Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore อารยธรรมจีน

อารยธรรมจีน

Published by jidayadum, 2019-07-10 02:33:23

Description: อารยธรรมจีน

Search

Read the Text Version

จนี ในสมยั สาธารณรฐั (ค.ศ. 1912 – 1949) ไม่ได้รงุ่ เรอื งดงั เชน่ ท่ีซนุ ยดั เซ็นเคยให้ค้าสญั ญาไว้ เน่อื งจากหยวนซือไขเปน็ ผูท้ ่ีไร้จิตสา้ นึก ในความเปน็ ประชาธิปไตย ได้ท้าลาย โครงสร้างทางการเมือง เศรษฐกจิ สังคม การทหาร และการตา่ งประเทศ

ภายหลังการเสียชวี ิตของหยวนซอื ไข จีนตกอยู่ ในยคุ การแยง่ ชงิ อา้ นาจจนเกิดยคุ ท่ีเรยี กวา่ “ยุคขนุ ศึก” ซ่ึงเปน็ ยคุ มดื ของจนี ไปเกอื บ 2 ทศวรรษ จนกระทงั่ เจยี งไคเชค ผนู้ า้ กก๊ มินตั๋งได้นา้ ทพั ปราบขนุ ศกึ ทางภาคเหนอื ไดส้ า้ เรจ็ ใน ปี ค.ศ. 1927



 หลังจากคอมมิวนิสต์ไดร้ บั ชยั ชนะแลว้ จนี แผ่นดนิ ใหญ่ไดเ้ ข้าสสู่ มัยสาธารณรฐั ประชาชนจนี อุดมการณแ์ ละแบบแผนทางการเมอื งไดร้ ับอทิ ธพิ ล จากลทั ธคิ อมมวิ นสิ ต์  ลัทธิคอมมวิ นิสต์ ได้แพร่เข้ามายงั จนี เนอ่ื งจากสาเหตหุ ลายประการ ดงั นี้ 1) ความล้มเหลวของจีนในยคุ มดื ท่ไี ม่มที ที า่ ว่าจะยุตลิ งง่ายๆ

2) การสูญเสีย ค.รสู้ กึ + ค.ภาคภูมใิ จของ ค.เป็นอาณาจกั รกลางของจนี 3) การเปิดประเทศรับวิทยาการ ค.เจรญิ จาก ชาติ ตต.ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 4) แนวคดิ ใหม่ทีเ่ กิดขนึ้ หลงั สงครามโลกครง้ั ท่ี 1 ในเร่อื งลทั ธชิ าตนิ ิยม ลัทธิประชาธิปไตย และ สิทธใิ นการเลอื กรูปแบบการปกครอง 5) ค.ส้าเรจ็ ของขบวนการปฏิวตั บิ อลเซวิค ในรสั เซียในปี ค.ศ. 1917

ปจั จยั ทงั้ หมดนไี้ ด้กระตนุ้ ค.รู้สกึ ของชาวจีน ทีต่ ้องการเหน็ ความ ปป.ในประเทศของตน ในทส่ี ุด ค.รสู้ ึกทอ่ี ึดอดั ไดถ้ กู แสดงออกมาในปี ค.ศ. 1919 เมอื่ จนี ได้รบั ทราบข้อตกลงที่ลงนามกันที่ พระราชวังแวรซ์ ายสซ์ ึง่ ไมย่ ตุ ิธรรมกับจนี ทา้ ให้ชาวจนี รวมตัวกนั ประทว้ งเพือ่ แสดง ค.ไม่พอใจ

การก่อตงั้ พรรคคอมมวิ นสิ ตจ์ ีนและการรว่ มมือ กบั พรรคก๊กมินตงั๋ - เหมาเจ๋อตุง เป็นหนง่ึ ในปญั ญาชนจีน 13 คน ท่รี ว่ มกนั จัดตั้งพรรคคอมมวิ นสิ ต์แห่งป.จนี ข้ึนในปี ค.ศ. 1921 เพอ่ื ใช้เปน็ ทางเลอื กใหม่ในการแก้ไข ปัญหาของจนี ซ่งึ แนวทางดังกล่าวคือ การสร้างรัฐ สังคมนยิ มของจีนด้วยการปฏริ ูปประเทศใหเ้ ป็นไป ตามอดุ มการณ์ของลทั ธมิ ารก์ ซ,์ เลนิน และเหมา



ซึ่งในระยะแรกรัฐบาลจีนมองว่าเปน็ พรรคที่ผิด กฎหมาย แตเ่ นือ่ งจากพรรคคอมมวิ นิสตจ์ นี ได้รว่ มมอื กับพรรคคอมมวิ นสิ ต์รัสเซีย และได้เสนอส่งิ ที่ซุนยัด เซน็ ต้องการ คือ ช่วยเหลอื พรรคกก๊ มินต๋ังด้าน งบประมาณท้ังการทหาร พฒั นาเศรษฐกิจ ปรบั ปรงุ ระบบพรรคการเมือง ฯลฯ จนในทส่ี ดุ พรรค คอมมิวนิสต์จนี กลายเปน็ พรรคทีถ่ ูกกฎหมาย และได้ เข้าร่วมจดั ตั้งรฐั บาลผสมกับพรรคก๊กมินตัง๋ ในปี ค.ศ. 1923

รัฐบาลผสมรวมตัวกนั ได้ไม่นาน มีสาเหตุสา้ คญั คือ การเสียชวี ติ ของซุนยัดเซน็ นอกจากนี้ยังเกดิ จาก การทเี่ จยี งไคเชค ผูน้ า้ คนใหมข่ องพรรคก๊กมนิ ตัง๋ หรือ พรรคจีนคณะชาติ(พรรคชาตินยิ มแห่ง ป.จนี )ไม่ ศรทั ธาในพรรคคอมมวิ นสิ ต์ จนนา้ ไปสเู่ หตกุ ารณท์ แี่ สดงถึง ความแตกแยกทเี่ รียกวา่ “การเดนิ ทางไกล”

หลงั จากที่สงครามโลกครงั้ ที่ 2 ยตุ ลิ ง ญี่ปุ่นได้ เข้ารกุ รานจีนอกี ครง้ั แตแ่ ทนท่เี จียงไคเชคจะรบกบั ญ่ีป่นุ แตก่ ลับมุ่งท้าลายพรรคคอมมิวนสิ ต์จนี จึงได้ เกดิ ความขดั แยง้ ท่นี า้ ไปสู่สงครามกลางเมอื งที่ยืดเย้ือ จนกระทั่งส้ินสุดลงในปี ค.ศ. 1949

ผลคือ พรรคคอมมวิ นิสตจ์ นี เป็นฝ่ายชนะ จากนนั้ เหมาเจอ๋ ตุงได้ประกาศจดั ตง้ั “สาธารณรัฐ ประชาชนจีน” ที่กรงุ ปกั ก่ิงในวันที่ 1 ตลุ าคม ค.ศ. 1949 และเปลี่ยนการปกครองใหมเ่ ปน็ ระบอบสังคม นิยมเร่อื ยมาจนถงึ ปัจจุบัน ส่วนเจยี งไคเชคไปตง้ั ประเทศ “สาธารณรฐั จนี ” ข้ึนใหม่ที่เกาะไต้หวนั

ความเจริญในสมัยสาธารณรฐั ประชาชนจีน 1) ด้านการปกครอง - จีนได้เปล่ยี นชอื่ ประเทศเป็น “สาธารณรัฐประชาชนจนี ” - เปลย่ี นธงชาติใหม่ โดยก้าหนดให้มพี ้ืนธงเป็นสี แดง มมุ ซ้ายบนมดี าวดวงใหญ่ 1 ดวง ซ่ึงหมายถงึ พรรค คอมมิวนสิ ต์จีน และดาวดวงเล็กอีก 4 ดวงลอ้ มรอบ หมายถงึ ชนช้นั 4 ชนช้นั ไดแ้ ก่ ชนช้นั กรรมมาชพี ชน ชน้ั ชาวไร่ชาวนา ชนชน้ั นายทุนน้อย และชนชน้ั นายทนุ ระดับชาติ

- มกี ารปกครองแบบสังคมนิยมในลักษณะ ของตนเอง โดยมพี รรคคอมมิวนิสตแ์ ห่ง ป.จนี เป็น ผู้กา้ หนดนโยชายตา่ งๆ ปจั จุบนั มนี ายสี จน้ิ ผงิ เปน็ ประธานาธิบดี และมีนายหล่ี เคอ่ เฉยี ง เป็น นายกรัฐมนตรีซง่ึ ดา้ รงตา้ แหนง่ ต้งั แต่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2556

2) ดา้ นการบริหารประเทศ - ผูใ้ ช้อ้านาจอธปิ ไตย ไดแ้ ก่ พรรคคอมมิวนสิ ต์ จีนและคณะรัฐบาลในทางทฤษฎนี น้ั การบรหิ ารจะ แยกจากกนั คือ พรรคมีอ้านาจในการก้าหนด กฎเกณฑ์ข้อบงั คบั นโยบาย และแผนงาน โดยมคี ณะรัฐบาลเปน็ ฝ่ายรบั ไปปฏิบตั ิ แต่ในทางปฏบิ ตั ิอาจมีการกา้ วก่ายกนั บ้าง เพราะสมาชกิ ระดับสูงของพรรคยงั ดา้ รง ตา้ แหน่งในรฐั บาลดว้ ย

3) ด้านเศรษฐกจิ - เพอื่ ใหช้ าวจีนมีฐานะทางเศรษฐกิจดีและพอ กนิ ตามจุดประสงคก์ ารยึดอ้านาจ ในปี ค.ศ. 1951 รัฐบาลจีนจงึ ได้ใชม้ าตรการต่าง ๆไดแ้ ก่ ** ประกาศโครงการปฏริ ูปที่ดิน โดยน้าที่ดินท่ี ยึดมาจากนายทนุ มาจัดสรรใหแ้ ก่ชาวไร่ชาวนา ** ประกาศกฎหมายสมรส โดยให้ชายหญิงมี สิทธเ์ิ ลอื กค่ไู ดอ้ ยา่ งเสรี เพอื่ ให้ภาครัฐมีแรงงานมาก พอ

** มกี ารฝกึ ให้รูจ้ ักใชแ้ รงงานร่วมกนั ** มีการจดั ต้ังสหกรณพ์ ้นื ฐานและสหกรณ์ ขัน้ กา้ วหนา้ รวมทัง้ นโยบายก้าวกระโดดและระบบ คอมมนู มาใช้

- ภายหลงั การเสียชวี ติ ของเหมาเจ๋อตุง เติ้งเสี่ยวผิง ผปู้ กครองจีนรนุ่ ใหม่ท่ีไดร้ ับการยกยอ่ งวา่ เป็น “บดิ าแหง่ ป.จีนยุคใหม่” ไดน้ ้าค้าขวัญที่วา่ “แมวขาวแมวดา้ ไม่สา้ คัญขอให้จับหนไู ด้กแ็ ล้วกัน” มาใช้เปน็ นโยบายการสรา้ งความกนิ ดีอยดู่ แี ทน แผนพฒั นาเศรษฐกิจฉบับเดมิ ซ่ึงแผนฉบบั ใหมร่ ฐั ยอมใหน้ า้ ระบบนายทนุ ของชาติ ตต.เข้ามาใช้ ในขณะที่ยงั คงรักษาระบอบการเมอื งเดิมไว้ เรยี กกนั วา่ “หน่งึ ประเทศ สองระบบ”

โดยพน้ื ทชี่ ายฝ่งั ดา้ น ตอ/ต จะถกู ใชเ้ ปน็ เขต ทดลองดว้ ยการจดั ตั้ง “เขตเศรษฐกจิ แนวใหม”่ ข้ึนทเ่ี ซนิ เจ้ินเปน็ แห่งแรก ถือเป็นนโยบายทป่ี ระสบค.ส้าเรจ็ นอกจากนี้ ยงั ใช้ “นโยบาย 4 ทนั สมัย” เพ่ือ พัฒนา ป.ให้ทันสมัยทงั้ ทางด้านเกษตรกรรม อุตสาหกรรม วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และการป้องกันประเทศ สง่ ผลใหจ้ ีนกลาย เปน็ ชาติที่พฒั นาด้านเศรษฐกิจ เร็วที่สดุ ในโลก

4) ดา้ นสงั คม - เพือ่ ใหส้ งั คมใหม่เป็นสังคมทีเ่ สมอภาค พรรค คอมมวิ นสิ ตจ์ นี ไดป้ ระกาศใช้กฎหมาย 2 ฉบับ ในปี ค.ศ. 1951 และ ค.ศ. 1952 โดยกา้ หนดให้ ข้าราชการต้องรบั ใช้สังคม รวมทั้งประชาชนตอ้ งเชื่อ ฟงั และรักษาผลประโยชนข์ องรฐั ท้งั นี้มเี ป้าหมาย เพอื่ ทา้ ลายธรรมเนยี มประเพณโี บราณตามคา้ สอน ของขงจ๊อื ให้หมดไป

- ความสัมพันธ์ของคนในสงั คมได้เปลีย่ นจากท่ี ศนู ยก์ ลางเคยอยู่ท่ีครอบครัว ไปสรู่ ัฐแทน และสตรี ได้รับการยอมรับจากสงั คมมากขึ้น มีฐานะเทา่ เทียม กบั ชาย - ด้วยเหตทุ ี่พรรคต้องการเปล่ียนทัศนคติของ ชาวจีนใหเ้ ป็นคอมมิวนิสต์ จงึ ได้น้ามาตรการต่างๆ มาใช้ เชน่ การล้างสมอง การลงโทษ การ วิพากษ์วจิ ารณ์ การให้การศึกษา หรอื แมแ้ ต่การประหารชีวติ

- เหตกุ ารณ์ใน ปวศ.ท่แี สดงใหเ้ ห็นถงึ ความ พยายามดังกล่าว เชน่ การขจดั พวกนอกรตี ในยคุ “ยคุ รณรงคด์ อกไมบ้ าน” ค.ศ. 1956, การ ปราบปรามผู้ทไี่ ม่ยอมเปลีย่ นนสิ ัยใน “ยคุ แหง่ การ ปฏวิ ัติวัฒนธรรม” ค.ศ. 1966 – 1969, การใชก้ า้ ลงั ปราบปราบผู้ต้องการประชาธปิ ไตยใน “การนอง เลอื ดท่จี ัตุรสั เทยี นอนั เหมนิ ” ค.ศ. 1989, การ ปราบปรามผทู้ ี่ศรัทธาในลัทธิฝาหลุนกงในปลาย คริสต์ศตวรรษที่ 20 เปน็ ต้น

อารยธรรมจนี : สังคมและวฒั นธรรม พระพุทธศาสนา ระบบทด่ี ิน ลทั ธนิ ติ ิธรรม หรอื ฟาเฉีย สงั คมและ (Legalism) วัฒนธรรม ลทั ธขิ งจอ๊ื ลัทธิเตา๋ (Confuciani (Taoism) sm)

อารยธรรมจีน: สังคมและวฒั นธรรม 1. ระบบทด่ี นิ ที่ดินเป็นปัจจัยท่ีสาคัญในการผลิต จักรพรรดิจึง พระราชทานท่ีดินแก่เจ้าเมืองและขุนนางผู้ใหญ่ตาม บรรดาศักด์ิ เจ้าเมืองจะไม่ได้ทาการเพาะปลูกด้วยตนเอง แต่จะแบ่งให้กับสามัญชน และได้ผลผลิตจากครอบครัว สามัญชนหรือชาวนาเป็นการตอบแทน เรียกการจัดที่ดิน รูปแบบนวี้ ่า “ระบบบ่อนา”

“ระบบบ่อนา”

นอกจากน้ียังมี “ระบบนาเฉล่ีย” คือ รัฐจะเป็นผู้จัดสรรที่ดินให้จานวน หนึ่ง คร่ึงหน่ึงต้องคืนให้แก่รัฐเมื่อชาวนา ถึงแก่กรรม ท่ีดินส่วนที่เหลือให้เป็น กรรมสทิ ธิส์ บื ทอดเปน็ มรดกได้

อารยธรรมจนี : สังคมและวฒั นธรรม 2. ลทั ธิขงจ๊ือ (Confucianism) ผวู้ างรากฐานคือ ขงจื๊อ (551-479 ปี ก่อนคริสตศ์ กั ราช) มุ่งแกป้ ัญหาการเมืองและ สังคมของจีน โดยเน้นให้มนุษยอ์ ยู่รวมกนั ในสังคมดว้ ยความสงบสุขเรียบร้อย โดยถือหลัก มนุษยธรรมและจารีตประเพณี หลกั มนษุ ยธรรมและจารตี ประเพณี ความสมั พันธ์ระหวา่ ง ระหวา่ งบิดากบั บุตร ระหว่างพ่ชี ายกับ ระหวา่ งสามีกับ ระหว่างเพือ่ นกับ จักรพรรดิกับราษฎร นอ้ งชาย ภรรยา เพอื่ น

ขงจื๊อ นักปราชญ์คนสาคญั ของจนี

อารยธรรมจีน: สังคมและวฒั นธรรม 3. ลทั ธิเต๋า (Taoiam) ศาสดาของลทั ธิเต๋า คือ เล่าจ๊ือ (ประมาณ 571-484 ปี ก่อนคริสตศ์ กั ราช) มี ความคิดตรงข้ามกับขงจื๊อ คือ เน้นให้มนุษย์เข้าใจ ยอมรับ และปรับตัวให้เข้ากับ ธรรมชาติมากที่สุด ซ่ึงมีอิทธิพลต่อจิตใจของนกั ปราชญ์ ปัญญาชน และศิลปิ นชาวจีน อยา่ งกวา้ งขวาง 4. ลทั ธินิตธิ รรมหรือฟาเฉีย (Legalism) เกิดข้ึนในสมัยราชวงศ์โจว มีความเชื่อว่าโดยธรรมชาติของมนุษย์เป็ น คนเลว มีกิเลสตณั หา จึงลงโทษผูก้ ระทาผิด ให้รางวลั แก่ผูท้ าดี และลทั ธิน้ีกลายเป็ น กฎหมายของจีนในเวลาตอ่ มา

เล่าจื๊อ ศาสดาลทั ธิเต๋า

อารยธรรมจีน: สังคมและวฒั นธรรม 5. พระพทุ ธศาสนา พระพุทธศาสนานิกายมหายานเขา้ มาในจีนเม่ือประมาณคริสตศ์ ตวรรษที่ 1 สมยั ราชวงศฮ์ นั่ ซ่ึงมีการดดั แปลงใหเ้ หมาะสมกบั ชาวจีน ทาให้พระพุทธศาสนาในจีน แตกต่างจากอินเดียเป็ นอย่างมาก และเกิดนิกายใหม่ข้ึนมากมาย ท่ีสาคญั คือ นิกาย สุขาวดี ฌานหรือเซน และนิกายเทียนไท้ นอกจากน้ียงั เกิดการผสมระหว่างลทั ธิขงจ๊ือ ลทั ธิเต๋า และพระพุทธศาสนา นิกายมหายานทาให้เกิดเร่ืองราวของเทพเจ้า ความเชื่อเกี่ยวกับการบูชาบรรพชน วญิ ญาณ และส่ิงศกั ด์ิสิทธ์ิ รวมถึงพธิ ีกรรมทางศาสนา

พระพทุ ธรูปทถ่ี า้ หลงเหมิน เมืองลวั่ หยาง ศิลปะสมัยราชวงศ์ถัง

อารยธรรมจีน: ศิลปกรรมจนี 1. เคร่ืองป้ันดนิ เผาและเคร่ืองเคลือบ ศิลปกรรมน้ีมีอายุยาวนานท่ีสุดของจีน เร่ิมมาต้ังแต่ปลายยุคหินใหม่ คือ เครื่องป้ันดินเผาลายเขียนสีในวฒั นธรรมหยางเชา และเครื่องป้ันดินเผาสีดาขดั มนั เงาใน วฒั นธรรมหลงชาน การผลิตเครื่องป้ันดินเผาและเครื่องเคลือบเจริญรุ่งเรืองสูงสุดในสมยั ราชวงศซ์ ่ง ผลิตใชท้ ้งั ในราชวงศ์ สามญั ชน และเพื่อการคา้ และกลายเป็นตน้ แบบของเคร่ืองเคลือบที่ เรียกวา่ “ลายคราม” ในสมยั ราชวงศห์ ยวน และพฒั นาเป็ น “เครื่องเบญจรงค์” ในสมยั ราชวงศห์ มิง



อารยธรรมจนี : ศิลปกรรมจนี 2. เคร่ืองสาริด เคร่ืองสาริดสมยั ราชวงศ์ชาง มลี ายประดษิ ฐ์ทงี่ ดงาม เครื่องสาริดจีนทาข้ึนเพื่อเป็ นเคร่ืองเซ่นเทพเจา้ สิ่งศกั ด์ิสิทธ์ิ บรรพบุรุษ และใช้ในพิธีศพช้ันสูงและช้ัน ในภาพเป็ นถ้วยสุราสาริด มี 3 ขา ปกครอง และนาไปใชใ้ นชีวติ ประจาวนั ดว้ ย เครื่องสาริดในสมยั ราชวงศช์ างเป็ นเครื่องสาริด ท่ี มี ชื่ อ เ สี ย ง ม า ก ที่ สุ ด มี ค ว า ม ง ด ง า ม ด้ว ย ล า ย ท่ี ลอกเลียนแบบธรรมชาติ เช่น ลายมงั กร ลายตาเหยย่ี ว ลาย กอ้ นเมฆ เครื่องสาริดหมดความสาคญั ลงในสมยั ราชวงศ์ ฮนั่ เพราะมีการนาวสั ดุอื่นมาใชแ้ ทน เช่น ทองคา เงิน แต่ อยา่ งไรกต็ าม เคร่ืองสาริดกย็ งั นาไปใชใ้ นงานพิธีกรรมอยู่

อารยธรรมจนี : ศิลปกรรมจีน 3. เคร่ืองหยก เคร่ืองหยกเป็นศิลปกรรมที่สาคญั ของจีนต้งั แต่ยคุ ก่อนประวตั ิศาสตร์ สมยั ราชวงศ์ ชางมีการนาหยกมาสลักเป็ นรูปต่าง ๆ เช่น แท่งส่ีเหลี่ยม วงกลมเจาะรู ซ่ึงนาไปใช้ใน พธิ ีกรรมบวงสรวงของราชสานกั ดว้ ย สญั ลกั ษณ์ของพ้ืนดิน สัญลกั ษณ์ของสวรรค์ ศิลปะในการแกะหยกไดร้ ับการสืบทอดต่อมาอย่างไม่เสื่อมคลาย พร้อม ๆ กบั ความเช่ือ ความนิยมของชาวจีนตอ่ เครื่องหยกซ่ึงเป็นไปในทางสิริมงคล



อารยธรรมจีน: ศิลปกรรมจนี 4. ประตมิ ากรรม หุ่นดนิ เผารูปทหาร ในสุสานจักรพรรดจิ ิ๋นซี งานประติมากรรมจีนสมัยแรกเป็ นสาริ ดทาเป็ น รูปทรงภาชนะต่าง ๆ ต่อมาในสมยั ราชวงศโ์ จว-ราชวงศฉ์ ินได้ ทาหุ่นดินเผาเป็ นรูปทรงทหารขนาดเท่าคนจริงจานวนหลาย พนั ตวั ใน “สุสานจักรพรรดิจิ๋นซี” แสดงให้เห็นถึงความคิด สร้างสรรคข์ องประติมากร งานประติมากรรมเส่ือมความนิยมในสมยั ราชวงศฮ์ นั่ แตไ่ ดม้ ีการนาหินมาสลกั เป็นรูปทรงประติมากรรมข้นึ แทน เมื่อพระพทุ ธศาสนาเขา้ มาในจีน งานพทุ ธศิลป์ อินเดีย ไดม้ ามีอิทธิพลต่อประติมากรจีน ทาใหก้ ลายเป็นศลิ ปะแบบจีน อย่างสมบูรณ์ในสมัยราชวงศ์ถงั นิยมสร้างพระศรีศากยมุนี พระอวโลกิเตศวร พระศรีอาริยเมตไตร พระอมิตาภะ

พระศรีศากยมุนี

พระโพธิสตั วอ์ วโลกิเตศวร

พระศรีอาริยเมตไตร

พระอมิตาภะ

5. สถาปัตยกรรม ก้าแพงเมอื งจนี • สรา้ งในสมัยราชวงศ์โจว • สร้างเพ่มิ เติมในสมยั ต่อ ๆ มา • มีความยาว 6,400 กิโลเมตร

กาแพงเมืองจนี แหล่งท่องเท่ียวท่ีสาคัญของประเทศจีน องค์การยูเนสโกยกย่องให้เป็ นมรดกโลกทางวัฒนธรรมใน ค.ศ. 1987

5. สถาปัตยกรรม สสุ านจกั รพรรดสิ มัยราชวงศ์ฮ่นั • สุสานเจาะเข้าไปในถ้า • แบ่งเปน็ หอ้ งเก็บศพ/หอ้ งเกบ็ สมบตั ิ • ผนงั อุโมงค์สลกั ภาพคน/เทวดา/สัตว์ • มีรูปจา้ ลองบ้านเรือนเปน็ ดินเผา

5. สถาปัตยกรรม สถาปัตยกรรมสมยั ราชวงศห์ มิง/ราชวงศช์ ิง • สร้างในศาสนา/พระราชวงั /ตา้ หนกั • ใชไ้ ม้เป็นสว่ นสา้ คญั มีโครงสร้างอ่อนช้อย • ตกแต่งดว้ ยภาพเขยี นเขียน/ลายจ้าหลกั /ใช้ หลายสี

พระราชวังต้องห้าม หรือ พระราชวังกู้กง

พระราชวงั ต้องห้าม หรือ พระราชวงั ก้กู ง ต้งั อยทู่ ี่ใจกลางกรุงปักก่ิง เป็นท้งั บา้ นและชีวติ ของจกั รพรรดิ ใน ราชวงศห์ มิงและชิงรวมท้งั สิ้น 24 พระองค์ พระราชวงั เก่าแก่ที่มี ประวตั ิศาสตร์ยาวนานกวา่ 500 ปี มีช่ือในภาษาจีนวา่ ‘กกู้ ง’ หมายถึง พระราชวงั เดิม มีชื่อเรียกอีกอยา่ งหน่ึงวา่ ‘จ่ือจิ้นเฉิง’ ซ่ึงแปลวา่ ‘พระราชวงั ตอ้ งหา้ ม’ เหตุท่ีเรียกพระราชวงั ตอ้ งหา้ ม เนื่องมาจากชาว จีนถือคติในการสร้างวงั วา่ จกั รพรรดิเปรียบเสมือนบุตรแห่งสวรรค์ ดงั น้นั วงั ของบุตรแห่งสวรรคจ์ ึงตอ้ งเป็น ท่ีตอ้ งหา้ ม’ คนธรรมดาสามญั ไม่สามารถล่วงล้าเขา้ ไปได้

พระราชวังต้องห้าม หรือ พระราชวังกู้กง พระราชวงั ตอ้ งหา้ มสร้างโดยยดึ หลกั ขนบธรรมเนยี มของระบบศกั ดนิ า คอื อานาจสงู สดุ ของประเทศอยทู่ ี่จักรพรรดเิ พยี งพระองค์เดยี ว ดังน้ันรูปแบบทาง สถาปัตยกรรมและการตกแต่งจงึ เน้นความใหญ่โตโอ่อ่า เพ่ือใหเ้ กิดความรู้สึกนา่ เกรง ขาม มากกวา่ เนน้ ในด้านประโยชน์ใช้สอย ตามหลกั สถาปตั ยกรรมสมัยโบราณได้ กาหนดใหด้ ้านหน้าเป็นทว่ี ่าราชการ ดา้ นหลังเปน็ ทีอ่ ยู่อาศยั ตาหนักหน้า 3 หลังได้แก่ ตาหนกั ไทเ่ หอ ตาหนักจงเหอ และตาหนักเป่าเหอ ซึง่ เป็นสญั ลักษณข์ องอานาจที่ ยง่ิ ใหญน่ น้ั จึงตั้งตระหง่านเรียงกนั ตามลาดับ แม้ว่าประเทศจนี จะไมม่ สี ถาบันพระมหากษตั ริยแ์ ล้ว พระราชวงั ตอ้ งห้ามก็ ยังคงเป็นสัญลักษณ์ของประเทศจนี และภาพประตูเทยี นอันเหมินก็ยงั ปรากฏอยใู่ นตรา ประจาสาธารณรัฐประชาชนจนี อกี ดว้ ย นอกจากน้ี พระราชวงั ตอ้ งหา้ มยังเป็นสถานที่ ทอ่ งเท่ียวทมี่ ชี ่ือเสียงที่สดุ แหง่ หนง่ึ ของโลก


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook