Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วิชา การจัดการองค์การบริการสารสนเทศ

วิชา การจัดการองค์การบริการสารสนเทศ

Published by lavanh9979, 2021-08-23 05:01:01

Description: วิชา การจัดการองค์การบริการสารสนเทศ

Search

Read the Text Version

เอกสารคาสอน รายวชิ าการจดั การองค์การบรกิ ารสารสนเทศ ผู้ช่วยศาสตราจารย์นาวา วงษพ์ รม คณะมนษุ ยศาสตรแ์ ละสงั คมศาสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภัฏอดุ รธานี 2559

เอกสารคาสอน รายวิชาการจัดการองคก์ ารบริการสารสนเทศ ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์นาวา วงษ์พรม ศศ.ม. (บรรณารกั ษศาสตร์และสารนิเทศศาสตร์) คณะมนษุ ยศาสตรแ์ ละสงั คมศาสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฏั อดุ รธานี 2559

คำนำ เอกสารคาสอนรายวิชาการจัดการองค์การบริการสารสนเทศ มีเนื้อหาทั้งสิ้น 9 บท ประกอบด้วยเนื้อหาเกี่ยวกับ ทฤษฎีและหลักการการบริหารองค์การบริการสนเทศ งานนโยบายและ การวางแผน การจัดองค์การและงานบริหารบุคคล งานธุรการและงานสารบรรณ งานการเงิน งบประมาณและงานพสั ดุ การสื่อสารองค์การ การรายงานและการประชาสัมพันธ์ อาคารสถานที่และ ครุภัณฑ์ การจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรม มาตรฐาน การประกันคุณภาพ และกฎหมายเกี่ยวกับ องค์การบรกิ ารสารสนเทศ ผู้เขียนได้รวบรวมเนื้อหาจากสื่อสารสนเทศหลายรูปแบบ ตลอดจนประสบการณ์ตรงใน การบริหารจัดการห้องสมุด ทั้งการศึกษาอบรม ติดตามความเคลื่อนไหวศาสตร์และศิลป์ในด้านการ จัดการองค์การบริหารสารสนเทศและจากประสบการณ์สอนมาอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลา 27 ปี นอกจากบทบาทหน้าที่ในฐานะผู้สอนสาขาวิชาสารสนเทศศาสตร์แล้ว ยังได้นาเอาประสบการณ์ที่ ไดร้ บั จากการบรกิ ารวิชาการ การเป็นวทิ ยากรเก่ยี วกบั การบริหารจดั การหอ้ งสมดุ และแหล่งเรียนรู้ มา หลอมรวมเป็นส่วนหนึ่งของเน้ือหาเพ่ือใช้เป็นส่ือประกอบการเรียนการสอนให้กับนักศึกษาผู้จะก้าว ออกเป็นผู้บริหารและผู้ปฏิบัติงานในองค์การบริการสารสนเทศทุกรูปแบบได้อย่างมีความเป็นมือ อาชพี ตอ่ ไป ผ้ชู ่วยศาสตราจารย์นาวา วงษ์พรม 1 สงิ หาคม 2559

สารบญั หน้า คำนำ (1) สำรบญั (3) สำรบญั ภำพ (11) สำรบัญตำรำง (13) แผนบริหำรกำรสอนประจำวชิ ำ (15) แผนบริหารการสอนประจาบทท่ี 1 บทที่ 1 การจัดการองคก์ ารบริการสารสนเทศ 1 3 ทฤษฎแี ละหลักกำรบรหิ ำรและกำรจดั กำร 3 ควำมหมำยของกำรบรหิ ำรและกำรจดั กำร 3 ควำมสำคญั ของกำรบริหำร 4 ระดบั ของกำรบริหำร 4 ผู้บรหิ ำร 5 ทฤษฎกี ำรบริหำร 8 11 กำรจัดกำรองค์กำรบริกำรสำรสนเทศ 11 ควำมหมำยขององค์กำรบริกำรสำรสนเทศ 11 ประเภทขององค์กำรบริกำรสำรสนเทศ 14 วตั ถุประสงค์ขององค์กำรบริกำรสำรสนเทศ 15 หลักกำรจดั กำรองคก์ ำรบริกำรสำรสนเทศ 17 18 สรุป 19 คำถำมท้ำยบท เอกสำรอ้ำงอิง 21 แผนบริหารการสอนประจาบทท่ี 2 23 บทที่ 2 งานนโยบายและการวางแผน 23 23 งำนนโยบำยและกำรวำงแผน 24 ควำมหมำยของนโยบำยและกำรวำงแผน 25 ควำมสำคญั และวตั ถุประสงคข์ องกำรวำงแผน 26 กระบวนกำรในกำรวำงแผน ประเภทของกำรวำงแผน

(8) หนา้ สารบญั (ต่อ) 28 29 กำรกำหนดวสิ ยั ทัศน์ พันธกจิ เป้ำหมำย และวตั ถปุ ระสงค์ 33 กลยทุ ธ์กำรวำงแผน 34 สิ่งทคี่ วรวำงแผนสำหรับองค์กำรบรกิ ำรสำรสนเทศ 35 ลกั ษณะกำรวำงแผนท่ีดี 37 ควำมสัมพนั ธ์ระหวำ่ งนโยบำย แผน แผนงำน และโครงกำร 38 สรุป 39 คำถำมท้ำยบท เอกสำรอำ้ งอิง 41 แผนบรหิ ารการสอนประจาบทท่ี 3 43 บทท่ี 3 การจดั องค์การและงานบริหารบคุ คล 43 กำรจัดองคก์ ำร 43 ควำมหมำยของกำรจัดองค์กำร 44 ควำมสำคัญของกำรจดั องค์กำร 44 ประโยชน์ของกำรจดั องค์กำร 45 องคป์ ระกอบขององค์กำร 46 ลกั ษณะและสมรรถนะขององคก์ ำรที่มปี ระสทิ ธภิ ำพ 47 โครงสร้ำงขององค์กำร 49 กำรจัดแผนกงำนในองค์กำร 51 งำนบริหำรบุคคล 52 ควำมหมำยกำรบริหำรบุคคล 52 ควำมสำคัญของกำรจัดกำรหรอื กำรวำงแผนทรัพยำกรบุคคล 52 ประโยชนใ์ นกำรบรหิ ำรงำนบุคคล 53 ปัจจยั ในกำรพจิ ำรณำในกำรวำงแผนงำนบรหิ ำรบคุ คล 55 กำรจดั คนเข้ำทำงำน 58 ภำรกจิ หนำ้ ท่ีของบุคลำกรในองค์กำรบรกิ ำรสำรสนเทศ 59 สรปุ 61 คำถำมทำ้ ยบท 63 เอกสำรอำ้ งองิ

สารบญั (ต่อ) (9) แผนบริหารการสอนประจาบทที่ 4 หนา้ บทท่ี 4 งานธรุ การและงานสารบรรณ 65 67 ควำมหมำยของงำนธุรกำรและงำนสำรบรรณ 67 ประเภทของงำนธุรกำรและงำนสำรบรรณ 68 คุณสมบัตขิ องบุคลำกรงำนธุรกำรและงำนสำรบรรณ 69 กำรจดั กำรเอกสำรในสำนักงำนองคก์ ำรบรกิ ำรสำรสนเทศ 69 หนังสือรำชกำร 70 มำตรฐำนตรำ แบบพมิ พ์ และซอง 71 รำยละเอียดในกำรพมิ พ์หนังสือรำชกำร 74 กำรรับ-ส่งหนงั สือ 77 กำรเกบ็ รกั ษำ 78 กำรยืม 78 กำรทำลำยหนงั สอื 79 กำรควบคมุ คุณภำพงำนสำรบรรณ 80 สรปุ 81 คำถำมท้ำยบท 82 เอกสำรอำ้ งอิง 83 แผนบริหารการสอนประจาบทท่ี 5 85 บทที่ 5 งานการเงิน งบประมาณ และงานพสั ดุ 87 งำนกำรเงินและงบประมำณ 87 ควำมหมำยของงบประมำณและกำรจัดทำงบประมำณ 87 แหล่งงบประมำณ 88 กำรใช้จำ่ ยงบประมำณในองค์กำรบรกิ ำรสำรสนเทศ 88 ค่ำใช้จำ่ ยต่ำงๆ ในองค์กำรบริกำรสำรสนเทศ 88 หลกั ในกำรตง้ั งบประมำณ 89 กำรควบคมุ กำรใช้งบประมำณ 90 ควำมร้ทู ั่วไปเกีย่ วกับงบประมำณ 90 กลยทุ ธก์ ำรจดั ซื้อ 92 สรปุ 94

(8) หน้า 94 สารบญั (ต่อ) 94 95 งำนพัสดุ 95 ควำมหมำยของพัสดุและงำนพสั ดุ 96 ประเภทของพัสดุ 100 กระบวนกำรในกำรบรหิ ำรงำนพัสดุ 102 ขอบเขตและข้นั ตอนกำรจัดหำพัสดุ 102 กำรตรวจรบั พสั ดุ 102 กำรควบคมุ พัสดุ 102 กำรเก็บรักษำพสั ดุ 104 กำรจำหน่ำยพสั ดุ 105 107 สรปุ 109 คำถำมท้ำยบท 109 เอกสำรอ้ำงองิ 109 แผนบรหิ ารการสอนประจาบทท่ี 6 110 บทท่ี 6 การสื่อสารองค์การ การรายงาน และการประชาสัมพนั ธ์ 111 กำรส่อื สำรองคก์ ำร 112 112 ควำมหมำยของกำรสอ่ื สำร 113 กำรสอื่ สำรกบั กำรบรหิ ำรจัดกำรองค์กำร 116 ประเภทของกำรส่ือสำร 117 วธิ ีกำรสอื่ สำรในองคก์ ำร 117 ส่อื และช่องทำงกำรสื่อสำรในองค์กำร 117 กำรสื่อสำรองคก์ ร 118 กำรประชำสมั พนั ธ์ 119 ควำมหมำยของกำรประชำสมั พนั ธ์ 121 จุดมุง่ หมำยของกำรประชำสัมพนั ธ์องค์กำร ภำพลักษณ์องคก์ ำร ช่อื เสียงขององค์กำร ควำมรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กำร สอื่ ในกำรประชำสัมพนั ธ์

สารบัญ (ตอ่ ) (9) กำรรำยงำน หนา้ ควำมหมำยและควำมสำคัญของรำยงำน 122 ประเภทของรำยงำน 122 สถติ ิขององคก์ ำรบริกำรสำรสนเทศ 122 รำยละเอยี ดของรำยงำนและกำรจัดทำ 123 124 หลักกำรวำงแผนกำรส่ือสำร กำรรำยงำน และกำรประชำสมั พนั ธ์ 125 สรปุ 126 คำถำมทำ้ ยบท 127 เอกสำรอำ้ งอิง 129 แผนบรหิ ารการสอนประจาบทที่ 7 131 บทท่ี 7 งานอาคารสถานที่และครภุ ณั ฑ์ 133 อำคำรสถำนท่ี 133 133 ทีต่ ง้ั และอำคำรสถำนท่ีขององคก์ ำรบรกิ ำรสำรสนเทศ 135 กำรออกแบบอำคำรองค์กำรบริกำรสำรสนเทศ 135 กำรรวบรวมข้อมลู เบ้ืองต้นในกำรออกแบบตกแตง่ 135 กำรวิเครำะห์ขอ้ มูลและสรุปแนวทำงในกำรออกแบบตกแต่ง 136 กำรตกแต่งภำยนอก 137 กำรตกแต่งภำยใน 138 แนวคิดในกำรออกแบบองค์กำรบริกำรสำรสนเทศสมัยใหม่ 139 หลักกำรออกแบบองค์กำรบริกำรสำรสนเทศตำมควำมต้องกำรของ 140 ผ้ใู ช้บริกำร 142 องค์กำรบรกิ ำรสำรสนเทศสเี ขียว 143 ครุภณั ฑ์ 143 กำรจดั หำครภุ ัณฑ์ขององค์กำรบริกำรสำรสนเทศ 144 แหลง่ จำหน่ำยครภุ ณั ฑ์และวัสดอุ ุปกรณ์ 145 ชนิดของครุภณั ฑแ์ ละวัสดอุ ุปกรณ์ 147 กำรจัดวำงครุภัณฑ์ 148 สรุป 149 คำถำมท้ำยบท เอกสำรอำ้ งองิ

(8) สารบัญ (ตอ่ ) หน้า แผนบรหิ ารการสอนประจาบทที่ 8 151 บทท่ี 8 การจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรม 153 153 กำรจดั กำรเทคโนโลยีขององค์กำรบรกิ ำรสำรสนเทศ 154 หลกั กำรจดั กำรเทคโนโลยีสำรสนเทศขององค์กำรบริกำรสำรสนเทศ 154 ภำระหนำ้ ท่ขี องงำนเทคโนโลยีสำรสนเทศ 156 เทคโนโลยสี ำรสนเทศเพ่ือกำรจัดกำรองคก์ ำรบริกำรสำรสนเทศ 157 แนวทำงกำรจดั กำรเทคโนโลยสี ำรสนเทศในองค์องค์กำรบริกำรสำรสนเทศ 158 กำรประยุกตใ์ ช้เครื่องมือทำงสังคมกบั องค์กำรบริกำรสำรสนเทศ 159 กำรพัฒนำบุคลำกรดำ้ นเทคโนโลยีสำรสนเทศขององค์กำรบริกำรสำรสนเทศ 160 160 นวัตกรรมสำหรับองคก์ ำรบริกำรสำรสนเทศ 161 ควำมหมำยของนวัตกรรม 161 ประเภทของนวัตกรรม 163 กำรพัฒนำองค์กำรบรกิ ำรสำรสนเทศเป็นองค์กำรแห่งนวัตกรรม 164 กลยทุ ธก์ ำรเลอื กใชน้ วตั กรรมเชิงเทคโนโลยี 165 กำรจัดกำรนวัตกรรมองคก์ ำรบรกิ ำรสำรสนเทศโดยใช้วิธเี ริ่มต้นแบบลนี 167 กำรสรำ้ งตรำสินคำ้ องค์กำร 170 องค์กำรแหง่ กำรเรียนรู้ 171 173 สรปุ คำถำมทำ้ ยบท เอกสำรอำ้ งอิง แผนบรหิ ารการสอนประจาบทท่ี 9 177 บทท่ี 9 มาตรฐาน การประกนั คุณภาพ และกฎหมายเก่ียวกบั องค์การบริการสารสนเทศ 179 179 มำตรฐำนองคก์ ำรบริกำรสำรสนเทศ 179 ควำมหมำยของมำตรฐำน 179 ประเภทมำตรฐำนองค์กำรบริกำรสำรสนเทศ 186 186 กำรประกนั คณุ ภำพองค์กำรบริกำรสำรสนเทศ 186 ควำมหมำยของกำรประกันคุณภำพ 187 วัตถปุ ระสงค์ในกำรประกันคุณภำพ องค์ประกอบกำรประกันคุณภำพในองคก์ ำรบริกำรสำรสนเทศ

(9) สารบัญ (ตอ่ ) หนา้ หลักกำรและรูปแบบกำรประกันคณุ ภำพ 187 กำรตรวจประเมนิ ระบบประกันคณุ ภำพ 189 กฎหมำยเก่ยี วกบั กำรจดั กำรองค์กำรบริกำรสำรสนเทศ 189 กฎหมำยในกำรบริหำรงำนบุคคล 190 กฎหมำยในกำรจดั หำพัสดุ 190 กฎหมำยในกำรจัดระบบเอกสำรและเผยแพร่ข้อมูลข่ำวสำร 190 บทบญั ญัตแิ ห่งกฎหมำยท่บี ุคลำกรขององค์กำรบริกำรสำรสนเทศควรทรำบ 191 ข้อยกเวน้ ในกำรทำซำ้ โดยบุคลำกรองคก์ ำรบริกำรสำรสนเทศ 194 สรปุ 194 คำถำมท้ำยบท 196 เอกสำรอำ้ งอิง 197 บรรณำนุกรม 199 ภำคผนวก 213

สารบัญตาราง หนา้ 5 ตารางที่ 7 1.1 บทบาทของผู้บริหารองค์การ 30 1.2 ความสัมพันธ์ของผู้บรหิ าร การบริหาร และการจดั การ 54 2.1 ประโยชน์ของคู่มอื ปฏบิ ัติงาน 3.1 ลาดับในการวางแผนกาลังคนในองค์การ

สารบญั ภาพ ภาพที่ หนา้ 1.1 หอสมุดเมืองกรุงเทพมหานคร 14 2.1 ประเภทของแผน 27 2.2 ความสัมพนั ธ์ระหว่างนโยบาย แผน แผนงาน และโครงการ 36 3.1 ตวั อย่างโครงสร้างองค์การ ศูนยว์ ทิ ยบริการ 49 4.1 ตัวอย่างแบบทะเบยี นหนงั สือรับ 73 4.2 ตัวอยา่ งแบบทะเบยี นหนงั สือส่ง 73 5.1 ข้นั ตอนการซื้อและการจา้ ง 95 6.1 ตัวอย่างโครงการสงิ ห์ – ราชภฏั ค่ายอาสาเพื่อพัฒนาท้องถนิ่ 125 6.2 รายงานประจาปี ฉบบั ออนไลน์ 129 7.1 ตัวอย่างการตกแต่งภายนอกอาคาร 143 7.2 ตัวอยา่ งการตกแต่งภายในอาคาร 145 7.3 ตัวอย่าง Digital Zone ในห้องสมดุ 145 7.4 ตวั อย่าง Eco Library หอ้ งสมุดสีเขียนมหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ 149 7.5 ตัวอยา่ งครุภณั ฑ์และการจดั วางในห้องสมุด 155 8.1 ตัวอย่างเว็บไซต์สานักวทิ ยบริการ มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏอุดรธานี 167 8.2 ตัวอยา่ งตราสนิ ค้าขององคก์ ารบรกิ ารสารสนเทศตา่ งๆ 178 8.3 ตวั อย่างเอกสารเผยแพรก่ ารจัดการความรู้ขององคก์ ารบริการสารสนเทศ 181 9.1 ตัวอยา่ งเวบ็ ไซตห์ ้องสมดุ เฉพาะดเี ดน่ ภาคเอกชน ประจาปี 2559 195 9.2 ตวั อย่างหอ้ งสมดุ ดีเด่นด้านการออกแบบประจาปี 2014 198 9.3 วงจร PDCA ของเดมม่งิ 201

แผนบริหารการสอนประจาวิชา รหสั วชิ า IS10204 รายวิชา การจัดการองค์การบรกิ ารสารสนเทศ หนว่ ยกติ 3 (3-0-6) Information Service Organization Management รวมเรยี น 17 สปั ดาห์ รวมเรียน 51 ชั่วโมง คาอธิบายรายวิชา ศึกษาหลักการ ทฤษฎีการบริหาร การจัดการองค์การบริการสารสนเทศ การกาหนด นโยบาย การวิเคราะหแ์ ละวางแผนกลยุทธ์ การจัดองคก์ าร การสื่อสาร การบริหารบุคคล การจัดการ งบประมาณ การประชาสัมพันธ์และรายงาน กระบวนการบริหารจัดการองค์การบริการสารสนเทศ นวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อการจัดการ กฎหมายและระเบียบที่เก่ียวข้องกับการจัดการองค์การ บริการสารสนเทศ มาตรฐานและการประกนั คณุ ภาพในการดาเนินงาน วัตถุประสงค์ท่วั ไป 1. เพื่อให้มคี วามรคู้ วามเขา้ ใจเกยี่ วกับจัดการองค์การบรกิ ารสารสนเทศ 2. เพอื่ ให้มีทกั ษะและสามารถปฏบิ ัติงานเก่ยี วกับการกาหนดนโยบาย การวางแผน การจัดองคก์ าร งานธรุ การ งานสารบรรณ งานพัสดุ งานงบประมาณ งานบคุ ลากร งานอาคารสถานท่ี และครุภัณฑ์ งานสื่อสารองค์การ งานประชาสัมพันธ์และรายงานขององคก์ ารบริการสารสนเทศ 3. เพ่ือให้มีความตระหนักและเจตคติท่ีดีต่อการพัฒนามาตรฐานและนาหลักการประกัน คณุ ภาพมาใชใ้ นการบริหารจดั การองค์การบรกิ ารสารสนเทศ 4. เพื่อให้มีคุณธรรมจริยธรรมและปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบข้อบังคับต่างๆ เกี่ยวกับองค์การบริการสารสนเทศ 5. เพ่ือให้สามารถนานวัตกรรมและเทคโนโลยีมาใช้ในการบริหารจัดการองค์การบริการ สารสนเทศ และประยกุ ตใ์ ช้ในชีวติ ประจาวันได้ 6. เพ่อื ใหม้ ีคา่ นิยมในการเป็นผบู้ รหิ ารและบคุ ลากรทด่ี ีขององคก์ ารบริการสารสนเทศ

(16) เนือ้ หา บทท่ี 1 การบริหารจดั การองค์การบริการสารสนเทศ 3 ชั่วโมง 1. ทฤษฎแี ละหลักการบรหิ ารและการจดั การ 2. ความหมายของการบรหิ ารและการจดั การ 3. ความสาคัญของการบริหารและการจัดการ 4. ระดบั การบริหาร และผบู้ รหิ าร 5. ทฤษฎกี ารบริหาร 6. การจดั การองค์การบริการสารสนเทศ 7. ความหมายขององคก์ ารบริการสารสนเทศ 8. ประเภทขององค์การบริการสารสนเทศ 9. วตั ถุประสงคข์ ององค์การบรกิ ารสารสนเทศ 10. หลักการจดั การองค์การบริการสารสนเทศ บทท่ี 2 งานนโยบายและการวางแผน 5 ชัว่ โมง 1. ความหมายของงานโยบายและการวางแผน 2. ความสาคัญและวตั ถุประสงค์ของการวางแผน 3. กระบวนการในการวางแผน 4. ประเภทของการวางแผน 5. การกาหนดวสิ ยั ทศั น์ พนั ธกจิ เป้าหมาย และวัตถุประสงค์ 6. กลยทุ ธก์ ารวางแผน 7. สิง่ ท่คี วรวางแผนสาหรบั องคก์ ารบริการสารสนเทศ 8. ลกั ษณะการวางแผนท่ดี ี 9. ความสมั พันธร์ ะหวา่ งนโยบาย แผน แผนงาน และโครงการ บทที่ 3 การจัดองค์การและงานบริหารบคุ คล 6 ชว่ั โมง 1. ความหมายของการจัดองค์การ 2. ความสาคัญและประโยชน์ของการจดั องคก์ าร 3. องคป์ ระกอบขององค์การ 4. ลักษณะและสมรรถนะขององค์การท่ีมีประสิทธิภาพ 5. โครงสรา้ งและการจดั แผนกงานในองค์การ 6. ความหมายของการบริหารบคุ คล 7. ความสาคัญและประโยชน์ของการจัดการและการวางแผนทรพั ยากรบุคคล 8. ปัจจยั ในการพิจารณาวางแผนงานบริหารบคุ คล 9. การจดั คนเข้าทางาน 10. ภารกิจหนา้ ท่ขี องบุคลากรในองค์การบริการสารสนเทศ

บทที่ 4 งานธรุ การและงานสารบรรณ (17) 1. ความหมายของงานธรุ การและงานสารบรรณ 6 ช่วั โมง 2. ประเภทของงานธุรการและงานสารบรรณ 3. คุณสมบัตขิ องบุคลากรงานธุรการและงานสารบรรณ 6 ช่ัวโมง 4. เอกสารในงานธุรการและงานสารบรรณ 5. หนงั สือราชการ มาตรฐานตรา แบบพมิ พ์ และซอง 6 ช่ัวโมง 6. รายละเอยี ดในการพิมพห์ นงั สอื ราชการ 7. การรับ-สง่ หนงั สือ 8. การเก็บรักษา การยมื การทาลายหนังสือ 9. การควบคมุ คุณภาพงานสารบรรณ บทที่ 5 งานการเงนิ งบประมาณ และงานพัสดุ 1. ความหมายของงบประมาณและการจัดทางบประมาณ 2. แหล่งงบประมาณ 3. การใช้จ่ายงบประมาณในองค์การบรกิ ารสารสนเทศ 4. หลกั การตั้งงบประมาณ การควบคมุ การใช้งบประมาณ 5. กลยุทธก์ ารจดั ซือ้ และความรทู้ ่วั ไปเก่ียวกับงบประมาณ 6. ความหมายของพัสดุและงานพัสดุ 7. ประเภทของพัสดุ 8. กระบวนการในการบรหิ ารงานพัสดุ 9. ขอบเขตและขน้ั ตอนการจดั หาพสั ดุ 10. การตรวจรับ การควบคุม การเกบ็ รักษา และการจาหนา่ ยพัสดุ บทท่ี 6 การสือ่ สารองค์การ การรายงาน และการประชาสัมพันธ์ 1. ความหมายของการส่ือสาร 2. การส่อื สารกบั การบริหารจัดการองค์การ 3. ประเภทของการสือ่ สาร 4. วธิ ีการส่ือสารในองค์การ 5. สื่อและช่องทางการส่ือสารในองค์การ 6. การสื่อสารองคก์ ร 7. ความหมายของการประชาสมั พันธ์ 8. จุดมุ่งหมายโดยรวมของการประชาสมั พันธ์องค์การ 9. ส่อื ในการประชาสัมพันธ์ 10. ความหมายและความสาคัญของรายงาน 11. ประเภทของรายงาน 12. สถิตขิ ององค์การบริการสารสนเทศ

(18) 13. รายละเอยี ดของรายงานและการจัดทา 14. หลกั การวางแผนการส่ือสาร การรายงาน และการประชาสมั พนั ธ์ บทที่ 7 งานอาคารสถานท่ีและครภุ ณั ฑ์ 5 ชวั่ โมง 1. ที่ตงั้ และอาคารสถานที่ขององค์การบริการสารสนเทศ 2. การออกแบบอาคารองค์การบริการสารสนเทศ 3. การรวบรวมข้อมูลเบื้องต้นในการออกแบบตกแตง่ 4. การวเิ คราะห์ข้อมูลและสรปุ แนวทางในการออกแบบตกแต่ง 5. การตกแต่งภายนอก 6. การตกแต่งภายใน 7. แนวคดิ ในการออกแบบองค์การบริการสารสนเทศสมัยใหม่ 8. หลักการออกแบบองค์การบริการสารสนเทศตามความต้องการของผ้ใู ชบ้ รกิ าร 9. องคก์ ารบริการสารสนเทศสเี ขยี ว 10. การจดั หาครุภัณฑ์ขององคก์ ารบริการสารสนเทศ 11. ชนิดของครุภัณฑแ์ ละวัสดุอุปกรณ์ 12. การจดั วางครภุ ัณฑ์ บทที่ 8 การจดั การเทคโนโลยแี ละนวัตกรรม 6 ช่ัวโมง 1. หลักการจัดการเทคโนโลยสี ารสนเทศขององค์การบริการสารสนเทศ 2. ภาระหนา้ ที่ของานเทคโนโลยีสารสนเทศ 3. เทคโนโลยสี ารสนเทศเพ่ือการจดั การองค์การบรกิ ารสารสนเทศ 4. แนวทางการจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศในองค์การบริการสารสนเทศ 5. การประยกุ ตใ์ ชเ้ คร่อื งมือทางสงั คมกับองค์การบริการสารสนเทศ 6. การพฒั นาบุคลากรดา้ นเทคโนโลยสี ารสนเทศขององค์การบริการสารสนเทศ 7. ความหมายของนวัตกรรม 8. ประเภทของนวัตกรรม 9. การพฒั นาองค์การบริการสารสนเทศเปน็ องค์การแหง่ นวัตกรรม 10. กลยทุ ธก์ ารเลอื กใชน้ วัตกรรมเชิงเทคโนโลยี 11. การจดั การนวัตกรรมองคก์ ารบริการสารสนเทศโดยใช้วธิ เี รมิ่ ต้นแบบลนี 12. การสร้างตราสนิ ค้าองค์การ 13. องคก์ ารแหง่ การเรยี นรู้ บทท่ี 9 มาตรฐาน การประกันคุณภาพ และกฎหมายเกยี่ วกับองค์การบรกิ าร 8 ชัว่ โมง สารสนเทศ 1. ความหมายของมาตรฐาน 2. ประเภทของมาตรฐานองคก์ ารบริการสารสนเทศ

(19) 3. มาตรฐานระดบั ชาติ มาตรฐานระดับนานาชาติ และมาตรฐานเพอื่ การเทียบเคยี ง 4. ความหมายของการประกันคณุ ภาพ 5. วัตถุประสงค์ในการประกันคณุ ภาพ 6. องค์ประกอบของการประกันคุณภาพ 7. หลักการและรปู แบบการประกันคุณภาพ 8. การประเมินระบบประกันคณุ ภาพ 9. กฎหมายเกย่ี วกับการจดั การองค์การบรกิ ารสารสนเทศ 10. กฎหมายในการบริหารงานบุคคล กฎหมายการจัดหาพัสดุ กฎหมายในการจดั ระบบ เอกสารและเผยแพร่ข้อมลู ข่าวสาร 11. บทบัญญัตแิ หง่ กฎหมายที่บุคลากรองค์การบริการสารสนเทศควรทราบ 12. ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชยว์ า่ ดว้ ยการละเมิด ประมวลกฎหมายอาญา และ พระราชบัญญตั ลิ ิขสทิ ธ์ิ 13. ขอ้ ยกเว้นในการทาซ้าโดยบุคลากรองค์การบรกิ ารสารสนเทศ วธิ ีสอนและกจิ กรรม 1. บรรยายและอภิปราย ประกอบเอกสารการสอน และ Power point 2. จดั กจิ กรรมกลมุ่ อภปิ รายกลุ่มยอ่ ย และรายงานหนา้ ช้นั เรียนตามหวั ข้อทม่ี อบหมาย 3. สาธติ เพือ่ สรา้ งความเขา้ ใจในกระบวนการ และข้ันตอนการปฏบิ ัติ 4. ฝกึ ปฏิบตั ิการเขียนโครงการ ออกแบบห้องสมุดในชนั้ เรียน 5. ศึกษาหนังสอื คมู่ ือ อินเทอร์เน็ต เพ่อื นาเสนอผลการศึกษาค้นควา้ 6. ศึกษาดูงานองค์การบริการสารสนประเภทตา่ งๆ 7. ทาใบงาน แบบทดสอบ ทดสอบรายบคุ คล 8. ฝกึ ปฏบิ ตั ิงานและพัฒนาทักษะรายบุคคล 9. ทดสอบประเมนิ ผลรายบทโดยใชแ้ บบทดสอบ 10. กจิ กรรมค่ายอาสาพฒั นาห้องสมุดและองค์การบริการสารสนเทศในชมุ ชน สือ่ การเรยี นการสอน 1. เอกสารคาสอนรายวชิ า การจัดการองคก์ ารบริการสารสนเทศ 2. แผน่ ดสิ เก็ต Power point 3. หนงั สือ คูม่ ือ 4. แผ่นภาพ แผนภมู ิ แผนผัง ของตวั อยา่ ง 5. ซดี รี อม ฐานข้อมลู อนิ เทอรเ์ นต็

(20) 6. ใบงาน แบบฝึกหัด แบบทดสอบ 7. หอ้ งสมุดและองคก์ ารบริการสารสนเทศในชมุ ชน การวัดและประเมินผล 1. การวัดผล 60 % 1.1 คะแนนระหวา่ งภาคเรียน 20 % 1.1.1 ความสนใจและการรว่ มกจิ กรรม 20 % 1.1.2 แบบฝกึ หัดและงานทมี่ อบหมาย 20 % 1.1.3 ทดสอบระหวา่ งภาคเรยี น 40 % 1.2 คะแนนสอบปลายภาคเรยี น A 2. การประเมินผล 80 – 100 ได้ระดบั B+ 2.1 คะแนน 75 – 79 ได้ระดบั B 2.2 คะแนน 70 – 74 ไดร้ ะดบั C+ 2.3 คะแนน 65 – 69 ไดร้ ะดับ C 2.4 คะแนน 60 – 64 ได้ระดับ D+ 2.5 คะแนน 55 – 59 ไดร้ ะดับ D 2.6 คะแนน 50 – 54 ได้ระดับ E 2.7 คะแนน 0 – 49 ไดร้ ะดับ 2.8 คะแนน

แผนบริหารการสอนประจาบทที่ 1 การจัดการองคก์ ารบรกิ ารสารสนเทศ เวลาเรียน 3 คาบ เน้อื หา 1. ทฤษฎีและหลักการบริหารและการจดั การ 2. ความหมายของการบรหิ ารและการจดั การ 3. ความสาคญั ของการบริหารและการจัดการ 4. ระดบั การบรหิ าร และผูบ้ ริหาร 5. ทฤษฎกี ารบริหาร 6. การจัดการองค์การบรกิ ารสารสนเทศ 7. ความหมายขององค์การบรกิ ารสารสนเทศ 8. ประเภทขององค์การบรกิ ารสารสนเทศ 9. วัตถุประสงค์ขององคก์ ารบริการสารสนเทศ 10. หลักการจัดการองคก์ ารบริการสารสนเทศ วัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม เมอ่ื นักศกึ ษาเรยี นจบบทน้ีแล้ว ควรมพี ฤติกรรมดงั น้ี 1. ฟงั บรรยายทฤษฎแี ละหลักการบริหารจัดการแลว้ สามารถอธบิ ายความหมายของการ บริหารจัดการได้ถกู ต้อง 2. ตระหนกั และเห็นความสาคญั ของการบรหิ ารจดั การองค์การบรกิ ารสารสนเทศ 3. ยกตวั อยา่ งหลักการทฤษฎีสาคัญเพื่อใช้ในการบรหิ ารจดั การองค์การบรกิ ารสารสนเทศ ได้อย่างน้อย 3 ทฤษฎี 4. อภิปรายหลักการบรหิ ารจัดการองค์การบริการสารสนเทศประเภทต่างๆ ทีแ่ ตกตา่ งกนั ไดอ้ ย่างเหมาะสม 5. หลังจากศึกษาดงู านสามารถแยกแยะความแตกต่างและเปรียบเทยี บประเภทของ องค์การบรกิ ารสารสนเทศได้อยา่ งน้อย 5 ประภท 6. สรปุ หลักการในการจดั การองค์การบรกิ ารสารสนเทศไดอ้ ย่างถูกต้อง

2 วธิ ีสอนและกจิ กรรม 1. ปฐมนเิ ทศและอธบิ ายแนวทางการจดั การเรียนการสอน การวดั ผลและประเมินผลราย วชิ าการจัดการองค์การบริการสารสนเทศ 2. บรรยายและอภปิ ราย ประกอบเอกสารคาสอน และ Power point เน้ือหาบทที่ 1 2. ถามตอบเพื่อประเมินความรู้ความเข้าใจพ้นื ฐานเก่ียวกับองค์การบรกิ ารสารสนเทศ ประเภทตา่ งๆ และนาภาพตัวอย่างหอ้ งสมดุ และองค์การบริการสารสนเทศประเภทตา่ งๆ ให้ดูและ รว่ มกนั อภปิ รายถงึ ความสาคัญและประโยชน์ของห้องสมดุ และองค์การบริการสารสนเทศ 3. บรรยายและแสดงตัวอย่างแผนผังโครงสร้างองค์การเขยี นตารางสรุปหรอื แผนผัง โครงสร้างองค์การและมอบหมายงานศึกษาโครงสร้างองคก์ ารบริการสารสนเทศประเภทตา่ งๆ 5. จัดกลุ่มเพ่ือศึกษาดงู านองค์การบริการสารสนเทศ ประเภทห้องสมดุ โรงเรยี น เพอื่ นา เสนอหน้าช้นั เรียนในสัปดาหถ์ ัดไป 6. นานักศกึ ษาไปศึกษาดูงานห้องสมดุ โรงเรยี น และร่วมกันสรปุ หลกั การจดั การองคก์ าร บรกิ ารสารสนเทศ ผู้สอนสรุปเน้อื หา 7. ทาแบบประเมินความรู้ และแบบทดสอบ สื่อการเรียนการสอน 1. เอกสารคาสอน วิชาการจดั การองค์การบรกิ ารสารสนเทศ บทที่ 1 2. แผ่นดสิ เก็ต Power point บทท่ี 1 3. ภาพตวั อย่างห้องสมดุ และองคก์ ารบรกิ ารสารสนเทศประเภทต่างๆ 4. ใบงาน “กิจกรรมศึกษาดูงานห้องสมุดโรงเรียน” 5. แบบประเมินความรู้การบรหิ ารจดั การองค์การบริการสารสนเทศ การวัดผลและประเมนิ ผล 1. สังเกตความสนใจและการรว่ มกิจกรรม 2. ตรวจผลงานทม่ี อบหมาย 3. ประเมนิ ผลจากการถามตอบ การอภิปราย 4. ผลการประเมนิ ความรูก้ ารบริหารจัดการองคก์ ารบริการสารสนเทศ 5. ผลการทดสอบหลังเรยี น

3 บทท่ี 1 การจดั การองค์การบรกิ ารสารสนเทศ การพัฒนาองค์การบริการสารสนเทศให้เข้มแข็ง และเป็นองค์การที่มีคุณภาพด้วยการ บริหารจัดการแบบมืออาชีพ ต้องอาศัยกลยุทธ์และทักษะหลายๆ ด้าน เพ่ือนามาประยุกต์ใช้ในการ บริหารจัดการ ในขณะเดียวกัน ผู้นาองค์การในฐานะผู้บริหาร รวมไปถึงผู้ปฏิบัติงาน ต้องเป็นผู้ทัน กระแสโลก รู้เท่าทันโลกวิชาการ แสวงหาความรู้อยู่ตลอดเวลา แสดงให้เห็นถึงพลัง ความเข้าใจ และ รจู้ ักนาเทคโนโลยีใหม่มาปรับใช้กับองค์การ เพือ่ ทาหน้าที่ในการนาเสนอและใหบ้ ริการแก่สาธารณชน (ชวน หลีกภัย, 2554: 13) องค์การที่จะประสบผลสาเร็จได้น้ัน จาเป็นต้องมีผู้บริหารท่ีจะเป็น แบบอย่างและมแี นวคิดในการบริหารงานตา่ ง ๆ ได้อย่างฉับไว ทันสมัย ทันเหตุการณ์ และทันกระแส ของโลก ซึ่งต้องมีทักษะในการแก้ไขปัญหาไดอ้ ย่างทันทว่ งที เพื่อให้องค์การสามารถขับเคลือ่ นต่อไปได้ เพราะผู้บริหาร มีส่วนสาคัญในการกาหนดทิศทางและกลยุทธ์ในการนาพาองค์การให้ก้าวไปสู่ ความสาเรจ็ บรรลเุ ปา้ หมายสาคญั ท่จี ะใหบ้ ริการสารสนเทศใหก้ บั ผู้ใช้บรกิ ารได้อยา่ งเต็มประสิทธิภาพ ความเข้าใจในทฤษฎีและหลักการในการจัดการของผู้บริหาร จึงถือเป็นปฐมบทแห่งความสาเร็จของ องค์การบรกิ ารสารสนเทศทุกแห่ง ทฤษฎีและหลกั การบรหิ ารและการจัดการ ทฤษฎีและหลักการบริหารและการจัดการองค์การเป็นองค์ความรู้ที่จะช่วยให้ผู้บริหาร องค์การบริการสารสนเทศ มีความรคู้ วามเข้าใจในศาสตร์และศลิ ป์ของการบรกิ าร ความรู้ความเข้าใจ ในทฤษฎีและหลักการบริหารจัดการที่ถูกต้อง จะช่วยให้ผู้บริหารสามารถนาเอาไปใช้ในการพัฒนา องคก์ ารบริการสารสนเทศให้บรรลุส่เู ป้าหมายทก่ี าหนดไว้ได้อย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ 1. ความหมายของการบริหารและการจดั การ การบริหาร (Administration) มีรากศัพท์มาจากคาว่า administatrae แปลว่า ช่วยเหลือหรืออานวยการ การบริหารคือ กระบวนการดาเนินงานขององค์การให้ประสบผลสาเร็จ บรรลผุ ลตามวตั ถุประสงค์และเปา้ หมายที่กาหนดไว้ โดยอาศัยปัจจัยพ้ืนฐานและองค์ประกอบต่างๆ ท่ี มีส่วนเกี่ยวข้องสัมพันธก์ ัน (ปิยะนุช สุจิต, 2551: 6) ได้แก่ บุคลากร (Men) ทรัพยากร วัสดุครุภัณฑ์ (Materials) งบประมาณ (Money) และการจัดการ (Management) การนาเอาศาสตร์และศิลปะใน การบริหารไปบูรณาการส่วนต่างๆ ให้ประสานสัมพันธ์กันได้อย่างลงตัว และก่อให้เกิดประโยชน์ต่อ องค์การ ท้ังในด้านประสิทธิผลและด้านประสิทธิภาพ การบรหิ าร มักใช้กับหน่วยงานองค์การภาครัฐ หรือหน่วยงานองค์การทีไ่ มแ่ สดงหาผลกาไร

4 การจัดการ (Management) นิยมใช้กับภาคเอกชนหรือภาคธุรกิจ มีวัตถุประสงค์ ในการจัดต้ังเพื่อมุ่งแสวงหากาไรหรือกาไรสูงสุด ในปัจจุบันหลายหน่วยงานนามาใช้ควบกันว่า การบริหารจัดการ (Management Administration) ซึ่งหมายถึง การดาเนินงานหรือการ ปฏิบัติงานใดๆ ขององค์การที่เก่ียวข้องกับคน สิ่งของ และหน่วยงาน โดยครอบคลุมปัจจัยที่มี ส่วนสาคญั ตอ่ การบริหาร (เสน่ห์ จุย้ โต, 2545: 6) 2. ความสาคญั ของการบริหารและการจดั การ เป้าหมายหลักของการบริหารองค์การทั่วไปคือ การดาเนินงานให้ประสบผลสาเร็จ บรรลวุ ัตถุประสงค์ตามเปา้ ประสงค์ท่ีกาหนดไว้ ได้ประโยชน์คุ้มค่ากับสิ่งที่ได้ดาเนินการไป รวมท้งั การ สร้างผลกาไรให้กับองค์การให้ได้มากที่สุด วัตถุประสงค์ข้ันพื้นฐานในการบริหาร มี 2 ประการคือ ต้องการเป็นผู้บริหารท่ีมีประสิทธิภาพ และต้องการจัดการงานต่างๆ ขององค์การท่ีตนเองสังกดั อยู่ให้ ประสบผลสาเร็จตามเป้าหมาย (สุกัญญา มกุฎอรฤดี, 2553: 45; Montana & Charnov, 2000: 5) การบริหารและการจัดการจึงเปน็ สว่ นหนึง่ ของกนั และกันจนไมอ่ าจแยกจากกนั ได้ หากพิจารณาและศึกษาจากนิยามของ การบรหิ าร จะพบว่าการบรหิ ารเปน็ การทางาน ให้สาเร็จโดยอาศัยการจัดการผ่านบุคคลอ่ืน (Drucker, 2006) กระบวนการท่ีก่อให้การดาเนินงานใน องค์การให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพน้ันจึงข้ึนอยู่กับการจัดการ เพราะหน้าที่หลักในการจัดการ ได้แก่ การวางแผน การจัดองค์การ การจัดการบุคคลากร การนาหรือการสั่งการ และการควบคุม (Morrisey, 1970) การจัดการจึงเป็นกระบวนการประสานหรือบูรณาการ ทรัพยากรต่างๆ ใน องค์การ เพ่ือให้บรรลุวัตถุประสงค์ขององค์การ (เสน่ห์ จุ้ยโต, 2545: 6; Rue & Byars, 2002) จึง อาจกล่าวได้วา่ การจัดการเป็นยทุ ธศาสตรข์ องการบริหาร 3. ระดับของการบรหิ าร การบริหารจัดการภายในองค์การแตกต่างกันไปตามระดับความรับผิดชอบของ ผู้บริหารหรือผู้ปฏิบัติงานในองค์การ ซึ่งสามารถแบ่งระดับของการบริหารออกเป็น 3 ระดับ (เสน่ห์ จยุ้ โต, 2554: 9-10) ไดแ้ ก่ 3.1 ระดับกลยุทธ์ (Strategic Level) หรือการบริหารระดับสูง ได้แก่ การวาง นโยบายขององค์การให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมท้ังภายในและภายนอก โดยอาศัย นโยบาย พันธกิจ และวิสยั ทัศนข์ ององค์การเป็นแนวทาง 3.2 ระดับยุทธวิธี (Technical Level) หรือการบริหารระดับกลาง ได้แก่ การจัดสรร ทรัพยากรให้บรรลุเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยวิธีการกาหนดแผนงาน โครงงาน และ งบประมาณ ใหส้ อดคล้องกับยุทธศาสตร์ขององค์การ 3.3 ระดับปฏิบัติการ (Operational Level) หรือการบริหารระดับต้น ได้แก่ การ ปฏิบัติงานของบุคลากรให้เป็นไปตามแผนงาน โครงงาน และงบประมาณท่ีกาหนดไว้ โดยอาศัยการ ควบคมุ ตดิ ตาม และประเมินผลการดาเนินงาน

5 4. ผบู้ รหิ าร ผู้บริหารถือเป็นทรัพยากรหลักของทุกองค์การ เพราะเป็นผู้นาพาให้องค์การ ดาเนินงานไปตามทิศทางท่ีจะสอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ แผนกลยุทธ์ และแผนปฏิบัติการของ องคก์ าร 4.1 บทบาทและสมรรถภาพของผบู้ ริหาร “For get things done through other people” คากล่าวของ ดรักเคอร์ (Drucker, อา้ งถึงใน ธงชัย สันตวิ งษ์, 2530: 1) ซึ่งกล่าวถึงความหมายของการบริหารไว้ว่า การทาให้ งานสาเร็จลุล่วงไปโดยอาศัยคนอ่ืนเป็นผู้ทา สะท้อนให้เห็นบทบาทสาคัญของผู้บริหาร ที่จะเป็นผู้ นาเอาปัจจัยการบริหารหรือทรัพยากรการจัดการต่างๆ มาประสานกับทรัพยากรบุคคลท้ังหมดที่มีใน องค์กร ให้ดาเนินงานไปได้อย่างมีประสิทธิภาพนั่นเอง บทบาทสาคัญท่ีผู้บริหารต้องปฏิบัติ สามารถ จาแนกตามปจั จยั การบรหิ าร (ปยิ ะนชุ สจุ ติ , 2551: 10) ดังตารางท่ี 1.1 ตารางท่ี 1.1 บทบาทของผู้บรหิ ารองค์การ คน บทบาทของผู้บริหาร งบประมาณ คดั เลือกบุคลากรใหม่ ใช้ประโยชนจ์ ากบุคลากรท่ีมีให้เกิดประโยชนส์ ูงสดุ ทรพั ยากร เพิม่ รายไดแ้ ละผลกาไร ลดต้นทนุ และค่าใชจ้ ่าย ข้อมูลข่าวสาร ใช้ทรัพยากรท่มี ีอย่ใู หค้ ุ้มค่าและเกิดประโยชน์สงู สุด วธิ กี าร นาสารสนเทศทัง้ ภายในภายนอก มาประกอบการตัดสนิ ใจ วินจิ ฉยั สัง่ การ การตลาด นาหลกั การ ทฤษฎี เทคนิคการจดั การท่ีสอดรับกับภารกิจเพ่อื ให้ไดเ้ ป้าหมาย เวลา สูงสุด วิเคราะหค์ วามต้องการของกลมุ่ เปา้ หมาย เพื่อจัดบรกิ ารให้สอดรบั กบั ความ ตอ้ งการ ใช้เวลาใหเ้ กิดประโยชน์สูงสุด และลดข้นั ตอนในทุกกระบวนการ การท่ีบุคคลจะมีบทบาทในฐานะผู้บริหารได้น้ัน จะต้องประกอบไปดว้ ยคุณลักษณะ หรือสมรรถภาพของผู้บริหารที่ดี ตามแนวคิดของ เนเซวิช (Knezevich, 1984 อ้างถึงใน “ทฤษฎี การบริหารงาน”, 2559: 1) ดงั นี้ 1. เปน็ นักวางแผน (Planner) 2. เปน็ นกั วเิ คราะห์และจัดระบบงาน (System Manager) 3. เป็นผู้กาหนดทศิ ทางการบริการ (Direction Setter) 4. เปน็ ผู้กอ่ ใหเ้ กดิ การเปล่ยี นแปลง (Change Manager) 5. เป็นนกั ประสานงาน (Coordinator) 6. เปน็ นักแก้ปญั หา (Problem Manager) 7. เปน็ นักประเมนิ ผล (Appraiser) 8. เป็นนักประชาสมั พนั ธ์ (Public Relator)

6 9. เป็นนักวชิ าการ (Instructional Manager) 10. เปน็ ผนู้ าสังคมได้ (Ceremonial Head) 11. มคี วามสามารถในการจัดองค์การ (Organizer) 12. มคี วามสามารถในการบรหิ ารบุคคล (Personnel Manager) 13. มีความสามารถในการส่อื สาร (Communicator) 14. มีความสามารถในการกระตุ้นคน (Leader Catalyst) 15. มีความสามารถในการแก้ปัญหาความขัดแย้งในองค์การ (Conflict Manager) 16. มีความสามารถในการตัดสินใจ (Decision Maker) 17. มีความสามารถในการบรหิ ารทรพั ยากร (Resource Manager) 4.2 หน้าท่ีของผูบ้ ริหาร “It takes only a solitary light to guide a thousand ships in from the night” ผู้นาก็เหมือนแสงไฟจากประภาคารอันโดดเด่ียวที่สามารถนาทางเรือหลายพันลาในยามค่า คืน คากล่าวของ สตีเฟ่น โคเวย์ (Stephen Covey) ทแี่ สดงถึงความสาคญั ของผบู้ ริหารท่ีมีอิทธิพลต่อ สิ่งแวดล้อมท่ีอยู่รอบด้าน ซึ่งหมายถึงหน้าที่หลัก 4 ประการในฐานะผู้นาองค์การของผู้บริหาร (จรญู ศกั ด์ิ ฉวีศักด,์ิ 2554: 59) 4.2.1 เป็นผู้บุกเบิก วางเป้าหมายและแนวทางการทางานขององค์การ (Path Finding) 4.2.2 เป็นผู้ปรับเปล่ียนขั้นตอนและระบบการทางาน บูรณาการและเชื่อมโยง การทางานของทุกฝ่ายเข้าด้วยกัน เพ่ือผลักดันยุทธศาสตร์ ไปสู่การปฏิบัติให้บรรลุผลตามเป้าหมาย ขององคก์ าร (Aligning) 4.2.3 เป็นต้นแบบของความศรัทธา ความไว้เนื้อเช่ือใจแก่บุคคลรอบด้าน (Modeling) 4.2.4 มอบอานาจการตัดสินใจเพ่ือให้ได้มาซ่ึงการมีส่วนร่วมของคนในองค์การ (Empowering) หน้าท่ีหลัก 4 ประการดังกล่าว เป็นเพียงส่วนหนึ่งในหน้าท่ีผู้บริหาร ขอบข่าย หน้าทข่ี องผบู้ ริหาร จะตอ้ งวางแผน กาหนดนโยบาย จดั องค์การ จดั สรรงบประมาณ จัดคนเข้าทางาน วินิจฉัยสั่งการ ควบคุม ติดตาม ตรวจสอบและประเมินผลการปฏิบัติงาน ผู้บริหารต้องเป็นหัวหน้า หรือผู้นา ดูแลรับผิดชอบ กระตุ้นบุคลากรให้ปฏิบัติงาน ประสานและอานวยการ ควบคุมดูแลงาน ต่างๆ ให้ดาเนินการและเสร็จส้ินตามกรอบระยะเวลา ต้องรับผิดชอบในกระบวนการวิธีการทางาน เมื่อเกิดปัญหาหรือข้อขัดแย้งใดๆ ของบุคลากรหรือการทางาน ต้องใช้สติปัญญา ปฏิภาณไหวพริบใน การแก้ไขปัญหาให้ลุล่วงไป ขณะเดียวกันต้องจัดการปรับปรุงในทุกส่วนทุกขั้นตอนให้มีคุณภาพ เพ่ือให้การดาเนินงานทุกอย่างในองค์การ บรรลุวัตถุประสงค์สาเร็จเสร็จสิ้นตามเป้าหมายท่กี าหนดไว้ อย่างมีประสทิ ธิภาพ

7 ผู้บริหาร การบริหาร และการจัดการ จึงมีความสัมพันธ์กันอย่างแน่นแฟ้น ไม่อาจแยกออกจากกันได้ ผู้บริหารท่ีดี ต้องสามารถบริหารจัดการองค์การให้ประสบผลสาเร็จและ ได้ผลดี การบริหารจัดการที่ดีย่อมทาให้ผู้บริหารประสบผลสาเร็จในการทางานและได้ชื่อว่าเป็น ผบู้ รหิ ารทดี่ ี ความสมั พันธ์ของ ผบู้ ริหาร การบริหารและการจัดการ สรุปได้ดังตารางท่ี 1.2 ตารางท่ี 1.2 ความสัมพันธ์ของผู้บรหิ าร การบรหิ าร และการจัดการ การบรหิ าร ผู้บรหิ าร การจัดการ Creating an Agenda Establishing Direction การวางแผน กาหนดนโยบาย กาหนดทศิ ทาง การจดั การงบประมาณ Developing People Aligning People การจดั องค์การ พัฒนาบุคลากร สรรหาคนทางาน การจดั การบุคคลากร Execution Motivating and Inspiring การควบคุมวินิจฉยั ส่งั การ การดาเนนิ การ จงู ใจและสรา้ งแรงบันดาลใจ การแก้ปัญหาและอุปสรรค Outcomes Produces Change การควบคมุ เปา้ หมายและคาส่ังใน ผลลัพธ์ สรา้ งความเปลี่ยนแปลง การผลติ ท่ีมา: (จรญู ศกั ดิ์ ฉวศี ักดิ,์ 2554: 58) 4.3 ระดับของผบู้ รหิ าร ในทุกองค์การย่อมประกอบไปด้วยผู้บริหารและผู้ปฏิบัติงาน โดยปกติการแต่งต้ัง หรอื กาหนดตาแหน่งผู้บริหารในองค์แต่ละแห่ง มีความแตกต่างกัน ทั้งน้ีขึ้นอยู่กบั นโยบาย ขนาดและ ปจั จัยเฉพาะของแตล่ ะองค์การ โดยทัว่ ไปอาจแบ่งเปน็ 3 ระดบั (ปิยะนชุ สุจิต, 2551: 11-12) ดงั นี้ 4.3.1 ผู้บริหารระดับสูง (Top Managers) ได้แก่ ผู้บังคับบัญชาระดับสูงสุด มีหน้าทร่ี บั ผิดชอบในการวางแผนยุทธศาสตรร์ ะยะยาว กาหนดนโยบายและชีน้ าว่าองค์การจะมุ่งไปใน ทิศทางใด เป็นผู้มีความรู้ความสามารถในการวิเคราะห์สถานการณ์ทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง เทคโนโลยี มีความคิดเชิงกลยุทธ์ท่ีจะนาความสัมพันธ์หรือความหมาย ระหว่างสิ่งที่อยู่ใน สภาพแวดล้อมทั้งภายในและภายนอกในด้านต่างๆ มาใช้ในการวางแผน เพ่ือที่จะได้ดาเนินการให้ ตอบสนอง สอดคล้องและเอ้ือประโยชน์ต่อองค์การให้มากท่ีสุด ในองค์การทั่วไปผู้บริหารระดับสูง ได้แก่ ประธานบรหิ าร ประธานกรรมการ ผอู้ านวยการ กรรมการผู้จดั การ เปน็ ตน้ 4.3.2 ผู้บริหารระดับกลาง (Middle Managers) ได้แก่ บุคลากรระดับการ วางแผนกลยุทธ์ มีหน้าท่ีวางแผนการจัดการระดับเทคนิค ซึ่งเป็นแผนระยะปานกลางให้เป็นไปตาม แผนระยะยาวที่ผู้บริหารระดับสูงกาหนดไว้ การวางแผนกลยุทธ์ต้องกระทาร่วมกันระหว่างผู้บริหาร ระดับสูง โดยผู้บริหารระดับกลางจะต้องใช้สารสนเทศและปัจจัยต่างๆ ท้ังภายในและภายนอก องค์การ โดยผูบ้ รหิ ารระดบั นต้ี ้องควบคุมดแู ลการดาเนินงานของหนว่ ยงานยอ่ ยๆ ในองค์การทั่วไป

8 4.3.3 ผู้บริหารระดับต้น (First-line Managers) ได้แก่ บุคลากรระดับวางแผน ปฏิบัติการ ซึ่งเป็นแผนปฏิบัติงานขององค์การ แผนปฏิบัติการเป็นหน้าที่เฉพาะของแต่ละหน่วยงาน ซึ่งกาหนดแนวปฏิบัติให้สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์และแผนกลยุทธ์ขององค์การ แผนปฏิบัติการ เป็นแผนระยะส้ัน มีลักษณะเป็นงานประจาวัน ผู้บริหารระดับต้นจึงต้องควบคุมติดตามผลการ ปฏิบัตงิ านอย่างใกล้ชดิ ในองคก์ ารทว่ั ไปผูบ้ รหิ ารระดบั ตน้ ได้แก่ หัวหนา้ แผนก หวั หน้าทีม เปน็ ตน้ 5. ทฤษฎีการบรหิ าร 5.1 ทฤษฎีพอสคอร์บ (POSDCORB) เป็นแนวคิดของ กูลิค และเออร์วิค (Gulick & Urwick) สองนกั ธรุ กิจชาวเยอรมนั ประกอบด้วยหลกั การบรหิ าร 7 ประการ ไดแ้ ก่ 5.1.1 การวางแผน (Planning) 5.1.2 การจัดองคก์ ร (Organizing 5.1.3 การจดั บคุ ลากร (Staffing) 5.1.4 การวนิ ิจฉัยส่ังการ (Directing) 5.1.5 การประสานงาน (Coordinating) 5.1.6 การรายงาน (Reporting) 5.1.7 การงบประมาณ (Budgeting) 5.2 ทฤษฎี 4Ms ถือเป็นทฤษฎีพื้นฐานที่กล่าวถึงองค์ประกอบหรือปัจจัยหลักในการ บริหาร 4 ประการ ไดแ้ ก่ 5.2.1 บุคลากร (Men) 5.2.2 เงนิ (Money) 5.2.3 วัสดุ (Materials) 5.2.4 การจดั การ (Management) 5.3 ทฤษฎีแรงจูงใจของมาสโลว์ เป็นแนวคิดของ เอ เอช มาสโลว์ (A. H. Maslow) นักจติ วิทยาชาวอเมรกิ นั กลา่ วถงึ ความตอ้ งการพน้ื ฐานของมนษุ ย์ 5 ประการ ได้แก่ 5.3.1 ความตอ้ งการด้านร่างกาย 5.3.2 ความตอ้ งการดา้ นความมั่นคงปลอดภยั 5.3.3 ความตอ้ งการดา้ นสงั คม 5.3.4 ความตอ้ งการการยอมรับจากสังคม 5.3.5 ความต้องการไดร้ ับความสาเร็จ 5.4 ทฤษฎีการบริหารเชิงสถานการณ์ (Situational Management Theory) หรือ ทฤษฎีอุบัติการณ์ คิดค้นโดยฟิดเลอร์ (Fiedler, 1967: 1) โดยเปลี่ยนจากการมองการบริหารในเชิง ปรัชญาไปสู่การบริหารในเชิงความเป็นจริง โดยถือว่า การเลือกทางออกที่จะนาไปสู่การแก้ปัญหา ทางการบริหารถือว่าไม่มีวิธีใดดีที่สุด หลักการบริหารที่ดีคือ การบริหารตามสถานการณ์ ในบาง สถานการณจ์ งึ ต้องอาศยั การตดั สนิ ใจที่เฉยี บขาดของผู้บรหิ าร แต่บางครัง้ กต็ อ้ งอาศัยแรงจูงใจ หรอื นา หลายๆ ทฤษฎีเข้ามาใช้ในแต่ละสถานการณ์ โดยมุ่งเน้นความสัมพันธ์ระหว่างองค์การกับ

9 สภาพแวดล้อมขององค์การ การบริหารจัดการในบางสถานการณ์อาจมีความแตกต่างกันไป จึงต้อง อาศยั หลกั การต่างๆ ดังน้ี 5.4.1 สถานการณ์จะเป็นตัวกาหนดการตัดสินใจและรูปแบบในการบริหารท่ี เหมาะสม 5.4.2 การบริหารจะดีหรือไม่ ข้ึนอยู่กับสถานการณ์ ผู้บริหารจึงจาเป็นต้อง พยายามวเิ คราะห์สถานการณใ์ ห้ดีทีส่ ุด 5.4.3 เป็นการผสมผสานแนวคิดระหว่างระบบปิดกับระบบเปิด และยอมรับ หลักการของทฤษฎีทีว่ า่ ทุกสว่ นของระบบตอ้ งสัมพนั ธ์และมีผลกระทบซึ่งกนั และกนั 5.4.4 คานึงถึงสิ่งแวดล้อมและความต้องการของบุคคลในหน่วยงานเป็นหลัก มากกว่าจะแสวงหาวิธีการท่ีดีเลิศมาใช้ในการทางาน โดยใช้ปัจจัยด้านจิตวิทยามาประกอบการ พิจารณา 5.4.5 เน้นให้ผู้บริหารรู้จักใช้การพิจารณาความแตกต่างที่มีอยู่ในหน่วยงาน ทั้ง ในด้านบุคคล ระเบียบกฎเกณฑ์ วิธีการ กระบวนการ การควบคุมงาน ความสัมพันธ์ของบุคคล เป้าหมายของการดาเนนิ งาน เปน็ ต้น 5.5 ทฤษฎี X และทฤษฎี Y เป็นแนวคิดของแมกเกรเกอ (McGregor, 1960 อ้างถึง ใน ธร สุนทรายุทธ, 2554: 124-125) ศาสตราจารย์ผู้เช่ียวชาญด้านการบริหารของสถาบัน MIT โดยอธบิ ายลกั ษณะของมนุษยไ์ ว้ 2 ลกั ษณะดังนี้ 5.5.1 ทฤษฎี X ตั้งสมมุติฐานเกี่ยวกับคนและงานว่า โดยธรรมชาติแล้วคนไม่ ชอบทางาน จะพยายามหลีกเล่ียงหรือบิดพริ้วเม่ือมีโอกาส ตามความเช่ือนี้ผู้บริหารจาเป็นต้องใช้ รางวัลและการลงโทษ ผู้บริหารที่เช่ือทฤษฎีนี้จะเห็นว่า การท่ีจะให้คนในองค์การปฏิบัติงานให้ บรรลุผลตามที่กาหนดไว้ จาเป็นต้องใช้วิธีบังคับ ควบคุม กากับ ข่มขู่ หรือลงโทษด้วยวิธีต่างๆ (มอง คนในแง่รา้ ย) การนาทฤษฎี X มาใช้ในการบริหารจัดการในองค์การ มักจะใช้การจูงใจ ดา้ นรา่ งกายและความปลอดภัย โดยมีการควบคุมการทางานอย่างใกล้ชดิ 5.5.2 ทฤษฎี Y หลงั จากที่แมกเกรเกอได้ศึกษาพฤติกรรมของมนุษย์มากขนึ้ จึง ตั้งสมมุติฐานขึ้นใหม่ โดยเช่ือว่าคนมีความต้องการทางจิตใจ ต้องการทางาน มีความขยันหม่ันเพียร ต้องการประสบผลสาเร็จและมีความรับผิดชอบ ขณะปฏิบัติงานคนอาจเห็นว่างานเป็นส่ิงสนุกสนาน และให้ความเพลิดเพลินด้วย ไม่ใช่ว่าคนจะรังเกียจหรือไม่ชอบงานเสมอไป (Drucker, 1973: 232- 245) ท้ังนี้ข้ึนอยู่กับการมอบหมายงานและควบคุมอย่างเหมาะสม ในทางตรงข้ามหากงานเป็นไปใน ลักษณะถูกบังคับหรือลงโทษ คนก็จะไม่ชอบงานท่ีทา ดังน้ัน จึงไม่ควรควบคุมด้วยการบังคับ ข่มขู่ แต่ควรเปิดโอกาสให้คนได้ใชด้ ุลยพินิจของตนเอง และควบคุมตนเองในขณะท่ีปฏบิ ัติหน้าที่หรืองานที่ ได้รับมอบหมาย เพราะโดยทั่วไป คนมีความคิดอ่านที่ดี เฉลียวฉลาด มีความคิดริเร่ิมที่จะแก้ปัญหา ขององค์การได้ดีอยู่แล้ว (มองคนในแงด่ ี) การนาทฤษฎี Y มาใชใ้ นการบริหารจัดการในองค์การ จะใช้ ความต้องการด้านชื่อเสียง เกยี รติยศ ความสมหวังในชีวิตเป็นแรงจงู ใจในการทางาน และมองวา่ คนมี ความสามารถทจ่ี ะทางานได้ดว้ ยตนเอง

10 5.6 ทฤษฎี Z เป็นแนวคิดของ โอชิ (Ouchi, 1981: 2) ศาสตราจารย์ชาวญี่ปุ่น โดย รวมเอาทฤษฎี X และทฤษฎี Y ของแมกเกรเกอร์มารวมเข้าด้วยกัน โดยเสนอว่าองค์การต้องมี หลักเกณฑ์ในการควบคุมมนุษย์ แต่มนุษย์ก็มีความต้องการและรักอิสระ ผู้บริหารจึงมีหน้าที่ท่ีจะต้อง ปรับเป้าหมายขององค์การให้สอดคล้องกับเป้าหมายของบุคลากรในองค์การ โดยมีองค์ ประกอบ สาคัญ 4 ประการ ได้แก่ 5.6.1 การทาใหป้ รชั ญาท่ีกาหนดไวบ้ รรลุผลสาเร็จ 5.6.2 การพฒั นาผใู้ ต้บงั คับบญั ชาใหท้ างานอย่างมีประสทิ ธภิ าพ 5.6.3 การให้ความไว้วางใจแกผ่ ู้ใตบ้ ังคบั บญั ชา 5.6.4 การใหผ้ ู้ใตบ้ งั คบั บญั ชามสี ว่ นรว่ มในการตัดสินใจ การนาทฤษฎี Z มาใช้ควรให้ความสาคัญกับเรื่องมนุษยสัมพันธ์ในองค์การ ซึ่ง ประกอบดว้ ย คนในองค์การต้องซี่อสัตยต์ ่อกนั คนในองคก์ ารตอ้ งมคี วามเป็นอันหนงึ่ อนั เดยี วกัน และ คนในองคก์ ารตอ้ งมคี วามใกล้ชดิ เป็นกันเอง 5.7 ทฤษฎีการบริหารแบบมีส่วนรว่ ม คดิ ค้นโดย อาร์กีรสิ (Argyris, 1957 อ้างถึงใน ธร สุนทรายุทธ, 2554: 126-127) นักทฤษฎีองค์การที่เน้นโครงสร้างขององค์การ โดยให้นิยามการมี ส่วนร่วมว่า เป็นแรงจูงใจให้ผู้ร่วมปฏิบัติงานในองค์การได้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจ ร่วมรับผิดชอบ และร่วมกันพัฒนาองค์การอย่างเตม็ ใจ การมสี ่วนรว่ มประกอบดว้ ย 5.7.1 การมสี ว่ นร่วมในการแสดงความคิดเห็น 5.7.2 การมีส่วนร่วมทาใหเ้ กดิ การยอมรับเปา้ หมายขององค์การ 5.7.3 การมสี ว่ นร่วมทาใหเ้ กิดความสานกึ ตอ่ หน้าท่แี ละความรบั ผิดชอบ การบริหารแบบมีส่วนร่วมโดยการให้บุคลากรได้มีส่วนร่วมในทุกขัน้ ตอนของการ ปฏบิ ัตงิ าน ท้ังด้านการแสดงความคดิ เหน็ การตดั สินใจและการประเมินผล หากผู้บริหารเปดิ โอกาสให้ บุคลากรในองค์การมีส่วนร่วมในทกุ กระบวนการ ยอ่ มเป็นรากฐานในการสร้างจิตสานึก สรา้ งความพึง พอใจในการทางานและสรา้ งความผกู พันต่อองคก์ ารได้มากยิง่ ข้นึ แก่นเนื้อหาสาระของทฤษฎี โดยแท้จริงแล้วมิได้มีลักษณะเป็นสัจธรรมเสมอไป แม้จะต้องการผ่านทดสอบแล้วทดสอบอีกจนเป็นที่น่าเช่ือถือ และเม่ือเวลาผ่านไป บางข้อความใน ทฤษฎี อาจจะไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริง สถานการณ์ หรือสภาพการณ์ที่เปล่ียนแปลงไป ทาให้ต้อง มีการปรับปรุงแก้ไขทฤษฎีนั้น ๆ ให้ถูกต้อง หรืออาจยกเลิกไปก็ได้ (Stinchcombe, 1968, 1-3) น่ัน คอื ความจาเป็นทผี่ ู้บรหิ ารองคก์ ารจะต้องหมั่นศกึ ษาเรยี นรู้ทฤษฎแี ละหลกั การบรหิ ารใหม่ๆ ทง้ั ยังตอ้ ง อาศัยศิลปะในการบูรณาการสหศาสตร์เหล่านั้น มาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับการบริหารจัดการ องคก์ ารของตนเอง เพอ่ื ใหก้ ารดาเนนิ งานต่างๆ ภายในองคก์ ารสาเรจ็ ตามเปา้ ประสงคท์ ่กี าหนดไว้

11 การจดั การองค์การบรกิ ารสารสนเทศ เป้าหมายหลักของการบริหารหรือดาเนินงานห้องสมุด สถาบันบริการสารสนเทศ หรือ องค์การบริการสารสนเทศไม่ว่ายุคเก่าหรือยุคใหม่ มีหลักคิดเดียวกันคือ ทาให้ผู้ใช้บริการเข้าถึง สารสนเทศได้สะดวกรวดเร็ว และได้รับสารสนเทศในเวลาและตรงตามที่ผู้ใช้ต้องการ แม้ในยุคที่ องค์การบริการสารสนเทศก้าวสู่ศตวรรษ 2000 เทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาเปน็ องค์ประกอบสาคัญที่ จะช่วยสนับสนุนการดาเนินงานให้มีประสิทธิภาพมากข้ึน ความซับซ้อนในการบรหิ ารจัดการองค์การ บริการสารสนเทศก็ยงิ่ มีเพ่มิ มากข้ึนเชน่ เดียวกนั 1. ความหมายขององค์การบริการสารสนเทศ องค์การบริการสารสนเทศ ประกอบด้วยคาสาคัญคือ องค์การ (0rganization) หรือ หมายความว่า ศูนย์รวมกลุ่มบุคคลหรือกิจกรรมท่ีประกอบขึ้นเป็นหน่วยงานเดียวกัน เพื่อดาเนิน กิจการตามวัตถุประสงค์ที่กาหนดไว้ในกฎหมายหรือตราสารจัดต้ัง ซ่ึงอาจเป็นหน่วยงานของรัฐ หน่วยงานเอกชน หรือหน่วยงานระหว่างประเทศ ส่วนองค์กร หมายถึงบุคคล นิติบุคคล สถาบันซ่ึง เป็นส่วนประกอบของหน่วยงานใหญ่ที่ทาหน้าที่สัมพันธ์กัน ในบางกรณี องค์กรหมายรวมถึงองค์การ ด้วย (ราชบัณฑิตยสถาน, 2546: 1321) สารสนเทศ (Information) หมายความว่า การแสดงหรือ ชแ้ี จงขา่ วสารข้อมลู ตา่ งๆ (ราชบณั ฑิตยสถาน, 2546: 1182) องค์การบริการสารสนเทศ (Information Service Organization) จึงมีความหมาย ครอบคลุมกลุ่มบุคคลหรือหน่วยงานที่ได้รับการจัดตั้งขึ้นเพื่อทาหน้าท่ีให้บริการสารสนเทศตามความ ตอ้ งของผู้ใช้ ซง่ึ อาจเป็นแหล่งท่ีมา แหล่งผลิต แหล่งเผยแพร่และใหบ้ ริการสารสนเทศ เชน่ ห้องสมุด สถาบันบรกิ ารสารสนเทศ ศูนยส์ ารสนเทศ ศูนย์ข้อมูล แหลง่ สารสนเทศ หรือชื่อเฉพาะอ่นื ๆ 2. ประเภทขององคก์ ารบรกิ ารสารสนเทศ องค์การบริการสารสนเทศโดยทั่วไปมีหลากหลายรูปแบบ ท้ังท่ีสังกัดหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน องค์การบริการสารสนเทศเชิงพาณิชย์ องค์การบริการสารสนเทศท่ัวไป เป็นต้น สามารถ จาแนกตามลักษณะขององค์การ ตามขอบเขตหน้าท่ี และวัตถุประสงค์ของแต่ละหน่วยงาน (Penland, 2003: 1535) ดงั นี้ 2.1 ห้องสมุดหรือหอสมุด (Library) ได้แก่ สถานที่เก็บรวบรวมทรัพยากรสารสนเทศ ทงั้ วัสดุตสี ิ่งพิมพ์และวสั ดุไมต่ ีพิมพ์ ครอบคลุมบริการพ้ืนฐานต่างๆ โดยจาแนกตามวัตถุประสงค์ และ จดุ มุง่ หมายในการจัดต้ัง แบง่ เป็น 5 ประเภท ไดแ้ ก่ 2.1.1 ห้องสมุดโรงเรียน (School Library) จัดต้ังข้ึนในโรงเรียนประถมศึกษา และมัธยมศึกษา เพ่ือเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ ส่งเสริมการศึกษาค้นคว้าของนักเรียน สนับสนุนการ สอนของครูอาจารย์ โดยเน้นสอ่ื เพื่อใช้ประกอบการศึกษาตามหลกั สตู รและพฒั นาการอ่านเปน็ หลัก 2.1.2 ห้องสมุดสถาบันอุดมศึกษา (Academic Library) เน้นให้บริการ สารสนเทศครอบคลุมทุกสาขาวิชาท่ีมหาวิทยาลัยหรือสถาบันเปิดทาการสอน มีวัตถุประสงค์เพื่อ สนับสนุนการศึกษาค้นคว้าวิจัยของนักศึกษาและอาจารย์ มีชื่อเรียกแตกต่างกันไป เช่น หอสมุด

12 สานักหอสมุด สานักบรรณสาร ศูนย์บรรณสาร ศูนย์วทิ ยบริการ สานักวิทยบริการ ศูนยส์ ื่อการศึกษา ศนู ย์การเรียนรู้ เป็นต้น 2.1.3 ห้องสมุดเฉพาะ (Special Library) เน้นให้บริการสารสนเทศเฉพาะ สาขาวิชาที่เก่ียวข้องกับหน่วยงานต้นสังกัด โดยเฉพาะในสมาคม หน่วยงานทางวิชาการ หรือสถาบัน ทางวิชาการเฉพาะด้าน เช่น ห้องสมุดธนาคาร ห้องสมุดโรงพยาบาล ห้องสมุดสมาคมวิชาชีพ ห้องสมุดศูนย์หมอ่ นไหม เป็นตน้ 2.1.4 ห้องสมุดประชาชน (Public Library) ห้องสมุดท่ีรัฐจัดต้ังข้ึนเพื่อให้เป็น แหล่งสารสนเทศของชุมชน ให้บริการแก่ประชาชนท่ัวไป โดยไม่จากัด เพศ วัย อายุ และการศึกษา เน้นให้บริการทรัพยากรสารสนเทศและกิจกรรมที่หลากหลาย สอดคล้องกับวิถีชีวิตและมุ่งท่ีเป็น ประโยชน์ต่อประชาชนในท้องถ่ินน้ันๆ เช่น ห้องสมุดชุมชน ห้องสมุดประจาหมู่บ้าน ห้องสมุดประจา ตาบล หอ้ งสมดุ ประจาอาเภอ และห้องสมดุ ประชาชนประจาจงั หวดั 2.1.5 หอสมุดแห่งชาติ (National Library) เป็นแหล่งรวบรวมและบารุงรักษา ทรัพยากรสารสนเทศของชาติ ครอบคลุมทุกศาสตร์สาขาวิชาและทุกรูปแบบ เพ่ือใช้เป็นแหล่งศึกษา ค้นคว้าและวิจัยแก่ประชาชน เป็นแหล่งการเรียนรู้ตลอดชีวิตและการศึกษาตามอัธยาศัย ทาหน้าท่ี เป็นศูนย์ประสานงานระบบสารนิเทศทางวิชาการแห่งชาติ ศูนย์ข้อมูลวารสารระหว่างชาติ ศูนย์ กาหนดเลขมาตรฐานสากลประจาหนังสือ เลขมาตรฐานสากลประจาวารสาร ศูนย์แลกเปล่ียนและยืม สิ่งพิมพ์ในระดับชาติและนานาชาติ ศูนย์รวบรวมสิ่งพิมพ์ขององค์กรสหประชาชาติ ศูนย์กาหนด รายละเอยี ดทางบรรณานกุ รมของหนังสอื และจัดทาบรรณานุกรมแห่งชาติ เปน็ ตน้ สานักหอสมดุ แห่งชาติ ต้ังอยู่ทที่ ่าวาสกุ รี ถนนสามเสน เขตดุสติ กรุงเทพฯ สังกัด กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม มีหน้าทเี่ ก็บรวบรวมและสงวนรักษามรดกภูมิปัญญาของชาติและมี การขยายสาขาเพือ่ ใหบ้ รกิ ารในส่วนภูมิภาคต่างๆ รวมเปน็ 17 แห่ง (สานักหอสมดุ แห่งชาต,ิ 2548: 7- 11) ตัวอย่างเช่น หอสมุดแห่งชาติกาญจนาภิเษกสงขลา หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษกกาญจนบุรี หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษกเชียงใหม่ หอสมุดแห่งชาติชลบุรี หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์ิพระบรมราชินีนาถ นครพนม หอสมุดแห่งชาติอินทร์บุรี สิงห์บุรี หอสมุด แห่งชาติลาพูน เป็นตน้ 2.2 ศูนย์สารสนเทศหรือศูนย์เอกสาร (Information Center/ Documentation Center) เป็นหน่วยงานให้บรกิ ารสารสนเทศเฉพาะด้าน แกผ่ ู้ใช้เฉพาะกล่มุ สาขาวิชาหรือสาขาวิชาชีพ เช่น นักวิทยาศาสตร์ นกั วิจัย นักวชิ าการ มลี ักษณะคล้ายห้องสมุดเฉพาะให้ข้อมูลที่จดั ทาขนึ้ โดยศูนย์ สารสนเทศหรือศูนย์เอกสารน้ัน เช่น สถิติ ตัวเลข รายงานการวิจัย สาระสังเขปและดรรชนี วารสาร เฉพาะวิชา เช่น ศูนย์บริการเอกสารการวิจัยแห่งประเทศไทย (ศบอ.) ศูนย์บริการสารสนเทศทาง เทคโนโลยี (Technical Information Access Center : TIAC) ศูนย์บริการเอกสารการวิจัยแห่ง ประเทศไทย เปน็ ตน้ 2.3 ศนู ย์ข้อมูล (Data Center) ศูนย์ข้อมูลทาหน้าที่รับผิดชอบการผลิตหรือรวบรวม ข้อมูล ตัวเลข จัดระบบและเผยแพร่สู่ผู้ใช้ท่ีอยู่ในเป้าหมาย มักเป็นส่วนหนึ่งของสถาบัน เช่น ศูนย์ ข้อมูลธนาคารกรุงเทพ ศูนย์ข้อมูลธุรกิจหลักทรัพย์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ศูนย์ข้อมูล พลังงานแห่งประเทศไทย สังกดั สานักงานพลังงานแหง่ ชาติ เป็นตน้

13 2.4 หนว่ ยงานทะเบียนสถติ ิ (Statistical Office) เปน็ ศนู ยก์ ลางรวบรวมหลักฐานการ จดทะเบียนหรือลงทะเบียนและรวบรวมสถิติที่เกี่ยวข้อง เป็นหน่วยงานท่ีสังกัดอยู่ในกระทรวง ทบวง กรม เพื่อรวบรวมสถิติเฉพาะภายในหน่วยงาน เช่น สานักงานสถิติแห่งชาติ กองการทะเบียนของ กรมการปกครอง ศูนย์สถิติการพาณิชย์ของกระทรวงพาณิชย์ หน่วยเวชระเบียนของโรงพยาบาล เปน็ ตน้ 2.5 ศูนย์วิเคราะห์สารสนเทศ (Information Analysis Center) ให้บริการสารสนเทศ เฉพาะสาขาวิชา โดยนามาคดั เลือก วิเคราะห์ สรุปและจัดเก็บในลกั ษณะของแฟม้ ข้อมูล (sheet) และ ปริทัศน์ (review) เพื่อใช้ในการตอบคาถาม จัดส่งให้บริการข่าวสารทันสมัย ผู้ปฏิบัติงานน้ีจึงต้องมี ความรู้ความสามารถเฉพาะด้าน เช่น นักวิจัย นักวิทยาศาสตร์นักวิชาการ ตัวอย่างของศูนย์วิเคราะห์ สารสนเทศ เชน่ สมาคมสงั คมศาสตร์แห่งประเทศไทย เป็นต้น 2.6 ศูนย์ประมวลและแจกจ่ายสารสนเทศ (Information Clearing House) ทา หน้าท่ีช่วยเหลือในการเข้าถึงแหล่งสารสนเทศ แนะนาแหล่งสารสนเทศที่เหมาะสม หรือรวบรวม ทรัพยากรสารสนเทศแล้วแจกจ่ายไปยังผู้ท่ีต้องการ โดยการจัดทาสหบรรณานุกรมสาระสังเขปและ ดรรชนี และรายชอ่ื เอกสาร ศูนยท์ าหน้าทปี่ ระสานการแจกจา่ ย เชน่ ศูนยป์ ระสานงานเครอื ข่ายระบบ สารสนเทศวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสังคมศาสตร์ในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิค มีสานักงาน คณะกรรมการวิจยั แหง่ ชาตเิ ป็นหนว่ ยประสานงาน และมีประเทศสมาชิกท่ที าหน้าท่เี ปน็ ศูนย์ประมวล และแจกจา่ ยสารสนเทศในลกั ษณะเครือขา่ ย 12 ประเทศเป็นต้น 2.7 ศูนย์แนะแหล่งสารสนเทศ (Referral Centers) ทาหน้าท่ีรวบรวมแหล่ง ข้อมูล และสารสนเทศ โดยจัดทาเป็นคู่มือ รายการบรรณานุกรมและดรรชนี เพื่อแนะนาแหล่งข้อมูล สารสนเทศที่เหมาะสมตามท่ีผู้ใช้ต้องการ เช่น ศูนย์แนะแหล่งสารสนเทศสิ่งแวดล้อมนานา ชาติ ศูนย์ แนะแหล่งสารสนเทศวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยแี ห่งชาติ เปน็ ตน้ 2.8 หอจดหมายเหตุ (Archive) หอจดหมายเหตุทาหน้าที่รวบรวมและอนุรักษ์ เอกสารราชการ เอกสารทางประวัติศาสตร์ของหน่วยงาน ได้แก่ คาสั่ง ระเบียบ ข้อบังคับ บันทึก หนังสือโต้ตอบ รายงาน แผนที่ภาพถ่าย แบบแปลน เพื่อเป็นหลักฐานและใช้ค้นคว้าอ้างอิงทาง วิชาการและการปฏิบัติงาน เช่น หอจดหมายเหตุแห่งชาติ หอจดหมายเหตุส่วนภูมิภาคและท้องถิ่น หอจดหมายเหตุของสถาบนั ทางศาสนา หอจดหมายเหตขุ องมหาวิทยาลยั เปน็ ต้น 2.9 สถาบันบริการสารสนเทศเชิงพาณิชย์ (Commercial Information Service Center) ใหบ้ ริการสารสนเทศโดยคิดค่าบริการ มรี ปู แบบการบรกิ ารตา่ งๆ ดงั นี้ 2.9.1 ศูนย์บริการสารสนเทศทันสมัย (Current Awareness Services) ให้บริการเลือกสรรสารสนเทศเฉพาะบุคคล (Selective Dissemination of Information Service : SDI) โดยจัดส่งรายการทางบรรณานุกรม ดรรชนีและสาระสังเขปให้สมาชิกหรือผู้ใช้บริการ ส่วนการ เข้าถึงตวั เอกสารต้องอาศยั ห้องสมดุ และศูนย์สารสนเทศ 2.9.2 สานักงานติดต่อและให้คาปรึกษาทางสารสนเทศ (Extension Services and Advisory) ให้คาปรึกษาด้านการใช้สารสนเทศในสาขาเกษตร อุตสาหกรรมและกิจการบริการ สาธารณะอน่ื ๆ หรือแนะนาแหล่งที่จะใหค้ วามชว่ ยเหลือในการดาเนนิ กจิ การ

14 2.9.3 ศูนย์บริการสาระสังเขปและดรรชนี (Abstract and Index Services ให้บริการฐานข้อมูลสาระสังเขปและดรรชนีวารสารทางวิชาการและสิ่งพิมพ์อื่นๆ ผู้ใช้บริการบอกรับ เป็นสมาชิก สามารถสืบค้นในระบบออฟไลน์ (offline system) ผ่านทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ประเภท วสั ดุยอ่ ส่วน ซีดรี อม และระบบออนไลน์ (online system) ผ่านทางระบบเครือขา่ ยอินเทอร์เน็ต เช่น สาระสังเขปและดรรชนี Biological Abstracts และ Bioresearch Index ของบริษัท BIOSIS สาระสังเขปวิทยานิพนธ์ (Dissertation Abstracts International) ของบริษัท University Microfilm เปน็ ต้น 2.10 เครือข่ายบริการสารสนเทศ (Information Services Network) การรวมตัวกัน ขององค์การบริการสารสนเทศ เพ่ือเพ่ิมประสิทธิภาพในการดาเนินงาน เช่น เครือข่ายยูนิเน็ต (UniNet) มวี ตั ถุประสงคเ์ พ่ือสนับสนุนและส่งเสริมใหม้ ีการใช้ทรพั ยากรสารสนเทศรว่ มกัน โดยดาเนิน โครงการพัฒนาเครือข่ายห้องสมุดมหาวิทยาลัยในประเทศไทย จานวน 24 แห่ง มีช่ือย่อว่า “ThaiLIS” (Thai Library Integrated System) ให้บริการในฐานข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ทั้งแบบ บรรณานุกรม และเอกสารฉบับเต็ม (full text) ฐานข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์เพ่ือการสืบค้น (reference database) ฐานข้อมูลหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (e-Book) และฐานข้อมูลวิทยานิพนธ์ฉบับเต็ม (dissertation fulltext) ภาพท่ี 1.1 หอสมุดเมืองกรงุ เทพมหานคร 3. วตั ถุประสงค์ขององค์การบริการสารสนเทศ องค์การบริการสารสนเทศ มีบทบาทสาคัญตอ่ การเรียนรู้ของผู้คนในสังคม หนา้ ที่ของ องค์การบริการสารสนเทศแต่ละประเภทแต่ละแห่งมีวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่แตกต่างกันไป การดาเนินงานเพ่ือบรหิ ารจดั การองค์การบริการสารสนเทศ โดยผู้บริหารและบุคลากรภายในองค์การ

15 จงึ ต้องคานึงถึงวัตถุประสงค์หลักของหน่วยงาน โดยทัว่ ไปวัตถุประสงค์ขององค์การบริการสารสนเทศ มีความสอดคล้องกนั 5 ประการ (ปยิ ะนุช สจุ ติ , 2551: 1-2) ดังน้ี 3.1 เพื่อการศึกษา (Education) 3.2 เพ่อื การวิจยั (Research) 3.3 เพอ่ื ให้ขอ้ มลู ข่าวสาร (Information) 3.4 เพื่อความบนั เทงิ (Recreation) 3.5 เพ่ือสรา้ งสรรค์แรงบันดาลใจ (Inspiration) ในยุคทีส่ ังคมเปล่ียนไปสยู่ ุคเศรษฐกิจฐานความรู้ องคก์ ารบริการสารสนเทศที่ดี ยังตอ้ ง บทบาทหน้าที่เพ่ิมมากขึ้นกว่าการเป็นผู้รวบรวมและจัดเก็บทรัพยากรสารสนเทศเพ่ือให้บริการแต่ เพียงฝ่ายเดียว โลกของสังคมความแห่งความรู้ (Knowledge-based Society) องค์การบริการ สารสนเทศจงึ ทาหน้าที่เป็นฐานแห่งการสร้างความรู้ 4 ประการ (วรากรณ์ สามโกเศศ, 2551: 35-36) ดงั น้ี 1. การสร้างความรู้หรือองค์ความรู้ (Creation) องค์การบริการสารสนเทศเป็นแหล่ง สรา้ งความรหู้ รือองค์ความรู้ โดยเฉพาะในห้องสมดุ สถาบันอุดมศึกษา สถาบนั ทผ่ี ลติ งานวิจัย 2. ความรู้ การศึกษา (Education) องค์การบริการสารสนเทศเป็นสถานท่ีถ่ายทอด ความรู้จากครู อาจารย์ทท่ี าหนา้ ท่สี อนในโรงเรียนและมหาวทิ ยาลยั 3. การจัดการความรู้ (Management) องค์การบริการสารสนเทศทาหน้าท่ีเป็น ส่ือกลางในการถ่ายทอดหรือถ่ายโอนความรู้ (Knowledge transfer) ไปสู่ผู้ใช้โดยผ่านบริการต่างๆ รวมทง้ั สนับสนนุ ส่ือในการถา่ ยทอดความรู้ เชน่ สอื่ โสตทศั นวัสดตุ ่างๆ 4. การนาความรู้มาใช้ (Usage) องค์การบริการสารสนเทศนาความรู้มาใช้เพื่อพัฒนา ศกั ยภาพของบคุ ลากรในองค์การและหนว่ ยงาน หน้าที่ท่ีสาคัญขององค์การบริการสารสนเทศ คือ การจัดการความรู้ท่ีมีอยู่ในสื่อ สารสนเทศทุกรูปแบบ องค์การบริการสารสนเทศท่ีดี นอกจากจะเป็นแหล่งให้บริการความรู้แล้ว ในปัจจุบันต้องเป็นนักจัดการความรู้ เป็นผู้สร้างความรู้ นาความรู้ไปใช้ และเป็นผู้นาในการส่งเสริม สงั คมใหก้ ลายเป็นสงั คมแห่งการเรยี นรู้ 4. หลกั การจดั การองค์การบริการสารสนเทศ ทกั ษะการจดั การของผูบ้ ริหารองค์การบริหารสารสนเทศ เป็นความสามารถสว่ นบคุ คล ทนี่ อกจากต้องศึกษาทฤษฎีหลักการการบริหารแล้ว ยังต้องมีความสามารถท่ีจะนาองค์ความรู้มาปรับ ใช้เพื่อจัดการกับปัจจัยต่างๆ ทั้งภายในและภายนอกองค์การได้อย่างเหมาะสม เพ่ือดาเนินงานตาม ภารกิจขององค์การให้บรรลุวัตถุประสงค์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ (Efficiency) และมีประสิทธิผล (Effectiveness) 4.1 หลักการจดั การ เฟโย (Fayol, 1841-1925 อ้างถึงใน ฐาปนา ฉิ่นไพศาล, 2559: 2-7 – 2-9) บิดาแหง่ การจัดการสมยั ใหม่ ไดใ้ ห้หลักทัว่ ไปของการจดั การไว้ 14 ข้อ ดงั นี้

16 4.1.1 การมีเอกภาพในการบังคับบัญ ชา (Unity of Command) การมี ผบู้ งั คบั บญั ชาเพียงคนเดียวจะปอ้ งกันความขดั แย้งหรือความสับสนในองค์การ 4.1.2 การแบ่งงานกันทา (Division of Work) งานด้านการจัดการและงาน เทคนิค ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษ จึงต้องมีการแบ่งงานกันทาเพ่ือให้มีประสิทธิภาพในการ ใช้แรงงาน 4.1.3 อานาจหน้าที่และความรับผิดชอบ (Authority and Responsibility) ต้องมีการกาหนดหนา้ ทแี่ ละความรับผดิ ชอบ เพื่อให้บุคลากรปฏิบตั ิงานไดอ้ ยา่ งถูกต้อง 4.1.4 ความมีระเบียบวินัย (Discipline) การยอมรับกติกาและวิธีปฏิบัติต่างๆ ขององค์การ เพ่อื ควบคมุ ความประพฤตขิ องบุคลากร 4.1.5 เอกภาพและทิศทาง (Unity of Direction) ต้องกาหนดทิศทางการ ทางานเพื่อใหม้ เี ป้าหมายรวมกัน และทางานสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกัน 4.1.6 ผลประโยชน์ส่วนตัวมีความสาคัญน้อยกว่าผลประโยชน์ขององค์การ (Subordination of Individual to the General Interest) ต้องยึดถือผลประโยชน์ขององค์การ สาคญั กว่าผลประโยชน์ส่วนบุคคล 4.1.7 คา่ ตอบแทนและวิธจี า่ ยคา่ ตอบแทน (Remuneration Method) ผ้ปู ฏบิ ัตงิ านควรไดร้ ับคา่ ตอบแทนทเ่ี ปน็ ธรรม และสร้างความพึงพอใจทง้ั ฝายนายจ้างและลูกจ้าง 4.1.8 หลักการรวมอานาจ (Centralization) ผู้บริหารต้องเลือกระหว่างการ บริหารแบบรวมอานาจหรอื กระจายอานาจให้เหมาะสมตามสถานการณ์ 4.1.9 หลักสายการบังคับบัญชา (Scalar Chain) การกาหนดสายการบังคับ บัญชาท่ีชัดเจน ทาให้เกิดความคล่องตัวในการปฏิบัติงาน ช่วยกาหนดเส้นทางการใช้อานาจและ ชอ่ งทางในการส่ือสาร 4.1.10 คาส่งั (Order) ผูป้ ฏบิ ตั งิ านต้องได้รบั คาสงั่ ทช่ี ดั เจนเพอื่ ปอ้ งกนั การสับสน 4.1.11 หลักความเสมอภาค (Equity) ต้องบริหารงานด้วยความยุติธรรม เสมอ ภาคเท่าเทียมกัน เพอื่ ใหท้ ุกคนยอมรบั และปฏิบัตติ ามระเบียบวนิ ยั ด้วยความเต็มใจ 4.1.12 ความมั่นคงในงาน (Stability of Tenure) ผู้ปฏิบัติงานต้องรู้สึกม่ันคงใน อาชพี มีชอ่ งทางก้าวหนา้ ในการทางาน 4.1.13 ความคิดริเร่ิม (Initative) ต้องกระตุ้นและส่งเสริมให้ผู้ปฏิบัติงานมี ความคดิ สร้างสรรค์ในการทางาน เพ่อื ให้งานประสบผลสาเรจ็ 4.1.14 ความสามัคคี (Esprit de Corps) การสร้างทีมงานในการทางานร่วมกัน ด้วยความสมัครสมานสามคั คยี ่อมทาใหง้ านประสบผลสาเร็จตามเปา้ หมาย 4.2 องค์ประกอบของการจัดการองค์การบริการสารสนเทศ การจัดการองค์การบรกิ ารสารสนเทศให้ประสบผลสาเรจ็ ประกอบด้วยองค์กอบ หรือภารกิจ 3 ด้าน ที่ต้องดาเนินการ คือ การจัดการด้านการบริหาร การจัดการด้านเทคนิค และการ จดั การด้านบริการ ซึง่ มีรายละเอยี ดดงั น้ี 4.2.1 การจัดการดา้ นบริหาร (Administration) หมายถงึ กระบวนการทเ่ี กยี่ ว กับการวางนโยบาย การวางแผนเพือ่ นานโยบายไปสู่การปฏิบัติ โดยผสมผสานปจั จัยในการบรหิ าร

17 ได้แก่ บุคลากร งบประมาณ ทรัพยากร วัสดุ อปุ กรณ์ วธิ ีการ ข้อมูลข่าวสาร เวลา การตลาด เพอ่ื ให้ ผปู้ ฏิบตั ิงานในทกุ ระดบั ดาเนินการตามแนวนโยบายขององคก์ ารให้สาเร็จลลุ ว่ งไปตามวตั ถปุ ระสงค์ และเปา้ หมายที่กาหนดไว้ 4.2.2 การจัดการด้านเทคนิค (Technical) หมายถึง กระบวนการปฏิบัติงานท่ี เกี่ยวกับการจัดหาทรพั ยากรสารสนเทศประเภทต่างๆ เข้ามาในองค์การ ด้วยการซ้ือ การแลกเปล่ียน การขอรับบริจาค และการจัดทาข้ึนเอง แล้วนาทรัพยากรสารสนเทศเหล่านั้นมาผ่านขั้นตอน การ จัดเตรียม จัดระบบ จัดเก็บเพื่อการเข้าถึง ให้บริการและเผยแพร่แก่ผใู้ ช้บริการกลุ่มเป้าหมาย รวมท้ัง เพ่ือความสะดวกในการปฏิบัติงานของผู้ปฏิบัติงานในองค์การ งานเทคนิคในองค์การบริการ สารสนเทศ เป็นงานเบ้ืองหลัง ที่ผู้ใช้บริการส่วนใหญ่อาจไม่ทราบว่ามีข้ันตอนค่อนข้างมาก ต้ังแต่ การคัดเลือกและจัดหาทรัพยากรสารสนเทศ ท่ีส่วนมากเรียกว่า งานพัฒนาทรัพยากรสารสนเทศ งานลงทะเบียนและประทับตราทรัพยากรสารสนเทศ งานวิเคราะห์ระบบและจัดหมวดหมู่ทรัพยากร สารสนเทศ งานทารายการเพ่ือการจัดเก็บและค้นคืนสารสนเทศ งานเตรียมทรัพยากรสารสนเทศ เพ่ือความพร้อมและยืดอายุในการใช้งาน เช่น งานเข้าปกหนังสือใหม่ งานซ่อมหนังสือ งานเขียนสัน ผนึกบตั ร เปน็ ตน้ 4.2.3 การจดั การด้านบริการ (Services) หมายถงึ กระบวนการในการปฏบิ ัติ งานเพื่อให้บริการสารสนเทศ เพอื่ ใหผ้ ้ใู ชบ้ รกิ ารไดร้ บั ความสะดวกสบายในการเขา้ ใช้บริการ ตงั้ แต่การ เตรียมสง่ิ อานวยความสะดวกในการให้บรกิ าร การสร้างบรรยากาศเพ่อื เชญิ ชวนใหเ้ ข้าใช้ การจดั อาคารสถานท่ีใหเ้ ปน็ ระเบียบเรียบร้อยและสวยงาม การประดับตกแต่งทั้งภายในภายนอกเพื่อจงู ใจ และสรา้ งสนุ ทรยี ภาพ การจัดวางครภุ ณั ฑ์ ท่พี ักสายตา การจดั ชั้นหนงั สอื ใหส้ ะอาดเปน็ ระบบ อานวย ความสะดวกใหเ้ ขา้ ใช้และสบื ค้นได้อย่างสะดวกรวดเร็ว การจัดบริการรปู แบบต่างๆ เพือ่ เอื้อประโยชน์ และสอดคลอ้ งกบั ความต้องการของผใู้ ชส้ ารสนเทศ ตลอดจนการให้ความรูค้ วามเขา้ ใจในการใช้ ทรัพยากรสารสนเทศให้เกิดประโยชนส์ ูงสดุ กับผ้ใู ช้ สรุป เม่ือพิจารณาองค์ประกอบของการจัดการองค์การบริการสารสนเทศ ท้ัง 3 ด้าน จะเห็นว่า มีภาระงานต่างๆ ครอบคลุมกระบวนการการปฏิบัติงานของบุคลากรทุกส่วนในองค์การ ผู้บริหารจึง จาเป็นต้องอาศัยหลักการในการบริหารมาจัดการท้ังเร่ืองการวางแผน การจัดองค์การ การจัดการ งบประมาณ การบริหารงานบุคคล การบังคับบัญชา การประสานงาน การควบคุม การติดตามและ ประเมินผล รวมท้ังต้องมีทักษะหลายด้าน ท้ังด้านความคิด ด้านเทคนิค ด้านบุคลากร จึงจะสามารถ บริหารจัดการองค์การให้ประสบผลตามที่ต้องการ ทั้งนี้ต้องอาศัยความรู้และประสบการณ์ของ ผู้บรหิ ารแตล่ ะคน ตลอดจนความรว่ มมือของผูป้ ฏบิ ตั ิงานในองคก์ ารทุกคน

18 คาถามท้ายบท 1. จงอธบิ ายความสัมพันธ์ของคาวา่ การบริหาร กับคาว่า การจดั การ มาพอสงั เขป 2. การบริหารแบง่ ออกเป็นก่ีระดับ ประกอบดว้ ยอะไรบ้าง 3. จงระบสุ มรรถภาพของผู้บรกิ ารทีพ่ ึงประสงคม์ าอยา่ งน้อย 10 ขอ้ 4. ผบู้ รหิ ารแบง่ ออกเปน็ กรี่ ะดบั อะไรบ้าง จงอธบิ ายแต่ละระดับพรอ้ มยกตวั อย่างประกอบ 5. ทฤษฎี 4Ms ประกอบด้วยปัจจัยสาคญั อะไรบ้าง จงอธิบายความสาคัญของแต่ละปัจจยั 6. หลักการของทฤษฎกี ารบรหิ ารแบบมีสว่ นร่วม จะส่งผลดตี อ่ การพัฒนาองค์การบรกิ ารสารสนเทศ อยา่ งไร 7. องค์การบริการสารสนเทศหมายถึงอะไร แบ่งออกเป็นก่ปี ระเภท อะไรบา้ ง 8. หอสมดุ แห่งชาติของไทย ต้งั อยู่ท่ีใด มบี ทบาทหนา้ ท่ีอยา่ งไร 9. จงอธบิ ายหน้าทีข่ องหอจดหมาย พรอ้ มทง้ั อธิบายถึงความสาคญั ที่มีตอ่ องค์การ 10. หอ้ งสมดุ แบ่งออกเปน็ กป่ี ระเภท จงยกตัวอย่างห้องสมดุ ท่ีท่านร้จู ักมาประเภทละ 3 แห่ง

19 เอกสารอ้างอิง จรญู ศกั ด์ิ ฉวศี ักด.ิ์ (2554). การบรหิ ารห้องสมดุ แบบมืออาชพี . กรุงเทพฯ: สานกั หอสมุด มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์, ชวน หลกี ภัย. (2554). คากล่าวเปดิ การประชมุ วิชาการประจาปี 2554 ใน การบรหิ ารหอ้ งสมุด แบบมอื อาชพี . วันที่ 1 กันยายน 2554 ณ ห้องราชา โรงแรมปรนิ ซ์พาเลซ กรงุ เทพมหานคร. ฐาปนา ฉนิ่ ไพศาล. (2559). องคก์ ารและการจดั การ. กรงุ เทพฯ: ศนู ย์หนงั สอื จุฬาลงกรณ์ มหาวทิ ยาลัย. ทฤษฎกี ารบรหิ ารงาน. (2559). [ออนไลน์], แหล่งท่มี า HTTP: http://www.logisticxcorner.com. ธร สุนทรายุทธ. (2554). ปรัชญาการบรหิ ารจดั การ. กรงุ เทพฯ: เนตกิ ลุ การพิมพ.์ ปิยะนชุ สจุ ิต. (2551). การบรหิ ารจัดการสถาบันบริการสารสนเทศ. กรุงเทพฯ: คณะมนษุ ยศาสตรแ์ ละสงั คมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสนุ นั ทา. ราชบณั ฑิตยสถาน. (2546). พจนานกุ รมฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. 2542. กรุงเทพฯ: นานมบี ุค๊ ส์พับลเิ คชัน่ ส์. วรากรณ์ สามโกเศศ. (2551). หอ้ งสมดุ สดุ ยอด : จากมุมมองนักบริหาร ใน การพฒั นาศกั ยภาพ ห้องสมดุ ยุคใหม่. (หนา้ 35-38). กรุงเทพฯ: สานกั หอสมุด มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์. สมาคมห้องสมุดแห่งประเทศไทย. (2549). มาตรฐานห้องสมดุ พ.ศ. 2549. กรุงเทพฯ: สมาคมฯ. สานกั หอสมดุ แห่งชาต.ิ (2548). ๑๐๐ ปี หอสมดุ แหง่ ชาติ. กรุงเทพฯ: ผแู้ ตง่ . สกุ ญั ญา มกฎุ อรฤดี. (2553). การบริหารงานเชงิ ยุทธศาสตร์ : การบรหิ ารจัดการห้องสมดุ มหาวทิ ยาลยั . โดมทศั น์. 31(1): 45-56. เสนห่ ์ จ้ยุ โต. (2545). หลักและทฤษฎีการจัดการ. ใน ประมวลสาระชุดวิชาการจดั การข้นั สูง สาหรบั สถาบันบริการสารสนเทศ หนว่ ยที่ 1-7. (หนา้ 2-38). นนทบรุ ี: สาขาศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. แหล่งบริการสารสนเทศ. (2559). [ออนไลน์], แหล่งที่มา HTTP: https://tanoo.wordpress. com/. Drucker, Peter F. (1973). Management. New York: Harper & Row. Fiedler, Fred E. (1967). A Theory of Leadership Effectiveness. New York: McGraw-Hill. Montana, P. & Charnov, B. (2000). Management. Barron’s. New York: Education Series. Penland, Patrick R. (2003). Learning Resource Center. In Encyclopedia of Library and Information Science. (volume 2, p.1513-1539). Miriam A. Drake. (edited). 2nd ed. USA: Mared Dekker.

20 Ouchi, William G. (1981). Theory Z : How American Business can Meet the Japanese Challenge. Reading. MA: Addison-Wesley. Rue, L. & Byars, L. (2002). Management : Skills and Application. 10th ed. Irvin: McGraw-Hill. Stinchcombe, A. (1968). Constructing Social Theories. New York: Harcourt Brace and World.

เวลาเรียน แผนบรหิ ารการสอนประจาบทที่ 2 งานนโยบายและการวางแผน 5 คาบ เนือ้ หา 1. ความหมายของงานนโยบายและการวางแผน 2. ความสาคัญและวัตถุประสงค์ของการวางแผน 3. กระบวนการในการวางแผน 4. ประเภทของการวางแผน 5. การกาหนดวิสยั ทศั น์และเป้าหมาย 6. กลยทุ ธก์ ารวางแผน 7. ส่ิงที่ควรวางแผนสาหรับองคก์ ารบริการสารสนเทศ 8. ลกั ษณะการวางแผนทีด่ ี 9. ความสัมพันธร์ ะหว่างนโยบาย แผน แผนงาน และโครงการ วตั ถปุ ระสงค์เชิงพฤตกิ รรม เมอ่ื นักศึกษาเรียนจบบทน้ีแลว้ สามารถ 1. อธิบายความหมาย ความสาคัญและวัตถุประสงค์ของการวางแผนได้อยา่ งถูกต้อง 2. เมื่อกาหนดโจทย์ใหส้ ามารถเลอื กประเภท ระบกุ ระบวนการ และเขยี นกลยทุ ธ์การ วางแผนได้ 3. ยกตวั อย่างประเภทของการวางแผนได้อย่างครบถ้วนท้งั 3 ประเภท 4. มีทกั ษะในการเขยี นนโยบาย แผน แผนงาน และโครงการพัฒนาองค์การบริการ สารสนเทศตามที่กาหนดให้ได้ 6. ตระหนกั และเหน็ ความสาคญั ของการกระบวนการวางแผนท่ีดี โดยนาไปใช้ในการ วางแผนในชีวิตประจาวัน

22 วธิ ีสอนและกจิ กรรม 1. บรรยาย ประกอบเอกสารคาสอน และ Power point เน้อื หาบทท่ี 2 2. ยกตัวอยา่ งในการกาหนดนโยบาย แผน แผนงาน และโครงการองค์การบริการ สารสนเทศ และมอบหมายให้ผู้ศึกษาทาใบงาน ฝกึ เขียนนโยบาย แผน แผนงาน และโครงการ 3. ให้นกั ศึกษาแบ่งกล่มุ และมอบโจทยใ์ หเ้ ลือกประเภทองคก์ ารบรกิ ารสารสนเทศ และ เขียนกระบวนการ และกลยทุ ธก์ ารวางแผน แลว้ ใหน้ าเสนอและอภปิ รายรายกลมุ่ 4. ใหป้ ระเด็น โครงการพัฒนาห้องสมุดโรงเรยี น เพอื่ ให้ไปศกึ ษาหนังสอื อินเทอรเ์ นต็ เพอื่ นาเสนอผลการศึกษาค้นคว้า 5. ซกั ถามและให้ตอบคาถามและยกตวั อย่างประเภทของการวางแผน 6. ทดสอบประเมนิ ผลโดยใช้แบบทดสอบ ส่ือการเรียนการสอน 1. เอกสารคาสอนวิชา การจัดการองค์การบริการสารสนเทศ บทท่ี 2 2. แผ่นดสิ เกต็ Power point บทที่ 2 3. แผนยุทธศาสตรก์ ารบรหิ ารองค์การบรกิ ารสารสนเทศ 4. ตวั อย่าง แผน แผนงาน โครงการองค์การบริการสารสนเทศ 5. ใบงาน การเขียนแผนและโครงการห้องสมุดโรงเรยี น กระบวนการและกลยทุ ธก์ าร วางแผน 6. แบบทดสอบ การวัดผลและประเมนิ ผล 1. สงั เกตความสนใจและการรว่ มกิจกรรม 2. ประเมนิ ผลงานที่มอบหมาย การรายงาน 3. ประเมนิ ผลจากการถามตอบ การอภิปราย 4. ตรวจแบบทดสอบ

23 บทท่ี 2 งานนโยบายและการวางแผน การบริหารจัดการองค์การบริการสารสนเทศ ประกอบด้วยงานหลายประเภท ได้แก่ งาน นโยบายและการวางแผน งานบุคลากร งานธุรการ งานธุรการและงานสารบรรณ งานการเงิน งบประมาณ งานสื่อสารองค์กร รายงานและการประชาสัมพนั ธ์ งานพัสดุ ครุภัณฑ์และอาคารสถานที่ งานนวัตกรรมและเทคโนโลยี งานประเมนิ ผล มาตรฐานและการประกนั คุณภาพ งานนโยบายและการวางแผน เป็นงานแรกท่ีผู้บริหารองค์การบริการสารสนเทศจะต้อง ดาเนินก่อนงานอื่นๆ ท้ังน้ีเพราะเป็นงานที่ต้องดาเนินการไว้ล่วงหน้า เพ่ือใช้เป็นเคร่ืองมือในการ กาหนดเป้าหมายและทิศทางในการปฏิบัติงานขององค์การ นโยบายและแผนงานที่กาหนดไว้จะเป็น ทิศทางในการปฏิบัติงานในอนาคตขององค์การ การกาหนดนโยบายและการวางแผนจึงอาจเรียกว่า เปน็ หัวใจสาคญั ของผู้บรหิ ารองค์การ ในบทนจ้ี ะกล่าวถึงงานนโยบายและการวางแผน ดงั รายละเอียดต่อไปนี้ งานนโยบายและการวางแผน นโยบายและแผนงานขององค์การบริการสารสนเทศ คือเข็มทิศจะช่วยนาพาให้ก้าวไปใน ทิศทางท่ีจะบรรลุวัตถุประสงค์ตามเป้าหมายที่องค์การกาหนดไว้ การวางแผนเป็นกระบวนการท่ีมี ความสาคัญมากที่สุดของกระบวนการบริหาร เพราะการพิจารณาเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของ องค์การบริการสารสนเทศ แล้วคิดหาวิธีการเพ่ือให้บรรลวุ ัตถุประสงค์ดังกล่าว จาเป็นต้องมีการคิดไว้ ก่อนลงมือทา และต้องอาศัยความคิดท่ีรอบคอบ การปฏิบัติงานต่างๆ จะประสบผลสาเร็จมากหรือ น้อยเพียงใด ขึ้นอยู่กับการวางแผนให้สอดคล้องกับนโยบาย ช่วยให้การดาเนินงานเป็นไปอย่างมี ประสิทธิภาพในทิศทางท่ีถูกต้อง นอกจากนี้ยังช่วยทาให้เกิดการประสานงานท่ีดีระหว่างบุคลากร หน่วยงานในองค์กร ให้รู้จักบทบาทหน้าท่ีของตนเองอย่างชัดเจน ช่วยขจัดปัญหาในความขัดแย้งใน องค์การ ลดค่าใช้จ่ายท้ังแรงงานและงบประมาณ งานนโยบายและการวางแผนจึงถือเป็นหัวใจสาคัญ ขององค์การบริการสารสนเทศที่ผู้บริหารทุกระดับจะต้องให้ความสาคัญ แผนที่ดีจะช่วยให้งานทุก อย่างดาเนินไปอยา่ งราบรื่น และประสบผลสาเรจ็ ตามนโยบายขององค์การ 1. ความหมายของนโยบายและการวางแผน 1.1 นโยบาย หมายถึง หลักการที่ถูกกาหนดข้ึนเป็นแนวทางกว้างๆ เพื่อให้บุคลากร ในองค์การหรือหน่วยงานใดๆ ใช้ในการตดั สินใจและทางานใหไ้ ปในทิศทางเดียวกนั เปน็ เครื่องมอื ช้นี า การกระทา ที่จะส่งผลให้งานสาเร็จ เป็นเครื่องกาหนดเป้าหมายและทิศทางในการปฏิบัติงาน

24 ผู้บริหารองค์การบริการสารสนเทศจึงต้องกาหนดนโยบายขององค์การ และวางแผนให้สอดรับกับ นโยบายท่ีได้วางไว้ (บาเพ็ญ โรจน์ปรีชา, 2545: 51) นโยบายของแต่ละองค์การมักสอดคล้องกับ นโยบายของหน่วยงานท่ีอยู่เหนือขึ้นไป เช่น นโยบายระดับกรม นโยบายระดับกระทรวง นโยบาย ระดบั ชาติ เป็นต้น 1.2 การวางแผน คือ การกาหนดเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ท่ีจะทาไว้ล่วงหน้า โดย กาหนดวิธีและแนวปฏิบัติเพ่ือให้บรรลุถึงความสาเร็จตามจุดมุ่งหมาย รวมถึงการสร้างแผนในระดับ ตา่ งๆ เพื่อรวบรวมและประสานกจิ กรรมต่างๆ เข้าด้วยกัน (Robbins, 1990: 12) เป็นการตดั สินใจไว้ ว่าจะทาอะไร ทาทาไม ทาเม่ือใด และใครเป็นคนทา สาคร สุขศรีวงศ์ (2554: 99) ได้ให้ความหมาย ของการวางแผนไว้ว่า หมายถึง การกาหนดพันธกิจ เป้าหมายและแผนงาน เพ่อื ให้องค์การปฏิบัติงาน ได้อย่างมีประสิทธภิ าพและประสิทธผิ ลตามที่ประสงค์ การวางแผนจึงเป็นกระบวนการทต่ี ้องตัดสนิ ใจ ล่วงหนา้ เกย่ี วกับการกาหนดวตั ถปุ ระสงค์ และวิธีดาเนินการเพ่ือให้บรรลุวตั ถุ ประสงค์ทีต่ ้ังไว้ และถือ เป็นหนา้ ทล่ี าดับแรกๆ ของผ้บู ริหาร (Ghilyer, 2012: 50; Rue & Byars, 2007: 137) 2. ความสาคญั และวัตถปุ ระสงคข์ องการวางแผน การวางแผนเป็นกระบวนการที่อาศัยทักษะความคิดและสร้างสรรค์ให้สอดคล้องกับ นโยบายขององค์การ เป็นกระบวนการทางการบริหารข้ันแรก ท่ีองค์การจะเร่ิมต้นทา มีความสาคัญ และก่อให้เกิดประโยชน์ต่อองค์การดังนี้ 2.1 ความสาคัญของการวางแผน องค์การทุกประเภทจะต้องมีการวางแผนเพ่ือช่วยให้การทางานเป็นไปอย่างมี ระบบ แผนหรือแผนงานท่ีผ่านการคิดวิเคราะห์อย่างรอบคอบ จึงมีความสาคัญต่อองค์การ (วันชัย มีชาติ, 2557: 149) ดังนี้ 2.1.1 แผนเป็นเคร่ืองมือและแนวทางในการจัดสรรทรัพยากรในองค์การ แผน เป็นส่ิงบอกให้ทราบว่าภารกิจใดจะต้องดาเนินการ ให้ทางเลือกและแนวทางในการดาเนินการ นามาใชจ้ ดั สรรทรัพยากใหพ้ ร้อมสาหรับการดาเนินการใหบ้ รรลุวตั ถปุ ระสงคต์ ามเป้าหมาย 2.1.2 แผนเป็นแนวทางในการจัดระบบ ควบคุม ตรวจสอบ และติดตามผลการ ดาเนินงานขององค์การ การวางแผนและการควบคุมจึงเป็นขั้นตอนคู่ขนานในการบริหารงานของ องคก์ าร 2.1.3 การวางแผนเป็นเครื่องกระตุ้นและจูงใจผู้ปฏิบัติงานในองค์การ เพราะ การวางแผนจะบ่งบอกทิศทางในอนาคตขององค์การ ส่งผลให้ผู้ปฏิบัติงานเห็นแนวทางในการ ปฏิบัติงานให้สาเร็จตามท่ีกาหนดไว้ กระตุ้นความพยายาม ความทุ่มเทที่จะทางานให้บรรลุ วตั ถปุ ระสงคด์ ังกล่าว 2.2 วัตถุประสงคข์ องการวางแผน การวางแผนมีวัตถุประสงค์สาคัญ 4 ประการ (ฐาปนา ฉ่ินไพศาล, 2559: 4-2) ไดแ้ ก่

25 2.2.1 เป็นการกาหนดทิศทางให้กับผู้บริหารและผู้ปฏิบัติงาน ทาให้มีเป้าหมาย และทิศทางในการปฏิบัติงาน รูห้ น้าท่ีความรับผิดชอบ และไม่เกิดการก้าวก่ายกันในการทางาน ท้ังยัง ทาเกดิ การทางานทส่ี อดประสานกันทางานเพื่อก้าวสคู่ วามสาเรจ็ ร่วมกัน 2.2.2 เพ่ือลดความไม่แน่นอนจากการเปลี่ยนแปลงท่ีจะเกิดข้ึนจากผู้บริหาร การวางแผนจะแนวทางที่องคก์ ารยดึ ม่นั รว่ มกัน 2.2.3 ช่วยลดการทางานทซี่ ้าซอ้ น ลดกจิ กรรมทจ่ี ะเกิดความสูญเปล่า 2.2.4 เปน็ การกาหนดเป้าหมายหรือมาตรฐานท่ีใช้ในการควบคมุ การปฏบิ ัติงาน การควบคุมเปน็ การเปรยี บเทยี บผลการปฏบิ ตั งิ านจรงิ กับเปา้ หมายว่ามีความแตกตา่ งกนั เพยี งใด 3. กระบวนการในการวางแผน การวางแผนเป็นเรื่องของอนาคตซ่ึงไม่อาจคาดเดาได้ การดาเนินงานขององค์การท่ีไม่ สามารถปรบั เปลี่ยน หรอื ยืดหยุ่นแผนไปตามสถานการณท์ ่เี ปล่ยี นแปลงไป อาจทาให้เกดิ ปญั หาในการ ดาเนินงาน ดังนั้น ในกระบวนการวางแผนจึงต้องอาศัยข้อมูลข่าวสารที่สมบูรณ์ เพื่อให้สามารถ คาดการณ์อนาคต และลดขอ้ จากัดในด้านต่างๆ เพ่ือการวางแผนที่สอดรับกับสภาพการณ์ท่ีน่าจะเป็น และกอ่ ใหเ้ กิดผลสาเรจ็ ในการทางานมากที่สุดขั้นตอนในการวางแผนสรปุ เป็นลาดบั ดังตารางท่ี 2.1 ตารางที่ 2.1 ขน้ั ตอนในการวางแผน ข้นั ที่ กระบวนการ 1 กาหนดวตั ถุประสงค์ กาหนดเปา้ หมายในอนาคตทั้งระยะสนั้ ระยะยาว 2 วเิ คราะหแ์ ละประเมินสภาพวะแวดล้อม วเิ คราะหส์ ถานะองค์การ สภาวะแวดล้อมภายในภายนอก และทรพั ยากรทมี่ ี 3 ระบุทางเลือก หาทางทีเ่ ป็นไปได้ที่จะทาให้บรรลเุ ป้าหมาย 4 ประเมินทางเลือก พจิ ารณาข้อดีและข้อเสียของแตล่ ะทางเลือก 5 เลือกทางท่ดี ที ส่ี ุด เลือกทางเลอื กท่ีดที ส่ี ุดและมีข้อเสยี น้อยท่สี ดุ 6 นาแผนไปปฏบิ ัติ ระบุบุคคล ทรัพยากร วิธีการประเมนิ แผนและการรายงาน 7 การควบคมุ และประเมนิ ผล ทบทวน วเิ คราะห์ เตรยี มปรับปรงุ แผน ที่มา : (ปรบั ปรงุ จาก บาเพ็ญ โรจน์ปรชี า, 2545: 65

26 3.1 การกาหนดวัตถุประสงค์ ผู้บริหารระดบั กลางและระดบั ปฏบิ ัตกิ ารจะต้องกาหนด วัตถุประสงค์ข้ึน โดยมุ่งเน้นและให้ความสาคัญต่อองค์การและผู้ปฏิบัติงาน การกาหนดวัตถุประสงค์ จะได้รับอิทธิพลจาก วิสัยทัศน์ พันธกิจ และค่านิยมขององค์การ ทั้งยังต้องกาหนดให้สอดคล้องกับ เป้าหมาย สภาวะแวดล้อม ทรัพยากร ตลอดจนอาศัยประสบการณ์ของผู้บริหารเอง ภายใต้ปรัชญา และจริยธรรมขององค์การ 3.2 การวิเคราะห์และประเมินสภาวะแวดล้อม เป็นข้ันตอนสาคัญที่ผู้บริหารที่มี หน้าที่วางแผนจะต้องพิจารณา เพราะจาเป็นต้องนามาวิเคราะห์เพื่อกาหนดทรัพยากรต่างๆ ท้ังเร่ือง คน วัตถุดิบ เงนิ ระยะเวลา และข้อมูลขา่ วสาร ซึ่งล้วนแตม่ ีความจาเป็นสาหรบั การบรหิ าร นอกจากนี้ การวิเคราะห์และประเมินสภาวะแวดล้อมยังต้องครอบคลุมท้ังส่วนที่อยู่ภายในและภายนอกองค์การ เพื่อจะได้พิจารณาถึงจุดอ่อนจุดแข็ง โอกาสตลอดจนปัจจัยคุกคาม ซ่ึงจะส่งผลต่อการดาเนินการตาม เปา้ หมายขององคก์ าร โดยทั่วไปนยิ มใช้วิธีการ SWOT 3.3 การกาหนดทางเลือก ทางเลือกท่ีจะนาองค์การไปสู่เป้าหมายแห่งความสาเร็จ ต้องคานึงถึงความสะดวกต่อผู้ปฏิบัติงาน ทางเลือกในหนทางต่างๆ อาจมีระยะเวลา ค่าใช้จ่าย หรือ ต้องใช้ทรัพยากรท่ีแตกต่างกันไป ดังนั้น ผู้บริหารต้องอาศัยบุคคลท่ีมีความรู้และประสบการณ์มาให้ คาแนะนาในการเลอื กทางเลือกทเี่ หมาะสมแก่องค์การ 3.4 การประเมินทางเลือก ทางเลือกท่ีมีทั้งหมด ต้องถูกประเมินข้อดีข้อเสีย เพื่อ พิจารณาว่า ทางเลือกใดมีความเหมาะสมกับทรัพยากรและข้อจากัดขององค์การ การประเมิน ทางเลือกจะทาใหอ้ งค์การบรรลุเปา้ หมายไดอ้ ย่างมีประสิทธิภาพและประสทิ ธิผล 3.5 เลือกทางเลือกท่ีดีที่สุด การวิเคราะห์ผลได้และต้นทุนในแต่ละทางเลือกจะเป็น หนทางทด่ี ที สี่ ุดทใ่ี ช้ในการตดั สินใจ ผูบ้ ริหารจะต้องเลือกทางทดี่ ีท่ีสุดจากทางเลือกทั้งหมด 3.6 การดาเนินการตามแผน หลังจากได้จัดทาแผนการปฏิบัติการและแผนยุทธวิธี เรียบรอ้ ยแลว้ ต้องมีการปรบั ปรงุ และพัฒนาแผนก่อนนาไปใช้ 3.7 การควบคุมและการประเมินผล ผู้บริหารต้องมีการควบคุมกระบวนการในการ จัดทาแผนและมีการเตรียมการที่จะปรับปรุงแผนเม่ือมีความจาเป็น โดยเฉพาะเมื่อสภาวะแวดล้อม ตา่ งๆ เปลย่ี นแปลงไป ตอ้ งมีการทบทวนแผนเพือ่ ปรบั ใหส้ อดคลอ้ งกบั สถานการณ์ 4. ประเภทของการวางแผน การวางแผนสามารถจาแนกออกได้ตามระยะเวลาการดาเนินการ และตามปริมาณการ ใช้งาน เป็น แผนระยะยาว แผนระยะกลาง และแผนระยะสั้น จาแนกตามระดับปริมาณการใช้งาน เป็นแผนท่ีใช้ครั้งเดียว แผนที่ใช้ประจา และแผนฉุกเฉิน จาแนกตามระดับการบริหาร แบ่งเป็นแผน กลยุทธ์ แผนยทุ ธวิธี และแผนปฏบิ ัตกิ าร สรุปเปน็ แผนภาพ ดงั ภาพที่ 2.1

ประเภทของแผน 27 แบ่งตามระยะเวลา แบ่งตามระดับการบริหาร แบ่งตามการใช้ แผนระยะยาว แผนกลยทุ ธ์ แผนท่ีใช้ครัง้ เดยี ว แผนระยะกลาง แผนยทุ ธวธิ ี แผนทีใ่ ช้ประจา แผนระยะสนั ้ แผนปฏบิ ตั กิ าร แผนฉกุ เฉิน ภาพท่ี 2.1 ประเภทของแผน ท่มี า : (สาคร สขุ ศรวี งศ์, 2552: 109) ในที่นี้จะกล่าวถึงการจาแนกประเภทของแผนตามระดับการบริหาร ซ่ึงแบ่งเป็น 3 ประเภท (วันชัย มีชาติ, 2557: 155; ตุลา มหาพสุธานนท์, 2554: 120; วิเชียร วิทยอุดม, 2554: 5-8; Robbins & Coulter, 2005: 162-163) ดงั นี้ 4.1 แผนกลยุทธ์หรือแผนยุทธศาสตร์ (Strategic Plan) กลยุทธ์หรือยุทธศาสตร์ มี ท่ีมาจากรากศัพท์ภาษากรีกโบราณว่า Stratego หมายถึง “การวางแผนเพ่ือทาลายศัตรูโดยการใช้ ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ” (ธร สุนทรายุทธ, 2554: 213) แผนกลยุทธ์หรือแผนยุทธศาสตร์จึง เป็นการวางแผนอย่างกว้าง ๆ โดยผู้บริหารระดับสูงระยะยาว 3-5 ปี หรือมากกว่านั้น เป็นแผนระดับ ภาพรวมขององค์การ (corporate level) เพ่ือการกาหนดวิสัยทัศน์ พันธกิจ ไว้ล่วงหน้าสาหรับ ทศิ ทางขององค์การใหส้ อดคล้องกบั สภาพแวดล้อม กาหนดการใชท้ รพั ยากรตา่ งๆ อยา่ งเหมาะสม 4.2 แผนยุทธวิธีหรือแผนบริหาร (Tactical Plan/Management Control) เป็นการ วางแผนโดยผู้บริหารระดับกลาง เป็นแผนในระดับหน่วยงานยอ่ ยขององค์การ โดยนาแผนยุทธศาสตร์ มาแตกเป็นแผนย่อยๆ เพ่ือดาเนินการให้สอดคล้องกันและช่วยให้บรรลุผลตามยุทธศาสตร์ท่ีวางไว้ จะแสดงถึงการกาหนดเป้าหมายหรือแนวทางการดาเนินงานของแต่ละฝ่ายในระยะเวลา 1-3 ปี โดย นาเอาแผนระยะยาวมาแบ่งไปตามภาระหน้าที่ความรับผิดชอบเพ่ือให้สามารถนาไปสู่การปฏิบัติได้ เช่น แผนการผลติ แผนการเงนิ แผนการตลาด แผนการพฒั นาทรพั ยากรบุคคล เป็นต้น 4.3 แผนปฏิบตั ิการ (Operational Planning) เป็นการวางแผนระยะส้ันโดยผู้บริหาร ระดับต้น เพ่ือสนับสนุนแผนยุทธวิธีและแผนกลยุทธ์ เป็นแผนในระดับหน่วยงานซ่ึงจะกาหนดวิธีใน การนาแผนและนโยบายต่างๆ ไปใช้สาหรับการปฏิบัติงานในช่วงเวลาระยะเวลา 1 ปี แสดง

28 รายละเอียดโครงการและกจิ กรรมในการดาเนินงาน วิธีปฏิบตั ิ เคร่ืองมอื อุปกรณ์ ผู้รับผดิ ชอบในการ ปฏบิ ตั เิ พือ่ ใหเ้ ปน็ ไปตามเปา้ หมายขององคก์ าร การวางแผนในองค์การมีหลายระดับ แต่ละระดับมีความสาคัญและมีความจาเป็น สาหรับองค์การ แผนท้ังสามระดับที่กล่าวมามีความเช่ือมโยงและสอดคล้องกัน แผนกลยุทธ์ใช้ กาหนดทิศทางการดาเนินงานขององค์การ จาเป็นต้องใชแ้ ผนยทุ ธวิธีท่ปี ระกอบด้วยวิธีการต่างๆ ที่จะ นาไปสู่ความสาเร็จตามแผนกลยุทธ์ท่ีตงั้ ไว้ โดยอาศัยแผนปฏิบตั ิการเป็นรายละเอียดในการปฏบิ ัติงาน ท่ีชัดเจนย่ิงขึ้น หากองค์การสามารถวิเคราะห์และเขียนแผนโดยมเี ป้าหมายเดียวกัน ย่อมจะส่งผลให้ การดาเนินงานภายในองค์การเปน็ ไปในทิศทางเดยี วกนั และจะนาไปสู่เปา้ หมายที่กาหนดไว้ 5. การกาหนดวสิ ัยทศั น์ พนั ธกิจ เป้าหมาย และวตั ถุประสงค์ ในกระบวนการวางแผนขององค์การ ส่ิงที่จะปรากฏเป็นหลักฐานชัดเจนเพ่ือสร้าง ความเข้าใจให้กับบุคลากรในองค์การตลอดจนสาธารณชนท่ัวไปได้แก่ วิสัยทัศน์ พันธกิจ เป้าหมาย และวัตถุประสงค์ ร่วมท้ังกระบวนสาคัญ ดังน้ี (วันชัย มีชาติ, 2557: 157; บาเพ็ญ โรจน์ปรีชา, 2545: 62) 5.1 วิสัยทัศน์ (Vision) คือ ข้อความท่ัวไปซึ่งกาหนดทิศทาง ภารกิจ อธิบาย รายละเอยี ดขององค์การ ขอบเขตการปฏิบตั งิ าน ความต้องการของตลาดและค่านยิ ม 5.2 พันธกิจ (Mission) คือ ข้อความท่ีชัดเจนของจุดมุ่งหมายหลักขององค์การใน ปัจจุบันและอนาคต เป็นข้อความที่ระบุภารกิจท่ีองค์การจะพยายามทาให้บรรลุ เป็นทัศนคติหรือ ค่านิยม แสดงให้เห็นบรรยากาศและคุณภาพขององค์การ แสดงจุดยืนท่ีแตกต่างจากองค์การอื่นๆ ภายใตภ้ ารกจิ ท่ีสอดคลอ้ งกับหนว่ ยงานตน้ สงั กัดขององค์การ 5.3 เป้าหมาย (Goal) คือ ส่ิงที่องค์การต้องการให้บรรลุ การกาหนดเป้าหมายของ องค์การมักกาหนดเป้าหมายในลักษณะเป็น SMART-GOAL ได้แก่ เป้าหมายที่มีความเฉพาะเจาะจง (Specific) สามารถวัดได้ (Measurable) เป็นที่เห็นพ้องต้องกันหรือตกลงร่วมกัน (Agreeable) เป็น เป้าหมายท่ีสามารถนาไปปฏิบัติได้ (Realistic) และมีช่วงเวลากาหนดไว้ (Time-frame) นอกจากน้ี เป้าหมายที่ดีต้องสามารถปฏิบัติให้บรรลุผลสาเรจ็ ได้ (Challenge but Attainable) และต้องเขียนไว้ เปน็ ลายลกั ษณ์อกั ษร (Written) เพอ่ื ให้บุคลากรในองคก์ ารรับรู้รว่ มกัน 5.4 วัตถุประสงค์ (Objectives) คือแนวทางที่นาไปสู่การปฏิบัติเพ่ือให้บรรลุ จดุ มุง่ หมาย เป็นกิจกรรมที่คาดการณ์ในอนาคตท่แี น่นอนว่า เม่ือดาเนินการตามแผนงานแล้วจะทาให้ บรรลุผลตามเปา้ หมายท้ังประสิทธิผลและประสิทธภิ าพ 5.5 การวิเคราะห์สภาวะแวดล้อมภายในและภายนอก ได้แก่ การวิเคราะห์จุดแข็ง (Strengths) จดุ ออ่ น (Weakness) โอกาส (Opportunity) และอุปสรรค (Threat) 5.6 การวางแผนกลยุทธ์ เป็นการพัฒนาแผนระยะยาวขององค์การบนพื้นฐานของ โอกาสและอุปสรรคจากการประเมินสภาวะแวดล้อมภายนอก และจุดแข็งจุดอ่อนจากการประเมิน สภาวะแวดล้อมภายใน

29 5.7 การกาหนดกลยุทธ์ เป็นการกาหนดแนวนโยบายวิธีไปสู่ส่ิงท่ีองค์การต้องการ ซง่ึ ตอ้ งอาศัยกลยทุ ธท์ งั้ ในระดับองค์การ กลยุทธ์ระดับหนว่ ยงาน และกลยทุ ธ์ระดับหนา้ ท่ีในแผนกงาน ตา่ งๆ 5.8 การดาเนนิ กลยทุ ธ์ เป็นกระบวนการเปล่ียนแปลงจากกลยทุ ธ์ไปสู่การกระทา โดย การวางแผนการดาเนนิ งานโดยละเอยี ด เพอื่ ให้บรรลตุ ามเปา้ หมายทกี่ าหนดไว้ 5.9 การประเมินผลและควบคุมกลยุทธ์ เป็นการพิจารณาว่า กลยทุ ธท์ ี่ดาเนินการนั้น บรรลุเป้าหมายและวัตถุประสงค์หรือไม่ เพียงใด ผู้บริหารจะต้องประเมินผลกระทบของกลยุทธ์และ การตอบสนองท่เี หมาะสม 6. กลยทุ ธ์การวางแผน ผู้บริหารองค์การบริการสารสนเทศจาเป็นต้องมีการจัดทาปฏิทินปฏิบัติงาน โครงการ และคู่มือปฏิบัติงาน เพ่ือเป็นเครื่องมือในการดาเนินงานตามกลยุทธ์ท่ีระบุไว้ในแผนงาน ซึ่งมี รายละเอยี ด (บาเพ็ญ โรจน์ปรชี า, 2545: 64) ดังน้ี 6.1 การจัดทาปฏิทินปฏิบัติงาน ปฏิทินปฏิบัติงานคือตารางท่ีแสดงข้อมูลรายเดือน ตลอดปี ซ่ึงมีรายละเอียดระบุว่าจะต้องปฏิบัติงานใดในช่วงเวลาใด เพื่อให้งานด้านนโยบายและการ วางแผนดาเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ ภายใต้กรอบระยะเวลาที่กาหนดไว้ขององค์การ ผู้บริหาร องค์การบริการสารสนเทศจาเป็นต้องดาเนินการให้มีการจัดทาปฏิทินปฏิบัติงานไว้เป็นลายลักษณ์ อักษร และควรระบุช่วงเวลาและผู้รับผิดชอบไว้อย่างชัดเจน เพ่ือให้สามารถตรวจสอบติดตาม และ ประเมินผลได้ 6.2 การจดั ทาคมู่ อื ปฏิบัติงาน คู่มือปฏิบตั ิงานเป็นเครือ่ งมือสาคญั สาหรับผู้ปฏิบตั ิงาน ในองค์การได้ใช้เป็นคู่มือในการทางาน หรือใช้เป็นเอกสารอ้างอิงในการแก้ปัญหา แก้ข้อสงสัย หรือ เม่ือมีข้อขัดแยง้ เกี่ยวกับแนวปฏิบัตติ ่างๆ คู่มือปฏิบัตงิ านยังใช้เป็นเครอ่ื งมือควบคุมการปฏิบตั ิงานให้ เป็นมาตรฐานเดียวกนั ลดระยะเวลาในการอบรมหรือสอนงานแก่บุคลากร และลดข้อขัดแย้งเกีย่ วกับ การทางาน 6.2.1 คู่มือปฏิบัติงานในองค์การบริการสารสนเทศท่ีดี ควรระบุวิธีการและ ขั้นตอนการปฏิบัติงานโดยละเอียด และเป็นไปตามลาดับข้ันตอนการทางานตั้งแต่ต้นจนส้ินสุด กระบวนการทางาน เพ่ือให้ง่ายและสะดวกต่อการใช้ประโยชน์ ควรเขียนเป็นลาดับข้อ ประกอบด้วย หวั ขอ้ และรายละเอยี ดสาคญั ตา่ งๆ ดงั นี้ 6.2.1.1 ประวตั ิความเปน็ มาขององค์การบริการสารสนเทศ 6.2.1.2 นโยบายและวตั ถปุ ระสงค์ขององค์การบรกิ ารสารสนเทศ 6.2.1.3 การจดั แผนกงานขององคก์ ารบรกิ ารสารสนเทศ 6.2.1.4 ระเบยี บข้อบังคับขององค์การบรกิ ารสารสนเทศ 6.2.1.5 หลักและวิธีปฏิบัตงิ านแต่ละด้านโดยละเอียด ควรมีแผนผัง แผนภูมิ แผนภาพ หรอื ภาพประกอบเพ่ือช่วยให้ง่ายต่อการ ทาความเข้าใจ และจะส่งผลให้การปฏิบัติงานเป็นไปอย่างถูกต้อง แม่นยา รวดเร็ว และมีคุณภาพอีก ดว้ ย

30 ดงั ตารางที่ 2.2 6.2.2 ประโยชน์ของคู่มอื ปฏบิ ัตงิ าน คู่มือปฏิบัติงานขององค์การมีประโยชน์ทั้งต่อผู้บริหารและผู้ปฏิบัติงาน ตารางที่ 2.2 ประโยชนข์ องคู่มอื ปฏิบัติงาน ประโยชนต์ ่อผู้ปฏิบตั ิงาน ประโยชน์ตอ่ ผู้บริหาร 1) ใช้เป็นเคร่อื งชว่ ยอธิบายงานสาหรับบุคลากร 1) ใช้เป็นเครอื่ งมือสาหรบั ใหมใ่ หท้ ราบรายละเอียด ขน้ั ตอน และวิธกี ารปฏิบัตงิ าน มอบหมายงาน สับเปล่ยี นงาน ไดอ้ ยา่ ง ทาให้เรียนร้งู านไดเ้ รว็ ประหยัดเวลาและแรงงานในการ สะดวกรวดเรว็ ลดระยะเวลาและแรงงาน มอบหมายและรับงาน 2) ใชเ้ ปน็ คู่มือในการปฏิบตั งิ านสาหรับบุคลากร 2) ใชเ้ ป็นเกณฑ์ประกอบการ ทกุ คนในองค์การ และช่วยใหข้ อ้ มูล กฎเกณฑ์ หลักการ ประเมนิ ผลงานของบุคลากรในองค์การ รายละเอียดของงานแกผ่ มู้ ปี ัญหาในการปฏิบัติงาน 3) สรา้ งมาตรฐานในการปฏิบัตงิ านใหอ้ งค์การ 3) ใช้ในการสร้างมาตรฐานการ ทาใหง้ านประเภทเดยี วกนั ไม่วา่ ใครเปน็ ผ้ปู ฏบิ ตั ิกต็ ้องมี ปฏิบตั ิงานของบคุ ลากรให้องคก์ าร แบบแผนเปน็ มาตรฐานเดยี วกัน 4) ช่วยลดปญั หาและข้อโต้แย้งของบุคลากรใน 4) ช่วยป้องกนั ปัญหาและข้อขัดแยง้ องค์การ เพราะคู่มอื ระบุอานาจหนา้ ทค่ี วามรับผดิ ชอบ ระหวา่ งบคุ ลากร เกีย่ วกับหลักการ แต่ละงานไว้อย่างชดั เจน ระเบยี บ กฎเกณฑ์ หรอื รายละเอียด เกีย่ วกบั การปฏบิ ัตงิ าน 5) ใชเ้ ป็นแนวทางในการปรับปรุงและพัฒนางาน 5) ใชเ้ ป็นเครื่องมือประชาสัมพนั ธ์ ได้สะดวกมากยง่ิ ขึ้น องค์การ และใชป้ ระกอบการชี้แจงเพ่อื ขอรับการสนับสนนุ ทัง้ ด้านอัตรากาลัง งบประมาณ หรือทรัพยากรเพอื่ พฒั นา คุณภาพงาน 6.3 การจัดทาโครงการ โครงการ หมายถึง กิจกรรมที่ดาเนินการข้ึนเพ่ือให้บรรลุ วตั ถุประสงค์ของแผนงานท่ีกาหนดไว้ มีระยะในการดาเนินงานให้สาเร็จในระยะเวลาที่กาหนด (สุทธิ มา ชานาญเวช, 2553: 171) โครงการเป็นแนวปฏิบัติงานที่กาหนดไว้ล่วงหน้าเพื่อให้ทราบทิศ ทางการดาเนินงานในอนาคต เป็นส่ิงท่ีบอกให้ผู้บริหาร บุคลากร ตลอดจนผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทราบว่า องค์การจะทาอะไร (What) เหตุใดต้องทา (Why) ทาท่ีไหน (Where) ทาเมื่อไร (When) ใครเป็น ผู้ทา (Who) ทาอย่างไร (How) ใช้งบประมาณเท่าใด (How much) ทาให้บุคลากรในหน่วยงาน สามารถปฏิบัติงานไปตามแนวทางท่ีได้กาหนดไว้ให้สาเร็จลุล่วงไปตามระยะเวลาท่ีกาหนด และ สามารถตรวจสอบ การดาเนนิ งานได้เป็นระยะๆ ว่าปฏบิ ตั งิ านไดค้ รบถว้ นตามทว่ี างแผนไวห้ รือไม่

31 6.3.1 ประโยชนข์ องโครงการ 6.3.1.1 เปน็ แนวทางในการบริหารงานของผ้ปู ฏิบัตงิ าน เป็นเครอื่ งแสดง แนวทางความคิดให้ผบู้ ังคับบัญชาทราบ 6.3.1.2 เป็นเอกสารหลักฐาน เพื่อให้ผู้ปฏิบัติงานทราบล่วงหน้าว่าต้อง ทาอะไร เมอื่ ไร อย่างไร 6.3.1.3 เป็นเครอ่ื งมือประเมินผลการปฏิบัตงิ านของบุคลากรในองค์การ ว่าปฏิบัติงานได้สาเร็จตามที่ได้กาหนดไว้หรือไม่ รวมทั้งเป็นเคร่ืองบ่งชี้ความรับผิดชอบของ ผู้ปฏบิ ตั ิงานตามโครงการนั้นๆ 6.3.2 ประเภทของโครงการ โครงการมีหลายรูปแบบและเป็นเร่ืองยากที่จะ แบ่งประเภทให้ชัดเจนได้ ในที่นี้แบ่งประเภทของโครงการตามลักษณะของสถานการณ์ท่ีเผชิญ ได้ 3 ประเภทใหญ่ๆ (ปกรณ์ ปรยี ากร, 2542: 6-7) ดังนี้ 6.3.2.1 โครงการปรับปรุงแก้ไขปัญหา (Improvement Project) เป็น โครงการระยะสนั้ มาก และเกดิ ขึน้ เสมอ เน่ืองจากการแกไ้ ขและปรับปรุงงานถือเป็นเรื่องปกติ ในกรณี ท่ีงานประจามีปัญหาแต่ไม่สามารถแก้ไขได้ จึงจาเป็นต้องแยกงานออกมาเป็นโครงการ เพื่อแกป้ ัญหา ของงานประจาน้ันให้หมดไป เช่น การแก้ไขปัญหาการทางานล่าช้า การพัฒนาบุคลากร การซ่อม บารุงเครื่องมือในการปฏิบัติงาน เป็นต้น 6.3.2.2 โครงการริเริ่มหรือนวัตกรรม (Innovation Project) เป็น โครงการริเริ่ม เพ่ือสร้างนวัตกรรมใหม่ การแก้ปัญหาอาจไม่สามารถตอบสนองความต้องการของ ผู้ใช้บริการได้ หรือไม่สามารถตอบสนองต่อการเปล่ียนแปลงท่ีเกิดข้ึนภายในองค์กรได้ จึงจาเป็นต้อง ใช้เทคโนโลยีหรือวิธีการใหม่ที่จะช่วยให้การดาเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น โครงการ พัฒนาระบบการลงทะเบียนผู้ใช้ห้องสมุดผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต โครงการจัดซ้ือระบบห้องสมุด อตั โนมัติ เปน็ ต้น 6.3.2.3 โครงการวิจัยและพัฒนา (Research and Development Project) เป็นโครงการบุกเบิกหรือโครงการนาร่อง (Pilot Project) หรือโครงการค้นคว้าทดลอง (Experiment Project) เป็นโครงการศึกษาค้นคว้าเพ่ือหาองค์ความรู้ใหม่ เพ่ือนามาใช้ในการพัฒนา ซ่ึงส่วนใหญ่จะเป็นโครงการท่ีต้องอาศัยทุนและความเข้มแข็งในการดาเนินการสูง ผลการวิจัยจะเป็น ประโยชนต์ ่อการนามาใช้ทงั้ ในระดบั องคก์ าร ชมุ ชน และระดับประเทศ 6.3.3 การเขียนโครงการ การเขียนโครงการท่ีดี ควรมีรายละเอียดในประเด็น ต่างๆ สอดคล้องสัมพันธ์กัน มีเน้ือหาสาระครบถ้วน อ่านเข้าใจง่าย มองเห็นภาพในการดาเนินการได้ ตง้ั แต่ตน้ จนจบ โครงการทีด่ ีต้องเป็นโครงการที่ก่อให้เกิดประโยชนใ์ นการพัฒนาต่อกลุ่มเป้าหมายหรือ ส่วนรวม สามารถแก้ปัญหาหรือตอบสนองความต้องการของชุมชนท่ีองค์การรับผิดชอบได้ รายละเอียดของโครงการประกอบด้วยส่วนต่างๆ เรียงตามลาดับ ได้แก่ ส่วนนา กล่าวถึงข้อมูล เบื้องต้นเก่ียวกับโครงการ เช่น รหัสโครงการ ชื่อหน่วยงาน ชื่อโครงการ งานหรือแผนงาน ส่วนของ เน้ือหา กล่าวถึงรายละเอียดของโครงการประกอบด้วย หลักการและเหตุผล วัตถุประสงค์ เป้าหมาย แนวทางหรือขัน้ ตอนการดาเนินการ กิจกรรมการดาเนินงานและระยะเวลา ระยะเวลาการดาเนนิ การ งบประมาณ การประเมนิ ผล ผลท่ีคาดว่าจะไดร้ บั และผรู้ บั ผิดชอบโครงการ ดังรายละเอยี ดตอ่ ไปนี้


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook