Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore LW_สิ่งแวดล้อมศึกษา แนวทางสู่การปฏิบัติ

LW_สิ่งแวดล้อมศึกษา แนวทางสู่การปฏิบัติ

Published by lawanwijarn4, 2021-12-31 03:45:37

Description: LW_สิ่งแวดล้อมศึกษา แนวทางสู่การปฏิบัติ

Search

Read the Text Version

ส่งิ แวดล้อมศกึ ษา แนวทางสู่การปฏบิ ตั ิ ลาวัณย์ วจิ ารณ์

สง่ิ แวดล้อมศกึ ษา: แนวทางสกู่ ารปฏบิ ตั ิ__________________________________________

ช่อื ผ้เู ขียน: ลาวณั ย์ วจิ ารณ์ ภาควิชาวิศวกรรมสง่ิ แวดล้อม วทิ ยาลยั วศิ วกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั รังสติ ช่ือหนังสอื สงิ่ แวดล้อมศกึ ษา: แนวทางสกู่ ารปฏิบตั ิ จำนวนหน้ำ 98 หน้า ปี ท่พี มิ พ์ กมุ ภาพนั ธ์ 2559 จดั พมิ พ์โดย สานกั พิมพ์มหาวทิ ยาลยั รงั สติ ถนนพหลโยธิน เมอื งเอก ปทมุ ธานี 12000 พิมพ์ท่ี โทร. 0-2997-2200-30 บริษัท ส.เจริญการพมิ พ์ จากดั 1510/10 ถนนประชาราษฎร์ แขวงบางซ่ือ เขตบางซ่ือ กทม, 10800 โทร 02 9132080 โทรสาร 02 9132081 ISBN 978-616-7687-83-4 รำคำ 140 บาท ลาวณั ย์ วจิ ารณ์. สง่ิ แวดล้อมศกึ ษา: แนวทางสกู่ ารปฏิบตั .ิ -- ปทมุ ธานี : มหาวทิ ยาลยั รังสติ , 2559. 98 หน้า. 1. มนษุ ย์กบั สงิ่ แวดล้อม. I. ลาวณั ย์ วิจารณ์, ผ้วู าดภาพประกอบ. II. ช่ือเร่ือง. 304.2 ISBN 978-616-7687-83-4 สง่ิ แวดล้อมศกึ ษา: แนวทางสกู่ ารปฏิบตั ิ__________________________________________

คำนำ สง่ิ แวดล้อมศกึ ษา เป็ นศาสตร์ที่มลี กั ษณะเป็ นสหวทิ ยาการ (Interdisciplinary) เป็ นความพยายาม ที่จะสานรอยต่อระหว่างวิทยาการด้านส่ิงแวดล้อม อันได้แก่ วิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม และเทคโนโลยี สง่ิ แวดล้อม มาประกบตอ่ กนั กบั วชิ าการศกึ ษาเกิดเป็ นสาขาวิทยาการที่เรียกวา่ “ส่งิ แวดล้อมศกึ ษา” ขนึ ้ มา จงึ ยอ่ มเป็ นไปไมไ่ ด้ทผ่ี ้เู ขียนคนใดคนหนง่ึ จะมีความรู้ความเข้าใจอยา่ งลกึ ซงึ ้ ในทกุ ด้านทเ่ี กี่ยวข้องกนั การเรียบเรียงหนงั สือเลม่ นี ้ พยามยามทาให้ง่ายสาหรับผ้อู า่ น เนอื ้ หาสาระของเรื่องตา่ งๆที่ปรากฏ ในหนังสือเล่มนี ้ จึงไม่นาเสนอในรูปแบบวิชาการ คือ ไม่ได้นาเสนอแนวความคิดของนักวิชาการท่ีไม่ สอดคล้องกนั หรือเหน็ พ้องต้องกนั แล้วนามาอภิปราย..ด้วยผ้เู ขียนปรารถนาทีจ่ ะให้ผ้อู า่ น เม่อื อา่ นแล้วเข้าใจ ได้โดยงา่ ย สามารถใช้เป็ นแนวทางในการจดั สง่ิ แวดล้อมศกึ ษาได้จริง กลมุ่ เนอื ้ หาพนื ้ ฐานสงิ่ แวดล้อม สว่ นใหญ่เกี่ยวข้องกบั วิชาการทางด้านวิทยาศาสตร์ เช่น ชีววิทยา จุลชีววิทยา ชีวเคมี เคมี ฟิ สิกส์ คณิตศาสตร์ ธรณีวิทยา ปฐพีวิทยา เป็ นต้น ดงั นนั้ ผู้อ่านจะต้องมีพืน้ ฐานความรู้ทางวิทยาศาสตร์พอสมควร จึงขอแนะนาให้หาอ่านเรื่องเฉพาะจากเอกสารทางวิชาการใน สาขาวชิ าการเหลา่ นนั้ จะทาให้สามารถเข้าใจได้ดยี ิ่งขนึ ้ หนงั สือเล่มนีจ้ ะไม่กลา่ วถึง รายละเอียดการจัดสิ่งแวดล้อมศึกษาตามหลกั สตู รระดบั ต่างๆของ การศึกษาในระบบของประเทศไทย เน่ืองจากการจดั ส่ิงแวดล้อมศึกษาในประเทศไทยยงั ไม่สามารถทาให้ ประชาชนหนั มาป้ องกนั และแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมได้ ดงั จะเห็นได้จากความเดือดร้อนด้านส่ิงแวดล้อมที่ ยงั เกิดขนึ ้ ในปัจจบุ นั หนงั สอื เลม่ นจี ้ งึ เรียบเรียงขนึ ้ โดยปรารถนาให้ผ้อู า่ นเกิดมโนทศั น์ เพื่อหาแนวทางใน การจดั สงิ่ แวดล้อมศกึ ษาด้วยตวั ทา่ นเองตอ่ ไป คาศพั ท์ทใ่ี ช้ในหนงั สอื เลม่ นีจ้ ะใช้คาเทยี บไทย โดยจะวงเลบ็ คาศพั ท์องั กฤษไว้เมอ่ื คานนั้ ปรากฏขนึ ้ เป็ นครัง้ แรก จากนนั้ จะใช้คาศัพท์ไทยไปตลอดเล่ม คาดว่าผู้อ่านจะสะดวกในการทาความเข้าใจได้ มากกว่า ยกเว้นคาศพั ท์บางคาจะไม่ใช้คาศพั ท์ไทย ทงั้ นีเ้ พ่ือกนั ความสบั สน เพราะในหนงั สอื ภาษาไทย ทางด้านสง่ิ แวดล้อมและการศกึ ษาแตล่ ะเลม่ ยงั มกี ารใช้คาศพั ท์ไทยที่ไมเ่ หมือนกนั ทาให้ต้องพะวกั พะวง ตรวจสอบวา่ คาศพั ท์ไทยเหลา่ นนั้ แตกตา่ งกนั หรือมีความหมายเดียวกนั ทาให้เสียเวลาและยากตอ่ การทา ความเข้าใจ จนผ้อู า่ นอาจเบ่อื และเลกิ อา่ นไปเลยก็ได้ เชน่ Biosphere แปลวา่ ชีวาลยั ชีวภาค ชีวมณฑล นเิ วศมณฑล หรือ โลกของสง่ิ มีชีวิต ดงั นนั้ ในหนงั สอื เลม่ นี ้จึงใช้คาวา่ Biosphere เนอื ้ หาสาระในหนงั สอื เลม่ นี ้จาแนกออกเป็ น 4 สว่ น โดย สว่ นที่ 1 เป็ นเนอื ้ หาความรู้สงิ่ แวดล้อม ซงึ่ ประกอบด้วย 1) โลกของสงิ่ มชี ีวติ 2) สง่ิ แวดล้อม 3) ระบบนิเวศ 4) ทรัพยากรธรรมชาติ และ5) มลพิษสิ่งแวดล้อม เมื่อผ้อู า่ นเข้าใจความคิดรวบยอดแล้ว จะเห็นภาพปัญหาสง่ิ แวดล้อม สว่ นท่ี 2 เป็ นเนอื ้ หาความรู้เกี่ยวกบั การศกึ ษา ซงึ่ ประกอบด้วย 1) ความหมายของการศกึ ษา สงิ่ แวดล้อมศกึ ษา: แนวทางสกู่ ารปฏิบตั ิ__________________________________________

2) ความคดิ รวบยอดของการเรียนรู้และวตั ถปุ ระสงค์การศึกษา 3) ความคิดรวบยอดของประสบการณ์เพื่อ การเรียนรู้ และ 4) ระบบการศกึ ษา เม่อื ผ้อู า่ นเข้าใจเนอื ้ หาสาระเก่ียวกบั การศกึ ษาแล้ว จะมองเห็นแนวทาง ในการเปลยี่ นแปลงพฤติกรรมของบคุ คล สว่ นท่ี 3 เป็ นเนือ้ หาความรู้เกี่ยวกับสิง่ แวดล้อมศึกษา ซ่ึงประกอบด้วย 1) ความเป็ นมาของ สงิ่ แวดล้อมศกึ ษา 2) ความหมายของสง่ิ แวดล้อมศกึ ษา 3) ปรัชญาส่งิ แวดล้อมศกึ ษา 4) วตั ถปุ ระสงค์ ของสงิ่ แวดล้อมศกึ ษา 5) จดุ มงุ่ หมายหลกั ของสง่ิ แวดล้อมศกึ ษา 6) หลกั การทเ่ี ป็ นแนวทางของสง่ิ แวดล้อม ศึกษา 7) วิธีการสิ่งแวดล้อมศกึ ษา และ8) ระบบการศกึ ษาท่ีเหมาะสมในการจดั สิง่ แวดล้อมศึกษา เม่ือ ผ้อู า่ นเข้าใจเนือ้ หาความรู้เก่ียวกบั สิง่ แวดล้อมศกึ ษาแล้ว จะมองเห็นความพยายามของนานาชาติ ที่จะใช้ การศกึ ษาเป็ นเครื่องมือในการป้ องกนั และแก้ไขปัญหาวิกฤตส่งิ แวดล้อมโลก และแนวทางสกู่ ารปฏิบตั ิของ สง่ิ แวดล้อมศกึ ษา ท้ ายท่ีสุดผ้ ูเขียนขอกราบขอบพระคุณบุรพาจารย์ด้ านต่างๆท่ีปรากฏอยู่ในบรรณ านุกรมของ หนงั สอื ล่มนี ้ ซึ่งเป็ นผู้ประสทิ ธิประสาทวิชาความรู้ผ่านงานเขียนของท่าน จนทาให้ผ้เู ขียนสามารถนา เนอื ้ หาความรู้หลากหลายสาขาวชิ า มาเชื่อมโยงสมั พนั ธ์สร้างสรรค์หนงั สอื เลม่ นีไ้ ด้จนเป็ นผลสาเร็จ ลาวณั ย์ วจิ ารณ์ มหาวิทยาลยั รงั สติ 2559 สง่ิ แวดล้อมศกึ ษา: แนวทางสกู่ ารปฏบิ ตั ิ__________________________________________

สำรบญั หน้ำ ส่วนท่ี 1 เนือ้ หำควำมรู้ส่ิงแวดล้อม 1 7 โลกของส่ิงมชี ีวติ 9 ส่ิงแวดล้อม 11 ระบบนิเวศ 12 13 ความหมายของระบบนเิ วศ 15 องค์ประกอบในระบบนิเวศ 15 ความสมั พนั ธ์ขององค์ประกอบในระบบนิเวศ 17 หว่ งโซอ่ าหาร 18 ความสมั พนั ธ์ในการอยรู่ ่วมกนั ของสงิ่ มชี ีวติ 20 วฏั จกั รของสาร 22 สมดลุ ในระบบนเิ วศ 22 22 ทรัพยำกรธรรมชำติ 23 ความหมายของทรัพยากรธรรมชาติ 23 ประเภทของทรัพยากรธรรมชาติ 24 ปัญหาสงิ่ แวดล้อมจากการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ 25 ปัญหาทเ่ี กดิ กบั ทรัพยากรธรรมชาติท่ีใช้แล้วไมห่ มดไป 27 ปัญหาทเี่ กิดกบั ทรัพยากรธรรมชาตทิ ่ีใช้แล้วทดแทนได้ 27 ปัญหาทเี่ กิดกบั ทรัพยากรธรรมชาติที่ใช้แล้วหมดไป 28 มลพิษส่ิงแวดล้อม 32 ความหมายของมลพษิ สงิ่ แวดล้อม 33 ความสมั พนั ธ์ของมลพษิ ทางนา้ ทางอากาศ และทางดนิ 35 42 ส่วนท่ี 2 กำรศึกษำ 53 ควำมหมำยของกำรศกึ ษำ ควำมคดิ รวบยอดของกำรเรียนรู้และวัตถุประสงค์กำรศกึ ษำ ควำมคดิ รวบยอดของประสบกำรณ์เพ่อื กำรเรียนรู้ ระบบกำรศกึ ษำ สง่ิ แวดล้อมศกึ ษา: แนวทางสกู่ ารปฏบิ ตั ิ__________________________________________

สารบญั หน้า ส่วนท่ี 3 ส่ิงแวดล้อมศกึ ษำ 59 ควำมเป็ นมำของส่ิงแวดล้อมศึกษำ 60 ควำมหมำยของส่งิ แวดล้อมศกึ ษำ 63 ปรัชญำส่งิ แวดล้อมศึกษำ 65 วตั ถุประสงค์ของส่งิ แวดล้อมศกึ ษำ 67 จุดมุ่งหมำยหลกั ของส่ิงแวดล้อมศกึ ษำ 68 หลักกำรท่เี ป็ นแนวทำงของส่ิงแวดล้อมศกึ ษำ 69 วิธีกำรส่งิ แวดล้อมศึกษำ 72 ระบบกำรศกึ ษำท่เี หมำะสม ในกำรจดั ส่ิงแวดล้อมศกึ ษำ 88 91 บรรณำนุกรม สง่ิ แวดล้อมศกึ ษา: แนวทางสกู่ ารปฏิบตั ิ__________________________________________

1 ส่วนท่ี 1 เนือ้ หาความรู้ส่งิ แวดล้อม โครงสร้างเนอื ้ หาความรู้สง่ิ แวดล้อม ซง่ึ ประกอบด้วย โลกของสงิ่ มชี ีวติ สง่ิ แวดล้อม ระบบนเิ วศ ทรัพยากรธรรมชาติ และ มลพษิ สง่ิ แวดล้อม เม่ือผ้อู า่ นเข้าใจความคิดรวบยอดแล้ว จะมองเห็นภาพวา่ การทาลายสงิ่ แวดล้อมได้ก่อให้เกิด การขาดแคลนทรัพยากรธรรมชาติ และมลพษิ สง่ิ แวดล้อม ซงึ่ เป็ นวกิ ฤตปัญหาสง่ิ แวดล้อมของโลก สงิ่ แวดล้อมศกึ ษา: แนวทางสกู่ ารปฏบิ ตั ิ__________________________________________

2 เร่ิมต้นของสว่ นท่ี 1 เนอื ้ หาความรู้สงิ่ แวดล้อม จะอธิบายถงึ คาวา่ “เนอื ้ หา” เพื่อให้เกิดความเข้าใจ ถงึ ความหมายและประเภทของเนอื ้ หาเป็ นเบอื ้ งต้นกอ่ น คาว่า“เนือ้ หา” หมายถึง ข้อเท็จจริงและสาระความรู้ท่ีเก่ียวข้อง และถกู ตามหลกั วิชาการทาง วทิ ยาศาสตร์สง่ิ แวดล้อม เนอื ้ หา จาแนกออกได้เป็ น 2 ประเภท (สมสดุ าและโสภณ, 2534) คือ 1. เนือ้ หาภาคความรู้ (Knowing Element) หมายถึง เนือ้ หาท่ีทาให้ผ้เู รียนเกิดความรู้ ซ่งึ แบง่ ออกเป็ น 1.1 ข้อเท็จจริง หมายถึง เนือ้ หาประเภทท่ีเมื่อกลา่ วถึงแล้วสามารถเข้าใจได้ง่ายในเวลา อนั รวดเร็ว เนอื ้ หาข้อเท็จจริงนแี ้ บง่ ออกเป็ น 1.1.1 ข้อเท็จจริง-จดจา เป็ นข้อมลู เฉพาะเจาะจงในเรื่องใดเร่ืองหนึ่งที่ผ้สู อนพิจารณา แล้ววา่ ผ้เู รียนต้องจดจา ตวั อยา่ งเช่น วิธีการตรวจวดั คณุ ภาพนา้ ประกอบด้วย 3 วธิ ี คอื 1) การตรวจวดั คณุ ภาพนา้ โดยใช้วิธีการทางชีวภาพ ได้แก่ การใช้สิง่ มีชีวิต ทงั้ ชนดิ พืช และชนิดสตั ว์ เป็ นตวั บง่ ชีค้ ณุ ภาพนา้ 2) การตรวจวดั คณุ ภาพนา้ โดยใช้วธิ ีการทางกายภาพ ได้แก่ การใช้สี และกล่ิน เป็ นตวั บง่ ชีค้ ณุ ภาพนา้ 3) การตรวจวดั คณุ ภาพนา้ โดยใช้วิธีการทางเคมี ได้แก่ การใช้ค่าออกซิเจน ละลายนา้ (DO) ค่าปริมาณออกซิเจนท่ีจุลินทรีย์ใช้ ในการย่อยสลาย สารอนิ ทรีย์ (BOD) เป็ นตวั บง่ ชีค้ ณุ ภาพนา้ 1.1.2 ข้อเทจ็ จริง-นาไปใช้ เป็ นข้อมลู เกี่ยวกบั สงิ่ ทเ่ี ป็ นมาตรฐาน ทเี่ ป็ นเกณฑ์ เมื่อผ้เู รียน จดจาได้แล้ว จะสามารถนาไปใช้วินิจฉยั เลอื กและตดั สนิ ใจได้ ตวั อยา่ งเชน่ การตรวจสอบคณุ ภาพนา้ โดยใช้ประสาทสมั ผสั 1) การใช้ประสาทสมั ผสั ทางการมองเห็น ในการตรวจสอบคณุ ภาพนา้ โดยการดู ลกั ษณะตา่ งๆ ท่เี ป็ นองค์ประกอบทางกายภาพในแหลง่ นา้ ได้แก่ ดสู ีนา้ ชนิด พชื และชนิดสตั ว์ในแหลง่ นา้ และสงิ่ ปนเปื อ้ นในนา้ (เช่น ขยะ คราบนา้ มนั เป็ น ต้น) 2) การใช้ประสาทสมั ผสั ทางการดมกลนิ่ ในการตรวจสอบคณุ ภาพนา้ ได้แก่ การ ดมกลนิ่ นา้ ท่จี ะตรวจสอบ หากแหลง่ นา้ มีคณุ ภาพ จะไม่มีกลนิ่ สว่ นแหลง่ นา้ ที่ มกี ลนิ่ จะเป็ นแหลง่ นา้ เสยี สง่ิ แวดล้อมศกึ ษา: แนวทางสกู่ ารปฏบิ ตั ิ__________________________________________

3 1.1.3 ข้อเท็จจริง-เจตคติ เป็ นข้อมลู ที่ชกั นาให้ผ้เู รียนเห็นคณุ คา่ ของเร่ืองนนั้ ตวั อยา่ งเช่น ประโยชน์ของการตรวจสอบคณุ ภาพนา้ มดี งั นี ้ 1) ทาให้ทราบการปนเปื อ้ นของมลสารในแหลง่ นา้ 2) ทาให้สามารถเฝ้ าระวงั คณุ ภาพนา้ ในแหลง่ นา้ 3) ทาให้ทราบวธิ ีการป้ องกนั แก้ไข และลดมลพษิ ทางนา้ 1.2 ความคิดรวบยอด หมายถงึ เนอื ้ หาทส่ี รุปสาระสาคญั ในเรื่องใดเร่ืองหนง่ึ ตวั อยา่ งเช่น ความหมายของคณุ ภาพนา้ 1) นา้ ที่มีคุณภาพดีที่เหมาะสมกับต่อการอุปโภคบริโภค หมายถึง นา้ ที่มีปริมาณ ออกซิเจนละลายนา้ เทา่ กบั 6 มก./ลติ ร 2) นา้ เสีย หมายถึง นา้ ที่มีออกซิเจนละลายนา้ ต่ากว่า 2 มก./ลิตร เช่น นา้ ท่ีมี สารอนิ ทรีย์ ไนเตรท ฟอสฟอรัส ปนเปื อ้ นมาก 1.3 หลักการ หมายถึง เนือ้ หาที่ประกอบด้วยความคิดรวบยอดตงั้ แตส่ องความคิดรวบยอด มาเช่ือมกนั ในลกั ษณะท่เี ป็ นเหตเุ ป็ นผล หรือสมั พนั ธ์กนั ตวั อยา่ งเชน่ หลกั การเก็บตวั อยา่ งคณุ ภาพนา้ คือ การเก็บตวั อย่างนา้ 3 จดุ หลกั คือ จดุ อ้างอิง จุด แหลง่ กาเนดิ นา้ เสยี และจดุ ทเี่ ป็ นผลกระทบจากนา้ เสยี 2. เนือ้ หาภาคปฏิบัติ (Doing Element) หมายถึง เนอื ้ หาทร่ี ะบถุ ึงวิธีดาเนนิ การ หรือระบขุ นั้ ตอน การทางาน ตวั อยา่ งเชน่ ขนั้ ตอนการตรวจวดั DO ในนา้ โดยใช้ชดุ ทดสอบอยา่ งงา่ ย(test kit) ประกอบด้วย 1 จดั หานา้ เพื่อใช้ในการสาธิตการตรวจวดั คณุ ภาพนา้ 2. รินสารละลายแมงกานีสซลั เฟตลงไปในขวด จนหมดหลอด 3 รินสารละลายอลั คาไลด์ไอโอไดด์เอไซด์ลงไปในขวด จนหมดหลอด 4 ปิ ดจกุ แก้วแล้วพลกิ ขวดไป-มา ประมาณ 20 ครัง้ จะเห็นตะกอนสนี า้ ตาลเกิดขนึ ้ ในขวด 5 ตงั้ ทงิ ้ ไว้ให้ตะกอนตกกวา่ คร่ึงขวด แล้วเติมกรดซลั ฟูริกลงในขวดจนหมดหลอดแล้วปิ ดจุก แก้ว พลกิ ขวดไปมา 20 ครัง้ จนตะกอนละลายหมด จะได้สารละลายสเี หลอื ง 6. เทสารละลายใสข่ วดรูปชมพจู่ นถงึ ขีดทข่ี ีดไว้ 7. ใช้กระบอกฉีดยาดดู สารละลายมาตรฐานโซเดียมไธโอซัลเฟต 10 มิลลิลิตร แล้วค่อยๆ หยดลงไปในขวดรูปชมพแู่ กวง่ ไปมาจนสารละลายสเี หลอื งจางลง สง่ิ แวดล้อมศกึ ษา: แนวทางสกู่ ารปฏบิ ตั ิ__________________________________________

4 8. ใสน่ า้ แป้ งลงในขวดรูปชมพ่จู นหมดหลอด สารละลายจะเป็ นสีนา้ เงิน หลงั จากนนั้ ค่อยๆ หยดสารละลายมาตรฐานโซเดยี มไธโอซลั เฟตตอ่ ไปช้าๆ จนสนี า้ เงินจางหาย จงึ หยดุ การหยดและอ่าน จานวนสารในกระบอกฉีดยา เพื่อคานวณหาคา่ DO สาหรับวิทยาการทางวิทยาศาสตร์สิง่ แวดล้อมนนั้ เนือ้ หาความรู้สง่ิ แวดล้อมประกอบด้วยเนือ้ หา ใน 4 มิติ คือ มิติทรัพยากร มิติเทคโนโลยี มิติของเสียและมลพิษ และมิติมนษุ ย์ ซง่ึ ศ.ดร.เกษม จนั ทร์ แก้ว (2553 ) ได้กลา่ วในหนงั สอื ” วทิ ยาศาสตร์สง่ิ แวดล้อม ” ไว้วา่ “ มติ ิส่งิ แวดล้อมทงั้ 4 เป็ นพนื้ ฐานสาคัญในการเรียนรู้ส่ิงแวดล้อม เปรียบเสมอื นเสาหลักของส่ิงแวดล้อม ” สว่ นเนอื ้ หาความรู้สงิ่ แวดล้อมทม่ี ีอยู่ ณ ปัจจบุ นั ในบรรดาหนงั สอื “ สง่ิ แวดล้อมศกึ ษา” เป็ นเนอื ้ หา ความรู้ในบางมิติ ซึ่งไม่ครอบคลมุ ทงั้ 4 มิติของวิทยาศาสตร์สง่ิ แวดล้อม เช่น บางเลม่ มีเนือ้ หาความรู้ สง่ิ แวดล้อมเฉพาะมิติของเสียและมลพิษ บางเลม่ เน้นเนือ้ หาความรู้สง่ิ แวดล้อมมิติทรัพยากร มิติของ เสยี และมลพิษ เป็ นต้น ซง่ึ การให้เนือ้ หาความรู้สิง่ แวดล้อมในลกั ษณะนี ้ เป็ นการเรียนรู้เชิงปริมาณ กล่าวคือ เป็ น การเรียนรู้ท่ียึดหลกั ว่า “ ปริมาณเนือ้ หาเป็ นจุดมุ่งหมายหลัก (Ends)ของการเรียนรู้” ดงั นนั้ จึงเห็นได้ว่า สิ่งแวดล้อมศึกษาในระดบั ประถมศึกษา มธั ยมศึกษา และอดุ มศึกษา มีการเติม เนือ้ หาความรู้สงิ่ แวดล้อมเพ่ิมมากขึน้ ตามลาดบั โดยเนือ้ หาความรู้ส่ิงแวดล้อมเหลา่ นนั้ ยงั ขาดความ เชื่อมโยงให้เห็นภาพของการเกิดปัญหาสง่ิ แวดล้อมโดยรวม ดงั นนั้ จดุ เร่ิมต้นของเนอื ้ หาความรู้สง่ิ แวดล้อมในหนงั สอื เลม่ นี ้จะเริ่มจาก..โลก..ซึ่งภายในโลกนี.้.. จะมีอาณาบริเวณที่มีส่ิงแวดล้อมทางกายภาพ (ดิน นา้ อากาศ) ที่เหมาะสม จนทาให้มีส่ิงมีชีวิต สามารถอยู่อาศัยได้ โดยอาณาบริเวณที่มีส่ิงมีชีวิตอาศัยอยู่ดังกล่าวนัน้ ก็คือ โลกของสิ่งมีชีวิต (Biosphere) ซง่ึ ภายในโลกของสงิ่ มีชีวติ จะมอี งค์ประกอบทงั้ สิง่ มีชีวิตและสิ่งไมม่ ีชีวิตท่ีมีความสมั พนั ธ์ กนั ในลกั ษณะของหว่ งโซอ่ าหารและการหมนุ เวียนของสาร รวมทงั้ วฏั จกั รของนา้ ความสมั พนั ธ์ในลกั ษณะของห่วงโซ่อาหาร ซงึ่ ก็คือ ความสมั พนั ธ์ท่ีเกิดจากการกินกนั ตามลาดบั ขนั้ ของสง่ิ มชี ีวิต สว่ นการหมนุ เวยี นของสาร ก็คอื ความสมั พนั ธ์ทีเ่ กิดจากการหมนุ เวยี นของธาตุ และนา้ จากสง่ิ แวดล้อมสสู่ ง่ิ มีชีวติ และจากสง่ิ มชี ีวิตสสู่ ง่ิ แวดล้อม โดยมนษุ ย์ได้นาทงั้ สิง่ มีชีวิตในหว่ งโซ่อาหาร ธาตุต่างๆ และนา้ ท่ีเกิดจากการหมุนเวียนมาใช้ประโยชน์ในการดารงชีวิตของตน ซึ่งส่ิงที่มนษุ ย์ได้ นามาใช้ประโยชน์เหลา่ นี ้ ก็คือ ทรัพยากรธรรมชาตินนั่ เอง แต่ผลจากการใช้ทรัพยากรธรรมชาติของ สงิ่ แวดล้อมศกึ ษา: แนวทางสกู่ ารปฏบิ ตั ิ__________________________________________

5 มนุษย์ท่ีขาดสมดุลของระบบนิเวศธรรมชาติ ได้สง่ ผลให้เกิดปัญหาส่ิงแวดล้อมขนึ ้ ทงั้ ปัญหาการขาด แคลนทรัพยากรธรรมชาตแิ ละปัญหามลพษิ สง่ิ แวดล้อม ดงั แผนภาพท่ี 1 แผนภาพที่1 กรอบแนวคดิ ของเนอื ้ หาความรู้ทางสงิ่ แวดล้อม เนอื ้ หาความรู้ท่กี อ่ ให้เกิดการเรียนรู้นัน้ โดยทว่ั ไปจาแนกออกเป็ น เนือ้ หาความรู้ท่ีก่อให้เกิดการ เรียนรู้เชิงปริมาณ และเนอื ้ หาความรู้ทกี่ ่อให้เกิดการเรียนรู้เชิงคณุ ภาพ สาหรับเนอื ้ หาความรู้สงิ่ แวดล้อม ทปี่ รากฏอยใู่ นปัจจบุ นั (ระดบั ประถมศกึ ษา มธั ยมศกึ ษา และอดุ มศกึ ษา) เป็ นเนือ้ หาความรู้ที่ก่อให้เกิด การเรียนรู้เชิงปริมาณ ซงึ่ เป็ นเนอื ้ หาความรู้สงิ่ แวดล้อมท่ีเติมให้แก่ผ้เู รียนในลกั ษณะการถ่ายโอนเนือ้ หา ความรู้สงิ่ แวดล้อม สผู่ ้เู รียนทม่ี ากขนึ ้ ๆเชน่ เดียวกบั การสะสมหรือเพ่ิมเติมเนือ้ หาสิง่ แวดล้อมที่เพิ่มมาก ขึน้ จากระดบั ประถมศึกษา มธั ยมศึกษา และอุดมศึกษา โดยมิได้ให้ความสาคัญกับการนาเนือ้ หา ความรู้สิ่งแวดล้อมเหล่านนั้ มาใช้เพื่อทาความเข้าใจถึงการเกิดปัญหาสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะเห็นได้ว่า สงิ่ แวดล้อมศกึ ษา: แนวทางสกู่ ารปฏิบตั ิ__________________________________________

6 มุมมองในเชิงปริมาณนัน้ ยึดหลักว่า “ เนือ้ หาเป็ นจุดมุ่งหมายหลกั ของการเรียนรู้ มิใช่วิถีทาง (Means)นาไปสกู่ ารเรียนรู้ ” การให้เนอื ้ หาความรู้สงิ่ แวดล้อมตามกรอบแนวคดิ ของเนอื ้ หาในหนงั สอื เลม่ นี ้เป็ นเนือ้ หาความรู้ที่ เน้นให้เกิดการเรียนรู้เชิงคุณภาพ ซ่ึงเป็ นเนือ้ หาความรู้ที่ทาให้ผ้เู รียนเข้าใจและสามารถวิเคราะห์ สาเหตทุ ี่ก่อให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อม อันจะนาไปส่กู ารเปล่ียนแปลงพฤติกรรมเพ่ือหนั มาดูแลรักษา ส่ิงแวดล้อม กล่าวคือ เป็ นการเรียนรู้ที่ยึดหลกั วา่ “เนือ้ หาเป็ นวิถีทางของการเรียนรู้” ซ่ึงจะนาไปสู่ แนวทางการป้ องกนั และแก้ไขปัญหาสงิ่ แวดล้อม อนั เป็ นจดุ มงุ่ หมายหลกั ของสงิ่ แวดล้อมศกึ ษาจากการ ประชมุ ระดบั นานาชาติ ทเี่ มอื งทบลิ ซิ ิ(Tbilisi)ประเทศสหภาพโซเวียต ในปี ค.ศ.1977 ดงั ได้กล่าวแล้วว่าเนือ้ หาจาแนกออกเป็ น 2 ประเภท คือ เนือ้ หาภาคความรู้ และเนือ้ หา ภาคปฏิบตั ิ ดงั นนั้ เนือ้ หาความรู้สิง่ แวดล้อมท่ีจะกลา่ วถึงในลาดบั ต่อไปนี ้ ผ้อู า่ นควรให้ความสาคญั ใน การพิจารณาวา่ “ เนอื ้ หาสิง่ แวดล้อมแตล่ ะเรื่องนนั้ ...เป็ นเนือ้ หาประเภทใด ” เพราะจะช่วยให้สามารถ นาเนอื ้ หาความรู้สงิ่ แวดล้อม ไปใช้เป็ นวถิ ีทางที่นาไปสกู่ ารบรรลุ จดุ มงุ่ หมายหลกั ของสง่ิ แวดล้อมศึกษา ได้ สง่ิ แวดล้อมศกึ ษา: แนวทางสกู่ ารปฏบิ ตั ิ__________________________________________

7 โลกของส่ิงมชี วี ติ (Biosphere) คาว่า “Biosphere” ซึ่งเทียบกบั คาภาษาไทย แปลว่า ชีวาลยั หรือชีวภาค หรือชีวมณฑล หรือ นิเวศมณฑล หรือโลกของสงิ่ มีชีวติ วจิ ิตร คงพลู (2524) ได้บรรยายภาพของ biosphere ไว้วา่ .. ...... โลกนีแ้ ม้จะดูกว้างใหญ่ไพศาลในความรู้สึกของคนเรา แต่ใช่ว่าสิ่งมีชีวิตจะอยู่อาศยั ได้ โดยทวั่ ไป สว่ นของโลกอนั เป็ นทีร่ องรับสง่ิ มีชีวิตจริงๆนนั้ ....(มี)เฉพาะผิวดินอนั เป็ นที่อย่อู าศยั ของ สตั ว์บกและพืชบก ลกึ ลงไปในดินเล็กน้อยเป็ นที่อาศยั ของสตั ว์ในดิน ในนา้ เป็ นท่ีอยู่ของสตั ว์นา้ และสงู ขนึ ้ ไปในอากาศเป็ นท่ีโบยบินของนกและจุลนิ ทรีย์บางชนิดลอ่ งลอยฟ้ งุ กระจายอยู่ อาณา บริเวณเหล่านี ้คือ ชีวาลยั จะเห็นว่า ชีวาลยั เป็ นเพียงส่วนของโลกท่ีบอบบางเพียงน้อยนิดเท่า นนั้ เอง..... .......แท้จริงแล้วสว่ นของโลกท่ีสง่ิ มีชีวิตจะดารงอยไู่ ด้ มีเพียงแต่สว่ นท่ีเป็ นขอบเขตของบริเวณผิว โลกเทา่ นนั้ สว่ นท่ีลกึ ลงไปสใู่ จกลางของโลกเป็ นที่ร้อนระอุ สว่ นท่ีสงู ขนึ ้ ไปในอากาศมากๆ ก็ไม่มี ออกซเิ จน และเตม็ ไปด้วยรังสที เ่ี ป็ นอนั ตราย( ศิริพรต, 2531) .......ขอบเขตของชีวาลยั โดยประมาณจะสงู และต่าจากระดบั นา้ ทะเลปานกลางประมาณ 9,000 เมตร และ10,000 เมตร ตามลาดบั ซึง่ ถ้าเทียบจากความสงู ของยอดเขาเอเวอรเรส์ตที่สงู ที่สดุ ใน โลกและความลกึ ของจดุ ทล่ี กึ ทีส่ ดุ ของมหาสมทุ รแปซิฟิก (นาทและพลทู รัพย์, 2528:) เสรีวฒั น์ สมินทร์ปัญญา (2539) กลา่ ววา่ .........Biosphere หมายถึง อาณาบริเวณบางๆที่อย่รู อบผิวโลก ประกอบด้วย ดิน หิน แร่ธาตุ เรียกวา่ “ธรณีภาค” (Lithosphere) ส่วนท่ีเป็ นนา้ เช่น มหาสมุทร ทะเล ทะเลสาบ ห้วย หนอง คลอง บึง เรียกว่า “อุทกภาค”(Hydrosphere) และส่วนที่เป็ นอากาศ ประกอบด้วย แก๊สต่างๆ เรียกวา่ “บรรยากาศ”(Atmosphere) .........Biosphere ประกอบด้วย ระบบนิเวศท่ีสาคญั สองประเภท คือ (1) ระบบนิเวศภาคพืน้ ดิน (Terrestrial Ecosystems ) ซง่ึ สามารถแบง่ ออกตามลกั ษณะอากาศ เป็ นระบบนเิ วศแบบเขตร้อน อากาศอบอนุ่ อากาศหนาว รวมตลอดจนระบบนเิ วศแบบภเู ขา ขวั้ โลก ทะเลทราย และ (2) ระบบ นเิ วศภาคพนื ้ นา้ (Aquatic Ecosystems ) ซงึ่ แบง่ ได้เป็ นระบบนเิ วศแบบนา้ จืด ระบบนิเวศแบบนา้ กร่อย และระบบนิเวศแบบนา้ เค็ม (มนสั , 2532) สงิ่ แวดล้อมศกึ ษา: แนวทางสกู่ ารปฏบิ ตั ิ__________________________________________

8 จากภาพมมุ มอง Biosphere ของทา่ นผ้รู ู้ /นกั วิชาการส่งิ แวดล้อม ดงั กลา่ วข้างต้น สรุปได้ว่า บน โลกใบนี ้ประกอบด้วย อาณาเขตท่ีมสี งิ่ มชี ีวิตและสง่ิ ไมม่ ชี ีวิตอยรู่ ่วมกนั เรียกวา่ Biosphere ซง่ึ ขอบเขต ของ Biosphere โดยประมาณ จะสงู และต่าจากระดบั นา้ ทะเลปานกลางประมาณ 9,000 เมตร และ 10,000 เมตร ตามลาดับ ภายใน Biosphere ประกอบด้วยส่วนท่ีเป็ น Lithosphere (ธรณีภาค) Hydrosphere (อทุ กภาค) และสว่ นท่เี ป็ น Atmosphere (บรรยากาศ) ดงั แผนภาพท่ี 2 Biosphere Hydrosphere 9,000 m Atmosphere 10,000 m Lithosphere แผนภาพท่ี 2 ขอบเขตของ Biosphere สง่ิ แวดล้อมศกึ ษา: แนวทางสกู่ ารปฏิบตั ิ__________________________________________

9 ส่งิ แวดล้อม(Environment) คาว่า “ส่ิงแวดล้อม” นัน้ เป็ นคาที่คุ้นเคยกันโดยทั่วไป ซ่ึงเทียบกับคาภาษาอังกฤษ ได้ว่า Environment ซง่ึ มาจากรากศพั ท์เคมีในภาษาฝร่ังเศส วา่ “Environ” แปลวา่ Around สง่ิ มชี ีวิตทกุ ชนิดอาศยั อยใู่ นอาณาบริเวณที่เรียกว่า “ Biosphere ” ซึง่ ประกอบด้วย สง่ิ มีชีวิตกบั สง่ิ ไมม่ ีชีวิต ทม่ี ีความสมั พนั ธ์เชื่อมโยงกนั การศกึ ษาความสมั พนั ธ์ของสง่ิ มชี ีวิตและสงิ่ ไมม่ ชี ีวติ ใน “ Biosphere ” นนั้ ทาได้ยากเพราะมีขนาดกว้างใหญ่ ดงั นนั้ ถ้าเรายอ่ ขนาดโลกให้เลก็ ลงเป็ นระบบนิเวศ (Ecosystem) ซ่ึงหมายถึง อาณาบริเวณหน่ึงที่มีส่ิงมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิตอาศัยอยู่ร่วมกันและมี ความสมั พนั ธ์กนั เช่น ระบบนเิ วศป่ า ซง่ึ ภายในระบบนเิ วศดงั กลา่ วจะมีสงิ่ มชี ีวติ (สตั ว์ป่ านานาชนิด พืช นานาชนดิ และมนษุ ย์) และสงิ่ ไมม่ ีชีวติ ( ดนิ นา้ อากาศ) เป็ นองค์ประกอบ เม่ือนาองค์ประกอบใดองค์ประกอบหน่ึงของระบบนิเวศมาเป็ นแกนกลางหรือเป็ นศูนย์กลาง สมมติวา่ ในที่นีจ้ ะใช้ “ช้าง” เป็ นศนู ย์กลาง จะพบว่า สรรพสิ่งท่ีอย่รู อบๆช้าง จะมีองค์ประกอบตา่ งๆ อยลู่ ้อมรอบ ทงั้ สง่ิ มีชีวิต เชน่ พืชนานาชนดิ สตั ว์นานาชนิด และสิ่งไมม่ ีชีวิต เช่น ดิน นา้ อากาศ สรรพ สงิ่ ทงั้ หลายในป่ าทงั้ สง่ิ มีชีวติ และสง่ิ ไมม่ ชี ีวิตทอี่ ยลู่ ้อมรอบตวั ช้างนี ้ก็คือ สงิ่ แวดล้อมของช้างนนั่ เอง แต่ ถ้ามองมนษุ ย์เป็ นศนู ย์กลาง ส่ิงแวดล้อม ก็จะหมายถึง สรรพสิง่ ทงั้ หลายในโลกนี ้ทงั้ ท่ีมีชีวิตและไม่มี ชีวติ ทีอ่ ยรู่ อบตวั มนษุ ย์นน่ั เอง ดงั แผนภาพที่ 3 โลกของส่ิงมชี วี ติ = Biosphere ส่งิ มีชีวติ ส่งิ ไม่มีชีวติ ส่งิ ไม่มชี ีวติ ระบบนิเวศ ส่ิงมชี วี ติ ส่งิ ไม่มีชีวิต ส่งิ ไม่มีชีวิต ช้าง คน ส่งิ มีชีวติ ส่ิงมีชีวติ สรรพสงิ่ ทีอ่ ยรู่ อบๆ ช้าง คอื สงิ่ แวดล้อม สรรพสงิ่ ท่ีอยรู่ อบๆ คน คือ สงิ่ แวดล้อม แผนภาพท่ี 3 ความหมายของสงิ่ แวดล้อม สงิ่ แวดล้อมศกึ ษา: แนวทางสกู่ ารปฏบิ ตั ิ__________________________________________

10 ดงั นนั้ การทจ่ี ะตอบวา่ สงิ่ แวดล้อม หมายถึงอะไรนนั้ ดร.นาท ตณั ฑวริ ุฬห์ และ ดร.พลู ทรัพย์ สมทุ รสาคร (2528) บรุ พาจารย์ด้านสงิ่ แวดล้อมจากมหาวทิ ยาลยั มหิดล ได้กลา่ วไว้วา่ “ เราจาเป็ นต้องกาหนดศนู ย์กลางเสยี ก่อน เช่น ตวั เราเป็ นศนู ยก์ ลาง ทกุ สงิ่ ทกุ อยา่ งรอบๆตวั เรา ก็คือ สง่ิ แวดล้อม ซงึ่ มีทงั้ สงิ่ มีชวี ติ และไมม่ ชี วี ติ ” นน่ั เอง สง่ิ แวดล้อมศกึ ษา: แนวทางสกู่ ารปฏบิ ตั ิ__________________________________________

11 ระบบนิเวศ (Ecosystem) คาวา่ “ระบบนิเวศ” นเี ้ป็ นคาศพั ท์ทางวชิ าการของนกั วิชาการทางด้านสง่ิ แวดล้อม แตค่ นไทยก็ รู้จกั ค้นุ เคยกนั ดอี ยแู่ ล้วกบั คาๆนี ้ ดร.นาท ตณั ฑวิรุฬห์ และ ดร.พูลทรัพย์ สมุทรสาคร (2528) ได้กล่าวไว้ในบทคานา หนังสือชื่อ “วทิ ยาศาสตร์สง่ิ แวดล้อมและการบริหารจดั การ” ในปี พ.ศ.2528 วา่ ..... ถึงแม้ความเข้าใจซ่ึงกนั และกนั ของนกั วิชาการในศาสตร์แขนงต่างๆ จะเป็ นสิ่งท่ียากก็ตาม .... (แต่) มิได้เป็ นสิ่งเหลือวิสยั เพราะแม้แต่กวีของไทยเราก็สามารถบรรยายความเข้าใจในวิชา นิเวศวิทยาของทา่ นไว้ได้อยา่ งลกึ ซงึ ้ และสวยสดงดงาม ดงั ตอ่ ไปนี ้ เสอื มเี พราะป่ าปก ป่ ารกเพราะเสอื ยงั ดนิ ดเี พราะหญ้าบัง หญ้ายงั เพราะดินดี นอกจากกวีของไทยแล้ว ยงั มีเพลงลกู ทงุ่ ซ่งึ นกั ร้องลกู ท่งุ อมตะของไทย คือ พร ภิรมย์ (ผ้ลู ว่ งลบั ไปแล้ว) ได้แตง่ คาร้องและทานอง รวมทงั้ เป็ นผ้รู ้องเพลงนดี ้ ้วยนนั้ ทา่ นได้แตง่ เนอื ้ ร้องซงึ่ พรรณนาให้เหน็ ภาพความสมั พนั ธ์ของสง่ิ มีชีวิตท่ีอาศยั อยใู่ นอาณาบริเวณเดียวกนั เอาไว้ในเพลงที่ชื่อว่า “ ชมดง ”อนั แสนไพเราะ ดงั นี ้ ชื่อเพลง ชมดง คาร้อง : ทานอง พร ภริ มย์ เพลนิ ชมป่ าดารดาษ พอแทงฉาดเลอื ดฉ่างช้างดพุ อใช้ รุกขชาตดิ ่นื ดาษไป โน่นพกิ ลุ ยอดก้นุ ต้อก้อ จงิ ้ จอกเทยี่ วจรตามดอนป่ าแจง เรื่องไรไมแ่ จ้งร้องหอนจบั ใจ แตกก้านก่อกอระกะกิ่งไกว แก้วเกดแกมกนั กางกนั้ โก่งกงิ่ นกยงู หางใหญม่ นั ราไมใ่ คร่หยดุ หย่อน เกลอ่ื นกลาดลกู กลงิ ้ พนั ก่ิงคานไก่ ขยบั ขย้อนบนยอดลาไย ลาเจียกขจีสนิ ้ จ่ีขจร ลนิ จงต้นจ้อนขจรช่ืนใจ นกเงือกชะง่อนแบกหงอนชะโงก ซบเซาเศร้าโศกสนิ ้ สขุ สดใส สะตอื สะตอตดิ ต่อต้นเตง็ ใบโตลกู เตง่ ต้นเตง็ แขง็ ไต โน่นนกกาเหวา่ เจ้าบินผวา ยางใหญ่ใบยน่ กง่ิ โยนลกู เยอะ มาเจอต้นหว้าที่หมายตาเอาไว้ ยางยืดหยาเหยอะลกู เยอะยางใหญ่ ลกู หว้าร่วงวายเสยี ดายลกู หว้า กาเหวา่ ไมม่ าลกู หว้าไสว กระทงิ เที่ยวทอ่ งเมียท้องแล้วทงิ ้ กาเหวา่ บนิ มาทาไมลกู หว้าร่วงหมด ทกุ ข์แทนกระทงิ ผวั ทงิ ้ ชา้ ใจ กาเหวา่ ต้องอดสลดหวั ใจ ละมงั่ เดนิ เมียงเข้าเคยี งตวั เมีย โลกนีอ้ นจิ จงั อย่าหวงั นกึ แน่ คลกุ เคล้าคลอเคลียเหมือนเมียผวั ใหม่ ไม่เที่ยงไม่แท้ยอ่ มแปรเปลีย่ นไป ฝงู แรดช้างร้องตามร้องป่ าร้าง กาเหว่าอดหว้าเสมือนดงั ข้าหมดหวงั เจ้าแรดเหลียวหลงั โดนลงิ วิ่งไล่ วิมานรักพงั นะพลาดพลงั้ เผลอไผล สมนั ปนเม่นมนั เดนิ เลน่ ตามหมู่ ต้องใช้ธรรมชา้ รักระบน่ั รอน มีให้นวิ รณ์มากร่อนจติ ใจ โน่นหมีตามหมเู ข้าหมกู่ อไม้ เหมือนข้าวหนีเคยี วไมเ่ กี่ยวหญิงใด โนน่ ช้างชนกนั แย่งต้นอ้อยช้าง ไมข่ อชา้ ใจเชน่ กาเหวา่ เอย สง่ิ แวดล้อมศกึ ษา: แนวทางสกู่ ารปฏบิ ตั ิ__________________________________________

12 ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่สง่ ผลกระทบต่อการดารงชีวิตของมนษุ ย์ในลกั ษณะตา่ งๆ เช่น ภาวะมลพิษ ทางอากาศ ทางนา้ ทางดนิ และภาวะมลพิษอ่ืนๆ ปัญหาเหลา่ นอี ้ าจป้ องกนั และแก้ไขได้ โดยมนษุ ย์ต้อง เข้าใจเก่ียวกบั ระบบนเิ วศในธรรมชาติ ทงั้ นเี ้พราะระบบนิเวศเปรียบเสมือนเป็ นจดุ รวม/ชมุ ทางรถไฟของ ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งสงิ่ มีชีวิตกบั สง่ิ แวดล้อม ในลกั ษณะท่ีมีความสมดลุ ดงั นนั้ ถ้าหากได้มีการรักษา ระบบนเิ วศให้คงอยใู่ นภาวะสมดุลแล้ว จะช่วยป้ องกนั และแก้ไขปัญหาสง่ิ แวดล้อมได้ (สากล, 2530) ความหมายของระบบนิเวศ ระบบนิเวศ เป็ นวิธีการท่ีนกั นิเวศวิทยาใช้ในการศึกษาวิเคราะห์ความสมั พันธ์ซ่ึงกันและกัน (Interrelationship) ของ 1) สงิ่ แวดล้อมทีม่ ชี ีวติ ด้วยกนั เอง และ 2) กบั สง่ิ แวดล้อมที่ไมม่ ชี ีวติ ทีอ่ าศยั อยู่ ในขอบเขตพนื ้ ทเ่ี ดยี วกนั คาวา่ “ระบบนิเวศ” มาจากรากศพั ท์ภาษาองั กฤษว่า Ecosystem ซ่งึ ประกอบด้วยคาว่า “ระบบ” และ “นเิ วศ” คาว่า “นิเวศ” หมายถึง แหลง่ ท่ีอย่อู าศยั (Habitat) ซึ่งโดยธรรมชาติแล้ว ประกอบด้วย สง่ิ มีชีวิต (พชื สตั ว์ มนษุ ย์) และสงิ่ ไมม่ ีชีวติ คาว่า “ระบบ” หมายถึง ส่ิงใดก็ตามท่ีประกอบด้วย ส่วนประกอบต่างๆ ที่อยู่ในอาณาบริเวณ เดียวกนั และสว่ นประกอบเหลา่ นี ้มีความสมั พนั ธ์ซงึ่ กนั และกนั เมื่อรวมสองคาคือ “ระบบ” กบั “นิเวศ” เข้าด้วยกนั เป็ น “ระบบนิเวศ”จึงหมายความถึง ระบบท่ี ประกอบด้วยสิ่งมีชีวิตที่อาศยั อยู่ร่วมกันในอาณาบริเวณเดียวกัน และมีความสมั พันธ์กันระหว่าง สง่ิ มีชีวิตด้วยกนั เอง รวมทงั้ สง่ิ มชี ีวติ กบั สงิ่ ไมม่ ชี ีวิต ดังนัน้ เม่ือพูดถึงเร่ือง “ระบบนิเวศ” จึงหมายความว่า กาลังพูดถึง ระบบที่เก่ียวกับระบบ ความสมั พนั ธ์ระหว่าง พืช สตั ว์ และมนษุ ย์ กบั สิง่ แวดล้อมของพืช สตั ว์ มนษุ ย์เหลา่ นนั้ ภายในอาณา บริเวณท่ีอยอู่ าศยั เดียวกนั ใน 2 ลกั ษณะ คอื 1. ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งพชื สตั ว์ มนษุ ย์ด้วยกนั เอง ซงึ่ ประกอบด้วย 1.1 ความสมั พนั ธ์ในเชิงการถา่ ยทอดพลงั งานผา่ นหว่ งโซอ่ าหาร (Food Chain ) 1.2 ความสมั พนั ธ์ในเชิงการอยรู่ ่วมกนั ของสงิ่ มีชีวติ 2. วฏั จกั รของสาร ( Material Cycle) ตวั อยา่ งระบบนิเวศที่เห็นได้ชดั คอื บอ่ นา้ หรือสระนา้ (ดงั ภาพท่ี 1) เมอื่ พจิ ารณาให้เป็ นระบบนิเวศ ระบบหน่ึง ซ่ึงตัวอย่างนี ้ หนงั สือเกี่ยวกับนิเวศวิทยาภาษาไทยหลายๆเล่ม ได้อ้างอิงจากหนังสือ Fundamentals of Ecology ของ Odum, E.P. (1971) สง่ิ แวดล้อมศกึ ษา: แนวทางสกู่ ารปฏบิ ตั ิ__________________________________________

13 นก นก คนตกปลา ปู กบ ปลา สาหร่าย ดนิ นา้ ปลาตาย อนินทรีย์ ภาพที่ 1 ระบบนิเวศบอ่ นา้ จากภาพระบบนเิ วศบอ่ นา้ จะเหน็ ได้วา่ มีองค์ประกอบทงั้ สงิ่ มีชีวติ และสง่ิ ท่ไี มม่ ชี ีวติ ทเี่ ป็ นตวั อยา่ ง เทา่ นนั้ แตใ่ นความเป็ นจริงแล้วในระบบนเิ วศดงั กลา่ ว จะมีองค์ประกอบทงั้ สง่ิ มชี ีวติ และไมม่ ีชีวติ อ่นื ๆ อีกหลากหลาย เช่น 1. ส่ิงไม่มีชีวิต ได้ แก่ อินทรีย์สารและอนินทรี ย์สาร เช่น ซากส่ิงมีชีวิต นา้ ออกซิเจน คาร์บอนไดออกไซด์ แคลเซียม ไนโตรเจน เกลอื ฟอสฟอรัส กรดอะมิโน กรดฮิวมกิ ฯลฯ 2. สงิ่ มชี ีวติ ได้แก่ พืชขนาดใหญ่ บางชนดิ ลอยนา้ บางชนิดมีรากผงั ในดิน เช่น ผกั ตบชะวา บวั ผกั กระเฉด ผกั บ้งุ ฯลฯ และพืชขนาดเล็กลอยนา้ ได้ กระจายอยู่ตามระดบั นา้ ลกึ เทา่ ที่แสงสอ่ งผ่านถึง เช่น สาหร่าย ฯลฯ สตั ว์ เช่น ก้งุ ปู ปลา ตวั ออ่ นของแมลง ฯลฯ แบคทีเรีย รา ที่กระจายอย่กู ้นสระ ซงึ่ เป็ นบริเวณท่ีมีซากพืช ซากสตั ว์สะสมอยู่ ทาหน้าท่ียอ่ ยสลายซากพชื และสตั ว์ องค์ประกอบในระบบนิเวศ ระบบนิเวศ โดยทวั่ ไปแล้วจะมอี งค์ประกอบที่เป็ นสง่ิ มีชีวติ และสง่ิ ไมม่ ีชีวติ ดงั นี ้ 1. องค์ประกอบท่ีเป็ นสง่ิ มชี ีวิต แบง่ ตามบทบาทหน้าทเี่ ฉพาะอยา่ งของสง่ิ มีชีวติ ออกเป็ น 3 กลมุ่ 1.1 ผู้ผลิต (Producer) เป็ นสิ่งมีชีวิตที่สามารถสร้ างอาหารได้เอง โดยใช้พลงั งานจาก แสงอาทิตย์ ได้แก่ พชื สเี ขยี วทงั้ หลาย แพลงตอนพชื และจลุ นิ ทรีย์ทีม่ ีคลอโรฟิลล์ 1.2 ผ้บู ริโภค (Consumer) เป็ นสิง่ มีชีวิตที่ไม่สามรถสร้ างอาหารได้เอง แต่ดารงชีวิตอย่ไู ด้ โดยกินสงิ่ มชี ีวิตชนิดอืน่ ๆ เป็ นอาหาร ซง่ึ จาแนกออกเป็ น 4 กลมุ่ 1) Herbivore คือ พวกสตั ว์กินพืชเป็ นอาหาร 2) Carnivore คือ พวกสตั ว์กินสตั ว์ด้วยกนั เป็ นอาหาร 3) Omnivore คือ พวกสตั ว์ที่กินทงั้ พืชและสตั ว์เป็ นอาหาร 4) Detritivore คอื พวก สตั ว์ท่กี ินซากสง่ิ มีชีวติ เป็ นอาหาร สง่ิ แวดล้อมศกึ ษา: แนวทางสกู่ ารปฏิบตั ิ__________________________________________

14 1.3 ผ้ยู อ่ ยสลาย (Decomposer) เป็ นสง่ิ มีชีวิตท่ีทาหน้าที่เป็ นผ้ยู อ่ ยสลายซากสง่ิ มีชีวิต เชน่ จลุ นิ ทรีย์ รา ยสี ต์ ไวรัส เป็ นต้น 2 องค์ประกอบที่เป็ นสงิ่ ไมม่ ชี ีวติ แบง่ ออกเป็ น 4 กลมุ่ 2.1 สารอินทรีย์ เช่น โปรตีน ไขมนั คาร์โบไฮเดรทในมนษุ ย์ ฮิวมสั ในดนิ เป็ นต้น 2.2 สารอนินทรีย์ ได้ แก่ ธาตุต่างๆ (คาร์ บอน ไนโตรเจน ออกซิเจน เป็ นต้ น) และ สารประกอบ (เชน่ คาร์บอนไดออกไซด์ นา้ ฯลฯ) สาหรับองค์ประกอบที่เป็ นสารอินทรีย์และสารอนินทรีย์ข้างต้น จะขอยกตวั อย่างในระบบ นิเวศนาข้าว พอเป็ นสงั เขป ดงั นี ้ สารอินทรีย์ในท่ีนี ้ คือ ฮิวมัส ซ่ึงเกิดจากการย่อยสลายสารอินทรีย์โดยจุลินทรีย์ใน ดิน สารอนิ ทรีย์ในดนิ จะช่วยให้ดินมีโครงสร้างทเ่ี ป็ นประโยชน์ตอ่ การเจริญเติบโตของต้นข้าว สารอนินทรีย์ในที่นี ้คือ ธาตตุ า่ งๆประกอบด้วย นา้ ออกซิเจน คาร์บอนไดออกไซด์ ไนโตรเจน กามะถัน ฟอสฟอรัส ซ่ึงธาตเุ หลา่ นี ้เป็ นองค์ประกอบสาคญั ท่ีทาให้ ต้นข้าวเจริญเติบโต และเกิดเป็ น ผลผลติ ของข้าว เชน่ 1) คาร์บอน เป็ นธาตสุ ารอาหารในรูปของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากอากาศซงึ่ เป็ น ปัจจัยสาคญั ในการสงั เคราะห์แสงเพื่อสร้ างเนือ้ เยื่อของข้าว ซ่ึงเป็ นผลผลิตของ ระบบนิเวศนาข้าว 2) ไนโตรเจน เป็ นธาตสุ ารอาหารในรูปของสารประกอบไนเตรท เกิดการเปลย่ี นแปลงทาง เคมีของก๊าซไนโตรเจนในอากาศผ่านจุลินทรีย์ในดิน ซ่ึงเป็ นปัจจัยสาคัญในการ เจริญเตบิ โตของต้นข้าว 2.3 ปัจจยั ทางกายภาพ เช่น สภาพภมู ศิ าสตร์ อณุ หภมู ิ แสงสวา่ ง ความชืน้ ความเป็ นกรด เป็ นดา่ ง เป็ นต้น 2.4 ปัจจยั ทางสงั คม เชน่ วฒั นธรรม ระเบยี บข้อบงั คบั กฎเกณฑ์ คา่ นิยม เป็ นต้น ระบบนเิ วศทงั้ หลายทว่ั โลก ทงั้ ขนาดเลก็ และขนาดใหญ่ ตา่ งก็มีลกั ษณะเฉพาะตวั ที่ตา่ งกนั ออกไป ตามสภาพแวดล้อมของระบบนิเวศนนั้ ๆ แต่จะมีองค์ประกอบที่เหมือนกนั อย่างน้อย 4 ประการดงั นี ้ (สมุ าล:ี 2532) 1. มสี ารอินทรีย์และสารอนินทรีย์ชนิดต่างๆ ที่จาเป็ นตอ่ การดารงอยู่ของส่งิ มีชีวิตในระบบนิเวศ นนั้ ๆ สารดงั กลา่ ว ได้แก่ นา้ ออกซิเจน คาร์บอนไดออกไซด์ แร่ธาตตุ า่ งๆ เป็ นต้น สงิ่ แวดล้อมศกึ ษา: แนวทางสกู่ ารปฏิบตั ิ__________________________________________

15 2. มีพืชเป็ นผ้ผู ลิต ซึ่งมีขนาดตงั้ แต่เล็กมากจนมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น จนถึงพืชยืนต้นขนาด ใหญ่ พืชเหลา่ นี ้ ทาหน้าที่นาเอาพลงั งานจากแสงแดดมาใช้ในการสงั เคราะห์สารอินทรีย์ เพ่ือผลิต สารอินทรีย์ สาหรับการเจริญเติบโตของพชื เองและสาหรับเป็ นอาหารของผ้บู ริโภค 3. มีสตั ว์ขนาดต่างๆทาหน้าท่ีเป็ นผ้บู ริโภค โดยบริโภคพืชหรือพลงั งานจากพืช ซึ่งก็คือ การนา พลงั งานจากดวงอาทิตย์ท่ีแฝงในเนอื ้ เยือ่ พชื มาใช้อกี ทอดหนงึ่ นนั่ เอง 4. มจี ลุ นิ ทรีย์ทาหน้าท่ียอ่ ยสลายสง่ิ ขบั ถา่ ยและสารอนิ ทรีย์ท่ตี กค้าง ให้แปรสภาพเป็ นสารอนินท รีย์กลบั คนื สพู่ ชื อกี ครัง้ หนง่ึ ความสัมพันธ์ขององค์ประกอบในระบบนิเวศ จากความหมายของระบบนิเวศ ท่ีกลา่ วถึงความสมั พนั ธ์ซึ่งกนั และกนั ขององค์ประกอบในระบบ นเิ วศนนั้ จาแนกได้เป็ น 2 ลกั ษณะที่สาคญั ด้วยกนั คอื 1) ความสมั พันธ์ระหว่างส่ิงมีชีวิตด้วยกันเอง ได้แก่ ห่วงโซ่อาหาร ซึ่งเป็ นความสมั พนั ธ์ของ สงิ่ มีชีวิตกบั สิ่งมีชีวิตในลกั ษณะของการถ่ายทอดพลงั งาน โดยการกินกนั ในหว่ งโซ่ และความสมั พนั ธ์ ของสง่ิ มชี ีวิตกบั สง่ิ มชี ีวิตในลกั ษณะของการอยรู่ ่วมกนั 2) วฏั จกั รของสาร ห่วงโซ่อาหาร เป็ นการถ่ายทอดพลงั งานในระบบนิเวศ โดยจะถ่ายทอดไปในทิศทางเดียวกนั ตลอด คือ เร่ิมต้น จากพลงั งานแสงจากดวงอาทิตย์ผ่านพืชสีเขียวไปยังส่วนอื่นๆในห่วงโซ่อาหาร ซ่ึงแบ่งออกเป็ น 2 ลกั ษณะ คอื “ หว่ งโซอ่ าหารชนดิ ทมี่ กี ารกินอาหารโดยตรง”และหว่ งโซอ่ าหารของการสลายอนิ ทรียวตั ถุ ” ซง่ึ จะขยายความในลาดบั ตอ่ ไป การถ่ายทอดพลงั งานเป็ นเร่ืองทีส่ ลบั ซบั ซ้อน แตพ่ อทจี่ ะอธิบายให้เข้าใจได้ง่าย ดงั นี ้ เริ่มแรก: เม่ือพนั ธ์ุพืชชนิดต่างๆที่อย่ใู นระบบนิเวศ ในตวั อย่าง คือ หญ้า ได้รับพลงั งานแสงจาก ดวงอาทิตย์ จะทาการสงั เคราะห์แสง สร้ างเนือ้ เยื่อซึ่งเป็ นอาหารแก่ผู้บริโภคลาดับต่างๆ ในท่ีนี ้ คือ กระตา่ ย ซง่ึ เป็ นผ้บู ริโภคท่กี ินพชื เป็ นอาหาร และกระตา่ ยเป็ นอาหารของมนษุ ย์และสตั ว์กินเนือ้ ซึ่งเป็ น ผ้บู ริโภคท่ีกินสตั ว์เป็ นอาหารได้ การถ่ายทอดพลงั งานผา่ นจากชีวิตหนง่ึ สอู่ ีกชีวิตหน่งึ โดยกระบวนการ กินกนั เป็ นทอดๆ นเี ้รียกวา่ “หว่ งโซอ่ าหารชนิดที่มีการกินอาหารโดยตรง” ดงั แผนภาพที่ 4 หญ้า อาหาร กระตา่ ย อาหาร มนษุ ย์ / สตั ว์กินเนอื ้ แผนภาพที่ 4 หว่ งโซอ่ าหารชนิดทมี่ ีการกินอาหารโดยตรง สง่ิ แวดล้อมศกึ ษา: แนวทางสกู่ ารปฏบิ ตั ิ__________________________________________

16 จะขอยกตวั อยา่ งอีกหน่งึ ตวั อยา่ ง ท่ีทาให้เห็นภาพของปรากฏการณ์ในหว่ งโซ่อาหาร ซึง่ มีการกิน กนั ของสง่ิ มชี ีวติ ด้วยกนั เองเป็ นทอดๆตามลาดบั นนั้ ได้แก่ ระบบนิเวศนาข้าวที่เป็ นระบบนิเวศเกษตรท่ี สาคญั ของประเทศไทย โดยในนาข้าวนนั้ จะมีต้นข้าวซึ่งถูกกินโดยแมลงศตั รูข้าว ในขณะท่ีแมลงศตั รู ข้าวเหลา่ นนั้ ก็จะถกู ศตั รูธรรมชาติของแมลงศตั รูข้าวกินอกี ทอดหนง่ึ ดงั ภาพที่ 2 ศตั รูข้าว ศตั รูธรรมชาติของศตั รูข้าว ระบบนิเวศนาข้าว มวนจิงโจ้นา้ เพลยี ้ กระโดดสนี า้ ตาล แมงมมุ สนุ ขั ป่ า มวนเขยี วดดู ไข่ ด้วงก้นกระโดก หว่ งโซอ่ าหารในระบบนเิ วศนาข้าว อาหาร แมงมมุ สนุ ขั ป่ า ข้าว อาหาร เพลยี ้ กระโดดสนี า้ ตาล อาหาร มวนจิงโจ้นา้ อาหาร อาหาร ด้วงก้นกระโดก มวนเขยี วดดู ไข่ ภาพที่ 2 ศตั รูข้าวและศตั รูธรรมชาติของศตั รูข้าว และหว่ งโซอ่ าหารในระบบนเิ วศนาข้าว ทมี่ าของภาพ: ปรับปรุงจาก http://ag-ebook.lib.ku.ac.th/ebooks/2011/2011-004-0148 จากท่กี ลา่ วแล้วข้างต้นเป็ นการถ่ายทอดพลงั งานในห่วงโซ่อาหารชนิดท่ีมีการกินกนั โดยตรง สว่ น การถ่ายทอดพลงั งานในห่วงโซ่อาหารของการสลายอินทรียวตั ถุ อาจเริ่มต้นจากซากสิ่งมีชีวิตไปยงั สง่ิ มีชีวิตที่เป็ นสตั ว์กินซาก ได้แก่ ไส้เดอื นดิน และสงิ่ มีชีวิตในลาดบั ถดั ไป (ไก่ มนษุ ย์ และ สตั ว์กินเนอื ้ ) ดงั แผนภาพท่ี 5 ซากใบไม้ อาหาร ไส้เดอื นดิน อาหาร ไก่ อาหาร มนษุ ย์ / สตั ว์กินเนอื ้ แผนภาพที่ 5 หว่ งโซอ่ าหาร ของการสลายอนิ ทรียวตั ถุ สง่ิ แวดล้อมศกึ ษา: แนวทางสกู่ ารปฏิบตั ิ__________________________________________

17 ความสมั พนั ธ์ในการอย่รู ่วมกนั ของส่ิงมีชีวิต การอย่รู ่วมกนั ของสิง่ มีชีวิตต่างชนิดกนั จาแนกออกได้เป็ น 3 ลกั ษณะคือ1) การพง่ึ พาอาศยั กนั 2) การเป็ นปฏิปักษ์ต่อกนั และ3)การอย่รู ่วมกนั แบบเป็ นกลาง (ซงึ่ ไม่พบในสภาพจริงตามธรรมชาติ เป็ นเพียงทฤษฏีเทา่ นนั้ ) การพ่ึงพาอาศัยกนั มที งั้ ชนิดทีต่ า่ งได้ประโยชน์ทงั้ คู่ เช่น การอยรู่ ่วมกนั ของแบคทีเรียไรโซเบียม ในปมของรากพืชตระกูลถว่ั ซึ่งผลจากการอย่รู ่วมกัน ทาให้ไรโซเบียมได้ที่อย่อู าศัยและต้นถว่ั ได้ธาตุ อาหารจากการตรึงไนโตรเจนจากอากาศของไรโซเบียม เป็ นต้น ขณะท่ีการพงึ่ พาอาศยั กนั ที่ฝ่ ายหนง่ึ ได้ประโยชน์แตอ่ ีกฝ่ ายหนง่ึ ไมเ่ สยี ปะโยชน์แตอ่ ยา่ งใด (ภาวะอิงอาศยั กนั ) เช่น การอย่รู ่วมกนั ของเฟริ์น กบั ต้นไม้ใหญ่ โดยเฟริ์นได้ประโยชน์จากการอาศยั ไม้ใหญ่เพื่อรับแสงขณะท่ีไม้ใหญ่ไมเ่ สยี ประโยชน์ จากการอยรู่ ่วมของเฟร์ิน สว่ นการอย่รู ่วมกันแบบเป็ นปฏิปักษ์ต่อกัน มหี ลายลกั ษณะ ได้แก่ 1)การแสวงหาผลประโยชน์ 2) การแกง่ แยง่ กนั และ 3) การตอ่ ต้าน (สมุ าล,ี 2532) การแสวงหาผลประโยชน์ เป็ นการอยรู่ ่วมกนั แบบลา่ เหยื่อ (การกินกนั ในห่วงโซอ่ าหาร) และแบบ เป็ นปรสติ ความสมั พนั ธ์แบบเป็ นปรสติ นนั้ เป็ นได้ทงั้ แบบชว่ั คราวและถาวร พบทงั้ ในพืชและสตั ว์ เช่น การเกิดพยาธิในมนษุ ย์ เป็ นต้น การแกง่ แย่งกนั เป็ นการอย่รู ่วมกนั ของส่ิงมีชีวิตต่างๆ ที่ต้องการสง่ิ จาเป็ นที่เหมือนกนั เม่ือมาอยู่ ร่วมกนั ทาให้เกิดการแกง่ แยง่ กนั เช่น การอยรู่ ่วมกนั ของข้าวดีด(ข้าววชั พืช)กบั ข้าวหอมมะลิ ซ่งึ ข้าวดีด จะแยง่ ธาตอุ าหารในดินและเจริญเติบโตอยา่ งรวดเร็วจนข้าวหอมมะลไิ มส่ ามารถเจริญเติบโตได้ทนั ทา ให้ชาวนาไมไ่ ด้ผลผลติ จากข้าวหอมมะลิ การต่อต้าน เป็ นการอยู่ร่วมกันของส่ิงมีชีวิตสองชนิด ที่ส่ิงมีชีวิตชนิดหนึ่งมีการปล่อยสารพิษ ออกมา ทาการรบกวนสงิ่ มีชีวิตชนิดอืน่ เชน่ ราเพนนิซลิ นิ สร้างสารแอนตีไ้ บโอตกิ ทาลายแบคทีเรีย การอย่รู ่วมกันของส่ิงมีชีวิตในลกั ษณะต่างๆเหลา่ นี ้มนุษย์นามาใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ เช่น ด้านการรักษาสมดลุ ทางนเิ วศวทิ ยา ด้านการพฒั นางานด้านเกษตรทงั้ การปลกู พืช เลยี ้ งสตั ว์ เช่น การ นาความสมั พนั ธ์แบบลา่ เหยอ่ื ของแมลงศตั รูพืชและศตั รูธรรมชาติของแมลงศตั รูพืช ใช้ในการทาเกษตร อินทรีย์เพื่อลดการใช้สารเคมีกาจดั แมลงศตั รูพืช และสร้ างสมดลุ ทางนิเวศในระบบนิเวศเกษตรนนั้ ๆ นอกจากนนั้ ยงั นามาใช้ในทางการแพทย์ เชน่ การผลติ ยาแอนตไี ้ บโอตกิ จากราเพนนิซเิ ลยี ม เป็ นต้น สง่ิ แวดล้อมศกึ ษา: แนวทางสกู่ ารปฏิบตั ิ__________________________________________

18 วฎั จักรของสาร วฎั จกั รของสาร เป็ นกิจกรรมที่เกิดขนึ ้ ในระบบนิเวศธรรมชาติของ Biosphere Biosphere สว่ นท่ีเป็ นอากาศ มสี ารท่สี าคญั สาหรับการดารงชีวิตของมนษุ ย์อยใู่ นรูปก๊าซ ท่ีสาคญั คือ ธาตอุ อกซิเจน (O2) ธาตไุ นโตรเจน (N2) ธาตคุ าร์บอน (C) และธาตไุ ฮโดรเจน H2) Biosphere สว่ นทเ่ี ป็ นพนื ้ ดนิ มีสารที่อยใู่ นรูปของสารที่เป็ นตะกอนที่สาคญั คือ สารประกอบของ กามะถนั (S) และฟอสฟอรัส (P) Biosphere สว่ นท่เี ป็ นพนื ้ นา้ มสี ารท่ีอยใู่ นรูปสารประกอบ คอื นา้ ( H2O ) สารใน 3 สว่ นของ Biosphere มกี ารหมนุ เวียนของสารจากสิง่ แวดล้อมเข้าสสู่ ง่ิ มีชีวิต แล้วไหลวน กลบั สสู่ ง่ิ แวดล้อมอยา่ งเดมิ เป็ นวฏั จกั รอยตู่ ลอดเวลา ซง่ึ ในท่ีนจี ้ ะกลา่ วถึงเฉพาะการหมนุ เวียนของสาร ทีส่ าคญั ของสงิ่ มชี ีวติ ประกอบด้วย คาร์บอน ออกซิเจน ไนโตรเจน กามะถนั และฟอสฟอรัส ส่วนวฏั จักรของนา้ ก็เป็ นอีกกิจกรรมหนึ่งที่เกิดการหมุนเวียนอย่ตู ลอดเวลาเป็ นปี แล้วปี เล่าใน ระบบนิเวศ ซง่ึ มีความสาคญั ตอ่ การดารงอยขู่ องสง่ิ มชี ีวติ ในระบบนิเวศ การหมุนเวยี นของคาร์บอน คาร์บอนท่ีอยู่ในอากาศ จะอยู่ในรูปของก๊ าซคาร์บอนไดออกไซด์ เมื่อถูกพืชนาไปใช้ ใน กระบวนการสงั เคราะห์แสง คาร์บอนจะถกู เปลยี่ นไปอยใู่ นรูปอินทรีย์สาร เช่น คาร์โบไฮเดรต ไขมนั และ โปรตีน จากนนั้ จะถูกถ่ายทอดเข้าไปในผู้บริโภคตามลาดบั ขนั้ การบริโภค(ห่วงโซ่อาหาร) คาร์บอน บางสว่ นกลบั คืนสสู่ ภาพก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศเม่ือถกู พืชและสตั ว์หายใจออกมา เม่ือพืช และสตั ว์ตายลงจะถกู ผ้ยู อ่ ยสลาย(ในหว่ งโซอ่ าหาร)เข้ายอ่ ยสลาย ทาให้คาร์บอนกลบั คืนสอู่ ากาศในรูป ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ การหมุนเวียนของออกซเิ จน ออกซเิ จนหมนุ เวยี นจากอากาศเข้าสสู่ ตั ว์โดยผา่ นการหายใจ ซง่ึ จะได้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จาก การหายใจออก จากนนั้ พืชใช้คาร์บอนไดออกไซด์ในการสงั เคราะห์แสง ทาให้ได้ก๊าซออกซิเจนกลบั คืนสู่ อากาศ การหมุนเวยี นของไนโตรเจน ธาตุไนโตรเจนท่ีอยู่ในรูปของก๊าซเข้าส่สู ิ่งมีชีวิต (ได้แก่ จุลินทรีในดินและนา้ ) ซึ่งทาหน้าท่ีตรึง ไนโตรเจนจากอากาศและเปลี่ยนรูปไนโตรเจนในอากาศให้กลายเป็ นสารประกอบไนเตรท ซึ่งเป็ น สารอาหารของพชื และธาตไุ นโตรเจนที่สะสมในพชื จะถ่ายทอดสสู่ ่ิงมีชีวิตอ่ืนๆ ผา่ นการกินกนั ในห่วงโซ่ อาหาร เมื่อสง่ิ มชี ีวติ ตา่ งๆ ตายลง จะถกู ยอ่ ยสลายโดยจลุ นิ ทรีย์ ทาให้ธาตไุ นโตรเจนหมนุ เวียนกลบั คืน สอู่ ากาศ สงิ่ แวดล้อมศกึ ษา: แนวทางสกู่ ารปฏบิ ตั ิ__________________________________________

19 การหมุนเวียนของกามะถนั กามะถนั เป็ นธาตทุ ี่อย่ใู นดินและนา้ ในรูปของสารประกอบซลั เฟต ซ่ึงพืชสามารถนาไปใช้ในการ เจริญเติบโต เม่ือพืชตายจะถกู จลุ ินทรีย์ยอ่ ยสลายทาให้เกิดก๊าซไฮโดรเจนซลั ไฟด์ และเปล่ียนรูปเป็ น สารประกอบซลั เฟตกลบั คืนสดู่ นิ และนา้ การหมุนเวยี นของฟอสฟอรัส ฟอสฟอรัสเป็ นธาตุท่ีอยู่ในดินและนา้ ในรูปของสารประกอบฟอสเฟตท่ีละลายนา้ ได้ ซ่ึงพืช สามารถนาไปใช้ในการเจริญเติบโต เม่ือพืชตายจะถูกจุลินทรีย์ย่อยสลายทาให้เกิดสารประกอบ ฟอสเฟตสะสมในพนื ้ ดนิ และตะกอนในแหลง่ นา้ การหมุนเวียนของนา้ การหมนุ เวยี นของนา้ เร่ิมจากพชื ดดู นา้ จากดนิ แหลง่ นา้ และสตั ว์ได้รับนา้ จากแหลง่ นา้ ตา่ งๆ โดย การกิน สว่ นการหมนุ เวียนของนา้ จากสิ่งมีชีวิตกลบั คืนสดู่ ิน นา้ และอากาศนนั้ เกิดขนึ ้ โดยพืชจะคาย ระเหยนา้ ในรูปของไอนา้ ส่อู ากาศ และการหายใจออก การยอ่ ยอาหาร และการระบายความร้อนออก จากร่างกายของสตั ว์ ก็จะทาให้เกิดการหมนุ เวียนของนา้ กลบั คนื สดู่ นิ นา้ และอากาศ สาหรับเนอื ้ หาความรู้วฏั จกั รของสาร และวฏั จกั รของนา้ ที่เขียนในหนงั สอื เลม่ นี ้ มเี จตนาให้ง่ายตอ่ การทาความเข้าใจ จึงมิได้ลงรายละเอียดในเชิงวิชาการทางชีววิทยา ซึ่งผู้อ่านสามารถศึกษา รายละเอยี ดได้จากเอกสารวิชาการทางชีววิทยาทม่ี ีอยู่ทวั่ ไป สงิ่ แวดล้อมศกึ ษา: แนวทางสกู่ ารปฏิบตั ิ__________________________________________

20 สมดุลในระบบนิเวศ ถ้าเราใช้แวน่ ขยายดรู ะบบนเิ วศ แล้วคลอี อกมา จะพบวา่ ….. “สมดุลในระบบนิเวศ คือ หัวใจของเนือ้ หา ความรู้ส่ิงแวดล้อมสาหรับส่ิงแวดล้อมศึกษา” ดงั แผนภาพท่ี 6 สมดุลในระบบนิเวศ ไมท่ าลายสมดลุ การใช้ทรัพยากรธรรมชาตขิ องมนษุ ย์ ทาลายสมดลุ .. มลพิษสิ่งแวดล้อม คณุ ภาพของ การลดลงของทรัพยากรธรรมชาติ สงิ่ แวดล้อม เสอื่ มโทรม การขาดแคลนทรัพยากรธรรมชาติ แผนภาพที่ 6 สมดลุ ในระบบนเิ วศ จากแผนภาพสามารถอธิบายขยายความได้วา่ ......การใช้ทรัพยากรธรรมชาติของมนษุ ย์ โดยไม่ ทาให้ห่วงโซอ่ าหารและวฎั จกั รของสารเสียหาย หรือถกู ทาลาย จะทาให้สมดลุ ในระบบนิเวศ ยงั คงอยู่ แต่ในทางกลบั กัน หากการใช้ทรัพยากรธรรมขาติของมนุษย์ ไปทาให้เกิดความเสียหายหรือเป็ นการ ทาลายหว่ งโซอ่ าหารและวฎั จกั รของสาร ก็จะสง่ ผลให้ระบบนิเวศเสยี สมดลุ ซึง่ เป็ นต้นเหตขุ องการเกิด ปัญหาสง่ิ แวดล้อม คอื ทงั้ มลพิษสง่ิ แวดล้อม และการขาดแคลนทรัพยากรธรรมชาติ ซึง่ ปัญหาทงั้ สอง ตา่ งมคี วามสมั พนั ธ์ตอ่ กนั กลา่ วคือ มลพษิ สงิ่ แวดล้อม เป็ นสาเหตทุ าให้ปริมาณของทรัพยากรธรรมชาติ สงิ่ แวดล้อมศกึ ษา: แนวทางสกู่ ารปฏิบตั ิ__________________________________________

21 น้อยลงจนกอ่ ให้เกิดการขาดแคลนทรัพยากรธรรมชาติ ในขณะที่การขาดแคลนทรัพยากรธรรมชาติ ก็ เป็ นสาเหตทุ ท่ี าให้คณุ ภาพส่ิงแวดล้อมต่าลง จนก่อให้เกิดมลพษิ สงิ่ แวดล้อม ตวั อย่างเช่น นา้ เสียทาให้ ขาดแคลนนา้ ดีในการอุปโภคบริโภค ในขณะท่ีนา้ ดีมีปริมาณน้อย (นา้ ที่มีสารอินทรีย์ปนเปื ้อนในนา้ ปริมาณมาก )จะทาให้เกิดภาวะนา้ เนา่ เสยี ได้ สงิ่ แวดล้อมศกึ ษา: แนวทางสกู่ ารปฏบิ ตั ิ__________________________________________

22 ทรัพยากรธรรมชาต(ิ Natural Resource) ความหมายของทรัพยากรธรรมชาติ คาวา่ “ทรัพยากร” (Resource) หมายถึง สิ่งแวดล้อมใดๆ ก็ตามที่มนษุ ย์สามารถนามาใช้ให้เกิด ประโยชน์ในการสนองความต้องการของมนษุ ย์ ทงั้ ที่อยใู่ นรูปของวตั ถดุ ิบดงั้ เดมิ และการแปรรูป ยกตวั อยา่ ง เชน่ เป็ นแหลง่ ปัจจยั 4 ที่จาเป็ นต่อการดารงชีวิตของมนษุ ย์ ได้แก่ แหลง่ ที่อย่อู าศยั (วตั ถุดิบในการ ก่อสร้าง เชน่ ไม้ หนิ ทราย ฯลฯ) แหลง่ อาหาร (พืชและสตั ว์) แหลง่ ท่ีมาของเคร่ืองนงุ่ ห่ม (เส้นไหม ฝ้ าย ฯลฯ) แหลง่ ทม่ี าของยารักษาโรค (สมนุ ไพร ฯลฯ) เป็ นปัจจยั ท่ีสงิ่ มชี ีวิตขาดไมไ่ ด้ ได้แก่ อากาศ นา้ เป็ นแหลง่ ทม่ี าของพลงั งาน (นา้ มนั ถ่านหิน ไม้ ฯลฯ) เป็ นแหลง่ ที่มาของเคร่ืองประดบั (แร่ อญั มณี ฯลฯ) เป็ นแหลง่ ทอ่ งเที่ยว ฯลฯ ดงั นนั้ ทรัพยากรธรรมชาติ จงึ หมายถึง (ทรัพยากร)สง่ิ แวดล้อมใดๆก็ตามทีเ่ กิดขนึ ้ ตามธรรมชาติซงึ่ มนษุ ย์สามารถนามาใช้ให้เกิดประโยชน์ในการสนองความต้องการของตนเอง ประเภทของทรัพยากรธรรมชาติ สาหรับในหนงั สอื เลม่ นจี ้ ะกลา่ วถงึ เฉพาะทรัพยากรธรรมชาติ 3 ประเภท ประกอบด้วย 1. ทรัพยากรธรรมชาติท่ใี ช้แล้วไม่หมดไป จาแนกออกเป็ น 2 ชนิด ได้แก่ อากาศ และนา้ ที่อยู่ ในรูปของวฏั จักร (นา้ จะหมุนเวียนเปล่ียนสภาพ เช่น ฝน ตกลงสู่ พืน้ ดิน บางส่วนระเหยกลบั ไปสู่ บรรยากาศ บางสว่ นซึมลงไปเป็ นนา้ ใต้ดิน บางสว่ นไหลลงแมน่ า้ ลาคลอง ออกสทู่ ะเล แล้วกลบั ระเหย กลายเป็ นไอนา้ รวมตวั กนั เป็ นก้อนเมฆ ตกลงมาเป็ นฝนอกี ) ทรัพยากรธรรมชาติกลมุ่ นีเ้ป็ นปัจจยั สาคญั ตอ่ การดารงชีวติ ของสง่ิ มชี ีวติ อยา่ งมาก เพราะหากเกิด การขาดแคลนจะทาให้สงิ่ มชี ีวิตไมส่ ามารถดารงชีวิตอยไู่ ด้ 2 ทรัพยากรธรรมชาติท่ีทดแทนได้หรือรักษาไว้ได้เม่ือใช้ไปแล้ว แบ่งออกเป็ น 2 ชนิด คือ 1) นา้ ใช้ หมายถึง นา้ ที่อยใู่ นทเ่ี ฉพาะ เช่น นา้ ในภาชนะ นา้ ในเขื่อน เมื่อใช้ไปปริมาณจะลดลง แต่จะมี ทดแทนได้ เช่น เม่ือเกิดมีฝนตกลงมา เป็ นต้น) 2) สงิ่ มีชีวิต เม่ือใช้หมดไปแล้ว สามารถทดแทนขึน้ มา ใหมไ่ ด้ ได้แก่ พืช (ป่ าไม้ ท้งุ หญ้า ฯลฯ) และสตั ว์ (สตั ว์เลยี ้ ง สตั ว์ป่ า) ทรัพยากรธรรมชาตกิ ลมุ่ นีเ้ป็ นปัจจยั สใี่ นการดารงชีวติ ของมนษุ ย์ หากเกิดการขาดแคลนจะทาให้ มนษุ ย์ไมส่ ามารถดารงชีวิตอยไู่ ด้ในเวลาตอ่ มา สง่ิ แวดล้อมศกึ ษา: แนวทางสกู่ ารปฏิบตั ิ__________________________________________

23 3 ทรัพยากรธรรมชาติท่ใี ช้แล้วหมดไป ไม่สามารถทดแทนได้ ได้แก่ แร่ธาตุ และพลงั งาน เช่น แร่ หนิ ถา่ นหนิ ก๊าซธรรมชาติ นา้ มนั ปิ โตรเลยี ม ฯลฯ ทรัพยากรธรรมชาติกลมุ่ นเี ้ป็ นปัจจยั อานวยความสะดวกสบายในการดาเนินชีวิต เช่น พลงั งาน แร่ ธาตทุ ใ่ี ช้ในการก่อสร้าง หากเกิดการขาดแคลนจะทาให้มนษุ ย์ดารงชีวิตอย่ไู ด้อย่างลาบาก โดยเฉพาะ การขาดแคลนพลงั งานทาให้ความสะดวกสบายหมดไป ปัญหาส่ิงแวดล้อมจากการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ ผลจากการทม่ี นษุ ย์ใช้ทรัพยากรธรรมชาตอิ ยา่ งไมเ่ หมาะสมท่ผี า่ นมา กอ่ ให้เกิดปัญหาสง่ิ แวดล้อม ใน 2 ลกั ษณะ คือปัญหาการขาดแคลนทรัพยากรธรรมชาติและปัญหามลพิษสิ่งแวดล้อม ซึง่ เกิดขนึ ้ กบั ทรัพยากรธรรมชาตทิ งั้ 3 ประเภท ดงั นี ้ 1. ปัญหาท่เี กิดกับทรัพยากรธรรมชาตทิ ่ใี ช้แล้วไม่หมดไป มีดงั นี ้ 1.1 เกิดการปนเปื อ้ นของของเสียในทรัพยากรกล่มุ นี ้เช่น เกิดการปนเปื อ้ นของของเสียใน แหลง่ นา้ ทาให้นา้ มีคณุ ภาพไมเ่ หมาะสม เกิดเป็ นมลพิษทางนา้ การปนเปื อ้ นของของเสยี ในอากาศ ทา ให้อากาศมคี ณุ ภาพไมเ่ หมาะสม เกิดเป็ นมลพิษทางอากาศ ซ่ึงทงั้ มลพิษทางนา้ และมลพิษทางอากาศ ล้วนสง่ ผลเสยี ตอ่ การดารงชีวติ ของมนษุ ย์ เนื่องจากสภาพแวดล้อมไมเ่ หมาะสมตอ่ การดารงชีวติ 1.2 เกิดการขาดแคลนทรัพยากรกลมุ่ นี ้เนอื่ งจากการใช้ทรัพยากรตา่ งๆ ทาให้ทรัพยากรกลมุ่ นี ้ ไม่สามารถเกิดขนึ ้ ได้ตามปกติ เช่น ผลจากการใช้ประโยชน์จากพืน้ ท่ีป่ าไม้ ทาให้ป่ าไม้ลดน้อยลง การ ลดลงของพืน้ ที่ป่ าไม้ทาให้การระเหยของนา้ ลดลง สง่ ผลให้ปริมาณนา้ ฝนลดลงตาม การลดลงของ ปริมาณนา้ ฝน ส่งผลให้ปริมาณนา้ ไม่เพียงพอต่อความต้องการของมนษุ ย์ ทงั้ นา้ ที่ใช้ในการอุปโภค บริโภค และการประกอบอาชีพ ดงั แผนภาพท่ี 7 การลดลงของพนื ้ ทีป่ ่ าไม้ การระเหยของนา้ ลดลง ฝนตกลดลง ปริมาณนา้ ลดลง ขาดแคลนนา้ เพ่อื การอปุ โภค บริโภคและการประกอบอาชีพ แผนภาพท่ี 7 การขาดแคลนของทรัพยากรท่ใี ช้แล้วไมห่ มดไป สง่ิ แวดล้อมศกึ ษา: แนวทางสกู่ ารปฏิบตั ิ__________________________________________

24 2. ปัญหาท่เี กดิ กบั ทรัพยากรธรรมชาติท่ใี ช้แล้วทดแทนได้ การใช้ทรัพยากรธรรมชาตทิ ใ่ี ช้แล้วทดแทนได้อยา่ งมากมายของมนษุ ย์ในปัจจบุ นั สง่ ผลให้เกิด การลดลงของทรัพยากรธรรมชาติ จนก่อให้ เกิดการขาดแคลนทรัพยากรกลุ่มนี ้ อย่างต่อเนื่อง ตวั อยา่ งเช่น การนาทรัพยากรป่ าไม้ มาใช้ ประโยชน์ทัง้ การเข้ าไปใช้ ประโยชน์ในพืน้ ท่ีป่ าไม้ (การ เปลยี่ นแปลงพนื ้ ทปี่ ่ าไม้เป็ นเข่ือน พนื ้ ทก่ี ารเกษตร พนื ้ ที่เมือง เป็ นต้น) และการนาไม้ออกมาจากพนื ้ ที่ป่ า เพื่อใช้ประโยชน์ โดยขาดการปลกู ทดแทน ทาให้พืน้ ที่ป่ าไม้ลดลงอยา่ งรวดเร็ว สง่ ผลให้เกิดผลกระทบ ด้านต่างๆ เช่น การลดลงของพืน้ ท่ีป่ าไม้สง่ ผลให้เกิดภยั ธรรมชาติท่ีรุนแรงต่างๆ เช่น แผน่ ดินถลม่ นา้ ทว่ ม ภยั แล้ง การเปลย่ี นแปลงสภาพภมู ิอากาศโลก เป็ นต้น ซงึ่ ผลกระทบเหลา่ นี ้จะเป็ นต้นเหตสุ าคญั ของการเกิดปัญหามลพิษสงิ่ แวดล้อมต่างๆได้ ตวั อย่างเช่น การเกิดนา้ ท่วมขงั จะเป็ นต้นเหตขุ องการ เกิดมลพษิ ทางนา้ และมลพิษทางอากาศในพนื ้ ที่ที่นา้ ทว่ มขงั เป็ นต้น ผลกระทบจากการลดลงของพนื ้ ท่ปี ่ าไม้สง่ ผลให้ชนิดและปริมาณของสตั ว์ป่ าลดลง (ป่ าไม้เป็ น แหลง่ อาหาร แหลง่ หลบภยั แหลง่ เลยี ้ งดูตวั อ่อน และแหลง่ ผสมพนั ธ์ุของสตั ว์ป่ านานาชนิด) การลดลง ของสตั ว์ป่ าก่อให้เกิดผลกระทบตอ่ เน่ืองตา่ งๆ เช่น ทาให้เกิดการสญู เสียความหลากหลายทางชีวภาพ ซึง่ เป็ นสาเหตสุ าคญั ที่ทาให้สมดลุ ของระบบนิเวศเสยี ไป ซ่ึงทงั้ การลดลงของพืน้ ที่ป่ าไม้และการลดลง ของสตั ว์ล้วนทาให้มนษุ ย์ดาเนินชีวิตได้ยากลาบาก เนื่องจากทรัพยากรดงั กลา่ ว เป็ นแหลง่ ปัจจยั สี่ใน การดาเนินชีวติ ของมนษุ ย์ ดงั แผนภาพที่ 8 ขาดแคลนแหลง่ อาหาร การลดลงของพนื ้ ท่ีป่ าไม้ ขาดแคลนที่อยอู่ าศยั ขาดแคลนแหลง่ หลบภยั ภยั ธรรมชาติ แผน่ ดินถลม่ ขาดแคลนแหลง่ เลยี ้ งดู สตั ว์ป่ าลดลง นา้ ทว่ ม ตวั ออ่ น ภยั แล้ง การเปลยี่ นแปลงบรรยากาศโลก สญู เสยี ความหลากหลายทางชีวภาพ ระบบนิเวศเสยี สมดลุ (ป่ าไม้ลดลง) มนษุ ย์ไมส่ ามารถนาทรัพยากรกลมุ่ นใี ้ ช้ประโยชน์ได้ แผนภาพท่ี 8 ผลกระทบของการลดลงของทรัพยากรไทด้ใ่ี ช้แล้วทดแทนได้ สงิ่ แวดล้อมศกึ ษา: แนวทางสกู่ ารปฏบิ ตั ิ__________________________________________

25 นอกจากการใช้ทรัพยากรธรรมชาตอิ ยา่ งมากมายของมนษุ ย์ในปัจจบุ นั สง่ ผลให้เกิดการลดลงของ ทรัพยากรธรรมชาติท่ีสร้างผลกระทบตอ่ เนื่องดงั กลา่ วข้างต้นแล้ว ยงั ทาให้เกิดผลเสยี ต่อหว่ งโซ่อาหาร ซงึ่ ทาให้มนษุ ย์ขาดแคลนอาหาร เป็ นผลให้เกิดการสร้างหรือแปรรูปทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อให้มนษุ ย์มี อาหารเพิ่มขนึ ้ เช่น ทาการเพาะเลยี ้ งก้งุ เพ่ือผลติ กุ้งท่ีเป็ นอาหารของมนษุ ย์ ซึ่งเป็ นการดาเนินการโดย มไิ ด้คานงึ ถงึ สมดลุ ของหว่ งโซอ่ าหาร ก้งุ ท่ีมนษุ ย์ต้องการเป็ นอาหารอาจจะเพมิ่ ขนึ ้ แตส่ งิ่ มีชีวิตอืน่ ๆทีก่ ิน ก้งุ เป็ นอาหารมไิ ด้เพ่ิมขนึ ้ ตาม แสดงให้เห็นวา่ หว่ งโซอ่ าหารในธรรมชาติยงั คงเป็ นปัญหาอยู่ ดงั นนั้ จะเห็นได้วา่ การเพาะเลยี ้ งก้งุ เป็ นทรัพยากรทมี่ นษุ ย์สร้างขนึ ้ เพอื่ ทาให้มนษุ ย์มีอาหารในการ ดารงชีวติ เทา่ นนั้ มไิ ด้ทาการเพาะเลยี ้ งก้งุ เพ่อื ชดเชยให้หว่ งโซอ่ าหาร เป็ นปกติแตอ่ ยา่ งใด สงิ่ มชี ีวติ ท่ีกิน ก้งุ เป็ นอาหาร หรือสมั พนั ธ์เช่ือมโยงกับกุ้งในห่วงโซ่อาหาร ยงั คงขาดแคลนต่อไป ทรัพยากรที่มนุษย์ สร้างขนึ ้ ในลกั ษณะเช่นนี ้เป็ นการกระทาทที่ าให้เกิดความเสยี หายตอ่ หว่ งโซอ่ าหาร ในทางกลบั กนั หากการเพาะเลยี ้ งก้งุ หนั มาให้ความสาคญั ตอ่ ห่วงโซ่อาหาร ซง่ึ เป็ นความสมั พนั ธ์ ของสง่ิ มชี ีวิตในระบบนิเวศตามธรรมชาติ โดยทาการเพาะเลยี ้ งลกู ก้งุ แล้วคืนสธู่ รรมชาติ เพื่อให้ห่วงโซ่ อาหาร ในระบบนเิ วศตามธรรมชาติฟืน้ คนื เหมอื นปกติ เราจะได้สมดลุ ของธรรมชาติกลบั คืนมา ปัญหา การขาดแคลนทรัพยากรธรรมชาตทิ เ่ี ป็ นอาหารของมนษุ ย์ก็จะหมดไป 3. ปัญหาท่เี กดิ กับทรัพยากรธรรมชาติท่ใี ช้แล้วหมดไป ผลจากการใช้ทรัพยากรธรรมชาติทใี่ ช้แล้วหมดไป โดยมิได้คานงึ ถงึ การหมดไปของทรัพยากรชนิด นี ้ซงึ่ เป็ นทรัพยากรท่ีใช้เวลาในการหมนุ เวียน หรือเกิดขนึ ้ ใหม่ยาวนานกว่าช่วงชีวิตของมนษุ ย์ จึงสง่ ผล ให้ทรัพยากรกลมุ่ นลี ้ ดลงอยา่ งรวดเร็วและตอ่ เน่ือง ตวั อยา่ งเช่น การใช้ทรัพยากรแร่เชือ้ เพลงิ ประเภท นา้ มนั ถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ อย่างมากมาย โดยขาด การ อนรุ ักษ์ สง่ ผลให้เกิดปัญหา 2 ด้าน คือ การลดลงของทรัพยากรชนิดนี ้และการปนเปื อ้ นของเสยี ที่เกิด จากการใช้ 3.1การลดลงของทรัพยากรแร่เชือ้ เพลงิ ฟอสซลิ (นา้ มนั ถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ) ซ่งึ เป็ นทรัพยากร ที่เกิดจากการทบั ถมของซากส่ิงมีชีวิตท่ีต้องใช้เวลานับเป็ นล้านปี ในขณะที่การใช้ทรัพยากรกล่มุ นี ้ เกิดขนึ ้ อยา่ งมากมายและต่อเน่ือง ความกงั วลใจเก่ียวปัญหาการขาดแคลนท่ีเกิดขนึ ้ ทาให้เกิดแนวคิด ในการนาพลงั งานทางเลอื กตา่ งๆมาใช้ทดแทน เชน่ การนาพลงั งานหมนุ เวยี น( พลงั งานนา้ แสงอาทิตย์ ลม ) พลงั งานนิวเคลียร์ เป็ นต้น โดยเฉพาะพลงั งานนิวเคลียร์เป็ นพลงั งานทดแทนประเภทหนึ่ง ท่ี หลายๆประเทศทวั่ โลกให้ความสนใจและพฒั นาพลงั งานประเภทนอี ้ ยา่ งจริงจงั ดงั แผนภาพท่ี 9 สงิ่ แวดล้อมศกึ ษา: แนวทางสกู่ ารปฏบิ ตั ิ__________________________________________

26 3.2การปนเปื อ้ นของของเสยี ที่เกิดจากการใช้แร่เชือ้ เพลงิ ประเภทต่างๆ ทาให้เกิดของเสีย/มลพิษ จากการใช้ เช่น ผลจากการใช้แร่เชือ้ เพลงิ ฟอสซิลทาให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และมีเทน โดยก๊าซ ดงั กลา่ วเป็ นก๊าชเรือนกระจก ซึง่ เป็ นปัจจยั สาคญั ท่ีสง่ ผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภมู ิอากาศของ โลกท่ีเป็ นสาเหตขุ องการเปลยี่ นแปลงสง่ิ แวดล้อมตา่ งๆของโลกในปัจจุบนั โดยเฉพาะอย่างย่ิง การเกิด ภยั ธรรมชาติท่ีรุนแรงท่ีสร้างผลกระทบต่อการดาเนินชีวิตของมนษุ ย์ในปัจจบุ นั นอกจากนีผ้ ลกระทบท่ี เกิดจากของเสีย/มลพิษจากการใช้แร่เชือ้ เพลิงยังรวมไปถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมอ่ืนๆอีกมากมาย ดัง แผนภาพท่ี 9 การใช้ทรัพยากรแร่เชอื ้ เพลงิ อยา่ งมากมายและตอ่ เนื่อง ขาดแคลนทรัพยากรแร่เชือ้ เพลงิ ของเสยี /มลพษิ จากการใช้ พลงั งานทางเลอื ก ก๊าซเรือนกระจก (CO2 CH4 ) พลงั งานนวิ เคลยี ร์ การเปลยี่ นแปลงสภาพภมู อิ ากาศโลก ภยั ธรรมชาตริ ุนแรง ตอ่ เนอ่ื ง ยาวนาน ผลกระทบจากพลงั งานนวิ เคลยี ร์ มนษุ ย์ไมส่ ามารถนาทรัพยากรกลมุ่ นี ้ มนษุ ย์ได้รับผลกระทบจากการใช้ ใช้ประโยชน์ได้ได้ พลงั งานรูปแบบตา่ งๆ แผน่ ภาพท่ี 9 ผลกระทบจากการใช้ทรัพยากรแร่เชือ้ เพลงิ จะเหน็ ได้วา่ ความรู้(Knowledge)เก่ียวกบั ผลกระทบจากการใช้ทรัพยากรธรรมชาติท่ีไม่เหมาะสม ล้วนเป็ นปัญหาที่สง่ ผลเสยี ตอ่ การดารงชีวติ ของมนษุ ย์อยา่ งมากมาย และท่ีสาคญั ก็คือ ปัญหาท่ีเกิดขนึ ้ จะมีความซบั ซ้อนและยากตอ่ การจดั การ การป้ องกนั และแก้ไข ดงั นนั้ การรับรู้ (Awareness) ถึงปัญหา สงิ่ แวดล้อมทเ่ี กิดขนึ ้ อยา่ งถกู ต้อง จึงเป็ นจดุ เร่ิมต้นสาคญั ที่จะนาทางไปสกู่ ารคิดค้นหาแนวทางป้ องกนั แก้ไขปัญหาส่ิงแวดล้อม (Cognitive skill) และมีส่วนร่วมลงมือ ลงแรงปฏิบตั ิ ( Participation)เพื่อ ป้ องกนั และแก้ไขปัญหาสงิ่ แวดล้อมท่มี นษุ ย์อยอู่ าศยั อยา่ งถกู ต้องและเกิดขนึ ้ ได้จริง สงิ่ แวดล้อมศกึ ษา: แนวทางสกู่ ารปฏบิ ตั ิ__________________________________________

27 มลพษิ ส่ิงแวดล้อม(Environmental Pollution) ปัญหาวิกฤตส่ิงแวดล้อมของโลก นอกจากการขาดแคลนทรัพยากรธรรมชาติแล้ว มลพิษก็เป็ น ปัญหาวกิ ฤตท่สี าคญั อยา่ งย่ิงของปัญหาสง่ิ แวดล้อมของโลกในปัจจบุ นั ความหมายของ “มลพิษส่ิงแวดล้อม” คาวา่ มลพิษสง่ิ แวดล้อม หรือ Environmental Pollution ประกอบด้วยคา 2 คา คอื คาวา่ สง่ิ แวดล้อม(Environment) และคาวา่ มลพิษ (Pollution) คาภาษาองั กฤษว่า “ Pollution ” นี ้สานกั งานคณะกรรมการส่งิ แวดล้อมแหง่ ชาติ ได้มีหนงั สือลง วนั ท่ี 19 เมษายน พ.ศ.2519 ถึงราชบณั ฑิตยสถานขอให้พิจารณาบญั ญัติศพั ท์ภาษาไทยของคาว่า ”Pollution” ซง่ึ ได้มีการอภิปรายระหวา่ งสถาบนั วจิ ยั สภาวะแวดล้อมกบั คณะกรรมการบญั ญัติศพั ท์ของ ราชบณั ฑติ ยสถาน ถงึ ความเหมาะสมท่ีจะใช้คาภาษาไทยวา่ อะไร (หากต้องการทราบรายละเอียด หา อา่ นได้ในหนงั สอื “มลพษิ สงิ่ แวดล้อม” โดย ณรงค์ ณ เชียงใหม่ พ.ศ.2525) ในท่ีสดุ ก็ลงความเห็นวา่ ให้ ใช้ คาภาษาไทยว่า “มลพิษ”คาว่ามลพิษนีเ้ ป็ นคาใหม่ซ่ึงปรากฏอยู่ในพจนานุกรมฉบับ ราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ.2525 คาวา่ Pollution นมี ้ ผี ้แู ปลเป็ นภาษาไทยอยหู่ ลายคา เช่น มลภาวะ ความเป็ นพิษ เป็ นต้น ก่อนท่ี จะมีคาว่า มลพิษใช้อย่างเป็ นทางการดงั กลา่ วข้างต้น ซงึ่ คาภาษาไทยนีย้ ากตอ่ การทาความเข้าใจได้ ในทนั ที เพราะต้องแปลคาภาษาไทยอีกตอ่ หนง่ึ วา่ หมายถึงอะไร คาวา่ Pollution โดยรูปศพั ท์เป็ นอาการนาม หมายถึง สภาวะหรือความเป็ นไปมากกวา่ ท่ีจะเป็ น ส่ิงท่ีมีตวั ตน ดงั นนั้ จึงใช้คาภาษาไทยว่า”ภาวะมลพิษ” หรือ “ ภาวะท่ีเป็ นพิษก็ได้ แต่อย่างไรก็ตาม เนื่องจากในปัจจุบนั มีการใช้คาวา่ “มลพิษ” กนั โดยทว่ั ไปว่าหมายถึง Pollution ดงั นนั้ ในหนงั สือเลม่ นี ้ จึงใช้คาวา่ “มลพษิ ” ส่วนคาว่า “ Environment ” แปลว่า ส่ิงแวดล้อม ซึ่งความหมายได้กล่าวไว้แล้วในส่วนท่ี 1 ความหมายของสง่ิ แวดล้อม เม่ือนาคาว่า “,มลพิษ” และคาว่า “สิ่งแวดล้อม ” มารวมกันเป็ น “ มลพิษส่ิงแวดล้อม ” ซ่ึงมี ความหมายว่า ส่ิงแวดล้อมทางกายภาพที่เป็ นอยู่นนั้ (ดิน นา้ อากาศ) มีการปนเปื ้อนด้วยสารท่ี กอ่ ให้เกิดพิษ ( Pollutant ) ซง่ึ มปี ริมาณมากเกินกวา่ ความสามารถในการจดั การของธรรมชาติ จนมีผล ทาให้ส่ิงแวดล้อมทางชีวภาพ (สง่ิ มชี ีวิตทงั้ มนษุ ย์ พืช และสตั ว์) ไมส่ ามารถดารงชีวิตอยไู่ ด้อยา่ งปกติ จากความหมายของมลพิษสง่ิ แวดล้อม จะเห็นได้วา่ ดิน นา้ และอากาศนนั้ เป็ นตัวกลางของการ เกิดมลพิษสิ่งแวดล้อม ถ้ามีการปนเปื อ้ นของสารท่ีก่อให้เกิดพิษในดิน เรียกว่า มลพิษทางดิน (Soil สงิ่ แวดล้อมศกึ ษา: แนวทางสกู่ ารปฏิบตั ิ__________________________________________

28 Pollution) ถ้ามีการปนเปื อ้ นของสารทก่ี ่อให้เกิดพษิ ในนา้ เรียกวา่ มลพิษทางนา้ (Water Pollution) และ ถ้ามีการปนเปื อ้ นของสารท่กี ่อให้เกิดพษิ ในอากาศ เรียกวา่ มลพิษทางอากาศ (Air Pollution) ซึ่งภาษา ชาวบ้านโดยทวั่ ไปเรียก “มลพิษทางดิน” วา่ “ ดินเสยี /ดินเปื อ้ น” เรียก “มลพิษทางนา้ ” ว่า “ นา้ เสยี /นา้ เปื อ้ น” และเรียก “มลพิษทางอากาศ” วา่ “ อากาศเสีย/อากาศเปื อ้ น” ซ่งึ คาว่า “เสยี ” ตามพจนานกุ รม แปลว่า เลวลง เสือ่ มคณุ ภาพ ใช้ไม่ได้ ส่วนคาว่า “เปื ้อน” ตามพจนานกุ รม แปลว่า ติดส่ิงที่ทาให้เกิด สกปรก, ติดสงิ่ ท่นี า่ รังเกียจ จะเหน็ ได้วา่ การใช้ภาษาแบบชาวบ้าน ทาให้มองเหน็ ภาพของมลพิษท่ีเข้าใจ ได้ในทนั ที และง่ายกวา่ คาวา่ “มลพษิ ” ซงึ่ จะต้องแปลความหมายอกี ทอดหนง่ึ ความสัมพันธ์ของมลพษิ ทางดิน ทางนา้ และทางอากาศ ณรงค์ ณ เชียงใหม่ (2525) ได้กลา่ วไว้ว่า “ มลพิษทงั้ 3 เรื่อง อาจเกิดขนึ ้ ได้พร้ อมๆกนั จากการ กระทาเพยี งครัง้ เดยี วของมนษุ ย์เรา” และสนั ทดั ศิริอนนั ต์ไพบลู ย์ (2549) ชีใ้ ห้เห็นวา่ “ มลภาวะรูปแบบ หนึ่งอาจจะเปลี่ยนแปลงไปเป็ นมลภาวะอีกรูปแบบหนึ่งได้ เช่น ขยะมูลฝอยท่ีกองทิง้ ไว้บนดินจะก่อ ปัญหามลภาวะทางพืน้ ดิน เม่ือฝนตกก็จะชะล้างสารอินทรีย์เป็ นนา้ เสยี ลงส่แู หลง่ นา้ ซึ่งจะก่อให้เกิด ปัญหามลภาวะทางนา้ เป็ นต้น” ซงึ่ สอดคล้องกบั ไพบลู ย์ ประพฤติธรรมและสมเจตน์ จนั ทวฒั น์ (2524) บรุ พาจารย์ด้านปฐพีวิทยา ได้ยกตัวอย่างความสมั พนั ธ์ของดิน นา้ อากาศ เอาไว้ในบทความ เรื่อง “มลภาวะทางดนิ ของประเทศไทย”ดงั นี ้ …..ดนิ มโี อกาสได้รับมลสาร (มลสาร คือ สารท่ีก่อให้เกิดพิษ) ต่างๆ ทงั้ จากอากาศและแหลง่ นา้ และจากสารพิษท่ใี สล่ งไปเพื่อการเกษตร และในทางกลบั กนั ก็อาจทาให้เกิดนา้ เสยี และอากาศ เสียได้ เมื่อเกิดการชะล้างพงั ทลายของดินโดยนา้ และลม เมื่อ ดิน นา้ และอากาศเสยี ลง ยอ่ มมี ผลกระทบตอ่ ชีวนิ ทรีย์ในระบบนเิ วศ….. จากที่กลา่ วมาข้างต้น จะเห็นได้วา่ ดิน นา้ อากาศ มีความสมั พนั ธ์กนั อยา่ งใกล้ชิดในฐานะเป็ น ตวั กลางของการเกิดมลพิษสงิ่ แวดล้อม ดงั นนั้ ในหนงั สือเลม่ นี ้ จะกลา่ วถึงเฉพาะมลพิษสิ่งแวดล้อม 3 ตวั หลกั คือ มลพิษทางดิน มลพิษทางนา้ และมลพิษทางอากาศ ซงึ่ ผ้เู ขียนขอยกตวั อยา่ ง ความสมั พนั ธ์ของมลพษิ ทงั้ 3 จากการเพาะเลยี ้ งก้งุ ในบอ่ เลยี ้ งก้งุ และการใช้ DDT (dichlorodiphenyltrichloroethane) กาจดั แมลง แผนภาพที่ 10 และแผนภาพท่ี 11 ตามลาดบั สงิ่ แวดล้อมศกึ ษา: แนวทางสกู่ ารปฏบิ ตั ิ__________________________________________

29 ตวั อยา่ งการเพาะเลยี ้ งก้งุ ในบอ่ เลยี ้ งก้งุ เกดิ ก๊าซไฮโดรเจนซลั ไฟล์ กล่ินเหมน็ :มลพิษทางอากาศ บ่อกุ้ง ถกู ยอ่ ยสลายโดยจลุ นิ ทรีย์ นา้ เป็ นกรด: มลพิษทางนา้ สารประกอบกามะถนั ในตะกอนดนิ ก้นบ่อก้งุ )(มลพิษทางดนิ ) สารอินทรีย์ (เศษอาหารกุ้งท่ีตกค้างในบ่อกุ้งและมลู กุ้งเป็ นมลสาร) แผนภาพที่ 10 ความสมั พนั ธ์ของมลพิษทางดิน มลพิษทางนา้ และมลพษิ ทางอากาศในบอ่ ก้งุ จากแผนภาพที่ 10 เป็ นตวั อย่างความสมั พนั ธ์ของมลพิษทางนา้ มลพิษทางดิน และมลพิษทาง อากาศ ซงึ่ เกิดขนึ ้ ในกิจกรรมการเลยี ้ งก้งุ ในบอ่ เลยี ้ งก้งุ ลักษณะความสมั พนั ธ์เริ่มจาก เม่ือมีการเลยี ้ ง ก้งุ จะเกิดเศษอาหารก้งุ ทเ่ี หลอื และมลู ก้งุ ซง่ึ เป็ นสารอินทรีย์ท่ีจะถกู ย่อยสลายโดยจลุ ินทรีย์ (โดยเฉพาะ จุลินทรีย์ที่ไมใ่ ช้อากาศ) ทาให้เกิดก๊าซไฮโดรเจนซลั ไฟด์(H2S) ปนเปื อ้ นอย่ใู นนา้ หากในบ่อก้งุ มีก๊าซ ชนิดนีใ้ นปริมาณมากจะทาให้เกิดมลพิษทางนา้ เนื่องจากนา้ จะมีสภาพเป็ นกรด ไม่เหมาะสมกบั การ ดารงชีวิตของกุ้ง อีกทงั้ ก๊าซดงั กลา่ วยงั ทาให้เกิดเป็ นมลพิษทางอากาศ เนื่องจากมีกล่ินเหม็น สร้ าง ความราคาญให้แกม่ นษุ ย์ นอกจากนนั้ ก๊าซไฮโดรเจนซลั ไฟด์ท่ีมีปริมาณมากในบ่อก้งุ ยงั ทาให้เกิดการ เปลย่ี นแปลงเกิดเป็ นสารประกอบกามะถนั และสะสมในตะกอนดินในบอ่ ก้งุ ทาให้ตะกอนดินเป็ นกรดไม่ เหมาะสมตอ่ การเลยี ้ งก้งุ ในการเลยี ้ งรอบตอ่ ไป (ตะกอนดินจะทาให้เกิดมลพิษทางนา้ ) ทาให้ผ้เู ลีย้ งก้งุ จึงจาเป็ นต้องใช้ปนู ขาว เพื่อทาการปรับสภาพบ่อก้งุ ก่อนทาการเพาะเลีย้ งในรอบต่อไป จะเห็นได้ว่า มลพิษทงั้ 3 ทางนนั้ มีความสมั พนั ธ์เช่ือมโยงกนั โดยท่ีมลพิษทางนา้ จะเปล่ยี นเป็ นมลพิษทางอากาศ และมลพษิ ทางดินได้ และมลพิษทางดิน ก็สามารถเปลยี่ นเป็ นมลพิษทางนา้ ได้ สงิ่ แวดล้อมศกึ ษา: แนวทางสกู่ ารปฏิบตั ิ__________________________________________

30 ตวั อยา่ งการใช้ DDT กาจดั แมลง DDT (มลสาร) มลพิษทางอากาศ มลพษิ ทางดนิ ส่ิงมชี ีวติ ในดินตาย ถกู ชะล้าง ละลาย ระเหย ในนา้ ลงนา้ มลพษิ ทางนา้ ส่ิงมีชวี ติ ในนา้ ตาย จลุ ินทรีย์ ส่ิงมีชวี ติ ในนา้ ตาย ยอ่ ยสลาย ไฮโดรเจนซลั ไฟด์(มลสาร) แผนภาพที่ 11 ความสมั พนั ธ์ของมลพิษทางดนิ มลพษิ ทางนา้ และมลพษิ ทางอากาศ จากการใช้ DDT จากแผนภาพที่ 11 จะเหน็ ได้วา่ การใช้ DDT กาจดั แมลงทาให้ดนิ เกิดปนเปื อ้ นด้วย DDT ในดนิ ทาให้เกิดมลพษิ ทางดินเนือ่ งจากสง่ิ มีชวี ติ ในดนิ เป็ นอนั ตราย เมอ่ื ฝนตกจะเกิดการชะหน้าดิน ทาให้ DDT ลงนา้ ซง่ึ เป็ นสาเหตขุ องมลพษิ ทางนา้ เพราะสง่ิ มชี ีวติ ในนา้ ตาย เม่ือสตั ว์นา้ ตายจะเกดิ การยอ่ ย สลาย ทาให้เกิดกลนิ่ จากก๊าซตา่ งๆ เช่น มีเทน แอมโมเนยี และก๊าซไฮโดรเจนซลั ไฟด์ ซงึ่ เป็ นมลพษิ ทางอากาศ เน่อื งจากทาให้เกดิ ความราคาญตอ่ มนษุ ย์ สง่ิ แวดล้อมศกึ ษา: แนวทางสกู่ ารปฏบิ ตั ิ__________________________________________

31 สรุป เนอื ้ หาความรู้สว่ นท่ี 1 “สงิ่ แวดล้อม” ท่ีได้นาเสนอแล้วนนั้ ผ้อู า่ นคงมองเหน็ ภาพแล้ววา่ การทาลายสงิ่ แวดล้อมได้กอ่ ให้เกิด การขาดแคลนทรัพยากรธรรมชาติ และการเกิดมลพิษ ซง่ึ เป็ นวกิ ฤตปัญหาสงิ่ แวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาตนิ นั้ ต้องได้รับการป้ องกนั เพอ่ื ไมใ่ ห้ถกู ทาลาย จนทาให้ระบบนเิ วศ ธรรมชาตขิ าดสมดลุ อนั สง่ ผลกระทบตอ่ มา ทาให้เกิดปัญหามลพษิ สง่ิ แวดล้อมขนึ ้ ซง่ึ ต้อง ได้รับการแก้ไข..... สงิ่ แวดล้อมศกึ ษา: แนวทางสกู่ ารปฏิบตั ิ__________________________________________

32 ส่วนท่ี 2 การศึกษา.. โครงสร้างเนอื ้ หาความรู้เกีย่ วกบั การศกึ ษา ซงึ่ ประกอบด้วย ความหมายของการศกึ ษา ความคิดรวบยอดของการเรียนรู้และวตั ถปุ ระสงค์การศกึ ษา ความคดิ รวบยอดของประสบการณ์เพื่อการเรียนรู้ และ ระบบการศกึ ษา เมอื่ ผ้อู า่ นเข้าใจเนือ้ หาสาระเก่ียวกบั การศกึ ษาแล้วจะมองเห็นภาพวา่ การศกึ ษาทงั้ 3 ระบบ ได้แก่ ในระบบ นอกระบบ และตามอธั ยาศยั นนั้ เป็ นเครื่องมอื ท่มี คี วามสาคญั อยา่ งยงิ่ อนั จะทาให้ มนษุ ยเ์ กิดการเรียนรู้ คอื เกิดการเปลยี่ นแปลงพฤตกิ รรม ……. ............จากไมร่ ู้ เป็ น รู้ ............จากทาไมเ่ ป็ น เป็ น ทาเป็ น / ทาได้ ............จากไมอ่ ยากรู้/ไมอ่ ยากทา เป็ น อยากรู้ / อยากทา สงิ่ แวดล้อมศกึ ษา: แนวทางสกู่ ารปฏบิ ตั ิ__________________________________________

33 ความหมายของการศึกษา คาวา่ “การศึกษา” ในมมุ มองและบริบททางวิชาการของนกั วิชาการสาขาตา่ งๆ เช่น นกั วิชาการ ทางการเกษตร ส่งเสริมการเกษตร สิ่งแวดล้อม การศึกษา พฒั นาสงั คม ฯลฯ ได้ให้ความหมายไว้ หลากหลาย เช่น “ กล้วยไม้มีดอกช้าฉนั ใด การศกึ ษาก็เป็ นไปฉนั นนั้ ” “ การศกึ ษาคอื ชีวิต ” ฯลฯ คาว่า”การศึกษา”นนั้ ศ.ทานอง สิงคาลวณิช ( 2517)บุรพาจารย์ด้านส่งเสริมการเกษตรของ ประเทศไทย ได้เขียนไว้ในหนงั สอื “เกษตรไทย” วา่ การศกึ ษา ตามความหมายของกระทรวงศกึ ษาธิการ หมายถึง ความเจริญงอกงามในตัวบุคคล ซงึ่ ศ.ดร.สาโรช บวั ศรี บรุ พาจารย์ด้านการศกึ ษาสมยั ใหม่ ของประเทศไทย ได้อธิบาย ความงอกงามในตวั บคุ คล โดยการยกตวั อย่างซ่ึงจะทาให้เห็นภาพของ ความหมาย “ ความงอกงามในตวั บคุ คล ” ที่งา่ ยและชดั เจนไว้ในหนงั สอื รากแก้วการศกึ ษา(2552) วา่ ....สมมุติว่า..มีห้องอยู่ห้องหนึ่ง ไม่มีประตู ไม่มีหน้าต่างอยู่เลย ภายในห้องไม่มีอะไร นอกจากท่อให้อากาศเข้าไป อย่สู งู มากบนเพดาน และที่ข้างๆ พืน้ ห้องมีช่องเล็กๆอย่ชู ่องหน่ึง พอที่จะสง่ อาหารเข้าไปได้เทา่ นนั้ สมมตุ ิต่อไปอีกวา่ เอาเด็กเลก็ คนหน่ึงใสเ่ ข้าไว้ในห้องนนั้ แตผ่ ู้ เดยี ว แล้วปิ ดช่องเลก็ ๆนนั้ เสยี ให้สนิทตลอดเวลา จะเปิ ดก็เฉพาะตอนสอดจานอาหารและนา้ เข้า ไปให้ และรีบปิ ดชอ่ งโดยรวดเร็ว เพื่อมิให้เด็กคนนนั้ ได้เห็นอะไรภายนอกห้องเป็ นอนั ขาด …สมมุติว่า...สิบปี ต่อมาเด็กคนนนั้ มีชีวิตอยู่ได้ เราจึงพงั ห้องนนั้ เข้าไปและนาเด็กคนนนั้ ออกมา ขอให้นกึ ดวู า่ เด็กคนนนั้ จะมลี กั ษณะเป็ นอยา่ งไรบ้าง ....เด็กจะไม่รู้จักว่าตนเองเป็ นชายหรือหญิง ไม่รู้จักภาษา พดู ไม่ได้ ไม่เคยประสบพบเห็น มนษุ ย์มากอ่ นเลย ไมเ่ คนเห็นท้องฟ้ า พระอาทติ ย์ ต้นไม้ สตั ว์ บ้าน ถนนหนทาง ฝนตก แดดออก ฯลฯ เรียกวา่ ไมเ่ คยพบเห็นอะไรทงั้ นนั้ นอกจากผนงั ส่ีด้าน ....การท่ีไม่เคยได้ประสบพบเห็นหรือ สมั ผสั อะไรเลยนี ้เรียกวา่ ไม่มีประสบการณ์นนั้ เอง ซึง่ ทาให้ไมร่ ู้อะไรทงั้ สนิ ้ กลา่ วอีกทีหนึ่งก็คือ ไร้การศกึ ษาอยา่ งเดด็ ขาด แตถ่ ้าเด็กผู้นนั้ ได้ประสบพบเหน็ พอควร หรือวา่ มปี ระสบการณ์พอควร ก็เรียกได้ว่า เป็ นผ้ทู ่ีได้รับการศึกษาพอควร ส่วนเด็กท่ีประสบการณ์พบเห็นสิ่งต่างๆ มากมาย หลายด้ าน และล้วนแล้วแต่เลือกสรรมาให้ เฉพาะท่ีดีๆและเหมาะสมทัง้ นัน้ กล่าวคือ มี ประสบการณ์มากและดีด้วยนนั้ ก็เรียกวา่ เป็ นเด็กทีไ่ ด้รับการศกึ ษาเป็ นอยา่ งดี ….เดก็ ทีส่ มมตุ ขิ นึ ้ มานนั้ จะเห็นได้วา่ เตบิ โตขนึ ้ มาหรืองอกขนึ ้ มาแตท่ างร่างกายเท่านนั้ สว่ น ทางจิตใจ ทางความรู้ และทางทกั ษะทงั้ ปวง ไมไ่ ด้เจริญหรืองอกขนึ ้ มาเลย ถ้าจะกลา่ วอกี ทห่ี นง่ึ ก็ คือวา่ เด็กท่ีไมไ่ ด้รับการศึกษานนั้ เติบโตและงอกขนึ ้ มาอย่างไม่ครบถ้วนและไม่งดงามเสียเลย ตรงกนั ข้ามเดก็ ทีไ่ ด้ประสบพบเห็นมาก และล้วนแต่เป็ นสง่ิ ที่ดีๆและเหมาะสม หรือเรียกว่าได้รับ สงิ่ แวดล้อมศกึ ษา: แนวทางสกู่ ารปฏิบตั ิ__________________________________________

34 การศกึ ษาดีนนั้ ยอ่ มจะได้งอกขนึ ้ อยา่ งครบถ้วนหรืออยา่ งงดงาม เช่น อา่ นออกเขียนได้ มีความรู้ แขนงต่างๆ มีวินัยดี รู้จักการแต่งกายที่สุภาพ มีกิริยามารยาทเรียบร้ อย มีวาจาไพเราะ มี คณุ ธรรมและศลี ธรรม รู้จกั ธรรมเนียมประเพณี ประกอบอาชีพได้ รู้จกั เคารพบิดามารดาและครู บาอาจารย์ ฯลฯ เดก็ อยา่ งนี ้เรียกได้วา่ “งอกงาม” ดงั นัน้ นกั ปราชญ์ทางการศกึ ษา จึงกลา่ ววา่ “ การศึกษา คือ การงอกงาม ”หรือพูดอีกทีหนึ่งก็คือ การจัดประสบการณ์ที่เหมาะสมให้แก่ ผ้เู รียนจะได้งอกงามขนึ ้ ตามวตั ถปุ ระสงค์ก็ได้ จากตวั อยา่ งการขยายความหมายของ“ความงอกงามในตวั บคุ คล” ของศ.ดร.สาโรช บวั ศรี ถ้าจะ กลา่ วโดยสนั้ ที่สดุ แล้ว ความงอกงามในตวั บคุ คล ก็คือ การท่ีบคุ คลได้รับการศึกษา ซ่ึงหมายถึง การที่ บคุ คลนนั้ ๆได้รับประสบการณ์เพ่ือการเรียนรู้ในด้านจิตใจ ความรู้ และทกั ษะซ่ึงในปัจจบุ นั นีท้ างการ ศกึ ษา เรียกวา่ วตั ถปุ ระสงค์การศกึ ษาด้านเจตคติ (เจตพิสยั ) ด้านความรู้ (พทุ ธิพิสยั ) และด้านทกั ษะ (ทกั ษะพสิ ยั ) ซง่ึ สอดคล้องกบั ความหมายการศกึ ษาของ ศ.ดร.เกษม จนั ทร์แก้ว (2536) บรุ พาจารย์ด้าน สง่ิ แวดล้อมศึกษา ที่กลา่ วไว้ว่า “ การศกึ ษา หมายถึง การเจริญงอกงามที่ได้มาจากประสบการณ์การ เรียนรู้ อนั จะนามาซงึ่ ความเจริญงอกงามทางกายภาพ อารมณ์ สติปัญญาและสงั คม ” จะเห็นได้ว่า ความหมายการศกึ ษาของบรุ พาจารย์ทงั้ 3 ทา่ นยงั มีลกั ษณะเป็ นนามธรรม ดงั นนั้ เพื่อให้มีความเป็ นรูปธรรมที่สามารถนาไปสกู่ ารจดั การศึกษาได้ ในหนงั สอื เลม่ นีจ้ ึงให้ความหมายของ การศกึ ษาไว้วา่ “ การศึกษา คือ กระบวนการจัดประสบการณ์เพ่ือการเรียนรู้ เพื่อให้บคุ คลเกิดการ เปลย่ี นแปลงพฤตกิ รรมตามวตั ถปุ ระสงค์การศกึ ษาด้านเจตคติ (เจตพิสยั )ด้านความรู้ (พทุ ธิพิสยั ) และ ด้านทกั ษะ(ทกั ษะพิสยั )ทีก่ าหนดไว้ ” ซง่ึ การเปลย่ี นแปลงพฤติกรรมในตวั บคุ คลอาจขยายความได้ดงั ท่ี ศ.ทานอง สงิ คาลวณิช(2516) ได้ยกตวั อยา่ งไว้วา่ การศกึ ษา คอื สงิ่ ทีท่ าให้เกิดการเปลยี่ นแปลงพฤตกิ รรมในตวั บคุ คล เช่น จากความไมร่ ู้ ให้ มคี วามรู้ จากมีความรู้น้อย ให้ มีความรู้มากขนึ ้ จากไมม่ ปี ระสบการณ์ ให้ มปี ระสบการณ์ จากมปี ระสบการณ์น้อย ให้ มีประสบการณ์มากขนึ ้ จากไมม่ ีทกั ษะ ให้ มีทกั ษะ ฯลฯ เป็ นต้น สง่ิ แวดล้อมศกึ ษา: แนวทางสกู่ ารปฏบิ ตั ิ__________________________________________

35 ความคดิ รวบยอดของการเรียนรู้วตั ถปุ ระสงค์การศึกษา เนอื ้ หาความรู้เก่ียวกบั การเรียนรู้และวตั ถปุ ระสงค์การศกึ ษาของเลม่ นี ้จะมีลกั ษณะเป็ นความคิด รวบยอด คือ จะกลา่ วถึงเนือ้ หาท่ีสรุปสาระสาคญั ของการเรียนรู้และวตั ถปุ ระสงค์การศึกษาเป็ นหลกั เทา่ นนั้ การเรียนรู้(Learning) คือ การเปล่ยี นแปลงพฤติกรรม ดงั นนั้ ถ้าพดู ถึงวา่ ผ้เู รียนเกิดการเรียนรู้ จึง หมายถงึ ผ้เู รียนคนนนั้ ได้เกิดการเปลย่ี นแปลงพฤติกรรมขนึ ้ ในตวั ของผ้เู รียน ในวงการศึกษาสากล ได้กาหนดให้การเรียนรู้มีขอบข่ายอยดู่ ้วยกัน 3 กล่มุ (Domain) เรียกว่า วตั ถปุ ระสงค์การศกึ ษา ซง่ึ นกั การศกึ ษาอเมริกนั ได้ร่วมกนั จดั ทา “สารบบจาแนกวตั ถปุ ระสงค์การศกึ ษา ( Taxonomy of Educational Objectives) โดยเลยี นแบบสารบบจาแนกสิ่งมีชีวิตในวิชาชีววิทยา ซึ่ง Taxonomy (สารบบจาแนกหรืออนกุ รมวิธาน) หมายถึง การจาแนกชนั้ (Classification) เพ่ือรวบรวม สง่ิ มชี ีวติ เข้าไว้เป็ นหมวดหมู่ ตวั อยา่ งเชน่ “ คน ” เขียนจาแนกชนั้ ได้ดงั นี ้(อาจ, 2522) Kingdom: Animalia Subkingdom: Metazoa Superphylum: Coelomata Phylum: Chordata Subphylum: Vertebrata Class: Mammalia Subclass: Eutheria Order: Primate Suborder: Anthropoidea Superfamily: Hominoidea Family: Hominoidae Genus: Homo Species: sapiens สารบบวตั ถปุ ระสงค์การศึกษา ได้จาแนกวตั ถปุ ระสงค์การศกึ ษาออกเป็ น 3 กลมุ่ ใหญ่ เรียกว่า “พิสยั ” หรือ “ปริเขต” ซง่ึ ตรงกบั ภาษาองั กฤษว่า “Domain” ได้แก่ พทุ ธิพิสยั (Cognitive Domain) เจต พิสยั (Affective Domain) และทกั ษะพิสยั (Psychomotor Domain) ทงั้ นีเ้ พ่ือประโยชน์ในการจดั การ เรียนการสอน การวดั และประเมินผล สงิ่ แวดล้อมศกึ ษา: แนวทางสกู่ ารปฏิบตั ิ__________________________________________

36 ศ.ดร.อุทุมพร (ทองอุไร) จามรมาน(2531) ได้เล่าไว้ใน “คานา” หนงั สือ “จุดมุ่งหมาย ทางการศกึ ษา” วา่ ...... ในปี 1956 Taxonomy of Education Objectives(The Classification of Education Goals) handbook I: Cognitive Domain โดย A Committee of College and University Examiners มี Benjamin S. Bloom เป็ นบรรณาธิการ ได้พิมพ์คมู่ ือ cognitive domain เผยแพร่เป็ นครัง้ แรก ต่อมาในปี 1964 Taxonomy of Education Objectives(The Classification of Education Goals) handbook II: Affective Domain โดย David K. Krathwohl และคณะ ได้พิมพ์คมู่ ือ Affective Domain เผยแพร่เป็ นครัง้ แรก สว่ นทกั ษะ พิสยั (Psychomotor Domain) ไมป่ รากฏวา่ ได้มีการพิมพ์เผยแพร่เหมือนค่มู ือเลม่ 1 และ เลม่ 2 รายละเอียดของสารบบวตั ถปุ ระสงค์การศกึ ษาทงั้ 3 กลมุ่ มีดงั นี ้(สมสดุ าและโสภณ,2534) 1. สารบบของวัตถุประสงค์การศึกษาด้านเจตพิสัยที่เน้นการพัฒนาความคิด จิตใจ อารมณ์ ซง่ึ จาแนกออกเป็ น 5 ระดบั 1.1 การตงั้ ใจ (Attending) หมายถึง ความตงั้ ใจที่จะรับรู้ข้อมลู ต่างๆแล้วเกิดการรับรู้วา่ อะไรเป็ นอะไร 1.2 การตอบสนอง (Responding) หมายถึง การแสดงออกตอบสนองต่อข้อมลู และหรือ สถานการณ์ 1.3 การเห็นคณุ คา่ (Valuing) หมายถึง การเหน็ ข้อดีของเร่ืองนนั้ มากกวา่ ข้อเสยี 1.4 การจัดระบบคุณค่า (Organization) หมายถึง การนาคุณค่าต่างๆมาประมวล รวมกนั แล้ว จดั ระดบั ของคณุ คา่ นนั้ 1.5 การสร้างลกั ษณะนิสยั (Characterization) หมายถึง การปฏิบตั ิตามคณุ คา่ นนั้ จน เกิดเป็ นลกั ษณะนสิ ยั 2. สารบบของวตั ถุประสงค์การศึกษาด้านพุทธิพิสัย ท่ีเน้น การพฒั นาสติปัญญาของ ผ้เู รียน ซงึ่ จาแนกออกเป็ น 6 ระดบั 2.1 ความรู้ความจา (Knowledge) หมายถึง ความสามารถทางสติปัญญาในการจดจา จากการได้ฟัง ได้เหน็ ได้สมั ผสั เรื่องราวตา่ งๆ และระลกึ เรื่องเหลา่ นนั้ ออกมาได้ถกู ต้อง 2.2 ความเข้าใจ (Comprehension) หมายถึง ความสามารถในการสรุปสาระสาคญั ของ เรื่องราวนนั้ ๆ โดยการแปลความ ตคี วามและขยายความ สง่ิ แวดล้อมศกึ ษา: แนวทางสกู่ ารปฏบิ ตั ิ__________________________________________

37 2.3 การนาไปใช้ (Application) หมายถึง ความสามารถในการนาเรื่องราวตา่ งๆท่ีรู้แล้ว ไปใช้ในสถานการณ์ใหมไ่ ด้ 2.4 การวเิ คราะห์ (Analysis) หมายถึง ความสามารถในการแยกแยะ เรื่องราวท่ีสมบรู ณ์ ออกเป็ นสว่ นยอ่ ยๆ 2.5 การสงั เคราะห์ (Synthesis) หมายถงึ ความสามารถในการนาความรู้ที่ได้จากแหลง่ ตา่ งๆมาประมวลกนั แล้วสร้างเป็ นความรู้ใหม่ ผลงานใหม่ วธิ ีดาเนนิ การใหม่ 2.6 การประเมินค่า (Evaluation) หมายถึง ความสามารถในการวินิจฉัยหรือตดั สิน คณุ คา่ เร่ืองใดเรื่องหนงึ่ หรือตดั สนิ ใจกระทาสงิ่ ใดสง่ิ หนง่ึ อยา่ งมหี ลกั เกณฑ์ 3. สารบบของวตั ถุประสงค์การศึกษาด้านทักษะพิสัย ท่ีเน้นการพฒั นาความสามารถใน การใช้กล้ามเนอื ้ ทางานภายใต้การควบคมุ ของจิตใจ จนออกมาเป็ นความคลอ่ งแคลว่ ว่องไวในการ ทางานและหรือความถูกต้องในการปฏิบตั ิงาน และ/หรือความประณีตของผลงาน ซึ่งจาแนก ออกเป็ น 7 ระดบั 3.1 การสมั ผสั รู้ (Perception) หมายถึง ความสามารถในการใช้กล้ามเนือ้ ของประสาท สมั ผสั ทงั้ 5 คือ หู ตา ผวิ หนงั ลนิ ้ จมกู ในการรับรู้ได้อยา่ งถกู ต้อง 3.2 การเตรียมพร้อมปฏิบตั ิ (Set) หมายถึง ความพร้อมทางด้านความรู้ ด้านกล้ามเนือ้ และด้านอารมณ์ทีจ่ ะปฏบิ ตั ิงาน 3.3 การปฏบิ ตั ภิ ายใต้การแนะนา (Guided Response) หมายถึง การปฏบิ ตั ิภายใต้การ แนะนาของผ้อู นื่ 3.4 การปฏิบตั ิได้จนคลอ่ ง (Mechanism) หมายถึง การปฏิบตั ิได้จนเกิดเป็ นความชานิ ชานาญ คลอ่ งแคลว่ วอ่ งไว 3.5 การปฏบิ ตั งิ านทซี่ บั ซ้อน (Complex Overt Response) หมายถึง ความสามารถท่ีนา ทกั ษะจากงานท่งี า่ ย มาฝึกจนสามารถปฏิบตั ิงานทซ่ี บั ซ้อนได้ 3.6 การปรับปรุง (Adaptation) หมายถึง ความสามารถในการปฏิบตั ิงานจนปรับปรุง ได้ผลงานใหมท่ ่มี ีคณุ ภาพขนึ ้ เร่ือยๆ 3.7 ต้นแบบ (Origination) หมายถึง ความสามารถในการปฏิบตั ิงานที่เป็ นต้นตารับให้ ผ้อู ่ืนต้องปฏิบตั ิตาม เพอ่ื สะดวกตอ่ การทาความเข้าใจได้ง่ายขนึ ้ จงึ นาสารบบของวตั ถปุ ระสงค์การศกึ ษาทงั้ 3 กลมุ่ มา เขียนเป็ นแผนภาพ โดยจาลองสารบบจาแนกสง่ิ มชี ีวิต ดงั แผนภาพท่ี 12 สงิ่ แวดล้อมศกึ ษา: แนวทางสกู่ ารปฏิบตั ิ__________________________________________

38 เจตพิสัย (Affective Domain) การตกงั ้าใรจต(อAบttสeนnอdงi(nRge)sponding) การเหน็ คณุ คา่ (Valuing) การจดั ระบบคณุ คา่ (Organization) การสร้างลกั ษณะนสิ ยั (Characterization) ทกั ษะพสิ ัย (Psychomotor Domain)) การสมั ผสั รู้(Perception) การเตรียมพร้อมปฏบิ ตั (ิ Set) การปฏิบตั ิภายใต้การแนะนา (Guided Response) การปฏิบตั ไิ ด้จนคลอ่ ง (Mechanism) การปฎิบตั งิ านทซ่ี บั ซ้อน (Complex Overt Response) พุทธพิ คสิวายั ม(รCู้คoวgาnมiจtivาe(KDnoomwaleind)ge)การตป้นรแับบปบรุ(งO(Aridgainpatatitoionn)) ความเกขา้ารในจา(กCไปาoรใmวชเ้ิ(pคArรpeาphะleหicn์(aAstinoioannl)y)sis) การสงั เคราะห์ (Synthesis) การประเมนิ คา่ (Evaluation) แผนภาพท่ี 12 สารบบของวตั ถปุ ระสงค์การศกึ ษา จะเห็นได้วา่ ในวิชาการศึกษาของประเทศตะวนั ตก วัตถปุ ระสงค์พืน้ ฐานของการศึกษาซึ่งเป็ นท่ี ยอมรับกนั ในแวดวงวิชาการทางการศึกษา คือ ให้ผ้เู รียนได้เกิดความรู้ เจตคติ และทกั ษะ รวม 3 ประการด้วยกนั วัตถปุ ระสงค์การศกึ ษาทัง้ 3 ประการนีร้ วมอย่เู ป็ นกระบวนการเดียวกัน แตท่ ี่พดู แยกกนั ก็เพอ่ื ประโยชน์ในการอธิบายเทา่ นนั้ สาหรับ ศ.ดร.สาโรช บวั ศรี (2552)เหน็ วา่ ....ในการศึกษานนั้ “...ทศั นคติ ถือเป็ นเรื่องสาคญั มาก ถ้าเล่าเรียนเร่ืองใดก็ตาม แต่ไม่เกิด ทศั นคติที่ดีในสง่ิ ที่เราเลา่ เรียนมาแล้ว การเรียนก็คงไม่ได้ผลเท่าท่ีควร คือ จะไม่มีความคิดท่ีจะ นาไปประยกุ ต์หรือกระทาเลย..ในปัจจุบนั นกั การศกึ ษายา้ วา่ ให้เรียนด้วยการกระทา(Learning by Doing) การกระทาจะเกิดขนึ ้ ได้อยา่ งดี ก็ต้องมีทศั นคติเป็ นแรงผลกั ดนั ...”. เพือ่ ให้เห็นภาพของความสมั พนั ธ์ของวตั ถปุ ระสงค์การศกึ ษาทงั้ 3 กลมุ่ และความสาคญั ของเจต คติ จึงขอยกตวั อยา่ ง การปลกู มะนาวของป้ าสมคดิ เกษตรกรรอบศนู ย์ศกึ ษาการพฒั นาเขาหินซ้อน อนั เนื่องมาจากพระราชดาริ อาเภอพนมสารคาม จงั หวดั ฉะเชิงเทรา ดงั แผนภาพท่ี 13 สง่ิ แวดล้อมศกึ ษา: แนวทางสกู่ ารปฏบิ ตั ิ__________________________________________

39 เร่ิมจาก มะนคาววาเมพตอ่ื ป้อรงะกกอาบรอปาชลพีกู A1 ทดลองปลกู จนชานาญ A = Affective Domain C = Cognitive Domain จนประกอบอาชีพได้ P = Psychomotor Domain ศกึ ษาหาความรู้การปลกู P1 P2 จงึ ทาการขยายพืน้ ท่ีปลกู มะนาว มะนาวจากเจ้าหน้าท่ี C1 ศนู ย์ศกึ ษาการพฒั นาเขาหนิ ซ้อน เหน็ ประโยชน์ของการ A2 ปลกู มะนาว เพราะรายไดดี พบปัญหาโรคระบาดในมะนาว จงึ หาความรู้ ในการป้ องกนั และกาจดั จากศนู ย์ศกึ ษาฯ และ C2 ไคโดรว้คารมะรบู้วาา่ ดคมวะรนใชา้วมมะานปาลวสกู าแยทพนนั ธ์ตุ ้านทาน แผนภาพท่ี 13 ความสมั พนั ธ์ของวตั ถปุ ระสงค์การศกึ ษาทงั้ 3 กลมุ่ ในการปลกู มะนาวของ ป้ าสมคิด เกษตรกรรอบศนู ย์ศกึ ษา ฯ จากเรื่องราวการปลกู มะนาวของป้ าสมคิด จะเห็นได้วา่ การปลกู มะนาวของป้ าสมคิด เร่ิมต้นจาก การที่ป้ าสมคิดมีความต้องการ คือ มีใจอยากจะปลูกมะนาว (ป้ าสมคิดมี Affective ต่อการปลูก มะนาว)เพื่อประกอบอาชีพ ทาให้ป้ าสมคิดต้องหาความรู้การปลกู มะนาว(จนป้ าสมคิดมี Cognitive เก่ียวกับการปลูกมะนาว) หลังจากนัน้ ป้ าสมคิดก็ทดลองปลูกมะนาวจนชานาญ(ป้ าสมคิดเกิด Psychomotor) หลงั จากปลูกมะนาวได้แล้ว ทาให้ประกอบอาชีพได้และมีรายได้ดี ป้ าสมคิดเห็น ประโยชน์ของการปลกู มะนาว (ป้ าสมคดิ มี Affective ตอ่ อาชีพการปลกู มะนาว) จึงต้องการขยายพืน้ ท่ี ปลกู ป้ าสมคิดทาการขยายพืน้ ท่ี และเม่ือพบปัญหาโรคระบาด ป้ าสมคิดต้องหาความรู้ในการแก้ไข จากศนู ย์ศกึ ษาฯ (เกิด Cognitive เก่ียวกบั วิธีการแก้ไขปัญหาโรคระบาด ) จากตวั อยา่ งเรื่องการปลกู มะนาว จะเห็นถึงความสมั พนั ธ์ของวตั ถปุ ระสงค์การศกึ ษาทงั้ 3 กลมุ่ โดยจะเหน็ ได้วา่ การปลกู มะนาวของป้ าสมคิด เริ่มต้นจากการมใี จ (มเี จตคตทิ ด่ี )ี ตอ่ การปลกู มะนาว ทา ให้เกิดการเรียนรู้การปลกู มะนาวจนเกิดเป็ นอาชีพ และเมื่อมีปัญหาโรคระบาดเกิดขนึ ้ กบั มะนาว การมี เจตคติที่ดีต่ออาชีพการปลกู มะนาว ทาให้เกิดการเรียนรู้เพื่อหาวิธีการแก้ไขจนประสบความสาเร็จ ซึ่ง แสดงให้เหน็ วา่ เจตคติ (Affective)นนั้ มีบทบาทสาคญั ทีเ่ ป็ นแรงผลกั ดนั ให้เกิดความรู้( Cognitive)และ ทกั ษะ(Psychomotor) ดงั ภาพที่ 3 สงิ่ แวดล้อมศกึ ษา: แนวทางสกู่ ารปฏบิ ตั ิ__________________________________________

40 ภาพที่ 3 ป้ าสมคิดสอนวิธีการปลกู และดแู ลมะนาว ทม่ี า: ลาวณั ย์,2558 อีกตวั อย่างหนึ่งเป็ นความสมั พันธ์ของวตั ถุประสงค์การศึกษาทงั้ 3 กล่มุ ในกรณีตวั อย่างการ ตรวจวดั คณุ ภาพนา้ ของยวุ ชน (น้องหมอ่ น)ริมแมน่ า้ เจ้าพระยา โดยมีเจตคติเป็ นแรงผลกั ดนั ให้เกิดการ เรียนรู้ทางสงิ่ แวดล้อม ดงั แผนภาพท่ี 14 เร่ิมต้นจาก A = Affective Domain C = Cognitive Domain น้องหม่อนกังวลใจท่มี ีนา้ เสยี จากพนื ้ ทนี่ า ระบตายามออปกกมตาิ จทงึ มาใีให้จไมอส่ ยาามกาตรรถวใจชว้นดั า้ คในณุ แภมาน่ พา้ นไดา้ ้ A1 น้องหมอ่ นหาความรู้ P = Psychomotor Domain การเฝ้ าวงั คณุ ภาพนา้ ใน C1 แหลง่ นา้ ชมุ ชน ทาP1 น้องหมอ่ น การเฝ้ าระวงั คณุ ภาพนา้ ในแหลง่ นา้ ชมุ ชน น้องหมอ่ นเหน็ ประโยชน์ A2 น้องหมอ่ นและเพ่อื นๆ ของการเฝ้ าระวงั คณุ ภาพนา้ P2 ชว่ ยกนั เฝ้ าระวังคุณภาพนา้ จงึ ชวนเพอ่ื นๆทาการ เฝ้ าระวงั คณุ ภาพนา้ C1 น้องหมอ่ นสอนเพ่ือนๆ เฝ้ าระวงั คณุ ภาพนา้ แผนภาพท่ี 14 ความสมั พนั ธ์ของวตั ถปุ ระสงค์การศกึ ษาทงั้ 3 กลมุ่ กรณีตวั อยา่ งการตรวจคณุ ภาพนา้ ของเยาวชน(น้องหมอ่ น) ริมแมน่ า้ เจ้าพระยา ช่วงไหลผ่านอาเภอสามโคก จ.ปทมุ ธานี สง่ิ แวดล้อมศกึ ษา: แนวทางสกู่ ารปฏบิ ตั ิ__________________________________________

41 กรณีตวั อย่างการตรวจวดั คุณภาพนา้ ของน้องหม่อน เยาวชนในชุมชนริมแม่นา้ เจ้าพระยา ใน อาเภอสามโคก จงั หวดั ปทมุ ธานี ซ่งึ เกิดความกงั วลใจเก่ียวกบั นา้ เสยี จากพืน้ ที่นาระบายออกสแู่ ม่นา้ เจ้าพระยาช่วงไหลผา่ นชมุ ชนท่ตี นอาศยั ทาให้ไมส่ ามารถใช้นา้ ในแม่นา้ ได้ตามปกติ น้องหมอ่ นจึงมีใจ อยากตรวจวดั คณุ ภาพนา้ (น้องหมอ่ นเกิด Affective) จึงศกึ ษาหาความรู้เกี่ยวกบั การตรวจวดั คณุ ภาพ นา้ (น้องหม่อนเกิด Cognitive) จนสามารถทาการตรวจวัดคุณภาพนา้ ได้ (น้องหม่อนเกิด Psychomotor) หลงั จากนนั้ น้องหม่อนเร่ิมเห็นประโยชน์ของการตรวจวดั คณุ ภาพนา้ (น้องหมอ่ นเกิด Affective) จงึ สอนเพื่อนๆทาการตรวจวดั คณุ ภาพนา้ (น้องหมอ่ นใช้ความรู้ Cognitive เพื่อสอนเพื่อนๆ ตรวจวดั คณุ ภาพนา้ ) น้องหม่อน และเพื่อนๆช่วยกนั ตรวจวดั คณุ ภาพนา้ ในหน้าชมุ นบ้านศาลาแดง เหนอื อ.สามโคก จ.ปทมุ ธานี (น้องหมอ่ นเกิด Psychomotor) ดงั ภาพที่ 4 ภาพท่ี 4 น้องหมอ่ น และเพือ่ นๆช่วยกนั ตรวจวดั คณุ ภาพนา้ ในแหลง่ นา้ ทีม่ า: ลาวณั ย์, 2556 จะเห็นได้ว่า การตรวจวดั คุณภาพนา้ ของน้องหม่อน เริ่มต้นจากการมีใจ (มีเจตคติท่ีดี) ต่อการ ตรวจวดั คณุ ภาพนา้ ทาให้เป็ นแรงผลกั ดนั ให้เกิดการเรียนรู้ เพ่ือหาวิธีการตรวจวดั คณุ ภาพนา้ ในแหลง่ นา้ ของตนจนประสบความสาเร็จ ซงึ่ แสดงให้เห็นวา่ เจตคตินนั้ มบี ทบาทสาคญั ทเ่ี ป็ นแรงผลกั ดนั ให้เกิด ความรู้และทกั ษะในเร่ืองสงิ่ แวดล้อมทสี่ นใจ สง่ิ แวดล้อมศกึ ษา: แนวทางสกู่ ารปฏิบตั ิ__________________________________________

42 ความคดิ รวบยอดของประสบการณ์เพ่ือการเรียนรู้ คาว่า “ประสบการณ์เพ่ือการเรียนรู้” (Learning Experience) ซึ่งหมายถึง “การแสดงออกอย่าง กระตือรือร้นของผ้เู รียน ตอ่ สถานการณ์ที่ผ้สู อนสร้างขนึ ้ ซง่ึ สง่ ผลให้ผ้เู รียนเกิดการเปลย่ี นพฤติกรรมตาม วตั ถุประสงค์ที่ผ้สู อนกาหนดไว้” ได้ปรากฏในหนงั สือชื่อ “Basic Principles of Curriculum and Instruction” ตีพิมพ์เมอ่ื ปี 1949 ของศาสตราจารย์ Ralph W. Tyler ผ้ซู ง่ึ ได้รับการยกย่องว่าเป็ น “บิดา แหง่ การพฒั นาหลกั สตู รสมยั ใหมข่ องประเทศสหรัฐอเมริกา”(สมสดุ าและโสภณ,2534) ประสบการณ์เพื่อการเรียนรู้นีถ้ ือได้ว่าเป็ นฟันเฟื องสาคญั ท่ีสดุ ของการจัดการเรียนการสอนท่ี มงุ่ เน้นไปท่ีตวั ผ้เู รียนและผ้สู อน ซงึ่ ทงั้ สองสว่ นนจี ้ ะต้องมปี ฏิสมั พนั ธ์(Interaction) ตอ่ กนั โดยท่ี ผ้สู อน......ทาหน้าที่จดั สร้างสถานการณ์การเรียนรู้(Learning Situation) ให้กบั ผ้เู รียน ผ้เู รียน......ทาหน้าทตี่ อบสนอง(Interaction)ตอ่ สถานการณ์การเรียนรู้ที่ผ้สู อนได้จดั สร้ างขนึ ้ อยา่ ง กระตือรือร้ น ดงั นนั้ ประสบการณ์เพ่ือการเรียนรู้จงึ เป็ นเร่ืองที่เกิดขนึ ้ โดยมงุ่ ไปท่ีผ้เู รียน ผ้สู อนทาหน้าทีเ่ พียงแต่ ช่วยจดั สถานการณ์การเรียนรู้ตา่ งๆขนึ ้ เพื่อให้ผ้เู รียนได้แสดงออกซงึ่ จะทาให้ผ้เู รียนเกิดการเรียนรู้ คอื เกิดการเปลย่ี นแปลงพฤตกิ รรมตามวตั ถปุ ระสงค์ที่ผ้สู อนกาหนดไว้ จึงเหน็ ได้อยา่ งชดั เจนวา่ ประสบการณ์เพือ่ การเรียนรู้ ไมใ่ ช่สง่ิ ทีผ่ ้สู อนแสดงออก แตจ่ ะต้องเป็ นสิ่ง ที่ทาให้ผ้เู รียนแสดงออก แล้วทาให้เกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง จึงจะจดั เป็ นประสบการณ์เพ่ือการ เรียนรู้ ฉะนนั้ การที่ผ้สู อนบรรยายจึงไมใ่ ช่ประสบการณ์เพ่ือการเรียนรู้ แม้ว่าจะมีผ้เู รียนเป็ นผ้นู งั่ ฟังอย่กู ็ ตาม เพราะผ้เู รียนยงั ไมไ่ ด้ตอบสนองแต่อย่างใดกบั การกระทาของผ้สู อนซึ่งกาลงั บรรยายอยู่ ผ้เู รียน เพียงแตไ่ ด้ข้อมลู ความรู้จากผ้สู อนเทา่ นนั้ แตม่ ไิ ด้เป็ นหลกั ประกนั วา่ ผ้เู รียนจะเรียนรู้ได้ตามวตั ถปุ ระสงค์ ท่ผี ้สู อนกาหนดไว้ ตวั อยา่ งเชน่ ผ้สู อนต้องการสอนการว่ายนา้ ในชนั้ เรียน โดยผ้สู อนอธิบายขนั้ ตอนพร้อมทงั้ ฉายวีดิ ทศั น์ให้ดู แตเ่ ม่ือนาผ้เู รียนลงสระวา่ ยนา้ ปรากฏวา่ วา่ ยนา้ ไมเ่ ป็ น แสดงว่า สง่ิ ท่ีผ้สู อนจดั ทาขนึ ้ คือ การ บรรยายนนั้ ไม่ได้ช่วยให้ผ้เู รียนเกิดประสบการณ์เพื่อการเรียนรู้ในการว่ายนา้ เพราะผ้เู รียนยงั วา่ ยนา้ ไม่ได้ แตถ่ ้าผ้สู อนพาผ้เู รียนไปสระวา่ ยนา้ อธิบายขนั้ ตอน แล้วให้ผ้ทู ่ีว่ายนา้ เป็ นลงสระว่ายนา้ แสดง ขนั้ ตอนเป็ นการสาธิตให้ดู แล้วให้ผู้เรียนได้ลงว่ายนา้ จริงๆ จนสามารถว่ายเป็ น จึงจะถือได้ว่าเป็ น “ประสบการณ์เพ่อื การเรียนรู้การวา่ ยนา้ ” นนั่ คอื สถานการณ์การเรียนรู้ท่ีผ้สู อนจดั ขนึ ้ นบั แตก่ ารเตรียม โดยการอธิบายวิธีวา่ ย ผ้เู รียนลงมอื วา่ ยนา้ จนกระทง่ั เกิดการเรียนรู้โดยเปลี่ยนพฤติกรรมจากว่ายนา้ ไม่ เป็ น จนวา่ ยนา้ ได้ ดงั ภาพท่ี 5 สงิ่ แวดล้อมศกึ ษา: แนวทางสกู่ ารปฏบิ ตั ิ__________________________________________

43 อธิบายวธิ ีและขนั้ ตอนการวา่ ยนา้ ลงวา่ ยนา้ วา่ ยนา้ เป็ น ภาพท่ี 5 การจดั ประสบการณ์เพอ่ื การเรียนรู้ การวา่ ยนา้ เพือ่ ให้ผ้เู รียนได้ลงนา้ จริง จะทาให้ผ้เู รียนเกิด การเรียนรู้โดยเปลย่ี นแปลงพฤติกรรมจากวา่ ยนา้ ไมเ่ ป็ น จนวา่ ยนา้ ได้ ที่มา: ลาวณั ย์, 2558 จากตัวอย่างข้างต้น ชีใ้ ห้เห็นว่า “ประสบการณ์เพ่ือการเรียนรู้” ประกอบด้วย องค์ประกอบ 6 ประการ ได้แก่ 1 ผ้สู อน 2 ผ้เู รียน 3 เนอื ้ หาความรู้ที่ผ้เู รียนจะต้องเรียนรู้(วา่ ยนา้ ) 4 วตั ถปุ ระสงค์การเรียนรู้ ท่ีผ้สู อนกาหนดไว้ (ผ้เู รียนวา่ ยนา้ เป็ น) 5 สถานการณ์เรียนรู้ (Learning Situation) ที่ผ้สู อนจดั สร้างขนึ ้ (การพาผ้เู รียนไปสระว่ายนา้ การอธิบายขนั้ ตอนการว่ายนา้ การสาธิตการว่ายนา้ และการให้ผู้เรียนลงสระว่ายนา้ เพือ่ ให้ผ้เู รียนได้วา่ ยนา้ จริงๆ) 6 การมพี ฤตกิ รรมตอบสนองตอ่ สถานการณ์การเรียนรู้ของผ้เู รียน (ผ้เู รียนตงั้ ใจฟังการอธิบาย ขนั้ ตอนการวา่ ยนา้ ตงั้ ใจดวู ธิ ีการวา่ ยนา้ ที่ผ้สู อนสาธิต และตงั้ ใจลงมอื วา่ ยนา้ ด้วยตนเอง อยา่ งกระตือรือร้น) สงิ่ แวดล้อมศกึ ษา: แนวทางสกู่ ารปฏบิ ตั ิ__________________________________________


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook