อารยธรรม ล่มุ แมน่ า้ สินธ/ุ อนิ เดยี
ลกั ษณะทางภูมศิ าสตร์และอทิ ธิพลต่ออารยธรรม * ภูมภิ าคเอเชียใต้ (South Asia) คือ ดนิ แดนทตี่ ้งั อยู่ระหว่าง เอเชีย ตต./ต. กบั เอเชีย ตอ./ต. ปัจจุบนั ประกอบด้วย 7 ประเทศ ได้แก่ อนิ เดยี ปากสี ถาน บงั กลาเทศ เนปาล ภูฏาน ศรีลงั กา และมลั ดฟี ส์
- ป.เนปาล กบั ภูฏาน เป็ น ป. ที่ไม่มพี ืน้ ที่ติดทะเล - ป.ศรีลงั กา กบั มลั ดฟี ส์ เป็ น ป. ที่มีลกั ษณะเป็ นเกาะ โดยในบรรดา 7 ป. นี้ อนิ เดียโบราณเช่ือว่า เป็ นแม่บทของ อารยธรรมเอเชียใต้
เมื่อองั กฤษเข้ายดึ อนิ เดยี โบราณเป็ นอาณานิคมในปี ค.ศ. 1858 และให้เอกราชเมื่อวนั ที่ 15 ส.ค. 1947 อนิ เดยี โบราณจงึ แยกเป็ น 2 ประเทศ คือ ป.อนิ เดยี ซึ่งประชากรส่วนใหญ่เป็ นฮินดู และ ป.ปากสี ถาน ซึ่งประชากรส่วนใหญ่เป็ นมุสลมิ แต่เน่ืองจากปากสี ถาน ประกอบด้วยดนิ แดน 2 ส่วน ปากสี ถานตต. (แคว้นสินธ์และปัญจาบ) กบั ปากสี ถาน ตอ. (แคว้นเบงกอล) โดยมอี นิ เดยี คน่ั กลาง ต่อมาในปี ค.ศ 1971 ปากสี ถาน ตอ. จึงแยกไปต้งั เป็ น ป.บังกลาเทศ
คาว่า “อนิ เดยี ” มาจากภาษาสันสกฤตว่า “สินธุ” ซ่ึงเป็ น ช่ือแม่นา้ สายสาคญั ทางภาค ตอต./น. ของอนิ เดยี โบราณ ในสมยั แรกช่ืออนิ เดยี ใช้เรียกเฉพาะดนิ แดนในบริเวณลุ่ม ม.สินธุ ต่อมาจงึ ใช้เรียกดนิ แดนทเ่ี ป็ นประเทศท้งั หมด นอกจากนี้ ยงั มชี ื่ออื่นๆ อกี เช่น ในทางพทุ ธศาสนาเรียกว่า “ชมพูทวปี ” ส่วนชาวอนิ เดยี เรียกดนิ แดน ของตนว่า “ภารตวรรษ” หมายถงึ ถนิ่ ทอี่ ยู่ของชาวภารตะ เป็ นต้น
ลกั ษณะทางภูมศิ าสตร์ของเอเชียใต้ ลกั ษณะทางภูมศิ าสตร์ทม่ี อี ทิ ธิพลต่อ ปวศ.อารย ธรรมเอเชียใต้ มดี งั นี้ 1. ทตี่ ้งั แบ่งเป็ น 3 ลกั ษณะ ดงั นี้ 1.1 ทต่ี ้งั ตามเส้นละตจิ ูดและลองจจิ ูด - อนิ เดยี โบราณต้งั อยู่ระหว่าง เส้นละตจิ ูด 8 – 37เหนือ และระหว่างเส้นลองจจิ ูด 60 – 97 ตะวนั ออก
1.2 ที่ต้งั ตดิ ประเทศเพื่อนบ้าน - ภาคเหนือตดิ กบั จีน - ภาคใต้ล้อมรอบด้วย ทะเลท้งั 2 ด้าน - ภาค ตต./น. ตดิ กบั อฟั กานิสถาน และ อหิ ร่าน - ภาค ตอ. ตดิ กบั พม่า หรือกล่มุ เอเชีย ตอ./ต.
ผลทต่ี ามมาคือ ทาให้รัฐโบราณต่างๆ เช่น ฟูนัน เจน ละ สุธรรมาวดี ทวารวดี ศรีวชิ ัย มชั ปาหิต ฯลฯ ต่างรับอารย ธรรมจากอนิ เดยี เช่น การปกครองแบบเทวราชา กฎหมาย ธรรมศาสตร์ ศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู และ พทุ ธ ภาษาบาลี และภาษาสันสกฤต เป็ นต้น
1.3 ทีต่ ้งั ติดทะเล - ทีต่ ้งั ของอนิ เดยี มลี กั ษณะทะเลล้อมรอบ 2 ด้าน คือ ระหว่างทะเลอาหรับกบั อ่าวเบงกอล - ทะเลถือว่าเป็ นกาแพงธรรมชาตทิ ีช่ ่วยป้องกนั การรุกราน ของศัตรูภายนอก จงึ ทาให้อนิ เดยี สร้างอารยธรรมทม่ี ี ลกั ษณะเฉพาะของตน - ภายหลงั การปฏวิ ตั ิ อุตสาหกรรมพบว่า มชี าตมิ หาอานาจ ตต.ท้งั โปรตุเกส ดตั ซ์ องั กฤษ และ ฝร่ังเศส ต่างเข้าสู่อนิ เดยี ทางชายฝ่ัง ทะเล
- ดงั น้ัน อารยธรรม ตต.จึงปรากฏตามเมืองท่าทสี่ าคญั เช่น กวั เป็ นเขตอทิ ธิพลของโปรตุเกส ส่วนเมืองมทั ราส บอม เบย์ และกลั กตั ตา เป็ นเขตอทิ ธิพลขององั กฤษ เป็ นต้น 2. ขนาด - อนิ เดยี โบราณจดั เป็ น ป.ทมี่ ขี นาดใหญ่มากจนได้ช่ือ ว่า “อนุทวปี ” - มเี นื้อท่ที ้งั หมดประมาณ 1,575,000 ตร.ไมล์ - เป็ น ป.ทมี่ ปี ระชากรมากทส่ี ุด ปัจจุบนั อนิ เดยี มี ประชากรมากเป็ นอนั ดบั 2 ของโลก รองจากจีน
- จากการทอ่ี นิ เดยี เป็ น ป.ทมี่ ขี นาดใหญ่มาก ทาให้ตวั แปรด้านประชากรมคี วามหลากหลายท้งั ทางด้านเชื้อชาติ ศาสนา ภาษา และวรรณะ ส่งผลให้เกดิ ความแตกสามคั คี จน เป็ นสาเหตุหนึ่งทที่ าให้อนิ เดยี ตกเป็ นอาณานิคมขององั กฤษ รวมท้งั ทาให้อนิ เดยี ต้องแยกออกเป็ น ป.ปากสี ถาน และ บังกลาเทศ ในเวลาต่อมา
ความหลากหลายของอนิ เดยี โบราณในด้านต่างๆ 1. ด้านชาตพิ นั ธ์ุ อนิ เดยี ประกอบด้วยหลายเชื้อชาติ และ เผ่าพนั ธ์ุ จนได้ชื่อว่าเป็ น “พพิ ธิ ภณั ฑ์ชาติพนั ธ์ุวทิ ยา” ดงั นี้ (1) อารยนั (Indo-Arayans) เป็ นประชากรส่วน ใหญ่ของอนิ เดยี และปากสี ถานทส่ี ืบเชื้อสายมาจากพวกอนิ โด-ยูโรเปี ยน มลี กั ษณะเด่น คือ มผี วิ ขาว ตวั สูง และจมูกโด่ง มปี ระมาณ 72%
(2) ทราวฑิ /ดราวเิ ดยี น (Dravidians) เป็ นชนพืน้ เมือง เดมิ ของอนิ เดยี และเป็ นผู้สร้างอารยธรรมล่มุ แม่นา้ สินธุ มี ลกั ษณะเด่นคือ ผวิ ดา ตวั เลก็ จมูกกว้าง หรือรู้จักกนั ในช่ือ “ทสั ยุ หรือมลิ กั ขะ” ปัจจุบนั อาศัยอยู่ทางตอนใต้ของอนิ เดยี และเกาะ ศรีลงั กา มปี ระมาณ 25%
(3) มองโกลอยด์ (Mongoloids) เป็ นพวกผวิ เหลืองท่ี อพยพมาจากเอเชียกลาง และอาศัยอยู่ตามแถบเชิงเขาหิมาลยั เช่นสิขมิ ภูฏาน อสั สัม ฯลฯ
(4) เติร์ก (Turks) เป็ นพวกทอ่ี พยพเข้าสู่อนิ เดยี ในยุค กลาง และกลายเป็ นประชากรส่วนใหญ่ของอฟั กานิสถาน และ ภูมภิ าค ตต./น.ของอนิ เดยี ท้งั นีเ้ มื่อรวมชาตพิ นั ธ์ุมองโกลอยด์ เตริ ์ก และชาตพิ นั ธ์ุย่อยๆ จะมปี ระมาณ 3%
2. ด้านศาสนา - เป็ นแหล่งกาเนิดของ 4 ศาสนาสาคญั ของโลก ได้แก่ พราหมณ์-ฮินดู เชน พทุ ธ และสิกข์ - ในแต่ละศาสนายงั แบ่งออกเป็ นนิกายย่อยๆ อกี เช่น * พราหมณ์-ฮินดู แยกเป็ น 2 นิกาย คือ ไวษณพนิกาย (นับถือพระวษิ ณุเป็ นใหญ่) และไศวนิกาย (นับถือพระศิวะเป็ นใหญ่) * ศาสนาพทุ ธ แยกเป็ น หินยาน และมหายาน * ศาสนาเชน แยกเป็ น ทฆิ ัมพร และเศวตัมพร
- อนิ เดยี ยงั ได้ช่ือว่าเป็ น ป.ทม่ี คี วามหลากหลายในการ นับถือศาสนา โดยคดิ เป็ นอตั ราส่วน ดงั นี้ * พราหมณ์-ฮินดู 83.5 % * อสิ ลาม 10.7 % * คริสต์ 2.4 % * สิกข์ 1.8 % * เชน พุทธ โซโรแอสเตอร์ และอื่นๆ 1.6 %
3. ด้านภาษา - อนิ เดยี มภี าษาพดู มากกว่า 200 ภาษา เมื่อนับรวมกบั ภาษาถน่ิ ด้วยจะมรี าว 800 ภาษา - สาหรับภาษาทใี่ ช้เป็ นภาษาราชการในแต่ละสมัยจะ ต่างกนั คือ ในสมยั โบราณใช้ภาษาสันสกฤต, สมยั กลางทเ่ี ตริ ์กปกครองใช้ภาษาเปอร์เซีย, ในสมยั ราชวงศ์โมกลุ ใช้ภาษาอูรดู และ หลงั จากทต่ี กเป็ นอาณานิคมขององั กฤษ ใช้ภาษาองั กฤษ เรื่อยมาถงึ ปัจจุบัน
นักวชิ าการได้แบ่งภาษาของอนิ เดยี เป็ น 2 ตระกลู ได้แก่ (1) ภาษาทราวฑิ เป็ นภาษาของชนพืน้ เมือง ทสี่ าคญั มี 4 สาขา คือ ทมฬิ (เก่าแก่สุด) รองลงมา ได้แก่ เตลูกู กณั ณาท และมาลยาลมั ปัจจุบันชาวอนิ เดยี ประมาณ 1 ใน 4 จะพูด ภาษาทราวฑิ (2) ภาษาอนิ โด-อารยนั แบ่งออกเป็ น 3 สมยั ดงั นี้ - สมยั โบราณ ได้แก่ ภาษา พระเวท มกั ใช้ในเรื่องศาสนา ต่อมา ปาณนิ ิได้รวบรวมหลกั เกณฑ์ต่างๆ
ของภาษาพระเวทให้เป็ นหมวดหมู่ และแต่งเป็ นตารา ไวยากรณ์ขนึ้ เราจะเรียกภาษานีว้ ่า “สันสกฤต” ถือเป็ นภาษา ของผู้ทม่ี คี วามรู้ เป็ นภาษาสูง และภาษาศักด์สิ ิทธ์ิ - สมยั กลาง ได้แก่ ภาษาปรากฤต ถือ เป็ นภาษาชาวบ้าน/ภาษาถนิ่ ของเผ่าต่างๆ ที่ ยงั ไม่ได้จัดระเบียบแบบแผน เช่น ภาษา ปรากฤตของรัฐมหาราษฎร์ ต่อมา กลายเป็ นภาษามาราฐี เป็ นต้น
- สมยั ใหม่ ได้แก่ ภาษาต่างๆ ทใี่ ช้กนั อยู่ในอนิ เดยี ปัจจุบัน ซ่ึงถือกาเนิดมาจากภาษาสันสกฤต เช่น ภาษาฮินดี อูรดู (เกดิ จากการผสมระหว่างภาษาฮินดกี บั เปอร์เซีย) เบากาลี มาราฐี คุชรตี ฯลฯ ซ่ึงภาษาฮินดถี ือเป็ นภาษา ทชี่ าวอนิ เดยี ใช้พูดมากทส่ี ุดรองลงมา ได้แก่ ภาษาอูรดูและภาษาองั กฤษ
รัฐธรรมนูญอนิ เดยี ฉบับ ค.ศ. 1910 ได้กาหนดภาษา ประจาชาติของอนิ เดยี 15 ภาษา ประกอบด้วยอนิ โด-อารยนั 11 ภาษา และ ภาษาทราวฑิ 4 ภาษา และได้ระบุไว้ว่า ให้ใช้ ภาษาฮินดอี กั ษรเทวนาครีเป็ นภาษา ราชการของประเทศ
3. ด้านวรรณะ - เกดิ ขนึ้ คร้ังแรกในยคุ พระเวท มสี าเหตุมาจากพวก อารยนั รังเกยี จสีผวิ ของพวกทราวฑิ จนทาให้ผู้นาเผ่าออก กฎห้ามพวกอารยนั แต่งงานกบั พวกทราวฑิ เพื่อรักษาความ บริสุทธ์ิของชาตพิ นั ธ์ุ - เมื่อถึงยุคมหากาพย์ ระบบ วรรณะได้แบ่งชัดเจนมากขนึ้ ใน กล่มุ อารยนั โดยแบ่งเป็ น 4 วรรณะ ได้แก่ พราหมณ์ กษตั ริย์ แพทย์ และศูทธ
3. รูปร่าง - รูปร่างของอนิ เดยี โบราณจะมหี ลากหลายลกั ษณะ เช่น ในมาคณั ฑยิ าปุราณ มรี ูปร่างเหมือนเต่าหันศีรษะไปทาง ตอ., ในมหาภารตะ มรี ูปร่างเหมือนเกวยี น เทยี มววั หันหน้าไปทางทศิ ใต้, นัก ปวศ.จนี มรี ูปร่างเหมือนใบหน้า ผู้คน ในประเทศน้ัน หลวงจนี ฟาเหียน บันทกึ ว่า มรี ูปร่างเหมือนพระจนั ทร์ คร่ึงซีก แต่นักภูมศิ าสตร์ มอง เป็ นรูปสามเหลยี่ มมฐี าน อยู่ ข้างบน
อารยธรรมอนิ เดีย: ภมู ศิ าสตร์กับการตัง้ ถ่นิ ฐาน อาร ยธ รร มอิน เดี ยไ ด้ กาเนิดขึน้ บริเวณล่มุ แม่นา้ สินธุ ซ่ึง เป็ น ท่ี ร า บอัน กว้ า งใ ห ญ่ เ ป็ น ดินแดนท่ีมีความอดุ มสมบูรณ์และ สามารถเดินทางติดต่อกับดินแดน เมโสโปเตเมียได้ อิ น เ ดี ย มี ท รั พ ย า ก ร ที่ สาคัญคือ แร่โลหะจาพวกทองคา และโลหะที่นามาผสมเป็นสาริด แผนท่สี ังเขปแสดงลักษณะภมู ปิ ระเทศของเอเชียใต้
อารยธรรมอินเดีย: ภมู ศิ าสตร์กับการตัง้ ถ่นิ ฐาน แผนท่สี ังเขปแสดงลักษณะ อิ น เ ดี ย มี ลัก ษ ณ ะ ภู มิ อ า ก า ศ ภูมปิ ระเทศของเอเชียใต้ แบบลมมรสมุ ฤดรู ้อนมีลมพดั ตาม มหาสมุทรอินเดีย ทาให้ มีฝนตก ทางตอนเหนือ ฤดูหนาวมีลมพัด ผ่านมหาสมทุ รอินเดีย ทาให้ที่ราบ ลุ่มแม่นา้ คงคามีฝนตกชุก ส่วน บริเวณท่ีราบลุ่มสินธุและที่ราบสูง ภาคกลาง มีภูมิอากาศแห้งแล้ ง นา้ ท่ีใช้จากการเกษตรได้จากแม่นา้ เป็นหลกั
อารยธรรมอนิ เดีย: ภมู ศิ าสตร์กบั การตัง้ ถ่นิ ฐาน ลกั ษณะท่ีตัง้ ของอินเดียเอือ้ ต่อความ เป็นมาทางประวตั ิศาสตร์อนิ เดีย คือ ทิศเหนือ มีภูเขาหิมาลัยขนานยาว เป็นพรมแดนทางภาคเหนือ ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ มีที่ราบลุ่ม แมน่ า้ สนิ ธแุ ละทะเลทรายธาร์ ทศิ ตะวันออกเฉียงเหนือ มีที่ราบล่มุ แมน่ า้ คงคาและแมน่ า้ สาขา ทศิ ใต้ มีลมุ่ นา้ สนิ ธุเป็นบริเวณที่ราบสงู กว้างใหญ่ แผนท่สี ังเขปแสดงลักษณะ ภูมปิ ระเทศของเอเชียใต้
อารยธรรมอนิ เดีย: ภมู ศิ าสตร์กับการตัง้ ถ่นิ ฐาน - ปัจจัยทางภูมิศาสตร์ดังกล่าว จึงทาให้อินเดียถูกแบ่งเป็น ส่วนๆ เพราะการติดต่อมีความยากลาบาก และเป็นปราการ ธรรมชาติที่ทาให้อนิ เดียสรา้ งสมอารยธรรมทีม่ ีลกั ษณะเฉพาะ - แต่อินเดียก็มักถูกรุกรานจากชนชาติอ่ืนทางช่องเขาไคเบอร์ และช่องเขาโบลนั
อารยธรรมอนิ เดีย: ยุคสมัยทางประวัตศิ าสตร์ อารยธรรม อนิ เดยี สมัยก่อน สมยั ประวตั ศิ าสตร์ ประวัตศิ าสตร์ อารยธรรม 1. สมยั 2. สมยั จกั รวรรดิ 3. สมยั มสุ ลิม ลมุ่ นา้ สินธุ มหากาพย์
อารยธรรมอนิ เดยี : สมยั ก่อนประวตั ศิ าสตร์ เกดิ ขนึ้ บริเวณลุ่มแม่นา้ สินธุ/อนิ ดสั บริเวณแคว้น ปัญจาบ ตต. ใน ป.ปากสี ถานปัจจุบัน เช่ือว่ามีอายุ ประมาณ 3,000 B.C. เป็ นชุมชนทม่ี คี วามเจริญรุ่งเรืองสูงมาก มีการพบซากเมืองโบราณต้งั เรียงรายในบริเวณ ตอนล่างของ ม.สินธุ เรียกว่า “แคว้นซินด์”
จนถงึ ตอนบนของลุ่ม ม.สินธุ เรียกว่า “แคว้น ปัญจาบ มเี นื้อทคี่ รอบคลุมถงึ 500,000 ตร.ไมล์ ในคริสต์ศตวรรษท่ี 20 เซอร์จอห์น มาร์แชล ชาวองั กฤษได้ขดุ ค้นพบเมืองฮารัป ปา บริเวณฝั่ง ม.ราวใี นรัฐปัญจาบ ตต. และ เมืองโมเฮนโจดาโร บริเวณฝ่ัง ม.อนิ ดสั /สินธุ
สันนิษฐานว่าเป็ นซากเมืองโบราณสมัยก่อน ปวศ. เช่ือกนั ว่าผู้สร้างอารยธรรมนี้ คือ พวก ทราวฑิ ท้งั 2 เมืองอยู่ห่างประมาณ 350 ไมล์ ( 1 ไมล์ = 1.6093 กม.) หรือ 563 กม.
เมอื งโมเฮนโจดาโรซ่งึ ขุดพบในคริสต์ศตวรรษท่ี 20 เคยเป็ นศูนย์กลางของอารยธรรมลุ่มนา้ สนิ ธุประมาณ 2,500-1,500 ปี ก่อนคริสต์ศักราช
เมืองโมเฮนโจดาโร และเมืองฮารัปปา ท้งั สองเมืองมีการวางผงั เมืองอย่างเป็ นระบบ ระเบยี บ มีการแบ่งเขตภายในเมืองออกเป็ นสัดส่วน ตวั อาคารเป็ นตกึ และทาจากอฐิ เผาไฟทมี่ คี ุณภาพดี มีการจดั ต้งั อาคารสาคญั ๆ ไว้เป็ นหมวดหมู่
บ้านส่วนใหญ่มสี ่ิงที่เหมือนกนั คือ มีบ่อน้า ห้อง อาบน้า และท่อระบายนา้ มีถนนตัดตรง ขนานจากเหนือลงมาใต้ และมถี นน ตดั ขวางเป็ นมุมฉากจาก ตต. ไป ตอ. ถนนสายสาคญั มีความกว้างถงึ 33 ฟุต มีท่อระบายนา้ สร้างด้วยอฐิ ฝังลกึ อย่ใู นดิน
มสี ระนา้ ใหญ่ก่อด้วยอฐิ มซี ากส่ิงก่อสร้างท่ีสันนิษฐานว่า เป็ นยุ้งข้าวขนาด ใหญ่ ตรงกลางเมืองโมเฮนโจดาโรมีส่ิงก่อสร้างเป็ นป้อม ปราการมีกาแพงล้อมรอบ มีหอคอยส่ีเหลย่ี มเป็ นระยะ และมที างเข้าท่ีสร้าง อย่างใหญ่โต
ทาง ตอ.ของป้อมปราการ เป็ นทีพ่ กั อาศัยของ ชาวเมือง มีการจดั ห้องน้าแบบยืนตักอาบ และทาท่อระบาย นา้ ทงิ้ ซ่ึงแสดงให้เห็นถงึ ลกั ษณะของสุขาภบิ าลท่ีดี และมีความเจริญสูงกว่าดนิ แดนอื่นๆ ในยคุ ก่อน ปวศ. ยกเว้นชุมชนโรมนั สมยั หลงั เท่าน้ัน นอกจากนีท้ ุกบ้านมที างระบายนา้ สู่ท่อระบายรวม ซ่ึงฝังอยู่ใต้ถนน
มกี ารขุดค้นพบเคร่ืองมือเคร่ืองใช้ทแี่ สดงถงึ รสนิยมในด้านการอนุรักษ์นิยม ส่วนใหญ่ทาจาก กระดูกสัตว์ เขาสัตว์ หิน และสัมฤทธ์ิ แต่ไม่พบวตั ถุที่ ทาจากเหลก็ จากการขดุ ค้นพบเมืองโบราณท้งั 2 นีแ้ สดงให้เห็น ว่าชาวฮินดูมีความสามารถในด้าน วศิ วกรสารวจ และความรู้ทางด้าน เรขาคณติ เบื้องต้นเป็ นอย่างดี
มรดกต่างๆ ทอี่ ารยธรรมล่มุ ม.สินธุเหลือไว้ในอนิ เดีย มรดกทางศาสนา มดี งั นี้ - มกี ารขดุ พบดวงตราต่างๆ ซ่ึงมรี ูปพระศิวะทถ่ี ือว่า เป็ น “เทพเจ้าแห่งหมู่สัตว์ (Lord of AnimalS)” น่ังอยู่ ตรงกลาง รวมท้งั มกี ารบูชาศิวลงึ ค์ ซ่ึงเป็ นลทั ธิหนึ่งใน ไศวนิกาย - มกี ารบูชาต้นไม้ใหญ่ คือ ต้นไทร และ ต้นโพธ์ิ รวมท้งั มกี ารนับถือพญานาค และดวงอาทติ ย์
ตราประทบั เมืองโมเฮนโจดาโร (ปศุบด)ี มีการพบดวงตราท้งั ทเี่ ป็ นรูปสี่เหลยี่ มจตั ุรัสและ สี่เหลยี่ มผืนผ้า มที ้งั ทเี่ ป็ นลวดลายเป็ นรูปคนและสัตว์ ประมาณ 2,000 ชิ้น เข้าใจว่าเป็ นดวงตราทพ่ี ่อค้าใช้ และเป็ นดวงตรา ทม่ี ีลกั ษณะเดยี วกบั ทขี่ ดุ ค้นได้ใน เมโสโปเตเมยี โดยเฉพาะในแคว้นซูเมอร์
ตราประทบั เมืองโมเฮนโจดาโร
มรดกทางวฒั นธรรม มดี งั นี้ - ชายชาวอนิ เดยี นิยมไว้หนวดเครา - รู้จกั นาผ้าฝ้ายมาทาเป็ นเคร่ืองนุ่งห่ม โดยชาวสินธุ นิยมแต่งกายด้วยผ้าฝ้าย 2 ชิ้น ท่อนบนจะใส่เป็ นเสื้อเปิ ด ไหล่ขวา ส่วนท่อนล่างจะนุ่งเป็ นผ้าโจงกระเบน หรือทชี่ าว อนิ เดยี ปัจจุบนั เรียกว่า “โธตี” (Dhoti) - มปี ระเพณกี ารทาศพอยู่ 3 วธิ ี คือ ฝังศพไว้รวมกบั เครื่องใช้ของผู้ตาย นาศพไปให้นกกากนิ หรือ อาจเผาศพแล้วเกบ็ ขเี้ ถ้า อฐั ิเกบ็ ไว้ในโกศ
- มกี ารเคารพนับถือววั ตวั ผู้ ปัจจุบันชาวอนิ เดยี จะ เคารพท้งั ววั ตวั ผู้และตวั เมยี โดยเคารพววั ตวั ผู้ในฐานะเป็ น พาหนะของพระผู้เป็ นเจ้า และววั ตวั เมยี ในฐานะเป็ นผู้ให้ นม ดงั น้ันชาวอนิ เดยี ส่วนใหญ่ทนี่ ับถือศาสนาฮินดูจึงไม่ รับประทานเนื้อววั ปัจจัยทสี่ าคญั ทสี่ ุดทาให้อารยธรรมลุ่ม ม.สินธุเสื่อม ลง คือ การรุกรานของพวกอารยนั ซ่ึงหลงั จากทอ่ี ารยนั ได้ ประหารชาวสินธุหมดแล้ว กไ็ ด้ขยายอทิ ธิพล ลงมาทางใต้ และทางภาคกลางของอนิ เดยี แล้วต้งั ชุมชนของตนขนึ้ แทน
อารยธรรมอนิ เดยี : สมยั ประวตั ศิ าสตร์ (ยคุ พระเวทและยุคมหากาพย์) พวกอนิ โดอารยนั /เรียกส้ันๆ ว่า “อารยนั ” เป็ น ต่างชาตพิ วกแรกท่ีเข้ามาต้งั ถ่ินฐานและสร้าง ค.เจริญ ขนึ้ ในอนิ เดีย ซึ่งมีผลงานทเ่ี ป็ นมรดกสาคัญ ได้แก่ ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ศาสนาเชน และศาสนาพทุ ธ รวมท้งั ระบบวรรณะซึ่งมีอทิ ธิพลมาถงึ ปัจจุบัน
สมยั พระเวท (ประมาณ 1,500 – 1,250 B.C.) หลกั ฐานสาคญั ทใ่ี ห้รายละเอยี ดเกยี่ วกบั พวก อารยนั มี 2 อย่าง คือ คมั ภีร์พระเวท และ มหากาพย์ คมั ภีร์พระเวท ในข้นั แรกมี 3 เล่ม เรียกว่า “ไตรเวท” ได้แก่ * ฤคเวท เป็ นเล่มที่สาคญั และเก่าแก่ท่ีสุด ส่วน ใหญ่มกั เป็ นบทร้อยกรองคาฉันท์ทใี่ ช้สวดสรรเสริญ เทพเจ้าต่างๆ
* ยชุรเวท เป็ นบทร้อยแก้วทวี่ ่าด้วยระเบยี บวธิ ีใน การประกอบพธิ ีกรรมบูชายญั และพธิ ีบวงสรวงเทพเจ้า * สามเวท เป็ นบทสวดขัยในฤคเวททพ่ี วกพราหมณ์ นามาจดั ใหม่เป็ นหมวดหมู่ เพื่อใช้เป็ นคู่มือในพธิ ีถวายนา้ โสมแก่พระอนิ ทร์และขับกล่อมเทพเจ้าอ่ืนๆ ต่อมาได้มกี ารแต่ง “อาถรรพเวท” ขนึ้ อกี เล่มหน่ึง ซ่ึงเป็ นบทสวดเวทมนตร์ คาถาเกยี่ วกบั ไสยศาสตร์
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166