373.246 สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา ส 691 ร รายงานการวจิ ยั เสน้ ทางการศกึ ษาดา้ นอาชวี ศกึ ษาและเทคโนโลยี สกศ., : 2548. 162 หนา้ ISBN : 974 - 559 -754 - 6 1. อาชวี ศกึ ษา - นโยบาย 2. การพฒั นานโยบาย - อาชวี ศกึ ษา 3. ชอ่ื เรอ่ื งเรอ่ื ง : รายงานการวจิ ยั เสน้ ทางการศกึ ษาดา้ นอาชวี ศกึ ษาและเทคโนโลยีสง่ิ พมิ พ์ สกศ. อนั ดบั ท่ี 49/2548ISBN 974 - 559 - 754 - 6พมิ พค์ รง้ั ท่ี 1 สงิ หาคม 2548จำนวนพิมพ์ 1,000 เลม่จัดพิมพ์เผยแพร่ กลุ่มนโยบายเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ สำนักนโยบายและแผนการศึกษา สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา ถนนสโุ ขทยั เขตดสุ ติ กรงุ เทพฯ 10300 โทร. 0 2668 7123 ตอ่ 2415, 2417 โทรสาร 0 2243 2787 Web Site : http://www.onec.go.thพิมพ์ที่ ห้างหุ้นส่วนจำกัดภาพพิมพ์ 296 ซอยจรญั สนทิ วงศ์ 40 ถนนจรญั สนทิ วงศ์ บางยข่ี นั เขตบางพลดั กรงุ เทพฯ 10700 โทร. 0 2433 0026 - 7 โทรสาร 0 2433 8587 รายงานฉบบั นเ้ี ปน็ ความเหน็ ทางวชิ าการซง่ึ เปน็ ของผวู้ จิ ยั สำนกั งานเลขาธกิ ารสภาการศกึ ษาไมจ่ ำเปน็ ตอ้ งเหน็ พอ้ งดว้ ย
........................................................ จากการประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2546 ที่ประชุมได้ให้ความเหน็ ชอบยทุ ธศาสตรก์ ารปฏริ ปู การอาชวี ศกึ ษาและฝกึ อบรม ซง่ึ เปน็ สว่ นหนง่ึ -ของขอ้ เสนอยทุ ธศาสตรก์ ารปฏริ ปู การศกึ ษา ทใ่ี หค้ วามสำคญั กบั การพฒั นาระบบ-การศึกษาด้านอาชีวศึกษาของประเทศเพื่อให้ผู้สำเร็จการศึกษาได้มีโอกาสศึกษาต่อในสถาบันที่เน้นด้านวิชาชีพชั้นสูง มีเกียรติ ค่าตอบแทน และศักดิ์ศรีไม่น้อยกว่าผู้สำเร็จการศึกษาสายอื่น สำนกั งานเลขาธกิ ารสภาการศกึ ษา ในฐานะหนว่ ยงานทม่ี หี นา้ ทจ่ี ดั ทำขอ้ เสนอ-นโยบายและวางแผนการศึกษาของประเทศ ได้พิจารณาเห็นความจำเป็นในการวิจัยและพัฒนานโยบายเส้นทางการศึกษาด้านอาชีวศึกษาและเทคโนโลยี จึงได้จ้างสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ โดยมี รศ.บรรเลง ศรนิลเป็นหัวหน้าคณะนักวิจัย และได้ปรึกษาหารือผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความรู้ความสามารถในดา้ นการอาชวี ศกึ ษาและเทคโนโลยี เพอ่ื ใหข้ อ้ คดิ เหน็ และขอ้ เสนอแนะ-เกี่ยวกับการจัดทำกรอบการศึกษาวิจัย รวมทั้งเมื่อดำเนินการวิจัยแล้วเสร็จ ได้มีการประชุมระดมความคิดเพื่อพิจารณาสรุปผลที่ได้จากการวิจัย เมื่อวันที่ 17กุมภาพันธ์ 2548 ซึ่งคณะผู้วิจัยได้นำข้อคิดเห็นจากที่ประชุมฯ ไปปรับปรุงรายงานให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น จากนั้นจะได้นำไปสังเคราะห์จัดทำข้อเสนอนโยบายเส้นทางการศึกษาด้านอาชีวศึกษาและเทคโนโลยีต่อไป สำนกั งานฯ ขอขอบพระคณุ ผทู้ รงคณุ วฒุ ทิ ไ่ี ดใ้ หข้ อ้ คดิ เหน็ และขอ้ เสนอแนะ-ทเ่ี ปน็ ประโยชนอ์ ยา่ งยง่ิ ตอ่ งานวจิ ยั และขอขอบคณุ รศ.บรรเลง ศรนลิ และคณะที่ได้ดำเนินการจัดทำ รายงานการวิจัยเส้นทางการศึกษาด้านอาชีวศึกษาและ-
เทคโนโลยี ฉบับนี้ ใหแ้ ล้วเสร็จสมบรู ณ์อยา่ งมีคณุ ภาพ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า-รายงานฉบับนี้ จะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนานโยบายเส้นทางการศึกษาด้าน-อาชีวศึกษาและเทคโนโลยี การศึกษาค้นคว้า อ้างอิง และการดำเนินงานของหนว่ ยงานทเ่ี กย่ี วขอ้ ง และผสู้ นใจโดยทว่ั ไป (นายอำรงุ จนั ทวานชิ ) เลขาธิการสภาการศึกษา
........................................................คำนำ หนา้สารบัญ กสารบัญตารางสารบัญแผนภูมิบทสรปุ สำหรบั ผบู้ รหิ ารบทท่ี 1 บทนำ 11.1 ความเป็นมาและความสำคัญของการวิจัย 11.2 วัตถุประสงค์ในการวิจัย 31.3 ขอบเขตของการวิจัย 31.4 คำถามในการวิจัย 41.5 ลักษณะและวิธีการวิจัย 41.6 คำจำกัดความในการวิจัย 51.7 ประโยชน์ในการวิจัย 61.8 แนวคดิ ทฤษฎี หลกั การ เกย่ี วกบั การอาชวี ศกึ ษาและเทคโนโลยี 6บทท่ี 2 สภาพและปัญหาการผลิตกำลังคนด้านอาชีวศึกษา 15และเทคโนโลยี2.1 สภาพและปัญหาการผลิตกำลังคนด้านอาชีวศึกษา 17และเทคโนโลยีของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา2.2 สภาพและปัญหาการผลิตกำลังคน 24ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล
2.3 สภาพและปัญหาการผลิตกำลังคน หน้า ของสถาบันเทคโนโลยีปทุมวัน 29 322.4 สภาพและปัญหาการผลิตกำลังคนด้านอาชีวศึกษา 35 และเทคโนโลยีของสถานศึกษาอาชีวศึกษาเอกชน 37 432.5 สภาพและปัญหาการผลิตกำลังคนด้านอาชีวศึกษา และเทคโนโลยีของสถาบันอุดมศึกษาเฉพาะทาง2.6 สภาพและปัญหาการผลิตกำลังคนด้านอาชีวศึกษา และเทคโนโลยที ม่ี กี ารศกึ ษาวจิ ยั โดยองคก์ รตา่ ง ๆ2.7 สรุปปัญหาการผลิตกำลังคนด้านอาชีวศึกษา และเทคโนโลยขี องประเทศไทยบทท่ี 3 กรณศี กึ ษาเส้นทางการอาชวี ศึกษาและเทคโนโลยีของประเทศตา่ งๆ 463.1 ประเทศออสเตรเลีย 463.2 ประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี 563.3 ประเทศสหราชอาณาจักร 623.4 ประเทศสหรัฐอเมริกา 703.5 ประเทศญ่ีปุ่น 763.6 ประเทศสาธารณรัฐเกาหลี 823.7 ประเทศสาธารณรฐั สงิ คโปร์ 893.8 สรุปการอาชีวศึกษาและฝึกอบรมอาชีพของประเทศ 99ทเ่ี ปน็ กรณศี กึ ษา 7 ประเทศ
บทท่ี 4 นโยบายและมาตรการสรา้ งความเชอ่ื มโยงในการผลิตกำลงั คน หนา้ ด้านอาชีวศึกษาและเทคโนโลยีของประเทศไทย 112 4.1 บทบาทของหนว่ ยผลติ ทป่ี รบั เปลย่ี นตามทศิ ทาง การปฏริ ปู การศกึ ษา 112 4.2 ยุทธศาสตร์การปฏิรูปอาชีวศึกษา 4.3 ยุทธ์ศาสตร์การปฏิรูปอุดมศึกษาของประเทศไทย 114 122บทท่ี 5 ข้อเสนอนโยบายเส้นทางการศึกษาด้านอาชีวศึกษาและเทคโนโลยี 1275.1 การปรับเปลี่ยนแนวการจัดการศึกษาด้านอาชีวศึกษา 127และเทคโนโลยี เพอ่ื เพม่ิ คณุ ภาพการศกึ ษา ผลติ ภาพและขีดความสามารถในการแข่งขัน5.2 การสร้างความเข้มแข็งให้สถาบันการศึกษาอาชีวศึกษา 135และเทคโนโลยี5.3 การสร้างระบบผู้สำเร็จการศึกษาด้านอาชีวศึกษา 148และเทคโนโลยีบทท่ี 6 บทสรปุ 150 6.1 สภาพปัญหาและการผลิตกำลังคนด้านอาชีวศึกษา 150 และเทคโนโลยใี นประเทศไทย 6.2 เส้นทางการอาชีวศึกษาของต่างประเทศ 151 6.3 ข้อเสนอแนะของคณะผู้วิจัย 152บรรณานุกรม 155คณะผู้จัดทำ 162
........................................................ตารางท่ี หนา้ 3.1 สรุปการอาชีวศึกษาและการฝึกอบรมอาชีพของประเทศ 100 ทเ่ี ปน็ กรณศี กึ ษา 7 ประเทศ 5.1 เปรียบเทียบแนวทางการจัดการอาชีวศึกษาในอดีต 141 ปจั จบุ นั และอนาคต
........................................................แผนภมู ทิ ่ี ระบบการศึกษาของประเทศออสเตรเลีย หน้า 3.1 ระบบการศึกษาของประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี 52 3.2 ระบบการศึกษาของประเทศสหราชอาณาจักร 63 3.3 ระบบการศึกษาของประเทศสหรัฐอเมริกา 69 3.4 ระบบการศึกษาของประเทศญี่ปุ่น 75 3.5 ระบบการศึกษาของประเทศสาธารณรัฐเกาหลี 81 3.6 ระบบการศึกษาของประเทศสาธารณรัฐสิงคโปร์ 88 3.7 เส้นทางการอาชีวศึกษาของไทย 98 5.1 การเชื่อมโยงระหว่างการศึกษาขั้นพื้นฐาน 131 5.2 การอาชวี ศกึ ษา และการอดุ มศกึ ษา 133 ความเชื่อมโยงของการศึกษาในระบบ 5.3 การศกึ ษานอกระบบ และการศกึ ษาตามอธั ยาศยั 134 (ระบบเทยี บโอน) และคณุ วฒุ วิ ชิ าชพี 5.4 สมรรถนะของครูอาชีวศึกษาและเทคโนโลยี 144 5.5 แผนภูมิสามมิติแสดงองค์ประกอบของสมรรถภาพ 146 ครชู า่ ง 12 ประการ 5.6 รูปแบบการผลิตครูอาชีวศึกษาและเทคโนโลยี 147
........................................................ การอาชีวศึกษาและเทคโนโลยีเป็นการจัดการศึกษาเพื่อเตรียมกำลังคนระดับต้นและระดับกลางด้านเทคนิคในสาขาต่าง ๆ ให้ตรงกับความต้องการของ-สถานประกอบการและตลาดแรงงาน การจัดการอาชีวศึกษาและเทคโนโลยีเพื่อ-พัฒนาประเทศไปสู่การพึ่งตนเองทางเทคโนโลยีได้นั้นจะต้องมีกระบวนการสรา้ งเทคโนโลยอี ยา่ งครบวงจร ตง้ั แตก่ ารออกแบบ การวจิ ยั และพฒั นา การสรา้ ง-ต้นแบบ การถ่ายทอดและดัดแปลงเทคโนโลยีสู่กระบวนการผลิต ทั้งในภาค-อุตสาหกรรม และการบริการ สถานศึกษาจึงต้องปรับเปลี่ยนทิศทางการผลิตกำลงั คนดา้ นอาชวี ศกึ ษาและเทคโนโลยใี หส้ ามารถผลติ กำลงั คนทม่ี คี ณุ ภาพ เพอ่ื -ตอบสนองความต้องการของสถานประกอบการและตลาดแรงงาน ในการประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2546 ที่ประชุมได้มีข้อคิดเห็นเกี่ยวกับการพัฒนาระบบการศึกษาด้านอาชีวศึกษาของประเทศ เพื่อให้ผู้สำเร็จการศึกษามีโอกาสศึกษาต่อในสถาบันที่เน้นด้านวิชาชีพชั้นสูง มีเกียรติค่าตอบแทน และศักดิ์ศรีไม่น้อยกว่าผู้สำเร็จการศึกษาด้านอื่น และเห็นควรให้มีการทบทวนนโยบาย และแนวทางการจัดการศึกษาด้านอาชีวศึกษาให้ชัดเจนมากยง่ิ ขน้ึ ประกอบกบั ในการประชมุ ปรกึ ษาหารอื กบั ผทู้ รงคณุ วฒุ แิ ละผแู้ ทนหนว่ ยงาน-ทเ่ี กย่ี วขอ้ ง โดยสำนกั งานเลขาธกิ ารสภาการศกึ ษา เมอ่ื วนั ท่ี 1 ตลุ าคม 2546 ท่ีประชมุ ตา่ งเหน็ ตรงกนั วา่ การพฒั นาการอาชวี ศกึ ษาของประเทศ จำเปน็ ตอ้ งมกี าร-ปฏริ ูปท้งั ระบบ ทัง้ ด้านวิชาการและวชิ าชพี ความเชื่อมโยงของระบบการผลติ และการพัฒนากำลังคน การพัฒนาคุณภาพด้านการเรียนการสอน โดยเน้นการสร้าง-ความร่วมมือกับสถานประกอบการ ภาคธุรกิจเอกชน และการสร้างเครือข่าย ก
ระหว่างสถาบันในพื้นที่ใกล้เคียง เป็นต้น จึงมีความจำเป็นต้องดำเนินการวิจัยเพื่อจัดทำข้อเสนอนโยบายเส้นทางการศึกษาด้านอาชีวศึกษาและเทคโนโลยีของ-ประเทศไทย วัตถุประสงค์ในการวจิ ยั มดี งั น้ี 1. เพอ่ื ศกึ ษาเกย่ี วกบั สถานภาพ ปญั หา และอปุ สรรคการจดั การศกึ ษาดา้ น-อาชีวศึกษาและเทคโนโลยี 2. เพื่อศึกษาเปรียบเทียบระบบ และเส้นทางการศึกษาด้านอาชีวศึกษาและเทคโนโลยใี นตา่ งประเทศ 3. เพอ่ื จดั ทำขอ้ เสนอนโยบายเสน้ ทางการศกึ ษาดา้ นอาชวี ศกึ ษาและเทคโนโลยี ขอบเขตการวจิ ัย 1. ศกึ ษาเอกสารและงานวจิ ยั ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั สถานภาพ ปญั หา และอปุ สรรค-การจัดการศึกษาด้านอาชีวศึกษาและเทคโนโลยีของไทย และของต่างประเทศรวม 7 ประเทศ ไดแ้ ก่ ประเทศออสเตรเลยี สหราชอาณาจกั ร สหพนั ธส์ าธารณรฐั -เยอรมนี สหรฐั อเมรกิ า ญป่ี นุ่ สาธารณรฐั เกาหลี และสาธารณรฐั สงิ คโปร์ 2. ศึกษาข้อมูลการจัดการศึกษาด้านอาชีวศึกษาและเทคโนโลยี โดยเน้นช่างอุตสาหกรรมในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ประกาศนียบัตรวิชาชีพชน้ั สงู (ปวส.) และปรญิ ญาตรี สำหรบั สถานศกึ ษาในสงั กดั สำนกั งานคณะกรรมการ-การอาชีวศึกษา สถานศึกษาอาชีวศึกษาเอกชน สถาบันเทคโนโลยีราชมงคลสถาบันเทคโนโลยีปทุมวัน และสถาบันอุดมศึกษาเฉพาะทาง โดยศึกษาในช่วงเดอื นมถิ นุ ายน - พฤศจกิ ายน 2547 การวจิ ยั ครง้ั นเ้ี นน้ การศกึ ษาจากเอกสาร งานวจิ ยั ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั การอาชวี ศกึ ษา-และเทคโนโลยีทั้งในประเทศและต่างประเทศ ตลอดจนการสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญชาวตา่ งประเทศ การสอบถามขอ้ มลู โดยใชแ้ บบสอบถาม และการสมั ภาษณบ์ คุ ลากร-จากสถานประกอบการอตุ สาหกรรม แลว้ นำมาวเิ คราะห/์ สงั เคราะหเ์ พอ่ื จดั ทำเปน็ - ข
ร่างข้อเสนอนโยบายเส้นทางการศึกษาด้านอาชีวศึกษาและเทคโนโลยี จากนั้นจึงจัดประชุมระดมความคิดเพื่อรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากผู้เข้าร่วม-ประชุม ก่อนจัดทำเป็นรายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์นำเสนอสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา ผลการวจิ ยั สรปุ ในภาพรวมไดด้ งั น้ี 1. เสน้ ทางการอาชวี ศกึ ษาและเทคโนโลยขี องตา่ งประเทศ ซง่ึ ทำการศกึ ษา-รวม 7 ประเทศ สรุปได้ว่า ประเทศต่าง ๆ มีระบบและวิธีดำเนินงานที่มีความหลากหลายแตกต่างกัน ส่วนใหญ่สามารถศึกษาต่อได้ในระดับปริญญาตรีทั้งโดยตรงและโดยอ้อม ขึ้นอยู่กับข้อตกลงระหว่างสถาบันอาชีวศึกษาและสถาบันอุดมศึกษา บางประเทศให้เฉพาะผู้ที่มีผลการเรียนดีตามเกณฑ์เท่านั้นที่สามารถ-ศกึ ษาตอ่ ระดบั สงู ได้ และสง่ิ ดงึ ดดู ใจใหค้ นเลอื กเรยี นวชิ าชพี คอื การใชร้ ะยะเวลา-ศกึ ษาและฝกึ อบรมสน้ั กวา่ และมรี ายไดด้ ี 2. สภาพปัญหาการผลิตกำลังคนด้านอาชีวศึกษาและเทคโนโลยีของประเทศไทย โดยศกึ ษาสถานศกึ ษาและหนว่ ยงานตน้ สงั กดั ไดแ้ ก่ สำนกั งานคณะ-กรรมการการอาชีวศึกษา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล สถาบันเทคโนโลยีปทมุ วนั สถาบนั อาชวี ศกึ ษาเอกชน และสถาบนั อดุ มศกึ ษาเฉพาะทาง รวมทง้ั ขอ้ มลู -ทไ่ี ดร้ บั จากสถานประกอบการอตุ สาหกรรม สามารถนำมาสรปุ ในภาพรวมไดด้ งั น้ี 2.1 ด้านทิศทางและเป้าหมายการพัฒนา ความพรอ้ มในการสนบั สนนุ -ด้านกฎหมายยังมีข้อจำกัด ทิศทางและเป้าหมายการพัฒนากำลังคนโดยรวมไม่ชดั เจน การขยายสถานศกึ ษาเรว็ เกนิ ไป ทำใหไ้ ดร้ บั การสนบั สนนุ ดา้ นงบประมาณ-จากรฐั ไมเ่ พยี งพอ ไมส่ ามารถเปดิ หลกั สตู รใหมท่ เ่ี ปน็ ความตอ้ งการไดอ้ ยา่ งทนั ทว่ งที 2.2 ดา้ นคร-ู อาจารยแ์ ละบคุ ลากรสนบั สนนุ คร-ู อาจารยบ์ างสาขามจี ำนวน-นอ้ ยตอ้ งรบั ภาระงานสอนมาก แตบ่ างสาขามจี ำนวนมากเกนิ ความตอ้ งการ คณุ ภาพ-ครไู มส่ อดคลอ้ งกบั ภารกจิ อตั ราการเขา้ -ออกของคร-ู อาจารยค์ อ่ นขา้ งสงู โดยเฉพาะ- ค
สถานศึกษาเอกชน ครู-อาจารย์ยังไม่ได้รับการสนับสนุนอย่างจริงจังและต่อเนื่องอัตรากำลังบุคลากรสายสนับสนุนการสอนยังขาดแคลน 2.3 ดา้ นผเู้ รยี น ผเู้ รยี นสว่ นหนง่ึ มพี น้ื ฐานความรตู้ ำ่ กวา่ เกณฑม์ าตรฐานและผู้สมัครเขา้ ศึกษาต่อมแี นวโนม้ ลดลง 2.4 ดา้ นผจู้ บการศกึ ษา ผจู้ บอาชวี ศกึ ษามคี วามรู้ ทกั ษะ และคณุ ลกั ษณะ-ทจ่ี ำเปน็ ตอ่ การปฏบิ ตั งิ านยงั ไมส่ อดคลอ้ งกบั ความตอ้ งการของสถานประกอบการจำนวนผู้สำเร็จการศึกษาด้านอาชีวศึกษายังไม่สอดคล้องกับเป้าหมายในการผลิต-และการมีงานทำเท่าที่ควร หน่วยงานที่รับบุคลากรเข้าทำงานจะเน้นวุฒิบัตรมากกว่าเน้นสมรรถนะในการปฏิบัติงานจริง 2.5 ดา้ นเครอ่ื งมอื และวสั ดฝุ กึ เครอ่ื งมอื เครอ่ื งจกั ร และอปุ กรณก์ ารฝกึ -เกา่ ลา้ สมยั เสอ่ื มคณุ ภาพ สอ่ื การเรยี นการสอนขาดแคลน มงี บประมาณวสั ดฝุ กึ -ไม่เพียงพอ ส่งผลต่อการเรียน การฝึกทักษะ การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี-สารสนเทศทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั การอาชวี ศกึ ษายงั มจี ำกดั และไมม่ ปี ระสทิ ธภิ าพเทา่ ทค่ี วร 2.6 ด้านความร่วมมือกับสถานประกอบการ ความร่วมมือกับสถาน-ประกอบการในการจดั การเรยี นการสอนยงั มจี ำกดั การระดมทรพั ยากรการศกึ ษา-จากภาคสว่ นตา่ ง ๆ ไมจ่ รงิ จงั และตอ่ เนอ่ื ง 2.7 ด้านงานวิจัย ผลการวิจัยด้านการสนับสนุนการพัฒนาระบบการ-อาชวี ศกึ ษายงั มนี อ้ ย และการวจิ ยั พฒั นา สรา้ งสรรคส์ ง่ิ ประดษิ ฐท์ างดา้ นอาชวี ศกึ ษา-ยังมีข้อจำกัด 2.8 ด้านมาตรฐานวิชาชีพ ระบบรองรับการกำหนดมาตรฐานของชาติเกี่ยวกับอาชีพและวิชาชีพยังไม่ชัดเจน จากสภาพปัจจุบันและปัญหาการผลิตกำลังคนด้านอาชีวศึกษาและ-เทคโนโลยีในสถานศึกษาของรัฐและเอกชนในภาพรวมของประเทศ จำเป็นต้องไดร้ บั การแกไ้ ขอยา่ งเรง่ ดว่ นจากรฐั บาล เพอ่ื ใหก้ ารผลติ กำลงั คนมคี ณุ ภาพมาตรฐานและสอดคล้องกับความต้องการของสถานประกอบการ ง
ระดับอุดมศึกษา ป.ตรี ปริญญาและสูงกว่า ป.ตรี เทคโนโลยี ป.ตรี -------- - ทวภิ าคี - วศบ. - ทล.บ. - วทบ. - อสบ.ระดับอุดมศึกษา W ระบบ ่ตำกว่าปริญญา ปวส. ปวส. คณุ วฒุ ิ วชิ าชพี - เทคนคิ วศิ วกรรม - เทคนคิ อตุ สาหกรรม -------- (TVQ) - ทวภิ าคี W มธั ยมศกึ ษา ปวช. ปวช. ตอนปลาย - เตรยี มวศิ วกรรม - ชำนาญงาน -------- - ทวภิ าคีระดับ มธั ยมศกึ ษาตอนตน้ ้ืพนฐาน ข้อเสนอแนะจากการวิจัย จากการศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลของสถานศึกษาและหนว่ ยงานทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั การอาชวี ศกึ ษาและเทคโนโลยี ผนวกกบั การศกึ ษา-วิเคราะห์เส้นทางการอาชีวศึกษาและเทคโนโลยีของต่างประเทศรวม 7 ประเทศดงั กลา่ ว คณะผวู้ จิ ยั ขอเสนอแนะแนวทางการจดั อาชวี ศกึ ษาและเทคโนโลยสี ำหรบั - จ
ประเทศไทยดงั น้ี 1. การจัดการศึกษาและฝึกอาชีพต้องมีความหลากหลาย เพื่อให้ผู้ที่ศึกษาด้านอาชีวศึกษาและเทคโนโลยีมีโอกาสและสามารถเรียนต่อสาขาเทคโนโลยีและ-วศิ วกรรมในระดบั อดุ มศกึ ษาไดห้ ลายแนวทาง (ดงั แสดงในแผนภมู )ิ ดงั น้ี 1.1 การจดั การศกึ ษาระดบั ปวช. ควรจดั เปน็ 2 แนวทาง คอื แนวทาง-เพอ่ื การศกึ ษาตอ่ ระดบั สงู และแนวทางเพอ่ื เปน็ ผชู้ ำนาญงาน 1.2 การจัดการศึกษาระดับ ปวส. ยังคงจัดเป็น 2 แนวทาง ได้แก่แนวทางชา่ งเทคนคิ วศิ วกรรม และแนวทางชา่ งเทคนคิ อตุ สาหกรรม 1.3 การจดั การศกึ ษาระดบั ปรญิ ญาตรี จดั เปน็ 3 แนวทางคอื แนวทาง-วศิ วกรรมศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์ และอตุ สาหกรรม แนวทางเทคโนโลยี และแนวทางทวภิ าคี ซง่ึ ทง้ั หมดนส้ี ามารถเทยี บโอนกบั ระบบคณุ วฒุ วิ ชิ าชพี ได้ 2. ข้อเสนอทางเลอื กสำหรบั การศกึ ษาดา้ นอาชวี ศกึ ษาและเทคโนโลยี 2.1 แนวทางศึกษาต่อเนื่อง ต้องจบ ปวช. ระดับคะแนนเฉลี่ยวิชา-คณติ ศาสตรแ์ ละวทิ ยาศาสตร์ 2.5 ขน้ึ ไปจงึ จะศกึ ษาตอ่ ปรญิ ญาตรสี ายวศิ วกรรม-ศาสตร์/วิทยาศาสตร์ หรือระดับ ปวส. สายช่างเทคนิควิศวกรรมได้โดยตรงแลว้ จงึ สามารถตอ่ ยอดระดบั ปรญิ ญาสายอตุ สาหกรรมศาสตร์ หรอื สายเทคโนโลย-ีเมอ่ื มปี ระสบการณก์ ารทำงานแลว้ ถา้ คะแนนเฉลย่ี ตำ่ กวา่ 2.5 ใหศ้ กึ ษาตอ่ ระดบัปวส. สายชา่ งเทคนคิ อตุ สาหกรรม 2.2 แนวทางการผ่านประสบการณ์ก่อนศึกษาต่อ สำหรับผู้ที่จบ ปวช.สามารถเขา้ ศกึ ษาตอ่ ระดบั ปวส. ได้ และเมอ่ื จบระดบั ปวส. แลว้ สามารถเขา้ ทำงานตามตอ้ งการ แตถ่ า้ ตอ้ งการศกึ ษาตอ่ ระดบั ปรญิ ญาตรสี ายทวภิ าคี จะตอ้ งผา่ นการ-ทำงานในสายอาชีพมาแล้วไม่น้อยกว่า 2 ปี จึงจะมีสิทธิ์สมัครสอบเข้าศึกษาต่อ ยกเว้นผู้ที่จบ ปวส. ทวิภาคีไม่จำเป็นต้องมีประสบการณ์ในการทำงาน 2 ปีตามที่กำหนด แต่ต้องเรียนวิชาทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพิ่มเติมทั้งนี้เพื่อให้ผู้ที่จะศึกษาระดับปริญญาตรีมีฐานความรู้เพียงพอที่จะศึกษาไม่ว่าจะ ฉ
เป็นสายทวิภาคี หรือสายเทคโนโลยี รวมทั้งมีประสบการณ์ในการปฏิบัติงานเพียงพอก่อนที่จะเข้าศึกษาระดับปริญญาตรี 3. ให้มีการเทียบโอนคุณวุฒิวิชาชีพด้านอาชีวศึกษาและเทคโนโลยี ให้มีตำแหนง่ ศกั ดศ์ิ รี และรายไดเ้ ทยี บเทา่ ผจู้ บปรญิ ญา 4. ควรมีมาตรการจูงใจ และส่งเสริมให้สถานประกอบการรับนักศึกษาเข้าฝกึ ปฏบิ ตั งิ าน อาจเปน็ มาตรการทางดา้ นการลดหยอ่ นภาษี การสง่ เสรมิ สนบั สนนุ -ทางวชิ าการ ครฝู กึ และสอ่ื การสอน เปน็ ตน้ 5. พัฒนาระบบความร่วมมือทางวิชาการระหว่างสถานศึกษาและสถาน-ประกอบการ ใหภ้ าคเอกชนเขา้ ใจและเหน็ ประโยชนท์ จ่ี ะไดร้ บั และใหค้ วามรว่ มมอื -ในการจดั ฝกึ บคุ ลากรในระดบั ตา่ ง ๆ รว่ มกนั ไมว่ า่ จะเปน็ นกั ศกึ ษา คณาจารย์ และ-บุคลากรจากสถานประกอบการโดยตรง 6. ส่งเสริมการพัฒนาระบบคุณวุฒิวิชาชีพ เพื่อให้มีการเทียบโอนคุณวุฒิ-วิชาชีพให้กับแรงงานทุกระดับในสถานประกอบการ ซึ่งจะเป็นประโยชน์โดยตรงทั้งในการจัดการอาชีวศึกษาและฝึกอบรมทางเทคโนโลยี 7. รณรงค์ และสง่ เสรมิ อยา่ งจรงิ จงั ใหม้ กี ารประชาสมั พนั ธเ์ พอ่ื ปรบั เปลย่ี น-เจตคตใิ นการศกึ ษาวชิ าชพี ทง้ั ในกลมุ่ นกั เรยี น นกั ศกึ ษา ผปู้ กครอง และบคุ ลากร-อน่ื ๆ ทเ่ี กย่ี วข้อง ตลอดจนสงั คมทว่ั ไป 8. รัฐบาลควรมีนโยบายเร่งด่วนในการสร้างเครือข่ายอาชีวศึกษาและ-เทคโนโลยี โดยใหอ้ ตุ สาหกรรมจงั หวดั ในแตล่ ะจงั หวดั เปน็ หนว่ ยประสานระหวา่ ง-สถานศกึ ษาและสถานประกอบการในการรบั นกั เรยี นนกั ศกึ ษาเขา้ ฝกึ งานในระบบ-ทวิภาคี/ระบบสหกิจศึกษา รวมทั้งเร่งประสานงานกับองค์กรเอกชน เช่นสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าไทย สภาอุตสาหกรรมจังหวัดและกลุ่มสมาคมอุตสาหกรรมประเภทต่าง ๆ เป็นต้น ให้เข้ามามีส่วนร่วมอย่างจริงจังในการผลิตกำลังคนที่มีคุณภาพ ให้สอดคล้องกับความต้องการของสถานประกอบการ ช
........................................................ 1.1 ความเปน็ มาและความสำคญั ของการวจิ ยั จากนโยบายของรัฐบาลในการพัฒนาประเทศสู่สังคมเศรษฐกิจฐานความรู้โดยเนน้ กลมุ่ อตุ สาหกรรมเปา้ หมาย (Niche Market) ทป่ี ระเทศมศี กั ยภาพและมคี วามไดเ้ ปรยี บในการแขง่ ขนั และกำหนดกลยทุ ธท์ ส่ี ำคญั ประการหนง่ึ คอื การผลติ -และพัฒนากำลังคนที่มีคุณภาพและสมรรถนะสูง เพื่อเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าว การศึกษาด้านอาชีวศึกษาและเทคโนโลยีจึงนับว่ามีบทบาทสำคญั เพราะเปน็ กลไกหลกั ในการพฒั นาตามทศิ ทางดงั กลา่ ว แตใ่ นอดตี -ที่ผ่านมาการพัฒนากำลังคนด้านอาชีวศึกษาของประเทศยังมีปัญหาหลายด้านได้แก่ การขาดทิศทางและเป้าหมายการผลิตและพัฒนาโดยรวม มีผลให้การจัดการศึกษาเป็นไปตามความพร้อมของสถานศึกษา ไม่สอดคล้องกับความต้องการของบคุ คลและประเทศชาติ กระแสปรญิ ญานยิ มในหมเู่ ยาวชนและประชาชนทว่ั ไป-ทำให้สัดส่วนผู้เรียนด้านอาชีวศึกษามีน้อย ก่อให้เกิดปัญหาการขาดแคลนกำลังแรงงานระดบั กลางอยา่ งรนุ แรงและตอ่ เนอ่ื ง นอกจากน้ี การเพม่ิ จำนวนสถานศกึ ษา-ประเภทอาชวี ศกึ ษาของรฐั ทำใหจ้ ำนวนผเู้ รยี นอาชวี ศกึ ษาเอกชนมแี นวโนม้ ลดลงส่งผลต่อการลงทุนของภาคเอกชน รวมทั้งคุณภาพและสมรรถนะของกำลังคนที่ผลติ ยงั ไมส่ ามารถสนองความตอ้ งการของผใู้ ชห้ รอื สถานประกอบการไดเ้ ทา่ ทค่ี วรเปน็ ตน้ ⌦⌫⌦⌫
การจัดการอาชีวศึกษาเพื่อพัฒนาประเทศไปสู่การพึ่งตนเองทางเทคโนโลยีได้นั้น จะต้องมีกระบวนการสร้างเทคโนโลยีอย่างครบวงจร ตั้งแต่การออกแบบการวิจัยและพัฒนา การสร้างต้นแบบ การถ่ายทอดและดัดแปลงเทคโนโลยีสู่กระบวนการผลิต ทั้งในภาคอุตสาหกรรม เกษตรกรรมทันสมัย และการบริการดังนั้น สถานศึกษาจึงต้องปรับเปลี่ยนทิศทางการผลิตกำลังคนด้านอาชีวศึกษาและเทคโนโลยี จากทักษะในด้านปฏิบัติการซ่อมบำรุงรักษามาเป็นกำลังคนที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญในการผลิต การดัดแปลง และสร้างสิ่งประดิษฐ์โดยใชเ้ ทคโนโลยที เ่ี หมาะสม นอกจากน้ี การจดั การเรยี นการสอนใหม้ ปี ระสทิ ธภิ าพได้นั้น ผู้บริหารสถานศึกษาจำเป็นต้องทราบถึงหลักการบริหารงานที่เป็นระบบ และตอ้ งจดั สภาพแวดลอ้ มของโรงฝกึ งานและหอ้ งปฏบิ ตั กิ ารในสถานศกึ ษาใหค้ ลา้ ยกบั -สถานประกอบการ ทั้งนี้เพื่อให้การสอนวิชาชีพในแต่ละสาขาวิชาบรรลุเป้าหมายและวตั ถปุ ระสงคท์ ว่ี างไว้ อยา่ งไรกด็ ี ผบู้ รหิ ารสถานศกึ ษาจะตอ้ งคำนงึ ถงึ ความพรอ้ ม-ของทรพั ยากรการผลติ ตา่ ง ๆ เชน่ ผสู้ อน เครอ่ื งมอื เครอ่ื งจกั รและอปุ กรณก์ ารสอนวัสดุฝึก งบประมาณ โรงฝึกงาน ห้องสมุด เป็นต้น โดยต้องมีการจัดการเรียนการสอนใหเ้ หมาะสมกบั จำนวนนกั ศกึ ษา และมคี วามรว่ มมอื กบั สถานประกอบการ-ในการจัดการเรียนการสอน จึงจะทำให้สามารถผลิตกำลังคนที่มีคุณภาพและตอบสนองความต้องการของสถานประกอบการได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ (ธีรวุฒิ,2542 : 32) ในการประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2546 ที่ประชุมได้มีข้อคิดเห็นเกี่ยวกับการพัฒนาระบบการศึกษาด้านอาชีวศึกษาของประเทศ เพื่อให้ผู้สำเร็จการศึกษามีโอกาสศึกษาต่อในสถาบันที่เน้นด้านวิชาชีพชั้นสูง มีเกียรติค่าตอบแทน และศักดิ์ศรีไม่น้อยกว่าผู้สำเร็จการศึกษาด้านอื่น และเห็นควรให้มีการทบทวนนโยบาย และแนวทางการจดั การศกึ ษาดา้ นอาชวี ศกึ ษาใหช้ ดั เจนยง่ิ ขน้ึประกอบกับในการประชุมปรึกษาหารือกับผู้ทรงคุณวุฒิและผู้แทนหน่วยงานที่ ⌦⌫⌦⌫
เกี่ยวข้อง โดยสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2546ที่ประชุมต่างเห็นตรงกันว่าการพัฒนาการอาชีวศึกษาของประเทศจำเป็นต้องมีการปฏิรูปทั้งระบบทั้งด้านวิชาการและวิชาชีพ ความเชื่อมโยงของระบบการผลิตและพฒั นากำลงั คน การพฒั นาคณุ ภาพดา้ นการเรยี นการสอน โดยเนน้ การสรา้ ง-ความร่วมมือกับสถานประกอบการ ภาคธุรกิจเอกชน และการสร้างเครือข่ายระหวา่ งสถาบนั ในพน้ื ทใ่ี กลเ้ คยี ง เปน็ ตน้ จงึ มคี วามจำเปน็ ตอ้ งดำเนนิ การวจิ ยั เพอ่ื -จัดทำข้อเสนอนโยบายเส้นทางการศึกษาด้านอาชีวศึกษาและเทคโนโลยี 1.2 วตั ถปุ ระสงคใ์ นการวจิ ยั การวจิ ยั ครง้ั นม้ี วี ตั ถปุ ระสงคใ์ นการวจิ ยั ดงั น้ี 1. เพื่อศึกษาเกี่ยวกับสถานภาพ และปัญหาอุปสรรคการจัดการศึกษาด้านอาชีวศึกษาและเทคโนโลยี 2. เพื่อศึกษาเปรียบเทียบระบบ และเส้นทางการศึกษาด้านอาชีวศึกษาในตา่ งประเทศ 3. เพื่อจัดทำข้อเสนอนโยบายเส้นทางการศึกษาด้านอาชีวศึกษาและเทคโนโลยีของประเทศไทย 1.3 ขอบเขตของการวจิ ยั การวจิ ยั ครง้ั นม้ี ขี อบเขตของการวจิ ยั ดงั น้ี 1. ศึกษาเอกสาร รายงานการวิจัยที่เกี่ยวข้องกับสถานภาพ และปัญหาอุปสรรคการจัดการศึกษาด้านอาชีวศึกษาและเทคโนโลยีของไทย และของต่างประเทศรวม 7 ประเทศทั้งในทวีปเอเซีย ทวีปยุโรป ทวีปอเมริกา และทวีปออสเตรเลีย ⌦⌫⌦⌫
2. ศกึ ษาขอ้ มลู การศกึ ษาดา้ นอาชวี ศกึ ษาและเทคโนโลยี เนน้ ชา่ งอตุ สาหกรรม-ในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.)และปรญิ ญาตรี สำหรบั สถานศกึ ษาในสงั กดั สำนกั งานคณะกรรมการการอาชวี ศกึ ษาสถาบนั เทคโนโลยรี าชมงคล สถาบนั เทคโนโลยปี ทมุ วนั รวมทง้ั สถานศกึ ษาเอกชน-อาชีวศึกษา และสถาบันอุดมศึกษาเฉพาะทางต่ำกว่าปริญญา และปริญญาตรีที่เกย่ี วขอ้ ง โดยศกึ ษาในชว่ งเดอื นมถิ นุ ายน - พฤศจกิ ายน 25471.4 คำถามในการวจิ ยั การวจิ ยั ครง้ั นม้ี งุ่ ตอบคำถามการวจิ ยั คอื 1. สภาพการจัดการศึกษาด้านอาชีวศึกษาและเทคโนโลยีในประเทศไทยเป็นอย่างไร 2. ปัญหาและอุปสรรคที่สำคัญในการจัดการศึกษาด้านอาชีวศึกษาและ-เทคโนโลยีในประเทศไทยมอี ะไรบ้าง 3. เส้นทางการศึกษาด้านอาชีวศึกษาและเทคโนโลยีของต่างประเทศ 7ประเทศเป็นอย่างไร 4. นโยบายเส้นทางการศึกษาด้านอาชีวศึกษาและเทคโนโลยีของประเทศไทยควรเป็นอย่างไร1.5 ลกั ษณะและวธิ วี จิ ยั งานวิจัยนี้เน้นการวิจัยเอกสาร เพื่อวิเคราะห์และจัดทำรายงานข้อเสนอนโยบายเสน้ ทางการศกึ ษาดา้ นอาชวี ศกึ ษาและเทคโนโลยี โดยมลี ำดบั ขน้ั ดงั น้ี 1. ศกึ ษาเอกสาร งานวจิ ยั ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั การอาชวี ศกึ ษาและเทคโนโลยี ทง้ัในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งการสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญชาวต่างประเทศ ⌦⌫⌦⌫
และการสอบถาม สมั ภาษณเ์ กบ็ ขอ้ มลู จากสถานประกอบการอตุ สาหกรรม 2. วิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูลตามข้อ 1. เพื่อจัดทำเป็นร่างข้อเสนอนโยบายเส้นทางการศึกษาด้านอาชีวศึกษาและเทคโนโลยี 3. จดั ประชมุ ระดมความคดิ / กลมุ่ สนทนา (Focus Group) 4. ปรับปรุง (ร่าง) รายงานตามข้อเสนอแนะและข้อคิดเห็นของที่ประชุมระดมความคดิ และ จดั ทำเปน็ รายงานการวจิ ยั ฉบบั สมบรู ณ์1.6 คำจำกดั ความในการวจิ ยั การอาชวี ศึกษา (Vocational Education) หมายถงึ การเตรยี มบคุ ลากรด้านฝีมือสำหรับอาชีพหนึ่งหรือกลุ่มอาชีพ สาขาหรืองาน ตามปกติจัดในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ซึ่งจะรวมทั้งการเรียนวิชาสามัญ การฝึกปฏิบัติ และวิชาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง สัดส่วนของวิชาเหล่านั้นอาจมีได้หลากหลาย แต่ต้องเน้นภาคปฏบิ ตั ิ (UNESCO) เทคนคิ ศกึ ษา (Technical Education) หมายถงึ การศกึ ษาระดบั สงู กวา่ -มัธยมศึกษาตอนปลายซึ่งเป็นอุดมศึกษาตอนต้น เพื่อเตรียมกำลังคนระดับกลาง(ช่างเทคนิค ผู้บริหารระดับกลาง ฯลฯ) และการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยเพื่อเตรียมวิศวกรและนักเทคโนโลยีในระดับที่สูงกว่า การเรียนจะรวมทั้งวิชาสามัญวิชาทฤษฎี วิชาด้านวิทยาศาสตร์และเทคนิค รวมทั้งการฝึกทักษะที่เกี่ยวข้องสัดส่วนของเทคนิคศึกษาอาจหลากหลายขึ้นอยู่กับประเภทของบุคลากรที่เรียนและระดบั การศกึ ษา (UNESCO) การฝกึ อบรม (Training) หมายถงึ กจิ กรรมทจ่ี ดั ขน้ึ เพอ่ื ใหท้ กั ษะ ความรู้และเจตคติที่เป็นความต้องการสำหรับการทำงานในสาขาอาชีพหนึ่งโดยเฉพาะหรือกลุ่มสาขาอาชีพ หรือกลุ่มที่ต้องปฏิบัติงานหน้าที่ใดหน้าที่หนึ่ง อาจจำแนก ⌦⌫⌦⌫
ได้หลากหลายขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์และระดับการฝึกอบรม อายุของผู้เข้าอบรมหรอื คณุ ลกั ษณะอน่ื ๆ รวมทง้ั สถานทใ่ี นการฝกึ (UNESCO) การอาชวี ศกึ ษาและเทคโนโลยี (Vocational Education and Technology)หมายความรวมถึงการอาชีวศึกษา เทคนิคศึกษา และการฝึกอบรมที่เน้นด้านช่างอุตสาหกรรม1.7 ประโยชนใ์ นการวจิ ยั 1. ไดข้ อ้ เสนอแนะนโยบายเสน้ ทางการศกึ ษาดา้ นอาชวี ศกึ ษาและเทคโนโลยี 2. ข้อมูลจากงานวิจัยจะเป็นประโยชน์ต่อการปฏิรูปการอาชีวศึกษาและ-เทคโนโลยี โดยหน่วยงานที่จัดการศึกษาด้านอาชีวศึกษา เทคนิคศึกษา และฝึกอบรมสามารถนำไปใช้เพื่อประกอบการตัดสินใจ การวางแผน และการนำแผนไปปฏิบัติ ให้เป็นไปในทิศทางที่สอดคล้องกับความต้องการกำลังคนของสถานประกอบการอุตสาหกรรมและบริการมากยิ่งขึ้น1.8 แนวคดิ ทฤษฎี หลกั การ เกย่ี วกบั การอาชวี ศกึ ษาและเทคโนโลยี เอกสารของคณะกรรมการอำนวยการปฏิรูปการศึกษา (2546) ได้กล่าวถึง-เอกสารเผยแพร่ร่วมกันในปี ค.ศ. 2002 ของ UNESCO และ ILO เรื่องการอาชีวศึกษาและเทคนิคศึกษา และการฝึกอบรมสำหรับศตวรรษที่ 21(Technical and Vocational Education and Training for the Twenty-first Century) ดงั น้ี ความหมายของการอาชวี ศกึ ษาและเทคนคิ ศกึ ษา และการฝกึ อบรม หมายถงึ 1. เป็นการศึกษาที่เป็นองค์ประกอบส่วนสำคัญของสายสามัญ เป็นเรื่องของการเตรยี มคนเขา้ สอู่ าชพี และโลกของการทำงานอยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ ⌦⌫⌦⌫
2. เป็นส่วนสำคัญของการศึกษาตลอดชีวิต และเป็นการเตรียมบุคคลที่มี-ความรับผิดชอบต่อสังคม 3. เปน็ เครอ่ื งมอื ในการสง่ เสรมิ การพฒั นาทย่ี ง่ั ยนื โดยคำนงึ ถงึ สง่ิ แวดลอ้ ม 4. เป็นวิธีการสนับสนุนการแก้ปัญหาความยากจน เป้าหมาย คือ พัฒนาคนให้เต็มศักยภาพโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สร้างพลังให้คนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ให้การศึกษาตลอดชีวิต มีคุณวุฒิวิชาชีพจัดการเรียนรู้แบบเปิดและยืดหยุ่น มีการรับรองและเทียบโอนประสบการณ์ ให้ความสำคัญสูงกับการอาชีวศึกษา โดยกำหนดให้เป็นวาระแห่งชาติ มีการปฏิรูปการลงทนุ ใหส้ อดคลอ้ งกบั แผนพฒั นา มเี กณฑม์ าตรฐานตวั ชว้ี ดั ตา่ งๆ ในการจดั การ-เพอ่ื คณุ ภาพ มกี ารเชอ่ื มโยงระหวา่ งการศกึ ษาดา้ นตา่ ง ๆ การศกึ ษาตอ่ เนอ่ื ง และ-การทำงาน ใช้การเรียนแบบสมรรถนะเป็นฐาน โดยมีทักษะหลัก ทักษะที่จำเป็นเพอ่ื การดำเนนิ ชวี ติ บคุ ลากรตอ้ งมคี ณุ วฒุ ิ คณุ ภาพ และคณุ สมบตั ทิ เ่ี หมาะสมมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้สถานภาพของผู้จบและผู้ทำงานในสายวิชาชีพเทียบได้กับสาขาวิชาชีพอื่น การดำเนนิ ดา้ นอาชวี ศกึ ษาและฝกึ อบรม ตอ้ งใหค้ วามสำคญั กบั เรอ่ื งตอ่ ไปน้ี 1. เปน็ ไปเพอ่ื พฒั นาสงั คม เศรษฐกจิ วฒั นธรรม สง่ิ แวดลอ้ ม และเทคโนโลยี 2. ต้องเป็นระบบการศึกษาต่อเนื่องตลอดชีวิต 3. ตอ้ งมฐี านกวา้ ง สามารถถา่ ยโอน เชอ่ื มโยงระหวา่ งศาสตรส์ าขาวชิ าตา่ ง ๆ 4. ต้องให้โอกาสเท่าเทียมกันระหว่างกลุ่มสตรี กลุ่มผู้ด้อยโอกาส และผู้สำเร็จการศึกษาขั้นพื้นฐานแล้วไม่ได้เรียนต่อ 5. ตอ้ งเนน้ ใหเ้ ปน็ ไปตามความตอ้ งการของตลาดแรงงาน ความรว่ มมอื กบั -ทกุ ฝา่ ย และใหเ้ ปน็ นโยบายแหง่ ชาติ โดยมอี งคก์ รระดบั ชาตดิ แู ล 6. หลักสูตรต้องเชื่อมโยงกับโลกของงาน 7. ให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนา ⌦⌫⌦⌫
8. มีอิสระในการบริหารจัดการ 9. ให้ความสำคัญกับการศึกษาวิชาชีพตั้งแต่เยาว์วัย 10. การจดั การอาชวี ศกึ ษาตอ้ งยดื หยนุ่ มคี วามหลากหลาย สามารถเรยี นได-้ทง้ั เตม็ เวลา นอกเวลา และทางไกล 11. โปรแกรมการเรียนการสอน ต้องอยู่บนพื้นฐานของการวิเคราะห์อาชีพ ซึ่งต้องการทักษะมากกว่าหนึ่งด้าน เช่น เกษตรกรรม นอกจากรู้เกี่ยวกับพืชแล้ว ต้องรู้การบริหารจัดการ การตลาด เทคโนโลยีสารสนเทศ ภาษาต่างประเทศ และคอมพวิ เตอร์ เปน็ ตน้ 12. ต้องให้ความสำคัญกับการแนะแนวอาชีพ การจัดหางาน การประสานกบั ตลาดแรงงาน 13. การเรยี นการสอนตอ้ งเนน้ การบรู ณาการทฤษฎกี บั ปฏบิ ตั ิ เนน้ การเรยี นร-ู้ดว้ ยการปฏบิ ตั จิ รงิ ในสถานประกอบการ และโลกของงานอยา่ งแทจ้ รงิ 14. บุคลากรต้องได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง 15. ต้องบูรณาการเชื่อมโยงการพัฒนาคน การศึกษากับการฝึกอบรมอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต 16. ถือเปน็ สทิ ธิของบคุ คลในการได้รบั การศกึ ษาและฝึกอบรมอย่างตอ่ เน่อื งตลอดชวี ติ 17. เนน้ การมเี ครอื ขา่ ยขอ้ มลู เชอ่ื มโยงกนั เพอ่ื ใหพ้ นกั งานไดม้ โี อกาสเรยี นร-ู้ในทท่ี ำงาน 18. ควรพัฒนากรอบคุณวุฒิระดับชาติ เพื่อให้คนทำงานสามารถเทียบโอน-ประสบการณก์ ารทำงาน และไดร้ บั การฝกึ อบรม 19. การประเมินความสามารถของคนทำงานในสถานประกอบการ ควรเชื่อมโยงกับมาตรฐานระดับชาติ 20. ระบบคุณวุฒิวิชาชีพ ควรพัฒนาจากฐานความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ⌦⌫⌦⌫
ภาคเอกชน และกลมุ่ ผใู้ ชแ้ รงงาน 21. ใหม้ กี ารสอ่ื สารและแลกเปลย่ี นความคดิ เหน็ (Social Dialogue) ระหวา่ ง-หนว่ ยงานการศกึ ษาและการฝกึ อบรม เพอ่ื ใหม้ คี วามเชอ่ื มโยงกนั ตลอดเวลา Prosser ผู้บุกเบิกงานด้านการพัฒนาระบบการอาชีวศึกษาของประเทศสหรัฐอเมริกาจนเจริญก้าวหน้า และเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาทรัพยากรกำลังคนเพื่ออุตสาหกรรม ได้เสนอทฤษฎีการจัดการอาชีวศึกษาไว้ 16 ข้อ ดังนี้(อา้ งถงึ ใน ธรี วฒุ ,ิ 2542 : 2-3) 1. ประสทิ ธภิ าพของการจดั การดา้ นอาชวี ศกึ ษา จะแปรผนั กบั สภาพแวดลอ้ มทผ่ี เู้ รยี นไดร้ บั การฝกึ ซง่ึ จำลองสภาพแวดลอ้ มจรงิ ทผ่ี เู้ รยี นตอ้ งประสบกอ่ นสำเรจ็ -การศึกษาออกไปประกอบอาชีพได้ 2. การฝึกอาชีพจะมีประสิทธิผล เมื่อการศึกษากระทำในลักษณะเดียวกันกบั การทำงานจรงิ นน่ั คอื มขี น้ั ตอนการปฏบิ ตั งิ านทใ่ี ชเ้ ครอ่ื งมอื เครอ่ื งจกั รเชน่ เดยี ว-กันกับที่ใช้ในการปฏิบัติงานจริงในอาชีพนั้น 3. ประสิทธิผลของการอาชีวศึกษาจะแปรผันกับการฝึกอบรมอาชีพรายบคุ คล โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ใหม้ นี สิ ยั ในการคดิ เปน็ และทำเปน็ สำหรบั อาชพี นน้ั 4. ประสิทธิผลของการอาชีวศึกษาจะแปรผันกับการจัดให้ผู้ฝึกอาชีพรายบคุ คล ไดใ้ ชค้ วามสนใจ ความถนดั และใชส้ มองของตนอยา่ งเตม็ ท่ี 5. การฝกึ อาชพี ทม่ี ปี ระสทิ ธผิ ลของชา่ งในแตล่ ะอาชพี จะสามารถจดั ใหแ้ ก-่กลุ่มที่ต้องการและได้ประโยชน์จากการฝึกเท่านั้น 6. การฝึกอาชีพที่มีประสิทธิผลจะแปรผันกับการฝึกประสบการณ์เฉพาะอยา่ งหลาย ๆ ครง้ั เพอ่ื สรา้ งพฤตกิ รรมของผเู้ รยี นทถ่ี กู ตอ้ งในการฝกึ ทกั ษะรวมทั้งพฤติกรรมที่ต้องการให้เปลี่ยนแปลงหรือพัฒนาขึ้น เพื่อให้เรียนรู้ทักษะที่จำเป็นในการหางานทำ 7. การฝึกอาชีพที่มีประสิทธิผลได้ต้องขึ้นอยู่กับครูผู้สอน ซึ่งจะต้องมี- ⌦⌫⌦⌫
ประสบการณว์ ชิ าชพี สงู ในการประยกุ ตค์ วามรแู้ ละทกั ษะในการปฏบิ ตั งิ าน 8. ในแต่ละอาชีพ ครูผู้สอนจะต้องมีความสามารถในการผลิตช่างที่มี-มาตรฐานขั้นต่ำได้ในระดับหนึ่งและรักษามาตรฐานของการผลิตไว้ ถ้าการอาชีวศึกษาไม่สามารถจัดได้ถึงขั้นนี้แล้วก็จะไม่มีประสิทธิผล 9. การจัดการอาชีวศึกษาต้องตระหนักถึงสภาพความเป็นจริงในปัจจุบันและต้องฝึกทักษะบุคคลเพื่อสนองความต้องการของตลาดแรงงานนั้น 10. การสร้างนิสัยของผู้เรียนในการปฏิบัติงานจะได้ผลก็ต่อเมื่อผู้เรียนได้ฝึกทักษะงานจริงในโรงงาน ไม่ใช่ฝึกแต่แบบฝึกหัด หรือฝึกแบบลองผิดลองถูกในสถานศึกษาเท่านั้น 11. แหล่งข้อมูลของเนื้อหาสาระที่เชื่อถือได้ของการฝึกอบรมทักษะเฉพาะในแต่ละอาชีพจะมาจากแหล่งเดียวกันเท่านั้น คือจากประสบการณ์ของผู้ชำนาญงานของอาชีพนั้น 12. ในแต่ละอาชีพจะมีเนื้อหาวิชาอยู่จำนวนหนึ่ง ซึ่งเป็นวิชาปฏิบัติของอาชพี นน้ั โดยเฉพาะ และไมม่ คี ณุ คา่ ในทางปฏบิ ตั สิ ำหรบั อาชพี อน่ื 13. การอาชีวศึกษาจะมีประสิทธิภาพก็ต่อเมื่อให้บริการ หรือตอบสนองต่อความต้องการของบุคคลหรือกลุ่มบุคคล โดยวิธีการที่กลุ่มบุคคลนั้นได้รับประโยชน์มากที่สุด 14. การอาชีวศึกษาที่มีประสิทธิภาพจะแปรผันกับวิธีการสอนและความ-สมั พนั ธก์ บั ผเู้ รยี น โดยพจิ ารณาคณุ ลกั ษณะพเิ ศษของกลมุ่ ผเู้ รยี น 15. การบรหิ ารอาชวี ศกึ ษาจะมปี ระสทิ ธภิ าพ กต็ อ่ เมอ่ื มกี ารจดั การศกึ ษาใน-ลกั ษณะทย่ี ดื หยนุ่ ได้ แทนทจ่ี ะใชม้ าตรฐานทต่ี ายตวั เกนิ ไป 16. ในขณะที่รัฐพยายามลดค่าใช้จ่ายต่อหัวในการฝึกอบรม แต่ก็ต้องใช้งบประมาณขั้นต่ำจำนวนหนึ่งที่พอเพียงในการจัดการอาชีวศึกษาให้มีประสิทธิผลได้ ดงั นน้ั ถา้ รฐั ไมส่ ามารถสนบั สนนุ งบประมาณขน้ั ตำ่ ในการฝกึ ได้ กไ็ มค่ วรใหม้ -ี ⌦⌫⌦⌫
การจัดการเรียนการสอนด้านอาชีวศึกษา กฤษมนั ต์ (2536 : 31) ไดร้ ะบวุ า่ จากการศกึ ษาความคดิ ทส่ี ามารถใชเ้ ปน็ -หลกั ในการจดั การอาชวี ศกึ ษาจากผเู้ รยี น ครู ผบู้ รหิ าร นกั วจิ ยั การศกึ ษา ผปู้ กครองนายจา้ ง ขา้ ราชการในหนว่ ยงานทเ่ี กย่ี วขอ้ ง สามารถกำหนดขน้ั ของการอาชวี ศกึ ษา-เปน็ รปู ธรรมหลกั ได้ 9 ระดบั ดงั น้ี ระดบั 1 อาชวี ศกึ ษาเนน้ การกระทำทท่ี ำใหเ้ กดิ ทกั ษะสอดคลอ้ งกบั ธรรมชาต-ิโดยไม่คำนึงถึงทักษะที่จะใช้ประกอบอาชีพเพื่อการมีชีวิตในสังคม ในระดับนี้จะมงุ่ เฉพาะอาชพี ใดอาชพี หนง่ึ ทกั ษะทฝ่ี กึ จะเปน็ แบบรวม ๆ ระดับ 2 อาชีวศึกษาเป็นการกระทำที่ทำให้เกิดทักษะ และมีการพัฒนาการด้านความรู้และเจตคติที่ดีต่อการทำงาน จะเป็นงานหนึ่งหรือหลาย ๆ งานก็ได้การเรียนจะเป็นการวิเคราะห์ภารกิจของงานแต่ละประเภท ในระดับนี้จะเริ่มเสนอรูปแบบของงานให้ปรากฎ ซึ่งในระดับนี้ผู้เรียนสามารถที่จะเลือกอาชีพของตนได้เมื่อเรียนจบ ระดับ 3 อาชีวศึกษาเป็นการกระทำที่ทำให้เกิดทักษะความรู้ และเจตคติทจ่ี ำเปน็ กบั การทำงานใหป้ ระสบผลสำเรจ็ ในงานหนง่ึ อาชพี หนง่ึ หรอื มากกวา่ ในระดบั นจ้ี ะคลา้ ยกบั ระดบั ท่ี 2 คอื เนน้ ลกั ษณะงานใหป้ รากฏเปน็ ทางเลอื ก แตจ่ ะ-เพิ่มเติมทักษะต่าง ๆ ที่จำเป็นในการฝึกทักษะความรู้และเจตคติเข้าไปมากขึ้นการผสมผสานกนั ของหลกั สตู รในสถานศกึ ษาตอ้ งสอดคลอ้ งกบั การจดั ประสบการณ-์ทางด้านวิชาชีพให้กับผู้เรียนด้วย ระดับ 4 อาชีวศึกษาเน้นการศึกษาเพื่อพัฒนาทักษะ ความรู้ และเจตคติทจ่ี ำเปน็ ในการทำงานในสาขาอาชพี หนง่ึ และมงุ่ มนษุ ยสมั พนั ธใ์ นการทำงานรว่ มกบั -ผอู้ น่ื ทง้ั ในเวลางานและนอกเวลางาน จดั ใหม้ กี ารสง่ เสรมิ ความเปน็ ผนู้ ำ อาชวี ศกึ ษา-ในระดับนี้เป็นการศึกษาเพื่อชีวิตและเพื่อการยังชีพด้วย โดยยึดประโยชน์และความสำคญั ของการใชเ้ วลาวา่ ง ความพอใจในชวี ติ ครอบครวั การไดร้ ว่ มกจิ กรรม- ⌦⌫⌦⌫
ในสงั คม เปน็ ระดบั ทผ่ี เู้ รยี นตอ้ งแสดงออกถงึ การใชช้ วี ติ ในสงั คม ระดับ 5 อาชีวศึกษาเน้นการฝึกทักษะพัฒนาความรู้และเจตคติ ให้ถึงความสามารถทต่ี อ้ งการในการทำงานและการสรา้ งครอบครวั รว่ มคดิ กจิ กรรมของสังคม มีการเพิ่มเติมเนื้อหาวิชาให้กว้างขวางขึ้นในหลายรูปแบบเพื่อให้ผู้เรียนมี-ประสบการณ์กว้างขวางขึ้น ระดับ 6 อาชีวศึกษาเน้นการศึกษาด้านความสามารถในบุคคลเพื่อให้ทันกับสถานการณ์ปัจจุบันและสิ่งที่เกิดขึ้นในอนาคต อาชีวศึกษาในระดับนี้เป็นการศึกษาเพื่อชีวิต และการทำงานในสภาพสังคมปัจจุบันและอนาคต ในระดับนี้การ-พฒั นาจะเรม่ิ ลดทกั ษะดา้ นฝมี อื แตจ่ ะเพม่ิ กระบวนการตดั สนิ ใจ การจดั ประสบการณ์การเรียนจะนำเอาปัญหาในสังคมปัจจุบันด้านเศรษฐกิจเข้ามาในการจัดกิจกรรมตา่ ง ๆ ดว้ ย ระดบั 7 อาชวี ศกึ ษาเนน้ ความสมั พนั ธท์ างดา้ นชวี ติ กบั สงั คม และเทคโนโลยีการศกึ ษา เรม่ิ เลง็ เหน็ ความสำคญั ของสงั คมทห่ี ลากหลาย และสภาพสง่ิ แวดลอ้ มที่มีอิทธิพลต่อการทำงาน ส่งเสริมให้มีการตัดสินใจเพิ่มขึ้นเพื่อให้ตระหนักถึงอทิ ธพิ ลตา่ ง ๆ ทส่ี ง่ ผลตอ่ การตดั สนิ ใจ ระดบั 8 อาชวี ศกึ ษาเนน้ สมั พนั ธภาพของบคุ คลทม่ี ตี อ่ สงั คมและสง่ิ แวดลอ้ มในระดับนี้จะแสดงผลของการตัดสินใจที่มีต่องานและอาชีพ การจัดประสบการณ์การเรียนรู้จะมุ่งพัฒนาการเป็นผู้นำ ที่สามารถส่งเสริมบรรยากาศการทำงานและการเรยี นรู้ สง่ เสรมิ รปู แบบของการดำเนนิ ชวี ติ ในสายตาของชาวโลก ระดบั 9 อาชวี ศกึ ษาเนน้ สมั พนั ธภาพของบคุ คลกบั สง่ิ แวดลอ้ มทว่ั ไป และทางดา้ นการเมอื งดว้ ย ในระดบั นจ้ี ะสง่ เสรมิ ผนู้ ำในการกำหนดนโยบายใหก้ บั ชมุ ชนโดยพฒั นาจรยิ ธรรมในการทำงานและพฒั นานโยบายของชมุ ชน สง่ เสรมิ การศกึ ษาและอน่ื ๆ กำหนดแนวทางในอนาคตของสงั คม นอกจากน้ี ยงั ตอ้ งใชม้ นั สมองท่ีชาญฉลาดในการดำเนนิ งาน การตดั สนิ ใจทจ่ี ะหาวธิ ที เ่ี หมาะสม ลดภาระงานทซ่ี ำ้ ซอ้ น ⌦⌫⌦⌫
หลักการของการอาชีวศึกษาและฝึกอบรมในอนาคต จากการศึกษาวิจัยของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ การประชุมสัมมนาระดับนานาชาติ ทั้งขององค์การยูเนสโก องค์การแรงงานสากลธนาคารโลก กระทรวงการศึกษาของประเทศออสเตรเลีย บริติช เคานซิล GTZและ TFIC สรุปสาระสำคัญที่เป็นหลักการของการปฏิรูปการอาชีวศึกษาที่ควรนำมาปรับให้เหมาะกับบริบทประเทศไทย 17 ประการ จัดกลุ่มเป็น 5 ประเด็นหลกั ดงั ตอ่ ไปน้ี (คณะกรรมการอำนวยการปฏริ ปู การศกึ ษา, 2547 : 30-31) 1. หลกั การทว่ั ไป จะตอ้ งจดั ทำหลกั สตู รการศกึ ษาใหส้ อดคลอ้ งกบั เปา้ หมาย-การพัฒนาประเทศ และคำนึงถึงความต้องการของตลาดแรงงาน (DemandDriven) การศกึ ษาระดบั มธั ยมศกึ ษาจะตอ้ งคำนงึ ถงึ ความสมดลุ ระหวา่ งสายสามญั -และสายอาชีพ (Balance) จะต้องให้ความสำคัญกับสมรรถนะการทำงาน(Competency) มากกวา่ ประกาศนยี บตั ร การฝกึ ทกั ษะตอ้ งเปน็ ไปเพอ่ื เขา้ สตู่ ลาด-แรงงานทันที การจัดต้องยืดหยุ่น (Flexibility) สำหรับผู้เรียน และเป็นระบบเปดิ (Open Entry) เพอ่ื การเรยี นรตู้ ลอดชวี ติ 2. การบริหาร ให้มีความเป็นเอกภาพ (Unity) ในเชิงนโยบาย และหลากหลาย (Diversity) ในการปฏบิ ัติ ใหส้ ถาบนั การศกึ ษามอี สิ ระ (Autonomy)ในการบรหิ ารจดั การ แตต่ อ้ งตรวจสอบได้ (Accountability) และการกำกบั การ-ดำเนินงานควรให้ความสำคัญกับผลผลิตมากกว่าการควบคุมตัวป้อน (PostAudit) ควรเปิดกว้างให้ฝ่ายต่าง ๆ เข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการอาชีวศึกษาทง้ั น้ี ตอ้ งมกี ารปฏบิ ตั ทิ เ่ี ทา่ เทยี มกนั (Level - Playing Field) ระหวา่ งสถานศกึ ษา-ของรฐั และเอกชน รวมถงึ สถานประกอบการ จะตอ้ งสง่ เสรมิ ความรว่ มมอื ระหวา่ ง-สถานศกึ ษากบั สถานประกอบการใหเ้ กดิ ระบบทวภิ าคี ระบบสหกจิ ศกึ ษา และการ-ฝกึ อบรมในโรงงานและสถานประกอบการมากขน้ึ ควรยกเลกิ กฎเกณฑแ์ ละระเบยี บ-ปฏบิ ตั ทิ เ่ี ปน็ อปุ สรรค เพอ่ื ดงึ ดดู ใหภ้ าคเอกชนเขา้ รว่ มจดั การดา้ นอาชวี ศกึ ษา ⌦⌫⌦⌫
3. การสง่ เสรมิ คณุ ภาพ ควรกำหนดสมรรถนะหลกั ของการศกึ ษาในระดบั -มธั ยมศกึ ษาทง้ั สายสามญั และสายอาชพี และมกี ารพฒั นาครกู อ่ นประจำการ และ-หลังประจำการ 4. การส่งเสริมประสิทธิภาพ มุ่งเน้นความร่วมมือที่เป็นเครือข่ายการใช้-ทรัพยากรร่วมกัน เพื่อลดการสูญเสียและการซ้ำซ้อน ให้มีระบบบัญชีเงินเดือนที่หลากหลายเพื่อสร้างขวัญและกำลังใจสำหรับครู 5. การส่งเสริมความเสมอภาค รัฐพึงจัดบริการการศึกษาให้ทั่วถึง โดยเฉพาะไปยังกลุ่มผู้เสียเปรียบ โดยกำหนดรูปแบบการจัดสรรทรัพยากรที่ชัดเจนมีประสิทธิภาพ และคำนึงถึงสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ที่กำหนดไว้ทั้งในรัฐธรรมนูญและพระราชบัญญัตกิ ารศึกษาแหง่ ชาติ ⌦⌫⌦⌫
........................................................ การผลติ กำลงั คนดา้ นอาชวี ศกึ ษาและเทคโนโลยใี นประเทศไทย ดำเนนิ การ-โดยหลายหน่วยงานในระดับกระทรวง ได้แก่ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวง-วฒั นธรรม กระทรวงการทอ่ งเทย่ี วและกฬี า กระทรวงแรงงาน และกระทรวงอน่ื ๆ กระทรวงศกึ ษาธกิ าร เปน็ กระทรวงหลกั ทร่ี บั ผดิ ชอบดา้ นการอาชวี ศกึ ษาและเทคโนโลยมี หี ลายหนว่ ยงานดำเนนิ การ ไดแ้ ก่ สำนกั งานคณะกรรมการการอาชวี ศกึ ษา(สอศ.) สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สำนักงานคณะ-กรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) และสำนักบริหารงานคณะกรรมการส่งเสริมการศกึ ษาเอกชน (สช.) ในสงั กดั สำนกั งานปลดั กระทรวงศกึ ษาธกิ าร โดยสำนกั งานคณะกรรมการการอาชวี ศกึ ษามสี ถานศกึ ษาในสงั กดั รวม 412 แหง่ กระจายอยทู่ ว่ั -ประเทศ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานดูแลสถานศึกษาเอกชนที่จัดการอาชีวศึกษาและเทคโนโลยี จำนวน 331 แห่ง โดยมีสำนักบริหารงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน ทำหน้าที่ดูแล ส่งเสริมสนับสนุน และ-ประสานงานการจดั การศกึ ษาเอกชนในระดบั ตำ่ กวา่ ปรญิ ญาตรใี หเ้ ปน็ ไปตามกฎหมายเกี่ยวกับการศึกษาเอกชน สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา มีสถานศึกษาในสังกัดหลายลักษณะ อาทิ มหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ มหาวิทยาลัยของรัฐ มหาวิทยาลัยเอกชน มหาวิทยาลัยราชภัฎ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ⌦⌫⌦⌫
วทิ ยาลยั ชมุ ชน และสถาบนั เทคโนโลยปี ทมุ วนั กระทรวงวัฒนธรรม มีส่วนราชการคือ กรมศิลปากร ดำเนินการจัดการศึกษา ในวิทยาลัยช่างศิลป์ 3 แห่ง วิทยาลัยนาฏศิลป์ 12 แห่ง ซึ่งกระจายอยู่ทว่ั ประเทศ และสถาบนั บณั ฑติ พฒั นศลิ ป์ กระทรวงการทอ่ งเทย่ี วและกฬี า มสี ว่ นราชการคอื สำนกั งานพฒั นาการกฬี าและนันทนาการ ซึ่งมีวิทยาลัยพลศึกษาและโรงเรียนกีฬาอยู่ในสังกัด กระจายอยู่ทั่วประเทศ จำนวน 12 แห่ง จัดการเรียนการสอนในระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา และมีวิทยาลัยพลศึกษาจำนวน 17 แห่ง จัดการเรียนการสอนในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.)ประกาศนยี บตั รการศกึ ษาชน้ั สงู (ป.กศ. สงู ) และระดบั ปรญิ ญาตรี กระทรวงแรงงาน มีส่วนราชการคือ กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ทำหน้าที่ฝึกและพฒั นาฝมี อื แรงงานใหแ้ กป่ ระชาชนวยั ทำงานเพอ่ื เตรยี มเขา้ ทำงาน และพฒั นา-ฝมี อื แรงงานใหม้ รี ะดบั สงู ขน้ึ รวมทง้ั สง่ เสรมิ และสนบั สนนุ ใหภ้ าคเอกชนมสี ว่ นรว่ ม-ในการพัฒนาฝีมือแรงงาน โดยจัดเป็นหลักสูตรระยะสั้นหลากหลายสาขาอาชีพในสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 12 สถาบัน และศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงานจังหวัดทว่ั ประเทศ 63 แหง่ หน่วยงานที่จัดการศึกษาเฉพาะทาง ปัจจุบันมี 9 หน่วยงานหลัก ใน 7กระทรวง ไดแ้ ก่ สำนกั งานตำรวจแหง่ ชาติ สงั กดั สำนกั นายกรฐั มนตรี กระทรวง-มหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงกลาโหมกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กรุงเทพมหานครและสภากาชาดไทย ในจำนวนนี้มีบางหน่วยงานที่จัดหลักสูตรเฉพาะตามความตอ้ งการดา้ นการอาชวี ศกึ ษาและเทคโนโลยี เชน่ การไฟฟา้ สว่ นภมู ภิ าค กระทรวง-มหาดไทย ซึ่งดูแลโรงเรียนช่างการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค สถาบันการบินพลเรือนกระทรวงคมนาคมจดั การศกึ ษาทางชา่ งในหลายหลกั สตู ร การสอ่ื สารแหง่ ประเทศ-ไทยดแู ลโรงเรยี นการไปรษณยี แ์ ละโทรคมนาคม การรถไฟแหง่ ประเทศไทยดแู ล- ⌦⌫⌦⌫
โรงเรยี นวศิ วกรรมรถไฟ และโรงเรยี นชา่ งฝมี อื พระดาบส การผลติ กำลงั คนดา้ นอาชวี ศกึ ษาและเทคโนโลยขี องหนว่ ยงานตา่ งๆ ดงั กลา่ วมีสภาพและปัญหาแตกต่างกันไป ในที่นี้จะนำเสนอเฉพาะหน่วยงานหลักบางหนว่ ยงาน ไดแ้ ก่ สำนกั งานคณะกรรมการการอาชวี ศกึ ษา มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยีราชมงคล สถาบนั เทคโนโลยปี ทมุ วนั สถานศกึ ษาอาชวี ศกึ ษาเอกชน และสถาบนั -อาชวี ศกึ ษาและเทคโนโลยเี ฉพาะทางบางแหง่ ดงั น้ี 2.1 สภาพและปัญหาการผลิตกำลังคนด้านอาชีวศึกษาและเทคโนโลยี- ของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา 2.1.1 สภาพทัว่ ไป สำนกั งานคณะกรรมการการอาชวี ศกึ ษา (กรมอาชวี ศกึ ษาเดมิ ) เปน็ -หนว่ ยงานหลกั หนง่ึ ใน 6 หนว่ ยงานภายใตก้ ระทรวงศกึ ษาธกิ าร ทง้ั น้ี เปน็ ไปตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. 2546 มาตรา10 ทร่ี ะบวุ า่ \"การแบ่งส่วนราชการในส่วนกลางของกระทรวงศึกษาธิการ ให้เป็นไปตามพระราชบัญญัตินี้ โดยให้มีหัวหน้าส่วนราชการขึ้นตรงต่อรัฐมนตรีว่าการ-กระทรวงศกึ ษาธกิ าร ดงั น้ี (1) สำนักงานรัฐมนตรี (2) สำนกั งานปลัดกระทรวง (3) สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (4) สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (5) สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (6) สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ส่วนราชการตาม (2) (3) (4) (5) และ (6) มีฐานะเป็นนิติบุคคลและเป็นกรมตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน\" ⌦⌫⌦⌫
มาตรา 17 ในพระราชบญั ญตั ฉิ บบั เดยี วกนั ระบวุ า่ \"ให้มีคณะกรรมการการอาชีวศึกษา มีหน้าที่พิจารณาเสนอนโยบายแผนพัฒนา มาตรฐาน และหลักสูตรการอาชีวศึกษาทุกระดับ ที่สอดคล้องกับแผนพฒั นาเศรษฐกจิ และสงั คมแหง่ ชาติ และแผนการศกึ ษาแหง่ ชาติ การสง่ เสรมิประสานงานการจัดการอาชีวศึกษาของรัฐและเอกชน การสนับสนุนทรัพยากร การติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการจัดการศึกษาอาชีวศึกษา โดยคำนึงถึงคุณภาพและความเป็นเลิศทางวิชาชีพและเสนอแนะในการออกระเบียบ หลักเกณฑ์ และประกาศที่เกี่ยวกับการบริหารงานสำนักงาน เพื่อประโยชน์ในการพิจารณานโยบาย แผนพัฒนา และมาตรฐานการอาชีวศึกษาระดับปริญญา ให้คณะกรรมการการอาชีวศึกษาพิจารณาให้สอดคล้องกับนโยบาย แผนพัฒนา และเป็นไปตามมาตรฐานการศึกษาระดับอุดมศึกษาของคณะกรรมการการอุดมศึกษา นอกจากหน้าที่ตามวรรคหนึ่ง ให้คณะกรรมการการอาชีวศึกษามีหน้าที่ให้ความเห็นหรือให้คำแนะนำแก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการหรือคณะรัฐมนตรี และมีอำนาจหน้าที่อื่นตามที่กฎหมายกำหนด หรือตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการมอบหมาย ใหค้ ณะกรรมการการอาชวี ศกึ ษา ประกอบดว้ ย กรรมการโดยตำแหนง่ -จากหนว่ ยงานทเ่ี กย่ี วขอ้ ง ผแู้ ทนองคก์ รเอกชน ผแู้ ทนองคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถน่ิผู้แทนองค์กรวิชาชีพ และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งมีจำนวนไม่น้อยกว่าจำนวน-กรรมการประเภทอื่นรวมกัน จำนวนกรรมการ คณุ สมบตั ิ หลกั เกณฑ์ และวธิ กี ารสรรหา การเลอื ก-ประธานกรรมการและกรรมการ วาระการดำรงตำแหนง่ และการพน้ จากตำแหนง่ -ของคณะกรรมการ ใหเ้ ปน็ ไปตามทก่ี ำหนดในกฎกระทรวง ให้สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ทำหน้าที่รับผิดชอบงาน- ⌦⌫⌦⌫
เลขานุการของคณะกรรมการการอาชีวศึกษา และมีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนดในกฎกระทรวงว่าด้วยการแบ่งส่วนราชการตามมาตรา 11 โดยมีเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ทำหน้าที่เป็นกรรมการและเลขานุการของคณะกรรมการอาชีวศึกษา\" และในบทเฉพาะกาล มาตราที่ 67, 68 ในกฎหมายฉบับเดียวกันระบวุ า่ \"มาตรา 67 ให้โอนบรรดาอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับราชการของกรมอาชวี ศกึ ษา กระทรวงศกึ ษาธกิ าร ยกเวน้ สถาบนั เทคโนโลยปี ทมุ วนั และบรรดา-อำนาจหน้าที่ของเจ้าหน้าที่กรมอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ยกเว้นสถาบัน-เทคโนโลยปี ทมุ วนั ไปเปน็ ของสำนกั งานคณะกรรมการการอาชวี ศกึ ษา\" \"มาตรา 68 ให้โอนบรรดากิจการ ทรัพย์สิน หนี้ อัตรากำลังขา้ ราชการ ลกู จา้ ง และเงนิ งบประมาณของกรมอาชวี ศกึ ษา กระทรวงศกึ ษาธกิ ารยกเว้นสถาบันเทคโนโลยีปทุมวัน ไปเป็นของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา\" นอกจากน้ี ในกฎกระทรวงแบง่ สว่ นราชการสำนกั งานคณะกรรมการ-การอาชวี ศกึ ษา กระทรวงศกึ ษาธกิ าร พ.ศ. 2546 ไดก้ ำหนดภารกจิ และการแบง่ -สว่ นราชการสำนกั งานคณะกรรมการการอาชวี ศกึ ษาไว้ ดงั น้ี ขอ้ 1. ใหส้ ำนกั งานคณะกรรมการการอาชวี ศกึ ษา มภี ารกจิ เกย่ี วกบั -การจัดและส่งเสริมการอาชีวศึกษา และการฝึกอบรมวิชาชีพ โดยคำนึงถึงคณุ ภาพและความเปน็ เลศิ ทางวชิ าชพี โดยใหม้ อี ำนาจหนา้ ท่ี ดงั ตอ่ ไปน้ี (1) จัดทำข้อเสนอแนวนโยบาย แผนพัฒนา มาตรฐานและหลักสูตรการอาชีวศึกษาทุกระดับ (2) ดำเนนิ การและประสานงานเกย่ี วกบั มาตรฐานการอาชวี ศกึ ษาและวชิ าชพี (3) กำหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการจัดงบประมาณและ ⌦⌫⌦⌫
สนบั สนนุ ทรัพยากร (4) พัฒนาครูและบุคลากรอาชีวศึกษา (5) ส่งเสริมประสานงานการจัดการอาชีวศึกษาของรัฐและ-เอกชน รวมทั้งกำหนดหลักเกณฑ์และรูปแบบความร่วมมือกับหน่วยงานอื่นและ-สถานประกอบการ (6) ตดิ ตาม ประเมนิ ผล และรายงานผลการจดั การอาชวี ศกึ ษา-ทง้ั ภาครัฐและเอกชน (7) จัดระบบ ส่งเสริม และประสานงานเครือข่ายข้อมูลสารสนเทศและการนำเทคโนโลยสี ารสนเทศและการสอ่ื สารมาใชใ้ นการอาชวี ศกึ ษา-และฝึกอบรมวิชาชีพ (8) ดำเนนิ การเกย่ี วกบั งานเลขานกุ ารของคณะกรรมการการ-อาชวี ศกึ ษา และดำเนนิ การตามทค่ี ณะกรรมการการอาชวี ศกึ ษามอบหมาย (9) ปฏิบัติงานอื่นใดตามที่กฎหมายกำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา หรือตามที่รฐั มนตรีหรือคณะรัฐมนตรมี อบหมาย ขอ้ 2. ให้แบ่งส่วนราชการสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาดงั ตอ่ ไปน้ี (1) สำนักอำนวยการ (2) สำนักความร่วมมือ (3) สำนักติดตามและประเมินผลการอาชีวศึกษา (4) สำนักนโยบายและแผนการอาชีวศึกษา (5) สำนักพัฒนาสมรรถนะครูและบุคลากรอาชีวศึกษา (6) สำนักงานมาตรฐานการอาชีวศึกษาและวิชาชีพ (7) สำนักวิจัยและพัฒนาการอาชีวศึกษา ⌦⌫⌦⌫
กล่าวโดยสรุป ด้วยผลตามกฎหมาย กิจการ ทรัพย์สิน หนี้ อัตรากำลงั ขา้ ราชการ ลกู จา้ ง และเงนิ งบประมาณของกรมอาชวี ศกึ ษา ยกเวน้ ในสว่ น-ของสถาบนั เทคโนโลยปี ทมุ วนั ไดถ้ กู โอนไปเปน็ ของสำนกั งานคณะกรรมการการ-อาชีวศึกษา และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้แต่งตั้งให้อธิบดีกรม-อาชีวศึกษารักษาราชการแทนเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ดังนั้นจงึ เทา่ กบั วา่ กรมอาชวี ศกึ ษาไดถ้ กู โอนไปเปน็ สำนกั งานคณะกรรมการการอาชวี ศกึ ษา-นั่นเอง สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา มีสถานศึกษาในสังกัดทว่ั ประเทศ 412 แหง่ ปกี ารศกึ ษา 2546 มนี กั ศกึ ษาระดบั ปวช. ปวส. และ ปทส.รวมทั้งสิ้น 571,288 คน (www.vec.go.th, 15 มิ.ย. 47) สถานศึกษาเหล่านี้กระจายอยทู่ กุ จงั หวดั ทว่ั ประเทศ ทง้ั ในเขตเมอื ง และนอกเขตเมอื ง จำแนกตาม-ประเภทของสถานศึกษาได้ดังนี้ 1. วิทยาลัยเทคนิค จำนวน 115 แหง่ 2. วิทยาลัยอาชีวศึกษา จำนวน 46 แหง่ 3. วิทยาลัยเกษตรกรรม จำนวน 48 แหง่ 4. วิทยาลัยสารพัดช่าง จำนวน 40 แหง่ 5. วิทยาลัยการอาชีพ จำนวน 153 แหง่ 6. วิทยาลัยประมง จำนวน 3 แหง่ 7. วิทยาลัยศิลปกรรม จำนวน 3 แหง่ 8. กาญจนาภเิ ษกวทิ ยาลยั ชา่ งทองหลวง จำนวน 1 แหง่ 9. วิทยาลัยเทคโนโลยีอุตสาหกรรมการต่อเรือ จำนวน 3 แหง่ ในการบรหิ ารงาน สำนกั งานคณะกรรมการการอาชวี ศกึ ษาไดร้ วมกลมุ่ -สถานศึกษาทั้ง 412 แห่ง จัดตั้งเป็น 28 สถาบันการอาชีวศึกษากระจายอยู่ทั่วประเทศ แต่ละสถาบันประกอบด้วยหลาย ๆ วิทยาเขต ซึ่งก็คือ สถานศึกษาหลายประเภทในเขตทอ่ี ยใู่ กล้ โดยมจี ำนวนแตกตา่ งกนั ไป สถาบนั การอาชวี ศกึ ษา- ⌦⌫⌦⌫
ทง้ั 28 สถาบนั มดี งั น้ี 1. สถาบันการอาชีวศึกษาภาคเหนือ จำแนกเปน็ 5 เขตพน้ื ท่ี 2. สถาบันการอาชีวศึกษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำแนกเปน็ 7 เขตพน้ื ท่ี 3. สถาบันการอาชีวศึกษาภาคกลาง จำแนกเปน็ 6 เขตพน้ื ท่ี 4. สถาบันการอาชีวศึกษาภาคใต้ จำแนกเปน็ 5 เขตพน้ื ท่ี 5. สถาบันการอาชีวศึกษาภาคตะวันออก จำแนกเปน็ 3 เขตพน้ื ท่ี 6. สถาบันการอาชีวศึกษากรุงเทพมหานคร จำแนกเปน็ 2 เขตพน้ื ท่ี วัตถุประสงค์ในการรวมกลุ่มสถานศึกษาดังกล่าว เพื่อสร้างความ-เขม็ แขง็ ใหก้ บั การอาชวี ศกึ ษา สรา้ งคณุ ภาพมาตรฐาน ระดมทรพั ยากร สรา้ งระบบ-การบรหิ ารจดั การทเ่ี ขม็ แขง็ ขยายการบรกิ ารอาชวี ศกึ ษา และปรบั การลงทนุ ดา้ น-อาชีวศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ได้กระจายอำนาจ/มอบ-อำนาจให้สถาบันการอาชีวศึกษาทั้ง 28 แห่ง ในด้านการบริหารงานทั่วไป การบรหิ ารงานวชิ าการ และการบรหิ ารบคุ คล ทำใหก้ ารบรหิ ารมคี วามคลอ่ งตวั มากขน้ึ สถานศึกษาทั้ง 412 แห่ง ซึ่งก็คือวิทยาเขตต่าง ๆ ของสถาบันการอาชีวศึกษาทั้ง 28 แห่ง จัดการเรียนการสอนในระบบโรงเรียนรวม 3 ระดับคือ ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.)และประกาศนยี บตั รเทคนคิ ชน้ั สงู (ปทส.) นอกจากน้ี ยงั เปดิ สอนหลกั สตู รระยะ-สน้ั ซง่ึ สามารถแบง่ เปน็ ประเภทตา่ ง ๆ ไดด้ งั น้ี ⌦⌫⌦⌫
1. ประเภทวิชาช่างอุตสาหกรรม 2. ประเภทวิชาพาณิชยกรรม 3. ประเภทวชิ าคหกรรม 4. ประเภทวชิ าเกษตรกรรม 5. ประเภทวชิ าศลิ ปกรรม 6. ประเภทวิชาอุตสาหกรรมสิ่งทอ 7. ประเภทวชิ าอุตสาหกรรมการประมง 8. ประเภทวิชาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ทั้ง 8 ประเภทวิชามีรูปแบบการเรียนการสอนแตกต่างกันไปหลายรปู แบบตามหลกั สตู ร อาทิ หลกั สตู รประกาศนยี บตั รวชิ าชพี มที ง้ั รปู แบบการเรยี น-การสอนในสถานศกึ ษาตามปกติ รปู แบบทวภิ าคซี ง่ึ เปน็ ความรว่ มมอื ระหวา่ งสถาน-ศกึ ษากบั สถานประกอบการ และรปู แบบสะสมหนว่ ยกติ หลกั สตู รประกาศนยี บตั ร-วิชาชีพชั้นสูง มีทั้งรูปแบบการเรียนการสอนในสถานศึกษาตามปกติ และรปู แบบทวภิ าคี สว่ นหลกั สตู รประกาศนยี บตั รเทคนคิ ชน้ั สงู เปน็ รปู แบบการเรยี น-การสอนในสถานศกึ ษาตามปกติ โดยความรว่ มมอื กบั สถานประกอบการ 2.1.2 ปัญหาการผลิตกำลังคน ปัญหาหลักที่เกิดขึ้น ในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชวี ศกึ ษา มดี งั น้ี 1. พระราชบญั ญตั กิ ารศกึ ษาแหง่ ชาติ พ.ศ. 2542 มาตรา 20 กำหนดใหม้ กี ฎหมายวา่ ดว้ ยการอาชวี ศกึ ษา ซง่ึ ไดม้ กี ารจดั ทำรา่ งพระราชบญั ญตั ดิ งั กลา่ ว-มาเป็นเวลานาน แต่ยังไม่เสร็จสิ้นกระบวนการทางนิติบัญญัติ ทำให้การบริหารงาน และการจดั การเรยี นการสอนเพอ่ื ผลติ กำลงั คนไมม่ กี รอบการดำเนนิ งานและ-มาตรการที่ชัดเจน ส่งผลกระทบถึงการดำเนินงานของหน่วยงานต่าง ๆ ที่ผลิตกำลังคนด้านอาชีวศึกษา ⌦⌫⌦⌫
2. การขยายจำนวนสถานศึกษาอย่างรวดเร็วในช่วงที่ผ่านมา ทำให้รัฐไม่สามารถสนับสนุนงบประมาณด้านต่าง ๆ ได้อย่างเพียงพอ เป็นผลให้สถานศึกษาตั้งใหม่ไม่สามารถพัฒนาได้ตามมาตรฐาน 3. ครู-อาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษาบางส่วน ขาดการพัฒนาอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง เพราะตอ้ งรบั ภาระทง้ั งานสอนและงานสนบั สนนุ การสอน 4. ขาดแคลนครใู นบางสาขาวชิ า และมคี รเู กนิ ในบางสาขาวชิ า 5. คุณภาพของครูผู้สอนยังไม่สอดคล้องกับภารกิจที่ต้องการผู้ที่มี-ความรูแ้ ละประสบการณ์วชิ าชพี 6. เครื่องมือ เครื่องจักร และอุปกรณ์ที่มีอยู่ล้าสมัย และไม่ทันกับความเปลยี่ นแปลงทางเทคโนโลยี 7. ความร่วมมือกับสถานประกอบการและชุมชนยังจำกัดอยู่เพียงบางสถานศกึ ษา ยงั ไมก่ ระจายครอบคลมุ สถานศกึ ษาอน่ื ๆ ทง้ั หมด 8. คณุ ภาพของผจู้ บการศกึ ษายงั ไมต่ รงตามความตอ้ งการของสถาน-ประกอบการ 9. อตั ราผจู้ บอาชวี ศกึ ษาแลว้ ไปทำงานในตลาดแรงงานยงั คอ่ นขา้ งตำ่สว่ นใหญจ่ ะศกึ ษาตอ่ ทำใหข้ าดแคลนแรงงานดา้ นอาชวี ศกึ ษา 10. การใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศเพอ่ื การบรหิ าร และการเรยี นการสอน-ยงั จำกดั ทำใหไ้ มม่ ขี อ้ มลู ทเ่ี ปน็ ปจั จบุ นั เทา่ ทค่ี วร2.2 สภาพและปญั หาการผลติ กำลงั คนของมหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคล 2.2.1 สภาพท่ัวไป มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคล เปน็ สถาบนั อดุ มศกึ ษาสายวชิ าชพีไดร้ บั การสถาปนาโดยพระราชบญั ญตั วิ ทิ ยาลยั เทคโนโลยแี ละอาชวี ศกึ ษา พ.ศ. 2518ตอ่ มาไดร้ บั พระราชทานนามจากพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั วา่ \"สถาบนั เทคโนโลย-ี ⌦⌫⌦⌫
ราชมงคล\" ในปี พ.ศ. 2532 ในอดตี มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลเปน็ นติ บิ คุ คลมีฐานะเป็นกรมในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ มีอธิการบดีเป็นผู้บังคับบัญชาและรับผิดชอบในฐานะเป็นหัวหน้าส่วนราชการ การดำเนินงานของสถาบันอยู่ภายใต้การควบคุมของสภาสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล สถาบันเทคโนโลยีราชมงคลจัดการศึกษา 2 ระดับ คือ ระดับ-ประกาศนยี บตั รวชิ าชพี ชน้ั สงู (ปวส.) ซง่ึ จดั การศกึ ษาใน 35 วทิ ยาเขตทว่ั ประเทศมที ง้ั หลกั สตู ร 2 ปี จำนวน 94 สาขาวชิ า และหลกั สตู ร 3 ปี จำนวน 23 สาขาวชิ าสำหรบั ระดบั ปรญิ ญาตรจี ดั การศกึ ษาในคณะตา่ ง ๆ ในสว่ นกลาง 12 คณะ และในต่างจังหวัด 3 คณะ รวมทั้งจัดในวิทยาเขตต่าง ๆ อีก 34 วิทยาเขต มีทั้งหลักสูตรปริญญาตรี 2 ปี จำนวน 103 สาขาวิชา และปริญญาตรี 4 ปี รวม98 สาขาวิชา นอกจากนี้ ยังจัดการศึกษาระดับประกาศนียบัตรบัณฑิตหลักสูตร2 ปี อีก 2 สาขาวิชา ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง เปิดสอนประเภทวิชาช่างอุตสาหกรรม เกษตรกรรม ศิลปกรรม พาณิชยกรรม และคหกรรม ระดับ-ปริญญาตรี เปิดสอนประเภทวิชาวิศวกรรมศาสตร์ สถาปัตยกรรมศาสตร์ครศุ าสตรอ์ ตุ สาหกรรม วทิ ยาศาสตร์ เกษตรศาสตร์ คหกรรมศาสตร์ บรหิ ารธรุ กจิศิลปกรรมศาสตร์ ศิลปศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ นาฎศิลปและดุริยางค์ ระดับ-ประกาศนยี บตั รบณั ฑติ เปดิ สอนประเภทวชิ าวศิ วกรรมศาสตร์ และประเภทวชิ า-บรหิ ารธรุ กจิ ปกี ารศกึ ษา 2547 สถาบนั เทคโนโลยรี าชมงคล มบี คุ ลากรปฏบิ ตั งิ าน-ทกุ ประเภทรวม 10,405 คน ในจำนวนนเ้ี ปน็ ขา้ ราชการครู 4,507 คน หรอื รอ้ ยละ43.31 มนี กั ศกึ ษารวมทง้ั สน้ิ 107,074 คน จำแนกเปน็ นกั ศกึ ษาระดบั ตำ่ กวา่ ปรญิ ญา-ตอ่ นกั ศกึ ษาระดบั ปรญิ ญาตรี 29:71 คดิ เปน็ สดั สว่ นอาจารยต์ อ่ นกั ศกึ ษา 1: 22.72โดยเปดิ สอนรวมทง้ั สน้ิ 240 สาขาวชิ า ในปี พ.ศ. 2548 มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลไดร้ บั งบประมาณ-จากรัฐบาล รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 3,558,312,900 บาท ในจำนวนนี้เป็นงบบุคลากร ⌦⌫⌦⌫
1,513,220,700 บาท งบดำเนินการ 856,481,700 บาท งบลงทุน 873,394,400บาท งบอดุ หนนุ 250,797,800 และงบรายจา่ ยอน่ื ๆ 64,418,300 บาท สถาบนั เทคโนโลยรี าชมงคลมนี โยบายใหห้ นว่ ยงานในสงั กดั ดำเนนิ งานตามระบบมาตรฐานคณุ ภาพ ISO 9000 โดยเรม่ิ ดำเนนิ การมาตง้ั แตป่ ี พ.ศ. 2540ในวทิ ยาเขตนำรอ่ ง 1 แหง่ คอื วทิ ยาเขตนนทบรุ ี ซง่ึ ไดร้ บั การรบั รองจากสถาบนั -รับรองมาตรฐานไอเอสโอ ในปี พ.ศ. 2542 ต่อมาได้ดำเนินการในหน่วยงานต่าง ๆ อีก 17 แหง่ และได้รบั การรบั รองในปี พ.ศ. 2543-2544 ขณะเดยี วกนัหนว่ ยงานอน่ื ๆ ไดด้ ำเนนิ การเพอ่ื ขอรบั การรบั รองเรอ่ื ยมาตามลำดบั สำหรบั ในปีพ.ศ. 2545 สถาบันได้ให้หน่วยงานทั้งหมดที่เหลือจัดทำระบบมาตรฐานคุณภาพเพื่อเสนอขอรับการรับรองต่อไป สถาบนั เทคโนโลยรี าชมงคลไดป้ รบั เปลย่ี นสถานภาพเปน็ มหาวทิ ยาลยัเทคโนโลยรี าชมงคล ตามพระราชบญั ญตั มิ หาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคล พ.ศ.2548 ซง่ึ ประกาศในราชกจิ จานเุ บกษาใชบ้ งั คบั เปน็ กฎหมายตง้ั แตว่ นั ท่ี 8 มกราคมพ.ศ. 2548 สาระสำคญั ของพระราชบญั ญตั ฉิ บบั น้ี คอื การเปลย่ี นเปน็ มหาวทิ ยาลยั -เทคโนโลยีราชมงคล จำนวน 9 แห่ง มีฐานะเป็นนิติบุคคลและเป็นส่วนราชการตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอดุ มศกึ ษา ซง่ึ มหาวทิ ยาลยั แตล่ ะแหง่ สามารถจดั การศกึ ษาไดถ้ งึ ระดบั ปรญิ ญาเอกมคี วามเปน็ อสิ ระในการบรหิ ารบคุ คล งบประมาณ และการจดั หลกั สตู ร เชน่ เดยี ว-กับมหาวิทยาลัยอื่นทั่วไป มหาวิทยาลัยเหล่านี้เป็นสถาบันอุดมศึกษาด้านวิชาชีพและเทคโนโลยี มีวัตถุประสงค์ให้การศึกษา ส่งเสริมวิชาการและวิชาชีพชั้นสูงที่เน้นการปฏิบัติ ทำการสอน ทำการวิจัย ผลิตครูวิชาชีพ ให้บริการทางวิชาการในดา้ นวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยแี กส่ งั คม ทำนบุ ำรงุ ศลิ ปะและวฒั นธรรม และ-อนรุ กั ษส์ ง่ิ แวดลอ้ ม โดยใหผ้ สู้ ำเรจ็ อาชวี ศกึ ษามโี อกาสในการศกึ ษาตอ่ ดา้ นวชิ าชพี -เฉพาะทางระดบั ปรญิ ญาเปน็ หลกั มหาวทิ ยาลยั ทง้ั 9 แหง่ ประกอบดว้ ย ⌦⌫⌦⌫
1. มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคล กรงุ เทพ 2. มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคล พระนคร 3. มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคล ธญั บรุ ี 4. มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคล อสี าน 5. มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคล ตะวนั ออก 6. มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคล ศรวี ชิ ยั 7. มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคล ลา้ นนา 8. มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคล รตั นโกสนิ ทร์ 9. มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคล สวุ รรณภมู ิ 2.2.2 ปัญหาการผลิตกำลังคน 1. ในช่วงที่ร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอยใู่ นระหวา่ งการดำเนนิ การทางนติ บิ ญั ญตั แิ ละยงั ไมส่ ามารถยนื ยนั สถานภาพของ-สถาบันได้ จนกว่าการเสนอร่างพระราชบัญญัติจะแล้วเสร็จและประกาศใช้เป็นกฎหมายนั้น ได้ส่งผลกระทบต่อการบริหารจัดการที่ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย และส่งผลกระทบต่อการบริหารบุคคลด้านขวัญและกำลังใจ 2. การขยายวิทยาเขตอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้วิทยาเขตที่จัดตั้งใหม่5 แหง่ ไมไ่ ดร้ บั การจดั สรรงบประมาณ 3. หลักสูตรบางสาขาวิชาไม่สอดคล้องกับการผลิตบัณฑิตที่ต้องการให้เป็นนักปฏิบัติที่มีคุณภาพ ขณะเดียวกันภาคเอกชนหรือสถานประกอบการยังไม่มีส่วนร่วมในการออกแบบพัฒนาหลักสูตร จึงทำให้หลักสูตรไม่สอดคล้องกับ-ความต้องการของตลาดแรงงาน 4. เนื่องจากความไม่คล่องตัวในการเปิดสอนหลักสูตรใหม่ ๆ จึงทำให้ไม่สามารถเปิดสอนหลักสูตรบางหลักสูตรที่มีผู้เรียนสนใจและต้องการเรียน ⌦⌫⌦⌫
5. ขาดการตดิ ตามประเมนิ ผลหลกั สตู รตา่ ง ๆ ทเ่ี ปดิ สอน โดยเฉพาะ-การประเมินจากองค์กรภายนอกซึ่งเป็นที่ยอมรับ 6. สดั สว่ นของอาจารยก์ บั นกั ศกึ ษาในบางสาขาสงู เกนิ ไป ไมเ่ ปน็ ไป-ตามเกณฑ์ที่กำหนด กอปรกับอัตรากำลังที่เกษียณอายุราชการจะถูกยุบตามนโยบายของรัฐบาล และไม่มีอัตราใหม่ทดแทน ส่งผลให้สัดส่วนเพิ่มมากขึ้นขณะเดยี วกนั อาจารยท์ ม่ี อี ยมู่ คี ณุ วฒุ ไิ มส่ งู นกั ไมเ่ ปน็ ไปตามเกณฑเ์ ชน่ กนั 7. ขาดอัตรากำลังสายสนับสนุนการสอนทำให้ต้องใช้อาจารย์ซึ่งมี-จำนวนน้อยอยู่แล้วมาทำหน้าที่สนับสนุนและรับผิดชอบ ส่งผลให้อาจารย์ผู้สอนมภี าระมาก ไมส่ ามารถปฏบิ ตั งิ านไดอ้ ยา่ งเตม็ ท่ี กอปรกบั ขาดความชำนาญในการ-ทำหน้าที่สนับสนุนจึงทำให้ประสิทธิภาพประสิทธิผลของงานธุรการ งานบริหารตา่ ง ๆ รวมถงึ ดา้ นการสนบั สนนุ ไมบ่ รรลผุ ลเทา่ ทค่ี วร 8. จากการจัดการศึกษาที่มีหลายระดับ ทำให้อาจารย์ผู้สอนต้องรับภาระหนักในการสอน ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาบุคลากรของวิทยาเขต และการพัฒนาตนเองด้านวิชาการ 9. ครุภัณฑ์มาตรฐานที่ใช้ในการจัดการเรียนการสอนล้าสมัย ไม่สอดคล้องกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันงบประมาณมีจำกัดทำให้การจัดหาครุภัณฑ์ไม่เพียงพอ 10. ผลงานวิจัยสาขาต่างๆ ยังมีจำนวนน้อย และงานวิจัยไม่เอื้อต่อการพัฒนาท้องถิ่นมากนัก ทั้งนี้ อาจเนื่องจากอาจารย์ไม่ให้ความสนใจเท่าที่ควรขาดความรู้และประสบการณ์ในการวิจัย รวมทั้งมีภาระงานสอนมากจนไม่สนใจสร้างผลงาน 11. สมาคมวชิ าชพี ตา่ ง ๆ เชน่ กว. กส. กบช. เขา้ มามบี ทบาทตอ่ การ-กำหนดคณุ ภาพของผสู้ ำเรจ็ การศกึ ษามากขน้ึ ทำใหม้ ขี อ้ จำกดั ในการผลติ นกั ศกึ ษา-ในบางสาขาวิชาชีพ ⌦⌫⌦⌫
2.3 สภาพและปญั หาการผลติ กำลงั คนของสถาบนั เทคโนโลยปี ทมุ วนั 2.3.1 สภาพท่ัวไป สถาบนั เทคโนโลยปี ทมุ วนั เปน็ สถาบนั การศกึ ษาทไ่ี ดร้ บั การยกฐานะ-จากวทิ ยาลยั ชา่ งกลปทมุ วนั โดยพระราชบญั ญตั กิ ารจดั การศกึ ษาระดบั ปรญิ ญาตร-ีในสถาบนั เทคโนโลยปี ทมุ วนั พ.ศ. 2541 ซง่ึ กำหนดใหส้ ถาบนั สงั กดั กรมอาชวี ศกึ ษากระทรวงศกึ ษาธกิ าร มอี ำนาจหนา้ ทจ่ี ดั การศกึ ษาระดบั ปรญิ ญาตรดี า้ นวทิ ยาศาสตร-์และเทคโนโลยี เมอ่ื มกี ารประกาศใชพ้ ระราชบญั ญตั ริ ะเบยี บบรหิ ารราชการกระทรวง-ศกึ ษาธกิ าร พ.ศ. 2546 ในบทเฉพาะกาล มาตราท่ี 65 ไดก้ ำหนดใหโ้ อนบรรดา-อำนาจหนา้ ทเ่ี กย่ี วกบั ราชการในสว่ นของสถาบนั เทคโนโลยปี ทมุ วนั รวมทง้ั บรรดา-อำนาจหนา้ ทข่ี องเจา้ หนา้ ทไ่ี ปเปน็ ของสำนกั งานคณะกรรมการการอดุ มศกึ ษา โดย-ให้ข้าราชการครูในสังกัดสถาบันเทคโนโลยีปทุมวันยังคงเป็นข้าราชการครูตาม-กฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการครูต่อไป จนกว่าจะมีการกำหนดตำแหน่งหรือ-วิทยฐานะตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาดังนั้นสถาบันเทคโนโลยีปทุมวัน จึงเป็นสถาบันอุดมศึกษาในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอดุ มศกึ ษา ตง้ั แตว่ นั ท่ี 7 กรกฎาคม 2546 เปน็ ตน้ มา ผลจากการปรับเปลี่ยนโครงสร้างกระทรวงศึกษาธิการดังกล่าว ได้มีการตราพระราชบญั ญตั สิ ถาบนั เทคโนโลยปี ทมุ วนั พ.ศ. 2547 ใหส้ ถาบนั สามารถ-สอนไดถ้ งึ ระดบั ปรญิ ญาเอก เปน็ สถานศกึ ษาซง่ึ มวี ตั ถปุ ระสงคใ์ นการใหก้ ารศกึ ษา-ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นแกนหลักและวิชาอื่นที่เกี่ยวข้องที่ให้ความชำนาญในการปฏบิ ตั ิ เพอ่ื ใหโ้ อกาสสำหรบั บคุ คลทว่ั ไป โดยมงุ่ เนน้ ผสู้ ำเรจ็ การศกึ ษา-ดา้ นอาชวี ศกึ ษา ในการศกึ ษาตอ่ ดา้ นวชิ าชพี เฉพาะทางระดบั ปรญิ ญา ทำการสอนทำการวจิ ยั ใหบ้ รกิ ารทางวชิ าการแกส่ งั คม รเิ รม่ิ ถา่ ยทอด ฝกึ อบรมพฒั นาบคุ ลากรพฒั นาวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ทำนบุ ำรงุ ศลิ ปะและวฒั นธรรม ⌦⌫⌦⌫
สถาบันเทคโนโลยีปทุมวัน แบ่งส่วนราชการเป็นสำนักงานอธิการบดีสำนกั งานวทิ ยาเขต คณะ และวทิ ยาลยั โดยมกี ารสอนใน 2 คณะคอื 1. คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประกอบด้วย 2 สาขาวิชาไดแ้ ก่ สาขาวชิ าชา่ งทองหลวง และสาขาเคมอี ตุ สาหกรรม 2. คณะวิศวกรรมศาสตร์ ประกอบด้วย 7 สาขาวิชา ได้แก่ สาขาวิชาวิศวกรรมการวัดคุม สาขาวิชาวิศวกรรมเครื่องกล สาขาวิชาวิศวกรรมไฟฟ้าสาขาวิชาวิศวกรรมเมคคาทรอนิกส์ สาขาวิชาวิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์และโทรคมนาคม สาขาวชิ าวศิ วกรรมอตุ สาหการ และสาขาวชิ าวศิ วกรรมเคมี หลักสูตรที่เปิดสอนจำแนกเป็น 1. หลกั สตู รวศิ วกรรมศาสตรบ์ ณั ฑติ (วศ.บ.) รบั ผจู้ บการศกึ ษาระดบั -ประกาศนยี บตั รวชิ าชพี (ปวช.) สำหรบั หลกั สตู ร 4 ปี ผจู้ บระดบั ประกาศนยี บตั ร-วิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) สำหรับหลักสูตรเทียบโอน และผู้จบระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (ม.6) 2. หลักสูตรวิทยาศาสตร์บัณฑิต (วท.บ.) รับผู้จบการศึกษาระดับปวช. ระดบั ปวส. และระดบั ม.6 สถานที่เรียนสำหรับหลักสูตรวิศวกรรมศาสตร์บัณฑิต ได้แก่สถาบันเทคโนโลยีปทุมวัน รวมทั้งหลักสูตรวิทยาศาสตร์บัณฑิตสาขาวิชาเคมี-อตุ สาหกรรม สว่ นหลกั สตู รวทิ ยาศาสตรบ์ ณั ฑติ สาขาวชิ าชา่ งทองหลวง จดั สอนท-่ีกาญจนาภเิ ษกวทิ ยาลยั ชา่ งทองหลวง (ในพระบรมมหาราชวงั เขตพระนคร) ปีการศึกษา 2548 มีนักศึกษารวมทั้งสิ้น 1,474 คน มีบุคลากรทง้ั สน้ิ จำนวน 158 คน ในจำนวนนเ้ี ปน็ ขา้ ราชการครจู ำนวน 76 คน และขา้ ราชการ-พลเรอื น 1 คน นอกนน้ั เปน็ ลกู จา้ งประจำ 27 คน ลกู จา้ งชว่ั คราว 47 คน และครูจ้างสอน 7 คน จำแนกเป็นผู้จบการศึกษาระดับสูงกว่าปริญญาตรี 69 คนและจบระดบั ปรญิ ญาตรี 7 คน ⌦⌫⌦⌫
2.3.2 ปัญหาการผลิตกำลังคน 1. จากการปรับเปลี่ยนโครงสร้างของกระทรวงศึกษาธิการที่ให้โอน-สถาบนั เทคโนโลยปี ทมุ วนั จากกรมอาชวี ศกึ ษาไปสงั กดั สำนกั งานคณะกรรมการการอดุ มศกึ ษา จงึ ไดม้ กี ารตราพระราชบญั ญตั สิ ถาบนั เทคโนโลยปี ทมุ วนั พ.ศ. 2547 ขน้ึซง่ึ ไดป้ ระกาศในราชกจิ จานเุ บกษาและมผี ลบงั คบั ใชต้ ง้ั แตว่ นั ท่ี 1 ธนั วาคม 2547สาระสำคญั ของพระราชบญั ญตั ฉิ บบั น้ี คอื ใหย้ กเลกิ พระราชบญั ญตั กิ ารจดั การศกึ ษา-ระดบั ปรญิ ญาตรใี นสถาบนั เทคโนโลยปี ทมุ วนั พ.ศ. 2541 ใหส้ ถาบนั เปน็ นติ บิ คุ คลและเป็นส่วนราชการตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอดุ มศกึ ษา กระทรวงศกึ ษาธกิ าร โดยใหส้ ถาบนั เปน็ สถานศกึ ษาซง่ึ มวี ตั ถปุ ระสงคใ์ นการใหก้ ารศกึ ษา สง่ เสรมิ ดา้ นวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยเี ปน็ -แกนหลัก และวิชาอื่นที่เกี่ยวข้องที่ให้ความชำนาญในการปฏิบัติ เพื่อให้โอกาสสำหรบั บคุ คลทว่ั ไป โดยมงุ่ เนน้ ผสู้ ำเรจ็ การศกึ ษาดา้ นอาชวี ศกึ ษา ในการศกึ ษาตอ่ -ด้านวิชาชีพเฉพาะทางระดับปริญญา ทำการสอน วิจัย ให้บริการทางวิชาการแก่สังคม ริเริ่ม ถ่ายทอด ฝึกอบรม พัฒนาบุคลากร พัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทำนุบำรุงศิลปะและวัฒนธรรม ซึ่งการปรับเปลี่ยนโครงสร้างดังกล่าวสง่ ผลตอ่ การบรหิ ารจดั การศกึ ษา และการบรหิ ารบคุ คล 2. ครุภัณฑ์การศึกษาเสื่อมสภาพ ทั้งนี้เพราะสถาบันเทคโนโลยี-ปทมุ วนั ไดร้ บั ความรว่ มมอื จากประเทศญป่ี นุ่ โดยผา่ นหนว่ ยงาน JICA ในโครงการDevelopment of Mechatronics Engineering Course at BachelorDegree Level in Pathumwan Technical College ในการพฒั นาหลกั สตู ร-ปรญิ ญาตรี สาขาวชิ าวศิ วกรรมเมคคาทรอนกิ สต์ ง้ั แตป่ ี พ.ศ. 2537 จนถงึ สน้ิ สดุ -โครงการเมอ่ื 21 มนี าคม 2542 โดยไดร้ บั ครภุ ณั ฑจ์ ากโครงการเปน็ เงนิ ประมาณ124 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันเครื่องมือเครื่องจักรเหล่านั้นเสื่อมสภาพตามอายุ และสภาพการใช้งาน ประกอบกับ จำนวนนักศึกษาที่รับเพิ่มขึ้น จึงทำให้ครุภัณฑ์ไมเ่ พยี งพอในการใชจ้ ดั การศกึ ษาทม่ี ปี ระสทิ ธภิ าพ ประสทิ ธผิ ล ⌦⌫⌦⌫
นอกจากครภุ ณั ฑด์ งั กลา่ วแลว้ ยงั รวมไปถงึ สอ่ื อปุ กรณต์ า่ ง ๆ ทใ่ี ช-้ในหอ้ งเรยี น และอปุ กรณห์ อ้ งปฏบิ ตั กิ าร เครอ่ื งมอื เครอ่ื งจกั รตา่ ง ๆ พรอ้ มอปุ กรณ-์สารสนเทศที่ยังไม่เพียงพอ ไม่ทันสมยั ตลอดถึงหนังสือและอุปกรณ์ในห้องสมุดและการวางระบบเครือข่ายฐานข้อมูลความเร็วสูง 2.4 สภาพและปัญหาการผลิตกำลังคนด้านอาชีวศึกษาและเทคโนโลยี ของสถานศึกษาอาชีวศึกษาเอกชน 2.4.1 สภาพทว่ั ไป โรงเรียนเอกชน หมายถึง สถานศึกษาหรือสถานที่ที่บุคคลจัดการศึกษาในระดับต่ำกว่าปริญญาตรีแก่นักเรียนทุกผลัดรวมกันเกิน 7 คนขึ้นไปแบง่ ไดเ้ ปน็ 3 ลกั ษณะ คอื 1. โรงเรียนที่จัดการศึกษาตามหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการหรอื หลกั สตู รทไ่ี ดร้ บั อนมุ ตั จิ ากกระทรวงศกึ ษาธกิ าร และจดั เปน็ รปู แบบการศกึ ษาในระบบโรงเรียน ได้แก่ โรงเรียนประเภทสามัญศึกษา และโรงเรียนประเภท-อาชีวศึกษา 2. โรงเรียนที่จัดการศึกษาตามหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการหรือหลักสูตรที่ได้รับอนุมัติจากกระทรวงศึกษาธิการ และจัดเป็นรูปแบบการศึกษานอกระบบโรงเรียน 3. โรงเรียนที่จัดการศึกษาให้แก่บุคคลที่มีลักษณะพิเศษหรือผิดปกติทางร่างกาย สติปัญญา หรือจิตใจที่จัดเป็นรูปแบบการศึกษาพิเศษ หรือโรงเรียนที่จัดการศึกษาให้แก่บุคคลผู้ยากไร้หรือผู้เสียเปรียบทางการศึกษาใน-ลกั ษณะตา่ ง ๆ ทจ่ี ดั เปน็ รปู แบบการศกึ ษาสงเคราะห์ สำนักบริหารงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน เป็นส่วน-ราชการหนง่ึ ในสำนกั งานปลดั กระทรวงศกึ ษาธกิ าร มหี นา้ ทด่ี แู ล สง่ เสรมิ สนบั สนนุและประสานงานการจดั การศกึ ษาเอกชนในระดบั ตำ่ กวา่ ปรญิ ญาตรี ใหเ้ ปน็ ไปตาม- ⌦⌫⌦⌫
กฎหมายเกย่ี วกบั การศกึ ษาเอกชน นน่ั กค็ อื พระราชบญั ญตั โิ รงเรยี นเอกชน พ.ศ.2525 ถึงแม้ว่าจะมีการเสนอร่างพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชนฉบับใหม่ แต่ยังอยู่ในกระบวนการทางนิติบัญญัติ ดังนั้นพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ.2525 จึงยังมีผลบังคับใช้อยู่ และผู้มีอำนาจตามกฎหมายยังคงเป็นเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาเอกชนและผู้ว่าราชการจังหวัด โดยสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทำหน้าที่กำกับ ดูแล จัดตั้ง ยุบ รวม หรือเลิกสถานศึกษาขั้นพื้นฐานในเขตพื้นที่การศึกษา ประสาน ส่งเสริม และสนับสนุนสถานศึกษาเอกชนในเขตพื้นที่การศึกษา เนื่องจากโรงเรียนเอกชนหมายถึง สถานศึกษาหรือสถานที่ที่บุคคล-จัดการศึกษาในระดับต่ำกว่าปริญญาตรีแก่นักเรียนทุกผลัดรวมกันเกิน 7 คนขึ้นไป ดังนั้นจึงหมายรวมถึงโรงเรียนอาชีวศึกษาเอกชนที่จัดการเรียนการสอนระดับ ปวช. และ ปวส. ดว้ ย ในปีการศึกษา 2545 สำนักบริหารงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน มีโรงเรียนเอกชนอยู่ภายใต้การดูแล ส่งเสริม และสนับสนุนทั้งสิ้น7,666 โรงเรยี น มนี กั เรยี นจำนวนทง้ั สน้ิ 2,960,555 คน ในจำนวนนเ้ี ปน็ โรงเรยี น-เอกชนประเภทอาชีวศึกษาจำนวน 381 โรงเรียน มีนักเรียนรวมทั้งสิ้น 351,800คน และครู 17,455 คน จำแนกเปน็ โรงเรยี นทอ่ี ยใู่ นเขตกรงุ เทพฯ 98 โรงเรยี นมนี กั เรยี น 103,634 คน ครู 5,025 คน และเปน็ โรงเรยี นในเขตภมู ภิ าค 283โรงเรยี น มนี กั เรยี น 248,166 คน ครู 12,430 คน ปจั จบุ นั โรงเรยี นทกุ แหง่ จะอย-ู่ภายใต้เขตพื้นที่การศึกษาที่โรงเรียนเหล่านั้นตั้งอยู่ หลักสูตรที่เปิดสอนประเภท-อาชีวศึกษา ได้แก่ หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) และอีกหลักสูตรหนึ่ง ซึ่งยังคงเปิดสอนอยบู่ า้ งไมม่ ากนกั คอื หลกั สตู รประกาศนยี บตั รวชิ าชพี เทคนคิ (ปวท.) ⌦⌫⌦⌫
2.4.2 ปัญหาการผลิตกำลังคน 1. ผู้เรียนมีพื้นฐานความรู้เดิมค่อนข้างต่ำ ทำให้เป็นภาระหน้าที่ตอ่ ครผู สู้ อน และสง่ ผลใหส้ อบตกมาก 2. คณุ ภาพผจู้ บการศกึ ษาไมต่ รงตามความตอ้ งการของตลาดแรงงาน 3. ผู้สมัครเข้าศึกษาต่อมีจำนวนลดลง 4. อัตราการลาออกของครู-อาจารย์ ค่อนข้างสูง ทั้งนี้ เนื่องจากขาดขวญั และกำลงั ใจ ขณะเดยี วกนั ครสู ว่ นหนง่ึ มงุ่ หวงั ทำงานในสถานประกอบการอาศัยอาชีพครูเป็นอาชีพชั่วคราว 5. สัดส่วนอาจารย์ต่อนักเรียนในบางสาขาค่อนข้างสูง 6. คุณภาพของอาจารย์ด้านคุณวุฒิและประสบการณ์วิชาชีพที่ทำการสอนยังต้องได้รับการปรับปรุง 7. การพัฒนาครู-อาจารย์ ยังขาดการสนับสนุนอย่างจริงจัง และทำได้น้อย 8. เครอ่ื งมอื อปุ กรณ์ สอ่ื การสอน ชดุ ฝกึ เกา่ ลา้ สมยั และมจี ำนวน-ไม่เพียงพอ 9. งบประมาณวสั ดฝุ กึ ยงั ตำ่ สง่ ผลตอ่ การเรยี นการฝกึ และคณุ ภาพ-นักเรียน 10. นโยบายการจัดการศึกษาสำหรับโรงเรียนอาชีวศึกษาเอกชนยังไมแ่ นน่ อน สว่ นหนง่ึ เนอ่ื งมาจากพระราชบญั ญตั กิ ารศกึ ษาเอกชนยงั อยใู่ นระหวา่ ง-กระบวนการนิติบัญญัติ ส่งผลกระทบถึงการบริหารงานของโรงเรียนเอกชนต่างๆที่มีอยู่ก่อน ⌦⌫⌦⌫
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179