Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วารสารบัณฑิตวิทยาลัย (ก.ย.-ธ.ค.62)

วารสารบัณฑิตวิทยาลัย (ก.ย.-ธ.ค.62)

Published by boomsdu, 2023-01-13 04:58:28

Description: วารสารบัณฑิตวิทยาลัย (ก.ย.-ธ.ค.62)

Search

Read the Text Version

การศึกษากฎหมายจ�ำนองและกระบวนการบงั คบั จ�ำนองของประเทศญปี่ นุ่ The Study of Japanese Mortgage Law and Foreclosure System ปวินี ไพรทอง* สาขาวชิ านติ ศิ าสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทยั ธรรมาธิราช Pawinee Praithong* School of Law Sukhothai Thammathirat Open University Received: April 24, 2019 Revised: July 1, 2019 Accepted: July 11, 2019 บทคดั ยอ่ ประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศหนึ่งท่ีมีระบบเศรษฐกิจมีความก้าวหน้าและมีพัฒนาการที่น่าศึกษา การศึกษากฎหมายการจ�ำนองและกระบวนการบังคับจ�ำนองของประเทศญี่ปุ่น พบว่า กฎหมายการจ�ำนอง ของประเทศญี่ปุ่นนั้นคล้ายกับประเทศไทยแต่ทรัพย์สินท่ีใช้ในการจ�ำนองมีหลากหลายกว่าประเทศไทย เมื่อลูกหน้ีไม่ช�ำระหนี้เจ้าหน้ีสามารถเลือกที่จะฟ้องแบบเจ้าหนี้สามัญหรือเจ้าหน้ีบุริมสิทธ์ิโดยการเข้าสู่ กระบวนการบังคับจ�ำนอง ทั้งน้ีเจ้าหน้ีอาจเลือกน�ำทรัพย์ตีใช้หน้ีหรือน�ำทรัพย์ขายทอดตลาด ซึ่งกระท�ำโดย ศาลและเป็นกระบวนการท่รี วดเรว็ สว่ นใหญ่ใชร้ ะยะเวลาไม่ถึง 1 ปี เม่ือนำ� ราคาทรพั ย์ทปี่ ระมลู มาใช้หนีแ้ ล้ว ไมเ่ พยี งพอตอ่ หน้ี เจา้ หนสี้ ามารถเรยี กรอ้ งหนส้ี ว่ นขาดไดจ้ นครบมลู หน้ี นอกจากนปี้ ระเทศญปี่ นุ่ ยงั มมี าตรการ เสรมิ เพอ่ื เพม่ิ ประสทิ ธภิ าพการบงั คบั จำ� นอง เชน่ มมี าตรการการประกนั การจำ� นองทงั้ นเ้ี พอ่ื ลดความเสยี่ งของ เจ้าหนใ้ี นการไดร้ บั ช�ำระหนเ้ี ม่ือลกู หนีผ้ ดิ นดั ค�ำสำ� คัญ: จำ� นอง การบังคบั คดี ประกนั การจำ� นอง การชำ� ระหนส้ี ว่ นขาด Abstract Japan is one of the developed countries that have an advanced economic system and interesting development. The study of Japanese mortgage law and the foreclosure revealed that Japanese mortgage law was partly similar to Thailand’s mortgage law. However, the more diverse property can be used for mortgage loan compared with Thai law. When the debtor defaulted the obligation, the creditor shall sue as ordinary creditor or * ปวนิ ี ไพรทอง (Corresponding Author) ปีที่ 15 ฉบบั ท่ี 3 ประจ�ำ เดอื นกันยายน - ธนั วาคม 2562 193 e-mail: [email protected]

preferred creditor. The Japanese mortgage foreclosure was proceeded by court called judicial foreclosure which worked effectively and fast. Mostly, it took less than 1 year. If the auction selling price was totally lower than the actual debt, the creditor still had the right to claim the short amount. Japan also had additional measures such as mortgage insurance to enhance the efficiency of debtor’s repayment as well as to reduce the risk of creditors. Keywords: Mortgage, Judicial Foreclosure, Mortgage Insurance, Deficiency Judgement บทน�ำ เนื่องจากปัจจุบันกระบวนการการบังคับจ�ำนองในประเทศไทยใช้ระยะเวลานานท�ำให้เจ้าหน้ีจ�ำนอง ได้รับช�ำระหนี้ช้ากว่าที่ควรจะเป็น ประกอบกับปัจจุบันสถาบันการเงินต่าง ๆ เช่น ธนาคาร มีการก�ำหนด ขอ้ สัญญาทีม่ ีลกั ษณะเป็นการยกเวน้ บทบญั ญัตมิ าตรา 733 แห่งประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ กลา่ วคือ เมอ่ื หนข้ี ายทอดตลาดทรพั ยส์ นิ ทจี่ ำ� นองและชำ� ระหนเี้ จา้ หนจ้ี ำ� นองแลว้ และขาดเงนิ อยเู่ ทา่ ใด ลกู หนย้ี งั ตอ้ งใชห้ นี้ สว่ นขาดจนครบจำ� นวน คำ� พพิ ากษาศาลฎกี าท่ี 1507/2538 มแี นวคำ� พพิ ากษาวา่ “ประมวลกฎหมายแพง่ และ พาณิชย์มาตรา 733 ไม่ใช่บทบัญญัติแห่งกฎหมายอันเก่ียวกับความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของ ประชาชนผจู้ ำ� นองอาจตกลงกบั ผรู้ บั จำ� นองเปน็ ประการอน่ื พเิ ศษนอกเหนอื จากทม่ี าตรา 733 บญั ญตั ไิ วไ้ ด้ เชน่ ในกรณีท่ียึดทรัพย์สินที่จ�ำนองออกขายทอดตลาดแล้วยังได้เงินไม่พอใช้หนี้ผู้จ�ำนองยอมรับผิดให้ผู้รับจ�ำนอง ยดึ ทรพั ยอ์ นื่ ของตนมาใชห้ นจ้ี นครบ เปน็ ตน้ ขอ้ ตกลงนยี้ อ่ มมผี ลบงั คบั กนั ไดต้ ามกฎหมายไมต่ กเปน็ โมฆะสญั ญา จำ� นองทจี่ ำ� เลยทำ� ไวก้ บั โจทกร์ ะบวุ า่ ถา้ ในการบงั คบั จำ� นองไดเ้ งนิ ไมพ่ อจำ� นวนเงนิ ทค่ี า้ งชำ� ระจำ� นวนอยเู่ ทา่ ใด ผจู้ ำ� นองยอมรบั ผดิ ชอบใชเ้ งนิ ท่ีขาดจ�ำนวนนั้นให้แกผ่ ูร้ บั จ�ำนองจนครบจำ� นวน...” ท�ำให้เกิดประเด็นถกเถยี ง กนั ในประเดน็ ข้อยกเวน้ มาตรา 733 ดงั กลา่ ว การศึกษากฎหมายเปรียบเทียบรวมถึงกระบวนการขายทอดตลาดในต่างประเทศจึงมีประโยชน์ต่อ การปรบั ปรุงกฎหมายและกระบวนการการบังคับจ�ำนองในประเทศไทยให้มีประสิทธภิ าพมากย่งิ ข้นึ ประเทศ ญ่ีปนุ่ เปน็ ประเทศช้ันน�ำในทวปี เอเชยี ทมี่ คี วามเจริญทางดา้ นสงั คม การเมือง วฒั นธรรม และเศรษฐกจิ ระบบ กฎหมายของประเทศญป่ี นุ่ ใชร้ ะบบซวี ลิ ลอว์ (Civil Law System) ซงึ่ เปน็ ระบบกฎหมายเดยี วกบั ประเทศไทย และกฎหมายประเทศไทยบางฉบบั มคี วามคลา้ ยคลงึ กนั ระหวา่ งประเทศญป่ี นุ่ และประเทศไทยในแงข่ องระบบ กฎหมายและเนื่องจากประเทศญ่ีปุ่นเป็นประเทศที่มีระบบกฎหมายธุรกิจที่มีพัฒนาการที่น่าสนใจจึงเห็นว่า การศึกษากฎหมายและกระบวนการบังคับจ�ำนองของประเทศญี่ปุ่นจะเป็นประโยชน์อย่างย่ิงในการพัฒนา กฎหมายไทย เนื้อหา บทความนศ้ี กึ ษา 3 เรอ่ื ง คอื กฎหมายจำ� นองของประเทศญปี่ นุ่ กระบวนการบงั คบั จำ� นองของประเทศ ญปี่ ุ่น และมาตรการเสรมิ ของการบงั คับจ�ำนองในประเทศญ่ปี นุ่ 194 บัณฑิตวทิ ยาลัย มหาวิทยาลัยสวนดุสติ

1. กฎหมายจำ� นองประเทศญป่ี นุ่ (Mortgage Law) (กรมบงั คบั คดี กระทรวงยตุ ธิ รรม, 2557:60-70) 1.1 กฎหมายว่าดว้ ยหน้ี กฎหมายวา่ ดว้ ยหนี้ หรอื Law Of Obligation ของประเทศญป่ี นุ่ มไิ ดบ้ ญั ญตั ไิ วเ้ ปน็ หมวดหมู่ ท่ีชัดเจนเหมือนในประเทศไทย แต่ได้ถูกบัญญัติในหมวดหน่ึงในประมวลกฎหมายแพ่งประเทศญ่ีปุ่นซึ่งได้ บัญญตั ิเรือ่ ง บ่อเกดิ แห่งหนี้ หรือ นติ ิกรรม (Juristic Act) หรือสิทธเิ รยี กร้อง (Claims) เป็นต้น ประเทศญ่ีป่นุ มีแนวความคิดในการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายหนี้ครั้งส�ำคัญใน ค.ศ. 2004 เน่ืองจากประมวลกฎหมายแพ่ง ประเทศญป่ี ุ่นได้ถูกบัญญตั ิไวต้ ัง้ แต่ ค.ศ. 1896 ซ่ึงไมท่ นั ต่อความเปลย่ี นแปลงทางดา้ นเศรษฐกจิ และสงั คมใน ปจั จบุ นั (Ministry Of Justice, 2010) อยา่ งไรกด็ ี ประเทศไทยไดน้ ำ� หลกั กฎหมายหนปี้ ระเทศญปี่ นุ่ เปน็ ตน้ แบบ ในการยกร่างกฎหมายว่าด้วยหนี้ในหลายมาตราด้วยกัน (มหาวิทยาลัยกรุงเทพ, 2533) หลักเกณฑ์เร่ืองหน้ี ในมาตรา 214 ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของประเทศไทย พ.ศ. 2468 มิได้น�ำหลักเกณฑ์ของ ประมวลกฎหมายแพง่ ประเทศญปี่ นุ่ มาบญั ญตั แิ ตอ่ ยา่ งใด แตเ่ ปน็ การยกรา่ งกฎหมายไทยขนึ้ เอง (มหาวทิ ยาลยั กรุงเทพ, 2533) กฎหมายประเทศญี่ปุ่นน้ันว่าด้วยหน้ีการบังคับหน้ีของลูกหนี้ได้จนครบนั้นเป็นหลักเกณฑ์ ท่วั ไปตามหลกั กฎหมายประเทศญปี่ ่นุ ทีม่ ิได้บญั ญตั ิไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งประเทศญป่ี นุ่ แตอ่ ย่างใด 1.2 สาระส�ำคัญกฎหมายจ�ำนองในประเทศญีป่ นุ่ กฎหมายจ�ำนองในประเทศญป่ี ่นุ มีความคลา้ ยคลึงกับการจ�ำนองในประเทศตา่ ง ๆ ทั่ว โดย ประมวลกฎหมายแพ่งประเทศญ่ีปนุ่ ประมวลกฎหมายแพง่ ประเทศญป่ี ุ่น (Japanese Civil Code Act No. 89 Of 1896) ประกอบไปดว้ ยหลายหมวดและหลายมาตรา โดยกฎหมายวา่ ดว้ ยการจำ� นอง (Mortgages หรอื Teito-Ken) นนั้ บัญญตั ใิ นมาตรา 369-398 ซ่งึ มสี าระส�ำคญั ดงั ต่อไปน้ี 1.2.1 ในประเทศญป่ี นุ่ นน้ั การจำ� นองไดบ้ ญั ญตั ไิ วใ้ นมาตรา 369 หมายถงึ การทผ่ี รู้ บั จำ� นอง (Mortgagees) มีบุริมสิทธิที่จะได้รับการช�ำระหน้ีก่อนเจ้าหนี้รายอ่ืนในอสังหาริมทรัพย์ (Immovable Properties) ที่ผู้จ�ำนองหรือบุคคลท่ีสามได้ยินดีมาจ�ำนองไว้เพื่อเป็นประกันการช�ำระหน้ี โดยไม่มีการโอน อสังหารมิ ทรัพยน์ ัน้ ทง้ั น้ี สทิ ธเิ หนอื พนื้ ดิน (Superficies) และการเชา่ ระยะยาว (Emphyteusis) สามารถน�ำ มาเป็นทรพั ย์สินทีจ่ ำ� นองไดเ้ ชน่ กนั จ�ำนองจะตอ้ งทำ� เป็นสญั ญา (Lending Issue In Japan, 2005) ซึ่งไมจ่ �ำเป็นจะตอ้ ง ท�ำเป็นหนังสือก็ได้แต่ส่วนใหญ่จะท�ำเป็นสัญญาต่อกัน ระหว่างเจ้าหน้ีและผู้เป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ ซงึ่ สญั ญาจ�ำนองจะสมบรู ณ์ต่อเม่อื ได้ไปจดทะเบยี นกบั ส�ำนกั งานทด่ี ิน (มาตรา 177 ประมวลกฎหมายแพง่ ) 1.2.2 นอกจากประมวลกฎหมายแพง่ ประเทศญปี่ นุ่ มไิ ดจ้ ำ� กดั การใหห้ ลกั ประกนั ในการกยู้ มื จ�ำกัดเฉพาะการจ�ำนอง (อสังหาริมทรัพย์) และจ�ำน�ำ (สังหาริมทรัพย์) เท่านั้น หลักประกันทางธุรกิจ (Security Interests) สามารถนำ� มาใหเ้ ปน็ หลกั ประกนั ไดเ้ ชน่ กนั หลกั ประกนั ทางธรุ กจิ ยงั ครอบคลมุ ถงึ ทรพั ย์ อน่ื นอกเหนอื จากที่บัญญตั ไิ ว้ในประมวลกฎหมายแพง่ ยกตัวอย่างได้ ดังนี้ (ก) พระราชบัญญัติว่าด้วยการจ�ำนองธุรกิจ (Business Entity Mortgage Act: Kigyootanpohoo Code 106-1958) หมายถงึ การน�ำสนิ ทรัพยท์ างธุรกจิ (Assets Of The Corporation) โดยเป็นการรวมทรัพย์สินทงั้ ธรุ กจิ (As A Single Asset) น�ำมาใชใ้ นการจำ� นองเพอ่ื ขอเงินกู้ได้ ซงึ่ จะตา่ งจาก การจ�ำนองตามประมวลกฎหมายแพ่ง เน่ืองจากการน�ำสินทรัพย์ทางธุรกิจมาจ�ำนองนั้นธุรกิจดังกล่าว อาจประสบปัญหาการล้มละลายได้ ดังนั้นประเทศญี่ปุ่นจึงบัญญัติกฎหมายการจ�ำนองในลักษณะนี้แยก ปที ี่ 15 ฉบบั ที่ 3 ประจำ�เดอื นกนั ยายน - ธันวาคม 2562 195

ออกมาตา่ งหาก ซง่ึ การบงั คบั คดที รพั ยส์ นิ ทน่ี ำ� มาจำ� นองสามารถทำ� ไดโ้ ดยการขายทอดตลาด หรอื การขายโดย การตกลง (Negotiated Sale) ได้ (ข) พระราชบัญญัติว่าด้วยการจ�ำนองโรงงาน (Factory Mortgage Act: Koojooteltoohoo: Code 4-1950) กฎหมายฉบับน้ีจะคล้ายกับฉบับแรก แต่เนื่องด้วย การท�ำโรงงาน ประกอบไปด้วย ท่ีดิน อาคาร เครื่องจักรต่าง ๆ อุปกรณ์ และสิ่งอื่น ๆ ที่ใช้ในการประกอบกิจการโรงงาน ซ่ึงมีความแตกต่างจากการจ�ำนองที่อยู่อาศัย หรือท่ีดิน จึงจ�ำเป็นต้องมีการแยกลักษณะของการจ�ำนองและ บังคับจ�ำนองโดยเฉพาะ (ค) พระราชบัญญัติว่าด้วยการจ�ำนองเหมืองแร่ (Mining Mortgage Act: Koojooteltoohoo: Code 15-1931) ผเู้ ปน็ เจา้ ของเหมอื งแรส่ ามารถทจ่ี ะตง้ั ทรสั ตเ์ หมอื งแร่ (Mining Trust) เพื่อเป็นหลักประกันในการขอสินเช่ือได้ โดยอาจประกอบด้วยทุกสิ่งรวมกันหรือบางส่วนก็ได้ อันได้แก่ สิทธิ สมั ปทานในเหมอื งแร่ (Mining Right) ทด่ี ินและอาคาร (Land And Buildings) สทิ ธิการใชท้ ด่ี ิน (Land Use Right) สทิ ธิในการเช่า เครือ่ งจกั รตา่ ง ๆ อุปกรณต์ า่ ง ๆ ทใ่ี ช้ในการประกอบกิจการเหมอื งแร่ ทรพั ยส์ นิ ทาง อุตสาหกรรม (Industrial Properties) (ง) พระราชบัญญตั วิ า่ ดว้ ยการจ�ำนองยานพาหนะ (Automobile Mortgage Act: Idoushateltoohoo: Code 187-1952) ผกู้ ู้ยมื สามารถน�ำรถยนตข์ องตนมาจำ� นำ� หรือเปน็ ประกนั การกู้ยมื เงนิ น้ันได้ (จ) พระราชบัญญัติว่าด้วยการจ�ำนองโครงการก่อสร้าง (Construction Plant Mortgage Act: Kensetsu Kikai Teltoohoo: Code 97-1964) ผู้เป็นเจ้าของโครงการสามารถที่จะน�ำ โครงการไปจดทะเบยี นตอ่ เจา้ หนา้ ทบี่ า้ นเมอื ง และสามารถทจ่ี ะนำ� เอกสารการจดทะเบยี นมาใชเ้ ปน็ หลกั ประกนั ในการขอสนิ เช่อื ได้ (ฉ) หลักประกนั ทางธรุ กิจ (Security Interests หรือ Joto Tanpo) (Bennett, 2009: 3) ก�ำเนิดข้ึนในศาลโดยการตีความของศาลท่ีให้ทรัพย์สินที่มีค่าในทางธุรกิจเป็นหลักประกันใน การกยู้ มื เงนิ จากสถาบนั การเงนิ หลกั ประกนั ทางธรุ กจิ (Security Interests หรอื Joto Tanpo) มไิ ดถ้ กู บญั ญตั ิ โดยพระราชบัญญัติหรือประมวลกฎหมายลายลักษณ์อักษรแต่อย่างใด (Non-Code) หลักประกันทางธุรกิจ (Security Interests หรอื Joto Tanpo) น้ันสามารถเปน็ ไดท้ ัง้ อสงั หาริมทรพั ย์และสงั หาริมทรพั ย์ (Haley, 1974: 133-138) เชน่ ทรพั ยส์ นิ ทางปญั ญา (Intelectual Property) ตราสารหน้ี (Bond) เปน็ ตน้ อยา่ งไรกด็ ี เมอ่ื นำ� อสงั หารมิ ทรพั ยไ์ ปเปน็ หลกั ประกนั ทางธรุ กจิ ตามหลกั เกณฑน์ จี้ ะเรยี กวา่ “A Joto Tanpo Mortgage” และมวี ธิ กี ารบงั คบั ชำ� ระหนกี้ บั อสงั หารมิ ทรพั ยท์ เ่ี ปน็ หลกั ประกนั ทางธรุ กจิ อนั มวี ธิ กี ารคลา้ ยคลงึ กบั การบงั คบั จ�ำนองทรพั ยส์ นิ โดยทั่วไป สิทธิเรียกร้องของเจ้าหน้ีกรณีลูกหนี้ผิดนัด เม่ือลูกหน้ีไม่ช�ำระหน้ีเมื่อหน้ีถึงก�ำหนด ชำ� ระแลว้ เจา้ หนจี้ ะเกดิ สทิ ธใิ นการบงั คบั ชำ� ระหนเี้ อากบั ทรพั ยส์ นิ ทจ่ี ำ� นองโดยถอื วา่ ผทู้ บี่ งั คบั ชำ� ระหนนี้ น้ั เปน็ เจา้ หนบี้ รุ มิ สิทธิ ตามมาตรา 369(1) และการบงั คบั ช�ำระหน้จี ำ� นองยอ่ มรวมถงึ ดอกเบย้ี จากการผิดนัดดว้ ย กรณกี ารพิจารณาหนส้ี ว่ นทข่ี าด กลา่ วคอื เม่ือบงั คบั จ�ำนองแลว้ หากทรพั ยส์ นิ ท่ขี าย ทอดตลาดไม่เพียงพอช�ำระหน้ีตามสัญญาเงินกู้ตามมาตรา 394 หลักการคือ ผู้รับจ�ำนองสามารถที่จะได้รับ ชำ� ระหนจี้ ากทรพั ยส์ นิ อยา่ งอน่ื ไดน้ อกเหนอื จากทรพั ยส์ นิ ทจ่ี ำ� นอง อยา่ งไรกด็ ี การรบั ชำ� ระหนเ้ี ชน่ วา่ นจ้ี ะตอ้ ง 196 บัณฑติ วิทยาลัย มหาวิทยาลัยสวนดสุ ติ

เป็นจ�ำนวนที่ไม่ได้รับช�ำระหน้ีจากการประกาศขายทรัพย์สินที่จ�ำนอง แต่กรณีนี้จะไม่สามารถบังคับช�ำระหนี้ ไดห้ ากทรพั ย์สนิ อ่ืน ๆ นัน้ ไดม้ กี ารจำ� หนา่ ยไปแล้วก่อนกระบวนการบังคบั กบั ทรพั ยส์ ินที่จ�ำนอง กล่าวโดยงา่ ย คือ การบังคับจ�ำนองโดยการขายทอดตลาดทรัพย์เพ่ือน�ำมาช�ำระหนี้จ�ำนองในประเทศญี่ปุ่นเป็นไปตามหลัก ทว่ั ไปคอื หากการขายทอดตลาดทรพั ยส์ นิ ทจ่ี ำ� นองไมเ่ พยี งพอตอ่ การชำ� ระหนเ้ี งนิ กเู้ ดมิ อยเู่ ทา่ ใด เจา้ หนส้ี ามารถ ทจี่ ะบังคับคดโี ดยการขอบังคบั ชำ� ระหนี้เอากบั ทรัพยส์ นิ ส่งิ อน่ื ของลูกหน้ีต่อไปไดจ้ นกว่าจะครบมลู หนี้) Idee, Iwata & Taguchi, 2011: 84-98) 2. กระบวนการบังคับจำ� นองของประเทศญีป่ ุ่น (Foreclosure System) เมอ่ื ลูกหน้ีจำ� นองไมช่ ำ� ระหนต้ี ามสญั ญาแลว้ เจา้ หน้จี ำ� นองมสี ิทธิ 2 ประการคือ 2.1 ฟ้องรอ้ งบงั คับคดีแบบเจา้ หนส้ี ามญั กล่าวคือ ฟ้องร้องตามสัญญาเงนิ กโู้ ดยไม่บงั คบั เอากับ ทรัพยส์ นิ ทีจ่ ำ� นอง หรอื 2.2 ฟ้องร้องการบังคับจ�ำนองเอากับทรัพย์สินท่ีจ�ำนองอันถือเป็นบุริมสิทธิเหนือเจ้าหน้ีรายอ่ืน หากเจ้าหน้ี มคี วามประสงคท์ จี่ ะบังคับเอากับทรัพยส์ นิ ที่จ�ำนองเพ่ือช�ำระหนี้ เจา้ หนจี้ �ำนองมสี ทิ ธิ 2 ประการ คือ 2.2.1 การโอนทรพั ย์สนิ ท่จี ำ� นองให้เป็นการตีใช้หน้ี หมายถึง บังคบั ให้ลกู หน้ีผเู้ ปน็ เจ้าของ ทรพั ยส์ นิ ทจี่ ำ� นองโอนทรพั ยส์ นิ ทจี่ ำ� นองใหเ้ ปน็ การตใี ชห้ นไี้ ด้ อยา่ งไรกด็ ี กรณนี ผี้ รู้ บั จำ� นองจะตอ้ งจดทะเบยี น โดยใหอ้ ำ� นาจเจา้ หนใี้ นการบงั คบั เอากบั ทรพั ยส์ นิ ทจ่ี ำ� นองโดยการโอนใหเ้ ปน็ กรรมสทิ ธข์ิ องเจา้ หนไ้ี ดท้ นั ที เมอ่ื เกิดกรณีทีล่ กู หนีผ้ ิดนดั ช�ำระหนี้ (Statue Of Registration Of The Claim For Transfer Of The Title In Case Of Default In Performing Monetary Obligations: Kari Tooki Tanpo Keiyakunl Kansuru Houritu, Code No.78-1978) โดยกระบวนการโอนทรพั ยภ์ ายหลงั จากลกู หนผ้ี ดิ นดั ชำ� ระหนี้ กรณนี ้ี ไมจ่ ำ� เปน็ จะต้องเขา้ สกู่ ระบวนการการบังคับเอากบั ทรพั ย์สนิ ทีจ่ ำ� นองท่ัวไปอีก แตเ่ จ้าหนีย้ ังคงตอ้ งฟอ้ งรอ้ งตอ่ ศาลเพื่อ ให้ศาลมีค�ำพิพากษาพิจารณาค่าเสียหายต่าง ๆ ท่ีเจ้าหนี้จ�ำนองเสียหาย เพื่อก�ำหนดจ�ำนวนหนี้ท่ีลูกหน้ีต้อง ชำ� ระทั้งหมด 2.2.2 การบังคับคดีเพ่ือการขายทอดตลาด เมื่อลูกหน้ีผิดนัดช�ำระหน้ี เจ้าหน้ีมีสิทธิเรียก ร้องโดยการฟ้องร้องต่อศาลเพื่อน�ำทรัพย์สินท่ีจ�ำนองออกขายทอดตลาดด้วยวิธีการแข่งขันประมูลราคา (Auction and Buy-Sell Arrangement) ซึ่งเปน็ ไปตามบทบญั ญัติมาตรา 378-387 ประมวลกฎหมายแพ่ง (Japanese Civil Code) โดยมสี าระส�ำคัญดงั น้ี (ก) ประมวลกฎหมายแพ่งมาตรา 381 บัญญัติให้ผู้รับจ�ำนองมีสิทธิเรียกร้องใน การบงั คบั จำ� นอง (Foreclosure) อนั เนอื่ งมาจากการผดิ นดั ชำ� ระหนข้ี องลกู หนี้ โดยเจา้ หนจี้ ะตอ้ งสง่ เอกสารแจง้ การบงั คบั จำ� นอง (Notice) ถงึ ลกู หนจ้ี ำ� นองหรอื บคุ คลทสี่ ามทน่ี ำ� ทรพั ยม์ าจำ� นอง เพอ่ื แจง้ ใหท้ ราบวา่ จะบงั คบั จ�ำนองทรัพย์สินเพื่อน�ำมาช�ำระหนี้ อย่างไรก็ดี ทรัพย์สินหนึ่งส่ิงน้ันอาจจะมีการจ�ำนองเพ่ือประกันหนี้ หลายราย ดังนั้นคู่ความจะต้องส่งเอกสารแจ้งการบังคับจ�ำนอง (Notice) ให้กับเจ้าหนี้รายอื่น ๆ ที่ทรัพย์ ช้นิ นน้ั อาจใช้เป็นหลกั ประกันการช�ำระหนด้ี ว้ ย (ข) ประมวลกฎหมายแพง่ มาตรา 378 บคุ คลทสี่ ามเมอ่ื ไดร้ บั เอกสารแจง้ การบงั คบั จำ� นอง (Notice) แลว้ กฎหมายใหส้ ทิ ธกิ บั บคุ คลทสี่ ามในการชำ� ระหนเ้ี พอ่ื ปลดปลอ่ ยทรพั ยอ์ นั เปน็ หลกั ประกนั โดยท�ำการตกลงราคาทรพั ย์กับเจา้ หนจี้ ำ� นองจนเปน็ ทพ่ี อใจ ปที ่ี 15 ฉบบั ท่ี 3 ประจ�ำ เดอื นกันยายน - ธนั วาคม 2562 197

(ค) ประมวลกฎหมายแพง่ มาตรา 387 กำ� หนดใหเ้ มอื่ ผรู้ บั จำ� นองไมไ่ ดร้ บั การตอบรบั หรือไม่มีการแสดงความจ�ำนงใด ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินท่ีจ�ำนองภายใน 30 วัน ผู้จ�ำนองด�ำเนินการฟ้องร้อง ต่อศาลในการบงั คับเอากับทรัพยส์ นิ ทีจ่ �ำนองไดท้ ันที กระบวนการบงั คบั คดีเปน็ ไปตามกฎหมายการบงั คับคดแี พ่ง (Civil Execution Act หรอื Minjishikkohoo: Code No.4-1980) มาตรา 22 กำ� หนดประเภทของคำ� สง่ั ศาล (Court Orders) เอกสาร ที่ต้องการการรับรอง (Notarized Documents) รวมไปถึงเอกสารต่าง ๆ ที่ต้องใช้ในการบังคับคดี เช่น ในการบงั คับจำ� นองจะต้องประกอบไปด้วยสัญญาหรอื การช�ำระหนี้ นอกจากนี้ มาตรา 23 กำ� หนดให้ระบุผทู้ ี่ เกี่ยวข้องในสัญญา ประกอบกับเอกสารในมาตราก่อนด้วย โดยการฟ้องร้องบังคับจ�ำนองต่อศาลน้ันจะต้อง กระทำ� ในกรอบระยะเวลาทีไ่ ดก้ �ำหนดไวใ้ นประมวลกฎหมายแพง่ (Japanese Civil Code) มาตรา145, 146, 162, 167 ทั้งน้ี ผู้ที่ฟ้องร้องตามสัญญาจ�ำนองได้จะต้องเป็นผู้รับจ�ำนองท่ีได้จดทะเบียนจ�ำนองไว้เท่านั้น เวน้ แต่กรณีเจา้ หนข้ี องผูร้ ับจ�ำนองไดค้ �ำสั่งจากศาลใหก้ ระท�ำเช่นว่าน้นั ได้ การขายทอดตลาดโดยศาล (Judicial Auction) (Idee, Iwata & Taguchi, 2011: 84-98) เมือ่ ศาลมคี �ำพิพากษาสัง่ ใหบ้ ังคบั ช�ำระหนเ้ี อากบั ทรพั ยส์ ินที่น�ำมาจ�ำนอง ศาลในประเทศญี่ปนุ่ จะเป็น ฝา่ ยด�ำเนนิ การบังคบั คดีดว้ ยวิธกี ารขายทอดตลาด ซ่งึ มีขัน้ ตอนดงั นี้ ศาลชนั้ ตน้ ทมี่ เี ขตอำ� นาจจะทำ� การประกาศขายทรพั ยแ์ ละกำ� หนดการขายทอดตลาด โดยส่วนใหญ่วันขายทอดตลาดจะเกิดข้ึนหลังจากการประกาศขายหนึ่งสัปดาห์หรือไม่เกินหนึ่งเดือน เพ่ือให้ ระยะเวลาผทู้ ป่ี ระมลู สง่ ราคาทถ่ี กู ทสี่ ดุ เขา้ ไปยงั ศาล และระหวา่ งนน้ั ศาลจะเปดิ โอกาสใหผ้ ทู้ สี่ นใจเขา้ ชมทรพั ย์ และเปิดเผยขอ้ มลู ท่ผี ้จู ะประมลู ควรรู้ให้ทราบ ศาลจะรบั การเสนอราคาประมูล ขั้นตอนนผ้ี ูป้ ระมูลจะตอ้ งจา่ ยมัดจ�ำท่รี อ้ ยละยี่สิบ ของราคาประมูล ราคาที่สูงทส่ี ดุ ของการประมลู ไว้ โดยทีผ่ สู้ ง่ ราคาประมลู จะไมท่ ราบถึงราคาที่ผู้อ่นื ย่นื ไปดว้ ย ขั้นตอนสุดท้าย คือ ศาลประกาศผู้ท่ีชนะการประมูล และให้ผู้ท่ีชนะการประมูล ท�ำการจดทะเบียนโอนกรรมสทิ ธใ์ิ หเ้ รียบรอ้ ยในขั้นตอนนี้ การดำ� เนินการขายทอดตลาดในศาลน้นั มีข้อดคี ือ ลดข้นั ตอนในการโตแ้ ย้งประเดน็ ปัญหาทางด้านกฎหมายต่าง ๆ เช่น การร้องขัดทรัพย์ ท่ีอาจเกิดข้ึนระหว่างการขายทอดตลาด ท�ำให้ระยะ เวลาการบงั คับจำ� นองสนั้ ลงเมื่อเปรยี บเทยี บกบั การขายทอดตลาดโดยหนว่ ยงานท่ีแยกส่วนงานกัน 3. มาตรการเสรมิ ของการบงั คับจำ� นองในประเทศญปี่ นุ่ 3.1 การประกนั การจ�ำนอง (Mortgage Insurance) (Kuwahara & Matsunaga, 2006) การจ�ำนองในประเทศญ่ีปุ่นน้ันมีความเสี่ยงในการช�ำระหนี้เช่นเดียวกับประเทศอ่ืนทั่วโลก (Kuwahara & Matsunaga, 2006: 97) อยา่ งไรกด็ ี ในประเทศญปี่ นุ่ นนั้ มกี ารนำ� มาตรการการปอ้ งกนั ความเสยี่ ง เข้ามาเป็นมาตรการเสริมเพ่ือความคล่องตัวในการประกอบธุรกิจหรือการกู้ยืม อีกท้ังยังเป็นการลดปัญหา ในกระบวนการบังคบั คดอี กี ดว้ ย มาตรการท่ีว่าน้เี รียกว่า การประกนั การจ�ำนอง (Mortgage Insurance) ซ่ึง เปน็ แนวความคดิ ทเ่ี กดิ ขนึ้ ในประเทศสหรฐั อเมรกิ า รฐั แคลฟิ อรเ์ นยี ในชว่ งทเี่ กดิ วกิ ฤตทางเศรษฐกจิ ในทศวรรษ ท่ี 1990 การป้องกันความเสี่ยงจึงมีท่ีมาจากปัญหาทางเศรษฐกิจดังกล่าว ประกอบกับการแข่งขันทางด้าน การให้สินเชอื่ ในประเทศญป่ี ุน่ ทเ่ี พ่ิมขนึ้ ท�ำให้มาตรการเสรมิ นีส้ ามารถถกู น�ำมาใช้เพื่อเปน็ เครอ่ื งมือในการลด ความเสี่ยงของการให้สินเชื่อและพัฒนาตลาดทางการเงินอีกด้วย มาตรการน้ีได้เริ่มน�ำมาใช้ในประเทศญ่ีปุ่น 198 บณั ฑิตวทิ ยาลัย มหาวทิ ยาลยั สวนดุสิต

ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2005 อย่างไรก็ตาม การใช้ประกันการจ�ำนองนั้นยังไม่เป็นที่แพร่หลายมากในประเทศญี่ปุ่น ยงั คงจำ� กดั เฉพาะกลุ่มลกู คา้ จ�ำนวนหนึง่ ในปัจจบุ ัน การประกันการจ�ำนอง หมายถึง การประกันหรือการให้ความคุ้มครองกับเจ้าหนี้หรือผู้รับ จำ� นองในกรณที ผี่ กู้ ยู้ มื ละเลยการชำ� ระหนที้ ม่ี ที รพั ยส์ นิ มาจำ� นอง เมอื่ ลกู หนผี้ ดิ นดั ชำ� ระหนแ้ี ละเจา้ หนห้ี รอื ผรู้ บั จ�ำนองได้ด�ำเนินการบังคับจ�ำนองเพ่ือน�ำมาช�ำระหน้ีประธาน หากเกิดความเสียหายข้ึนหรือเกิดส่วนขาดท่ี ทรัพย์สนิ ที่จ�ำนองขายแล้วไมพ่ อกับเงินตน้ พร้อมดอกเบย้ี (Shortfall Between Outstanding Amount Of The Loan) ผู้รบั ประกนั (The Mortgage Insurer) จะจา่ ยสว่ นขาดทีผ่ ู้จำ� นองตอ้ งเสยี หาย แตจ่ ะตอ้ งไม่เกิน จ�ำนวนที่ก�ำหนดไว้ในสัญญาประกันน้ัน การท�ำสัญญาประกันการจ�ำนองในลักษณะน้ีจะช่วยก�ำจัดหรือลด ความเส่ียงของเจ้าหน้ีจ�ำนองท่ีได้รับความเสียหายจากสัญญาจ�ำนองได้เป็นอย่างมาก นอกจากน้ี ผู้รับสัญญา ประกนั การจำ� นองจะไปรับชว่ งสิทธิในการเรียกร้องในเงินส่วนนนั้ กับลกู หนี้ สัญญาประกนั การจ�ำนองในปัจจุบันเปน็ ทนี่ ยิ มในการเป็นมาตรการเสรมิ ประกอบการกเู้ งนิ และสัญญาจ�ำนองในต่างประเทศ เจ้าหนี้จะร้องขอให้ลูกหนี้หรือผู้จ�ำนองท�ำสัญญาประกันการจ�ำนองใน การกู้ยืมท่ีมีความเส่ียงสูง หรือ High Loan-To-Value (LTV) เน่ืองจากมีความเสี่ยงสูงมากกว่าสัญญาเงินกู้ ปกตนิ นั่ เอง ตวั อยา่ งเชน่ สญั ญากยู้ มื เพอื่ ทอี่ ยอู่ าศยั (Housing Loan) ทม่ี กี ารจา่ ยเงนิ ดาวน์ (Down Payment) เปน็ จำ� นวนน้อย และส่วนใหญ่จะเปน็ ลูกหนี้ทีม่ ีอายนุ อ้ ย (Younger Buyers) โดยบริษทั ท่รี ับท�ำสญั ญาประกัน การจำ� นองจะเปน็ ผู้ประเมินจำ� นวนเงนิ สัญญาประกนั การจ�ำนอง ประโยชนข์ องการประกันการจำ� นอง (Benefits Of Mortgage Insurance) (Kuwahara & Matsunaga, 2006) 3.1.1 การประกนั การจำ� นองสามารถทจี่ ะลดความเสย่ี งและเพม่ิ ความนา่ เชอื่ ถอื ของผกู้ ยู้ มื (Mortgage Insurance Reduces Lender Credit Risk) จากท่ีกล่าวไปเบื้องตน้ ว่าการประกันการจ�ำนองให้ ความคมุ้ ครองหนส้ี ว่ นขาดแกผ่ รู้ บั จำ� นอง กรณผี จู้ ำ� นองทผ่ี ดิ นดั ชำ� ระหน้ี ดงั นน้ั ผจู้ ำ� นองสว่ นใหญจ่ ะซอื้ ประกนั ในลักษณะนี้หรือบางกรณีเจ้าหน้ีจ�ำนอง โดยเฉพาะธนาคารแพ่งในประเทศญี่ปุ่น จะร้องขอให้ผู้จ�ำนอง ซื้อประกันเพ่ือลดความเส่ียงกรณีผู้จ�ำนองอาจผิดนัดช�ำระหนี้ และเป็นการเพิ่มความมั่นใจในการให้สินเชื่อ อกี ด้วย ซ่ึงการท�ำประกันเปน็ การผลกั ภาระทอ่ี าจเกิดข้ึนใหก้ ับบคุ คลท่สี าม 3.1.2 การประกนั การจำ� นองชว่ ยเพมิ่ โอกาสในการใหส้ นิ เชอื่ มากขนึ้ (Mortgage Insurance Increases Availability) หลายประเทศทม่ี กี ารเริม่ ให้มีการประกันการให้สินเช่อื มโี อกาสในการให้สินเชอ่ื แก่ ลกู ค้าสถาบันการเงนิ ที่เพ่มิ สูงขึน้ โดยเฉพาะกล่มุ ผู้ขอสินเชื่อท่ไี ม่มกี ารออมทีม่ นั่ คงและผขู้ อสินเชือ่ ทมี่ กี ารให้ คะแนนความนา่ เชอื่ ถอื ไมส่ งู นกั สว่ นหนงึ่ อาจมาจากกลมุ่ ผขู้ อสนิ เชอ่ื ทมี่ อี ายนุ อ้ ยและมกี ารขอสนิ เชอื่ ทอ่ี ยอู่ าศยั เป็นหลังแรก (First-Time Home Buyer) ซึ่งหากเปรียบเทียบกับประเทศสหรัฐอเมริกาท่ีกลุ่มผู้ขอสินเชื่อ ลักษณะนมี้ อี ายุประมาณ 20 ปตี อนปลาย ขณะเดยี วกัน ประเทศญ่ีปนุ่ จะเป็นกล่มุ อายุ 30 ปขี ้นึ ไป 3.1.3 การประกันการจ�ำนองเพ่ิมทางเลือกให้กับผู้ประกอบการอื่นและผู้ขอสินเชื่อ (Mortgage Insurance Increases Choice) การประกันการให้สินเชื่อสามารถท�ำให้ผู้ให้สินเช่ือรายย่อย (Smaller Lenders) ที่ปล่อยสินเช่ือสามารถให้สินเชื่อเปรียบเสมือนหนึ่งสถาบันการเงินขนาดใหญ่ที่เข้าถึง ข้อมูลได้ง่ายกว่าซ่ึงเป็นข้อเสียเปรียบในการปล่อยสินเช่ือกรณีไม่มีการประกันการจ�ำนอง นอกจากนี้ เม่ือ ผู้ให้สินเช่ือรายย่อยสามารถปล่อยสินเช่ือได้มากข้ึน ผู้ขอสินเช่ือหรือลูกค้าก็มีทางเลือกเพิ่มมากข้ึนด้วย ปที ่ี 15 ฉบับท่ี 3 ประจำ�เดอื นกันยายน - ธนั วาคม 2562 199

สง่ ผลดกี บั การแขง่ ขันในตลาดการปล่อยสนิ เชอ่ื ในภาพรวมอีกดว้ ย 3.1.4 การประกันการจ�ำนองลดคา่ ใช้จา่ ย (Mortgage Insurance Reduces Cost) เมื่อ การประกันการจ�ำนองสามารถช่วยเยียวยากรณีที่เจ้าหนี้ไม่ได้รับการช�ำระหน้ีโดยครบถ้วน โดยการขาย ทรพั ย์สินที่จำ� นอง สง่ ผลใหไ้ มต่ ้องเสยี ค่าใช้จ่ายในการบงั คับคดีอีก 3.1.5 การประกันการจ�ำนองช่วยเสริมมาตรการการแปลงสินทรัพย์เป็นทุน (Mortgage Insurance Facilitates Securitization) เน่ืองมาจากการประกันการจ�ำนองช่วยขจัดความเส่ียงอันเนื่อง มาจากการไมไ่ ดร้ บั ชำ� ระหนข้ี องลกู หนอ้ี นั อาจสง่ ผลตอ่ การไหลเวยี นของกระแสเงนิ สด (Cash Flows) การแปลง สินทรัพย์เป็นทุนเป็นเร่ืองสามัญในหลายประเทศช้ันน�ำของโลก เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ แคนาดา และ ออสเตรเลยี ซง่ึ การประกนั การใหส้ นิ เชอื่ เปน็ มาตรการเสรมิ หลกั ของตลาดการปลอ่ ยสนิ เชอื่ ในประเทศดงั กลา่ ว 3.1.6 การแปลงสินทรัพย์เป็นทุนให้ประโยชน์กับลูกค้าสถาบันการเงินเนื่องจากท�ำให้ผู้ให้ สินเช่ือท่ีไม่ใช่ธนาคาร (Non-Bank Lenders) สามารถที่จะเข้าถึงแหล่งเงินทุนและแข่งขันในตลาดการให้ สินเช่ือได้และผู้ให้สินเช่ือที่ไม่ใช่ธนาคาร (Non-Bank Lenders) มักจะให้สินเช่ือระยะยาวในอัตราดอกเบ้ีย คงท่ี (Long-Term Fixed Rate Loans) นอกจากนก้ี ารแปลงสนิ ทรพั ยใ์ หเ้ ปน็ ทนุ สง่ ผลดกี บั ผใู้ หก้ ดู้ ว้ ยการกำ� จดั ความเสี่ยงออกจากงบดลุ (Balance Sheet) 3.1.7 การประกันการจ�ำนองช่วยท�ำให้การให้สินเช่ือเพ่ือที่อยู่อาศัยด�ำเนินไปได้อย่างมี เสถยี รภาพ (Mortgage Insurance Smooths The Housing Cycle) การประกนั การจำ� นองเอือ้ ประโยชน์ ไม่เฉพาะกบั ตัวผ้ขู อสินเช่ือและผูใ้ หก้ ยู้ ืมเทา่ นน้ั แตย่ ังสง่ ผลดกี ับระบบเศรษฐกิจโดยรวม ท�ำให้การให้สนิ เชอ่ื เพอื่ ทอ่ี ยอู่ าศยั ดำ� เนนิ ไปไดอ้ ยา่ งมเี สถยี รภาพ การประกนั การจำ� นองจะชว่ ยใหค้ วามเสยี่ งของการปลอ่ ยสนิ เชอื่ ในวงจรของการปล่อยสินเช่ือลดลง เม่ือการไม่ช�ำระหน้ีได้ทดแทนด้วยเงินท่ีจ่ายโดยการประกันการจ�ำนอง ท�ำให้ผู้ให้สินเชื่อมีเม็ดเงินท่ีจะปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ขอสินเชื่อรายอ่ืนต่อไป และท�ำให้ผู้ประกอบการ อสงั หารมิ ทรัพย์ เชน่ บา้ น หรือคอนโดมิเนยี ม ขายสนิ ค้าไดอ้ กี ด้วย 3.2 การใช้ระบบการจ�ำนองโดย Trustee (Syndicate Loan) เป็นกรณกี ารประกอบธรุ กิจทีใ่ ช้ทนุ สูงและต้องการกูย้ ืมท่มี ีหลกั ทรัพยม์ าจำ� นอง เช่น การท่ี จะขอกู้เงนิ เพ่ือมาด�ำเนินการสรา้ งเขอื่ น ตอ้ งกู้จากผู้ใหก้ ้หู รอื สถาบันการเงินหลายรายเพ่ือลดความเสี่ยง (ของ ผใู้ หก้ )ู้ แตก่ ารขอกจู้ ากเจา้ หนหี้ ลายรายน้ี อาจมปี ญั หายงุ่ ยากการจำ� นองหลกั ทรพั ยก์ บั เจา้ หนห้ี ลายราย ประเทศ ญป่ี ุ่นจึงน�ำระบบ Trustee มาใช้ (จักรวาล ทนกล้า, 2560) เชน่ A กยู้ มื เงนิ จาก B, C, D, E ซึง่ หากจะต้องมี การจ�ำนอง ตามหลักทั่วไปก็จะต้องจดจ�ำนองกับ B, C, D, E ซ่ึงอาจจะมีปัญหายุ่งยากจึงแก้ปัญหาโดยมี การจดจ�ำนองกบั Trustee แทน ซ่ึง Trustee จะดูแลเก่ียวกบั การจดจ�ำนอง (เป็นผู้รับจ�ำนอง) ดูแลในเรอื่ ง ของการบงั คบั จำ� นอง หากมกี ารขายทอดตลาดทรพั ยส์ นิ ทจี่ ำ� นอง Trustee จะเปน็ ตวั แทนดำ� เนนิ การหกั ชำ� ระ หนใ้ี หแ้ กเ่ จา้ หนแ้ี ตล่ ะราย ซงึ่ การดำ� เนนิ การโดย Trustee จะมคี วามแตกตา่ งกบั การจำ� นองปกตคิ อื ผรู้ บั จำ� นอง กบั เจา้ หนี้เปน็ คนละคน ซ่ึงถอื วา่ วธิ ีน้ีเปน็ วิธีทลี่ ดความเส่ียงในการไม่ช�ำระหนขี้ องลูกหนแ้ี ละเพ่มิ ความสะดวก ให้กบั เจ้าหนก้ี รณีท่ีมีหลายราย 3.3 การจ�ำนองแบบย้อนกลบั (Reverse Mortgage) ประเทศญป่ี นุ่ เปน็ ประเทศทม่ี จี ำ� นวนของผสู้ งู อายจุ ำ� นวนมาก ประเทศญป่ี นุ่ จงึ มแี นวคดิ ใน การสร้างรูปแบบการจำ� นองเหมาะกับผ้สู ูงอายุ การจำ� นองแบบยอ้ นกลบั คือ สญั ญาก้ยู ืมเพื่อผู้สงู อายุโดยมที ี่ 200 บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยสวนดุสติ

อยู่อาศยั เปน็ หลักประกนั โดยมวี ตั ถปุ ระสงคเ์ พอ่ื ให้ผ้สู งู อายมุ เี งินใช้ภายหลังจากเกษยี ณ กล่าวคอื ผู้สูงอายุทีม่ ี ทรพั ย์สนิ เป็นอสังหารมิ ทรัพย์ เชน่ บ้าน สามารถกู้เงนิ โดยน�ำบ้านมาเปน็ หลักทรพั ย์คำ�้ ประกนั หรอื การจ�ำนอง (Mortgage) และสถาบนั การเงนิ ทใ่ี หส้ นิ เชอื่ จะใหเ้ งนิ ทผี่ สู้ งู อายกุ ยู้ มื เงนิ แบง่ จา่ ยเปน็ กอ้ นหรอื รายเดอื นแลว้ แต่ ทีต่ กลงกัน อาจเรยี กได้ว่าเป็นเงินบ�ำนาญได้ ท้งั นเี้ พ่อื นำ� เงินไปใชจ้ ่ายในชวี ิตประจ�ำวัน กลา่ วโดยงา่ ยคอื คลา้ ยกบั การขายบา้ นลว่ งหน้าให้กบั สถาบันการเงนิ โดยสถาบนั การเงนิ เปน็ ผผู้ อ่ นซอื้ จงึ มลี กั ษณะเปน็ การยอ้ นกลบั (Reverse) โดยมเี งอื่ นไขวา่ จะสง่ มอบบา้ นใหเ้ มอ่ื เจา้ ของบา้ นเสยี ชีวิตแล้ว ดังนั้นสถาบันการเงินจึงมีหน้าท่ีต้องจ่ายค่างวดให้กับเจ้าของบ้าน ส่วนผู้กู้ก็ยังคงมีสิทธิอาศัยอยู่ใน บ้านหรือที่ดินหลังนั้นได้ไปเรื่อย ๆ หากสถาบันการเงินจ่ายเงินให้ผู้กู้จนครบแล้วบ้านหลังนั้นจึงจะตกเป็น กรรมสทิ ธขิ์ องสถาบนั การเงนิ หรอื ผใู้ หก้ ู้ จงึ ทำ� ใหผ้ สู้ งู อายมุ หี ลกั ประกนั วา่ จะมเี งนิ และมที อ่ี ยอู่ าศยั อยา่ งแนน่ อน และสถาบันการเงนิ ผู้ปลอ่ ยก้กู จ็ ะได้รับหลักทรัพย์ทน่ี �ำมาจ�ำนองเป็นการตอบแทน รปู แบบการจำ� นองแบบยอ้ นกลบั จะรบั จำ� นองและจา่ ยเงนิ ผกู้ โู้ ดยมเี งอ่ื นไข เชน่ ทรพั ยท์ น่ี ำ� มาจ�ำนองน้ันจะต้องเป็นท่ีดินท่ีมีบ้านบนที่ดินน้ัน ซึ่งบ้านน้ันจะต้องมีลักษณะท่ีเป็นครอบครัวเด่ียว และจะ ค�ำนวณเงินกู้ให้เฉพาะที่ดินเท่าน้ัน โดยจะไม่รับจ�ำนองอสังหาริมทรัพย์ในรูปแบบคอนโดมิเนียม มีเฉพาะ บางธนาคารเท่านน้ั ท่รี บั คอนโดมเิ นยี มภายใต้เงือ่ นไขที่จำ� กดั บทวิเคราะห์ วจิ ารณ์ และขอ้ เสนอแนะ ประเทศญ่ีปุ่นมีระบบการบังคับคดีโดยศาล (Judicial Foreclosure) รวมทั้งการขายทอดตลาด ทรพั ย์สินทีจ่ �ำนองโดยศาล (Judicial Auction) ด้วยซ่ึงศาลจะเปน็ ผูก้ ำ� หนดวนั ประกาศขายและจดั สถานท่ใี น การขายท่ีศาล น้ัน ๆ เอง ซง่ึ ถอื เปน็ กระบวนการทช่ี ่วยใหก้ ารบังคบั คดเี ร็วขึ้น เจ้าหนสี้ ามารถได้รับชำ� ระหน้ี เร็วและลูกหนี้ไม่ต้องแบกรับภาระดอกเบ้ียที่เพ่ิมข้ึนระหว่างการบังคับคดี โดยมีความพิเศษคือ การประมูล เป็นการเสนอราคาโดยผปู้ ระมลู สง่ ราคาท่ีตอ้ งการประมูลมาทศี่ าล ผู้ชนะจะต้องจา่ ยเงินและโอนกรรมสิทธใิ์ ห้ แล้วเสร็จในข้ันตอนสุดท้ายประเทศญี่ปุ่นมีระบบการบังคับการจ�ำนองที่มีความคล้ายคลึงกับประเทศไทย อย่างไรก็ดี เจ้าหนี้และลูกหน้ีสามารถท�ำข้อตกลงตีทรัพย์เพื่อช�ำระหน้ีขณะท�ำสัญญาได้ และประเทศญี่ปุ่น ยงั มมี าตรการเสรมิ ดา้ นเศรษฐศาสตรเ์ พอื่ ลดความเสยี่ งของเจา้ หนที้ อี่ าจจะเกดิ ขน้ึ ไดค้ อื การทำ� ประกนั การจำ� นอง (Mortgage Insurance) ควบค่ไู ปกบั การท�ำสญั ญาจำ� นอง ซ่งึ เปน็ ประโยชน์กับเจ้าหน้มี ากในการได้รับช�ำระ หนี้ ข้อดีของระบบการบังคับจ�ำนองโดยศาล (Judicial Foreclosure) ของประเทศญี่ปุ่น คือ มีความ สะดวกรวดเร็วมากเน่ืองจากเปน็ องค์กรท่ตี ดั สินและท�ำการบังคบั จ�ำนอง ตา่ งกบั ประเทศไทยทต่ี ่างองค์กรกนั ซ่งึ อาจทำ� ให้เกิดการลา่ ชา้ ในเร่อื งของการสง่ เรื่องต่อ เช่น การรอหมายจากศาลและการขอบงั คับคดี เปน็ ต้น นอกจากนี้ การดำ� เนนิ การขายทอดตลาดในศาลนน้ั มขี อ้ ดอี กี ประการหนงึ่ คอื ลดขน้ั ตอนในการโตแ้ ยง้ ประเดน็ ปัญหาทางด้านกฎหมายต่าง ๆ เช่น การร้องขัดทรัพย์ ท่ีอาจเกิดขึ้นระหว่างการขายทอดตลาด ท�ำให้ระยะ เวลาการบังคบั จ�ำนองสน้ั ลงเมอื่ เปรยี บเทยี บกบั การขายทอดตลาดโดยหน่วยงานทแ่ี ยกสว่ นงานกัน การช�ำระหนี้ในส่วนท่ีขาดจากการบังคับช�ำระหนี้เอากับทรัพย์สินที่จ�ำนองในประเทศญ่ีปุ่นนั้น เมื่อ เปรยี บเทยี บกับประเทศไทย ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ว่าด้วยจำ� นองมาตรา 733 แบ่งเปน็ 2 กรณี ปที ่ี 15 ฉบบั ท่ี 3 ประจ�ำ เดอื นกันยายน - ธนั วาคม 2562 201

คือ กรณีแรก ประเทศญ่ีปุ่นสามารถท่ีจะขอให้น�ำทรัพย์สินท่ีจ�ำนองโอนกรรมสิทธิให้เจ้าหนี้จ�ำนองเพ่ือช�ำระ หนไ้ี ด้ทนั ที อย่างไรก็ดี เจา้ หน้ยี งั คงมสี ทิ ธิท่ีจะร้องขอต่อศาลใหพ้ ิจารณาเรือ่ งคา่ เสยี หายท่ีเกดิ ขึน้ ไดจ้ ากการที่ โอนทรัพย์สินที่จ�ำนองแล้ว หากเจ้าหนี้เห็นว่ายังไม่เพียงพอต่อการช�ำระหนี้เงินต้นพร้อมดอกเบี้ย ซง่ึ ไมส่ อดคลอ้ งกบั มาตรา 733 ของประมวลกฎหมายแพง่ ฯ ประเทศไทยทหี่ า้ มเรยี กรอ้ งจำ� นวนเงนิ สว่ นขาดอกี เว้นแต่ตกลงไว้เป็นอย่างอื่น อีกกรณีหน่ึงคือ การบังคับเอากับทรัพย์สินท่ีจ�ำนองขายทอดตลาดเพื่อช�ำระหน้ี กฎหมายจำ� นองประเทศญป่ี นุ่ ไมไ่ ดบ้ ญั ญตั ไิ วใ้ นทำ� นอง มาตรา 733 ดงั นนั้ เมอ่ื ขายทรพั ยท์ จี่ ำ� นองแลว้ ยงั เหลอื ส่วนขาดอยู่อีกเท่าใด ส่วนท่ีขาดน้ันให้กลับมาใช้หลักกฎหมายหนี้ซ่ึงเป็นกฎหมายทั่วไป เจ้าหน้ีสามารถ เรียกร้องโดยการฟ้องบังคับคดีกับทรพั ยส์ ินอ่นื ๆของลูกหนไ้ี ด้จนครบมูลหนีน้ น่ั เอง ในสว่ นของมาตรการเสรมิ ในการจำ� นอง ประเทศไทยในปจั จบุ นั ไดม้ กี ารนำ� มาตรการเสรมิ มาใชท้ คี่ ลา้ ยกบั ในประเทศญ่ีปุ่นคือ การประกันการจ�ำนอง แต่ประเทศไทยยังมีความแตกต่าง กล่าวคือ การกู้ยืมเงินจาก สถาบนั การเงนิ เชน่ ธนาคาร มกั จะมกี ารเสนอใหท้ ำ� ประกนั ชวี ติ คมุ้ ครองวงเงนิ สนิ เชอื่ (Mortgage Reducing Term Assuracne: MRTA) กล่าวคอื เปน็ ประกันชวี ิตทมี่ จี ุดประสงคใ์ นการคุม้ ครองผู้ขอสนิ เชื่อ เพื่อค้มุ ครอง ทรัพย์สินให้กับผู้กู้และผู้ให้กู้ ตามจ�ำนวนเงินทุนประกันและระยะเวลาในการท�ำประกัน ในช่วงระยะเวลา ดังกล่าวหากผู้กู้ยืมเงินได้ซ้ือคอนโดเกิดเหตุแก่ชีวิตหรือทุพพลภาพ บริษัทที่รับท�ำประกันจะรับหน้าท่ีใน การผอ่ นชำ� ระแทนจนกวา่ จะครบสญั ญาการกู้ ในสว่ นนม้ี คี วามคลา้ ยคลงึ กบั การทำ� การประกนั การจำ� นองของ ประเทศญปี่ นุ่ ในแงข่ องแนวคดิ ทตี่ อ้ งการใหป้ ระโยชนก์ บั เจา้ หนใ้ี นการไดร้ บั ชำ� ระหนไี้ ดง้ า่ ยยงิ่ ขน้ึ และไดจ้ ำ� นวน มากเพียงพอกับจ�ำนวนยอดหน้ีอันถือเป็นการลดความเส่ียงในการไม่ช�ำระหนี้ภายหลังผิดนัดช�ำระหน้ีของ ลูกหน้ี อย่างไรก็ดี การท�ำประกันชีวติ ค้มุ ครองวงเงินสนิ เชอ่ื (MRTA) เป็นทางเลอื กใหก้ ับผ้จู ะกู้ยืมเงิน ไม่ใช่ ภาคบังคับ ผู้กู้ยืมเงินดังกล่าวสามารถตัดสินใจจะท�ำประกันชีวิตหรือไม่ก็ได้ และการท�ำประกันดังกล่าว เป็นประกันชีวิตซ่ึงมีต่อเม่ือผู้กู้ถึงแก่ความตายหรือทุพพลภาพและไม่สามารถใช้หนี้ตามสัญญาได้ ในขณะที่ ประกนั การจ�ำนองของประเทศญีป่ ุน่ ไมจ่ ำ� กดั ว่าจะตอ้ งเปน็ ประกนั ชวี ิตอย่างเดยี ว อีกมาตรการหนึ่งที่ประเทศไทยมีแนวคิดท่ีน�ำรูปแบบการแก้ปัญหาของสังคมผู้สูงอายุของประเทศ ญปี่ นุ่ มาปรบั ใชค้ ือ การจ�ำนองแบบยอ้ นกลบั (Reverse Mortgage) แล้ว โดยรฐั บาลมีแนวคดิ รองรบั สงั คม ผู้สูงอายุ เมื่อ พ.ศ. 2560 กระทรวงการคลังโดยธนาคารแห่งประเทศไทยได้ออกประกาศเพื่อเป็นแนวทาง สำ� หรบั สถาบนั การเงนิ ตา่ ง ๆ ปฏบิ ตั ติ าม เพอ่ื ปอ้ งกนั ความเสย่ี งและคมุ้ ครองผบู้ รโิ ภค กรณกี ารทำ� สญั ญาจำ� นอง แบบยอ้ นกลบั ต้องมีเงอ่ื นไข ดงั น้ี 1. ผูก้ ูต้ อ้ งเปน็ บุคคลธรรมดา มสี ญั ชาติไทย 2. มีอายุต้งั แต่ 60 ปี แต่ไม่เกิน 80 ปี 3. การรับเงินสินเช่ือจะเลือกรับเป็นเงินก้อนทีเดียว หรือทยอยรับเป็นงวด ๆ จนกว่าเสียชีวิตหรือ หมดอายุสญั ญากไ็ ด้ 4. หลังได้สินเช่ือแล้ว ผู้กู้ยืมเงินสามารถอยู่อาศัยในบ้านที่ใช้เป็นหลักประกันได้ แต่ต้องดูแลรักษา ให้อยู่ในสภาพดีอย่อู าศัยได้ 5. สามารถกรู้ ่วมได้ในกรณที ่กี รู้ ว่ มกบั คู่สมรสตามกฎหมายทมี่ ีกรรมสิทธใ์ิ นหลักประกันร่วมกัน โดย ผกู้ จู้ ะต้องไม่เปน็ ผไู้ ร้ความสามารถหรอื เสมอื นไร้ความสามารถ 202 บัณฑติ วทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลัยสวนดุสิต

6. หลกั ประกนั ตอ้ งเปน็ ทอี่ ยอู่ าศยั หลกั ของผกู้ ู้ และตอ้ งมชี อ่ื อยใู่ นทะเบยี นบา้ นตลอดชว่ งระยะเวลา ท่ีได้รบั เงนิ กู้ 7. วงเงินกรณีใช้ที่ดินพร้อมอาคาร กู้สูงสุดไม่เกิน 70% ของราคาประเมินหลักประกัน กรณีใช้ หอ้ งชุดเป็นหลกั ประกนั วงเงนิ ก้สู ูงสุดไมเ่ กนิ 60% ของราคาประเมนิ หลักทรัพย์ 8. การจา่ ยเงนิ กจู้ ะจา่ ยเปน็ รายเดอื น ภายในระยะเวลาไมเ่ กนิ 25 ปี หรอื เมอ่ื รวมกบั อายผุ กู้ กู้ บั ระยะ เวลาการกู้เงินตามสัญญาแล้วตอ้ งไมเ่ กนิ อายุ 85 ปี 9. เมอ่ื ครบสญั ญาแลว้ ผกู้ สู้ ามารถขอขยายระยะเวลาเพม่ิ เตมิ หรอื ชำ� ระหนเ้ี พอ่ื ปดิ บญั ชี หรอื สามารถ ให้ธนาคารขายทรพั ย์เพื่อปิดบัญชีกไ็ ด้ 10. ถ้าธนาคารขายหลักประกันได้ มูลค่ามากกว่าจ�ำนวนหน้ีท้ังหมด (ก�ำไร) ธนาคารจะต้องคืน สว่ นตา่ งให้ผู้กู้ หรือบุคคลทีต่ กลงไว้ 11. ถา้ ธนาคารขายหลักประกันได้ มลู ค่าต่�ำกวา่ จ�ำนวนหนี้ท้งั หมด (ขาดทุน) ธนาคารจะไปไล่เบ้ียคืน จากผ้กู ้ไู ม่ได้ จากมาตรการตา่ ง ๆ ขา้ งตน้ ผเู้ ขยี นเหน็ วา่ แนวโนม้ การแกป้ ญั หาการบงั คบั จำ� นองทลี่ า่ ชา้ เรม่ิ ปรบั ปรงุ ดีข้ึนและแนวทางใหม่ท่ีรัฐบาลมาใช้ถือว่ามีส่วนช่วยให้การจ�ำนองลดความเสี่ยงของเจ้าหน้ีได้มากข้ึนและ การใช้มาตรการจ�ำนองแบบย้อนกลับ (Reverse Mortgage) มีความเหมาะสมกับสังคมผู้สูงอายุในอนาคต อันใกลข้ องประเทศไทยอย่างยิ่ง บทสรปุ ประเทศญ่ีปุ่นมีกฎหมายจ�ำนองที่ใกล้เคียงกับประเทศไทย อย่างไรก็ดีการบังคับจ�ำนองโดยศาล ด้วยการน�ำทรัพย์ขายทอดตลาดของประเทศญ่ีปุ่นถือเป็นกรณีที่น่าศึกษาอย่างย่ิงเพราะใช้ระยะเวลารวดเร็ว สามารถท�ำให้เจ้าหนี้ได้รับช�ำระหนี้เร็วย่ิงข้ึน นอกจากนี้ประเทศญี่ปุ่นยังมีมาตรการเสริมในการจ�ำนอง หลายรูปแบบท่ปี ระเทศไทยเริ่มน�ำมาปรบั ใชบ้ า้ งแลว้ ซ่งึ มีความทนั สมัยและทันตอ่ ยุคสงั คมผ้สู ูงอายุ เอกสารอา้ งอิง กรมบังคับคดี กระทรวงยตุ ธิ รรมรายงาน. (2557). โครงการวิจยั เรอื่ ง โครงการวิจัยปัญหาในกระบวนการ บังคับคดีอันเกิดมาจากข้อตกลงยกเว้นมาตรา 733 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและแพ่ง. กรุงเทพฯ: กรมบังคบั คดี กระทรวงยุติธรรม. จักรวาล ทนกลา้ . (2560). รายงานเรือ่ ง พัฒนาการกฎหมายค้ำ� ประกนั และจ�ำนอง ของประเทศไทยเปรียบ เทียบกับกฎหมายประเทศญป่ี ุ่น. [Online]. Available: Https://Oia.Coj.Go.Th/Th/Content/ Category/Detail/Id/8/ Cid/8058/Iid/93787 [2562, พฤษภาคม 15]. มหาวทิ ยาลัยกรุงเทพ. (2533). อุทาหรณ์ สำ� หรับประมวลกฎหมายแพ่งและแพ่ง บรรพ 1-2 พ.ศ. 2468 ฉบับกรมร่างกฎหมาย ในโอกาสครบรอบ 100 ปี พระยานวราชเสวี 18 กันยายน 2533. กรุงเทพฯ: มหาวทิ ยาลัยกรุงเทพฯ. ปที ่ี 15 ฉบับที่ 3 ประจ�ำ เดือนกันยายน - ธันวาคม 2562 203

Bennett Jr, F. G. (2009). Getting Property Right: Informal Mortgages In The Japanese Courts. Pac. Rim L. & Pol’y J., 18: 3. Haley, J. O. (1974). The Preliminary Contract For Substitute Performance: A Reflection Of Japanese. Judicial Approach Law Japan, 7: 133-138. Idee, T., Iwata, S. & Taguchi, T. (2011). Auction Price Formation With Costly Occupants: Evidence Using Data From The Osaka District Court. The Journal of Real Estate Finance and Economics, 42 (1): 84-98. Kuwahara, K. & Matsunaga, G. (2006). Mortgage Insurance: Enhancing Credit Risk Management In A Global Financial Center. [Online]. Available: Http://Www.Law. Harvard.Edu/Programs/About/Pifs/Symposia/Japan2006-Japan/Concept-Papers/ Cp3.Pdf [2019, May 15]. Lending Issue In Japan. (2005). [Online]. Available: http://www.Aes-Intl.Com/Download/ Lendingissues.Pdf [2019, May 20]. Ministry Of Justice. (2010). About The Civil Code Reform. [Online]. Available: http://www. Moj.Go.Jp/English/Ccr/Ccr_000 01.Html [2019, May 15]. ผู้เขียน ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร. ปวนิ ี ไพรทอง สาขาวิชานิตศิ าสตร์ มหาวิทยาลยั สุโขทัยธรรมาธริ าช เลขที่ 9/9 หมู่ที่ 9 ต�ำบลบางพดู อ�ำเภอปากเกรด็ จงั หวดั นนทบุรี 11120 โทรศพั ท์ 087-2109390 e-mail: [email protected] 204 บณั ฑิตวทิ ยาลยั มหาวิทยาลัยสวนดสุ ิต

แนวโน้มการพฒั นาหลกั สตู รนเิ ทศศาสตร์ เพ่อื เขา้ สูต่ ลาดงานทางการส่อื สารในประเทศไทย Trends in Communication Arts Curriculum Development for Job Market in Mass Communication Industry in Thailand อมรรตั น์ เรืองสกุล* วรรณรตั น์ โรจนวเิ ชยี ร ศกั ด์สิ ิทธ์ิ โรจนวิเชียร สวุ ลักษณ์ ห่วงเยน็ จนิ ตนา ตันสวุ รรณนนท์ ขจิตขวญั กจิ วิสาละ กฤษณพร ประสิทธิว์ ิเศษ ศิรมิ า คงทัพ ภูชติ ต์ ภรู ปิ าณิก รรินทร วสนุ นั ต์ ชุษณะ จนั ทร์อ่อน และวรภัทร จัตุชยั คณะวทิ ยาการจัดการ มหาวทิ ยาลยั สวนดสุ ิต Amornrat Ruangsakul* Wannarat Rojanavichien Saksit Rojanavichien Suwaluk Huangyen Chintana Tansuwannond Kajitkwan Kijvisala Gritsanaporn Prasitwisate Sirima Kongthap Phuchit Phuripanik Rarinthorn Vasunan Choosana Chanon and Woraphat Chatuchai Faculty of Management Science, Suan Dusit University Received: April 8, 2019 Revised: June 25, 2019 Accepted: July 11, 2019 บทคดั ยอ่ การวจิ ยั ครงั้ นมี้ วี ตั ถปุ ระสงคเ์ พอื่ ศกึ ษาแนวโนม้ การพฒั นาหลกั สตู รนเิ ทศศาสตรบณั ฑติ เปน็ การวจิ ยั เชงิ คุณภาพ โดยใช้วธิ กี ารสมั ภาษณ์เชิงลึก และการสนทนากลุม่ กลุ่มเป้าหมายประกอบดว้ ยกล่มุ นกั วิชาชพี ทางด้านนเิ ทศศาสตร์ และผู้บริหารและนักวิชาการสถาบนั การศึกษา โดยใช้วธิ ีเลอื กกลุ่มตวั อยา่ งแบบเจาะจง กลุม่ ผ้ใู ห้ขอ้ มลู หลกั โดยเคร่ืองมอื ทีใ่ ช้ในการวิจัย คือ แบบสัมภาษณ์แบบกึง่ โครงสรา้ ง ผลการวิจัยแนวโน้มการพัฒนาหลักสูตรนิเทศศาสตร์ ในประเด็นคุณลักษณะบัณฑิตนิเทศศาสตร์ พบว่า ด้านความรู้และทักษะท่ีส�ำคัญและจ�ำเป็นของบัณฑิตในสาขานิเทศศาสตร์นั้นสามารถแบ่งออกเป็น 2 กลมุ่ กลมุ่ แรกเปน็ “กลมุ่ ความรแู้ ละทกั ษะชดุ เดมิ ทสี่ ำ� คญั และจำ� เปน็ ของบณั ฑติ ในสาขานเิ ทศศาสตร”์ และ “กลมุ่ ความรแู้ ละทกั ษะชดุ ใหมท่ ส่ี ำ� คญั และจำ� เปน็ ของบณั ฑติ ในสาขานเิ ทศศาสตร”์ โดย “กลมุ่ ความรชู้ ดุ ใหม”่ ได้แก่ ความรู้ทางด้านภาษา ด้านการเป็นผู้ประกอบการธุรกิจและการตลาด ด้านการจัดการข้อมูลและ เทคโนโลยีการส่ือสาร และด้านส่ือสารสุขภาพ ส่วนทักษะใหม่ ได้แก่ ทักษะในการเป็นผู้ประกอบการ การจัดการข้อมูล และภาษา ในส่วนของแนวโน้มการพัฒนาหลักสูตรนิเทศศาสตรบัณฑิต ประกอบด้วย องคป์ ระกอบด้านทกั ษะความรู้ในวิชาชีพนิเทศศาสตร์ และองค์ประกอบดา้ นทกั ษะความรใู้ หม่ ประกอบดว้ ย * อมรรตั น์ เรอื งสกุล (Corresponding Author) ปที ่ี 15 ฉบับท่ี 3 ประจ�ำ เดือนกนั ยายน - ธันวาคม 2562 205 e-mail: [email protected]

การเป็นผู้ที่มีความสามารถในการปรับตัวและเรียนรู้สิ่งใหม่อยู่เสมอ ความเป็นผู้ประกอบการ ความรู้ด้าน การตลาด การจัดการข้อมลู ความสามารถทางดา้ นภาษา การเป็นผ้นู �ำในการเปลย่ี นแปลง การส่อื สารสุขภาพ และการสร้างเครอื ข่ายความร่วมมือตา่ ง ๆ คำ� ส�ำคญั : หลักสตู รนิเทศศาสตร์ ตลาดงานทางการสอื่ สาร แนวโน้มการพฒั นา Abstract This research was aimed to study the development trend of the Bachelor of Communication Arts program. The qualitative research was employed by using in-depth interview method and focus group. The research target group consisted of a group of communication professionals and administrators and scholars of academic institutions. The sampling method was the purposive sampling method. The research instruments were semi-structured interview form. Research results of the development trend of graduate communication arts found that the knowledge and skills that were essential and necessary for graduates in Communication Arts can be divided into two major groups. The first group was the former sets of important and necessary knowledge and skill for graduates in the field of Communication Arts and the new sets of knowledge and skill that were important and necessary for graduates in Communication Arts. The new sets of knowledge consisted of the knowledge of language, business entrepreneurship and marketing, information management, communication technology and health communication. The new sets of skill included skills in entrepreneurship, information management and language. In terms of the development trend of Bachelor of Communication Arts curriculum, the results of the research showed that it must consist of two important parts including skill and knowledge component in the Communication Arts profession and new skill and knowledge component. The new skill and knowledge component comprised the ability to adjust and learn new things, entrepreneur- ship, marketing knowledge, information management, language ability, change leadership, health communication and various cooperation network development. Keywords: Communication Arts Program, Communication Job Market, Development Trend 206 บณั ฑิตวทิ ยาลยั มหาวิทยาลยั สวนดุสติ

บทน�ำ การสร้างหลักสูตรในระดับอุดมศึกษาให้สอดรับกับการเปล่ียนแปลงสังคมทั้งในปัจจุบันและอนาคต เปน็ เงอ่ื นไขสำ� คญั ในการพฒั นาระบบการศกึ ษาของชาตอิ นั เปน็ พนื้ ฐานอนั สำ� คญั ทจ่ี ะชว่ ยผลกั ดนั ประเทศชาติ ไปยงั เป้าหมายทางยุทธศาสตรท์ ีไ่ ด้วางไว้ หลกั สตู รนิเทศศาสตรบณั ฑติ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัย สวนดุสิต นอกจากจะมีพันธกิจข้างต้นแล้ว หลักสูตรนิเทศศาสตรบัณฑิตยังต้องเผชิญความเปลี่ยนแปลง หลายด้านจากภูมิทัศน์สื่อท่ีเปล่ียนไปซ่ึงก่อให้เกิดค�ำถามย้อนกลับมาสู่แวดวงการศึกษานิเทศศาสตร์ว่า การจัดการเรียนการสอนในแบบเดิมยังคงเป็นสิ่งท่ีใช้ได้หรือไม่ และหลักสูตรนิเทศศาสตรบัณฑิตจะมี แนวทางใดในการรับมอื กบั ความเปลยี่ นแปลงทีเ่ กดิ ข้นึ การปฏวิ ตั เิ ทคโนโลยดี จิ ทิ ลั ไดก้ อ่ ใหเ้ กดิ การเปลยี่ นแปลงตอ่ ภมู ทิ ศั นส์ อื่ อยา่ งหลกี เลย่ี งไมไ่ ด้ และเขา้ ไป เปล่ียนโครงสรา้ งของส่ือเดิมท่ีเคยมัน่ คงมาอยา่ งยาวนานใหส้ ั่นคลอน ความเปล่ียนแปลงทเ่ี กดิ ข้นึ น้นั ทั้งในแง่ ของความเปน็ สอ่ื (Media) ทแี่ พลตฟอรม์ (Platform) มลี กั ษณะหลอมรวมระหวา่ งสอ่ื วทิ ยโุ ทรทศั น์ โทรคมนาคม และคอมพิวเตอร์เกิดช่องทางในการสื่อสารที่มีจ�ำนวนมากและหลากหลายกว่าเดิม ส่วนในแง่ของผู้รับสาร Receiver) ผู้รับสารมิได้มีลักษณะเป็นมวลชน (Mass) อย่างที่ผ่านมา แต่เป็นปัจเจกชนซ่ึงมีลักษณะ ความต้องการและความสนใจท่ีแตกต่างกันเกิดส่ือเฉพาะทาง (Niche Media) ที่รายงานลึกเฉพาะเร่ืองใด เรอ่ื งหนงึ่ ซง่ึ กลายมาเปน็ คแู่ ขง่ ใหมข่ องสอ่ื มวลชนและการเปลย่ี นแปลงทส่ี ำ� คญั คอื เทคโนโลยไี ดเ้ ออื้ ใหผ้ รู้ บั สาร (Receiver) ได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้ส่งสารซึ่งสร้างสรรค์เนื้อหาหรือที่เรียกกันว่าผู้ใช้งานสื่อเป็นผู้ก�ำหนดความรู้ ทัศนคติ และพฤตกิ รรมของสงั คม (User Generated Content) เปน็ ผู้คัดกรองเนอ้ื หา (User Generated Filtering) และผ้ใู ชเ้ ปน็ ผ้สู รา้ ง/เลา่ ประสบการณต์ า่ ง ๆ (User Generated Experience) การเปลีย่ นแปลงที่ เกดิ ขึ้นน้ันเป็นโอกาสส�ำคัญของผปู้ ระกอบการรายใหม่ ๆ เนือ่ งจากชอ่ งทางในการสื่อสารมคี วามหลากหลาย มากยงิ่ ขึน้ (ธาม เชื้อสถาปนศิร,ิ 2557; สมาคมนักขา่ วนกั หนังสอื พิมพแ์ หง่ ประเทศไทย, ม.ป.ป.) ภายใตก้ ารเปลย่ี นแปลงทเี่ กดิ ขนึ้ กบั ภมู ทิ ศั นส์ อ่ื ดงั กลา่ วทกั ษะของผทู้ เ่ี รยี นดา้ นนเิ ทศศาสตรใ์ นอนาคต จงึ ถกู ตง้ั คำ� ถาม โดยมกี ารคาดกนั วา่ ลกั ษณะของบณั ฑติ ดา้ นนเิ ทศศาสตรท์ จี่ ะตอ้ งเผชญิ กบั ความเปลยี่ นแปลง ที่ก�ำลังเกิดข้ึนและท่ีจะเกิดขึ้นในอนาคตน้ันจะต้องเป็นผู้ท่ีมีทักษะในการผลิตส่ือที่หลากหลายรอบด้าน มีมุมมองกว้าง รอบด้านเข้าใจอารมณ์และความสนใจของสังคมสามารถเข้าถึงกลุ่มคนส่วนใหญ่ และรู้จัก ใช้ประโยชน์จากส่ือสังคมออนไลน์ (social media) และสิ่งท่ีจะท�ำให้ส่ือมืออาชีพต่างจากสื่อพลเมือง คือ จรรยาบรรณทางวชิ าชพี นอกจากการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ส่ือท่ีจะมีผลต่อการปรับหลักสูตรของนิเทศศาสตรบัณฑิตแล้ว การเปล่ียนแปลงของสังคมในก้าวเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 และการขับเคลื่อนประเทศด้วยยุทธศาสตร์ไทยแลนด์ 4.0 และเศรษฐกจิ สรา้ งสรรค์ (Creative Economy) ก็นบั เป็นโจทย์ท่ีสำ� คญั ในการพฒั นานเิ ทศศาสตรบณั ฑติ ศตวรรษท่ี 21 เปน็ ศตวรรษทแ่ี ขง่ ขนั กนั ดว้ ยนวตั กรรมทสี่ ามารถตอบสนองความตอ้ งการในชวี ติ ประจำ� วันผู้คนจะพึ่งพาเทคโนโลยีในการด�ำเนินชีวิตประจ�ำวัน (Technologicalization) ในการพัฒนาเศรษฐกิจ การค้าของประเทศ จะเนน้ พฒั นาทกั ษะการคา้ ทีม่ จี ิตวิญญาณของผปู้ ระกอบการ (Entrepreneurial spirit) เกิดการพึ่งพากันในระดับโลกมากข้ึน ผู้คนจะมีฐานะเป็นพลเมืองของโลกดิจิทัลและความเจริญก้าวหน้าของ เทคโนโลยีนั้นน�ำไปสู่ความหวังว่าช่องว่างระหว่างสังคมเมืองกับสังคมชนบทจะลดลง เพราะคนในชนบท ปีที่ 15 ฉบบั ท่ี 3 ประจ�ำ เดือนกนั ยายน - ธันวาคม 2562 207

มีเทคโนโลยใี ช้ไม่ต่างไปจากคนเมือง นอกจากการเตรยี มพลเมอื งสศู่ ตวรรษท่ี 21 แล้วยุทธศาสตร์ในการผลกั ดนั ประเทศไทยเขา้ สู่ยุคไทย แลนด์ 4.0 และการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสรา้ งสรรค์ (Creative Economy) นับเป็นบริบทและโจทย์ทีส่ ำ� คัญใน การพัฒนาหลักสูตรนิเทศศาสตรบณั ฑิต ยุทธศาสตร์ไทยแลนด์ 4.0 นี้ถกู สรา้ งข้นึ เพือ่ ใหป้ ระเทศไทย หลุดพ้น จากประเทศที่มีรายได้ปานกลาง เข้าสู่ประเทศท่ีมีรายได้สูง เปลี่ยนการผลิตสินค้าโภคภัณฑ์ไปสู่สินค้า เชงิ นวตั กรรม และการขบั เคลอื่ นประเทศดว้ ยอตุ สาหกรรมไปสกู่ ารขบั เคลอื่ นดว้ ยเทคโนโลยี ความคดิ สรา้ งสรรค์ และนวัตกรรมซึ่งการจะขับเคล่ือนได้น้ันจะต้องมีโครงสร้างด้านการสื่อสารและโทรคมนาคมท่ีมีคุณภาพ มรี ะบบอนิ เทอรเ์ นต็ ทคี่ รอบคลมุ ประชากร เพอ่ื ใหส้ ามารถเชอื่ มโยงสว่ นตา่ ง ๆ (กระทรวงอตุ สาหกรรม, 2559) การขบั เคลอ่ื นเศรษฐกจิ สรา้ งสรรค์ (Creative Economy) ซงึ่ เปน็ การเพม่ิ มลู คา่ สนิ คา้ และบรกิ ารผา่ นนวตั กรรม และความคดิ สรา้ งสรรคจ์ งึ เปน็ สว่ นหนงึ่ ทสี่ ำ� คญั ในการขบั เคลอื่ นเศรษฐกจิ การสอ่ื สารยงั คงเปน็ ศาสตรท์ ส่ี ำ� คญั เน่ืองจากคุณค่าของสินค้าและบริการผ่านนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์น้ีอยู่ท่ีความสามารถในการสร้าง สุนทรียสัมผัสและความร่ืนรมย์ในจิตใจผู้บริโภค ผู้ประกอบการในเศรษฐกิจสร้างสรรค์จึงต้องมีศิลปะ ในการเล่าเร่อื ง (The Art of Storytelling) (ทีซีดซี ี, 2007) จากการเปลยี่ นแปลงทเ่ี กดิ ขน้ึ ทง้ั ปจั จยั ในแวดวงของสอื่ ทก่ี ารเปลย่ี นแปลงภมู ทิ ศั นส์ อื่ การเปลยี่ นแปลง ของสังคมในก้าวเข้าสศู่ ตวรรษที่ 21 และการขบั เคลอ่ื นประเทศดว้ ยยทุ ธศาสตรไ์ ทยแลนด์ 4.0 และเศรษฐกจิ สร้างสรรค์ (Creative Economy) ท�ำให้การศึกษาหาแนวโน้มในการพัฒนาหลักสูตรนิเทศศาสตรบัณฑิต เป็นองค์ประกอบสำ� คญั ในการพัฒนาหลักสูตรนิเทศศาสตรบณั ฑติ และน�ำมาสูก่ ารค้นคว้าวิจัยในครงั้ นี้ นอกจากนก้ี ารพฒั นาหลกั สตู รยงั ตอ้ งคำ� นงึ ถงึ โจทยก์ ารเปลย่ี นแปลงของสงั คมในการกา้ วเขา้ สศู่ ตวรรษ ท่ี 21 การขับเคลื่อนประเทศด้วยยุทธศาสตรไ์ ทยแลนด์ 4.0 และเศรษฐกจิ สรา้ งสรรค์ (Creative Economy) รวมถึงการที่สังคมไทยก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุซึ่งเป็นสังคมท่ีมีการอยู่ร่วมกันระหว่างคนรุ่นใหม่กับคนรุ่นเก่า (สำ� นกั บรหิ ารงานการมธั ยมศกึ ษา สพฐ., ม.ป.ป.) การเปลย่ี นแปลงสภาพของสงั คมไทยทกี่ ำ� ลงั ดำ� เนนิ ในปจั จบุ นั และอนาคตน้ีล้วนแต่มีศาสตร์ทางด้านการสื่อสารเป็นส่วนหน่ึงที่ส�ำคัญในการขับเคลื่อนสังคม การศึกษาหา แนวโนม้ ในการพฒั นาหลักสูตรนเิ ทศศาสตรบณั ฑิต เพอื่ ตอบโจทยก์ ารเปล่ยี นแปลงทางสังคม เศรษฐกิจและ วัฒนธรรมข้างต้นจึงเปน็ สิ่งสำ� คญั อนั น�ำมาสู่การศึกษาในครั้งนี้ วัตถุประสงค์ 1. เพอื่ ศกึ ษาแนวโนม้ คณุ ลกั ษณะบณั ฑติ นเิ ทศศาสตรท์ พ่ี งึ ประสงคเ์ พอ่ื เขา้ สตู่ ลาดงานทางการสอื่ สาร 2. เพอ่ื ศกึ ษาแนวโน้มการพฒั นาหลักสูตรนเิ ทศศาสตรบณั ฑติ เพ่ือเขา้ สู่ตลาดงานทางการสื่อสาร 3. เพ่ือวิเคราะห์แนวโน้มรายวิชาด้านนิเทศศาสตร์ในการพัฒนาหลักสูตรนิเทศศาสตรบัณฑิตเพ่ือ เขา้ สตู่ ลาดงานทางการส่ือสาร แนวคดิ ทฤษฎีท่เี กี่ยวข้อง 1. แนวคิดเก่ียวกับการพฒั นาหลกั สตู ร การพฒั นาหลกั สูตร มคี วามหมายครอบคลมุ ใน 2 ลกั ษณะ ดงั ท่ี ภทั ธริ า ธรี สวสั ด์ิ (2553: 61) 208 บัณฑติ วิทยาลยั มหาวิทยาลยั สวนดุสติ

กล่าวว่า ลักษณะที่ 1 การพฒั นาหลักสูตร หมายถงึ การทำ� หลักสตู รที่มีอยแู่ ล้วให้ดีข้นึ หรอื สมบรู ณย์ ิ่งข้นึ ในลักษณะของการปรับปรุงและพัฒนาของเดิมให้เป็นไปอยา่ งมีประสทิ ธิภาพ ลกั ษณะท่ี 2 การพฒั นาหลกั สตู ร หมายถงึ การสรา้ งหรอื จดั ทำ� หลกั สตู รขนึ้ มาใหมโ่ ดย ไมม่ หี ลกั สตู ร เดมิ มากอ่ น ไทเลอร์ กลา่ ววา่ การพฒั นาหลกั สตู รมกี ระบวนการในการพฒั นาหลกั สตู ร โดยจะตอ้ งตอบคำ� ถาม 4 ประการ (Tyler, 1971: 1) กลา่ วคอื (1) มคี วามมงุ่ หมายทางการศกึ ษาอะไรบา้ งทสี่ ถานศกึ ษาควรจะแสวงหา (2) มีประสบการณ์ทางการศึกษาอะไรบ้างที่สถานศึกษาควรจัดขึ้นเพื่อให้บรรลุจุดประสงค์ที่ก�ำหนดไว้ (3) จะจัดประสบการณ์ทางการศึกษาอย่างไร จึงจะท�ำให้การสอนมีประสิทธิภาพ และ (4) จะประเมิน ประสทิ ธิผลของประสบการณใ์ นการเรยี นอย่างไร 2. ทกั ษะในศตวรรษที่ 21 ทกั ษะทจี่ ำ� เปน็ ของผเู้ รยี นในศตวรรษท่ี 21 ขององคก์ รและบคุ คลตา่ ง ๆ นนั้ วรพจน์ วงศก์ จิ รงุ่ เรอื ง และอธิป จติ ตฤกษ์ (2554: 118-137) ได้สรปุ กรอบความคดิ เชิงมโนทัศน์ตา่ ง ๆ เกี่ยวกับทักษะแห่งศตวรรษ ที่ 21 ไวซ้ งึ่ ผ้วู ิจยั ได้น�ำมาเปน็ แนวทางในการศกึ ษาดงั นี้ 1) กรอบความคดิ ของภาคเี พอื่ ทกั ษะแหง่ ศตวรรษท่ี 21 (Partnership for 21st Century Skills, 2007) ได้นำ� เสนอแนวคดิ เก่ยี วกบั ทักษะแหง่ ศตวรรษที่ 21 ดังน้ี 1.1) วิชาแกน (Core subject) พระราชบญั ญตั ิการศกึ ษาพน้ื ฐานถ้วนหนา้ ค.ศ. 2001 (No Child Left Behind Act of 2001) ของสหรฐั อเมรกิ า ได้กำ� หนดวิชาแกนทจ่ี ำ� เปน็ ต้องเรยี นรู้ ซ่ึงประกอบด้วย วชิ าภาษาอังกฤษ การอ่าน ศลิ ปะการใช้ภาษา คณติ ศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภาษาตา่ งประเทศ หน้าทพี่ ลเมอื ง การปกครอง เศรษฐศาสตร์ ศิลปะ ประวตั ศิ าสตร์ และภมู ศิ าสตร์ 1.2) เน้ือหาส�ำหรับศตวรรษท่ี 21 อันเป็นเน้ือหาในสาขาใหม่ท่ีส�ำคัญต่อความส�ำเร็จใน ท่ีท�ำงานและชุมชน ได้แก่ จิตส�ำนึกต่อโลก ความรู้พื้นฐานด้านการเงิน เศรษฐกิจ ธุรกิจ และการเป็น ผ้ปู ระกอบการ ความรู้พน้ื ฐานด้านพลเมอื ง และความตระหนกั ในสขุ ภาพและสวัสดภิ าพ 1.3) ทักษะการเรียนรู้และการคิด โดยผู้เรียนจ�ำเป็นต้องรู้จักวิธีการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ตลอดชวี ติ รจู้ กั ใชส้ ง่ิ ทเี่ รยี นมาอยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพและสรา้ งสรรค์ ซงึ่ ทกั ษะการเรยี นรแู้ ละการคดิ ประกอบดว้ ย การคิดเชิงวิพากษ์ ทักษะการแก้ ปัญหา ทักษะการสร้างสรรค์และผลิตนวัตกรรม ทักษะการท�ำงานร่วมกัน ทักษะการเรียนรตู้ ามบรบิ ท และทกั ษะพ้นื ฐานดา้ นข้อมลู และส่อื 1.4) ความรูพ้ ื้นฐานไอซีที (ICT literacy) คอื ความสามารถในการใช้เทคโนโลยีเพือ่ พฒั นา ความรแู้ ละทกั ษะแหง่ ศตวรรษท่ี 21 ในบรบิ ทของการเรยี นรวู้ ชิ าแกน ผเู้ รยี นตอ้ งใชเ้ ทคโนโลยใี หเ้ ปน็ เพอื่ เรยี น รู้เนื้อหาและทักษะ และจะได้เรียนรู้วิธีการเรียนรู้ การคิดเชิงวิพากษ์ การแก้ไขปัญหา การใช้ข้อมูลข่าวสาร การส่อื สาร การผลิตนวตั กรรม และการรว่ มมือทำ� งาน 1.5) ทักษะชีวติ ได้แก่ ความเปน็ ผู้นำ� ความมจี ริยธรรม การรู้จักรับผดิ ชอบ ความสามารถ ในการปรับตัว การรู้จักเพิ่มพูนประสิทธิผลของตนเอง ความรับผิดชอบต่อตนเอง ทักษะในการเข้าถึงคน ความสามารถในการช้ีน�ำตนเอง และความรับผดิ ชอบตอ่ สังคม ปีท่ี 15 ฉบับที่ 3 ประจำ�เดอื นกนั ยายน - ธนั วาคม 2562 209

2) กรอบความคิด enGauge ของ NCREL/Metiri Group (2003) หอ้ งวจิ ยั การศกึ ษาเขตภาคกลางตอนเหนอื (NCREL) และกลมุ่ เมทริ ี (Metiri Group) ไดเ้ สนอ กรอบความคิดส�ำหรับทักษะแห่งศตวรรษท่ี 21 ในปี ค.ศ. 2003 ไว้โดยกรอบความคิด enGauge ได้เพ่ิม “ความรู้พ้ืนฐานเชิงทัศนาการ” (visual literacy) ซ่ึงเกี่ยวข้องกับความรู้พื้นฐานทางข้อมูลข่าวสารและรวม “ความอยากร้”ู “ความกลา้ เส่ียง” และ “การจัดการความซับซ้อน” เข้าไวใ้ นทกั ษะหลกั ดว้ ย กรอบความคดิ นเ้ี นน้ “การจดั ลำ� ดบั ความสำ� คญั ” “การวางแผน และการจดั การเพอ่ื มงุ่ ผลลพั ธ”์ และเหน็ วา่ “ความรพู้ นื้ ฐาน ทางพหุวฒั นธรรม” (multicultural literacy) เป็นองคป์ ระกอบทช่ี ัดเจนอีกอยา่ งหน่ึง นอกจากนยี้ งั ไดเ้ สนอ กรอบความคดิ ท่ีจ�ำเปน็ สำ� หรับผ้เู รยี นในศตวรรษที่ 21 ไว้อกี ได้แก่ ความรู้พ้นื ฐานในยคุ ดิจติ อล การคดิ เชงิ ประดษิ ฐ์ การส่ือสารอยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ การเพิ่มผลติ ผลระดับสูง 3) สภาผู้นำ� แหง่ ชาตเิ พอ่ื การศึกษาเสรแี ละสญั ญาของอเมรกิ า (LEAP, 2007) สภาผ้นู ำ� แห่งชาตเิ พ่อื การศึกษาเสรีและสัญญาของอเมริกาได้เสนอกรอบความคิดเก่ียวกับทักษะแห่งศตวรรษท่ี 21 ได้แก่ ความรู้ เก่ียวกับวัฒนธรรมมนุษย์และโลกทางกายภาพและโลกธรรมชาติ ทักษะทางปัญญาและเชิงปฏิบัติ ความรับผดิ ชอบส่วนตวั และตอ่ สังคม การเรยี นรู้แบบบูรณาการ 4) กรอบความคดิ สมาคมเทคโนโลยกี ารศกึ ษานานาชาติ ( ISTE, 2007) สมาคมเทคโนโลยกี ารศกึ ษา นานาชาติ (ISTE) ไดเ้ สนอมาตรฐานทกั ษะการใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศและการสอื่ สารทมี่ คี วามสำ� คญั ตอ่ ผเู้ รยี น ในศตวรรษท่ี 21 ไว้ในปี ค.ศ. 2007 ไดแ้ ก่ ความสรา้ งสรรค์และนวัตกรรม การส่ือสารและการท�ำงานร่วมกนั ความเชีย่ วชาญในการคน้ ควา้ หาข้อมลู การคดิ เชิงวพิ ากษ์ การแกป้ ญั หา และการตดั สินใจ ความเปน็ พลเมือง ดจิ ิทัล (digital citizenship) และการใช้งานเทคโนโลยีและแนวคิด ระเบยี บวิธีวิจัย การวิจัยครั้งนใี้ ชร้ ะเบยี บวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ซงึ่ มีรายละเอยี ดดงั นี้ กล่มุ ผูใ้ หข้ อ้ มลู หลกั 1. กลุ่มผูใ้ ห้ข้อมูลสำ� คญั ที่ใช้ในการสมั ภาษณเ์ ชิงลึก จำ� นวน 26 คน ประกอบด้วย 1.1 กลุ่มผูบ้ รหิ ารของมหาวิทยาลยั จำ� นวน 3 คน 1.2 กลุ่มผู้ใช้บณั ฑติ จากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชนและสถานประกอบการที่เปน็ บุคลากรใน วชิ าชีพนิเทศศาสตร์ จำ� นวน 23 คน ประกอบดว้ ยนักวชิ าชพี ทางดา้ นนิเทศศาสตร์ (10 คน) ผู้ประกอบการ ธรุ กจิ ดา้ นนเิ ทศศาสตร์ (7 คน) ผ้เู ชีย่ วชาญด้านสื่อสารสุขภาวะ (3 คน) ศษิ ยเ์ ก่าที่ท�ำงานด้านส่อื สารมวลชน (3 คน) 2. กลุม่ ผู้ให้ขอ้ มูลสำ� คญั ท่ีใชใ้ นการสนทนากลุ่ม จำ� นวน 10 คน ประกอบดว้ ย นักวชิ าชพี ทางด้าน นิเทศศาสตร์ (2 คน) การตลาด (2 คน) ผู้ประกอบการธุรกิจดา้ นนเิ ทศศาสตร์ (3 คน) และศษิ ยเ์ กา่ ที่ท�ำงาน ด้านสอ่ื สารมวลชน (3 คน) แบง่ การสนทนากลมุ่ ออกเปน็ 2 กลุม่ ยอ่ ย ในการวจิ ยั ครงั้ นี้ กลมุ่ ผใู้ หข้ อ้ มลู สำ� คญั ทเ่ี ปน็ ผบู้ รหิ ารของมหาวทิ ยาลยั ผใู้ ชบ้ ณั ฑติ และนกั วชิ าชพี ทาง ด้านนิเทศศาสตร์ฯ ใช้การเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง (Purposive Sampling) โดยมีเกณฑ์ใน การคัดเลือก พิจารณาจากความเช่ียวชาญและประสบการณ์การท�ำงานในสาขาท่ีเก่ียวข้องไม่ต�่ำกว่า 5 ปี 210 บัณฑิตวทิ ยาลยั มหาวิทยาลยั สวนดสุ ติ

มีผลงานทีไ่ ดร้ บั การยอมรบั และการยินดีใหค้ วามร่วมมือในการวิจยั เปน็ ส�ำคัญ เคร่อื งมือท่ใี ชใ้ นการวจิ ยั เครือ่ งมือท่ใี ชใ้ นการวจิ ัยครัง้ นี้ คอื แบบสัมภาษณ์แบบกึง่ โครงสรา้ ง เพือ่ ใช้สมั ภาษณ์เชิงลกึ (Depth Interview) กับกลุ่มผู้บริหารของมหาวิทยาลัยและผู้ใช้บัณฑิตจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชนและ สถานประกอบการที่เป็นบุคลากรในวิชาชีพนิเทศศาสตร์ รวมทั้งใชก้ ารสนทนากลุม่ (Focus Group) กับกลุ่ม นักวิชาชพี ทางดา้ นนเิ ทศศาสตร์ การตลาด ผูป้ ระกอบการธุรกิจดา้ นนิเทศศาสตร์ และศษิ ยเ์ กา่ ทีท่ �ำงานด้าน สื่อสารมวลชน และกลุ่มนกั ศกึ ษาหลักสูตรนเิ ทศศาสตรบัณฑติ การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล คณะผู้วิจัยด�ำเนินการสัมภาษณ์เชิงลึกและสนทนากลุ่มกับกลุ่มผู้ให้ข้อมูลส�ำคัญในระหว่างเดือน กมุ ภาพันธ์ ถงึ เดอื นกรกฎาคม 2561 การวเิ คราะหข์ อ้ มลู การวจิ ยั ประกอบดว้ ยขนั้ ตอนทส่ี ำ� คญั 2 ขน้ั ตอน ไดแ้ ก่ ขนั้ ตอนท่ี 1 การสมั ภาษณเ์ ชงิ ลกึ และขน้ั ตอน ที่ 2 การน�ำข้อสรุปที่ได้มาจากขั้นตอนท่ี 1 มาเป็นประเด็นส�ำคัญในการด�ำเนินการสนทนากลุ่ม จากนั้นน�ำ ข้อมูลจากการสัมภาษณ์เชิงลึกและการสนทนากลุ่ม มาท�ำการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) โดย ท�ำการจ�ำแนกแยกแยะข้อมูลและจัดกระท�ำข้อมูลน�ำไปสู่การสร้างข้อสรุปแนวคิดในข้อมูล โดยใช้แนวคิด การพฒั นาหลกั สตู รของไทเลอรม์ าเปน็ กรอบในการวเิ คราะห์ 5 ประเดน็ ไดแ้ ก่ (1) แนวโนม้ คณุ ลกั ษณะบณั ฑติ นเิ ทศศาสตร์ ประกอบดว้ ย 3 ดา้ น ไดแ้ ก่ ดา้ นความรู้ ด้านคุณลักษณะและดา้ นทกั ษะ (2) แนวโน้มการพัฒนา หลกั สตู รนิเทศศาสตร์บณั ฑติ และ (3) แนวโนม้ ดา้ นรายวชิ าของหลกั สตู รนเิ ทศศาสตรบ์ ณั ฑติ ผลการศีกษา ผลการศกึ ษาพบว่า 1. แนวโนม้ คณุ ลักษณะบณั ฑติ นิเทศศาสตร์ ครอบคลุมองค์ประกอบ 3 ด้าน ประกอบดว้ ย ความรู้ ท่ีส�ำคัญและจ�ำเป็นของบัณฑิตในสาขานิเทศศาสตร์ คุณลักษณะที่ส�ำคัญและจ�ำเป็นของบัณฑิตในสาขา นเิ ทศศาสตร์ และทกั ษะท่ีส�ำคญั และจำ� เป็นของบัณฑติ ในสาขานเิ ทศศาสตร์ 1.1 ในด้าน “ความรูท้ ี่ส�ำคัญและจำ� เป็นของบณั ฑิตในสาขานิเทศศาสตร์” นนั้ สามารถแบ่งออก เป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ กลมุ่ แรกเป็น “กลมุ่ ความรูช้ ดุ เดมิ ท่สี �ำคญั และจำ� เปน็ ของบัณฑิตในสาขานเิ ทศศาสตร”์ ได้แก่ ความรู้ทางการส่ือสาร การผลิตส่ือในรูปแบบต่าง ๆ และจิตวิทยาการส่ือสาร และกลุ่มที่สอง เป็น “กลุ่มความรู้ชุดใหม่” ได้แก่ ความรู้ทางด้านภาษา ความรู้ด้านการเป็นผู้ประกอบการธุรกิจและการตลาด ความร้ใู นด้านการจัดการขอ้ มูลและเทคโนโลยกี ารส่อื สาร และความรใู้ นดา้ นสอื่ สารสุขภาพ 1.2 ในด้าน “คุณลักษณะท่ีส�ำคัญและจ�ำเป็นของบัณฑิตในสาขานิเทศศาสตร์” ผลการศึกษา พบวา่ คณุ ลกั ษณะทส่ี ำ� คญั และจำ� เปน็ ประกอบดว้ ยทกั ษะชวี ติ ในดา้ นคณุ ธรรม จรยิ ธรรม จรรยาบรรณวชิ าชพี ความรับผดิ ชอบ ความตรงตอ่ เวลา มีจิตอาสา และความชือ่ สตั ย์ การใฝ่รู้ ใฝ่เรียน การปรับตัว ความสามารถ ในการท�ำงานเป็นทีมร่วมกับผู้อ่ืนได้ การมีมนุษยสัมพันธ์ ความอดทนอดกลั้น มีทัศนคติท่ีดีในการท�ำงาน มคี วามคดิ เชิงบวก การเปิดใจกว้าง รบั ฟงั ความคิดเหน็ ซ่ึงกันและกนั ปีท่ี 15 ฉบบั ที่ 3 ประจำ�เดอื นกันยายน - ธนั วาคม 2562 211

1.3 ส่วน “ทักษะท่ีส�ำคัญและจ�ำเป็นของบัณฑิตในสาขานิเทศศาสตร์” นั้น แบ่งทักษะได้ออก เปน็ 2 กลมุ่ “กลมุ่ แรกเปน็ ทกั ษะเดมิ ทบี่ ณั ฑติ นเิ ทศศาสตร”์ พงึ มี ไดแ้ ก่ ทกั ษะการคดิ สรา้ งสรรค์ การออกแบบ การเลา่ เรอื่ ง การคดิ วเิ คราะห์ และการนำ� เสนอ “กลมุ่ ทสี่ อง เปน็ ทกั ษะใหม”่ ไดแ้ ก่ ทกั ษะในการเปน็ ผปู้ ระกอบ การ ทกั ษะในการจดั การข้อมูล และทกั ษะด้านภาษา 2. ในด้านแนวโน้มการพฒั นาหลักสตู รนิเทศศาสตรบณั ฑิต แนวโนม้ ในการพฒั นาหลกั สตู รนเิ ทศศาสตรบณั ฑติ นน้ั ควรประกอบดว้ ยองคป์ ระกอบ 2 สว่ น ไดแ้ ก่ 2.1 “องค์ประกอบด้านท่ี 1” ทักษะ ความรู้ในวิชาชีพนิเทศศาสตร์ ได้แก่ ความสามารถใน การคิดสร้างสรรค์ การตดิ วเิ คราะห์ การมีคณุ ธรรมจริยธรรมในวชิ าชีพ และการรเู้ ทา่ ทนั สอื่ 2.2 “องคป์ ระกอบดา้ นท่ี 2” ทกั ษะ ความรู้ใหม่ อนั ประกอบด้วย การเปน็ ท่ีมีความสามารถใน การปรับตัวและเรียนรู้ส่ิงใหม่อยู่เสมอ ความเป็นผู้ประกอบการ ความรู้ด้านการตลาด การจัดการข้อมูล ความสามารถทางด้านภาษา การเป็นผู้น�ำในการเปล่ียนแปลง การส่ือสารสุขภาพ และการสร้างเครือข่าย ความร่วมมอื ตา่ ง ๆ 3. ในด้านแนวโน้มรายวชิ าดา้ นนิเทศศาสตร์ แนวโน้มรายวชิ าดา้ นนิเทศศาสตร์ ประกอบด้วยชุดรายวิชา 4 ชุด ไดแ้ ก่ 3.1 ชุดความรู้เก่ียวกับศาสตร์พื้นฐานทางนิเทศศาสตร์ ได้แก่ รายวิชาความรู้พ้ืนฐานทาง วารสารศาสตร์และความรู้เฉพาะทาง กฎหมายและจริยธรรม การเล่าเรื่อง ความเข้าใจในสังคม ความคิด สร้างสรรค์ การเขียนบท การพัฒนาทักษะการคิดและการส่ือสาร การจัดการข้อมูลข่าวสาร การแสดงและ การสื่อความหมาย ภาษาอังกฤษเพื่องานวารสารศาสตร์ยุคใหม่ การสื่อสารมวลชนและวัฒนธรรมศึกษา สื่อกับอาเซียน การฝกึ ประสบการณว์ ชิ าชพี ในสถานประกอบการดา้ นสาธารณสุข 3.2 ชุดความรู้ที่มีการผสมผสานกันระหว่างศาสตร์ทางการบริหารจัดการและศาสตร์ทาง การสอื่ สาร ไดแ้ ก่ รายวชิ าการบรหิ ารจดั การและสอื่ สารการตลาด จติ วทิ ยาการสอ่ื สารและพฤตกิ รรมผบู้ รโิ ภค การเป็นผปู้ ระกอบการ การวเิ คราะหผ์ ู้รับสาร พฤติกรรมผู้บรโิ ภค กลยทุ ธใ์ นการสือ่ สาร การสร้างแบรนด์ 3.3 ชุดความรู้ที่มีการผสมผสานกันระหว่างความรู้ ทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ (ระบบฐาน ข้อมลู /คอมพวิ เตอร์/เทคโนโลยีสมัยใหม่) กบั ศาสตรท์ างการสอื่ สาร ได้แก่ รายวชิ าสื่อใหม/่ สือ่ ออนไลน์ การรู้ เท่าทันสื่อ (Media Literacy) ภูมิทัศน์ส่ือ การสร้างสรรค์และผลิตสื่อ การรายงานข่าวโดยใช้ส่ือใหม่ อนิ โฟกราฟกิ การถา่ ยภาพและทำ� วิดีโอ การวดั เรตติ้งในสือ่ โซเชยี ลมเี ดีย การสร้างสรรค์วิดโี อเกม 3.4 ชุดความรู้เกี่ยวกับการสื่อสารสุขภาพ ได้แก่ รายวิชาการส่ือสารสุขภาพ การวิเคราะห์ส่ือ และสถานการณ์การส่อื สารสขุ ภาพ และความรอบรู้ดา้ นสขุ ภาพ (health literacy) อภิปรายผล การวิจัยเร่ือง “แนวโน้มการพัฒนาหลักสูตรนิเทศศาสตร์เพ่ือเข้าสู่ตลาดงานทางการสื่อสารใน ประเทศไทย” พบประเด็นทนี่ ่าสนใจในการอภิปราย ดงั นี้ 1. ในการพัฒนาหลักสูตรนิเทศศาสตรบัณฑิต ในประเด็นคุณลักษณะบัณฑิตนิเทศศาสตร์ในด้าน ความรู้ท่ีสำ� คัญและจ�ำเปน็ ของบณั ฑติ ในสาขานิเทศศาสตร์ และทักษะทีส่ ำ� คญั และจ�ำเป็นของบณั ฑิตในสาขา 212 บัณฑติ วิทยาลยั มหาวทิ ยาลัยสวนดุสติ

นเิ ทศศาสตรซ์ ง่ึ เปน็ วตั ถปุ ระสงคใ์ นการศกึ ษาขอ้ ท่ี 1 นนั้ ผลการศกึ ษาซง่ึ พบวา่ คณุ ลกั ษณะทส่ี ำ� คญั และจำ� เปน็ ประกอบดว้ ย - “สิ่งที่เป็นองค์ความรู้/ทักษะชุดเดิม” ซึ่งเป็นสิ่งท่ีหลักสูตรนิเทศศาสตร์มีอยู่แล้ว กลุ่มความรู้ ชุดเดมิ นไี้ ดแ้ ก่ ความรทู้ างการสือ่ สาร การผลติ สอื่ ในรูปแบบต่าง ๆ และจิตวทิ ยาการสื่อสาร ขณะท่ที ักษะท่ี ส�ำคัญและจำ� เป็นของบณั ฑติ ในสาขานเิ ทศศาสตร์ชดุ เดิม ได้แก่ ทกั ษะการคดิ สร้างสรรค์ การออกแบบ ทกั ษะ การเล่าเรื่อง ทกั ษะ การคดิ วเิ คราะห์ และทักษะการนำ� เสนอ - “ส่งิ ท่เี ป็นทักษะ/ความรชู้ ุดใหม่” โดยกล่มุ ความรู้ชดุ ใหม่ ได้แก่ ความรู้ทางดา้ นภาษา ความรู้ ดา้ นการเปน็ ผปู้ ระกอบการธรุ กจิ และการตลาด ความรใู้ นดา้ นการจดั การขอ้ มลู และเทคโนโลยกี ารสอ่ื สาร และ ความรูใ้ นด้านส่ือสารสุขภาพ ขณะท่ที กั ษะท่สี ำ� คญั และจำ� เปน็ ของบัณฑติ ในสาขานิเทศศาสตร์ชุดใหม่ ได้แก่ ทกั ษะในการเป็นผปู้ ระกอบการ ทกั ษะในการจัดการขอ้ มลู และทกั ษะดา้ นภาษา ข้อค้นพบดังกล่าวมีความสอดคล้องกับงานวิจัยเรื่อง “การจัดการศึกษาระดับอุดมศึกษาสาขาวิชา นเิ ทศศาสตร์ในศตวรรษที่ 21” ของสุธาสนิ ี นิรัตตมิ านนท์ (2560: 204) ที่พบว่า ความรทู้ ค่ี วรตอ้ งเรยี นร้ขู อง หลักสตู รนเิ ทศศาสตรบณั ฑติ ไดแ้ ก่ ทักษะพ้ืนฐานทางการสอื่ สารท่ดี ี ทกั ษะการสอ่ื สารข้อมลู และความคิดไป ส่ผู รู้ บั สารจ�ำนวนมาก โดยใชส้ อ่ื หลากหลายรปู แบบ ความร้เู ร่อื งพน้ื ฐานการบรหิ ารธรุ กิจสื่อ ความรูท้ างด้าน ภาษาท้ังการใช้ภาษาไทยอย่างเช่ียวชาญ มีความรู้เร่ืองภาษาอังกฤษในระดับสากล และความรู้เรื่องภาษา อาเซียน ซ่ึงจะเห็นได้ว่าชุดความรู้ดังกล่าวมีลักษณะที่ผสมผสานกันระหว่างชุดความรู้เดิมของหลักสูตร นเิ ทศศาสตรบณั ฑติ และชดุ ความรใู้ หม่ อยา่ งความรเู้ รอ่ื งพน้ื ฐานการบรหิ ารธรุ กจิ สอ่ื และความรทู้ างดา้ นภาษา และสอดคล้องกับขอ้ ค้นพบในงานวิจัยของ พนม คลฉ่ี ายา (2558: 42-43) ที่พบวา่ ชดุ ความรทู้ ่นี อกเหนอื จาก ด้านนิเทศศาสตร์ ไดแ้ ก่ ชดุ ความรูว้ ิชาดา้ นการตลาด การบริหาร เศรษฐศาสตร์ และสงั คมศาสตร์ สว่ นในด้าน ทักษะทน่ี อกเหนอื จากทักษะทางดา้ นนเิ ทศศาสตร์ ไดแ้ ก่ ทักษะการทำ� งานในสถานท่ที �ำงาน การทำ� วจิ ยั และ ประเมนิ ผล การเขยี นและพดู ภาษาตา่ งประเทศ และการใหเ้ หตผุ ลและเจรจาตอ่ รอง สว่ นในดา้ นความสามารถ ที่จ�ำเป็นนอกเหนือจากความสามารถทางด้านนิเทศศาสตร์ ได้แก่ ปฏิบัติงานได้จริง การคิดเชิงกลยุทธ์ การจัดการงานให้ส�ำเร็จ การติดต่อประสานงานสร้างความสัมพันธ์กับกลุ่มต่าง ๆ และการวิพากษ์และ การทำ� การตลาด และดา้ นคณุ สมบตั สิ ว่ นบคุ คลทจี่ ำ� เปน็ ไดแ้ ก่ มมี นษุ ยสมั พนั ธท์ ดี่ ี ใฝร่ ู้ การวางตวั และมมี ารยาท ทางสงั คมดี ความคดิ สรา้ งสรรค์ คดิ เชิงวิเคราะห์ นอกจากน้ียังสอดคล้องกับคุณลักษณะท่ีพึงประสงคตามกรอบมาตรฐานคุณวุฒิหลักสูตรทางดาน การสอ่ื สาร ภาพยนตร และวฒั นธรรม (Communication, Film and Culture) จากการศกึ ษากรอบมาตรฐาน คุณวุฒิของหลักสูตรทางดานการส่ือสาร ภาพยนตรและวัฒนธรรมท่ีมีการจัดทําขึ้นโดยหนวยงานประกัน คณุ ภาพทางการศกึ ษาในระดบั อุดมศึกษาของประเทศสหราชอาณาจักร (The Quality Assurance Agency for Higher Education, 2008) ประเด็นท่ีน่าสนใจอีกประการหน่ึง คือ ข้อค้นพบเก่ียวกับความรู้ชุดใหม่น้ียังสอดคล้องกับสภาวะ ความเปลี่ยนแปลงของสังคม ในดา้ นตา่ ง ๆ ได้แก่ - การกา้ วหน้าของเทคโนโลยีทีท่ �ำให้ข้อมูลจ�ำนวนมหาศาล ความรู้ด้านการจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ (Big data) จงึ เปน็ สงิ่ สำ� คญั โดยทำ� การวเิ คราะหเ์ ชอื่ มโยงใหเ้ กดิ ประโยชน์ ซงึ่ การพฒั นากลยทุ ธท์ างดา้ นเนอ้ื หา และรูปแบบในการสื่อสาร การสรา้ งผลติ ภัณฑใ์ หม่ ๆ ปที ี่ 15 ฉบบั ท่ี 3 ประจำ�เดอื นกันยายน - ธันวาคม 2562 213

- การก้าวเขา้ สู่สงั คมผูส้ งู อายทุ ่ีตอ้ งการความรู้ด้านสือ่ สารสขุ ภาพ - การท่ีคนรุ่นใหม่ต้องการเป็นผู้ประกอบการธุรกิจ ดังปรากฏในผลการส�ำรวจของสภาพเศรษฐกิจ โลก World Economic Forum (WEF) รว่ มกบั บรษิ ทั ซกี รปุ๊ ในการศกึ ษามมุ มองเกย่ี วกบั การทำ� งาน ผลกระทบ ของเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่มีผลต่อการท�ำงานในองค์กร และความคาดหวังของเยาวชนในภูมิภาคเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้ (เดลินวิ ส,์ 2562) และการเปน็ ผปู้ ระกอบการยังเปน็ สาระความรู้สำ� คญั ตามกรอบความคิด ของภาคีเพื่อทักษะแห่งศตวรรษท่ี 21 (Partnership for 21st Century Skills, 2007) ซ่ึงท�ำให้ความรู้ เกี่ยวกับการเป็นผู้ประกอบการธุรกิจ ความรู้เกี่ยวกับธุรกิจและการตลาด เทคโนโลยีในการส่ือสารที่เอื้อต่อ การประกอบธุรกิจจงึ เปน็ ทักษะความรู้ท่สี ำ� คญั 2. ในดา้ น “คณุ ลกั ษณะทสี่ ำ� คญั และจำ� เปน็ ของบณั ฑติ ในสาขานเิ ทศศาสตร”์ ซงึ่ ผลการศกึ ษาพบวา่ คณุ ลักษณะท่สี ำ� คญั และจ�ำเป็น ประกอบด้วยทักษะชีวติ ในดา้ นต่าง ๆ ท้งั คุณธรรม จริยธรรม จรรยาบรรณ วิชาชีพ ความรับผิดชอบ ความตรงต่อเวลา มีจิตอาสา และความช่ือสัตย์ การใฝ่รู้ ใฝ่เรียน การปรับตัว ความสามารถในการท�ำงานเป็นทีมร่วมกับผู้อ่ืนได้ การมีมนุษยสัมพันธ์ ความอดทนอดกล้ัน มีทัศนคติท่ีดีใน การท�ำงาน มีความคิดเชิงบวก การเปิดใจกว้าง รับฟังความคิดเห็นซึ่งกันและกัน น้ันมีความสอดคล้องกับ กรอบความคิดของภาคเี พ่อื ทักษะแห่งศตวรรษท่ี 21 (Partnership for 21st Century Skills, 2007) ซึง่ ระบุ ว่าทักษะชีวติ ท่สี �ำคญั ท่คี วรสง่ เสรมิ ผูเ้ รียน ไดแ้ ก่ ความมีจริยธรรม การรู้จักรบั ผิดชอบทั้งตอ่ ตนเองและสังคม ความสามารถในการปรับตัวและทักษะในการเขา้ ถึงคน และงานวจิ ยั เรื่อง “การจัดการศกึ ษาระดบั อดุ มศึกษา สาขาวชิ านเิ ทศศาสตรใ์ นศตวรรษท่ี 21” ของสธุ าสินี นริ ัตติมานนท์ (2560: 204) ทีพ่ บว่าทักษะชีวติ ทส่ี ำ� คัญ ส�ำหรับนกั นิเทศศาสตรใ์ นศตวรรษท่ี 21 ได้แก่ ความใฝร่ ู้ ความรับผดิ ชอบต่อสงั คม ความสามารถทำ� งานเปน็ ทมี มีระเบียบ วนิ ัย ตรงตอ่ เวลา และความเขา้ ใจและเหน็ อกเห็นใจความเป็นมนษุ ย์ คณุ ลกั ษณะทสี่ ำ� คญั และจำ� เปน็ ของบณั ฑติ ในสาขานเิ ทศศาสตรท์ พ่ี บในงานวจิ ยั ชนิ้ นยี้ งั สอดคลอ้ ง กับประกาศกระทรวงศึกษาธิการเรื่อง มาตรฐานการอุดมศึกษา ที่ระบุว่า บัณฑิตระดับอุดมศึกษาต้องมี ความรู้ ความเชย่ี วชาญในศาสตรข์ องตน สามารถเรยี นรู้ สรา้ งและประยกุ ตใ์ ชค้ วามรเู้ พอื่ พฒั นาตนเอง สามารถ ปฏบิ ตั งิ านและสรา้ งงานเพอ่ื พฒั นาสงั คมใหส้ ามารถแขง่ ขนั ไดใ้ นระดบั สากล รวมทง้ั มจี ติ สำ� นกึ ดำ� รงชวี ติ และ ปฏบิ ตั ิหนา้ ท่ตี ามความรบั ผิดชอบ โดยยึดหลักคณุ ธรรม จริยธรรม ขอ้ เสนอแนะ ข้อเสนอแนะในการน�ำผลการวิจัยไปใช้ 1. นำ� ผลจากการวจิ ยั ไปใชใ้ นการพฒั นาหลกั สตู รใหมข่ องสาขานเิ ทศศาสตรใ์ หต้ รงกบั ความตอ้ งการ ของตลาดแรงงานในศตวรรษที่ 21 2. นำ� ผลจากการวจิ ยั ไปใชเ้ พอื่ จดั ประสบการณก์ ารเรยี นรแู้ ละการฝกึ ประสบการณว์ ชิ าชพี ทำ� ใหเ้ กดิ ผลของการพัฒนานกั ศกึ ษาได้อย่างมปี ระสทิ ธภิ าพย่งิ ข้นึ ข้อเสนอแนะสำ� หรบั การวจิ ัยครั้งตอ่ ไป 1. เนื่องจากแวดงวงนิเทศศาสตร์นั้นเป็นแวดวงท่ีมีความเปล่ียนแปลงสูง การวิจัยพัฒนาหลักสูตร ควรกระท�ำอยา่ งตอ่ เนือ่ ง 214 บัณฑติ วิทยาลยั มหาวทิ ยาลยั สวนดุสิต

2. หัวข้อในการท�ำวิจัยควรเจาะไปท่ีประเด็นใดประเด็นหน่ึงพ่ือให้ได้ข้อมูลเชิงลึก เช่น รูปการจัด การเรียนการสอนสำ� หรบั หลักสตู รนิเทศศาสตรบณั ฑิตในศตวรรษท่ี 21 เอกสารอ้างองิ กระทรวงอตุ สาหกรรม. (2559). ยทุ ธศาสตรก์ ารพฒั นาอตุ สาหกรรมไทย 4.0 ระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560-2579). [Online]. Available: http://www.oie.go.th/sites/default/files/attachments/industry_ plan/ thailandindustrialdevelopmentstrategy4.0.pdf. [2560, สงิ หาคม 25]. ชัยวฒั น์ สุทธริ ตั น์. (2559). การพัฒนาหลักสตู ร: ทฤษฎีสกู่ ารปฏิบตั ิ. กรงุ เทพฯ: วีพรินท์ (1991). ทซี ดี ซี ี. (2007). Creative Economy: “งดงาม” เพ่อื ความอยูร่ อดของเศรษฐกิจสร้างสรรคไ์ ทย. [Online]. Available: http://www.tcdc.or.th/articles/others/5422/#Creative-Economy--งดงาม- เพ่ือความอยรู่ อดของเศรษฐกิจสร้างสรรคไ์ ทย. [2560, สงิ หาคม 25]. ธาม เชอ้ื สถาปนศิร.ิ (2557). “USER-GENERATED CONTENT” : ยุคสอื่ ของผ้ใู ช”้ . [Online]. Available: http://positioningmag.com/58244. [2560, สิงหาคม 25]. พนม คล่ีฉายา. (2558). แนวโน้มวิชาชีพ หลักสูตร และคุณสมบัติพึงประสงค์ของบัณฑิตสาขาวิชาการ ประชาสมั พันธ.์ วารสารการประชาสมั พันธแ์ ละการโฆษณา, 8 (2): 31-53. ภทั ธริ า ธรี สวสั ด.ิ์ (2553). การพฒั นาหลกั สตู รการสอ่ื สารนวตั กรรม สำ� หรบั นสิ ติ ระดบั ปรญิ ญาตรี วทิ ยาลยั นวัตกรรมส่ือสารสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. ปริญญานิพนธ์การศึกษาดุษฎีบัณฑิต สาขา การวิจยั และพัฒนาหลกั สตู ร มหาวิทยาลัยศรนี ครินทรวิโรฒ. วรพจน์ วงศก์ จิ รุ่งเรอื ง และอธิป จิตตฤกษ.์ (2554). ทักษะแห่งอนาคตใหม:่ การศกึ ษาเพอ่ื ศตวรรษที่ 21. กรงุ เทพฯ: Openworlds. วัชรา เล่าเรียนดี, ปรณัฐ กิจรุ่งเรือง และอรพิณ ศิริสัมพันธ์. (2560). กลยุทธ์การจัดการเรียนรู้เชิงรุกเพ่ือ พัฒนาการคิดและการยกระดบั คณุ ภาพการศึกษาส�ำหรับศตวรรษท่ี 21. นครปฐม: เพชรเกษม พริน้ ตงิ้ กร๊ปุ . ศศธิ ร บัวทอง. (2560). การวดั และประเมินทักษะการเรียนรใู้ นศตวรรษที่ 21. Veridian E-Journal, 10 (2): 1856-1867. สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย. (ม.ป.ป). สื่อไทยยุคสงครามแพลตฟอร์ม วิกฤต โอกาส. [Online]. Available: www.tja.or.th/index.php?option=com_rokdownloads&view=file... id. [2560, สิงหาคม 25]. ส�ำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา. (2552). เอกสารประกอบการประชุมเชิงปฏิบัติ เรื่อง “กรอบ มาตรฐานคุณวุฒิ: การพัฒนารายละเอียดของหลักสูตรและรายวิชาให้มีคุณภาพ”. วันที่ 30 กนั ยายน-2 ตุลาคม 2552 ณ โรงแรมเรดิสัน กรุงเทพมหานคร. ปที ่ี 15 ฉบับที่ 3 ประจ�ำ เดือนกันยายน - ธันวาคม 2562 215

สุธาสินี นิรัตติมานนท์. (2560). การจัดการศึกษาระดับอุดมศึกษาสาขาวิชานิเทศศาสตร์ในศตวรรษที่ 21. วารสารวิชาการมหาวทิ ยาลยั ราชภฏั ภูเกต็ , 13 (2): 204-226. Alismail, H. A. & McGuire, Patrick. (2015). 21st Century Standards and Curriculum: Current Research and Practice. Journal of Education and Practice, 6 (6): 150-155. Partnership for 21st Century Learning. (2007). Framework for 21st Century Learning. [Online]. Available: http://www.p21.org/our-work/p21-framework. [2017, July 31]. The Quality Assurance Agency for Higher Education. (2018). Communication, media, film and cultural studies. [Online]. Available: http://www.qaa.ac.uk [2018, December 1]. Tyler, R. W. (1971). Basic Principles of Curriculum and Instruction. Chicago: The University of Chicago. คณะผู้เขียน ดร. อมรรัตน์ เรืองสกุล คณะวิทยาการจดั การ มหาวทิ ยาลัยสวนดุสติ เลขที่ 295 ถนนนครราชสมี า เขตดสุ ิต กรงุ เทพฯ 10300 e-mail: [email protected] ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร. วรรณรตั น์ โรจนวิเชียร คณะวิทยาการจดั การ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต เลขท่ี 295 ถนนนครราชสีมา เขตดสุ ิต กรงุ เทพฯ 10300 e-mail: [email protected] ผ้ชู ่วยศาสตราจารย์ ดร. ศักดส์ิ ทิ ธิ์ โรจนวเิ ชียร คณะวิทยาการจดั การ มหาวทิ ยาลัยสวนดสุ ติ เลขท่ี 295 ถนนนครราชสีมา เขตดุสติ กรุงเทพฯ 10300 e-mail: [email protected] ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร. สุวลักษณ์ ห่วงเย็น คณะวทิ ยาการจัดการ มหาวิทยาลยั สวนดสุ ิต เลขที่ 295 ถนนนครราชสีมา เขตดุสติ กรงุ เทพฯ 10300 e-mail: [email protected] ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร. จนิ ตนา ตันสุวรรณนนท์ คณะวิทยาการจดั การ มหาวิทยาลัยสวนดุสติ เลขที่ 295 ถนนนครราชสมี า เขตดสุ ิต กรุงเทพฯ 10300 e-mail: [email protected] 216 บัณฑติ วิทยาลัย มหาวิทยาลยั สวนดสุ ติ

ผูช้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร. ขจติ ขวญั กิจวสิ าละ คณะวิทยาการจัดการ มหาวทิ ยาลัยสวนดสุ ติ เลขท่ี 295 ถนนนครราชสีมา เขตดสุ ิต กรุงเทพฯ 10300 e-mail: [email protected] ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. กฤษณพร ประสทิ ธ์วิ เิ ศษ คณะวทิ ยาการจดั การ มหาวทิ ยาลยั สวนดุสิต เลขที่ 295 ถนนนครราชสีมา เขตดสุ ติ กรงุ เทพฯ 10300 e-mail: [email protected] ผูช้ ว่ ยศาสตราจารย์ ศิริมา คงทพั คณะวทิ ยาการจัดการ มหาวทิ ยาลัยสวนดุสติ เลขท่ี 295 ถนนนครราชสีมา เขตดุสิต กรงุ เทพฯ 10300 e-mail: [email protected] ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร. ภูชติ ต์ ภรู ิปาณกิ คณะวิทยาการจัดการ มหาวทิ ยาลยั สวนดุสิต เลขที่ 295 ถนนนครราชสมี า เขตดสุ ิต กรงุ เทพฯ 10300 e-mail: [email protected] ผูช้ ่วยศาสตราจารย์ ดร. รรนิ ทร วสุนนั ต์ คณะวทิ ยาการจดั การ มหาวทิ ยาลยั สวนดุสิต เลขท่ี 295 ถนนนครราชสมี า เขตดสุ ิต กรุงเทพฯ 10300 e-mail: [email protected] อาจารยช์ ุษณะ จันทร์อ่อน คณะวทิ ยาการจดั การ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต เลขท่ี 295 ถนนนครราชสมี า เขตดสุ ติ กรุงเทพฯ 10300 e-mail: [email protected] อาจารย์วรภัทร จัตุชัย คณะวิทยาการจดั การ มหาวิทยาลยั สวนดสุ ติ เลขที่ 295 ถนนนครราชสีมา เขตดุสิต กรุงเทพฯ 10300 e-mail: [email protected] ปที ่ี 15 ฉบับท่ี 3 ประจ�ำ เดอื นกันยายน - ธนั วาคม 2562 217



“ปกิณกคดี ประโยชน์แห่งการอยู่ในธรรมและความเป็นชาติโดยแท้จริง” ยอดชาย ชุตกิ าโม* โรงเรยี นกฎหมายและการเมือง มหาวทิ ยาลัยสวนดสุ ติ Yodchai Chutikamo* School of Law and Politics, Suan Dusit University Received: April 24, 2019 Accepted: June 21, 2019 ช่อื เรอื่ ง ปกณิ กคดี ประโยชน์แหง่ การอยู่ในธรรมและ ความเป็นชาตโิ ดยแท้จรงิ ผูแ้ ต่ง พระบาทสมเด็จพระมงกฎุ เกลา้ เจ้าอยหู่ วั จ�ำนวนหนา้ 54 หน้า ผู้พมิ พ์ กระทรวงวฒั นธรรม, 2551 ภาษา ไทย รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็น ชว่ งเวลาทส่ี งั คมไทยไดผ้ า่ นการเปลยี่ นแปลง อยา่ งขนานใหญใ่ นการสรา้ ง ความเจริญของบ้านเมืองให้ทัดเทียมนานาอารยประเทศท่ีเร่ิมต้นใน รชั กาลพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั และพระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ในชว่ งเวลาแหง่ ความเปลี่ยนแปลงของบ้านเมืองหกทศวรรษเศษน้ัน สังคมไทยได้มีการปฏิรูประบบการปกครองและระบบ เศรษฐกิจ ท่ีส่งผลกระทบถึงกระบวนทัศน์ของชนช้ันปกครองและความคิดของราษฎรที่มีความเปลี่ยนแปลง และแตกตา่ งไปจากสงั คมยคุ จารตี ประเพณที ส่ี บื ขนบ มาแตส่ มยั อยธุ ยาถงึ รตั นโกสนิ ทรต์ อนตน้ และทำ� ใหเ้ กดิ ความพยายามใน การอธิบายถึงตัวตนของคนไทยและสถานะของรัฐไทยในสังคมโลกสมัยใหม่ ว่ามีต�ำแหน่ง แห่งท่แี ละความส�ำคญั อย่างไรในบริบทสงั คมโลกทท่ี นั สมยั ซึง่ สงั คมไทยไดพ้ ยายามสรา้ งตนเองใหท้ ดั เทยี ม ในรชั สมัยของพระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ เจ้าอยหู่ ัว สังคมไทยได้เปลยี่ นผ่านจากระบบเศรษฐกิจ แบบยังชพี และการค้าแบบระบบบรรณาการในรัฐจารตี โดยเด็ดขาด สยามกา้ วเข้าสรู่ ะบบการผลิตแบบตลาด การผลติ สนิ คา้ เพอ่ื สง่ ออกสตู่ ลาดโลก ตลอดจนการเขา้ มาของนวตั กรรม เทคโนโลยี วทิ ยาศาสตรจ์ ากโลกตะวนั ตก ท�ำให้คนไทยได้เรียนรู้ถึงความก้าวหน้าทางวิทยากรตะวันตก และน�ำไปสู่ความคิดของคนไทยบางกลุ่มท่ี เกดิ ความเลอ่ื มใสศรทั ธาในทกุ อยา่ งทเ่ี ปน็ ตะวนั ตกและหนั มาวพิ ากษค์ วามเปน็ ไทย สงั คมไทย รวมถงึ ตง้ั คำ� ถาม * ยอดชาย ชตุ กิ าโม (Corresponding Author) ปที ี่ 15 ฉบบั ที่ 3 ประจ�ำ เดอื นกนั ยายน - ธนั วาคม 2562 219 e-mail: [email protected]

กบั พุทธศาสนา วา่ ความเปน็ ไทยอยา่ งพุทธศาสนา รวมท้งั ขนบจารีตต่าง ๆ ท่ีสืบเนื่องมานเี้ ป็นส่ิงที่ลา้ หลังและ ไม่เข้ากับยุคสมัยใหม่ นอกจากนี้ในรัชสมัยดังกล่าว ได้เกิดกระแสต่ืนตัวของแนวคิดชาตินิยมท่ีมีมาจากยุโรป เกดิ การตงั้ คำ� ถาม วพิ ากษถ์ งึ ความเปน็ รฐั ไทยวา่ รฐั ไทยคอื อะไร อะไรคอื สารตั ถะหรอื แกน่ ของความเปน็ รฐั ไทย ที่มีความเป็นรัฐชาติแบบรัฐสมัยใหม่ มิใช่รัฐในระบบแบบจารีตเดิมท่ีอธิบายถึงที่มาของอ�ำนาจ ตลอดจน รปู แบบความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งผปู้ กครองและราษฎรดว้ ยโลกทศั นข์ องความเชอ่ื แบบเทวราชหรอื ธรรมราชาตาม คัมภีรท์ างศาสนา พระราชนิพนธ์ “ปกิณกคดี ประโยชน์แห่งการอยู่ในธรรมและความเป็นชาติโดยแท้จริง” สามารถ พิจารณาได้ว่าคือ งานเขียนทางรัฐศาสตร์ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่ทรงใช้บทพระราชนิพนธ์น้ี อธิบายถึงความส�ำคัญของพุทธศาสนาท่ีมีต่อสังคมไทยสมัยใหม่ และอธิบายถึงการเป็นรัฐชาติสมัยใหม่ของ รัฐไทยท่ีมีรากฐานอยู่บนสามสถาบันหลักของชาติคือชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ พระราชนิพนธ์นี้คือ การอธบิ ายให้คนไทยเขา้ ใจถึงความเป็นรัฐสมัยใหมข่ องไทยที่มีรากฐานมาจากรัฐในแบบจารีตเดมิ ที่สามารถ ปรับตัวและมีพัฒนาการต่าง ๆ ให้เจริญทัดเทียมนานาอารยประเทศได้ โดยท่ีสังคมไทยมิได้มีการตัดขาด ละทิ้ง ภูมิปญั ญาต่าง ๆ ที่สบื เนอ่ื งมาแต่โบราณ แตส่ ามารถผสมผสานส่งิ เก่าและส่งิ ใหม่ให้เขา้ กนั และน�ำมา ส่กู ารสรา้ งรฐั ไทยท่มี คี วามเจรญิ พระบาทสมเด็จพระมงกฎุ เกล้าเจา้ อยู่หัวทรงอธบิ ายถงึ ความสำ� คญั ของพุทธศาสนา ความส�ำคญั ของ หลกั ธรรมในโลกสมยั ใหมว่ า่ หลกั ธรรมของศาสนานนั้ มไิ ดล้ า้ สมยั หรอื เขา้ กนั ไมไ่ ดก้ บั โลกสมยั ใหม่ แตก่ ลบั กลาย เป็นว่าคนในโลกสมัยใหม่นี้ต่างหากท่ีกลับต้องศึกษาและยึดมั่นในหลักธรรมให้มากขึ้น โดยเฉพาะหลักธรรม ของพทุ ธศาสนาทเี่ ป็นศาสนาประจำ� ชาติไทย เพราะโลกสมยั ใหมเ่ ป็นโลกที่เจรญิ ทางวัตถุและคนที่หลงใหลใน วตั ถนุ นั้ จะประพฤตติ นไปในทางทเ่ี สอ่ื มทราม ทำ� ใหเ้ กดิ ความเสยี หายทง้ั ตอ่ ตนเองและสว่ นรวม ประโยชนข์ อง การอยใู่ นธรรม การมีธรรมเป็นเครือ่ งยึดเหนี่ยวใจจึงเป็นสง่ิ ทจ่ี ำ� เป็นอยา่ งย่ิง พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงอธบิ ายถงึ ความเปน็ ชาตขิ องรฐั ไทยวา่ ความเปน็ ชาตไิ ทย นั้น คือการที่คนไทยมีความรู้สึกร่วมกันในดินแดนไทย ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่สถาบันพระมหากษัตริย์ ดังนั้น คนไทยมิว่าจะมีเชื้อสายใด พูดภาษาใดท่ีเป็นภาษาถ่ินนอกเหนือจากภาษาไทย นับถือศาสนาใด ต่างก็เป็น คนไทย เปน็ สว่ นหนง่ึ ของชาตไิ ทยทอี่ ยภู่ ายใตร้ ม่ พระบรมโพธสิ มภารของพระมหากษตั รยิ ์ พระมหากษตั รยิ ไ์ ทย ทรงใหก้ ารอปุ ถมั ภท์ กุ ศาสนา ทรงดูแลคนไทยทกุ เช้ือชาติทุกภาษาอย่างเสมอภาคกนั พระมหากษตั ริย์เป็นทงั้ ผนู้ ำ� รฐั ไทยและเปน็ สญั ลกั ษณข์ องความเปน็ ไทยทม่ี ตี อ่ นานาอารยประเทศ ความเปน็ ชาตทิ แี่ ทจ้ รงิ ของคนไทย จึงอธิบายได้ว่ามาจากความจงรักภักดีที่คนไทยมีต่อพระมหากษัตริย์ไทย ดังน้ัน ถ้าผู้ใดที่อาศัยอยู่ในดินแดน ไทยแตม่ ไิ ดม้ คี วามจงรกั ภกั ดีตอ่ พระมหากษตั ริย์ไทย แมผ้ ู้น้ันจะนับถือศาสนาใด พดู ภาษาใด ที่เหมือนกับคน ในชาติไทยก็หาใช่คนไทยไม่ และมิถือว่าคนผู้นั้นเป็นส่วนหนึ่งของชาติหรือมีความเป็นชาติไทยท่ีแท้จริง ในตัวผู้นั้น พระราชนพิ นธข์ องพระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั เรอ่ื งนี้ แมว้ า่ จะสะทอ้ นถงึ บรรยากาศของ สังคมโลกในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ท่ีกระแสความรู้สึกเป็นชาตินิยมได้ก่อตัวข้ึนอย่างมากในยุโรปและน�ำไปสู่ สงครามโลกครงั้ ที่ 1 อกี ทงั้ ยงั เกดิ ความเชอ่ื ทางลทั ธกิ ารเมอื งตา่ ง ๆ มากมายทตี่ งั้ คำ� ถามทา้ ทายถงึ ความสำ� คญั ของศาสนา ความเป็นชาติ ความเปน็ สากลนยิ ม อนั ทำ� ใหเ้ กดิ การจัดระเบียบโลกคร้ังใหญ่หลงั มหาสงครามนั้น โดยทร่ี ฐั ไทยไมส่ ามารถทจี่ ะหลกี เลย่ี งจากกระแสโลกได้ ซง่ึ คงเปน็ เหตผุ ลสำ� คญั ทที่ ำ� ใหท้ รงมบี ทพระราชนพิ นธ์ 220 บณั ฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยสวนดสุ ติ

น้ีขึ้นมา แต่อย่างไรก็ตาม แม้ในปัจจุบันนี้ บริบททางสังคมโลกหลายประการจะแตกต่างไปจากเวลานั้น ด้วยความห่างของช่วงเวลากว่าหน่ึงศตวรรษ แต่การอธิบายตัวตนของรัฐไทย ความเป็นชาติไทย ความเป็น คนไทย กลบั ยงั คงอยใู่ นการเมอื งรว่ มสมยั ผา่ นมมุ มองของลทั ธิ ความเชอ่ื ปรชั ญาตา่ ง ๆ ทท่ี งั้ วพิ ากษแ์ ละเสนอ ความเป็นไทย คนไทย ตามแต่ลัทธิ ความเช่ือ ปรัชญาท่ีตนเองถือม่ันอยู่ แต่การอธิบายความเป็นชาติไทย ความเป็นคนไทย ท่ีแท้จริงนั้น ก็หาได้มีผู้ใดท่ีจะเสนออะไรใหม่ไปกว่าสารัตถะส�ำคัญท่ีพระบาทสมเด็จ พระมงกุฎเกลา้ เจา้ อยู่หัวทรงอธิบายในพระราชนิพนธ์น้ี ดังนัน้ บทพระราชนิพนธ์ “ปกิณกคดี ประโยชน์แหง่ การอยู่ในธรรมและความเป็นชาติโดยแท้จริง” จึงเป็นเอกสารส�ำคัญที่ทรงคุณค่าทั้งทางประวัติศาสตร์และ รัฐศาสตร์ ท่ีคนไทยทั้งหลายควรจะได้น้อมน�ำมาศึกษาและสร้างความเข้าใจถึงความเป็นชาติไทย คนไทย ท่ีแท้จริง อันจะน�ำไปสู่ความภาคภูมิใจในความเป็นชาติและเป็นส่วนหนึ่งในการเทิดทูนและรักษาไว้ซ่ึง ชาติ ศาสนา พระมหากษตั รยิ ์ ทเี่ ปน็ สัญลกั ษณ์ของความเป็นไทยและเปน็ หลักชยั ของ รฐั ไทยตราบนจิ นิรันดร์ ผู้เขยี น ผูช้ ่วยศาสตราจารย์ ดร. ยอดชาย ชุติกาโม โรงเรียนกฎหมายและการเมือง มหาวทิ ยาลัยสวนดุสิต อาคารเฉลิมพระเกียรติ 50 พรรษา มหาวชริ าลงกรณ เลขที่ 145/9 ถนนสุโขทยั เขตดสุ ิต กรงุ เทพฯ 10300 e-mail: [email protected] ปที ่ี 15 ฉบับที่ 3 ประจ�ำ เดอื นกันยายน - ธนั วาคม 2562 221



นโยบายและการด�ำเนินงานจัดพิมพ์วารสารวิชาการบัณฑติ วิทยาลัยสวนดุสิต บัณฑติ วทิ ยาลยั มหาวิทยาลัยสวนดุสิต นโยบายวารสาร ​วารสารวชิ าการบณั ฑติ วทิ ยาลัยสวนดสุ ิต มหาวิทยาลัยสวนดุสติ ดำ� เนนิ การมาตงั้ แต่ปี พ.ศ. 2547 มีวัตถุประสงค์เพ่ือเผยแพร่ผลงานทางวิชาการ ในประเภทบทความวิจัย บทความวิชาการ บทความปริทัศน์ แ ละบทความวิจารณ์หนังสือ เพ่ือเป็นการแลกเปล่ียนความรู้ความคิดด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ (ครุศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ รัฐศาสตร์ นติ ิศาสตร์ อาชญาวทิ ยา บริหารธรุ กจิ และสาขาอื่นทเี่ กย่ี วขอ้ ง) ​วารสารวิชาการบณั ฑิตวิทยาลยั สวนดุสติ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต เปน็ วารสารปรากฏอยใู่ นฐาน TCI (Thai Journal Citation Index Centre) หรือศูนยด์ ชั นีการอ้างอิงวารสารไทย โดยปฏบิ ัตกิ ารพฒั นาคุณภาพ วารสารตามเกณฑม์ าตรฐานวชิ าวชิ าการตามทส่ี ำ� นกั งานคณะกรรมการการอดุ มศกึ ษา (สกอ.) และ สำ� นกั งาน กองทนุ สนับสนนุ การวิจยั (สกว.) ก�ำหนด กองบรรณาธกิ ารของวารสารประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒทิ ม่ี ตี ำ� แหน่ง ทางวิชาการ ศาสตราจารย์ รองศาสตราจารย์ และผชู้ ่วยศาสตราจารย์ รวมทง้ั ผู้ทรงคณุ วฒุ ิระดบั ปรญิ ญาเอก มีผลงานวิจัยต่อเนื่อง ซึ่งเป็นบุคลากรจากสถาบันภายนอกและภายใน และมีผู้ทรงคุณวุฒิ (Peer Review) อ่านพิจารณาบทความ ซง่ึ เป็นผู้เช่ยี วชาญและมผี ลงานทางวชิ าการอย่างตอ่ เน่ือง การดำ� เนินงานจดั พมิ พ์วารสาร 1. รบั ตน้ ฉบับบทความจากผเู้ ขียน 2. กองบรรณาธกิ ารวารสารตรวจสอบความถกู ตอ้ งและสมบรู ณข์ องตน้ ฉบบั บทความ ตามขอ้ กำ� หนด การสง่ บทความเพื่อรับพจิ ารณาการตพี ิมพ์ และตรวจสอบการละเมดิ ลิขสทิ ธิ์ (Turnitin) 3. กองบรรณาธกิ ารวารสารจัดสง่ ตน้ ฉบับใหผ้ ้ทู รงคณุ วฒุ ิ (Peer Review) อ่านพจิ ารณาบทความ 4. ส่งบทความให้ผ้เู ขียนแกไ้ ขตามผลการพิจารณาของผทู้ รงคณุ วฒุ ิ (Peer Review) 5. กองบรรณาธิการวารสารตรวจสอบความถูกต้องและคุณภาพของบทความและพิจารณาต้นฉบับ วารสารฉบบั ท่ีจะจัดพิมพ์ 6. คณะท�ำงานด�ำเนินการจัดท�ำรปู เลม่ การจัดพมิ พ์ 7. กองบรรณาธกิ ารตรวจสอบความถกู ตอ้ ง ความสมบรู ณ์ และคณุ ภาพของตน้ ฉบบั วารสารฉบบั จดั พมิ พ์ 8. คณะท�ำงานจดั พมิ พ์และเผยแพร่วารสาร ก�ำหนดการจัดพมิ พ์วารสาร​ วารสารวชิ าการบณั ฑติ วทิ ยาลยั สวนดสุ ติ มหาวทิ ยาลยั สวนดสุ ติ เปน็ วารสารราย 4 เดอื น โดยจดั พมิ พ์ เผยแพร่ปลี ะ 3 ฉบบั ​ฉ​ บบั ท่ี 1 เดือนมกราคม-เมษายน ฉ​​ บบั ที่ 2 เดือนพฤษภาคม-สิงหาคม ฉ​​ บบั ที่ 3 เดอื นกันยายน-ธันวาคม ปที ่ี 15 ฉบบั ท่ี 3 ประจ�ำ เดอื นกนั ยายน - ธันวาคม 2562 223

ติดต่อเรา ว​ ารสารวิชาการบัณฑติ วิทยาลัยสวนดสุ ิต มหาวทิ ยาลัยสวนดุสติ ​บัณฑติ วทิ ยาลัย มหาวทิ ยาลัยสวนดสุ ติ เ​ลขท่ี 145/9 อาคารเฉลมิ พระเกยี รติ 50 พรรษา มหาวชริ าลงกรณ ถนนสุโขทัย เขตดุสติ กรงุ เทพฯ 10300 โทรศัพท์: 0​ 2-241-7191-5 ตอ่ 4135 w​ ebsite:​http://www.graduate.dusit.ac.th/journal ​E-mail:​​[email protected] ผปู้ ระสานงาน :​ คุณจารุภา ยม้ิ ละมยั คณุ ณัชชา ถาวรบุตร ขอ้ แนะน�ำการส่งบทความ ห​ ลักเกณฑก์ ารลงตีพมิ พบ์ ทความในวารสารวิชาการบณั ฑิตวทิ ยาลยั สวนดสุ ิต 1. บทความที่ผู้เขยี นส่งมาเพ่ือการพจิ ารณาตอ้ งไม่เคยตพี มิ พใ์ นวารสารใดวารสารหนึง่ มาก่อน 2. บทความทีผ่ เู้ ขยี นสง่ มาเพอ่ื การพจิ ารณาตอ้ งไม่เคยอยู่ระหวา่ งการขอตพี ิมพใ์ นวารสารอน่ื 3. เนอื้ หาในบทความควรเกดิ จากการสงั เคราะหค์ วามคดิ โดยผเู้ ขยี นเอง ไมไ่ ดล้ อกเลยี นหรอื ตดั ทอน ม าจากผลงาน ท า งวิช าการของผู้อื่น หรือจากบทความอ่ืนโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือปราศจากการอ้างอิงที่ เหมาะสม 4. ผเู้ ขียนต้องเขยี นบทความตามข้อก�ำหนดการเขียนต้นฉบับบทความสง่ วารสาร 5. ผู้เขียนจะได้รับใบตอบรับการตีพิมพ์บทความในวารสาร เม่ือผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิ (Peer Review) และกองบรรณาธิการ 6. ผู้เขียนต้องแก้ไขความถูกต้องของบทความตามข้อเสนอแนะของผู้ทรงคุณวุฒิ (Peer Review) และกองบรรณาธกิ าร 7. หลงั จากผเู้ ขยี นแกไ้ ขความถกู ตอ้ งของบทความแลว้ กองบรรณาธกิ ารทำ� การตรวจสอบความถกู ตอ้ ง คณุ ภาพ และความสมบูรณข์ องบทความอีกครัง้ ก่อนส่งต้นฉบบั ทำ� การจดั พิมพ์ ​ขอ้ กำ� หนดการสง่ บทความเพอื่ พจิ ารณาการตพี มิ พใ์ นวารสารวชิ าการบณั ฑติ วทิ ยาลยั สวนดสุ ติ ก องบรรณาธิการก�ำหนดระเบียบการส่งต้นฉบับบทความเพ่ือให้ผู้เขียนยึดเป็นแนวทางในการส่ง ตน้ ฉบบั สำ� หรบั รบั พจิ ารณาการตพี มิ พใ์ นวารสารวชิ าการบณั ฑติ วทิ ยาลยั สวนดสุ ติ บณั ฑติ วทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั สวนดุสติ และกองบรรณาธกิ ารสามารถตรวจสอบตน้ ฉบบั ก่อนการตีพมิ พ์ เพอื่ ให้วารสารมคี ุณภาพ สามารถ น�ำไปใชอ้ ้างองิ ประโยชนท์ างวชิ าการได้ 1. การเตรียมต้นฉบบั มีรายละเอยี ด ดงั น้ี 1.1 ขนาดของต้นฉบับ พิมพ์หน้าเดียวบนกระดาษขนาด A4 โดยเว้นระยะห่างระหว่างกระดาษด้านบนและด้าน ซา้ ยมือ 1.5 น้วิ ดา้ นลา่ งและขวามอื 1 นิ้ว 224 บัณฑิตวทิ ยาลยั มหาวิทยาลัยสวนดุสิต

1.2 รปู แบบอกั ษรและการจดั วางต�ำแหน่ง ใชร้ ปู แบบอกั ษร TH SarabunPSK พมิ พด์ ว้ ยโปรแกรมไมโครซอฟท์เวิร์ด โดยใชข้ นาด ชนิด ของตัวอกั ษร รวมท้ังการจดั วางตำ� แหน่ง ดังน้ี 1.2.1 ทา้ ยกระดาษ ประกอบดว้ ย ​ 1) ชือ่ เรือ่ งต้นฉบบั ของผูเ้ ขียน ขนาด 14 ชนดิ ตัวธรรมดา ต�ำแหน่งชิดขอบกระดาษ ดา้ นซา้ ย ​2) เลขหนา้ ขนาด 14 ชนิดตวั ธรรมดา ตำ� แหนง่ ชิดขอบกระดาษดา้ นขวา 1.2.2 ช่ือเรือ่ ง (ภาษาไทย) ขนาด 16 ชนดิ ตัวหนา ต�ำแหนง่ กึง่ กลางหนา้ กระดาษ 1.2.3 ชอื่ เร่อื ง (ภาษาองั กฤษ) ขนาด 16 ชนิดตัวหนา ตำ� แหนง่ กึ่งกลางหน้ากระดาษ 1.2.4 ชอื่ ผู้เขียน ขนาด 14 ชนดิ ตัวหนา ต�ำแหนง่ กึง่ กลางหนา้ กระดาษ (ในกรณที มี่ ีอาจารย์ ที่ปรกึ ษาให้ลงชอ่ื อาจารย์ทป่ี รึกษาดว้ ย โดยลงอาจารยท์ ป่ี รึกษาหลักเป็นรายชอ่ื สดุ ท้าย) 1.2.5 ที่อยู่หรือหน่วยงานสังกัดของผู้เขียนและอีเมล์ ขนาด 14 ชนิดตัวหนา ต�ำแหน่ง กง่ึ กลางหน้ากระดาษ 1.2.6 หัวขอ้ ของบทคดั ย่อภาษาไทยและอังกฤษ ขนาด 14 ชนดิ ตัวหนา ต�ำแหนง่ ชิดขอบ กระดาษด้านซ้าย 1.2.7 เนื้อหาบทคัดย่อภาษาไทยและอังกฤษ ขนาด 14 ชนิดตัวธรรมดา จัดพิมพ์เป็น 1 คอลัมน์ บรรทัดแรกเวน้ 1 Tab จากขอบกระดาษดา้ นซ้าย และพมิ พใ์ ห้ชิดขอบทง้ั สองด้าน 1.2.8 หัวขอ้ เร่ือง ขนาด 14 ชนดิ ตวั หนา ตำ� แหนง่ ชดิ ขอบกระดาษด้านซ้าย 1.2.9 หัวข้อย่อย ขนาด 14 ชนิดตัวธรรมดา ระบุหมายเลขหน้าหัวข้อย่อย โดยเรียงตาม ลำ� ดับหมายเลขต�ำแหน่งเว้น 1 Tab จากขอบกระดาษดา้ นซา้ ย และพิมพ์ให้ชดิ ขอบท้ังสองด้าน 1.2.10 เนอ้ื หา ขนาด 14 ชนิดตัวธรรมดา จัดพิมพ์เปน็ 1 คอลัมม์ บรรทดั แรกเว้น 1 Tab จากขอบกระดาษดา้ นซา้ ย และพิมพใ์ หช้ ดิ ขอบท้งั สองด้าน 1.3 จำ� นวนหนา้ ต้นฉบับ ​​​​ ความยาวทั้งหมด ไมค่ วรเกนิ 15 หนา้ กระดาษ (นับตั้งแตช่ ่ือเร่ือง-เอกสารอ้างองิ ) 2. การเรยี งล�ำดบั เนือ้ หาตน้ ฉบับบทความ เน้ือหาภาษาไทยทม่ี ีค�ำศัพท์ภาษาองั กฤษ ควรแปลเปน็ ภาษาไทยให้มากทสี่ ดุ (ในกรณีท่ีคำ� ศพั ท์ ภาษาอังกฤษเป็นคำ� เฉพาะท่แี ปลไม่ได้ หรือแปลแล้วไม่ไดค้ วามหมายชดั เจน ให้เขยี นทบั ศัพท์ได้) และควรใช้ ภาษาทผี่ อู้ ่านเขา้ ใจงา่ ย ชัดเจน หากใช้คำ� ยอ่ ต้องเขียนคำ� เต็มไวค้ รง้ั แรกกอ่ น 2.1 การเรยี งลำ� ดบั เนอ้ื หาตน้ ฉบับบทความวิจยั - ช่ือเรอื่ งภาษาไทย - ช่อื เร่อื งภาษาองั กฤษ - ชื่อผู้เขียน คณะ มหาวทิ ยาลยั หรือหนว่ ยงานสังกดั ภาษาไทย  - ชอ่ื ผ้เู ขียน คณะ มหาวิทยาลัยหรอื หน่วยงานสงั กดั ภาษาอังกฤษ - อเี มลล์ของผเู้ ขียน - บทคัดยอ่ ภาษาไทยและค�ำส�ำคัญ ปที ี่ 15 ฉบบั ท่ี 3 ประจ�ำ เดอื นกันยายน - ธนั วาคม 2562 225

- บทคดั ยอ่ ภาษาอังกฤษและคำ� ส�ำคญั - บทน�ำ - วัตถุประสงค์ - แนวคิดทฤษฎีท่ีเกีย่ วข้องและกรอบแนวคิด - ระเบยี บวธิ ีวิจยั - ผลการศึกษา - อภปิ รายผล - ขอ้ เสนอแนะ - เอกสารอ้างองิ 2.2 การเรียงล�ำดับเน้อื หาตน้ ฉบบั บทความวชิ าการและปรทิ ศั น์ - ชอ่ื เรือ่ งภาษาไทย - ชือ่ เร่ืองภาษาองั กฤษ - ชอื่ ผู้เขยี น คณะ มหาวิทยาลยั หรือหนว่ ยงานสังกดั ภาษาไทย  - ชื่อผ้เู ขยี น คณะ มหาวิทยาลยั หรือหน่วยงานสังกดั ภาษาอังกฤษ - อีเมลล์ของผู้เขียน - บทคดั ย่อภาษาไทยและค�ำสำ� คัญ - บทคัดยอ่ ภาษาองั กฤษและคำ� ส�ำคญั - บทน�ำ - เนื้อหา - บทวิเคราะห์ วิจารณ์ และข้อเสนอแนะ - บทสรุป - เอกสารอ้างอิง 3. การอ้างองิ การอ้างอิงเอกสารใหใ้ ชร้ ะบบ APA Style (American Psychological Association Style) การอ้างอิงแทรกในเนอื้ หาใช้ระบบนามปี ระบุ (ชือ่ ผู้แต่ง, ปีท่ีพมิ พ:์ หน้า) การอา้ งอิงท้ายเรอ่ื งให้เร่มิ ตน้ ดว้ ย เอกสารภาษาไทยกอ่ นแลว้ ตามดว้ ยภาษาองั กฤษ และตอ้ งมรี ายการอา้ งองิ อยา่ งนอ้ ย 5 รายการ ตอ่ 1 บทความ ตัวอยา่ งการเขยี นเอกสารอา้ งอิง หนงั สือ ชอื่ ผู้แต่ง. (ปที พ่ี มิ พ์). ชื่อเร่อื ง. เมืองทพี่ ิมพ์: สำ� นักพมิ พ์. บทความในหนงั สือ ชอ่ื ผแู้ ตง่ บทความ. (ปที พ่ี มิ พ)์ . ชอ่ื บทความ. ใน ชอื่ ผแู้ ตง่ หนงั สอื (บรรณาธกิ าร), ชอ่ื หนงั สอื . (เลขหนา้ ทปี่ รากฏ ​บทความจากหนงั สือ หน้าใดถงึ หน้าใด). เมอื งท่ีพมิ พ:์ สำ� นกั พมิ พ์. 226 บณั ฑิตวิทยาลัย มหาวทิ ยาลยั สวนดุสติ

​​ วารสาร ชอื่ ผแู้ ตง่ . (ปที พี่ มิ พ)์ . ชอ่ื บทความ. ชอ่ื วารสาร. ปที ี่ (ฉบบั ท)ี่ , เลขหนา้ ของบทความจากหนา้ แรก-หนา้ สดุ ทา้ ยท่ี ป​ รากฏตพี ิมพ.์ ​​​​ รายงานการประชุม ช่ือผู้แตง่ . (ปีทพี่ ิมพ)์ . ชอ่ื เอกสารรายงานการประชุม. วนั เดอื นปที ่จี ดั . สถานท่จี ดั . เลขหน้า. ​​​​วทิ ยานพิ นธ์ ชอ่ื ผเู้ ขยี นวทิ ยานพิ นธ.์ ปที พี่ มิ พ.์ ชอ่ื วทิ ยานพิ นธ.์ วทิ ยานพิ นธป์ รญิ ญามหาบณั ฑติ หลกั สตู ร, ชอ่ื มหาวทิ ยาลยั . ชอ่ื ผเู้ ขยี นวทิ ยานพิ นธ.์ ปที พี่ มิ พ.์ ชอ่ื วทิ ยานพิ นธ.์ วทิ ยานพิ นธป์ รญิ ญาดษุ ฎบี ณั ฑติ หลกั สตู ร, ชอื่ มหาวทิ ยาลยั . ​​​​ หนังสือพมิ พ์ ช่อื ผ้แู ตง่ . (ป,ี เดือนที่พิมพ)์ . ชอ่ื บทความ. ชอื่ หนังสอื พิมพ์, ปีที่ (ฉบบั ที)่ , เลขหนา้ ทปี่ รากฏของบทความ. ​​​​สือ่ อนิ เตอรเ์ น็ต ชอ่ื ผู้แต่ง. (ปีที่พมิ พ์). ช่ือเรอื่ ง. (ออนไลน์) แหล่งทมี่ า URL: http://. (วันเดอื นปที สี่ บื คน้ ). การอา้ งอิงภาษาองั กฤษใช้เชน่ เดยี วกับภาษาไทย หมายเหตุ 1. ผูแ้ ตง่ ชาวไทยให้ใสช่ อื่ และนามสกุล โดยไมต่ อ้ งใส่คำ� หน้าช่ือ ยกเวน้ ราชทินนาม ฐานนั ดรศกั ด์ิ ให้นำ� ไปใส่ท้ายชอ่ื โดยใชเ้ คร่ืองหมายจุลภาคค่นั ระหว่างราชทนิ นามและฐานันดรศักดิ์ ส่วนสมณศักด์ิใหค้ งรปู ตามเดิม 2. กรณีผแู้ ตง่ 2 คน กรณภี าษาไทย ให้ใสช่ ื่อสองคนตามล�ำดบั ท่ีปรากฏ เชอ่ื มดว้ ยค�ำว่า “และ” สำ� หรับภาษาต่างประเทศ ใชเ้ ครื่องหมาย & คนั่ ระหวา่ งคนท่ี 1 และ คนท่ี 2 3. ผู้ เขียนต้นฉบับบทความสามารถดูรายละเอียดการเขียนอ้างอิงจากแหล่งข้อมูลเก่ียวกับ APA Style 6th edition 4. การใชภ้ าษาอังกฤษในบทความ 4.1 ชื่อเฉพาะ ใหข้ นึ้ ตน้ ดว้ ยอักษรตัวใหญท่ ุกคำ� เชน่ International Association for Impact Assessment 4.2 ภาษาองั กฤษทั้งในวงเลบ็ และนอกวงเล็บ ให้ใช้ตัวเลก็ เชน่ local knowledge, advanced model เป็นต้น 4.3 ตั ว ย่อให้ใช้อักษรตัวใหญ่ท้ังหมด และควรมีค�ำเต็มบอกไว้ในการใช้ครั้งแรก เช่น IAIA (International Association for Impact Assessment) 4.4 หัวข้อเรื่อง ใหข้ นึ้ ตน้ ด้วยอักษรตวั ใหญ่ 4.5 คำ� สำ� คัญ อักษรตัวแรกให้ใชต้ วั ใหญ่ 5. การส่งตน้ ฉบบั บทความ ผู้เขียนส่งตน้ ฉบบั บทความตามขอ้ ก�ำหนดของวารสาร จำ� นวน 3 ชุด พรอ้ มแผน่ ซดี ี 1 แผ่น เปน็ ไฟล์ไมโครซอฟเวิรด์ พรอ้ มหลกั ฐานการชำ� ระเงนิ คา่ ใช้จา่ ยในการตีพิมพ์ ส่งดว้ ยตนเอง หรือทางไปรษณีย์ ปีที่ 15 ฉบับท่ี 3 ประจ�ำ เดอื นกันยายน - ธันวาคม 2562 227

ลงทะเบยี นมาท่ี กองบรรณาธกิ ารวารสารวชิ าการบัณฑติ วิทยาลัยสวนดุสติ มหาวทิ ยาลยั สวนดุสิต บณั ฑติ วทิ ยาลยั มหาวิทยาลัยสวนดุสติ เลขที่ 145/9 อาคารเฉลิมพระเกยี รติ 50 พรรษา มหาวชริ าลงกรณ ถนนสโุ ขทยั เขตดสุ ติ กรุงเทพฯ 10300 6. การพจิ ารณาบทความ ต้นฉบบั บทความจะได้รบั การพจิ ารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิ (Peer Review) ภายนอก ในสาขาวิชา น้ั น  ๆ จ�ำนวนไม่น้อยกว่า 2 ท่าน โดยเป็นการประเมินแบบอ�ำพรางสองฝ่าย (Double Blind) และ สง่ ผลการพจิ ารณาแกผ่ เู้ ขียน เพ่อื ปรบั ปรุง แกไ้ ข บทความ หรือพิมพต์ ้นฉบบั ใหม่ แล้วแตก่ รณี เมอื่ บทความ ผา่ นการพจิ ารณาจากผทู้ รงคณุ วฒุ แิ ละกองบรรณาธกิ ารแลว้ ผเู้ ขยี นจงึ จะไดร้ บั ใบตอบรบั การตพี มิ พบ์ ทความใน วารสาร  ตน้ ฉบบั บทความจะไดร้ บั การตรวจสอบการละเมดิ ลิขสิทธ์อิ อนไลน์ ผา่ นโปรแกรมส�ำเรจ็ รูปออนไลน์ TurnItIn 7. ลขิ สทิ ธิ์ ต้ น ฉ บับบทความท่ีได้รับการตีพิมพ์ในวารสารวิชาการบัณฑิตวิทยาลัยสวนดุสิต มหาวิทยาลัย สวนดสุ ิต ถือเป็นลิขสิทธ์ิของมหาวิทยาลัยสวนดสุ ิต 8. ความรับผิดชอบ เน้ื อหาต้นฉบับที่ปรากฏในวารสารเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียน ทั้งนี้ ไม่รวมความผิดพลาด อนั เกิดจากเทคนคิ การพมิ พ์ ค​ ่าใชจ้ ่ายในการตพี ิมพ์ บทความละ 3,500 บาท ทง้ั น้ี วารสารจะไม่คืนเงินดังกลา่ วแก่ผ้เู ขียน หากไม่ได้รับการพิจารณาจาก ผู้ทรงคุณวฒุ ิ (Peer Review)  การโอนเงนิ ดังกลา่ วมาที ่ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขามหาวทิ ยาลยั ราชภัฏสวนดุสิต  บญั ชอี อมทรพั ย์ เลขท่บี ญั ชี 420-1-75977-0  ชอื่ บญั ช:ี  นางสาวองคอ์ ร สงวนญาติ และนางนวลปราง รกั ษาภกั ดี และนางสาวณชั ชา ถาวรบตุ ร  คำ� ชีแ้ จงสิทธิส์ ว่ นบุคคล ทางวารสาร ใหค้ วามสำ� คญั กบั ความเปน็ สว่ นตวั ของผเู้ ขา้ ใชร้ ะบบวารสารออนไลนน์ ้ี ดงั นนั้ ชอื่ นามสกลุ และอเี มล์ของผูเ้ ขา้ มาใช้ระบบวารสารออนไลนข์ องเรา จะไม่ถกู นำ� ไปใชเ้ พอ่ื ประโยชนอ์ ื่น นอกจากการติดต่อ สอื่ สารจากทางวารสารเทา่ นนั้ และจะไมถ่ กู นำ� ไปสง่ ตอ่ หรอื เผยแพรแ่ กบ่ คุ คลอน่ื ใดทไ่ี มเ่ กย่ี วขอ้ งกบั ทางวารสาร 228 บณั ฑติ วทิ ยาลัย มหาวทิ ยาลัยสวนดุสิต

ว า ร ส า ร วิ ช า ก า ร บั ณ ฑิ ต วิ ท ย า ลั ย ม ห า วิ ท ย า ลั ย ส ว น ดุ สิ ต วนั ท.่ี .......................เดอื น............................... พ.ศ........................... ขอ้ มลู ส่วนตัว สมคั รในนามหนว่ ยงาน......................................................................................................................................................................................................... สมคั รในนามบุคคล ชือ่ -สกุล............................................................................................................................................................................................ อาย.ุ .............................. ป ี อาชีพ.........................................................ตำ� แหนง่ .................................................................................... การศกึ ษา...................................................โทรศพั ท.์ ........................................................อเี มล.์ ........................................................................ สถานทจ่ี ัดสง่ วารสารบณั ฑิตวทิ ยาลยั ฯ ที่ทำ� งานปจั จบุ ัน....................................................................................................................................................................................................... เลขท่ี................................................................................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................................................................................. ที่อย่ปู ัจจบุ นั ................................................................................................................................................................................................................ เลขท่ี................................................................................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................................................................................. การสมัครสมาชิก 1 ปี 2 ฉบับ 500 บาท 2 ปี 4 ฉบับ 900 บาท การชำ� ระค่าสมาชกิ เงนิ สด โอนเงนิ ผา่ นธนาคารกรงุ ศรีอยุธยา สาขามหาวิทยาลยั ราชภัฏสวนดสุ ิต  ในนาม: นางสาวองคอ์ ร สงวนญาติ และนางนวลปราง รกั ษาภกั ดี และนางสาวณชั ชา ถาวรบตุ ร  บัญชอี อมทรัพย์ เลขที่บญั ชี 420-1-75977-0  กรณุ าแนบส�ำเนาการโอนเงินพรอ้ มใบสมคั ร หรือส่งแฟกซ์ 02-243-3408 หรือทาง E-mail: [email protected] สอบถามรายละเอยี ดได้ท่ี : บัณฑิตวิทยาลัย มหาวทิ ยาลยั สวนดุสิต 145/9 อาคารเฉลมิ พระเกียรติ 50 พรรษา มหาวชิราลงกรณ ถนนสุโขทัย เขตดสุ ติ กรุงเทพฯ 10300 โทรศพั ท:์ 02-241-7191-5 ตอ่ 4135 โทรสาร 02-243-3408 website : http://www.graduate.dusit.ac.th/journal


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook