โครงการแบรนดซ์ มั เมอรแ์ คมป์ ปีท่ี 28 _________________________________ วิทยาศาสตร์ ฟิสกิ ส์ (149)
แนวขอสอบ 11. สิง่ ตอ่ ไปนี้ อะไรบา้ งทมี่ ผี ลตอ่ ทิศทางของแรงที่กระทําต่ออนภุ าคประจทุ ี่วิ่งในแนวต้ังฉากกับสนามแมเ่ หลก็ ก. ทิศทางของสนามแมเ่ หล็ก ข. ขนาดของประจุ ค. ขนาดของสนามแมเ่ หลก็ ง. ชนิดของประจุ ขอ้ ท่ีถกู ต้องคือขอ้ ใด 1) ก. และ ข. 2) ก. และ ค. 3) ก. และ ง. 4) ข. และ ค. 12. วางลวดตรงยาว 0.30 เมตร ไว้ในสนามแมเ่ หลก็ B เมือ่ มีกระแสไฟฟา้ ไหลในลวดน้ี 10 มิลลแิ อมแปร์ จากทิศตะวนั ตกไปทศิ ตะวนั ออก ลวดจะได้รับแรงกระทาํ 3 × 10-3 N ในทศิ เหนือ จงหาขนาดและทิศทาง ของสนามแมเ่ หล็ก B 1) B = 3 × 10-3 เทสลา ในทิศพุ่งลงตงั้ ฉากกบั ระนาบท่ีวางขดลวด 2) B = 3 × 10-3 เทสลา ในทศิ พุง่ ขนึ้ ตง้ั ฉากกบั ระนาบทว่ี างขดลวด 3) B = 1 เทสลา ในทิศพุ่งลงต้งั ฉากกบั ระนาบท่วี างขดลวด 4) B = 1 เทสลา ในทิศพุ่งขึน้ ตั้งฉากกับระนาบท่วี างขดลวด 13. ขดลวดรูปสเี่ หล่ยี มจัตุรสั ยาวดา้ นละ 10 เซนตเิ มตร จาํ นวน 500 รอบ มกี ระแสไหล 1.0 × 10-2 แอมแปร์ เม่ือหมุนอยู่ในสนามแมเ่ หลก็ สมา่ํ เสมอ ปรากฏว่าโมเมนต์ของแรงค่คู วบทกี่ ระทําตอ่ ขดลวด มคี า่ สงู สดุ เท่ากับ 0.028 นวิ ตนั .เมตร สนามแมเ่ หล็กน้ีมีคา่ กเี่ ทสลา 14. ลวด AB และ CD ตา่ งไม่มีความต้านทานและตรึงแน่นอยู่กบั ที่ ลวด EF ขนาดสมาํ่ เสมอยาว 10 เซนตเิ มตร ความต้านทาน 25 โอหม์ วางพาดลวด AB และ CD ดงั รูป ถ้าสนามแมเ่ หลก็ บริเวณนีม้ ีคา่ สมํา่ เสมอ 0.5 เทสลา ขนาดของแรงจากสนามแม่เหลก็ ทีก่ ระทาํ ต่อลวด EF มีคา่ ก่นี ิวตัน A XEX X X B XXXX 30 V 8 cm 5Ω XXXX C XFX X X D 1) 4.8 × 10-2 2) 6.0 × 10-2 3) 5.0 × 10-2 4) 4.0 × 10-2 วทิ ยาศาสตร์ ฟสิ ิกส์ (150) __________________________________โครงการแบรนด์ซัมเมอรแ์ คมป์ ปที ่ี 28
15. ลวดยาว 10 เซนตเิ มตร วางอยใู่ นสนามแม่เหล็ก ดังรูป ถา้ สนามแมเ่ หลก็ มีขนาด 3 × 10-2 เทสลา แล้วเกดิ แรงกบั ลวดเส้นนี้ 6 × 10-4 นิวตนั จงหาค่ากระแสทผ่ี า่ นลวดน้ีในหนว่ ยแอมแปร์ I 45° Bv 1) 0.18 2) 0.28 3) 0.38 4) 0.48 16. P และ Q เป็นเส้นลวดยาววางขนานกัน ตา่ งมีกระแสไฟฟา้ I ไหลผ่านในทิศทางสวนกนั ทิศทางของ สนามแม่เหลก็ และแรงทกี่ ระทําบนเส้นลวด Q เปน็ ข้อใด PQ y II x 1) พุ่งเขา้ กระดาษ และ -x 2) พ่งุ ออกจากกระดาษ และ -x 3) พงุ่ เขา้ กระดาษ และ -y 4) พงุ่ เขา้ กระดาษ และ +x 17. จากรปู เป็นรปู ของอะไร 1) มอเตอร์ไฟฟ้ากระแสตรง 2) เคร่ืองกําเนดิ ไฟฟ้ากระแสตรง 3) เครอ่ื งกําเนิดไฟฟ้ากระแสสลับ 4) มอเตอรไ์ ฟฟา้ กระแสสลับ โครงการแบรนด์ซัมเมอรแ์ คมป์ ปีที่ 28 _________________________________ วทิ ยาศาสตร์ ฟิสกิ ส์ (151)
ไฟฟากระแสสลบั วทิ ยาศาสตร์ ฟสิ ิกส์ (152) __________________________________โครงการแบรนด์ซัมเมอรแ์ คมป์ ปีท่ี 28
โครงการแบรนดซ์ มั เมอรแ์ คมป์ ปีท่ี 28 _________________________________ วิทยาศาสตร์ ฟิสกิ ส์ (153)
วทิ ยาศาสตร์ ฟสิ กิ ส์ (154) __________________________________โครงการแบรนดซ์ มั เมอรแ์ คมป์ ปีท่ี 28
โครงการแบรนดซ์ มั เมอรแ์ คมป์ ปีท่ี 28 _________________________________ วิทยาศาสตร์ ฟิสกิ ส์ (155)
วทิ ยาศาสตร์ ฟสิ กิ ส์ (156) __________________________________โครงการแบรนดซ์ มั เมอรแ์ คมป์ ปีท่ี 28
แนวขอ สอบ 18. วงจร RCL แบบอนกุ รม ดงั รูป ถ้าแหล่งกาํ เนิดไฟฟา้ กระแสสลับมีความตา่ งศักย์ 150 โวลต์ ความต่างศักย์ ของ R, C และ L มีคา่ เป็นเทา่ ไร ตามลาํ ดับ RC L 20 Ω 15 Ω 25 Ω 150 V 1) 50 V, 37.5 V และ 62.5 V ตามลาํ ดับ 2) 60 5 V, 45 5 V และ 75 5 V ตามลําดบั 3) 100 10 V, 75 10 V และ 125 10 V ตามลาํ ดับ 4) 60 5 V, 75 10 V และ 62.5 V ตามลําดับ 19. วงจร RCL แบบขนาน มคี วามตา้ นทาน 50 โอหม์ ความตา้ นเชิงความจุ 25 โอห์ม และความต้าน เชิงเหนี่ยวนาํ 50 โอหม์ ตอ่ กับไฟฟา้ กระแสสลับ 200 โวลต์ ความถี่เชงิ มมุ 1,000 เรเดยี น/วินาที จงหา ก. กระแสไฟฟ้าสูงสดุ ในวงจร ข. มุมเฟสระหวา่ งกระแสกับความต่างศักย์ของวงจร 20. ตัวเกบ็ ประจุมีความจุ 30 ไมโครฟารัด ตอ่ กบั เครื่องกาํ เนิดสัญญาณรปู ไซนท์ เี่ ปล่ยี นความถไี่ ด้ ถา้ เครื่อง กําเนดิ นี้ ใหแ้ รงเคล่ือนไฟฟา้ rms 2 โวลต์ จงหาความถข่ี องเคร่ืองกําเนิดท่ที าํ ให้กระแส rms ท่ีผ่านตวั เก็บ ประจุเทา่ กับ rms 0.5 มิลลแิ อมแปร์ 21. วงจร RCL ตอ่ ขนาน ดังรูป โดย R = 100 โอหม์ , C = 10 ไมโครฟารัด, L = 0.05 เฮนรีตอ่ ขนานกนั และ ตอ่ กับความตา่ งศักย์ซึ่งเปลี่ยนแปลงตามเวลาดงั สมการ v = 100sin 1,000 t จงหา IR R IC C L IL I ก. ความต้านทานเชงิ ซอ้ น ข. กระแสไฟฟ้าของวงจร ค. กระแสไฟฟ้าผ่าน R, C, L ง. กาํ ลงั เฉลีย่ ของวงจร โครงการแบรนดซ์ มั เมอรแ์ คมป์ ปีท่ี 28 _________________________________ วิทยาศาสตร์ ฟิสกิ ส์ (157)
22. วงจร LC ขนานกนั ดงั รูป มีความถ่เี รโซแนนซ์ f0 ถ้าเพม่ิ L ขนึ้ เป็น 4 เท่า และเพิม่ C ขึ้นเปน็ 9 เทา่ ของ ของเดมิ ความถเี่ รโซแนนซใ์ หมจ่ ะเปน็ เท่าใด C L 1) 1 f0 6 2 2) 3 f0 3) 3 f0 2 4) 6 f0 23. ตัวเกบ็ ประจุ 25 µF และตวั ตา้ นทาน 30 Ω ต่ออนุกรมกับแหล่งกาํ เนดิ ไฟฟ้ากระแสสลับ ซง่ึ เปล่ียนแปลง ตามเวลาดังสมการ i (t) = 2 sin (1,000 t) จงหากาํ ลงั เฉลี่ยของวงจร 1) 60 W 2) 100 W 3) 130 W 4) 200 W วิทยาศาสตร์ ฟสิ ิกส์ (158) __________________________________โครงการแบรนดซ์ มั เมอรแ์ คมป์ ปีที่ 28
คล่นื แมเหลก็ ไฟฟาและแสงเชงิ ฟส กิ ส โครงการแบรนด์ซมั เมอร์แคมป์ ปที ี่ 28 _________________________________ วทิ ยาศาสตร์ ฟสิ กิ ส์ (159)
วทิ ยาศาสตร์ ฟสิ กิ ส์ (160) __________________________________โครงการแบรนดซ์ มั เมอรแ์ คมป์ ปีท่ี 28
แนวขอสอบ 24. ช่องแคบสองชอ่ งห่างกนั 0.3 มิลลิเมตร วางห่างจากฉาก 1.00 เมตร เม่อื ฉายดว้ ยแสงซ่ึงมีความยาวคล่นื 600 นาโนเมตร ในแนวต้งั ฉากให้ผา่ นช่องแคบไปยงั ฉาก จงหาระยะห่างระหวา่ งแถบสว่างท่ีสองกบั แนวกลาง 25. เมื่อฉายแสงสเี ดียวผา่ นชอ่ งแคบเดีย่ ว ปรากฏว่าแถบสว่างแรกบนฉากเบนจากแนวกลาง 30° จงคาํ นวณหา อัตราสว่ นระหวา่ งความกวา้ งของช่องกบั ความยาวคลนื่ แสงนั้น 26. ถา้ โพลารอยด์มแี ผ่นเดียว แสงธรรมชาตไิ มว่ า่ มาลกั ษณะใดจะผา่ นได้กี่เปอร์เซน็ ต์ 1) ศูนย์ 2) 25% 3) 50% 4) 33 31 % 27. ถ้าให้แสงความยาวคลน่ื 575 นาโนเมตร ผ่านชอ่ งแคบเดย่ี ว (Single Slit) ทาํ ให้เกิดแถบมืดบนฉาก ซง่ึ อยู่ ห่างจากช่อง 85 เซนติเมตร ถา้ ระยะห่างระหว่างแถบมดื ท่ี 1 ทางขวาและซ้าย = 5.0 มลิ ลเิ มตร จงคํานวณหาความกวา้ งของชอ่ งแคบเดย่ี ว โครงการแบรนด์ซัมเมอรแ์ คมป์ ปที ี่ 28 _________________________________ วิทยาศาสตร์ ฟสิ กิ ส์ (161)
ฟส ิกสอ ะตอม วทิ ยาศาสตร์ ฟสิ ิกส์ (162) __________________________________โครงการแบรนด์ซัมเมอรแ์ คมป์ ปที ี่ 28
โครงการแบรนดซ์ มั เมอรแ์ คมป์ ปีท่ี 28 _________________________________ วิทยาศาสตร์ ฟิสกิ ส์ (163)
วทิ ยาศาสตร์ ฟสิ กิ ส์ (164) __________________________________โครงการแบรนดซ์ มั เมอรแ์ คมป์ ปีท่ี 28
โครงการแบรนดซ์ มั เมอรแ์ คมป์ ปีท่ี 28 _________________________________ วิทยาศาสตร์ ฟิสกิ ส์ (165)
วทิ ยาศาสตร์ ฟสิ กิ ส์ (166) __________________________________โครงการแบรนดซ์ มั เมอรแ์ คมป์ ปีท่ี 28
แนวขอสอบ 28. ในการทดลองเรอ่ื งหยดน้าํ มันของมลิ ลแิ กน ถ้าหยดนาํ้ มนั มมี วล 6.4 × 10-15 กิโลกรมั และได้รบั อิเลก็ ตรอนเพิ่ม 5 ตัว เคลอื่ นทขี่ ึ้นด้วยความเรง่ 5 เมตร/วนิ าที2 ถา้ ระยะระหวา่ งแผน่ โลหะเท่ากับ 1 เซนติเมตร ความต่างศกั ย์ระหวา่ งแผน่ โลหะทง้ั สองมคี ่ากโี่ วลต์ กําหนดให้ประจไุ ฟฟา้ ของอเิ ลก็ ตรอน เทา่ กบั 1.6 × 10-19 คลู อมบ์ 29. อนภุ าคแอลฟา มวล 6.4 × 10-27 kg มีประจุ +2e เร่ิมตน้ มคี วามเร็ว 2 × 107 m/s วงิ่ ตรงเขา้ หา นิวเคลยี สของทองคาํ ซ่งึ มีประจุ +79e จงหาว่าอนุภาคแอลฟาน้ีจะเข้าใกลน้ วิ เคลยี สของทองคําได้มาก ที่สุดเท่าไร (ค่าทคี่ าํ นวณไดน้ จ้ี ะถูกประมาณให้เป็นขนาดรศั มีนวิ เคลยี สของทองคาํ ) (แนวคดิ ; พลงั งานจลนอ์ นภุ าคจะเปลีย่ นไปเปน็ พลังงานศกั ย์ไฟฟา้ ตอนเข้าใกล้ทีส่ ดุ ) 30. ตามการทดลองของฟรังก์กับเฮิรตซ์ขอ้ สรุปใดไมจ่ ริง 1) อิเล็กตรอนที่มพี ลงั งานนอ้ ยกว่า 4.9 eV จะมีการชนแบบยืดหยุน่ กบั อะตอมของไอปรอท 2) อเิ ลก็ ตรอนทีม่ พี ลังงานมากกวา่ 4.9 eV จะสญู เสยี พลงั งานส่วนหนง่ึ ให้กับอะตอมของไอปรอท 3) อะตอมของไอปรอทมคี ่าพลงั งานระดับพื้นเท่ากบั 4.9 eV 4) อะตอมของไอปรอทมีคา่ พลงั งานเป็นช้นั ๆ ไมต่ ่อเนอื่ ง 31. จงเลอื กข้อความที่ถกู ต้อง 1) รงั สีเอกซเ์ ป็นคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้าท่มี คี วามถ่ีสูงมากและเป็นสเปกตรัมตอ่ เน่ือง 2) รังสีเอกซ์เป็นคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีสเปกตรัมต่อเน่ือง ซ่ึงค่าความถ่ีสูงสุดขึ้นกับชนิดของโลหะท่ีใช้ ทําเป้าและยงั มีสเปกตรมั เสน้ ด้วย 3) รงั สเี อกซ์เป็นคล่นื แม่เหล็กไฟฟา้ ทม่ี สี เปกตรมั เส้น ซึง่ เกิดจากการปล่อยพลังงานของอเิ ล็กตรอนของ อะตอม เมอ่ื อเิ ลก็ ตรอนนนั้ เปลีย่ นวงโคจรจากทีม่ รี ะดบั พลังงานต่ําไปสวู่ งโคจรที่มรี ะดับพลังงานสงู และ ยงั มีสเปกตรมั ต่อเน่อื งด้วย 4) ไม่มขี ้อความใดถูก 32. พจิ ารณาแบบจําลองอะตอมไฮโดรเจนของโบร์ ถ้าอิเล็กตรอนเกิดการเปลีย่ นระดับชนั้ พลงั งานจาก n = 3 ลงมาเป็น n = 1 จะเกดิ การเปล่ียนแปลงพลงั งานศกั ย์ (ไมใ่ ช่พลงั งานท้ังหมด) เพม่ิ ข้นึ หรือลดลงเทา่ ใด 1) เพม่ิ ขนึ้ 12.1 eV 2) เพมิ่ ขน้ึ 24.2 eV 3) ลดลง 1.5 eV 4) ลดลง 12.1 eV 5) ลดลง 24.2 eV โครงการแบรนด์ซัมเมอร์แคมป์ ปที ่ี 28 _________________________________ วิทยาศาสตร์ ฟสิ ิกส์ (167)
33. ในการทดลองเรอ่ื งโฟโตอิเลก็ ทริก ใช้แสงความถี่ 7.0 × 1014 เฮริ ตซ์ ตกกระทบผิวโลหะท่มี ีคา่ ฟังก์ชนั งาน เทา่ กบั 2.3 อิเลก็ ตรอนโวลต์ จงหาความตา่ งศกั ยห์ ยุดยั้งของโฟโตอเิ ล็กตรอนน้ี 1) 0.6 V 2) 2.3 V 3) 2.9 V 4) 5.2 V 34. แสงความถี่ 7.0 × 1014 เฮริ ตซ์ ตกกระทบโลหะที่มีคา่ ฟงั กช์ นั งาน 4.3 × 10-19 จูล อิเลก็ ตรอนทห่ี ลดุ จาก ผวิ จะมีโมเมนตัมสูงสดุ เทา่ ใด 1) 3.2 × 10-19 kg.m.s-1 2) 1.4 × 10-20 kg.m.s-1 3) 3.2 × 10-20 kg.m.s-1 4) 2.4 × 10-25 kg.m.s-1 35. ในการศึกษาปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทรกิ ของโลหะชนิดหนึง่ ได้กราฟความสัมพันธ์ระหวา่ งพลังงานจลน์ สงู สดุ ของโฟโตอิเลก็ ตรอนกบั ความถข่ี องคลนื่ แมเ่ หล็กไฟฟ้าที่ตกกระทบผวิ โลหะ ดังรูป ถ้าให้คลืน่ แม่เหลก็ ไฟฟ้า ความถี่ 6 × 1014 เฮริ ตซ์ ตกกระทบผิวโลหะนี้ จะต้องใช้ความต่างศักยห์ ยดุ ยัง้ เทา่ ใด Ek สงู สุด f (1014 Hz) 0 246 1) 0.42 V 2) 0.83 V 3) 1.65 V 4) 2.50 V 36. อนภุ าคมวล m มีพลงั งานจลนเ์ พ่ิมขึน้ เป็น 4 เท่า ของพลังงานจลนเ์ ดิม ความยาวคล่ืนเดอบรอยลข์ อง อนุภาคนี้ในครั้งหลงั จะเป็นกีเ่ ท่าของความยาวคล่ืนเดอบรอยล์ครั้งแรก 1 1) 2 เท่า 2) 2 เท่า 3) 4 เท่า 4) 8 เท่า วิทยาศาสตร์ ฟิสิกส์ (168) __________________________________โครงการแบรนดซ์ มั เมอร์แคมป์ ปีที่ 28
ฟส ิกสนวิ เคลยี ร โครงการแบรนด์ซมั เมอร์แคมป์ ปีท่ี 28 _________________________________ วทิ ยาศาสตร์ ฟสิ กิ ส์ (169)
แนวขอ สอบ 37. สาํ หรบั ปฏิกิรยิ า 21H + 21H → 32He + X + 3.3 MeV X แทนอนภุ าคใด 1) อเิ ล็กตรอน 2) โพซิตรอน 3) โปรตอน 4) นวิ ตรอน 38. ปฏิกริ ิยานวิ เคลยี รต์ ่อไปน้สี มการใดบา้ งท่ีผิด 147 N 17 ก. (α, p) 8 O ข. 239 U → 239 Np + 0 e 92 93 -1 147 N 24 Ne 17 + 11H ค. + + 1.19 MeV → 8 O ง. 19768 Pt + 01n → 196 Pt +γ 78 คาํ ตอบ คอื ข้อใด 1) ก., ข. และ ค. 2) ข. และ ง. 3) ง. เทา่ น้ัน 4) คําตอบเปน็ อยา่ งอ่นื 39. ปฏกิ ริ ยิ านิวเคลียร์ 198 Hg (n, y) 197 Au ถามวา่ y คืออนภุ าคใด 80 79 1) ดิวเทอรอน 2) อนภุ าคแอลฟา 3) โปรตอน 4) ทริทอน 40. จากรูป เป็นแผนภาพแสดงบางสว่ นของอนกุ รมการสลายของนิวเคลยี สธาตหุ นัก ในท่ีนี้นิวเคลียส ก สลาย เป็นนวิ เคลียส ข และนวิ เคลยี ส ข สลายเปน็ นวิ เคลยี ส ค ในระหวา่ งการสลายตวั จากนิวเคลียส ก → ข → ค จะปล่อยอนภุ าคเรยี งลาํ ดบั ไดด้ งั นี้ A 238 ก 236 234 ข ค Z 91 92 23289 90 1) อนุภาคแอลฟาและอนภุ าคบีตาบวก 2) อนุภาคบีตาลบและอนภุ าคแอลฟา 3) อนุภาคบีตาบวกและอนภุ าคแอลฟา 4) อนภุ าคแอลฟาและอนภุ าคบตี าลบ วทิ ยาศาสตร์ ฟิสิกส์ (170) __________________________________โครงการแบรนด์ซัมเมอรแ์ คมป์ ปที ี่ 28
41. ลูกเตา๋ พเิ ศษมี 14 หนา้ แต่ละหนา้ มีหมายเลข 1 ถงึ 14 เขียนไว้ เริ่มตน้ โยนลูกเต๋านจ้ี าํ นวน 1,000 ลกู พรอ้ มกัน และคัดลกู ทอ่ี อกเลข 1 ออกไป แล้วนําลกู เตา๋ ทีเ่ หลือมาโยนใหม่ และคัดออกโดยใชเ้ กณฑเ์ ดมิ คา่ ครึ่งชวี ติ ของลกู เต๋าจะมีค่าเท่าใด 1) 13/n2 2) 14/n2 ln2 ln2 3) 14 4) 13 42. ในการทดลองวดั การสลายตัวของสารกมั มันตรงั สี ปรากฏวา่ ไดก้ ราฟแสดงความสมั พันธ์ระหว่างกมั มันตรงั สี ที่นับได้ (ตอ่ วินาที) กบั เวลาเปน็ ชวั่ โมง ดงั รปู จงหาว่าในตอนแรกมจี าํ นวนนวิ เคลียสของสารกมั มนั ตรังสี อยเู่ ทา่ ใด กมั มันตภาพ (ต่อวินาท)ี 120 8 12 16 20 เวลา (ช่วั โมง) 100 80 60 40 20 0 24 1) 1.4 × 103 2) 8.3 × 104 3) 3.5 × 106 4) 5.0 × 106 43. ตอ้ งใชเ้ วลานานประมาณเทา่ ใด ธาตุกัมมันตรังสีที่มคี ร่งึ ชวี ิตเทา่ กบั 30 ปี จงึ จะมปี ริมาณเหลอื เพียงรอ้ ยละ 10 ของของเดมิ 1) 80 ปี 2) 100 ปี 3) 120 ปี 4) 240 ปี 44. ไอโอดนี -131 มีคา่ คงตัวของการสลายตัวเท่ากับ 0.087 ต่อวัน ถ้ามีไอโอดีน -131 อยู่ 10 กรัม ตอนเรม่ิ ต้น เม่อื เวลาผ่านไป 24 วนั จะมีไอโอดนี -131 เหลืออยเู่ ทา่ ใด (กาํ หนดให้ ln 2 = 0.693) 1) 0.63 กรมั 2) 1.25 กรมั 3) 2.50 กรัม 4) 5.00 กรมั 45. จากปฏิกิรยิ านิวเคลยี ร์ 10 B + 01n → 7 Li + 4 He พบว่ามีพลงั งานเกดิ ขน้ึ 2.79 MeV จงหามวลของ 5 3 2 Li ในหนว่ ย u (กาํ หนดมวลของโบรอน -10 เทา่ กับ 10.01294 u มวลของนวิ ตรอนเท่ากบั 1.00866 u และมวลของฮเี ลยี ม -4 เทา่ กบั 4.00260 u และมวล 1 u เทียบเท่ากับพลงั งาน 930 MeV) 1) 7.00000 u 2) 7.01600 u 3) 7.02000 u 4) 7.03100 u โครงการแบรนด์ซมั เมอร์แคมป์ ปที ่ี 28 _________________________________ วทิ ยาศาสตร์ ฟิสกิ ส์ (171)
46. ในการทาํ ให้นา้ํ แข็งมวล 40 กรมั อุณหภมู ิ -5°C ใหก้ ลายเป็นไอนา้ํ ที่มอี ณุ หภูมิ 150°C ตอ้ งใช้พลังงาน ความร้อนกก่ี ิโลจลู กําหนดค่าความจคุ วามร้อนจําเพาะของนํา้ แขง็ มคี า่ 2.08 kJ/kg.K ความรอ้ นแฝง จาํ เพาะของนํา้ แข็งมคี า่ 333 kJ/kg.K ความจุความร้อนจําเพาะของน้าํ มคี า่ 4.18 kJ/kg.K ความร้อนแฝง จาํ เพาะของไอนาํ้ มคี า่ 2,256 kJ/kg.K ความจคุ วามรอ้ นจําเพาะของไอนํา้ มีค่า 1.98 kJ/kg.K 47. นาํ นํ้าแขง็ จาํ นวน 60 กรมั ท่ี 0°C ใสเ่ ขา้ ไปในแคลอรีมเิ ตอร์ (ท่ถี ือวา่ ไม่มีคา่ ความร้อนจําเพาะ) ซงึ่ บรรจนุ าํ้ 400 กรัม อณุ หภมู ิ 70°C อยู่ ภายหลงั จากกวนจนเกิดสมดลุ ทางความร้อนอณุ หภูมจิ ะเปน็ เท่าใด 1) 0°C เพราะน้ําแขง็ ละลายไมห่ มด 2) ประมาณ 5°C 3) ใกล้เคยี งกับ 50°C 4) ใกลๆ้ กับจุดเดอื ด (100°C) 48. เคร่ืองตม้ น้ําไฟฟา้ ใช้กับความต่างศักย์ 220 โวลต์ เมื่อเราปล่อยให้นํา้ อุ่นไหลในอตั ราทีค่ งทเ่ี คร่อื งตม้ นํ้าจะ ตม้ ที่อุณหภมู ิ 15 องศาเซลเซียส ให้รอ้ นขน้ึ เปน็ 65 องศาเซลเซียส ถา้ ความต่างศักย์ไฟฟ้าเกดิ ลดลงเหลือ 200 โวลต์ อุณหภูมิของน้ําอนุ่ ที่ไหลออกจากเครอ่ื งต้มนา้ํ ในขณะนน้ั จะเปน็ ก่ีองศาเซลเซียส วิทยาศาสตร์ ฟิสิกส์ (172) __________________________________โครงการแบรนด์ซมั เมอร์แคมป์ ปีที่ 28
โครงการแบรนดซ์ มั เมอรแ์ คมป์ ปีท่ี 28 _________________________________ วิทยาศาสตร์ ฟิสกิ ส์ (173)
วทิ ยาศาสตร์ ฟสิ กิ ส์ (174) __________________________________โครงการแบรนดซ์ มั เมอรแ์ คมป์ ปีท่ี 28
โครงการแบรนดซ์ มั เมอรแ์ คมป์ ปีท่ี 28 _________________________________ วิทยาศาสตร์ ฟิสกิ ส์ (175)
วทิ ยาศาสตร์ ฟสิ กิ ส์ (176) __________________________________โครงการแบรนดซ์ มั เมอรแ์ คมป์ ปีท่ี 28
โครงการแบรนดซ์ มั เมอรแ์ คมป์ ปีท่ี 28 _________________________________ วิทยาศาสตร์ ฟิสกิ ส์ (177)
วทิ ยาศาสตร์ ฟสิ กิ ส์ (178) __________________________________โครงการแบรนดซ์ มั เมอรแ์ คมป์ ปีท่ี 28
แนวขอ สอบ 49. การถา่ ยโอนความรอ้ นแบบใด ตอ้ งอาศยั ตวั กลาง ก. การนําความร้อน ข. การพาความรอ้ น ค. การแผร่ ังสี ข้อทีถ่ กู ตอ้ งคือข้อใด 1) ข้อ ก. อย่างเดียว 2) ขอ้ ก. และ ข. 3) ข้อ ก. และ ค. 4) ขอ้ ข. และ ค. 50. แก๊สจํานวนหนึง่ อยใู่ นถังใบหน่งึ ถา้ ตอ้ งการเพม่ิ ความดนั เปน็ 2 เท่าของความดนั เดิมจะตอ้ ง ก. เพ่มิ จาํ นวนโมลเปน็ 4 เท่า ลดอุณหภมู ิเหลือครงึ่ หนงึ่ 1 ข. ลดโมเลกลุ ลงเหลือ 3 เท่าของเดมิ เพ่ิมอณุ หภมู ิเปน็ 6 เท่า ค. เพ่ิมพลังงานจลนข์ องแก๊สเป็น 2 เทา่ คาํ ตอบทถ่ี ูก คือข้อใด 1) ขอ้ ก., ข. และ ค. 2) ขอ้ ก. และ ข. 3) ข้อ ก. และ ค. 4) ขอ้ ข. และ ค. 51. จากตารางแจกแจงอัตราเร็วโมเลกุลแกส๊ (เป็นจํานวนโมเลกุลท่มี ีอตั ราเรว็ ) จงคํานวณหาอตั ราเรว็ รากทีส่ อง ของกําลังสองเฉลีย่ ของโมเลกุลของแกส๊ จาํ นวนน้ี Ni Vi (เมตรตอ่ วินาท)ี 1 100 3 200 6 300 8 400 2 500 52. ระบบหน่งึ ได้รบั ความร้อน 2,000 แคลอรี ทาํ ให้พลงั งานภายในระบบเพม่ิ ข้นึ เปน็ 5,030 จูล กาํ หนด 1 แคลอรี เทา่ กบั 4.19 จูล แสดงวา่ เป็นไปตามข้อใด 1) ระบบทาํ งาน 3,350 จลู 2) ทํางานใหร้ ะบบ 3,350 จลู 3) ระบบทํางาน 13,410 จูล 4) ทาํ งานใหร้ ะบบ 13,410 จูล โครงการแบรนด์ซัมเมอรแ์ คมป์ ปีที่ 28 _________________________________ วิทยาศาสตร์ ฟิสิกส์ (179)
53. จากรปู เปน็ กราฟแสดงความสมั พันธร์ ะหว่างอุณหภมู ิเปน็ เคลวนิ กับพลงั งานความรอ้ นเป็นจูลทสี่ ารหนึง่ ไดร้ ับ ถา้ สารดังกลา่ วมีมวล 1 กโิ ลกรัม จงหาความรอ้ นแฝงจําเพาะของการกลายเปน็ ไอของสารนั้นวา่ เป็นกจ่ี ลู ตอ่ กิโลกรมั อุณหภมู ิ (K) 353 พลังงาน (J) 333 313 293 2730 80 160 240 320 400 480 54. นําน้ําแข็งอุณหภมู ิ 0°C มวล 50 กรัม มาผสมกบั ไอนํา้ อุณหภูมิ 100°C มวล 10 กรมั ผลลัพธ์สดุ ทา้ ยคือ ข้อใด (ความร้อนแฝงจาํ เพาะของการหลอมเหลวของนาํ้ = 80 kcal/kg) (ความรอ้ นแฝงจําเพาะของการกลายเป็นไอของนํ้า = 540 kcal/kg) (ความจคุ วามรอ้ นจาํ เพาะของนํา้ = 1 kcal/kg) 1) นํา้ 55 กรมั น้ําแข็ง 5 กรัม อณุ หภูมิ 0 องศาเซลเซียส 2) น้าํ 50 กรัม อุณหภูมิ 40 องศาเซลเซยี ส 3) นา้ํ 60 กรมั อุณหภมู ิ 40 องศาเซลเซยี ส 4) นา้ํ 50 กรัม อณุ หภูมิ 20 องศาเซลเซียส 55. จากกราฟความสมั พนั ธ์ระหวา่ งความดันกบั ปรมิ าตรระบบซึ่งประกอบดว้ ยแกส๊ ฮเี ลยี ม 1 โมล มีการ เปลีย่ นแปลงสถานะจาก a ไป b ถ้าระบบไมม่ ีการถา่ ยเทความร้อน จงหาคา่ การเปล่ยี นแปลงพลังงาน ภายในของระบบ P (X 105 N/m2) 3a b 2 0 1234 V (X 10-2m3) 1) เพ่ิมข้ึน 6.23 × 104 จูล 2) ลดลง 6.23 × 104 จลู 3) เพ่ิมข้ึน 7.5 × 103 จูล 4) ลดลง 7.5 × 103 จูล วทิ ยาศาสตร์ ฟสิ กิ ส์ (180) __________________________________โครงการแบรนดซ์ มั เมอรแ์ คมป์ ปีท่ี 28
56. ถงั ใบหนึ่งปิดฝาสนิทแลว้ นําไปตง้ั บนเตา กราฟรูปใดแสดงสมบตั ิของแกส๊ ในถงั PV 1) 2) T 1 0 V0 P T P 3) 4) 0T 0T 57. จากการทดลองของชาร์ลจะไดผ้ ลสรุปอยา่ งไร ก. ความดนั คงที่ตลอดการทดลอง ข. ปรมิ าตรเป็นปฏภิ าคโดยตรงกบั อุณหภูมอิ งศาเซลเซียส ค. แกส๊ ต่างชนดิ กันจะมีปริมาตรเป็นศนู ยท์ อี่ ุณหภูมิ 0 K ง. T (K) = t (°C) - 273 จ. ปรมิ าตรของแก๊สเป็นปฏิภาคโดยตรงกับอุณหภมู สิ มั บูรณ์ เมื่อความดันคงท่ี คําตอบท่ีถกู ตอ้ ง คอื ขอ้ ใด 1) ก., ข. และ ค. 2) ก. และ ค. 3) ข. และ ง. 4) เฉพาะขอ้ ค. 58. จากการทดลองเกย่ี วกบั ความดัน, ปรมิ าตรและอณุ หภูมิ ก. อุณหภมู ิเพมิ่ , ความดันเพมิ่ , เม่อื ปรมิ าตรคงท่ี ข. ปรมิ าตรเพิม่ , อุณหภูมลิ ด, เมอื่ ความดันคงที่ ค. ความดนั ลด, ปริมาตรเพมิ่ , เมอ่ื อณุ หภูมิคงท่ี ง. ปรมิ าตรลด, ความดันเพิ่ม, เม่ืออุณหภูมคิ งท่ี ข้อมูลท่ีถูกต้อง คอื ข้อใด 1) ก., ข. และ ค. 2) ก. และ ค. 3) ข. และ ง. 4) ก., ค. และ ง. โครงการแบรนด์ซมั เมอรแ์ คมป์ ปีท่ี 28 _________________________________ วิทยาศาสตร์ ฟิสกิ ส์ (181)
59. กระบอกสบู พรอ้ มลูกสูบไร้ความเสยี ดทานบรรจอุ อกซิเจนทคี่ วามดนั และปรมิ าตรค่าหน่ึง ถ้าออกซิเจนเกิด การขยายตัวตามกระบวนการอุณหภมู คิ งท่ี ทําให้ความดนั ลดลงและปรมิ าตรเพม่ิ ขึน้ เป็น 2 เทา่ พลงั งาน ภายในระบบจะมีคา่ เทา่ ใด 1) เพมิ่ ขน้ึ 2) ลดลง 3) เท่าเดมิ 4) เพิม่ ขน้ึ 2 เท่า 60. แก๊สในธรรมชาติจะมีสมบัติเปน็ แก๊สอดุ มคติ (Ideal gas) หรือเปน็ ไปตามแบบจาํ ลองของแก๊สเมื่อใด 1) มีอณุ หภมู ิและความดนั สงู พอสมควร 2) มคี วามดนั สงู 3) มคี วามหนาแน่นนอ้ ยมาก 4) มปี ริมาตรเล็ก วทิ ยาศาสตร์ ฟิสกิ ส์ (182) __________________________________โครงการแบรนดซ์ มั เมอรแ์ คมป์ ปที ่ี 28
เฉลย 1. 3) 31. 3) 2. -7 × 103 C 32. 5) 3. 13.86 × 10-3 kg 33. 1) 4. 10 V/m 34. 4) 5. 5 × 107 N/C 35. 1) 6. 16 µC, 96 µC 36. 1) 7. 50 m 37. 4) 8. 2) 38. 3) 9. 4 เครือ่ ง 39. 1) 10. 1 A 40. 4) 11. 3) 41. 2) 12. 3) 42. 4) 13. 0.56 T 43. 2) 14. 1) 44. 2) 15. 3) 45. 2) 16. 4) 46. 124.66 kJ 17. 3) 47. 1) 18. 2) 48. 56.3°c 19. ก. 8 A ข. 45° 49. 2) 20. 1.33 Hz 1 1 50. 1) 2 2 21. ก. 50 2 Ω ข. 1 A ค. A, A, 2 A ง. 50 W 51. 350 m/s 22. 1) 52. 1) 23. 1) 53. 160 J/kg 24. 4 × 10-3 m 54. 3) 25. 3 : 1 55. 4) 26. 3) 56. 3) 27. 0.196 mm 57. 4) 28. 1,200 V 58. 4) 29. 2.844 × 10-14 m 59. 3) 30. 3) 60. 3) โครงการแบรนดซ์ มั เมอรแ์ คมป์ ปีท่ี 28 _________________________________ วทิ ยาศาสตร์ ฟิสกิ ส์ (183)
เกง็ ขอสอบ ชุดท่ี 1 1. เด็กคนหน่ึงเดินไปทางทศิ ตะวันออกได้ระยะทาง 40 เมตร จากน้ันเดนิ ไปทางทศิ เหนอื ไดร้ ะยะทาง 30 เมตร ใชเ้ วลาเดินทางทง้ั หมด 100 วินาที เด็กคนนเี้ ดินด้วยอัตราเรว็ เฉลยี่ และความเรว็ เฉล่ียกี่เมตร/วนิ าที ตามลําดับ 1) 0.5 m/s, 0.7 m/s 2) 0.7 m/s, 0.5 m/s 3) 1.0 m/s, 2.0 m/s 4) 1.4 m/s, 1.7 m/s 5) 2.4 m/s, 3.0 m/s 2. รถโดยสารเริ่มออกเดินทางจากกรงุ เทพฯ เวลา 22.00 น. มาถงึ เชียงใหมเ่ วลา 08.00 น. กําหนดให้ ระยะทางจากกรงุ เทพฯ ถงึ เชยี งใหม่เป็น 720 กิโลเมตร จงหาวา่ รถโดยสารคนั นี้วิ่งด้วยอัตราเรว็ เฉลย่ี เท่าใด 1) 10 กโิ ลเมตรตอ่ ชว่ั โมง 2) 100 กิโลเมตรตอ่ ชวั่ โมง 3) 72 กิโลเมตรตอ่ ชวั่ โมง 4) 720 กิโลเมตรต่อช่วั โมง 5) 83 กโิ ลเมตรตอ่ ชัว่ โมง 3. เดก็ คนหน่ึงออกกําลังกายด้วยการว่ิงดว้ ยอตั ราเรว็ 4 เมตรต่อวนิ าที เปน็ เวลา 1 นาที แลว้ เดนิ ดว้ ย อตั ราเรว็ 2 เมตรตอ่ วินาที อกี 1 นาที จงหาอตั ราเร็วเฉล่ยี ในช่วงเวลา 2 นาทนี ้ี 1) 3.0 m/s 2) 3.5 m/s 3) 4.0 m/s 4) 4.5 m/s 5) 6.0 m/s 4. ชายคนหนึง่ ขบั รถมาแล้วเหน็ สิ่งกดี ขวางเขาจงึ เหยียบเบรกเพอื่ หยุดรถ พบวา่ ระยะหยุดของเขา คือ 25 เมตร โดยแบง่ เปน็ ระยะคิด 10 เมตร และระยะเบรกอีกระยะหนึง่ จงหาระยะเบรกดังกล่าว 1) 10 m 2) 12 m 3) 15 m 4) 20 m 5) 60 m 5. รถคนั หนง่ึ แล่นมาดว้ ยความเรว็ 108 กิโลเมตร/ชัว่ โมง ก่อนถึงไฟแดงคนขบั เหยยี บเบรกและทาํ ให้รถหยุด ตรงตําแหน่งไฟแดงโดยใช้เวลา 10 วนิ าที ความเร่งเฉลีย่ ของรถในชว่ งเหยียบเบรกมีค่าก่ีเมตร/วนิ าท2ี 1) 10.8 2) -10.8 3) -5 4) 5 5) -3 วิทยาศาสตร์ ฟิสกิ ส์ (184) __________________________________โครงการแบรนดซ์ ัมเมอรแ์ คมป์ ปที ี่ 28
6. เม่อื โยนลูกเทนนิสขึน้ ในแนวดิง่ ถ้าไมค่ ิดแรงต้านของอากาศความเร่งของลูกเทนนิสจะมีทิศเข้าสู่ศูนย์กลาง ของโลกเมือ่ ใดบา้ ง ก. เมอื่ ลูกเทนนสิ กําลังเคลื่อนท่ีขนึ้ ข. เมอ่ื ลกู เทนนสิ อยูท่ ่ตี าํ แหน่งสูงสุด ค. เมือ่ ลูกเทนนิสกําลงั ตกลงจากตาํ แหนง่ สงู สุด 1) ข. เท่านั้น 2) ก., ข. และ ค. 3) ข. และ ค. เทา่ นน้ั 4) ก. และ ค. เทา่ นนั้ 5) ไมส่ ามารถสรปุ ได้ 7. ถ้ายงิ กอ้ นหนิ ข้ึนไปในแนวดง่ิ ด้วยความเรว็ ต้น 98 เมตร/วนิ าที กอ้ นหนิ จะถึงจดุ สงู สุดใช้เวลานานกวี่ ินาที 1) 5 2) 10 3) 29.8 4) 49 5) 52 8. โยนวัตถุขึ้นในแนวด่ิงด้วยความเรว็ 20 เมตรต่อวินาที พิจารณาขอ้ ความตอ่ ไปนขี้ ้อใดเป็นจริง (g = 9.8 m/s2) 1) วตั ถมุ อี ัตราเร็วลดลงวินาทลี ะ 9.8 เมตรต่อวินาที ตลอดการเคล่อื นท่ี 2) วตั ถมุ อี ตั ราเรว็ เพิ่มข้นึ วินาทลี ะ 9.8 เมตรต่อวินาที ตลอดการเคลอ่ื นที่ 3) วัตถเุ คลอื่ นท่ดี ว้ ยความเรง่ คงตัวตลอดการเคลื่อนท่ีและมีทิศขน้ึ 4) วัตถเุ คล่อื นท่ีด้วยความเรง่ คงตวั ตลอดการเคล่อื นทีแ่ ละมที ิศลง 5) ทจ่ี ดุ สูงสดุ ความเร็วของวตั ถจุ ะมีค่ามากทีส่ ดุ 9. ขว้างลกู บอลจากดาดฟา้ ตึกไปในแนวระดับปริมาณใดของวัตถุ มีคา่ คงตัว 1) การกระจัด 2) ระยะทาง 3) ความเรว็ ในแนวระดับ 4) ความเร็วในแนวดิ่ง 5) ความเรว็ ของวตั ถุ 10. วัตถเุ คลือ่ นทีแ่ บบโพรเจกไทล์ขณะท่วี ัตถุอยูท่ ่จี ุดสงู สุดขอ้ ใดต่อไปนี้ถกู ตอ้ ง 1) ความเร็วของวัตถุมคี ่าเป็นศนู ย์ 2) ความเรง่ ของวตั ถมุ คี า่ เปน็ ศนู ย์ 3) ความเรว็ ของวัตถใุ นแนวดง่ิ มคี า่ เป็นศนู ย์ 4) ความเร็วของวตั ถุในแนวราบมีคา่ เป็นศูนย์ 5) ไม่มขี ้อใดสรุปถกู ต้อง โครงการแบรนดซ์ ัมเมอร์แคมป์ ปที ่ี 28 _________________________________ วิทยาศาสตร์ ฟิสกิ ส์ (185)
11. ชายคนหน่งึ เตะลูกฟตุ บอลใหล้ อยข้ึนจากพ้นื ทํามมุ θ กบั พนื้ ระดับ ถา้ อัตราเร็วคงท่ี θ จะต้องมีเท่าไรจึงทาํ ให้ลกู ฟตุ บอลมีระยะตกถงึ พ้นื ไปได้ไกลทสี่ ดุ 1) 30 องศา 2) 45 องศา 3) 60 องศา 4) 90 องศา 5) 180 องศา 12. เหวี่ยงจกุ ยางใหเ้ คล่อื นท่ีเปน็ แนววงกลมในระนาบระดบั ศรี ษะ 10 รอบ ใช้เวลา 4 วนิ าที จกุ ยางเคลื่อนท่ีด้วย ความถเี่ ท่าใด 1) 0.25 รอบ/วินาที 2) 0.5 รอบ/วินาที 3) 2.5 รอบ/วนิ าที 4) 5.0 รอบ/วนิ าที 5) 6.0 รอบ/วนิ าที 13. เม่ือนํามวล m กอ้ นเล็กๆ มาผูกด้วยเชอื กที่มีความยาวพอเหมาะ แลว้ แกว่งเปน็ วงกลมเหนือศีรษะดว้ ย ความเรว็ เชงิ มุมคงท่ี ถ้าเชือกที่ผกู มวลขาดทนั ทใี นขณะทีก่ าํ ลงั แกว่งอยูม่ วล m จะเคลื่อนที่อย่างไร ก. เคลื่อนทอ่ี อกตามแนวเส้นสมั ผสั วงกลมท่กี าํ ลงั แกว่งอยู่ ข. เคลอ่ื นท่อี อกตามแนวรศั มีของวงกลมท่ีกาํ ลังแกวง่ อยู่ ค. เคล่ือนท่ีเป็นทางโคง้ โพรเจกไทล์ ข้อใดถกู ต้องทีส่ ดุ 1) ก. เท่าน้นั 2) ข. เทา่ น้ัน 3) ก. และ ค. 4) ข. และ ค. 5) ถูกทุกขอ้ 14. เหตุใดการสร้างถนนตรงช่วงทางโค้งตอ้ งยกพื้นถนนใหเ้ อียงทาํ มุมกบั พ้นื ราบ 1) เพื่อไม่ใหร้ ถแหกโค้ง 2) เพือ่ ความสวยงามเขา้ กบั ภมู ิทัศน์ 3) เพื่อเพ่มิ แรงสู่ศนู ยก์ ลาง 4) เพอ่ื ประหยัดพื้นท่ีถนน 5) เพอื่ ให้รถประหยดั นา้ํ มนั 15. ข้อใดต่อไปนไี้ มไ่ ด้ทาํ ใหว้ ตั ถมุ ีการเคลอ่ื นท่ีแบบฮาร์มอนกิ อย่างง่าย 1) แขวนลกู ตมุ้ ดว้ ยเชอื กในแนวดิ่งดึงลกู ตมุ้ ออกมาจนเชือกทํามุมกับแนวด่งิ เล็กน้อยแลว้ ปล่อยมอื 2) ผกู วตั ถกุ ับปลายสปริงในแนวระดบั ตรงึ อกี ด้านของสปริงไว้ดงึ วัตถุใหส้ ปรงิ ยืดออกเล็กนอ้ ยแลว้ ปล่อยมือ 3) ผูกวัตถุกบั ปลายสปรงิ ในแนวดงิ่ ตรึงอีกดา้ นของสปริงไว้ดงึ วตั ถใุ ห้สปริงยืดออกเลก็ น้อยแลว้ ปลอ่ ยมือ 4) แขวนลกู ตุ้มด้วยเชือกในแนวด่ิงผลักลูกตุ้มให้แกว่งเป็นวงกลมในแนวราบโดยเส้นเชือกทํามุมคงตัวกับ แนวดงิ่ 5) ตัวเลอื ก 1), 2), 3) และ 4) ท้ังหมดเป็นการเคลื่อนทีแ่ บบฮารม์ อนกิ อยา่ งงา่ ย วิทยาศาสตร์ ฟิสกิ ส์ (186) __________________________________โครงการแบรนด์ซมั เมอร์แคมป์ ปีท่ี 28
16. การทดลองเรอ่ื งการเคลอ่ื นทแี่ บบฮารม์ อนิกอย่างงา่ ย ถ้าให้ ลกู ต้มุ เคลือ่ นท่จี าก A ไป B ไป C แลว้ ไป B ดงั รูป ใชเ้ วลา 6 A วินาที คาบของการเคลือ่ นทม่ี คี า่ เทา่ ใด C 1) 2 s 2) 3 s 3) 4 s B 4) 8 s 5) 10 s 17. ลูกต้มุ ของนาฬิกาแขวนผนังเรอื นหน่งึ แกวง่ ด้วยความถี่ 1 รอบ/วินาที เรมิ่ ต้นแกว่ง ณ เวลาเท่ยี งตรง เม่ือนาฬกิ าบอกเวลาบ่ายโมงสบิ ห้านาทีลกู ตมุ้ จะแกวง่ ไปทั้งหมดกี่รอบ 1) 75 2) 115 3) 450 4) 540 5) 4,500 18. ลกู เหลก็ ขนาดเล็กผกู ด้วยสายเอ็นแขวนไว้ใหส้ ายยาว L ซึ่งสามารถเปล่ียนคา่ ตา่ งๆ ไดใ้ หม่ คาบของ การแกว่ง T ของลกู เหล็กจะข้ึนกบั ความยาว L อย่างไร 1) T เป็นปฏิภาคโดยตรงกับ L 2) T เปน็ ปฏิภาคโดยตรงกบั L 3) T2 เปน็ ปฏภิ าคโดยตรงกับ L2 4) T เป็นปฏิภาคโดยตรงกบั L2 5) T2 เป็นปฏภิ าคโดยตรงกบั L 19. จากแผนภาพ แสดงลกั ษณะของเสน้ สนามแม่เหลก็ ที่เกดิ จาก แทง่ แมเ่ หลก็ สองแทง่ ข้อใดตอ่ ไปน้ีเป็นขวั้ แม่เหล็กเหนือ 1) A และ C 2) A และ D 3) B และ C 4) B และ D 5) A และ B 20. ขอ้ ใดกลา่ วถงึ สนามแม่เหล็กโลกได้ถูกต้องที่สดุ 1) สนามแม่เหลก็ โลกมีความเข้มสงู บรเิ วณเสน้ ศนู ยส์ ตู ร 2) สนามแมเ่ หลก็ โลกเปน็ สนามแมเ่ หลก็ ทม่ี คี า่ คงตัว 3) สนามแม่เหล็กโลกช่วยปอ้ งกนั ไม่ใหน้ วิ ตรอนในลมสุรยิ ะทาํ ลายชัน้ บรรยากาศของโลก 4) ข้วั โลกเหนอื ทางภูมศิ าสตรม์ ีสภาพเป็นข้ัวใต้ของสนามแม่เหล็กโลก 5) ขั้วโลกเหนอื ทางภูมศิ าสตร์มีสภาพเป็นข้ัวเหนือของสนามแม่เหลก็ โลก โครงการแบรนด์ซมั เมอร์แคมป์ ปีที่ 28 _________________________________ วทิ ยาศาสตร์ ฟิสิกส์ (187)
21. ไอออนบวกไฮโดรเจน (H+) วิ่งผ่านแทง่ แมเ่ หล็กสองแท่ง ดังรปู ขอ้ ใดอธิบายการเคลื่อนท่ีของไอออนดังกล่าวไดถ้ ูกต้อง NS NS 1) ไอออนจะวิ่งโค้งไปทางซ้ายของกระดาษ 2) ไอออนจะว่งิ โค้งไปทางขวาของกระดาษ 3) ไอออนจะวิง่ โค้งออกจากระดาษ 4) ไอออนจะวง่ิ โคง้ เขา้ ไปในกระดาษ 5) ไอออนจะวง่ิ ตรงเขา้ ไปในกระดาษ 22. ถ้าประจุบวกและประจุลบถูกนําไปวางในสนามไฟฟ้าสมํ่าเสมอระหว่างแผ่นตัวนําสองแผ่นที่วางขนานกัน รปู ใดทีแ่ สดงทิศทางการเคลือ่ นทขี่ องประจทุ งั้ สองไดถ้ กู ต้อง + + 1) Ev- 2) Ev - + + 3) - 4) vE Ev - 5) vE+ - 23. เมื่ออยู่บนดวงจนั ทร์ชั่งนา้ํ หนักของวัตถุที่มีมวล 100 กิโลกรัม ได้ 160 นวิ ตัน ถ้าปล่อยใหว้ ตั ถุตกที่บน ผวิ ดวงจนั ทร์ วัตถจุ ะมีความเร่งเทา่ ใด 2) 1.0 m/s2 1) 0.8 m/s2 4) 1.6 m/s2 3) 1.4 m/s2 5) 2.6 m/s2 24. คลืน่ ตามยาวและคลื่นตามขวางถกู นยิ ามข้ึนโดยดูจากปจั จยั ใดเป็นหลัก 1) ประเภทของแหลง่ กาํ เนิด 2) ความยาวคล่นื 3) ทศิ การส่ันของอนุภาคตวั กลาง 4) ความเรว็ ของคลน่ื 5) ความเร่งของคลน่ื 25. ลกู บอลลกู หนง่ึ ตกลงนํา้ และสัน่ ข้นึ ลงหลายรอบทาํ ใหเ้ กิดคลน่ื ผิวนาํ้ แผ่ออกไปเป็นรปู วงกลม เม่อื ผ่านไป 5 วนิ าที คล่ืนน้าํ แผอ่ อกไปไดร้ ศั มีสงู สุดประมาณ 10 เมตร โดยมรี ะยะระหว่างสนั คล่นื ทตี่ ดิ กันเทา่ กับ 1 เมตร จากขอ้ มูลดงั กล่าวลูกบอลลูกน้สี ่ันขึน้ ลงด้วยความถีป่ ระมาณเทา่ ใด 1) 0.5 Hz 2) 1.0 Hz 3) 2.0 Hz 4) 4.0 Hz 5) 7.2 Hz วิทยาศาสตร์ ฟิสกิ ส์ (188) __________________________________โครงการแบรนด์ซมั เมอร์แคมป์ ปที ่ี 28
26. ชาวประมงส่งคล่ืนโซนาร์ไปยังฝูงปลา พบว่าช่วงเวลาท่ีคล่ืนออกไปจากเครื่องส่งจนกลับมาถึงเคร่ือง เป็น 4.0 วินาทพี อดี จงหาวา่ ฝงู ปลาอย่หู ่างจากเรอื เท่าใด (กําหนดให้ ความเรว็ ของคลน่ื ในนาํ้ เปน็ 1,510 เมตรต่อวินาท)ี 1) 260 m 2) 520 m 3) 770 m 4) 1,510 m 5) 3,020 m 27. หากท่านยนื แอบอยู่ข้างกําแพงตึกแห่งหนึ่งทา่ นจะยงั สามารถได้ยินเสียงจากแหล่งกําเนิด ซ่ึงอยู่หน้าตึกได้ แม้วา่ แหล่งกาํ เนิดน้ันจะอย่ไู มต่ รงกับท่านกต็ าม เหตุการณ์นีเ้ ก่ียวขอ้ งกบั สมบตั ขิ ้อใดของเสยี ง 1) การแทรกสอดของเสยี ง 2) การเลีย้ วเบนของเสยี ง 3) การหกั เหของคลืน่ เสยี ง 4) การสะทอ้ นของเสยี ง 5) ปรากฏการณ์นีไ้ มส่ ามารถอธบิ ายได้ 28. ระดบั เสยี งและคณุ ภาพเสียงขึน้ อย่กู บั สมบัติใด ตามลําดบั 1) แอมพลิจดู ความถ่ี 2) ความถ่ี แอมพลจิ ดู 3) ความถี่ รปู ร่างคลน่ื 4) รปู รา่ งคลนื่ ความถี่ 5) ความถ่ี คาบ 29. ข้อใดเรยี งลําดบั คล่ืนแม่เหลก็ ไฟฟา้ จากคล่นื ที่มีความถสี่ งู ไปความถตี่ ่ําได้ถกู ต้อง 1) อินฟราเรด รังสเี อกซ์ แสงทีม่ องเหน็ ได้ รังสอี ัลตราไวโอเลต คลน่ื วิทยุ 2) รังสีอัลตราไวโอเลต รังสเี อกซ์ อินฟราเรด คล่ืนวทิ ยุ แสงท่ีมองเหน็ ได้ 3) รังสเี อกซ์ รงั สอี ลั ตราไวโอเลต แสงทมี่ องเห็นได้ อนิ ฟราเรด คล่ืนวทิ ยุ 4) คลืน่ วิทยุ แสงท่ีมองเห็นได้ อนิ ฟราเรด รงั สเี อกซ์ รังสีอลั ตราไวโอเลต 5) แสงทม่ี องเหน็ ได้ อินฟราเรด รังสีเอกซ์ คลืน่ วทิ ยุ รังสีอลั ตราไวโอเลต 30. อนภุ าคใดในนิวเคลียส 23962U และ 23940Th ทม่ี จี ํานวนเท่ากัน 1) โปรตอน 2) อเิ ล็กตรอน 3) นวิ คลีออน 4) นิวตรอน 5) บตี า 31. ถ้านําแผ่นอะลมู เิ นยี มหนาไปกัน้ ทางเดินของรังสแี กมมา รังสีบีตา และรังสแี อลฟา รงั สชี นดิ ใดทีส่ ามารถ ทะลผุ า่ นแผ่นอะลมู ิเนียมได้ 1) รังสีแกมมาและรังสีบีตาเท่านนั้ 2) รงั สบี ตี าเท่าน้นั 3) รังสบี ตี าและรงั สแี อลฟาเท่าน้นั 4) รงั สีแกมมาเท่าน้ัน 5) ผ่านได้ทุกรังสี โครงการแบรนด์ซมั เมอร์แคมป์ ปที ี่ 28 _________________________________ วิทยาศาสตร์ ฟสิ ิกส์ (189)
32. การเคล่ือนท่ีของรงั สสี ามชนดิ ผา่ นประจลุ บ ดงั รปู ข้อใดเรยี งลําดบั รังสี A-B-C ได้ถูกตอ้ ง C - BA 1) บตี า → แอลฟา → แกมมา 2) แอลฟา → แกมมา → บีตา 3) แอลฟา → บีตา → แกมมา 4) บตี า → แกมมา → แอลฟา 5) แกมมา → แอลฟา → บตี า 33. ระบบขบั ถา่ ยของร่างกายจะขบั ถ่ายของเหลวออกจากร่างกายหลังจากรับประทานแลว้ ประมาณ 2 ชวั่ โมงครงึ่ ถ้าดม่ื นาํ้ ผสมไอโอดนี -128 ซ่ึงมคี รง่ึ ชวี ิตประมาณ 30 นาที เมื่อขบั ถ่ายของเหลวจะมีนวิ เคลียสไอโอดนี -128 เหลืออยู่กเี่ ปอรเ์ ซน็ ต์ 1) 0.825% 2) 1.625% 3) 3.125% 4) 6.27% 5) 7.25% 34. จงพิจารณาประโยชนใ์ นดา้ นตา่ งๆ ของกมั มนั ตภาพรงั สี ก. ใชต้ รวจหาอายวุ ัตถโุ บราณ ข. ใช้ตรวจหารอยร่วั ของท่อแกส๊ ใตด้ นิ ค. ใช้ควบคุมความหนาของกระจก กระดาษ แผน่ เหลก็ เป็นต้น ง. ใช้รักษาโรคมะเร็ง ขอ้ ใดถูกต้อง 1) ก., ข., ค. และ ง. 2) ข., ค. และ ง. 3) ข. และ ง. 4) ค. และ ง. 5) ง. เท่าน้ัน 35. ข้อใดกล่าวถงึ ปฏิกริ ิยาฟิชชนั และปฏกิ ิรยิ าฟวิ ชนั ได้ถูกต้อง ก. ปฏกิ ิรยิ าฟชิ ชันเกิดจากการที่ยเู รเนียมถกู ยงิ ด้วยนิวตรอนแล้วแตกตวั เปน็ ธาตใุ หม่ ข. ปฏิกิรยิ าฟิชชันเกิดขึน้ แล้วจะกอ่ ใหเ้ กดิ ปฏกิ ริ ยิ าลกู โซ่ ค. ปฏิกิริยาฟิวชันเป็นปฏิกริ ยิ านิวเคลยี ร์ท่ีเกดิ ขึน้ เมือ่ ธาตเุ บารวมกันเปน็ ธาตหุ นัก ง. เครอ่ื งปฏิกรณ์นวิ เคลยี รท์ ใ่ี ช้ผลติ ไฟฟา้ ในปัจจบุ นั ได้พลังงานจากปฏิกิริยาฟวิ ชนั 1) ก., ข. และ ค. 2) ข., ค. และ ง. 3) ค. และ ง. 4) ง. เท่านน้ั 5) ไมม่ ขี ้อใดถูก วิทยาศาสตร์ ฟสิ กิ ส์ (190) __________________________________โครงการแบรนดซ์ มั เมอร์แคมป์ ปีท่ี 28
ชุดที่ 2 36. ออกแรงบีบวัตถุมวล m จํานวนหลายชิ้นเขา้ ดว้ ยกันแลว้ ยกขึ้น ถ้าสมั ประสทิ ธิ์ความเสยี ดทานสถิตระหว่าง วตั ถแุ ตล่ ะชน้ิ เท่ากับ 0.2 และใหแ้ รงเสียดทานระหวา่ งน้วิ กับวตั ถุมีค่าสงู มาก จงหาจํานวนชน้ิ มวลมากทส่ี ดุ ทีส่ ามารถยกได้ดว้ ยแรงบีบ F = 3mg F mmmmm F 1) 3 2) 4 3) 5 4) 6 37. วตั ถผุ กู ไว้ด้วยเชอื กและกําลังเคลื่อนที่เป็นวงกลมด้วยอตั ราการหมนุ คงตัว ดังรปู 1 2 3 4 ทิศของความเร่งลัพธอ์ ยู่ในทศิ ตามหมายเลขใด 2) 2 1) 1 4) 4 3) 3 38. วางสปรงิ บนพื้นราบโดยปลายด้านหน่ึงยดึ ไว้กับผนงั ปลายอกี ดา้ นหนง่ึ มมี วล 0.5 กิโลกรัม ตดิ ไว้และ สปรงิ ถกู ดงึ ยืดออก 10 เซนติเมตร จากสมดลุ ทาํ ให้สปรงิ มพี ลังงานศกั ยย์ ดื หยุน่ 100 จลู ถา้ แรงเสยี ดทาน ระหว่างมวลกบั พ้ืนเท่ากบั 100 นวิ ตนั จงหาว่าหลงั จากปลอ่ ยมอื สปรงิ จะถูกอดั เข้าไปจากตําแหน่งสมดลุ เปน็ ระยะกี่เซนตเิ มตร 1) 8.0 2) 8.5 3) 9.0 4) 9.5 39. จรวดเดก็ เล่นมวล 0.5 กิโลกรัม เม่อื จุดระเบิดด้วยดนิ ปืนจะเกิดแรงคงตัวขนาด 20 นิวตัน กระทําต่อจรวด เปน็ เวลา 2 วินาที ถา้ จรวดนอี้ ยูใ่ นแนวระดับ ขนาดความเร็วของจรวดหลังจากจดุ ระเบิดเปน็ กเ่ี มตรตอ่ วนิ าที ถ้าถือวา่ มวลของดนิ ปืนน้อยมาก เม่ือเทยี บกับมวลจรวด และไม่คิดแรงต้านของอากาศ 1) 19.6 2) 28.0 3) 80.0 4) 82.4 โครงการแบรนดซ์ ัมเมอรแ์ คมป์ ปที ี่ 28 _________________________________ วิทยาศาสตร์ ฟสิ ิกส์ (191)
40. มอเตอร์กาํ ลัง 50 วัตต์ ต่อกับจดุ ศนู ย์กลางของจานโลหะมวล 10 กิโลกรัม รศั มี 20 เซนติเมตร สามารถ หมนุ จานจากสภาพหยดุ น่งิ จนมีอัตราเร็วการหมนุ 300 รอบตอ่ นาที ได้ภายในเวลาประมาณกว่ี ินาที 1) 1 2) 2 3) 3 4) 4 41. เตะลูกบอลข้ึนจากพื้นโดยมีเส้นทางการเคล่ือนที่เป็นเส้นโค้งพาราโบลา ณ ตําแหน่งใดที่ความเร็วของ ลูกบอลมที ิศตง้ั ฉากกับความเรง่ ของลกู บอล 1) ทุกๆ ตาํ แหน่งของการเคลือ่ นที่ 2) ตําแหนง่ สงู สดุ ของการเคล่ือนที่ 3) ตาํ แหนง่ ท่ลี ูกบอลกระทบพน้ื 4) ไมม่ ตี ําแหน่งดังกลา่ ว 42. กราฟระหว่างความเรว็ ในแนวดิ่งกับเวลาในข้อใดท่ีสอดคล้องกบั การท่ีลกู บอลถูกโยนข้ึนไปในแนวดง่ิ แลว้ ถกู จบั ไวช้ ัว่ ขณะหน่ึงโดยทล่ี กู บอลยงั ขน้ึ ไปไม่ถงึ ตําแหน่งสงู สดุ จากนน้ั จงึ ถกู ขวา้ งออกไปในแนวระดบั vy vy 1) t 2) t vy vy 3) t 4) t 43. หากพิจารณารถยนตท์ ั้งคนั รวมท้ังลอ้ รถเป็นระบบเดียวกนั แรงใดต่อไปนีท้ ี่ทาํ ให้ระบบรถยนต์น้ีเคลือ่ นที่ ด้วยความเร่ง (ไม่ต้องพจิ ารณาแรงต้านอากาศ) 1) แรงจากเพลาลอ้ 2) แรงจากน้ํามนั เช้อื เพลงิ 3) แรงเสยี ดทานระหว่างล้อกบั พนื้ ถนน 4) ถกู ทกุ ข้อ 44. ถ้าแรงต้านอากาศที่กระทํากับรถท่ีเคล่ือนท่ีมีค่าแปรผันตามอัตราเร็วของรถยกกําลังสองและอัตราเร็ว สงู สดุ ของรถก็ถูกจํากัดด้วยแรงต้านอากาศ ถ้ากําลังของรถคันนี้เพ่ิมขึ้นร้อยละ 50 อัตราเร็วสูงสุดของรถ จะเพม่ิ ขนึ้ ประมาณรอ้ ยละเทา่ ใด 1) 15 2) 2.20 3) 3.30 4) 4.50 วิทยาศาสตร์ ฟสิ ิกส์ (192) __________________________________โครงการแบรนด์ซัมเมอร์แคมป์ ปที ี่ 28
45. วตั ถุมวล m1 อยู่บนพน้ื ราบลน่ื และตดิ อยู่ที่ปลายสปริงท่มี ีค่าคงทสี่ ปรงิ k ผูกวตั ถอุ ีกก้อนหนง่ึ มวล m2 ด้วยเชือกเบาที่คลอ้ งผ่านรอกเบาแล้วนาํ ไปผกู ตดิ กบั มวล m1 ดงั รูป m1 m2 เร่มิ ต้นสปรงิ ไม่ยืดไม่หดและใชม้ ือจับมวล m2 เอาไว้ เม่อื ปล่อยมอื ให้ระบบน้ีสั่น มวล m2 จะสัน่ ขึ้นลง รอบจุดสมดลุ จุดสมดุลนีอ้ ยตู่ าํ่ กวา่ ตําแหน่งของ m2 ก่อนปล่อยมอื เท่าใด m1g 1) k 2) m2g k (m1 + m2)g 3) k 4) (m2 - m1)g k 46. วัตถุ A และวตั ถุ B เหมอื นกันทกุ ประการ ถกู ยิงขนึ้ จากตําแหน่งเดียวกนั ขนาดความเร็วทเ่ี ท่ากนั แตท่ ํามมุ กับแนวระดับต่างกนั โดยยิงวตั ถุ A เอียงทาํ มุม 30 องศากบั แนวระดบั ในขณะที่ยิงวตั ถุ B เอียงทาํ มมุ 60 องศา ขอ้ ใดตอ่ ไปน้ถี ูกต้องเมือ่ วตั ถุทั้งสองตกลงมายังระดบั ท่ยี งิ อีกคร้ังหนงึ่ (ไมต่ อ้ งคดิ แรงต้านอากาศ) 1) วตั ถุท้ังสองมีการดลและอัตราเรว็ เทา่ กนั 2) วตั ถุ A มีการดลมากกวา่ วัตถุ B 3) วัตถุ B มีการดลมากกวา่ วัตถุ A 4) วตั ถุท้งั สองมีการดลและความเร็วเท่ากัน 47. วัตถุกอ้ นหนงึ่ เคลอื่ นท่ีเป็นวงกลมอย่างสม่าํ เสมอในแนวระดบั โดยรัศมเี ทา่ กับ 4 เมตร ถา้ วตั ถุนมี้ พี ลังงาน- จลน์คงท่ี 100 จลู ขนาดของแรงสู่ศูนยก์ ลางทกี่ ระทําต่อวตั ถุก้อนนเ้ี ป็นกน่ี วิ ตัน 1) 25 2) 50 3) 75 4) 100 48. นกั เรยี นคนหน่ึงสงั เกตเหน็ คล่ืนน้ําเคลือ่ นท่ีโดยมีคาบเทา่ กบั 2 วินาที และพบว่าคล่ืนแตล่ ะลูกเคลอื่ นทผ่ี า่ น เสาสองต้นซง่ึ อยหู่ า่ งกนั 45 เมตร ในเวลา 25 วินาที ความยาวคลนื่ ของคล่ืนนาํ้ ท่สี งั เกตเหน็ เป็นกเี่ มตร 1) 0.3 2) 0.9 3) 1.1 4) 3.6 โครงการแบรนดซ์ ัมเมอร์แคมป์ ปที ่ี 28 _________________________________ วิทยาศาสตร์ ฟสิ ิกส์ (193)
49. ผสู้ ังเกตคนหน่ึงเร่ิมเคลื่อนท่ีด้วยความเรว็ คงทเ่ี ข้าหาแหล่งกาํ เนดิ เสยี งความถีค่ งทคี่ า่ หนงึ่ ซึ่งอยนู่ ่งิ แลว้ ผา่ น เลยไป กราฟในขอ้ ใดแสดงถงึ ความถข่ี องเสียงที่ผู้สงั เกตวดั ได้ ถ้า A คือตาํ แหนง่ ทีต่ ้งั ของแหล่งกาํ เนิดเสียง ความถ่ี ความถี่ 1) 2) A ตําแหนง่ A ตาํ แหน่ง ความถี่ ความถี่ 3) 4) A ตาํ แหน่ง A ตาํ แหนง่ 50. ผลการทดลองการแทรกสอดของแสงจากชอ่ งแคบค่เู ปน็ ดงั นี้ AB ถา้ พบวา่ ความต่างระยะทาง (path difference) ของระยะทางจากช่องแคบท่ีหนง่ึ (S1) ไปยังกง่ึ กลาง ของแถบมดื A และระยะทางจากช่องแคบท่ีสอง (S2) ไปยงั กึง่ กลางของแถบมืด A มคี า่ มากกว่าความต่าง ระยะทางของระยะทางจากช่องแคบทหี่ น่ึง (S1) ไปยงั ก่ึงกลางของแถบมดื B และระยะทางจากชอ่ งแคบท่ี สอง (S2) ไปยังกึ่งกลางของแถบมดื B อยู่ 500 นาโนเมตร ความยาวคลื่นของแสงทใ่ี ชเ้ ทา่ กบั กี่นาโนเมตร 1) 250 2) 333 3) 500 4) 750 51. นกั เรียนคนหน่ึงสะบดั เชอื กขนึ้ ลงให้เกดิ คลืน่ ในเสน้ เชือก ถา้ เขาเพ่มิ ความถใี่ นการสะบัดเชือกเป็น 2 เท่า โดยทเ่ี ชอื กยงั คงมีความตึงเชือกเท่าเดมิ ข้อใดถกู ตอ้ งเกย่ี วกบั อตั ราเร็วของคลื่นในเส้นเชือก ณ ขณะนี้ 1) เทา่ เดิม โดยความยาวคลืน่ เพิม่ เป็น 2 เท่า 2) เท่าเดิม โดยความยาวคลื่นลดลงเปน็ 2 เทา่ 3) เพิ่มขน้ึ เปน็ 2 เทา่ โดยความยาวคล่นื เท่าเดมิ 4) เพ่มิ ข้นึ เป็น 2 เท่า โดยความยาวคลน่ื เพมิ่ ข้นึ เป็น 2 เท่า วทิ ยาศาสตร์ ฟสิ กิ ส์ (194) __________________________________โครงการแบรนด์ซัมเมอรแ์ คมป์ ปีที่ 28
52. สมศักดยิ์ ืนอยู่ห่างจากแหลง่ กาํ เนิดเสียงที่แผ่ในทกุ ทศิ ทางอย่างสมํ่าเสมอเป็นระยะทาง 5 เมตร เขาวัด ระดับความเข้มเสียงได้ 70 เดซิเบล ถา้ สมศรซี ึง่ อย่หู า่ งจากแหลง่ กําเนดิ เสยี งเปน็ ระยะ 20 เมตร จะวัด ระดับความเข้มเสยี งได้กเ่ี ดซเิ บล 1) 17.5 2) 58 3) 64 4) 70 53. นักเรียนคนหนง่ึ ทําการทดลองเคาะส้อมเสียงที่ไม่ทราบความถี่อันหน่ึงเหนือปากหลอดเรโซแนนซ์อันหน่ึง ซ่ึงยาว 1 เมตร พบว่าได้ยินเสียงดังข้ึนครั้งแรกเม่ือมีระดับน้ําในหลอดสูง 12.5 เซนติเมตร และคร้ังที่สอง เม่อื เติมน้ําลงไปอกี 25 เซนติเมตร ถา้ เขายงั คงเตมิ นํา้ เพ่มิ ข้ึนเร่อื ยๆ เขาจะได้ยินเสียงดงั ขน้ึ อีกกค่ี รัง้ 1) 2 2) 3 3) 4 4) 5 54. จงหามมุ r เมอ่ื มุม A = 90° A r 45° n2 = 1.5 n1 = 1.0 1) sin-1 2 3 2) sin-1 7 3 3) แสงสะท้อนกลบั หมด โดยมมุ สะทอ้ น = sin-1 2 3 4) แสงสะท้อนกลบั หมด โดยมุมสะทอ้ น = sin-1 7 3 55. วางวัตถไุ ว้หา่ งจากฉากเปน็ ระยะคงทค่ี า่ หน่ึง เมอื่ วางเลนส์บางอันหนึ่งระหว่างวตั ถุกับฉาก โดยใหเ้ ลนสอ์ ยู่ ใกลก้ ับฉากมากกวา่ วัตถุ พบวา่ เกดิ ภาพชัดเจนบนฉาก ถ้าตอ้ งการใหเ้ กิดภาพชดั เจนบนฉากแต่มขี นาด ใหญ่ข้นึ กวา่ ตอนแรก จะตอ้ งเลอ่ื นส่งิ ใด (เพียงอย่างเดยี วเท่านนั้ ) จากตาํ แหน่งปจั จบุ ัน 1) เลื่อนฉากใหใ้ กล้เลนสม์ ากขน้ึ 2) เลือ่ นฉากใหไ้ กลเลนสอ์ อกไป 3) เลือ่ นเลนสใ์ หใ้ กลฉ้ ากมากขน้ึ 4) เล่ือนเลนสใ์ ห้ไกลฉากออกไป 56. นักเรียนคนหน่งึ ทําการทดลองการแทรกสอดจากสลติ คขู่ องยัง พบว่า ผลต่างของระยะทางจากสลิตที่หน่ึง ไปยังตําแหนง่ แถบสวา่ งลําดบั ทีส่ องจากแถบสวา่ งกลางและจากสลติ ท่ีสองไปยงั แถบสว่างเดียวกันน้ันเป็น 1200 นาโนเมตร ผลต่างของระยะทางจากสลิตที่หน่ึงไปยังตําแหน่งแถบมืดลําดับท่ีสองจากแถบสว่าง กลางและจากสลติ ท่สี องไปยงั แถบมดื เดยี วกันน้นั เปน็ กีน่ าโนเมตร 1) 700 2) 800 3) 900 4) 1000 57. ลวดโลหะมพี ืน้ ทห่ี น้าตดั 1 ตารางมิลลเิ มตร ความยาว 80 เซนติเมตร มมี อดูลัสของยงั เทา่ กับ 9 × 1010 นวิ ตนั ต่อตารางเมตร ถา้ ใชล้ วดนีร้ บั นา้ํ หนกั 45 นวิ ตนั ลวดจะยดื ออกกีม่ ลิ ลิเมตร 1) 0.04 mm 2) 0.4 mm 3) 4 mm 4) 40 mm โครงการแบรนด์ซมั เมอรแ์ คมป์ ปที ี่ 28 _________________________________ วทิ ยาศาสตร์ ฟิสกิ ส์ (195)
58. ทอ่ นา้ํ วางตวั ในแนวระดบั ตรงบริเวณที่ทอ่ มีพนื้ ท่ีภาคตัดขวาง A นัน้ น้าํ มีความเร็ว v และมคี วามดัน P จงหาคา่ ความดนั ท่บี ริเวณท่ีทอ่ มพี นื้ ท่ีภาคตัดขวาง A (น้ํามีความหนาแน่น ρ) 2 v A2 พน้ื ที่ภาคตัดขวาง A 1) P - 32 ρv2 2) P - 21 ρv2 3) P + 21 ρv2 3 4) P+ 2 ρv2 59. วัตถุถูกแรงในแนว x กระทําให้เคลอื่ นที่จากตําแหนง่ x = 0 ไปยังตาํ แหน่ง x = 10 เมตร ภายในเวลา 4 วินาที ถา้ แรงทตี่ าํ แหนง่ ต่างๆ ของวตั ถุแสดงดังกราฟ จงหากําลงั งานเฉลีย่ ของแรงในช่วงการเคล่อื นทีน่ ้ี F (N) 6 8 10 12 x (m) 40 20 0 24 -20 1) 20 วัตต์ 2) 30 วัตต์ 3) 40 วัตต์ 4) 50 วัตต์ 60. ออกแรงคงที่ F ในแนวระดบั ดนั กลอ่ งใบหน่ึงใหเ้ คลือ่ นท่จี ากหยุดน่ิงไปบนพืน้ ระดบั ล่นื กราฟขอ้ ใดแสดง ความสมั พันธร์ ะหว่างกําลังขณะใดๆ ของแรง F กับระยะทางท่ีวัตถเุ คล่ือนท่ีได้ใกลเ้ คียงความจริงที่สดุ กาํ ลงั กําลัง 1) ระยะทาง 2) ระยะทาง กําลัง กาํ ลงั 3) 4) ระยะทาง ระยะทาง วิทยาศาสตร์ ฟสิ ิกส์ (196) __________________________________โครงการแบรนด์ซมั เมอร์แคมป์ ปีที่ 28
61. มวล 1 กิโลกรมั ตดิ ทปี่ ลายสปริงซงึ่ มคี า่ คงตัวสปริง 100 นิวตันตอ่ เมตร ดงึ มวลออกจากตําแหน่งสมดลุ หลงั จากปล่อยมือเปน็ เวลาเท่าใดมวลจึงจะเคล่ือนมาผา่ นตาํ แหนง่ สมดลุ อกี เปน็ คร้งั ทส่ี อง (SHM) พื้นระดับล่ืน 1) 0.47 s 2) 0.63 s 3) 0.94 s 4) 1.26 s 62. ลกู ปนื มวล 8 กรมั ยิงตรงไปยงั ท่อนไม้มวล 2.0 กโิ ลกรัม ซึ่งวางอยู่บนขอบโต๊ะพื้นลน่ื ท่ีความสูง 0.8 เมตร เมือ่ ลกู ปืนกระทบท่อนไม้และฝังในเนอื้ ไม้ ทอ่ นไมเ้ คล่อื นทห่ี ลน่ จากโตะ๊ และตกถึงพื้นหา่ งจากโต๊ะ 2 เมตร จงหาอัตราเรว็ ของลกู ปนื ในหนว่ ยเมตรต่อวินาที 8 g 2.0 kg โตะ๊ 0.8 m 2.0 m 63. จากรปู ถา้ ยงิ มวล m1 ใหเ้ คลือ่ นทีแ่ บบโพรเจกไทล์มคี วามเรว็ เริม่ ตน้ v1 = 24 เมตรตอ่ วนิ าที ทาํ มุม 30 องศากบั แนวระดับ ขณะเดียวกนั มวล m2 ถกู ยิงขนึ้ ไปในแนวดิง่ ด้วยความเร็วตน้ v2 ถ้ามวลทงั้ สอง เคล่ือนท่ใี นระนาบเดยี วกนั และชนกันกลางอากาศได้ คา่ v2 ต้องเปน็ กีเ่ มตรตอ่ วนิ าที v1 v2 30° m1 m2 โครงการแบรนด์ซัมเมอร์แคมป์ ปที ่ี 28 _________________________________ วิทยาศาสตร์ ฟิสิกส์ (197)
64. ลกู บิลเลียด A ว่ิงดว้ ยอัตราเร็ว 10 เมตรต่อวนิ าที เขา้ ชนกับลกู บลิ เลยี ด B ทอ่ี ยนู่ งิ่ และมมี วลเท่ากับ A หลังจากชนกนั แล้ว ลูกบลิ เลยี ดทงั้ สองเคล่ือนทแี่ ยกออกจากกนั โดยลกู บลิ เลยี ด A ทาํ มมุ 37 องศากับ แนวเดิม ดังรปู ถา้ การชนเปน็ แบบยืดหยนุ่ และไม่คิดผลจากการหมุนและความฝดื ของพืน้ กบั ลูกบลิ เลียด อตั ราเร็วของลูกบิลเลียดทั้งสองจะเป็นเท่าใด vA A 10 m/s B 37° กอ่ นการชน vB หลงั การชน 1) vA = 4 m/s vB = 3 m/s 2) vA = 3 m/s vB = 3 m/s 3) vA = 8 m/s vB = 6 m/s 4) vA = 6 m/s vB = 8 m/s 65. นาย ก มวล m1 และนาย ข มวล m2 ยนื นิง่ อยู่บนพนื้ นํา้ แขง็ เรยี บและล่นื ถ้านาย ก ผลกั นาย ข ออกไป จนนาย ข มีอัตราเร็ว v2 เทยี บกับพืน้ นาย ก จะพบวา่ นาย ข เคลื่อนหนีดว้ ยความเร็วเท่าใดเทยี บกับนาย ก เอง m1 m2 นาย ก นาย ข 1) m2 v2 m1 2) mm21 v2 m1 + m2 3) m1 v2 4) m1 + m2 v2 m2 วทิ ยาศาสตร์ ฟสิ ิกส์ (198) __________________________________โครงการแบรนดซ์ มั เมอร์แคมป์ ปที ่ี 28
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210