Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore การวางโครงการ

การวางโครงการ

Published by lawanwijarn4, 2022-01-03 05:28:32

Description: การวางโครงการ

Search

Read the Text Version

141 อีกประการหน่ึงในการสัมภาษณ์จะประสบความสาเร็จหรือสามารถจะ ดาเนินการได้หรือไม่นั้น....ส่ิงจาเป็นสาหรับการสัมภาษณ์ทุกรูปแบบ คือ มนุษย สัมพนั ธ์ ตอ้ งทาใหผ้ ู้ที่จะใหส้ ัมภาษณ์น้นั พอใจและยินดใี ห้ความรว่ มมอื อยา่ งเต็มที่ การเลือกผู้ให้สัมภาษณ์ ไม่ใช่ทกุ คนท่จี ะเปน็ ผู้ให้สมั ภาษณท์ ี่ดี ผ้ใู หส้ มั ภาษณท์ ดี่ ตี อ้ งเป็นผทู้ ่มี คี วามรู้ มี ประสบการณ์ในเร่ืองท่ีตรงกับโครงการศึกษา ดังน้ันต้องเจาะจงเฟ้นหาผู้ให้สัมภาษณ์ ท่ีเหมาะสมกับเร่ืองที่จะศึกษา เพราะคนเหล่านั้นมีข้อมูลท่ีจะให้เรียนรู้จากเขา ช่วย ให้ข้อมูลที่หลากหลายและสมบูรณ์ตรงตามเจตนารมณ์ของผู้วางโครงการ จึงไม่ควร จะเป็นใครก็ได้ แต่ควรพจิ ารณาผู้ทีม่ คี ุณสมบัติ 3 ประการตอ่ ไปน้ี เป็นเบือ้ งต้นกอ่ น 1. เป็นผมู้ ีประสบการณใ์ นเร่ืองนัน้ ๆจนสามารถร้เู รือ่ งได้ลึกพอ ผู้ให้สัมภาษณ์ ประเภทท่ีรู้จกั กันในชอื่ key informant (ผู้ทม่ี คี วามรู้ในเร่ืองน้ันๆดีกวา่ คนอื่นทว่ั ไป) 2. เปน็ ผูท้ ี่มีความรู้ทนั สมัยในเรื่องนั้นๆ 3. เปน็ ผูท้ ส่ี ามารถให้ข้อมลู สาหรบั การสัมภาษณไ์ ด้อยา่ งเพยี งพอแตถ่ า้ เกิดมี ผู้มีคุณสมบัติเหล่านั้นเป็นจานวนมาก การเลือกก็ให้ใช้คุณสมบัติที่ว่า “สมัครใจที่จะ คุยกบั ผ้สู มั ภาษณ์”เป็นขอ้ พิจารณาตัดสิน ผู้ที่วางโครงการควรจะไปพบเพ่ือหาข้อมูลสาหรับเลือกผู้ให้สัมภาษณ์ ผู้ให้ สัมภาษณ์ท่ีเหมาะสมนั้นมีหลากหลายประเภท ขึ้นอยู่กับลักษณะของปัญหาและ สถานที่ที่จะทาการศึกษา เช่น ผู้สูงอายุในชุมชน แม่ค้าในตลาด ตารวจ ครู ผู้นา ท้องถนิ่ ชมุ ชน ผู้บริหารทอ้ งถน่ิ ผูบ้ รหิ ารองค์กร คนขบั รถรับจ้างสาธารณะ กล่มุ วยั รุ่น นักการเมอื งท้องถ่นิ ส่อื มวลชนในระดบั ท้องถนิ่ เป็นตน้ ปฏิสัมพนั ธร์ ะหวา่ งผ้สู มั ภาษณก์ บั ผู้ให้สัมภาษณ์ หมายถึง การมีความสัมพันธ์ที่ดีตอ่ กันของท้ัง 2 ฝ่าย ต้ังแต่เร่ิมต้นจนเสรจ็ สน้ิ การสัมภาษณ์ ผู้สัมภาษณ์จะต้องสร้างและรักษาระดับความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ให้ สมั ภาษณ์ ทจ่ี ะช่วยให้ฝ่ายผู้ใหส้ ัมภาษณร์ ู้สกึ สบายใจ วางใจท่ีจะเปิดเผยเรื่องราว การ

142 ที่จะประสบความสาเร็จในเร่ืองนี้ ผู้สัมภาษณ์(ผู้วางโครงการ) ต้องมีทักษะเก่ียวกับ มนุษยสมั พันธ์ สิ่งที่ผู้สัมภาษณ์ต้องกระทาหลายอย่างเพื่อทาให้ผู้ถูกสัมภาษณ์กระตอื รือรน้ ท่ี จะเล่าเรอื่ งราว เช่น 1. สร้างความสัมพนั ธ์ทดี่ กี ับผใู้ หส้ มั ภาษณ์ท้งั กอ่ น ระหวา่ ง และหลังการ สมั ภาษณ์ 2. ตัง้ ใจและจรงิ ใจตอ่ สิง่ ที่ผู้ใหส้ ัมภาษณพ์ ดู 3. ต้ังคาถามท่ีเขา้ ใจง่าย เหมาะสมกับผใู้ หส้ มั ภาษณแ์ ตล่ ะคน 4. ทาให้การสมั ภาษณ์ดาเนนิ ไปแบบไม่เปน็ ทางการ 5. ทาให้ผู้ให้สัมภาษณร์ ูส้ ึกสนกุ กระตอื รือรน้ ทจ่ี ะเปดิ เผยประสบการณ์/ ความรู้ในเร่ืองท่ีศกึ ษา โดยสรุปผ้สู มั ภาษณจ์ ะตอ้ งมีความสามารถในเรื่องการมปี ฏสิ มั พนั ธ์กับผอู้ น่ื การอภิปรายกลมุ่ แบบเจาะจง (focus group discussion: FGD) คาสาคัญในภาษาองั กฤษท่บี อกถงึ ความหมายของเทคนิคการเกบ็ ข้อมูลแบบนี้ คือ focus group (กลุ่มท่ีเจาะจง) focus group คือกลุ่มคนที่ถูกเจาะจงคัดเลือก ข้ึนมาตามคุณสมบัติเฉพาะชุดหนึ่ง เพื่ออภิปรายหรือสนทนากัน ในการที่จะหาข้อมูล ที่ถูกต้องตรงประเด็นในเรื่องใดเรอื่ งหนงึ่ โดยเฉพาะ ส่วน discussion น้ันแปลเป็นภาษาไทยได้ว่า การอภิปรายหรือการสนทนา กันเพอื่ หาขอ้ ยุติ หรอื การพดู ช้แี จงแสดงความคดิ เห็น เมอ่ื รวมคาทั้ง 2 เข้าด้วยกนั FGD จงึ แปลเปน็ ไทยไดว้ ่า การอภปิ รายกลุ่มแบบ เจาะจง อย่างไรก็ตามในหนังสือวิชาการมีการเรียกชื่อว่า การสนทนากลุ่ม ผู้เขียน เข้าใจว่า เพราะการอภิปรายกนั เกีย่ วกับประเด็นคาถามทย่ี กมาเป็นหัวขอ้ การสนทนา ใน focus group นั้น มีลักษณะเป็นวงสนทนาน่ันเอง ดังนั้น FGD จึงอาจแบ่งไดเ้ ป็น 2 ส่วน คอื การอภิปรายกลมุ่ หรือการสนทนากลมุ่ แตท่ ี่ควรจะเนน้ คือ กลมุ่ นัน้ ต้อง

143 เป็นกลุ่มท่ีถูกเจาะจงมา ดังนั้นจึงควรใช้เป็นคาวา่ อภปิ รายกล่มุ แบบเจาะจง หรือการ สนทนากลมุ่ แบบเจาะจง หัวใจสาคัญของ FGD ก็คือ การสนทนาซึ่งต้องให้สมาชิกในกลุ่มได้มี interaction (ปฏิสัมพันธ์) โต้ตอบกันในเร่ืองที่ยกมาเป็นประเด็นสนทนา ไม่ใช่ การ ให้สมาชิกกลุ่มตอบคาถามเป็นรายคน เหมือนการสัมภาษณ์แบบตัวต่อตัว จึงเห็นได้ วา่ FGD ไม่ใช่การสัมภาษณ์คนเปน็ กล่มุ ซ่งึ ผสู้ มั ภาษณม์ กั ใช้แบบสอบถามท่คี าถามท้ัง ปลายเปิดและแบบปลายปิด FGD จงึ เปน็ การอภปิ รายไมใช่การสัมภาษณ์ อีกเทคนิคของการเก็บข้อมูลท่ีลักษณะใกล้เคียงกับ FGD ก็คือการระดม สมองของกลุ่มผู้รู้ (brain storming) จุดต่างก็คือ brain storming มุ่งหวังข้อสรุปที่ ตรงตัว(consensus) เกี่ยวกับเร่ืองใดเร่ืองหน่ึง แต่ FGD มุ่งค้นหาข้อคิดเห็นและ ประสบการณ์ของผู้ร่วมสนทนา ซึ่งอาจแตกต่างกันและไม่จาเป็นต้องสอดคล้องกัน เสมอไป มีข้อสงั เกตว่าไม่ควรใช้ FGD เพือ่ เกบ็ ขอ้ มลู ทถ่ี ือว่าเป็นเป็นเรื่องส่วนตัวหรือ เรื่องปกปดิ FGD เหมาะสาหรับการศึกษา 1) การค้นหาประเด็นของเร่ืองใดเรื่องหน่ึงทย่ี งั ไม่มีความรู้มาก่อน(exploratory) 2) การค้นหาคาอธิบายสาหรับปรากฏการณ์ บางอย่าง(explanatory) 3) การประเมินสถานการณ์ (assessment)

144 การดาเนนิ การ FGD 1. กาหนดคาถามให้ตรงกับหัวขอ้ เรื่องที่ตอ้ งการขอ้ มลู 2. สรา้ งแนวคาถาม(guideline)สาหรบั การสนทนา 3. กาหนดทมี งานในการจดั FGD 1. ผู้ดาเนนิ การสนทนา (moderator) มคี ณุ สมบตั ิดงั นี้ 1.1 คุยเก่ง มีความสามารถในการซักถาม มีการพูดแทรก ตลกอยา่ งเหมาะสม 1.2 สามารถสร้างบรรยากาศให้เกิดการแลกเปลี่ยนความ คดิ เหน็ ตอ่ กนั 1.3 ไม่แสดงความคดิ เห็นของตนเอง 1.4 สร้างบรรยากาศให้คนท่ีไม่ค่อยพูด ให้แสดงความ คดิ เห็นออกมา 2.ผ้จู ดบันทกึ ( note taker ) 2.1 จะต้องอย่รู ว่ มตลอดเวลา 2.2 ทาหน้าท่ีในการจดบันทึกอย่างเดียว ไม่ควรร่วม สนทนาด้วย 2.3 ต้องเป็นผู้ถอดเทปดว้ ยตนเอง 3.ผชู้ ว่ ยทวั่ ไป (assistant) 3.1 ควบคมุ เคร่ืองบนั ทกึ เสยี ง 3.2 อานวยความสะดวกแก่ moderator และ note taker 4. กาหนดสถานท่ีและเวลาที่เหมาะสมต่อการจัดวงสนทนา ในส่วนของสถานท่ีนั้นมีความสาคัญมาก ควรเป็นที่ท่ี ปราศจากสิ่งรบกวนภายนอก เช่น เสียง คนเดินผ่านไปผ่าน มาทาให้วงสนทนาเสียสมาธิได้ ควรเป็นที่ท่ีมีความสะดวก ไม่อยู่ห่างไกลหรือนอกชุมชน หรือที่ท่ีดูเป็นทางการ จนเกินไป เชน่ สถานท่รี าชการ เปน็ ตน้ ควรเป็นท่ีท่ีสมาชิกมี ความคนุ้ เคย

145 5.การจัดท่ีนั่งในวงสนทนา ควรจัดเป็นวงกลมหรือวงรี เพื่อให้ moderator สามารถสบตาทุกคนได้ 6.ในช่วงแรกของการจัด FGD moderator เริ่มจากการ แนะนาตนเอง และทีมงาน โดยพยายามสร้างบรรยากาศท่ี เป็นกนั เอง 7.อธิบายถึงวัตถุประสงค์และจดุ มงุ่ หมายในการจัด FGD 8.เม่ือผู้เขา้ ร่วม FGD เริม่ มีความคนุ้ เคยกัน จึงเร่ิมคาถามใน แนวการสนทนาที่จัดเตรยี มเอาไว้ ในการดาเนินการของ FGD ต้องมีการจดั ทาแนวทางการสนทนา (discussion guide) ซ่ึงจะทาหน้าที่เป็น....รายการบันทึกความจา ซึ่งจะระบุถึงส่ิงที่จะสนทนากัน โดยจะได้เจาะเฉพาะประเดน็ ท่ีมงุ่ ใหไ้ ด้รายละเอียดของประเด็นนน้ั ๆ discussion guide จะเริ่มด้วยการแนะนาผู้ดาเนินรายการ (moderator) และผู้เข้าร่วมสนทนา จากน้ันจึงพูดคุยเรื่องท่ัวไป เพ่ือให้เกิดความอบอุ่นใจ ผ่อน คลาย ไม่ประหม่า เพ่ือให้พร้อมสู่ประเด็นสาคัญในการสนทนาต่อไป จากนั้นก็จะเร่ิม ด้วยคาถามท่ัวๆไปเกี่ยวกับประเด็นท่ีต้องการได้คาตอบ แล้วค่อยๆนาเข้าสู่ประเด็น คาถามทเ่ี จาะลึกตอ่ ไป ในตอนท้ายสุด ควรให้ผู้ร่วมสนทนาแต่ละคนได้พูดสรุปความคิดเห็นที่มีต่อ ประเด็นการสนทนาคร้งั น้ี เพอื่ จะไดร้ วบรวมความคดิ เหน็ ของเขาอย่างแท้จริง กล่าวโดยสรุป ก็คือ discussion guide จะเริ่มจากกิจกรรมท่ัวๆไปก่อนแล้ว จงึ เจาะลึกนาสู่ประเด็นทต่ี อ้ งการคาตอบน่นั เอง การสงั เกต (observation) การสังเกตเป็นวิธีการเก็บข้อมูลพื้นฐานและมีความสาคัญสูง เพราะใช้ควบคู่ ไปกบั การสมั ภาษณโ์ ดยตรง การสังเกตเป็นวิธีการท่ีเปิดโอกาสให้ผู้รวบรวมข้อมูล หรือที่เรียกกันว่า“ผู้ สังเกต”(observer)ได้สัมผัสกับส่ิงที่ต้องการรวบรวมข้อมูลด้วยตนเอง ทาให้มีโอกาส ไดข้ ้อมลู ท่ีตรงตามสภาพความเป็นจรงิ สูง

146 การสังเกตในที่น้ไี มใ่ ช่อย่างเดียวกับการสังเกตในการศึกษาของวทิ ยาศาสตรท์ ่ี ทางานอยู่ในห้องปฏิบัติการ การสังเกตในท่ีน้ี หมายถึงการสังเกตที่ผู้สังเกตเข้าไปมี สว่ นร่วมระดบั ใดระดบั หนึง่ ในปรากฏการณ์ที่ศกึ ษา ประเภทของการสังเกต 1. การสงั เกตทางตรง (direct observation) เปน็ การสงั เกตทผ่ี ูส้ ังเกต ต้องเฝ้าดูเหตุการณห์ รือพฤติกรรมท่เี กดิ ขึ้นดว้ ยตนเอง 2. การสังเกตทางอ้อม (indirect observation) เปน็ การสงั เกตท่ีผ้สู ังเกต ไม่ได้เห็นเหตุการณ์หรือพฤติกรรมที่เกิดด้วยตนเอง แต่อาศัยการถ่ายทอดด้วย เครื่องมืออย่างใดอย่างหน่ึง เช่น สังเกตจากการถ่ายทาเป็นภาพยนตร์ ถ่ายภาพไว้ เป็นต้น การสังเกตทางตรง แบ่งย่อยได้เป็น 2 ลักษณะ ตามขอบเขตของผู้ สังเกตการณ์ว่า เข้ามีส่วนร่วมในเหตุการณ์น้ันหรือไม่ มากน้อยเพียงใด อาจมีการเข้า มีสว่ นรว่ มอย่างเตม็ ทีไ่ ปจนถงึ การแยกตนเองออกไปจากเหตกุ ารณโ์ ดยสิน้ เชงิ และทา หน้าทใ่ี นฐานะผู้ดเู ทา่ นัน้ คือ 1. การสงั เกตแบบมีสว่ นร่วม (participation observation ) เปน็ การสังเกต ที่ผู้สังเกตเข้าไปมีส่วนร่วมในเหตุการณ์หรือกิจกรรมนั้นๆด้วย ผู้ถูกสังเกตอาจจะรู้ตัว หรือไม่รูต้ วั กไ็ ด้ การสงั เกตในลักษณะน้ี จะทาให้ได้เหน็ พฤติกรรมหรือเหตุการณ์อย่าง ละเอียดทุกแงม่ ุม 2. การสังเกตแบบไม่มสี ว่ นรว่ ม (non participation observation) เป็นการ สังเกตอย่นู อกวง ทาตนเปน็ ผูด้ อู ย่างเดยี ว ผู้ถูกสังเกตไม่รูต้ ัววา่ มีคนคอยสังเกตอยู่ นอกจากนี้การสังเกตยังแบ่งได้อีก เช่น การสังเกตแบบมีเค้าโครงกาหนดไว้ ล่วงหน้า (structured observation) กับการสังเกตแบบไม่มีเค้าโครงกาหนดไว้ ลว่ งหน้า (unstructured observation)

147 การสังเกตแบบมีโครงสร้างกาหนดไว้ล่วงหน้า เป็นการสังเกตที่ผู้สังเกตได้ กาหนดหัวข้อเรื่องท่ีจะสังเกตไว้ล่วงหน้าแน่นอนแล้ว จะศึกษาเฉพาะเร่ืองที่ผู้สังเกต จากัดขอบเขตไว้แลว้ นั้น ส่วนการสังเกตแบบไม่มีเค้าโครงกาหนดไว้ล่วงหน้า เป็นการสังเกตท่ีผู้สังเกต ไม่ได้วางแผนหรือกาหนดขอบเขตเฉพาะเรื่องท่ีจะศึกษาไว้ล่วงหน้าว่า จะสังเกตเรื่อง ใด ผสู้ ังเกตจะสังเกตสภาพทว่ั ๆไปอยา่ งกวา้ งๆ เมือ่ นาประเภทการสังเกตท้ัง 1) การสงั เกตแบบมีสว่ นร่วม 2) การสังเกตแบบ ไม่มสี ่วนรว่ ม 3) การสงั เกตแบบมีเค้าโครงกาหนดไว้ล่วงหน้า และ 4) การสงั เกตแบบ ไม่มีโครงสร้างกาหนดไว้ล่วงหน้ามาพิจารณาในรูปแบบเมตริกซ์ จะได้การสังเกต 4 ประเภท ได้แก่ แบบท่ี 1 เป็นการสงั เกตอย่างมีโครงสรา้ งและมสี ่วนรว่ มในกลมุ่ ท่ีถกู สังเกต แบบท่ี 2 เปน็ การสังเกตอยา่ งไมม่ ีโครงสรา้ งและมสี ว่ นรว่ มในกลมุ่ ที่ถูกสงั เกต แบบที่ 3 เปน็ การสังเกตอยา่ งไม่มีโครงสร้างและไมม่ สี ว่ นร่วมในกลุ่มท่ถี ูก สังเกต แบบที่ 4 เป็นการสังเกตอยา่ งมโี ครงสรา้ งและไม่มสี ่วนร่วมในกลมุ่ ทถี่ กู สงั เกต

148 ตอ่ ไปนจี้ ะนาเสนอตวั อยา่ งสถานการณ์จรงิ ของผ้เู ขยี น ประเภทการสังเกต ตัวอยา่ งสถานการณ์จริงของผเู้ ขยี น 1. มสี ่วนร่วม+มี  เข้าร่วมกจิ กรรม การศกึ ษาดงู านระบบบาบัดนา้ เสียของ โครงสรา้ ง ลุงออ๊ ด ดอกพิกลุ ของหนว่ ยตา่ งๆ  มีประเด็นท่ตี อ้ งการขอ้ มลู : ฟัง ดู ลงุ ออ๊ ด ดอกพิกุลอธิบาย ระบบบาบัดเหมอื นทีเ่ คยเล่าใหฟ้ งั หรือไม่ 2. มีส่วนร่วม+ไม่มี  ไปทาบุญที่วดั ศาลาแดงเหนือ  ไม่มีประเดน็ ทต่ี อ้ งการข้อมูล: คุณมาณพ แก้วหยกอธิบาย โครงสร้าง เครื่องกรองน้าโบราณอายุ100 ปี ที่วดั ศาลาแดงเหนือใช้ กรองนา้ จากแม่น้าเจ้าพระยาไว้สาหรับพระในวัด แสดงว่า วิถชี วี ิตของคนท่นี ี่ต้องดูแลนา้ เพราะยงั ใช้น้าในแม่น้าดืม่ กิน 3.ไม่มสี ่วนร่วม+ไม่  ศกึ ษาสารคดเี กี่ยวกบั ชุมชนบางปรอก และชมุ ชนบา้ น มีโครงสรา้ ง ศาลาแดงเหนือ  ไมม่ ีประเด็นท่ีต้องการข้อมลู : เขา้ พน้ื ท่ีท้ัง 2 ชมุ ชน เพอ่ื ทาความรจู้ กั และหาประเด็นปญั หา 4.ไมม่ ีสว่ นรว่ ม+มี  ชว่ ยถ่ายภาพขณะมีผเู้ ข้าฟังการบรรยายเรอื่ งภมู ปิ ัญญา โครงสรา้ ง บาบดั น้าเสียของลงุ อ๊อด ดอกพกิ ลุ ที่บ้านศาลาแดงเหนอื  มีประเด็นที่ต้องการข้อมูล: ฟงั และดู ลุงอ๊อด ดอกพิกุล อธบิ ายระบบบาบัดเหมอื นทเ่ี คยเลา่ ให้ฟงั หรือไม่ สง่ิ ทตี่ ้องสงั เกต ไมว่ ่าขอ้ มูลทต่ี ้องการจะเป็นเรอ่ื งอะไร ผสู้ งั เกตควรต้องมองหาสงิ่ ที่เรยี กวา่ สิง่ ท่ีต้องสังเกต 6 ประการด้วยกัน ประกอบด้วย 1) สถานท่ี/บริบทแวดล้อมทาง กายภาพ 2) ผ้มู ีส่วนร่วม 3) แบบแผนการกระทาและปฏิสมั พันธ์ 4) การสนทนา 5) ปัจจัยแฝงเร้น และ 6) พฤติกรรมของนักวิจัย ซึ่งท้ัง 6 ประการน้ี ผู้เขียนได้สรุป ความจากหนังสือ “วิธีวิทยาการวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพทางพฤติกรรรม ศาสตร์และสังคมศาสตร์” โดยองอาจ นัยพัฒน์ (2548) และหนังสือ“การวิจัยเชิง

149 คุณภาพ”โดยสุภางค์ จันทวานิช (2563) นอกจากนี้ผู้เขียนได้ยกตัวอย่างจาก สถานการณ์จรงิ นามาประกอบเพอ่ื ขยายความให้เข้าใจได้งา่ ยข้นึ 1. สถานท่ี/สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ (physical setting / content) สถานที่ /สิ่งแวดล้อมทางกาย หรือสถานท่ีท่ีทาการสังเกต ก็คือ การสังเกตสภาพของ ส่ิงแวดล้อมทางกายภาพ ซ่ึงคาว่าส่ิงแวดล้อมทางกายภาพ (physical environment) ในศาสตร์ทางวิทยาการส่ิงแวดล้อม หมายถึง ส่ิงแวดล้อมที่มนุษย์ สรา้ งข้ึน เพ่อื อานวยความสะดวกในการดาเนินชีวิต บางอย่างเปน็ ส่งิ จาเปน็ บางอย่าง เป็นสิ่งฟุ่มเฟ่ือย และต้องเป็นส่ิงท่ีสามารถมองเห็นได้ (เกษม จันทร์แก้ว, 2536) เช่น บา้ นเรือน ถนน สะพาน รถยนต์ เรือโดยสาร ประตรู ะบายนา้ ท่อระบายน้าทง้ิ เครื่อง สูบน้าเขา้ นา แปลงนาขา้ ว เครื่องมอื ทางการเกษตร เป็นต้น นอกจากการสังเกตสถานท่ี / บริบทแวดล้อมทางกายภาพ จะช่วยให้สามารถ เก็บรวบรวมข้อมูลได้แล้ว หากพิจารณาตามหลักการประเมินผลกระทบส่ิงแวดล้อม (environmental impact assessment)แล้ว จะพบว่า การสังเกตสภาพส่ิงแวดลอ้ ม จะตอ้ งเพ่ิมเติมอกี 3 ด้าน คือ 1) การสงั เกตสภาพของสง่ิ แวดลอ้ มทางชีวภาพ ซงึ่ ก็คือ สังเกตสิ่งท่ีธรรมชาติสร้างขึ้น เช่น พืช สัตว์ มนุษย์ ท่ีปรากฏอยู่ในชุมชน 2) การ สังเกตคุณค่าการใช้ประโยชน์24 ซ่ึงก็คือ สังเกตการใช้ประโยชน์จากส่ิงแวดล้อมของ คนในชุมชน เช่น การใช้ประโยชน์จากแหล่งน้าเพื่อการอุปโภคบริโภค และ3) การ สังเกตคุณภาพชวี ิตของคนในชุมชน25 ซึง่ ก็คือ การประกอบอาชีพของคนในชุมชน การสังเกตสภาพของสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ สิ่งแวดล้อมทางชีวภาพ คุณค่า การใช้ประโยชน์ และคุณภาพชีวิตของคนในชุมชน จะช่วยให้สามารถเก็บรวบรวม 24 คุณคา่ การใชป้ ระโยชน์ หมายถึง การใช้ประโยชนจ์ ากทรพั ยากรท้งั ทางกายภาพ และชวี ภาพของมนุษย์ เชน่ การใช้ประโยชนท์ ี่ดนิ 25 คุณภาพชีวติ ของคนในชุมชน หมายถึง ผลกระทบท่ีจะเกิดตอ่ มนุษย์ ชุมชน ระบบ เศรษฐกิจ การประกอบอาชพี วัฒนธรรมประเพณี ความเชอ่ื ค่านิยม รวมถงึ ทศั นียภาพ คุณค่า ความสวยงาม https://www.onep.go.th

150 ข้อมูลของชุมชนได้หลากหลายมิติ เมื่อนาข้อมูลดังกล่าวมาเช่ือมโยงกันจะทาให้มี ความเข้าใจบรบิ ทของชุมชนมากขึ้น 2. ผู้มีส่วนร่วมในการสังเกต (participants) หมายถึง ผู้ที่มีส่วนร่วมใน สถานทีท่ าการสังเกต ซ่ึงต้องมคี ณุ สมบตั ิตามเกณฑ์ท่กี าหนดไว้ เช่น เปน็ ผนู้ าดา้ นการ ป้องกันและแก้ไขปัญหาส่ิงแวดล้อมของชุมชน เป็นผู้ได้รับผลกระทบจากปัญหา ส่ิงแวดล้อมของชุมชน โดยมีการกาหนดจานวนผู้มีส่วนร่วมและกาหนดบทบาทอย่าง ชัดเจน 3. แบบแผนการกระทาและปฏิสัมพันธ์ (activities and interactions) หมายถึงแบบแผนการกระทา/พฤติกรรมที่เป็นอย่างต่อเน่ืองจนเป็นแบบแผนของ ชุมชน เช่น ค่านิยมและวิถีชีวิตในรักษาความสะอาด ค่านิยมด้านการป้องกันและ รักษาสิง่ แวดล้อมของชุมชน 4. การสนทนา (conversation) คือ เนื้อหาสาระท่ีอยู่ในถ้อยคาการสนทนา ระหว่างบุคคล จังหวะการพูด การนิ่งเงียบ และอากัปกิริยาขณะสนทนา บทสรุปการ สนทนา 5. ปัจจัยแฝงเร้น (subtle factors) คือ ความหมายโดยนัยที่แฝงอยู่ใน ถ้อยคาหรือสานวนภาษาและสัญลักษณ์ใด ๆท่ีปรากฏบนส่ิงประดิษฐ์ทางวัฒนธรรม (artifact) และการสนทนาท่ไี ม่ใช่ถ้อยคาสานวนภาษา เช่น การแตง่ กาย และร่องรอย ชแี้ นะตา่ ง ๆ 6. พฤติกรรมของนักวิจัย (your own behavior) เนื่องจากนักวิจัยเป็นส่วน หนง่ึ ในสถานทท่ี ท่ี าการสังเกตการณ์ นกั วจิ ยั จงึ สังเกตการณบ์ ทบาทของตัวนักวิจัยเอง ว่า มีสภาพลักษณะอย่างไรขณะทาการสังเกตสิ่งอื่นๆท่ีอยู่ในฉาก เช่น พูด ทาอะไร หรือแสดงแนวคิด ความเช่ืออะไรบ้าง สิ่งเหล่านี้จะต้องได้รับการบันทึกไว้ ประกอบการสังเกตในภาคสนาม

151 ตัวอย่างจากสถานการณจ์ รงิ ส่งิ ทีต่ อ้ ง สถานการณจ์ ริง สงั เกตการณ์ 1.สถานที่/ การสงั เกตสง่ิ แวดลอ้ ม 4 ด้าน(ตามEIA) บริบทแวดล้อม สง่ิ แวดลอ้ มทางกายภาพ ได้แก่ ทางกายภาพ -ดนิ สิ่งกอ่ สรา้ ง ประตูระบายน้า เครือ่ งสูบนา้ การใช้ท่ดี ิน (ชมุ ชน เกษตร อุตสาหกรรม) -นา้ สีนา้ ความขนุ่ ทิศทางไหลของนา้ คอนโดดักปลา สง่ิ แวดลอ้ มทางชีวภาพ ไดแ้ ก่ -พืชน้า(ผกั ตบชวา แหน สาหรา่ ย) -สัตว์ แมลงปอในแปลงนา ปลาเข็มยกั ษ์ ปลาเสือพน่ น้า ปลา สวาย ปลาดกุ ตัวเงนิ ตัวทองในแหล่งน้าธรรมชาติ ล้วนบง่ ชี้ คุณภาพน้า คุณค่าการใช้ประโยชน์ได้แก่ การใช้ประโยชน์จากแหล่งนา้ (เพ่อื ดื่ม กิน อาบ เกษตร อตุ สาหกรรม ระบายนา้ ทง้ิ ลงแหลง่ นา้ ) คุณภาพชวี ิตของคนในชมุ ชนไดแ้ ก่ การประกอบอาชพี 2.ผมู้ สี ่วนร่วม ผ้มู ีสว่ นร่วมในสถานที่ทาการสังเกต ไดแ้ ก่ ประชาชนในชมุ ชน ไดร้ ับผลกระทบจากปญั หาส่ิงแวดลอ้ มของชุมชน ผู้นาด้านการ ปอ้ งกัน และแกไ้ ขปญั หาสงิ่ แวดล้อมของชมุ ชน เช่น ผู้นาชุมชน ทสม. อสม. เปน็ ต้น

152 สิง่ ทีต่ อ้ ง สถานการณจ์ รงิ สังเกตการณ์ 3.แบบแผนการ การเรียนรวู้ ิถชี วี ติ ของคนในชมุ ชนเพอื่ อธบิ ายถึงการ กระทาและ เปลี่ยนแปลงส่ิงแวดลอ้ มที่เกีย่ วกบั นา้ เสยี ระบบบาบัดนา้ เสยี ปฏิสมั พันธ์ เชน่  ค่านยิ มการรักษาความสะอาดของชมุ ชน เปน็ จดุ เร่มิ ต้น ให้ ชมุ ชนคิดหาวธิ ีการลดการท้งิ ขยะจากชมุ ชนลงส่แู ม่น้า โดยการ สรา้ งเตาเผาขยะ  วถิ ีชวี ติ การใช้ประโยชน์จากน้าในแมน่ ้าเพือ่ ดาเนนิ ชีวิตทาให้ เกดิ ภมู ิปญั ญาการบาบดั นา้ เสียชุมชน  การทาอาชีพทาอิฐมอญของคนในชมุ ชนบางปรอก ต.บาง ปรอก อ.เมือง จ.ปทุมธานี ในอดีตมีสว่ นทาให้การไหลเวยี นของ น้าเกิดขนึ้ อย่างต่อเน่ือง ทาใหใ้ นอดีตไม่เกดิ นา้ เสยี ในคลอง ดังกล่าว  การเป็นเด็กวัดของลงุ อ๊อด ดอกพกิ ุล ทาให้ต้องหาวิธีถนอม อาหารท่ีมมี ากมายไมใ่ หเ้ สีย เช่น แกงกะทิ ใช้วิธีเอาถ่านใสใน แกงแลว้ อนุ่ ทาให้กลิ่นบูดหาย ลุงออ๊ ด ดอกพิกลุ จงึ คิดว่าการ เอาถา่ นใส่ในระบบบาบัดจะทาให้กลน่ิ น้าเนา่ ลดลง  วิถชี วี ิตของชมุ ชนท่ีอยใู่ นพื้นทป่ี ระสบปญั หาสง่ิ แวดลอ้ ม ตา่ งๆ เช่น น้าเสีย อากาศเสีย

153 (ตอ่ ) ตวั อย่างจากสถานการณจ์ รงิ สง่ิ ท่ตี อ้ ง สถานการณจ์ รงิ สังเกตการณ์ 4.การสนทนา  เรื่องเล่าปญั หาน้าเสีย สาเหตุ ผลกระทบจากน้าเสียคลอง รังสติ ฯช่วงไหลผา่ นชุมชนบ้านคลองรงั สิต  เรื่องเลา่ ปัญหาน้าเสีย สาเหตุ ผลกระทบจากน้าเสียคลอง โคกตาเขียว คลองคู คลองเชียงรากนอ้ ย คลองเปรมฯชว่ งไหล ผา่ น อ.สามโคก จ.ปทุมธานี  เรอ่ื งเล่าน้าเสีย สาเหตุ ผลกระทบจากนา้ เสียคลองอ้อม 5.ปัจจัยแฝง  การสงั เกตพบ ลายปูนปัน้ รูปปลากระโห้ ทหี่ อเกบ็ พระ เรน้ ไตรปฏิ กของวัดศาลาแดงเหนือ ต.เชยี งรากนอ้ ย อ.สามโคก จ.ปทมุ ธานี ซ่ึงคนในชมุ ชนเปน็ ผสู้ ร้างขึ้น แสดงให้เห็นว่า ในอดีต บรเิ วณหนา้ วัดน้ี ซงึ่ เปน็ วังปลา มปี ลากระโห้เยอะแสดงวา่ คุณภาพ น้าดี แต่ปจั จุบันไมพ่ บปลาชนิดนี้ แสดงให้เหน็ ว่า สภาพแวดล้อม โดยเฉพาะคณุ ภาพนา้ ไม่เหมาะสมกบั ปลาชนดิ นแ้ี ลว้  การสงั เกตพบ วธิ กี ารบาบัดน้าเสยี ของชมุ ชน บ้านศาลาแดง เหนือ ทมี่ ีหลากหลายรปู แบบแตกตา่ งกันตามขนาดของครัวเรือน โดยครัวเรือนขนาดเลก็ ระบบบาบัดน้าเสีย จะเปน็ ระบบกรองเพียง 1 ถัง แต่ถ้าครอบครวั ขนาดใหญจ่ ะมีการสรา้ งระบบบาบัด 2 ถัง (ถงั ตกตะกอนและถงั กรอง)  การสังเกตบุคลกิ ความเป็นผนู้ าของเยาวชนท่ีเข้าร่วมกิจกรรม เพ่อื เชิญชวนเป็นทีมงานในกิจกรรมของชมุ ชนอนื่ ๆ ตามโอกาส ต่างๆ ได้แก่ เยาวชนทีม่ ีลักษณะกลา้ แสดงออก และสนกุ กับ ตรวจวัดคา่ ออกซิเจนละลายนา้ ตลอดจนเขา้ ร่วมกิจกรรมอยา่ ง ต่อเนอื่ ง เยาวชนกลุ่มน้จี ะได้รบั การตดิ ต่อเพอ่ื รว่ มเป็นวทิ ยากรใน การจดั กิจกรรมในโอกาสต่อๆไป

154 (ต่อ) ตัวอย่างจากสถานการณจ์ ริง สิ่งท่ีตอ้ ง สถานการณจ์ ริง สังเกตการณ์ 6.พฤติกรรมของ  บนั ทึกพฤตกิ รรมของตนเอง ท่ีทาให้ได้รับการไว้วางใจจาก นักวิจัย ชมุ ชน เชน่ การไม่แสดงตนเป็นคนอวดรู้ดกี ว่าคนในชมุ ชน  บันทึกพฤติกรรมการเออ้ื อาทรกับชมุ ชนในยามทช่ี ุมชน ต้องการความช่วยเหลือ ทาใหไ้ ดร้ บั การยอมรับ และชมุ ชนเหลา่ น้ี กลายเป็น social laboratory ของผู้วจิ ัยจนถึงปัจจบุ ัน เช่น ช่วง น้าท่วมเข้าไปเย่ียมเยยี นชุมชน ทาให้ไดร้ ับการชนื่ ชมจากผูน้ า ชุมชน นอกจากนนั้ เมอื่ ชุมชนตอ้ งการความชว่ ยเหลือทางวชิ าการ ก็ใหค้ วามชว่ ยเหลอื อย่างต่อเนอ่ื ง  บนั ทึกพฤติกรรมทีไ่ ม่เอาประโยชน์จากชมุ ชน เชน่ การไม่รับ ผลตอบแทนในฐานะเป็นที่ปรึกษาในโครงการของชมุ ชน  บันทกึ ขอ้ คน้ พบว่า การให้ความสาคัญของเชือ้ ชาต(ิ ไทย รามญั ) เป็นการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจกับชมุ ชน เน่อื งจากผวู้ จิ ัยมี เชือ้ สายไทยรามญั เมอื่ ไดแ้ สดงตนว่าเปน็ เช้อื สายเดียวกัน ทาให้ ไดร้ บั การยอมรับจากชุมชนได้ง่ายขน้ึ ส่งผลใหส้ ามารถรวบรวม ขอ้ มลู จากชมุ ชนไดอ้ ยา่ งรอบดา้ น  บันทกึ ขอ้ คน้ พบวา่ ความเสมอตน้ เสมอปลายในการรว่ ม กจิ กรรมกับชมุ ชนต่างๆ โดยเฉพาะการบริการวิชาการด้าน สงิ่ แวดล้อมศึกษาสชู่ มุ ชนของผู้วจิ ยั เป็นประจาทุกปี ตั้งแต่ 2554-ปจั จบุ ัน (พ.ศ.2564) ทาให้ไดร้ ับความไว้เนอ้ื เชื่อใจจาก ชุมชนเสมอมาจนถึงปัจจบุ ัน

155 เทคนิคเดลฟาย เทคนคิ เดลฟาย เป็นวิธกี ารรวบรวมความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญผู้ทรงคุณวุฒิ ท่ีถูกเลือกแบบเฉพาะเจาะจง และถูกเชิญให้แสดงความคิดเห็น โดยออก แบบสอบถามความคิดเห็นต่อข้อมูลเรื่องใดเรื่องหน่ึง โดยใช้ชุดเดียวกัน จานวน 2-3 รอบเพ่ือสร้างความสอดคล้องของความคิดเห็นต่อข้อมูลเรื่องใดเร่ืองหนึ่ง โดยใช้ชุด เดยี วกันของกลมุ่ ผู้เชยี่ วชาญ/ผทู้ รงคณุ วุฒิ แบบสอบถามรอบที่ 1 นาความคิดเห็นของผู้ทรงคุณวุฒิในระยะที่ 1 มาสร้าง เป็นแบบสอบถามมาตราส่วนแบบประมาณค่า ส่งให้ผู้ทรงคุณวุฒิตอบแสดงความ คิดเหน็ แบบสอบถามรอบท่ี 2 พัฒนามาจากคาตอบของแบบสอบถามในรอบที่ 1 โดยนาคาตอบของผู้ทรงคุณวุฒิมาคานวณหาค่ามัธยฐานและพิสัยระหว่างควอร์ไทล์ ของคาถามแต่ละข้อเพ่ือสร้างเป็นแบบสอบถามในรอบท่ี 2 โดยคงไว้ซ่ึงข้อความเดิม และโดยเพิ่มตาแหน่งของค่ามัธยฐาน พิสัยระหว่างควอร์ไทล์ และตาแหน่งที่ ผู้ทรงคณุ วุฒิแต่ละท่านทบทวนคาตอบในรอบที่ 1 ของตนแลว้ ตอบกลบั มาอีกครั้ง ใน การตอบแบบสอบถามรอบนี้ผู้ทรงคุณวุฒิจะทราบว่าตนมีความคิดเห็นแตกต่างจาก ผู้ทรงคุณวุฒิท้ังหมดเพียงใด และอาจเปลี่ยนแปลงคาตอบใหม่ได้หากไม่เห็นด้วย พร้อมทง้ั ให้เหตุผลประกอบยืนยนั คาตอบเดิมท่ีอยนู่ อกพิสัยระหว่างควอรไ์ ทล์ โดยปกติกระบวนการทาซ้าแบบนี้จะดาเนินไปสองหรือสามรอบ หรือจนกว่า จะได้คาตอบที่เป็นฉันทามติของกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ/กลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิน่ันเอง จะสังเกต ไดว้ ่าการใชเ้ ทคนิคเดลฟายเก็บขอ้ มูล ผูเ้ ชีย่ วชาญ/ผทู้ รงคุณวุฒมิ ิไดม้ ีโอกาสอภปิ ราย/ สนทนากันต่อหนา้ เลย ซ่ึงต่างจาก FGD ท่ีต้องอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาในวงสนทนา ทุกคนสามารถโต้ตอบกนั ไดโ้ ดยตรง ผู้เชี่ยวชาญ/ผู้ทรงคุณวุฒิ ควรเป็นผู้รอบรู้หรือรู้ลึกในประเด็นท่ีศึกษาอย่าง แท้จริง อาจเป็นผู้ท่ีศึกษาเร่ืองดังกล่าวมาเป็นเวลานาน เป็นผู้มีตาแหน่งหน้าที่ รับผิดชอบ มีประสบการณ์โดยตรงกับเร่ืองท่ีศึกษา ยินดีให้ความร่วมมืออย่างเต็มใจ และเห็นความสาคัญของการวิจัยเรื่องนั้นด้วย สาหรับจานวนผู้เช่ียวชาญ/

156 ผู้ทรงคุณวุฒิ ในการวิจัยโดยใช้เทคนิคเดลฟาย ควรใช่ผู้ทรงคุณวุฒิจานวนต้ังแต่ 17 คนขึ้นไป จะเห็นได้วา่ เทคนิคเดลฟาย เปน็ กระบวนการที่รวบรวมความคดิ เหน็ หรือการ ตัดสินใจในเรื่องใดเรื่องหนึ่งจากกลุ่มผู้เช่ียวชาญ/ผู้ทรงคุณวุฒิ เพ่ือให้ได้ข้อมูลที่ สอดคลอ้ งเป็นอนั หนึ่งอันเดยี วกันและมีความถกู ตอ้ งเชือ่ ถือได้มากทสี่ ดุ นอกจากนั้นเทคนิคเดลฟาย ยังจะช่วยแก้ไขปัญหาในกรณีท่ีไม่อาจจดั หากลุ่ม ผู้เชี่ยวชาญ/ผู้ทรงคุณวุฒิท้ังหลายให้มาพบปะสนทนาแบบซึ่งหน้ากันได้ และ แกป้ ญั หาในกรณีทไี่ ม่อาจรวบรวมความเห็นรวมๆได้จากการประชมุ สมั มนาธรรมดา ปัญหาท่ีจะนามาศึกษาวิจัยด้วยเทคนิคเดลฟาย ควรเป็นปัญหาที่มีลักษณะ ดังนี้ เป็นปัญหาที่ต้องการคาตอบที่ถูกต้องจากการวินิจฉัยของกลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิใน สาขาน้ันๆ และต้องการความคิดเห็นที่หลากหลายด้านจากประสบการณ์หรือความรู้ ความสามารถของผู้ทรงคุณวุฒิ โดยไม่ต้องมาพบปะกัน เพื่อให้แสดงความคิดเห็นได้ โดยอิสระ ซ่ึงมีความจาเป็นมากกว่าที่จะให้กลุ่มบุคคลมาเผชิญหน้าแลกเปล่ียนความ คิดเห็นกัน นอกจากนั้นยังเป็นการหลีกเล่ียงความคิดเห็นของผู้ทรงคุณวุฒิแต่ละคนที่ อาจจะมผี ลกระทบหรืออทิ ธพิ ลต่อการพิจารณาตัดสนิ ปัญหานนั้ ๆ R&D ทางการศกึ ษา R&D มาจาก Research and Development แปลว่า การวิจัยและพฒั นา R&D เป็นการวิจัยรูปแบบหน่ึงท่ีมงุ่ พัฒนานวัตกรรม (innovation) ในเร่ืองใด เร่ืองหน่ึงและต้องนา innovation นั้นไปทดลองใช้และทดสอบว่ามีประสิทธิภาพจน นาไปสู่การใช้ประโยชน์จริง R&D ทางการศึกษาเป็น R&D ท่ีมุ่งพัฒนา innovation ทางการศึกษา ซ่ึงใน ทีน่ ี้นวตั กรรมทางการศกึ ษา ก็คือ กระบวนการจัดประสบการณ์เพื่อการเรียนรู้ เพ่อื ให้ บุคคลเกิดการเปล่ยี นแปลงพฤติกรรมตามวัตถุประสงค์การศกึ ษา 3 ด้าน คอื เจตพิสัย ความรู้ และทักษะทีก่ าหนดไว้

157 R&D ทางการศึกษานี้มีลักษณะเป็นกระบวนการ ประกอบด้วย 3 ขั้นตอน หลัก ซึง่ ผเู้ ขียนประยกุ ตจ์ ากหลักของ R&D โดยโสภณ ธนะมยั (2561) ดงั นี้ ข้ันตอนที่ 1 การสร้างนวัตกรรมทางการศึกษา ซึ่งในท่ีนี้นวัตกรรมทาง การศึกษา ก็คือ “ตารางประสบการณ์เพ่ือการเรียนรู้” ที่ถูกสร้างขึ้นสาหรับใช้ในการ จดั การเรียนการสอนเนื้อหาความรู้ในเรื่องใดเรอื่ งหนงึ่ ท่ีผู้สอนสร้างขึ้น เพอื่ ใชก้ บั กลุ่ม ผูเ้ รียนของตนเองเป็นการเฉพาะ ขั้นตอนท่ี 2 การทดลองใช้นวัตกรรมทางการศึกษาท่ีได้สร้างขึ้นในข้ันตอนนี้ ต้องใช้แบบการวิจัยทดลอง (ซ่ึงจะได้กล่าวในส่วนถัดไปในหัวข้อแบบการทดลอง) ปัจจุบันได้มีการทา R&D ทางการศึกษาเพ่ือการพัฒนาการศึกษาอยู่เป็นจานวนมาก เช่น R&D ทางด้านหลักสูตร ด้านสื่อการสอน ด้านวิธีการสอน ด้านการแนะแนว การศึกษา รวมทั้งด้านการบรหิ ารการศกึ ษา เป็นต้น ข้ันตอนท่ี 3 การทดสอบประสิทธิภาพของนวัตกรรมทางการศึกษาที่สร้างขึ้น (ตารางประสบการณ์เพื่อการเรียนรู้เร่ืองใดเร่ืองหนึ่ง หรือ R&D: L.E.) โดยใช้วิชาการ ทางสถิตเิ พ่อื จะสรุปวา่ innovation นนั้ มีประสิทธภิ าพหรอื ไม่ (ซ่ึงจะไดก้ ลา่ วตอ่ ไปใน หวั ขอ้ การทดสอบประสิทธิภาพด้วยสถิติ) แบบการทดลอง รูปแบบการทดลองทีใ่ ช้เพ่ือการทดสอบประสิทธภิ าพของนวตั กรรมทาง การศกึ ษาท่ีสรา้ งขน้ึ ทน่ี ิยมใช้มี 5 รูปแบบ แต่รูปแบบท่ีเหมาะสมสาหรับการทดสอบ ประสิทธภิ าพของนวัตกรรมการศึกษา ในท่นี ี้คือการทดสอบประสิทธภิ าพของตาราง L.E. ซงึ่ ใช้ทดลองกับกลุม่ บุคคลทีท่ าในสภาพธรรมชาติ/สนาม (field experiment) เปน็ การเปรยี บเทยี บผลจากกลมุ่ ผทู้ ดลองเดยี วกัน (เปรียบเทียบภายในกลุ่ม) นั้น มี 2 รปู แบบ คอื 1) แบบกล่มุ เดยี วมกี ารทดสอบคร้ังเดียว(one shot case study: OSC) 2) แบบกลุม่ เดียวแต่มกี ารทดสอบกอ่ นและหลังการทดลอง (one group pretest -posttest design: OGPP)

158 โดย L.E.เน้ือหาความรู้ doing ควรใช้กบั แบบการทดลอง OSC (one shot case study) สว่ น L.E.เนื้อหาความรู้ knowing ใชไ้ ด้ท้ังแบบการทดลอง OSC(one shot case study ) และ OGPP (one group pretest - posttest design)(ลาวณั ย,์ 2563) ซง่ึ ทัง้ 2 รูปแบบมขี ัน้ ตอนในการทดลอง ดังนี้ 1. แบบกลมุ่ เดียว มีการทดสอบคร้ังเดียว (one shot case study :OSC) วธิ กี าร 1) เลือกกลมุ่ ศกึ ษามา 1 กลุ่ม 2) ทดลองใชน้ วัตกรรมกับกลุม่ ศกึ ษา 3) ทดสอบกลุ่มศกึ ษา 2. แบบกลุ่มเดียวแตม่ ีการทดสอบก่อนและหลงั (one group pretest–posttest design: OGPP) วธิ ีการ 1) เลือกกลุม่ ศกึ ษามา 1 กลุม่ 2) ทดสอบกลมุ่ ศกึ ษาครง้ั ท่ี 1 3) ทดลองใชน้ วัตกรรมกับกลุ่มศกึ ษา 4) ทดสอบกลุม่ ศกึ ษาคร้ังท่ี 2 5) ตรวจสอบความแตกตา่ งระหว่างผลการทดสอบครัง้ ที่ 1-2 อย่างไรก็ตามรูปแบบการทดลองท่เี หมาะสมสาหรบั การทดสอบประสิทธภิ าพ ของ L.E. ในโครงการสง่ เสรมิ สิง่ แวดล้อมศึกษาชมุ ชน คือ แบบ OSC

159 การทดสอบประสทิ ธิภาพด้วยสถิติทดสอบ chi-square (  2) สาหรับสถิติที่ใช้ในการทดสอบประสิทธิภาพของ L.E.น้ัน จะใช้สถิติทดสอบ สมมติฐาน nonparametric statistics เพ่ือศึกษาวิจัยและสรุปผลการทดสอบ ประสิทธิภาพของ L.E. เฉพาะกับกลุ่มคนที่เข้าร่วมโครงการเท่าน้ันว่า L.E.ที่จัดให้กับ กลุ่มทดลองนั้น สามารถทาให้กลุ่มทดลองดังกล่าวเกิดการเปล่ียนแปลงพฤติกรรมได้ ตามวัตถุประสงคท์ ีก่ าหนดไวห้ รือไม่ โดยสถิตทิ ดสอบที่ใชใ้ นท่นี ี้ก็คอื nonparametric statistics-  2 – test โดยหลักของการทดสอบนั้น มีเพียงวา่ .....ตรวจดูว่า...ลักษณะของข้อมูลต้องเป็น nominal data...ความแตกต่างท่ีเกิดขึ้นระหว่างปรากฏการณ์จริง ซึ่งคือ ข้อมูลที่เก็บได้/ความถ่ีสังเกต(observed data: O) กับข้อมูลที่คาดหวังตามทฤษฎีหรือกฎเกณฑ์ (expected data: E) นัน้ จะสามารถถือไดว้ ่า เปน็ ความแตกตา่ งอย่าง มีนัยสาคัญทางสถิติได้หรือไม่ ถ้าผลการวิเคราะห์ข้อมูล พบว่า ไม่มีความแตกต่างก็แสดงว่า ปรากฏการณ์นั้น เข้า กับทฤษฎีหรือกฎเกณฑ์หรือความคาดหวังนั้นได้ แต่ถ้า แตกต่างกันมาก นักวิจัยก็สามารถสรุปได้ว่าไม่เป็นไปตาม ทฤษฎี/กฎเกณฑ์/ความคาดหวัง.... ในการหาค่า  2-Test (test statistic) น้นั โดยใช้สูตรดังน้ี  2cal. = ∑ (O−E)2 E เมือ่ O คอื ความถ่ีสงั เกต E คอื ความถีค่ าดหวัง จากสตู รการคานวณหาค่า  2cal. จะเห็นได้วา่ ค่าตัวเลข O ลบดว้ ย E (O − E) นั้น ก็คือตัวเลขที่แสดงความคลาดเคลื่อนว่า ผลการปฏิบัติจริงผิดไปจากทฤษฎี/ กฎเกณฑ์/ความคาดหวงั หรอื ไม่นน่ั เอง มีข้อสังเกตว่า O และ E ได้ถูกแปลเป็นภาษาไทยในหนังสือสถิติวิจัยไว้ หลากหลาย เปน็ ต้นว่า

160 O = ความถ่ีท่ีสังเกต ความถี่ที่ศึกษาได้ ความถ่ีที่เกิดขึ้นจริง ความถี่ของขอ้ มูล ท่ีสังเกตมา E = ความถีท่ ่คี าดหวงั ความถต่ี ามทฤษฎี ความถท่ี ค่ี าดหวังไว้โดยทฤษฎี สาหรบั R&D: L.E. ในโครงการสง่ เสริมส่ิงแวดลอ้ มศึกษาชุมชนนี้ สถติ ิทดสอบ ท่ีเหมาะสมใช้กับแบบการทดลอง OSC คือ  2 -test of goodness of fit (ทดสอบภาวะทบั สนทิ /ทดสอบสารรูปสนทิ ดี)  2 -test of goodness of fit น้ีใช้เพื่อทดสอบว่า ความถี่ท่ีได้จากการสังเกต (O) เท่ากับความถี่ที่คาดหวัง (E) หรือไม่ หรือจะพูดว่า ใช้ทดสอบว่า ข้อมูลท่ีเก็บมา (observed data) จะมีการแจกแจงตามทฤษฎี/กฎเกณฑ์ หรือตามท่ีนักวิจัยคาดหวงั ไว้ (expected data) หรือจะพูดว่า เพ่ือต้องการดูว่า ความถ่ีท่ีได้จากการสังเกต (O) จะสอดคลอ้ งกบั ความถี่ทีเ่ ปน็ ไปตามทฤษฎหี รือตามท่คี าดหวงั (E) หรือไม่

161 สรปุ องคค์ วามรู้ของศาสตร์ องคค์ วามรู้ทางการวจิ ัยทาให้ตระหนกั รู้ (aware) วา่ ...ข้อมลู กค็ อื facts นนั้ มี 2 ลักษณะ คือ ข้อมูลปฐมภูมิและข้อมูลทุตยิ ภูมิ ข้อมูลปฐมภูมิเปน็ ขอ้ มูลจากต้นตอ จงึ เป็นหลกั ฐานได้ดกี ว่าขอ้ มูลทตุ ยิ ภมู ิ นอกจากน้ขี ้อมูลยังถกู จาแนกเป็นข้อมูลเชงิ ปริมาณซง่ึ อยู่ในลักษณะตวั เลข กบั ข้อมูลเชิงคณุ ภาพซึง่ อยู่ในลกั ษณะของคุณลกั ษณะ ไมส่ ามารถวัดออกมาเป็นตวั เลขโดยตรง วิธีการเกบ็ ขอ้ มลู เชิงคณุ ภาพทส่ี าคัญ คือ การสัมภาษณ์และการสังเกต ซึ่งอาจ ตอ้ งใชร้ ่วมกนั เพ่อื ให้ไดข้ ้อมลู ท่ีสมบูรณ์ การสัมภาษณ์แบ่งออกเป็น 3 แบบ คือ แบบมีโครงสร้าง แบบไม่มีโครงสร้าง และแบบกึ่งโครงสรา้ ง การสัมภาษณ์เชิงลึก เป็นแบบหน่ึงของเทคนิคการสัมภาษณ์เชิงคุณภาพ ที่ ตอ้ งการใหไ้ ดข้ อ้ มูลอย่างละเอยี ดถี่ถว้ น ซึง่ ผู้สัมภาษณ์มจี ุดสนใจอยแู่ ลว้ นอกจากนยี้ ังทาใหต้ ระหนักรู้ถึงเทคนคิ การสมั ภาษณ์ คอื ในการสมั ภาษณ์น้ัน ผสู้ ัมภาษณ์ควรปฏบิ ตั อิ ยา่ งไร การเลอื กผูใ้ หส้ มั ภาษณ์ตอ้ งใหต้ รงกบั เร่อื งทศี่ ึกษา สงิ่ ที่ ผูส้ ัมภาษณ์ตอ้ งกระทาเพอ่ื ทาให้ผถู้ กู สมั ภาษณ์กระตอื รือร้นทีจ่ ะเลา่ เรื่องราว การสังเกตควรใชค้ วบคู่ไปกับการสมั ภาษณ์โดยตรง การสังเกตมีท้ังการสังเกต ทางตรง และการสังเกตทางอ้อม การสังเกตทางตรงแบ่งย่อยออกเป็น 2 แบบ คือ แบบมีส่วนร่วมกับแบบไม่มีส่วนร่วม นอกจากน้ียังจาแนกออกเป็นการสังเกตแบบมี เค้าโครงกาหนดไว้ล่วงหนา้ กบั แบบไม่มีเค้าโครงกาหนดไว้ลว่ งหนา้ ในการสังเกตน้ัน จะต้องทราบถึง ส่ิงท่ีต้องสังเกตซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 5 ประการ ได้แก่ สถานที่/สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ ผู้มีส่วนร่วมต้องมีคุณสมบัติตามเกณฑ์ที่ กาหนด แบบแผนการกระทาและปฏสิ ัมพนั ธ์ของคนในชมุ ชน การสนทนาที่เหมาะสม ปัจจัยแฝงเร้น และพฤติกรรมของผเู้ ก็บข้อมลู การอภิปรายกลุ่มแบบเจาะจง เป็นการสนทนาซ่ึงสมาชิกกลุ่มมี interaction โต้ตอบกันในเรื่องที่เป็นประเดน็ ท่ีต้องการข้อมูล โดยมี moderator เป็นผู้ดาเนินการ อภิปราย

162 เทคนิคเดลฟายเป็นวิธีการเก็บข้อมูลโดยอาศัยความคิดเห็นของผู้เช่ียวชาญ/ ผู้ทรงคุณวุฒิต่อประเด็นที่ต้องการข้อมูลด้วยการใช้แบบสอบถามความคิดเห็น 2-3 รอบ เพอ่ื สรา้ งความสอดคลอ้ งของความคิดเห็น R&D ทางการศึกษา R&D เป็นการวิจัยรูปแบบหน่ึงท่ีมุ่งเน้นพัฒนานวัตกรรม ในเร่ืองใดเรื่องหน่ึง ต้องนาไปทดลองใช้และทดสอบว่ามีประสิทธิภาพจนนาไปสู่การ ใช้ประโยชน์จริง สาหรับการทดสอบประสิทธิภาพนั้น ต้องใช้แบบการทดลองท่ี เหมาะสม และต้องใช้วิชาการทางสถิติเพ่ือสรุปว่านวัตกรรมนั้นมีประสิทธิภาพ หรอื ไม่ แบบการทดลองท่ีเหมาะสมเพื่อหาประสิทธิภาพของนวัตกรรมนั้น สาหรับใน โครงการส่งเสริมสิ่งแวดล้อมศึกษาชุมชน คือ แบบการทดลอง OSC (กลุ่มเดียวมีการ ทดสอบครงั้ เดียว) สถิติทดสอบ chi-square (  2 ) การทดสอบประสิทธิภาพโดยสถิติทดสอบ  2 ทเี่ หมาะสมกบั แบบทดลอง OSC คือ  2 -test of goodness of fit ด้วยสตู ร = 2 ∑ (O−E)2 E

163 สว่ นที่ 3.6 สังคมวิทยาชนบท จากประสบการณ์ของผู้เขียนได้เห็นภาพของความพยายามในการพัฒนา เศรษฐกิจในชนบทของประเทศ ท่ีไม่ได้จากัดเฉพาะแต่พัฒนาเกษตรกรรมเท่าน้ัน แต่ ยังมุ่งพัฒนาอุตสาหกรรมในชนบทที่คุ้นเคยทากันมาต้ังแต่รุ่นปู่รุ่นพ่อ รวมท้ังได้มีการ นาเอาอุตสาหกรรมแบบใหมๆ่ เขา้ ไปดาเนนิ กจิ การในชนบทด้วย ถึงแม้ว่าการพัฒนาอุตสาหกรรมจะเป็นส่วนสาคัญยิ่งของการพัฒนาเศรษฐกจิ และอาจจะส่งผลให้เกิดความเจริญไปสู่ชนบทได้ แต่ว่าในขณะเดียวกัน ผลของการ พัฒนารูปแบบนี้กลับก่อให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมตามมา ดังนั้นการจัดการพัฒนา อุตสาหกรรมที่สอดคล้องกับสิ่งแวดล้อม เพื่อเป็นการช่วยอนุรักษ์ส่ิงแวดล้อม ท้ังใน ปัจจุบันและอนาคต โดยช่วยกันทั้งชุมชนชนบทและโรงงานอุตสาหกรรม ในการ ช่วยกันรักษาสภาพแวดล้อมจากโรงงานอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นมลพิษทางน้า มลพิษทางอากาศ มลพิษทางเสียง ได้แก่ น้าเสีย อากาศเสีย เสียงรบกวน กากของ เสีย และสารอันตราย ตลอดจนคุณภาพน้าในแม่น้าสายหลัก รวมท้ังสายน้า ลาคลอง ท่ีไหลผ่านชุมชนชนบทเหล่านั้น การท่ีรักษาสภาพแวดล้อมก็เพ่ือให้เกิดเป็นการ พัฒนาอตุ สาหกรรมแบบท่ยี ่งั ยืนในชนบทไมส่ ร้างปัญหาสิง่ แวดล้อม ในวิชาสังคมวิทยาชนบทมีความคิดรวบยอด(concept)สาคัญท่ีเก่ียวข้องกับ การวางโครงการส่งเสริมส่ิงแวดล้อมศึกษาชุมชน สมควรจะนามากล่าวถึงในที่น้ี ผู้เขียนได้สรุปมาจากหนังสือวิชาการสังคมวิทยาชนบทและสังคมวิทยา (ท่ัวไป) ด้วย ดังน้ี 1) ชุมชน ความหมายของชมุ ชน ประเภทของชมุ ชน ลกั ษณะที่ต้ังของชุมชน 2) ปัญหาสงั คม ความหมาย องค์ประกอบ

164 ประเภทของปัญหาสงั คม แนวการเสนอปญั หาสังคม 3) กลมุ่ สังคม ความหมาย ประเภท 4) ผ้นู าสังคม ความหมายของผู้นา ประเภทของผนู้ า ผนู้ าชุมชนชนบท 5) วฒั นธรรม ความหมาย ประเภท ประเพณี

165 ชุมชน จากประสบการณ์ของผู้เขียน ผู้เขียนมองว่า หากเราจะป้องกันและแก้ไข ปัญหาส่ิงแวดล้อมของประเทศหรือสถานท่ีอ่ืนใด จะต้องให้ความสาคัญเริ่มไปจากจุด เลก็ ๆก่อน จากหนว่ ยพ้นื ฐานซึ่งก็คือชมุ ชนน่นั เอง สุทธญาณ์ โอบอ้อม(2559)ได้กล่าวถึงท่ีมาของคาว่า“ชุมชน” โดยอ้างอิงจาก หนังสือ“กระบวนการเสรมิ สร้างชุมชนเขม็ แขง็ ”(2543)โดย ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ ซึ่ง ในท่ีนจ้ี ะนาเสนอเน้ือหาพอสังเขป ดงั น้ี ....คาว่า “ชุมชน” จากหลักฐานทางประวตั ิศาสตรแ์ ละ โบราณคดี รวมทัง้ ในหนังสือและตราสารต่างๆ ตงั้ แต่สมัย รตั นโกสนิ ทรต์ อนตน้ จนถึงสมัยรชั กาลที่ 7 ไมพ่ บว่ามีการ ใชค้ าน้ี แม้แต่ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2493 ก็ไมป่ รากฏคาว่า“ชุมชน” แตห่ ากพจิ ารณาหลัก ทางการจารกึ ทัง้ ในศิลาจารึกสุโขทยั (หลกั ที่ 1) และใน จารึกลา้ นนา จะพบคาว่า “บ้าน” “ถ่นิ ” “ถนิ่ ฐาน” นอกจากนี้ในคาไทยโบราณ พบคาวา่ “กวา๊ น”หรือ“บาง” ทใ่ี ช้เรยี กการตง้ั ถ่นิ ฐานของบา้ นเรือนตามริมคลองและรมิ แม่น้าในภาคกลางและภาคตะวันออก.... ความหมายของชมุ ชน ในช่วง พ.ศ.2493-2505 คาว่า“ชุมชน”น่าจะนาเข้ามาใช้ในประเทศไทย โดย บัญญัติมาจากคาว่า “community” ทั้งน้ีเป็นเพราะในระยะนั้นอิทธิพลของวิชา สังคมศาสตร์จากประเทศตะวันตกได้แพร่ขยายมาสู่ประเทศไทย เพ่ือใช้ในการศึกษา สภาพสังคมชนบท ทั้งโดยนักวิจัยชาวต่างชาติและนักวิชาการชาวไทยที่สาเร็จ การศึกษามาจากต่างประเทศด้วยทุนรฐั บาลสหรัฐอเมริกา จากนนั้ รัฐบาลไทยได้ใช้คา นี้เรื่อยมา ด้วยเหตุที่หน่วยงานที่มีคาว่า“ชุมชน” เช่น กรมพัฒนาชุมชน มักเป็น หน่วยงานด้านการปกครอง ความหมายของคาว่า“ชุมชน” จึงนาไปใช้ในความหมาย ใกล้เคียงหรือซ้อนทับกับคาว่า“บ้าน”หรือ“หมู่บ้าน” ซ่ึงในฐานะเป็นหน่วยการ ปกครองที่มีขอบเขตพื้นที่แน่นอนภายใต้การควบคุมของรัฐ เมื่อหน่วยงานด้านการ

166 ปกครองใช้คาว่า“ชุมชน”แทนคาว่า“บ้าน”หรือ“หมู่บ้าน”ที่หมายถึงหน่วยการ ปกครองระดับล่างสุดของพ้ืนท่ี มีระบบกลไกการปกครองที่เช่ือมต่อกับกลไกของรัฐ อื่นๆตามลาดับช้นั คอื หมบู่ ้าน – ตาบล – อาเภอ – จงั หวดั – ประเทศ (ยศ, 2558) เห็นได้ว่าความหมายของชุมชนในมุมมองของทางราชการนั้น ขึ้นอยู่กับพื้นท่ี และเขตการปกครอง ซง่ึ มองในมุมนี้อาจจะพูดได้วา่ เปน็ ความหมายท่ีแคบ แตอ่ ย่างไร ก็ดีก็ถือได้ว่า เป็นรากฐานหรือพ้ืนฐานของการดาเนินกิจกรรมในแง่มุมต่างๆของ ภาครัฐ ซ่ึงมีบทบาททางกฎหมายท่ีจะป้องกันและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมของ ประเทศในภาพรวม แต่ถ้าเราไม่ยึดติดกับความหมายดังกล่าว โดยหันมามองด้วยทัศนะที่กว้าง ออกไป ก็จะพบว่า ความหมายของทางราชการน้ัน มีข้อจากัดในแง่ของความสมั พนั ธ์ ทางด้านของ“สังคม”“วัฒนธรรม”และ“ทรัพยากรธรรมชาติ” ของชุมชน ซึ่งเป็น ความสัมพันธท์ เ่ี ช่อื มโยงผคู้ นไว้ด้วยกัน โดยที่ไมไ่ ดข้ นึ้ อยกู่ ับพ้ืนท่แี ละเขตการปกครอง ในทัศนะเช่นน้ีคาว่า“ชุมชน”ส่ือความหมายให้เราเห็นภาพว่า คนเราต้องพึ่งพาอาศัย ซึ่งกันและกัน ดังน้ันจึงต้องมีการรวมตัวกันอยู่เป็นกลุ่ม ในพื้นที่อาณาบริเวณหนึ่งๆ เมอ่ื กล่มุ มีขนาดใหญข่ ึน้ คือ เมอื่ มกี ารรวมตัวของบา้ นหลายๆบ้าน หรอื ครวั เรอื น หรอื หมู่บ้าน สมาชิกของสังคมมีความสัมพันธ์ซ่ึงกันและกัน เป็นรูปแบบท่ีบ่งบอก เอกลกั ษณข์ องแตล่ ะชมุ ชน ชุมชนนน้ั ไม่จาเปน็ ต้องเปน็ ไปตามทรี่ าชการกาหนด ในส่วนของการให้คานิยามหรือความหมายของชุมชนนั้น ได้มีการอธิบายและ ให้ความหมายของชุมชนทั้งในความหมายท่ีแคบและกว้าง ในหนังสือวิชาการทาง สังคมวิทยาที่เขียนโดยนักวิชาการคนไทย จะอ้างอิงถึงนักวิชาการของประเทศ ตะวันตกในการจะใหค้ วามหมายของคาว่า “ชุมชน” และมักจะกล่าวนาด้วยขอ้ ความ ว่า” ได้มีผู้ให้ความหมายเอาไว้มากมายหลากหลาย” จากน้ันก็จะยกตัวอย่างของ ความหมายในหนังสือของตน ท้ายสุด ก็จะสรุปความหมายโดยกล่าวถึงองค์ประกอบ หรือสว่ นประกอบของชุมชน เช่น ชุมชน หมายถงึ กลมุ่ ทป่ี ระกอบด้วย 1)คน 2) อยูใ่ นท่ีเดียวกนั 3)มีความสนใจ และประโยชน์ร่วมกัน 4) มีการติดต่อไปมาหาสู่กันเป็นประจา 5) มีสถาบันทางสังคม ทใี่ หป้ ระโยชนแ์ ก่ชมุ ชนได้ เช่น วดั โรงเรียน รา้ นค้าร่วมกนั (ประดษิ ฐ์, 2522 )

167 สาหรับความหมายของคาว่า“ชุมชน”ในหนังสือเล่มนี้ ผู้เขียนจะยึด ความหมายชุมชนโดย ศ.ทานอง สิงคาลวณิช ปรมาจารย์ทางส่งเสริมการเกษตรจาก หนงั สือ “ส่ิงแวดล้อมศกึ ษา: แนวทางสกู่ ารปฏบิ ัติ”(2559) ของผูเ้ ขยี น ดังน้ี ....คาว่า“ชุมชน” (Community) แปลว่า ชนกลุ่มหนึ่ง (โดย ไมค่ านงึ ถึงเชอื้ ชาติหรือศาสนา)ท่อี าศยั อย่ใู นท้องถ่ินท่มี ีสภาพ ภูมิประเทศ และส่ิงแวดล้อมเหมือนกัน มีความสนใจหรือ ความต้องการในการดารงชีวิตที่คล้ายคลึงกัน ตลอดจนอยู่ใน ข้อบังคับหรือใช้กฎเกณฑ์เดียวกัน ถ้าจะขยายความให้ชัด ก็ หมายถึง เป็นกลุ่มชนซึ่งรวมตัวกันอยู่ภายในขอบเขตท่ีมี ลักษณะทางภูมิศาสตร์เหมือนกัน อยู่ในกรอบของสังคม เดียวกัน ชนกลุ่มน้ันจะมีความสัมพันธ์ระหว่างกันในด้าน วัฒนธรรม กิจการงานประจา ตลอดจนมีความรู้สึกต่อ ผลกระทบทางใจใดๆ เช่น การป้องกันอันตราย ความเจ็บ ตาย และรับเอาความรู้สึกของหมู่คณะมาเป็นเสมือนของตน ด้วย.. ประเภทของชมุ ชน ชุมชนเป็นหน่วยพ้ืนท่ีของสังคม ชุมชนมีทั้งชุมชนชนบทระดับหมู่บ้าน และ ชุมชนเมือง เมื่อเราพูดถึงสังคมชนบท ก็หมายถึง ชุมชนในชนบท สังคมเมือง ก็ หมายถงึ ชุมชนในเมืองน่ันเอง การแบง่ ประเภทของชุมชน สามารถแบ่งได้ตามเกณฑห์ ลากหลาย ได้แก่ แบง่ ตามขนาดของประชากร ตามวิวัฒนาการของเศรษฐกิจ ตามระดับความรุนแรงของ ปัญหา ความสามารถของชุมชนในการแก้ไขปัญหา ตามระดับของการพัฒนา ตาม หน่วยการปกครอง และลักษณะความสมั พันธข์ องสมาชิกในชุมชน ในท่ีน้ีผู้เขียนเลือกประเภทการแบ่งชุมชนตามลักษณะความสัมพันธ์ของ สมาชิกในชุมชน ซึ่งแบ่งชุมชนออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ ชุมชนชนบท ชุมชนเมือง และชุมชนชานเมือง โดยสนธยา พลศรี (2550) อ้างอิงในพลอยภัทรา ตระกูลทอง เจรญิ (2557) ดงั นี้

168  ชมุ ชนชนบท มีสภาพแวดล้อมเปน็ ธรรมชาติ บา้ นเรอื นมีลักษณะการสร้าง เรียบง่าย อาศัยอยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่ คนในชุมชนมีความสนิทสนม ช่วยเหลือ เก้ือกูลกัน คนในชุมชนมีความเช่ือในส่ิงเหนือธรรมชาติ อาชีพของคนส่วนใหญ่อยู่ใน ภาคการเกษตรพงึ่ พิงธรรมชาติหรอื เก่ยี วขอ้ งกับการเกษตร  ชุมชนเมอื ง มสี ภาพแวดลอ้ มเปน็ ส่งิ ที่มนษุ ยส์ ร้างข้ึน เช่น ส่ิงก่อสรา้ ง สิ่งอานวยความสะดวกหลากหลายซง่ึ ก่อใหเ้ กิดมลพิษส่งิ แวดล้อมหลากหลาย มีผู้อยู่ อาศัยหนาแน่น อาศัยอยู่กันเป็นครอบครัวเดี่ยว คนในชุมชนต่างคนต่างอยู่มีการ แข่งขันสูง อาชีพของคนส่วนใหญ่อยู่ภาคอุตสาหกรรม หรือเก่ียวกับอุตสาหกรรม รวมถึงการคา้ และบริการ  ชุมชนชานเมอื ง มสี ภาพแวดล้อมท่อี ยรู่ ะหว่างชุมชนเมอื งและชุมชน ชนบท พบมากในปัจจุบันซึ่งเป็นผลจากการพัฒนาท้ังด้านเศรษฐกิจ สังคม การ คมนาคมขนส่ง การส่ือสาร ทาให้คนในชุมชนชนบทต้องเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต โดยเฉพาะการประกอบอาชีพจากภาคการเกษตรไปสู่ภาคอตุ สาหกรรม ลักษณะที่ตง้ั ของชุมชน ทานอง สิงคาลวณิช (2516 ) ได้อธิบายถึงลักษณะการต้ังถิ่นฐานของชุมชน ชนบทของไทย ไวใ้ นหนังสอื “เกษตรทัศน์” ไว้ว่า ลักษณะท่ีตั้งถ่ินฐานของชุมชนในชนบทนั้น อาจจัดแบ่งออกตามรูปร่างท่ีเห็น ได้ชัด เป็น 3 แบบด้วยกนั คือ 1. แบบเข้าแถว (line settlement) เป็นลักษณะการต้ังชุมชนท่ีเรียงรายตาม เส้นทางคมนาคม เช่น รมิ ถนน รมิ แมน่ า้ ลาคลอง โดยมีพ้นื ทส่ี าหรับประกอบอาชีพอยู่ ดา้ นหลงั ของชุมชน 2. แบบกระจุก (cluster settlement) เป็นลักษณะการต้ังชุมชนท่ีรวมกัน เป็นกลุ่ม หรือเป็นหย่อม โดยไม่มีการวางแผนไว้ลวงหน้า อาศัยรูปร่างลักษณะของ สภาพภมู ิประเทศและทรัพยากรเป็นทีห่ มาย เชน่ การตง้ั ชมุ ชนรอบๆแหล่งน้า การต้ัง ชุมชนอย่รู วมกันบนเนนิ เป็นต้น 3. แบบกระจัดกระจาย (scattered settlement) เป็นลักษณะการต้ังชุมชน ที่ใช้บรกิ ารสาธารณะ เช่น วัด โรงเรยี น ตลาด รา้ นคา้ เป็นแกนกลางในการตัง้ ชุมชน ปญั หาสงั คม

169 ศ.ดร.ดิเรก ฤกษ์หร่าย (2518) ได้กล่าวถึง ส่ิงที่เรียกว่า“ปัญหาสังคม”ใน หนงั สอื หลักการส่งเสริมการเกษตร ไว้ว่า “.......จะต้องประกอบด้วยลักษณะสาคัญดังต่อไปนี้ คือ ต้อง เป็นปัญหาหรือสถานการณ์ก่อให้เกิดผลเสียกระทบกระเทือน ต่อผลประโยชน์ส่วนใหญ่ของคนในสังคมหรือชุมชน อะไรที่จะ เป็นปัญหาสังคมที่แท้จริง ขึ้นอยู่กับค่านิยมของคนในสังคม ถ้า คนในสังคมส่วนใหญ่เห็นว่าเป็นเร่ืองท่ีผิด เป็นเร่ืองท่ีไม่ต้องการ สิ่งนั้นก็อาจกล่าวได้ว่าเป็นปัญหาสังคม ต้องประกอบด้วย สถานการณ์ที่คนส่วนใหญ่ในสังคมคิดและตรองแล้วว่า คนส่วน ใหญ่ในสังคมจะต้องมีการดาเนินการอย่างใดอย่างหน่ึงเพื่อทีจ่ ะ แกป้ ัญหาดงั กลา่ ว วิธีการแกไ้ ขปัญหาก็ต้องเป็นวิธกี ารที่คนส่วน ใหญ่ในสังคมเห็นชอบด้วย จึงจะเป็นการแก้ไขปัญหาท่ีแท้จริง ของสังคม” ผู้เขียนได้สรุปเน้ือหาของปัญหาสังคมของ สัญญา สัญญาภิวัฒน์ (2546) นามาเสนอ ดังนี้ ความหมายของปัญหาสังคม หมายถึง สถานการณ์อย่างหนึ่งอย่างใดที่คนจานวนมากของสังคมหน่งึ เหน็ วา่ เป็นส่ิงท่ีคุกคามต่อส่ิงท่ีมีค่าของเขา เขาจึงตกลงใจที่จะช่วยกันแก้ไข หรือกาจัด สถานการณ์น้ันให้หมดสิ้นไป โดยทีเ่ ขาเชื่อว่าเขามคี วามสามารถทีจ่ ะทาเช่นน้ันได้ องคป์ ระกอบของปัญหาสงั คม 1) สภาพการณ์ที่มีอยู่จริง เห็นได้ สัมผัสได้ สภาพการณ์นี้อาจเกิดจากคน เช่น โจรผู้ร้ายประกอบอาชญากรรม ลักขโมย จี้ ปล้น เป็นต้น เกิดจากสัตว์ เช่น เชื้อ โรคพิษสุนัขบ้า เป็นต้น เกิดจากส่ิงของ เช่น ยาเสพติด ดินเสีย น้าเสีย อากาศเสีย เสียงดัง เป็นต้น และสถานการณ์ เช่น สงคราม การจราจร การก่อการร้าย การฉ้อ ราษฎรบ์ งั หลวงหรอื คอรปั ช่ัน เป็นตน้

170 2) คุกคามส่ิงที่มีค่าของคนเป็นจานวนมาก สภาพการณ์ใดจะเป็นปัญหา สังคมได้นั้น จะต้องคุกคาม สิ่งมีค่าของคนจานวนมากในสังคมหนึ่ง (การคุกคาม หมายถึง การก่อให้เกิดอันตราย หรือแม้ขู่ว่าจะก่อให้เกิดอันตราย สิ่งมีค่า อาจเป็น สิ่งของ เช่น เงินทอง ทรัพย์สมบัติ ชีวิตของเรา หรือคนที่รัก จานวนมาก หมายถึง จานวนพัน หม่ืน แสน หรือล้าน ถ้าเป็นคนสามัญ แต่หากเป็นบุคคลสาคัญ เช่น ขา้ ราชการ จานวน 100 คน ก็อาจถอื ได้วา่ มาก) 3) ตกลงร่วมมือกันแก้ไข แม้สถานการณ์จะคุกคามสิ่งมีค่าของคนจานวน มาก ถ้ายังไม่ตกลงใจร่วมมือกันแก้ไขหรือกาจัดสถานการณ์นั้นให้หมดสิ้นไป ก็ยังไม่ ถือวา่ เป็นปัญหาสงั คม 4) ความสามารถในการแก้ไขปัญหา ก่อนที่จะมีการตกลงใจว่าอะไรเป็น ปัญหาสังคมน้ัน ต้องพิจารณาก่อนว่า มีความรู้ความสามารถท่ีจะทาได้ (technically capable) เพราะสถานการณ์บางอย่าง แม้คุกคามชีวิตเขาอย่างร้ายแรง แต่ก็ไม่ถือ เป็นปัญหาสังคม เช่น น้าท่วม แผ่นดินไหว แผ่นดินถล่ม ภูเขาไฟระเบิด เป็นต้น ส่ิงท่ี จะเป็นปัญหาสังคม จึงต้องเป็นเร่ืองท่ีคนกลุ่มน้ัน สังคมนั้น สามารถแก้ไขได้หรืออยู่ ในวิสัยจะแกไ้ ขได้ ประเภทของปัญหาสงั คมของมนษุ ย์ แบ่งปัญหาออกเป็น 4 ประเภท 1) ปัญหาทางเศรษฐกิจ ได้แก่ ภาวการณ์ทางเศรษฐกิจที่คนในสังคมเป็น จานวนมากรู้สึกว่า ถูกคุกคามชีวิตและต้องการจะแก้ไขให้หมดสิ้นไป หรืออย่างน้อย ให้บรรเทาเบาบางลง เช่น ความยากจน การขนส่ง อาชีพต่างๆ ราคาส่ิงของแพง เงิน เฟอ้ เงินฝืด เศรษฐกิจตกตา่ เป็นต้น 2) ปัญหาทางการเมือง ได้แก่ ภาวการณ์ทางการเมืองที่คนในสังคมเป็น จานวนมาก รู้สึกว่าถูกคุกคามชีวิตและต้องการจะแก้ไขให้หมดสิ้นไปหรือเบาบางลง เพราะเชื่อว่าพวกเขาสามารถทาได้ เช่น การฉ้อราษฎร์บังหลวง หรือการทุจริต คอรัปชั่น ซ่ึงอาจแบ่งย่อยเป็นการโกงรูปแบบต่างๆ เช่น การเบียดบังเวลาราชการ การเลน่ พรรคเล่นพวก การรบั สนิ บน เป็นตน้ 3) ปัญหาทางสังคม ได้แก่ ภาวการณ์เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลท่ี คนในสังคมจานวนมาก รู้สึกว่าคุกคามตนหรือส่ิงมีค่าของตน จึงต้องการแก้ไข โดย

171 เหน็ ว่าการกระทาเช่นนั้นอย่ใู นวสิ ัยของกลมุ่ หรอื สังคมของตนเองจะทาได้ เชน่ ปญั หา การศึกษา ปัญหาอนามัย ปัญหาสาธารณสุข ปัญหาวัยรุ่น ปัญหายาเสพติด และ ปัญหาประชากร เปน็ ต้น 4) ปัญหาทางกายภาพ ได้แก่ สภาวการณ์ทางกายภาพรอบตัวมนุษย์ ท่ีคน จานวนมากรู้สึกว่าถูกคุกคามชีวิตหรือส่ิงมีค่าของตน และต้องการแก้ไขให้หมดสิ้นไป หรอื ลดนอ้ ยถอยลง โดยเชอ่ื วา่ พวกตนมีความร้คู วามสามารถท่ีจะแกไ้ ขได้ เช่น ปญั หา อากาศเสีย น้าเสยี ดินเสีย เสยี งดงั เป็นตน้ แนวการเสนอปญั หาสงั คม เพือ่ ใหเ้ กดิ ความชัดเจน แต่ละปัญหาแยกอธิบายเป็น 5 หวั ข้อดงั น้ี 1) ความหมาย: ปัญหาน้ันคืออะไร เรื่องน้ันจะเป็นปัญหาได้จะต้องมีเกณฑ์ อย่างไร 2) สาเหตุ: สาเหตสุ าคญั ๆ ท่ีทาใหเ้ กดิ ปัญหานั้นขึ้น 3) สภาพการณ์: หมายถึง การแสดงข้อมูล ความรู้ ประวัติความเป็นมาของ ปญั หาน้นั เพือ่ ให้เข้าใจเน้อื หาสาระสาคญั ของปญั หา 4) ผลกระทบ: หัวข้อน้ีแสดงให้เห็นว่า ปัญหานั้นก่อผลกระทบต่อสังคม อย่างไร ผลกระทบอาจมีได้ท้ังบวกและลบต่อคนแต่ละคน หรือกลุ่มคนในสังคม ผลกระทบทางเศรษฐกิจการเมอื ง สังคม หรือผลกระทบระยะส้นั ระยะยาว เป็นต้น 5). แนวทางการจัดการกับปัญหา: อาจเป็นท้ังการป้องกันไม่ให้ปัญหาเกิดข้ึน กับการแก้ไขปัญหาท่ีเกิดขึ้นแล้วหมดไปหรือทุเลาเบาบางลง การจัดการทาได้หลาย รูปแบบ ทัง้ ระยะส้ัน ระยะยาว ทง้ั การปฏริ ปู หรอื ปฏวิ ตั ิ ท้งั เปน็ ระบบ

172 กลมุ่ สงั คม ความหมายของกลุม่ สังคม ความเข้าใจเก่ียวกับกล่มุ สังคมจะช่วยให้สามารถวิเคราะหก์ ารมีชวี ติ อยู่ ร่วมกันของบคุ คลในสงั คมไดช้ ัดเจน เม่ือแต่ละปัจเจกบคุ คล หรือคนเราแต่ละคนมารวมกันตง้ั แต่ 2 คนข้ึนไป ก็จะ เกิดเป็น“กลุ่มคน”เกิดข้ึน และเมื่อกลุ่มคนรวมกันใหญ่ขึ้น ก็กลายเป็น “สังคม” ข้ึนมา ปัจจัยท่ีสาคัญที่สุดที่บังคับให้คนเราต้องมีการรวมกลุ่มและขยายข้ึนเป็นสังคม นน้ั ก็เพอ่ื สนองความตอ้ งการขน้ั พนื้ ฐานของมนษุ ย์ ดงั นนั้ กลมุ่ สงั คม จงึ หมายถึง การทบี่ ุคคลต้งั แต่ 2 คนข้นึ ไปมารวมกนั การ รวมกันน้ันไม่เพียงแต่มารวมกันเฉยๆ แต่มุ่งให้ต่างคนต่างได้รับความพอใจ ต่างมี ความเข้าใจในวัตถุประสงค์ของการมารวมกัน มีความปรารถนาร่วมกันในอันท่ีจะ แก้ไขปัญหาต่างๆ ความสัมพันธ์ของสมาชิกมีปฏิสัมพันธ์ซ่ึงกันและกันมากกว่าคน ภายนอกกลุม่ ท่ีกล่าวมาแล้วนั้นเป็นการพูดถึง“กลุ่ม” ในความหมายอย่างกว้างๆ สาหรับ นักสังคมวิทยาชนบท จะเจาะพูดถึงกลุ่มใน 2 ประเภท โดยประเภทแรก จาแนกตาม ลักษณะความสัมพนั ธ์ของสมาชิก ได้แก่ กลุ่มปฐมภูมิ (primary group) กับกลุ่มทตุ ิย ภูมิ (secondary group) ส่วนประเภทที่สองจาแนกตามโครงสร้าง ได้แก่ กลุ่มเป็น ทางการ (formal group) และกลุ่มไม่เป็นทางการ (informal group) ซ่ึงชุมชน ชนบททุกชมุ ชนจะมีกลมุ่ คน 2 ประเภทนอี้ ย่เู สมอ (ประดิษฐ์, 2522:เสาวคนธ,์ 2530) ประเภทของกล่มุ ทางสังคม กลุ่มจาแนกตามความสัมพันธ์ของสมาชิก 1. กลุ่มปฐมภูมิ: ความสัมพันธ์แบบปฐมภูมิ เป็นความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิด ของสมาชิก อันเป็นความสัมพันธ์ส่วนบุคคลที่ไม่เป็นทางการ ดังนั้นกลุ่มสังคม (กลุ่ม เพื่อนสนทิ ครอบครวั ) จงึ จดั เป็นกลุ่มปฐมภูมิท่ีให้ความร้สู ึกเปน็ “เรา\"ระหว่างภายใน กลุ่ม กลุ่มปฐมภูมิน้ี เรียกอีกอย่างว่า“กลุ่มใน”เพราะทุกคนรู้จักคุ้นเคยกันดี มีการ ติดต่อและพบปะกันเสมอ มีการช่วยเหลอื และยอมรว่ มมือกนั ดี และดาเนินไปอยา่ งไม่ เปน็ ทางการ

173 กลุ่มปฐมภูมิน้ีเป็นกลุ่มท่ีผู้วางโครงการจะต้องสนใจ เพราะจะทาให้มองเห็น แนวทางในการสร้างมนุษยสัมพันธ์กับชุมชนได้ชัดเจน หรืออาจจะพูดได้ว่าเป็น สะพานนาไปสู่ความเป็น “คนใน”ของชุมชนนั่นเอง กลุ่มปฐมภูมิน้ีจะเป็นกลุ่มที่มี ขนาดเลก็ โดยมากไมเ่ กิน 15 คน(จรี พรรณ, 2547)หรือระหวา่ ง 20-30 คน (ประดิษฐ์ , 2522) สมาชิกมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด และเหนียวแน่น ซาบซ้ึง และมี ลักษณะเปน็ กลมุ่ ถาวร เชน่ กลุ่มครอบครวั กลมุ่ อาชีพ กลมุ่ คณะกรรมการวดั ฯลฯ ในกลุ่มปฐมภูมินี้ สมาชิกจะมีความรู้สึกรับรู้ต่อสมาชิกอ่ืนๆที่อยู่ร่วมกัน และ ให้ความสาคัญต่อสมาชิกน้ันๆตามบทบาทและฐานะ การจากไปของสมาชิกเพียงคน เดยี ว อาจจะมีผลกระทบกระเทอื นตอ่ ผู้ทเ่ี หลืออยู่ เชน่ ในกลมุ่ คณะกรรมการหมู่บ้าน ซ่ึงกาลังอภิปรายประเด็นปัญหาชุมชนอย่างเข้มแข็ง ถ้าหากเกิดเหตุการณ์ว่า ผู้ใหญ่บ้านเดินลุกออกไปจากวงอภิปรายอย่างไม่พอใจ อาจจะทาให้ท่ีประชุมชะงัก และเปลี่ยนแนวโนม้ ของแนวทางการแกป้ ัญหาไปได้ 2.กลุ่มทตุ ยิ ภูมิ: กลุ่มน้ีเรยี กอีกอยา่ งว่า“กลมุ่ นอก”เปน็ กลมุ่ ท่มี ขี นาดใหญ่กว่า กลุ่มปฐมภูมิ (กลุ่มใน) สมาชิกขาดความเป็นกันเอง ไม่รู้จักคุ้นเคยกันเป็นการส่วนตัว การพบปะระหว่างสมาชิกมีน้อย กิจการทุกอย่างดาเนินอย่างเป็นทางการ มีช่ือและ สานักงานของกลมุ่ มีเจา้ หนา้ ที่ดาเนินงานอย่างเป็นทางการด้วย

174 ตอ่ ไปนจี้ ะขอสรุปในแบบตาราง เพ่ือทาใหเ้ ห็นชดั เจนขนึ้ กลุ่มปฐมภมู ิ กลุ่มทตุ ยิ ภมู ิ กลุ่มปฐมภูมิหรือกลุ่มข้ันปฐมหรือ กลุ่มทุติยภูมิหรือกลุ่มขั้นมัธยมหรือ กลุ่มใน (primary group) เป็นกลุ่มเล็กๆ กลุ่มนอก เป็นกลุ่มท่ีมีลักษณะตรงข้าม ท่ีให้ความรู้สึกเป็นเรา ประกอบด้วย กับกลุ่มปฐมภูมิ คือ มีขนาดใหญ่กว่า สมาชิกไม่เกิน 15 คน หรือระหว่าง 20- สมาชิกไม่ค้นุ เคยกนั เป็นการส่วนตัว ขาด 30 คน ทุกคนรู้จักคนุ้ เคยกนั ดี ใช้เวลาใน ความสนทิ สนม การตดิ ต่อพบปะระหวา่ ง การคบหากันนาน มีการติดต่อพบปะกัน สมาชิกมีน้อย มีสานักงานและเจ้าหน้าท่ี เสมอ มีการช่วยเหลือและร่วมมือกันดี ดาเนินงานของกลุ่มเป็นทางการ การ และดาเนินการไปอย่างไม่เป็นทางการ ตดั สินใจของกลุม่ เปน็ ไปตามเหตุผลและ ก า ร ตั ด สิ น ใ จ ข อ ง ก ลุ่ ม เ ป็ น ไ ป ต า ม คานงึ ถงึ ผลประโยชน์เป็นหลัก ขนบธรรมเนียมประเพณี คานึงถงึ อารมณ์ เปน็ หลัก กลุ่มจาแนกตามโครงสรา้ ง นอกจากกลมุ่ ปฐมภมู แิ ละกลุ่มทตุ ิยภูมิแลว้ ยังมีอีก 2 ประเภทท่ีนักสังคมวิทยา กล่าวถึง คือกลุ่มที่เป็นทางการ(formal group) และกลุ่มที่ไม่เป็นทางการ(informal group) ซ่ึงมีลักษณะคล้ายกับกลุ่มปฐมภูมิ และกลุ่มทุติยภูมิมาก หรือเกือบจะเป็น อย่างเดียวกัน บางคร้ังอาจเรียก กลุ่มปฐมภูมิแทน informal group และ กลุ่มทุติย ภูมิแทน formal group (ประดิษฐ,์ 2522) ความเปน็ ทางการและไม่เปน็ ทางการ ข้ึนอยูก่ บั ระดบั การกาหนดบทบาทและ กฎเกณฑ์ เพื่อควบคุมพฤติกรรมของสมาชิกอย่างมีแบบแผนหรือเป็นทางการ ลักษณะของ formal group นั้นจะมีชื่อกลุ่มท่ีแน่นอน มีเจ้าหน้าท่ีดาเนินงาน มี วัตถุประสงค์ที่ถูกบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร มีกฎข้อบังคับ มีสถานท่ีดาเนิน กิจการท่ีแน่นอน ส่วน informal group น้ัน ในบางครั้งอาจจะมีชื่อของตนเอง แต่ไม่ มีเจ้าหน้าที่ดาเนินการตายตัว ไม่มีวัตถุประสงค์ท่ีตราขึ้นเป็นลายลักษณ์อักษร ไม่มี สถานทด่ี าเนินการที่แน่นอน

175 กลุม่ เป็นทางการ กลมุ่ ไม่เป็นทางการ กลุม่ ท่เี ป็นทางการหรอื กลุ่มนอก กลมุ่ ไม่เป็นทางการหรอื กลุ่มใน (informal (formal group) หมายถึง กลมุ่ ที่ถูก group) คอื กลมุ่ ท่ีมีการดาเนนิ งานภายใน จดั ตงั้ ด้วยโครงสร้างทีเ่ ป็นระบบและ กลุม่ ไม่มกี ารให้คณุ ให้โทษอย่างเอาเปน็ เปน็ ทางการ โดยมกี ฎระเบียบขอ้ บังคับ เอาตาย อย่างเป็นทางการ เป็นกลุ่มท่ี กาหนดไวเ้ ป็นหลกั ปฏบิ ตั ิแนน่ อน โดยท่ี ประกอบด้วยสมาชกิ ทม่ี กี ารตดิ ตอ่ พบปะ ไมม่ กี ารจากดั หรือเจาะจงเฉพาะผทู้ ี่ กันเสมอ มีการช่วยเหลือและร่วมมอื กันดี คนุ้ เคยเท่าน้นั ซึง่ สมาชกิ ไม่ต้องรู้จกั ซึง่ มีที่ติดตอ่ รวมตัวกันอยา่ งหลวมๆ ไมม่ ี คนุ้ เคยกันเป็นการส่วนตวั ผูใ้ ดก็ตามทมี่ ี กฎเกณฑท์ ี่กาหนดไวอ้ ย่างเปน็ ทางการที่ ความสนใจใน นโยบาย วัตถปุ ระสงค์ แนช่ ดั คอื มีการรวมตัวเน่ืองมาจากการ วธิ กี ารดาเนินงาน มีคุณสมบัตถิ กู ตอ้ ง ดารงชีวิตอย่ใู นสภาพแวดลอ้ มทีค่ ล้ายคลึง และยนิ ดีปฏบิ ตั ิตามระเบยี บขอ้ บงั คับ กนั ตลอดจนยอมรับนบั ถือ ความรู้สกึ นึก แล้วก็เข้ารว่ มได้ และมกี ารจดทะเบียน คดิ ของกันและกนั เพื่อความสงบเรยี บร้อย เป็น นิติบคุ คล ดว้ ยตัวบทกฎหมาย มี ของหม่คู ณะ สมาชิกมคี วามสนใจ และ ชื่อ มีสานักงาน และเจ้าหนา้ ที่ ความรู้สกึ ในลักษณะปฐมภูมริ ่วมกัน เช่น ดาเนินการอย่างเป็นทางการ เชน่ สภา กลมุ่ เพ่ือนเลน่ กลุม่ ผู้สูงอายุ กลมุ่ จักสาน ตาบล กลมุ่ เกษตรกร กลุ่มอาสาสมัคร กลุ่มอาชีพเสรมิ กลุ่มสันทนาการ ฯลฯ สาธารณสขุ ประจาหมู่บ้าน(อสม) กลุ่ม อาสาสมคั รพิทักษท์ รพั ยากรธรรมชาติ และสง่ิ แวดล้อมหมูบ่ ้าน(ทสม.) กลมุ่ ออมทรัพย์ กล่มุ สตรี กล่มุ พฒั นาชุมชน คณะกรรมการหมู่บ้าน ฯลฯ

176 ผู้นา ในกลุ่มสงั คมนั้นจะต้องมที ั้งผนู้ าและผูต้ าม แตผ่ ู้นาจะเป็นบคุ คลซ่ึงมี บุคลิกภาพ คุณลักษณะ ความสามารถที่ดีเด่นในสถานการณ์ใดสถานการณ์หน่ึงหรอื ในเรื่องใดเร่ืองหน่ึง มีความรู้ความสามารถที่จะเรียกร้องความศรัทธาและการยอมรบั จากผู้อื่น สามารถท่ีจะนาหรือดึงดูดสมาชิกหรือบุคคลอ่ืนให้คล้อยตาม และสามารถ นากล่มุ ปฏบิ ตั หิ นา้ ทไ่ี ปส่จู ดุ หมายปลายทางได้สาเร็จ(จีรพรรณ, 2547) นอกจากน้ี จีรพรรณ กาญจนะจิตรา (2547) อ้างถึง โดนลั ด์ อาร์ เฟสเลอร์ วา่ ผู้นาน้ัน คือ บุคคลซ่ึงมีความสามารถที่จะรู้ว่า“จะทาอะไร ทาเม่ือไหร่ ทาอย่างไร และทาที่ไหน” ได้ถูกต้องตามกาลเทศะ และสามารถใช้ความสามารถของตนมาช่วย พัฒนากลุ่มให้สามารถปฏิบตั ิงานเป็นผลสาเร็จตามความม่งุ หมายของกลุ่มได้ ผู้นานั้น มีทั้งผู้นาแบบเป็นทางการ คือ เป็นตาแหน่งที่ได้รับเลือกต้ังโดยตรง จากประชาชนและทางราชการได้ออกหนังสือแต่งต้ังไว้เป็นหลักฐาน เช่น เป็น คณะกรรมการหมู่บ้าน คณะกรรมการบริหารองค์การบริหารส่วนตาบล กานัน ผู้ใหญ่บ้าน ผชู้ ว่ ยผใู้ หญ่บา้ น เปน็ ต้น ผู้นาอีกแบบหนึ่ง เป็นผู้นาแบบไม่เป็นทางการ คือ ผู้นาท่ีไม่ได้มีการเลือกต้ัง และแต่งต้ังดังกล่าวข้างต้น แต่เป็นบุคคลที่ประชาชนในชุมชนในกลุ่มน้ัน ยกย่อง สรรเสริญ ผู้นาแบบไม่เป็นทางการ เป็นสมาชิกคนใดคนหนึ่งในกลุ่มซึ่งช่วยให้กลุ่ม ดาเนินไปด้วยดีในสถานการณ์อันใดอันหน่ึง สมาชิกทุกคนมีโอกาสจะเป็นผู้นาของ กลุ่มได้ ถ้าสามารถช่วยแก้ปัญหาของกลุ่มได้เมื่อสถานการณ์มาถึง ตัวอย่างผู้นาแบบ ไม่เป็นทางการ เช่น ผู้นากลุ่มอาชีพ ผู้นากลุ่มสันทนาการ ผู้นากลุ่มกิจกรรมทาง ศาสนา ผนู้ ากจิ การการพัฒนาชุมชน เปน็ ตน้ โดยทั่วไปในชุมชนชนบท จะประกอบด้วยผู้นาอย่างเป็นทางการของทาง ราชการ ได้แก่ กานัน ผู้ใหญ่บ้าน(ผู้นาทางการ) และผู้นาชุมชนทางสาขาเกษตรท่ี ชาวบ้านยกย่องขึ้นมา รวมทั้งสาขาทางด้านอ่ืนๆด้วย(ผู้นาไม่เป็นทางการ ) ผู้นาจะมี อิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในกลุ่มชุมชนนั้น ๆ ดังน้ันหากมีนวัตกรรม (ความคิดใหม่/วิธีการใหม่ๆ)แพร่เข้ามาในกลุ่ม ถ้าหากได้รับการยอมรับจากผู้นา ก็

177 จะทาให้แพร่กระจายไปยังคนในกลุ่มและขยายออกไปอย่างท่ัวถงึ แต่ถ้าหากว่าไมไ่ ด้ รับการยอมรับจากผู้นา การเผยแพร่นวัตกรรมนั้น ก็เป็นไปได้ยากทีเดียว (โสภณ, 2562) วฒั นธรรม วัฒนธรรมและสังคม เป็นของคู่กัน เกิดข้ึนและวิวัฒนาการไปพร้อมๆกัน วัฒนธรรมไม่ใช่คน ไม่ใช่กลุ่มคน แต่เป็นวิถีชีวิตของคนของกลุ่มคนนั้นๆ ส่วนสังคม เป็นคนที่รวมกันอยู่เป็นกลุ่มด้วยกันบริเวณหน่ึงเป็นระยะเวลานานที่ถือปฏิบัติตาม วัฒนธรรมของสังคมนั้น สังคมเป็นชุมชนใหญ่ ประกอบข้ึนจากครอบครัวเป็นจานวน มาก มีวัฒนธรรมเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง ซึ่งสะท้อนถึงลักษณะของคนในสังคมนั้น สังคมและวัฒนธรรมทั้งหลายในโลกน้ีย่อมมอี ะไรท่ีเหมือนกันและแตกต่างกัน ซึ่งเป็น เชน่ นกี้ เ็ พราะสังคมมวี ฒั นธรรมของตนเองเปน็ เอกลกั ษณ์น่ันเอง ความหมายของวัฒนธรรม ความหมายของคาวา่ วัฒนธรรมนี้ ถึงแมใ้ นทางวิชาการจะได้มกี ารใหค้ านิยาม ไว้แตกต่างกัน เน่ืองมาจากความเข้าใจที่แตกต่างกันไปทางพ้ืนฐาน แนวคิด ทฤษฎี หรือใช้เกณฑ์ในการประเมินการประพฤติ หรือการปฏิบัติของคนในสังคม แต่อย่างไร ก็ตาม เราจะพบข้อความร่วมซึ่งเหมือนกนั น่ันก็คือ ความเป็นแบบแผน ความเป็นวิถี ชีวิตของคนในสังคมนั้นๆ และสืบทอดกันมาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน จากคนชั่ว อายุหนึ่งไปยังอีกช่วงอายุหน่ึง สาเหตุท่ีเป็นเช่นนี้ก็อาจกล่าวได้ว่า เพราะมีพ้ืนฐาน จากการใชค้ วามหมายตามความหมายของนกั มนุษยวทิ ยาเปน็ หลัดคิดนัน่ เอง โดยที่ กระทรวงวฒั นธรรม ( 2552) ไดอ้ ธิบายคาว่า “วัฒนธรรม”เอาไว้วา่ “.....วัฒนธรรม คือ วิถีชวี ิตซง่ึ มที ้ังทเ่ี ป็นนามธรรมและรูปธรรมเปน็ ส่งิ ทจี่ ับต้องมองเห็นได้ วฒั นธรรมทีเ่ ป็นรูปธรรมจะปรากฏอยใู่ น รูปของวัตถุ สว่ นวฒั นธรรมทเี่ ปน็ นามธรรม คอื พฤติกรรม และท่ี จบั ตอ้ งหรอื ยากท่ีจะมองเหน็ ได้ในทันที ได้แก่ ความรู้สึก คณุ ค่า ปรชั ญา ความเชือ่ และส่งิ ศกั ดิส์ ิทธิ์ ซึ่งท้งั 2 ส่วนจะปรากฏอยใู่ นวิถี ชวี ิตของคนในสังคม....”

178 ประเภทของวัฒนธรรม กรมการวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม ซึ่งเป็นหน่วยงานรับผิดชอบ ได้แบ่ง วัฒนธรรมออกเป็น 4 สาขาในปี พ.ศ.2485 และได้ขยายความในรายละเอียดของแต่ ละสาขาใหเ้ ห็นเปน็ รปู ธรรมมากขึน้ ในปี พ.ศ.2496 คอื (กรมการวัฒนธรรม, 2496) 1. คติธรรม คือ วัฒนธรรมท่ีเกี่ยวกับหลักในการดาเนินชีวิต ส่วนใหญ่เป็น เร่ืองจิตใจ ได้มาจากหลักคิดทางศาสนา ได้แก่ ขยันหม่ันเพียร ออมประหยัด เอ้ือเฟ้ือเผ่ือแผ่และเสียสละ กตัญญูกตเวที ขออภัย ให้อภัย ทาผิดรับผิด สามัคคี ซ่ือสัตย์สุจริตและรักษาวาจา การเพียร ตรงต่อเวลา รู้จักรักชาติ เกียรติ วินัย กล้า หาญ รู้จักรับผิดชอบ เมตตากรุณา สุภาพอ่อนโยนไม่หยาบคาย ใช้ปัญญาในทางท่ถี ูก ความระมัดระวงั ไมป่ ระมาท รู้จักอดทนหนกั เอาเบาสู้ 2.เนติธรรม คือ วัฒนธรรมทางกฎหมาย ซึ่งหมายรวมถึงระเบียบประเพณีท่ี ยอมรับนับถือว่ามีความสาคัญพอๆกับกฎหมาย ได้แก่ ศึกษาให้รู้จักสิทธิและหน้าท่ี เคารพต่อกฎหมายของบ้านเมือง ใช้สิทธิตามกฎหมาย ศึกษาให้รู้กฎหมาย ใช้ กฎหมายโดยสุจริต เชื่อฟังและปฏิบัติตามคาส่ังอันชอบธรรม ให้คาแนะนาแก่ญาติ มิตรและเพ่ือนบ้าน ความผิดเพราะไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย การปฏิบัติตามกฎหมาย ยอ่ มปลอดภัยเสมอ เคารพประเพณีที่ดงี าม 3.สหธรรม คือ วัฒนธรรมทางสังคม ซ่ึงหมายถึงคุณธรรมต่างๆ ที่ทาให้คนอยู่ ร่วมกันอย่างผาสุก ได้แก่ มารยาทในการเป็นแขก มารยาทในการต้อนรับแขก มารยาทในโต๊ะอาหาร การใช้บัตร การไปงานมงคลและงานศพ มารยาทในการ โต้ตอบจดหมาย มารยาทในการขับรถ เก็บตั๋ว ตรวจตั๋ว มารยาทในการเดินทาง มารยาทในการมหรสพ รู้จักแสดงความเคารพสถานที่และสิ่งแทนท่ีควรเคารพ พยายามทาตนให้เข้าไหนเขา้ ได้ 4.วัตถุธรรม คือ วฒั นธรรมทางวัตถุ ไดแ้ ก่ รู้จักกินดี รู้จักอยู่ดี รจู้ กั ทาเครื่องใช้ เล็กๆน้อยๆได้ ปลูกบ้านให้ถูกสุขลักษณะ รู้จักรักษาความสะอาด รู้จักแต่งกายให้ เรียบร้อย รู้จักรักษาโบราณวัตถุ ช่วยเก็บรักษาสาธารณสมบัติ รู้จักสร้างเครื่องมือ เครือ่ งใช้ รจู้ กั สรา้ งความเจริญทางวัตถุ พยายามประกอบงานอาชีพ

179 ป่ิน มุทุกัณฑ์ (2526) ได้อธิบายไว้ในหนังสือ“บันทึกธรรม”ซึ่งท่านได้อธิบาย โดยใช้ภาษาท่ีทาใหเ้ ขา้ ใจได้งา่ ย ดังนี้ 1.คติธรรม คือ ธรรมประจาใจอันเป็นหลักดาเนินชีวิตของแต่ละคนให้ เหมาะสมและถูกต้อง เช่น เป็นคนรักดี เกลียดชั่ว กลัวผิด ซ่ือสัตย์สุจิต มั่นคง และ คุณธรรมประจาใจทั้งหลายท่ีเป็นประดุจกัลยาณมิตรคอยสะกิดมิให้เราเชือนแชออก นอกทาง มีแต่เร่งเร้าให้ทาความดียิ่งๆขึ้น 2.เนติธรรม ได้แก่ วัฒนธรรมทางแบบแผน ซ่ึงหมายถึง กฎหมาย วินัย ขนบธรรมเนียม จารีตประเพณี อันเป็นเครื่องประกันสวัสดิภาพของพลเมือง และขัด เกลาอบรมจิตใจของประชาชนให้ดีขนึ้ 3. วัตถุธรรม ได้แก่ วัฒนธรรมทางวัตถุ ซึ่งหมายถึง ความเป็นระเบียบและ ความเหมาะสมแห่งการกินอยู่หลับนอน การจัดบ้านเรือน การทางาน ตลอดจนการ แตง่ กายและศลิ ปกรรม นนั่ เอง 4. สหธรรม ได้แก่ วัฒนธรรมทางสังคม ซึ่งหมายถึง มารยาทแห่งการติดต่อ กับบุคคลอื่น และการเข้าสู่สาธารณสังคมทั่วไป ตลอดจนการขับขี่หรือโดยสาร ยวดยานพาหนะเปน็ ต้น ประเพณี ประเพณี ซึง่ เปน็ วฒั นธรรมประเภทเนติธรรมนนั้ เปน็ คาทีค่ ้นุ เคยกนั เป็นอย่าง ดี แต่เมื่อซักถามถึงความเข้าใจกันอย่างจริงจัง ก็พบว่า มีความสับสนกันอยู่มาก ทีเดียว ดังน้ันในหนังสือเล่มนี้ จึงจะนาเอาคาว่าประเพณีน้ีมาขยายความเพื่อให้เกิด ความชัดเจน ทัง้ นจ้ี ะขอยกเอาเรอ่ื งประเพณีท่ีเขียนโดย สมใจ ใจดี และยรรยง ศรีวิริยาภรณ์(2538) ในหนังสือ “ประเพณีและวัฒนธรรม” มาเรียบเรียงเขียนขึ้น ดังน้ี ประเพณี คือ ความประพฤติท่ีคนส่วนใหญ่ปฏิบัติสืบทอดกันมาจนเป็น แบบอย่างเดียวกัน เป็นระเบียบแบบแผนท่ีเห็นว่าถูกต้อง หรือเป็นที่ยอมรับของคน สว่ นใหญ่ และมกี ารปฏบิ ตั ิสบื ตอ่ ๆกนั มา ประเพณี มีอยู่ด้วยกัน 3 อย่าง ได้แก่ จารีตประเพณี ขนบประเพณี และ ธรรมเนียมประเพณี

180 1. จารีตประเพณี เป็นประเพณีที่เกี่ยวกับศีลธรรม และสวัสดิภาพของสังคม ส่วนรวม มกี ารบงั คับให้กระทา ถา้ ไมท่ ากถ็ อื ว่าผิดหรอื ชั่ว ต้องมกี ารลงโทษ 2. ขนบประเพณี เป็นประเพณีท่ีได้มีระเบียบแบบแผนวางไว้โดยตรง หรือ โดยอ้อม โดยตรง คอื มีระเบยี บกฎเกณฑพ์ ิธีต่างๆ กาหนดไว้ชดั เจน เช่น ไหวค้ รูตอ้ งทา อย่างไร ส่วนโดยอ้อม เป็นประเพณีที่รู้จักกันโดยท่ัวไป ไม่ได้วางไว้แน่นอน แต่ที่ ปฏิบัติได้เพราะที่มีการบอกเล่าสืบทอดต่อกันมา เช่น แห่นางแมว หรือการจุดบ้องไฟ ของภาคอีสาน ขนบประเพณีจึงเป็นเรื่องท่ีปฏิบัติต่อๆกันมา จนเป็นเร่ืองที่ถูกกาหนดให้ว่า ต้องทาอย่างไรจึงจะถูกต้อง แต่เปล่ียนแปลงได้ตามกาลเวลา เช่น การแต่งงาน ใน ปัจจุบันไม่นิยมจัดขันหมากแบบมีพิธีรีตองมากอย่างแต่ก่อน ทั้งนี้เพ่ือประหยัดท้ัง เวลาและคา่ ใชจ้ า่ ย 3. ธรรมเนียมประเพณี เป็นประเพณีที่ไม่มีระเบียบแบบแผนเหมือน “ขนบประเพณี” ไมม่ ีผดิ ถูก เหมือน “จารตี ประเพณี” เป็นเรอ่ื งทปี่ ฏิบัติกนั มาจนเคย ชิน จนไมร่ สู้ กึ เปน็ ภาระหน้าที่ ทาผดิ บา้ งก็ไม่ใชเ่ รื่องร้ายแรงอะไร นอกจากเหน็ วา่ เป็น คนไม่มมี ารยาท ไม่ร้จู ักกาลเทศะ ประเพณีเปลี่ยนได้ตามกาลเวลา เพื่อให้เข้ากับสังคมท่ีเปลี่ยนแปลงไป จารีต ประเพณี ขนบประเพณี อาจกลายเป็น “ธรรมเนียมประเพณี” ได้ คือ ไม่มีผิดถูก เหมือน “จารีตประเพณ”ี และไมม่ ีระเบียบแบบแผนเหมือน “ขนบประเพณ”ี สงั คมไทยเรามีงานประเพณีตา่ งๆตลอดทง้ั ปี ที่นยิ มทากันในปัจจุบนั เช่น 1. ประเพณีท่ที ากนั ท่วั ไป เชน่ สงกรานต์ ลอยกระทง เป็นตน้ 2. ประเพณีเก่ียวเน่ืองกบั พทุ ธศาสนา เช่น งานบวช เขา้ พรรษา ออก พรรษา ทอดกฐิน วนั มาฆบชู า วสิ าขะบชู า อาสาบูชา ทอดผา้ ปา่ เป็นต้น 3. ประเพณสี าหรับตัวบุคคล เช่น การทาบุญวันเกิด พิธีทาบุญข้นึ บ้าน ใหม่ พิธสี มรส พิธีงานศพ เป็นต้น

181 สรปุ องคค์ วามรู้ของศาสตร์ องคค์ วามรทู้ างสังคมวทิ ยาชนบท ทาให้ตระหนกั รู้ (aware) วา่ .... ความหมายของชุมชนท่ีเหมาะสม ได้แก่ ความหมายท่ีให้ไว้โดย ศ.ทานอง สงิ คาลวนชิ ประเภทของชุมชน มี 3 ประเภท ได้แก่ ชุมชนชนบท ชุมชนเมือง และชุมชน ชานเมอื ง และลกั ษณะที่ตงั้ แบง่ ตามรปู แบบได้ 3 แบบ 1) รวมกนั เปน็ กระจุกหรือเป็น กลมุ่ 2) อยูเ่ รียงรายเปน็ แนวยาว เช่น ตามแนวแม่นา้ ลาคลอง 3) อยู่กระจดั กระจาย ปัญหาสังคมมี 4 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) สภาพการณ์ที๋มีอยู่จริง เห็น ได้ สัมผัสได้ 2)คุกคามสิ่งที่มีค่าของคนจานวนมาก 3) ตกลงร่วมมือกันแก้ไข และ4) ความสามารถในการแก้ไขปัญหา ประเภทของปัญหาสังคมมนษุ ย์มี 4 ประเภท คอื 1) ปัญหาทางเศรษฐกิจ 2)ปัญหาทางการเมือง 3)ปัญหาทางสังคม 4) ปัญหาทางกายภาพ เช่น ปัญหาอากาศ เสยี นา้ เสีย เสียงดัง เป็นต้น การเสนอปัญหาสังคม ต้องแยกอธิบายเป็น 5 ประเด็น คือ 1) ความหมาย 2) สาเหตุ 3)สภาพการณ์ 4) ผลกระทบ 5) แนวทางการจดั การปญั หา กลุ่มจาแนกออกเป็นประเภทตามลักษณะ ได้แก่ 1) ความสัมพันธ์ของสมาชกิ กลุม่ (กลุ่มปฐมภมู ิและกลุ่มทุติยภูมิ) 2)ความเปน็ ทางการหรือไม่เป็นทางการ ผู้นาชุมชนชนบทประกอบด้วย ผู้นาทางการ(กานัน ผู้ใหญ่บ้าน) และผู้นาไม่ เปน็ ทางการ(ผ้นู าท่ชี าวบ้านยกย่องขนึ้ มา) วัฒนธรรม ซ่ึงหมายถึงวิถีชีวิตของคนในสังคมใดสังคมหนึ่งน้ัน จาแนก ออกเป็น 4 สาขา ไดแ้ ก่ 1) คตธิ รรม เป็นเรื่องของหลักในการดาเนนิ ชวี ิต เช่น ขยันหม่นั เพียร กตญั ญู กตเวที ซอื่ สัตยส์ ุจรติ รู้จกั รบั ผดิ ชอบ เออ้ื เฟื้อเผือ่ แผ่ เป็นต้น 2) เนติธรรม เป็นเรื่องของกฏหมาย รวมท้ังระเบียบประเพณี อันเป็นการ ประกนั สวสั ดิภาพของคนในสงั คม 3) สหธรรม เป็นเร่ืองราวทางสังคมเก่ียวกับคุณธรรมที่ทาให้คนอยู่ร่วมกัน อย่างเป็นสุข เป็นมารยาทในการติดต่อกับบุคคลอ่ืน เช่น มารยาทในการเป็นแขก มารยาทในการไปงานมงคล และงานศพ เป็นต้น

182 4) วัตถุธรรม เป็นเร่ืองเกี่ยวกับทางวัตถุ เช่น เคร่ืองนุ่งห่ม การแต่งกายให้ เรียบร้อย การจัดบ้านเรือน รู้จักรักษาสาธารณสมบัติ รู้จักสร้างเครื่องมือเครื่องใช้ ร้จู กั รักษาความสะอาด ประเพณีเป็นวัฒนธรรมประเภทเนติธรรม เป็นความประพฤติที่คนส่วนใหญ่ ยอมรับและปฏิบัติสืบทอดกันมา สังคมไทยมีงานประเพณีต่าง ๆ ท่ีนิยมทากันใน ปจั จบุ นั เชน่ งานสงกรานต์ งานบวช งานทอดกฐนิ ผ้าป่า ทาบุญวันเกดิ พิธสี มรส พธิ ี งานศพ เปน็ ต้น

183 สว่ นที่ 4 บูรณาการศาสตรส์ ูก่ ารปฏิบัติ: สาหรับผู้วางโครงการ ตามลาดบั บูรณาการศาสตร์สู่การปฏิบัติ: สาหรับผู้วางโครงการ จะนาเสนอไป วิทยาการการศึกษาส่ิงแวดลอ้ ม สงิ่ แวดลอ้ มศกึ ษา การศกึ ษา การส่งเสริมการเกษตร การวิจัย สงั คมวทิ ยาชนบท

184 การวางโครงการสิ่งแวดล้อมศึกษาชุมชนจาเป็นต้องอาศัยการบูรณาการ ความรขู้ องศาสตร์สาขาตา่ งๆที่เกย่ี วข้องจงึ จะสามารถนามาปฏบิ ัตไิ ด้ คาว่า“บูรณาการ”มาจากคาว่า“บูรณ”บวก“การ” ซ่ึงตามพจนานุกรมฉบับ เฉลมิ พระเกียรติ พ.ศ.2530 ให้ความหมายของคาวา่ “บรู ณ”ไวว้ า่ หมายถงึ “เตม็ ” ส่วน คาว่า“การ” เม่ือใช้เป็นส่วนท้ายของคาจะหมายถึง“เรื่องท่ีทา” ดังน้ัน“บูรณาการ” จงึ หมายถงึ “เร่ืองทท่ี าใหเ้ ตม็ ” ขณะท่ีสาโรช บัวศรี (2552) ได้กล่าวถึงท่ีมาของคาว่า“บูรณาการ”ว่ามาจาก คาภาษาอังกฤษว่า“integration” ตามทบี่ ญั ญัตศิ ัพท์ คาวา่ “Integration”กันนน้ั ได้คิดว่าคาน้ี หมายถึง“ความสมบูรณ์”(คือ ความปราศจากปัญหาท่ี ร้ายแรงจนแก้ไม่ไหว ความปราศจากภัย ความปราศจาก ความกังวล ฯลฯ) ดังนั้นจากคาว่า สมบูรณ์ที่ใช้กันอยู่แล้ว นั้น ก็ได้ถอดคาว่า“บูรณ”ออกมา แล้ว บัญญัติคาใหม่ว่า “บูรณาการ” ตามท่ี สาโรช บัวศรี ได้กล่าวแล้วว่า“บูรณาการ” มาจากความหมายที่เป็น แก่นแท้ ก็คือ“ความสมบูรณ์” นั่นหมายถึง การที่มีการบูรณาการก็เพื่อการกระทาส่งิ ใด เร่ืองใดก็ตาม เพื่อให้เกิดความสมบูรณ์ นั่นคือ บรรลุวัตถุประสงค์ของเรื่องน้ันๆ นัน่ เอง ส่วนคาว่า“ศาสตร์”ได้ให้ความหมายไว้แล้วในส่วนที่ 3 ดังนั้นเม่ือรวมคาว่า “บูรณาการ”กับคาว่า“ศาสตร์” เป็นบูรณาการศาสตร์ จึงสรุปเป็นความหมายได้ว่า หมายถงึ การนาความรู้ทางศาสตรส์ าขาต่างๆทเ่ี ป็นทย่ี อมรบั ของนกั วิชาการในศาสตร์ นน้ั ๆ มาเชือ่ มโยง ทาให้เกดิ ความสมบูรณใ์ นเร่อื งใดเรอ่ื งหนง่ึ ท่ตี ้องการกระทา จากน้ีไปจะนาเสนอการบูรณาการองค์ความรู้ศาสตร์ 6 สาขาท่ีผู้เขียนได้ นาไปใช้ในการวางโครงการส่งเสริมส่ิงแวดล้อมศึกษาชุมชน โดยนาเสนอในลักษณะ ของตาราง ซ่ึงคอลัมนซ์ ้ายมือเปน็ องค์ความรู้ ส่วนขวามือเป็นการนาองค์ความร้นู นั้ ๆ ไปใช้ในการวางโครงการ ดังต่อไปนี้

185 วทิ ยาการการศกึ ษาส่ิงแวดล้อม องค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ส่ิงแวดล้อม การนาไปใช้ในการวางโครงการ ทาให้ตระหนกั ร(ู้ aware)ว่า สิ่งแวดล้อมน้ัน ก็คือ สรรพส่ิงที่อยู่รอบๆตัว ใชเ้ ป็นหลักในการวนิ จิ ฉัยสภาวการณ์ คนเราน่ันเอง กล่าวคือ สภาพส่ิงทั้งหลายในโลก ปญั หาส่งิ แวดลอ้ มของชมุ ชน(ในขน้ั ตอน นี้ ท้ังที่มีชีวิตและไม่มีชีวิตอยู่รอบตัวมนุษย์ ก็คือ what to teach ) สง่ิ แวดลอ้ มมนุษย์นน่ั เอง ความสัมพันธ์ของส่ิงมีชีวิตด้วยกันเอง และ ใช้เป็นหลกั ในการวินจิ ฉัยต้นเหตขุ องการ ความสัมพันธ์ระหว่างส่ิงมีชีวิตกับส่ิงไม่มีชีวิตท่ีมี เกดิ ปญั หาส่ิงแวดล้อมของชุมชน (ใน ลักษณะเป็น“ระบบ” เรียกว่า ระบบนิเวศนั้น ขั้นตอน what to teach ) ก่อให้เกิดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ ของมนุษย์ ข้ึน ซ่ึงเม่ือใช้มากๆในที่สุด ก็เป็นต้นเหตุสาคัญ ของการเกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมต่างๆ ทั้งปัญหา การขาดแคลนทรัพยากรธรรมชาติและมลพิษ ส่ิงแวดลอ้ ม ซึง่ เป็นปัญหาสงิ่ แวดล้อมท่ีพบเห็นได้ ในชมุ ชน ทรัพยากรธรรมชาติ แบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่ม ใชเ้ ปน็ หลักในการวินจิ ฉัยแนวทางการ ได้แก่ 1) กลุ่มที่เป็นปัจจัยสาคัญต่อการดารงชวี ิต ปอ้ งกันและแกไ้ ขปญั หาสง่ิ แวดลอ้ มของ ของส่ิงมีชีวิตอย่างมาก ได้แก่ อากาศ น้าท่ีอยู่ ชมุ ชน ซ่ึงตอ้ งเปน็ แนวทางทชี่ ุมชนสามารถ ในวัฎจักร 2) กลุ่มที่เป็นปัจจัยสใี่ นการดารงชีวติ ทาไดจ้ รงิ ของมนษุ ย์ ได้แก่ นา้ ใช้ พชื และสตั ว์ และ 3) กลุ่มท่ีเป็นปัจจัยอานวยความสะดวกสบายใน การดาเนินชีวิต ได้แก่ แร่ธาตุและพลังงาน เช่น ถ่านหิน น้ามันปิโตรเลียม ฯลฯ การตระหนักรู้ถึง ปัญหาสงิ่ แวดล้อมจากการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ ท่ีไม่ถูกต้อง จึงมีความสาคัญในการหาแนวทาง ป้องกันและแก้ไขปัญหาส่ิงแวดล้อมได้อย่าง ถูกต้อง

186 (ต่อ) วิทยาการการศึกษาส่งิ แวดล้อม องคค์ วามรู้ทางวิทยาศาสตร์ส่งิ แวดล้อม การนาไปใช้ในการวางโครงการ ทาใหต้ ระหนักรู้(aware)วา่ มลพิษเป็นปัญหาวิกฤตที่สาคัญยิ่งของปัญหา ใชเ้ ปน็ หลกั ในการวินจิ ฉยั ปญั หาสิง่ แวดลอ้ ม ส่ิงแวดล้อมของมนุษย์ การปนเป้ือนของสารที่ ของชมุ ชนซ่งึ เช่ือมโยงกบั ปัญหามลพิษทาง ก่อให้เกิดพิษในสิ่งแวดล้อมดิน น้า อากาศ ทาให้ ดนิ มลพิษทางน้าและมลพิษทางอากาศ เกิดมลพิษทางดิน มลพิษทางน้า และมลพิษทาง อากาศ เทคโนโลยีส่ิงแวดล้อม แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ใชเ้ ป็นหลักในการวินิจฉัยแนวทางการ คอื 1) เทคโนโลยกี ารใชท้ รัพยากรธรรมชาติ เชน่ ปอ้ งกนั และแก้ไขปญั หาส่งิ แวดล้อมของ เทคโนโลยีการตกตะกอน การกรอง การฆ่าเชื้อ ชมุ ชนซ่งึ มี 2 แนวทางคือ 1) เทคโนโลยี โรคในการผลติ นา้ ประปาจากแหลง่ น้าผิวดิน การใชท้ รพั ยากรธรรมชาติ เชน่ การลด 2) เทคโนโลยีการกาจัดหรือบาบัดมลพิษ เช่น พนื้ ทจ่ี ดั เก็บขยะขวดพลาสติกของชมุ ชน การใช้ตน้ ไมฟ้ อกอากาศ เพ่อื นาเขา้ สู่กระบวนการรีไซเคิล ซ่งึ เป็น เทคโนโลยีการใช้ทรัพยากรธรรมชาตใิ ห้ ยาวนานขึ้น 2) เทคโนโลยีการกาจดั หรือ บาบัดมลพิษ เช่น การใชต้ ้นไมซ้ ่ึงเปน็ เทคโนโลยธี รรมชาติ ลดปรมิ าณฝุ่นและ มลพิษทางอากาศ

187 ส่งิ แวดล้อมศกึ ษา องค์ความรู้ทางสงิ่ แวดลอ้ มศึกษา การนาไปใช้ในการวางโครงการ ทาให้ตระหนกั รู้ (aware)วา่ ความเป็นมาของสิ่งแวดล้อมศึกษาน้ัน เร่ิมต้น ใช้เป็นหลักในการกาหนดจดุ มุ่งหมายหลกั ของ เกิดขึ้นจากปัญหาวิกฤตสิ่งแวดล้อมในระดับ การวางโครงการฯซึ่งก็คือ จะต้องจัดการศกึ ษา โลก จึงได้มีการประชุมระดับนานาชาติขึ้น ทีส่ ่งเสริมให้บคุ คลเกิดการเปล่ยี นแปลง เพ่ือป้องกันและแก้ไขปัญหา ในปี ค.ศ.1972 พฤติกรรมเพ่ือนาไปสกู่ ารป้องกนั และแกไ้ ข อ ง ค์ ก า ร ส ห ป ร ะ ช า ช า ติ ไ ด้ ก า ห น ด ใ ห้ ปัญหาสงิ่ แวดลอ้ ม “สิ่งแวดล้อมศึกษา”เป็นกลยุทธ์ท่ีประชาคม โลกใช้ต่อสู้กับวิกฤตส่ิงแวดล้อมโลก โดยจัด การศึกษาท่ีส่ งเสริมให้ บุคคลเกิ ด ก า ร เ ป ล่ี ย น แ ป ล ง พ ฤ ติ ก ร ร ม เ พื่ อ น า ไ ป สู่ ก า ร ป้องกนั และแก้ไขปญั หาส่งิ แวดลอ้ ม ส่ิงแวดล้อมศึกษาต่างจากวิทยาศาสตร์ ใชเ้ ปน็ หลักในการกาหนดวัตถุประสงค์ของ ส่ิงแวดล้อมตรงที่ สิ่งแวดล้อมศึกษา เป็น โครงการฯ คือ ตอ้ งนาไปสู่การรักษาคุณภาพ การศึกษาลักษณะหนึ่งที่มีวัตถุประสงค์เพื่อ สง่ิ แวดล้อม รักษาคุณภาพส่ิงแวดล้อม ส่วนวิทยาศาสตร์ ส่ิ ง แ ว ด ล้ อ ม มี วั ต ถุ ป ร ะ ส ง ค์ เ พ่ื อ ส ร้ า ง อ ง ค์ ความรทู้ างสง่ิ แวดล้อม ถึงแมว้ า่ องค์การสหประชาชาติจะกาหนด ใชเ้ ปน็ หลักในการกาหนดวตั ถุประสงคห์ ลกั วัตถุประสงค์ไว้ ได้แก่ awareness, ของการวางโครงการฯ คอื จะต้องทาให้บคุ คล knowledge, attitudes, skill และ เปา้ หมายสามารถป้องกันและแกไ้ ขปัญหา participation แตเ่ ม่ือเม่ือวเิ คราะห์และทา สง่ิ แวดล้อมได้ การสังเคราะห์ พบวา่ วตั ถุประสงค์หลักของ สิ่งแวดล้อมศึกษา คือ การทาใหบ้ ุคคล เป้าหมายสามารถปอ้ งกันและแก้ไขปัญหา สิ่งแวดลอ้ มได้

188 (ตอ่ )สงิ่ แวดล้อมศึกษา องคค์ วามรู้ทางสง่ิ แวดลอ้ มศึกษา การนาไปใชใ้ นการวางโครงการ ทาให้ตระหนกั รู้ (aware)ว่า จากหลักการที่เป็นแนวทางของส่ิงแวดล้อม ใช้เปน็ หลักในการ 1) กาหนดกลุ่ม ศึกษาที่กาหนดเอาไว้ของการประชุมระดับ เปา้ หมายของโครงการวา่ มีตง้ั แต่ระดับ นานาชาตใิ นปี 1977 นัน้ สรปุ แก่นของแนวทาง อนุบาลและต่อเนื่องไปตลอดชีวติ ท้งั ใน ประมวลได้ว่า สิ่งแวดล้อมศึกษาน้ันต้องมี ระบบและนอกระบบการศึกษา 2) วิธีการ ลักษณะเป็นการศึกษาต่อเน่ืองตลอดชีวิต จัดการความรตู้ ้องเนน้ ประสบการณ์ตรง ตั้งแต่ระดับเด็กในวัยก่อนเรียน ต่อเน่ืองไป ท้ัง และการปฏิบัติจริง ในระบบและนอกระบบการศึกษา จะต้องช่วย ให้ผู้เรียนค้นหาปัญหาและสาเหตุท่ีแท้จริงของ ปัญหาสิ่งแวดล้อม การเรียนรู้เก่ียวกับและ จัดการสิ่งแวดล้อม เน้นปฏิบัติจริง และ ประสบการณ์ตรง หลักการที่สาคัญยิ่งในการจัดการส่ิงแวดล้อม ใชเ้ ป็นหลักในการวางโครงการฯ โดย ศึกษา คือ ผสมผสานการศึกษาท้ัง 3 ระบบ ทั้ง ผสมผสานการศกึ ษาท้งั 3 ระบบ เช่น วาง การศึกษาในระบบ นอกระบบ และการศึกษา โครงการฯ ในเรอ่ื งเดยี วกันให้กับนักเรียน ตามอัธยาศัยให้ประสานสัมพันธ์กันตลอดช่วง ในโรงเรยี นในชมุ ชนเป้าหมาย ควบคไู่ ปกบั ชวี ติ ของแตล่ ะบุคคล การวางโครงการฯให้กับกลมุ่ เยาวชนใน ชุมชนเป้าหมาย

189 การศึกษา องคค์ วามรู้ทางการศึกษา การนาไปใช้ในการวางโครงการ ทาให้ตระหนักรู้ (aware)ว่า ความหมายของการศึกษาท่ีเป็นรปู ธรรม คอื ใช้เป็นกรอบแนวคดิ เพ่ือกาหนดจุดมุง่ การเรยี นร้ขู องบุคคลในทกุ เรื่องทุกส่ิงทีท่ าให้ หมายหลัก(Aim) ของการวางโครงการ คือ พฤติกรรมเกิดการเปลย่ี นแปลงในมิติทางด้าน ต้องทาให้กลุ่มเป้าหมายเกิดการเรียนรู้ ในมิติ พุทธพิ สิ ยั (cognitive domain) ทกั ษะพสิ ัย ทางพุทธิพิสัย ทักษะพิสัย และเจตพิสัยท่ี (psychomotor domain) เจตพสิ ยั เก่ียว กับการป้องกันและแก้ไขปั ญ ห า (affective domain) สิ่งแวดล้อมของชุมช น ซ่ึงก็คือ ทาให้ กลุ่มเป้าหมายเกิดเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม จาก…. - ไม่มีความรู้ เปลี่ยนเป็นมีความรู้เกี่ยวกับ การป้องกันและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมของ ชมุ ชน - จากป้องกัน และแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม ของชุมชนไม่เป็นเปลยี่ นเปน็ ทาเป็น - จากไม่เห็นคุณค่าป้องกันและแก้ไขปัญหา สิ่งแวดล้อมของชมุ ชน เปลีย่ นเป็นเหน็ คณุ คา่ ประเภทของเน้ือหาความรแู้ บ่งออกเป็น 2 ใช้เป็นหลักในการเรียบเรียงเนื้อหาความรู้ ประเภท คอื เน้อื หาความรู้ประเภทknowing ตามประเภทของเนอ้ื หาความรู้ และเนื้อหาความร้ปู ระเภท doing วัตถปุ ระสงค์การสอน ใช้เป็นหลักในการกาหนดวัตถุประสงค์การ : วตั ถปุ ระสงค์การสอนทางด้านพทุ ธพิ สิ ยั สอนในการจัดตาราง L.E.เช่น ตาราง L.E. (knowledge) ประกอบดว้ ย 6 ระดบั เร่ือง ลักษณะของน้าเสี ย ซ่ึงกาหนด จากซบั ซ้อนนอ้ ยไปสู่ซบั ซ้อนมาก วัตถุประสงค์การสอนเป็นพุทธิพิสัยระดับ จดจา

190 (ต่อ)การศึกษา องคค์ วามรู้ทางการศกึ ษา การนาไปใช้ในการวางโครงการ ทาให้ตระหนกั รู้ (aware)ว่า วัตถุประสงค์การสอนทางด้านทักษะพิสัย ใช้เป็นหลักในการกาหนดวัตถุประสงค์การ (skill) ประกอบด้วย 7 ระดับ จากซับซ้อน สอนในการจัดตาราง L.E.เชน่ ตาราง L.E เร่อื ง นอ้ ยไปส่ซู บั ซ้อนมาก การตรวจวัดออกซิเจนละลายน้าโดยใช้ DO test kit ซ่ึงกาหนดวัตถุประสงค์การสอนเป็น ทกั ษะพสิ ยั ระดับปฏิบัติได้ตามคาแนะนา วัตถุประสงค์การสอนทางด้านเจตพิสัย ใช้เป็นหลักในการกาหนดวัตถุประสงค์การ (affective) ประกอบด้วย 5 ระดับ จาก สอนในการจดั ตาราง L.E.เชน่ ตาราง L.E เร่ือง ซบั ซ้อนน้อยไปสู่ซบั ซอ้ นมาก การลดพื้นที่จัดเก็บขยะขวดพลาสติกของ ชุมชน ซึ่งกาหนดวัตถุประสงค์การสอน เป็น เจตคตพิ ิสยั ขัน้ เห็นคณุ คา่ การกาหนดวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมข้ึนอยู่ ใช้เป็นหลักในการกาหนดวัตถุประสงค์เชิง กับประเภทเนื้อหาหาความรู้ว่าเป็นเน้ือหา พฤติกรรม ในการจัดตาราง L.E เช่น ตาราง ภ าคคว ามรู้( knowing) หรือภ าคปฏิ บั ติ L.E. เร่อื ง อายขุ องขยะ ไดก้ าหนดวัตถปุ ระสงค์ (doing) เชิงพฤติกรรมไว้ว่า: เพื่อให้ผู้เรียนทุกคนเลือก ชนิดขยะท่ตี รงกับอายุการย่อยสลาย ได้ถูกต้อง อย่างน้อย 3 ชนดิ ในเวลา 10 นาที สถานการณ์การเรียนรู้ (learning situation: ใช้เป็นหลักในการออกแบบสถานการณ์การ L.S.) เป็นกิจรรมที่ผู้สอนกาหนดให้เกิด เรียนรู้ให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์กับเนื้อหาความรู้ ปฏิสัมพันธ์กับผู้เรียน โดยมีสื่อช่วยสอนเป็น ที่ผู้สอนต้องการให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ เช่น สือ่ กลาง ทาให้เกดิ การเรียนรู้ กาหนดสถานการณ์การเรียนรู้ให้ผู้เรียนดูภาพ ต้นไม้ในโรงเรียน แล้วจับคู่ชื่อต้นไม้กับภาพ ตน้ ไมท้ ่ปี ลกู ในโรงเรียนใหถ้ ูกต้อง


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook