รายการตรวจสอบและอนุญาตให้ใช้ เห็นควรอนญุ าตให้ใช้การสอนได้ ควรปรบั ปรุง อ่นื ๆ ...................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................................... ลงช่อื (นางสาวดารณี ปานทอง) หัวหน้าระดับช้ันประถมศึกษา เหน็ ควรอนุญาตให้ใชก้ ารสอนได้ ควรปรับปรุง อ่ืนๆ ........................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................ ลงช่ือ.............................................. (นายชนาธปิ กาละพนั ธ์) รองผู้อานวยการ เหน็ ควรอนุญาตให้ใช้การสอนได้ ควรปรับปรงุ อน่ื ๆ ........................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................ ลงชอ่ื .............................................. (นายประเวศ ทัง่ จันทร์แดง) ผู้อานวยการโรงเรยี น
คานา ตามที่กระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศใช้มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดสาระเทคโนโลยี (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 เพ่ือให้สถานศึกษานาไปใช้เป็นกรอบทิศทางในการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา วางแผนการ จัดการเรียนการสอนและจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพ่ือพัฒนาผู้เรียนให้มีความรู้ความสามารถ และคุณลักษณะ อันพึงประสงค์ตามเป้าหมายของหลักสูตร ตลอดจนให้เกิดผลสาเร็จตามเจตนารมณ์ของการปฏิรูปการศึกษา ดังนั้น ข้นั ตอนการนาหลักสตู รสถานศึกษาไปปฏบิ ัติจริงในชน้ั เรียนของครผู ้สู อนจึงจัดเป็นหวั ใจสาคัญในการพฒั นาผู้เรียน บริษัท อักษรเจริญทัศน์ อจท. จากัด ได้จัดทาแผนการจัดการเรียนรู้รายวิชาพ้ืนฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี เทคโนโลยี (วิทยาการคานวณ) ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 6 ขึ้น เพื่อให้ครูผู้สอนใช้เป็นแนวทางวางแผนจัดการเรียนรู้ แก่ผู้เรียน โดยจัดทาเป็นหน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐานและออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดการออกแบบ ยอ้ นกลับ (Backward Design) ตลอดจนเน้นกิจกรรมแบบ Active Learning อันจะชว่ ยให้ผปู้ กครองและหน่วยงาน ที่เก่ียวข้องกับการประเมินคุณภาพการศึกษา สามารถม่ันใจในผลการเรียนรู้และคุณภาพของผู้เรียนที่มีหลักฐาน ตรวจสอบผลการเรยี นรูอ้ ยา่ งเปน็ ระบบ ผู้สอนสามารถนาแผนการจดั การเรียนรู้เล่มน้ี ไปเป็นแนวทางวางแผนการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ประกอบการ ใช้หนังสือเรยี นรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เทคโนโลยี (วิทยาการคานวณ) ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 6 ท่ี ทางบริษัทจัดพิมพ์จาหน่าย โดยการออกแบบการเรียนรู้ (Instructional Design) ได้ดาเนินการตามกระบวนการ ดังนี้ 1 หลักการจัดการเรียนรู้อิงมาตรฐาน หน่วยการเรียนรู้แต่ละหน่วยจะกาหนดผลการเรียนรู้ไว้เป็นเป้าหมายในการจัดการเรียนการสอน ผู้สอน จะต้องศกึ ษาและวิเคราะหร์ ายละเอียดของมาตรฐานการเรยี นรแู้ ละตวั ช้ีวดั ทกุ ขอ้ ว่า ระบุให้ผ้เู รยี นต้องมคี วามรู้ความ เข้าใจเก่ียวกับเรื่องอะไร และต้องสามารถลงมือปฏิบัติอะไรได้บ้าง และมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดที่เกิดข้ึนกับ ผเู้ รยี นจะนาไปส่กู ารเสริมสร้างสมรรถนะสาคญั และคณุ ลกั ษณะอันพึงประสงคด์ า้ นใดแก่ผูเ้ รยี น มาตรฐานการเรยี นรแู้ ละตวั ชี้วดั ผูเ้ รยี นรูอ้ ะไร ผ้เู รยี นทำอะไรได้ นาไปสู่ สมรรถนะสาคัญของผเู้ รียน คณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์
2 หลกั การจัดกิจกรรมการเรยี นรทู้ ่เี นน้ ผู้เรยี นเป็นสาคัญ เม่ือผู้สอนวิเคราะห์รายละเอียดของมาตรฐานการเรียนรู้และตวั ชวี้ ัด และได้กาหนดเป้าหมายการจัดการเรียน การสอนเรียบร้อยแล้ว จึงกาหนดขอบข่ายสาระการเรียนรู้และแนวทางการจัดการเรียนการสอนให้ผู้เรียนลงมือ ปฏบิ ตั ติ ามข้ันตอนของกิจกรรมการเรียนรทู้ ่อี อกแบบไว้จนบรรลมุ าตรฐานและตวั ชวี้ ดั ทกุ ข้อ มาตรฐานการเรียนรแู้ ละตวั ชีว้ ัด เปา้ หมาย หลกั การจดั การเรียนรู้ การเรียนรู้ สมรรถนะสาคัญของผเู้ รียน และการพัฒนา เน้นผ้เู รยี นเป็นสำคญั คณุ ภาพ สนองควำมแตกตำ่ งระหว่ำงบคุ คล คณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์ ของผูเ้ รียน เนน้ พัฒนำกำรทำงสมอง ของผู้เรียน กระตุ้นกำรคิด เน้นควำมรูค้ คู่ ุณธรรม 3 หลักการบรู ณาการกระบวนการเรยี นรู้สผู่ ลการเรียนรู้ เม่ือผู้สอนกาหนดขอบข่ายสาระการเรียนรู้ และแนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนไว้แล้ว จึงกาหนด รูปแบบการเรียนการสอนและกระบวนการเรยี นรู้ ท่ีจะฝึกฝนใหผ้ ู้เรียนเกิดการเรียนรู้ บรรลตุ ามมาตรฐานการเรยี นรู้ และตวั ชี้วัด โดยเลือกใช้กระบวนการเรียนรู้ท่ีสอดคล้องกับมาตรฐานการเรยี นร้แู ละตัวชี้วัดในหน่วยการเรยี นรู้น้ัน ๆ เช่น กระบวนการเรยี นรู้แบบบูรณาการ กระบวนการสรา้ งความรู้ กระบวนการเรียนรู้ด้วยตนเอง กระบวนการเผชิญ สถานการณ์และการแก้ปัญหา กระบวนการเรียนรู้จากประสบการณ์จริง กระบวนการพัฒนาลักษณะนิสัย กระบวนการปฏิบัติ กระบวนการคิดวเิ คราะห์อยา่ งมีวิจารณญาณ กระบวนการทางสังคม ฯลฯ กระบวนการเรียนรู้ท่ี มอบหมายให้ผู้เรียนลงมอื ปฏิบตั ิน้ันจะต้องนาไปสู่การเสรมิ สร้างสมรรถนะสาคัญ และคุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ของ ผ้เู รียนตามสาระการเรียนรู้ทก่ี าหนดไว้ในแต่ละหนว่ ยการเรยี นรู้ 4 หลกั การจัดกจิ กรรมการเรยี นการสอน การจัดกจิ กรรมการเรยี นการสอน และกจิ กรรมการเรียนร้ใู นแต่ละหน่วยการเรียนรู้ ผู้สอนตอ้ งกาหนดข้นั ตอน และวิธปี ฏบิ ตั ใิ หช้ ดั เจน โดยเน้นให้ผเู้ รียนได้ลงมอื ฝกึ ฝนและฝกึ ปฏบิ ตั มิ ากทส่ี ุด ตามแนวคิดและวธิ ีการสาคัญ คือ 1) การเรียนรู้ เป็นกระบวนการทางสติปัญญาที่ผู้เรียนทุกคนต้องใช้สมองในการคิดและทาความเข้าใจ ในส่ิงต่าง ๆ ร่วมกับการลงมือปฏิบัติ ทดลองค้นคว้า จนสามารถสรุปเป็นความรู้ได้ด้วยตนเอง และ สามารถนาเสนอผลงานแสดงองคค์ วามรทู้ ี่เกิดขึ้นในแต่ละหน่วยการเรียนร้ไู ด้
2) การสอน เป็นการเลือกวิธีการหรือกิจกรรมท่ีเหมาะสมกับการเรียนรู้ในหน่วยการเรียนรู้นั้น ๆ และ ท่ีสาคัญ คือ ต้องเป็นวิธีการที่สอดคล้องกบั สภาพผู้เรียน ผูส้ อนจงึ ตอ้ งเลือกใชว้ ิธกี ารสอน เทคนิคการสอน และรูปแบบการสอนอย่างหลากหลาย เพ่อื ช่วยใหผ้ ้เู รยี นปฏบิ ตั กิ จิ กรรมการเรียนรูไ้ ด้อย่างราบรื่นจนบรรลุ ตัวชี้วดั ทุกข้อ 3) รูปแบบการสอน ควรเป็นวิธีการและขั้นตอนฝึกปฏิบัติที่ส่งเสริมหรือกระตุ้นให้ผู้เรียนสามารถคิดอย่าง เป็นระบบ เช่น รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) รูปแบบการสอนโดยใช้การคิดแบบ โยนิโสมนสิการ รูปแบบการสอนแบบ CIPPA Model รูปแบบการเรียนการสอนตามวัฏจักรการเรียนรู้ แบบ 4MAT รปู แบบการเรียนการสอนแบบร่วมมอื เทคนิค JIGSAW, STAD, TAI, TGT 4) วธิ ีการสอน ควรเลือกใช้วธิ กี ารสอนที่สอดคล้องกับเนื้อหาของบทเรียน ความถนัด ความสนใจ และสภาพ ปัญหาของผู้เรียน วิธีสอนที่ดีจะช่วยให้ผู้เรียนสามารถบรรลุผลการเรียนรู้ตามระดับผลสัมฤทธ์ิที่สูง เช่น วิธีการสอนแบบบรรยาย การสาธิต การทดลอง การอภิปรายกลุ่มย่อย การแสดงบทบาทสมมติ การใช้ กรณตี ัวอยา่ ง การใช้สถานการณ์จาลอง การใชศ้ ูนยก์ ารเรียน การใชบ้ ทเรียนแบบโปรแกรม 5) เทคนิคการสอน ควรเลือกใชเ้ ทคนิคการสอนที่สอดคลอ้ งกับวิธกี ารสอน และช่วยให้ผเู้ รยี นเข้าใจเน้ือหาใน บทเรียนได้ง่ายขึ้น สามารถกระตุ้นความสนใจและจูงใจให้ผู้เรียนร่วมปฏิบัติกิจกรรมการเรียนรู้อย่างมี ประสิทธิภาพ เช่น เทคนิคการใช้ผังกราฟิก (Graphic Organizers) เทคนิคการเล่านิทาน การเล่นเกม เทคนคิ การใช้คาถาม การใช้ตวั อยา่ งกระต้นุ ความคิด การใชส้ ่อื การเรียนรู้ท่นี า่ สนใจ 6) ส่ือการเรียนการสอน ควรเลือกใช้สื่อหลากหลายกระตุ้นความสนใจ และทาความกระจ่างให้เนื้อหา สอดคล้องกับสาระการเรียนรู้ และเป็นเคร่ืองมือช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้บรรลุตัวช้ีวัดอย่างราบรื่น เช่น ส่ือสิ่งพิมพ์ เอกสารประกอบการสอน แถบวีดิทัศน์ แผ่นสไลด์ คอมพิวเตอร์ VCD LCD Visualizer ควรเตรยี มสื่อใหค้ รอบคลมุ ทั้งสือ่ การสอนของครูและสอ่ื การเรยี นรู้ของผเู้ รยี น 5 หลักการจัดกิจกรรมการเรยี นรูแ้ บบยอ้ นกลับตรวจสอบ เมื่อผู้สอนวางแผนออกแบบการจัดการเรียนรู้ รวมถึงกาหนดรูปแบบการเรียนการสอนไว้เรียบรอ้ ยแล้ว จึงนา เทคนิควิธีการสอน วิธีจัดกิจกรรมการเรียนรู้ และสื่อการเรียนรู้ไปลงมือจัดการเรียนการสอน ซ่ึงจะนาผู้เรียนไปสู่ การสร้างชิ้นงานหรือภาระงาน เกิดทักษะกระบวนการและสมรรถนะสาคัญตามธรรมชาติวิชา รวมท้ังคุณลักษณะ อันพึงประสงค์ให้บรรลุตามมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดท่ีเป็นเป้าหมายของหน่วยการเรียนรู้ ตามลาดับขั้นตอน การเรียนรูท้ ่กี าหนดไว้ ดงั น้ี
จากเปา้ หมายและ เปา้ หมายการเรยี นรู้ของหน่วยการเรียนรู้ หลกั ฐาน คิดย้อนกลับ หลักฐานชนิ้ งาน/ภาระงาน สู่จุดเริ่มต้น แสดงผลการเรยี นรู้ของหน่วยการเรยี นรู้ ของกจิ กรรมการเรยี นรู้ 4 กจิ กรรม คาถามชวนคิด 3 กจิ กรรม คาถามชวนคิด จากกิจกรรมการเรียนรู้ 2 กจิ กรรม คาถามชวนคดิ ทีละขั้นบนั ได 1 กจิ กรรม คาถามชวนคดิ ส่หู ลักฐานและ เปา้ หมายการเรียนรู้ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ท่ีมีประสิทธิภาพ นอกจากจะเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติจริงแล้ว จะต้อง ฝึกฝนกระบวนการคิดทุกข้ันตอน โดยใช้เทคนิคการต้ังคาถามกระตุ้นความคิด และใช้ระดับคาถามให้สัมพันธ์กับ เนื้อหาการเรียนรู้ ต้ังแต่ระดับความรู้ ความจา ความเข้าใจ การนาไปใช้ การวิเคราะห์ การประเมินค่า และ การสร้างสรรค์ นอกจากจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจบทเรียนอย่างลึกซึ้งแล้ว ยังเป็นการเตรียมความพร้อม เพ่ือสอบ O-NET ซึ่งเป็นการทดสอบระดับชาติท่ีเน้นกระบวนการคิดระดับการวิเคราะห์ด้วย และในแต่ละ แผนการจัดการเรียนรู้มีการระบุคาถามเพ่ือกระตุ้นความคิดของผู้เรียนไว้ด้วยทุกกิจกรรม ผู้เรียนจะได้ฝึกฝนวิธีการ ทาขอ้ สอบ O-NET ควบคู่ไปกับการปฏบิ ัตกิ จิ กรรมการเรียนรู้ตามผลการเรียนรทู้ ี่สาคัญ ทั้งนี้ การออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอนในแต่ละหน่วยการเรียนรู้จะครอบคลุมกิจกรรมการเรียนรู้ และ การประเมินผลด้านความรู้ความเข้าใจ (K) ด้านทักษะกระบวนการ (P) และด้านคุณลกั ษณะอันพึงประสงค์ (A) ตาม มาตรฐานการเรียนรู้และตัวช้ีวัด สาระเทคโนโลยี (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยี ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 พร้อมทั้งออกแบบเคร่ืองมือการวัดและ ประเมินผล ตลอดจนแบบบันทึกผลการเรียนรู้ด้านต่าง ๆ ไว้ครบถ้วน สอดคล้องกับมาตรฐานด้านคุณภาพผู้เรียน เช่น แบบบันทึกผลด้านการคิดวิเคราะห์ ด้านการอ่านและแสวงหาความรู้ ด้านสมรรถนะและคุณลักษณะ อันพึงประสงค์ตามหลักสูตร ผู้สอนสามารถนาไปประยุกต์ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และใช้ประกอบการจัดทา รายงานการประเมินตนเอง (Self Assessment Reports) จึงม่ันใจอย่างยิง่ วา่ การนาแผนการจัดการเรียนรู้เล่มนี้ไป เปน็ แนวทางจัดการเรยี นการสอนจะชว่ ยพัฒนาผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นของนกั เรียนให้สูงข้ึนตามมาตรฐานการศึกษา และการประกันคณุ ภาพภายในสถานศึกษาทุกประการ คณะผู้จดั ทา
สารบญั สรปุ หลกั สูตรฯ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หนา้ พเิ ศษ 1-3 ตัวชว้ี ดั และสาระการเรยี นร้แู กนกลาง วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พเิ ศษ 4-5 คาอธบิ ายรายวชิ า พเิ ศษ 6 โครงสร้างรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี เทคโนโลยี (วทิ ยาการคานวณ) ป.6 พิเศษ 7-8 Pedagogy พิเศษ 9-12 โครงสร้างแผนการจดั การเรยี นรู้รายวชิ าพน้ื ฐานวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี เทคโนโลยี (วิทยาการคานวณ) ป.6 พิเศษ 13-17 หนว่ ยการเรียนรทู้ ่ี 1 การแก้ปญั หาโดยใช้เหตผุ ลเชงิ ตรรกะ 1 แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี 1 เหตุผลเชิงตรรกะกับการแก้ปัญหา 18 แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี 2 แนวคดิ ในการแกป้ ญั หา 31 หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 2 การออกแบบและเขียนโปรแกรมอย่างง่าย 49 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 การออกแบบโปรแกรมด้วยการเขยี นข้อความ 66 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 การออกแบบโปรแกรมด้วยการเขยี นผงั งาน 74 แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี 3 การเขียนโปรแกรมด้วยภาษา Scratch 81 แผนการจดั การเรยี นรู้ที่ 4 การตรวจหาขอ้ ผดิ พลาดของโปรแกรม 96 หน่วยการเรียนรู้ท่ี 3 การใชง้ านอนิ เทอร์เน็ตอย่างมปี ระสิทธภิ าพ 110 แผนการจัดการเรยี นรู้ที่ 1 การค้นหาข้อมูลโดยใชอ้ นิ เทอร์เนต็ 130 แผนการจัดการเรยี นรู้ท่ี 2 การจดั ลาดับผลลพั ธ์การค้นหา 141 แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี 3 การประเมนิ ความน่าเช่ือถือ 153 หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 4 ความปลอดภัยในการใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศ 176 แผนการจัดการเรยี นรู้ท่ี 1 การใช้งานเทคโนโลยสี ารสนเทศ 192 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 การติดตั้งซอฟต์แวรจ์ ากอินเทอรเ์ น็ต 207
สรุปหลกั สตู รฯ วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี* ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 น้ี ได้กาหนดสาระการเรียนรู้ออกเป็น 4 สาระ ได้แก่ สาระท่ี 1 วิทยาศาสตร์ชวี ภาพ สาระท่ี 2 วิทยาศาสตร์กายภาพ สาระท่ี 3 วิทยาศาสตร์โลก และอวกาศ และสาระท่ี 4 เทคโนโลยี มีสาระเพ่ิมเติม 4 สาระ ได้แก่ สาระชีววิทยา สาระเคมี สาระฟิสิกส์ และสาระโลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ องค์ประกอบของหลักสูตรท้ังในด้านของเนื้อหา การจัดการเรียนการสอน และการวัดและประเมินผลการ เรียนรู้น้ัน มีความสาคัญอย่างยิ่งในการวางรากฐานการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ของผู้เรียนในแต่ละระดับชั้นให้มีความ ต่อเน่ืองเช่ือมโยงกันตั้งแต่ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 1 จนถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 สาหรับกลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้กาหนดตัวช้ีวัดและสาระการเรียนรู้แกนกลางท่ีผู้เรียนจาเป็นต้องเรียนเป็นพื้นฐาน เพื่อให้สามารถนาความรู้น้ีไปใช้ในการดารงชีวิต หรือศึกษาต่อในวิชาชีพท่ีต้องใช้วิทยาศาสตร์ได้ โดยจัดเรียงลาดับ ความยากง่ายของเนื้อหาในแต่ละระดับชั้นให้มีการเช่ือมโยงความรู้กับกระบวนการเรียนรู้ และการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้ท่ีส่งเสริมให้ผู้เรียนพัฒนาความคิด ทั้งความคิดเป็นเหตุเป็นผล คิดสร้างสรรค์ คิดวิเคราะห์วิจารณ์ มีทักษะที่ สาคัญ ท้ังทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และทักษะในศตวรรษท่ี 21 ในการค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้ด้วย กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ สามารถแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ สามารถตัดสินใจโดยใช้ข้อมูลหลากหลายและ ประจกั ษ์พยานทีต่ รวจสอบได้ ตัวชวี้ ัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ. 2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 นี้ ได้ปรับปรุงเพื่อให้มีความสอดคล้องและ เช่ือมโยงกันภายในสาระการเรียนรู้เดียวกัน และระหว่างสาระการเรียนรู้ในกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทย าศาสตร์ ตลอดจนการเช่ือมโยงเน้ือหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์กับคณิตศาสตร์ด้วย นอกจากน้ี ยังได้ปรับปรุงเพ่ือให้ มีความ ทนั สมัยต่อการเปลี่ยนแปลงและความเจรญิ ก้าวหน้าของวทิ ยาการต่าง ๆ ให้ทดั เทียมกบั นานาชาติ ซึง่ สรุปได้ ดังแผนภาพ *สถาบนั สง่ เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ, ตวั ชี้วดั และสาระการเรยี นรแู้ กนกลาง กล่มุ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ. 2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขน้ั พน้ื ฐาน พ.ศ. 2551 (กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พ์ชุมนมุ สหกรณ์การเกษตรแหง่ ประเทศไทย, 2560), หนา้ 1-2. พเิ ศษ 1
หมายเหตุ : ปกี ารศกึ ษา 2563 ชอื่ กลุม่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ จะเปลยี่ นชื่อใหมเ่ ปน็ “กลุ่มสาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลย”ี พิเศษ 2
พเิ ศษ 3
ตวั ชว้ี ดั และสาระการเรียนรแู้ กนกลาง วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลย*ี สาระท่ี 4 เทคโนโลยี มาตรฐาน ว 4.2 เขา้ ใจและใชแ้ นวคดิ เชิงคานวณในการแก้ปญั หาทพ่ี บในชวี ติ จริงอยา่ งเป็นขนั้ ตอนและเปน็ ระบบ ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารในการเรยี นรู้ การทางาน และการแก้ปญั หาได้อยา่ งมี ประสทิ ธิภาพ รเู้ ทา่ ทัน และมีจริยธรรม ช้ัน ตัวชีว้ ดั สาระการเรยี นร้แู กนกลาง ป.6 1. ใช้เหตผุ ลเชงิ ตรรกะการอธิบายและ การแกป้ ัญหาอย่างเป็นข้นั ตอนจะช่วยใหแ้ กป้ ญั หา ออกแบบธิ กี ารแก้ปญั หาที่พบใน ได้อย่างมปี ระสิทธภิ าพ ชวี ิตประจาวนั การใช้เหตุผลเชงิ ตรรกะเปน็ การนากฎเกณฑ์ หรือเง่ือนไข 2. ออกแบบและเขียนโปรแกรมอยา่ งง่าย ทคี่ รอบคลมุ ทุกกรณมี าใช้พจิ ารณาในการแก้ปัญหา เพ่ือแกป้ ัญหาในชวี ิตประจาวัน ตรวจหา ขอ้ ผิดพลาดของโปรแกรมและแก้ไข แนวคดิ ของการทางานแบบวนซา้ และเง่ือนไข การพจิ ารณากระบวนการทางานทม่ี กี ารทางานแบบ วนซา้ หรอื เงอ่ื นไขเปน็ วิธกี ารทจี่ ะช่วยให้การออกแบบ วธิ ีการแก้ปญั หาเปน็ ไปอยา่ งมีประสิทธภิ าพ ตัวอย่างปัญหา เช่น การคน้ หาเลขหนา้ ทีต่ ้องการให้ เรว็ ทส่ี ุด การทายเลข 1-1,000,000 โดยตอบให้ถกู ภายใน 20 คาถาม การคานวณเวลาในการเดินทาง โดยคานงึ ถึงระยะทาง เวลาจุดหยุดพัก การออกแบบโปรแกรมสามารถทาไดโ้ ดยเขียน เป็นข้อความหรือผังงาน การออกแบบและเขียนโปรแกรมทมี่ ีการใชต้ ัวแปร การวนซ้า การตรวจสอบเง่ือนไข หากมีข้อผดิ พลาดให้ตรวจสอบการทางานทลี ะคาสั่ง เมือ่ พบจุดที่ทาใหผ้ ลลัพธไ์ ม่ถูกต้อง ให้ทาการแก้ไข จนกว่าจะได้ผลลัพธ์ที่ถูกต้อง การฝึกตรวจหาข้อผิดพลาดจากโปรแกรมของผู้อื่น จะช่วยพัฒนาทกั ษะการหาสาเหตขุ องปัญหาได้ดยี ่ิงข้ึน ตัวอย่างโปรแกรม เช่น โปรแกรมเกม โปรแกรมหาค่า ค.ร.น. เกมฝึกพมิ พ์ ซอฟต์แวรท์ ใ่ี ชใ้ นการเขยี นโปรแกรม เช่น Scratch, logo พิเศษ 4
ช้ัน ตัวชี้วัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง 3. ใชอ้ นิ เทอรเ์ นต็ ในกรค้นหาข้อมลู อย่าง การคน้ หาอย่างมีประสิทธภิ าพ เป็นการค้นหาข้อมูลได้ มีประสิทธิภาพ ตรงตามความต้องการในเวลาทรี่ วดเร็วจากแหล่งข้อมูลท่ี นา่ เชื่อถือหลายแหลง่ และข้อมูลที่มีความสอดคล้องกัน การใช้เทคนิคการคน้ หาขัน้ สูง เชน่ การใช้ตัวดาเนนิ การ การระบรุ ูปแบบของข้อมูลหรือชนิดของไฟล์ การจดั ลาดับผลลพั ธจ์ ากการค้นหาของโปรแกรมค้นหา การเรียบเรียง สรปุ สาระสาคัญ (บูรณาการกับวิชา ภาษาไทย) 4. ใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศทางานร่วมกัน อนั ตรายจากการใช้งานและอาชญากรรมทาง อยา่ งปลอดภัย เขา้ ใจสทิ ธิและหน้าทขี่ องตน อนิ เทอร์เนต็ แนวทางในการป้องกัน เคารพในสิทธิของผู้อน่ื แจ้งผู้เก่ียวขอ้ ง วิธีกาหนดรหัสผา่ น เมอ่ื พบข้อมูลหรอื บุคคลท่ีไม่เหมาะสม การกาหนดสิทธิก์ ารใชง้ าน (สิทธิ์ในการเข้าถึง) แนวทางการตรวจสอบและป้องกนั มัลแวร์ อนั ตรายจากการตดิ ตั้งซอฟต์แวร์ทีอ่ ย่บู นอนิ เทอร์เน็ต พิเศษ 5
เทคโนโลยี (วิทยาการคานวณ) คาอธบิ ายรายวชิ า ชั้นประถมศึกษาปที ่ี 6 กลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เวลา 40 ชว่ั โมง/ปี ศึกษาเก่ียวกับการออกแบบและเขียนโปรแกรมอย่างง่ายโดยใช้โปรแกรม Scratch ศึกษาการแก้ปัญหาโดย ใช้เหตุผลเชิงตรรกะ การใช้งานอินเทอร์เน็ต การค้นหาข้อมูลโดยใช้อินเทอร์เน็ต การประเมินความน่าเช่ือถือ ศึกษา การใชง้ านเทคโนโลยีสารสนเทศและความปลอดภัยในการใชง้ านเทคโนโลยี โดยอาศัยกระบวนการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน ( Problem – based Learning) และวัฏจักรการเรียนรู้แบบ สืบเสาะหาความรู้ (5Es Intructional Model) เพ่ือเน้นให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติ ฝึกทักษะการคิด เผชิญสถานการณ์การ แก้ปัญหา วางแผนการเรียนรู้ ตรวจสอบการเรียนรู้ และสร้างองค์ความรู้ใหม่ด้วยตนเองผ่านกระบวนการคิดและปฏิบัติ โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เพ่ือให้ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจ มีทักษะการคิดเชิงคานวณ การคิดวิเคราะห์ แก้ปัญหาเป็นขั้นตอนและ เป็นระบบ มีทักษะในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ รักษาข้อมูลส่วนตัว และการส่ือสารเบอ้ื งต้นในการแก้ปัญหาที่พบ ในชีวิตจริงได้อย่างมปี ระสทิ ธิภาพ ตลอดจนนาความร้คู วามเขา้ ใจในวชิ าวิทยาศาสตร์ และนาเทคโนโลยีใหมท่ ี่เกิดข้ึน ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อสังคม และการดารงชีวิต จนสามารถพัฒนากระบวนการคิดและจินตนาการ ความสามารถ ในการแก้ปัญหาและการจัดการทกั ษะในการสือ่ สาร และความสามารถในการตัดสินใจ และเปน็ ผู้ท่มี ีจติ วิทยาศาสตร์ มคี ุณธรรม จริยธรรม และคา่ นยิ มในการใช้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างสรา้ งสรรค์ ตัวชีว้ ัด ว 4.2 ป.6/1 ป.6/2 ป.6/3 ป.6/4 รวม 4 ตัวชวี้ ัด พิเศษ 6
โครงสร้างรายวิชาพืน้ ฐานวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี เทคโนโลยี (วิทยาการคานวณ) ชั้น ป.6 ลาดับที่ ช่อื หน่วยการเรยี นรู้ มาตรฐาน มโนทศั นส์ าคัญ เวลา 1. การแกป้ ัญหาโดยใช้ การเรียนรู้/ตัวชว้ี ัด (ชม.) 2. เหตุผลเชงิ ตรรกะ ว 4.2 ป.6/1 เหตผุ ลเชิงตรรกะกับการแก้ปัญหา เป็นการนา หลักการ กฎเกณฑห์ รือเงือ่ นไขทค่ี รอบคลุมทุก 8 3. การออกแบบและ ว 4.2 ป.6/2 กรณมี าใชเ้ พอื่ ตรวจสอบความสมเหตสุ มผลหรือ เขียนโปรแกรม พจิ ารณาความเป็นไปได้ของการม่งุ หาคาตอบ 16 อยา่ งง่าย ว 4.2 ป.6/3 และแก้ปัญหา 8 การใชง้ าน การออกแบบโปรแกรม เป็นการอธิบายการ อินเทอร์เน็ต ทางานของโปรแกรมอย่างเป็นลาดับขั้นตอน อย่างมีประสทิ ธิภาพ โดยการออกแบบโปรแกรมสามารถทาไดท้ ั้งการ เขียนข้อความ และการเขียนผังงาน หากมี ข้อผิดพลาดเกิดขึ้นหรือโปรแกรมไม่เป็นไปตาม ความต้องการ จะต้องตรวจสอบข้อผิดพลาดที่ เกิดขึ้น โดยการตรวจสอบการทางานทีละคาส่ัง เมื่ อ พ บ จุ ด ที่ ท า ใ ห้ โ ป ร แ ก ร ม ไม่ เป็ น ไป ต า ม ต้องการให้แก้ไขข้อผิดพลาดนั้น จนกว่าจะได้ โปรแกรมตามทีต่ อ้ งการ อินเทอร์เน็ตเป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์ขนาด ใหญ่ท่ีครอบคลุมไปท่ัวโลก เราสามารถใช้งาน อินเทอร์เน็ต เพ่ือให้ได้ข้อมูลท่ีตรงตามความ ต้องการภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว และการ ค้นหาข้อมูลในแต่ละคร้ัง โปรแกรมค้นหาจะ แ ส ด ง ข้ อ มู ล จ า ก ค า ค้ น ห า เป็ น จ า น ว น ม า ก เพ่ือให้ผู้ใช้งานสามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตได้ อย่างมปี ระสิทธภิ าพและได้ขอ้ มูลตรงตามความ ต้องการมากท่ีสุด ผู้ใช้จะต้องเรียนรู้เก่ียวกับ การจัดลาดับผลลัพธ์ท่ีได้จากโปรแกรมค้นหา ข้อมูลที่ได้การสืบค้นข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ จะต้องมีการประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูล เพอื่ ให้ไดข้ ้อมลู ท่ีถกู ตอ้ ง พเิ ศษ 7
ลาดบั ท่ี ช่ือหน่วยการเรยี นรู้ มาตรฐาน มโนทศั นส์ าคญั เวลา 4. การเรียนร/ู้ ตวั ชวี้ ดั (ชม.) อันตรายจากการใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศท่ี ความปลอดภยั ใน ว 4.2 ป.6/4 เช่ือมต่อกับอินเตอร์เน็ต ในรูปแบบต่าง ๆ และ 6 แนวทางในการป้องกันอันตรายจากการใช้งาน การใชง้ านเทคโนโลยี อินเตอร์เน็ต ซึ่งรวมถึงการกาหนดรหัสผ่าน และการกาหนด สิทธ์ิในการใช้งาน รวมทั้ง สารสนเทศ อันตรายจากการติดต้ังซอฟแวร์ และแนวทาง ในการตรวจสอบและป้องกันมัลแวร์ ซ่ึงเป็น ส าเห ตุ ให้ เกิ ด ค ว าม เสี ย ห าย ต่ อ ข้ อ มู ล ซอฟต์แวร์และอุปกรณเ์ ทคโนโลยีได้ ดงั นนั้ การติดตั้งซอฟแวร์จากอินเตอร์เน็ต อาจทา ให้มัลแวร์ ซ่ึงเป็นซอฟแวร์ท่ีตั้งใจออกแบบมา เพ่ือทาอันตรายกับคอมพิวเตอร์ ดังนั้น ผูใ้ ช้งาน ตอ้ งรู้แนวทางการตรวจสอบและปอ้ งกนั มัลแวร์ เพ่ือป้องกันการ อันตรายในรูปแบบต่างๆ เช่น ขโมยข้อมูล, การลบข้อมูล, การทาลายระบบ เป็นตน้ หมายเหตุ : 2 ชว่ั โมงที่หายไปใหใ้ ช้สาหรบั การสอบกลางภาคหรอื การสอบปลายภาค ท้งั นี้ยืดหยุน่ ไดต้ ามดลุ ยพนิ จิ ของครผู ู้สอน พเิ ศษ 8
Pedagogy สื่อการเรียนรู้รายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เทคโนโลยี (วิทยาการคานวณ) ป.6 ผู้จัดทาได้ ออกแบบการสอน (Instructional Design) ซึ่งเป็นวิธีการจัดการเรียนรู้และเทคนิคการสอนที่เป่ียมด้วยประสิทธิภาพ และมีความหลากหลายให้กบั ผู้เรียน เพ่ือให้ผ้เู รยี นสามารถบรรลผุ ลสัมฤทธิต์ ามมาตรฐานการเรียนรู้และตัวช้ีวัด รวมถึง สมรรถนะและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผู้เรยี นท่ีหลักสูตรกาหนดไว้ โดยครูสามารถนาไปใช้สาหรับจดั การเรียนรู้ ในช้ันเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งในรายวิชาน้ี ได้นาวิธีการสอนและรูปแบบการสอนท่ีหลากหลายมาใช้ในการ ออกแบบการสอน ดงั น้ี กระบวนการเรียนรู้ เลือกใช้วิธีการสอนโดยเน้นกระบวนการกลุ่ม (Group Process–Based Instruction) เน่ืองจากเป็น กระบวนการในการทางานร่วมกันของบุคคลต้ังแต่ 2 คนขึ้นไป โดยมีวัตถุประสงค์ร่วมกัน และมีการดาเนินงาน ร่วมกนั โดยผู้นากลุ่มและสมาชิกกล่มุ ต่างก็ทาหน้าที่ของตนอย่างเหมาะสม และมกี ระบวนการทางานที่ดี เพอ่ื นากลุ่ม ไปสวู่ ตั ถปุ ระสงคท์ กี่ าหนดไว้ การเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เรยี นรู้กระบวนการทางานกลุ่มท่ีดี จะช่วยให้ผเู้ รียนเกิดทักษะทางสังคม และขยาย ขอบเขตของการเรยี นรใู้ หก้ ว้างขวางข้นึ เลือกใช้วิธีการสอนโดยใช้แนวคิดเชิงคานวณ (Computational Thinking) เนื่องจากเป็นกระบวนการ เรียนรู้ท่ีให้ผู้เรียนใช้ทักษะมุ่งเน้นการคิดเชิงตรรกะมากข้ึน ซึ่งผู้เรียนจะสามารถอธิบายการคิดเชิงคานวณอย่างเป็น ระบบ หรือเป็นการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นลาดับขั้นตอน โดยการเข้าใจปัญหาและวิธีการในการแก้ปัญหาอย่างเป็น ระบบ เพื่อให้ได้มาซ่ึงวิธีการแกไ้ ขปัญหาท่ีทั้งมนุษย์และคอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจร่วมกันได้ ซึ่งประกอบด้วยลาดับ การใช้ทกั ษะย่อย 4 ทักษะ ดงั นี้ 1 23 4 แนวคิดการแยกย่อย แนวคิดการจดจารูปแบบ แนวคดิ เชงิ นามธรรม แนวคดิ การออกแบบข้ันตอน แบบ 1. แนวคดิ การแยกย่อย (Decomposition) เป็นการแตกปัญหาใหญ่ใหเ้ ป็นปัญหาย่อยที่มีขนาดเล็ก เพ่อื ให้ สามารถจดั การไดง้ ่ายขนึ้ 2. แนวคิดการจดจารูปแบบ (Pattern Recognition) เป็นการกาหนดแบบแผนปัญหาย่อย ๆ จากปัญหา ทมี่ รี ปู แบบทหี่ ลากหลาย โดยปญั หาตา่ ง ๆ มกั มคี วามคล้ายคลงึ กัน กล่าวคอื เพ่ือดคู วามเหมือน ความแตกตา่ งของรูปแบบการเปลย่ี นแปลง ทาให้ทราบแนวโน้มเพ่อื ทานาย ผลลัพธ์ข้างหน้าได้ พิเศษ 9
3. แนวคิดเชิงนามธรรม (Abstraction) เป็นการมุ่งเน้นความสาคัญของปัญหาโดยไม่สนใจรายละเอยี ดท่ีไม่ จาเป็น เพื่อให้สามารถเข้าใจถงึ แก่นแท้ของปญั หา ทกั ษะนเี้ ทยี บเทา่ กบั การคดิ สังเคราะห์ จนไดม้ าซึง่ แบบจาลอง เชน่ แบบจาลองทางคณติ ศาสตรใ์ นรปู ของสมการหรอื สูตร 4. แนวคดิ การออกแบบข้นั ตอน (Algorithm Design) เป็นการออกแบบข้ันตอนการแกป้ ัญหาดว้ ยการคิด เชงิ อัลกอริทมึ โดยนาไปใช้ในการแกป้ ญั หาทมี่ ีลกั ษณะแบบเดยี วกนั ได้ ทาใหท้ ราบขั้นตอนก่อนหลงั เลอื กใช้วธิ ีการสอนโดยใชก้ ารแสดงบทบาทสมมติ (Role Playing) เน่อื งจากเปน็ กระบวนการทผ่ี ู้สอน ใช้ในการช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ที่กาหนด โดยการให้ผู้เรียนสวมบทบาทในสถานการณ์ซ่ึงมี ความใกล้เคียงกับความเป็นจริง และแสดงออกตามความรู้สึกนึกคิดของตน และนาเอาการแสดงออกของผู้แสดง ทัง้ ทางด้านความรู้ ความคดิ ความรู้สกึ และพฤตกิ รรมทีส่ ังเกตพบมาเป็นข้อมูลในการอภิปราย เพื่อให้ผู้เรยี นเกิดการ เรยี นรู้ตามวัตถปุ ระสงค์ วิธีการสอนโดยใช้การแสดงบทบาทสมมติ เป็นวิธีการที่มุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้เรียนรู้การเอาใจเขามาใส่ใจเรา เกิดความเข้าใจในความรู้สึกและพฤติกรรมท้ังของตนเองและผู้อื่น หรือเกิดความเข้าใจในเรื่องต่าง ๆ เกี่ยวกับ บทบาทสมมติที่ตนแสดง ซ่งึ การแสดงบทบาทสมมตใิ ห้มปี ระสิทธิภาพประกอบไปดว้ ย 6 ขนั้ ตอน ดงั น้ี 1. การเตรียมการ เป็นการกาหนดวัตถุประสงค์เฉพาะให้ชัดเจน และสร้างสถานการณ์และบทบาทสมมติที่ จะช่วยสนองวตั ถุประสงค์นั้น โดยสถานการณ์และบทบาทสมมตทิ ่ีกาหนดขึ้นควรมคี วามใกล้เคียงกบั ความเปน็ จริง 2. การเร่ิมบทเรียน ผู้สอนสามารถกระตุ้นความสนใจของผู้เรียนได้หลายวิธี เช่น โยงประสบการณ์ใกล้ตัว ผู้เรยี น หรอื ประสบการณท์ ี่ผูเ้ รียนไดร้ ับจากการเรยี นครง้ั ก่อน ๆ เข้าสู่เร่ืองท่ีจะศกึ ษา 3. การเลือกผู้แสดง ควรเลือกผู้แสดงให้เหมาะสมกับบทบาท เพื่อช่วยให้การแสดงเป็นไปอย่างราบรื่นตาม วัตถุประสงค์ได้อย่างรวดเร็ว หรือเลือกผ้แู สดงทีม่ ีลักษณะตรงกันข้ามกับบทบาทที่กาหนดให้เพื่อช่วยให้ผู้เรียนคนน้ัน ได้รับประสบการณ์ใหม่ ได้ทดลองแสดงพฤติกรรมใหม่ ๆ และเกิดความเข้าใจในความรู้สึกและพฤติกรรมของผู้ที่มี ลักษณะแตกต่างไปจากตน 4. การเตรียมผู้สังเกตการณ์ ผสู้ อนควรเตรยี มผู้รับชมและทาความเข้าใจกับผ้ชู มว่า การแสดงบทบาทสมมติ จัดข้ึนมิใช่มุง่ ทคี่ วามสนุก แตม่ งุ่ ท่ีจะให้เกดิ การเรยี นรเู้ ปน็ สาคญั 5. การแสดง เมอ่ื ผู้สอนให้เรมิ่ การแสดงและสังเกตการแสดงอย่างใกลช้ ิด ไม่ควรมีการขัดการแสดงกลางคัน นอกจากกรณีที่มีปัญหาเมื่อการแสดงออกนอกทาง ผู้สอนอาจจาเป็นต้องให้คาแนะนาบ้าง เมื่อการแสดงดาเนินไป พอสมควรแลว้ ผ้สู อนควรตดั บท ยตุ กิ ารแสดง ไม่ควรให้การแสดงยืดยาว เยน่ิ เยอ้ จะทาใหผ้ ู้ชมเกิดความเบอื่ หนา่ ย 6. การวิเคราะห์อภิปรายผลการแสดง เป็นข้ันตอนท่ีช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ที่ชัดเจนตามวัตถุประสงค์ โดยให้ผู้เรียนอภิปรายความรู้ประเด็นต่าง ๆ ที่ได้จากการสังเกตการแสดง กรณีที่การอภิปรายเป็นไปอย่างมี ประสทิ ธิภาพ ผเู้ รียนเสนอแนะแนวคิดและแนวทางอน่ื ๆ เพิม่ เตมิ ท่แี ตกตา่ งไปจากเดมิ พิเศษ 10
เลือกใช้รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es Instructional Model) เนื่องจากเป็นรูปแบบการ สอนแบบที่มุ่งให้ผูเ้ รียนได้สรา้ งองค์ความรู้ใหม่ โดยเช่ือมโยงสิ่งที่เรียนรู้เขา้ กับประสบการณ์หรือความเดมิ ให้เป็นองค์ ความรู้หรือแนวคดิ ของผู้เรยี นเอง ดังน้ัน การจัดกิจกรรมการเรียนรู้จงึ สามารถพัฒนาผ้เู รียนให้มคี วามสามารถในการ แก้ปัญหาโดยเน้นการปฏิบัติจริง มีการแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างกัน เสริมสร้างความรู้ด้วยตนเองผ่านกระบวนการ ข้นั ตอนอย่างเป็นวัฏจักร ซ่งึ กระบวนการปฏบิ ตั มิ ขี ั้นตอนดังนี้ 1. กระตุ้นความสนใจ ให้ผูเ้ รยี นสนใจใครร่ ใู้ นเร่ืองท่เี รยี น มลี กั ษณะเป็นการนาเข้าส่บู ทเรยี น 2. สารวจและคน้ หา เปิดโอกาสให้ผเู้ รยี นไดร้ ับประสบการณ์ตรง รว่ มกนั สร้างและพัฒนาความคิดรวบยอด 3. อธบิ ายความรู้ นาเอาความรู้จากการสารวจและค้นหา ทีพ่ ัฒนาเปน็ ความคดิ รวบยอดมาอภิปราย แลกเปลย่ี นความคดิ เหน็ ซึ่งกนั และกัน 4. ขยายความเขา้ ใจ ผ้เู รยี นได้ขยายความรูค้ วามเข้าใจในความคิดรวบยอดให้กวา้ งขวางและลึกซง้ึ ย่งิ ข้นึ 5. ตรวจสอบผล ผเู้ รยี นไดต้ รวจสอบแนวความคิดทไี่ ด้เรียนรูม้ าแลว้ ว่าถูกตอ้ งและได้รบั การยอมรับเพยี งใด เลือกใช้วิธีการสอนโดยเน้นการเรียนรู้แบบใช้เกม (Games) เนื่องจากเป็นกระบวนการที่ผู้สอนใช้ในการ ช่วยให้ผเู้ รียนเกิดการเรียนรูต้ ามวัตถุประสงค์ที่กาหนด โดยการให้ผูเ้ รียนเล่นเกมตามกตกิ า และนาเน้ือหาและข้อมูล ของเกม พฤตกิ รรมการเล่น วิธีการเลน่ และผลการเล่นเกมของผูเ้ รยี นมาใชใ้ นการอภปิ รายเพื่อสรปุ การเรยี นรู้ การเรียนรู้แบบใช้เกมจะช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้เร่ืองต่าง ๆ อย่างสนุกสนานและท้าทายความสามารถ โดย ผู้เรียนเป็นผู้เล่นเอง ทาให้ได้รับประสบการณ์ตรง เป็นวิธีการที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมสูง และทาให้เกิดการ เรยี นรู้ โดยการเห็นประจักษ์แจ้งด้วยตนเอง ทาให้การเรียนรู้นนั้ มีความหมายและอยูค่ งทน เลือกใช้วิธีการสอนโดยใช้กรณีตัวอย่าง (Case) เน่ืองจากเป็นกระบวนการท่ีผู้สอนใช้ในการช่วยให้ผู้เรียน เกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ท่ีกาหนด โดยให้ผู้เรียนศึกษาเร่ืองท่ีสมมติข้ึนจากความเป็นจริงและตอบประเด็น คาถามเก่ียวกับเรื่องน้ัน แล้วนาคาตอบและเหตุผลที่มาของคาตอบนั้นมาใช้เป็นข้อมูลในการอภิปราย เพื่อให้ผู้เรยี น เกิดการเรยี นรู้ตามวัตถุประสงค์ การเรียนรู้แบบใช้กรณีตัวอย่าง จะช่วยให้ผู้เรียนได้ฝึกฝนการเผชิญและแก้ปัญหาโดยไม่ต้องรอให้เกิดปัญหา จริง เป็นวิธีการท่ีเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้วิเคราะห์ และเรียนรู้ความคิดของผู้อ่ืน ทาให้ผู้เรียนมีมุมมองในการใช้ชีวิต ท่กี ว้างขึน้ เลือกใช้วิธีการสอนโดยใช้การอภิปรายกลุ่มย่อย (Small Group Discussion) เนื่องจากเป็นกระบวนการ ท่ีผู้สอนใช้ในการช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ที่กาหนด โดยการจัดผู้เรียนเป็นกลุ่มเล็ก ๆ ประมาณ 4-8 คน และให้ผู้เรียนในกลุ่มพูดคุยแลกเปล่ียนข้อมูล ความคิดเห็น และประสบการณ์ในประเด็นที่กาหนด และ สรุปผลการอภิปรายออกมาเป็นขอ้ สรุปของกลมุ่ การเรียนรู้แบบใช้การอภิปรายกลุ่มยอ่ ย จะช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรอู้ ย่างท่ัวถึง มีโอกาส แสดงความคิดเหน็ และแลกเปล่ยี นประสบการณ์ อนั จะชว่ ยให้ผ้เู รียนเกิดการเรยี นรใู้ นเรอ่ื งท่เี รียนกวา้ งขน้ึ พิเศษ 11
วิธกี ารสอน (Teaching Method) ผู้จัดทาเลือกใช้วิธีสอนที่หลากหลาย เช่น การอภิปราย การใช้สถานการณ์จาลอง การใช้เกม เพื่อส่งเสริม การเรียนรู้ให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด และยังมุง่ พัฒนาให้ผู้เรียนเกดิ องค์ความรู้จากประสบการณ์ต่าง ๆ โดยการคิด และลงมือปฏิบัติ ซึ่งจะชว่ ยใหผ้ เู้ รียนมีความรูแ้ ละเกดิ ทกั ษะทคี่ งทน เทคนิคการสอน (Teaching Technique) ผู้จัดทาเลือกใช้เทคนิคการสอนที่หลากหลายและเหมาะสมกับเร่ืองที่เรียน เช่น การต้ังคาถาม การยกตัวอย่าง การใช้ส่ือการเรียนรู้ที่น่าสนใจ เพ่ือส่งเสริมวิธีการสอนและรูปแบบการสอนให้มีประสิทธิภาพในการจัดการเรียนรู้ให้ มากข้ึน ซ่ึงจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างมีความสุข สามารถปฏิบัติกิจกรรมการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถฝึกทักษะการเรยี นร้แู ละทักษะการปฏบิ ตั ิเกี่ยวกับงานตา่ ง ๆ ในศตวรรษที่ 21 *ทศิ นา แขมมณี, ศาสตรก์ ารสอน : องคค์ วามร้เู พอื่ การจัดกระบวนการเรยี นรู้ทมี่ ีประสทิ ธิภาพ (กรงุ เทพมหานคร : สานกั พมิ พจ์ ุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย, 2562). พิเศษ 12
โครงสร้างแผนการจดั การเรียนรู้รายวชิ าพื้นฐานวทิ ยาศาสต หนว่ ยการเรียนรู้ แผนการจัดการเรียนรู้ วธิ สี อน/วธิ กี ารจดั กิจกรรมการเรียนรู้ 1. การแก้ปัญหาโดยใช้ แผนฯท่ี 1 เหตุผลเชิงตรรกะ เหตผุ ลเชงิ ตรรกะ กับการแกป้ ัญหา 1. วธิ ีการสอนแบบสืบเสาะ หาความรู้ (5Es Instruction Model) 2. วธิ ีการสอนแบบกระบวนกา กลมุ่ (Group Process) 3. เทคนิคตามแนวคดิ เชงิ คานว แผนฯท่ี 2 แนวคดิ 1. วธิ ีการสอนแบบสืบเสาะ ในการแก้ปัญหา หาความรู้ (5Es Instruction Model) 2. วธิ กี ารสอนแบบกระบวนกา กลมุ่ (Group Process) 3. เทคนิคตามแนวคดิ เชิงคานว พิเศษ
ตร์และเทคโนโลยี เทคโนโลยี (วิทยาการคานวณ) ป.6 เวลา 40 ชว่ั โมง ทักษะที่ได้ การประเมนิ เวลา 1. ทกั ษะการสอ่ื สาร (ชวั่ โมง) nal 2. ทักษะการทางานรว่ มกนั 3. ทกั ษะความคิดสร้างสรรค์ 1. ตรวจแบบทดสอบก่อนเรยี น 4 าร 4. ทกั ษะการคิดวิจารณญาณ หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ 1 การแก้ปญั หา วณ โดยใช้เหตผุ ลเชิงตรรกะ 1. ทักษะการส่อื สาร nal 2. ทักษะการทางานร่วมกนั 2. ตรวจใบงานที่ 1.1.1 เรอื่ ง ต่อยอด 3. ทักษะความคิดสร้างสรรค์ การแกป้ ัญหาด้วยเหตผุ ลเชงิ ตรรกะ าร 4. ทกั ษะการคดิ วิจารณญาณ 3. ตรวจกิจกรรมฝึกทักษะที่ 1 เรื่องจับคู่ วณ ราวงมาตรฐาน 4. ตรวจกิจกรรมฝกึ ทักษะที่ 2 เชียรก์ ีฬา พาเพลิน 5. ประเมนิ การนาเสนอ เร่ือง การใชเ้ หตผุ ล เชงิ ตรรกะในชวี ิตประจาวัน 1. ตรวจกจิ กรรมฝึกทักษะที่ 3 เรอ่ื ง ตามตดิ 4 ชวี ติ ลุงพล 2. ประเมินการนาเสนอ เรื่อง แนวคดิ การทางานแบบตา่ ง ๆ ท่ใี ชอ้ ธิบาย สถานการณใ์ นชีวติ ประจาวัน 3. ประเมินคุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์ ษ 13
หน่วยการเรียนรู้ แผนการจัดการเรียนรู้ วธิ สี อน/วธิ ีการจัด กิจกรรมการเรียนรู้ 2. การออกแบบและ แผนฯที่ 1 การออกแบบ 1. รปู แบบการสอน เขยี นโปรแกรม โปรแกรมด้วย แบบการอภปิ ราย อยา่ งงา่ ย การเขียนข้อความ 2. เทคนคิ ตามแนวคดิ เชิงคานว แผนฯท่ี 2 การออกแบบ 1. รูปแบบการสอน โปรแกรมดว้ ย แบบการอภปิ ราย การเขียนผงั งาน 2. เทคนคิ ตามแนวคดิ เชิงคานว แผนฯท่ี 3 การเขยี นโปรแกรม 1. รูปแบบการสอน ดว้ ยภาษา Scratch แบบการอภิปราย 2. เทคนิคตามแนวคดิ เชงิ คานว แผนฯที่ 4 การตรวจหา 1. รปู แบบการสอน ขอ้ ผิดพลาด แบบการอภปิ ราย ของโปรแกรม 2. เทคนคิ ตามแนวคดิ เชงิ คานว พิเศษ
ทกั ษะที่ได้ การประเมิน เวลา (ชัว่ โมง) 1. ทกั ษะการส่อื สาร 4. ตรวจแบบทดสอบหลงั เรียน 2. ทกั ษะการทางานรว่ มกัน หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ 1 การแก้ปญั หา 2 วณ 3. ทักษะความคดิ สรา้ งสรรค์ โดยใช้เหตผุ ลเชงิ ตรรกะ 4. ทกั ษะการคิดวจิ ารณญาณ 2 5. ประเมินช้นิ งาน/ภาระงานรวบยอด 8 1. ทักษะการสือ่ สาร เรือ่ ง การแก้ปัญหาโดยใช้เหตุผลเชิง 4 2. ทกั ษะการทางานรว่ มกัน ตรรกะ วณ 3. ทักษะความคิดสร้างสรรค์ 4. ทักษะการคดิ วิจารณญาณ 1. ตรวจแบบทดสอบก่อนเรยี น 1. ทกั ษะการสอ่ื สาร หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 2 การออกแบบและ 2. ทกั ษะการทางานรว่ มกัน เขียนโปรแกรมอย่างงา่ ย วณ 3. ทกั ษะความคดิ สรา้ งสรรค์ 4. ทกั ษะการคดิ วิจารณญาณ 2. ตรวจแบบฝกึ และกจิ กรรมฝึกทกั ษะ 1. ทักษะการส่อื สาร 3. ประเมินการนาเสนอ 2. ทักษะการทางานร่วมกนั 1. ตรวจแบบฝึกหดั และกจิ กรรมฝกึ ทกั ษะ วณ 3. ทักษะความคิดสรา้ งสรรค์ 2. ประเมนิ การนาเสนอ 4. ทักษะการคดิ วิจารณญาณ 1. ตรวจแบบฝกึ หดั และกจิ กรรมฝึกทกั ษะ 2. ประเมินการนาเสนอ 1. ตรวจแบบฝกึ หดั และกิจกรรมฝกึ ทกั ษะ 2. ประเมินการนาเสนอ 3. ประเมินคณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์ ษ 14
หนว่ ยการเรียนรู้ แผนการจัดการเรยี นรู้ วิธีสอน/วธิ ีการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ 3. การใชง้ านอินเทอรเ์ น็ต แผนฯที่ 1 การคน้ หาขอ้ มลู 1. วิธกี ารสอนแบบสืบเสาะหา ความรู้ (5Es Instructional อย่างมีประสิทธภิ าพ โดยใช้อนิ เทอร์เนต็ Modal) 2. เทคนคิ การสอนโดยใช้เกม 3. เทคนิคตามแนวคดิ เชงิ คานว 4. เทคนิคการสอนโดยใช้กรณี ตัวอย่าง (Case) แผนฯที่ 2 การจัดลาดับผลลพั ธ์ 1. วิธกี ารสอนแบบสบื เสาะหา การคน้ หา ความรู้ (5Es Instructional Modal) 2. เทคนคิ การสอนโดยใช้เกม 3. เทคนิคตามแนวคดิ เชงิ คานว 4. เทคนิคการสอนแบบบทบาท สมมติ พิเศษ
ทกั ษะที่ได้ การประเมิน เวลา (ชว่ั โมง) 1. ทักษะการส่ือสาร 4. ตรวจแบบทดสอบหลงั เรยี น l 2. ทกั ษะการทางานร่วมกนั หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 2 การออกแบบและ 3 เขียนโปรแกรมอย่างงา่ ย 3. ทกั ษะการคดิ วจิ ารณญาณ 2 วณ 5. ช้นิ งาน/ภาระงาน (รวบยอด) เร่อื ง การออกแบบและเขียนโปรแกรม 1. ทกั ษะการส่อื สาร อยา่ งง่าย l 2. ทกั ษะการทางานรว่ มกัน 1. ตรวจแบบทดสอบกอ่ นเรยี น 3. ทกั ษะการคิดวิจารณญาณ หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 3 การใช้งาน วณ อนิ เทอรเ์ นต็ อยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ ท 2. ตรวจกจิ กรรมฝึกทกั ษะ Com Sci ท่บี นั ทกึ ลงในสมุด 3. ประเมินการทางานกลมุ่ 4. ประเมินการตอบคาถามทา้ ยการเล่นเกม ถามปปุ๊ ตอบปปั๊ 1. การนาเสนอขา่ วในใบงานท่ี 3.2.1 เรอื่ ง นักข่าวตวั น้อย 2. ตรวจใบงานที่ 3.2.1 เร่ือง นกั ข่าว ตัวนอ้ ย 3. สังเกตพฤติกรรมการตอบคาถาม รายบคุ คล ษ 15
หนว่ ยการเรยี นรู้ แผนการจดั การเรียนรู้ วิธีสอน/วธิ กี ารจัด กจิ กรรมการเรียนรู้ แผนฯที่ 3 การประเมิน ความนา่ เชือ่ ถอื 1. วิธกี ารสอนแบบกระบวนกา กลมุ่ (Group Process) 2. เทคนิคตามแนวคดิ เชงิ คานว 3. เทคนคิ การสอนโดยใชก้ รณี ตัวอย่าง (Case) 4. เทคนคิ การสอนแบบบทบาท สมมติ 4. ความปลอดภยั แผนฯที่ 1 การใชง้ านเทคโนโลยี 1. วธิ กี ารสอนโดยใชบ้ ทบาท ในการใช้งานเทคโนโลยี สารสนเทศ สมมติ (Role Playing) สารสนเทศ 2. เทคนคิ การอภปิ รายกล่มุ ย่อ (Small Group Discussion 3. เทคนิคตามแนวคดิ เชงิ คานว พิเศษ
ทกั ษะท่ีได้ การประเมิน เวลา าร 1. ทกั ษะการส่อื สาร (ชั่วโมง) 1. ตรวจกจิ กรรมฝึกทกั ษะท่ี 1 2. ทกั ษะการทางานร่วมกนั เรอื่ ง จริงหรือไม่ 3 วณ 3. ทกั ษะการคิดวิจารณญาณ 2. ประเมนิ การนาเสนอใบงานท่ี 1 4 ท เร่ือง เช่อื ถอื ไดห้ รือไม่ 1. ทักษะการสอ่ื สาร 3. ตรวจกจิ กรรมฝึกทักษะท่ี 2 2. ทกั ษะการทางานรว่ มกนั เรื่อง เช็คก่อนแชร์ อย 3. ทกั ษะการคดิ วจิ ารณญาณ n) 3. ประเมินคุณลักษณะอนั พึงประสงค์ วณ 4. ตรวจแบบทดสอบหลังเรียน หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 การใช้งาน อินเทอรเ์ นต็ อย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ 5. ชนิ้ งาน/ภาระงาน (รวบยอด) เรื่อง การใช้งานอินเทอรเ์ นต็ อย่างมี ประสิทธภิ าพ 1. ตรวจแบบทดสอบก่อนเรยี น หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 4 ความปลอดภยั ในการใชง้ านเทคโนโลยสี ารสนเทศ 2. ประเมินการนาเสนอ การวิเคราะห์ แบบสอบถามเร่อื งอันตรายจาก การใชง้ านอินเทอรเ์ น็ตและแนวทาง ป้องกนั 3. ตรวจใบงานที่ 4.1.1 เรือ่ ง การกาหนด รหัสผ่านและการกาหนดสทิ ธเ์ิ ข้าใชง้ าน 4. ตรวจงานในอเี มล ษ 16
หน่วยการเรียนรู้ แผนการจัดการเรียนรู้ วธิ ีสอน/วธิ ีการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ แผนฯที่ 2 การตดิ ตั้งซอฟตแ์ วร์ 1. วธิ ีการสอนโดยใชเ้ กม จากอินเทอรเ์ นต็ 2. เทคนคิ ตามแนวคดิ เชิงคานว หมายเหตุ : 2 ชัว่ โมงท่หี ายไปใหใ้ ชส้ าหรบั การสอบกลางภาคหรือการสอบปลายภาค ท้ังน พิเศษ
ทักษะท่ีได้ การประเมิน เวลา (ชว่ั โมง) 1. ทักษะการสื่อสาร 5. ตรวจกิจกรรมฝึกทักษะท่ี 1 วณ 2. ทกั ษะการทางานรว่ มกัน เรอื่ ง เหตเุ กดิ ณ หอ้ งคอมพิวเตอร์ 2 3. ทักษะการคดิ วิจารณญาณ 1. ตรวจผงั ความคดิ เร่อื ง อนั ตรายจาก การตดิ ตง้ั ซอฟต์แวร์ 2. ตรวจใบงานท่ี 4.2.1 เร่ือง ตรวจสอบ มัลแวร์ 3. ตรวจกจิ กรรมฝกึ ทกั ษะ แบบฝึกหดั หนว่ ยเรียนรทู้ ่ี 4 เรื่องแนวทางการ ตรวจสอบและป้องกันมลั แวร์ 4. ตรวจแบบทดสอบหลังเรียน หน่วยการเรยี นรูท้ ่ี 4 ความปลอดภัย ในการใช้งานเทคโนโลยสี ารสนเทศ 5. ชนิ้ งาน/ภาระงาน (รวบยอด) เรอ่ื ง ความปลอดภยั ในการใชง้ านเทคโนโลยี สารสนเทศ น้ียดื หยนุ่ ไดต้ ามดุลยพินิจของครผู สู้ อน ษ 17
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 1 การแก้ปัญหาโดยใชเ้ หตผุ ลเชงิ ตรรกะ หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 1 การแก้ปญั หาโดยใช้เหตุผลเชิงตรรกะ เวลา 8 ชั่วโมง 1. มาตรฐานการเรียนร/ู้ ตวั ช้วี ัด ว 4.2 เข้าใจและใช้แนวคิดเชงิ คานวณในการแกป้ ัญหาทพ่ี บในชวี ิตจรงิ อยา่ งเปน็ ข้นั ตอนและเป็นระบบ ใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศและการส่ือสารในการเรยี นรู้ การทางานและการแก้ปัญหาได้อย่างมี ประสิทธภิ าพ รเู้ ท่าทนั และมีจริยธรรม ว 4.2 ป.6/1 ใช้เหตุผลเชงิ ตรรกะในการอธิบายและออกแบบวธิ กี ารแก้ปัญหาท่พี บใน ชวี ติ ประจาวัน 2. สาระการเรยี นรู้ 2.1 สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง 1) การแก้ปัญหาอย่างเป็นข้ันตอนจะช่วยให้แกป้ ญั หาไดอ้ ย่างมีประสิทธภิ าพ 2) การใชเ้ หตผุ ลเชงิ ตรรกะเปน็ การนากฎเกณฑ์ หรอื เง่ือนไขที่ครอบคลุมทกุ กรณีมาใช้พจิ ารณาใน การแก้ปัญหา 3) แนวคดิ ของการทางานแบบวนซ้า และเง่ือนไข 4) การพิจารณากระบวนการทางานทมี่ ีการทางานแบบวนซา้ และเง่ือนไขเปน็ วธิ กี ารที่จะช่วยให้ การออกแบบวิธีการแก้ปัญหาเป็นไปอยา่ งมีประสิทธิภาพ 5) ตวั อยา่ งปญั หา เชน่ การคน้ หาเลขหนา้ ทต่ี ้องการใหเ้ รว็ ทส่ี ุด การทายเลข 1-1,000,000 โดยตอบ ให้ถกู ภายใน 20 คาถาม การคานวณเวลาในการเดินทาง โดยคานึงถึงระยะทาง เวลาจุดหยดุ พกั 2.2 สาระการเรียนรู้ท้องถ่ิน (พิจารณาตามหลกั สูตรสถานศึกษา) 3. สาระสาคัญ/ความคิดรวบยอด เหตผุ ลเชงิ ตรรกะกับการแก้ปัญหา เป็นการนาหลกั การ กฎเกณฑห์ รือเง่ือนไขที่ครอบคลุมทุก กรณมี าใชเ้ พอ่ื ตรวจสอบความสมเหตสุ มผลหรือพจิ ารณาความเปน็ ไปได้ของการมุ่งหาคาตอบและแก้ปัญหา แนวคิดในการแก้ปัญหา คือแนวคิดที่ใช้ในการพิจารณากระบวนการทางานหรือการแก้ปัญหา ต่าง ๆ อย่างเป็นขั้นตอน ช่วยให้การทางานและการแก้ปัญหาสามารถทาได้ง่ายและมีประสิทธิภาพ โดย แนวคิดในการแก้ปัญหามี 3 รูปแบบคือ แนวคิดการทางานแบบลาดับ แนวคิดการทางานแบบวนซ้า และ แนวคิดการทางานแบบมีเงอื่ นไข เทคโนโลยี (วทิ ยาการคานวณ) 1
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 1 การแก้ปญั หาโดยใชเ้ หตุผลเชงิ ตรรกะ 4. สมรรถนะสาคัญของผูเ้ รยี นและคณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์ สมรรถนะสาคญั ของผูเ้ รยี น คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 1. ความสามารถในการส่อื สาร 1. มีวินยั 2. ความสามารถในการคดิ 2. ใฝ่เรยี นรู้ 3. ความสามารถในการแก้ปัญหา 3. มงุ่ มัน่ ในการทางาน 4. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวติ 5. ช้นิ งาน/ภาระงาน (รวบยอด) - ชิน้ งาน/ภาระงาน (รวบยอด) เรอ่ื ง การแก้ปัญหาโดยใชเ้ หตุผลเชิงตรรกะ 6. การวดั และการประเมนิ ผล รายการวัด วิธวี ัด เครอ่ื งมือ เกณฑก์ ารประเมิน 6.1 การประเมินก่อนเรียน ประเมนิ ตามสภาพจรงิ - ตรวจแบบทดสอบ - แบบทดสอบ - แบบทดสอบก่อนเรียน กอ่ นเรยี น ก่อนเรยี น หนว่ ยการเรียนรูท้ ่ี 1 เรื่อง การแก้ปัญหาโดยใช้ - ตรวจใบงานที่ 1.1.1 - แบบประเมนิ การทา ร้อยละ 60 ผา่ นเกณฑ์ เหตผุ ลเชิงตรรกะ 6.2 การประเมนิ ระหวา่ งการจดั เรื่อง ตอ่ ยอดการ ใบงานที่1.1.1 เร่ือง กิจกรรม 1) การแกป้ ัญหาใน แก้ปญั หาด้วยเหตุผล ต่อยอดการแกป้ ญั หา ชีวติ ประจาวันโดยใช้ เหตผุ ลเชงิ ตรรกะ เชิงตรรกะ ดว้ ยเหตผุ ลเชิงตรรกะ - ตรวจกจิ กรรมฝกึ - กจิ กรรมฝกึ ทักษะท่ี ทกั ษะที่ 1 เรื่องจบั คู่ 1 เรื่อง จบั ครู่ าวง ราวงมาตรฐาน มาตรฐาน - ตรวจกจิ กรรมฝกึ - กิจกรรมฝกึ ทกั ษะที่ 2 ทกั ษะที่ 2 เชยี ร์กีฬา เชยี รก์ ีฬา พาเพลิน พาเพลนิ - แบบประเมินการ - ประเมินการนาเสนอ นาเสนอ เร่ือง การใช้ เร่ือง การใช้เหตุผลเชิง เหตผุ ลเชิงตรรกะใน ตรรกะในชวี ติ ประจาวัน ชีวิตประจาวัน เทคโนโลยี (วิทยาการคานวณ) 2
หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 1 การแกป้ ัญหาโดยใชเ้ หตุผลเชงิ ตรรกะ รายการวัด วธิ วี ัด เคร่อื งมือ เกณฑก์ ารประเมนิ ระดบั คุณภาพ 2 2) กระบวนการทางานหรือ - ตรวจกิจกรรมฝึกทักษะ - แบบประเมินการทา ผา่ นเกณฑ์ การแกป้ ัญหา โดยใช้ ท่ี 3 เรอ่ื ง ตามตดิ ชีวิตลงุ กจิ กรรมฝึกทกั ษะที่ แนวคดิ แบบตา่ ง ๆ พล 3 เรือ่ ง ตามติดชีวติ ระดับคุณภาพ 2 ผา่ นเกณฑ์ - ตรวจกจิ กรรมฝกึ ทกั ษะ ลงุ พล ร้อยละ 60 ผ่านเกณฑ์ ท่ี 3 เรื่อง ตามติดชวี ิต ลุงพล - แบบประเมนิ การ - ประเมนิ การนาเสนอ นาเสนอ เร่ือง เรือ่ ง แนวคดิ การ แนวคิดการทางาน ทางานแบบต่าง ๆ ที่ แบบต่าง ๆ ที่ใช้ ใช้อธบิ ายสถานการณ์ อธิบายสถานการณ์ ในชวี ิตประจาวัน ในชีวิตประจาวัน 3) คณุ ลักษณะ - สงั เกตความมีวินัย - แบบประเมิน อันพงึ ประสงค์ ใฝเ่ รยี นรู้ และมงุ่ ม่นั คณุ ลักษณะ ในการทางาน อนั พึงประสงค์ 6.3 การประเมินหลังเรียน 1) แบบทดสอบหลังเรยี น - ตรวจแบบทดสอบ - แบบทดสอบ หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 1 หลงั เรียน หลังเรียน เร่ือง การแกป้ ญั หาโดยใช้ เหตุผลเชิงตรรกะ 2) การประเมินช้ินงาน/ - ตรวจช้นิ งาน/ - แบบประเมนิ ชนิ้ งาน/ - ระดบั คณุ ภาพ 2 ภาระงาน (รวบยอด) ภาระงาน (รวบยอด) ภาระงาน (รวบยอด) ผา่ นเกณฑ์ เร่อื ง การแก้ปญั หาโดยใช้ เหตผุ ลเชงิ ตรรกะ 7. กิจกรรมการเรียนรู้ นกั เรยี นทาแบบทดสอบก่อนเรียน หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 1 เร่อื ง การแกป้ ญั หาโดยใชเ้ หตุผลเชิงตรรกะ เทคโนโลยี (วทิ ยาการคานวณ) 3
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 1 การแก้ปัญหาโดยใชเ้ หตผุ ลเชิงตรรกะ เรือ่ งท่ี 1 : เหตผุ ลเชิงตรรกะกบั การแก้ปญั หา เวลา 4 ชวั่ โมง วธิ ีการสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ (5Es Instructional Model) วิธกี ารสอนแบบกระบวนการกลุ่ม เทคนิคตามแนวคิดเชงิ คานวณ ข้นั นา (15 นาที) กระตุ้นความสนใจ 1. ครูใหน้ กั เรยี นทากิจกรรมลองทาดู ในแบบฝึกหดั รายวิชาพื้นฐานวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วิทยาการคานวณ) ป.6 หน่วยการเรยี นร้ทู ี่ 1 หน้า 2 เพื่อเป็นการทบทวนความรู้เดมิ กอ่ นเขา้ สู่ บทเรยี น 2. ครแู ละนกั เรยี นร่วมกันอภิปรายถึงวิธกี ารแก้ปัญหาของกจิ กรรมลองทาดู จนได้ข้อสรุปว่าใช้ เหตผุ ลเชงิ ตรรกะในการแกป้ ัญหา 3. ครใู หน้ ักเรียนเปดิ หนังสือเรยี นรายวชิ าพืน้ ฐานวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วิทยาการคานวณ) ป.6 หน่วยการเรียนรูท้ ี่ 1 หนา้ 2-3 จากนั้น ครูถามคาถามประจาหนว่ ยการเรียนรู้กบั นักเรียนวา่ เหตุผลเชิงตรรกะชว่ ยในการแก้ปญั หาได้อย่างไร แนวคาตอบ: เหตุผลเชงิ ตรรกะช่วยในการแก้ปัญหาได้ เชน่ เข้ามาชว่ ยในการพจิ ารณาสาเหตขุ อง ปัญหา วธิ กี ารแก้ปัญหา การตรวจสอบการแก้ปญั หา 4. ครูถามคาถามสาคัญประจาหัวขอ้ กบั นักเรยี นวา่ เหตผุ ลเชิงตรรกะสามารถนาไปใช้ใน ชีวติ ประจาวันได้อยา่ งไร จากน้นั ให้นกั เรยี นลองยกตัวอย่างการใช้เหตุผลเชงิ ตรรกะใน ชีวิตประจาวันของนักเรยี น ขัน้ สอน (45 นาที) สารวจคน้ หา 1. ครใู หน้ กั เรียนจบั กลุ่ม 3-4 คน เพ่ือศึกษาและสงั เกตสถานการณต์ ัวอย่างจากหนังสอื เรียนรายวชิ า พืน้ ฐานวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วิทยาการคานวณ) ป.6 หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 1 หน้า 3-7 เกย่ี วกับ ผลการแข่งขนั ตอบปัญหาภาษาองั กฤษ โดยให้นกั เรยี นอ่านบทสมั ภาษณ์ของตวั แทนนกั เรยี นแต่ ละคน 2. นกั เรยี นรว่ มกนั วิเคราะห์บทสัมภาษณ์และพจิ ารณาตัดส่ิงทเ่ี ปน็ ไปไมไ่ ด้ออกตามหนังสือ จนได้ ขอ้ สรุปวา่ ตวั แทนนักเรียนแต่ละคนแข่งขนั ไดล้ าดบั ท่ีเท่าไร เทคโนโลยี (วทิ ยาการคานวณ) 4
หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 1 การแกป้ ญั หาโดยใชเ้ หตผุ ลเชิงตรรกะ 3. ครูให้นักเรียนแตล่ ะกลมุ่ พิจารณาสถานการณ์ตวั อยา่ งในหนังสือเรียนอีกครง้ั เพื่อถอด กระบวนการ แนวคิด หรอื วธิ ีการแก้ปัญหาของสถานการณ์ จากนัน้ เขียนแนวคดิ หรือวธิ กี าร แกป้ ญั หาและตอบคาถามลงในใบงานท่ี 1.1.1 เรอ่ื ง ต่อยอดการแก้ปัญหาดว้ ยเหตุผลเชิงตรรกะ อธิบายความรู้ 4. ครูให้นักเรยี นแต่ละกลุม่ ออกมานาเสนอผลงานจากการทาใบงานท่ี 1.1.1 เร่อื ง ต่อยอดการ แกป้ ญั หาดว้ ยเหตผุ ลเชิงตรรกะ โดยแสดงถึงวิธีการพิจารณาสถานการณ์ เงื่อนไขตา่ ง ๆ แนวคดิ หรอื วธิ ีการแก้ปญั หาโดยใชเ้ หตผุ ลเชิงตรรกะตามที่แต่ละกลุ่มได้ระดมความคิดเหน็ ร่วมกนั ในการ ทากิจกรรมกลุ่ม 5. ครูและนักเรียนร่วมกนั อภปิ รายถึงแนวคดิ หรือวิธกี ารแกป้ ัญหา และการตอบคาถามของนกั เรยี น แต่ละกลมุ่ ว่ามีความแตกตา่ งกนั อย่างไร และหาขอ้ สรุปรว่ มกนั 6. ครมู อบหมายงานให้นักเรยี นทากจิ กรรมฝึกทักษะ Com Sci ในหนงั สอื เรยี นรายวชิ าพ้ืนฐาน วทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วทิ ยาการคานวณ) ป.6 หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 1 หน้า 8 เป็นการบ้าน โดย เขยี นใส่สมดุ และสง่ ในช่ัวโมงถัดไป ชัว่ โมงท่ี 2 ขัน้ สอน (60 นาท)ี อธิบายความรู้ 1. ครแู ละนกั เรียนทบทวนความรเู้ ดมิ ทเี่ รียนในชัว่ โมงทแี่ ลว้ เรื่องการแกป้ ัญหาด้วยเหตุผลเชิง ตรรกะ 2. ครสู ุม่ นกั เรียน 2-3 คน เพ่ืออธิบายแนวคิดหรอื วธิ ีการแก้ปัญหาของกิจกรรมฝกึ ทักษะ Com Sci ทสี่ ง่ั เป็นการบ้าน และลงข้อสรุปร่วมกัน จากนั้นให้นกั เรยี นส่งการบ้าน ขยายความเขา้ ใจ 3. ครูบอกกบั นกั เรยี นว่า ในชัว่ โมงทแ่ี ลว้ ครไู ดใ้ ห้นักเรยี นใช้เหตผุ ลเชงิ ตรรกะในการแกป้ ัญหาการ ตอบปัญหาภาษาอังกฤษไปแล้ว ในวันนี้เรามาลองใช้เหตผุ ลเชิงตรรกะในสถานการณ์อ่นื ๆ ดบู า้ ง 4. ครูถามนักเรียนวา่ รูจ้ ักราวงมาตรฐานหรอื ไม่ ราวงมาตรฐานเป็นการแสดงที่มีวิวัฒนาการมาจาก ราโทน ซ่งึ เปน็ การร้องและการราของชาวบ้าน มีผูร้ าทัง้ ชายและหญิง 5. ครใู ห้นกั เรียนแต่ละกลมุ่ (กลุ่มเดมิ ) อา่ นสถานการณ์และเง่ือนไขในกจิ กรรมฝกึ ทักษะท่ี 1 เรอ่ื ง จับค่รู าวงมาตรฐาน ในแบบฝกึ หดั รายวชิ าพ้ืนฐานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วิทยาการคานวณ) ป.6 หน่วยการเรียนรู้ท่ี 1 หน้า 10 เทคโนโลยี (วทิ ยาการคานวณ) 5
หนว่ ยการเรยี นร้ทู ี่ 1 การแก้ปญั หาโดยใชเ้ หตผุ ลเชิงตรรกะ 6. นักเรยี นในกล่มุ ร่วมกันจบั ค่ผู ู้ราฝ่ายชายและฝา่ ยหญิงตามสถานการณ์และเง่ือนไขที่กาหนด และ ตอบคาถามลงในกจิ กรรมฝกึ ทกั ษะท่ี 1 7. ครถู ามนักเรยี นวา่ จากสถานการณ์ทก่ี าหนดให้ นกั เรียนคิดว่าเพราะเหตุใด จึงต้องใชเ้ หตุผลเชงิ ตรรกะในการแกป้ ญั หานี้ จากนน้ั ครูและนักเรียนร่วมกนั อภิปรายจนได้ข้อสรปุ รว่ มกัน 8. ครมู อบหมายงานใหน้ ักเรยี นทาแบบฝกึ หดั เรื่องเหตผุ ลเชงิ ตรรกะกับการแก้ปญั หาในแบบฝกึ หัด รายวิชาพ้นื ฐานวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วทิ ยาการคานวณ) ป.6 หนว่ ยการเรียนรทู้ ่ี 1 หน้า 3-5 เพอ่ื ทบทวนความรู้ ชั่วโมงที่ 3 ข้ันสอน (60 นาท)ี ขยายความเขา้ ใจ 1. ครูและนักเรียนทบทวนความรู้เดิมที่เรียนในช่ัวโมงท่ีแล้ว เร่ืองการแก้ปัญหาด้วยเหตุผลเชิง ตรรกะ 2. ครูถามนักเรียนว่า นักเรียนเคยเห็นกองเชียร์นักกีฬาท่ีน่ังอยู่บนอัฒจันทร์หรือไม่ จากนั้นครูเปิด วดี ทิ ศั นก์ ารแปลอักษรบนอัฒจนั ทรใ์ ห้นักเรียนดู 3. ครูให้นักเรียนนง่ั ตามกลุ่มเดิมและสมมตบิ ทบาทใหน้ กั เรยี นเป็นผคู้ ุมกองเชยี ร์ โดยใหน้ ักเรียนแต่ ละกลุ่มรว่ มกนั อา่ นสถานการณ์ในกิจกรรมฝึกทักษะท่ี 2 เรื่องเชยี รก์ ฬี า พาเพลนิ ในแบบฝึกหดั รายวิชาพืน้ ฐานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วิทยาการคานวณ) ป.6 หน่วยการเรียนรทู้ ่ี 1 หนา้ 12 4. นักเรียนในกลมุ่ ร่วมกันทากจิ กรรมฝกึ ทักษะท่ี 2 เร่ืองเชียร์กฬี า พาเพลิน โดยนักเรียนจะต้อง ระบายสีลง ในตารางให้ถกู ต้องตามเง่ือนไข และทายว่ารูปที่อยู่ในตารางคือรปู อะไร โดยตาราง เปรยี บเสมอื นกองเชยี ร์ที่น่ังอยูบ่ นอฒั จนั ทร์และสีทร่ี ะบายเปรียบเสมือนป้ายที่นักเรยี นบน อัฒจนั ทร์ชขู ้นึ เพ่อื แสดงตวั อกั ษรหรอื รูปต่าง ๆ 5. ครูถามนักเรยี นแตล่ ะกล่มุ ว่านกั เรยี นทน่ี ง่ั อยู่บนอฒั จันทร์กาลังชปู ้ายเพื่อแสดงตวั อักษรหรือรปู อะไร และสมุ่ ถามนักเรียน 1 กล่มุ ว่านกั เรยี นใชแ้ นวคดิ หรือวิธีการใดในการแก้ปญั หา 6. ครูถามนักเรยี นกลมุ่ อ่ืน ๆ วา่ นกั เรยี นมีแนวคดิ หรือวิธีการแก้ปญั หาเหมือนหรือแตกตา่ งกันกับ เพื่อนกลมุ่ ท่แี ล้วหรือไม่ หากมีกลุ่มท่แี ตกตา่ ง ครูให้นกั เรียนกลุ่มนนั้ อธิบายถงึ ความแตกต่าง 7. ครูมอบหมายงานให้นักเรียนแต่ละกลมุ่ ทากิจกรรมเร่ือง การใช้เหตผุ ลเชงิ ตรรกะในชีวิตประจาวนั โดยนกั เรียนแตล่ ะกลมุ่ จะต้องหากจิ กรรมที่มปี ญั หาเกีย่ วข้องกบั ชีวติ ประจาวันและใช้เหตุผลเชงิ ตรรกะในการแกป้ ัญหามา 1 กิจกรรม และใหน้ กั เรียนนาเสนอกจิ กรรมในชั่วโมงถัดไป โดยต้องให้ เพื่อนกลุ่มอนื่ รว่ มแกป้ ัญหาในกิจกรรมของกลุ่มเราดว้ ย มีเวลานาเสนอกลุ่มละ 7-10 นาที เทคโนโลยี (วทิ ยาการคานวณ) 6
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 1 การแก้ปญั หาโดยใชเ้ หตผุ ลเชิงตรรกะ ช่วั โมงที่ 4 ขั้นส8อ.น (50 นาที) ตรวจสอบผล 1. ครูบอกนักเรียนว่า จากชั่วโมงท่ีแลว้ ครไู ด้มอบหมายงานให้นักเรยี นทากจิ กรรมเรื่อง การใช้เหตผุ ลเชิง ตรรกะในชีวิตประจาวัน ในช่ัวโมงนี้ครูจะให้นักเรียนแต่ละกลุ่มออกมานาเสนอกิจกรรมและพาเพ่ือน กลุม่ อื่น ทากิจกรรมของเราด้วย โดยครใู ห้เวลาในการนาเสนอกลุ่มละ 7-10 นาที 2. ครูให้นักเรียนแตล่ ะกลมุ่ ออกมานาเสนอและพาเพื่อนทากิจกรรมเรอ่ื งการใช้เหตุผลเชิงตรรกะใน ชีวติ ประจาวัน 3. ครูสอบถามนักเรียนแต่ละกลุ่มว่า ชอบกิจกรรมของกลุ่มไหนมากที่สุด และนอกจากกิจกรรมที่กลุ่ม ของเราหรือของเพื่อน ๆ นามาแล้ว นักเรียนมีปญั หาอ่ืน ๆ ท่ีตอ้ งใช้แนวคิดเชิงตรรกะในการแกป้ ญั หา อกี หรอื ไม่ ขั้นสรุป (10 นาที) ตรวจสอบผล 4. นกั เรยี นและครรู ่วมกนั สรุปความร้ทู ี่เรยี นมาทั้งหมดเกีย่ วกับการแกป้ ัญหาดว้ ยเหตุผลเชิงตรรกะ เทคโนโลยี (วิทยาการคานวณ) 7
หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 1 การแกป้ ัญหาโดยใชเ้ หตุผลเชิงตรรกะ เรอื่ งที่ 2 : แนวคดิ ในการแก้ปัญหา เวลา 4 ชั่วโมง วธิ ีการสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ (5Es Instructional Model) วธิ กี ารสอนแบบกระบวนการกลุ่ม เทคนิคตามแนวคิดเชงิ คานวณ ขน้ั นา (10 นาท)ี กระตุ้นความสนใจ 1. ครูใหน้ ักเรยี นดูภาพจานวน 3 คู่ โดยเป็นภาพท่แี สดงถึงแนวคิดการทางานแบบลาดบั 1 คู่ ภาพที่ แสดงถงึ แนวคดิ การทางานแบบวนซา้ 1 คู่ และภาพท่ีแสดงถงึ แนวคิดการทางานแบบเง่ือนไข 1 คู่ แต่ครูไมต่ ้องบอกนกั เรยี นวา่ ภาพแต่ละคู่เปน็ การทางานแบบใด ตัวอย่างภาพท่ีแสดงถึงแนวคิดการทางานแบบลาดบั 1) ภาพการตกแต่งหน้าเค้ก โดยมีการอบขนมเค้ก > ทาครีมปิดเนื้อเค้ก > บีบครีมบนเค้ก > ใสผ่ ลไม,้ คุกกเ้ี พอ่ื ตกแต่งหน้าเคก้ 2) ภาพการซักผ้าโดยมีการเปิดน้าใส่กะละมัง > ใส่ผงซักฟอก > นาผ้าใส่ในกะละมังแล้วขย้ี ผา้ > ล้างผ้าดว้ ยน้าสะอาด > บดิ ผ้า > ตากผ้า ตวั อยา่ งภาพทแี่ สดงถงึ แนวคดิ การทางานแบบวนซา้ 1) ภาพการรดนา้ ตน้ ไมจ้ านวนหลาย ๆ ต้น โดยรดน้าต้นไมท้ ลี ะตน้ จนหมด 2) ภาพการหยิบหนงั สอื วางใสช่ นั้ วางหนังสือ โดยหยิบหนังสือทลี ะเล่ม จนหมด ตัวอยา่ งภาพทีแ่ สดงถึงแนวคดิ การทางานแบบเง่ือนไข 1) ภาพการกรอกน้าส่ขวดโดยใช้ตู้น้าหยอดเหรียญ ท่ีมีปุ๋มสีแดงให้กดหยุดน้า โดยตรวจสอบ วา่ น้าเตม็ ขวดหรอื ยัง หากยังให้รอจนน้าเตม็ ขวด หากเตม็ ขวดแลว้ ใหก้ ดปุ่มสแี ดง 2) ภาพคนกาลังตรวจสอบแต้มสะสมในบัตรสมาชิก เพ่ือลดราคาสินค้า โดยหากมีแต้ม จานวนหนง่ึ จะไดร้ ับส่วนลด 5% หากมีแตม้ อกี จานวนหนงึ่ จะได้รับสว่ นลด 10% 2. ครูให้นักเรียนพิจารณาว่า ภาพแต่ละคู่มีอะไรที่ซ้ากัน และเปรียบเทียบภาพทั้ง 3 คู่ว่ามีความ แตกตา่ งกันอยา่ งไร ขั้นสอน (50 นาที) สารวจคน้ หา 3. ครูถามคาถามประจาเรื่องในหนังสือเรียนรายวิชาพ้ืนฐานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วิทยาการ คานวณ) ป.6 หน่วยการเรียนรทู้ ี่ 1 หนา้ 9 วา่ แนวคดิ ในการแกป้ ัญหามคี วามสาคัญอยา่ งไร เทคโนโลยี (วิทยาการคานวณ) 8
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 1 การแก้ปญั หาโดยใชเ้ หตุผลเชิงตรรกะ 4. นักเรียนศึกษาข้อมูลเบ้ืองต้น เร่ืองแนวคิดการทางานแบบลาดับ ในหนังสือเรียนรายวิชาพ้ืนฐาน วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วิทยาการคานวณ) ป.6 หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 หน้า 9 เร่ืองแนวคิดการ ทางานแบบเง่ือนไขในหนังสือเรียนหน้า 12 และเร่ืองแนวคิดการทางานแบบวนซ้า ในหนังสือ เรียนหน้า 15 อธบิ ายความรู้ 5. ครูและนักเรียนร่วมกันตอบคาถามเก่ียวกับเรื่องแนวคิดการทางานแบบลาดับตามท่ีนักเรียนได้ ศกึ ษามาแล้วในหนงั สือเรยี น ประเด็นคาถาม 1) ห้องของปูมีองค์ประกอบอะไรบ้าง (คาตอบ: หน้าต่าง, ช้ันวางของ, เตียงนอน และตู้ เสือ้ ผา้ ) 2) ปูกาลงั จะทาอะไร (คาตอบ: ทาความสะอาดห้องนอน) 3) ปูมีขั้นตอนในการทาความสะอาดห้องอย่างไร (กวาดหยากไย่บนเพดาน > ทาความ สะอาดตู้ > เช็ดหน้าต่าง > ทาความสะอาดช้ันวางของ > เปลี่ยนผ้าปูที่นอน > กวาด และถูพ้นื ) 4) เพราะเหตุใด ปจู ึงเลอื กทาความสะอาดในบรเิ วณท่ีอยสู่ ูงกอ่ น แล้วจึงไล่ลงมาบริเวณทตี่ ่า ที่สดุ (แนวคาตอบ: เพราะถ้าหากทาความสะอาดพื้น หรอื สง่ิ ที่อยขู่ ้างล่างก่อน แลว้ ไปทา ความสะอาดสิง่ ทอ่ี ยู่สูงกว่า จะทาให้เศษฝุน่ หรือเศษขยะต่าง ๆ หล่นลงมาทีพ่ ้ืน และต้อง ทาความสะอาดพน้ื อีกรอบ) 5) ห ากปู ไม่มี การวางแผน ห รือไม่มีแน วคิดใน การแก้ปั ญ ห า จะเกิดอะไรขึ้น (แนวคาตอบ: จะทาให้การทางานซ้าซ้อนและมีหลายขนั้ ตอนมากยิ่งขึน้ ) 6. ครูถามนักเรียนเพ่ิมเติมอีกว่า หากนักเรียนต้องทาความสะอาดห้องนอนของปู นักเรียนจะเร่ิมทา อะไรก่อน เพราะเหตุใด มีนักเรียนคนใดที่มีวิธีการทาความสะอาดแตกต่างจากปูบ้าง ครูให้ นักเรียนอธิบายถึงความแตกต่าง จากน้ันครูบอกกับนักเรียนว่าการแก้ปัญหาใดปัญหาหน่ึ ง สามารถมไี ดม้ ากกวา่ 1 วิธีกไ็ ด้ 7. ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเกี่ยวกับการทาความสะอาดห้องนอนของปู โดยได้ข้อสรุปร่วมกันว่า การทางานดังกล่าวเป็นการทางานท่ีมีลาดับก่อน-หลังอย่างชัดเจน โดยต้องทางานในข้ันแรกให้ สาเร็จก่อน จึงจะเข้าสู่ข้ันตอนถัดไปได้ ซ่ึงการทางานในลักษณะน้ีเรียกว่า การทางานแบบลาดับ ซงึ่ เปน็ แนวคดิ ในการแกป้ ัญหาแนวคิดหน่ึง 8. ครูสุ่มนักเรียน 3-4 คน เพื่อถามคาถามท้าทายความคิดข้ันสูงในหนังสือเรียนหน้า 10 ว่า เพราะ เหตุใด เราจึงไม่ควรใส่รองเท้าก่อนสวมเสื้อและกางเกง (แนวคาตอบ: เพราะหากใส่รองเท้าก่อน อาจจะทาใหเ้ ราใสก่ างเกงไมส่ ะดวก และกางเกงอาจเปื้อนได้) เทคโนโลยี (วทิ ยาการคานวณ) 9
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 1 การแก้ปัญหาโดยใชเ้ หตผุ ลเชงิ ตรรกะ 9. ครแู ละนักเรยี นรว่ มกนั ตอบคาถามเกี่ยวกับเรอ่ื งแนวคิดการทางานแบบเง่ือนไขตามท่นี กั เรยี นได้ ศกึ ษามาแลว้ ในหนังสือเรยี น ประเด็นคาถาม 1) นักเรียนเคยสังเกตไหมว่า ถังขยะท่ีเราเคยเห็นอยู่ตามที่ต่าง ๆ มีหลายสี แต่ละสีมีความ แตกต่างกันอย่างไร (แนวคาตอบ: สีของถังขยะ บ่งบอกถึงประเภทของขยะที่ควรทิ้งลง ไปในถังน้ัน เช่น ถงั ขยะสีน้าเงินต้องใส่ชยะประเภทรไี ซเคลิ ) 2) หากเรามีขยะประเภทเศษอาหาร เราควรทิ้งลงถังขยะสีอะไรเพราะเหตุใด (แนวคาตอบ: ควรทิ้งลงถังชยะใบสีเขียว เพราะเป็นถังที่ใส่ขยะแบบย่อยสลายได้ ซึ่งเศษอาหารเป็น ขยะทีย่ อ่ ยสลายได้) 3) หากเราไม่ทราบหรือไม่เข้าใจเง่ือนไขในการทิ้งขยะ เราจะทิ้งขยะได้ถูกต้องตามประเภท หรือไม่ และหากเราทิ้งขยะผิดประเภท จะส่งผลอะไร (แนวคาตอบ: ไม่ถูกต้อง โดยหาก ท้ิงขยะผิดประเภทจะส่งผลต่อความยากลาบากในการกาจัดขยะ และขยะที่มีพิษอาจจะ ไปปนเปอ้ื นกับขยะทีส่ ามารถนาไปรีไซเคิลได้) 10. ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปความรู้ว่าการทางานในลักษณะน้ีเป็นการทางานแบบมีเงื่อนไข ซ่ึงเรา จะต้องเข้าใจเงื่อนไขต่าง ๆ ให้ชัดเจนก่อน และต้องใช้เหตุผลเชิงตรรกะมาช่วยพิจารณาด้วย เพอื่ ใหไ้ ดค้ าตอบหรอื ผลลัพธ์ตามเงือ่ นไขท่ีกาหนด ชั่วโมงท่ี 2 ขั้นส1อ.น (60 นาท)ี อธบิ ายความรู้ 1. ครูและนักเรียนร่วมกันทบทวนความรู้เดิมท่ีเรียนในช่ัวโมงท่ีแล้วว่า เราได้รู้จักแนวคิดในการ แก้ปัญหามาแล้ว 2 แนวคิด ได้แก่ แนวคิดการทางานแบบลาดับ และแนวคิดการทางานแบบ เงอื่ นไข 2. ครแู ละนกั เรียนรว่ มกนั ตอบคาถามเกย่ี วกบั เรอื่ งแนวคดิ การทางานแบบวนซา้ ตามท่นี ักเรียนได้ ศกึ ษามาแล้วในหนังสือเรยี น ประเด็นคาถาม 1) ให้นักเรียนดูภาพตัวอย่างแรกในหนังสือเรียน แล้วพิจารณาว่า มีการเขียนแนวคิดแบบใด และมีข้นั ตอนทัง้ หมดเทา่ ไร (คาตอบ: แนวคิดแบบลาดบั / 5 ขนั้ ตอน) 2) นักเรยี นลองสงั เกตท่ภี าพตัวอยา่ งอกี คร้งั วา่ มขี ั้นตอนใดทซ่ี ้ากนั หรือไม่ 3. ครูและนักเรียนร่วมกันถามตอบ จนได้ข้อสรุปร่วมกันว่าในการทางานที่ต้องทาหลายคร้ังเหมือน ๆ กัน เราสามารถเขียนรวมเป็นข้ันตอนเดียวกันได้ ซ่ึงเราเรียกการทางานแบบนี้ว่าการทางาน แบบวนซ้า โดยการทางานแบบวนซ้ามี 2 แบบคือการทางานแบบวนซ้าที่มีจานวนครั้งแน่นอน กบั การทางานแบบวนซ้าท่ีมจี านวนคร้งั ไม่แนน่ อน เทคโนโลยี (วทิ ยาการคานวณ) 10
หนว่ ยการเรยี นรูท้ ี่ 1 การแก้ปญั หาโดยใชเ้ หตุผลเชงิ ตรรกะ 4. ครูชี้ให้นักเรียนเห็นว่าตัวอย่างแรกเรื่องการว่ิงแข่ง เป็นการทางานแบบวนซ้าท่ีมีจานวนคร้ัง แนน่ อนเพราะมีการบอกจานวนรอบในการว่ิงท่แี น่นอน จากนน้ั ครูยกตวั อย่างการทางานแบบวน ซ้าที่มีจานวนครั้งไม่แน่นอน โดยให้นักเรียนดูภาพตัวอย่างการใช้ขันตักน้าเพื่ออาบน้า ในหนังสือ เรยี นรายวิชาพื้นฐานวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วิทยาการคานวณ) ป.6 หนว่ ยการเรยี นรูท้ ี่ 1 หน้า 16 โดยครูถามนักเรียนว่า โดยปกติแล้ว เวลาเราอาบน้าโดยใช้ขัน มีใครเคยนับจานวนครั้งท่ีเรา ตักน้าบ้าง หากเราไม่ได้นับ เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราควรต้องหยุดอาบน้า (แนวคาตอบ: จนกว่า รา่ งกายจะสะอาด, จนกวา่ จะพอใจ) 5. ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายเร่ืองการใช้ขันอาบน้าจนได้ข้อสรุปว่า การทางานในลักษณะนี้ เปน็ แนวคิดการทางานแบบวนซ้าทีม่ ีจานวนคร้ังไม่แน่นอน โดยจะมีการทาซ้าไปเร่อื ย ๆ จนกว่า จะมีเง่อื นท่ีส่ังใหห้ ยุด 6. ครูให้ความรเู้ พิ่มเติมเร่ืองแนวคิดการทางานแบบวนซ้ากับนักเรียน ในมุม Com Sci ตามหนังสือ เรยี นรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วทิ ยาการคานวณ) ป.6 หน่วยการเรยี นรูท้ ี่ 1 หน้า 16 7. ครูมอบมายงานให้นักเรียนทากิจกรรมฝึกทักษะ Com Sci ในหนังสือเรียนรายวิชาพ้ืนฐาน วิทยาศาสตร์ เทคโนโยี (วิทยาการคานวณ) ป.6 หน่วยการเรียนรู้ท่ี 1 หน้า 11 เร่ืองการ เรยี งลาดับขั้นตอนการผูกเชอื กรองเท้า และหนา้ 14 เร่อื งการทางานแบบเง่ือนไข เป็นการบ้าน 8. หลังจากที่นักเรียนได้เรียนรู้แนวคิดครบทั้งหมดแล้ว ครูและนักเรียนสรุปร่วมกันอีกครั้งว่า แนวคดิ ในการแก้ปญั หามีทั้งหมด 3 รปู แบบ ไดแ้ ก่ - แนวคิดการแก้ปัญหาแบบลาดบั - แนวคิดการแก้ปัญหาแบบวนซา้ -แนวคิดการแกป้ ัญหาแบบมเี งื่อนไข 9. ครูถามคาถามเช่ือมโยงไปถึงรูปภาพ ที่เปิดให้นักเรียนดูในต้นชั่วโมงท่ีแล้วว่า แต่ละรูปภาพใช้ แนวคิดการทางานแบบใด 10. ครนู าใบงานที่ 1 เร่ืองต่อยอดการแกป้ ัญหาเชิงตรรกะ ท่ีนักเรียนเคยได้ทาไว้ (ในแผนที่แล้ว) โดย นาวิธีการแก้ปัญหาเร่ืองการตอบปัญหาภาษาอังกฤษท่ีนักเรียนได้เขียนไว้มาฉายลงบนโปรเจก เตอร์ หรือเขียนลงบนกระดาน เพื่อให้นักเรียนพิจารณาว่า วิธีการแก้ปัญหาที่นักเรียนเคยเขียน ใชแ้ นวคิดใดในการแกป้ ญั หา ตัวอย่างวิธีการแก้ปัญหาของนักเรียน เร่ืองการตอบปัญหาภาษาอังกฤษ โดยครูอาจเลือก ใบงานท่มี กี ารเขียนวธิ กี ารแก้ปัญหาท่ดี ีหรือสมบรู ณ์ทสี่ ดุ มาให้นักเรยี นพจิ ารณา เทคโนโลยี (วทิ ยาการคานวณ) 11
หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 1 การแก้ปญั หาโดยใชเ้ หตผุ ลเชิงตรรกะ 11. ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายว่าตัวอย่างท่ีครูให้นักเรียนดู ได้ใช้แนวคิดใดบ้าง โดยได้ข้อสรุป ร่วมกันว่า ใช้แนวคิดทั้ง 3 แนวคิด โดยข้อ 1-7 ใช้แนวคิดการทางานแบบลาดับ โดยจะมีการ ทางานแบบวนซ้าและมีเงื่อนไขซ่อนอยู่ น่ันคือข้อ 4, 5, 6 และ 7 ซึง่ ใช้แนวคดิ การทางานแบบวน ซ้าและแบบมีเงื่อนไขผสมกัน เพราะ หากตรวจสอบข้อความในข้อ 6 แล้วพบว่ายังได้คาตอบไม่ ครบ จะต้องวนซ้ากลับไปท่ีข้อ 4 และ 5 เพื่ออ่านเง่ือนไข และตัดส่ิงท่ีเป็นไปไม่ได้ออกอีกคร้ัง และวนซ้าไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะไดค้ าตอบครบ (แนวคาตอบอื่น ๆ ขน้ึ อยู่กับตัวอย่างท่ีครูยกมาให้ เด็กพิจารณา) 12. ครูมอบหมายงานให้นักเรียนทากิจกรรมฝึกทักษะ Com Sci ในหนังสือเรียนรายวิชาพ้ืนฐาน วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วทิ ยาการคานวณ) หน่วยการเรียนรูท้ ่ี 1 หน้า 17 เรื่องการทางานแบบ วนซ้า และแบบฝึกหัดเร่ือง แนวคิดในการแก้ปัญหา ในแบบฝึกหัดรายวิชาพ้ืนฐานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วิทยาการคานวณ) ป.6 หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 หน้า 6 เป็นการบ้าน เพ่ือทบทวน ความรูท้ ่ีได้เรยี นมาท้งั หมด ชัว่ โมงท่ี 3 ขั้นส1อ.น (60 นาที) ขยายความรู้ 1. ครแู ละนักเรยี นร่วมกนั ทบทวนความร้เู ดิมทีเ่ คยเรยี นในช่วั โมงทแ่ี ลว้ เรอื่ งแนวคิดในการแก้ปญั หา 2. ครูถามนักเรียนว่า ในชีวิตประจาวันของนกั เรยี นมีกิจกรรมใดบ้าง ทส่ี ามารถอธบิ ายโดยใช้แนวคิด การทางานแบบต่าง ๆ ได้ (แนวคาตอบ: การเดินทางไปโรงเรียนด้วยรถยนต์ แล้วรถติดอยู่ที่ 4 เทคโนโลยี (วิทยาการคานวณ) 12
หนว่ ยการเรยี นร้ทู ่ี 1 การแก้ปญั หาโดยใชเ้ หตุผลเชิงตรรกะ แยก โดยมีสัญญาณไฟจราจร 3 สี คอื แดง เหลือง เขียว ซ่งึ เราจะตอ้ งทราบเง่ือนไขก่อนว่าแต่ละ สหี มายถึงอะไร แล้วจึงทาตามเงื่อนไขนน้ั ได้) 3. ครบู อกนักเรียนว่า วันนี้ครูจะให้นักเรียนตามติดชีวิตของลุงคนหนึ่ง เขามีช่ือว่าลุงพล เรามาดูกัน ดีกว่าว่าใน 1 วัน ลุงพลต้องทาอะไรบ้าง แล้วให้นักเรียนช่วยวิเคราะห์ว่ามีช่วงใดบ้าง ที่เรา สามารถใชแ้ นวคิดการทางานแบบตา่ ง ๆ ในการอธบิ ายได้ 4. ครูให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม 3-4 คน จากน้ันครูอ่านสถานการณ์ในกิจกรรมฝึกทักษะท่ี 3 ใน แบบฝกึ หดั รายวิชาพน้ื ฐานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วิทยาการคานวณ) ป.6 หนว่ ยการเรียนรู้ที่ 1 หน้า 14 ใหน้ ักเรียนฟังและให้นักเรียนนึกภาพตาม 5. ครถู ามนักเรยี นวา่ จากสถานการณ์ท่คี รอู ่านให้ฟัง มชี ่วงใดบ้างทส่ี ามารถใช้แนวคิดการทางานแบบ ต่าง ๆ ในการอธบิ ายได้ โดยครูใหน้ ักเรียนในกล่มุ ช่วยกนั วเิ คราะหแ์ ละเขียนตอบลงในแบบฝกึ หัด 6. ครูเรียกนักเรียนแต่ละกลุ่มให้ออกมานาเสนอหน้าช้ันเรียนว่า สามารถใช้แนวคิดแบบต่าง ๆ อธิบายเหตุการณใ์ นชว่ งใดได้บ้าง และลงข้อสรปุ ร่วมกนั ตรวจสอบผล 7. ครูถามนักเรียนว่า แล้วในชีวิตประจาวันของนักเรียน มีเหตุการณ์ หรือสถานการณ์ใดบ้าง ที่ สามารถใช้แนวคิดการทางานแบบต่าง ๆ ในการอธิบายได้ 8. ครูให้นักเรียนทากิจกรรมเร่ือง แนวคิดการทางานแบบต่าง ๆ ที่ใช้อธิบายสถานการณ์ใน ชีวิตประจาวัน โดยครูให้นักเรียนระดมความคิดร่วมกันภายในกลุ่ม และให้นักเรียนแต่ละคน ร่วมกันเสนอสถานการณ์หรือเหตุการณ์ในชีวิตประจาวันของตนเอง และช่วยกันเลือกเหตุการณ์ หรือสถานการณ์ที่ดีที่สุดของกลุ่มเพ่ือมานาเสนอหน้าชั้นเรียน โดยแต่ละกลุ่ม ห้ามใช้เหตุการณ์ หรือสถานการณ์ท่ีซา้ กัน 9. ครูแจกกระดาษฟลิปชาร์ท และปากกาสีต่าง ๆ เพ่ือให้นักเรียนช่วยกันวาดภาพหรือเขียน ข้อความเพื่ออธิบายเหตุการณ์หรือสถานการณ์น้ัน ๆ หากทาไม่ทันในชั่วโมงน้ี ให้นักเรียนนา กลับไปทาเป็นการบา้ น และนาเสนอในช่วั โมงถัดไป ชั่วโมงท่ี 4 ขัน้ ส1อ.น (40 นาท)ี 1. ครูบอกนกั เรียนว่า จากชั่วโมงท่ีแล้วครไู ด้มอบหมายงานให้นักเรียนทากิจกรรมเรื่อง แนวคิดการ ทางานแบบต่าง ๆ ท่ีใช้อธิบายสถานการณ์ในชีวิตประจาวัน ในช่ัวโมงน้ีครูจะให้นักเรียนแต่ละ กลุ่มนากระดาษท่ีได้วาดรูปหรือเขียนไว้ ออกมานาเสนอโดยต้องอธิบายถึงแนวคิดต่าง ๆ ให้ ชัดเจน โดยครใู หเ้ วลาในการนาเสนอกล่มุ ละ 7-10 นาที 2. ครูให้นักเรียนแต่ละกลุ่มออกมานาเสนอกิจกรรมเรอื่ ง แนวคิดการทางานแบบต่าง ๆ ท่ีใช้อธบิ าย สถานการณ์ในชวี ติ ประจาวัน เทคโนโลยี (วทิ ยาการคานวณ) 13
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 1 การแก้ปัญหาโดยใชเ้ หตผุ ลเชิงตรรกะ 3. ครูสอบถามนักเรียนแต่ละกลุ่มว่า สถานการณ์ของกลุ่มใด ที่มีการนาแนวคิดในการแก้ปัญหา แบบต่าง ๆ มาอธบิ ายได้ชัดเจนที่สุด และนอกจากสถานการณ์ของกลุม่ เราหรอื ของเพื่อน ๆ แล้ว ยงั มสี ถานการณอ์ ื่น ๆ อกี หรือไม่ ขั้นสรปุ (20 นาที) 1. ครูให้นักเรียนตรวจสอบตนเองจากการเรียนเน้ือหาในหน่วยการเรียนรู้ที่ 1 เรื่องการแก้ปัญหา โดยใช้เหตุผลเชิงตรรกะ ในหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วิทยาการ คานวณ) หนว่ ยการเรียนรู้ที่ 1 หน้า 18 2. ครูและนักเรียนสรุปความรู้ประจาหน่วยร่วมกัน โดยดูแผนผังสรุปสาระสาคัญท้ายหน่วย ใน หนังสือเรียนรายวิชาพ้ืนฐานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วิทยาการคานวณ) หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 หน้า 19 3. ครูมอบหมายงานให้นักเรียนทากิจกรรมเสริมสร้างการเรียนรู้ ในหนังสือเรียนรายวิชาพ้ืนฐาน วทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วิทยาการคานวณ) หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 1 หน้า 20-21 เป็นการบ้าน 4. ครมู อบหมายงานใหน้ ักเรียนทาชิ้นงาน/ภาระงาน (รวบยอด) เปน็ การบา้ น 5. ครใู หน้ ักเรยี นเลน่ เกมทางของฉัน ในกิจกรรมเลน่ เกมกบั Com Sci ตามหนังสอื เรียนรายวชิ า พน้ื ฐานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วทิ ยาการคานวณ) หน่วยการเรียนรทู้ ่ี 1 หน้า 18 6. ครูให้นักเรียนทาแบบทดสอบหลงั เรยี น เทคโนโลยี (วิทยาการคานวณ) 14
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 1 การแกป้ ญั หาโดยใชเ้ หตุผลเชิงตรรกะ 8. สื่อ/แหล่งการเรียนรู้ 8.1 สือ่ การเรียนรู้ 1) หนังสอื เรียนรายวิชาพน้ื ฐานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วทิ ยาการคานวณ) ป.6 หนว่ ยการเรียนรทู้ ่ี 1 เรือ่ ง การแก้ปัญหาโดยใช้เหตุผลเชงิ ตรรกะ 2) หนังสอื แบบฝึกหดั รายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วทิ ยาการคานวณ) ป.6 หน่วยการเรยี นรู้ที่ 1 เร่ือง การแก้ปัญหาโดยใชเ้ หตผุ ลเชิงตรรกะ 3) ใบงานที่ 1.1.1 เรื่อง ต่อยอดการแก้ปญั หาดว้ ยเหตุผลเชิงตรรกะ 4) วีดิทัศนเ์ รอ่ื งการแปลอักษรจาก https://www.youtube.com/watch?v=M4xp926Q4O8 8.2 แหลง่ การเรียนรู้ 1) ห้องคอมพวิ เตอร์ 2) อินเทอร์เนต็ เทคโนโลยี (วทิ ยาการคานวณ) 15
หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 1 การแก้ปัญหาโดยใชเ้ หตผุ ลเชงิ ตรรกะ แบบทดสอบก่อนเรียน หน่วยการเรยี นรูท้ ่ี 1 คาชี้แจง : ให้นักเรยี นเลือกคาตอบที่ถูกต้องท่ีสุดเพียงข้อเดียว 1. เหตผุ ลเชงิ ตรรกะช่วยในการแก้ปัญหาได้อยา่ งไร 6. หากนักเรียนไดร้ บั มอบหมายให้จดั โตะ๊ อาหาร โดยต้องวางจาน ก. ช่วยเพมิ่ เงื่อนไขในการแกป้ ัญหา ข. ชว่ ยป้องกนั ปญั หาไม่ให้เกิดขนึ้ อีก วางช้อนส้อม ตกแตง่ โต๊ะอาหาร และปผู ้าปโู ตะ๊ นักเรียนควรเลือก ค. ช่วยเพิ่มความซบั ซอ้ นในการแก้ปัญหา ง. ชว่ ยตรวจสอบความสมเหตุสมผลในการแก้ปัญหา ทาสง่ิ ใดก่อน จงึ จะประหยดั เวลามากท่สี ดุ 2. ปมุ้ ปู ปลา เปรย้ี ว เปน็ พน่ี ้องกนั เปรี้ยวบอกวา่ เขามพี ่ีหนึง่ คน ก. วางช้อนส้อมเพื่อความสะดวกในการตกั อาหาร มีนอ้ งสองคน ปูบอกวา่ เขามีพส่ี ามคน ปลาบอกว่า เขามีน้อง หนึ่งคน ใครอายมุ ากทีส่ ดุ ข. ปูผ้าคลมุ โตะ๊ เพอ่ื คลมุ หน้าโต๊ะ ป้องกนั รอยขีดข่วนต่าง ๆ ก. ปมุ้ ข. ปู ค. ตกแต่งโตะ๊ อาหาร เพอ่ื สร้างบรรยากาศในการ ค. ปลา ง. เปรย้ี ว รับประทานอาหาร 3. บาส บอล เบล และบมี หลงทางอยใู่ นปา่ เบลจาไดว้ า่ ง. วางจานเพื่อเปน็ การกาหนดตาแหน่งของผู้นงั่ รบั ประทาน ทางออกต้องผ่านแมน่ ้า แตไ่ มผ่ ่านถ้าและศาลา บาสจาได้ ว่ามถี ้าอยูเ่ ส้นทางที่ 1 และ 4 บอลจาได้ว่าเสน้ ทางที่ 2, 3 อาหารใหแ้ น่นอน และ 4 มีแม่นา้ ไหลผ่าน บีมจาได้วา่ มีศาลาอยู่เส้นทางที่ 3 ทางออกคือเส้นทางใด 7. ขอ้ ใดเป็นการทางานแบบวนซา้ ทม่ี ีจานวนคร้งั แนน่ อน ก. เส้นทางที่ 1 ข. เสน้ ทางท่ี 2 ก. ปยุ รับประทานยาตามทีห่ มอสงั่ จนกว่าจะหายป่วย ค. เสน้ ทางท่ี 3 ง. เสน้ ทางที่ 4 ข. บอลว่ิงออกกาลงั กายรอบสนามไปเร่ือย ๆ 4. แนวคิดในการแก้ปญั หามีความสาคัญ ยกเวน้ ขอ้ ใด จนกระทั่งเหนอ่ื ย ก. ช่วยใหแ้ ก้ปญั หาไดอ้ ย่างเปน็ ขนั้ ตอน ข. ช่วยสรา้ งเงือ่ นไขให้กบั ปัญหาต่าง ๆ ค. แดนโดนทาโทษให้เก็บขยะในสนามไปเรอ่ื ย ๆจนครบ100 ชิ้น ค. ชว่ ยออกแบบกระบวนการแก้ปัญหาไดอ้ ย่างชดั เจน ง. ชว่ ยให้การแกป้ ัญหาสามารถทาได้ง่ายและมปี ระสิทธภิ าพ ง. แบมเกบ็ เงนิ วันละ 10บาทไปเรือ่ ย ๆจนกวา่ จะพอซื้อหนังสือ 5. ข้อใดบอกขนั้ ตอนการทาพซิ ซ่าไดถ้ กู ต้อง การ์ตนู ก. นวดแป้ง > ทาให้แปง้ เป็นแผ่น > อบพิซซา่ > ตกแต่งหนา้ พิซซ่า 8. ฝนกนิ ขนมจานวน 3 ชนิ้ สามารถเขยี นการทางานแบบวนซา้ ทีม่ ี ข. นวดแป้ง > ตกแตง่ หนา้ พซิ ซา่ > ทาใหแ้ ปง้ เป็นแผ่น > อบพิซซ่า จานวนครัง้ แนน่ อนไดอ้ ย่างไร ค. นวดแป้ง > ทาให้แปง้ เป็นแผน่ > ตกแต่งหน้าพซิ ซ่า> อบพซิ ซา่ ก. เริ่มตน้ > กนิ ขนม > หยุดกนิ ง. ทาใหแ้ ป้งเปน็ แผ่น > นวดแปง้ > ตกแตง่ หนา้ พิซซ่า > อบพิซซา่ ข. เร่ิมตน้ > กนิ ขนม 3 ช้นิ > หยุดกิน เฉลย ค. เร่มิ ต้น > กนิ ขนมชิน้ ท่ี 1 > กนิ ขนมชน้ิ ท่ี 3 > หยดุ กนิ 1. ง 2. ก 3. ข 4. ข 5. ค ง. เรม่ิ ต้น > กินขนมชน้ิ ท่ี 1 > กนิ ขนมชิน้ ท่ี 2 > กนิ ขนม ชิ้นท่ี 3 > หยดุ กนิ 9. งานใดเหมาะกบั การใชแ้ นวคิดการทางานแบบเงอ่ื นไขมาก ท่ีสดุ ก. การทาขนมเค้ก ข. การอาบนา้ โดยใช้ขัน ค. การรดน้าต้นไม้จานวน 10 ต้น ง. การตรวจสอบคะแนนสะสมในบตั รสมาชิก 10. ปมู ีนัดส่งของใหล้ กู คา้ เวลา 15.00 น. หากปูเดินทางโดย รถจกั รยานยนตจ์ ะใช้เวลา 15 นาที หากเดนิ ทางโดยรถยนต์ จะใช้เวลา 40 นาที ถา้ ขณะน้ีเปน็ เวลา 14.30 น. ปูควร เดนิ ทางด้วยวิธใี ด จึงจะสง่ ของให้ลกู ค้าทัน ก. รถยนต์ ข. รถจกั รยานตย์ นต์ ค. ทนั ท้งั 2 วธิ ี ง. ไมท่ ันทั้ง 2 วธิ ี 6. ข 7. ข 8. ข 9. ง 10. ข เทคโนโลยี (วิทยาการคานวณ) 16
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 1 การแกป้ ัญหาโดยใชเ้ หตผุ ลเชิงตรรกะ แบบทดสอบหลังเรยี น หน่วยการเรียนร้ทู ี 1 คาชีแ้ จง : ใหน้ ักเรยี นเลือกคาตอบที่ถูกต้องท่ีสุดเพียงข้อเดียว 1. เหตผุ ลเชงิ ตรรกะช่วยในการแก้ปญั หาได้ ยกเว้นข้อใด 6. หากนกั เรียนไดร้ บั มอบหมายใหเ้ ปล่ียนผ้าปูท่นี อน กวาดพนื้ ถูพนื้ และกวาดหยากไยบ่ นเพดาน นกั เรียนควรเลือกทาสิง่ ใด ก. ชว่ ยพจิ ารณาสาเหตุของปญั หา กอ่ น จึงจะประหยดั เวลามากท่สี ุด ก. เปล่ียนผ้าปทู ่ีนอน เพราะเป็นที่กกั เกบ็ ฝนุ่ มากทสี่ ุด ข. ช่วยเพ่ิมเงอ่ื นไขในการแกป้ ญั หา ข. ถพู น้ื เพราะระหวา่ งรอใหพ้ นื้ แห้งจะได้ไปทาความสะอาด บรเิ วณอ่นื ค. ช่วยพิจารณาความเปน็ ไปได้ของการแกป้ ัญหา ค. กวาดพ้ืน เพราะหากพ้ืนสะอาดแล้วจะทาให้การทา ความสะอาดบรเิ วณอื่น ๆ สะดวกมากข้ึน ง. ช่วยตรวจสอบความสมเหตสุ มผลในการแกป้ ัญหา ง. กวาดหยากไยบ่ นเพดาน เพราะหยากไย่จะไดต้ กลงมา ที่บริเวณที่ต่ากว่า และทาความสะอาดตามลาดับ 2. เมอื งพอดีอยเู่ หนือเมืองพอใจ เมืองพอใจอยูใ่ ต้เมือง 7. เจนแจกใบปลวิ ประชาสมั พนั ธง์ านวันลอยกระทงไปเร่อื ย ๆ พอเพยี ง เมอื งพอเพียงอยู่เหนือเมืองพองาม และเมอื ง จนหมด จัดเป็นแนวคิดการทางานแบบใด พอดีอยูใ่ ตเ้ มอื งพองาม เมืองอะไรอยู่เหนอื สดุ ก. การทางานแบบลาดบั ข. การทางานแบบมีเงื่อนไข ก. เมืองพอดี ค. การทางานแบบวนซ้าท่ีมจี านวนคร้ังแน่นอน ง. การทางานแบบวนซ้าทีม่ ีจานวนครงั้ ไม่แน่นอน ข. เมืองพอใจ 8. แฟงปลูกตน้ ไมจ้ านวน 3 ตน้ สามารถเขียนการทางานแบบ วนซ้าทม่ี ีจานวนครง้ั แนน่ อนได้อยา่ งไร ค. เมืองพอเพียง ก. เริ่มต้น > ปลกู ต้นไม้ > หยดุ ปลูก ข. เริม่ ต้น > ปลกู ตน้ ไม้ 3 ตน้ > หยุดปลูก ง. เมืองพองาม ค. เริม่ ต้น > ปลกู ต้นที่ 1 > ปลูกต้นที่ 3 > หยดุ ปลูก ง. เร่มิ ตน้ > ปลูกต้นที่ 1 > ปลูกต้นท่ี 2 > ปลูกต้นท่ี 3 3. ปมุ้ ปู ปลา เปร้ียว เป็นพ่ีนอ้ งกัน เปรีย้ วบอกวา่ เขามพี ี่ > หยุดปลกู หนงึ่ คน มีน้องสองคน ปูบอกวา่ เขามีพ่สี ามคน ปลาบอก 9. งานใดเหมาะกบั การใช้แนวคิดการทางานแบบเงื่อนไขมากท่ีสุด ว่าเขามีนอ้ งหนงึ่ คน ใครอายมุ ากทส่ี ุด ก. การแต่งตวั ไปโรงเรยี น ข. การรอ้ ยลูกปดั เพื่อทาสร้อยคอ ก. ปมุ้ ข. ปู ค. การสงั เกตไฟจราจรก่อนข้ามถนน ง. การแจกนมใหน้ กั เรยี นในตอนเช้า ค. ปลา ง. เปรย้ี ว 10. ครูมานะกาหนดเงื่อนไขในการสอบวิชาภาษาไทย โดยหาก นักเรียนได้คะแนนต่ากวา่ 10 คะแนนถือว่าสอบตก ถา้ ปลา 4. แนวคดิ ในการแกป้ ัญหามคี วามสาคัญอย่างไร ไดค้ ะแนนสอบ 10 คะแนน และเอ๋ได้คะแนนสอบ 17 คะแนน หมายความวา่ อยา่ งไร ก. ชว่ ยสรา้ งเง่อื นไขให้กบั ปญั หาต่าง ๆ ก. ปลาและเอ๋สอบผา่ น ข. ปลาและเอส๋ อบตก ค. ปลาสอบตก เอ๋สอบผ่าน ง. ปลาสอบผา่ น เอ๋สอบต ข. ช่วยกาหนดขอบเขตของวธิ ีการแก้ปญั หา 6. ง 7. ง 8. ข 9. ค 10. ก ค. ชว่ ยออกแบบกระบวนการแก้ปญั หาให้มคี วาม ซับซอ้ น ง. ชว่ ยใหก้ ารแก้ปญั หาสามารถทาได้ง่ายและมี ประสิทธิภาพ 5. ข้อใดบอกข้ันตอนการหงุ ข้าวได้ถูกตอ้ ง ก. ตวงขา้ วสาร > ตวงนา้ ใหเ้ หมาะสม > หงุ ขา้ ว > ล้างขา้ วให้สะอาด ข. ตวงข้าวสาร > ตวงน้าให้เหมาะสม > ล้างขา้ วสาร ใหส้ ะอาด > หุงขา้ ว ค. ตวงขา้ วสาร > หงุ ข้าว > ตวงนา้ ใหเ้ หมาะสม > ล้างข้าวสารใหส้ ะอาด ง. ตวงขา้ วสาร > ลา้ งขา้ วสารให้สะอาด > ตวงน้าใหเ้ หมาะสม > หงุ ขา้ ว เฉลย 1. ข 2. ค 3. ก 4. ง 5. ง เทคโนโลยี (วิทยาการคานวณ) 17
หนว่ ยการเรยี นร้ทู ี่ 1 การแกป้ ญั หาโดยใชเ้ หตุผลเชงิ ตรรกะ แผนการจดั การเรียนรทู้ ี่ 1 เหตุผลเชงิ ตรรกะกบั การแก้ปัญหา แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี 1 หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 1 การแก้ปัญหาโดยใชเ้ หตุผลเชงิ ตรรกะ เวลา 8 ช่ัวโมง เรื่อง เหตผุ ลเชิงตรรกะกบั การการแกป้ ัญหา เวลา 4 ชั่วโมง รายวิชาวิทยาการคานวณ กลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชน้ั ประถมศึกษาปที ่ี 6 1. มาตรฐานการเรยี นรู้/ตัวช้ีวัด สาระท่ี 4 เทคโนโลยี มาตรฐาน ว 4.2 เข้าใจและใช้แนวคิดเชิงคานวณในการแก้ปัญหาท่ีพบในชีวิตจริงอย่างเป็นข้ันตอน และเป็นระบบ ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารในการเรียนรู้ การทางาน และการแก้ปัญหาได้อย่างมี ประสทิ ธิภาพ รู้เทา่ ทันและมีจริยธรรม ตัวช้ีวัด ป.6/1 ใช้เหตุผลเชิงตรรกะในการอธิบายและออกแบบ วิธีการแก้ปัญหาท่ีพบใน ชีวติ ประจาวัน 2. จุดประสงค์การเรยี นรู้ 1. ออกแบบการแกป้ ญั หาในชวี ติ ประจาวนั ได้ โดยใชเ้ หตุผลเชิงตรรกะ (K,P) 2. ยกตวั อย่างการแก้ปัญหาโดยใชเ้ หตุผลเชิงตรรกะในชีวติ ประจาวันได้ (A) 3. สาระสาคญั เหตุผลเชิงตรรกะกับการแก้ปัญหา เป็นการนาหลักการ กฎเกณฑ์หรือเง่ือนไขท่ีครอบคลุมทุกกรณีมา ใชเ้ พอื่ ตรวจสอบความสมเหตุสมผลหรือพิจารณาความเป็นไปได้ของการมุ่งหาคาตอบและแกป้ ัญหา 4. สาระการเรยี นรู้ เหตุผลเชิงตรรกะกบั การแกป้ ัญหา 5. รูปแบบการสอน/วธิ ีการสอน 1. วธิ กี ารสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es Instructional Model) 2. วธิ ีการสอนแบบกระบวนการกล่มุ 3. เทคนคิ ตามแนวคดิ เชิงคานวณ เทคโนโลยี (วิทยาการคานวณ) 18
หน่วยการเรยี นรูท้ ่ี 1 การแกป้ ญั หาโดยใชเ้ หตผุ ลเชิงตรรกะ แผนการจดั การเรียนรทู้ ี่ 1 เหตุผลเชงิ ตรรกะกบั การแก้ปญั หา 6. สมรรถนะสาคญั ของผู้เรียน ความสามารถในการส่ือสาร ความสามารถในการคิด ความสามารถในการแก้ปญั หา ความสามารถในการใชท้ ักษะชวี ิต ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี 7. ทกั ษะ 4 Cs ทักษะการคิดวิจารณญาณ (Critical Thinking) ทักษะการทางานร่วมกัน (Collaboration Skill) ทกั ษะการสื่อสาร (Communication Skill) ทักษะความคิดสรา้ งสรรค์ (Creative Thinking) 8. คุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ ซ่อื สตั ย์ สจุ ริต รกั ชาติ ศาสนา พระมหากษตั ริย์ ใฝเ่ รยี นรู้ มีวนิ ยั มงุ่ ม่นั ในการทางาน อยู่อย่างพอเพียง มีจติ สาธารณะ รกั ความเปน็ ไทย 9. การจดั กระบวนการเรยี นรู้ ชว่ั โมงท่ี 1 ข้นั นา (15 นาท)ี 1. ครใู หน้ ักเรยี นทาแบบทดสอบกอ่ นเรียน กระตุน้ ความสนใจ 2. ครใู ห้นกั เรียนทากิจกรรมลองทาดู ในแบบฝึกหัดรายวชิ าพ้ืนฐานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วิทยาการคานวณ) ป.6 หน่วยการเรยี นรู้ที่ 1 หน้า 2 เพื่อเป็นการทบทวนความรู้เดิมก่อนเขา้ สู่ บทเรยี น 3. ครูและนักเรยี นร่วมกนั อภิปรายถึงวธิ กี ารแก้ปัญหาของกิจกรรมลองทาดู จนได้ขอ้ สรปุ ว่าใช้ เหตุผลเชงิ ตรรกะในการแก้ปัญหา เทคโนโลยี (วิทยาการคานวณ) 19
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 1 การแกป้ ัญหาโดยใชเ้ หตผุ ลเชงิ ตรรกะ แผนการจดั การเรยี นรทู้ ่ี 1 เหตุผลเชิงตรรกะกบั การแก้ปัญหา 4. ครใู ห้นักเรยี นเปดิ หนงั สือเรียนรายวชิ าพื้นฐานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วิทยาการคานวณ) ป.6 หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 1 หน้า 2-3 จากน้นั ครูถามคาถามประจาหนว่ ยการเรียนรู้กบั นกั เรยี นวา่ เหตุผลเชงิ ตรรกะช่วยในการแกป้ ญั หาได้อยา่ งไร แนวคาตอบ: เหตผุ ลเชิงตรรกะชว่ ยในการแก้ปญั หาได้ เชน่ เขา้ มาช่วยในการพิจารณาสาเหตุของ ปญั หา วิธกี ารแกป้ ัญหา การตรวจสอบการแก้ปัญหา 5. ครถู ามคาถามสาคญั ประจาหัวข้อกับนักเรียนวา่ เหตผุ ลเชงิ ตรรกะสามารถนาไปใช้ใน ชวี ิตประจาวันไดอ้ ยา่ งไร จากนน้ั ใหน้ กั เรียนลองยกตวั อยา่ งการใช้เหตุผลเชงิ ตรรกะใน ชวี ติ ประจาวนั ของนักเรยี น ขั้นสอน (45 นาที) สารวจคน้ หา 6. ครใู ห้นกั เรียนจบั กลุ่ม 3-4 คน เพ่อื ศึกษาและสังเกตสถานการณ์ตัวอย่างจากหนังสอื เรียนรายวชิ า พน้ื ฐานวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วิทยาการคานวณ) ป.6 หน่วยการเรียนร้ทู ่ี 1 หนา้ 3-7 เกี่ยวกบั ผลการแขง่ ขันตอบปัญหาภาษาองั กฤษ โดยใหน้ ักเรียนอ่านบทสัมภาษณ์ของตวั แทนนักเรยี นแต่ ละคน 7. นักเรียนรว่ มกันวิเคราะหบ์ ทสัมภาษณ์และพจิ ารณาตดั ส่งิ ทเ่ี ปน็ ไปไม่ได้ออกตามหนงั สอื จนได้ ขอ้ สรปุ ว่าตัวแทนนักเรียนแต่ละคนแข่งขันได้ลาดบั ท่เี ทา่ ไร 8. ครูใหน้ กั เรียนแตล่ ะกลุ่มพจิ ารณาสถานการณต์ ัวอย่างในหนังสือเรียนอีกครงั้ เพ่ือถอด กระบวนการ แนวคิด หรอื วิธกี ารแก้ปัญหาของสถานการณ์ จากน้ันเขียนแนวคิดหรือวธิ กี าร แก้ปัญหาและตอบคาถามลงในใบงานที่ 1.1.1 เรื่อง ต่อยอดการแกป้ ัญหาดว้ ยเหตผุ ลเชิงตรรกะ อธบิ ายความรู้ 9. ครใู ห้นักเรียนแตล่ ะกลุม่ ออกมานาเสนอผลงานจากการทาใบงานท่ี 1.1.1 เร่ือง ต่อยอดการ แก้ปญั หาดว้ ยเหตผุ ลเชงิ ตรรกะ โดยแสดงถึงวิธีการพิจารณาสถานการณ์ เง่ือนไขตา่ ง ๆ แนวคดิ หรือวธิ กี ารแก้ปญั หาโดยใช้เหตผุ ลเชงิ ตรรกะตามทแี่ ต่ละกลุ่มได้ระดมความคิดเหน็ รว่ มกนั ในการ ทากิจกรรมกลมุ่ 10. ครูและนกั เรียนรว่ มกันอภปิ รายถงึ แนวคิดหรือวธิ ีการแกป้ ัญหา และการตอบคาถามของนักเรียน แต่ละกลมุ่ ว่ามีความแตกตา่ งกนั อยา่ งไร และหาข้อสรปุ รว่ มกนั 11. ครูมอบหมายงานใหน้ ักเรยี นทากิจกรรมฝกึ ทักษะ Com Sci ในหนังสือเรยี นรายวิชาพื้นฐาน วทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วทิ ยาการคานวณ) ป.6 หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ 1 หนา้ 8 เป็นการบ้าน โดย เขยี นใสส่ มุดและส่งในช่ัวโมงถัดไป เทคโนโลยี (วทิ ยาการคานวณ) 20
หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 1 การแกป้ ญั หาโดยใชเ้ หตผุ ลเชิงตรรกะ แผนการจดั การเรยี นรทู้ ี่ 1 เหตุผลเชงิ ตรรกะกับการแกป้ ัญหา ช่วั โมงที่ 2 ขั้นสอน (ต่อ) (60 นาที) อธบิ ายความรู้ 1. ครูและนกั เรียนทบทวนความรูเ้ ดิมท่เี รียนในชัว่ โมงท่ีแล้ว เร่อื งการแก้ปญั หาดว้ ยเหตุผลเชิงตรรกะ 2. ครสู มุ่ นกั เรยี น 2-3 คน เพ่อื อธิบายแนวคิดหรือวิธกี ารแก้ปัญหาของกิจกรรมฝึกทักษะ Com Sci ที่สั่ง เปน็ การบ้าน และลงขอ้ สรุปร่วมกัน จากนั้นให้นักเรียนส่งการบา้ น ขยายความเขา้ ใจ 3. ครบู อกกบั นักเรยี นวา่ ในช่ัวโมงทแี่ ลว้ ครไู ดใ้ หน้ ักเรียนใชเ้ หตผุ ลเชงิ ตรรกะในการแกป้ ัญหาการตอบ ปัญหาภาษาอังกฤษไปแล้ว ในวันน้เี รามาลองใชเ้ หตุผลเชิงตรรกะในสถานการณอ์ ื่น ๆ ดูบ้าง 4. ครูถามนักเรยี นวา่ รู้จักราวงมาตรฐานหรอื ไม่ ราวงมาตรฐานเป็นการแสดงที่มวี ิวฒั นาการมาจากรา โทน ซึ่งเปน็ การร้องและการราของชาวบ้าน มีผรู้ าท้ังชายและหญงิ 5. ครูให้นกั เรียนแต่ละกล่มุ (กลุ่มเดมิ ) อา่ นสถานการณแ์ ละเงื่อนไขในกิจกรรมฝกึ ทกั ษะที่ 1 เรอื่ งจับครู่ า วงมาตรฐาน ในแบบฝกึ หดั รายวิชาพนื้ ฐานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วทิ ยาการคานวณ) ป.6 หนว่ ย การเรียนร้ทู ี่ 1 หนา้ 10 6. นกั เรียนในกลุ่มรว่ มกันจับคู่ผู้ราฝ่ายชายและฝ่ายหญิงตามสถานการณ์และเงื่อนไขที่กาหนด และตอบ คาถามลงในกิจกรรมฝกึ ทักษะที่ 1 7. ครูถามนักเรียนว่าจากสถานการณ์ท่ีกาหนดให้ นักเรียนคิดว่าเพราะเหตุใด จึงตอ้ งใช้เหตุผลเชิงตรรกะ ในการแกป้ ัญหาน้ี จากนน้ั ครูและนกั เรยี นร่วมกนั อภิปรายจนได้ข้อสรุปรว่ มกัน 8. ครูมอบหมายงานให้นักเรียนทาแบบฝกึ หัด เร่ืองเหตุผลเชิงตรรกะกับการแก้ปญั หา ในแบบฝกึ หดั รายวชิ าพื้นฐานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วทิ ยาการคานวณ) ป.6 หน่วยการเรียนรู้ท่ี 1 หน้า 3-5 เพื่อ ทบทวนความรู้ ชัว่ โมงท่ี 3 ขั้นสอน (ต่อ) (60 นาที) ขยายความเขา้ ใจ 1. ครูและนักเรียนทบทวนความรเู้ ดิมทเ่ี รียนในช่วั โมงทีแ่ ลว้ เรอ่ื งการแก้ปญั หาดว้ ยเหตผุ ลเชงิ ตรรกะ 2. ครูถามนักเรียนว่า นักเรียนเคยเห็นกองเชียร์นักกีฬาท่ีน่ังอยู่บนอัฒจันทร์หรือไม่ จากนั้นครูเปิด วีดิทศั นก์ ารแปลอักษรบนอฒั จนั ทร์ให้นกั เรยี นดู เทคโนโลยี (วทิ ยาการคานวณ) 21
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255