ท่ีดกี บั เยาวชน เพอื่ ใหเ้ ยาวชนมีพฒั นาการทีด่ แี ละสมบรณู แ์ บบรอบด้าน Youth หมายถงึ การปฏิบตั ิตนของเยาชนท่ดี ี เยาวชนต้องเปน็ ผู้ทีม่ ีคณุ ธรรมจรยิ ธรรมในการด�ำเนิน ชวี ติ ในสงั คม รหู้ นา้ ทใี่ นการเคารพกฎระเบยี บกตกิ าทางสงั คม และกฎหมาย ตอ้ งมสี ว่ นรว่ มกจิ กรรมทางสงั คมทดี่ ี Operation หมายถึง การปฏบิ ตั งิ านของเจ้าหนา้ ที่ภาครฐั ทม่ี ปี ระสทิ ธิภาพอย่างเหมาะสม เจ้าหนา้ ที่ ภาครัฐบังคับใช้กฎหมายเป็นการปฏิบัติงานเพ่ือป้องกันการละเมิดกฎหมายที่เก่ียวข้องอย่างมีประสิทธิผล หน่วยงานภาครัฐจัดท�ำแผนโครงการต่าง ๆ ตามแผนนโยบายของรัฐบาลและหน่วยงานภาครัฐ ร่วมกับ ภาคเอกชน หรือระหวา่ งหนว่ ยงานภาครฐั เพอ่ื ลงพ้ืนทจ่ี ัดกิจกรรมทางสังคมรว่ มกบั ประชาชน New Technology หมายถึง การใช้ระบบเทคโนโลยีที่ทันสมัยร่วมกับการบังคับใช้กฎหมาย เปน็ การบรู ณาการการบงั คบั ใชก้ ฎหมายของเจา้ หนา้ ทภ่ี าครฐั ทท่ี นั สมยั กบั สถานการณ์ และสภาวะปญั หาทาง สังคมทีก่ า้ วทนั ตอ่ อาชญากรรมทางเทคโนโลยีในปจั จุบัน Learning หมายถงึ การเรียนรพู้ ฤติกรรมท่เี หมาะสม เป็นการสร้างแรงจูงใจเพ่ือกลน่ั กรองใหเ้ ยาวชน มีแบบอย่างการแสดงออกทางสังคมที่ดี โดยผ่านกระบวนการคิดและตัดสินใจอันประกอบด้วยอารมณ์ และ ความรู้สึกของเยาวชน Information หมายถงึ การประชาสมั พนั ธ์ใหร้ เู้ ทา่ ทนั สื่อ เพอ่ื ให้เยาวชนและประชาชนตระหนักถึง วิกฤตปัญหา และต่ืนตัวระวังภัยจากผู้คุกคาม เพ่ือลดการก่อปัญหาและป้องกันปัญหาอาชญากรรมทางเพศ ผา่ นสอ่ื สังคมออนไลน์ Norms หมายถงึ การสรา้ งบรรทัดฐานทางสังคม หนว่ ยงานภาครัฐสร้างบรรทัดฐานการควบคมุ และ การลงโทษทางสังคมร่วมกันไปพรอ้ มกนั โดยรว่ มจากสถาบันครอบครัว โรงเรียน ศาสนา และเพอ่ื น Ethics หมายถงึ การมจี รรยาบรรณและคณุ ธรรมของสอ่ื หนว่ ยงานภาครฐั สรา้ งจติ สำ� นกึ และตระหนกั เกี่ยวกับการน�ำเสนอข้อมูลของส่ือมวลชน เก่ียวกับเหยื่อบนพื้นฐานของสิทธิมนุษยชนด้วยศักดิ์ศรีของ ความเป็นมนุษย์ อภิปรายผล 1. ด้านครอบครัว ผู้วิจัยได้ศึกษารูปแบบการป้องกันปัญหาอาชญากรรมทางเพศผ่านส่ือสังคม ออนไลน์ของนกั เรียนระดบั มัธยมศึกษาตอนปลาย สังกดั ส�ำนักงานคณะกรรมการการศกึ ษาขัน้ พืน้ ฐาน ในเขต กรุงเทพมหานคร เป็นนักเรียนท่ีมีอายุระหว่าง 15-18 ปี ตามพัฒนาการของมนุษย์แบ่งตามช่วงอายุระยะนี้ ปที ่ี 16 ฉบบั ที่ 1 ประจ�ำ เดือนมกราคม - เมษายน 2563 91


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook