42 ขั้นตอนที่ 1 วนิ ิจฉัยสภาวการณป์ ัญหาส่ิงแวดลอ้ มของชมุ ชน 1.1 สร้างความสัมพนั ธ์กบั ชมุ ชน ในขั้นตอนนี้ ผู้เขียนมีความคุ้นเคยกับผู้นาชุมชนทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็น ทางการ และประชาชนบางส่วนอยู่แล้ว เน่ืองจากเป็นชุมชนที่ผู้เขียนใช้เป็น social laboratory (ห้องปฏิบัติการทางสงั คม) ในการวางโครงการส่งเสรมิ ส่ิงแวดล้อมศึกษา นบั ตั้งแต่ปี พ.ศ.2557 ถงึ ปจั จบุ นั จึงดาเนินการตามขัน้ ตอน 1.2 ต่อไป ภาพ การวางโครงการในชุมชนวัดรังสติ อย่างต่อเนื่อง 1) พ.ศ.2559 โครงการ “พาย เรือได้ ว่ายน้าเป็น” 2) พ.ศ.2560 โครงการ “วางระบบบาบัดน้าเสียชุมชนวัดรังสิต” และ 3) พ.ศ.2560 โครงการ “ตรวจวดั DO ใหแ้ กป่ ระชาชนในชุมชนวดั รงั สิต” 1.2 ค้นหาผู้ให้ข้อมูลสาคญั โดยใช้ snowball technique ค้นหา key informants ตามเกณฑ์คุณสมบตั ิ ท่กี าหนดไว้ ได้ key informants 2 คน ซงึ่ เป็นผู้นาชมุ ชนทางการและไมเ่ ปน็ ทางการ 1.3 ค้นหาสภาวการณป์ ัญหาสิ่งแวดลอ้ มรว่ มกับชุมชน 13.1 โดยใช้ focus group discussion กับ key informants 2 คน ตาม ข้อ 1.2 โดยผ้เู ขียนเปน็ ผดู้ าเนินรายการ (moderator) 13.2 สารวจพนื้ ทพ่ี ร้อมกบั สงั เกตปญั หาสิ่งแวดลอ้ มของชุมชน
43 ผลค้นหา พบว่า ตัวปัญหาส่ิงแวดล้อมของชุมชนท่ีแท้จริงของชุมชนวัดรังสิต คือ การเพิม่ ขึ้นของขยะขวดพลาสติกในชุมชน ซ่ึงมแี นวโนม้ เพ่มิ ขน้ึ อยา่ งตอ่ เนอื่ ง และ มแี นวโน้มสรา้ งปญั หาตอ่ ชุมชนในอนาคต เนื่องจากชุมชนดงั กลา่ วเป็นชุมชนสร้างใหม่ มีพ้ืนท่ีเพียง 6 ไร่ 21 ตารางวา ในขณะท่ีมีจานวนบ้านเรือนปลูกสร้างอยู่ถึง 150 ครัวเรือน ประกอบกับพ้ืนท่ีใช้สอยแต่ละครัวเรือน และพ้ืนท่ีใช้สอยของส่วนกลางมี จากัด ทาให้เกดิ ความกงั วลใจถึงการจัดการปญั หาขยะขวดพลาสติกในอนาคต สาหรับในข้ันตอนย่อยท่ี 1.4 ค้นหาแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหา สิ่งแวดล้อมของชุมชน และข้ันตอนย่อยที่ 1.5 ค้นหาและรวบรวมเน้ือหาความรู้การ ป้องกันและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมของชุมชนนั้น ผู้เขียนซึ่งเป็นผู้วางโครงการได้ กาหนดแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมของชุมชน ซ่ึงในครั้งนั้น กาหนดให้จดั L.E. เรือ่ ง การลดพืน้ ทจ่ี ดั เกบ็ ขยะขวดพลาสติกของชมุ ชน ให้กับเดก็ และเยาวชนในชุมชน จานวน 14 คน โดยจัด L.E.ข้ึนเม่ือวันที่ 9 เดือนกุมภาพันธ์ 2562 ภาพ การจัด L.E. เร่ือง การลดพ้ืนที่จัดเก็บขยะขวดพลาสติกของชุมชน ให้กับ เยาวชนในชุมชนวดั รังสติ
44 ข้ันตอนท่ี 2 จดั ทาตาราง L.E. เร่ือง การลดพืน้ ท่ีจดั เก็บขยะขวดพลาสตกิ ของชมุ ชน ประกอบด้วย L.E.1 เรอ่ื ง วธิ ีการจดั การขยะขวดพลาสติกของชุมชน L.E.2 เรอ่ื ง อายุการยอ่ ยสลายของขยะ L.E.3 เรอ่ื ง ประโยชน์ของการลดขนาดขยะขวดพลาสติก L.E.4 เร่ือง ข้ันตอนการอัดขยะขวดพลาสติก ตาราง L.E.1 เรอ่ื ง วิธกี ารจัดการขยะขวดพลาสติกของชุมชน เนอ้ื หา วตั ถุ วตั ถุประสงค์ สถานการณ์การเรยี นรู้ สือ่ ชว่ ย การ ความรู้ ประสงค์ เชงิ สอน ประเมนิ สมรรถนะ กจิ กรรมการเรยี นรใู้ นเน้ือหา กิจกรรมทผ่ี เู้ รียน การสอน พฤติกรรม ผล ความรทู้ ่ีผู้สอนสร้างขน้ึ กระทา ขอ้ เทจ็ จรงิ พทุ ธิพิสยั : เพอ่ื ใหผ้ ู้เรียน 1.ใหผ้ ู้เรยี นช่วยกนั อธิบาย 1.ผเู้ รยี นชว่ ยกัน รปู ภาพการ แตล่ ะคน เฉพาะเจาะจง จา สามารถบอก วธิ ีการจัดการขยะขวดของ อธิบายวธิ กี าร จดั การและ บอก 1) วิธกี าร เพ่ือให้ วธิ กี ารจดั การ ชมุ ชน โดยใช้ภาพการ จัดการขยะขวดของ อปุ สรรคใน วิธกี าร จัดการขยะ ผเู้ รยี น ขยะและ รวบรวมขยะขวดพลาสตกิ ชมุ ชน โดยใช้ภาพ การจดั การ จัดการ ขวดของชมุ ชน สามารถ อปุ สรรคท์ ี่ เพอื่ ขายของชุมชน และ การรวบรวมขยะ ขยะขวด ขยะและ คอื การ บอก เกิดข้นึ ได้ อปุ สรรค์ในการจดั การ ขวดพลาสตกิ เพอ่ื พลาสตกิ ใน อปุ สรรคท์ ี่ รวบรวมขยะ วธิ ีการ ถูกตอ้ ง ขยะขวดพลาสตกิ ของ ขายของชมุ ชน และ ชุมชน เกดิ ขน้ึ ได้ ขวดพลาสตกิ จัดการ ในเวลา 5 ชมุ ชน (ขาดพนื้ ทจ่ี ดั เก็บ อุปสรรค์ในการ ถูกตอ้ ง เพื่อขาย ขยะและ นาที ขยะขวดพลาสตกิ ) จดั การขยะขวด แบบ ในเวลา 5 2) อุปสรรค์ใน อปุ สรรคท์ ่ี 2.ผู้สอนสรุปวธิ กี ารจัดการ พลาสตกิ ของชุมชน ทดสอบ นาที การจดั การ เกิดข้ึน ขยะและอุปสรรคท์ ่ีเกดิ ขน้ึ (ขาดพนื้ ทจี่ ัดเกบ็ หลังการทา ขยะขวด ได้ถูกต้อง 3.ให้ผู้เรียนแตล่ ะคนบอก ขยะขวดพลาสตกิ ) กจิ กรรม พลาสติกของ วธิ ีการจดั การขยะและอปุ 2.ฟงั ผสู้ อนสรุป ชุมชน คอื ขาด สรรคท์ ีเ่ กดิ ขน้ึ ใน วิธีการจัดการขยะ ปากกา พ้ืนทจี่ ดั เก็บ แบบทดสอบหลงั การทา และอุปสรรคท์ ่ี ขยะขวด กิจกรรม เกิดขึ้น พลาสตกิ ในเวลา 5นาที 3.ผเู้ รยี นแตล่ ะคน บอกวิธกี ารจดั การ ขยะและอุปสรรคท์ ี่ เกดิ ขึน้ ใน แบบทดสอบหลัง การทากจิ กรรม ในเวลา 5นาที เกณฑ์การใหค้ ะแนน 2=บอกวธิ กี ารจดั การขยะและอุปสรรคท์ เ่ี กดิ ขึน้ ได้ถกู ตอ้ ง ในเวลา 5นาที/1=บอกวธิ กี ารจัดการขยะ หรืออุปสรรค์ทเ่ี กดิ ขน้ึ ได้ ถกู ตอ้ ง ในเวลา 5นาท/ี 0=ไมส่ ามารถบอกวธิ ีการจดั การขยะและอปุ สรรคท์ เ่ี กดิ ขนึ้ ไดถ้ กู ตอ้ ง
45 ตาราง L.E.2 เรือ่ ง อายกุ ารย่อยสลายของขยะ เนอื้ หา วัตถุ วัตถุ สถานการณก์ ารเรยี นรู้ สอื่ ชว่ ย การ ความรู้ ประสงค์ ประสงค์ สอน ประเมนิ สมรรถนะ การสอน เชิงพฤติกรรม กิจกรรมการเรยี นรู้ กจิ กรรมท่ี ในเนอ้ื หาความรทู้ ่ี ผเู้ รียนกระทา ผล ผสู้ อนสร้างขนึ้ ข้อเทจ็ จริง พทุ ธิพสิ ัย: เพอื่ ใหผ้ ู้เรียน 1.ให้ดูภาพขยะ/ 1.ดูภาพ 1.ภาพ ผ้เู รียน จดจา จา ทกุ คน จับคู่ อธบิ ายอายกุ าร ขยะ /ฟัง ขยะ จับคู่ชนิด อายุการ เพ่ือให้ ชนิดขยะที่ ยอ่ ยสลายของ คาอธิบาย 2.แผ่น ขยะให้ สลายตัว ผเู้ รยี น ตรงกบั อายุ ขยะ 5 ชนิด อายุของ ข้อความ ตรงกับ ของขยะ: สามารถจับคู่ การสลายตวั 2.ให้เล่นเกม ขยะ อายกุ าร อายุการ กระดาษ ชนิดขยะให้ ของขยะแต่ จับคู่ชนิดขยะให้ 2.เล่นเกม ยอ่ ย สลายตัว 2-5 เดือน/ ตรงกับอายุ ละชนิด ตรงกับอายกุ าร จบั คู่ชนิด สลายตัว ของขยะ เปลอื กส้ม 6 การสลายตัว ไดถ้ ูกต้อง ยอ่ ยสลายตวั ขยะใหต้ รง ของขยะ ไดอ้ ย่าง เดอื น/ไม้เสยี บ ของขยะแต่ 3 ชนิด ใน ของขยะแต่ละ กับอายุการ แตล่ ะ ถกู ต้อง 3 ลกู ชน้ิ 12 ปี ละชนิดได้ เวลา 5 นาที ชนิด ย่อย ชนดิ ชนิด ใน /ขวดพลาสติก สลายตวั เวลา 5 450 ปี/ ของขยะแต่ นาที โฟม ไม่ยอ่ ย ละชนดิ สลาย เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน 3=จับคู่ชนิดขยะไดต้ รงกบั อายุการสลายตัวได้ถกู ตอ้ ง 3 ชนิด ในเวลา 5 นาที/2=จับคู่ชนดิ ขยะได้ตรงกบั อายุ การสลายตัวไดถ้ กู ตอ้ ง 2 ชนิด ในเวลา 5 นาที/1=จบั คู่ชนิดขยะได้ตรงกับอายกุ ารสลายตวั ไดถ้ กู ตอ้ ง 1 ชนดิ ในเวลา 5 นาที/0= จับคู่ชนดิ ขยะกับอายกุ ารสลายตวั ไม่ถูกตอ้ ง
46 ตาราง LE 3 เรอื่ ง ประโยชนข์ องการลดขนาดขยะขวดพลาสตกิ เนอ้ื หา วตั ถุ วัตถปุ ระสงค์ สถานการณก์ ารเรยี นรู้ ส่อื ช่วย การ เชงิ พฤตกิ รรม สอน ความรู้ ประสงค์ กจิ กรรมการเรียนรใู้ น กิจกรรมท่ีผู้เรยี น ประเมนิ สมรรถนะ การสอน ผล เนือ้ หาความรู้ที่ผู้สอน กระทา สรา้ งข้นึ ขอ้ เท็จจริง เจตพสิ ยั : เพ่อื ใหผ้ ู้เรียนทุกคน 1.ให้ดภู าพปัญหาขยะ 1.ดูภาพปัญหาขยะใน 1.ภาพขยะ ตอบเหน็ เจตคติ เหน็ คุณคา่ ตอบเห็นด้วยว่า ในชมุ ชน/สาธติ และ ชมุ ชน/สาธิตวธิ กี าร 2.อุปกรณ์ ด้วยวา่ ประโยชน์ของ เพ่อื ให้ การลดขนาดขยะ อธบิ ายการใช้อุปกรณ์ อัดขยะขวดฯดว้ ยมอื ลดขยะ การลด การลดขนาด ผเู้ รยี นเห็น ขวดพลาสติกโดยใช้ ลดขนาดขยะขวดฯ ท่ี 2) ช่วยกันตอบ ดว้ ยมอื ขนาดขยะ ของขยะขวด คณุ ค่าของ อุปกรณล์ ดขยะดว้ ย ทาฯได้ง่ายเดก็ ๆก็ ประโยชน์จากการลด 3.แบบ ขวด พลาสตกิ การลด มือนน้ั มปี ระโยชน์ 4 สามารถทาได้ ขนาดขยะขวดฯ วา่ ทดสอบ พลาสตกิ 1) ทาให้มีพืน้ ที่ ขนาดขยะ ขอ้ ในเวลา 5นาที 2) ใหผ้ ู้เรียนทุกคน “ทำใหม้ พี ื้นท่ีจดั เก็บ หลงั การจัด โดยใช้ จดั เก็บขยะขวด ขวด คอื 1) ทาใหม้ ีพน้ื ที่ ช่วยกันตอบประโยชน์ ขยะขวดของชุมชน กจิ กรรม อุปกรณล์ ด พลาสติกมากขึน้ พลาสติก จัดเกบ็ ขยะขวดของ จากการลดขนาดขยะ ได้มำกขึน้ หรอื ไม่ ขยะด้วย 2)วิธกี ารลด โดยใช้ ชุมชนไดม้ ากขน้ึ ขวดฯ ว่า “ทำใหม้ พี ื้นที่ /ทำไดง้ ำ่ ย หรือไม่ มือน้นั มี ขนาดขยะขวด อปุ กรณ์ลด 2)ทาได้ง่าย จัดเก็บขยะขวดของ /ทำให้เกดิ รำยได้ ประโยชน์ ทาได้งา่ ย ขยะขวดฯ 3)ทาให้เกิดรายได้ ชมุ ชนไดม้ ำกขึ้น หรอื ไม่ หรอื ไม่/ทำใหช้ มุ ชน ทงั้ 4 ข้อ 3)ทาใหเ้ กิด ดว้ ยมอื ได้ จากการรวบรวม /ทำไดง้ ่ำย หรอื ไม่ น่ำอย่หู รือไม่” ในเวลา 5 รายได้จากการ ขยะขวดฯ /ทำให้เกิดรำยได้หรือไม่ นาที รวบรวมขยะ 4)ทาให้ชมุ ชนนา่ อยู่ /ทำให้ชุมชนน่ำอยู่ 3)แต่ละคน ตอบให้ ขวดพลาสตกิ ไว้ หรอื ไม่” ผู้เรยี นประโยชนท์ ่ี ขาย 3)ใหผ้ ูเ้ รียนแต่ละคน ไดร้ ับจากการใช้ 4)ทาให้ชมุ ชนน่า ตอบประโยชนท์ ่ีได้รับ อปุ กรณล์ ดขนาดขยะ อยู่ จากการใช้อปุ กรณ์ลด ขวดฯในเวลา 5 นาที ขนาดขยะขวดฯในเวลา ในแบบทดสอบ 5 นาทีในแบบทดสอบ เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน 4= เห็นดว้ ยกบั ประโยชน์ 4 ข้อ ของการลดขนาดขยะขวดพลาสตกิ ในเวลา 5 นาท/ี 3= เห็นด้วยกับประโยชน์ 3 ข้อ ของการลด ขนาดขยะขวดพลาสตกิ ในเวลา 5 นาท/ี 2= เหน็ ด้วยกับประโยชน์ 2 ข้อ ของการลดขนาดขยะขวดพลาสติกในเวลา 5 นาท/ี 1= เห็นด้วยกับประโยชน์ 1 ขอ้ ของการลดขนาดขยะขวดพลาสตกิ ในเวลา 5 นาที/0= ตอบไมเ่ ห็นดว้ ยกบั ประโยชน์ของการลดขนาด ขยะขวดพลาสตกิ
47 ตาราง LE 4 เรือ่ ง ข้นั ตอนการอดั ขยะขวดพลาสติกดว้ ยมอื วตั ถุ วัตถุ สถานการณก์ ารเรยี นรู้ การ ประสงค์การ ประสงค์ ประเมิน เนอ้ื หาความรู้ กิจกรรมการ ส่ือช่วย สมรรถนะ สอน เชิง สอน ผล พฤตกิ รรม เรียนร้ใู นเนอ้ื หา กิจกรรมที่ เน้ือหาภาคปฏบิ ัติ ทกั ษะพิสยั : 1) แผ่น ผู้เรียน ขัน้ ตอนการลดขนาด ปฏบิ ตั ิไดจ้ น เพอื่ ให้ ความรทู้ ่ีผสู้ อน ผเู้ รียนกระทา ภาพ สามารถ ขยะขวดพลาสตกิ 1). คลอ่ ง ผ้เู รียนทกุ แสดง อัด รับอุปกรณอ์ ัดขยะคน เพ่อื ให้ คน สร้างขึน้ ขัน้ ตอน ขยะฯ ละ 1 เครื่อง ผเู้ รยี น สามารถ การอัด ได้ 2) ตั้งอปุ กรณใ์ หต้ รง / สามารถใช้ ลดขนาด 1) อธบิ าย 1) ฟงั การ ขยะฯ มากกวา่ ดึงท่อสาหรบั อดั ขยะ อปุ กรณอ์ ัด ขยะขวดฯ 2) 5 ขวดใน ออกจากอปุ กรณอ์ ดั ขยะฯไดจ้ น โดยใช้ ขั้นตอนประกอบ อธิบาย อุปกรณ์ เวลา 2 ขยะ คลอ่ ง อุปกรณ์ได้ อัดขยะฯ นาที 3) หยิบขยะขวด มากกว่า ของจริง สาธิต ขนั้ ตอน 3) ขยะ พลาสติก ใส่ลงใน 5 ขวดใน ขวดน้า อปุ กรณ์อัดขยะครั้งละ เวลา 2 2)ให้ผูเ้ รยี นฝกึ ประกอบของ 4)ถุงใส่ 1 ขวด นาที ขยะฯท่ี 4)นาทอ่ อดั ขยะในขอ้ 2 อัดขยะขวดฯ จรงิ อัดแลว้ สวมในอปุ กรณ์อดั ขยะ 5) กดทอ่ อัดขยะเพอ่ื โดยใชอ้ ปุ กรณ์ 2)ฝึกอัดขยะ ลดขนาดขวด 6) ดึงขยะขวดทอี่ ดั อัดขยะ ฯ โดย ขวดฯโดยใช้ เพ่ือลดขนาดแล้วใส่ใน ภาชนะท่เี ตรียมไว้ ให้ฝึกทาจน อปุ กรณ์อดั คล่อง ขยะ ฯ จน 3) ใหท้ าการอดั คลอ่ ง ขยะฯในเวลา 2 3) ใหท้ าการ นาที อดั ขยะฯใน เวลา 2 นาที เกณฑ์การให้คะแนน 1=ตรวจวัด DO ได้ถูกต้องในเวลา 15 นาท/ี 0=ตรวจวัด DO ไมถ่ กู ตอ้ งในเวลา 15 นาที ข้ันตอนที่ 3 ทดสอบประสทิ ธิภาพ L.E. การทดสอบประสิทธิภาพ L.E. โดยใช้แบบทดลองแบบกลุ่มเดียวมีการ ทดสอบครงั้ เดยี ว (one shot case study: OSC )
48 ผลการทดสอบ ดงั น้ี ค่าคะแนนผลสมั ฤทธิ์การเรยี น อายุการย่อยสลาย ประโยชน์ของการลด ขนั้ ตอนการอัดขยะ คะแนนเตม็ ผู้เรยี น วิธกี ารจดั การขยะขวด ของขยะ ขนาดขยะขวดพลาสตกิ ขวดพลาสตกิ ลาดับที่ พลาสติกของชุมชน L.E.2(3 คะแนน) L.E.3(4 คะแนน) L.E.4(1คะแนน) (10 คะแนน) L.E.1(2 คะแนน) 12 3 4 1 10 22 3 4 1 10 32 3 4 1 10 42 3 4 1 10 51 3 4 19 62 3 4 1 10 72 3 3 19 81 3 4 19 92 3 3 19 10 2 3 4 1 10 11 2 3 3 19 12 2 3 4 1 10 13 2 3 4 1 10 14 2 3 4 1 10 ค่าคะแนนเกณฑม์ าตรฐาน ร้อยละ 80 ของคะแนนเต็ม (10 คะแนน) คือ 8 คะแนน ผลการทดสอบปรากฏว่า หลังจากจัด L.E. เน้ือหาความรู้ดังกล่าวกับผู้เรียน จานวน 14 คน ทุกคน (100%)ได้คะแนนผลสัมฤทธิ์การเรียนสูงกว่าค่าคะแนนเกณฑ์ มาตรฐานร้อยละ 80 (8 คะแนน ดงั ตาราง) จงึ สรุปผลได้โดยทันทวี า่ L.E.นท้ี าให้การ วางโครงการส่งเสริมสิ่งแวดล้อมศึกษาชุมชน เร่ือง การลดพื้นท่ีจัดเก็บขยะขวด พลาสติกของชุมชน บรรลุตามวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมของ L.E. และบรรลุตาม วัตถุประสงค์ของโครงการ ซึ่งในกรณีน้ีไม่จาเป็นต้องใช้ Test Statistics มาช่วยใน การอธิบาย ว่ามีความแตกต่างหรือไม่แตกต่างอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติหรือไม่แต่ อยา่ งใด
49 การวางโครงการส่งเสรมิ สิง่ แวดล้อมศกึ ษาชุมชน: ชมุ ชนโรงเรียนวดั ถัว่ ทอง เร่อื ง การป้องกันและแก้ไขมลพิษทางอากาศโดยใช้ตน้ ไม้ ชมุ ชนโรงเรียนวัดถ่วั ทอง เป็นชุมชนชานเมอื ง ต้ังอยู่รมิ แม่น้าเจ้าพระยา ใกล้ กบั คลองบ้านพร้าว ในพืน้ ท่ี ต.บา้ นปทมุ อ.สามโคก จ.ปทมุ ธานี ภาพ ท่ตี ้ังชุมชนโรงเรียนวดั ถวั่ ทอง ต.บ้านปทมุ อ.สามโคก จ.ปทมุ ธานี โครงการส่งเสรมิ ส่งิ แวดล้อมศึกษาชมุ ชนนี้ ประกอบดว้ ย 3 L.E. ได้แก่ L.E.1 เรอื่ ง มลพษิ ทางอากาศในโรงเรียน L.E.2 เรื่อง ชนิดตน้ ไมใ้ นโรงเรยี น L.E.3 เรื่อง ตน้ ไมเ้ พือ่ ชวี ิต (ชนดิ ตน้ ไม้ท่ีลดมลพษิ ในอากาศ)
50 ข้ันตอนท่ี 1 วนิ ิจฉัยสภาวการณ์ปัญหาส่ิงแวดลอ้ มของชมุ ชน 1.1 สร้างความสัมพนั ธ์กบั ชมุ ชน ในขั้นตอนนี้ ผู้เขียนมีความคุ้นเคยกับผู้บริหารของโรงเรียน และคุณครูที่ รับผิดชอบกิจกรรมของโรงเรียนอยู่แล้ว เนื่องจากเป็นโรงเรยี นที่ผู้เขยี นใช้เป็น social laboratory ในการวางโครงการส่งเสริมสิ่งแวดล้อมศึกษา นับตั้งแต่ปี พ.ศ.2557 ถึง ปจั จบุ ัน จงึ ดาเนินการตามขั้นตอน 1.2 ต่อไป ภาพ การร่วมโครงการของชุมชนโรงเรียนวัดถั่วทองอย่างต่อเนื่อง 1) พ.ศ. 2557 โครงการตรวจวัดออกซิเจนละลายในน้าโดยใช้ DO test kit และ2) พ.ศ. 2558 โครงการตรวจวดั ออกซิเจนละลายในนา้ โดยใช้ DO test kit ในคลองบ้านพร้าว 1.2 คน้ หาผู้ให้ข้อมูลสาคญั โดยใช้ snowball technique ค้นหา key informants ตามเกณฑ์คุณสมบัติ ท่ีกาหนดไว้ ได้ key informants 2 คน เป็นคุณครูผู้รับผิดชอบด้านวิชาการและ กจิ กรรมของโรงเรียน 1.3 ค้นหาสภาวการณป์ ัญหาส่งิ แวดลอ้ มรว่ มกับชุมชน 1.3.1 โดยใช้ focus group discussion กับ key informants 2 คน ตาม ข้อ 1.2 โดยผู้เขียนเปน็ ผู้ดาเนนิ รายการ (moderator)
51 1.3.2 โดยใช้ individual in-depth interview กับผู้เชี่ยวชาญด้านต้นไม้ 211 คน 1.3.3 สารวจพน้ื ทพี่ รอ้ มทากบั สังเกตปัญหาสิ่งแวดล้อมของชุมชน ผลการค้นหา พบว่า ตัวปัญหาสิ่งแวดล้อมของชุมชนท่ีแท้จริงของชุมชน โรงเรียนวัดถ่ัวทอง ก็คือ มลพิษทางอากาศจากฝุ่นละอองขนาดเล็ก ที่เกิดจาก รถบรรทุกท่ีขนส่งสินค้าไปยังสถานประกอบการซ่ึงอยู่ใกล้เคียง อีกทั้งยังได้รับ ผ ล ก ร ะ ท บ จ า ก ก ล่ิ น ไ ม่ พึ ง ป ร ะ ส ง ค์ จ า ก ก า ร เ ผ า ไ ห ม้ เ ชื้ อ เ พ ลิ ง แ ล ะ ก า ร ผ ลิ ต ใ น อุตสาหกรรม กล่ินจากการเผาศพ ท้ังน้ีเนื่องจากโรงเรียนตั้งอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงกับ แหล่งเผาไหม้เชื้อเพลิงที่ใช้ความร้อนสูง เช่น วัดท่ีมีการเผาศพ (ซึ่งอยู่บริเวณใกล้เคียงกับ โรงเรียนทั้ง 2 ฝ่ังแม่น้าเจ้าพระยา จานวน มาก22) นิคมอุตสาหกรรมนวนคร โรงไฟฟ้า เ ชี ย ง ร า ก น้ อ ย แ ล ะ โ ร ง ไ ฟ ฟ้ า ใ น นิ ค ม อุตสาหกรรม นวนคร ซึ่งท้ังหมดนี้ล้วนเป็น แหล่งกาเนิดของ P.M.2.5 ออกไซดไ์ นโตรเจน และรวมถึงสารก่อมะเร็ง การป้องกันและ แก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศในพื้นท่ี จึงเป็น สิ่งท่ีมีความสาคัญต่อสุขภาพของครูและ นักเรยี นในโรงเรยี นรวมทั้งชมุ ชนด้วย ภาพ วดั และโรงงานอตุ สาหกรรมโดยรอบชุมชนโรงเรียนวดั ถั่วทอง 21 หัวหน้าแผนกภมู ิทัศน์และบริการ สานักงานอาคารและสง่ิ แวดล้อม ซง่ึ มีความเชย่ี วชาญใน เรอื่ งตน้ ไม้ของมหาวทิ ยาลยั 22 วดั ที่ตัง้ อยใู่ นพน้ื ที่ใกลเคยี งกับโรงเรียนวดั ถั่วทอง ทงั้ 2 ฝง่ั แมน่ ้าเจา้ พระยา เช่น วัดบา้ นพราว นอก วดั บ้านพร้าวใน วัดถว่ั ทอง วดั บวั ทอง วดั ปทุมทอง วดั ไผ่ล้อม วดั อัมพวุ ราราม วดั ป่าง้ิว วดั สองพนี่ ้อง วดั สวนมะมว่ ง วดั ศาลาแดงเหนือ วัดพลับ วดั เมตารางค์ เปน็ ตน้
52 สาหรับในขั้นตอนย่อยที่ 1.4 ค้นหาแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหา ส่ิงแวดล้อมของชุมชน และขั้นตอนย่อยที่ 1.5 ค้นหาและรวบรวมเนื้อหาความรู้การ ป้องกันและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมของชุมชนน้ัน ผู้เขียนซ่ึงเป็นผู้วางโครงการได้ กาหนดแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมของชุมชน ซ่ึงในคร้ังนั้น กาหนดให้จดั L.E. เก่ียวกับการป้องกันและแกไ้ ขมลพษิ ทางอากาศโดยใช้ต้นไม้ ให้กับ นักเรียนโรงเรยี นวัดถว่ั ทอง ชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 4 และปีท่ี 5 จานวน 16 คน โดยจัด L.E.ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2562 เพ่ือให้นักเรียนเห็นความสาคัญของการปลูก ต้นไม้ ดูแลต้นไม้ท่ีมีคุณสมบัติลดฝุ่น และต้นไม้ที่ดูดซับสารพิษท่ีก่อให้เกิดโรคท้ังใน โรงเรยี นและบ้านพกั อาศัยของตน ภาพ นักเรียนช่วยกันตอบคาถาม เร่ืองมลพิษทางอากาศในโรงเรียนและเตรียมตัว เลน่ เกมตน้ ไม้ดูดสารพิษ ช่วยกนั ตอ่ จิกซอร์ต้นไม้ในโรงเรยี น และนาเสนอผลงาน ขั้นตอนที่ 2 จัด L.E. การป้องกันและแก้ไขมลพิษทางอากาศโดยใช้ต้นไม้ ประกอบดว้ ย L.E.1 เร่อื ง มลพษิ ทางอากาศในโรงเรียน L.E.2 เรือ่ ง ชนดิ ตน้ ไม้ในโรงเรยี น L.E.3 เร่ือง ต้นไม้เพ่ือชวี ติ (ชนดิ ต้นไม้ที่ลดมลพิษ ในอากาศ)
53 ตาราง L.E.1 เร่อื ง มลพษิ ทางอากาศในโรงเรยี น วัตถุ วตั ถุ สถานการณ์การเรียนรู้ สื่อ การ ประสงค์ ประสงค์เชิง ช่วย ประเมิน เน้ือหาความรู้ การสอน พฤติกรรม กจิ กรรมการเรยี นรู้ กจิ กรรมทผ่ี ู้เรยี น สอน ผล สมรรถนะ ในเนือ้ หาความร้ทู ี่ผู้สอน กระทา สรา้ งขึ้น ข้อเทจ็ จรงิ พทุ ธพิ สิ ัย เพอื่ ให้ผ้เู รยี น 1.ใหผ้ ูเ้ รียนชว่ ยกันบอกถงึ 1.ผู้เรยี นชว่ ยกันบอกถึง เครื่อง ผ้เู รยี นตอบ เฉพาะเจาะ จดจา สามารถตอบ มลพิษทางอากาศท่เี กิดข้ึน มลพิษทางอากาศที่ ตรวจวัด ชนดิ ของ จง เพอ่ื ให้ผ้เู รียน ชนดิ ของมลพิษ ในบริเวณโรงเรยี น เกดิ ขึ้นในบรเิ วณ PM 2.5 มลพษิ ทาง มลพิษทางอากาศ จดจามลพิษ ทางอากาศที่ 2.สาธิตการตรวจวัดฝนุ่ ใน โรงเรยี น อากาศที่ ในบริเวณโรงเรยี น ทางอากาศท่ี เกดิ ขึ้นในบริเวณ ห้องท่ีจัดกจิ กรรม โดยใช้ 2.ชมการสาธติ การ แบบทดสอ เกดิ ข้นึ ใน ประกอบดว้ ย เกิดขนึ้ ใน โรงเรียนไดอ้ ย่าง เครื่องตรวจวัด PM 2.5 ตรวจวดั ฝุน่ ในหอ้ งท่จี ัด บหลังการ บรเิ วณ 1) ฝ่นุ จาก บรเิ วณ ถกู ต้อง 3 ขอ้ ใน 3.ผู้สอนสรปุ มลพษิ ทาง กิจกรรมโดยใช้เคร่ือง ทากิจกรรม โรงเรียนได้ การจราจร 2)กลิ่น โรงเรยี นได้ เวลา 5 นาที อากาศทีเ่ กดิ ข้ึนในบรเิ วณ ตรวจวดั PM 2.5 อยา่ ง ไมพ่ ึงประสงคจ์ าก อย่างถกู ต้อง โรงเรียน 3.ฟังผสู้ อนสรุปมลพิษ ถูกต้อง 3 การเผาศพ -3) 4. ใหผ้ ู้เรียนแตล่ ะคน ตอบ ทางอากาศท่เี กดิ ขนึ้ ใน ขอ้ ในเวลา กล่นิ สารเคมจี าก มลพิษทางอากาศทเี่ กิดขนึ้ บรเิ วณโรงเรียน 5 นาที โรงงาน ในบริเวณโรงเรยี น อย่าง 4.แตล่ ะคน ตอบมลพษิ อุตสาหกรรม และ นอ้ ย 3 ขอ้ ในเวลา 5 นาที ทางอากาศที่เกิดข้ึนใน สารเคมใี นการ ในแบบทดสอบหลังทา บรเิ วณโรงเรยี น อย่าง การเกษตร กจิ กรรม น้อย 3 ขอ้ ในเวลา 5 นาที ในแบบทดสอบ หลังทากิจกรรม เกณฑ์การให้คะแนน 3=ตอบชนิดมลพิษทางอากาศที่เกดิ ขน้ึ ในบริเวณโรงเรียนได้อยา่ งถกู ตอ้ ง 3 ข้อในเวลา 5 นาที/2=ตอบชนดิ ของมลพษิ ทางอากาศทเ่ี กดิ ขน้ึ ในบรเิ วณ โรงเรียนได้อยา่ งถกู ตอ้ ง 2 ขอ้ ในเวลา 5 นาที/1=ตอบชนดิ ของมลพิษทางอากาศทเี่ กิดข้ึนในบริเวณโรงเรยี นไดอ้ ย่างถกู ต้อง 1 ข้อในเวลา 5 นาที/0= อธบิ ายมลพษิ ทางอากาศทเ่ี กดิ ขน้ึ ในบริเวณโรงเรยี นไดอ้ ยา่ งไม่ถูกต้อง
54 ตาราง L.E.2 เรอื่ ง ชนดิ ต้นไมใ้ นโรงเรียน วัตถุ สถานการณ์การเรียนรู้ การ ประสงค์ ประเมนิ เนื้อหาความรู้ การสอน วัตถปุ ระสงค์ กจิ กรรมการเรยี นรู้ กจิ กรรมท่ผี ้เู รียน สือ่ ช่วย สมรรถนะ เชงิ พฤตกิ รรม สอน ผล ในเนอ้ื หาความรู้ที่ กระทา ผสู้ อนสร้างขนึ้ ข้อเท็จจรงิ พทุ ธิพิสัย: เพอ่ื ให้ผูเ้ รียน 1)ให้เลือกภาพ 1)ใหเ้ ลือกภาพ แบบ ผู้เรยี น จดจา จา จบั คู่ ภาพ ตน้ ไมท้ ีพ่ บใน ต้นไม้ทพ่ี บใน ทดสอบที่ จบั คูภ่ าพ ยกตัวอย่าง เพื่อให้ ตน้ ไมแ้ ละช่ือ โรงเรยี น โดยใช้ โรงเรยี นจาก 1 ภาพ ต้นไมก้ ับ ภาพและช่อื ผูเ้ รยี น ตน้ ไม้ใน แบบทดสอบท่ี 1 แบบทดสอบภาพ ต้นไมใ้ น ช่อื ต้นไม้ ต้นไมจ้ านวน สามารถ โรงเรียนได้ ต้นไม้ในโรงเรยี น ต้นไมใ้ นโรงเรยี น โรงเรียน ในโรงเรียน 6 ชนดิ จบั คู่ ภาพ ถกู ตอ้ ง 3 2)เฉลยชนิดต้นไมท้ ่ี 2)เฉลยชนดิ ต้นไม้ ได้ถูกตอ้ ง ( 5 ชนดิ เปน็ กบั ชอื่ ตน้ ไม้ ชนดิ ในเวลา พบในโรงเรียน ท่พี บในโรงเรยี น แบบ 3 ชนดิ ใน ตน้ ไมใน ได้ 5 นาที 3)ให้ทกุ คนช่วยกนั 3)ใหท้ กุ คน ทดสอบท่ี เวลา 5 โรงเรยี น) จับคู่ภาพต้นไมก้ บั ชว่ ยกนั จบั คภู่ าพ 2 นาที ชอื่ ต้นไมใ้ นโรงเรียน ตน้ ไม้กับชือ่ ตน้ ไม้ จบั คูภ่ าพ 4)เฉลย ภาพต้นไม้ ในโรงเรยี น ต้นไมก้ บั กบั ชื่อต้นไมใ้ น 4)เฉลย ชื่อต้นไม้ โรงเรียน 5)ใหแ้ ตล่ ะคนทา 5)ใหแ้ ต่ละคนทา จับคภู่ าพต้นไม้กบั จบั คูภ่ าพต้นไม้กับ ช่ือตน้ ไม้ใน ช่ือตน้ ไม้ใน แบบทดสอบจบั คู่ แบบทดสอบท่ี 2 ภาพและชือ่ ต้นไม้ เกณฑก์ ารให้คะแนน 3 =จับคภู่ าพตน้ ไม้กบั ช่อื ต้นไม้ถกู ตอ้ ง 3 ต้นในเวลา 5 นาที, 2 =จับคู่ภาพต้นไม้กับชอ่ื ต้นไม้ถูกตอ้ ง 2 ตน้ ในเวลา 5 นาที, 1 =จับคู่ภาพตน้ ไมก้ บั ช่อื ต้นไม้ถูกตอ้ ง 1 ต้นในเวลา 5นาที , 0= จับคภู่ าพต้นไมก้ บั ช่อื ต้นไม้ไมถ่ ูกตอ้ ง ในเวลา 5 นาที
55 ตาราง L.E.3 เรื่อง ตน้ ไม้เพอ่ื ชวี ิต(ชนิดต้นไม้ทีล่ ดมลพษิ ในอากาศ) เนือ้ หา วัตถุ วัตถุ สถานการณก์ ารเรียนรู้ ส่อื การ ความรู้ ประสงค์ ประสงค์เชงิ ชว่ ย ประเมิน สมรรถนะ การสอน พฤติกรรม กิจกรรมการเรยี นรู้ กจิ กรรมที่ สอน ผล ในเนอ้ื หาความรูท้ ี่ ผู้เรียนกระทา ผู้สอนสรา้ งขึ้น ขอ้ เท็จจรงิ เจตพสิ ัย: เพอ่ื ใหผ้ เู้ รยี น 1) ใหด้ แู ละเลอื กภาพ 1) ดูภาพ/เลือก ภาพตน้ ไม้ ผู้เรยี น เจตคติ เหน็ ความ ตอบว่า ตน้ ไม้ที่พบในโรงเรยี น ภาพตน้ ไมท้ ่ีพบ ตอบ เห็น ประโยชน์ของ สาคญั เหน็ ด้วยกบั 2) เฉลย 3) อธบิ ายภาพ ในโรงเรยี น แบบ ดว้ ย กบั ต้นไม้ เพ่อื ให้ 3 ขอ้ ความ ต้นไมท้ ี่ดดู ซบั ฝุ่น และ 2) ดูเฉลย ฟอร์มภาพ 3 ขอ้ 1)เปน็ ปจั จัยส่ี ผู้เรยี นเห็น วา่ ดูดซบั สารพษิ 4) ให้ 3) ฟัง/ดู ภาพ ต้นไม้ ความ 2)ลดฝนุ่ ความ 1)ควรปลูก ผู้เรียนเลือกภาพตน้ ไม้ ต้นไมด้ ดู ซับฝุ่น ดดู ซบั ฝุ่น 3)ดดู ซับก๊าซ สาคญั ตน้ ไม้เพือ่ ลด ดดู ซับฝนุ่ และสารพิษ และดูดซบั และดดู ซับ สารพษิ (จาก ของต้นไม้ มลพิษทาง 5) ให้ผู้เรียนแสดงความ สารพิษ สารพิษ การจราจร ลด อากาศ คดิ เหน็ เกย่ี วกับ 4) เลอื กภาพ /การเผาศพ สารกอ่ 2)จะนาความรู้ 3 ข้อความ (ควรปลกู ต้นไมด้ ูดซบั ซบั แบบฟอร์ม /โรงงาน มลพษิ น้เี ลา่ ให้ ต้นไม้เพ่อื ลดมลพิษทาง ฝ่นุ และดูดซบั ความคดิ อุตสาหกรรม ทางอากาศ ผูป้ กครองฟัง อากาศ / จะนาความรู้ สารพษิ เห็น 3 / พืน้ ท่ี 3)ชวน ไปเล่าให้ผ้ปู กครองฟัง/ 5) ตอบ เห็นดว้ ย ข้อความ ฯ เกษตร) ผู้ปกครองปลูก ชวนผปู้ กครองปลกู กบั 3 ข้อความ ตน้ ไมล้ ดมลพษิ ต้นไมล้ ดมลพิษที่บา้ น) หรือไม่ ทบี่ ้าน เกณฑก์ ารให้คะแนน 3 = ตอบเห็นด้วยกับ 3 ข้อความ ในเวลา 5 นาที, 2 = ตอบเหน็ ด้วยกับ 2 ขอ้ ความ ในเวลา 5 นาที, 1 = ตอบเหน็ ด้วยกบั 1 ข้อความ ในเวลา 5 นาที, 0= ไมต่ อบ
56 ขั้นตอนที่ 3 การทดสอบประสทิ ธิภาพ L.E. การทดสอบประสทิ ธิภาพ L.E. โดยใช้แบบทดลองแบบกลมุ่ เดียวมีการทดสอบ ครัง้ เดียว (one shot case study: OSC ) ผลการทดสอบ ดังน้ี ผเู้ รยี น คา่ คะแนนผลสมั ฤทธก์ิ ารเรยี น ตน้ ไม้เพ่อื ชีวิต คะแนนเตม็ ลาดับท่ี มลพิษทางอากาศในโรงเรยี น ชนิดตน้ ไม้ในโรงเรยี น L.E.3(3 คะแนน) (9 คะแนน) L.E.1(3 คะแนน) L.E.2(3 คะแนน) 12 2 15 22 2 26 33 3 39 43 3 39 52 3 27 63 3 39 73 3 39 83 3 39 91 2 36 10 3 3 39 11 1 1 35 12 3 3 39 13 3 1 15 14 3 3 28 15 3 3 39 16 3 3 39 ค่าคะแนนเกณฑ์มาตรฐานร้อยละ 80 ของคะแนนเต็ม (9 คะแนน) คือ 7.2 คะแนน การทดสอบทางสถิติเปรียบเทียบกับค่าคะแนนเกณฑ์มาตรฐานร้อยละ 80 ของคะแนนเตม็ ทาการทดสอบ โดยใชส้ ถติ ทิ ดสอบ Chi-square ตดั สินวา่ ผู้เรียนทั้ง 2 กลมุ่ ไดค้ ะแนนตา่ งกันอยา่ งมีนัยสาคัญทางสถิตหิ รอื ไม่ โดยเรม่ิ จาก
57 1.ต้ังสมมติฐาน: แบบมีทศิ ทาง H0: จานวนผูเ้ รียนท่ไี ด้คะแนนเทา่ กบั หรอื มากกวา่ ค่าคะแนนเกณฑ์ มาตรฐานกบั ผเู้ รยี นท่ีไดค้ ะแนนต่ากวา่ เกณฑ์ ไม่แตกต่างกัน HA: จานวนผเู้ รยี นท่ไี ดค้ ะแนนเท่ากับหรอื มากกวา่ ค่าคะแนนเกณฑ์ มาตรฐานมากกวา่ ผู้เรยี นท่ไี ด้คะแนนตา่ กว่าเกณฑ์ 2. กาหนด α=.05 3. สถติ ิทใี่ ช้: 2 - Test of Goodness of Fit 2 cal. = ∑ (O−E)2 E 4.การคานวณ 4.1 คานวณค่าคะแนนเกณฑ์มาตรฐานในท่ีนใ้ี ช้เกณฑ์ ร้อยละ 80 ของ คะแนนเต็ม ค่าคะแนนเกณฑ์มาตรฐาน = 80× 9 = 7.2 คะแนน 100 4.2 แบ่งกลุ่มผเู้ รียนออกเป็น 2 กลมุ่ ดงั น้ี คะแนน นักเรยี น(จานวน) 4.3 คานวณค่า E = 16/2 =8 7.2 10 7.2 6 รวม 16 4.4 สรา้ งตาราง Contingency Table ผเู้ รยี น ความถ่สี ังเกต ความถค่ี าดหวงั O-E (O-E)2 (O) (E) คะแนน 7.2 10 2 4 คะแนน 7.2 (16/2) 8 -2 4 6 รวม 16 (16/2) 8
58 5. แทนค่าในสตู ร 2 cal. = 4 +4 = 0.5 +0.5 = 1 8 8 6. เปิดตาราง 2 ที่ ������������ = 1; α=.05; 2tab.= 3.84 แสดงให้เหน็ ว่า 2 cal. 1 < 2 tab. 3.84 ซ่งึ หมายถงึ ยอมรับ H0 แต่ปฏเิ สธ HA แสดงวา่ จานวน ผู้เรียนที่ได้คะแนนเท่ากับ และมากกว่าค่า คะแนนเกณฑ์มาตรฐาน 7.2 คะแนน กับ จ า น ว น ผู้ เ รี ย น ที่ ไ ด้ ค ะ แ น น น้ อ ย ก ว่ า ค่ า คะแนนเกณฑม์ าตรฐาน 7.2 ไม่แตกต่างกัน อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับความ เชอ่ื มน่ั .05 หรือเชอื่ ถือได้ 95 % แต่ถ้าใช้ค่าคะแนนเกณฑ์มาตรฐานร้อยละ 60 ของคะแนนเต็ม ค่าคะแนน เกณฑ์มาตรฐาน(60× 9)/100 = 5.4 คะแนน ผู้เรียนท้ังหมด (100 %) จะผ่าน เกณฑ์ จงึ ไม่ตอ้ งดาเนนิ การตามขอ้ 4.1-4.4 และ 5 กบั 6 ตอ่ ไป ต่อมาในช่วงกันยายน – พฤศจิกายน 2562 เพ่ือให้เกิดความเชื่อม่ันในการนา รปู แบบการวางโครงการส่งเสรมิ สงิ่ แวดล้อมชมุ ชน ไปใช้เปน็ แนวทางการวางโครงการ ส่งเสริมส่ิงแวดล้อมศึกษาชุมชนเร่ืองอื่นๆ ผู้เขียนจึงได้ทาการศึกษาวิจัยเพื่อรวบรวม ความคิดเหน็ จากผ้ทู รงคุณวุฒดิ า้ นวางโครงการที่มตี ่อรูปแบบการวางโครงการส่งเสริม สง่ิ แวดลอ้ มศึกษาชมุ ชนของผ้เู ขยี น โดยใช้เทคนิคเดลฟาย (Delphi technique ) ซึง่ เป็นกระบวนการรวบรวมความคิดเห็นจากกลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิในการตัดสินใจ ใน เรื่องราวที่ยังไม่มีความชัดเจน โดยอาศัยประสบการณ์ความรู้ของผู้ทรงคุณวุฒิใน สาขาท่ีเกี่ยวข้อง และเมื่อเสร็จส้ินการวิจัย ผู้เขียนได้นาเสนอเป็นบทความการวิจัย และไดร้ บั การยอมรบั จาก Naresuan University Journal: Science and Technology เม่ือสิงหาคม 2563
59 สาหรบั วธิ กี ารวจิ ัยดังกลา่ ว แบ่งออกเปน็ 2 ระยะคือ ระยะที่ 1 การสร้างเครื่องมือเพื่อรวบรวมความคิดเห็นรอบด้านจาก ผู้ทรงคณุ วุฒทิ ีม่ ีต่อรูปแบบการวางโครงการสง่ เสรมิ สิง่ แวดล้อมศกึ ษา ดังนี้ 1.1 สร้างแบบสมั ภาษณ์แบบมโี ครงสรา้ งจากรปู แบบการวางโครงการ สิง่ แวดล้อมศึกษาชุมชน 1.2 นาแบบสมั ภาษณ์ในข้อ 1.1 ทาการสมั ภาษณ์ผูท้ รงคุณวุฒิ 3 ท่านทีม่ ี ประสบการณ์สงู ดา้ นการวางโครงการ 1.3 นาความคดิ เห็นทสี่ อดคล้องกันของผูท้ รงคุณวุฒิสรา้ งเปน็ แบบสอบ ถามมาตราสว่ นประมาณคา่ ระยะท่ี 2 ประยุกตใ์ ชเ้ ทคนคิ เดลฟายรวบรวมความคิดเหน็ ของผ้ทู รงคณุ วุฒิ 2.1 นาแบบสอบถามมาตรส่วนประมาณคา่ ท่จี ดั ทาขึน้ ในขอ้ 1.2 เป็น เครือ่ งมอื เพือ่ ใช้รวบรวมความคิดเห็นของผทู้ รงคุณวุฒิ 19 ทา่ นต่อรูปแบบ การวางโครงการของผ้วู ิจยั 2.2 ประยุกตใ์ ช้เทคนคิ เดลฟายรวบรวมความคิดเหน็ ของผู้ทรงคุณวฒุ ิ 19 ทา่ น (โดยผทู้ รงคณุ วุฒิ 9 ทา่ น คอื คณาจารย์จากสถาบนั การศกึ ษาระดับอดุ มศกึ ษา ทัง้ ของรฐั และเอกชน และทรงคณุ วุฒอิ ีก 10 ท่าน คือ บคุ ลากรจากองคก์ าร ทม่ี ปี ระสบการณใ์ นการถา่ ยทอดความรู้สิง่ แวดลอ้ ม) 2.3 รวบรวมความคดิ เห็นของผูท้ รงคุณวุฒิ 19 ท่านทมี่ ตี ่อแบบสอบถาม 2 รอบ ผลการวิจัย พบว่าโดยภาพรวมแล้วกลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิท้ังหมด มีความคิดเห็น สอดคล้องกัน โดยเห็นด้วยระดับมากท่สี ดุ ต่อทุกขั้นตอนของการวางโครงการส่งเสริม สง่ิ แวดลอ้ มศึกษาชุมชน จงึ สรปุ ได้ว่ารปู แบบซ่งึ เสนอโดยผู้วิจยั นี้ เป็นรปู แบบทมี่ ีความ เปน็ ไปได้ในการวางโครงการส่งิ แวดลอ้ มศกึ ษาชมุ ชน จากประสบการณ์การวางโครงการส่งเสริมส่ิงแวดล้อมศึกษาชุมชนท่ีผู้วิจัยได้ นาเสนอไปแลว้ ทงั้ 4 โครงการ ประกอบด้วย
60 1. โครงการสง่ เสริมสง่ิ แวดลอ้ มศึกษาชุมชน: ชุมชนบ้านคลองรังสติ หมู่ 5 ตาบลหลกั หก อาเภอเมอื ง จังหวดั ปทมุ ธานี (2554-2555) 2. โครงการส่งเสริมสิ่งแวดล้อมศึกษา ชุมชน: ชมุ ชนโรงเรยี นวัดดาวเรือง (ตาบล บางพูด อาเภอเมือง จังหวัดปทุมธานี) (ตลุ าคม 2558) 3. โครงการส่งเสริมสิ่งแวดล้อมศึกษา ชุมชน: ชุมชนวัดรังสิต (หมู่ 5 ตาบลหลัก หก อาเภอเมือง จังหวัดปทุมธานี) (กันยายน 2562) 4. โครงการส่งเสริมส่ิงแวดล้อมศึกษา ชุมชน: ชุมชนโรงเรียนวัดถ่ัวทอง (ตาบล บ้านปทุม อาเภอสามโคก จังหวัด ปทมุ ธานี) (มนี าคม 2563) รวมท้ังผลการศึกษาความคิดเห็นของผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งเห็นด้วยในระดับมาก ท่ีสุด จึงกล่าวได้ว่ารูปแบบการวางโครงการส่งเสริมส่ิงแวดล้อมศึกษาชุมชน ที่ ผู้เขียนได้นาเสนอนั้น เป็นรูปแบบท่ีเหมาะสมสาหรับใช้เป็นรูปแบบในการ วางโครงการสง่ เสรมิ สง่ิ แวดลอ้ มศึกษาชุมชน
61 ส่วนที่ 2 การสร้างมนษุ ยสมั พันธ์ หวั ใจของการวางโครงการสง่ เสรมิ สง่ิ แวดลอ้ มศกึ ษาชุมชน ผูเ้ ขยี นจงึ แยกออกมาเขยี นเปน็ สว่ นเฉพาะตา่ งหาก ไมร่ วมกับส่วนท่ี 3 ท่ีว่า ดว้ ยเรอ่ื ง “ศาสตร์” สาขาตา่ งๆท่ีจะนาเสนอในสว่ นถดั ไป โครงสร้างเนอ้ื หาส่วนท่ี 2 ประกอบด้วย พรหมวหิ าร 4 สงั คหวตั ถธุ รรม 4 อิทธบิ าทธรรม 4 ขันติ – โสรัจจะ เทคนิคช่วยสรา้ งมนษุ ยสมั พันธ์ ข้ันตอน 3 ข้ันตอนย่อยของกระบวนการวางโครงการส่งเสริมส่ิงแวดล้อม ศึกษาชุมชน ในส่วนของข้ันตอนท่ี 1 วินิจฉัยสภาวการณ์ปัญหาส่ิงแวดลอ้ มของชมุ ชน ได้แก่ 1) การค้นหา key informants 2) การค้นหาตัวปัญหาส่ิงแวดล้อมของชุมชนท่ี
62 แท้จริง และ3) การค้นหาเน้ือหาความรู้และแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหา สง่ิ แวดล้อมของชมุ ชน ข้ันตอนเหล่าน้ีจะไม่ประสบความสาเร็จอย่างแน่นอน หากผู้วางโครงการไม่ สามารถทาให้ key informants ทั้ง 3 กลุ่มนี้ คือ key informants ด้านตัวปัญหา สิ่งแวดล้อมของชมุ ชนดา้ นแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาสิง่ แวดล้อมของชุมชน ร ว ม ท้ั ง ด้ า น ผู้ ท ร ง คุ ณ วุ ฒิ เ น้ื อ ห า ค ว า ม รู้ แ น ว ท า ง ก า ร ป้ อ ง กั น แ ล ะ แ ก้ ไ ข ปั ญ ห า สิ่งแวดล้อมของชุมชน มีความไว้เนื้อเชื่อใจในตัวผู้วางโครงการได้ นั่นคือ การทาให้ key informants เหล่านั้นเช่ือถือ ไว้วางใจ และมอบความม่ันใจที่จะให้ข้อมูลที่เป็น จริงแก่ตัวผู้วางโครงการ จากประสบการณ์ของผู้เขียนพบปรากฏการณ์ที่มีความแตกต่าง 2 ระดับ ได้แก่ ปรากฏการณ์ท่ีเป็นภาพ“หน้าบ้าน”(front region) และปรากฏการณ์ท่ีเป็น ภาพ“หลงั บ้าน”(back region) ดังทชี่ ยนั ต์ วรรธนะภูติ (2536) ได้กล่าวไวว้ า่ …..ปรากฏการณ์หน้าบ้าน ก็คือ ความจริงท่ีชาวบ้านต้องการนาเสนอ และมีเจตนาสร้างความประทับใจให้ผู้วางโครงการเข้าใจหรือรับรู้ ขณะที่ปรากฏการณ์หลังบ้าน ก็คือ ความเป็นจริงที่ชาวบ้านต้องการจะ ปกปิดซ่อนเร้น เพื่อปกป้องและรักษา“หน้าตา”ของเขาซ่ึงมักจะเป็น เร่อื งทค่ี นในดว้ ยกนั รู้ความจริงเป็นอย่างดี แตไ่ มต่ อ้ งการให้คนนอกล่วงรู้ ความเป็นไปของตน หลักการท่ีอยู่เบื้องหลังของแนวคิดนี้ ก็คือ ความ เป็นจริงของสังคม เป็นสิ่งที่“ถูกปรุงแต่ง”หรือ “นาเสนอ”เพ่ือต้องการ สร้างความประทับใจ การสร้างความไว้เนื้อเช่ือใจด้วยการสร้างมนุษยสัมพันธ์ จึงเป็นสิ่งสาคัญ ท่ีมี ส่วนกาหนดการให้ข้อมลู ทีเ่ ป็นความจรงิ ของ key informants ผู้เขียนพยายามค้นหาองค์ความรู้ในการสร้างมนุษยสัมพันธ์ พบว่าเป็นหัวข้อ เรื่องที่ปรากฏในศาสตร์สาขาต่างๆ เช่น สังคมวิทยา จิตวิทยา การบริหาร ฯลฯ รวมทั้งปรากฏในรูปแบบของหนังสือ เอกสารวิชาการ ฯลฯ หลังจากได้ศึกษาแล้ว พบว่า เน้ือหาความรู้มีลักษณะเชิงวิชาการหรือมีลักษณะเป็นเสมือนการเทศน์ของ
63 พระซึง่ สอนประชาชนทั่วไป ผู้เขยี นไม่พบเน้อื หาความรู้ที่เกิดจากประสบการณ์ในการ ปฏิบัติจรงิ อย่างไรกต็ าม ผู้เขียนมคี วามเชอ่ื ว่า วฒั นธรรมของคนไทยน้ันยดึ โยงอยกู่ ับ หลกั ธรรมคาสอนทางพุทธศาสนา ดงั นั้นหลักธรรมคาสอนใดท่ีเกี่ยวโยงกบั การสร้าง มนษุ ยสมั พนั ธน์ ่าจะเปน็ องคค์ วามรทู้ ่นี ่าเชอ่ื ถอื และนาไปปฏบิ ัติได้จรงิ ในทน่ี ีผ้ ู้เขียน พบว่าหลกั ธรรมคาสอนบางประการไดแ้ ก่ พรหมวิหาร4 สังคหวัตถุธรรม 4 อิทธิบาทธรรม 4 และขันติ -โสรจั จะเปน็ หลักธรรมทจ่ี ะสามารถสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจให้เกิดขน้ึ ได้จริง สาหรับรายละเอียดของหลักธรรมดังกล่าว ข้างต้น ผู้เขียนสรุปจากข้อเขียนของโสภณ ธนะมัย (2562) ท่ีได้นาเสนอไว้ในหนังสือ“ถอดรหัส อศ.กช.”สาหรับครู – อาจารย์วิทยาลัยเกษตรและ เทคโนโลยีที่เป็น“กองกาลัง L.E.: L.E.CORPS” รวมท้ังผู้เขียนขยายความจากประสบการณ์ของ ผูเ้ ขยี นเอง แล้วนามาเรียบเรยี งนาเสนอดังต่อไปน้ี พรหมวหิ าร 4 มีคากล่าวว่า โลกของเราอยู่ได้ด้วย พรหมวิหาร 4 เพราะเป็นหลักธรรมท่ีว่า ดว้ ย ความรกั ความเมตตา กรุณา และความหวงั ดตี ่อผอู้ ืน่ 1. เมตตา หมายถงึ ความรกั ความปรารถนาดีท่ีจะชว่ ยใหผ้ อู้ นื่ พน้ ทกุ ข์ 2. กรุณา หมายถงึ ลงมอื ชว่ ยใหผ้ ู้ทมี่ ที ุกข์ให้พน้ ทกุ ข์ ทั้งกายและใจ 3. มทุ ิตา หมายถึง ความชืน่ ชมยินดใี นความสุขความสาเรจ็ ของผู้อ่ืน 4. อุเบกขา หมายถึง การวางใจให้เป็นกลาง มีความหนักแน่นมั่นคงในจิตใจ ไม่หวั่นไหว ด้วยอารมณ์อันจะทาให้สูญเสียความถูกต้องยุติธรรม เม่ือความเมตตา กรุณาน้ันไม่สามารถให้กับสิ่งหรือการกระทาท่ีผิดทานองครองธรรมได้ หรือเมื่อให้ ความเมตตากรณุ าแล้วแต่กไ็ ม่สามารถชว่ ยให้พ้นทุกข์ได้
64 ความเป็นจริงในการสร้างมนุษยสัมพันธ์ โดยใช้พรหมวิหาร 4 เพ่ือทาให้ key informants มีความไว้เน้ือเช่ือใจในตัวผู้วางโครงการ และและมอบความเช่ือ ความ มั่นใจที่จะให้ข้อมูลที่เป็นจริงแก่ผู้วางโครงการนั้น ท่ีผ่านมาผู้เขียนใช้ธรรมะข้อ “มุทิตา”ทาให้สามารถได้รบั ความไวเ้ นอ้ื เชื่อใจ การยึดหลัก“มุทิตา” คือ ความช่ืนชมยินดีในความสุขความสาเร็จของผู้อ่ืน ดังตัวอยา่ งบางเหตกุ ารณ์ ดังนี้ การช่ืนชมยินดีกับความสาเร็จของการสรา้ งระบบบาบดั นา้ เสยี ของลงุ ออ๊ ด ดอกพิกุล ปราชญ์ชาวบ้าน ซ่ึงได้รับการยอมรับจากชุมชนว่า เป็นต้นแบบของ ประชาชนในชุมชนบ้านศาลาแดงเหนือ ตาบลเชียงรากน้อย อาเภอสามโคก จังหวัด ปทมุ ธานี และสานักงานส่งิ แวดลอ้ มจงั หวดั ปทมุ ธานี ภาพ ลุงอ๊อด ดอกพิกุล อธิบายขั้นตอนการบาบัดน้าเสีย ระบบบาบัดน้าเสียที่ได้ พฒั นาขึ้น การชนื่ ชมยนิ ดีกบั ความสาเรจ็ ในการสร้างเตาเผาขยะของชาวบา้ นชุมชน บ้านศาลาแดงเหนือ ซึ่งได้รับการยอมรับจากชุมชนและหน่วยงานท้ังภาครัฐและ เอกชนนอกชุมชนให้เป็นต้นแบบการจัดการขยะ ทั้งของหมู่บ้านและหน่วยงาน ภายนอก เป็นแหลง่ ศึกษาดงู านด้านการจดั การสิ่งแวดล้อมชมุ ชน ตลอดจนได้รับการ
65 ยอมรับจากหน่วยงานส่ิงแวดล้อมโลกประจาประเทศไทย โดยให้ทุนสนับสนุนการ ก่อสรา้ งเตาเผาขยะเพิม่ เตมิ สาหรับชมุ ชน ภาพ ภูมิปัญญาเตาเผาขยะของชาวบ้านชุมชนบ้านศาลาแดงเหนือท่ีร่วมกันสร้างขึ้น ต้ังแต่ปี พ.ศ.2536-2548 รวม 7 รุ่น และในปี 2549 กองทุนสิ่งแวดล้อมโลก มอบ งบประมาณให้จัดสร้างเตาเผาขยะรุ่นท่ี 8 ข้ึน ซ่ึงปัจจุบันมิได้ใช้เตาเผาขยะดังกล่าว แล้ว (ลาวัณย์, 2552) การช่นื ชมยนิ ดี กับการได้รับรางวัล ชุ ม ช น ต้ น แ บ บ ข อ ง ชุมชนบ้านศาลาแดง เหนือ ภาพ กจิ กรรมการประเมินชุมชน เพื่อมอบรางวลั ชมุ ชนตน้ แบบให้แก่ชมุ ชน บ้านศาลาแดงเหนือ ซ่ึงผู้วางโครงการเป็นนักวิชาการท่ีร่วมให้ข้อมูลความสาเร็จใน การทากจิ กรรมดา้ นส่งิ แวดล้อมแก่คณะกรรมการผตู้ ัดสินในคร้งั น้นั
66 การช่นื ชมยินดกี ับประธานชุมชนบางปรอก อ.เมอื ง จ.ปทุมธานี ที่ไดร้ ับ พระราชทานปริญญาบัตร วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิทยาศาสตร์ส่ิงแวดล้อม จากมหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ อันเนอ่ื งมาจากผลงานการจดั การสิ่งแวดล้อมชุมชน สงั คหวัตถุธรรม 4 เปน็ หลักธรรมวา่ ด้วยการประพฤตปิ ฏบิ ตั ิตอ่ กันอย่างมีมนษุ ยสัมพนั ธ์ ไดแ้ ก่ 1.จาคะ หรือทาน หมายถึง การเอ้ือเฟื้อเผ่ือแผ่ การให้ปัน การช่วยเหลือ เกื้อกูลกัน โดยไม่หวังส่ิงใดตอบแทนสาหรับตัวผู้ให้ การให้ทานเป็นการกระทาด้วย น้าใจจะทาให้ความสมั พันธ์ระหว่างกนั และกันเป็นไปด้วยความดีงาม 2. ปยิ วาจา หมายถงึ การใชค้ าพูดที่สุภาพเป็นที่ช่นื ชมของผูไ้ ด้ฟังได้ยิน คาพดู มักเป็นสิ่งแรกท่ีคนเราจะตัดสินว่า คนท่ีเก่ียวข้องด้วยกันนั้นเป็นอย่างไร และเกิด ทศั นคตทิ ันทวี ่า ควรจะมคี วามสมั พนั ธ์กนั หรอื ไม่ เพยี งใด 3. อัตถจริยา หมายถึง การสร้างสรรค์ส่ิงที่ดีมีประโยชน์แก่กันและกัน การ แสดงอัตถจริยาท่ีจะสร้างมนษุ ย์สัมพันธ์ เชน่ การช่วยเหลอื กันและกนั โดยช่วยยกของ แบกของ หิ้วของ เป็นต้น คนเราแม้จะโกรธกัน แต่ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแสดงอัตถจริยา โดยการช่วยเหลือเก้ือกูลโดยเฉพาะเมื่อเขามีปัญหาอยู่ในภาวะลาบาก ย่อมเป็นการ สรา้ งมติ รไดอ้ ยา่ งดี 4. สมานัตตา หมายถึง ความเสมอต้นเสมอปลาย เป็นการวางตัวให้คงเส้นคง วา ตอนนี้เป็นอย่างไร ต่อไปเป็นอย่างนั้น คนที่เคยแสดงออกต่อผู้อ่ืนด้วยความถ่อม ตนสภุ าพอย่างไรมากแ็ สดงและกระทาเช่นนัน้ ไปอีกเรือ่ ยๆ ไมว่ ่าจะมีการเปลยี่ นแปลง ในฐานะทางสังคมอย่างไร การวางตัวให้เสมอกับคนท้ังหลาย ทาตนให้เข้ากับผู้อ่ืน อยา่ งเสมอภาค จึงเปน็ การสร้างมนษุ ยสัมพนั ธ์ไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง ความเป็นจริงในการสร้างมนุษยสัมพันธ์ โดยใช้สังคหวัตถุธรรม 4 เพื่อทาให้ key informants มีความไว้เน้ือเชื่อใจในตัวผู้วางโครงการ และมอบความเชื่อ ความ ม่ันใจท่ีจะให้ข้อมูลท่ีเป็นจริงแก่ผู้วางโครงการนั้น ท่ีผ่านมาผู้เขียนใช้ธรรมะข้อ “จาคะ” และ “อัตถจรยิ า”สามารถทาให้ได้รับความไวเ้ น้อื เช่อื ใจ
67 การยึดหลัก“จาคะ”หรือ“ทาน\"คือ การเอ้ือเฟื้อเผ่ือแผ่ การให้ปัน การ ชว่ ยเหลือเกอื้ กลู ดังตัวอยา่ งบางเหตุการณ์ ดังน้ี ให้ความช่วยเหลือตามคาร้องขอของผูน้ าชมุ ชน เช่น รว่ มเป็นวิทยากรใน งานของชุมชน (ร่วมเป็นวิทยากรโครงการ“มอญซ่อนภูมิ”ของชุมชนบ้านศาลาแดง เหนือ) การจัดทาส่ือ /ให้ยืมส่ือเพ่ือใช้ในการประชาสัมพันธ์และนาเสนอผลงานของ ชุมชนทุกครง้ั ทีไ่ ด้รบั การร้องขอ ภาพ การจัดทาส่ือโปสเตอร์ขยายเครือข่ายยุวชนจิตอาสาเฝ้าระวังคุณภาพคลอง เชื่อมต่อแม่น้าเจ้าพระยาใน อ.สามโคก จ.ปทุมธานี ซึ่งผู้วางโครงการจัดทาให้กับ ชุมชนหมบู่ ้านศาลาแดงเหนือ เพ่ือใชป้ ระโยชนใ์ นการเสนอผลงานของชุมชน
68 ภาพ การจัดทาภาพน่ิง วัฒนธรรมของชุมชนบ้านศาลาแดงเหนือ เพ่ือให้ชุมชนใช้ ประโยชนใ์ นการประชาสัมพนั ธ์ ภาพ ผู้วางโครงร่วมกับนักศึกษา มหาวิทยาลัยรังสิต บันทึกภาพและ รวบรวมส่ิงของในอดีตของชุมชน เพื่อจัดทาเป็นหนังสือช่ือ“ส่ิงของใช้ ในอดตี ท่ีบา้ นมอญศาลาแดงเหนอื ” เป็นวิทยากรเผยแพรผ่ ลงานของชุมชน ทัง้ ในและนอกชุมชน เป็นทีป่ รกึ ษาฝ่ายวชิ าการในโครงการวจิ ัยและการพฒั นาชุมชนเมือ่ ได้รบั การรอ้ งขอจากชมุ ชนดว้ ยความเตม็ ใจ การยึดหลัก“อัตถจริยา คือ การสร้างสรรค์ส่ิงที่ดีมีประโยชน์แก่กันและกัน และทาประโยชน์แก่สงั คม ดงั ตัวอย่างบางเหตกุ ารณ์ดังน้ี จัดทา CD สวดมนตภ์ าษามอญให้กบั ลุงออ๊ ด ดอกพิกุล เพือ่ เผยแพรใ่ ห้กบั ชุมชน เขา้ มีส่วนร่วมในการจัดกจิ กรรมของชมุ ชน เชน่ บนั ทึกภาพนงิ่ ภาพเคลอื่ นไหว ในการบรรยายใหค้ ณะศกึ ษาดงู านเรือ่ ง ระบบบาบดั น้าเสียของ ลงุ ออ๊ ด ดอกพกิ ลุ ชว่ ยบันทึกภาพน่งิ ภาพเคลอ่ื นไหว ในงานประเพณตี า่ งๆ เพอื่ เป็น
69 แหล่งเรียนรู้ของชุมชน (ซ่ึงมีโครงการจัดเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์ของชุมชน) เช่น การทา ข้าวแช่ การกวนกระยาสารท งานวันสงกรานต์ มอญถวายบัว ประเพณีกวนกระยา สารทของชุมชน ประเพณสี งกรานต์ชมุ ชนบา้ นศาลาแดงเหนอื เปน็ ต้น อาสาอานวยความสะดวกในการเดนิ ทางใหก้ บั ลุงอ๊อด ดอกพิกลุ เมือ่ ตอ้ งไปบรรยายความร้เู กีย่ วกับระบบบาบดั เสยี ในสถานทตี่ ่างๆ อาสาอานวยความสะดวก เพ่อื ล่องเรือสารวจสายคลองเชอ่ื มโยงแม่นา้ เจ้าพระยาชว่ งไหลผ่านจังหวดั ปทมุ ธานี (69 สายคลอง) ภาพ ผู้เขียนร่วมกับชาวบ้านชุมชนบ้านศาลาแดงเหนือ สารวจคลองเช่ือมต่อแม่น้า เจ้าพระยาช่วงไหลผ่านจังหวัดปทุมธานี จานวน 69 คลองโดยทางเรือ เพ่ือศึกษา ระบบนเิ วศของสายคลอง (ทาการสารวจ 4 วนั : ปี พ.ศ. 2551)
70 จัดเตรียมขอ้ มลู เชงิ วชิ าการและประสบการณเ์ พื่อสนับสนุนให้ผนู้ าชุมชน ได้รับรางวัล เช่น จัดทารายงานโครงการแผนที่มลพิษทางน้าชุมชนบ้านคลองรังสิต ใหก้ บั ชมุ ชนบ้านคลองรงั สิตเพอื่ ใชป้ ระโยชนใ์ นการเสนอผลงานรบั รางวัล เปน็ ตน้ วางโครงการพฒั นาชมุ ชนตามคาร้องขอ เชน่ “โครงการชุมชนบา้ น คลองรังสิต เตรียมรับมือกับภัยพิบัติ(น้าท่วม)” ให้แก่เยาวชนในชุมชนตามคาร้องขอ ซ่ึงสมาชิกของชมุ ชนได้รว่ มเป็นวิทยากรในโครงการน้ีดว้ ย ภาพ ร่วมกับชุมชนจัดกิจกรรม“พายเรือได้” ให้กับเยาวชน ในโครงการการเตรียม ความพร้อมรับมอื กับภัยพิบัติ
71 ภาพ ร่วมกับชุมชนจัดกิจกรรม“ว่ายน้าเพ่ือเอาชีวิตรอด” ให้กับเยาวชน ในโครงการ การเตรียมความพรอ้ มรับมือกับภยั พบิ ตั ิ การยึดหลัก“สมานัตตา” คือ ความเสมอต้นเสมอปลาย เป็นการวางตัวให้คง เส้นคงวา การวางตัวให้เสมอกับคนทั้งหลาย ทาตนให้เข้ากับผู้อ่ืนอย่างเสมอภาค จึง เป็นการสร้างมนษุ ยสมั พนั ธ์ไดอ้ ย่างถูกตอ้ ง เช่น รว่ มกิจกรรมมอญถวายบัวของชุมชน บางปรอก (พ.ศ.2550) ร่วมทาบุญวันสงกรานต์ และทาบุญให้กับบรรพบุรุษ สรงน้า สงกรานต์กบั ชาวบ้านชุมชนบ้านศาลาแดงเหนือ ภาพ การรว่ มกิจกรรมมอญถวายบัวของชุมชนบางปรอก จดั ข้นึ ในปีพ.ศ.2550
72 ภาพ ร่วมทาบุญวันสงกรานต์ และทาบุญให้กับบรรพบุรุษ สรงน้าสงกรานต์กับ ชาวบา้ นชุมชนบ้านศาลาแดงเหนือ ภาพ ร่วมเรียนรู้ภมู ิปญั ญาการกวนกระยาสารทของชุมชนบ้านศาลาแดงเหนือ
73 อิทธบิ าทธรรม 4 เป็นหลักธรรมท่ีเน้นการแสดงออกที่จะช่วยสร้างมนุษยสัมพันธ์กับคนท่ัวไป ได้แก่ 1.ฉันทะ หมายถึง ความพึงพอใจในสิ่งท่ีทาอยู่ คือควรจะรักงาน รักเพื่อน ร่วมงาน รักช่ือเสียงของหมู่คณะหรือสถาบัน การท่ีรักงานดีมีประโยชน์แก่ผู้อ่ืน ย่อม ทาให้มีคนรักใคร่เอ็นดูเห็นใจ เพราะใครๆก็ชอบคนที่ชอบทางาน โดยเฉพาะอย่างย่ิง งานทมี่ ีคุณค่ากย็ อ่ มทาให้หมู่คณะมคี วามกา้ วหน้าและมีความสงบสขุ 2.วิริยะ หมายถึงความเพียรพยายาม ขยัน อดทน บากบ่ัน จนถึงท่ีสุด จน ประสบความสาเร็จ ใครๆก็ชอบคนขยันไม่ท้อถอย เลิกล้มความตั้งใจง่ายๆ เพราะคน แบบนี้สามารถช่วยผู้อ่ืน ช่วยหมู่คณะให้ทางานได้สาเร็จ แต่ถ้ามีความรู้ความสามารถ ในส่ิงท่ีเขาต้องการด้วยแล้ว ก็จะทาให้มีคุณค่ามากข้ึน แม้แต่สิ่งเล็กน้อย ถ้าเขาทา อะไรก็เข้าไปช่วย เขากเ็ หน็ ว่า เรามีนา้ ใจ 3. จติ ตะ หมายถงึ ความตั้งใจ ฝักใฝ่อย่างจรงิ จงั กับส่ิงใดๆ คนท่ีมีจิตตะกจ็ ะเป็น คนที่เอาการเอางาน คนที่เอาการเอางาน คนก็ย่อมชอบย่อมรักในส่ิงที่เขาทา ซ่ึงเป็นส่ิง ทชี่ ่วยสร้างมนษุ ยสมั พนั ธท์ ่ีดีในหมเู่ พื่อน ผูบ้ ังคบั บัญชา ผู้ใต้บังคบั บญั ชา 4 วิมังสา หมายถึง การไตร่ตรองพิจารณา อันทาให้การประพฤติ การ แสดงออกมีข้อบกพร่องและความขัดแย้งน้อย เม่ือมีการแสดงออกโดยกายกรรม วจกี รรม และมโนกรรม ถูกตอ้ งเหมาะสม การมีมนษุ ยสมั พนั ธ์ท่ีดกี เ็ กดิ ข้ึน ความเป็นจริงในการสร้างมนุษยสัมพันธ์ โดยใช้อิทธิบาทธรรม 4 เพ่ือทาให้ key informants มีความไว้เน้ือเช่ือใจในตัวผู้วางโครงการ และมอบความเช่ือ ความ ม่ันใจที่จะให้ข้อมูลที่เป็นจริงแก่ผู้วางโครงการน้ัน ที่ผ่านมาผู้เขียนใช้ธรรมะข้อ “ฉันทะ วิริยะ จติ ตะ”สามารถทาให้ไดร้ บั ความไวเ้ นอื้ เชอ่ื ใจ การยึดหลัก “ฉันทะ” ในที่นี้ คือ รักงาน โดยเฉพาะอย่างย่ิงงานท่ีมีคุณค่าก็ ย่อมทาใหห้ มคู่ ณะมคี วามกา้ วหนา้ และมีความสงบสุข ดังตัวอยา่ งบางเหตุการณด์ ังนี้ ช่วยทางานดว้ ยความเต็มใจและจริงจงั จนสาเรจ็ ลุล่วงตามวัตถุประสงคท์ ่ี กาหนดไว้ เช่น เป็นที่ปรึกษาฝายวิชาการในโครงการเสริมสร้างศักยภาพ และขยาย เครือข่ายยุวชนจิตอาสา เฝ้าระวังคุณภาพคลองเช่ือมต่อแม่น้าเจ้าพระยาใน ตาบล
74 เชียงรากน้อย อ.สามโคก จ.ปทุมธานี ซึ่งโครงการดังกล่าวได้รับการสนับสนุน งบประมาณจากการประปานครหลวงและ UNDP7474 ภาพ ความสาเร็จของโครงการเสริมสร้างศักยภาพและขยายเครอื ข่ายยวุ ชนจติ อาสา เฝ้าระวังคุณภาพคลองเช่ือมต่อแม่น้าเจ้าพระยา ในตาบลเชียงรากน้อย อาเภอสาม โคก จังหวัดปทุมธานี ซึ่งผู้วางโครงการทาหน้าท่ีเป็นที่ปรึกษาฝ่ายวิชาการให้กับผู้นา ชุมชนและเยาวชนชุมชนบา้ นศาลาแดงเหนอื การยึดหลัก “วิริยะ” หมายถึงความเพียรพยายาม ขยัน อดทน บากบั่น จนถึงท่ีสุด และการยึดหลัก“ จิตตะ” หมายถึง ความต้ังใจ ฝักใฝ่อย่างจริงจังกับส่ิง ใดๆ จนประสบความสาเรจ็ ดงั ตวั อยา่ งบางเหตกุ ารณ์ ดงั น้ี ทางานกบั ชุมชนดว้ ยความพากเพียรอยา่ งต่อเนื่อง ดว้ ยความเตม็ ใจ และ จริงจัง จนงานประสบความสาเร็จ เช่น ทาการตรวจวัดคุณภาพน้ามาตั้งแต่ปี 2554 จนถงึ ปี 2562 ดังภาพ
75 ภาพ ตัวอย่างการร่วมกับทีมงานท้ังบุคลากรในมหาวิทยาลัยและเยาวชนในชุมชน วัดรังสิตรวมทั้งผู้นาชุมชนบ้านคลองรังสิต ทาการตรวจวัดคุณภาพน้าในสายคลอง เช่ือมต่อแม่น้าเจ้าพระยา(ฝั่งตะวันออก) ช่วงไหลผ่าน จังหวัดปทุมธานี อย่างต่อเนื่อง (ตั้งแต่ปี 2554 จนถึงปี 2562 : ยุติโครงการเน่อื งจากสถานการณ์โควดิ 19) ขันติ – โสรจั จะ ขันติ คือ ความอดทน เป็นคนหนักแน่นต่อเหตุร้ายที่มากระทบ ส่ิงที่ต้อง อดทนมี 4 อยา่ ง คอื 1. อดทนต่อความลาบากตรากตรา คอื ไมแ่ สดงตัวเป็นคนข้ีแย กลัวแดด กลัวฝนจนเสียงาน และเสียลกั ษณะของผู้มีใจเขม้ แขง็ 2. อดทนต่อความทุกข์เวทนา ไมส่ อ่ ความเป็นคนใจเสาะ 3. อดทนตอ่ ความเจ็บใจ คือ เมื่อมผี ู้ทาลว่ งเกนิ ก็รู้จักยบั ย้งั ใจ ไม่แสดง อาการหนุ หันพลันแล่นถึงกับทะเลาะววิ าท 4. อดทนต่อความต้องการของตนเอง ไมแ่ สดงความเปน็ คนมกั ได้ อนั จะ ปรากฏวา่ เป็นคนไม่ดี
76 โสรัจจะ คือ ความสงบเสงี่ยม หมายความว่า เม่ือได้ใช้ขันติอดทนต่อ เหตุการณ์แล้ว จัดกิริยาอาการ คาพูด และสีหน้า ให้สงบเสง่ียม ย้ิมแย้ม เหมือนไม่มี อะไรเกดิ ข้ึน การทาอาการสงบเสง่ียมแบบน้ี เรยี กวา่ “โสรัจจะ” ความเป็นจริงในการสร้างมนุษยสัมพันธ์ โดยใช้ขันติ – โสรัจจะ เพื่อทาให้ key informants มีความไว้เน้ือเช่ือใจในตัวผู้วางโครงการ และมอบความเชื่อ ความ มั่นใจท่ีจะให้ข้อมูลท่ีเป็นจริงแก่ผู้วางโครงการนั้น ท่ีผ่านมาผู้เขียนใช้ธรรมะข้อ ขันติ- โสรัจจะ สามารถทาให้ไดร้ ับความไวเ้ นื้อเชื่อใจ การยึดหลัก“อดทนต่อความเจ็บใจ” และ“จัดกิริยาอาการ” คาพูด และสี หนา้ ให้สงบเสงี่ยม ยิ้มแยม้ ดงั ตวั อยา่ งเหตกุ ารณ์ ดงั นี้ กรณีเข้าชมุ ชน (บ้านศาลาแดงเหนือ) ครง้ั แรก เม่ือปี พ.ศ.2549 สมาชิก บางส่วนของชุมชน ตาหนิการทางานของบุคคลในองค์กรเดียวกับผู้เขียนที่เคยเข้ามา ทาวิจัยในชุมชนน้ี ซ่ึงสร้างภาพเป็นลบให้กับคนในชุมชน ผู้เขียนก็ฟังอย่างอดทน และจัดกิริยาอาการ คาพูด และสีหน้า ให้สงบเสงี่ยม ยิ้มแย้ม จึงทาให้สามารถเข้ากัน ไดแ้ ละติดต่อสัมพันธ์กบั คนในชมุ ชนไดต้ ลอดมาจนถึงทุกวันนี้ เทคนิคช่วยสร้างความสัมพันธ์ ในท้ายท่ีสุดของเร่ือง มนุษยสัมพันธ์ ผู้เขียนจะขอกล่าวถงึ เทคนิคที่จะช่วยใน การสร้างความสัมพันธ์ในวันแรกๆของการเข้าชุมชน ท่ีนาเสนอโดยนักวิชาการผู้มี ประสบการณ์สงู ทางการวิจัยเชิงคณุ ภาพในหนังสือ การวจิ ัยเชิงคุณภาพของ สภุ างค์ จนั ทวานชิ (2563) ดงั น้ี 1. วางทา่ ทีสงบเสงย่ี ม ไมท่ าตัวให้เด่นจนผดิ สงั เกตเพอื่ ไม่ใหช้ าวบ้าน รสู้ กึ วา่ เราเปน็ คนแปลกปลอมเขา้ มา 2. หลกี เล่ยี งการถามคาถามทีจ่ ะทาใหช้ าวบา้ นหรอื หรอื ผู้ตอบร้สู ึกอดึ อดั และ จาเป็นต้องปกป้องตนเอง เชน่ เร่อื งหนีส้ ิน เรือ่ งนา่ อบั อายของครอบครัวและชมุ ชน 3. อยา่ ทาตวั ทดั เทยี มผู้นาของชมุ ชน 4. พยายามเข้าไปมีสว่ นเกีย่ วข้องในเหตุการณ์ตา่ งๆทีเ่ กิดขึ้นในชุมชนแต่
77 เก่ียวข้องอย่างสงบและพร้อมท่ีจะช่วยเหลือ จะทาให้ได้รับการยอมรับจากชาวบ้าน เร็วขน้ึ 5. หาใครคนหน่ึงเปน็ ผู้เร่ิมแนะนาเราใหร้ จู้ กั กับชาวบา้ น 6. เม่ือมีความรูส้ ึกอดึ อัด ให้เข้าใจว่าเปน็ เรอ่ื งปกติธรรมดา เพราะเรากาลงั เข้ามาอยู่ในส่ิงแวดล้อมใหม่ ชาวบ้านเองอึดอัดเช่นเดียวกับเรา ความอึดอัดไม่ได้ หมายถึงความล้มเหลวในการสรา้ งความสมั พันธ์ 7. ใหถ้ อื ว่าสิง่ ต่างๆท่เี กดิ ขน้ึ ในสนาม โดยเฉพาะการกระทาของเราไม่ใช่ เรือ่ งส่วนตวั แต่เป็นเรอื่ งของงาน 8. อยา่ เครง่ ครัดวา่ จะทาอะไรได้มากในวันแรกๆ การสร้างความสัมพันธ์ ใชเ้ วลาเปน็ เดอื นๆ 9. เปน็ มิตรกับทกุ คน
78 ส่วนท่ี 3 ศาสตร์ 6 สาขา โครงสร้างเนื้อหาสว่ นที่ 3 ประกอบดว้ ย ส่วนท่ี 3.1 วิทยาการการศึกษาส่งิ แวดลอ้ ม ส่วนที่ 3.2 สง่ิ แวดล้อมศึกษา สว่ นที่ 3.3 การศึกษา ส่วนที่ 3.4 การสง่ เสริมการเกษตร สว่ นที่ 3.5 การวจิ ยั ส่วนที่ 3.6 สงั คมวทิ ยาชนบท
79 ศาสตร์ คือ องค์แห่งความรู้ท่ีเกิดจากการค้นคว้าอย่างมีระบบ มีการ สังเกตการณ์ วิเคราะห์ และต้ังทฤษฎี โดยหลักใหญ่จะมุ่งท่ี การแสวงหาความจริง โดยวิธกี ารทางวทิ ยาศาสตร์ (scientific method) ศาสตรเ์ ปน็ เรื่องของความไม่ส้ินสุด คอื ยง่ิ ศกึ ษายงิ่ พบมากขนึ้ ศาสตร์เป็นเรื่องของการค้นคว้า ข้อเท็จจริง ว่ามีเหตุและผลอย่างไร และมี กระบวนการอนั เป็นที่ยอมรับกนั ในวงการวิชาการหรอื ไม่ ศาสตรจ์ ะต้องประกอบไปดว้ ยสง่ิ ต่อไปนี้ (จีรพรรณ, 2543) 1. มกี ารสังเกต มกี ารยนื ยนั ข้อเทจ็ จริงอย่างชัดเจน มกี ารอธิบาย การตรวจ สอบ การทดลอง และอธิบายปรากฏการณ์อย่างมหี ลักการ 2. มหี ลักการ มวี ทิ ยาการ โดยอาศยั พ้นื ฐานของทฤษฏที ่ีมรี ะบบระเบียบ 3. ต้องมาจากการศึกษาและค้นคว้า 4. มีความร้(ู knowledge) สนบั สนุน สว่ นพรศกั ด์ิ ผ่องแผ้ว(2529) ไดใ้ ห้ข้อสงั เกตของความเป็นศาสตร์วา่ เปน็ … ....วิธีวิเคราะห์ท่ีเป็นระบบ เป็นเหตุเป็นผลและเป็นวัตถุวิสัย (objective) เพ่ือท่ีจะ บรรยาย อธิบาย และทานายปรากฏการณ์ที่สามารถสังเกตได้…ซ่ึงขยาย ความไดว้ า่ 1. ศาสตร์ เป็นวิธกี ารวิเคราะห์....ไม่ใช่ตวั ความรู้ 2. จุดมุ่งหมายสุดยอดของศาสตร์คือ การบรรยาย การอธิบาย และการ ทานายปรากฏการณ์ 3. ศาสตร์เก่ียวข้องกับปรากฏการณ์ท่ีสังเกตได้ ท่ีต้องการบรรยาย อธิบาย และทานาย 4. ศาสตรม์ ีลกั ษณะเป็นระบบ เป็นเหตเุ ป็นผลและเป็นวัตถุวสิ ัย โดยสรุปแลว้ ศาสตร์ จงึ เปน็ ระเบียบวิธีวิเคราะห์ท่ีเป็นระบบ เป็นเหตุ เปน็ ผล เปน็ วตั ถวุ สิ ัย เพอื่ ทจ่ี ะบรรยาย อธิบาย และทานายปรากฏการณ์ที่ทาการสังเกตได้ เย็นใจ เลาหวณิช (2522) อ้างใน บุญธรรม จิตต์อนันต์ (2540) ได้จัดศาสตร์ ออกเป็น 3 ประเภท คือ
80 1.กลุ่มวิชาการที่จัดเข้าเป็นวิทยาศาสตร์ ตัวอย่างท่ีสาคัญๆ เช่น ฟิสิกส์ เคมี ชวี วทิ ยา ดาราศาสตร์ ธรณีวทิ ยา เภสชั ศาสตร์ เกษตรศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์การแพทย์ วิศวกรรมศาสตร์ เป็นตน้ 2. กลุ่มวิชาการท่ีจัดเป็นสังคมศาสตร์ ตัวอย่างที่สาคัญๆ เช่น สังคมวิทยา มานุษยวิทยา รัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ นิติศาสตร์ จติ วทิ ยา เปน็ ตน้ 3. กลุ่มวิชาการที่จัดเป็นมนุษยศาสตร์ ตัวอย่างท่ีสาคัญๆ เช่น ปรัชญา ตรรกศาสตร์ คณิตศาสตร์ ภาษาศาสตร์ นิรุกติศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ศาสนา วรรณคดี โบราณคดี ศิลป เป็นต้น ความรู้ที่เกิดมาจากศาสตร์เรียกว่า“ความรู้ทางศาสตร์”น้ัน ต้องเป็นความรู้ท่ี นักวิชาการเห็นพ้องสอดคล้องกัน เป็นที่ยอมรับในความหมายของ“ความรู้ทาง ศาสตร์”นั้นๆ พรศักด์ิ ผ่องแพ้ว(2529) ระบุลักษณะของความรู้ทางศาสตร์เอาไว้วา่ จะต้องมีลกั ษณะดงั นี้ 1. ไม่ขึ้นกับกาลเวลาและสถานท่ี คือ ต้องไม่เป็นความรู้เฉพาะกรณี เป็น เหตุการณ์หรือเรื่องที่เกิดขึ้นในสถานท่ีหน่ึงหรือเวลาหนึ่งในอดีต เพราะถ้าข้ึนกับ ผูก ติดอยู่กับเงื่อนของเทศะ หรือสถานท่ีใดสถานท่ีหน่ึง ความรู้นั้นย่อมไม่สามารถให้การ ทานาย หรืออธิบายในกาละและเทศะอนื่ ๆได้ 2. เป็นความรู้ท่ีนักวิชาการท้ังหลายให้ความเห็นพ้องต้องกัน เข้าใจใน ความหมายของความรู้นั้นตรงกนั 3. เป็นความรู้ท่ีเกิดมาจากการวิจัยเชิงประจักษ์ อันทาให้นักวิชาการคนอ่ืน สามารถทดสอบขอ้ มูลเชิงประจกั ษใ์ นการวิจยั เพอ่ื ประเมนิ ความถูกตอ้ งสอดคล้องได้ สาหรับศาสตร์ 6 สาขาที่จะนาเสนอในหนังสือน้ี เป็นองค์ความรู้เฉพาะที่ เก่ียวข้ องกับการ นาไ ปใ ช้ใน กา ร วา งโ คร งก าร ส่ง เ สริม สิ่งแ ว ด ล้ อมศึกษ า ชุ ม ช น ดงั ต่อไปนี้ ประกอบดว้ ย 1. วทิ ยาการการศกึ ษาสิ่งแวดลอ้ ม 2. สง่ิ แวดล้อมศกึ ษา 3. การศกึ ษา 4. การสง่ เสรมิ การเกษตร
81 5. การวิจยั 6. สังคมวิทยาชนบท ในส่วนท้ายขององค์ความรู้แต่ละศาสตร์ ผู้เขียนจะสรุปเนื้อหาสาระเอาไว้ให้ ดว้ ย เพื่อความสะดวกของผ้อู ่านท่ีจะนาไปเช่อื มตอ่ กับการนาไปใช้ในการวางโครงการ ส่งเสริมส่ิงแวดล้อมศึกษาชุมชนสาหรับผู้วางโครงการ ที่จะนาเสนอในส่วนถัดไป คือ ส่วนท่ี 4 บูรณาการศาสตร์ส่กู ารปฏบิ ัติ: สาหรบั ผู้วางโครงการ
82 สว่ นที่ 3.1 วทิ ยาการการศึกษาสิง่ แวดลอ้ ม ศ.ดร.เกษม จันทร์แก้ว (2536) บุรพาจารย์ด้านสิ่งแวดล้อมของประเทศไทย ไดก้ ล่าวถึงวงจรการเรียนสง่ิ แวดล้อม ไวว้ า่ ….…การเรียนส่ิงแวดล้อมที่ครบวงจร โดยเริ่มจากการค้นคว้า/วิจัย เพ่ือให้ได้ปรากฏการณ์ธรรมชาติและส่ิงท่ีปรากฏอยู่ในระบบนิเวศ หรือระบบส่ิงแวดล้อมมีอะไรบ้าง ซึ่งเป็นการเรียนส่ิงแวดล้อมใน ด้านวิทยาศาสตร์ส่ิงแวดล้อม เม่ือได้ปรากฏการณ์และส่ิงที่ปรากฏ จากการค้นคว้าวิจัยด้วยหลักวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม ผสมศิลปะ กับผลงานค้นคว้า/วิจัย ดังกล่าว ก็จะได้ผลิตผลเป็นเทคโนโลยีซ่ึง เป็นการเรียนสิ่งแวดล้อมในด้านเทคโนโลยีสิ่งแวดล้อม สุดท้ายเป็น การเรียนสิ่งแวดล้อมศึกษา ในหลักการแล้ว เป็นศาสตร์ที่ว่าด้วย การถ่ายทอดความรู้ท้ังทางด้านวิทยาศาสตร์ส่ิงแวดล้อมและ เทคโนโลยีสงิ่ แวดลอ้ มสบู่ คุ คลเปา้ หมายทุกอายุ ฐานะทางเศรษฐกิจ และสังคม การศึกษา ….วิทยาศาสตร์ส่ิงแวดล้อมนั้นเน้นการ ค้นคว้าวิจัย เทคโนโลยีสิ่งแวดล้อม เน้นการสร้าง/ประดิษฐ์ เครื่องมือ แบบจาลอง แบบผลิตภัณฑ์ และกระบวนการผลิต ส่วน สงิ่ แวดล้อมศึกษาเน้นการถ่ายทอดความรูแ้ ละเทคโนโลยคี วบคกู่ นั วทิ ยาศาสตร์สิง่ แวดลอ้ ม วิทยาศาสตร์ส่ิงแวดล้อม (environmental science) เป็นศาสตร์ท่ีเกี่ยวของ กั บ ก า ร ค้ น ค ว้ า ห า ข้ อ เ ท็ จ จ ริ ง เ ก่ี ย ว กั บ ป ร า ก ฏ ก า ร ณ์ แ ล ะ สิ่ ง ท่ี ป ร า ก ฏ ข อ ง ทรัพยากรธรรมชาติของสิ่งแวดล้อม รวมท้ังการสร้างระบบทางการจัดการทาง ส่ิงแวดล้อมให้เกิดประสิทธิภาพในการให้ผลแบบย่ังยืนและต่อเนื่องจากทรัพยากร และสิ่งแวดล้อม อีกท้ังขบวนการขจัดของเสียและการนามาใช้ประโยชน์และ ขอ้ กาหนดต่างๆทางส่งิ แวดลอ้ มอยา่ งมรี ะบบและแบบแผน (เกษม , 2536) องค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม ส่วนใหญ่เก่ียวข้องกับวิชาการ ทางด้านวิทยาศาสตร์ เช่น ชีววิทยา จุลชีววิทยา ชีวเคมี เคมี ฟิสิกส์ คณิตศาสตร์ ธรณีวิทยา ปฐพีวิทยา เป็นต้น ดังนั้นผู้อ่านจะต้องมีพ้ืนฐานความรู้ทางวิทยาศาสตร์
83 พอสมควร จึงขอแนะนาให้อ่านเร่ืองเฉพาะ จากเอกสารวิชาการในสาขาวิชาเหล่าน้ัน จะทาให้สามารถเขา้ ใจไดด้ ียงิ่ ขึน้ (ลาวัณย์, 2559) สาหรับในท่ีนี้จะขอนาเสนอเฉพาะความคิดรวบยอด (concept) ท่ีสาคัญๆ พอท่ีจะทาให้ผู้อ่านเข้าใจในภาพรวมได้ว่า ในทางวิชาการน้ันปัญหาส่ิงแวดล้อมน้ัน เกิดข้นึ มาไดอ้ ย่างไร ความคดิ รวบยอด(concept) วทิ ยาศาสตรส์ ง่ิ แวดลอ้ มท่นี าเสนอในที่นี้ ไดส้ รุป คัดลอกจากหนังสือ“ส่ิงแวดล้อมศึกษา: แนวทางสู่การปฏิบัติ”ของลาวัณย์ วิจารณ์ (2559) ประกอบดว้ ย 1) ความหมายของส่งิ แวดล้อม 2) ระบบนิเวศ 3) ทรัพยากรธรรมชาติ 4) มลพิษสิ่งแวดลอ้ ม 5) เทคโนโลยสี ่งิ แวดล้อม 6) ความหมายของสิ่งแวดลอ้ มศึกษา ส่งิ แวดลอ้ ม คาว่าสิ่งแวดล้อม (environment) น้ัน เป็นคาที่คุ้นเคยกันโดยท่ัวไป แต่การ ท่ีจะตอบว่า ส่ิงแวดล้อมหมายถึงอะไรน้ัน จาเป็นต้องกาหนดศูนย์กลางเสียก่อน ถ้า กาหนดวา่ ตวั เราเปน็ ศนู ยก์ ลาง ทกุ ส่ิงทุกอยา่ งรอบๆตวั เรา ก็คือ สงิ่ แวดล้อมท้ังนัน้ ยกตัวอย่างถ้าเราให้ช้างในป่าเป็นศูนย์กลาง จะพบว่าสรรพสิ่งท่ีอยู่รอบๆช้าง ท้ังสิ่งมีชีวิต เช่น พืชนานาชนิด สัตว์นานาชนิด และส่ิงไม่มีชีวิต เช่น ดิน น้า อากาศ สรรพสิ่งท้ังหลายในป่าท้ังมีชีวิตและไม่มีชีวิตที่อยู่ล้อมรอบตัวช้างน้ี ก็คือ สิ่งแวดล้อม ของช้างนั่นเอง ถ้ามองมนุษย์เป็นศูนย์กลาง สิ่งแวดล้อมก็จะหมายถึง สรรพสิ่ง ทง้ั หลายในโลกนีท้ ้งั ทีม่ ีชีวติ และไม่มีชวี ติ ท่ีอยรู่ อบตัวมนษุ ยน์ น่ั เอง ระบบนิเวศ ระบบนิเวศ ( ecosystem ) เป็นวิธีการที่นักนิเวศวิทยาใช้ในการศึกษา วิเคราะห์ความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน(Interrelationship) ของ 1) ส่ิงแวดล้อมที่มีชวี ติ ดว้ ยกันเอง และกับ 2) สงิ่ แวดลอ้ มทไ่ี มม่ ชี ีวิต ทอ่ี าศยั อยู่ในขอบเขตพนื้ ทีเ่ ดยี วกัน
84 คาว่าระบบนิเวศมาจากรากศัพท์ภาษาอังกฤษว่า Ecosystem ซึ่ง ประกอบด้วยคาวา่ “ระบบ” และ “นิเวศ” คาว่านิเวศ หมายถึง แหล่งท่ีอยู่อาศัย(habitat) ซึ่งโดยธรรมชาติแล้ว ประกอบด้วย สิง่ มีชีวติ (พืช สัตว์ มนุษย์) และส่งิ ไมม่ ีชวี ิต คาว่าระบบ หมายถึง สิ่งใดก็ตามท่ีประกอบด้วยส่วนประกอบต่างๆ ที่อยู่ใน อาณาบรเิ วณเดยี วกนั และส่วนประกอบเหลา่ นม้ี คี วามสัมพนั ธ์ซ่ึงกันและกนั เมือ่ รวมสองคาคอื ระบบกบั นเิ วศเขา้ ด้วยกนั เปน็ ระบบนิเวศ จึงหมายความถึง ระบบที่ประกอบด้วยส่ิงมีชีวิตท่ีอาศัยอยู่ร่วมกันในอาณาบริเวณเดียวกัน และมี ความสัมพันธ์กนั ระหว่างส่ิงมชี ีวิตดว้ ยกันเอง รวมท้ังส่ิงมีชีวิตกบั สง่ิ ไม่มีชีวิต (ลาวัณย์, 2559) ความสมั พันธร์ ะหวา่ งสิง่ มีชีวติ ด้วยกนั เอง ( พืช สัตว์ มนษุ ย)์ แบง่ ออกเปน็ 1) ความสัมพันธ์ ในลักษณะของการถา่ ยทอดพลังงานผ่านห่วงโซอ่ าหาร ตัวอย่างเชน่ ความสัมพันธ์ของส่ิงมีชีวิตในระบบนิเวศนาข้าว ซึ่งมีการกินกันของสิ่งมีชีวิตด้วยกัน เองเป็นทอดๆตามลาดับ โดย ในนาข้าวนั้น จะมีต้นข้าวซึ่ง ถู ก กิ น โ ด ย แ ม ล ง ศัต รูข้ าว ใ น ข ณ ะ ท่ี แ ม ล ง ศั ต รู ข้ า ว เหลา่ นน้ั ก็จะถกู ศัตรูธรรมชาติ ของแมลงศัตรูข้าวกินอีกทอด หนง่ึ ภาพ ศัตรูข้าวและศัตรูธรรมชาตขิ องศัตรขู ้าว และหว่ งโซ่อาหารในแปลงนาข้าว อีกตัวอย่างหนึ่งเป็นระบบนิเวศบ่อน้า ซ่ึงมีความสัมพันธ์กันระหว่างส่ิงมีชีวิต ดว้ ยกันเองและความสัมพนั ธร์ ะหว่างสิ่งมีชีวิตกบั สิ่งไมม่ ีชีวิต
85 ภาพ ระบบนเิ วศบอ่ นา้ จากภาพจะเห็นได้ว่า สาหร่ายจะเป็นอาหารของปลาตัวเล็ก ปลาตัวเล็กเป็น อาหารของปลาตัวใหญ่ และปลาตัวใหญ่เป็นอาหารของมนุษย์ ดังน้ันหากทุก องคป์ ระกอบในระบบนิเวศบอ่ น้ามีความสมดุล ระบบนิเวศบอ่ น้าน้ีก็จะดารงอยไู่ ด้ จะ ไม่เกิดการขาดแคลนอาหาร และในภาพพบความสัมพันธ์ในการอยู่ร่วมกันของ สิ่งมีชีวิต คือ มีการอยู่ร่วมกันของสาหร่ายและปลาที่เป็นความสัมพันธ์ของการอยู่ รว่ มกนั แบบผลู้ า่ และเหยอ่ื ซง่ึ ตอ้ งมคี วามสมดุล ระบบนิเวศนี้จงึ จะดารงอยูไ่ ด้ ส่วนความสัมพันธ์ของส่ิงมีชีวิตกับสิ่งไม่มีชีวิตในระบบนิเวศบ่อน้า เช่น ความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณออกซิเจนละลายน้ากับจานวนปลาท่ีอยู่อาศัยในระบบ นิเวศบ่อน้านั้นจะต้องมีความพอเหมาะกัน การมีปลาจานวนมากทาให้เกิดของเสีย สะสมในระบบนิเวศบ่อน้าจานวนมาก ของเสียเหล่าน้ีเม่ือถูกย่อยสลายโดยจุลินทรีย์ ในแหล่งน้า จะทาให้นา้ มอี อกซเิ จนลดลง เปน็ การทาลายสมดุลของการหมนุ เวียนของ แร่ธาตุ(ออกซิเจน)ในระบบนิเวศ ซึ่งจะส่งผลให้ปลาดารงอยู่ได้ยาก หรืออาจจะไม่ สามารถดารงชวี ิตอยู่ในระบบนเิ วศบ่อน้าน้นั ได้ ดงั นัน้ จานวนปลาในระบบนิเวศบ่อน้า จึงต้องมีความเหมาะสม จะเหน็ ไดว้ า่ ความสัมพันธ์ของส่ิงมีชวี ติ ดว้ ยกันเอง และความสมั พนั ธ์ระหว่าง สงิ่ มชี ีวติ กบั สิง่ ไมม่ ีชีวิตในระบบนิเวศหน่งึ ๆจะกอ่ ให้เกดิ การใชท้ รพั ยากรธรรมชาติ ของมนุษย์ข้ึน การใช้ทรพั ยากรธรรมชาติทมี่ ากเกนิ จาเปน็ จนทาให้ห่วงโซอ่ าหาร เสียหาย หรอื ทาใหส้ มดลุ ของการหมนุ เวยี นของแรธ่ าตุถูกทาลายไป ก็จะเปน็ ต้นเหตุ สาคญั ของการเกิดปัญหาสิ่งแวดลอ้ มต่างๆ ท้งั ปญั หาการขาดแคลนทรัพยากรธรรม
86 ชาติ และปัญหามลพษิ สิง่ แวดล้อม ซงึ่ ท้ัง 2 ปญั หาเปน็ ปญั หาสิ่งแวดล้อมท่พี บเหน็ ได้ ในทกุ ชุมชน ดังนั้นความเข้าใจเก่ยี วกับระบบนิเวศจึงมคี วามสาคญั อย่างยงิ่ ตอ่ การ วิเคราะห์ปญั หาสงิ่ แวดล้อมของชุมชนทกุ ชมุ ชน ทรพั ยากรธรรมชาติ คาว่า“ทรัพยากร”(resource) หมายถึง สิ่งแวดล้อมใดๆ ก็ตามท่ีมนุษย์ สามารถนามาใช้ให้เกิดประโยชน์ในการสนองความต้องการของมนุษย์ ทั้งที่อยู่ในรูป ของวตั ถดุ ิบดัง้ เดมิ และการแปรรปู ส่วนคาว่า“ทรัพยากรธรรมชาติ”(natural resource) หมายถึง (ทรัพยากร) ส่ิงแวดล้อมใดๆก็ตามที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติซ่ึงมนุษย์สามารถนามาใช้ให้เกิด ประโยชน์ในการสนองความต้องการของตนเอง ทั้งด้านเป็นปัจจัยสาคัญต่อการ ดารงชีวิต เป็นปัจจัยส่ีในการดารงชีวิต และเป็นปัจจัยอานวยความสะดวกสบายใน การดาเนนิ ชวี ติ สาหรับในหนังสือเล่มน้ีจะกล่าวถึงเฉพาะทรัพยากรธรรมชาติ 3 ประเภทที่ สาคัญ ประกอบด้วย 1. ทรัพยากรธรรมชาติที่ใช้แล้วไม่หมดไป จาแนกออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่ อากาศ และน้าท่ีอยู่ในรูปของวัฏจักร (น้าจะหมุนเวียนเปล่ียนสภาพ เช่น ฝนตกลงสู่ พ้ืนดิน บางส่วนระเหยกลับไปสู่บรรยากาศ บางส่วนซึมลงไปเป็นน้าใต้ดิน บางส่วน ไหลลงแม่น้าลาคลอง ออกสู่ทะเล แล้วกลับระเหยกลายเป็นไอน้า รวมตวั กันเป็นก้อน เมฆ ตกลงมาเป็นฝนอกี ) ทรัพยากรธรรมชาติกลุ่มน้ีเป็นปัจจัยสาคัญต่อการดารงชีวิตของส่งิ มีชวี ิตอย่าง มาก เพราะหากเกดิ การขาดแคลนจะทาให้สง่ิ มชี วี ิตไม่สามารถดารงชวี ิตอย่ไู ด้ 2. ทรัพยากรธรรมชาติที่ทดแทนได้หรือรักษาไว้ได้เมื่อใช้ไปแล้ว แบ่ง ออกเป็น 2 ชนิด คือ 1) น้าใช้ หมายถึง น้าที่อยู่ในที่เฉพาะ เช่น น้าในภาชนะ น้าใน เข่อื น เมือ่ ใช้ไปปริมาณจะลดลง แตจ่ ะมีทดแทนได้ เช่น เมอ่ื เกิดมีฝนตกลงมา เปน็ ตน้ 2) ส่ิงมีชีวิต เมื่อใช้หมดไปแล้ว สามารถทดแทนข้ึนมาใหม่ได้ ได้แก่ พืช (ป่าไม้ ทุ่ง หญา้ ฯลฯ) และสัตว์ (สัตวเ์ ลี้ยง สตั วป์ ่า) ทรพั ยากรธรรมชาตกิ ลมุ่ นี้เปน็ ปจั จัยสี่ในการดารงชีวิตของมนุษย์ หากเกิดการ ขาดแคลนจะทาใหม้ นุษยไ์ ม่สามารถดารงชีวติ อยไู่ ด้ในเวลาต่อมา
87 3 ทรัพยากรธรรมชาติท่ีใช้แล้วหมดไป ไม่สามารถทดแทนได้ ได้แก่ แร่ธาตุ และพลงั งาน เชน่ แร่ หนิ ถา่ นหนิ กา๊ ซธรรมชาติ นา้ มนั ปิโตรเลียม ฯลฯ ทรัพยากรธรรมชาติกลุ่มน้ี เป็นปัจจัยอานวยความสะดวกสบายในการดาเนิน ชีวิต เช่น พลังงาน แร่ธาตุท่ีใช้ในการก่อสร้าง หากเกิดการขาดแคลนจะทาให้มนษุ ย์ ดารงชีวิตอยู่ได้อย่างลาบาก โดยเฉพาะการขาดแคลนพลังงานทาให้ความ สะดวกสบายหมดไป ปญั หาจากการใชท้ รพั ยากรธรรมชาติ การใชท้ รพั ยากรธรรมชาตอิ ย่างไม่เหมาะสม จนทาให้สมดุลธรรมชาติเสียหาย จะก่อให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อม ปัญหาการขาดแคลนทรัพยากรธรรมชาตินานาชนิด และปญั หามลพิษสง่ิ แวดล้อมซ่ึงเกดิ ขึน้ กบั ทรัพยากรธรรมชาตแิ ตล่ ะชนิดได้ ตัวอย่างเช่น การขาดแคลนทรัพยากรธรรมชาติแต่ละชนิด ซึ่งนอกจากจะทา ให้มนุษย์ขาดแคลนปัจจัยสาคัญต่อการดารงชีวิต ขาดแคลนปัจจัยส่ีและเป็นปัจจัย อานวยความสะดวกสบายในการดาเนินชีวิตแล้ว การขาดแคลนทรัพยากรธรรมชาติ แต่ละชนิด นอกจากจะทาให้เราไม่สามารถใช้ประโยชน์จากทรัพยากรชนิดน้ันๆได้ แลว้ ยงั เปน็ ตน้ เหตุสาคัญที่ทาให้สมดุลธรรมชาติเสยี หายจนก่อให้เกิดปัญหาการขาด แคลนทรัพยากรธรรมชาติท่ีเกี่ยวเนื่องอื่นๆ รวมท้ังยังสร้างปัญหามลพิษสิ่งแวดล้อม อ่ืนๆ ตามมา ซ่ึงล้วนส่งผลกระทบต่อมนุษย์ได้หลากหลาย เช่น การลดลงของ ทรัพยากรป่าไม้ ส่งผลกระทบต่อปริมาณและคุณภาพของน้า ท้ังการเกิดปัญหาน้า มาก น้าน้อย และน้าเสีย ซึ่งปัญหาเก่ียวกับน้าท้ัง 3 ปัญหา นอกจากทาให้มนุษย์ไม่ สามารถใช้ประโยชน์จากทรัพยากรน้าได้อย่างเหมาะสมแล้ว ปัญหาดังกล่าวยังส่งผล กระทบสิ่งแวดล้อมตอ่ ทรัพยากรดนิ น้า อากาศ และการดาเนินชวี ิตของมนุษย์ทุกคน อกี ดว้ ย ดังน้ันการรับรู้ (awareness) ถึงปัญหาส่ิงแวดล้อมที่เกิดข้ึนจากการใช้ ทรัพยากรธรรมชาติอย่างไม่ถูกตอ้ ง จึงเป็นจุดเร่ิมต้นสาคญั ท่ีจะนาทางไปสู่การคดิ ค้น หาแนวทางป้องกัน แก้ไขปัญหาส่ิงแวดล้อม (cognitive skill) และมีส่วนร่วมลงมือ ลงแรงปฏิบัติ ( participation) เพ่ือป้องกันและแก้ไขปัญหาส่ิงแวดล้อมได้อย่าง ถูกตอ้ งและเกิดขึน้ ได้จรงิ
88 มลพษิ สิง่ แวดล้อม ปัญหาวิกฤตของสิ่งแวดล้อมของโลก มลพิษ (pollution) เป็นปัญหาวิกฤตที่ สาคญั อยา่ งยง่ิ ของปัญหาสงิ่ แวดล้อมของโลกมนุษย์ มลพษิ สิง่ แวดล้อม คอื สงิ่ แวดล้อมทางกายภาพท่ีเปน็ อยู่นนั้ (ดิน นา้ อากาศ) มีการปนเปื้อนด้วยสารที่ก่อให้เกิดพิษ (pollutant) ซึ่งมีปริมาณมากเกินกว่า ความสามารถในการจัดการของธรรมชาติ จนมีผลทาให้ส่ิงแวดล้อมทางชีวภาพ (สิ่งมีชีวติ ทัง้ มนษุ ย์ พืช และสตั ว์ ) ไมส่ ามารถดารงชวี ติ อย่ไู ด้อย่างปกติ จะเห็นได้ว่า ดิน น้า และอากาศนั้น เป็นตัวกลางของการเกิดมลพิษ สิ่งแวดล้อม ถ้ามีการปนเปื้อนด้วยสารที่ก่อให้เกิดพิษในดิน เรียกว่า มลพิษทางดิน (soil pollution) ถ้ามีการปนเปื้อนด้วยสารที่ก่อให้เกิดพิษในน้า เรียกว่า มลพิษทาง น้า (water pollution) และถ้ามีการปนเปื้อนด้วยสารที่ก่อให้เกิดพิษในอากาศ เรยี กวา่ มลพิษทางอากาศ (air pollution) การปนเป้ือนของสารท่ีก่อให้เกิดพิษในสิ่งแวดล้อม ดิน น้า อากาศ นอกจาก จะก่อให้เกดิ มลพษิ สงิ่ แวดล้อมในดนิ ในน้า และในอากาศแลว้ มลพษิ รปู แบบหน่งึ อาจ เปล่ียนแปลงไปเปน็ มลพิษอกี รูปแบบหน่งึ ได้ เน่อื งจากสิง่ แวดลอ้ มดนิ นา้ อากาศ เป็น สิ่งแวดลอ้ มทีม่ คี วามสัมพันธ์ใกลช้ ิดและเชื่อมโยงกนั เชน่ การปนเปอ้ื นสารทกี่ อ่ ให้เกิด พิษในแหลง่ นา้ ไม่เพียงแต่จะทาให้เกิดมลพษิ ทางน้า แต่สารทีก่ ่อใหเ้ กดิ พษิ น้ันอาจก่อ ให้ส่ิงมีชีวิตในแหล่งน้าตาย ส่งกลิ่นเหม็นเกิดเป็นมลพิษทางอากาศ และสารท่ี ก่อให้เกดิ พษิ อาจจะสะสมลงสูต่ ะกอนดนิ ในแหล่งนา้ กลายเป็นมลพษิ ทางดนิ จากที่กล่าวมาข้างต้น ทาให้เห็นภาพความสัมพันธ์ของมลพิษทางดิน ทางน้า และทางอากาศ โดยมี ดิน น้า อากาศ เป็นตัวกลางของการเกิดมลพิษส่ิงแวดล้อม ต่อไปนจ้ี ะนาเสนอตัวอยา่ งความสมั พนั ธม์ ลพิษทางอากาศทงั้ 3 จากการใช้ DDT ดงั นี้
89 ภาพ ความสัมพันธ์ของมลพิษทางดิน มลพิษทางน้า และมลพิษทางอากาศจากการ ใช้ DDT จากแผนภาพจะเห็นได้ว่าการใช้ DDT กาจัดแมลงทาให้ดินเกิดปนเปื้อนด้วย DDT ในดิน ทาให้เกิดมลพิษทางดินเน่ืองจากสิ่งมีชีวิตในดินเป็นอันตราย เมื่อฝนตก จะเกิดการชะหน้าดิน ทาให้ DDT ลงน้าซ่ึงเป็นสาเหตุของมลพิษทางน้า เพราะ ส่ิงมีชีวิตในน้าตาย เม่ือสัตว์น้าตายจะเกิดการย่อยสลาย ทาให้เกิดกล่ินจากก๊าซต่างๆ เช่น มีเทน แอมโมเนีย และก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์ ซ่ึงเป็นมลพิษทางอากาศ เนื่องจาก ทาใหเ้ กิดความราคาญต่อมนษุ ย์ เนอื้ หาความร“ู้ วทิ ยาศาสตรส์ ิ่งแวดลอ้ ม” ที่ได้นาเสนอแล้วน้ัน ผอู้ า่ นคงมอง เหน็ ภาพแลว้ วา่ การทาลายส่ิงแวดลอ้ มได้กอ่ ใหเ้ กิดการขาดแคลนทรัพยากรธรรมชาติ และการเกิดมลพิษซึ่งเป็นวิกฤตปัญหาสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาตินั้นต้องได้รับ การป้องกัน เพ่ือไม่ให้ถูกทาลายจนทาให้ระบบนิเวศธรรมชาติขาดสมดุล อันส่งผล กระทบตอ่ มาทาให้เกิดปญั หามลพษิ สิ่งแวดล้อมข้นึ ซึง่ ต้องไดร้ บั การแก้ไข..... เทคโนโลยีสง่ิ แวดล้อม เทคโนโลยีส่งิ แวดล้อม (environmental technology) เปน็ ศาสตร์ทีว่ า่ ด้วย การออกแบบเครื่องมือ พัฒนาเครอื่ งมือ และสร้างแบบแผนในการใช้ทรพั ยากรธรรม
90 ชาติ ให้เกิดประสทิ ธภิ าพ โดยมีของเสยี และมลพิษน้อยทีส่ ดุ การขจดั และปอ้ งกัน ของเสยี อยา่ งมีประสิทธิภาพ ขอบเขตของเทคโนโลยีสิง่ แวดลอ้ มน้ี ม่งุ เน้นการสรา้ ง เครื่องมอื ในการใช้ การขจัดของเสยี การป้องกันมลพิษ และเคร่ืองมือในการดาเนิน การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิง่ แวดล้อม โดยเน้นทงั้ hardware (เครอื่ งมือ/ อุปกรณ์) และ software (หลักการ/แนวปฏิบตั )ิ (เกษม, 2536) เทคโนโลยีส่ิงแวดล้อม มุ่งเน้นการให้ความรู้และการสร้างเทคโนโลยี ตั้งแต่ การใช้ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม เทคโนโลยีการบาบัด/กาจัดของเสียและ มลพิษส่ิงแวดล้อม เทคโนโลยีนากลับมาใช้ (recycle) และเทคโนโลยีการบริหาร จัดการสิ่งแวดล้อม ซึ่งรูปแบบเทคโนโลยีทั้ง 3 กลุ่ม คือ เคร่ืองยนต์/เครื่องมือ แบบ ผลิตภัณฑ์/แบบจาลอง และกระบวนการผลิต กล่าวอีกนัยหน่ึงก็คือ เป็นการสร้าง และ/หรือ ประดิษฐ์เครื่องมือและอุปกรณ์ในการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและ ส่ิงแวดล้อมให้ยั่งยืนตลอดไป ควบคุมของเสีย และมลพิษส่ิงแวดล้อมอย่างมี ประสทิ ธภิ าพ (เกษม, 2541) เทคโนโลยีสิ่งแวดล้อม สามารถจาแนก ออกเป็น 2 ประเภท คือ เทคโนโลยี การใชท้ รัพยากร และเทคโนโลยีกาจัด/บาบัดมลพิษ (เกษม, 2541) ตัวอย่างเทคโนโลยีสิ่งแวดล้อมด้านการใช้ทรัพยากร เช่น การผลิตน้าประปา จะต้องใช้เทคโนโลยีต่างๆมาผสมผสานกันเพื่อให้ได้ทรัพยากรน้าที่เหมาะสมไว้ใช้ ประโยชน์ เช่น เทคโนโลยีการตกตะกอน การกรอง การฆ่าเชื้อโรคในการผลิต น้าประปาจากแหล่งน้าผิวดนิ ขณะที่การผลิตนา้ ประปาจากน้าบาดาล ซ่ึงมักพบเหล็ก ปนเป้ือนในแหล่งน้าบาดาลเหล่านั้น จึงมักนาเทคโนโลยีการกาจัดเหล็กมาใช้ใน กระบวนการผลิตน้าประปาจากนา้ บาดาลด้วย ตัวอย่างเทคโนโลยสี ิ่งแวดล้อมดา้ นกาจัด/บาบัดมลพิษ 3 กลมุ่ คือ กลุ่มมลพษิ ทางกายภาพ มลพิษทางเคมี และมลพิษทางชีวภาพ ดงั น้ี เทคโนโลยีการกาจัด/บาบัดมลพิษทางกายภาพ เช่น มลพิษทางเสียง มลพิษ ทางนา้ มลพษิ ทางอากาศ และขยะ ตัวอย่างเทคโนโลยกี ารกาจดั /บาบดั มลพษิ ในด้าน นป้ี ระกอบดว้ ย เทคโนโลยกี ารดดู ซบั การสะทอ้ น การกวาด การเผา การฝังกลบ การ ทาปยุ๋ การระเหย การพ่นละอองนา้ การกรอง
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216