Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore การวางโครงการ

การวางโครงการ

Published by lawanwijarn4, 2022-01-03 05:28:32

Description: การวางโครงการ

Search

Read the Text Version

91 เทคโนโลยีการกาจัด/บาบัดมลพิษทางเคมี เช่น มลพิษทางน้า มลพิษทาง อากาศ และขยะมูลฝอย ตัวอย่างเทคโนโลยีการกาจัด/บาบัดมลพิษในด้านนี้ ประกอบด้วย การตกตะกอน การดูดก๊าซฝุ่นสารละลาย การดูดด้วยแม่เหล็กไฟฟ้า สถิตย์ การเจอื จาง และการรไี ซเคิล เทคโนโลยีการกาจัด/บาบัดมลพิษทางชีววิทยา เช่น มลพิษทางน้า ขยะมูล ฝอย ตัวอย่างเทคโนโลยีการกาจัด/บาบัดมลพิษในด้านน้ี ประกอบด้วย การฆ่าเช้ือ โรค การย่อยสลาย การแบ่งเขต การทารัว้ และการกิน ในทานองเดียวกันเทคโนโลยีสิ่งแวดล้อมด้านบาบัด/กาจัดมลพิษ จะใช้ เทคโนโลยีหลากหลายมาผสมผสานกันจนทาให้สามารถกาจัด/บาบัดมลพิษ สงิ่ แวดล้อมได้ ตัวอย่างเช่น การบาบัดน้าเสีย ซึ่งเป็นการกาจัดสารต่างๆที่ปนเป้ือนอยู่ในน้า เสีย อาจต้องใช้เทคโนโลยีบาบัด/กาจัดมลพิษต่างๆ ท้ัง การตกตะกอน การดูดซับ การย่อยสลาย การกรอง และการฆา่ เช้อื ผสมผสานกนั เป็นต้น ส่ิงแวดลอ้ มศึกษา ส่ิงแวดล้อมศึกษา (environmental education) เป็นศาสตร์ท่ีว่าด้วยการ ถ่ายทอดความรู้ทางส่ิงแวดล้อม(เรื่องหนึ่ง) ด้วยเทคโนโลยีท่ีเหมาะสมสู่ประชากร เป้าหมายต้ังแต่อนุบาลจนถึงอุดมศึกษาต่อชนทุกเพศทุกวัย ทั้งในระบบและนอก ระบบการศึกษา โดยเน้นให้เกิดความรู้ทางสิ่งแวดล้อมแบบช่ัวชีวิต คือ ต้องมีการ เรียนรู้ตลอดเวลา ท้ังนี้ต้องให้ทันต่อเหตุการณ์และความเปลี่ยนแปลงต่อสิ่งแวดล้อม ทัง้ ทีเ่ ป็นดิน หนิ น้า อากาศและสิง่ มชี ีวติ (เกษม, 2536) สาหรับรายละเอียดศึกษาได้จากหัวข้อ“ส่ิงแวดล้อมศึกษา” ในหัวข้อถัดไป ซึง่ ได้แยกออกไว้เปน็ ส่วนหน่งึ โดยเฉพาะ

92 สรปุ องคค์ วามรขู้ องศาสตร์ องค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม ทาให้ตระหนักรู้ (aware) ว่า ส่ิงแวดล้อมน้ัน ก็คือ สรรพส่ิงที่อยู่รอบๆตัวคนเราน่ันเอง กล่าวคือ สภาพส่ิงทั้งหลาย ในโลกน้ี ทั้งท่ีมีชีวิตและไม่มีชีวิตที่อยู่รอบตัวมนุษย์ ก็คือ สิ่งแวดล้อมของมนุษย์ นนั่ เอง ความสัมพันธ์ของส่ิงมีชีวิตด้วยกันเอง และความสัมพันธ์ระหว่างส่ิงมีชีวิตกับ สิ่งไม่มีชีวิตท่ีมีลักษณะเป็น“ระบบ”เรียกว่า“ระบบนิเวศ”น้ันก่อให้เกิดการใช้ ทรัพยากรธรรมชาตขิ องมนษุ ย์ขึน้ ซึ่งเมื่อใช้มากๆ ในที่สุดก็เป็นต้นเหตสุ าคัญของการ เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมต่างๆ ทั้งปัญหาการขาดแคลนทรัพยากรธรรมชาติและมลพิษ ส่ิงแวดล้อม ซึ่งเป็นปญั หาสิ่งแวดลอ้ มที่พบเห็นได้ในชมุ ชน ทรัพยากรธรรมชาติ แบ่งออกไดเ้ ป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ 1) กลุ่มท่ีเป็นปัจจัยสาคญั ต่อการดารงชีวิตของสิ่งมีชีวิตอย่างมาก ได้แก่ อากาศ น้าที่อยู่ในวัฎจักร 2) กลุ่มที่ เป็นปัจจัยส่ีในการดารงชีวิตของมนุษย์ ได้แก่ น้าใช้ พืชและสัตว์ และ 3) กลุ่มที่เป็น ปัจจัยอานวยความสะดวกสบายในการดาเนินชีวิต ได้แก่ แร่ธาตุและพลังงาน เช่น ถ่านหิน น้ามันปิโตรเลียม ฯลฯ การตระหนักรู้ถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมจากการใช้ ทรัพยากรธรรมชาติที่ไม่ถูกต้อง จึงมีความสาคัญในการหาแนวทางป้องกันและแก้ไข ปญั หาสิง่ แวดลอ้ มได้อยา่ งถูกต้อง มลพิษเป็นปัญหาวิกฤตที่สาคัญย่ิงของปัญหาสิ่งแวดล้อมของมนุษย์ การ ปนเป้อื นของสารท่ีก่อให้เกิดพิษในสิ่งแวดล้อมดิน น้า อากาศ ทาใหเ้ กิดมลพิษทางดิน มลพษิ ทางน้า และมลพษิ ทางอากาศ เทคโนโลยีส่ิงแวดล้อม แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ 1) เทคโนโลยีการใช้ ทรัพยากรธรรมชาติ เช่น เทคโนโลยีการตกตะกอน การกรอง การฆ่าเช้ือโรคในการ ผลิตน้าประปาจากแหล่งน้าผิวดิน 2) เทคโนโลยีการกาจัดหรือบาบัดมลพิษ เช่น การบาบดั น้าเสียโดยใชพ้ ืช

93 ส่วนที่ 3.2 สงิ่ แวดลอ้ มศึกษา ความคิดรวบยอด(concept) ทางสง่ิ แวดล้อมศกึ ษาทน่ี าเสนอต่อไปนี้ผเู้ ขยี น ไดส้ รปุ อย่างยอ่ ๆ คดั ลอกมาจากหนังสือของผู้เขียน“สิ่งแวดลอ้ มศกึ ษา : แนวทางสู่ การปฏบิ ตั ิ” (2559) ประกอบดว้ ย 1) ความเปน็ มาของสิ่งแวดล้อมศกึ ษา 2) ความหมายของส่งิ แวดล้อมศึกษา 3) วัตถปุ ระสงค์ของสง่ิ แวดลอ้ มศึกษา 4) หลกั การที่เปน็ แนวทางของสิง่ แวดล้อมศกึ ษา ความเปน็ มาของส่งิ แวดลอ้ มศึกษา ความเส่ือมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติที่เกิดจากการทาลายสมดุลของ ธรรมชาติ และการเกิดภาวะมลพิษ ที่เกิดข้ึนอย่างต่อเน่ืองมาต้ังแต่ช่วงหลังปฏิวัติ อุตสาหกรรม(ศตวรรษท่ี 18-19) ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและ ส่ิงแวดล้อมอย่างมากมาย ซ่ึงความเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติที่เกิดจากการ ทาลายสมดุลของธรรมชาติ และการเกิดภาวะมลพิษ เป็นแรงผลักดันให้เกิดความ ร่วมมือของประชาคมโลก เพื่อหาแนวทางในการป้องกันและแก้ไขปัญหาส่ิงแวดล้อม โดยองค์การสหประชาชาติ (UN) ได้จัดประชุมส่ิงแวดล้อมระดับนานาชาติเรื่อง “มนุษย์กับส่ิงแวดล้อม” (UN Conference , Human Environment) ในปี ค.ศ. 1972 ที่กรุงสต๊อกโฮม ประเทศสวีเดน ผลการประชุมกาหนดให้“สิ่งแวดล้อมศึกษา” (Environmental Education: EE.) เป็นกลยุทธ์ท่ีประชาคมโลกใช้เพ่ือต่อสู้กับวิกฤติ สิ่งแวดล้อมในขณะนน้ั ปี ค.ศ.1975 มีการจัดประชุมระดับนานาชาติ ณ กรุงเบลเกรด (Belgrade) ประเทศยูโกสลาเวีย ผลการประชุมได้ก่อให้เกิด “กฎบัตรเบลเกรด”(The Belgrade Charter) ซึ่งกาหนดให้“สง่ิ แวดลอ้ มศึกษา”เป็นพ้นื ฐานของการจัดการสิ่งแวดล้อม ปี ค.ศ. 1977 มีการประชุมระดับนานาชาติที่เมืองทบิลิชิ(Tbilisi) ประเทศ สหภาพโซเวียต ผลจากการประชุมคร้ังน้ีไดม้ ีการประกาศเป้าหมายส่ิงแวดล้อมศึกษา วา่ เป็นการจดั การศึกษาท่ีส่งเสรมิ ให้บุคคลเกดิ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเพื่อนาไปสู่ การป้องกันและแกไ้ ขปญั หาส่งิ แวดล้อม

94 ปี 1992 มีการจัดประชุมสหประชาชาติว่าด้วยส่ิงแวดล้อมและการพัฒนาท่ี ยั่งยืน(World Summit on Sustainable Development) ณ กรุงริโอ เดอจาเนโร ประเทศบราซิล ผลการประชุมครั้งนี้ ไดก้ าหนดแนวทางเพื่อลดวกิ ฤตสิ่งแวดล้อมไว้ใน “แผนปฏิบัติการ 21” (Agenda 21) โดยกาหนดให้ “ส่ิงแวดล้อมศึกษา”เป็น เครื่องมือพิทักษส์ ิ่งแวดล้อม โดยมีหลักการท่ีเปน็ แนวทางของส่งิ แวดล้อมท่ีกาหนด ไวใ้ นการประชมุ ระดบั นานาชาติ 12 ข้อ ซึ่งสรุปเป็นสาระสาคัญได้ 3 ด้าน คอื 1) ด้าน การศกึ ษา 2) ดา้ นสิ่งแวดล้อมเฉพาะ และ 3) ด้านการมีสว่ นร่วม หลักการทสี่ าคญั ย่ิงในการจดั สิ่งแวดล้อมศกึ ษา คอื ตอ้ งมองส่ิงแวดล้อมศึกษา ในลักษณะของการศึกษาตลอดชีวิต (lifelong education) ซึ่งเป็นแนวคิดที่มอง การศึกษาในภาพรวมครอบคลุมและผสมผสานการศึกษา 3 ระบบ ทั้งการศึกษาใน ระบบ การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย ให้มีความประสานสมั พันธ์ กันตลอดช่วงชีวิตของแต่ละบุคคล ซ่ึงการมองสิ่งแวดล้อมศึกษาในลักษณะของ การศกึ ษาตลอดชีวติ นัน้ ก็คอื หลกั การจัดสิ่งแวดล้อมศึกษาเชิงปฏบิ ัตกิ าร นน่ั เอง ปี ค.ศ.2002 มีการประชุมสิ่งแวดล้อมระดับนานาชาติ ว่าด้วยการพัฒนาท่ี ยั่งยืน (World Summit on Sustainable Development; WSSD) ณ นครโจฮันเนส เบอร์ก สาธารณรัฐแอฟริกาใต้ โดยสาระสาคัญของการประชุม ยังคงเน้นย้าถึงความ จาเป็นท่ีประชาคมโลก จะต้องดาเนินการอย่างจริงจัง เพ่ือผลักดันแผนปฏบิ ัตกิ าร 21 และขอ้ ตกลงต่างๆใหส้ ามารถดาเนินการไปสู่ผลสาเรจ็ ท่ีเป็นรปู ธรรมมากยิง่ ขึ้น ความเป็นมาของส่ิงแวดลอ้ ม ศึ ก ษ า จ า ก ปี พ . ศ . 1972-2002 ส า ม า ร ถ ส รุ ป โ ด ย น า เ ส น อ เ ป็ น แผนภาพดังน้ี แ ผ น ภ า พ ค ว า ม เ ป็ น ม า ข อ ง สิ่งแวดลอ้ มศกึ ษา ค.ศ.1972-2002

95 ความหมายของ “สิง่ แวดล้อมศึกษา” การให้ความหมายของคาว่า สิ่งแวดลอ้ มศึกษา ลาวณั ย์ วจิ ารณ์ (2559) เขยี น ไว้ในหนงั สอื “สิง่ แวดลอ้ มศึกษา....แนวทางสกู่ ารปฏิบัติ”ไว้วา่ คาจากัดความเบื้องต้นของส่ิงแวดล้อมศึกษาเกิดจากการประชุมท่ีเมือง เบลเกรด ประเทศยูโกสลาเวียในปี ค.ศ.1975 ผู้เข้าร่วมประชุมได้ร่างคาจากัดความ เบ้ืองต้นของสิ่งแวดล้อมศึกษา ต่อมาในปี ค.ศ.1977 ตัวแทนจากกว่า 60 ประเทศทั่ว โลกได้ร่วมประชุมกันท่ีเมืองทบิลีซิ ประเทศสาธารณรัฐโซเวียต เพ่ือสานเร่ืองต่อจาก การประชมุ ทีเ่ มืองเบลเกรด โดยไดใ้ หค้ าจากดั ความของ “สง่ิ แวดล้อมศกึ ษา” ไว้ดังน้ี .....ส่ิงแวดล้อมศึกษา คือ กระบวนการท่ีมุ่งสร้างให้ ประชากรโลกมีความสานึกและห่วงใยปัญหาส่ิงแวดล้อม รวมท้ังปัญหาท่ีเกี่ยวข้องอื่นๆ และมีความรู้ ทัศนคติ ทักษะ ความต้ังใจจริงและความมุ่งมั่นที่จะหาทาง แก้ปัญหาที่เผชิญอยู่ และป้องกันปัญหาใหม่ ทั้งด้วย ตนเองและด้วยความร่วมมือกับผู้อ่ืน.......... (กรมส่งเสริม คณุ ภาพสิง่ แวดลอ้ ม, ม.ป.ป..) จากความหมายของคาว่า “ส่ิงแวดล้อมศึกษา” ซึ่งเป็นผลจากการประชุม ระดับนานาชาติเพื่อใช้สิ่งแวดล้อมศึกษาเป็นเครื่องมือในการแก้ไขปัญหาวิกฤต ส่ิงแวดล้อมโลกดังกล่าวข้างต้น ยังขาดความชัดเจน ดังน้ันจึงมีนักวิชาการด้าน ส่ิงแวดล้อมได้ให้ความหมายไว้หลากหลายด้วยสายตาที่แตกตา่ งกัน ขึ้นอยู่กับปูมหลงั ของแตล่ ะบุคคล สุดแตว่ า่ ผ้เู ขียนจะมีความเชี่ยวชาญดา้ นไหน เช่น นาท ตัณฑวิรุฬห์ และพลู ทรัพย์ สมทุ รสาคร (2528) ได้อ้างอิงการประชมุ ของ สหประชาชาติว่าด้วยเร่ือง \"สิ่งแวดล้อมของมนุษย์” ในปี ค.ศ.1972 ณ กรุง สตอกโฮล์ม ว่า สิ่งแวดล้อมศึกษาเป็นวิธีการหนึ่งที่จะนาไปสู่ความสาเร็จในการ ป้องกันและแก้ไขปัญหาสง่ิ แวดล้อม ศ.ดร.เกษม จันทร์แก้ว (2536) ได้ให้ความหมายของคาว่า สิ่งแวดล้อมศึกษา ไว้ว่า เป็นศาสตร์ที่ว่าด้วยการถ่ายทอดความรู้ทางส่ิงแวดล้อม(เรื่องหน่ึง)ด้วย เทคโนโลยีที่เหมาะสมสู่ประชากรเป้าหมายต้ังแต่อนุบาลจนถึงอุดมศึกษาต่อชนทุก

96 เพศทุกวัย ทั้งในระบบและนอกระบบการศึกษาโดยเน้นให้เกดิ ความรู้ทางสิ่งแวดลอ้ ม แบบชั่วชีวิต คือ ต้องมีการเรียนรู้ตลอดเวลาท้ังน้ีต้องให้ทันต่อเหตุการณ์และความ เปล่ียนแปลงต่อสิ่งแวดล้อมทั้งท่ีเปน็ ดนิ หิน นา้ อากาศและชวี ิต ส่ิงแวดล้อมศึกษาจะต่างจากวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมที่มีวัตถุประสงค์เพ่ือ สร้างองค์ความรู้ทางส่ิงแวดล้อม และเทคโนโลยีส่ิงแวดล้อม ซ่ึงมีวัตถุประสงค์เพื่อ สร้างเครื่องมือในการจัดการส่ิงแวดล้อม ส่วนส่ิงแวดล้อมศึกษาน้ันเป็นการศึกษา ลกั ษณะหนง่ึ ท่ีมีวัตถุประสงค์เพือ่ รกั ษาคุณภาพสิง่ แวดล้อม เม่ือประมวลความเห็นเกี่ยวกับความหมายของส่ิงแวดล้อมศึกษาที่กล่าว มาแล้วข้างต้น สามารถสรุปความหมายของสิ่งแวดล้อมศึกษาได้ว่า “สิ่งแวดล้อม ศึกษา เป็นกระบวนการจัดประสบการณ์เพ่ือการเรียนรู้เน้ือหาความรู้ส่ิงแวดล้อม เพื่อให้บุคคลเป้าหมาย(รายบุคคล กลุ่มบุคคล และประชาชนท่ัวไป) เกิดการ เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมตามวัตถุประสงค์ทางการศึกษาด้านเจตคติ ด้านความรู้ และ ด้านทกั ษะ ท่ีจะนาไปสู่การป้องกนั และแก้ไขปญั หาสิ่งแวดล้อม” ซงึ่ เป็นจดุ มุ่งหมาย หลกั ของส่งิ แวดล้อมศกึ ษาในระดับนานาชาติ เพ่ือให้ง่ายต่อการทาความเข้าใจความหมายของคาว่า”สิ่งแวดล้อมศึกษา”จึง ขอขยายความโดยใชแ้ ผนภาพดังนี้ แผนภาพ ความหมายของคาวา่ สงิ่ แวดลอ้ มศกึ ษา

97 วตั ถปุ ระสงคข์ องส่ิงแวดลอ้ มศกึ ษา จากการประชุมของสหประชาชาติวา่ ด้วยเรื่องสง่ิ แวดลอ้ มศึกษา ทเี่ มอื งทบิลิซิ ประเทศสหภาพโซเวียต ในปี ค.ศ.1977 ได้กาหนดวัตถุประสงค์ของสิ่งแวดล้อม ศกึ ษาไวด้ งั น้ี Awareness—to help social การรับรู้- ช่วยให้แต่ละบุคคลและกลุ่ม groups and individuals acquire an สังคมต่างๆ ฝึกฝนเรียนรู้ เพื่อให้เกิดการ awareness and sensitivity to the รับรู้และการต่ืนตัวต่อส่ิงแวดล้อมโดยรวม total environment and its allied และปญั หาสิ่งแวดล้อมต่างๆทีเ่ กยี่ วพันกัน problems Knowledge—to help social ความรู้ - ช่วยให้แต่ละบุคคลและกลุ่ม groups and individuals gain a สังคมต่างๆ ได้รับประสบการณ์อัน variety of experience in, and หลากหลาย และฝึกฝนเรียนรู้ เพื่อให้เกิด acquire a basic understanding of, ความเข้าใจพื้นฐานส่ิงแวดล้อม และ the environment and its ปัญหาสิง่ แวดลอ้ มตา่ งๆที่เกยี่ วเนอ่ื งกัน associated problems. Attitudes—to help social groups เจตคติ - ช่วยให้แต่ละบุคคลและกลุ่ม and individuals acquire a set of สังคมต่างๆ ฝึกฝนเรียนรู้เพ่ือให้เกิด values and feelings of concern for ค่ า นิ ย ม แ ล ะ ค ว า ม รู้ สึ ก ห่ ว ง ใ ย ต่ อ the environment and the ส่ิงแวดล้อม และแรงจูงใจในการมีส่วน motivation for actively ร่วมอย่างกระตือรือร้นในการปรับปรุง participating in environmental และปกป้องส่ิงแวดลอ้ ม improvement and protection. Skills—to help social groups and ทักษะ – ช่วยให้แต่ละบุคคลและกลุ่ม individuals acquire the skills for สังคมต่างๆฝึกฝนเรียนรู้ เพื่อให้เกิดความ identifying and solving ช า น า ญ ใ น ก า ร ร ะ บุ แ ล ะ แ ก้ ไ ข ปั ญ ห า environmental problems. ส่งิ แวดล้อมต่างๆ

98 Participation—to provide social การมีส่วนร่วม – ให้แต่ละบุคคลและกลุ่ม groups and individuals with an สังคมต่างๆ มีโอกาสเข้าไปร่วมดาเนินการ opportunity to be actively อ ย่ า ง ก ร ะ ตื อ รื อ ร้ น ต่ อ ก า ร แ ก้ ไ ข ปั ญ ห า involved at all levels in working สง่ิ แวดลอ้ มตา่ งๆ toward resolution of environmental problems. . วัตถุประสงค์ของส่ิงแวดล้อมศึกษาดังกล่าวน้ัน มีลักษณะเป็นวัตถุประสงค์ เชิงนโยบายจึงต้องปรับวัตถุประสงค์เชิงนโยบายให้เป็นวัตถุประสงค์ทางการศึกษา เพ่ือนามาจัดการเรียนการสอน หรือทาการเผยแพร่กับกลุ่มบุคคลเป้าหมาย ดงั ตอ่ ไปน้ี  วัตถุประสงค์ของสิ่งแวดลอ้ มศกึ ษา ดา้ นการรบั รปู้ ญั หา ด้านเจตคติ ความรู้สึกห่วงใย และด้านการมีส่วนร่วมของมนุษย์ด้วยกันเองในการป้องกันและ แก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมของโลก อาจจัดอยู่ในวัตถุประสงค์ทางการศึกษาด้านเจต พสิ ัย ซ่ึงเปน็ ด้านความรู้สกึ ความคดิ จิตใจ และอารมณ์  สาหรบั วัตถุประสงคข์ องส่งิ แวดล้อมศึกษาด้านความรู้ความเข้าใจใน เนื้อหาความรู้ทางส่ิงแวดล้อมและปัญหาท่ีเก่ียวเนื่อง อาจจัดอยู่ในวัตถุประสงค์ทาง การศกึ ษาด้านพทุ ธพิ ิสยั ซ่ึงเปน็ ด้านความรแู้ ละสตปิ ัญญา  ส่วนวตั ถุประสงคข์ องสิง่ แวดลอ้ มศกึ ษาด้านความชานาญในการป้องกนั และแก้ไขปัญหาส่ิงแวดล้อมของโลก อาจจัดอยู่ในวัตถุประสงค์ทางการศึกษาด้าน ทักษะพสิ ัย ซ่งึ เป็นดา้ นการกระทา/การปฏิบัติ ผลจากการวิเคราะห์วัตถุประสงคส์ ่ิงแวดล้อมศึกษาดังกล่าวข้างต้น เมื่อนามา สังเคราะห์จะพบว่า“การทาให้บุคคลเป้าหมายสามารถป้องกันและแก้ไขปัญหา ส่งิ แวดล้อมไดน้ ้ัน คอื จุดมุง่ หมายหลกั ของสง่ิ แวดลอ้ มศึกษา” น่นั เอง

99 หลักการท่เี ป็นแนวทางของสิง่ แวดล้อมศกึ ษา หลกั การท่ีเปน็ แนวทางของสิ่งแวดล้อมศึกษา ทก่ี าหนดไว้ในการประชุมระดับ นานาชาติ ที่เมอื งทบิลซิ ิ ในปี ค.ศ.1977 มดี ว้ ยกนั ท้ังหมด 12 ข้อ ประกอบด้วย 1.ควรจะต้องคานึงถึงสิ่งแวดล้อมในภาพรวม ทั้งสิ่งแวดล้อม ธรรมชาติและมนุษย์สร้างขึ้น เทคโนโลยี และสังคม (เศรษฐกิจ การเมอื ง วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ จรยิ ธรรม สุนทรยี ศาสตร์) 2. ควรจะต้องเป็นกระบวนการอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต เริ่มตั้งแต่ ระดับเด็กในวัยก่อนเรียนต่อเนื่องไปท้ังในระบบและนอกระบบ การศกึ ษา 3.ควรจะต้องยึดหลักการสหสาขาวชิ า โดยนาเนื้อหาเฉพาะของ แต่ละสาขาวิชามาผสมผสานในมุมมองทั้งท่ีเป็นภาพรวมและใน สัดสว่ นท่เี หมาะสม 4.ควรจะต้องตรวจสอบประเด็นสาคัญที่กาลังถกเถียงกันอยู่ใน มุมมองจากระดับท้องถนิ่ ระดับชาติ ภูมิภาค และระดบั นานาชาติ เพื่อนักเรียนจะได้เข้าใจในสภาพแวดล้อมของส่วนอื่นๆของโลกได้ อย่างลึกซึง้ 5. ควรจะต้องมุ่งประเด็นไปยังสถานการณ์สิ่งแวดล้อมสาคัญท่ี เป็นอยู่ ขณะเดยี วกนั ตอ้ งคานงึ ถงึ สภาพในอดตี 6.ควรจะต้องสนับสนุน/ส่งเสริม ถึงคุณค่าและความจาเป็นของ ชุมชน ประเทศ และนานาชาติ ท่ีจะร่วมมือกันป้องกันและแก้ไข ปัญหาสิ่งแวดลอ้ มต่างๆ 7.ในแผนพัฒนาและความก้าวหน้าของสิ่งแวดล้อมน้ันจะต้อง พจิ าณาแงม่ มุ ตา่ งๆของส่ิงแวดล้อมอย่างชดั เจน 8.ควรจะต้องทาให้ผู้เรียนสามารถมีบทบาทในการวางแผน ประสบการณ์การเรียนรู้ของตนเอง และให้โอกาสในการตัดสินใจ และยอมรบั ในผลที่จะเกดิ ขึ้นตามมา

100 9.ควรจะต้องเช่ือมโยงสัมพันธ์การต่ืนตัวทางสิ่งแวดล้อม ความรู้ ทักษะการแก้ไขปัญหา และการแยกแยะค่านิยมให้แก่คนทุกวัย และให้มุ่งเน้นเป็นพิเศษต่อการตื่นตัวทางสิ่งแวดลอ้ มในชุมชนของ ผเู้ รยี นนับแตช่ ว่ งปแี รกๆ 10.ควรจะต้องช่วยให้ผู้เรียนค้นหาเหตุการณ์ที่คาดว่าจะเป็น ปัญหาสิ่งแวดล้อม และสาเหตุท่ีแท้จริงของปัญหาส่ิงแวดล้อม เหลา่ นน้ั 11.ควรจะต้องเน้นให้เห็นว่า ปัญหาส่ิงแวดล้อมน้ันมีความซบั ซอ้ น ดังน้ันจึงมีความจาเป็นท่ีจะต้องพัฒนาการคิดเชิงวิพากษ์ และ ทกั ษะในการแก้ไขปัญหา 12.ควรจะต้องใช้ประโยชน์จากส่ิงแวดล้อมที่หลากหลายในการ เรียนรู้ และวิธีการทางการศึกษาที่หลากหลายในการสอน การ เรียนรู้เก่ียวกับและจากส่ิงแวดล้อม โดยเน้นการปฏิบัติจริงและ ประสบการณต์ รง จากหลกั การท่เี ปน็ แนวทางของสิ่งแวดล้อมศึกษาทก่ี าหนดไว้ ในการประชมุ ระดับนานาชาติท่ีเมืองทบิลซิ ิ ท้ัง 12 ข้อนัน้ เมื่อนามาประมวลแล้วสามารถสรุปเป็น สาระสาคญั ได้ 3 ด้าน คือ 1) ด้านการศึกษา 2) ดา้ นสิ่งแวดลอ้ มเฉพาะ และ 3) ดา้ น การมสี ว่ นร่วม ดงั นี้ 1. ด้านการศึกษา: ส่ิงแวดล้อมศึกษาควรต้องมีลักษณะเป็น สหสาขาวิชา ซ่ึง เป็นการผสมผสานองค์ความรู้หลากหลายสาขา ทั้งนิเวศวิทยา การเมือง เศรษฐกิจ เทคโนโลยี สังคม กฎหมาย วัฒนธรรม และสุนทรียศาสตร์ โดยต้องคานึงถึง ส่ิงแวดล้อมในภาพรวมที่เกิดข้ึนตามธรรมชาติและท่ีมนุษย์สร้างขึ้น โดยจัดเป็นกระ บวนการศึกษาอย่างต่อเน่ืองครอบคลุมทั้งการศึกษาในระบบ และการศึกษานอก ระบบ 2. ด้านส่ิงแวดล้อมเฉพาะ: ส่ิงแวดล้อมศึกษาควรต้องมุ่งประเด็นไปยัง สถานการณ์สงิ่ แวดลอ้ มท่เี ปน็ ผลกระทบจากการพัฒนาตอ่ ส่งิ แวดล้อม ซง่ึ เป็นประเดน็

101 สาคัญที่กาลังถกเถียงกันอยู่ในภาพรวมระดับโลก ควบคู่ไปกับการคานึงถึงความ แตกตา่ งของแต่ละภมู ิภาคดว้ ย 3.ด้านการมีส่วนร่วม: ส่ิงแวดล้อมศึกษาต้องเน้นหนักให้ความสาคัญกับการ สนับสนุนส่งเสริมคุณค่าและความจาเป็นของชุมชน ประเทศ และนานาชาติ ให้มสี ่วน ร่วมในการป้องกันและแกไ้ ขปัญหาส่งิ แวดล้อม จากข้อสรุปหลักการจัดส่ิงแวดล้อมศึกษาดังกล่าวข้างต้น จะพบว่าหลักการท่ี สาคัญย่ิงในการจัดสิ่งแวดล้อมศึกษา คือ ต้องมองส่ิงแวดล้อมศึกษาในลักษณะของ การศึกษาตลอดชีวิต (lifelong education) ซ่ึงเป็นแนวคิดท่ีมองการศึกษาใน ภาพรวมครอบคลุมและผสมผสานการศึกษา 3 ระบบ ทั้งการศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย ให้มีความประสานสัมพันธ์กัน ตลอดช่วงชีวิตของแต่ละบุคคล ซ่ึงการมองส่ิงแวดล้อมศึกษาในลักษณะของ การศกึ ษาตลอดชีวิตนนั้ กค็ ือ หลกั การจดั สง่ิ แวดลอ้ มศกึ ษาเชิงปฏบิ ตั กิ าร นั่นเอง สรุปองคค์ วามรู้ของศาสตร์ องค์ความรู้ทางส่ิงแวดล้อมศึกษาทาให้ตระหนักรู้ (aware) ว่า ความเป็นมา ของสิ่งแวดล้อมศึกษานั้น เร่ิมต้นเกิดขึ้นจากปัญหาวิกฤตสิ่งแวดล้อมในระดับโลก จึง ได้มีการประชุมระดับนานาชาติขึ้นเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหา ในปี ค.ศ.1972 องค์การสหประชาชาติได้กาหนดให้ “สิ่งแวดล้อมศึกษา”เป็นกลยุทธ์ท่ีประชาคมโลก ใช้ต่อสู้กับวิกฤตสิ่งแวดล้อมโลก โดยจัดการศึกษาท่ีส่งเสริมให้บุคคลเกิดการ เปลยี่ นแปลงพฤตกิ รรมเพื่อนาไปสูก่ ารปอ้ งกนั และแก้ไขปญั หาส่งิ แวดลอ้ ม สิ่งแวดล้อมศึกษาต่างจากวิทยาศาสตร์ส่ิงแวดล้อมตรงท่ี สิ่งแวดล้อมศึกษา เป็นการศึกษาลักษณะหนึ่งที่มีวัตถุประสงค์เพ่ือรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม ส่วน วทิ ยาศาสตรส์ งิ่ แวดล้อมมวี ัตถปุ ระสงคเ์ พือ่ สร้างองคค์ วามรทู้ างส่ิงแวดลอ้ ม ถึงแม้ว่าองค์การสหประชาชาติจะกาหนดวัตถุประสงค์ไว้ ได้แก่ awareness, knowledge, attitudes, skill และ participation แต่เมื่อวิเคราะห์และทาการ สังเคราะห์ พบว่า วัตถุประสงค์หลักของส่ิงแวดล้อมศึกษา คือ การทาให้บุคคล เปา้ หมายสามารถป้องกันและแกไ้ ขปญั หาสงิ่ แวดล้อมได้

102 จากหลักการท่ีเป็นแนวทางของส่ิงแวดล้อมศึกษาท่ีกาหนดเอาไว้ของการ ประชุมระดับนานาชาติในปี 1977 นั้น สรุปแก่นของแนวทางประมวลได้ว่า ส่ิงแวดล้อมศึกษาน้ันต้องมีลักษณะเป็นการศึกษาต่อเนื่องตลอดชีวิต ตั้งแต่ระดับเด็ก ในวัยก่อนเรียน ต่อเนื่องไป ทั้งในระบบและนอกระบบ จะต้องช่วยให้ผู้เรียนค้นหา ปัญหาและสาเหตุที่แท้จริงของปัญหาส่ิงแวดล้อม การเรียนรู้เก่ียวกับและจัดการ สงิ่ แวดลอ้ มเนน้ ปฎบิ ตั ิจรงิ และประสบการณต์ รง หลักการท่ีสาคัญยิ่งในการจัดการสิ่งแวดล้อมศึกษา คือ ผสมผสานการศึกษา ทง้ั 3 ระบบ ทัง้ การศกึ ษาในระบบ นอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัยให้ประสาน สัมพนั ธ์กนั ตลอดช่วงชวี ิตของแต่ละบุคคล

103 ส่วนที่ 3.3 การศกึ ษา ในวิชาการศึกษามีความคิดรวบยอด (concept)ที่สาคัญเกี่ยวข้องกับการ วางโครงการสง่ เสริมสิ่งแวดล้อมศึกษาชุมชน สมควรจะนามาเสนอในทีน่ ี้ ซ่ึงผู้เขียนได้ สรุปย่อคัดลอกมาจากหนังสือของผู้เขียน คือ“ส่ิงแวดล้อมศึกษา: แนวทางสู่การ ปฏิบัติ” (2559) ประกอบด้วย 1) ความหมายของการศึกษา 2) วัตถุประสงค์การศึกษา 3) วตั ถุประสงคก์ ารสอน 4) วัตถุประสงค์เชิงพฤตกิ รรม 5) ประสบการณเ์ พือ่ การเรียนรู้ 6) หลกั คดิ : การสร้างสถานการณ์การเรียนรู้ ความหมายของการศึกษา คาว่า \"การศึกษา\" มคี วามหมายกว้างไกล ท้ังนขี้ ้นึ อยู่การตีความหมายไปตาม ลักษณะอาชีพ(เช่น ในทางเศรษฐศาสตร์ มนุษยศาสตร์ รัฐศาสตร์ สังคมวิทยา การศึกษา ศาสนา ฯลฯ) แต่ตามท่ีผู้เขียนได้รวบรวมความหมายของการศึกษาที่ผิด แผกแตกต่างกันบ้าง แล้วนามาวิเคราะห์ จะพบว่า โดยหลักการใหญ่ๆ มิได้แตกต่าง กนั ผู้อ่านสามารถศกึ ษารายละเอียดไดจ้ ากหนังสอื “สิ่งแวดลอ้ มศกึ ษา: แนวทางสู่การ ปฏิบัติ”(ลาวัณย์, 2559 ) สาหรับผู้เขียนแลว้ จากประสบการณ์ พบว่า ในชุมชนชนบทและชุมชนเมือง เข้าใจว่า... .....การศึกษา คือ ไปโรงเรียนเพื่อเรียนหนังสือ บางคนคิดว่าการศึกษาเป็น การบังคับให้ประชาชนต้องปฏิบัติตาม มิฉะนั้นจะผิดกฎหมาย....บางคนมองว่า การศึกษามิได้มีค่าสาหรับการดารงตนเป็นพลเมืองดี หรือนาความรู้ไปประยุกต์ใช้ใน ชีวิตประจาวันแต่อย่างไร.....หากแตม่ ันคอื จุดเริ่มต้นของการกา้ วไปสู่บันไดทางสงั คม ท้ังการเงนิ และเกยี รตยิ ศ ชอ่ื เสยี ง ทัง้ ของตนเองและครอบครัวในอนาคตอกี ด้วย.... สาหรับในท่ีน้ี ผู้เขียนขอให้ความหมายของการศึกษาว่า ....การศึกษา คือ กระบวนการจัดประสบการณ์เพื่อการเรียนรู้(learning experience: L.E.) เพ่ือให้

104 บุคคลเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมตามวัตถุประสงค์การศึกษา ด้านเจตคติ(เจต พิสัย: affective domain) ด้านความรู้ (พุทธิพิสัย: cognitive domain ) และด้าน ทกั ษะ (ทักษะพิสัย: psychomotor domain) ที่กาหนดไว้ (ลาวัณย,์ 2559) วัตถุประสงค์การศกึ ษา ศาสตร์ทางการศึกษาได้กาหนดกรอบในการเรียนรู้เอาไว้ 3 ด้าน เรียกว่า วัตถุประสงค์การศึกษา (educational objective) ซึ่งได้แก่ ด้านความรู้ (พุทธิพิสัย: cognitive domain) ด้านทักษะ (ทักษะพิสัย: psychomotor domain) และด้าน เจตคติ (เจตพสิ ัย: affective domain) 1. ด้านความรู้(พุทธิพิสัย) เป็นการเรียนรู้ท่ีเน้นการพัฒนาความสามารถด้าน สติปัญญา จาแนกออกเป็น 6 ระดับ คือ ระดับความจา เข้าใจ นาไปใช้ วิเคราะห์ สงั เคราะห์ และประเมินค่า 2. ด้านทักษะ(ทักษะพิสัย) เป็นการเรียนรู้ท่ีเน้นการพัฒนาความสามารถใน การปฏิบัติ จาแนกออกเป็น 7 ระดับ คือ ระดับรับรู้ การเตรียมพร้อม การปฎิบัติได้ ภายใต้คาแนะนา ปฏบิ ัติได้จนคลอ่ ง การปฏิบตั ิงานซบั ซอ้ นได้ ปรบั ปรงุ และต้นแบบ 3. ด้านเจตคติ(เจตพิสยั ) เป็นการเรยี นรู้ท่ีเน้นการพฒั นาด้านจติ ใจ ความรู้สึก จาแนกออกเป็น 5 ระดับคือ ระดับการรับรู้ การตอบสนอง การเห็นคุณค่า การ จัดระบบคุณคา่ และการสรา้ งลกั ษณะนิสัย วัตถุประสงค์การศึกษาแต่ละด้านนั้น ถูกจาแนกออกเป็น วัตถุประสงค์การ สอน (instructional objective) และวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม (behavioral objective)

105 วตั ถปุ ระสงคก์ ารสอน เป็นข้อความท่ีระบุคุณลักษณะที่ต้องการให้เกิดขึ้นในตัวผู้เรียนตามระดบั ของ วัตถุประสงค์การศึกษาทั้ง 3 ด้าน ได้แก่ พุทธิพิสัย ทักษะพิสัย และเจตพิสัย รายละเอียดแต่ละด้านของวัตถปุ ระสงค์การสอน มีดังนี้ พุทธพิ สิ ยั เป็นการเรียนรู้ท่ีเน้นเก่ียวกับความรู้ (knowledge ) โดยการพัฒนา เกิดจาก กระบวนการคิด (cognitive process) เรียงลาดับจากซับซ้อนน้อยไปซับซ้อน มาก ดังแผนภาพ แผนภาพ ลาดับความซบั ซ้อนของข้ันวัตถปุ ระสงคก์ ารสอนด้านพทุ ธพิ สิ ัย 1. ขั้นจา: มีความสามารถในการจาเรื่องราวต่างๆท่ีเรียนและระลึกเร่ือง เหล่าน้นั ได้ถกู ต้อง 2. ขัน้ เข้าใจ : มคี วามสามารถ 1) แปลความ: ถ่ายเทความหมายจากของเดิมเป็นของใหม่ท่ีทาให้เข้าใจได้ งา่ ยขึน้ 2) ตคี วาม: สรุปภาพรวมเป็นใจความสน้ั ๆให้เขา้ ใจได้ง่ายข้ึน 3) ขยายความ: เสริมแตง่ ขอ้ ความเดมิ ทาใหช้ ดั เจนเข้าใจได้งา่ ยขึ้น) 3. ขน้ั นาไปใช้: มีความสามารถนาความรู้ทไี่ ดเ้ รียนมาแลว้ ไปใช้ในสถานการณ์ ใหม่ ต่างจากสถานการณเ์ ดิมท่ีเคยเรียนรมู้ าแล้ว 4. ข้ันวิเคราะห์: มีความสามารถในการแยกแยะว่า ส่ิงนั้นประกอบด้วย ส่วนย่อยๆ และส่วนยอ่ ยเหล่านั้นเก่ยี วขอ้ งกันอย่างไร 5.ขั้นสังเคราะห์: มีความสามารถในการผสมผสานส่วนย่อยเข้าเป็นเร่ืองราว หรือสง่ิ ใหมอ่ ีกรปู แบบหนงึ่ แปลกแตกต่างไปจากของเดมิ กอ่ นนามารวมกัน

106 6.ขั้นประเมนิ ค่า: มคี วามสามารถในการพิจารณาตดั สนิ เก่ียวกบั คุณคา่ เร่ืองใด เร่ืองหนึ่งหรือตัดสินใจกระทาส่ิงใดส่ิงหนึ่ง โดยเปรียบเทียบกับเกณฑ์หรือมาตรฐานท่ี กาหนดเอาไวแ้ ลว้ ทักษะพสิ ยั เป็นการเรียนรู้ท่ีเน้นเก่ียวกับการกระทา (doing) อย่างมีทักษะในการทาเร่ือง/สิ่ง น้ันๆ เรียงตามลาดับจากความสามารถที่ ซบั ซ้อนน้อยไปสู่ซบั ซ้อนมาก ดังแผนภาพ แผนภาพ ลาดบั ความซบั ซ้อนของข้ันวตั ถปุ ระสงคก์ ารสอนดา้ นทักษะพสิ ัย 1.ข้ันรับรู้: มีความสามารถในการใช้ประสาทสัมผัสท้ัง 5 ในการรับรู้ได้อย่าง ถูกต้อง 2.ข้ันเตรียมพร้อม: มีความสามารถในการเตรียมความพร้อมทั้งด้านความรู้ กลา้ มเนือ้ และอารมณ์ที่จะใชป้ ฏิบตั ิงาน 3.ขั้นปฏิบัติได้ภายใต้คาแนะนา: มีความสามารถในการเลียนแบบตาม พฤติกรรมของผู้ฝกึ และในการลองผดิ ลองถกู 4.ข้ันปฏิบัติได้จนคล่อง: มีความสามารถกระทาได้อย่างชานิชานาญ คลอ่ งแคลว่ ว่องไว 5.ขั้นปฏิบัติงานที่ซับซ้อนได้: มีความสามารถนาทักษะจากงานท่ีง่าย ฝึกจน สามารถปฏิบัติงานทซี่ ับซอ้ นได้ 6. ข้นั ปรบั ปรุง: มีความสามารถในการปฏบิ ตั ิงานจนปรับปรุงไดผ้ ลงานใหม่ ท่ี มคี ณุ ภาพ 7. ขั้นต้นแบบ: มีความสามารถในการปฏิบัติงานจนเป็นต้นแบบให้ผู้อื่นต้อง ปฏิบตั ิตาม

เจตพสิ ัย 107 เป็นการเรียนรู้ที่เน้นเกี่ยวกับความรู้สึก (feeling) ซึ่งมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของ ผเู้ รยี น เรียงลาดับจากซับซอ้ นนอ้ ยไปซับซ้อน มาก ดงั แผนภาพ แผนภาพ ลาดบั ความซบั ซ้อนของขน้ั วัตถปุ ระสงค์การสอนด้านเจตพสิ ยั 1. ขั้นรับรู้: มีความต้ังใจที่จะรับรู้ข้อมูลต่างๆแล้วเกิดการรับรู้ว่า อะไรเป็น อะไร 2. ขนั้ ตอบสนอง: แสดงออกตอบโต้กบั ขอ้ มลู และสถานการณท์ ีผ่ ูส้ อนสร้างขึน้ 3. ข้ันเห็นคุณค่า: เห็นของดีของเรื่องนั้นมากกว่าข้อเสีย เห็นว่าส่ิงนั้นๆมี คณุ ค่าหรือมปี ระโยชนอ์ ยา่ งไร 4. ขั้นจัดระบบคุณค่า: นาคุณค่าต่างๆมาประมวลแล้วพิจารณาจนยอมรับ คุณค่านน้ั ด้วยตวั ของผเู้ รียนเอง 5. ขัน้ สร้างลกั ษณะนสิ ัย: ปฏิบตั ติ ามคณุ ค่านัน้ จนออกมาเปน็ ลักษณะนิสัย วตั ถุประสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรม วัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม(behavioral objective) เป็นข้อความที่ขยาย ความวัตถุประสงค์การสอนให้ชัดเจน จนระบุออกมาเป็นพฤติกรรมของผู้เรียน เพ่อื ให้สามารถวัดพฤตกิ รรมท่ีเปลย่ี นแปลงไปไดอ้ ย่างชดั เจน เช่น วัตถุประสงค์การสอน ระบุว่า: ผู้เรียนตรวจวัดค่าออกซิเจนละลายน้าได้ โดย ใชช้ ดุ ทดสอบอยา่ งงา่ ย ไดอ้ ย่างคล่องแคลว่ ผู้สอนคิดว่าหากผู้เรียนตรวจวัดได้อย่างคล่องแคล่วแล้ว จะต้องแสดง พฤติกรรมอย่างไรออกมา ดังนั้นผู้สอนจึงกาหนดวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมว่า: ผู้เรียนทุกคน สามารถตรวจวัดค่าออกซิเจนละลายน้าโดยใช้ ชุดทดสอบอย่างง่าย ได้ ถูกตอ้ งภายใน 10 นาที

108 จากตัวอย่างจะเห็นไดว้ า่ วตั ถปุ ระสงคเ์ ชิงพฤติกรรมประกอบด้วย 3 สว่ น 1) พฤตกิ รรมทผี่ สู้ อนคาดหวงั ใหเ้ กิดขนึ้ ในตัวผ้เู รยี น: สามารถตรวจวัด คา่ ออกซิเจนละลายน้า 2) เง่ือนไขทกี่ อ่ ใหเ้ กดิ พฤตกิ รรมท่ีผู้สอนคาดหวังให้เกดิ ขึน้ ในตัวผู้เรยี น: โดยใช้ชุดทดสอบอยา่ งงา่ ย 3) มาตรฐานของพฤติกรรมทีผ่ ู้สอนคาดหวงั ใหเ้ กิดข้นึ ในตวั ผ้เู รยี น: ได้ถูกต้องภายใน 10นาที คากิริยาบ่งชพ้ี ฤตกิ รรม คาว่า“กริ ิยา”เปน็ คาภาษาบาลี มคี วามหมายเท่ากับ“กรยิ า เป็นคาภาษา สันสกฤต ในทนี่ ีจ้ ะใชค้ าว่า “กิรยิ า” การระบุพฤติกรรมที่ผู้สอนคาดหวังให้เกิดข้ึนในตัวผู้เรียนนั้น มีคากิริยาท่ี แสดงพฤติกรรมท่ีจะใช้ในการเขียนวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมในแต่ละวัตถุประสงค์ การสอนแต่ละด้าน ผู้เขียนมีความเห็นว่า“คากิริยา”ที่แสดงการกระทาบ่งชี้ถึง พฤติกรรม ควรเปน็ คาทีง่ ่ายต่อความเข้าใจของคนท่ัวไป และขณะเดียวกนั กส็ ามารถ ส่ื อ ส ะ ท้ อ น ใ ห้ เ ห็ น ภ า พ ข อ ง ร ะ ดั บ วั ต ถุ ป ร ะ ส ง ค์ ก า ร ส อ น ไ ด้ อ ย่ า ง ถู ก ต้ อ ง ต า ม ความหมายของระดับวตั ถุประสงคน์ ั้นๆ อย่างไรก็ตามคากิริยาบ่งชี้พฤติกรรมต่อไปนี้เป็นเพียงตัวอย่างเท่านั้น ดัง ตารางท่ี 1-3 ซ่ึงผู้อ่านสามารถคิดคากิริยาท่ีสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของตนข้ึนเอง ได้

109 ตารางที่ 1 คากิรยิ าบ่งชี้พฤติกรรม ดา้ นพทุ ธิพิสัย พุทธิพิสยั คากริ ยิ าบ่งชพ้ี ฤติกรรม ผู้เรยี น ผเู้ รยี น 1.ข้นั จา: มคี วามสามารถในการจาเรือ่ งราว ผู้เรียนบอก เขยี น เล่า สง่ิ ทผี่ สู้ อนได้ ตา่ งๆที่เรียนและระลกึ เรื่องเหล่าน้นั ได้ สอนไปแล้วได้ ถูกต้อง 2.ขั้นเขา้ ใจ: มีความสามารถ อธบิ ายสิง่ ท่ีผูส้ อนไดส้ อนไปแล้ว ด้วย 1) แปลความ (ถ่ายเทความหมายจาก คาพดู ของตนเองได้ ของเดิมเปน็ ของใหม่ที่ทาใหเ้ ขา้ ใจไดง้ ่ายขึ้น) 2) ตคี วาม (สรปุ ภาพรวมเป็นใจความ สรุปยอ่ สง่ิ ทีผ่ ู้สอนได้สอนไปแลว้ ได้ สนั้ ๆใหเ้ ข้าใจไดง้ ่ายขึน้ 3) ขยายความ (เสริมแต่งข้อความเดมิ ขยายความ ส่ิงทผี่ ้สู อนไดส้ อนไปแล้ว ทาใหช้ ดั เจนเขา้ ใจไดง้ า่ ยข้ึน) ได้ เชน่ ยกตัวอย่างประกอบการ อธบิ าย เขยี นภาพประกอบ เป็นตน้ 3.ขนั้ นาไปใช:้ มีความสามารถนาความรูท้ ี่ อธบิ าย ใหเ้ หตุผล ยกตวั อย่าง ได้เรยี นมาแลว้ ไปใชใ้ นสถานการณใ์ หม่ ต่าง สาธิตให้ดู สิ่งที่ผ้สู อนไดส้ อนไปแล้ว จากสถานการณ์เดมิ ท่ีเคยเรียนรู้มาแลว้ ไปใช้ในสถานการณ์ใหม่ที่แตกต่าง จากสถานการณเ์ ดิม 4. ข้นั วิเคราะห์: มีความสามารถในการ จาแนกแยกแยะใหเ้ หตผุ ลว่า แยกแยะว่า ส่ิงน้ันประกอบด้วยส่วนย่อยๆ ส่วนยอ่ ยส่วนใดท่มี ีความสาคัญมาก และสว่ นยอ่ ยเหลา่ นั้น เก่ียวขอ้ งกันอย่างไร มสี ่วนเกยี่ วพนั กันอย่างไร อาศยั หลกั การใด

110 (ตอ่ ) ตารางที่ 1 คากิรยิ าบ่งชพ้ี ฤตกิ รรม ด้านพทุ ธพิ ิสัย พุทธพิ ิสยั คากริ ยิ าบง่ ช้ีพฤตกิ รรม 5.ขนั้ สงั เคราะห์: มคี วามสามารถในการ ผสมผสานรวมส่วนย่อยเข้าด้วยกัน ผสมผสานสว่ นย่อยเข้าเป็นเรอ่ื งราวหรือ เป็นการสรา้ งสรรคส์ ิ่งใหม่ขน้ึ มา สิ่งใหมอ่ ีกรูปแบบหนึง่ แปลกแตกตา่ งไป จากของเดมิ ก่อนนามารวมกัน 6.ขน้ั ประเมินคา่ : มคี วามสามารถในการ ตดั สนิ เปรยี บเทียบของสง่ิ น้นั พจิ ารณาตดั สนิ เกย่ี วกับคุณคา่ เร่อื งใด โดยใช้เกณฑห์ รือมาตรฐานที่ เรอ่ื งหน่ึง หรอื ตัดสนิ ใจกระทาสิ่งใดส่งิ ผู้สอนได้สอนไปแล้ว หนง่ึ โดยเปรียบเทียบกับเกณฑ์หรือ มาตรฐานทีก่ าหนดเอาไวแ้ ล้ว

111 ตารางท่ี 2 คากริ ิยาบ่งช้ีพฤติกรรม ดา้ นทกั ษะพิสยั ทักษะพสิ ยั คากริ ยิ าบ่งชพี้ ฤตกิ รรม ผ้เู รยี น ผู้เรยี น 1.ขนั้ รบั ร:ู้ มคี วามสามารถในการใช้ประสาท บอกผลทไี่ ด้จากประสาทสมั ผัสท้งั 5 สัมผัสทัง้ 5 ในการรับรู้สิง่ ทีจ่ ะกระทา 2.ขั้นเตรยี มพร้อม: มีความสามารถในการ เตรียมวัสดุอุปกรณ์อย่างถูกต้อง เตรียมความพร้อมทีจ่ ะปฎิบตั ิ เมอ่ื รบั รสู้ ่ิงที่ และพรอ้ มใชง้ าน จะต้องกระทา 3.ขั้นปฏิบัตไิ ด้ภายใตค้ าแนะนา: มี ปฏิบตั ติ ามท่ีผู้สอนกาหนด ความสามารถในการเลยี นแบบตาม พฤตกิ รรมของผ้ฝู กึ และในการลองผดิ ลองถูก 4.ขัน้ ปฏิบัติไดจ้ นคล่อง: มีความสามารถ ปฏิบัติได้ด้วยตนเองอยา่ งชานาญ กระทาได้อยา่ งชานิชานาญคลอ่ งแคล่ว วอ่ งไว 5. ขน้ั ปฏบิ ัตงิ านท่ีซับซ้อนได้: มี ปฏบิ ัติงานท่ยี ่งุ ยากไดด้ ว้ ยตนเอง ความสามารถนาทกั ษะจากงานท่งี า่ ย ฝกึ จน สามารถปฏิบตั งิ านท่ซี ับซอ้ นได้ 6. ข้ันปรบั ปรุง: มคี วามสามารถในการ แกไ้ ขจนไดผ้ ลงานใหม่ ปฏิบัตงิ านจนปรับปรงุ ไดผ้ ลงานใหม่ทีม่ ี คณุ ภาพ 7.ข้นั ตน้ แบบ: มคี วามสามารถในการ สร้างข้ึนด้วยตนเองจนเป็นแบบ ปฏิบัติงานจนเปน็ ตน้ แบบใหผ้ ้อู ่ืนตอ้ งปฏบิ ัติ ฉบับ ตาม

112 ตารางที่ 3 คากิรยิ าบ่งช้ีพฤติกรรม ดา้ นเจตพสิ ัย เจตพสิ ยั คากริ ิยาบง่ ช้พี ฤตกิ รรม ผู้เรียน ผูเ้ รยี น 1.ขน้ั รบั ร:ู้ มคี วามตัง้ ใจท่ีจะรบั รู้ข้อมลู ซักถาม ฟังอย่างตั้งอกต้ังใจ และตอบ ต่างๆแลว้ เกดิ การรับรู้ว่า อะไรเป็นอะไร คาถามในเน้ือหาความรู้ท่ีผู้สอนได้ สอนไปแลว้ อยา่ งถกู ตอ้ ง 2. ขั้นตอบสนอง: แสดงออกตอบโต้กับ กระตือรือร้น ที่จะตอบข้อซักถามของ ขอ้ มูลและสถานการณท์ ผี่ ู้สอนสรา้ งขึน้ ผู้สอน/ ร่วมกิจกรรมทผี่ สู้ อนกาหนด 3.ขนั้ เหน็ คุณค่า: เห็นของดีของเร่อื งน้ัน อ ธิ บ า ย ป ร ะ โ ย ช น์ / ค ว า ม ส า คั ญ / มากกวา่ ข้อเสยี เหน็ ว่าสิ่งนั้นๆมคี ุณคา่ ความจาเป็นของเน้ือหาความรู้เร่ือง หรือมปี ระโยชนอ์ ย่างไร นนั้ ๆ 4.ขั้นจดั ระบบคุณคา่ : นาคณุ คา่ ต่างๆมา อธิบายเหตุผลของการจัดลาดับของ ประมวล แลว้ พจิ ารณาจนยอมรบั คุณค่า คุณคา่ ตา่ งๆ นน้ั ดว้ ยตวั ของผเู้ รียนเอง 5.ขนั้ สร้างลักษณะนิสยั : ปฏิบัติตาม ปฏิบัติตาม/ประพฤติตามคุณค่านั้นๆ คุณค่าน้ันจนออกมาเปน็ ลักษณะนสิ ยั เปน็ ประจาสม่าเสมอ

113 ประสบการณเ์ พื่อการเรยี นรู้ คาว่า“ประสบการณ์เพ่ือการเรียนรู้”(learning experience) ได้ ปรากฏในหนังสือช่ือ “Basic Principles of Curriculum and Instruction” ตีพิมพ์เมื่อปี ค.ศ.1949 ของศาสตราจารย์ Ralph W. Tyler ผู้ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็น “บิดาแห่งการพัฒนา หลักสูตรสมัยใหมข่ องประเทศสหรฐั อเมรกิ า” ภาพ ศาสตราจารย์ Ralph W. Tyler ทีม่ า: https://www.amazon.ae/Educating-America-Ralph-Tyler-Taught/dp/0275981975 https://www.amazon.com/Basic-Principles-Curriculum-Instruction-Paperback/dp/B010TS5E62 ความหมายของประสบการณเ์ พ่ือการเรียนรู้ คาว่าประสบการณ์เพื่อการเรียนรู้(learning experience: L.E.) นั้นเกิดจาก การรวมกันของคาว่าการเรียนรู้(การเปลี่ยนพฤติกรรม อันเนื่องมาจากการมี ประสบการณ์) และประสบการณ์(การได้ประสบมาด้วยตนเอง หรือเข้าไปเก่ียวข้อง กับเหตุการณ์แล้วเกิดความรู้) เมื่อนาคาสองคามารวมกัน ประสบการณ์เพ่ือการ เรียนรู้ จึงหมายถึง การแสดงออกอย่างกระตือรือร้นของผู้เรียนต่อสถานการณ์ที่ ผู้สอนสร้างข้ึนจนบรรลุวัตถุประสงค์ท่ีกาหนดไว้ ซ่ึงส่งผลให้ผู้เรียนเกิดการเปลี่ยน พฤตกิ รรม ประสบการณ์เพื่อการเรียนรู้น้ีถือได้ว่าเป็นฟันเฟืองสาคัญท่ีสุดของการจัดการ เรียนการสอนท่ีมุ่งเน้นไปที่ตัวผู้เรียนและผู้สอน ซึ่งทั้งสองส่วนน้ีจะตอ้ งมีปฏิสมั พันธ์ (interaction)ตอ่ กนั โดยท่ี ผู้สอนทาหน้าที่จัดสร้างสถานการณ์การเรียนรู้ (learning situation: L.S.) ใหก้ ับผู้เรียน ผเู้ รียน......ทาหน้าทตี่ อบสนอง (interaction: ปฏิสัมพันธ)์ ต่อสถานการณ์การ เรียนรู้ที่ผู้สอนได้จัดสร้างข้ึนอย่างกระตือรือร้นจนผู้เรียนมีความรู้และ/หรือมีทักษะ และ/หรอื มีเจตคติ ในเน้อื หาความรตู้ ามทีผ่ ู้สอนต้องการ

114 องคป์ ระกอบของประสบการณเ์ พือ่ การเรียนรู้ L.E. ประกอบดว้ ย 6 องค์ประกอบ คือ 1) เน้อื หาความรู้ 2) วตั ถปุ ระสงคก์ าร สอน 3) วตั ถุประสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรม 4) สถานการณก์ ารเรียนรู้ ประกอบดว้ ย กิจกรรม การเรียนรู้ในเนอื้ หาความร้ทู ่ผี ู้สอนสร้างขึน้ กบั กจิ กรรมที่ผ้เู รียนกระทา5) สอ่ื ช่วยสอน และ 6) การประเมนิ ผล ซง่ึ จดั เรียงอยู่ในรูปของตาราง ดังภาพ เนือ้ หา วตั ถปุ ระสงค์ วตั ถุประสงค์ สถานการณก์ ารเรยี นรู้ ส่ือชว่ ย ประเมินผล ความรู้ การสอน เชิง สอน กจิ กรรมการเรียนรู้ในเนอื้ หา กจิ กรรมท่ี พฤติกรรม ความรูท้ ผี่ ู้สอนสรา้ งขึ้น ผู้เรียนกระทา แผนภาพ ตารางประสบการณ์เพอ่ื การเรียนรู้ เนอ้ื หาความรู้ เนื้อหาความรู้(subject matter) หมายถึง ข้อเท็จจริงท่ีเป็นสาระความรู้ท่ี ทันสมัยถูกต้องตามหลักวิชาการของศาสตร์น้ันๆ จาแนกออกไดเ้ ป็น 2 ประเภทไดแ้ ก่ เน้ือหาความรู้ภาคความรู้ (knowing element) และเนื้อหาความรู้ภาคปฏิบัติ (doing element) 1.เนื้อหาภาคความรู้ (knowing element) หมายถึง เนื้อหาความรู้ที่ทาให้ ผู้เรียนเกิดความรู้ ซึ่งแบ่งออกเป็นเน้ือหาข้อเท็จจริง (ข้อเท็จจริงเฉพาะเจาะจง ขอ้ เท็จจรงิ ที่เปน็ เกณฑ์ /มาตรฐาน ข้อเทจ็ จริงที่เปน็ เจตคติ) เน้อื หาความคดิ รวบยอด และเนื้อหาหลกั การ 2. เนื้อหาภาคปฏิบัติ หมายถึง เนื้อหาความรู้ท่ีทาให้ผู้เรียนเกิดทักษะในการ ทา เป็นเนอื้ หาทร่ี ะบถุ งึ วธิ ดี าเนินการ หรอื ระบุขัน้ ตอนการทางาน

115 สาระสาคญั ของเนือ้ หาความรู้แต่ละประเภท แผนภาพ สาระสาคัญของเนื้อหาความร้แู ต่ละประเภท

116 การวิเคราะหแ์ ละเรียบเรยี งเนื้อหาความรู้ โดยท่ัวไปเนื้อหาความรู้ที่นักวิชาการเขียนข้ึนนั้น มีลักษณะของการขยาย ความ มีการยกตัวอย่าง มีภาพประกอบเพื่อช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจง่าย แต่สาหรับการจดั L.E.นั้น เนื้อหาความรู้เหล่านั้นต้องนามาเรียบเรียงใหม่ ให้สอดคล้องกับประเภท เนือ้ หาความร้นู ้ันๆ ดังน้ี แผนภาพ การวิเคราะห์และเรียบเรยี งเนอ้ื หาความรแู้ ต่ละประเภท

117 วัตถปุ ระสงค์การสอน ความสัมพันธร์ ะหวา่ งเน้อื หาความรู้กับวัตถปุ ระสงค์การสอน ความสัมพันธ์ระหว่างเนื้อหาความรู้กับวัตถุประสงค์การสอน เป็นการ วิเคราะห์ว่า ประเภทเน้ือหาความรู้ ได้แก่ เนื้อหาความรู้ภาคความรู้ 1) ข้อเท็จจริง เฉพาะเจาะจง ข้อเท็จจริงเกณฑ์ / มาตรฐาน และข้อเท็จจริงเจตคติ 2) ความคิด รวบยอด 3) หลักการ และเนื้อหาความรู้ภาคปฏิบัติ ควรอยู่ตรงกับวัตถุประสงค์การ สอนระดับใด ดงั น้ี ประเภทเน้ือหาความรู้ ควรเป็น ระดบั วตั ถุประสงคก์ ารสอนขั้นสงู สุด ควรไปถงึ 1.ขอ้ เทจ็ จรงิ เฉพาะเจาะจง ขั้นจา (พทุ ธิพิสัย) 2.ขอ้ เท็จจรงิ ท่เี ปน็ มาตรฐาน/เป็นเกณฑ์ ควรไปถงึ ขนั้ ประเมินค่า (พุทธิพสิ ยั ) ควรไปถึง 3.ขอ้ เท็จจรงิ เจตคติ ควรไปถึง ขั้นเหน็ คุณคา่ (เจตพิสยั ) 4.ความคดิ รวบยอด ควรไปถึง ขั้นเข้าใจ - นาไปใช้ (พทุ ธิพสิ ัย) 5.หลักการ ขั้นประเมนิ ค่า (พุทธิพิสัย) 6.ปฏบิ ัติ ขน้ั ปฏิบัติได้ภายใต้คาแนะนา(ทักษะพิสยั ) วัตถุประสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรม คือ ข้อความท่ีขยายความวัตถุประสงค์การสอนให้ชัดเจน จนระบุออกมา เป็นพฤติกรรมของผู้เรียน เพื่อให้สามารถวัดพฤติกรรมที่เปล่ียนแปลงไปได้อย่าง ชัดเจน ตัวอย่างเช่น วัตถุประสงค์การสอน ระบุว่า: ผู้เรียนตรวจวัดค่าออกซิเจน ละลายน้าโดยใช้ชุดทดสอบอย่างง่ายได้อย่างคล่องแคล่ว (รายละเอียดนาเสนอไว้ใน เรอื่ งวัตถุประสงคก์ ารสอน) สถานการณก์ ารเรียนรู้ สถานการณ์การเรียนรู้(learning situation: L.S.) มาจากคาว่า สถานการณ์ ซ่ึงหมายถึง เหตุการณ์ที่กาลังเป็นไป และการเรียนรู้ หมายถึง การเปลี่ยนแปลง พฤติกรรม ดังน้ัน L.S. จึงหมายถึง การท่ีผู้เรียนเกิดการเรียนรู้(ผู้เรียนคนนั้นได้เกิด การเปล่ียนแปลงพฤติกรรมข้ึนในตวั ของผู้เรียนเอง) จากเหตุการณ์ที่กาลังเป็นไปด้วย ตนเอง

118 ตัวอย่างเช่น ผู้สอนต้องการสอนการว่ายน้าในช้ันเรียน โดยผู้สอนอธิบาย ข้ันตอนพร้อมทั้งฉายวีดีทัศน์ให้ดู แต่เมื่อนาผู้เรียนลงสระว่ายน้า ปรากฏว่าว่ายน้า ไม่เป็น แสดงว่า ส่ิงที่ผู้สอนจัดทาขึ้น คือ การบรรยายน้ันไม่ได้ช่วยให้ผู้เรียนเกิด ประสบการณ์เพ่ือการเรียนรู้ในการว่ายน้าเพราะผู้เรียนยังว่ายนา้ ไม่ได้ แต่ถ้าผสู้ อน พาผู้เรียนไปสระว่ายน้า อธิบายขั้นตอนแล้วให้ผู้ท่ีว่ายน้าเป็นลงสระว่ายน้าแสดง ขั้นตอนเป็นการสาธิตให้ดู แล้วให้ผู้เรียนได้ลงว่ายน้าจริงๆ จนสามารถว่ายเป็นจึงจะ ถือได้ว่าเปน็ ประสบการณเ์ พือ่ การเรียนรกู้ ารว่ายน้า นนั่ คือ สถานการณก์ ารเรียนรู้ท่ี ผู้สอนจัดขึ้น นับแต่การเตรียม โดยการอธิบายวิธีว่าย ผู้เรียน ลงมือวา่ ยนา้ จนกระท่งั เกิดการ เรียนรู้โดยเปล่ียนพฤติกรรม จากวา่ ยนา้ ไมเ่ ปน็ จนว่ายน้าได้ ส่อื ชว่ ยสอน คือ ส่ิงที่จะช่วยสอนเนื้อหาความรู้ที่ต้องการให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ ในอดีต เคร่ืองช่วยสอนของครูหรือนักส่งเสริมการเกษตรท่ีใช้ในการสอน การเผยแพร่ความรู้ เรียกว่า “โสตทัศนูปกรณ์” หรือ“โสตทัศนอุปกรณ์”(audio-visual aids) (บุญธรรม, 2540) คือ ส่ิงที่มองเห็นได้ ส่ิงที่ได้ยินเสียง เช่น ของจริง ของจาลอง รูปภาพ สไลด์ powerpoint แผ่นใส แผ่นข้อความ บัตรข้อความ แผ่นภาพ ภาพถ่าย ภาพยนตร์ เอกสารส่ิงพิมพ์ต่างๆ เป็นต้น”แต่ในปัจจุบันเทคโนโลยีสารสนเทศได้เข้ามามีบทบาท สาคัญมากข้ึน จึงมีการนาเทคโนโลยีสารสนเทศ ใช้เป็นช่องทางเผยแพร่ส่ือช่วยสอน ในหลากหลายรูปแบบ เช่น การใช้ line application ในการติดต่อส่ือสาร การ ประชุมกลุ่ม การส่งภาพ การส่ง clip เพื่อช่วยสอนเน้ือหา ความรู้ต่างๆ ที่ต้องการให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้อย่าง รวดเร็ว ตัวอย่างเช่น เนื้อหาความรู้ท่ีต้องการให้ผู้เรียนเกิด การเรียนรู้ภาคปฏิบัติ สื่อช่วยสอนจะต้องช่วยให้ผู้เรียนได้ฝึกปฏิบัติได้ เช่น เน้ือหา ความรู้การตรวจวัดคุณภาพน้า ส่ือช่วยสอนจะต้องเป็นของจริง คือ อุปกรณ์สาหรับ การตรวจวดั คณุ ภาพน้าใหผ้ เู้ รยี นไดส้ ัมผัสและฝึกใช้งานจริงและสามารถปฏิบตั ไิ ด้

119 ส่วนความรู้ท่ตี ้องการให้ผูเ้ รียนเกิดการเรียนรภู้ าคความรู้นนั้ นอกจากจะใช้ส่ือ ช่วยสอนที่เป็นโสตทศั นูปกรณแ์ ลว้ ยังสามารถใช้ส่ือ online เพ่ือใหผ้ ู้เรยี นเกดิ ความ เขา้ ใจในเนื้อหาความรู้ท่ีต้องการให้เกดิ ขน้ึ ในตัวผู้เรยี น เชน่ การใช้แอพพลิเคชน่ั Air4Thai เพ่อื ตรวจสอบคุณภาพอากาศของประเทศไทย ซ่งึ ชว่ ยให้ผู้เรยี นได้เรียนรู้ เก่ียวกบั สถานการณม์ ลพิษทางอากาศทเ่ี กดิ ขึน้ จริงในสถานทจี่ ริงได้อยา่ งชัดเจน การประเมินผล การประเมินผล (evaluation) เป็นการประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนตาม วัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมที่ผู้สอนตอ้ งการให้เกิดข้ึนในตัวผู้เรียนในทันทีที่ผู้เรียนได้มี ปฏสิ มั พนั ธ์กับกิจกรรมการเรียนรู้ที่ผูส้ อนสรา้ ง ตัวอย่างตาราง L.E. ผู้เขียนทาการวิจัยเรื่อง การสร้างชุดประสบการณ์เพื่อการเรียนรู้ เรื่อง แมลงในแปลงนาข้าว จังหวัดเพชรบุรี สาหรับนักเรียน ปวช.โครงการอาชีวศึกษาเพ่อื การพัฒนาชนบท: กรณีศึกษาวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีเพชรบุรี (ลาวัณย์ และ ศักดิ์ศรี, 2561) และได้สร้างตาราง L.E.ข้ึนใช้ในการวิจัย ซึ่งผู้เขียนได้นามาใช้เป็น ตัวอย่างในทน่ี ี้ หลักคดิ : สร้างสถานการณก์ ารเรียนรู้

120 ถอดรหัสคดิ : Think: An Introductory Analysis ของ ดร.โสภณ ธนะมยั (2561) ซ่งึ ได้นาเสนอแผนภาพโครงร่างของการเกดิ ความคิด โดยมีรายละเอียดดังนี้ แผนภาพ โครงร่างแสดงการเกดิ ความคดิ จากโครงร่างแสดงการเกดิ ความคดิ สามารถนามาถอดรหัสไดว้ ่า ความคดิ (T) จะเกิดขึ้นได้ จะต้องมี...ข้อเท็จจริงท่ีรู้ F2 มาก่อน เหมือนกับต้องมีทุนความรู้เดิมท่ี เกีย่ วขอ้ งกบั ความคิดท่ีจะเกดิ ขนึ้ แตก่ ารท่ีจะเกิดความคิดขน้ึ ได้นน้ั จะตอ้ งมีสาเหตุให้ คิด ซ่ึงก็คือ ข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับ F2 แล้วก่อให้เกิด...ความคิด (T) ขึ้นมา นั่นก็คือ...ข้อเท็จจริงเหตุให้คิด F1 นั้นเอง ดังตัวอย่างจากหนังสือถอดรหัส คดิ แผนภาพ โครงรา่ งแสดงการเกดิ ความคิด จากตัวอย่างอนุสาวรียส์ นุ ทรภู่ สะท้อนให้เห็นว่า ในการจัดการเรียนการสอน น้ัน ผู้เรียนจะต้องมี F2 ก่อน คือ เน้ือหาความรู้เดิมของตน หรือเป็น F2 ท่ีได้จากการ

121 ได้ความรู้จากผู้สอน จากน้ันผู้สอนมีหน้าท่ีตั้ง F1 ข้อเท็จจริงเหตุให้คิดให้กับผู้เรียน เพ่ือให้ผู้เรียนได้ใช้ F2 ข้อเท็จจริงท่ีรู้ท่ีมีอยู่เป็นต้นทุนของการคิด (T) ซ่ึงจะ ก่อให้เกดิ “ความคดิ ”ข้ึนในตวั ผู้เรียน การแสดงออกของความคิดท่ีเป็นรูปธรรมของผู้เรียน จะออกมาในลักษณะ ของการพูด เขยี น และทา ดังนน้ั เม่อื ผู้เรียน พูด เขียน และทาตามทผี่ สู้ อนกาหนด ( F1 หรือข้อเท็จจริงเหตุให้คดิ ) ก็ทาให้เรารู้ว่า ผู้เรียนได้เกิดกระบวนการคิดแล้ว ถ้า คดิ ไดถ้ ูกต้อง แสดงวา่ ผู้เรียนมี F2 มากพอจงึ ตอบ F1 ได้ ในทางตรงกันข้ามหากผู้สอนต้ัง F1 แล้วผู้เรียนตอบไม่ได้ เขียนตอบไม่ได้ หรือทาไมไ่ ด้ แสดงว่า ผู้เรยี นมี F2 ไมเ่ พยี งพอ ผู้สอนกต็ อ้ งจดั สถานการณ์เพือ่ เติม F2 ให้กลบั ผู้เรียน แผนภาพ สรปุ โครงรา่ งการแสดงออกของความคิด สรปุ องคค์ วามรูข้ องศาสตร์ เมือ่ พดู ถงึ ส่งิ แวดลอ้ มศกึ ษา ก็ต้องร้แู ละเข้าใจด้านการศกึ ษาดว้ ย

122 องคค์ วามรทู้ างการศึกษาทาใหต้ ระหนกั รู้ (aware) วา่ ความหมายของการศึกษาที่เป็นรูปธรรม คือ การเรียนรู้ของบุคคลในทุกเรื่อง ทุกสิ่งที่ทาให้พฤติกรรมเกิดการเปล่ียนแปลงในมิติทางด้านพุทธิพิสัย (cognitive domain) ทักษะพสิ ัย(psychomotor domain) เจตพสิ ัย (affective domain) วัตถุประสงคก์ ารสอนทางดา้ นพุทธิพิสยั (knowledge) ประกอบด้วย 6 ระดับ จากซบั ซอ้ นนอ้ ยไปสซู่ ับซ้อนมาก วัตถุประสงค์การสอนทางด้านทักษะพิสัย (skill) ประกอบด้วย 7 ระดับ จาก ซับซอ้ นนอ้ ยไปสซู่ บั ซ้อนมาก วัตถุประสงค์การสอนทางด้านเจตพิสัย (affective ) ประกอบด้วย 5 ระดับ จากซับซอ้ นนอ้ ยไปสซู่ บั ซอ้ นมาก จากวัตถุประสงค์การสอน เม่ือนามาระบุออกเป็นพฤติกรรมของผู้เรียน เพ่ือให้สามารถวัดพฤติกรรมที่เปล่ียนแปลงไปได้อย่างชัดเจน คือ วัตถุประสงค์เชิง พฤติกรรม ซึง่ ใช้เปน็ ฐานสาหรบั การประเมินผลการเรียนรู้ การกาหนดวัตถุประสงค์การสอนข้ึนอยู่กับประเภทเน้ือหาหาความรู้ว่าเป็น เนอื้ หาภาคความรู้ (knowing) หรอื ภาคปฏิบัติ (doing) สถานการณ์การเรียนรู้ (learning situation: L.S.) เป็นกิจกรรมที่ผู้สอน กาหนดให้เกิดปฏิสัมพันธ์กับผู้เรียน โดยมีสื่อช่วยสอนเป็นส่ือกลางทาให้เกิดการ เรียนรู้ ตารางประสบการณ์เพ่อื การเรยี นรู้(ตาราง L.E.) ประกอบดว้ ย 6 องคป์ ระกอบ ถือว่าเป็น innovation เกี่ยวกับแผนการสอน ซึ่งสามารถนาไปทดสอบประสิทธิภาพ ด้วยวธิ กี ารวจิ ยั เรียกว่า การวจิ ัยและพฒั นาทางการศึกษา (R&D ทางการศกึ ษา) ความคิดจะเกิดข้ึนได้ จะต้องมีข้อเท็จจริงที่รู้(F2) คือ มีทุนความรู้เดิมท่ี เกี่ยวข้องกับความคิดที่จะเกิดข้ึนอย่างเพียงพอโยงกับข้อเท็จจริงเหตุให้คิด (F1) จน ทาใหเ้ กิดความคิด ซึ่งแสดงออกมาในรูปแบบของการพูด การเขียน และการกระทา ส่วนท่ี 3.4 การสง่ เสรมิ การเกษตร ความคิดรวบยอด (concept) ทางสง่ เสริมการเกษตรท่ีสาคัญกบั การวางโครง

123 การสง่ เสริมสิ่งแวดล้อมศกึ ษาชุมชนซ่งึ สมควรนาเสนอประกอบด้วย 1) ความหมาย ของการส่งเสรมิ การเกษตร 2) ลกั ษณะงานสง่ เสรมิ การเกษตร 3) โสตทัศนูปกรณ์ใน การส่งเสริมการเกษตร 4) หลักการส่งเสรมิ การเกษตร 5) วธิ กี ารส่งเสริม 6) วิธีการ สอน และ7) การยอมรับนวัตกรรม ความหมายของการสง่ เสรมิ การเกษตร ศ.ดร.บุญธรรม จติ ตอ์ นันต์ (2540) ไดอ้ ธบิ ายถงึ ความหมายของการสง่ เสรมิ การเกษตรไวใ้ นหนังสือ “ส่งเสริมการเกษตร”ว่า การสง่ เสรมิ การเกษตร (agricultural extension) หมายถึง การนา ความรู้ วิธีการ และเทคนิคใหมๆ่ ทางการเกษตรไปแนะนาเผยแพรใ่ หแ้ ก่ ประชาชนโดยเฉพาะอย่างยงิ่ เกษตรกร แลว้ ตดิ ตามใหค้ าแนะนาช่วยเหลอื จนบงั เกดิ ผลสาเรจ็ .....ขณะเดียวกันก็นาเอาปัญหาตา่ ง ๆ ทางเกษตรมา วเิ คราะห์หาหนทางแก้ไข ดงั แผนภาพ แหลง่ ความรู้ บคุ คลเปา้ หมาย (ผเู้ รียน)  กรมตา่ งๆในกระทรวง  เจ้าหน้าทสี ง่ เสริม  เกษตรกร เกษตรและสหกรณ์ เชน่ (ถา่ ยทอดความรโู้ ดย  แมบ่ ้าน กรมวิชาการเกษตร กรม วธิ ีการสง่ เสริมแบบ  เยาวชน ประมง กรมปศสุ ตั ว์ ตา่ งๆและสื่อตา่ งๆ)  บคุ คลอนื่  สถาบนั การศึกษาตา่ งๆ  สถาบันวิจยั  แหลง่ ความรู้ทาง การเกษตรอน่ื ๆ แผนภาพ กระบวนการส่งเสรมิ การเกษตร ลักษณะงานสง่ เสรมิ การเกษตร

124 ลกั ษณะงานสง่ เสริมการเกษตรนนั้ ศ.ทานอง สงิ คาลวาณิช (2514) เขียนไวใ้ น หนงั สอื “การเกษตรกับการพัฒนา”ว่า.... ....หน้าที่ของงานส่งเสริมการเกษตรจะอยู่ระหว่างงานวิจัยกับ เกษตรกร ....โดยเร่ิมต้ังแต่เจ้าหน้าท่ีเข้าปฏิบัติงานร่วมกับ (participation)เกษตรกร และพร้อมกันนั้นก็ได้ทาการถ่ายทอด (transmitting ) ความรู้(technical knowledge) ที่ได้จากการ ค้นคว้า(research finding)ไปสู่เกษตรกร แต่ว่างานส่งเสริม การเกษตรจะยังไม่สมบูรณ์จนกว่าเกษตรกรจะเข้าใจและนาไป ปฏิบัติตามแล้วได้ผล เช่น ที่ได้เรียนรู้หรือประสบพบมา (adoption) ....ดงั แผนภาพ การวิจัย การส่งเสรมิ 2.การทดลอง 1.การคน้ ควา้ วิจัย 7.ลาดับความสาคญั (เพ่อื ความเหมาะสม (ของปญั หาท่ีตองวจิ ยั ) กับสภาพพนื้ ท่ี) วงจรการส่งเสรมิ 6.วนิ คจิาแฉนัยะปนัญา หา 3.การเผยแพร่ (เจา้ หนา้ ที่ส่งเสริม (โดยวธิ กี ารต่างๆ) แก้ไขได-้ ไมไ่ ด)้ แผนภาพ วงจรการสง่ เสรมิ 5.ปัญหา 4.เกษตรกร (ผูป้ ฏิบัตติ ามคาแนะนา) (ท่เี กษตต่ารงกๆรไมอ่ าจชว่ ยตัวเองได้) จะเห็นได้วา่ ลักษณะงานส่งเสรมิ การเกษตรนน้ั เจา้ หน้าทีส่ ่งเสริมการเกษตร จะทาหนา้ ที่เป็นตัวกลางประสานความร่วมมอื ในลกั ษณะ two way communication คือ 1) ร่วมกับเกษตรกรเพอ่ื วินจิ ฉยั ปญั หาของชุมชน 2) นาความรู้หรอื วิธีการที่เหมาะสมในการแก้ไขปญั หาของชมุ ชนถา่ ยทอด สชู่ ุมชนน้นั ๆ 3) สง่ ตอ่ ปญั หาของชุมชนที่ยังขาดแนวทางการแกไ้ ขท่เี หมาะสมไปสกู่ ารวจิ ัย

125 เพอื่ ค้นหาคาตอบ ลักษณะงานสง่ เสรมิ การเกษตรดังกลา่ วนี้ สามารถนาไปส่กู ารแก้ไขปญั หาของ เกษตรกรได้ ดงั แผนภาพ แผนภาพ ลักษณะงานส่งเสริมการเกษตรแก้ไขปญั หาของเกษตรกร โสตทัศนปู กรณใ์ นการสง่ เสรมิ การเกษตร โสตทัศนปู กรณ์ หมายถงึ สงิ่ ท่เี รามองเห็นได้และได้ยนิ เสียง ซงึ่ เป็นเครื่องช่วย สอนของครู โสตทัศนูปกรณ์ หรือ สื่อ (media) ใช้กันในงานส่งเสริม แบ่งออกเป็น กลมุ่ ๆ (บุญธรรม, 2540) คือ 1. แผ่นป้าย (boards) ได้แก่ กระดานชอล์ค (chalkboard) ไวท์บอร์ด (whiteboard) ปา้ ยกระดาษ (paper pads) 2. วั ส ดุ ก ร า ฟ ฟิ ก ส์ ( graphics) ไ ด้ แ ก่ แ ผ น ที่ ( map) ก ร า ฟ (graph) ประกอบด้วย กราฟเส้น(lime graph) กราฟแท่ง(bar graphic) กราฟวงกลม(circle ห รื อ pie graphic) ก ร า ฟ รู ป ภ า พ ( pictorial graph) แ ล ะ ก ร า ฟ แ บ บ ผ ส ม (combination graphs) แผนภูมิ(charts) ประกอบด้วย แผนภูมิหน่วยงาน (organization chart) แผนภูมติ อ่ เนื่อง(flow chart) แผนภูมสิ ายธาร(stream chart) และแผนภูมิต้นไม้(tree chart) ภาพพลิก(flip chart) แผนผัง (diagram) ภาพ โฆษณา (posters) ภาพการต์ ูน (cartoons)

126 3. วัสดุส่ิงพิมพ์ (published materials) ได้แก่ แผ่นปลิว หรือใบปลิว (leaflets) เอกสารเผยแพร่ (pamphlets) จดหมายเวียน (circular letters) หนังสอื พมิ พ์ (newspapers) 4. ของจริง (real objects) และของจาลอง (model) 5. ภาพน่ิง (still pictures) ได้แก่ ภาพแบบราบท่ีทึบแสง (flat pictures) ภาพโปรง่ แสง (transparent pictures) สไลด์ (slides) ฟลิ ์มสตรบิ (filmstrips) 6. นิทรรศการ (exhibits) 7. วิทยุ (radio) 8. ภาพยนตร์ (motion pictures) 9. โทรทศั น์ (television) โสตทัศนูปกรณ์แตล่ ะอย่างมีขอ้ ดีข้อจากัด จะต้องศกึ ษาและเลือกใช้ให้เข้ากบั วิธีการส่งเสริม บางคร้ังอาจต้องใช้ผสมผสานกันหลายอย่าง เพื่อให้ได้ผลสูงสุดในการ ถา่ ยทอดความรู้กับบุคคลเป้าหมาย หลักการสง่ เสรมิ การเกษตร ศ.ทานอง สิงคาลวณชิ (2514) ได้ใหห้ ลักการดาเนินการส่งเสริมการเกษตร ไว้ ดงั น้ี 1. เปน็ การใหก้ ารศกึ ษาแบบไมเ่ ปน็ พธิ กี าร(นอกหอ้ งเรยี น/ในไรน่ า/ข้างถนน ) 2. เริม่ ด้วยสภาพทแ่ี ท้จรงิ ของเกษตรกร....ต้องเริม่ ด้วยการเข้าถึงเยี่ยมเยยี น เกษตรกรยังไรน่ าเพอ่ื ทราบถงึ สภาพทรพั ยากรตา่ งๆ รวมท้ังขนบธรรมเนยี ม ประเพณี ตลอดจนการดารงชวี ิตรว่ มกนั ในสังคม 3. ให้โอกาสเกษตรกรเรียนร้ดู ว้ ยการทาเอง 4. การแนะนาสง่ เสรมิ ตอ้ งคานงึ ถงึ ความตอ้ งการของเกษตรกร 5. ปฏิบตั ิงานกบั สมาชิกทุกคนในครอบครวั 6. ใช้ทรัพยากรวชิ าการในท้องถน่ิ เป็นหลกั เริ่มต้น 7. มีวธิ ปี ฏบิ ัตทิ ่ดี าเนินการตอ่ เนอื่ งไปอยา่ งไม่มวี ันร้จู บ 8. มวี ิธีดาเนินการที่เป็นประชาธปิ ไตย 9. สร้างผู้นาท้องถ่ิน

127 10. มีโครงการ หรือแผนปฏบิ ัตงิ านทแี่ นน่ อน 11. การตดิ ตามงานและมโี อกาสได้ปรบั ปรุงให้การดาเนินงานเป็นไปอย่างมี ประสทิ ธภิ าพ 12. การรายงานผลว่า การดาเนินงานไปแลว้ ไดผ้ ลอย่างไร วธิ ีการสง่ เสรมิ วิธีการส่งเสริม ผเู้ ขียนไดค้ ดั ลอกโดยสรปุ จากหนังสอื “สงิ่ แวดลอ้ มศกึ ษา: แนวทางส่กู ารปฏิบตั ิ” (2559) ของผู้เขยี น ดังนี้ ศ.ทานอง สิงคาลวณิช ได้อธิบายถึงวิธีการส่งเสริมที่ใช้ในการส่งเสริม การเกษตรไว้ ในหนังสอื “เกษตรไทย” พ.ศ.2517 เอาไวว้ ่า ..... เนือ่ งจากเป้าหมายการปฏิบัติงานส่งเสริมการเกษตรอยู่ท่ีตัว เกษตรกร ฉะนั้นวิธีการส่งเสริมที่จะนามาใช้ได้ ก็คือ ระบบการ เข้าถึงเกษตรกร ซึ่งจาแนกออกได้เป็น การส่งเสริมแบบเป็น รายบุคคล การส่งเสริมแบบเป็นกลุ่มบุคคล และการส่งเสริมแบบ เปน็ มวลชน….. บุญธรรม จิตต์อนันต์ (2540) และ ดิเรก ฤกษ์หร่าย (2518) นักวิชาการทาง ส่งเสริมการเกษตรไดข้ ยายความถงึ วธิ กี ารส่งเสริมโดยใชร้ ะบบการเข้าถึงเกษตรกรทั้ง 3 ลักษณะ ซึ่งประมวลได้วา่ 1. วิธีการส่งเสริมแบบเป็นรายบุคคล เป็นวิธีการเข้าถึงรายบุคคล เช่น การ เย่ียมเยียนที่บ้านและไร่นา บุคคลมาพบที่สานักงาน การติดต่อทางโทรศัพท์ และการ ติดต่อทางจดหมาย เป็นต้น 2. วิธีการส่งเสริมแบบเป็นกลุ่มบุคคล เป็นวิธีการเข้าถึงกลุ่มบุคคล เช่น การสาธิตวิธี การสาธิตผล การประชุม การบรรยาย การประกวด การจัดดูงาน การ ฝึกอบรม การสัมมนา และการจดั งานวันเกษตร เป็นตน้ 3. วิธีการส่งเสริมแบบเป็นมวลชน เป็นวิธีการเข้าถึงคนกลุ่มใหญ่ หรือ ประชาชนทั่วไป โดยเป็นการติดต่อผ่านทางส่ือมวลชน เช่น ผ่านวิทยุ ส่ิงตีพิมพ์ และ โทรทัศน์ เป็นต้น

128 วธิ กี ารในการสอน ชยั ฤทธิ์ โพธสิ วุ รรณ (2543) อา้ งถงึ Knox (1981) นกั การศกึ ษานอกระบบผู้มี ชื่อเสียงของสหรัฐอเมรกิ า ไดจ้ าแนกวธิ กี ารออกเปน็ 5 กล่มุ แตใ่ นทน่ี จ้ี ะนาเสนอพยี ง 3 กลุ่มที่สาคัญ ซ่ึงสอดคล้องกับวิธีการส่งเสริมการเกษตร 1.รายบุคคล (individual) ผู้เรียนแตล่ ะคนมปี ฏิสัมพันธก์ ับผู้สอนและวัสดุการ สอนโดยตรง แตไ่ มม่ ปี ฏสิ มั พนั ธ์กับผ้เู รียนคนอน่ื เป็นกระบวนการเฉพาะของบคุ คล (individualization) และการชนี้ าตนเอง (self-directed) ประกอบด้วยเทคนิค 1.1 การสอนโดยผชู้ านาญ (coaching) ผชู้ านาญการสาธติ ให้ดูในสภาพจริง 1.2 การสอนโดยใช้คอมพิวเตอร์ช่วย (computer-assisted instruction) ผูเ้ รยี นมปี ฏิสัมพันธก์ บั โปรแกรมคอมพิวเตอร์ 23ซึ่งมีเนื้อหาและกระบวนการให้เรยี นรู้ 1.3 การเรียนทางไปรษณีย์ (correspondence) เนื้อหา วัสดุสาหรับการ เรียน เช่น เอกสารหรือเทปเสียงส่งไปทางไปรษณีย์ ผู้เรียนศึกษาทาแบบฝึกหัดและ แบบทดสอบ แล้วสง่ กลบั มายังผูส้ อนเพื่อตรวจสอบและแจง้ ผลกลบั ไปท่ผี ูเ้ รียน 1.4 การสอนทางโทรทัศน์ (television course) ผู้เรียนศึกษาทางโทรทัศน์ ที่เสนอเน้ือหาเป็นตอนๆต่อเน่ือง ประกอบกับการอ่านหนังสือ ทาแบบฝึกหัดและ แบบทดสอบ 1.5 การอ่าน (reading) ผู้เรียนใช้เอกสารสิ่งพิมพ์เป็นหลัก ประกอบด้วย คาแนะนาท่ีอา่ นดว้ ยตนเอง 1.6 โครงการ (project) ผู้เรียนวางแผนและดาเนินการเรียนรู้ของตนเอง ภายใต้คาแนะนาของผู้สอนหรือโครงการเรยี นภาคสนามส่วนบุคคล 1.7 การสอนเข้ม (tutoring) ผเู้ รียนได้รับความช่วยเหลือในการเรยี นรู้ โดย มใิ ชเ่ ป็นการเรียนการสอนในสภาพสถานการณจ์ ริง 2. กลมุ่ ใหญ่ (large group) เน้นการเสนอความรู้ ความคิดตอ่ กลุม่ ชั่วคราว เทคนคิ ทม่ี ักใช้ ไดแ้ ก่ 2.1 การบรรยาย (lecture) ผเู้ ช่ียวชาญเสนอเนือ้ หาในรายละเอียดที่เรียบ เรยี งมากอ่ นแกผ่ ู้ฟัง 23 ผเู้ รียนมีปฏิสัมพันธก์ บั application ต่างๆ ในคอมพิวเตอร์ หรอื โทรศัพท์มือถือ

129 2.2 การอภปิ ราย (panel) ประกอบดว้ ย ผู้พดู สองหรอื สามคน เสนอ แนวความคดิ ท่ีแตกตา่ งกันในเร่อื งเดยี วกัน 2.3 โตว้ าที (debate) ผู้พูดแบ่งออกเป็น 2 ฝา่ ยของเร่ืองใดเร่ืองหน่งึ เพ่อื ใหค้ วามกระจา่ งในแง่ความแตกตา่ งและด้วยเหตุผล 2.4 อภปิ รายกล่มุ ยอ่ ย (subgroup discussion) ผฟู้ ังแบง่ เป็นกลมุ่ ย่อย เพื่อแสดงความคิดเห็นต่อการเสนอของผู้พูดในการบรรยายเดีย่ วหรือบรรยายคณะ 2.5 การซักถามและเสนอข้อคิดเหน็ (forum) ผฟู้ ังเปน็ ผูถ้ ามและอภิปราย เน้อื หาในกลุ่มใหญ่ของทป่ี ระชุม 3. กล่มุ ขนาดเลก็ (small group) การอภิปรายแสดงความคิดเหน็ และ วิเคราะหค์ วามคิดเหน็ ในกลมุ่ การยอมรับนวตั กรรม นวัตกรรม (innovation) หมายถึง ความคิด การปฏิบัติหรือวัตถุท่ีบุคคลรับรู้ วา่ “เป็นสง่ิ ใหมส่ าหรับตน” หรอื “เปน็ ส่ิงใหม่ที่นาเข้าไปใชใ้ นระบบสังคม” และรวมถึง แนวความคิดแบบแผนพฤติกรรมหรือส่ิงของใหม่ๆ ที่แตกต่างไปจากท่ีมีอยู่แต่เดิม ซ่ึง ความใหม่ (newness) ในที่นี้มีความหมายครอบคลุมถึงเรื่องราวต่างๆ ทั้งสิ่งที่เป็น นามธรรมและรูปธรรม (จานรรจา, 2547) ดังน้ันความคิดและการปฏิบัติทุกอย่างที่เป็นส่ิงใหม่ของสังคม ณ ช่วง เวลาหนึ่ง คือ“นวตั กรรมหรอื สิ่งใหม่”ของสังคมน้นั ๆ ซึ่งสอดคล้องกบั บุญธรรม จิตตอ์ นนั ต์ (2540) และดเิ รก ฤกษ์หรา่ ย (2518) ได้ให้ความหมายของนวัตกรรมและ กระบวนการยอมรับ ซึ่งประมวลได้ว่า นวัตกรรม (Innovation) หมายถงึ ความคิด การปฏิบัติหรอื วัตถทุ ่บี ุคคลรบั รู้ว่า“เปน็ ส่ิงใหม่สาหรับตน” หรือ“เปน็ สิ่งใหมท่ ี่นาเขา้ ไปใช้ในระบบสงั คม” ดังนั้นความคิดและการปฏิบตั ทิ ุกอย่างทีเ่ ปน็ ส่ิงใหมข่ องสงั คม ณ ช่วงเวลาหนึง่ จึงถือได้วา่ เปน็ “ นวัตกรรม” ของสังคมนั้นๆ กระบวนการยอมรับนวตั กรรม กระบวนการยอมรับนวัตกรรม (adoption process) เป็นกระบวนการ เปล่ียนแปลงทางจิตใจของบุคคลที่เกี่ยวกับนวัตกรรมหรือสิ่งใหม่ที่บุคคลได้รับรู้ ประกอบด้วย 5 ขนั้ ตอน (ลาวัณย,์ 2552) คือ

130 (1) ขั้นตระหนักหรือรับรู้ (awareness stage) เป็นขั้นตอนท่ีบุคคลเริ่มรู้หรือ รับรู้ว่ามีนวัตกรรมเกิดขึ้น แต่ยังขาดรายละเอียดทาให้บุคคลยังไม่เกิดทัศนคติที่ดี ต่อนวัตกรรมน้ันๆ (2) ขั้น ส น ใ จ ( interest stage) เ ป็น ขั้น ต อ น ที่บุค ค ล เ ริ่ม ส น ใ จ ห า รายละเอียดของความรู้เกี่ยวกับนวัตกรรมเพ่ิมเติมจากแหล่งข้อมูลต่างๆ (3) ข้ันประเมินผล (evaluation stage) เป็นขั้นตอนท่ีบุคคลนารายละเอียด ความรู้เกี่ยวกับนวัตกรรมมาพิจารณาเพื่อประเมินผลดีผลเสียจนมี ทัศนคติที่ชัดเจน ต่อนวตั กรรม (4) ขั้นทดลองปฏิบัติ (trial stage) เป็นผลจากการประเมินของบุคคลซึ่ง นาไปสู่การทดลองใชน้ วัตกรรม ซึ่งบางสังคมกระบวนการยอมรับนวัตกรรมสามารถ เกิดข้ึนได้โดยไม่ผ่านข้ันตอนน้ี (5) ขั้นการยอมรับนวัตกรรม (adoption stage) เป็นขั้นตอนที่บุคคล ตัดสินใจยอมรับนานวัตกรรมดังกล่าวมาปฏิบัติจนเป็นวัฒนธรรมหรือวิถีชีวิตของตน ดังภาพ ภาพ ข้นั ตอนการยอมรับนวัตกรรม ท่มี า: ปรับปรุงจาก ดเิ รก ฤกษห์ รา่ ย (2518) คณุ ลักษณะของนวตั กรรมทมี่ ีผลต่อการยอมรับมีดังน้ี (ลาวัณย์, 2552) 1) ผลประโยชนเ์ ปรยี บเทียบ (relative advantage) โดยนวัตกรรมทบ่ี ุคคล

131 ในสังคมเห็นว่าให้ประโยชน์แก่ตนมากกว่าสิ่งเก่าที่เคยปฏิบัติกันมาจะส่งผลให้อัตรา การยอมรับนวตั กรรมนั้นๆ เร็วกว่านวัตกรรมที่ใหป้ ระโยชนน์ ้อย 2) ความสอดคลอ้ งหรือเขา้ กนั ได้ (compatibility) โดยนวตั กรรมทีส่ ามารถ ไปด้วยกันได้หรือเข้ากับค่านิยมประสบการณ์ในอดีต และความต้องการของผู้รับ นวตั กรรม สง่ ผลใหก้ ารยอมรับนวัตกรรมดงั กล่าวจะเรว็ ข้นึ 3) ความยงุ่ ยากสลับซบั ซ้อน (complexity) โดยนวตั กรรมใด ทไี่ ม่มีความ ยุ่งยากสลับซับซ้อน ท้ังต่อการทาความเข้าใจและการนาไปใช้นวัตกรรมดังกล่าว จะ ไดร้ ับการยอมรับเรว็ กวา่ นวตั กรรมที่มีความยุ่งยากและสลบั ซับซ้อน 4) ความสามารถนาไปทดลองใชไ้ ด้ (trial ability) โดยนวตั กรรมใดท่ี สามารถนาไปทดลองใช้ได้ จะได้รับการยอมรับเร็วกว่านวัตกรรมท่ีไม่สามารถนาไป ทดลองใชไ้ ด้ 5) ความสามารถสงั เกตเห็นได้(observability) โดยนวตั กรรมใดทบี่ ุคคลใน สังคมสามารถสังเกตเหน็ ผลจากการใช้นวัตกรรมนั้นๆได้ จะทาใหก้ ารยอมรับนวัตกรรม เกดิ ขึ้นได้ง่ายและรวดเร็วกว่านวัตกรรมทีไ่ ม่สามารถแสดงให้เหน็ ผลจากการใช้ สรุปองคค์ วามร้ขู องศาสตร์ องค์ความรู้ทางส่งเสริมการเกษตร ทาให้ตระหนักรู้ (aware) ว่า การ วางโครงการด้านส่งเสริมน้ัน มีลักษณะเป็นกระบวนการ ประกอบด้วย ขั้นตอนแรก สดุ คือ การวนิ ิจฉยั ปญั หารว่ มกับชมุ ชน งานสง่ เสริมน้นั เป็นการถ่ายทอดความรู้ท่ีได้จากการค้นคว้าของแหลง่ ความรู้ ต่างๆไปสู่กลมุ่ เปา้ หมายเพื่อการแก้ปญั หา ขณะเดยี วกันกน็ าเอาปัญหาต่างๆกลับมา วิเคราะห์หาหนทางแกไ้ ข งานสง่ เสรมิ จะต้องร่วมกบั สมาชกิ ของชุมชน เพ่ือวนิ ิจฉยั ปัญหาของชมุ ชน นา ความรู้หรือวิธกี ารที่เหมาะสมในการแก้ไขปัญหาของชมุ ชนถา่ ยทอดสู่ชุมชนน้นั และ นาปญั หาของชุมชนท่ียังขาดแนวทางแก้ไขทีเ่ หมาะสมไปสู่การวิจยั เพือ่ คน้ หาคาตอบ ในการถา่ ยทอดความรูน้ ั้น มโี สตทศั นูปกรณ์ ช่วยในการถ่ายทอดอย่หู ลาก หลาย ซึ่งต้องเลือกใชใ้ หเ้ หมาะสมกบั เนื้อหาความรู้และลักษณะของกลมุ่ เปา้ หมาย

132 งานส่งเสรมิ เปน็ การใหก้ ารศึกษาแบบไมเ่ ปน็ ทางการ นอกห้องเรียนหรอื ในชน้ั เรียนก็ได้ โดยใช้วธิ กี ารสง่ เสรมิ เป็นรายบคุ คล เปน็ กลุ่มหรือเป็นมวลชน โดยทั่วไปแล้ว ความร้ทู ถี่ ่ายทอดน้นั ถือได้วา่ เปน็ innovation สาหรบั กล่มุ เปา้ หมาย ซง่ึ กลมุ่ เป้าหมายจะยอมรับนาไปปฏบิ ัตติ ามหรอื ไมน่ ั้น ใหใ้ ช้ adoption process เป็นหลักในการพิจารณาโดยรว่ ม กบั พจิ ารณาถงึ คุณสมบัติของ innovation ที่มีผลตอ่ การยอมรับด้วย งานส่งเสรมิ จะสมบรู ณ์เมือ่ กลุ่มเปา้ หมายนาความรู้น้ันไปปฏิบตั ิตามแล้วได้ผล

133 สว่ นที่ 3.5 การวิจัย ศาสตร์การวิจัยที่กล่าวถึงในส่วนที่ 3 นี้เป็นการวิจัยทางสังคมศาสตร์/ พฤติกรรมศาสตร์ ความคดิ รวบยอด (concept) ทางการวิจัยท่ีสาคัญเก่ียวขอ้ งกับการ วางโครงการส่งเสริมสิ่งแวดล้อมศึกษาชุมชน ซ่ึงจะนามาเสนอในที่น้ี ผู้เขียนได้ ประมวลสรุปคดั ลอกจากหนังสือวชิ าการวิจยั ทางสงั คมศาสตร์/พฤติกรรมศาสตร์ แล้ว นามาเรียบเรียงขึ้นใหม่อย่างย่อๆ เพื่อให้เหมาะสมสอดคล้องกับบริบทของการ วางโครงการสง่ เสรมิ ส่ิงแวดล้อมศึกษาชมุ ชน ในที่นี้จะขอเสนอเฉพาะ ช่ือของนักวิชาการเจ้าของผลงานหนังสือวิชาการ เหลา่ นนั้ (สว่ นช่ือหนงั สอื จะนาเสนอเอาไวใ้ นบรรณานกุ รมท้ายเลม่ นี้) ดังน้ี สมหวงั พิริยานุวัฒน์ (2627), สุภางค์ จันทวานิช (2536-2563), อคิน รพีพัฒน์ (2536), ฉวีวรรณ ประจวบเหมาะ (2536), บุญธรรม จิตต์อนันต์(2540), บุญชม ศรีสะอาด (2543),พวงรัตน์ ทวีรัตน์(2543), มนัส สุวรรณ(2544), สุวิมล ติรกานันท์ (2550),จาเนียร จวงตระกูล (2550), โสภณ ธนะมัย (2553, 2557, 2561) และ ลาวัณย์ วจิ ารณ์ (2561, 2563) ความคิดรวบยอดที่จะนาเสนอนี้ สาหรับเร่ืองข้อมูลจะพบในหนังสือเกือบทุก เล่ม ต่างกันที่จุดเน้นของแต่ละหัวข้อ ซ่ึงบรรยายไว้มากบ้างน้อยบ้างต่างกันไป ส่วน R&D ทางการศึกษาได้จากหนังสือเขียนโดย โสภณ ธนะมัย (2561) และลาวัณย์ วิจารณ์ (2561) สว่ นที่ 3.5 การวิจยั ประกอบดว้ ยความคิดรวบยอด (concept) ดงั นี้ 1) ขอ้ มูล ความหมาย ลักษณะของขอ้ มูล การวิจัยเชงิ ปรมิ าณและการวิจัยเชิงคณุ ภาพ

134 2) การเกบ็ ข้อมลู การสัมภาษณ์ การสังเกต เทคนคิ เดลฟาย 3) R&D ทางการศึกษา 4) แบบการทดลอง 5) การทดสอบประสทิ ธิภาพดว้ ยสถติ ิทดสอบ Chi-square

135 ข้อมูล (data) ในความเป็นจริงแล้ว ส่ิงแรกที่จะตอ้ งคานึงถึง เม่อื เรม่ิ จะทาการวิจัย คอื เรอื่ ง ท่ีเกี่ยวข้องกับขอ้ มูล (data) ด้วยเหตุผลท่ีว่า“ขอ้ มลู คือ ทุกส่ิงทุกอย่างของการวิจัย” หรอื กล่าวได้วา่ ขอ้ มูล คือ หวั ใจในการทาวจิ ัย (the heart of research) ความหมายของข้อมลู ข้อมูล คือ ข้อเท็จจริง (fact) ท้ังหลายที่ผู้วิจัยจะนามาเป็นหลักฐาน เพ่ือ…. ตอบโจทย์วจิ ยั งานวิจัยบางเรื่องใช้ข้อมูลท่ีมีอยู่แล้ว บางเรื่องจาเป็นต้องเก็บรวบรวมขึ้นมา ใหม.่ ....บางเร่ืองใช้ทง้ั ขอ้ มลู ท่มี อี ยู่แลว้ รวมกับข้อมูลท่ีต้องรวบรวมข้ึนมาใหม่ ลกั ษณะของข้อมลู 1. ข้อมูลปฐมภูมิ คือ ข้อมูลที่ผู้วิจัยทาการเก็บ (data collection) และ รวบรวม (data compilation) ขึ้นมาใหม่เพ่อื วตั ถปุ ระสงคข์ องการวจิ ยั โดยเฉพาะ 2. ข้อมลู ทุตยิ ภมู ิ คือ ข้อมูลท่ีมผี ู้เก็บและรวบรวมเอาไวแ้ ล้ว ผ้วู จิ ัยเปน็ ผู้ไปทา การเก็บรวบรวมข้อมูลเหล่านั้นที่ตรงประเด็นกับเรื่องท่ีทาการวิจัย เช่น รายงาน ประจาปี รายงานผลการวิจัย เอกสาร หนงั สือ ส่ิงพมิ พ์ตา่ งๆ ฯลฯ ข้อมูลปฐมภูมิเป็นข้อมูลจากต้นตอ จึงเป็นหลักฐานได้ดีกว่าข้อมูลทุติยภมู ิ ซ่ึง เป็นข้อมูลที่ได้รับมาอีกทอดหนึ่ง นักวิจัยควรใช้ข้อมูลจากแหล่งทุติยภูมิ ในกรณีที่ไม่ สามารถรวบรวมข้อมูลจากแหล่งปฐมภูมิได้เท่าน้ัน ด้วยเหตุผลว่า ข้อมูลปฐมภูมิมี ความถูกต้องแม่นยากว่าข้อมูลทุติยภูมิ ดังนั้นในการใช้ข้อมูลทุติยภูมิ ผู้วิจัยจะต้อง ตรวจสอบความถูกต้องหรือใช้ข้อมูลจากหลากหลายแหล่งข้อมูล เพื่อยืนยันความ ถูกต้องก่อนนาไปใช้ ข้อมูลทุติยภูมิมีความสาคัญ เพราะก่อนที่จะรวบรวมข้อมูลใหม่ การตรวจดูว่ามีข้อมูลอะไรบ้างที่มีอยู่แล้ว ซ่ึงมีประโยชน์ตรงกับความต้องการ หลังจากตรวจดูข้อมูลตา่ งๆแล้ว แต่ไม่ว่าอย่างไรกต็ ามก็มีความจาเป็นในการรวบรวม ข้อมูลตา่ งๆ เพ่ิมเตมิ เสมอ

136 3. ข้อมูลเชิงปริมาณ (quantitative data) เป็นข้อมูลท่ีอยู่ในลักษณะตัวเลข หรือนับออกมาเป็นตัวเลขได้ เช่น รายได้ คะแนน ความสูง น้าหนัก ฯลฯ ข้อมูล ลักษณะนต้ี อ้ งใชว้ ิธีการทางการสถติ ิมาทาการวิเคราะห์ข้อมลู 4. ข้อมูลเชิงคุณภาพ (qualitative data) เป็นข้อมูลเชิงคุณลักษณะ ไม่ สามารถวัดออกมาเป็นตัวเลขได้โดยตรง การวิเคราะห์ข้อมูล อาจใช้สถิติบ้าง แต่เป็น แคส่ ถิตพิ น้ื ฐาน เช่น คา่ ความถ่ี ค่าร้อยละ คา่ เฉลีย่ เปน็ ตน้ ตวั อย่างเชน่ มีววั อยูใ่ นชมุ ชนแห่งหนึ่งจานวน 16 ตัว (ข้อมูลเชงิ ปรมิ าณ) วัวมี สภาพอยา่ งไร เชน่ อว้ นท้วนสมบูรณ์ ผอมโซ (ข้อมลู เชิงคณุ ภาพ) การวจิ ยั เชงิ ปรมิ าณ/เชงิ คุณภาพ ลักษณะของข้อมูลเชิงปริมาณและคุณภาพน้ี เป็นพ้ืนฐานทาให้เกิดการวิจัย ที่ เรยี กวา่ การวจิ ัยเชิงปริมาณและการวิจัยเชิงคุณภาพ 1. การวิจัยเชิงปริมาณ (quantitative research) ซ่ึงเน้นการนาทฤษฎีท่ีมี ผสู้ รา้ งข้นึ มาแล้ว มาทาการทดสอบ ใชข้ ้อมูลเชิงปรมิ าณมาทาการวิเคราะห์ตอบโจทย์ วิจัย ซ่ึงผู้วิจัยต้องมีความรู้เกี่ยวกับสถิติมากพอ ทั้งสถิติพรรณนา (descriptive statistics) และสถิติอา้ งองิ (inferential statistics) 2. การวิจัยเชิงคุณภาพ (qualitative research) ซึ่งเน้นการแสวงหาความรู้ เพ่ือสร้างกฎ/ทฤษฎี (theory building) ใช้ข้อมูลเชิงคุณภาพมาทาการวิเคราะห์และ สงั เคราะห์เพอ่ื ตอบโจทยว์ ิจัย ผู้วิจัยหลายคนเลือกการวิจัยเชิงคุณภาพ เพราะไม่มีความรู้เก่ียวกับสถิติมาก พอ บางคนเลือกการวิจัยเชิงปริมาณ เพราะเห็นว่าการวิเคราะห์และสรุปผลการวิจัย โดยใชส้ ถิตินนั้ กระชบั ชัดเจนกวา่ การอธบิ ายด้วยถ้อยคาแบบการวจิ ัยเชงิ คณุ ภาพ การระบุหลักเกณฑ์ท่ีแน่นอนว่าจะใช้การวิจัยแบบใดน้ันกาหนดได้ยาก เพราะว่าในการวิจัยบางเร่ืองจาเป็นอย่างย่ิงที่ตอ้ งใช้การวิจัยท้ัง 2 แบบผสมผสานกนั จึงจะได้คาตอบโจทยว์ จิ ัย อย่างไรก็ตามกอ็ าจจะใชก้ ฎกาปั้นทุบดิน (rule of thump) อย่างครา่ วๆว่า.....

137 ถ้าประชากรมีขนาดเล็กมาก ไม่สามารถใช้สถิติอ้างอิงได้ ใช้ได้แต่สถิติ พรรณนา ซ่งึ สามารถอธบิ ายค่าไดเ้ พียงคณุ ลกั ษณะของประชากรนนั้ ไมส่ ามารถนาผล ไปอ้างอิงกลุ่มอ่ืนได้ อีกประการหนึ่ง ก็คือ ในการเก็บข้อมูลน้ัน ทาได้โดยการสังเกต สัมภาษณ์ และเข้าไปมีส่วนร่วมกับประชากรที่ใช้วิจัย ถ้าเป็นเช่นนี้ การวิจัยควรเป็น “การวิจัยเชงิ คุณภาพ” การเกบ็ ขอ้ มูล ในท่ีนี้จะนาเสนอการเก็บข้อมูลสาหรับการวิจัยเชิงคุณภาพ ซึ่งเหมาะสมกับ งานสง่ เสริมมากกว่าวิจัยเชิงปริมาณ การเก็บข้อมูลแบบนี้มีลกั ษณะเป็น กระบวนการ และวิธกี าร กระบวนการเก็บขอ้ มลู เปน็ กระบวนการซงึ่ ประกอบดว้ ย 7 ขัน้ ตอน ดงั น้ี 1. การกาหนดสถานที่และบุคคลท่ีผู้วิจัยจะไปเก็บข้อมูล (location site/individual) 2. การเข้าถึงและทาความคุ้นเคยกับผู้ให้ข้อมูล (gaining access and making rapport) 3. การส่มุ ตัวอยา่ งแบบจงใจ (purposeful sampling strategy) 4. การออกไปรวบรวมขอ้ มลู (collecting data) 5. การบันทึกขอ้ มลู (recording information) 6. การแกไ้ ขปญั หาภาคสนาม (resolving field issue) 7. การเก็บรวบรวมข้อมูลเขา้ คลงั ข้อมลู (storing data) สาหรับวิธีการ (method) ส่วนใหญ่แล้วจะมีวิธีหลักอยู่ 4 วิธี คือ การ สัมภาษณ์ (interview) การสังเกต (observation) การใช้ข้อมูลเอกสาร (review of documents) การเข้ามสี ว่ นร่วม (participation) สาหรบั ในสถานการณ์ปัจจุบัน เห็น ควรเพิ่มการใช้วัสดุโสตทัศนูปกรณ์ (audio-visual materials) เข้าไว้ด้วย (เช่น การ ใช้ภาพแผนท่ีประกอบการสัมภาษณ์) แต่อย่างไรก็ตาม…. การสัมภาษณ์ถือว่า เป็น วธิ ีการหลกั ในการเก็บรวบรวมข้อมูลในการวจิ ัยเชิงคุณภาพ

138 การสมั ภาษณ์ การสัมภาษณ์ (interview ) เป็นชื่อรวมๆท่ีหมายถึง เทคนิคการเก็บข้อมูล หลายแบบที่เป็นการเก็บข้อมูลซึ่งได้จากการสนทนาอย่างมีจุดมุ่งหมายระหว่างผู้ สัมภาษณก์ บั ผู้ถูกสัมภาษณ์ (ผู้ให้ขอ้ มูล, ผู้ให้สมั ภาษณ์) ทั้งทเี่ ป็นรายบคุ คล (face to face) และเป็นกลุ่ม(group) โดยทั่วไปแล้วมีการแบ่งประเภทของการสัมภาษณ์ตามลักษณะของการวิจัย และตามโครงสร้างของการสัมภาษณ์ แต่ในทางปฏิบัติจริงแล้ว ใช้การแบ่งประเภท ตามลกั ษณะของโครงสรา้ งการสมั ภาษณเ์ ปน็ หลัก จ า ก ก า ร ศึ ก ษ า ห นั ง สื อ ก า ร วิ จั ย เ กี่ ย ว กั บ ก า ร วิ จั ย ท า ง สั ง ค ม ศ า ส ต ร์ แ ล ะ พฤติกรรมศาสตร์ มีการจาแนกออกไว้เป็น 2 นัยด้วยกัน คือ แบ่งเป็น 3 ประเภทบา้ ง 2 ประเภทบ้าง แต่ทั้ง2 แบบนี้เป็นการจาแนกตามลักษณะโครงสร้างของการ สัมภาษณ์ ในที่น้ีผู้เขียนประมวลว่า ควรจาแนกออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ 1) การ สัมภาษณ์แ บบมีโ ครงสร้าง ( structured interview หรือแบบมีมาต ร ฐ าน (standardized interview) หรือแบบเป็นทางการ(formal interview) 2) การ สัมภาษณ์กึ่งมีโครงสร้าง (semi - structured interviews) และ3) การสัมภาษณ์ แบบไม่มีโครงสร้าง (unstructured interview) หรือแบบไม่เป็นทางการ (informal interview) การสัมภาษณ์แบบมโี ครงสรา้ ง การสัมภาษณ์แบบนี้ ผู้สัมภาษณ์จะทาการสัมภาษณ์ตามคาถามท่ีได้สร้างขึ้น ไวใ้ นแบบสมั ภาษณ์ ผูใ้ หส้ มั ภาษณ์ทุกคน จะตอบคาถามชดุ เดียวกัน ผสู้ ัมภาษณจ์ ะจด บนั ทกึ คาตอบของผู้ใหส้ ัมภาษณ์ลงในแบบสัมภาษณน์ ั้น อันที่จริงแล้วการต้ังคาถามในลักษณะน้ี ก็คือ การสัมภาษณ์โดยใช้ แบบสอบถาม และลักษณะคาถามในการสัมภาษณ์แบบน้ีก็เป็นไปในทานองเดียวกับ ขอ้ คาถามปลายปิดและคาถามปลายเปิดทอ่ี ยใู่ นแบบสอบถามน่นั เอง

139 การสมั ภาษณแ์ บบไม่มโี ครงสรา้ ง การสมั ภาษณแ์ บบน้ีเป็นการสัมภาษณ์ทีไ่ ม่มีคาถามกาหนดไว้แน่นอน เหมือน การสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง ผู้ให้สัมภาษณ์ตอบโต้โดยอิสระ การสัมภาษณ์แบบนี้ อาจมีแนวทางการสัมภาษณ์ (interview guide) ซ่ึงจะมีหัวข้อของข้อมูลที่ต้องการ ระบุไว้ เพื่อให้ผู้สัมภาษณ์จะได้ตง้ั คาถามในแตล่ ะหัวข้อ ทาให้ไม่ตกหล่นสิ่งที่ต้องการ จะสมั ภาษณ์ ในทางปฏิบัติการ การสัมภาษณ์ประเภทนี้จะต้องอาศัยผู้ท่ีมีประสบการณ์ และทักษะในการสัมภาษณเ์ ป็นอยา่ งดี จงึ จะสามารถดาเนินการได้อย่างเปน็ ธรรมชาติ และไดข้ ้อมูลท่ีมีคุณภาพ การสมั ภาษณก์ ึง่ โครงสรา้ ง การสัมภาษณ์แบบนี้เป็นการสัมภาษณ์โดยมีข้อคาถามในการสัมภาษณ์เป็น แบบมีโครงสร้างแน่นอนตายตัว ผู้สัมภาษณ์จะต้องทาการสัมภาษณ์โดยข้อคาถามใน กรอบท่ีเตรียมมา แต่แบบสัมภาษณ์นั้นมีความยืดหยุ่น โดยผู้สัมภาษณ์สามารถต้ัง คาถามขึ้นมาเองในขณะทาการสัมภาษณ์ โดยยึดสาระสาคัญของข้อคาถามท่ี จัดเตรียมไว้เป็นแนวทาง ซ่ึงทาให้ได้ข้อมูลท่ีมีความละเอียดถูกต้องและครอบคลุม ครบถว้ นในประเดน็ ท่ีต้องการทราบ การสัมภาษณ์เชิงลึก การสัมภาษณ์เชิงลึกหรือแบบเจาะลึก (in-depth interview) หรือแบบมีจุด สนใจเฉพาะ(focus interview) เป็นแบบหนึ่งของเทคนิคการสัมภาษณ์เชิงคุณภาพ การสัมภาษณ์น้นั เปน็ การสัมภาษณโ์ ดยท่ีผสู้ ัมภาษณ์มจี ดุ สนใจอยแู่ ล้ว ดงั น้ันจึงเลือก สัมภาษณเ์ อาแตจ่ ดุ ที่ต้องการ การสัมภาษณ์เชิงลึก เป็นการซักถามตัวต่อตัวระหว่างผู้สัมภาษณ์กับผู้ให้ สัมภาษณ์โดยเจาะลึก ล้วงคาตอบอย่างละเอียดถี่ถ้วน อีกท้ังเป็นการสร้างเร่ืองราว และความหมายร่วมกันระหว่างผู้สัมภาษณ์กับผู้ให้สัมภาษณ์ และถูกถ่ายทอดออกมา ในการสมั ภาษณ์

140 การสัมภาษณ์เชิงลึกไม่ใช่เป็นวิธีท่ีง่ายอย่างท่ีหลายคนเข้าใจ แต่ผู้สัมภาษณ์ ต้องมีความเข้าใจและพิถีพิถันในการดาเนินการอย่างมาก จึงจะประสบความสาเร็จ ซึ่งขึ้นอยู่กับประสบการณ์และความชานาญของผู้สัมภาษณ์เป็นส่วนใหญ่ เพราะต้อง รวบรัดหรือต้องตัดบท โดยไม่ให้ผู้ถูกสัมภาษณ์เกิดความรู้สึกไม่สบายใจและไม่ อยากจะให้ความรว่ มมอื เทคนคิ การสัมภาษณ์ คาว่า“เทคนิค”น้ีหมายถึงความชานิชานาญ หรือวิธีการในการจะกระทาส่ิง หน่ึงสิ่งใดให้สาเร็จ ดังน้ันเทคนิคจึงเป็นเรื่องราวของ how to เจาะลึกเฉพาะเรื่องท่ี ต้องการจะทาให้สาเร็จ ดังนั้นเทคนิคการสัมภาษณ์ จึงหมายถึง ความชานาญหรือ วิธีการท่ีผู้สัมภาษณ์จะต้องมีน่ันเอง จึงจะทาการสัมภาษณ์ได้ข้อมูลที่ตรงกับความ ตอ้ งการอยา่ งมคี ณุ ภาพ ในการสมั ภาษณผ์ สู้ มั ภาษณค์ วรปฏบิ ัติดังนี้ 1. สัมภาษณ์ทลี ะคาถาม โดยเร่มิ จากคาถามงา่ ยๆ ใช้ถ้อยคาทเี่ ข้าใจงา่ ย และชัดเจน 2. ฟงั คาตอบจากผ้ถู กู สมั ภาษณด์ ว้ ยความตั้งใจ เพอื่ ให้ได้คาตอบท่ถี กู ตอ้ ง 3. ทบทวนคาถามทีจ่ าเป็น 4. หลีกเลี่ยงการแนะนาคาตอบและถามออกนอกเรื่อง 5. หลีกเลย่ี งคาถามท่ีจะกระทบกระเทือนตอ่ ความร้สู กึ ของผถู้ กู สมั ภาษณ์ 6. อยา่ ใชค้ าพูดทีแ่ สดงว่าเปน็ การสอนผู้ถกู สมั ภาษณ์ 7. เมื่อการสัมภาษณ์สน้ิ สดุ ลงควรตรวจดูความสมบูรณข์ องคาตอบ ถ้า ขอ้ ใดยังไมถ่ ามกถ็ ามตอ่ ถา้ ข้อใดยังไดค้ าตอบไม่ชดั ก็ถามใหมใ่ ห้แนใ่ จ 8. เมอ่ื เสร็จการสัมภาษณต์ ้องแสดงความขอบคณุ ผ้ถู กู สัมภาษณ์ 9. ในการสัมภาษณค์ วรใชเ้ คร่ืองมือชว่ ยบันทกึ การสนทนาด้วย


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook