Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 2556-063 พระศรีวิสุทธิคุณ (ดร.)

2556-063 พระศรีวิสุทธิคุณ (ดร.)

Published by Thanarat Sa-Ard-Iam, 2023-06-30 00:34:22

Description: 2556-063 พระศรีวิสุทธิคุณ (ดร.)

Search

Read the Text Version

๙๑ พระสงั ฆราชแหง่ กรุงกมั พูชาฝาุ ยมหานิกาย รูปท่ี ๑ สมเด็จพระสงั ฆราช (นิล เทย่ี ง) พ.ศ. ๒๔๐๑-๒๔๕๗ รูปที่ ๒ สมเด็จพระสงั ฆราช (แกอก อินทเถโร) พ.ศ. ๒๔๕๘-๒๔๘๐ รูปที่ ๓ สมเดจ็ พระสังฆราช (ประ หนิ ) พ.ศ. ๒๔๘๑-๒๔๙๑ รปู ท่ี ๔ สมเดจ็ พระสงั ฆราช (จวน ณาถ โชตญาโณ) พ.ศ. ๒๔๙๒-๒๕๑๓ รูปที่ ๕ สมเด็จพระสงั ฆราช (ฮวด ตาท) พ.ศ. ๒๕๑๓-๒๕๑๘ รปู ท่ี ๖ สมเด็จพระสังฆราช (เทพ วงส๑) พ.ศ. ๒๕๒๔-๒๕๔๙

๙๒ พระสงั ฆราชแหง่ กรงุ กัมพชู าฝุายธรรมยตุ ิ รปู ท่ี ๑ สมเด็จพระสังฆราช (ปาน ปญ๓ ญาสโี ล) พ.ศ.๒๔๐๑-๒๔๓๖ รปู ที่ ๒ สมเดจ็ พระสงั ฆราช (ตกั คู เฮียม) พ.ศ.๒๔๓๗-๒๔๖๕ รปู ที่ ๓ สมเดจ็ พระสังฆราช (สก ปญ๓ ญาทโี ป) พ.ศ. ๒๔๖๖-๒๔๘๕ รูปท่ี ๔ สมเดจ็ พระสงั ฆราช (องุ สรี พทุ ธนาโค) พ.ศ. ๒๔๘๕-๒๔๙๘ รูปท่ี ๕ สมเด็จพระสงั ฆราช (โตล เตส อินทญาโณ) พ.ศ.๒๔๙๘-๒๕๐๙ รปู ที่ ๖ สมเดจ็ พระสังฆราช (เทพ เรือง คนธโร) พ.ศ.๒๕๐๙-๒๕๑๙ รปู ที่ ๗ สมเดจ็ พระสังฆราช (บวั คลี) พ.ศ.๒๕๕๒-ปจ๓ จุบัน

๙๓ ๒.๑๒ พระพุทธศาสนาในปัจจุบัน พ.ศ.๒๕๓๕หลงั จากที่สร๎ู บกนั มานาน ในที่สดุ เขมรทง้ั สีฝุายคอื ๑.ฝุายเฮง สมั ริน ทมี่ ี เวียดนามหนนุ หลัง เป็นรฐั บาลทยี่ ดึ ครองพ้นื ทมี่ ากทสี่ ุด ๒.ฝุายเขมรแดงนําโดย พอลพต เขยี ว สัมพนั ธ๑ รวมตัวกบั อีก ๒ ฝาุ ยจดั ตง้ั เปน็ รฐั บาลกมั พชู าประชาธปิ ไตย ได๎รบั การยอมรบั ให๎มีท่นี ่ังในองคก๑ าร สหประชาชาติ ๓.ฝุายเจ้าสีหนุ นาํ โดยเจา๎ สหี นุ และ เจา๎ รณฤทธ์ิ พระโอรส ๔.ฝุายเขมรเสรี นาํ โดย นายซอนชาน เซ็นสญั ญาครงั้ ประวตั ิศาสตร๑ ที่กรุงปารสี (Paris Agreement) จากนั้นสหประชาชาตจิ ะ โอนถํายอาํ นาจการปกครองมาท่ีองคก๑ ารสหประชาชาติเรียกวํา “องคก๑ ารบรหิ ารชั่วคราวของ สหประชาชาตใิ นกมั พูชา” หรือทเี รียกวาํ อันแทก ( United National Transitional Autority in Cambodia UNTAC) แล๎วให๎กลมํุ การเมอื งทกุ กลมุํ ลงเลือกตัง้ การเลอื กตั้งคร้ังประวตั ศิ าสตรน๑ ี้มีกลมํุ การเมอื งลงเลือกตัง้ มากทส่ี ดุ ถึง ๗๐ พรรคการเมอื ง องคก๑ ารสหประชาชาติไดท๎ มุํ งบประมาณมหาศาลเพ่ีอจัดการเลือกตงั้ อยาํ งเสรใี นกัมพชู า นําโดย นาย ยาสชู ิ อากาชิ เปน็ ตวั แทนองคก๑ ารสหประชาชาติ ผลปรากฏวํา สภาของกมั พูชามี ๑๒๐ ทน่ี ั่ง เรียงลําดบั คะแนนเสยี งคือ ๑.พรรคฟุนซนิ เปค (Funcinpec) นําโดยเจ๎ารณฤทธิ์ เน๎นนโยบายฟนื้ ฟู สถาบนั ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย๑ ชนะได๎ ๕๘ ที่นง่ั แสดงวําอิทธพิ ลบารมีของเจ๎าสหี นยุ งั มีอีกมาก ๒.พรรคประชาชนกมั พูชา (Cambodia People Party) เปลีย่ นจากพรรคประชาชนประชาธิปไตย กมั พูชา อนั เปน็ พรรคคอมมิวนิสตเ๑ ดิมท่เี วยี ดนามหนนุ หลงั นาํ โดยนายเจยี ชมิ ฮุนเชน เฮงสมั รนิ เน๎น นโยบายลังคมนยิ มอํอนๆ กินดีอยดํู ี ได๎ ๕๑ ทีน่ ่ัง ๓.พรรคเสรปี ระชาธิปไตยแนวพุทธ (Buddhist Liberal Democratic Paty) ได๎ ๑๐ ท่ีน่งั สํวนฝาุ ยเขมรแดงไมํได๎ลงเลอื กตงั้ ในครั้งน้ี โดยอ๎างวาํ เวียดนามยังไมถํ อนทหารออกจาก กมั พชู า แลว๎ ยังคอยรบกวนการเลอื กต้ังอีกดว๎ ย สาเหตุทีเ่ ขมรแดงไมยํ อมมาเลือกตง้ั นัน้ เหตุผลหลกั เพราะคงวิเคราะห๑ดแู ล๎ววําประชาชนกมั พชู าทกุ คนไดร๎ บั ความทกุ ข๑ทรมานจากการกระทาํ ของเขมร แดงมาทกุ คน ทกุ คนจงึ เกลียดเขมรแดงเขา๎ ไส๎ ความหวังท่จี ะชนะเลือกตั้งจึงไมํมสี ทิ ธิ จงึ หาโอกาสรงั ควาญการเลือกตงั้ จากนนั้ จึงมกี ารจดั ตั้งรฐั บาลรํวมกนั แล๎วรํางรัฐธรรมนูญเสรจ็ พ.ศ.๒๕๓๖ รัฐธรรมนูญฉบบั น้ีไดย๎ กให๎พระพทุ ธศาสนาเป็นศาสนาประจําชาติ เปน็ ประเทศท่ี ๓ ตอํ จากศรีลังกา และภูฐาน ทพ่ี ุทธศาสนาถกู อ๎างไวใ๎ นรฐั ธรรมนูญ กัมพชู าเริ่มสถาปนาระบบกษัตรยิ อ๑ กี ครัง้ หนง่ึ ในวันที่ ๒๔ ธนั วาคม ๒๕๓๖ (๑๙๙๓) คือ พระบาทสมเด็จ พระเจา้ นโรดม สหี นุ หลังครองราชย๑ได๎ ๑๑ ปี ทรงสละราชบัลลังก๑ใหก๎ ับพระโอรส คอื เจา๎ ชายนโรดม สีหมนุ ี ตํอมา คือ พระบาทสมเด็จพระบรมนาถนโรดม สีหมนุ ี (King Narodom Sihamuni) พระองคป๑ ระสตู ิวนั ท่ี ๑๔ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๙๖ (๑๙๕๓) ขน้ึ ครองราชย๑ในวนั ท่ี ๒๙ ตลุ าคม พ.ศ.๒๕๔๗ (๒๐๐๔) พระมารดาคือ พระนางเจา๎ โมนีนาถ (โมนคิ ) ในวันท่ีครองราชสมบัติมี สมเดจ็ พระสงั ฆราชและคณะสงฆ๑ ทัง้ ๒นิกายมารํวมด๎วยพธิ ีด๎วย

๙๔ ๕ กรกฎาคม ๒๕๔๐ จากการทม่ี นี ายกรฐั มนตรรี วํ มมา ๒ คน จนเกดิ ความขดั แย๎งหลาย ครงั้ ในทีส่ ดุ ฮนุ เซนจึงยดึ อํานาจขับไลเํ จา๎ รณฤทธ์อิ อกนอกประเทศดว๎ ยขอ๎ หาสมคบกับเขมรแดง และ โกงกินคอรัปชั่น ท้งั สองฝุายสร๎ู บกันเปน็ เวลาแรมปี โดยเจา๎ รณฤทธ์ิไดต๎ ั้งฐานทีม่ ั่นทีเ่ มอื งโอลเสม็ดตรง ขา๎ มจงั หวัดสรุ ินทร๑ของไทย แลว๎ ฮนุ เชนแตํงตงั้ นายอึง ฮวด ( Ung Huot) สมาชิกพรรคฟนุ ชินเปค เปน็ นายกรฐั มนตรีคนที่ ๑ แทน แตอํ าํ นาจกลบั ไปรวมทน่ี ายฮนุ เซนหมดสน้ิ ในปจ๓ จุบนั กัมพูชามีพนื้ ที่ ๑๘๑,๐๓๗ ตารางกโิ ลเมตร แบํงการปกครองออกเปน็ ๒๔ จังหวัด ปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษตั ริย๑เปน็ ประมุขรฐั คอื พระเจา้ นโรดม สี หมนุ ี ยังไมํอภิเษกสมรส สํวนนายกรัฐมนตรีคอื สมเดจ็ อัครเสนาบดีเดโชฮุนเซน หรือนาย ฮนุ เซน็ พรรคประชาชนกมั พูชา อยูใํ นตาํ แหนํงนานที่สุดในเอเชียคือ ๒๕ ปี ประธานรฐั สภาคอื สมเด็จเจยี ซมิ พรรคประชาชนกัมพูชา มีคําขวัญประจาํ ชาติ (Motto) วาํ “ชาติ สาสนา พระมหากษัตรยิ ๑” หรือ “Nation Religion and the King” มอี ัตราความเจรญิ ทางเศรษฐกิจ ร๎อยละ ๖ ตอํ ปีมีประชากร ท้ังหมด ๑๔.๘ ลา๎ นคน ๒.๑๒.๑ สถานการณ์พทุ ธศาสนา ในด๎านศาสนา เมอ่ื เจา๎ สีหนุกลับมามอี าํ นาจในกมั พูชาอีกคร้ังได๎สงํ เสริมพุทธศาสนาหลาย อยาํ ง คือ ๑. สถาปนาพระสงั ฆราชขน้ึ มาใหม่ เจา๎ สีหนเุ ล็งวาํ นิกายธรรมยตุ ิได๎สูญหายไปจาก กมั พูชา จึงไดแ๎ ตํงตง้ั พระเถระบวั คลีเปน็ สมเด็จพระอภสิ ริ ิสคุ นั ธามหาสงั ฆราชาธบิ ดี (บวั คลี) (Somdech Preah Sugandhadhipati Bour Kry) เป็นพระสงั ฆราชฝาุ ยธรรมยุติ นบั เปน็ องค๑ที่ ๗ ใน ประวตั ศิ าสตร๑ ทํานเกิดเม่อื วนั ท่ี ๑๑ มกราคม พ.ศ.๒๔๘๘ (๑๙๔๕) ที่เมอื งพระตะบอง ตอํ มาได๎ อปุ สมบทเปน็ พระในปีพ.ศ.๒๕๐๖ (๑๙๖๓) จากนนั้ ไดศ๎ กึ ษาภาษาบาลใี นวัดใกล๎พรมแดนไทย เมื่อ เขมรแดงไดย๎ ดึ อาํ นาจแล๎ว ทาํ นจงึ ขอล้ภี ัยใน พ.ศ.๒๕๑๙ ได๎เดนิ ทางไปอาศัยอยูใํ นฝรง่ั เศส ทน่ี ัน่ ทาํ น ไดก๎ อํ ต้ังองคก๑ รชาวพุทธเขมร (Khmer Buddhist Association) ประกอบไปดว๎ ยพระสงฆแ๑ ละคฤหัสถ๑ ท่ีลี้ภัยไปยังฝรัง่ เศส ตอํ มาไดก๎ ํอตั้งวดั เขมารารามใกลก๎ รงุ ปารีสในปีพ.ศ.๒๕๒๓(๑๙๘๐) ทาํ นได๎ตัง้ หนวํ ยงานชํวยเหลอื ผอ๎ู พยพที่เดนิ ทางมาจากกัมพูชา ลาวและเวยี ดนามให๎มีที่อาศยั ในฝรัง่ เศสและใน โลกที่ ๓ ในขณะทลี่ ภ้ี ัยในฝรั่งเศสนั้น เจ๎าสหี นุได๎เหน็ ผลงานของทาํ นไดแ๎ ตํงตง้ั ให๎เป็นสมเดจ็ พระองค๑ ครูในปพี .ศ.๒๕๓๘ (๑๙๘๗) เมือ่ การเมอื งของกมั พชู าเปน็ ปกติ ทํานจงึ เดินทางกลับกมั พชู า ไดฟ๎ น้ื ฟู พทุ ธศาสนาขนานใหญํ และร้ือฟื้นสถาบันการศกึ ษานามวาํ “สถาบันพระสีหนุธรรมาธริ าช” Preah Sihanudhammadhiraj Institute) ในปพี .ศ.๒๕๓๘ (๑๙๙๕) เพือ่ ยกระดับการศึกษาของสงฆใ๑ น ตํอมาถูกขับออกจากพรรคในขอ๎ หาเปน็ หํุนเชดิ ฮนุ เซน ลงเลือกตั้งโดยตั้งพรรคใหมชํ ่ือวําราษฎร๑นยิ ม แตไํ มไํ ด๎ซกั ทนี่ ่ัง จึงลาออกไมํเลํนการเมอื งอีก

๙๕ ระดบั ปริญญาตรี สถาบนั แหํงนี้ตั้งอยํทู ่หี มูํบา๎ นจมั บกั จงั หวัดกาํ ปงสะพอื หํางจากกรุงพนมเปญไป ๔๕ กิโลเมตร จากนน้ั กอํ ต้งั “มหาวทิ ยาลัยพระสหี มนุ ีราชา ” (Preah Sihamuniraja University) ทว่ี ดั สวายเปาะแป กรงุ พนมเปญเพ่ือเปน็ ศูนยก๑ ลางการศึกษาระดับอดุ มศึกษาของฝาุ ยธรรมยตุ ิ พ.ศ.๒๕๔๖ (๒๐๐๓) ได๎รบั ปริญญาดษุ ฎีบัณฑิตกติ ตมิ ศักด์ิจากมหาวทิ ยาลยั มหามกุฎราชวิทยาลัย ฝุายธรรมยตุ ิ ของไทย ตํอมา พ.ศ.๒๕๕๒ (๒๐๐๙) ไดร๎ บั แตํงต้ังจากสมเด็จพระเจา๎ สหี นุให๎เปน็ สมเด็จพระสุคนั ธาธิ บดี พระสังฆราชฝาุ ยธรรมยุติในป๓จจุบัน ทํานจาํ พรรษาทีว่ ัดปทุมวดีราชวราราม กรงุ พนมเปญ พระสังฆราชฝุายธรรมยุตินม้ี คี วามเกยี่ วข๎องกับฝาุ ยสถาบันกษัตรยิ ม๑ าก จึงไมเํ ป็นที่ถูกใจของ ฝุายรัฐบาลเฮงสมั รนิ เทาํ ไหรํนัก ๒. ใหพ้ ทุ ธศาสนาเป็นศาสนาประจาํ ชาติ พระพุทธศาสนาได๎รบั การบรรจุในรัฐธรรมนูญ นับต้งั แตํพ.ศ.๒๕๓๖ ให๎เปน็ ศาสนาประจาํ ชาติ พ.ศ.๒๕๕๕ ในจํานวนชาวกมั พชู า ๑๔.๘ ลา๎ นคน แบํงเป็น ชาวพทุ ธ รอ๎ ยละ ๙๖.๔ นบั ถืออิสลาม เปน็ ศาสนาที่คนนบั ถอื รองลงมาโดยเฉพาะกับชาว จามอาศยั ในจงั หวัดกําปงจามมจี ํานวน ๓๐๐,๐๐๐ คน ร๎อยละ ๒.๑ นบั ถือศาสนาครสิ ต๑ ร๎อยละ ๑.๓ เปน็ ศาสนาท่สี ามมีจาํ นวนชาวคริสต๑ทั้งส้นิ ๒๐,๐๐๐ คน ๒.๑๒.๒ พระสงฆ์กบั การเมอื ง พ.ศ.๒๕๔๑(๑๙๙๘) พระสงฆใ๎ นกรุงพนมเปญได๎กํอหวอดประท๎วงด๎วยเหตุผลไมพํ อใจ หลายประเด็นคอื ๑.มกี ารโกงการเลือกต้ัง โดยมกี ารแอบนับคะแนนแบบไมชํ อบมาพากล ๒.สมเดจ็ พระสงั ฆราชเทพวงศ์ สนบั สนุนให้พระสงฆล์ งเลอื กตัง้ ใหก๎ บั พรรคประชาชนกมั พชู าของนายฮุนเซน เพราะทาํ ทขี องพระสงั ฆราชโน๎มเอียงไปทางพรรคนี้ เพราะอาศัยฮุนเชนทาํ นจึงรอดตายจากเขมรแดง จึงเปน็ ธรรมดาที่ยงั ระลกึ นกึ ถึงบุญคุณ แตพํ ระสงฆร๑ ํนุ หนมุํ สนับสนนุ พรรคฟนุ ซนิ เปค และพรรคนาย สม รงั สี ๓.ไมพ่ อใจทีม่ ชี าวเวียดนามอพยพเขา้ มาอาศัยในประเทศมาก ควรมมี าตรการผลกั ดัน ออกไป ในการประท๎วงครัง้ นพ้ี ระหนมุํ เหลาํ นไ้ี ดโ๎ ชว๑รปู พระแฮม เจียว พระสงฆ๑กมั พชู าทพี่ าชาวพทุ ธ ตอํ ตา๎ นฝร่งั เศสดว๎ ย ไมํนานจงึ ถกู รฐั บาลสํงทหารเข๎ากวาดล๎าง มพี ระสงฆ๑บาดเจบ็ ลม๎ ตายเป็นจาํ นวน มาก ตามมาด๎วยการห๎ามพระสงฆ๑ในพนมเปญออกนอกวัด สมเด็จเทพวงสจ๑ งึ ไมํไดร๎ ับการยอมรับจาก พระสงฆร๑ ุํนใหมํ ในภายหลงั พระเจ๎าสีหนุ ไดส๎ งํ สาสน๑ ใหฮ๎ นุ เซน ยกเลกิ กฎระเบียบนี้เพอื่ สามารถปฏิบตั ิ คาสนกิจได๎ การประทว๎ งของพระสงฆ๑นม้ี ีทัง้ ผู๎เหน็ ดว๎ ย และคัดคา๎ นทีเ่ หน็ ดว๎ ยมองวําพระสงฆค๑ วรมี บทบาทในสังคม เมือ่ เหน็ ความไมํยตุ ธิ รรม ไมํควรน่ิงดดู าย ควรนาํ หน๎าชาวพทุ ธปฏริ ูป ฝาุ ยคดั คา๎ นมอง วาํ พระสงฆเ๑ หลํานเี้ รมิ่ เขา๎ ใกลก๎ ารเมืองทกุ ที จนผํานเสน๎ แบํงแดนของพระสงฆไ๑ ปแล๎วอนั จะนํามาซ่งึ ความเสียหาย ใหพ๎ ุทธศาสนาโดยรวม พระมหาดาวสยาม วชริ ป๓ญโญ, ดร., พระพทุ ธศาสนาในกัมพูชา, หน๎า ๑๑๘.

๙๖ ที่ ชอื่ จังหวัด ประชากร หมายเหตุ ๑ กระแจ๏ะ Kratie ๓๑๘,๕๓๓ ๒ กัณดาล Kandal ๑,๒๖๕,๘๐๕ ๓ กมั โพช Kampot ๕๘๕,๑๑๐ ๕ กําปงจาม Kampong Cham ๑,๖๘๐,๖๙๔ ๖ กําปงชนงั Kampong Chanang ๙๗๒,๖๑๖ ๗ กําปงธม Kampong Thom ๗๐๘,๙๓๘ ๔ กาํ ปงสะพอื Kampong Speu ๗๑๖,๕๑๗ ๙ แกบ Kep ๔๒,๒๐๘ ๘ เกาะกง Koh Kong ๑๓๙,๗๒๒ ๑๐ ตาแกว๎ Takea ๘๔๓,๙๓๑ ๑๑ บันทายมชี ยั Banteay Meanchey ๖๗๘,๐๓๓ ๑๒ พนมเปญ Phnom Penh ๒,๒๓๔,๖๖๖ ๑๓ พระตะบอง Battambang ๑,๐๓๗,๕๒๓ ๑๔ พระวหิ าร Phrea Vihear ๑๗๐,๘๕๒ ๑๕ พระสีหนุ Phrea Sihanouk ๑๙๙,๙๐๒ ๑๖ โพธสิ ตั ว๑ Putsat ๓๙๗,๑๐๗ ๑๗ ไพรเวียง Prey Vieng ๙๔๗,๓๕๗ ๑๘ ไพลนิ Pilin ๗๐,๔๘๒ ๑๙ มณฑลคิรี Moldulkiri ๖๐,๘๑๑ ๒๐ รัตนครี ี Ratanakiri ๑๔๙,๙๙๗ ๒๑ สตึงเตรง Stung Treng ๑๑๑,๗๓๔ ๒๒ สวายเรยี ง Svay Rieng ๔๘๒,๗๘๕ ๒๓ เสยิ มราฐ Siem Reap ๘๙๖,๓๐๙ ๒๔ อดุ รมชี ัย Oddar Meanchty ๑๘๕,๔๑๑ สถติ ิวดั และพระสงฆ์ท่ัวประเทศกัมพชู า ในพ.ศ.๒๕๑๓ กัมพชู ามีจาํ นวนประชากรทงั้ ส้นิ ๗ ลา๎ นคนเศษ เป็น พทุ ธศาสนกิ ชนรอ๎ ย ละ ๙๐ มีอิสลามร๎อยละ ๗ ศาสนาครสิ ต๑รอ๎ ยละ ๓ และศาสนาอ่ืนๆ อกี มวี ดั ๓,๓๖๙ วัด แบงํ เป็น

๙๗ มหานกิ าย ๓,๒๓๐ วดั วดั ธรรมยตุ ิ ๑๓๙ วัด มีภกิ ษุสามเณร ๖๕,๐๖๕ รูป แบํงเปน็ มหานกิ าย ๖๒,๖๗๘ รูป เป็นธรรมยุติ ๒,๓๘๕ รูป สํวนสถติ ิ พ.ศ.๒๕๔๔ มดี งั น้ี จํานวนวัด คณะมหานิกาย คณะธรรมยุติ จังหวัด มหานกิ าย ธรรมยตุ ิ ภกิ ษุ สามเณร สรุป ภกิ ษุ สามเณร สรุป กระแจะ๏ ๙๐ ๒ ๒๖๐ ๕๖๙ ๘๒๙ ๖ ๕ ๑๑ กัณดาล ๓๔๒ ๒๐ ๑,๔๙๗ ๒,๗๓๕ ๔,๒๓๒ ๕๗ ๑๔๔ ๒๐๑ กม๎ โพช ๑๘๙ ๕ ๗๗๘ ๑,๗๖๕ ๒,๕๔๓ ๑๓ ๑๕ ๒๘ กาํ ปงจาม ๕๐๙ ๑๑ ๑,๗๓๐ ๔,๐๗๖ ๕,๘๐๖ ๘๐ ๗๒ ๑๕๒ กาํ ปงชนงั ๑๗๒ - ๖๕ ๑,๕๙๒ ๒,๒๔๖ - - - กําปงธม ๒๑๑ - ๙๐๙ ๒,๖๐๗ ๓,๕๑๖ - - กําปงสะปอี ๑๙๘ ๗ ๑,๗๐๐ ๒,๔๓๕ ๔,๑๓๕ ๒๗ ๖๐ ๘๗ แกบ ๘ - ๓๔ ๕๔ ๘๘ - - - เกาะกง ๓๖ ๑ ๒๑๐ ๑๖๘ ๓๗๘ ๒ ๒ ๔ ตาแกว๎ ๒๙๐ ๑๖ ๙๖๕ ๒,๑๔๓ ๓,๑๐๘ - - ป๓นเตียเมียนเจย ๑๘๐ ๔ ๘๕๖ ๑,๙๖๓ ๒,๘๑๙ ๔๐ ๓๑ ๗๑ พนมเปญ ๘๔ ๓ ๑,๗๓๒ ๑,๓๘๗ ๓,๑๑๙ ๕๐ ๑๗ ๖๗ พระตะบอง ๒๐๗ ๘ ๑,๓๘๕ ๒,๓๑๑ ๓,๖๙๖ ๑๘ ๓๘ ๕๖ พระวหิ าร ๓๒ - ๙๘ ๒๔๗ ๓๔๕ - - - พระสหี นุ ๒๐ - ๑๕๑ ๒๔๔ ๓๙๕ - - - โพธิสัตว๑ ๑๑๘ ๔ ๔๘๐ ๑๕๔๖ ๒,๐๒๖ ๑๐ ๗ ๑๗ ไพรเวียง ๔๒๓ ๑๔ ๑,๔๓๕ ๒,๒๓๐ ๓,๖๖๕ ๘๗ ๗๗ ๑๖๔ ไพลิน - - - - - - - - มณฑลครี ี ๕ - ๗ ๖ ๒๓ - - - รตั นคริ ี ๑๓ - ๕๗ ๑๑๐ ๑๖๗ - - - สตึงแตรง ๓๙ - ๑๔๐ ๑๘๕ ๓๒๕ - - - สวายเรียง ๒๑๒ - ๗๖๙ ๑,๒๗๑ ๒,๐๔๐ - - - เสียมราฐ ๒๐๒ ๒ ๑,๕๙๒ ๒,๐๐๔ ๓๕๙๖ ๖ ๕ ๑๑ อุดรมีชยั - -- - - - - - สรุป ๓,๕๘๘ ๙๗ ๑๗,๔๓๙ ๓๑,๖๕๘ ๔๑๗ ๕๖๗ ๙๘๔

๙๘ ตํอมาพ.ศ.๒๕๕๑ (๒๐๐๘) มีสถิตวิ ัดเพิ่มข้นึ เปน็ ๔,๓๐๗ วดั และจาํ นวนพระสงฆส๑ ามเณร เพมิ่ ขน้ึ เป็น ๕๕,๕๘๓ รูป เม่อื เปรยี บเทยี บกับพ.ศ.๒๕๑๓ ซงึ่ พทุ ธศาสนา กัมพชู าอยํูในชวํ ง เจรญิ รุงํ เรืองภายใต๎การอปุ ถัมภ๑ของเจา๎ นโรดมสีหนจุ ะเห็นวํา จํานวนพระสงฆ๑ลดลง แตํในอนาคต จาํ นวนพระสงฆอ๑ าจจะมีมากข้นึ ป๓จจยั ท่ีทาํ ให๎ผูบ๎ วชเพม่ิ หรือลดเป็นเรอ่ื งของวัดและพุทธบริษัทไมไํ ด๎มี อาํ นาจรัฐมาบังคับเหมือนเดิม ๒.๑๒.๓ การปกครองคณะสงฆ์ คณะสงฆ๑ในกมั พูชาเร่ิมตราพระราชบัญญัตใิ นวันท่ี ๒๘ กนั ยายน พ.ศ.๒๔๘๖ กอํ นทีจ่ ะ ได๎รับเอกราชจากฝรงั่ เศสจากนน้ั ไดใ๎ ชพ๎ ระราชบัญญัติฉบับนีเ้ รือ่ ยมา จนยกเลิกสมยั เขมรแดง ได๎รบั การ ฟนื้ ฟูอีกคร้ัง พ.ศ.๒๕๔๑ มานี้เอง พทุ ธศาสนาในกัมพูชาแบํงออกเปน็ ๒ นกิ ายคือ ๑.มหานิกาย เปน็ นกิ ายใหญํ ทส่ี ืบทอดมา จากลังกาและไทย มตี าํ แหนํงสมณศักด์ิเป็น สมเด็จพระมหาสเุ มธาธิบดี ป๓จจบุ ันสมเดจ็ พระมหาสุ เมธาธบิ ดี(เทพวงศ)๑ ไดส๎ ละตาํ แหนงํ พระสังฆราช สมเดจ็ พระสเุ มธาธบิ ดี (นน แงด) อายุ ๗๔ปี ประทับท่วี ดั ปทุมวดรี าชวราราม กรงุ พนมเปญ เปน็ พระสังฆราชแทน และมีพระราชาคณะ ๓๕ รปู โดย แบํงเป็นช้นั เอก ๓ รปู ชนั้ โท ๖ รูป ชน้ั ตรี ๖ รูป ชนั้ จตั วา ๒๐ รูป ช้ันรองสมเด็จพระสงั ฆราชรปู ที่ ๑ เป็นพระโพธิวงศ์ ชนั้ รองท่ี ๒ เป็น พระมงคลเทพาจารย์ ๒.ฝาุ ยธรรมยตุ ินิกาย สมเดจ็ พระมหาสธุ ัม มาธิบดี (บัวคลี) ประทบั ท่ีวดั ปทุมวดี กรงุ พนมเปญ เป็นพระสงั ฆราช มีพระราชาคณะ ๒๒ รปู แบงํ เปน็ ชัน้ เอก ๒ รปู ช้นั โท ๓ รูป ชนั้ ตรี ๔ รูป ช้ันจัตวา ๑๓ รูป มีจํานวนวดั ๑๕๑ วัด รวมทง้ั ๒ นิกายเป็น ๔,๓๙๒ วดั ทง้ั สองนกิ ายแยกการปกครองเดด็ ขาดตั้งแตํระดับบนถงึ ลาํ ง แตกตาํ งจากคณะ สงฆไ๑ ทย สังฆมนตรีแบํงออกเป็น ๔ ระดับ รวมเรยี กวําพระราชาคณะ การท่พี ระสงฆ๑รปู ใดจะไดร๎ ับ การสถาปนาเป็นพระราชาคณะตอ๎ งมพี รรษา ๒๐ ข้นึ ไป มีความประพฤตดิ ีงาม มีความรเู๎ ปน็ ทศี่ รทั ธา โดยทวั่ ไป จากนนั้ คณะสงฆน๑ ําเสนอช่ือไปยงั รัฐมนตรีกระทรวงธรรมการแลว๎ นําเสนอให๎ พระมหากษตั ริย๑ลงพระปรมาภไิ ธยแลว๎ โปรดเกลา๎ แตํงต้ัง สํวนสภาสงฆ๑จะมี ๓ ระดบั คอื ๑.สภาสูง คือ สภาของพระมหาเถระทไ่ี ดร๎ ับสมณศักดช์ิ นั้ สูง ของทงั้ สองนกิ าย ๒.สภาชนั้ ที่ ๑ คอื สภาเจา๎ คณะ จังหวัดซ่ึงได๎รับแตงํ ตง้ั จากคณะสงฆ๑ โดยแยกกันท้ังธรรมยุติและมหานกิ าย ๓.สภาชัน้ ท่ี ๒ คอื สภาเจ๎า คณะอาํ เภอทุกอาํ เภอ ในประเทศซงึ่ มีอยํรู าว ๒๕๐ อําเภอ แตํละสภาตอ๎ งมปี ระธาน ๑ รปู เลขานุการ ๑ รปู รองเลขานุการ ๑ รูป พระธรรมปิฎก (ปยตุ ปยตุ โต), พระพทุ ธศาสนาในเอเชีย, หนา๎ ๓๓.

๙๙ ๒.๑๒.๔ ด้านการศกึ ษา คณะสงฆ๑กัมพซู ามกี ารศึกษาทางพทุ ธศาสนาเป็น ๔ ระดับคือ ๑.พุทธิกประถม ศึกษาให๎ ศกึ ษาระดับประถมศกึ ษาชั้นป.๑-๖ ๒.พทุ ธิกมัธยมศึกษาปฐมภมู ิ จดั การศกึ ษาระดบั มัธยมศึกษา ตอนต๎น ๓.พุทธิกมัธยมศกึ ษาทตุ ิยภมู ิ จัดการศกึ ษาระดบั มัธยมศึกษาตอนปลาย ๔.อดุ มศึกษา จัด การศกึ ษาระดบั มหาวิทยาลัยคือระดับปรญิ ญาตรี โท และ เอก ในพรบ.ดา๎ นการศกึ ษาได๎มอบหมาย พระเถระเหลํานีร้ ับผิดชอบ คือ ที่ ชอ่ื สมณศักด์ิ ช่ือจรงิ ตําแหนํง ๑ สมเด็จพระมหาสเมธาธิบดี นน แหงด ประธาน ๒ สมเดจ็ พระธรรมลิขิต ลอส ลาย รองประธาน ๓ สมเดจ็ พระอดุ มมุนี เฮง เลียงโฮ รองประธาน ๔ สมเดจ็ พระวนั รตั น๑ นอย จรึก รองประธาน ๕ สมเด็จพระโพธวิ งศ๑ อมั ลิมเฮง รองประธาน ๖ สมเด็จพระอุดมวงศา มํวง รา รองประธาน ๗ พระโฆสธรรม เสาร๑ จนั ทร๑ธรู รองประธานและเลขานกุ าร ๘ พระสัทธรรมโกศล เจีย สาํ อาง รองประธาน จากสถิติ พ.ศ.๒๕๕๑ มีโรงเรียนแผนกพระธรรมวินัย (นกั ธรรมตรี โท เอก มีจาํ นวน ๗๒๖ โรงเรยี นสมณศกึ ษามจี ํานวน ๑๓,๖๑๒รปู โรงเรยี นพุทธิกประถมศกึ ษา มจี ํานวน ๕๔๙ โรงเรยี น สมณศกึ ษาท่เี รยี นอยูํมี ๑๒,๑๗๔ รูป พุทธกิ อนุวิทยาลยั (ม.๑-๓) มจี ํานวน ๒๖โรง สมณศกึ ษา ๔,๐๓๗ รูป พทุ ธิกวิทยาลัย (ม.๔-๖)๑๑โรง มีสมณศกึ ษา ๑,๘๙๓ รูป ระดับอดุ มศกึ ษา ๒ แหํงคอื พทุ ธิกสากลวิทยาลัยพระสีหนรุ าช และพุทธิสากลพระสีหมุนี ๖๐๕ รปู สํวนวัดทัว่ ราชอาณาจักร ๔,๒๓๗ วดั มพี ระภิกษุ-สามเณร ๕๗,๓๕๐ รูป ก.ระดบั มัธยมศึกษา พ.ศ.๒๕๐๕ สมเดจ็ พระสหี นรุ าชไดส๎ ร๎างโรงเรียนสงฆ๑เรยี กวาํ โรงเรียนพทุ ธกิ ศกึ ษาตั้งแตํ ระดบั มัธยมศึกษาตอนต๎นและตอนปลาย โรงเรียนนี้ตงั้ อยทํู ่วี ัดมหามนตรี ใหน๎ ามวาํ วทิ ยาลยั พระสุรา มฤต ในกรุงพนมเปญ ตามนามของพระบิดาของพระองค๑ ป๓จจบุ นั ขยายตวั ออกไปหลายจงั หวดั มี จาํ นวนโรงเรียนทง้ั สน้ิ ๑๒ แหงํ มีนักเรียน ๓,๔๐๐ รปู /คน พ.ศ.๒๕๓๒ (๑๙๘๙) โรงเรียนมัธยมสงฆ๑ ไดร๎ บั การฟน้ื ฟอู ีกครัง้ หลังถกู ทาํ ลายยบั เยนิ ในสมัยเขมรแดง เปน็ ฐานผลิตบุคลากรใหม๎ หาวทิ ยาลยั สงฆ๑ตอํ มา พ.ศ.๒๕๕๑ มีจาํ นวนโรงเรยี นมัธยมทางพุทธศาสนา ๑๒ แหํง สถติ ิโรงเรียนแผนกพระธรรมวินยั (นักธรรมตรี โท เอก พ.ศ. ๒๕๔๗ (๒๐๐๔)

๑๐๐ ข.ระดับอดุ มศกึ ษา ไดก๎ อํ ตงั้ ขน้ึ ในวันท่ี ๑ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๙๗ (๑๙๕๔) โดยสมเด็จพระเจา๎ นโรดม สหี นุ โดยใช๎พระนามของพระองค๑ทํานมาเรียกช่อื มหาวทิ ยาลัย เหมือนกบั มหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราช วิทยาลัย ซ่ึงพระราชทานนามจากในหลวงรชั กาลท่ี ๕ ชอ่ื วําพทุ ธิกสากลวทิ ยาลยั พระสีหนรุ าช Preah Sihanouk Raja Buddhist) โดยมุงํ หวังใหพ๎ ระสงฆ๑ใด๎ร๎บการศกึ ษาที่สูงขึน้ จนถึงระดบั มหาวิทยาลยั เพ่อื นําเอาความรท๎ู างพทุ ธศาสนาไปเผยแผพํ ุทธศาสนกิ ชน โดยมพี ระโพธวิ งศ๑ (ฮวด ตาท) เป็น อธิการบดรี ปู แรก มีนกั ศึกษาชดุ แรก ๔๐ รปู มหาวทิ ยาลัยตกตาํ่ สดุ ขีดในสมยั แขมรแดง ตกึ ถูกทุบ หนังสอื ทางพุทธศาสนาถูกเผาทาํ ลาย ไมมํ ีนกั ศึกษาเหลอื อยํู จนถงึ ปพี .ศ.๒๕๔๐ (๑๙๙๗) จงึ ไดเ๎ ริ่ม ฟนื้ ฟอู ีกครงั้ โดยเปดิ คณะพุทธศาสตร๑เป็นคณะแรก มีนกั ศกึ ษาจบรํนุ แรก ๕๐ รูป พ.ศ.๒๕๔๙ (๒๐๐๖) รัฐบาลกมั พชู าไดต๎ ราพระราชบัญญตั มิ หาวิทยาลยั มผี ลทาํ ใหเ๎ ป็นมหาวทิ ยาลัยรฐั บาล สมบูรณ๑แบบ ในเบ้ืองตน๎ เปดิ สอนในระดับปริญญาตรี ๕ คณะ คอื ๑.คณะศาสนาและปรชั ญา (Faculty of Phylosophy and Religions) ๒.คณะศกึ ษาศาสตร์ วิทยาศาสตร์ประชาสัมพันธ์ทาง คา้ นเทคโนโลยี (Faculty of Education Science and Infor-mation Technology) ๓.คณะ วรรณคดีเขมร (Faculty of Khmer Literature) ๔.คณะบาลี สนั สกฤตและภาษาตา่ งประเทศ (Faculty of Pali Sanskrit and Foreign Technology) ๕.ศนู ย์ฝึกอบรมครู (Center of Teacher Training) มสี ถานะเทยี บเทาํ คณะ ต้งั แตํกํอตง้ั จนถงึ พ.ศ.๒๕๑๘ มผี ูจ๎ บการศึกษาแล๎ว ๑๗๖ รปู ปีพ.ศ. ๒๕๔๒ (๑๙๙๙) มผี จ๎ู บปริญญาตรรี ุํนแรก ๕๐ รปู วันท่ี ๒๓ มกราคม พ.ศ.๒๕๔๙ (๒๐๐๖) รฐั บาล พระราชอาณาจักรกมั พูชายกสถานะเปน็ มหาวทิ ยาลยั ของรัฐอยํางสมบูรณ๑ มพี รบ.ทช่ี ัดเจน มสี มเด็จ พระสงั ฆราช (นน แหงด) เป็นทปี่ รึกษาอธิการบดี มี สมเด็จพระโพธิวงศ์ (อัม ลมิ เฮง) เปน็ อธิการบดี และศาสตราจารย๑ ดร.พระเทพสตั ถา (ชรี ) สุวัณณรตั นะ เปน็ รองอธิการบดี มหาวิทยาลยั ไดข๎ ยายการศึกษาออกสชํู นบทโดยจดั ตั้งวทิ ยาเขตออกเปน็ ๓ วิทยาเขตกํา ปงชนังคอื ๑.วิทยาเขตพระตะบอง ๒.วิทยาเขตกัมปงจาม ๓.วิทยาเขตกําปงชนงั พ.ศ.๒๕๕๕ มี นักศึกษาทั้งหมด ๑,๕๑๒ รูป/คน มหาวิทยาลัยอีกแหงํ หนึง่ คือ พทุ ธกิ สากลวทิ ยาลยั พระสหี มุนรี าชา ( Preah Sihamoniraja Buddhist University) เปน็ มหาวทิ ยาลัยทตี ้ังตามนามชองสมเด็จพระเจา๎ นโรดม สีหมุนี พระมหากษัตริยอ๑ งคป๑ จ๓ จบุ นั ตั้งทว่ี ดั สวายเปาะแป กรงุ พนมเปญ โดยความพยายามของสมเดจ็ พระสังฆราชบวั คลี ฝาุ ยธรรมยุติ ในพ.ศ.๒๕๔๗ ในวนั เปดิ มหาวทิ ยาลยั พระเจา๎ สีหมุนีได๎เสด็จมาเปิด อยํางเป็นทางการ การดาํ เนนิ งานเปน็ ไปดว๎ ยดี จนถึงพ.ศ.๒๕๕๐ จงึ มีพรบ.อยาํ งสมบูรณ๑ มสี ถานะ พระมหาดาวสยาม วชิรป๓ญโญ, ดร., พระพุทธศาสนาในกัมพูชา, หนา๎ ๑๒๔.

๑๐๑ เป็นมหาวทิ ยาลัยในกํากับของรัฐบาล ขณะนี้เปดิ แล๎ว ๔ คณะ คอื ๑.คณะปรัชญา ศาสนา และ นติ ศิ าสตร๑ ๒.คณะบาลี สนั สกฤต และภาษาตาํ งประเทศ ๓.คณะอกั ษรศาสตร๑เขมร ๔.คณะสารสนเทศ ๒.๑๒.๕ ด้านการเผยแผ่ คณะสงฆ๑และพุทธศาสนิกชนชาวกมั พชู ามีสิทธเิ์ สรภี าพอยาํ งเตม็ ทท่ี ี่จะนับถอื พุทธศาสนา เพราะไดร๎ บั การค๎ุมครองจากรฐั ธรรมนญู อีกทง้ั เปน็ ศาสนาประจําชาติซึ่งมีสถานะดีกวาํ เมืองไทย แตสํ ิง ทก่ี มั พูชาขาดแคลนคอื บคุ ลากรทางศาสนาทจี่ ะเผยแผํ คอื พระสงฆ๑ ที่มีความรูด๎ ี ความประพฤติดี การ เผยแผํพทุ ธศาสนาเปน็ งานทส่ี าํ คญั ทส่ี ุดของพุทธศาสนา เพราะจะเป็นการสบื ตํออายพุ ทุ ธศาสนาให๎ เจรญิ รํงุ เรืองตอํ ไปได๎ เพราะคนรนํุ เกําท่ีศรัทธาในพระรตั นตรัยไดท๎ ยอยล๎มหายตายจาก แตคํ นรนํุ ใหมํ ได๎รับการศกึ ษาทางพทุ ธศาสนาน๎อย อีกทง้ั ถกู สง่ั สอนในยคุ เขมรแดง และยคุ เฮงสัมรนิ ตอนตน๎ ๆ วํา พทุ ธศาสนาเป็นยาเสพติด เปน็ สงิ ท่ีงมงาย อกี ท้ังยคุ สมยั ใหมํท่ีมีวตั ถุนิยมกาํ ลงั ไหลบาํ เข๎า ทงั้ อบายมุข รมุ ลอ๎ ม สภาพเหลํานเ้ี ปน็ อุปสรรคสําคัญในการนําคนให๎เข๎าถึงธรรม การเผยแผํแบํง ลกั ษณะเปน็ ดังนี้ ๑.ดา้ นส่งิ พมิ พ์ การเผยแผํพทุ ธศาสนาในรปู แบบหนึง่ คือ การจัดทาํ นติ ยสาร ในกัมพชู ามนี ิตยสารทางพุทธ ศาสนาอยํหู ลายฉบบั ป๓จจบุ ันการจดั พิมพ๑หนังสอี ทางพุทธศาสนา สํวนใหญํจะพมิ พใ๑ นนามของสถาบัน พทุ ธศาสนบณั ฑติ หรือราชบัณฑติ ยสถานในเมืองไทย แตํยังมีวดั องค๑กร และพระสงฆห๑ ลายรปู ได๎ ชวํ ยกันพมิ พห๑ นงั สีอทางพุทธศาสนาออกมามาก ทั้งท่แี จกจาํ ยและทจี่ ําหนํายตามท๎องตลาด ๒.ดัานเทศน์ บรรยาย อบรม ในปจ๓ จุบันพระสงฆม๑ เี สรีภาพทจ่ี ะแสดงธรรมในสถานที่ตํางๆได๎อยาํ งเสรี ในทุกๆปจี ะมีการ อบรมทีว่ ดั เจ๎าคณะจงั หวดั เพื่อฝกึ ฝนพระภิกษุสามเณรให๎สามารถบรรยายธรรมให๎กบั ญาตโิ ยมได๎ พระสงฆห๑ ลายรูปได๎ไปสอนนกั โทษในเรอื นจาํ ใหม๎ ีความประพฤตดิ ี แกไั ขปรับปรุงตวั เองได๎ นอกนน้ั ยัง มีโครงการบรรพชาสามเณรภาคฤดรู ๎อน โดยนําเด็กผู๎ชายมาบวชเปน็ สามเณร สํวนเด็กผูห๎ ญิงใหบ๎ วช ศีลจารณิ ี นงํุ ขาวหมํ ขาว และ อบรมนักเรยี นตามโรงเรยี นตํางๆ เปน็ ตน๎ ๓. ด้านบรรยายทางวทิ ยุ การบรรยายทางส่อื วิทยุในกัมพูชา พระสงฆเ๑ องไดโ๎ อกาสนไ้ี มํนอ๎ ยตามสถานีวทิ ยุแหงํ ชาติ แตยํ งั ไมมํ ีวิทยพุ ระพทุ ธศาสนาแหงํ ชาติเหมือนในเมืองไทย แตแํ นวโนม๎ ในอนาคตกําลงั ทยอยกอํ ต้งั ๔. ด้านบรรยายทางโทรทศั น์ โทรทัศนถ๑ ือเปน็ สอ่ื ทส่ี าํ คัญท่เี ข๎าถึงประชาชนมากทีส่ ดุ รองจากวิทยกุ มั พูชามีสือ่ สถานโี ทรทศั น๑ ๖ ชํองและเอกชนอกี จํานวนหนึง่ ในยคุ เฮงสัมรินตอนตน๎ พระสงฆ๑ไมํอนญุ าตให๎ออก โทรทัศน๑ แตํปจ๓ จุบันไดร๎ ับการนมิ นต๑ให๎ไปเทศนท๑ างโทรทศั น๑หลายรูป เชนํ ทางชํอง CTN แผนํ พบั ประชาสมั พนั ธ๑มหาวิทยาลัย, ๒๕๕๔.

๑๐๒ (Cambodian Television Network) และชอํ งสถานีแหํงชาตหิ ลายชํอง แตคํ ณะสงฆ๑ยังไมํมี สถานีโทรทัศน๑ทางพทุ ธศาสนาเหมือนไตห๎ วนั หรอื ไทย แตํในอนาคต คงจะเกดิ ขนึ้ ในไมํชา๎ ๕. ด้านส่อื อินเตอร์เนต คณะสงฆแ๑ ละชาวพทุ ธกมั พูชาเร่มิ ปรับตวั เข๎ากบั สงั คมส่อื สารสนเทศสมยั ใหมํ ปจ๓ จบุ นั มเี วปไซด๑มากกวาํ ๒๐๐ เวปท่ีนําเสนอขอ๎ มลู ทางพทุ ธศาสนา ทง้ั ท่ีเป็นภาษากัมพูชา ฝร่ังเศส และ อังกฤษ เวปเหลาํ นีเ้ สนอท้ังภาพ ขอ๎ มูลและเสยี ง จึงเป็นอีกวิธหี นึ่งทีป่ ระชาสัมพันธค๑ ณะสงฆแ๑ ละพทุ ธ ศาสนาในกัมพชู าได๎ ๒.๑๒.๖ สมณศักดิ์ปจั จุบัน สมณศกั ด์ิคือตําแหนํงทางการคณะสงฆจ๑ ุดมํงุ หมายในการแตํงตงั้ สมณศกั ดิ์ เพ่อื ยกยํอง พระสงฆท๑ ี่ทาํ หนา๎ ที่สงํ เสริมและเผยแผํพุทธศาสนาด๎วยความเสยี สละให๎มีบทบาทในการปกครอง แตํ สมณศักดิเ์ ปน็ เหมือนดาบ ๒ คม เพราะถา๎ พระสงฆ๑ไมยํ ดึ ติดกบั ตาํ แหนงํ ไมโํ ลภในตาํ แหนงํ จะเปน็ ประโยชน๑ตอํ พระศาสนา แตใํ นขณะเดยี วกนั ถ๎าสงฆ๑มีความโลภในสกั การะแสวงหาผลประโยชน๑จาก ตาํ แหนํงเหมือนฆราวาสจะเปน็ ผลเสียหายตํอพุทธศาสนามาก ยอํ มพยายามหาทางที่จะหาลาภ สกั การะด๎วยวิธีการตํางๆท้ังทถ่ี ูกต๎องและไมํถกู ตอ๎ งได๎ ในกัมพูชาตาํ แหนํงสมณศักดเ์ิ ร่มิ มมี าตงั้ แตํสมัย ยุคพระนครจนถงึ ป๓จจบุ นั ตําแหนํง สมณศกั ด้ิกัมพชู าป๓จจบุ ันมีดังนี้ ตําแหนง่ สมณศักดิ์กัมพูชา ผ้นู ําสงฆ์ ๑. สมเดจ็ พระมหาสเุ มธาธิบดี (นน แหงด) วัดอณุ ณาโลม กรงุ พนมเปญ ๒. สมเด็จพระพรหมลขิ ิต (ลอส ลาย) ๓. สมเด็จพระอุดมมุนี (เฮง เลียงโฮ) ๕. สมเด็จพระวนั รตั (นอย จรึก) ๕. สมเดจ็ พระโพธวิ งศ๑ (อ๎มุ ลิมเฮง) ๖. สมเด็จพระอุดมวงศา (ม๎วง รา) ๗. พระโฆสธรรม (เสาร๑ จนั ทร๑ธูร) ๘. พระสทั ธรรมโกศล (เจีย สําอาง) นอกนนั้ เปน็ สมณศกั ดชิ์ ัน้ พระครสู ัญญาบัตรลงมาจนถึงเจา๎ อาวาส พระมหาดาวสยาม วชริ ป๓ญโญ, ดร., พระพทุ ธศาสนาในกมั พชู า, หน๎า ๑๒๗.

๑๐๓ รายนามพระสงั มราชฝาุ ยมหานกิ าย ที่ ชือ่ ปีทเ่ี กิด วัดทีจ่ าํ พรรษา ๑ พระสังฆราชเตียน (Dien) ๒๓๖๖ ๒๔๕๖ ๒ พระสงั ฆราชฮวดตาท (Hout Tat) ๒๕๑๒ ๒๕๑๘ วัดอุณณาโลม พนมเปญ ๓ พระสงั ฆราชโฆษนนั ทะ (Ghosananda) ๒๕๓๑ ๒๕๕๐ ๔ พระสงั ฆราชเทพวงศ๑ (Tep Vong) ๒๕๒๔ ๒๕๙๙ วัดอุณณาโลม ๕ พระสงั ฆราช นน แหงด (Non Nget) ๒๕๔๙ ป๓จจบุ ัน วัดอุณณาโลม รายนามพระสังฆราชฝาุ ยธรรมยุติ ที่ ช่ือ รับตําแหนํง วันทม่ี รณภาพ ๑ พระสังฆราชสคุ นธปาน (Saugkonn Pan) ๒๓๙๘ ๒๔๓๗ ๒ พระสังฆราชจวน นาถ (Choun Nath) ๒๔๙๑ ๒๕๑๒ ๓ พุนเต๏ซ (Phul Tes) ๒๕๑๒ ๒๕๑๓ ๔ เทพเรือง (Tep Roeung) ๒๕๑๓ ๒๕๑๘๘๗ ๕ บัวคลี (Bour Kry) ๒๕๓๔ ปจ๓ จบุ นั วดั ปทุมวดี พนมเปญ ๒.๑๒.๗ วดั สาํ คญั ในกัมพูชา กรงุ พนมเปญ นครหลวงของกมั พชู ากอํ ต้งั ในปพี .ศ .๒๔๐๒ ในสมยั สมเดจ็ พระเจา๎ นโรดม เทวาตารพระองคศ๑ รทั ธาในพระพทุ ธศาสนามาก เมื่อสรา๎ งพระราชวังแลว๎ สิ่งท่ีทําตอํ มาคอื การ สถาปนาวดั ทางพทุ ธศาสนาขน้ึ ในนครหลวงหลายวัด นับตั้งแตสํ ร๎างวดั พระแกว๎ ไวใ๎ นพระราชวงั เพราะนําแบบแปลนจากพระบรมมหาราชวงั กรุงเทพฯไปสรา๎ งไว๎ ดว๎ ยเหตุทพี่ ระองค๑ได๎มาประทบั ท่ี พระบรมมหาราชวังในกรุงเทพฯ เป็นเวลานาน วัดที่ทรง สรา๎ งในกรุงพนมเปญรวมท้งั หมด ๔๐ กวาํ วดั แตํโชครา๎ ยในสมัยเขมรแดงไดถ๎ ูกทาํ ลายไปหลายวดั เชํน วดั ลังกา ครนั้ เขมรแดงลม๎ สลายลง ชาวบ๎าน อพยพเขา๎ กรงุ พนมเปญ ไดเ๎ ข๎ามายดึ ครองวัดหลายแหงํ เชนํ วดั มณรี ัตนาราม และวัดประยูรวงศ๑ เปน็ ตน๎ ในวดั เต็มไปด๎วยบา๎ นเรอื นผูค๎ น ไมเํ วน๎ แมก๎ ระทง้ั รอบโบสถ๑ พระสงฆอ๑ าศยั ได๎แคํภายในพระอโุ บสถ วัดท่สี ําคญั คือ

ที่ วัด ๑๐๔ ที่ต้ัง ปที ่ีสรา๎ ง เจ๎าอาวาส หมายเหตุ ๑ วัดอณุ ณาโลม ริมฝ๓่งแมํนา้ํ พนมเปญ ๒๔๕๘ ๒ วดั ปทมุ วดี พนมเปญ ๒๓๖๕ ๓ วัดลงั กากุสุมาราม ใกลอ๎ นุสาวรยี เ๑ อกราช พนมเปญ ๒๔๖๕ พระเสาร๑ จันทรธ๑ รู ๔ วัดพนม พนมเปญ ๒๔๕๘ ๕ วดั เกาะ ถนนมณีวงศ๎ พนมเปญ ๒๐๐๐ ๖ วัดสําเภามาส ใกล๎สนามกฬี าโอลมิ ปิก พนมเปญ ๗ วดั สามัคครี ังสี หมบูํ ๎านเตรีย ชานกรงุ พนมเปญ พระวชิ ชรตั น ปญ๓ ญา ยวง สิน ๘ วัดสุวรรณมนุ ีสาคร อําเภอรสุ สีแก๎ว ชานกรงุ พนมเปญ ๙ วัดมหามนตรี ใกลส๎ นามกฬี าโอลมิ ปิค ๒๔๗๖ สถติ วิ ัดและพระสงฆท์ ัว่ ประเทศกมั พูชาในปจั จบุ นั (สํารวจพ.ศ. ๒๕๕๐) จงั หวดั วัด (ม) ภิกษุ (ม) รร.ปริยัติ นักเรยี น วัด (ธ) ภกิ ษุ(ธ) ร.ร.ปริยตั ิ พระทกุ นกิ าย กระแจะ ๑๑๐ ๑,๐๓๐ ๒ ๓๐ ๓ ๒๐ ๑๑๓ ๑,๑๕๐ ๓๗๘ ๖,๒๗๖ กัณดาล ๓๕๔ ๕,๙๗๐ ๘๑ ๒,๓๒๑ ๒๔ ๓๐๖ ๒๑๒ ๒,๒๗๑ ๕๕๐ ๗,๗๐๗ กัมโพช ๒๐๕ ๒,๒๑๖ ๓๓ ๒๑๓ ๗ ๕๕ ๒๐๔ ๒,๐๘๘ ๒๑๓ ๓,๑๙๒ กําปงจาม ๕๓๕ ๗,๕๖๓ ๒๗ ๕๘๕ ๑๕ ๑๔๔ ๒๔๘ ๓,๖๕๘ ๑๑ ๑๓๒ กําปงซนัง ๒๐๓ ๒,๐๗๕ ๔๔ ๗๙๑ ๑ ๑๓ ๕๓ ๕๓๖ ๓๑๙ ๓,๒๘๒ กาํ ปงธม ๒๑๒ ๓,๑๘๗ ๗๘ ๑,๑๔๒ ๑ ๕ ๒๐๐ ๓,๕๖๖ ๘๖ ๔,๘๒๑ กําปงสะปือ ๒๓๗ ๓,๕๕๓ ๔๙ ๘๑๑ ๑๑ ๑๐๕ ๒๘๕ ๔,๘๙๖ แกบ ๑๑ ๑๓๒ ๒ ๔๕ - - เกาะกง ๔๙ ๕๐๙ ๓ ๒๑๓ ๔ ๒๗ ตาแก๎ว ๓๐๓ ๓,๑๗๗ ๓๐ ๖๑๑ ๑๖ ๑๐๕ ป๓นเตียเมียนเจย ๑๙๖ ๓,๔๘๑ ๑๒๔ ๑,๒๕๙ ๔ ๘๕ พนมเปญ ๘๔ ๔,๖๗๘ ๑๒ ๓๖๖ ๒ ๑๔๓ พระตะบอง ๒๗๕ ๔,๗๙๘ ๗๒ ๑,๓๔๔ ๑๐ ๙๘ กระทรวงธรรมการ , กรมเอกสารพระ พุทธศาสนา (ภาษาเขมร) พนมเปญ : เอกสารฉบับเลํม, ๒๐๐๖, หนา๎ ๖๙.

๑๐๕ พระวหิ าร ๕๘ ๓๗๔ ๔ ๑๓๘ - - ๕๘ ๓๗๔ ๕๓๖ พระสีหนุ ๒๗ ๕๒๗ ๑๒ ๑๒๖ ๒ ๙ ๒๙ ๑,๗๗๐ ๔,๔๓๕ โพธสิ ตั ว๑ ๑๓๒ ๑,๗๒๔ ๒๓ ๓๗๙ ๕ ๔๖ ๑๓๗ ๒๑๔ ๕๐ ไพรเวง ๔๗๕ ๔,๓๕๕ ๖๔ ๑,๔๒๘ ๑๖ ๘๐ ๔๗๕ ๑๖๑ ๓๒๙ ไพลิน ๑๖ ๒๐๘ ๓ ๕๗ ๒ ๖ ๑๘ ๑,๙๕๖ ๓,๘๗๕ มณฑลคีรี ๘ ๕๐ ๑ ๒๔ - - ๘ ๓๓๑ ๕๗,๖๐๖ รัตนคีรี ๑๘ ๑๖๑ ๕๐ - - ๑๘ สตงึ เตรง ๔๗ ๓๒๙ ๖ ๑๙๓ - - ๔๗ สวายเรยี ง ๒๒๘ ๑,๙๕๖ ๔๒ ๘๕๐ - - ๒๒๘ เสียมราฐ ๒๐๐ ๓,๘๒๑ ๑๐๖ ๑,๒๔๕ ๕ ๕๔ ๒๐ อดุ ดาร๑ เมยี นเจย ๓๙ ๓๒๐ ๓ ๒๖๙ ๑ ๑๒ ๔๐ สรปุ ๔,๐๒๒ ๕๖,๙๔ ๘๒๓ ๑๔,๔๙๐ ๑๒๙ ๑,๓๑๓ ๔,๑๓๕ ๒.๑๒.๘ พระสงฆ์กัมพูชากบั การศกึ ษาในไทย ตามที่กลําวข๎างตน๎ วํา พระพุทธศาสนาในไทยและกมั พูชามีความคล๎ายคลึงกันอยาํ งมาก จึงปรากฏวํามีชาวกัมพชู ามาศึกษาเปน็ จํานวนมาก แตใํ นท่นี ี้จะกลาํ วเฉพาะพระสงฆ๑สามเณรชาว กัมพูชา พระสงฆ๑ซาวกมั พูชาชุดแรกทีเ่ ข๎ามาศึกษาคอื พระสังฆราช (เท่ยี ง) ชาวกัมพูชาเข๎ามาศึกษาใน กรงุ เทพฯสมัยรชั กาลท่ี ๔ จนสบื เนื่องตอํ มาอีกทั้งคณะสงฆธ๑ รรมยตุ ไิ ดร๎ บั ไปจากไทย สาเหตุทเ่ี ข๎ามา ศึกษามากอาจจะมสี าเหตุดังน้ี ๑. เพราะมพี รมแดนตดิ กนั การทีม่ พี รมแดนตดิ กันทาํ ใหส๎ ะดวกในการเดินทาง จะ เดินทางมาด๎วยเทา๎ ดว๎ ยรถ หรอื เคร่ืองบินสามารถทาํ ได๎ ๒. เพราะมภี าษาวฒั นธรรมทใี่ กล้เคียงกนั แมภ๎ าษากัมพูชาและไทยจะฟ๓งอาจจะไมเํ ขา๎ ใจ แตํทั้งสองภาษาลว๎ นยืมภาษาบาลสี นั สกฤตจากอนิ เดยี มาใชเ๎ หมอื นกัน อีกทัง้ คาํ ราชาศัพท๑ และศัพท๑ สามญั ในภาษาไทยไดย๎ ืมมาจากภาษาเขมรเปน็ จํานวนมาก ทาํ ให๎ไมํแตกตาํ งกนั มาก ๓. เพราะไทยมพี ุทธศาสนาทมี่ ่นั คงกว่า พทุ ธศาสนาในกมั พูชาเจริญรํุงเรอื ง มากในหลาย ยคุ สมยั แตตํ อํ มาถกู เขมรแดงทาํ ลาย อยาํ งยอํ ยยบั จึงต๎องฟน้ื ฟใู หมํ ประเทศทีค่ วรจะเข๎ามาศกึ ษาจงึ เปน็ ประเทศไทย เพราะพทุ ธศาสนาท่ีม่ันคงกวํากัมพูชา พระสงฆ๑เหลาํ นไ้ี ปศกึ ษาหลายสถานท่ี ท้งั มหาวทิ ยาลัยสงฆ๑สํวนกลาง และสํวนวทิ ยาเขต หรือหอ๎ งเรียน โดยมีครอู าจารย๑ เพ่ือนฝงู ชักนํากจ็ ะไปศกึ ษาท่ีนั่น ครั้นจบการศกึ ษาจากไทยไปแลว๎ ถา๎ ยังครองเพศสมณะอยูจํ ะมีสถานะภาพที่ไดร๎ บั การยกยํองในคณะสงฆ๑ มตี ําแหนงํ หนา๎ ทส่ี ูง เป็น

๑๐๖ นกั ปราชญข๑ องประเทศ ถ๎าลาสกิ ขาไปจะมงี านรองรบั ทีไ่ มนํ ๎อยหนา๎ ฆราวาส พระสงฆก๑ มั พูชาที่เข๎ามา อาศัยในเมอื งไทยได๎นําเอารูปแบบการเผยแผํของไทย ไปฟ้ืนฟูในกัมพชู าดว๎ ย เชนํ การจดั บวชสามเณร ภาคฤดูรอ๎ น การบวชชพี ราหมณ๑ การบวชต๎นไม๎ การจดั คํายหํางไกลจากยาเสพตดิ เปน็ ต๎น สถติ ิพระภิกษุ-สามเณรกัมพชู าที่ศึกษาในไทย พ.ศ.๒๕๕๕ สถานท่ี จาํ นวน ประธานชมรม ม. มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย (วงั น๎อย อยุธยา) ๘๐ พระวนั สงฆฺ ธมฺโม(สวฆทะ) ม. มหาจฬาลงกรณราชวิทยาลัย วทิ ยาเขตนครราชสิมา ๖๕ พระตอลโต ม. มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย วิทยาเขตขอนแกํน ๔๐ พระจํานาน ยอน ม. มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย วิทยาเขตเชยี งใหมํ ๒๗ พระเวต สกุล ม. มหาจฬุ าลงกรณราซวทิ ยาลัย วทิ ยาเขตอบุ ลราชธานี ๑๕ พระวิชัย ม. มหามกฎุ ราชวิทยาลยั (สวํ นกลาง) ๑๓ - ม. มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตสุรนิ ทร๑ ๙- ม. มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาลยั สงฆ๑บรุ ีรัมย๑ ๕- ม. มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั วิทยาเขตบาลพี ทุ ธโฆส ๕- มหาวทิ ยาลยั อน่ื ๆ ๑๐ - ๒๖๙ รวม (รปู ) ป๓ญหาทพี่ บเมือ่ เขา๎ มาศกึ ษาในไทยคือ ๑.หาวดั จาํ พรรษายาก เพราะไมมํ ีผร๎ู บ๎ รอง ๒.ไมํมี งบศึกษาเลําเรียน เพราะขาดการอุปถมั ภ๑ กรณีที่เดินทางมาเอง ๓.มปี ญ๓ หาในการขอตอํ วซี ํา เพราะ ไมไํ ดใ๎ บรบั รองจากคณะสงฆ๑ จึงมาในฐานะนักทอํ งเทย่ี วทไ่ี ด๎วีซาํ เข๎าไทยเพยี ง ๑ เดอื นจึงตอ๎ งเดินทาง ไปประทบั ตราทุกเดือน ๔.พระสงฆ๑บางรูปมีอาจาระ (ความประพฤต)ิ ไมํงาม หรอื ยํุงเกยี่ วกบั การคา๎ ยา เสพตดิ แตมํ ีจํานวนนอ๎ ยมาก แตโํ ดยสรปุ พระสงฆก๑ มั พูชาเหลาํ นีเ้ มอ่ื จบไปแล๎ว ถา๎ ไมลํ าสิกขาไปเป็น คฤหสั ถ๑ ลว๎ นแลว๎ แตมํ ีบทบาทในคณะสงฆก๑ ัมพชู า เปน็ กําลังหลกั ของพทุ ธศาสนาโดยรวม ๒.๑๒.๙ วัดเขมรในตา่ งแดน (Cambodian temple in abroad) พระพทุ ธศาสนาในกัมพชู าเริ่มเผยแผํออกสํตู ํางประเทศดว๎ ยเหตุปจ๓ จยั ทแี่ ตกตาํ งกนั เชนํ มีชาวกัมพูชาเคยอาศยั ในประเทศนั้นๆ เชํนชาวเขมรกรอมในเวยี ดนาม ชาวเขมรเช้ือสายไทย เปน็ ตน๎ เป็นที่แนํนอนวําเม่อื คนเหลาํ น้ีต้ังรกรากอยํูท่ีไหน ยํอมแสดงออกถึงความเป็นชาติ ศาสนาและสถาบัน กษัตริยต๑ ิดตามไปทุกหนแหํง กลาํ วโดยเฉพาะพุทธศาสนา ชาวกมั พชู านบั ถือพุทธศาสนาเถรวาทอยําง แนํนแฟนู มาชา๎ นาน เมื่ออพยพไปอยํูท่ีไหนจงึ นิยมสรา๎ งศาสนสถานเพ่ีอเปน็ จดุ ศูนย๑กลางในการรวม ผู๎คน ไมํใหถ๎ กู วฒั นธรรมสํวนใหญํในประเทศนั้นๆกลนื หา ยไป ในสงครามอนิ โดจีน ทําให๎มชี าวกัมพูชา

๑๐๗ อพยพๆ ไปอยํตู ํางประเทศมากมายหลายแสนคน เมื่ออพยพไปแล๎วจงึ ไดส๎ รา๎ งวดั เพ่อี รกั ษาจารีต ประเพณีประเทศเหลําน้ีดว๎ ย ๒.๑๒.๑๐ ประเทศเวยี ดนาม (Vietnam) ในประวตั ิศาสตร๑ ชาวกมั พูชาถอื วําภาคใตข๎ องเวยี ดนามเคยเปน็ สวํ นหน่ึงของกัมพูชามา กํอน แม๎เมอื งโฮจมิ นิ ห๑ยังเรยี กวาํ ไพรเวียงนคร ดังนัน้ จึงมชี าวกมั พชู าอาศยั อยอํู ยํางหนาแนํน จาก สถติ ิของกระทรวงมหาดไทยของเวยี ดนามกลําววาํ มชี าวเวียดนามเชื้อสายกัมพูชา หรือเขมรกรอมใน ประเทศราว ๑๓ ล๎านคน สวํ นใหญํอาศยั ในภาคใตข๎ อง เวยี ดนาม เชํน จงั หวดั กังเทอ และชอกตรัง เปน็ ตน๎ พ.ศ.๒๕๕๔ มีจํานวนวัดทั้งสน้ิ ๖๐๐ วัด และพระภกิ ษุ-สามเณร ๒๐,๐๐๐ รูป ชาวเขมร กรอมเหลําน้ีมสี ิทธ์ิเสรีภาพเทําชาวเวียดนามทว่ั ไป พวกเขามี ๒ ช่อื ทงั้ เวียดนามและเขมร พูดได๎ ๒ ภาษา แตํเด็กรํนุ ใหมํเรมิ่ ท่ีจะเขยี นภาษาเขมรไมไํ ด๎ ๒.๑๒.๑๑ ประเทศสหรฐั อเมรกิ า (USA) ชาวกัมพชู าอพยพหล่งั ไหลไปยงั สหรฐั อเมริกาในสมยั สงครามกลางเมือง ตัง้ แตํ พ.ศ.๒๕๑๐ เปน็ ต๎นมา และเพมิ่ มากขึ้นใน พ.ศ.๒๕๒๕ นบั แตกํ องทพั เวียดนามบกุ เข๎ารกุ ราน ผคู๎ นจึงอพยพ หลบหนเี ข๎ามายงั ประเทศท่ี ๓ กอํ นทอ่ี พยพไปตั้งรกรากในประเทศสหรฐั อเมริกา ปจ๓ จบุ ันใน สหรฐั อเมริกามีชาวกัมพชู า ราว ๑๕๐,๐๐๐ คน มีวดั ๑๐๙ วัด มพี ระสงฆ๑ ๕๐๒ รปู สามเณร ๓๔ รูป วดั ทส่ี ําคัญคอื ๑.วัดเขมราพทุ ธิการาม (Wat Khemara Buddhikaram) ลองบีช แคลฟิ อเนีย ๒. วดั พทุ ธกิ าราม (Wat Buddhikaram) กรุงวอชิงตนั ดีซี มพี ระสงฆ๑ ๗ รูป กอํ ตงั้ โดยพระสเุ มธวงส๑ (องค๑ เมยี น จันทวัณโณ) ๓.วัดไตรรตั นาราม รฐั เมสซาชูเสสเปน็ ต๎น ๒.๑๒.๑๒ ประเทศออสเตรเลีย (Australia) ชาวกัมพูชาอพยพเขา๎ ไปยงั ประเทศออสเตรเลียตงั้ แตํ พ.ศ.๒๕๑๐ เปน็ ต๎นมา เพราะเหตุท่ี ออสเตรเลยี มีประชากรนอ๎ ย เม่ือเทียบกบั พ้ืนท่ซี ง่ึ ใหญํมากจนขนานนามวาํ ทวีป ปจ๓ จุบันมชี าวกัมพชู า ๓ หมืน่ คนเศษ มวี ัด ๗ วดั มพี ระสงฆ๑ราว ๑๙ รปู วดั ทีส่ าํ คัญคอื ๑.วดั เขมารงั สาราม เมอื งนิวเชาว๑ เวลส๑ ๒.วดั ธัมมิการาม ๓.วดั พุทธรังสี กรงุ เมลเบลิ ๒.๑๒.๑๓ ประเทศฝร่ังเศส (France) ฝรง่ั เศสเป็นอดตี เจ๎าอาณานิคมมานานกวาํ ๙๐ ปี จงึ มีบทบาทอยาํ งสงู ในกมั พูชา ดงั นน้ั จึง มีชาวกัมพูชาไปอาศัยอยจูํ ํานวนมาก พ.ศ.๒๕๐๓ (๑๙๖๐) กํอนทีพ่ นมเปญจะแตกไดม๎ พี ระสงฆ๑กมั พชู า มาศกึ ษาทนี่ ี่คือ พระยอด ฮวต ( Yot Hout) เมอ่ื ศกึ ษาจบทํานไดเ๎ ดนิ ทางกลบั กมั พูชา ครั้นพนมเปญ กระทรวงกรรมการ, กรมเอกสารพระพุทธศาสนา (ภาษาเขมร), (พนมเปญ : เอกสารเย็บเลมํ , ๒๐๐๖,) หนา๎ ๖.

๑๐๘ แตกทํานจงึ เดนิ ทางกลบั สฝูํ รง่ั เศส จากนนั้ ทํานรวมชาวพุทธกมั พูชารวมตวั กันสร๎าง วดั เขมราราม (Wat Khemararam) ทช่ี านกรงุ ปารีสในปพี .ศ. ๒๕๒๘ (๑๙๘๕) จากนน้ั มี พระเจาคิม (Chou Kim) และพระตุท สาฤทธิ์ (Touch Sarit) เดนิ ทางมาถึงฝรงั่ เศสได๎เร่ิมกอํ สร๎างหลายวัด สมเด็จพระสงั ฆราช บัวคลี ฝุายธรรมยตุ ิยังเคยอาศัยท่ปี ระเทศฝร่งั เศสเป็นเวลานาน ป๓จจุบันมีชาวฝรั่งเศสเชือ้ สายกัมพูชา มากกวาํ ๒ แสนคน มีวดั ๑๓ วดั มีพระสงฆ๑ราว ๓๕๐ รูป วดั ทีส่ าํ คัญคอื ๑.วดั โพธิวงศ์ กรงุ ปารีส (๑๙๘๒) ๒.วดั ธรรมรังสี (๑๙๘๗) เปน็ ต๎น ๒.๑๒.๑๔ ประเทศอังกฤษ (United Kingdom) อังกฤษเปน็ อีกประเทศหนึ่งทม่ี ีชาวกมั พชู าอาศยั อยูํ แมจ๎ ะไมํเปน็ เจ๎าอาณานิคมเหมือน ฝรง่ั เศส แตอํ ังกฤษเป็นสถานที่ศึกษาเลาํ เรียนของปญ๓ ญาชนเขมรมานาน แตํชาวกมั พชู าเขา๎ ไปอาศัย ต้ังแตสํ งครามกลางเมอื งเรมิ่ ขึน้ ในปพี .ศ.๒๕๑๐ เปน็ ต๎น ป๓จจุบันมชี าวอังกฤษเชอ้ื สายกัมพูชา ๕๐,๐๐๐ คน มวี ัด ๑๐ วัด มีพระสงฆ๑ ๒๓๐ รปู ๒.๑๒.๑๕ ประเทศแคนาดา (Canada) ประเทศคานาดาเปน็ ประเทศใหญใํ นทวปี อเมรกิ าเหนอื แตํมปี ระชากรเบาบาง ได๎รบั ผ๎ู อพยพเข๎าไปอาศัยตง้ั แตํ พ.ศ.๒๕๐๐ เป็นต๎นมา ปจ๓ จบุ ันมชี มุ ชนชาวเขมรหลายแหํง มวี ัดทงั้ ส้ิน ๙ วัด พระสงฆร๑ าว ๔๐ รูป วัดทสี่ ําคญั คอื ๑.วัดเขมรแคนาดา ๒.วดั เขมร ออนตารโิ อ ๓.วัดเขมรกรอม เป็นตน๎ ๒.๑๒.๑๖ ประเทศอินเดยี (India) อนิ เดยี ไมํมชี าวกัมพูชาอพยพเชา๎ ไปอาศยั เหมอื นประเทศอ่ืน แตเํ พราะเปน็ ดินแดนพทุ ธภมู ิ ทก่ี าํ เนิดทางพทุ ธศาสนา จงึ เร่มิ มีพระสงฆ๑ชาวกมั พูชาเข๎าไปแสวงบุญและไปศึกษาทนี่ ั้นหลายรปู เรม่ิ ตงั้ แตพํ .ศ.๒๕๐๕ ที่มชี ่อื เสยี งคือ พระมหาโฆษนันทะ ไปศึกษาที่มหาวทิ ยาลยั นาลันทา วัดทส่ี ําคญั ใน อนิ เดยี คอื ๑. วัดเขมรสาวตั ถี กอํ สร๎างพ.ศ.๒๕๐๕ โดยหลวงพอํ ฤาษปี ระเสริฐ เอกปญ๓ โญ ชาว กมั พชู าเดมิ สรา๎ งในนามวัดไทยสาวตั ถี แตเํ ม่อื ทํานมรณภาพ พ.ศ.๒๕๔๕ จงึ เปล่ียนเปน็ วัดหลวงพอํ ฤาษปี ระเสริฐ ป๓จจบุ นั มีคณุ ปาร๑มาํ ชาวกมั พูชาดูแล ๒. วดั เขมรนวิ เดลลี สรา๎ งโดยหลวงพอํ ฤาษปี ระเสริฐรูปเดมิ เริม่ สร๎างในปพี .ศ. ๒๕๒๖ เปน็ ต๎นมามีพระอโุ บสถท่ีโดดเดนํ เปน็ ศิลปะกมั พูชาแบบนครวัด ปจ๓ จุบนั บริหารโดยนายปารม๑ าํ ชาว กมั พชู าต้ังรกรากในอนิ เดยี จนได๎สัญชาตอิ นิ เดีย May m Edihara carol A. Mortland and july Ledgerwood Cambodian culture since 1975 (New York : comell university press 1995), p 57.

๑๐๙ ๓. วดั เขมรพุทธคยา สรา๎ งพ.ศ.๒๕๔๕ โดยมีพระสุวรรณวณั โณปุย เมตตา เปน็ เจ๎าอาวาส ทํานเป็นชาวจงั หวดั บันเตียเมยี นเจย ต้ังอยใูํ กลก๎ บั หลวงพอํ โตวดั ญป่ี นุ มีพระเณรราว ๓๐ รปู ๔. วดั เขมรสารนาถ สร๎างพ.ศ.๒๕๔๘ โดยพระสมเพชร (สม๎ เปช) ชาวกัมพูชา ทํานจบดร. จากมหาวิทยาลยั สัมปูรณานันทะ สันสกฤต เมืองพาราณสี พ.ศ.๒๕๕๓ ป๓จจุบนั มพี ระสงฆจ๑ าํ พรรษา ๖ รปู ๕. วดั เขมรกุสินารา สร๎างพ.ศ.๒๕๕๐ อยใํู กล๎กับสถปู รามภาร๑หรอื มกฎุ พนั ธนเจดีย๑ โดย พระเมตตา ชาวกัมพูชาท่ีสร๎างวัดเขมรพทุ ธคยา ป๓จจุบันมีพระชาวกมั พชู าอาศัย ๔ รูป ๖. วัดเขมรลมุ พนิ ี โดยพระเมตตา ชาวกัมพูชาที่สร๎างวัดเขมรพทุ ธคยา ในปี พ.ศ.๒๕๔๙ ป๓จจุบนั มพี ระสงฆ๑จําพรรษา ๓ รูป ๗. วัดเขมรราชคฤห์ สร๎างในปี พ.ศ.๒๕๕๔ โดยพระสมเพชร (สมั เปช) ท่ีสรา๎ งวัดเขมรสาร นาถ ต้งั อยเํู สน๎ ทางระหวาํ งหมูํบ๎านซีเลาขายขนมขาซา กึ่งกลางระหวํางเมืองราชคฤห๑และนาลนั ทา มี พระจาํ พรรษา ๓ รูป ๒.๑๒.๑๗ ปญั หาทคี่ ณะสงฆก์ าํ ลังเผชิญ สถานการณพ๑ ุทธศาสนาในกัมพูชาถ๎าเทียบกบั อดีตแล๎วนับวาํ ดขี น้ึ ตามลาํ ดบั จํานวนวัด มากขนึ้ จาํ นวนพระสงฆม๑ ีมากข้ึน รัฐบาลใหค๎ วามเอาใจใสมํ ากขึ้น มีเงินงบประมาณเขา๎ มาชํวยเหลือ มากขนึ้ โรงเรยี นปริยัติธรรมเปดิ มากข้นึ ดชั นเี หมอื นเปน็ ความเจรญิ ของพทุ ธศาสนา อยาํ งไรกต็ าม คณะสงฆ๑กมั พชู า มปี ๓ญหาเหมอื นคณะสงฆไ๑ ทยทยี่ งั มเี รื่องทจ่ี ะต๎องแกไ๎ ขอกี หลายอยาํ ง คอื ก. การมสี ว่ นรว่ มกบั การเมอื ง คณะสงฆใ๑ นปจ๓ จบุ ันยังมคี วามเห็นดา๎ นการเมืองที่ แตกตาํ งกันคือ การมีสทิ ธเิ ลือกตง้ั พระเถระผู๎ใหญสํ ํวนใหญไํ มเํ หน็ ด๎วยท่พี ระสงฆจ๑ ะไปใช๎สิทธเิ์ ลือกตงั้ ในขณะที่พระสงฆ๑รํุนใหมํมองวาํ เป็นภาระหนา๎ ที่จะตอ๎ งไปเลอื กตงั้ จงึ เกิดความขดั แยง๎ ไมนํ ๎อย ข. การลดลงของการบวช ป๓ญหาน้ีไมํตํางจากประเทศไทย เม่ือประชาชนเรมิ่ อยดูํ ี กินดี สามารถสงํ บุตรหลานเรยี นศกึ ษาไดจ๎ ะนยิ มสํงบุตรหลานไปเรียนในระบบการศกึ ษาทางโลกคอื สมยั ใหมํ จึงมผี เ๎ู ขา๎ มาบวชนอ๎ ยลง โดยเฉพาะสามเณร เริม่ ลดลงตามลาํ ดับปญ๓ หานจ้ี ึงเป็นปญ๓ หาทีท่ ๎า ทายไมํน๎อย ค. การประพฤติหยอ่ นยานของพระสงฆ์ ในยุคป๓จจุบันมพี ระสงฆไ๑ มํน๎อยจริยาวัตรท่ี ไมํนาํ พาตอํ การผดุงศรทั ธาชาวพุทธ มีเร่ึองลงขาํ วตามหน๎าหนงั สือพมิ พบ๑ ํอย เชนํ มคี วามสมั พันธ๑ชสู๎ าว กบั สตรี แอบเปลยี่ นชุดเท่ยี วราตรี เรีย่ ไรโดยไมํมเี หตุบงั ควร บณิ ฑบาตแล๎วนาํ ไปจาํ หนําย เปน็ ตน๎ เป็น ภาพลบตอํ คณะสงฆ๑ไมนํ อ๎ ยท่ีจะต๎องแกไ๎ ข ง. การศกึ ษาปรยิ ัตธิ รรมออ่ นดอ้ ย ในอดตี กัมพูชาเคยเป็นแหลงํ ศึกษาพระปรยิ ตั ิ ธรรมทั้งแผนกธรรมและบาลีมีชอ่ื เสยี ง จนพระสงฆจ๑ ากประเทศลาว พมาํ และไทยไปศึกษาทนี่ น่ั มี นักปราชญ๑ราชบัณฑิตดา๎ นภาษาบาลเี ป็นจาํ นวนมาก แตเํ มอ่ื วันเวลาผํานไปพทุ ธศาสนาถูกทําลายใน

๑๑๐ สมัยพอลพต เมอื่ ฟ้นื ฟูขึ้นมาอีกคร้งั พระสงฆร๑ นํุ ใหมไํ มไํ ดใ๎ สํใจกบั กบั การศึกษาพระปรยิ ัติธรรม ทง้ั แผนกธรรมและบาลี แตไํ ปใสํใฝุใจกบั การศึกษาทางโลกสมยั ใหมํ เชนํ คอมพิวเตอร๑ ภาษาอังกฤษ การศกึ ษาเคร่ืองยนต๑กลไก เปน็ ต๎น ทําให๎การศึกษาแกนํ พระพุทธศาสนาถูกละเลย จ. การแทรกแซงจากศาสนาอื่น ศาสนาทเ่ี ขา๎ มามีบทบาทในสงั คมกมั พชู าคอื อสิ ลามและศาสนาคริสต๑ การใหป๎ ระชาชนไดเ๎ ลอื กนับถือศาสนาเป็นเร่อื งท่สี มควรและยอมรบั ได๎ แตํ ยุทธวิธีการเผยแผํนน้ั บางศาสนาใช๎วธิ กิ ารโจมตีรนุ แรง และมีสํวนรวํ มในการกอํ ความไมํสงบในภาคใต๎ ของไทยดว๎ ย ในขณะทศี่ าสนาครสิ ต๑ไดง๎ บสนบั สนนุ จากวาติกนั ไมํนอ๎ ยหวงั เพมิ่ ศาสนกิ ชนในฝ๓ง่ เอเชีย หลังจากที่คนยโุ รปเริม่ นบั ถือน๎อยลง ฉ. การเปลี่ยนแปลงของสงั คม การพัฒนาอยํางรวดเรว็ ของวตั ถุนยิ มสมยั เชํน โทรศพั ท๑มือถือคอมพวิ เตอร๑ ทําใหเ๎ ดก็ ไมสํ นใจศาสนา แตํติดเกมส๑ ติดการแขํงรถ มเี พศสมั พันธ๑ใน เวลาไมํเหมาะสม ป๓ญหายาเสพติด มสี นิ ค๎าทันสมยั กระตุ๎นความอยากของคนตลอดเวลา ทําใหด๎ ึงจิตใจ ของคนออกจากศาสนาไดม๎ าก การจะรกั ษาพระศาสนาใหเ๎ จริญรุํงเรืองตอํ ไปจงึ เปน็ เรื่องทีท่ ๎าทายไมํ น๎อย จากการกลาํ วขา๎ งตน๎ ทําให๎สรปุ ได๎วํา พระพุทธศาสนาในประเทศกมั พูชานน้ั ได๎มี เปลี่ยนแปลงเข๎าสํูยุครงุํ เรืองและเสอ่ื มลงไปตามยคุ สมยั โดยพระพุทธศาสนาในยคุ ต๎นๆ พทุ ธศาสนกิ ชนชาวกัมพชู าทุกระดบั ช้ันนับถือศาสนาปะปนผสมผสานกนั ทงั้ พระพุทธศาสนานกิ าย มหายานบ๎าง พระพุทธศาสนานกิ ายเถรวาทบ๎าง อีกทงั้ ยังนับถอื ศาสนาพราหมณ๑ โดยมี พระมหากษัตริย๑ให๎ความอปุ ถมั ภ๑ บางครั้งก็ราชปโุ รหติ และประชาชนทัว่ ไปใหค๎ วามอปุ ถมั ภ๑ วิถีชวี ิต ของศาสนกิ ชนไดผ๎ นวกเข๎ากับหลักธรรม และความเช่อื ของแตลํ ะศาสนาและนกิ ายน้ันๆ จนมี การสร๎างศาสนสถานในลักษณะเป็นปราสาทบา๎ ง เป็นเจดียบ๑ ๎าง สลักเปน็ ศิลาจารกึ บ๎าง ซึ่งเปน็ อนสุ รณ๑ สถาน ดังที่เหน็ มีปราสาท เจดยี ๑ และศลิ าจารึกเปน็ จํานวนมากที่ยงั คงเหลือจนมาถึงป๓จจบุ ัน พระพุทธศาสนาหลงั ยุคพระมหานครเปน็ พุทธศาสนาเถรวาท แตํเมื่อประเทศประสบกับป๓ญหาทางการ เมืองท้งั ภายในและภายนอกทาํ ให๎ตอ๎ งเคล่ือนย๎ายเมอื งหลวงบํอยครัง้ ท่สี ดุ ตัง้ เมืองหลวงที่ กรุงอดุ งค๑ และตํอมาที่พนมเปญ ซ่งึ การเคล่อื นย๎ายแตลํ ะคร้งั ได๎สํงผลกระทบทง้ั พระพุทธศาสนา ระบบการ ปกครอง ระบบการศึกษา การคา๎ การเกษตรเป็นอยาํ งมาก อยาํ งไรก็ตามพระพุทธศาสนายังได๎รบั ความอุปถัมภเ๑ ปน็ อยาํ งดีจากพทุ ธศาสนกิ ชน ท้งั สถาบนั กษัตริย๑และประชาชนท่วั ไป พระพุทธศาสนา เรมิ่ เปน็ เครือ่ งมือทางการเมืองนบั แตกํ ัมพชู าตกอยูํใตก๎ ารดแู ลของฝร่งั เศส โดยขณะนั้นพระสงฆ๑และ นักการเมอื งทาํ การเคลื่อนไหว ตอํ ต๎านเจ๎าหน๎าทฝ่ี ร่ังเศสประจํากมั พูชาใหค๎ นื เสรีภาพ และเอกราชแกํ ชาวกัมพชู า ขณะเดยี วกนั สมเด็จพระนโรดมสีหนุไดน๎ าํ เอาหลักธรรม “สายกลางหรอื พุทธสังคมนยิ ม” เปน็ แนวทางการบริหารประเทศ เนือ่ งจากทรงมคี วามเขา๎ ใจเปน็ อยํางดีตํอความสัมพันธร๑ ะหวาํ ง พระพุทธศาสนา ขนบธรรมเนยี ม ประเพณี ศิลปวัฒนธรรม และวถิ ีชวี ิตของชาวกมั พูชา ซ่งึ ทาํ ให๎

๑๑๑ พระพุทธศาสนาเจริญรุงํ เรอื งอยาํ งรวดเรว็ แตพํ ระพุทธศาสนาคํอยๆ เสือ่ มลงในรฐั บาลลอน นอล เนื่องจากมีความขดั แยง๎ ระหวาํ งพรรคการเมอื งหลายฝาุ ย โดยแตํละฝาุ ยพยายามโฆษณาชวนเชอ่ื พระสงฆใ๑ ห๎มีสวํ นรํวมในการเผยแพรอํ ุดมการณ๑ทางการเมือง โดยเฉพาะในรฐั บาลของเขมรแดง พระพทุ ธศาสนาตกอยูํในขนั้ วิกฤตตํ่าสุด เนื่องจากสมัยน้ีไมสํ นบั สนนุ ให๎มีระบบความเช่ือ และศาสนา พระสงฆ๑ถกู บังคบั ให๎สึกและโดนสงั หาร ศาสนสถาน โบสถ๑ วิหาร พระพทุ ธรูป ตาํ ราเอกสารซ่งึ มี พระไตรปฎิ ก เปน็ ตน๎ ถูกทาํ ลายและเผาทิ้ง แตํอยาํ งไรกต็ าม ภายหลงั รฐั บาลเขมรแดงถูกโคํนล๎ม พระพทุ ธศาสนาไดร๎ ับฟนื้ ฟูอกี ครัง้ แตอํ ยูํในบริบทขอ๎ จาํ กดั เน่ืองจากผทู๎ ปี่ ระสงคจ๑ ะบวชต๎องมอี ายุ ๕๐ ปีขึ้นไปตามขอ๎ บังคบั ของภาครฐั ปจ๓ จุบนั พระพุทธศาสนาไดร๎ ับการดแู ลและสนบั สนนุ เป็นอยาํ งดีจาก ภาครัฐและพทุ ธศาสนิกชนทัว่ ไป ขณะเดยี วกนั พระสงฆก๑ ม็ ีสํวนรํวมในการพฒั นาสงั คมหลายๆ ด๎าน สรปุ ท้ายบท จากการกลําวมาข๎างตน๎ พอสรุปไดว๎ าํ พระพทุ ธศาสนาได๎มีความเจริญเตบิ โตและเสือ่ มลงไป ตามยคุ สมัยซ่งึ สามารถจําแนกไดเ๎ ป็นดงั น้ี ๑. พระพุทธศาสนาในยุคต๎นๆพุทธศาสนิกชนชาวกัมพชู าทกุ ระดับชั้นนบั ถือศาสนาปะปน ผสมผสานกนั ท้งั พระพทุ ธศาสนานกิ ายมหายานบา๎ ง พระพุทธศาสนานิกายเถรวาทบ๎าง บางครัง้ นบั ถอื ศาสนาพราหมณโ๑ ดยมพรี ะมหากษตั รยิ ๑ให๎ความอุปถมั ภ๑ แตบํ างครง้ั คือราชบุโรหิตและประชาชน ท่วั ไปวถิ ีชวี ติ ของศาสนกิ ชนได๎ผนวกเข๎ากับหลกั ธรรมและความเช่อื ของแตลํ ะศาสนาและนิกายน้ันๆจน มกี ารสรา๎ งศาสนสถานในลกั ษณะเป็นปราสาทบ๎าง เป็นเจดีย๑บ๎างซง่ึ เปน็ อนสุ รณ๑สถานดังทเี่ ห็นมี ปราสาทและเจดียเ๑ ป็นจาํ นวนมากท่ียังคงเหลือมาจนถึงป๓จจบุ นั ๒. พระพทุ ธศาสนาหลงั ยคุ พระมหานครเป็นพระพทุ ธศาสนาเถรวาท แตเํ ม่อื ประเทศ ประสบกับปญ๓ หาทางการเมอื งทงั้ ภายในและภายนอกทาให๎ต๎องเคลอ่ื นย๎ายเมอื งหลวงบอํ ยครั้ง ที่สดุ ตงั้ เมอื งหลวงท่กี รงุ อดุ งค๑และตํอมาท่ีพนมเปญ ซ่ึงการเคลือ่ นย๎ายแตลํ ะครัง้ ไดส๎ งํ ผลกระทบทั้ง พระพทุ ธศาสนา ระบบการปกครอง ระบบการศกึ ษา การคา๎ การเกษตร เปน็ อยํางมาก อยาํ งไรก็ ตามพระพทุ ธศาสนายงั ไดร๎ บั ความอุปถมั ภ๑เป็นอยาํ งดจี ากพทุ ธศาสนกิ ชนท้งั สถาบนั พระมหากษตั รยิ ๑ และประชาชนท่ัวไป ๓. พระพุทธศาสนาเร่ิมเป็นเครอื่ งมือทางการเมอื งนับแตกํ ัมพูชาตกอยูใํ ต๎การดแู ลของ ฝร่งั เศส โดยในขณะนั้นพระสงฆแ๑ ละนักการเมอื งทาการเคลอื่ นไหวตอํ ตา๎ นเจา๎ หน๎าทีฝ่ รั่งเศสประจํา กมั พูชาใหค๎ นื สิทธเิ สรภี าพและเอกราชแกํชาวกัมพูชา ขณะเดยี วกนั สมเดจ็ พระนโรดมสหี นไุ ดน๎ าํ เอา หลกั ธรรม “สายกลางหรือพุทธสังคมนิยม ”เป็นแนวทางการบริหารประเทศ เนอ่ื งจากทรงมคี วาม เขา๎ ใจเป็นอยํางดีตอํ ความสัมพันธ๑ระหวาํ งพระพุทธศาสนาขนบธรรมเนียมประเพณศี ิลปวัฒนธรรมและ วิถีชวี ติ ของชาวกัมพชู าซง่ึ ทําให๎พระพทุ ธศาสนามีความเจริญเตบิ โตอยํางรวดเรว็ แตํพระพทุ ธศาสนา คอํ ยๆเส่ือมลงในรัฐบาลนอลนอล เนอ่ื งจากมคี วามขัดแย๎งระหวาํ งพรรคการเมืองหลายฝาุ ย

๑๑๒ พระสงฆ๑ใหม๎ ีสํวนรวมในการเผยแพรอํ ุดมการณ๑ทางการเมือง โดยเฉพาะในรัฐบาลของเขมรแดง พระพทุ ธศาสนาตกอยขํู น้ั วิกฤตตํา่ ทส่ี ุด เนอื่ งจากในสมยั น้ไี มํสนบั สนนุ ใหม๎ ีระบบความเชอื่ และศาสนา พระสงฆถ๑ ูกบงั คบั ให๎สึกและสังหารชีวิต ศาสนสถาน โบสถ๑ วหิ าร พระพุทธรปู ตารางเอกสารซง่ึ มี พระไตรปฎิ กเปน็ ตน๎ ถูกทาํ ลายและเผาท้งิ แตอํ ยํางไรก็ตามภายหลังรัฐบาลเขมรแดงถกู โคํนล๎ม พระพุทธศาสนาได๎รับฟน้ื ฟอู ีกครง้ั แตํอยํใู นบริบทข๎อจาํ กดั เนอ่ื งจากผูท๎ ีป่ ระสงคจ๑ ะบวชต๎องมอี ายุ ๕๐ปขี ึ้นไปตามข๎อบงั คับของภาครัฐ ปจ๓ จุบันพระพุทธศาสนาได๎รับการดูแลและสนบั สนุนเป็นอยํางดี จากภาครฐั และพทุ ธศาสนกิ ชนท่วั ไปขณะเดียวกันพระสงฆ๑กม็ ีสวํ นรวมในการพัฒนาสังคมหลายๆด๎าน

บทท่ี ๓ พระพุทธศาสนากับความสัมพนั ธ์ทางวัฒนธรรมในประเทศกัมพชู า ๓.๑ พระพทุ ธศาสนากับความสมั พันธท์ างวัฒนธรรมในประเทศกมั พูชา ประเทศกัมพชู า ถอื ว่าเป็นชนชาตทิ ่มี ีอารยธรรมเกา่ แก่มาชา้ นาน และมอี ํานาจครอบครอง ผนื แผน่ ดนิ หลายประเทศ เชน่ บางส่วนของไทย พม่า ลาว และเวียดนาม ประเทศเหลา่ น้ี ล้วนเคยรบั อารยธรรมจากกมั พชู าโบราณทเี่ รยี กว่าขอมด้วยกนั ทงั้ สิ้น ในขณะเดยี วกนั ขอมหรอื กมั พชู าเองได้รับ อิทธพิ ลจากท่อี ื่นนน้ั คอื อารยธรรมของอนิ เดยี แทนทีจ่ ะเป็นอารยธรรมจนี ซึง่ เป็นประเทศใหญท่ อ่ี ยู่ ใกลก้ วา่ ในขณะที่เพอ่ื นบา้ นอย่างเวียดนามกลบั รบั อารยธรรมจากจนี อยา่ งเต็มที่ เราสามารถแยก ลักษณะการรบั วฒั นธรรมอนิ เดยี ของ กัมพูชาออกเป็นลักษณะดังนีค้ อื ๑) ดา้ นศาสนาชาวกัมพชู านบั ถือศาสนาพราหมณท์ ้ังนกิ ายไศวะ หรอื ไวศณพ ศาสนาพทุ ธ ท้ังนกิ ายมหายานและเถรวาท ๒) ดา้ นการเมืองการปกครอกงัมพชู าไดค้ ตลิ ทั ธิเทวราช วษิ ณรุ าช และพุทธริ าช อนั เปน็ อดุ มคตทิ างศาสนาของอนิ เดีย ๓) ดา้ นการเป็นอยชู่ าวกัมพชู านิยมรับประทานข้าวด้วยมอื โพกผา้ บนหวั นุ่งโจงกระเบน เทนิ ของบนศรี ษะเหมอื นชาวอนิ เดยี ๕) ด้านภาษาภาษาสนั สกฤตและบาลีมอี ิทธพิ ลสูงสดุ เปน็ ภาษาในราชสํานัก ใชท้ ้งั จารึก ตดิ ต่อขดี เขยี นทว่ั ไป อทิ ธิพลทัง้ สองภาษายงั มใี นภาษากัมพูชาปัจจุบนั อกี ดว้ ย ๖) ดา้ นสถาปัตยกรรม การกอ่ สร้างปราสาทราชวัง เทวาลัย การสรา้ งวัดวาอาราม การสร้าง พระพทุ ธรปู การสร้างเทวรปู ปางต่างๆ จนหลายคนกล่าววา่ ถ้าไมม่ อี ารยธรรมอนิ เดยี ก็ไม่มปี ราสาทนครวดั นครธม เป็นต้น ชาวกมั พชู านยิ มสวมเสื้อผา้ แบบอนิ เดีย กนิ ข้าวด้วยมอื เทินของบนศรี ษะโพกศีรษะ นุง่ ผา้ ถงุ ซง่ึ ตา่ งจากเวียดนาม ประเทศเพอ่ื นบ้านอยา่ งมาก การขยายอทิ ธพิ ลของอนิ เดยี สกู่ มั พชู าและเพอ่ื นบ้าน ตา่ ง จากจีน กระทําตอ่ เวยี ดนามอยา่ งส้นิ เชงิ กล่าวคือ อินเดยี ไม่เคยใช้กาํ ลังเข้ายึดครองกัมพชู า แตเ่ ปน็ การรับเอา อยา่ งสมคั รใจ ขณะที่จีนเข้ายึดครองพรอ้ มบงั คับเวียดนามให้อยูใ่ ต้อํานาจถึงพนั กวา่ ปี กัมพชู าไมเ่ คยตอ่ ต้าน อินเดียทั้งทอี่ ินเดยี ไมใ่ ช่รัฐท่ีเป็นปกึ แผ่นมนั่ คง ในขณะ ท่เี วยี ดนามประจันหนา้ กับจีนอยตู่ ลอดเวลา พรอ้ ม ต่อต้านจีนทุกรูปแบบกมั พูชาเคยเปน็ รฐั มหาอาํ นาจทเ่ี คยครอบครองแผน่ ดินไทย ลาว เวยี ดนาม มาก่อนและ พระมหาดาวสยาม วชิรปญั โญ, ดร., พระพทุ ธศาสนาในกัมพูชา, หน้า ๒.

๑๑๔ ยงั สง่ อทิ ธิพลใหไ้ ทยทงั้ ดา้ นภาษา วัฒนธรรมประเพณีหลายอย่างดว้ ย ชาวกมั พูชาโดยมากเป็นเชอื้ สาย มองโกลอยดเ์ ช่นเดยี วกบั ชนชาวเอเชียสว่ นมาก แมป้ จั จุบนั จะมีชาวเวียดนาม ชาวจาม ชาวจนี เขา้ มาอาศยั อยู่ บ้าง คําวา่ \"วฒั นธรรม\" ยูเนสโก ไดพ้ รรณนาถึงวฒั นธรรมไวว้ ่า \"...วฒั นธรรมควรไดร้ ับการ ยอมรบั ว่าเปน็ ชุดทเ่ี ด่นชดั ของจติ วิญญาณ เรื่องราว สตปิ ัญญาและรูปโฉมทางอารมณ์ของสังคม หรือ กลมุ่ สังคม ซึง่ ได้หลอมรวมเพิม่ เตมิ จากศลิ ปะ วรรณคดี การดาํ เนนิ ชีวติ วถิ ีชีวิตของการอยรู่ ว่ มกัน ระบบคุณคา่ ประเพณแี ละความเชอ่ื ...\"ประเภทของวฒั นธรรมโดยท่วั ไปแลว้ มักจะแบง่ วฒั นธรรม ออกเปน็ ๒ ประเภทใหญ่ ๆ คือ ๑)วฒั นธรรมที่เปน็ วตั ถุ (Material Culture) ซง่ึ ได้แก่สงิ่ ประดษิ ฐแ์ ละ เทคโนโลยีต่าง ๆ ทม่ี นุษย์คดิ ค้นผลติ ข้นึ มา เช่น สิง่ ก่อสร้าง อาคารบ้านเรือน อาวุธยุทโธปกรณ์ เครอื่ ง อํานวยความสะดวกตา่ งๆ เปน็ ต้น ๒)วัฒนธรรมเชิงนามธรรมทไี่ ม่ใช่วตั ถุ ( Abstract Culture) หมายถงึ อดุ มการณ์ ค่านยิ ม แนวคดิ ภาษา ความเชือ่ ทางศาสนา ขนมธรรมเนียมประเพณี ลัทธิ การเมอื ง กฎหมาย วิธีการกระทาํ และแบบแผนในการดําเนนิ ชีวติ ซ่ึงมีลกั ษณะเป็นนามธรรม ที่ มองเหน็ ไมไ่ ด้ ๓.๒ วัฒนธรรมในเชงิ นามธรรม วฒั นธรรมในเชิงนามธรรม ในท่นี ีห้ มายถึงคติความเชอ่ื ที่ปลกู ฝังกนั มานานแสนนานจน กลายเป็นประเพณปี ฏบิ ัตทิ ่ีสัมพันธ์กับการดาํ รงชวี ติ ของชาวกมั พชู า ในชว่ งหนึง่ ปนี ัน้ จะมีประเพณีสบิ สองเดือนทีเ่ กีย่ วขอ้ งกบั คติความเชอื่ สืบทอดกนั มาทั้งท่ีเน่อื งด้วยพระพทุ ธศาสนาหรอื ศาสนาอน่ื ๆ ใน ทน่ี ี้ขอกลา่ วถึงประเพณีสบิ สองเดอื นท่เี ก่ยี วข้องกับพระพทุ ธศาสนาจากพระมหากษัตริยถ์ ึงประชาชน ชาวกัมพชู า พระราชพิธที วาทศมาส หรือ พระราชพิธสี ิบสองเดือน เปน็ พระราชกรณยี กิจของพระ เจา้ แผน่ ดินท่ีจะตอ้ งจัดทําข้ึนเป็นประจาํ เพื่อคงไวซ้ ่ึงความอดุ มสมบรู ณ์และสวสั ดมิ งคลของบ้านเมอื ง และเพือ่ แสดงความเป็นพระเจา้ แผน่ ดนิ หรอื พระเจ้าจักรพรรดริ าช เชื่อกนั วา่ หากมคี วามขาดตก บกพรอ่ งในการประกอบพระราชพิธีดงั กล่าวจะกอ่ ใหเ้ กิดอันตรายต่อบา้ นเมือง ดังนั้น จึงมกี ารจัดทาํ พระราชพธิ สี ิบสองเดือนสบื เนอ่ื งต่อมาเปน็ เวลายาวนาน พระราชพิธีทวาทศมาสกรุงกัมพชู านั้นจะเริ่มต้นจัดทาํ แตเ่ มอื่ ใด ไม่ปรากฏหลักฐานท่ี ชัดเจนแน่นอน สนั นษิ ฐานวา่ อยา่ งนอ้ ยน่าจะมมี าในอาณาจกั รกมั พชู าตั้งแตส่ มยั พระนคร ดังปรากฏ หลกั ฐานในศิลาจารกึ เขมร สมัยพระนครบา้ ง และในบันทึกว่าด้วยขนบธรรมเนยี มประเพณีของเจนิ ลา่ ซ่ึง โจวตา๋ กวานชาวจีนผ้เู ดินทางเข้ามาพร้อมกบั ราชทตู จีนสมยั ราชวงศ์หยวน บันทกึ ไวใ้ นรัชกาล พระเจา้ ศรีนทรวรมนั (พ.ศ. ๑๘๓๕ – ๑๘๕๐) ซึ่งเป็นชว่ งปลายสมยั พระนคร พระราชพธิ ที วาทศมาสกรุงกมั พชู าซึ่งจดั ทาํ ข้ึนในสิบลองเดือนหรือในรอบหนงึ่ ปี สันนษิ ฐานว่าแตเ่ ดิมน่าจะมแี ต่พระราชพิธีอันเนอื่ งดว้ ยศาสนา พราหมณฮ์ นิ ดู เนอื่ งจากกษัตรยิ ์กมั พชู า

๑๑๕ สมยั พระนครนับถอื ศาสนาพราหมณ์ ฮนิ ดู โดยเฉพาะลัทธไิ ศวนกิ ายและไวษณพนิกาย ดงั น้นั พระราชพธิ ใี นราชสาํ นักกัมพชู าในยคุ แรกจึงมคี วามเกี่ยวขอ้ งกับศาสนาพราหมณ์ ลทั ธไิ ศวนิกายเป็นสว่ นใหญ่ เช่น ปรากฏในศลิ าจารึกสดก๊ กอ๊ กธมว่า มีพธิ ีเทวราชซ่ึงพราหมณศ์ วิ ไกวัลย์ เป็นผูป้ ระกอบถวาย พระเจ้าชัยวรมันที ่ ๒ และมพี ธิ ีกรรมอันเนือ่ งด้วยการปฏบิ ัตบิ ูชาพระเทวราช (ศวิ ลงึ ค)์ รวมท้ังปรากฏว่า พระเจ้าอทุ ยั ทติ ยวรมนั ไดท้ รงประกอบพิธีกรรมทางศาสนาหลายอยา่ ง เร่มิ ดว้ ยภุ วนาธวะ และพรหมยัชญา ทั้งประกอบพิธีมโหตสวบชู า ซ่ึงเปน็ พธิ กี รรมอันเนื่องดว้ ยไศวนกิ าย เป็น ตน้ ต่อมาภายหลงั เมือ่ พระเจ้าแผน่ ดินกัมพูชาเปลีย่ นมานับถอื พระพทุ ธศาสนาโดยเฉพาะ ต้งั แต่ในรชั กาลพระเจ้าชัยวรมนั ที่ ๗ (ซงึ่ ทรงนับถือพระพุทธศาสนานกิ ายมหายาน) เปน็ ตน้ มา จงึ มี การผนวกเพ่ิมพระราชพธิ ี อันเนื่องด้วยพระพุทธศาสนาเข้าไวด้ ้วย เช่นในศลิ าจารึกปราสาทพระขรรค์ ของพระเจา้ ชยั วรมันที่ ๗ กลา่ วว่าในเดอื นผลคนุ (เดือนส่ี) ต้องมีการนาํ ประตมิ ากรรมเหลา่ นี้มา รวบรวมไว้ คือ พระราชาแหง่ มนุ ที างทิศตะวันออก พระศรีชัยราชจูฑามณี พระชัยพทุ ธมหานาถจาก ๒๕ ทอ้ งถนิ่ ฯลฯ นอกจากน้ียงั กลา่ วถงึ งานสงกรานต์และงานใหญ่ประจาํ ปี ๑๘ ครัง้ งานฉลอง ๙ หรอื ๑๐ ครงั้ ต่อ ๑ เดือน คอื ทุกวันที่ ๕, ๘, ๑๒, ๑๔ และ ๑๕ ของปักษ์ เปน็ ตน้ ดังนน้ั พระราชพธิ ที วาทศมาสหรอื พระราชพธิ สี ิบสองเดอื นกรุงกมั พชู า ในปจั จุบันจงึ มีทัง้ ที่ เป็นพระราชพิธอี ันเน่ืองดว้ ยศาสนาพราหมณฮ์ นิ ดู และพระราชพิธีอันเนื่องด้วยพระพทุ ธศาสนา พระราชพิธที วาทศมาสกรงุ กมั พูชาทปี่ รากฏหลักฐานในเอกสารต่างๆ สามารถจดั แบ่งออก ไดเ้ ปน็ ๓ ช่วงใหญ่ๆ ได้แก่ พระราชพธิ ที วาทศมาสสมัยพระนคร ปรากฏหลกั ฐานในศลิ าจารึกเขมร สมัยพระนครบ้าง แต่มีการกล่าวถงึ ไมม่ ากนัก หลกั ฐานท่สี าํ คญั ของพระราชพธิ ีทวาทศมาสในยคุ นจี้ ึง น่าจะได้แกบ่ นั ทึกวา่ ดว้ ยขนบธรรมเนียมประเพณีของเจินลา่ ซงึ่ โจวต๋ากวานบันทกึ ไวใ้ นรัชกาลของ พระเจา้ ศรีนทรวรมนั (ครองราชยท์ ีเ่ มอื งพระนครศรียโศธรปุระ ระหวา่ งปี พ.ศ. ๑๘๓๘ - ๑๘๕๐) เป็น พระราชพธิ ใี นราชสํานกั กมั พชู าสมยั พระนครทม่ี ีพธิ ีกรรมทางพระพทุ ธศาสนาแทรกเขา้ มาบา้ งแลว้ เน่อื งจากพระเจา้ ศรนี ทรวรมันทรงนบั ถอื พระพุทธศาสนานกิ ายเถรวาท พระราชพธิ ีททวาทศมาสสมัยหลังพระนคร ปรากฏในพงศาวดาร ละแวกฉบับแปล จ.ศ. ๑๑๗๐ พงศาวดารละแวกฉบบั นี้ ปรากฏในคํานําโดยกรมศิลปากรว่า แปลในรัชกาลท่ี ๑ เมือ่ จ.ศ. ๑๑๗๐ มขี อ้ สังเกตว่าผแู้ ตง่ น่าจะต้ังใจบนั ทกึ พระราชพิธตี า่ งๆ สมยั โบราณไว้เปน็ แบบแผน ใน ศิลาจารึกสด๊กกอ๊ กธม กรมศลิ ปากร, จาริกใน ประเทศไทย เลม่ ๓, (กรงุ เทพฯ: โรงพิมพภ์ าพพิมพ,์ ๒๕๒๙), หน้า ๑๘๑ - ๒๒๗. กรมศิลปากร, ประชมุ พงศาวดารภาคที ๗๑, (พระนคร: กรุงเทพบรรณาคาร, ๒๔๘๐), หน้า ๑๗.

๑๑๖ คําอธิบายยังกลา่ วเพ่มิ เติมดว้ ยวา่ “พระราชพิธีสิบสองเดอื นของกรุงกัมพชู ามาท่ีปรากฏในพงศาวดาร ฉบบั นี้เปน็ อย่างเกา่ คงจะเล่อื นไปครนั้ เมื่อ พ.ค. ๒๓๙๘ สมเด็จพระหรริ ักษ์รามาธิบดี (นกั องค์ดว้ ง) ได้ ทรงฟืน้ ขึ้นทําเป็นราชประเพณีอีกบางขอ้ เพ้ียนไปจากพิธเี ดิมบา้ ง” ต้นฉบบั พงศาวดารละแวกฉบับแปล จ.ศ. ๑๑๗๐ เป็นภาษาเขมร พระองค์แก้วนําถวายพระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟูาจฬุ าโลก เมอื่ วัน อังคารเดอื น ๖ แรมค่ําหน่ึง พ.ศ. ๒๓๕๑ ปที ี่ ๒๗ ในรัชกาลที่ ๑ จึงโปรดให้ขุนสาราบรรจง ปลัดกรม อาลักษณ์พระราชวังบวร แปล กลา่ วถงึ พระราชพธิ ีทวาทศมาส ในรัชกาลสมเดจ็ พระศรีสุริโยพรรณ (หรือพระศรีสพุ รรณมาธริ าชในเอกสารไทย ครองราชยร์ ะหวา่ งปี พ.ศ. ๒๑๔๔ - ๒๑๖๒) ซงึ่ ทรงรอ้ื ฟืน พระราชพธิ ใี นราชสํานกั ข้นึ ใหมท่ ้ัง ๑๒ เดือน เมื่อพระองคไ์ ด้เสด็จกลบั มาครองราชย์ที่เกาะสลาเกต พระราชพธิ ีทวาทศมาสในพงศาวดารฉบับน้มี กี ารแยกเปน็ พระราชพธิ ีทางพุทธศาสตร์ และพระราชพธิ ี ทางไสยศาสตรอ์ ย่างชัดเจน พระราชพธิ ีทวาทศมาสรัชกาลสมเดจ็ พระหริรักษ์รามาอศิ ราธบิ ดี (พระองค์ดว้ ง) ครองราชย์ระหว่างปี พ.ศ. ๒๓๙๐ - ๒๔๐๓ การรือ้ ฟื้นพระราชพิธใี นยุคนีส้ ืบเนื่องจากในรชั กาลสมเด็จ พระอทุ ยั ราชา (พระองค์ จนั ท์) และรชั กาลพระองค์เจ้ากษตั รีย์มนี ้นั เวยี ดนามได้เข้ามาปกครอง ประเทศกมั พชู าและบังคับใหม้ กี ารเปลย่ี นแปลงวฒั นธรรมในราชสํานักกัมพูชาไปเปน็ แบบเวยี ดนาม ทัง้ หมดไม่วา่ จะเป็นการแตง่ กายรวมทง้ั การปกครองและวฒั นธรรมอื่นๆ ดังนน้ั วัฒนธรรมกรุงกมั พูซาที่ มมี าแต่เดมิ จึงถูกทาํ ลายสูญหายไปมาก เม่อื ลมเด็จพระหรริ ักษ์รามาอศิ ราธิบดี (พระองคด์ ว้ ง)ได้เสด็จ กลบั มาครองราชย์สมบัตทิ ี่กรงุ อดุ งคม์ ชี ยั พระองคจ์ ึงรอฟืน้ การจัดพระราชพธิ ีทวาทศมาสขึ้นใหมท่ งั้ ๑๒ เดือน ดังปรากฏในราชพงษาวดารกรุงกัมพซู า ฉบบั นักองคน์ พรัตน์ เปน็ ตน้ พระราชพธิ ีทวาทศมาสสมัยปัจจุบนั ปรากฏในพระราชพิธีทวาทสมาส ภาค ๑ - ๓ ฉบบั ภาษาเขมรของ ออกญาเทพพทิ ู (ฌึม กรอเสม) และขุนอุดมปรชี า (จาบ พิน) กล่าวถึงพระราชพธิ ที วา ทศมาสซ่งึ จดั ขน้ึ ในรัชกาลสมเด็จพระนโรดมบรมรามเทวาวตาร รัชกาลสมเด็จพระสีสวุ ตั ถ์ิ รชั กาล สมเดจ็ พระสีสุวตั ถมิ์ นุ วี งศ์ รชั กาลสมเด็จพระนโรดมสหี นวุ รมัน และรชั กาลสมเดจ็ พระนโรดมสรุ ามฤต หนงั สอื นริ าศนครวัด พระนพิ นธ์สมเด็จฯ กรมพระยาดาํ รงราชานภุ าพไดท้ รงบนั ทกึ พระราชพิธีตา่ งๆ ในรชั กาลสมเด็จ พระศรีสวสั ด์ิ (สีสุวตั ถิ์) ไวอ้ ย่างสงั เขป ดงั น้ันเพ่อื ใหเ้ หน็ ภาพรวมของพระราชพธิ ที วา ทศมาสกรงุ กมั พชู า ในทน่ี ีจ้ งึ จะกล่าวถึงพระราชพิธที วาทศมาสกรงุ กัมพูชาตามที่ปรากฏในเอกสาร ตา่ งๆ ตามลําดบั ยุคสมัย ดงั ต่อไปน้ี ศานติ ภักดีคํา, กวีศรกี ัมพุชเทศ , (กรุงเทพฯ: ภาควิชาภาษาไทยและภาษาตะวนั ออก คณะ มนุษยศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ศรีนครินทรวิโรฒ, ๒๕๔๓) หน้า ๒๐. กรมศิลปากร, ราชพงษาวดารกรุงกมั พูชา, หน้า ๔.

๑๑๗ ๓.๒.๑ พระราชพิธเี ดอื นหา้ (เดอื นเจตร) เดือนเจตร หรอื เดือนหา้ เปน็ เดือนแหง่ การเถลิงศก (ขน้ึ ปีใหม)่ พระราชพธิ ีสําคัญของ กมั พซู าหลายพระราชพิธจี ัดข้ึนในเดอื นนี้ ศลิ าจารกึ เขมรโบราณหลายหลักกล่าวถงึ งานสงกรานต์ต้ังแต่ สมยั พระนคร เชน่ จารกึ สรา้ งเทวรูป (พ.ศ. ๑๖๘๒) กล่าวถึงสง่ิ ของทีถ่ วายเทวรูปในวนั สงกรานต์ และ ปรากฏในจารกึ ปราสาทพระขรรค์ของพระเจา้ ชัยวรมนั ที่ ๗ เปน็ ต้น ส่วน “บนั ทึกว่าดว้ ย ขนบธรรมเนยี มประเพณีของเจินละ ของโจวตา๋ กวาน” กล่าววา่ ในเวลาน้ันชาวกมั พูชาสมัยพระนครนบั เอาเดือน ๑๐ ของจนี เป็นเดือนแรกของปีใหม่ ซ่งึ จะตรงกับเดือนกตั ตกิ หรือเดือน ๑๒ ตามจนั ทรคติ สว่ นพระราชพิธีท่ีมใี นเดือน ๕ ไม่ปรากฏในบนั ทึกของโจวต๋ากวาน ครน้ั ถงึ ในสมยั หลงั พระนคร ปรากฏการพระราชพิธีเดือน ๕ ในรัชกาลสมเดจ็ พระศรีสุรโิ ย พรรณ ซึ่งพงศาวดารละแวก ฉบับแปล จ.ศ. ๑๑๗๐ กล่าวว่า “...คร้ันเดอื น ๕ ข้างขนึ้ จ่งึ สมเด็จพระราชโองการพระองคส์ ั่งเจ้าพนักงานใหบ้ ุพระพุทธรูป ด้วยทองคํา๕ พระองค์ เดือน ๕ แรม ๑๒ ค่ํา สมเด็จพระราชโองการกับสมเดจ็ พระอัครมเหษีเสด็จไป กอ่ พระทราย ณ วดั รมิ พระราชวัง สงั่ ให้มีมหรศพสมโภช ครั้นแรม ๑๓ คาํ่ ๑๔ ค่ํา จงึ ข้าราชการ ผู้ใหญผ่ ู้นอ้ ยไปกอ่ พระทรายตามบนั ดาศกั ดิ์ จึง่ ให้อาราธนาพระพุทธรูปทองคาํ ท้ัง ๕ พระองคน์ นั้ ไปไว้ ณ ศาลารมิ พระทรายแล้ว จึ่งนิมนตส์ มเด็จพระสังฆราชและพระราชาคณะท้ัง ๗ องค์น้นั ไปสวดมนต์ ณ ศาลานน้ั คร้นั พลบค่าํ มีผะชนั แลว้ จดุ ดอกไม้เพลิงและระธา ครั้น ณ วันพฤหัสบดเี ดือน ๖ ข้นึ คํ่าหนึง่ เปน็ วันเถลิงศก ศกั ราช ๑๕๓๖ ปีขาล นกั ษตั รศก (พ.ศ. ๒๑๕๗) สมเดจ็ พระราชโองการกับพระมเหษี เสด็จไป ณ ศาลาพระราชพิธีนน้ั พระองคเ์ สดจ็ ประทกั ษิณพระทรายแล้ว เสดจ็ มาถวายสํารบั พระสงฆ์ฉนั ฉลองแลว้ เสดจ็ ออกพลบั พลาเรียก มวย หนุ่ โขน กเ็ ล่นสมโภช แลว้ ทงิ้ กัลปพฤกษ์ แล้วเสด็จกลับเข้าพระราชวงั แลว้ สง่ั เจา้ พนกั งานข้าราชการต้ัง กระบวนแห่ จะเสดจ็ พระราชดําเนินไปนมัสการพระธาตเุ จดยี ์ ครนั้ ได้ฤกษ์สมเดจ็ พระราชโองการเสด็จ ทรงช้างพระทนี่ ่ัง ผกู กระโจมทอง เสดจ็ ไปนมสั การพระธาตเุ จดีย์ มลี ะคร มอญรําสมโภช เสรจ็ แล้ว เสด็จกลบั มาส่พู ระราชวงั ขา้ งไสยศาสตร์น้ัน พราหมณป์ โุ รหิตตง้ั พระราชพธิ พี ระตาํ รําตนั คาํ พระกระยาเสวยเสร็จ แลว้ ให้ขา้ ราชการผ้ใู หญ่ผ้นู อ้ ยน่งุ สมปักลายใส่เสื้อครุย ใส่หมวกลอม แตง่ ตวั โอ่โถง ณ โรงพระราชพิธี พระตํารําให้พร้อม คร้นั ได้ฤกษ์ จึ่งสมเด็จพระราชโองการกบั สมเด็จพระอคั รมเหษี กํานัลขา้ งใน นงุ่ ลายหม่ สี ตา่ งๆ แห่ไปสู่โรงพระราชพิธี ขนุ นางถวายบังคม ๓ หน เจา้ พนกั งานยกกระยาพระตําราํ มา ถวาย ครัน้ เสวยเสรจ็ แล้วใหม้ ีเพลงราํ ระบําเทพทอง แล้วเสดจ็ กลับมาสูพ่ ระราชวงั แล้วจง่ึ สมเดจ็ พระ มหาอปุ ราชและพระวงศานุวงศ์ และขา้ ราชการผู้ใหญ่ผ้นู ้อย แต่งตวั นงุ่ สมปักตามบนั ดาศักด์ิ แตง่ ดอกไมธ้ ปู เทยี นมดี อกบัวหลวงเปน็ ต้นมาถวายพระองค์ ณ พระทน่ี งั่ อตเิ รกวิสุทธิ์ เป็นพระราชพิธี

๑๑๘ ประจําเดอื น ๕...” พระราชพิธเี ดอื น ๕ ในราชพงษาวดารกรุงกมั พชู า กล่าวถึงพระราชพิธเี ดือน ๕ ในรัชกาล สมเดจ็ พระหริรักษ์รามาอิศราธบิ ดี (พระองค์ดว้ ง) วา่ “...ในเดือน ๕ (ก) พระราชพิธีถือ นํา้ พระพพิ ฒั น์สตั ยา (ข) พระราชพธิ สี งกรานตข์ ้นึ ปใี หม่..” นริ าศนครวัด พระนพิ นธส์ มเด็จฯ กรมพระยาดํารงราชานภุ าพ ทรงบันทกึ ไวว้ า่ ในเดือน ๕ รัชกาลสมเดจ็ พระศรสี วัสดิ์ กัมพชู ามพี ระราชพิธี“ ..พิธีเผดจ็ ศกึ สงกรานต์ เดือน ๕ สวดมนต์ ๓ วนั ทรงรดน้าํ พระสงฆ์ เทา่ พระชันษา และเสดจ็ ออกสนาม มีการเลน่ กีฬาและมวยปลํา้ ” หนงั สือพระราชพธิ ีทวาทสมาส ภาค ๑ ของ ออกญาเทพพทิ ู (ฌึม กรอเสม) กลา่ วถึงพระ ราชพิธีต่างๆ ในเดอื นห้าของเขมรไวค้ ือ พิธรี ับเทวดาใหม่ พิธีสร้างวาลกุ เจดยี ์ พิธีเจริญพระปรติ ร พธิ ี สรงนา้ํ พระสงฆ์ พิธีเทศนาสงั คายนาฉลองพระราชพิธสี รงของพระเจา้ แผน่ ดิน พิธรี บั ถวายนํ้า ถวาย เทียน และถวายชยั มงคล พระราชพิธสี นานจตรุ งคเสนา พระราชพธิ พี ระกระยาเสวยขา้ วแช่ ในเดอื นนี้ มีพธิ ีต่างๆ ได้แก่ พธิ ีตรษุ สงกรานต์(ท่ีจดั ขน้ึ วนั ท่ี ๑๔ มีนาคม ๑๙๐๔) พิธีทาํ บุญขึน้ ปใี หม่ (จลู ฉนฺ าํ ) ซง่ึ มที ั้งบุญขน้ึ ปใี หมข่ องประชาชน บญุ ข้ึนปีใหม่ในพระราชวัง เม่อื ค.ศ. ๑๙๐๓ งานบุญขึ้นปใี หม่ของ บารคู (พราหมณ)์ งานขนึ้ ปใี หมใ่ นสมเด็จพระนโรดม และเสวยบายตาํ รํา (ข้าวแซ่) ในเดือนเจตร ๓.๒.๒ พระราชพธิ เี ดือนหก (เดอื นพิสาข) บันทกึ ว่าดว้ ยฃนบธรรมเนียมประเพณขี องเจนิ ลา่ ของโจวต๋ากวาน บันทกึ ถงึ พระราชพธิ ี เดอื น ๖ ไวว้ ่า “...เดอื น ๔ ทง้ิ ลกู กลม” เดือน ๔ ในที่น้ี โจวต๋ากวานนบั ตามเดือนแบบจนี จงึ ตรงกบั เดอื น ๖ ของกรงุ กมั พชู า ลูกกลมในที่น้นี ่าจะหมายถงึ การทง้ิ ลกู ข่าง ตอ่ มาเม่อื ถงึ สมัยหลังพระนครพงศาวดารละแวก ฉบับแปล จ.ศ. ๑๑๗๐ กล่าวถึงพระราช พิธีเดือน ๖ ในรชั กาลสมเด็จพระศรีสรุ โิ ยพรรณ ไวว้ ่า “...ครัน้ ณ เดือน ๖ ขา้ งขึ้น จ่ึงพราหมณป์ โรหิตเจา้ พนักงานทําราชวัฏฉัตรธงเสรจ็ แลว้ ไป ตงั้ โรงพระราชพิธี ณ ทอ้ งนา เอาไม้แก่นปกั เปน็ เสา ประโคนไว้เปน็ เขตต์เป็นหลัก แล้วพราหมณ์ ปุโรหติ เจ้าพนักงานจง่ึ พลีกรรมบวงสรวงตามคัมภีรไ์ สยศาสตรแล้ว ให้ขา้ ราชการตัง้ กระบวนแห่นงุ่ ห่ม ดุจ อย่างพระราชพธิ ีท้ังปวง ครัน้ ได้ฤกษ์ จง่ึ สมเด็จพระราชโองการกับพระมเหษี เจ้าพนักงานขนุ นาง ข้างใน พระสนมกํานลั แต่งตัวดจุ อย่างพระราชพธิ ที กุ ครัง้ ทรงชา้ งกระโจมจําลองประเทียบแหไ่ ป ณ กรมศลิ ปากร, ประชุมพงศาวดารภาคท่ี ๗๑ (พระนคร: กรงุ เทพบรรณาคาร, ๒๔๘๑), หนา้ ๕๐. กรมศลิ ปากร, ราชพงษาวดารกรงุ กัมพชู า, หนา้ ๓๑๒. สมเดจ็ ฯ กรมพระยาดาํ รงราชานภุ าพ, นิราศนครวัด, (กรุงเทพฯ: มตชิ น, ๒๕๔๕), หนา้ ๕๕. เฉลิม ยงบญุ เกิด, บันทึกว่าด้วยขนบธรรมเนียมประเพณีของเจินละ, (กรุงเทพฯ: มติชน, ๒๕๔๓), หน้า ๒๖.

๑๑๙ โรงราชพิธีท้องนา ขุนนางถวายบงั คมพร้อมแลว้ เสด็จทรงจรดพระนงั คลั เสร็จแล้ว เสด็จมาประทับ ณ พลบั พลา ให้มกี ารเลน่ แล้วเอาผลไม้แจกข้าราชการเลย้ี งดูเสร็จแลว้ เสดจ็ กลบั มาพระราชวงั พุทธศาสตรนั้น ครน้ั ณ เดือน ๖ ขนึ้ ๑๕ ค่ํา พระองคใ์ หน้ มิ นต์ พระสงฆม์ าฉัน ณ พระที่ นั่งอตเิ รกวสิ ทุ ธ์ิ มีพระพุทธเจ้าทองคํา ๕ พระองค์ เปน็ ประธาน กษตั ริย์ ๒ พระองค์ทรงขาวแลว้ ทรง ศีล พระสงฆ์ฉัน ๘ วนั คร้นั ณ เดอื น ๖ แรม ๘ คํา่ ฉันเชา้ แล้ว วเิ สทจัดขนมกลว้ ยอ้อยหมากพลเู ป็น เครือ่ งกระจาดใหญ่ ๗ กระจาดอนั ดับตามสมควร ใหส้ ังฆการีนาํ เจา้ พนักงาน มีปีห่ ้องกลองจนี แหไ่ ปสู่ พระอารามถวายพระสงฆต์ ามลําดับ พระราชพธิ ีประจําเดือน ๖ เท่าน.้ี .” พระราชพิธเี ดอื น ๖ ในราชพงษาวดารกรงุ กมั พชู า กล่าวถึงพระราชพธิ ี เดือน ๖ ในรชั กาล สมเดจ็ พระหรริ กั ษ์รามาอิศราธิบดี (พระองคด์ ้วง) ว่า “...ในเดือน ๖ (ก) ต้นเดอื นถวายขา้ วแช่ แด่ พระภิกษสุ งฆ์ (ข) วนั เพญ็ ขึ้น ๑๕ คาํ่ ทรงให้ทาํ สลากภัตร (ค) วนั แรม ๓ คา่ํ เสด็จออกทรงแรกนา ขวญั จรดพระนังคัล...” นิราศนครวัด พระนิพนธ์สมเดจ็ ฯ กรมพระยาดํารงราชานุภาพ ทรงบนั ทึกไว้ว่าในเดือน ๖ รชั กาลสมเด็จพระศรสี วสั ดิ์ กมั พชู ามีพระราชพธิ ี “พิธีแรกนาเดือน ๖ สวดมนต์ ๓ วัน แรกนาขวญั ที่ ทุ่งพระเมรขุ า้ งเหนือพระราชวัง” หนังสอื พระราชพธิ ที วาทศมาส ภาค ๒ ของออกญาเทพพทิ ู (ฌึม กรอเสม) และ ขนุ อุดม ปรชี า (จาบ พิน) กลา่ วถงึ พระราชพธิ ตี า่ งๆในเดอื นพิสาข (เดือนหก) ๔ พระราชพิธีคอื พระราชพิธีขึ้น นกั ตาสลากภตั ร วิสาขบูชา พระราชพิธจี รดพระนงั คัล ๓.๒.๓ พระราชพธิ เี ดอื นเจ็่ด (เดอื นเชษฐ์) บนั ทกึ วา่ ด้วยขนบธรรมเนยี มประเพณีของเจินลา่ ของโจวต๋ากวาน บนั ทึกถงึ เดือน ๗ วา่ เป็นงานสรงนํา้ พระพทุ ธรูป ดงั นี้ “...เดอื น ๕ (เดือน ๕ ในทีน่ ีโ้ จวต๋ากวานนับตามเดือนแบบจนี จึงตรงกับเดือน ๗ ของ กมั พชู า) เป็นงานสรงนาํ้ พระพทุ ธรูปท้งั ทอี่ ยู่ใกล้และไกล แล้วนาํ เอานํา้ ทส่ี รงพระพุทธรปู แล้วมาถวาย พระเจ้าแผน่ ดนิ สรงน้าํ และมีงานแล่นเรือบนบก ซง่ึ พระเจ้าแผ่นดินจะเสด็จประทบั ทอดพระเนตรอยู่ บน พลบั พลาสูง...” พระราชพิธเี ดือน ๗ สมัยหลงั พระนคร ในรัชกาลสมเดจ็ พระศรีสรุ โิ ยพรรณ ปรากฏใน พงศาวดารละแวก ฉบบั แปล จ.ศ. ๑๑๗๐ กลา่ ววา่ กรมศลิ ปากร, ประชมุ พงศาวดารภาคท่ี ๗๑, หนา้ ๕๐ -๕๑. กรมศลิ ปากร, ราชพงษาวดารกรุงกัมพูชา, หน้า ๓๐๙. สมเดจ็ ฯ กรมพระยาดํารงราชานุภาพ, นิราศนครวัด, หนา้ ๕๕. เฉลมิ ยงบุญเกิด, บันทกึ ว่าด้วยขนบธรรมเนียมประเพณขี องเจินละ, หนา้ ๒๖.

๑๒๐ “...ครนั้ ณ เดือน ๗ ขึ้น ๑๕ คาํ่ เป็นพระราชพิธีพุทธศาสตร์ บวชนาคหลวง สงั่ เจ้า พนักงานให้ทาํ เรอื ขนาน ๕ ลาํ มีราชวฏั ิฉัตรธงพรอ้ มไปทอดท่ไี ว้ ณ ทา่ นมิ นตพ์ ระราชาคณะและ พระสงฆ์ไปนง่ั หตั ถบาสบวชนาค ณ เรอื ขนาน พระพุทธรปู ทองคาํ ๕ พระองค์นั้นอาราธนาไปนัน่ ด้วย แหน่ าคหลวงมาถึง เรอื ขนานพรอ้ มแล้ว ครั้นไดฤ้ กษ์จึง่ แห่สมเดจ็ พระราชโองการลงไปสเู่ รือขนาน แลว้ พระองคท์ รงถวายเรอื ขนานแกส่ มเด็จพระสังฆราชและสงฆท์ งั้ ปวงเสรจ็ แล้ว พระองคก์ เ็ สดจ็ กลับมาสู่ พระราชวัง ขา้ งแรม พระราชพธิ ไี สยศาสตรนั้น พราหมณป์ โรหติ เจ้าพนักงานทาํ ราชวัฏฉัตรธงตามเคย แล้วเชญิ พระพราหมณ์ออกมาจากกุฎี ตัง้ โรงราชพิธีรมิ วดั น้ัน กระทาํ พลกี รรมบวงสรวงบูชาเทวดา แล้วแหพ่ ระพราหมณม์ าสูพ่ ระราชวังพระท่นี ั่งมงั คลาภเิ ษกเปน็ มงคลแล้ว แห่พระกลับมาสู่วดั พราหมณ์ เสร็จการพระราชพธิ ีพราหมณป์ ระจาํ เดอื น ๗ เทา่ นี้...” ในราชพงษาวดารกรงุ กัมพูชา กลา่ วถึงพระราชพธิ เี ดือน ๖ ในรชั กาล สมเดจ็ พระหรริ กั ษ์ รามาอศิ ราธบิ ดี (พระองคด์ ว้ ง) วา่ “...ในเดอื น ๗ (ก) วันแรม ๑๔ ค่ํา เสดจ็ ทรงพระราชดําเนินไปทรง บวชนาคทีพ่ ระตาํ หนกั ทา่ หลวง...” ๓.๒.๔ พระราชพิธีเดอื นแปด (เดือนอาษาฒ) พระราชพิธีเดือนแปดของกรงุ กมั พชู าสมยั พระนครไม่ปรากฏในบนั ทึกของโจวตา๋ กวาน หลกั ฐานท่เี กา่ แก่ทีส่ ุดของพระราชพิธใี นเดือนน้ีจงึ ปรากฏในราชสาํ นักกรุงกมั พูชาสมยั หลงั พระนคร พระราชพธิ เี ดือนแปด สมัยหลังพระนครปรากฏในพงศาวดารละแวก ฉบบั แปล จ.ศ. ๑๑๗๐ กลา่ ว ถงึ การพระราชพิธีในรัชกาลสมเด็จพระศรีสรุ โิ ยพรรณ แบง่ เป็นพระราชพิธี ทางพทุ ธศาสตร์ และไสย ศาสตร์ ดังนี้ “...ครน้ั ณ เดอื น ๘ ข้นึ ๑๕ คํ่า เพลาเช้า อาราธนาพระพทุ ธรูป ๕ พระองคม์ าตั้ง ณ พระ ทนี่ ่ังอติเรกวสิ ทุ ธิ์ นมิ นตส์ มเดจ็ พระสงั ฆราชและพระราชาคณะ พระสงฆ์ มาสวดมนตร์ ับพระวษา สวดถวายพรพระฉนั กษตั ริย์ท้งั ๒ พระองค์ทรงขาวทรงศีลเลยี้ งพระสงฆ์ๆ ฉันแลว้ ถวายพระพรลาไป ครนั้ เพลาบ่ายพระราชาคณะและพระสงฆ์ทั้งปวงมสี มเด็จพระสงั ฆราชเป็นตน้ มาถวายพระพร ณ พระ ทนี่ งั่ อติเรกวิสุทธิ์ จง่ึ สมเดจ็ พระราชโองการอาราธนา นมิ นตพ์ ระสงฆ์ทง้ั ปวงใหเ้ ข้าพระวษาแรมค่ําหนึ่ง ตามอย่างกฎหมาย พทุ ธศาสตร ราชศาสตร พระสงฆท์ ้งั ปวงถวายพระพรลาไปเขา้ พระวษายงั พระ อาราม แล้วพระองคจ์ ึ่งส่งั เจา้ พนักงานทําเตยี งนอนกบั หมากพลู ข้าวตอกดอกไม้ ไม้สพี ระทนตไ์ ม้ชําระ ตามธรรมเนียม ถวายพระราชาคณะ๕องค์ ทาํ เสร็จแล้วเจา้ พนักงานเตรียมแหใ่ หส้ ังฆการีนําไปถวาย พระสงฆ์ ณ พระอารามตามรับสัง่ กรมศลิ ปากร, ประชุมพงศาวดารภาคที่ ๗๑, หน้า ๕๑ กรมศลิ ปากร, ราชพงษาวดารกรุงกัมพูชา, หนา้ ๓๑๐.

๑๒๑ ข้างแรมพระราชพิธีพราหมณ์ มาต้ังโรงราชพธิ รี มิ พระราชมนเทยี รในพระราชวงั พราหมณ์ ปุโรหติ เชญิ ซ่ึงพระแสงขรรค์ พระแสงปนื พระแสงธนู พระแสงหอก พระแสงดาบทงั้ ปวงมาชาํ ระ ณ โรงราชพธิ ี แล้วพลีกรรมบวงสรวง ณ พระที่นงั่ มังคลาภิเษก เสร็จแล้วเชญิ ไปทอด ไว้ดงั เก่า พระราช พธิ ปี ระจําเดือน ๘ เท่าน.ี้ ..’’ ในราชพงษาวดารกรงุ กัมพูซา ฉบบั นักองค์นพรัตน์ กล่าวถงึ พระราชพธิ เี ดอื น ๘ ในรัชกาล สมเดจ็ พระหรริ กั ษ์รามาอิศราธบิ ดี (พระองคด์ ว้ ง) วา่ “...ในเดอื น ๘ (ก) วนั ขน้ึ ๑๔ คํา่ ทรงให้หลอ่ เทยี นพระวัสสาถวายแด่พระอารามหลวง (ข) วันเพ็ญขึ้น ๑๕ คาํ่ ทรงจุดเทยี นพระวัสสาแลนิมนต์ พระสงฆเ์ ขา้ พระวสั สา (ค) วันแรม ๘ ค่ํา ทรงให้นมิ นต์พระสงฆ์ ๕๐๐ รปู มาทาํ สังคายนาทปี่ ลายทอ้ ง พระโรงครบถ้วน ๓ วัน ทรงบริจาคจตปุ จั จยั เครื่องไทยทาน ถวายแด่พระภิกษสุ งฆท์ ุกๆ องค์...” นริ าศนครวดั พระนิพนธส์ มเดจ็ ฯ กรมพระยาดํารงราชานภุ าพ ทรงบนั ทกึ ไวว้ า่ ในเดอื น ๘ รัชกาล สมเด็จพระศรสี วสั ด์ิ กัมพูซามีพระราชพิธี “เขา้ พรรษา เดือน ๘ สวดมนตใ์ นพระราชวงั วันหนึง่ ทรงจดุ เทยี นวสั สาทว่ี ดั พระแก้ว” หนังสอื พระราชพธิ ีทวาทศมาส ภาค ๓ ของขนุ อุดมปรีชา (จาบ พน) ได้กล่าวถึงการพระ ราชพิธี ๓ อย่างทจี่ ะจดั ขน้ึ ในเดอื นน้ีคอื พระราชกศุ ลหลอ่ เทยี นพรรษา พระราชกุศลบวชนาค พระ ราชพิธนี มิ นตเ์ ทวรูปเข้าพรรษา หนงั สอื กล่าวว่าในเดอื นนมี้ พี ิธีตา่ งๆ ได้แก่ ทาํ บญุ เข้าพระวัสสา พิธี เข้าพระวสั สาของบารคู (พราหมณ)์ ๓.๒.๕ พระราชพธิ ีเดือนเก้า (เดอื นสราพณ์) พระราชพธิ เี ดือน ๙ สมัยพระนครปรากฏในบนั ทกึ วา่ ด้วยขนบธรรมเนยี มประเพณีของเจิน ล่า ว่า “...เดือน ๗ เปน็ งานเผาข้าว ในขณะนัน้ ข้าวใหม่สกุ แลว้ เขานาํ เอาข้าวออกไปนอกทวารดา้ นทศิ ใต้แล้วเผา เปน็ พุทธ บชู า มสี ตรีนง่ั เกวยี นและข้นึ ช้างพากนั ไปชมนับจํานวนไมถ่ ว้ น แต่พระเจ้าแผ่นดนิ น้ันไมเ่ สดจ็ พระราช ดําเนนิ ” พระราชพิธีเดอื น ๙ ของกรงุ กัมพูซาสมยั หลังพระนคร ปรากฏในพงศาวดารละแวก ฉบบั แปล จ.ศ. ๑๑๗๐ ซึง่ กล่าวถงึ การพระราชพธิ ีเดือน ๙ ในรัชกาลสมเดจ็ พระศรสี ุริโยพรรณ ดงั น้ี “...ครนั้ ณ เดอื น ๙ ข้ึน ๑๕ คา่ํ ให้ข้าราชการไปปลกู รา้ นรับดอกบวั มเี ตียงใส่ดอกบวั นนั้ ๕ เตยี ง คร้นั ได้ฤกษต์ ั้งพยุหยาตราเสดจ็ พระราชดาํ เนนิ ไปรบั ดอกบวั มาส่งให้เจ้าพนักงาน ใหเ้ จ้า พนักงานจดั แจงให้ตี ใหส้ ังฆการี นาํ ไปถวายพระพทุ ธรูปและพระสงฆท์ ัง้ ๕ วนั ข้างแรมพระราชพิธไี สยศาสตร์ พราหมณ์ปโุ รหติ เชิญพระพราหมณม์ าตั้ง ณ โรงพิธรี มิ พระ สมเดจ็ ฯ กรมพระยาดํารงราชานุภาพ, นริ าศนครวดั , หน้า ๕๕. เฉลมิ ยงบญุ เกดิ , บนั ทกึ ว่าดว้ ยขนบธรรมเนียมประเพณขี องเจินละ, หน้า ๒๖.

๑๒๒ ตาํ หนักในพระราชวงั กระทําพลีกรรมบวงสรวงบชู า ฆอ้ งสําหรับขานประจาํ ยามให้เปน็ มงคล พระราช พธิ ีเดือน ๙ เทา่ น”้ี พระราชพธิ เี ดือน ๙ ในราชพงษาวดารกรุงกมั พูชา กลา่ วถงึ พระราชพิธี เดอื น ๙ ในรชั กาล สมเด็จพระหรริ กั ษร์ ามาอศิ ราธบิ ดี (พระองค์ดว้ ง) วา่ “...ในเดอื น ๙ (ก) วนั เพญ็ ๑๕ คํา่ เสด็จออกทรง เกบ็ ดอกบวั แลว้ แตง่ ให้เปน็ พุ่ม แหไ่ ปถวายพระพทุ ธรูปทกุ ๆ พระอาราม” นิราศนครวัด พระนพิ นธส์ มเดจ็ ฯ กรมพระยาดํารงราชานภุ าพ ทรงบันทกึ ไวว้ า่ ในเดอื น ๙ รัชกาลสมเดจ็ พระศรสี วสั ด์ิ กมั พูชามีพระราชพิธี “เฉลมิ พระชันษา เดือน ๙ สวดมนตใ์ นพระราชวงั ๓ วนั ถวายไตรเทา่ พระชันษา ทใ่ี นวงั แต่งประทปี และเกณฑ์ขา้ ราชการตง้ั โต๊ะเครื่องบูชา นัดออกร้าน ขายของทพ่ี ระระเบยี งวดั พระแกว้ ด้วย” หนังสอื พระราชพิธที วาทศมาส ภาค ๓ ของขุนอุดมปรชี า (จาบ พิน) กลา่ วถงึ พระราชพธิ ี ท่ีจดั ขึ้นในเดอื น ๙ คอื พระราชพธิ ีบูชาพระขรรค์ พระราชพธิ เี สดจ็ ออกประพาสบงึ เกบ็ ดอกบวั ถวาย พระ แมพ้ งศาวดารละแวก ฉบับแปล จ.ศ. ๑๑๗๐ จะกลา่ วถงึ พระราชพิธี เสด็จออกประพาสบงึ เกบ็ ดอกบัวถวายพระตรงกัน แต่ในด้านพระราชพิธีทางไสยศาสตร์นั้นไมต่ รงกบั พระราชพิธีท่ีปรากฏใน พระราชพิธที วาทศมาส ฉบับเขมรของขนุ อุดมปรีชา (จาบ พนิ ) กล่าวถึงพระราชพิธีบชู าพระขรรค์ แต่ ในพงศาวดารละแวกกล่าวถงึ การบวงสรวงฆอ้ งยาม ๓.๒.๖ พระราชพธิ ีเดอื นสิบ(เดือนภทั รบท) พระราชพธิ เี ดอื น ๑๐ สมยั พระนคร ปรากฏในบันทกึ ว่าดว้ ยขนบธรรมเนียมประเพณขี อง เจนิ ละ ดงั นี้ “...เดือน ๘ เป็นงานไอหลาน ไอหลานน้นั กค็ ือการฟูอนราํ เขากาํ หนดตัวนกั แสดงและ พวกดนตรีไว้ แต่ละวันใหไ้ ปร่ายราํ กันในพระราชวัง และยังมีงานกดั หมู่ชนช้าง พระเจา้ แผ่นดนิ ทรง เชิญพวกราชทตู ไปชมดว้ ยเหมือนกนั เป็นอยู่ดังนีถ้ ึง ๑๐ วนั ...” พระราชพธิ เี ดือน ๑๐ สมยั หลังพระนครปรากฏในศลิ าจารกึ นครวัด สมยั หลังพระนครหลกั ท่ี ๓ จารึกขึน้ เมอื่ พ.ศ. ๒๑๒๒ ตรงกับรชั กาล สมเดจ็ พระสตั ถาว่า “...แล้วพระองค์โปรดใหล้ ําดับ กระยาบชู าสาํ หรับเทศกาลสารท คือนมิ นต์อริยสงฆ์อนั ทรงจตบุ ริสทุ ธศ์ิ ีล ๘ องค์ และราชคณาจารย์ ทงั้ ผองมาทําพธิ ีตรรปณะ ถวายขา้ วบิณฑ์ และทําพธิ มี งคล ๘ พรง่ั พรอ้ มดว้ ย สรรพผลไม้และดอกไม้ กรมศิลปากร, ประชมุ พงศาวดารภาคท่ี ๗๑, หน้า ๕๒. กรมศลิ ปากร, ราชพงษาวดารกรงุ กมั พูชา, หนา้ ๓๑๐. สมเดจ็ ฯ กรมยาดารงราชานภุ าพ,นริ าศนครวัด,หน้า ๕๕. เดอื น ๘ ในทีน่ ี้โจวต๋ากวานนบั ตามเดอื นแบบจีน จงึ ตรงกบั เดอื น ๑๐ ของกัมพูชา เฉลมิ ยงบุญเกิด, บันทึกวา่ ด้วยขนบธรรมเนยี มประเพณีของเจินละ,หนา้ ๒๖

๑๒๓ เครือ่ งหอม เครื่องบชู า พิธปี ัญจเยชญ์ ตามทีมใี นคมั ภรี เ์ พือ่ สง่ สว่ นกศุ ลไปยงั พระญาติบิดรทั้งผองใน ๗ ชัน้ และสรรพสัตว์ทัง้ ผองอนั ตกไหมอ้ ยูใ่ นจตรุ าบายภมู ิ...” นอกจากนยี้ ังปรากฏในพงศาวดารละแวกฉบับแปล จ.ศ. ๑๑๗๐ ซึง่ กลา่ วถงึ พระราชพิธี เดอื น ๑๐ ในรัชกาลสมเด็จพระศรสี ุริโยพรรณไว้ว่า “...ทนี จี้ ะว่าดว้ ยพระราชพธิ พี ทุ ธศาสตรเ์ ดือน ๑๐ มีพระราชโองการ ส่ังให้เจ้าพนักงาน เบกิ ทองคํากระทําพระพุทธรปู ๑๕ พระองค์ แล้วใหจ้ ดั แจง ตกแต่งพระท่ีนงั่ อติเรกวิสุทธิพ์ ระสันนยา และพระศุขไสยาสน์ดาษเปน็ อนั ดแี ล้ว อาราธนาพระพทุ ธรปู ทก่ี ระทําไวน้ ้นั มาไว้ในพระท่ีน่ัง แล้วให้ สงั ฆการนี ิมนต์พระราชาคณะมีสมเดจ็ พระสังฆราชเป็นต้น มาสวดพระพุทธมนต์เพลาบ่าย ครั้น ณ เดอื น ๑๐ แรม ๑๓ คํา่ ครั้นรงุ่ ข้ึน ณ วัน ๑๔ ค่ํา ฉันเช้า กษัตริยท์ งั้ ๒ พระองคเ์ สด็จออกทรงบาตร ถวายภาชนะพระสงฆ์ฉันเสรจ็ แล้ว เสดจ็ ข้ึนรดู พระสนั นยา พระสงฆถ์ วายพระพรลาไป ครั้นเพลาบา่ ย ใหเ้ จ้าพนักงานตกแตง่ เครอ่ื งชาคณุ สมเด็จพระราชบดิ รนัน้ จาํ เพาะพระพกั ตร์พระพทุ ธเจ้า แลว้ ให้ พราหมณ์บุ่โรหติ เชญิ ออกมาซ่ึงพระเบญจกระเสตร มาไว้ในพระทนี่ ัง่ อติเรกวิสุทธิ์นอกอุปจาร และมี แครท่ องตงั้ แล้วพราหมณป์ โรหติ นํามาซึ่งพระขรรคพ์ ระแสงปีน พระแสงหอก พระแสงธนศู ร มาต้ังบน แครท่ องนนั้ แล้ว เอาลกู ธนศู รมาวางข้างแครท่ องกาํ หน่ึง แล้วพราหมณ์ปโรหิตเจ้าพนกั งาน ตีกลอง ชยั เภรีบณั เฑาะวเ์ ป็นสญั ญาพระฤกษค์ รัน้ เพลา๕ โมงเยน็ แลว้ กษตั รยิ ์ ทัง้ ๒ พระองคถ์ วายบังคม สมเดจ็ พระราชบิดร แล้วพระราชโองการเสดจ็ ออกแตพ่ ระองค์เดยี ว ถวายบงั คมพระเบญจกระเสตร แล้วสัง่ ใหจ้ ดุ ดอกไม้เพลิงเป็นต้นวา่ พลุ พะเนียง ระธา รงุ่ พลุจนี ไฟม้า ไฟกระถาง เสร็จแล้ว เสดจ็ มา ฟพู ระทน่ี ่งั แล้วจ่ึงใหส้ ังฆการนี ิมนต์พระสังฆราชมาเทศนาพระบาท วิชาธรบอกอานิสงส์ ทรงธรรม เสร็จแล้วเสด็จขน้ึ ครนั้ รงุ่ ขึน้ ณ วนั แรม ๑๕ คํ่า สารท เพลาเช้าสังฆการีนิมนตพ์ ระสงฆ์มา ณ พระท่ี น่ังอตเิ รกวิสุทธน์ิ น้ั พร้อมแล้ว กษตั ริยท์ ้งั ๒ พระองคเ์ สด็จออกมาทรงบาตรเลีย้ งพระสงฆ์ฉนั เสร็จแล้วก็ถวาย พระพรลาไป แลว้ กษตั ริย์ท้ัง ๒ พระองคเ์ สด็จข้ึนชักพระสันนยาแลว้ ข้าราชการผ้ใู หญผ่ ้นู อ้ ยกอ็ อกจาก พระทน่ี ่งั ส้ิน...” ในราชพงษาวดารกรงุ กมั พชู า กลา่ วถึงพระราชพธิ ีเดือน ๑๐ ในรัชกาลสมเด็จพระหรริ กั ษ์ รามาอิศราธิบดี (พระองค์ด้วง) วา่ “...ในเดือน ๑๐ (ก) นิมนต์พระสงฆ์ไปรบั บิณฑบาตรในพระราชวงั เรยี กว่า ถอื บิณฑ์ (ข) ถือน้ําพพิ ัฒน์สัตยา (ค) ถวายบังคมพระบรมรปู พระราชบิดร (ฆ) ทรงใหน้ ิมนต์ อไุ รศรี วรศะริน, จารกึ นครวดั สมัยหลังพระนคร ค.ศ. ๑๕๖๖-ค.ศ. ๑๗๔๗ (กรงุ เทพฯ:จงเจริญ การพมิ พ,์ ๒๕๔๒), หนา้ ๑๔๙. กรมศิลปากร, ประชมุ พงศาวดารภาคที่ ๗๑, หนา้ ๕๓ – ๕๔

๑๒๔ พระสงฆ์มาเทศนาคาถาพนั ...” นิราศนครวัด พระนิพนธส์ มเด็จฯ กรมพระยาดํารงราชานภุ าพ ทรงบนั ทกึ ไว้วา่ ในเดือน ๑๐ รัชกาลสมเด็จพระศรสี วัสดิ์ กัมพชู ามีพระราชพธิ ี “ พธิ ีสารท เดอื น ๑๐ แต่กอ่ นต้ังแต่แรกคา่ํ จน สนิ้ เดือน ๑๐ เลย้ี งพระทีใ่ นพระราชวังทกุ วนั แต่เดียวนลี้ ดลงคงเลย้ี งแต่ ๓ วนั แล้วถวายบงั คมพระ ราชบดิ ร คือบรุ พเปรตพลีเนอ่ื งในพิธสี ารท” นอกจากน้ยี งั มพี ระราชพธิ ี “ พิธถี ือนา้ ” ทําท่ีวดั พระ แกว้ มสี วดมนต์ ๓ วัน แตเ่ มื่อพราหมณ์ชบุ พระแสงนั้นทาํ เป็นพธิ พี ราหมณต์ า่ งหาก พระสงฆ์หาได้ เกย่ี วขอ้ งดว้ ยไม่ ในหนังสอื พงศาวดารกรงุ กัมพชู าวา่ เดอื น ๑๐ มกี ารเทศน์คาถาพนั ด้วยอกี อยา่ งหน่ึง ...” พระราชพธิ ีทวาทศมาส ภาค ๓ ของขุนอุดมปรีชา (จาบ พิน) กลา่ วถึงพระราชพิธีทส่ี าํ คัญ หลายพระราชพิธไี ด้แก่ พระราชกศุ ลถอื บณิ ฑ์ และประชมุ บิณฑ์ พระราชพิธถี วายพระราชกศุ ล พระ ราชพิธีถวายพระบดิ ร พระราชพธิ ีอภเิ ษกพระพุทธรูป พระราชพิธตี กั บิณฑ์ถวายเทวรูป หนงั สือกล่าว ว่าในเดือนนม้ี พี ธิ ีทําบุญถือบิณฑ์ พระราชพิธเี ดือนสบิ เขมรแสดงถึงการประสมประสานกันระหว่างพระราชพิธีพุทธและ พราหมณ์ไวอ้ ยา่ งชัดเจน กลา่ วคือพระราชพธิ ถี อื บิณฑ์ และการถวายพระราชกุศลเป็นพระราชพธิ ฝี ุาย พุทธ พระราชพิธีตักบิณฑ์ ถวายเทวรปู เป็นพระราชพิธีทผี่ สมระหวา่ งพิธกี รรมในศาสนาพราหมณก์ ับ พทุ ธ มูลเหตุของพธิ ีบุญถอื บณิ ฑแ์ ละบญุ ประชมุ บณิ ฑ์ ศาสตราหรือคมั ภีรใ์ นกมั พชุ รฐั น้ี ซงึ่ เป็นมูลเหตขุ องบญุ ถือบิณฑ์ และบญุ ประชมุ บณิ ฑ์ มี ๓ แบบ ดังได้นํามาแสดงโดยสงั เขปตอ่ ไปนี้ ๑. ศาสตราวชิ ชาธร มคี วามว่า “มีพระมหาเถรรปู ๑ ซื่อพระอปุ คุตเถระ ทา่ นเหาะแทรก กระลามหาปฐพีไปถึงสถานนรก ดว้ ยอํานาจฤทธิ์ของทา่ น มีดอกบัวทองขนาดกงราชรถผดุ ข้นึ รับพระ บาทท่าน ท่านกน็ ง่ั ขดั สมาธบิ นดอกบวั นนั้ ลอยอยู่บนฝูงนรก เหตดุ ว้ ยอานภุ าพพระเถระ พวกสตั วน์ รก ได้ถอนหายใจเขา้ ออกงา่ ยหนง่ึ เพลานั้น จึงพากันไหว้พระเถระ พระเถระมีพระทยั กรุณาแสดงธรรมให้ สดบั เมอ่ื พวกสตั ว์นรกได้สดบั ธรรม แลว้ กส็ ่งขา่ วมมี าถึงญาตสิ ันดานของตนอื่นๆ ว่า “บพิตรพระมหา เถร ถา้ พระกรณุ านมิ นต์กลับไปถงึ มนษุ ยโลกแล้ว ขอเมตตาโปรดบอกพอ่ แมพ่ ีน่ อ้ ง ลูกหลาน ญาตเิ ผา่ สันดานของเหลา่ ขา้ มชี ือ่ ดงั นี้ ขอให้สงสารกรุณามาถึงเหลา่ ข้า ทาํ บุญให้ทานอทุ ศิ ผลมาใหเ้ หล่าขา้ ผอง” กรมศลิ ปากร, ราชพงษาวดารกรุงกัมพชู า, หน้า ๓๑๐ – ๓๑๑. สมเด็จฯ กรมพระยาดาํ รงราชานภุ าพ, นริ าศนครวัด, หนา้ ๕๖. เรอ่ื งเดียวกนั หนา้ เดียวกนั

๑๒๕ เม่ือพระอุปคตุ เถระรับความท่สี ัง่ เสยี ของฝูงนรกแล้วกเ็ หาะคืนกลบั มาสู่มนษุ ยโลก ไดเ้ ข้า ไปถวายพระพรพระมหากษตั ริย์พระองค์หนึ่ง พระมหากษัตรยิ ท์ รงนาํ นาหมืน่ สรรพมุขมนตรี เศรษฐี คหบดี และชาวนครเป็นอันมาก เข้าไปกราบบงั คมพูลพระผู้มีบุญวา่ “บพติ รพระผูม้ บี ุญประเสรฐิ เอย หากครู ปาธยาย แม่ พอ่ พ่นี ้อง ลกู หลาน ญาติมติ รของเหลา่ ข้างบางคนไมไ่ ดท้ ําบญุ ให้ทานรกั ษาศลี เลย ทาํ แตส่ ่งิ ท่ีเป็นบาป ลสุ นิ้ อายไุ ป ไปเกดิ ในนรกรองรับทกุ ขเวทนา ถา้ อยา่ งน้ันปวงเราข้าเป็นพน่ี ้อง ลกู หลานทอ่ี ยู่ข้างหลงั จะตอ้ งทาํ พธิ ีบุญอยา่ งไร จึงอุทิศผลส่งไปให้สตั วน์ รกเหลา่ นน้ั ใหพ้ ้นทกุ ข์ได้?” พระผูม้ ีบุญทรงตรสั ตอบวา่ “หากมหาราชอยากทาํ อําเภอบุญกศุ ล อทุ ิศผลส่งไปใหส้ ัตว์ นรกเหล่าน้ันใหไ้ ด้ปลดเปลือ้ งมาแลว้ ตอ้ งทาํ ดังน้ี คือเริม่ จากวนั แรม ๑ ค่าํ เดอื นภัทรบท ตอ้ งทําข้าว บิณฑ์ ขา้ วเบิต (ข้าวอุทศิ ให้ผู้ลว่ งลบั )ทกุ วนั แลว้ ตอ้ งทําองค์พระพุทธรูป ๑ องค์ ๑ วัน จนถงึ วนั แรม ๑๕ ค่ํา เดือนภทั รบทนี้เอง ต้องถกู เพดาน ดาษมา่ นมูลี่ ปูเสื่อ ตอ้ งสมาทานจําศลี ให้บรสิ ุทธิป์ รากฏ ต้องปัดกวาดวดั วาอารามพระวหิ าร ตอ้ งจัดไทยทานเคร่ืองบรรณาการ มพี วงดอกไมท้ ่ีมกี ล่นิ หอมเป็น ต้น แลว้ ตอ้ งนิมนต์พระกมรเตงสงฆผ์ ู้ทรงศีลบรสิ ุทธิ์สวดธรรมมหาสมยั ต้องประกาศบวงสรวงอญั เชญิ ครูปาธยาย พ่อแม่ พีน่ อ้ ง ญาติกา ซึง่ จากโลกนีไ้ ปแล้วทงั้ หมด พรอ้ มดว้ ยเทวดา แล้วตอ้ งนิมนต์ท่าน เทศนา ศาสตราวิชชาธรชาดกในคนื นั้น ลเุ ชา้ ขนึ้ ตอ้ งทาํ ข้าวบณิ ฑ์ ข้าวเปิตโบร์ (ขา้ วซง่ึ อทุ ศิ ให้ผู้ ลว่ งลับ) ท้งั จงั หันผลไมแ้ ลสารพัดโภชนาหารทั้งปวง จดั เป็นคู่ไทยทานอังคาสใสบ่ าตรพระสงฆ์อุทศิ ผล สง่ ไปถึงพวกสัตวน์ รกเหล่านน้ั ด้วยอานภุ าพในการกระทาํ กศุ ลผลบุญน้นั สัตวน์ รกผองทัง้ หลาย จะไดห้ ลุดพ้น ออกจาก ทกุ ขภ์ ยั ในกาลนน้ั ได้ไปเกดิ ในสถานสวรรค์เทวโลกอันไกล แล้วให้พรศัพทส์ าธกุ ารมายังญาติสันดานซ่งึ ได้ทําบญุ ให้ทานอทุ ศิ ตรงสง่ ไปน้ัน ใหเ้ กิดสขุ สวัสดีทีฆายุยนื ยาวเรื่อยๆ ไป ในกาลน้ันเทอญ” ๒. ศาสตราอานสิ งสบ์ ิณฑ์ มคี วามว่า “พระผูม้ ีบุณยท์ รงตรสั แก่อนาถปิณฑิกเศรษฐวี ่า เหลา่ พ่อแมญ่ าตกิ าวงศาพน่ี อ้ งลกู หลานของชนท้ังหลายซ่งึ ตายไปกอ่ นๆ นนั้ จะไปเกิดในท่ีใดๆ กด็ ี แต่ ถงึ แรมเดือนภทั รบท ซ่งึ จดั ถอื บิณฑ์มกั มาชุมนมุ อยู่ในเวลานนั้ เหตดุ ว้ ยเดชะอานิสงค์ชองบญุ ซึ่งเหล่า ญาติสนั ดานไปทําข้าวบิณฑ์ข้าวอุทิศสว่ นกุศลในเดือนภทั รบท แลว้ อทุ ิศผลไปน้ันก็ได้หลุดพน้ ออกจาก นรกเปรตน้ันเทอญ” สว่ นสตั วน์ รกเปรตผองทง้ั หลาย ซง่ึ มาสมู่ นษุ ยโลก'ในเดือนภทั รบทนนั้ เปรตบางตนมาเกิด เป็นตก๊ั แตนผเี กาะร้องอยหู่ ลงั คาบ้าน บา้ งมาเกาะร้องอย่ยู อดจ่ัวบ้าน ขื่อบา้ น ปากประตบู า้ น เชงิ บันไดบ้าน ต้นไมข้ า้ งบ้าน เปรตบางตนมาถึงกลางทาง บ้างมาเขยง่ มองไปมา บา้ งซ่อนตัวมองอยู่ในที่ ไกล แลว้ คดิ พจิ ารณาอนิจจาตนวา่ “โอ้ตัวเราเอย อาภพั อะไรเช่นน้ีมาเกิดเปน็ เปรตนรกรองทุกข์ เวทนาทรุ าทุรนพน้ ประมาณหลายปีแล้ว เกดิ กระหายนํ้า คอแหง้ ยิง่ นัก” สัตว์นรกเหลา่ นน้ั เม่อื ถงึ เดอื นภทั รบทซึ่งชนทง้ั หลายไดจ้ ดั เตรยี มไทยทานขา้ วบณิ ฑข์ า้ ว เบติ โบรอ์ ุทิศผลานสิ งส์ส่งไป ก็มักได้หลุดพน้ มาเทอญ

๑๒๖ พระผู้มีบุณยต์ รสั วา่ แนะ่ อนาถบณิ ฑกิ ในวนั ประชุมบณิ ฑ์นั้นต้องผกู ระย้า ผกู ธง - เพดาน พาดดาษพร้อมทงั้ ม่านมลู่ ่ี เป็นตน้ แล้วเตรยี มไทยทาน เคร่ืองบรรณาการคือเทยี นธปู พวงมาลยั หมาก พลู และเครื่องหอม พร้อมทัง้ ผลไม้เล็กใหญ่ ของหวานโภชนาหารทงั้ ปวงบชู าพระสงฆ์ ผลานิสงสข์ องผลบญุ นั้นกส็ ง่ ไปถงึ บรรพบุรษุ พอ่ แมพ่ นี่ อ้ งลูกหลาน ญาติผองทงั้ ๗ ชัว่ คน ซึ่งตายไป เกดิ เปน็ เปรตนรกรองทกุ ขเ์ วทนานนั้ ให้ได้สมบัตสิ วรรค์สมบตั นิ ิพพานเปน็ สถานบรมสขุ ประเสริฐเทอญ แน่ะ อนาถบณิ ฑกิ บคุ คลชาย-หญงิ คนใดถา้ จะเตรียมข้าวบิณฑน์ ้ัน ตอ้ งอัญเชิญแมพ่ ่อ ผ้ใู หญผ่ เู้ ฒ่าท้ังหลายมาน่ังชมุ นมุ แลว้ เหลือทีว่ ่างกลาง ระหว่าง ๑ ศอก นาํ เนอื้ ปลาอาหารโภชนาและ ผลไมใ้ หญน่ ้อย ขา้ วตม้ ผัด (ขนมออ็ นซอ็ ม) ขนมเทียน (ขนมโกม) พร้อมกล้วย อ้อย เผือก มัน มะพร้าว โตนด พรอ้ มทั้งเคร่อื งบรรณาการท้ังปวง คือนําเทียนลปู พวงมาลยั ดอกไม้หมากพลูน้ํามันงามาบชู า พระรัตนตรยั แล้วใหแ้ มพ่ ่อผูใ้ หญ่ ผู้เฒ่าสมาลาโทษให้ เพราะเหตุว่าเปรตน้นั ส่ังมาว่า ใหเ้ หล่าญาติกา แมพ่ อ่ เฒา่ บรรพบุรษุ พอ่ แม่พี่นอ้ งลกู หลานสมาลาโทษใหด้ ้วย อย่าให้มเี วรกรรมต่อไปเลย หากในเดือนภัทรบทน้ัน ไมม่ ีผใู้ ดจดั ไทยทานขา้ วบิณฑข์ า้ วอทุ ิศส่วนกศุ ลบูชาพระรตั นตรัย ส่งผลไป เหล่าเปรตนรกทัง้ ปวงนัน้ กอ็ ดขา้ วอดนา้ํ กระหายหิวรองทกุ ขเ์ วทนายงิ่ นัก ดังน้นั แล้วเปรต เหล่าน้ันกด็ า่ สาปแชง่ ญาติ ทงั้ หลายให้เสื่อมสูญทรพั ยส์ มบัติสนิ้ เนอ้ื ประดาตัว พลัดพ่อแมส่ ามีภรรยา ลกู หลานญาตผิ องทั้ง ๗ ช่วั คน เป็นตน้ ฯลฯ ๓. คมั ภีร์เปตวัตถุ มคี วามว่า “มพี รานคนหน่ึงอย่ใู นกรงุ พาราณสี มักไปยิงสัตวใ์ นปาุ เลีย้ ง ชวี ติ ทกุ วัน เวลากลับคนื มาบ้าน พวกเดก็ ๆ มกั รมุ ลอ้ มขอเน้ือทุกครัง้ วันหนึง่ นายพรานนน้ั ไปยิงไม่ได้ สตั วก์ ็เกบ็ ตะแบกปาุ (บางอาจารย์ว่าเป็นราชพฤกษ์) ประดับตนและหาบเอามาบ้านเปน็ อนั มาก เม่อื ถึงหมู่บา้ นพวกเด็กๆ มาขอเนื้ออกี เหมือนทกุ ครง้ั พรานก็แจกดอกตะแบกปาใหค้ นละ ๑ ชอ่ เม่ือพราน นั้นตายไป เกิดเปน็ เปรตอากาศ (เปรตผูม้ ีกายเปล่าเปลือย) มีดอกตะแบกไพรประดับศีรษะ เดินไป ในน้าํ มุ่งตรงไปบ้านญาติของญาตขิ องตนเพอ่ื หาอาหารบรโิ ภค เวลานนั้ โกสิยอํามาตย์ เป็นอาํ มาตย์ พระเจ้าพิมพิสารนงั่ เรือไปปราบเมอื งประจนั ตคาม ได้เหน็ เปรตน้ัน ถามรู้ความแลว้ ก็มคี วามสงสาร จึง กลา่ ววา่ “สตั ตขู องเรามี ทําอยา่ งไรท่านจะรบั บริโภคได้?” เปรตตอบว่า “ในเรือน้ีถา้ มีอุบาสกผูต้ ง้ั ตน อยูใ่ นไตรสรณาคมน์ ขอทา่ นใหส้ ัตตแู ก่อุบาสกนน้ั แลว้ อทุ ศิ ส่วนกศุ ลให้ข้าเถดิ ” โกสยิ อาํ มาตยท์ าํ ตาม เปรตไดร้ บั อนโุ มทนาแลว้ ได้ความสุข จงึ กล่าววา่ “ขอใหท้ ่านเมตตาแกเ่ ปรตอื่นๆ ด้วย เมอ่ื ท่านทํากศุ ล อย่างใดอย่างหนงึ่ แลว้ ขอใหอ้ ุทิศสว่ นกุศลใหเ้ ปรตบา้ งดว้ ย” เมอ่ื อํามาตย์นนั้ กลบั มาถึงเมอื ง ไดถ้ วาย ทานจาํ เพาะพระพทุ ธเจา้ และพระภกิ ษสุ งฆ์ แลว้ กราบทูลเรอ่ื งเปรตนนั้ ถวายให้ทรงทราบ พระบรม ศาสดาทรงอธษิ ฐานใหพ้ ทุ ธบริษทั มาประชมุ กนั แล้วทรงแสดงเปรตนกิ าย (เรื่องพวกเปรต) ให้ปรากฏ ขน้ึ ดังได้กล่าวมาขา้ งบนนี้ เมือ่ พิจารณาตามรูปเร่ืองในศาสตรา และคัมภรี ซ์ ึง่ กลา่ วมาแล้วนัน้ เห็นวา่ พธิ ีบุญถือบณิ ฑ์

๑๒๗ และประชมุ บิณฑใ์ นกัมพชุ รฐั น้ี ต้องตามความในศาสตราวิชชาธรบา้ ง ศาสตราอานิสงสบ์ ณิ ฑ์บ้าง คัมภีร์เปตวัตถบุ า้ ง คอื ตรงพิธจี ดั การบุญและกําหนดวัน เดือน และเวลาท่ีทํา ตรงตามศาสตรา วชิ ชา ธร และศาสตราอานิสงส์บณิ ฑท์ ้ังส้นิ ระเบยี บทําผกาบิณฑ์ และกิจ อทุ ศิ ผลสง่ ไปใหเ้ ปรตตอ้ งตาม คมั ภรี ์เปรตวัตถโุ ดยมาก คือผกาบณิ ฑ์ซง่ึ ทําอทุ ิศให้เปรตเขาทาํ ประดับด้วยดอกไม้ ดอกกระดาษเงิน กระดาษทอง หรอื กระดาษสนี ั้นคล้ายกบั อาการของเปรตซึ่งคัมภีร์เปรตวตั ถุ แจ้งวา่ “เปรต มดี อก ตะแบกปาประดับศีรษะ เดนิ มาหาอาหารทบี่ ้านญาตขิ องตนนัน้ เอง\" การทพ่ี ทุ ธศาสนิกชนชาวเขมรพากนั ทาํ บญุ ถอื บิณฑ์ทุกปไี ม่กลา้ ขาด คือตัง้ แตว่ นั แรม ๑ ค่าํ เดือนภทั รบท มักพากนั ไปถอื บิณฑ์ในทอี่ ารามทกุ วัน จนถงึ วนั แรม ๑๕ ค่าํ เรยี กวา่ “ประชมุ บิณฑ”์ น้นั ถา้ หากผู้ยากลาํ บากหรือผู้ดมื่ นา้ํ อยา่ งใด กท็ าํ ใหไ้ ดอ้ ยา่ งนอ้ ยทส่ี ดุ เพยี งวันประชมุ บณิ ฑ์เป็น วันสดุ ทา้ ยไม่กล้าขาด ท้งั น้ีก็ดว้ ยเหตวุ า่ เชอ่ื ตามความในศาสตราวิชชาธรและศาสตราอานิสงสบ์ ิณฑ์ และเชื่อตามคําผูเ้ ฒา่ ผูแ้ ก่ ซึง่ เคยทําใหเ้ หน็ เรอื่ ยมา ถอื มนั่ ในใจ คิดสงสารดว้ ย กลัวดว้ ย ส่วนสงสารนนั้ คือสงสารบรรพบรุ ุษ ซงึ่ พากนั มารับเอาผลบุญ ส่วนกลัวนนั้ คอื กลวั เปรตซง่ึ มาถา้ ไมเ่ ห็นพ่อแมพ่ ี่น้อง ลูกหลานญาตเิ ผ่าไปทําบญุ ถอื บณิ ฑ์ประชมุ บณิ ฑ์จะด่าสาปแชง่ ใหเ้ สอื่ ม ตกตา่ํ ทุกขท์ น พินาศทรัพย์ สมบตั ิ ส่วนศาสตราวิชชาธร และศาสตราอานิสงสบ์ ณิ ฑใํ นกมั พซุ รฐั นี้ มแี ต่รอ้ ยแก้วภาษาเขมร ไม่ มภี าษาบาลี และไมม่ ชี ื่อผู้แต่ง ไมท่ ราบว่าแต่งในสมยั ใด สว่ นคมั ภรี ์เปตวัตถุมที ง้ั ภาษาบาลีและภาษา เขมร และคัมภีร์นี้เป็นอรรถกถาพระไตรปฎิ ก ขุททกนกิ าย พระอาจารย์ธรรมปาละแตง่ ในศตวรรษ เดียวกับอรรถกถาทั้งปวง ส่วนศาลตราหรือคัมภรี ท์ ีอ่ ธิบายเกี่ยวกบั การทําบญุ อุทศิ ผลให้แกเ่ ปรตชนซง่ึ ละโลกนไี้ ปถงึ ปรโลกน้ัน ถ้าเปน็ ศาสตรารอ้ ยแกว้ ก็ดี ไมใ่ ซก่ ็ดี คือ นาํ ตรงท่ีพุทธานุญาตใหท้ าํ ทกั ษณิ านปุ ระทานอุทิศ ผลไปให้ลตั ว์ทุกจําพวก เพอ่ื ให้หลดุ พ้นจากอบายทกุ ข์ทง้ั ปวงนัน้ เองเป็นประมาณ คัมภรี ์ตา่ งๆ ของพทุ ธศาสนาอธิบายว่า มนุษย์ซ่งึ ตายไปมักไปเกิดในกําเนิดนานา คนใจ ทรามไดท้ ําบาปต่างๆ เมื่อตายไปมกั ไปเกิดในกาํ เนดิ หน่ึง เรียกตามภาษาบาลวี ่า “เปต” ภาษา สนั สกฤตวา่ “เปรต” แปลเปน็ ภาษา เขมรวา่ “ชนซึ่งทํามรณกาลไปสปู่ รโลก” พุทธศาสนาเมอื่ แสดงเรอ่ื งเปรตโดยมากคล้ายกนั กบั ศาสนาพราหมณ์ ซ่ึงเปน็ ศาสนาเกา่ ของประเทศอินเดีย เพราะพุทธศาสนาเปน็ ศาสนาใหมเ่ กดิ หลงั ศาสนาพราหมณ์ เพยี งแต่แกไ้ ขใหต้ รง ตามมติของพระพุทธเจ้าเท่านน้ั คัมภีรม์ หาวิภังค์ (อาทิกรรม) แผนกวนิ ยั ปิฎก ตรงจตตุ ถปาราชกิ กัณฑ์ แสดงประเภทของเปรตวา่ มี ๑๒ พวก คัมภีร์มลิ นิ ทปญั หากล่าววา่ มี ๔ พวก คอื อตุ ูปชวี ี เปรตเล้ยี ง ชีวติ ด้วยมนทลิ ครรภแ์ ละเลอื ดหนองพวก ๑ อปุ ปาสกิ ะ เปรตรอ้ งหวิ อาหารเป็นนจิ พวก ๑ นิซฌา มตัณหกิ ะ เปรตไฟลกุ เป็นนิจพวก ๑ ปรทัตดปู ชวี ี เปรตเล้ยี งชีวิตด้วยผลซงึ่ บคุ คลท่ัวไปอุทิศให้ พวก ๑ คอื พวกปรทตั ดปู ชีวีน้เี อง ซ่งึ เรามกั ทาํ บญุ ถือบิณฑ์ บญุ ประชมุ บณิ ฑ์ อทุ ศิ ผลหรือเซน่ ให้

๑๒๘ ระเบยี บอทุ ศิ ผลกล่าวโดยสังเขปคอื นาํ อาหารหวานอาหารคาวซ่งึ เรยี กวา่ “บิณฑ”์ นน้ั ไป ประเคนพระสงฆ์ เวรประเคนเฉพาะพระสงฆ์แล้ว อุทศิ ผลโดยมวี าจาเป็นตน้ ว่า “ผลทานในปวงขา้ ทง้ั หลายนี้ ขอใหไ้ ด้ไปถงึ ผู้มคี ณุ ท้ังหลายมีมารดาบิดาเป็นตน้ ซงึ่ ไปสปู่ รโลกแลว้ ” ทําเช่นน้ีทกุ เช้าทุกวัน ตักบิณฑ์และวันประชุมบิณฑ์ ระเบยี บเซน่ กลา่ วโดยสังเขปคอื ทําเพยี งครัง้ เดียวในวนั สดุ ทา้ ยตรงกับเวลากลางคนื ของวัน แรม ๑๕ คํ่า เดอื นภัทรบท เปน็ วนั ประชุมบณิ ฑ์ เวลาเซ่นถ้าเป็นธรรมเนยี มราษฎร มหาชนทุกบ้านมกั จดั ปเู สื่อ มีหมอนใบหน่ึง วางท่หี ัวเสอ่ื มผี ้าขาวพาดจากบนหมอน มขี นั น้าํ พานหมาก บุหรี่ โตะ๊ ถาด ของหวาน ของคาว ซา้ ย - ขวา แลว้ พ่อแม่ประมวลพี่นอ้ งลกู หลานท่อี ยู่ ในบา้ นมาชมุ นมุ แลว้ กล่าว ประดษิ ฐอ์ ธิษฐานว่า “ขออญั เชิญบรรพบุรษุ รับประทานกระยาเหล่านีใ้ หบ้ รบิ ูรณ์ ธรรมเนียมพระราชากม็ ลี ักษณะคล้ายกนั กบั ราษฎรดว้ ย แปลกแตข่ ้างพระราชพธิ ีทาํ ในวัน แรม ๑๔ คํ่า โดยเครื่องประดบั งามๆ และเรยี กวธิ ีเซ่นนตี้ ามราชาศพั ทว์ ่า “ถวายพระบดิ ร” ดงั กล่าว มาแลว้ ในกาํ หนด พระราชพธิ ถี วายพระบิดรข้างตน้ แล้ว และมีนาหมน่ื สรรพมขุ มนตรีเฝาู เทน้าํ มะพร้าว ถวายเปน็ โอฬาริกยิ่งใหญก่ วา่ ราษฎร์เท่าน้นั พธิ ีเซ่นชองคาวหวานใหแ้ ก่ผีหรือเปรต เปน็ พธิ ขี ้างศาลนาพราหมณ์ ส่วนพุทธศาสนาไม ม่ ี พธิ ีเซ่นดงั นี้ มีแต่พธิ ปี ระเคนทานแดพ่ ระสงฆ์ หรอื ใหท้ านแก่อุบาสก ผมู้ ีไตรสรณคมน์และมศี ลี แลว้ ออกวาจาอุทศิ ผลไป เรียกตาม ภาษาบาลีว่า “ทักษณิ านปุ ระทาน” เท่านน้ั แตว่ า่ ประเทศเขมรตัง้ แต่ สมัยโบราณมาจนถึงสมัยปจั จุบนั ทั้งพระราชาทงั้ ประชาราษฎร์ในเวลาซึง่ ทรงทําและทาํ บุญถอื บิณฑ์ ประชมุ บิณฑ์ ซึง่ เป็นบุญสง่ ผลไปให้แก่บรรพบรุ ษุ น้ัน มักทรงทาํ และทาํ ทานทัง้ ๒ ประเภท คือทงั้ พธิ ี ประเคนทานเฉพาะพระสงฆ์อทุ ิศผลไปดว้ ย ทงั้ พิธเี ซน่ ดว้ ย ธรรมเนยี มเชน่ บรรพบรุ ุษ เป็นธรรมเนยี มอย่างหนง่ึ ซึ่งพทุ ธศาสนกิ ชน เขมรชาตทิ ่ัวไปท้ัง ประเทศกมั พชู าเคยประพฤตเิ ป็นเวลายาวนานมากมาแลว้ แต่ธรรมเนียมนี้ไม ใ่ ชช่ าวเขมรจะเร่ิมทาํ เอง ก่อนใครๆ หากทาํ ตามธรรมเนียมชาวอนิ เดยี ในประเทศอนิ เดยี เพราะเหตวุ ่าประวตั ศิ าสตรเ์ ขมรกล่าว ว่า “ชาวเขมร มเี ชื้อสายมาจากประเทศอนิ เดีย เพราะเหตนุ ้ีเขมรจึงทาํ บุญถือบณิ ฑแ์ ละบญุ ประชุม บณิ ฑ์ มีทั้งการเซน่ ด้วย ถอื เปน็ ประเพณที งั้ พระราชา ทงั้ ประซาราษฎร์ สืบต่อมาจนถงึ สมยั ปจั จุบนั เป็นที่รกู้ ันดวี ่าช่วงเข้าพรรษาน้นั มเี มฆมากฟูาคร้มึ ฝนตกตลอดเวลาแทบหาวันวา่ งไมม่ ี พระสงฆท์ จี่ ําพรรษาอยทู่ ุกวัดล้วนได้รับความยากลาํ บากในการบณิ ฑบาตตามหม่บู ้านตา่ งๆ เพราะ ถนนบางหมูบ่ า้ นนา้ํ ทว่ มหรือดนิ เปยี กแฉะเป็นโคลนตมเดนิ ทางบิณฑบาตลาํ บาก ดังนัน้ เพือ่ อาํ นวย ความสะดวกแกก่ ารดาํ รงสมณธรรมของพระสงฆ์ อุบาสก อุบาสกิ า พทุ ธบรษิ ทั ท้งั หลายจงึ ได้พากนั จดั พิธถี อื บณิ ฑ์ นาํ ข้าวสารอาหารแห้ง ผกั ผลไมต้ า่ งๆเพือ่ ประกอบเป็นภัตตาหารไปถวายแด่พระภิกษุสงฆ์ สามเณร ทุกวนั ตลอดระยะเวลา ๑๔ วัน คอื ตง้ั แต่วนั แรม ๑ ค่าํ เดือนพั ตระบทไปจนถึงวันแรม ๑๔ คํา่ เดอื นพตั ระบต ตลอดเวลา ๑๔ วนั น้พี ระภิกษสุ งฆ์สามเณรได้รบั ภัตตาหารทพี่ ุทธบรษิ ทั นํามาถวาย

๑๒๙ โดยไม่ต้องออกบณิ ฑบาตตามหมบู่ า้ นเลย โดยมผี ู้หญงิ สงู อายุ แม่ครวั ในหมู่บ้าน ไปอยูท่ ี่วัดเพ่อื ทําอาหารถวายแด่พระภกิ ษุสงฆส์ ามเณร ได้ฉันอยา่ งบรบิ ูรณ์ควรแกส่ มณสารูป เพ่ือปฏบิ ตั ิสมณธรรม อยา่ งเป็นสุข จากวนั แรกถึงวนั รวมวันสุดท้ายก็จะมพี ุทธบรษิ ัทเขา้ ออกวดั เอาใจใสพ่ ระภิกษุสงฆเ์ ป็น อย่างดี ท้งั กลางวนั และกลางคืน ตอนเย็นนิมนต์พระเจริญพระพทุ ธมนต์ และเทศนา ๑ กณั ฑ์ เสรจ็ แลว้ ญาติโยมมกี ารจัดการแสดงการละเล่น แสดงมโหรสพสมโภชน์ เช่น ลิเก ละคร ทุกคนื ตัง้ แต่วนั แรก ถงึ วนั สดุ ท้าย ก่อนรุ่งเชา้ ประมาณตี ๔ -๕ พระสงฆส์ วดสาธยายมนต์มีพระอภธิ รรม ๗ คมั ภีรแ์ ลว้ ผู้สูงอายุช่วยกันถอื จานใสข่ า้ วขา้ วบณิ ฑแ์ หร่ อบอุโบสถพ์ ร้อมกับเสียงฆ้องและเสียงกลองประโคมขบวน แหแ่ ต่ละรอบจะเทข้าวบณิ ฑ์พืน้ มมุ เหลย่ี มวหิ ารแล้วรอ้ งเรยี กเชญิ ชวนวญิ ญาณบรรพบุรุษ ญาตมิ ิตรท่ี ล่วงลับดับสงั ขารไปเกิดเป็นเปรต นรก อสรุ กายให้มาอนโุ มทนารับเอาส่วนบญุ สว่ นกุศลและขา้ วบณิ ฑท์ ี่ ญาตทิ ้งั หลายได้ทาํ บุญอทุ ศิ ไปให้จนครบสามรอบ เม่ืออนุโมทนารบั เอาสว่ นบญุ ส่วนกศุ ลแล้วขอให้ อาํ นวยอวยพรใหญ้ าตมิ ติ รลกู หลานทง้ั หลายที่ไดท้ าํ บุญอุทิศสว่ นกุศลไปใหจ้ งมีแต่ความสุขความ เจรญิ รุ่งเรืองในชีววิตและการงานท้งั หลายตลอดไป ทําอยา่ งนจ้ี นครบ ๑๔ วันจงึ เสร็จสิ้นบณุ ถอื บณิ ฑ์ ในสมัยพระนคร(อังกอร์)มีการทําบุญบณิ ฑ์(สาร์ท)เพอ่ื อทุ ศิ สว่ นบญุ สว่ นกุศลใหแ้ ก่บรรพ บรุ ษุ ญาติมิตรทลี่ ่วงลบั ไปแลว้ ดว้ ย และอุทศิ ใหญ้ าตวิ รี ชนที่ไดอ้ ทุ ิศชีวติ ในสงครามปอู งกนั ดินแดนดว้ ย รวมถึงพระมหากษัตริย์ เสนาอาํ มาตยร์ าชมนตรี ตลอดถึงประชาชนทุกหม่เู หลา่ ด้วย เปน็ การบญุ ที่ ย่ิงใหญ่มากท่ีสดุ ครัง้ หนึง่ อนึง่ ตามความเชอื่ ของเราตั้งแตส่ มยั โบราณมีความเขา้ ใจกันว่า ในยามที่ ทอ้ งฟูามีเมฆสีดาํ มืดคร้มึ ยามทฟ่ี ูาร้องลัน่ คํารามทุกท่ัวสารทศิ ยามทฝี่ นตกยามค่ําคืน โดยไม่หยุด หยอ่ น พระยายมราชไดป้ ลดปลอ่ ยดวงวิญญาณของบรรพบรุ ษุ ทไี่ ปเกิดไปเปรตอสุรกายสตั ว์นรกน้นั ให้ กลบั มายงั โลกมนุษย์เพื่อมาแสวงหาอาหาร(บุญกุศล)สอดคล้องกบั ช่วงเวลาน้ี ซึง่ ปรากฎตามวดั ตา่ งๆ มี นกกระจาบโดนตามาร้องเรยี กอยตู่ ามบา้ นเรือนตา่ งๆ เปรียบเสมอื นดวงวญิ ญาณของบรรพบุรุษ ซึง่ ดวงวญิ ญาณของบรรพบุรุษเหลา่ นตี้ า่ งเสาะหาบรรดาญาติลูกหลานตามวดั วาอารามตา่ งๆ ซง่ึ พวกเขา เหลา่ น้ันได้ไปทําบุญทําทานเพอื่ อทุ ิศส่วนบุญสว่ นกุศลไปให้แก่ดวงวญิ ญาณเหล่านนั้ โบราณเช่ือวา่ ดวง วิญญาณบรรพบุรุษนัน้ หากเสาะแสวงหาลกู หลานไม่พบครบท้ัง ๗วัด ก็จะด่าสาบแช่งลกู หลานให้ ไดร้ บั ความวิบตั ิฉบิ หาย เพราะเหตนุ ี้ชาวเขมรทุกคนแมจ้ ะยากดีมีจนอยา่ งไรกต็ าม พอถึงวนั บญุ บิณฑ์ (แรม๑-๑๔คํา่ )ก็พากนั นาํ ภตั ตาหารหวานคาวไปถวายแด่พระภิกษสุ งฆ์ สามเณร เพ่อื อทุ ศิ (อาหาร)ส่วน บุญสว่ นกุศลให้แก่ดวงวิญญาณบรรพบุรษุ ญาตมิ ิตรทั้งหลายอยา่ งหลีกเลี่ยงไมไ่ ด้ อกี อยา่ งหน่งึ บญุ บิณฑ์น้ี อย่ใู นช่วงเวลาทเ่ี กษตรกรทงั้ หลายเสร็จสิ้นจากงานหว่านไถ เพาะปลูก ดาํ นาเสร็จแลว้ ดังนนั้ เขาจงึ มโี อกาสไดเ้ ขา้ ร่วมทกุ บุญโดยไมต่ ้องข้องเกย่ี วกับงานหวาน แลกเปลีย่ นความคดิ เหน็ ปรึกษาหารอื กนั เพือ่ อยู่รว่ มกนั ในสงั คมอยา่ งมีความสงบสขุ ในวนั แรม ๑๔ คํา่ (เดือนขาด)เดือนพตระบต ซง่ึ ถือวา่ เปน็ วันรวมบณิ ฑ์ ในวนั นปี้ ระชาชน ท้งั ชาย หญิง เดก็ คนแก่ ท่ัวทงั้ ประเทศกมั พูชาพากนั ไปทําบญุ ท่วี ดั ดว้ ยใบหนา้ ทยี่ ม้ิ แยม้ แจ่มใสเบกิ

๑๓๐ บาน ด้วยความเช่ือในทางพระพุทธศาสนา เชือ่ เร่อื งบุญ บาปและผลของบุญและบาป ทกุ คนล้วนสวม เส้อื ผ้าใหม่สวยงามแล้วหาบถือขา้ วปลาอาหาร ขนม ข้าวต้ม หวาน คาว ท่เี ตรียมไว้ถวายพระภกิ ษสุ งฆ์ สามเณรประจาํ วดั ของตน วนั น้ที ุกวดั ในกัมพูชามีอุบาสกอุบาสิกาพุทธบรษิ ัทเข้าวดั ทาํ บุญทาํ ให้ บรรยากาศในวัดครืน้ เครงเอบิ อ่ิมบุญด้วยดารดาษไปด้วยผ้คู นมาทาํ บุญและเสยี งพณิ พาทยเ์ พลง ประเพณี พิธที สี่ ําคญั ที่สดุ ในวนั น้ีคือการถวายภัตตาหารเชา้ เพลแด่พระภิกษุ สามเณร พระภิกษสุ งฆ์ อนโุ มทนาสาธยายธรรม ตามด้วยพธิ ีมาตกิ าบงั สกุ ลุ อทุ ศิ สว่ นบุญส่วนกศุ ลแดว่ ิญญาณบรรพบรุ ุษ ๗ ช่ัว โคตร และขอพรจากวิญญาณบรรพบุรษุ ใหล้ กู หลานจงมีแตค่ วามสขุ ความเจริญรุ่งเรอื ง ต่อมาพระสงฆ์ แสดงพระธรรมเทศนา ๓ ธรรมมาส ตามครรลองประเพณีทางพระพุทธศาสนา พทุ ธบรษิ ทั รบั พรแล้ว กลับสู่ถนิ่ ฐานบ้านของตน พธิ เี ซน่ โดนตามาจากความเชอ่ื วา่ วิญญาณของบรรพบรุ ุษจะถูกปล่อยมาเพื่อรับส่วนบญุ สว่ นกศุ ลทีญ่ าติมติ รท้งั หลายได้ทาํ บญุ อุทิศสว่ นกศุ ลไปให้ จากโบราณกาลมาจนถงึ ปัจจุบัน ในแตล่ ะครอบครัว ได้ปดั กวาดเชด็ ถทู ําความสะอาดบา้ นเรอื น เพือ่ เป็นการตอ้ นรบั บรรพ บุรษุ เพ่ือต้อนรับแขกผมู้ เี กยี รติ โดยมีหอ้ งพเิ ศษซงึ่ เขาได้ทาํ ปูเสื่อใหม่และเตรยี มขนม นมเนย ผลไมใ้ ส่ ไว้บนถาด ในบรรดาเครือ่ งเซน่ เหล่าน้ี เขาได้ปักธงจระเขเ้ ลก็ ๆ ซงึ่ เป็นเครือ่ งแสดงถงึ วญิ ญาณบรรพ บรุ ุษ นอกจากน้ยี ังมีดอกไมแ้ ละท่ีปกั ธูปเทียนดว้ ย ซึง่ เขาได้เตรียมไวเ้ พอื่ เป็นเสบียงสาํ หรบั เดินทางไกล และถัดจากน้ันไดเ้ ตรียมขา้ วแกงหลากหลายชนิด เชน่ ต้มขาหมู แกงจบั ฉ่าย แกงไก่เปน็ ตน้ อีกถาดอีก หนง่ึ ใบได้จัดขา้ ว๕ ถาดลอ้ มรอบเครอ่ื งดมื่ นํ้าชา น้ําสม้ เหลา้ เบยี ร์ และแยกพเิ ศษอกี ส่วนหน่งึ คือ หมาก พลู บหุ ร่ี ธูปเทยี น หมากธรรม ประมาณ ๕ โมงเย็น เปน็ เวลาตอ้ นววั ควายเข้าคอก ตามคติ โบราณมาเขาจะเรมิ่ พิธเี ซ่นสรวงบรรพบุรษุ โดนตา ซึ่งจะเชิญคนแก่เฒ่ามาเปน็ ช่วยจัดแจงเซ่นสรวงผู้ ปอู งรอ้ งวญิ ญาณ โดนบอกให้เจา้ ของบา้ นจดุ ธูปเทียน กล่าวดังน้ี โอพ้ ระเดชะเอย วนั นวี้ ันดเี วลาดี เห มนั ตวสั ษาฤดู ลกู หลานทั้งหลายได้จดั เตรยี มอาหารโภชนา มีอาหาร หวานคาวขนม นมเนย เพยี บพรอ้ มเตม็ ที่ เพื่อต้อนรบั บรรพบรุ ษุ ทัง้ ๗ ชวั่ โคตร ได้อัญเชิญมารบั บรโิ ภคอาหารหวานคาว ใหอ้ มิ่ หนําสําราญ แล้วอํานวยอวยพรใหล้ ูกหลานมแี ต่ความสขุ ความเจริญรุ่งเรอื ง มีเงินดงั เขาวาด มที องดงั เขาเท ฝนตกตอ้ งตามฤดกู าล ขา้ วปลาอาหารสมบรู ณพ์ ร้อมทง้ั กาํ จัดอันตรายโรคภยั ท้งั หลาย ท่มี าจาก คนจากสัตว์ หลงั จากเซน่ สรวงได้ ๒ จบแล้ว กเ็ ริ่มรอบท่ี ๓ ตักขา้ วแกงอย่างละนดิ วางบนใบตอง แล้ว กรวดนาํ้ กรวดเหล้า เพ่อื สง่ วิญญาณบรรพบรุ ษุ เขากล่าววา่ การเซ่นแบบนี้ ๒ ครั้ง เสรจ็ แลว้ เว้นระยะ ไว้ชว่ งระยะเวลาคร่งึ กา้ นธปู จงึ ได้ลาถอยเคร่ืองเซ่น แล้วเรียกเพอ่ื นบา้ นกันมากนิ จึงถึงเวลาเท่ียงคือ จึงมกี ารรอ้ งราํ ทาํ เพลงในหมู่บา้ นตา่ งๆ สนกุ สนานเป็นเวลาหลายเดือน พิธสี ง่ วิญญาณบรรพบุรุษกลบั ชาวกัมพชู าเชื่อว่า หลังจากทว่ี ิญญาณของบรรพบรุ ุษได้ รบั ประทานอาหารอิม่ หนําสําราญทีล่ ูกหลานเซน่ สรวงแลว้ วญิ ญาณบรรพบุรษุ จะพักอยูท่ บ่ี ้านเปน็ เวลา

๑๓๑ ๑ คนื ชาวเขมรจะมคี วามรูส้ ึกว่าวันนี้ คนื นี้ อาจจะเหน็ วิญญาณบรรพบรุ ุษอยู่ใกลๆ้ ตนด้วยความยนิ ดี ปรีดา และความระลกึ ถงึ จนกระทงั่ รุง่ สาง ผู้นําของครอบครวั ให้บตุ รไปเอากาบกล้วยมาทําเป็นเรอื สําหรบั ส่งดวงวิญญาณบรรพบรุ ษุ กลับไปยังภพภูมิเดิม เอาขนม นมเนย ข้าวบิณฑ์ หมาก พลบู หุ ร่ี ธปู เทียน ปกั ธงท่ดี า้ นหัวเรือและทา้ ยเรือ หลงั จากนาํ ของมาใสเ่ รือหมดแล้ว เขาจะกลา่ วว่า โอ้พระเดชะ คุณผเู้ ปน็ เจา้ ดวงวิญญาณบรรพบุรษุ ไดม้ าเย่ยี มเยือนรับประทานอาหารทลี่ ูกหลานไดน้ ํามาถวาย อมิ่ หนําสําราญแลว้ ใหอ้ ํานวยอวรพรให้ลูกหลานจงมีแต่ความสุขความเจริญรุ่งเรอื ง ลูกหลานมาส่งใหท้ า่ น เดินทางกลบั ด้วยทางเรอื น้ไี ปสภู่ พภมู ิที่จากมาด้วยความสวสั ดภิ าพ เสรจ็ แลว้ ผใู้ หญใ่ นบ้านกบ็ อกให้ ลกู หลานเอาเรอื ไปลอยในแหลง่ นาํ้ ห้วย หนองคลอง บึง ชว่ งเวลาเขารู้สกึ อาลยั อาวรณเ์ ศร้าสร้อยที่ ตอ้ งจากบรรพบรุ ษุ เมอ่ื ได้ลอยเรอื ไปแลว้ กไ็ ด้โบกมอื อําลา แล้วลกู หลานก็บอกวา่ เรือนช้ี า่ งเรว็ เหลือเกิน แล้วรอจนเรอื ล่องหายไปจนพ้นสายตา จึงกลับไปบอกผ้ใู หญว่ ่าไดไ้ ปสง่ เรือบรรพบุรุษกลบั ไปยงั ภพภมู ิ เรยี บร้อยแล้ว ๓.๒.๗ พระราชพิธเี ดอื นสบิ เอ็ด่ (เดือนอาสยุช) พระราชพธิ ีเดอื น ๑๑ สมยั พระนครปรากฏในบันทึกว่าดว้ ยขนบธรรมเนียมประเพณีของ เจินลา่ ของโจวต๋ากวานวา่ “...เดือน ๙ เปน็ งานเอียละ งานเอียละน้ันกค็ ือการชุมนุมราษฎรท่วั ทง้ั ประเทศให้'เขา้ มาในนคร แล้วใหเ้ ดนิ ตรวจแถวฝานหนา้ พระราชวงั ...” พระราชพิธเี ดอื น ๑๑ กรงุ กมั พชู าในสมยั หลงั พระนคร ปรากฏในพงศาวดารละแวก ฉบบั แปล จ.ศ. ๑๑๗๐ กล่าวถงึ พระราชพธิ เี ดือน ๑๑ ในรัชกาลสมเดจ็ พระศรสี รุ ิโยพรรณว่า “...พระราชพิธไี สยศาสตร์ ณ เดือน ๑๑ ให้เตรยี มการข้างขึ้น สัง่ ให้เจ้าพนักงานเอาเรอื ขนาน ๓ ลาํ ไปทอด ณ ทา่ ทาํ เป็นพระทน่ี ั่ง เรอื ขนานลาํ หนง่ึ นั้นทอดทา้ ยเป็นพาไล เรอื ขนานแถวหนง่ึ ทอดเหนอื พระที่น่งั เรียงหลายลาํ สาํ หรบั โรงโขน โรงหนุ่ โรงราํ โรงระธาดอกไม้ โรงหนงั ขา้ งทกั ษิณ ทศิ ทา้ ยนาใตเ้ รอื พระทน่ี ัง่ น้ัน มีเรือขนานทอดประจําท่าทาํ เปน็ โรงราชพิธี สําหรับพระเบญจกระเสตรอ ยู่ มหาราชคู ปโรหิตกระทาํ พลีกรรมบวงสรวง ตามพิธีไสยศาสตร์ แลว้ ให้เจ้าพนกั งานประเทียบเรอื พระท่ีน่งั ตัง้ กระบวนแหเ่ ปน็ พยุหบาทชลมารควถิ ีทางเรือเป็นการใหญ่เตรียมไว้ไหพ้ รอ้ มจงทุกพนกั งาน คร้นั ไดศ้ ภุ วารเวลา จ่ึงพระมหากษัตริยท์ งั้ ๒ พระองค์ เสดจ็ ทรงพระทีน่ ่ังกิ่ง ยิง่ ดว้ ยพระทีน่ ั่งบลั ลังก์ จตุรมุขมหาปราสาทโอภาศพวกพลพายพรกั พรอ้ มแลว้ ถวายบงั คมบรมกษัตรยิ ์แตรสังข์สําหงดั ประโคมโหมฮึกแห่ แออัดเกลื่อนกลน่ ชลธาร เสดจ็ ถึงเรือขนานให้ต้ังเป็นกระบวน สว่ นเรอื พระทีน่ ัง่ ก่ิง น้นั ให้พาย ประทักษิณเวยี นพระเบญจกระเสตร ๓ รอบแล้ว พระองค์เสด็จจากพระที่นง่ั ไปถวายบงั คม การนบั เดอื นในที่น้ี โจวตา๋ กวานบนั ทกึ ตามเดอื นจีน ดังนน้ั เดือน ๙ ของจนี จงึ อยู่ ประมาณเดอื น ๑๑ ของกัมพชู า. เฉลมิ ยงบุญเกิด, บันทกึ ว่าดว้ ยขนบธรรมเนียมประเพณีของเจินละ, หน้า ๒๖.

๑๓๒ พระเบญจกระเสตร แล้วเสด็จลงพระทนี่ งั่ ก่ิงเสดจ็ มาขึน้ พระทน่ี ั่งขนาน ข้าราชการนงุ่ สมปักลายใสเ่ สื้อ ครุยสีตา่ งๆ เข้าเฝูาถวายบงั คม พรอ้ มใสล่ าํ พอกพักลอมตามบันดาศักด์ิผใู้ หญผ่ นู้ ้อยแล้วเสด็จข้นึ เจ้า พนักงาน ชกั พระสันนยาและข้าสาวกาํ นัลขา้ งในยกเครือ่ งผลไมส้ ําหรบั มาเลีย้ งข้าราชการ และทวย ทหารทั้งปวงตามเกณฑ์ทกุ หมู่ทกุ กรม แล้วจ่งึ เลน่ การมหรศพสมโภช พระราชพธิ ี และวางเรอื ประนัง เล่นพะนนั แขง่ กันลงมาหน้าพระทีน่ ่งั พราหมณ์ ปโุ รหิตกดั พรรณเปน็ เจ้าของสญู สาํ เรจ็ ครัน้ เพลาพลบ คํา่ ส่ังใหจ้ ุดดอกไม้ เพลิงครบสิ่ง แล้วให้เบกิ โรงเลน่ หนังกลางน้ัน ประทบั แรมพระทนี ่งั ขนานรปู คนื หนึง่ ครัน้ รุ่งขึน้ ณ วันเพญ็ ๑๕ คํ่า สองกษัตริย์เสดจ็ กลับเข้าพระราชวัง เหนือพระที่นั่งอตเิ รกวสิ ุทธ์ิ มี พระพุทธเจา้ เปน็ ประธาน สังฆการีนิมนต์ พระสงฆ์พรอ้ ม เพลาเชา้ กษตั ริยท์ ง้ั ๒ พระองคเ์ สด็จออกทรง บาตร อังคาส เลี้ยงพระสงฆ์ฉนั เสรจ็ แล้ว พระสงฆ์ถวายพระพรลาไปออกพระวษา แล้วพระองคเ์ สดจ็ เข้าในพระราชมนเทยี ร แล้วสง่ั เจา้ พนกั งานใหเ้ ตรยี มการแห่เป็นการใหญ่ใหพ้ ร้อมพระทีน่ ง่ั หน้าหลงั ตามกระบวน ครนั้ เพลาบ่ายโมงหนึ่ง จึ่งสมเดจ็ กษตั ริย์ ๒ พระองค์ เสด็จทรงพระทน่ี งั่ หลงั คาทองแห่ เสด็จมาสู่ พระท่ีนง่ั ขนาน ข้าราชการถวายบงั คมพร้อมกัน แล้วทอดพระเนตรดู เครอ่ื งเลน่ ใหเ้ ลอ่ื นมา เลน่ หนา้ พระท่นี ัง่ และเรือหมเู่ รือคอน ก็ประนังแขง่ กนั มาหน้าพระท่นี ง่ั คร้นั เพลาพลบคํ่าเจา้ พนกั งานจุดดอกไม้เพลิง และเจา้ พนักงานเล่นหนังกเ็ ลน่ ทรงทอดพระเนตรดอกไมแ้ ละมเี พลงเรือและ เพลงประภาค ประทับแรม ณ พระทน่ี งั่ ขนานนัน้ คืนหนึ่ง คร้นั รุ่งข้ึนเพลาเชา้ เสดจ็ กลับสพู่ ระราช มนเทยี ร โดยตําหรับไสยศาสตรเท่านี้ ขา้ งพทุ ธศาสตรน์ ค้ี รน้ั เดือน ๑๑ ขา้ งแรม ส่งให้เจา้ พนักงานแต่งขนม สรรพผลไมใ้ ส่ กระจาดใหญ่ ๕ กระจาดๆ นนั้ มกี ระโจมหลังคาใสเ่ รอื ขนานใหญ่ไปทอดไวป้ ระจําท่า นัยหนง่ึ จงึ ให้ นํามาซง่ึ ฝูายดอกทาํ พุ่มปักเป็นดอกไม้ ๕ พ่มุ แลว้ ใสเ่ รือขนานทอดเคียงกนั กบั เรอื ขนานกระจาดน้นั มี กระโจมประดบั พุม่ เปน็ อนั ดี กบั ท้งั เครื่องสกั การบูชาข้าวตอกดอกไม้สาํ หรับจบพระหตั ถน์ มสั การพระ พุทธบาทพระเจา้ กลางมหาสมทุ รและนาคพิภพ ครนั้ จบพระหตั ถ์แลว้ เพลาพลบคา่ํ เจา้ พนกั งานจุดบชู า และใหน้ างพระคงคา ลอยไปถวายพระพุทธบาทพระเจ้า ณ กลางพระมหาสมุทรและนาคพิภพ แล้ว ใหเ้ จ้าพนักงานตามรกั ษากวา่ จะรุ่ง แลว้ เกบ็ ไว้ ครน้ั ณ วันแรม ๗ คาํ่ เพลาเชา้ กษัตรยิ ์ทงั้ ๒ พระองค์ ลงเรือพระทน่ี ง่ั แหไ่ ปถึงเรือขนานกระจาดและเรอื ฝูายนัน้ แล้วใหห้ ยดุ กระบวนไว้ แลว้ ใหถ้ อยเรือขนาน กระจาดและเรอื ฝูายเลอื่ น เข้ามาหนา้ พระทน่ี ่งั แลว้ ทรงจบพระหตั ถ์ แล้วสั่งใหเ้ จา้ พนกั งานแหน่ าํ ไป ถวายพระสงั ฆราชทงั้ ๕ วดั เมอ่ื ขณะเสดจ็ ทรงถวายพระกฐนิ น้นั แตเ่ รอื ฝาู ยน้ัน เพลาคาํ่ ใหไ้ ปเชา่ แลว้ ลอยไป แลว้ เสดจ็ กลับสูพ่ ระราชวงั สั่งเจ้าพนกั งานใหต้ กแต่งเครือ่ งอฐั บริขารกับผ้า ๕ ไตรไวเ้ ป็นพระ มหากฐิน จะเสดจ็ พระราชดาํ เนนิ ไปทางสถลมารค ต้งั พยุหบาตรกระบวน แห่เปน็ การใหญ่ไว้ให้พร้อม ทุกพนักงาน คร้ันไดศ้ ภุ วารฤกษ์แรม ๘ ค่าํ เพลาเช้า สมเด็จพระราชโองการเสด็จทรงชา้ งพระท่ีนง่ั กระโจมทองจําลองลํา้ อลงกฎกาํ หนดถึงพระอาราม ทรงถวายพระมหากฐนิ ทง้ั ๕ วดั แลว้ เสดจ็ กลับมา

๑๓๓ สูพ่ ระมนเทียร มหาปราสาทนัน้ ...” พระราชพธิ ีเดอื น ๑๑ ในราชพงษาวดารกรุงกมั พูชา กลา่ วถึงพระราชพิธีเดือน ๑๑ ใน รชั กาลสมเด็จพระหริรกั ษ์รามาอิศราธบิ ดี (พระองคด์ ้วง) ว่า “...ในเดอื น ๑๑ (ก) วันเพญ็ ขน้ึ ๑๕ คาํ่ วนั ออกพระวัสสา ทรงให้ลอยประทีป ไปถวายพระเข้ียวแก้วท่ีพิภพนาค ๓ วนั แลมกี ารพายเรือแขง่ ดว้ ย (ข) เสด็จ ทรงพระราชดําเนินไปทอดพระกฐนิ ตามพระอารามหลวงโดยลาํ ดับ..” นริ าศนครวัด พระนพิ นธ์สมเดจ็ ฯ กรมพระยาดํารงราชานุภาพ ทรงบนั ทกึ ไว้ว่าในเดือน ๑๑ รัชกาลสมเดจ็ พระศรีสวัสดิ์ กัมพูชามพี ระราชพธิ ี “ออกพรรษา เดอื น ๑๑ ในพงศาวดารกรุง กัมพูชาวา่ มีพธิ ลี อยประทปี ๓ วนั และมีการแขง่ เรือไมเ่ กี่ยวแก่พระสงฆ์ พระจึงไมเ่ ล่า พระเลา่ แตเ่ ร่อื ง เสด็จกฐนิ วา่ เดย๋ี วนี้เสด็จทอดแต่ ๔ วัด สมเดจ็ พระศรีสวัสดิ์เสดจ็ ไปรถยนตใ์ ห้กระบวน ไปคอยรับอยทู่ ี่ วดั ไม่ได้แห่พยหุ ยาตราเชน่ ครั้งสมเดจ็ พระนโรดม...” พระราชพิธเี ดือนสบิ เอด็ กรงุ กัมพูชา ตามทปี่ รากฏในหนังสือพระราชพิธีทวาทศมาส ของ ขุนอุดมปรีชา (จาบ พิน) ได้แก่ การปวารณาออกพรรษาพระราชกศุ ลเทศนาคาถาพนั หนังสอื กล่าววา่ ในเดอื นน้มี ีทาํ บญุ ออกพระวัสสา พิธที ําบญุ แหก่ ฐนิ ๓.๒.๘ พระราชพธิ เี ดือนสบิ สอง (เดอื นกตั ติก) พระราชพิธเี ดือน ๑๒ (กัตติก) สมยั พระนคร ปรากฏในหนังสอื บันทกึ ว่าดว้ ย ขนบธรรมเนียมประเพณีของเจนิ ลา่ กล่าวถงึ พระราชพธิ ีเดือนสบิ สอง (กตั ดิก) ในรชั กาลพระเจา้ ศรี นทรวรมนั ว่า “...คนเหลา่ นีถ้ ือเอาเดอื น ๑๐ ของจีนเป็นเดือนแรกของปีใหม่ เดอื นนน้ั ชื่อวา่ เกยี เดอ๋ เบ้อื งหนา้ พระราชวังเขาปลกู รา้ นใหญไ่ ว้ ๑ ร้าน บรรจุคนไดพ้ ันกว่าคน ตามประทปี โคมไฟและประดับ ประดาด้วยดอกไมข้ า้ งหนา้ ร้านน้นั หา่ งออกไป ๒๐ จ้าง ใชไ้ มต้ ่อกันเป็นร้านสงู รปู ลกั ษณะคล้ายกับ น่งั ร้านทีใ่ ชโ้ นการสร้างสถูป มีความสูง ๒๐ กว่าจ้างเหน็ จะได้ แตล่ ะคนื เขาจะปลูกร้านสามสีร่ ้านหรือ หา้ หกร้าน บนร้านเหล่านนั้ เขาเอาดอกไมไ้ ฟแลประทัดไปวางไว้ ซง่ึ ในการน้ที างจังหวัดต่างๆ ในความ ปกครองและตามบา้ นเรอื นของขนุ นางเป็นผรู้ ับภาระค่าใชจ้ ่าย พอตกค่าํ ก็กราบทลู เชิญพระเจา้ แผ่นดนิ เสดจ็ พระราชดาํ เนินทอดพระเนตร เขากจ็ ุดดอกไม้ไฟและประทัดข้นึ ดอกไมไ้ ฟนนั้ แม้'จะอยหู่ ่างนอก ระยะ ๑๐๐ ล้ี ก็มองเหน็ ได้ทัว่ ทุกคน สว่ นประทดั ใหญ่เท่ากับปนื ใหญย่ ิงศลิ าเสยี งดงั สะเทือนไปทัว่ ท้ัง นคร พวกขุนนางและเจ้านาย แต่ละคนไดร้ บั แจกเทียนเล่มใหญแ่ ละหมาก สิน้ ค่าใชจ้ ่ายเป็นอันมาก กรมศลิ ปากร, ประชุมพงศาวดารภาคท่ี ๗๑, หน้า ๕๕ - ๕๗. กรมศิลปากร, ราชพงษาวดารกรงุ กัมพชู า, หนา้ ๓๑๑. สมเด็จฯ กรมพระยาดํารงราชานภุ าพ, นริ าศนครวดั , หน้า ๕๖.

๑๓๔ พระเจ้าแผน่ ดินทรงเชญิ พวกราชทตู ไปชมด้วยเหมอื นกนั เป็นอยู่ดงั นี้ ครึง่ เดอื นก็ยตุ ิ...” พระราชพิธเี ดือน ๑๒ กรุงกมั พูชาสมยั หลงั พระนครปรากฏในพงศาวดารละแวกฉบับแปล จ.ศ. ๑๑๗๐ กลา่ วถึงพระราชพิธีเดือน ๑๒ ในรชั กาลสมเด็จพระศรีสรุ โิ ยพรรณ วา่ “...คร้นั ณ เดือน ๑๒ ณ วันเพญ็ ๑๕ คํา่ นัน้ ถวายข้าวสงฆ์ในพระราชวงั พระท่นี ่งั มังคลา ภเิ ษก ครั้นเพลาบา่ ยเปน็ พระราชพิธไี สยศาสตร สง่ั ใหเ้ จ้าพนักงานปลกู รา้ นหน้าพระตาํ หนักจนั ทไฉยา ใสเ่ ครือ่ งสกั การบูชากระยาบด มีขา้ วเมา่ และกลว้ ยอ้อย มะพร้าวอ่อน ขนมนมเนยเป็นต้น คร้นั ณ วนั เพญ็ เดอื น ๑๒ จึ่งพราหมณป์ ุโรหิต เชญิ พระเบญจกระเสตรมาส่พู ระทน่ี งั่ จนั ทไฉยา แลว้ กระทาํ สกั การบูชาพลีกรรมบวงสรวง แล้วสวดตามไสยศาสตร คร้ันเพลาเย็น ตองสนั ทบาทคาดไชยเพรี กําหนดฤกษ์ แล้วจึ่งกษัตรยิ ์ทง้ั ๒ พระองคท์ รงขาวกบั ขา้ สาวพระสนมกํานลั ในเสด็จออกมายังพระท่ีน่ัง จนั ทไฉยาเป็นเพลาพลบคา่ํ เสด็จมาถวายบงั คมพระเบญจกระเสตร แลว้ ทรงจดุ โคมไชยและเทียนพนัก ได้ ๒ แถว แลว้ พระองคผ์ ินพระพักตรไ์ ปต่อทิศบูรพาทอดพระเนตรดพู ระจันทร์ ถวายบังคมพระจนั ทร์ ๓ หน แลว้ ให้ประโคมแตรสงั ขก์ ังสดาลดุรยิ ดนตรมี โหรปี ีพาทยข์ ้นึ พร้อมกนั แลว้ ใหห้ ยดุ ไวใ้ ห้ปโุ รหติ ตี กลองชัยและรํานารายณ์ ๓ ท่า แลว้ ยกเครอ่ื งกระยาบดส่ิงของทั้งปวงมาแจกเลยี้ งกันกนิ แลว้ ให้เบกิ โรงหนงั ประชันกันเล่นไป จึ่งจดุ ดอกไม้ระธา พลุจีน ไฟพะเนียง ไฟกะถาง ดอกไมพ้ อ้ ม ดอกไม้พมุ่ ดอกไม้รงุ่ วิ่งไฟมา้ เสร็จแลว้ เสด็จไปลอยประทีปกระทงบูชาพระ ภูษารองทรงเล็กน้อยก็ลอยไปด้วย แล้วเสดจ็ กลบั มาพระราชวัง... ” พระราชพธิ ีเดอื น ๑๒ ในราชพงษาวดารกรุงกัมพูชา กล่าวถึงพระราชพิธเี ดอื น ๖ ใน รชั กาลสมเด็จพระหริรกั ษ์รามาอิศราธบิ ดี (พระองคด์ ว้ ง) วา่ “...ในเดอื น ๑๒ (ก) วันขน้ึ ๑๔ คาํ่ ชกั รอกโคมแกว้ บนยอดเสาจดุ ประทปี ถวายพระเขยี้ วแกว้ ซึง่ ประดิษฐาน ณ ดาวดึงษพภิ พ...” นิราศนครวดั พระนพิ นธ์สมเด็จฯ กรมพระยาดํารงราชานุภาพ ทรงบนั ทึกไวว้ ่าในเดือน ๑๒ รชั กาลสมเด็จพระศรสี วัสดิ์ กมั พูชามีพระราชพธิ ี “เดือน ๑๒ ไมม่ พี ธิ สี งฆ์ มแี ตต่ งั้ เสาโคมชยั อยา่ ง มใี นกรงุ เทพฯ แต่ก่อน กับพิธไี ล่นาํ้ อย่างที่กลา่ วในกฎมณเฑียรบาล พระเจา้ กรงุ กัมพชู าเสด็จลงตําหนัก แพ ทรงตดั เชือก ทําพธิ ีปลอ่ ยนํา้ ซงึ่ ท่วมทุ่งอยูใ่ หล้ ดไหลลงไปทะเล แลว้ แข่งเรือ ๓ วัน มีการลอย ประทปี เหมือนเดือน ๑๑ ดว้ ย...” หนงั สือพระราชพธิ ที วาทศมาส ของขนุ อดุ มปรชี า (จาบ พนิ ) อธิบายวา่ พระราชพธิ ีเดอื น ๑๒ มี ๓ พระราชพธิ ี คือ พระราชพิธีพายเรือ ลอยประทปี ไหวพ้ ระแข หนงั สอื กลา่ วว่าในเดือนนี้มพี ิธี เฉลมิ ยงบุญเกิด, บนั ทกึ ว่าด้วยขนบธรรมเนียมประเพณขี องเจนิ ละ, หน้า ๒๕ - ๒๖. กรมศลิ ปากร, ประชุมพงศาวดารภาคที่ ๗๑, หนา้ ๕๗ - ๕๘. กรมศิลปากร, ราชพงษาวดารกรุงกัมพูชา, หนา้ ๓๑๑. สมเดจ็ ฯ กรมพระยาดํารงราชานภุ าพ, นิราศนครวดั , หน้า ๕๘.

๑๓๕ กรอกข้าวเมา่ ไหว้พระแข ๓.๒.๙ พระราชพิธเี ดอื นอา้ ย (เดือนมิคสิร) พระราชพธิ เี ดอื นอ้ายของกรุงกมั พชู าสมยั พระนครไมป่ รากฏในบันทึกของโจวตา๋ กวาน หลกั ฐานที่เกา่ แก่ทส่ี ุดของพระราชพธิ ใี นเดอื นน้จี งึ ปรากฏในราชสาํ นักกรุงกมั พชู าสมัยหลงั พระนคร พระราชพธิ ีเดือนอ้ายของกรุงกมั พูชาสมยั หลงั พระนคร ตามหนงั สือประชมุ พงศาวดารภาคท่ี ๗๑ พงศาวดารละแวก ฉบบั แปล จ.ศ. ๑๑๗๐ กลา่ วถงึ พระราชพิธเี ดือนอ้าย ในรัชกาลสมเด็จพระศรีสุริโย พรรณ ไว้ว่า “ครั้น ณ เดือนอา้ ย ขา้ งขึ้นเป็นพระราชพธิ ีไสยศาสตร ครัน้ เพลาบ่าย ไดฤ้ กษพ์ ราหมณ์ ปุโรหิตแห่พระเบญจเกษตรมาสู่พระที่น่ังจันทไฉยา แลใหเ้ จา้ พนักงานแหพ่ ระแกลงมาไว้ ณ พระที่นงั่ ด้วย ใหพ้ ราหมณป์ ุโรหิตกระทาํ พลีกรรมบวงสรวงบูชาในพระที่นัง่ น้ันคืนหน่งึ คร้นั รงุ่ ขนึ้ เพลาเช้า สมเดจ็ พระราชโองการเสด็จออกพระทนี่ ั่งจนั ทไฉยา พระองคถ์ วายบังคมพระเบญจเกษตรเสร็จแลว้ พราหมณป์ โุ รหิตถวายพระแกลงให้ทรงบงั เหินขนึ้ แล้วสัง่ ให้เจา้ พนกั งาน แลว้ พระองค์เสดจ็ กลบั มาสู่ พระราชมณเฑยี ร พราหมณ์เชิญพระไปกุฏิแล คร้นั ณ วนั เพ็ญ ๑๕ คา่ํ น้ัน ถวายขา้ วพระสงฆ์ใน พระราชวัง พระทน่ี งั่ มังคลาภิเษกเปน็ พระราชพิธีพทุ ธศาสตร์” ในราชพงษาวดารกรุงกัมพูชา กลา่ วถึงพระราชพธิ เี ดอื น ๖ ในรัชกาลสมเด็จพระหริรกั ษ์ รามาอิศราธิบดี (พระองค์ด้วง) ว่า “...ในเดือนอา้ ย (ก) ทรงใหช้ กั ว่าวถวายแดพ่ ระจฬุ ามณเี จดยี ซ์ ึง่ บรรจพุ ระเกศธาตุ ณ ดาวดงึ ษพิภพ...” ไมป่ รากฏพระราชพธิ เี ดอื นอา้ ยในนริ าศนครวัด พระนิพนธ์สมเด็จฯ กรมพระยาดํารงรา ชานภุ าพ พระราชพิธเี ดอื นอา้ ยของราชสาํ นักกมั พูชาสมยั ปัจจบุ นั ปรากฏในหนังสือพระราชพธิ ที วา ทศมาส ภาค ๓ ของขุนอุดมปรีชา (จาบ ทิน) กลา่ ววา่ พระราชพงศาวดารประเทศกมั พซู ารัชกาลพระ บาทหรริ ักษ์ (พระบรมโกฏฐ์) ของออกญายมราช (ฌนุ ) กล่าววา่ เดอื นมิคสิร เล่นว่าว ถวายพระจฬุ า มณเี จดยี ์ ซึง่ บรรจุพระเกศาธาตุในสถานไตรตรึงษ์ ในหนังสอื พระราชพิธที วาทศมาสของสมเดจ็ อสิ ภี ทั ทาธบิ ดี (มั่ง) จางวางกรมบารคกู ลา่ ววา่ เดอื นมิคสิร (เดอื นอ้าย) นัน้ ต้องทําพิธเี ล่นว่าว ในหนงั สือธรรม เนียมเขมร ของออกญา วงศาอทุ ัย (นง มาส) อดตี เจา้ เมอื งโสตง (กําปงธม) กล่าววา่ เดอื นมิคสิร เสด็จ เล่นวา่ ว ถวายพระจฬุ ามณเี จดีย์ ทสี่ ถานไตรตรงึ ษ์ สว่ นหนงั สอื พระราชพิธที วาทศมาส ของออกญา มหามนตรี (ลมุต) จางวางกรมพระราช มณเฑยี ร กลา่ วว่า เดือนมิคสริ ตงั้ ว่าวและโคม จําเรญิ พระ ปรติ ร ๓ วัน ถึงวนั ขนึ้ ๑๕ ค่าํ เลน่ วา่ ว ชักโคม ถวายพระจฬุ ามณีเจดยี ์ งานนน้ี าํ มารวมไว้ ในพิธีเฉลิม กรมศลิ ปากร, ประชมุ พงศาวดารภาคที่ ๗๑, หน้า ๕๗ กรมศลิ ปากร, ราชพงษาวดารกรงุ กมั พชู า, หน้า ๓๑๑.

๑๓๖ พระชนมพ์ รรษา หากเปรยี บเทียบความในพระราชพงศาวดารละแวก (ซึ่งกลา่ วถึง พระราชพิธใี นรัชกาล สมเด็จพระศรสี รุ ิโยพรรณ) กับพระราชพิธีเดือนอา้ ยตามทีป่ รากฏในหนงั สอื พระราชพธิ ที วาทศมาส เขมรของขุนอดุ มปรีชา (จาบ พิน) จะสงั เกตเหน็ ได้ว่าวตั ถปุ ระสงค์ไนการจดั พระราชพธิ นี เี้ ปลีย่ นแปลง ไป ๓.๒.๑๐ พระราชพิธีเดือนย่ี (เดอื นบษุ ย) พระราชพธิ เี ดือนยข่ี องกรุงกัมพชู าสมัยพระนครไมป่ รากฏในบนั ทึกของโจวต๋ากวาน หลักฐานทีเ่ ก่าแก่ทสี่ ุดของพระราชพิธใี นเดอื นนจ้ี งึ ปรากฏในราชสาํ นกั กรงุ กมั พูชาสมยั หลงั พระนคร ดงั ท่ีปรากฏในพงศาวดาร ละแวกฉบับแปลจุลศักราช ๑๑๗๐ ซ่ึงกลา่ วถงึ การพระราชพิธีเดือนยี่ ใน รัชกาลสมเดจ็ พระศรสี รุ โิ ยพรรณ ว่า “...คร้นั ณ เดอื นยี่ พระราชพธิ ีพุทธศาสตร์น้ัน ณ วนั ชนื้ ๕ คํา่ สงั่ ให้ เจา้ พนักงานปลกู กฏุ ิ รายรอบพระวหิ ารสําหรับบรวิ าสกรรม จงึ ใหส้ ังฆการเี ผดียงพระราชาคณะและพระสงฆท์ งั้ ปวงมสี มเดจ็ พระสังฆราชเปน็ ตน้ ใหอ้ ยูป่ ริวาสกรรม แลว้ พระองค์เสดจ็ ไปทรงถวายบิณฑบาตรทุกวนั ครัน้ พระสงฆ์ อยู่บริวาสกรรมจวนใกล้ออกอาภาร จึงสมเดจ็ พระราชโองการทรงชา้ งพระทนี่ งั่ กับทั้งอาํ มาตย์ราชเสนา ขา้ หลวงไปเก็บฟนื มากองไว้ ครนั้ รงุ่ ขึน้ ณ วันเพญ็ ๑๕ คา่ํ เพลาเชา้ กษัตริยท์ งั้ สองพระองค์เสดจ็ มาประทบั อยู่ ณ ท่ี พลบั พลาเคร่ืองโภชนาหารพร้อมแล้ว จงึ สมเด็จพระราชโองการเสดจ็ ไปทรงกองฟืนเผาถวาย พระพทุ ธรปู ก่อน แลว้ จึงทรงเผาถวายพระสงฆใ์ หผ้ งิ ทกุ ๆ กฏุ ิ แล้วจึงทรงถวายข้าวสงฆ์แก่พระสงฆท์ ้งั ปวงฉนั สําเรจ็ แล้วทรงพระเต้าทักษิโณทกหล่งั ลงแลว้ เสดจ็ กลับเขา้ พระราชวัง ข้างพระราชพธิ ไี สยศาสตรน์ นั้ ชีพ่อพราหมณ์ปโุ รหิตนาํ เอานาํ้ สําหรบั กษัตรยิ ม์ าถงึ จงึ สมเดจ็ พระสังฆราชราชครมู าถวายพระพร บอกมีคาํ ลั่ง พระราชโองการลงั่ เจ้าพนักงานให้จดั แจงแต่ง เครอ่ื งสงู ไปแหน่ ําเอาพระสุธารสมาไว้ ณ พระท่นี งั่ มังคลาภเิ ษก ให้พราหมณป์ ุโรหติ น่งั เรยี งเป็นลาํ ดับ รบั พระสธุ ารสไปไว้ ณ ท่สี งู เหนอื พระเจา้ ครั้น ณ เดือนยขี่ า้ งแรม มีพระราชโองการสัง่ เจา้ พนักงานใหเ้ รยี บ พระราชโรงหลวง เจา้ พนกั งานท้ังปวงเตรียมการตามตาํ แหน่งใหพ้ ร้อมจงทกุ พนกั งาน และมพี ระสันนยาและพระศุขไสยาสน์ ดาดเพดานกรานอาสนะจะบุศยาภิเษก แล้วให้พระราชวงศานุวงศแ์ ละขา้ ราชการทหารพลเรือน นกั ปราชญ์ ปุโรหิต เสนาเข้าเฝูา ผู้ใหญ่ผู้นอ้ ยทงั้ ปวง ให้แตง่ ตวั จงโอ่โถงตามบันดาศกั ด์ิ ตามเคยดุจอยา่ งพระราชพิธรี าชาภเิ ษก ครนั้ ถงึ เพลาบา่ ยใหม้ าประชมุ พร้อมกนั ณ โรงราชพิธพี ราหมณ์ พราหมณ์ตกี ลองชัยแลว้ เปุาเรไร แล้วราํ นารายณ์ ๓ หน แลว้ ให้ข้าราชการผ้ใู หญ่ผนู้ ้อยใหเ้ รยี บโรงสู่พระราชโรงหลวง อตเิ รกวิสุทธ์ิ พรอ้ ม แล้ว จงึ ให้สังฆการนมิ นตพ์ ระราชาคณะและพระสงฆ์ทัง้ ปวง มีสมเด็จพระสงั ฆราชเป็นตน้ ไปน่ังหตั ถ

๑๓๗ บาส ณ พระท่ีน่ังมงั คลาภเิ ษก แลว้ จึงใหน้ ายทหารทงั้ ๕ กาํ นนั ท้ัง ๕ องครกั ษ์ท้ัง ๔ กลางชา้ งทั้งให้ เรยี บแห่ ๒ ข้าง บําเรอดรุ ิยดนตรีปอี อ้ มโหรแตรเงินกลอ่ ม เม่อื เสดจ็ พระราชดําเนนิ ออกมาสู่พระท่นี ง่ั แลว้ จึงสมเดจ็ พระราชโองการเสด็จเขา้ ทสี่ รง ทรงเครอื่ งพระภูษาต้นนน้ั ยกทองกา้ นแยง่ ธงขา้ วบณิ ฑก์ กุ กุพันอยา่ งนอ้ ยแลว้ ตีฆ้องชยั ๓ หน รํา นารายณ์ ๓ ทา่ แล้วเปุาเรไร เปาุ สังข์ กระท้งั แตรเงินประโคมมโหรี แล้วเสดจ็ พระราชดาํ เนินมาส่พู ระ ทีน่ ัง่ อตเิ รกวิสุทธิ์ พระนพและพระธํามรงค์ ทรงตามเสดจ็ มาด้วย ชักพระสนั นยา ข้าราชการถวาย บงั คมพรอ้ มก้น แลว้ ประโคมปพี าทยฆ์ ้องชยั ให้เจา้ พนักงาน โขนละครเต้นรําเลน่ ข้างในพระราชวัง นอกพระราชวงั ดุจเดยี วกน้ แลว้ จึงใหห้ ยุดประโคมไว้ สงั ฆการอาราธนาศลี พระสงฆ์สวดพระพุทธมนตจ์ บแล้วถวายพระพรลาไป ประโคมแตร สังข์แลว้ เสด็จกลับมาสพู่ ระราชมนเทยี รรังพระสันนยา แลว้ ขา้ ราชการซึ่งเรยี บพระราชโรงน้ันตา่ งคน ตา่ งไป พระสงฆส์ วดพระพุทธมนต์ ๒ วนั น้ันข้างเพลาบ่าย คร้นั รงุ่ ขึน้ เปน็ วันคาํ รบ ๓ พระสงฆส์ วด มนต์เพลาเช้า ครั้นเพลาบา่ ยเจ้าพนกั งานพราหมณป์ โุ รหิตเชิญพระเบญจเกษตรมาบชู า ณ พระทนี่ ั่งมัง คลาภิเษก เจ้าพนกั งานเรยี บพระราชโรง ขา้ ราชการมาสูพ่ ระราชโรง เครื่องเลน่ ท้ังปวงจะเลน่ ก็ดี และ จะเรยี บพระราชโรงกด็ ใี หเ้ รียบแตเ่ พลาบา่ ย คร้ันได้ฤกษ์แลว้ ตกี ลองชยั ๓ หน รํานารายณ์ ๓ ทา่ เรยี กข้าราชการ สู่ราชโรงหลวง พรอ้ มแลว้ เสดจ็ ออกพระทนี่ ั่งมังคลาภิเษก ถวายบังคม พระเบญจเกษตร แล้วเจา้ พนักงานคนราํ ขา้ งหน้าขา้ งใน ก็ราํ ทําเพลงไปทกุ พนักงาน แล้วเสดจ็ สพู่ ระราชมณเฑียรให้เชิญพระเบญจเกษตรแห่ไป ณ กุฏิวดั พราหมณ์ คร้ันเพลาพลบคํา่ เจ้าพนักงานการสมโภชท้งั ปวง มหี นงั เปน็ ต้น กเ็ ลน่ ไป ดอกไม้ เพลิงก็จดุ บชู าสมโภชคาํ รบ ๓ วัน คร้ันรุ่งข้นึ เป็นคาํ รบ ๔ จงึ ให้เจ้าพนกั งานนาํ มาซึง่ พระทนี่ ัง่ บุษบก ลอยมาต้งั ขา้ งบรุ พทิศพระท่ีนั่งเสดจ็ ออก แล้วให้ปโุ รหติ เชญิ พระสุธารสสาํ หรับกษตั ริย์ใสก่ ระออม ทองคําพานทองรอง ๒ ช้ัน ตั้งข้างพระที่นั่งบษุ บกบนเตียงทองกบั ท้ังพระเตา้ เบญจคพั ย์มีรปู สัตว์ปั้น ด้วยแปูงรายรอบบุษบก แล้วมเี ครื่องกระยาโภชนาหารหวานเปรี้ยวมขี นมจีนเปน็ ต้น วางขา้ งพระทนี่ ่งั บษุ บกเปน็ พระราชมณฑล พราหมณ์ตีกลองชยั สญั ญาณ ๓ หน รํานารายณ์ ๓ ทา่ ขา้ ราชการผ้ใู หญใ่ ส่ ลอมพอกเสื้อครยุ ตามบนั ดาศกั ด์ิ ไปถวายบงั คมพระสธุ ารส ๓ หนแล้วกลบั มาปีพระราชโรงดุจก่อน แลว้ จงึ สมเด็จพระราชโองการทรงเคร่อื งกกุธภณั ฑท์ ั้ง ๕ พระมหามงกุฎเปน็ ต้น แลว้ เสด็จออกพระที่น่ัง ข้างใน พระกํานัลเฝาู พรอ้ มนางพนักงาน บาํ เรอมโหรีปีเสพ เจา้ พนักงานขา้ งหน้าตกี ลองชัยสญั ญาณ ๓ หน ประโคมข้นึ ครั้งหน่งึ แล้วหยดุ ไว้ คร้ันได้ฤกษเ์ ปาุ เรไรและแตรสําหงัดชกั พระสันนยาแลว้ เสด็จออกขา้ งหนา้ ขา้ ราชการถวาย บงั คมแลว้ เสด็จเลยไปเหนือพระทนี่ ง่ั บุษบก ทรงถอดพระมหามงกฎุ ทรงสง่ ให้พราหมณ์ เจ้าพนักงาน ประโคมแตรสังขป์ ระนังขึน้ พรอ้ มกันแล้วหยุดไว้ แลว้ จึงพระมหาราชครูปุโรหติ ถวายบังคม ๓ หน แลว้ ถอื ซง่ึ กระออมทองซึง่ ไล้พระสธุ ารสนน้ั รดพระเจา้ ลงแล้วถวายซงึ่ พระเต้าเบญจคัพย์ให้ทรงเสวย แลว้

๑๓๘ ใหพ้ ระองคท์ รงพระมหามงกฎุ แล้วเสดจ็ จาก บุษบกทรงฉลองพระบาทเสด็จมาพระท่นี งั่ แล้วประโคม แตรสังข์ขึ้นครง้ั หนึง่ แลว้ ให้หยุดไว้ แล้วให้เจ้าพนักงานยกบุษบกและเครือ่ งโภชนาหารคาวหวานทั้ง ปวงพระราชทานให้เลยี้ งขา้ ราชการทแกลว้ ทหารใหบ้ รโิ ภค แล้วเสดจ็ กลับสพู่ ระมนเทยี ร แล้วเจา้ พนักงานเล่นสมโภชไปจนเพลาพลบค่าํ เลน่ ไปจนร่งุ คร้นั รุ่งขนึ้ เป็นวันคํารบ ๕ วนั จึงสมเดจ็ พระราชโองการ ประดับด้วยพระสนมกาํ นัลใน เสดจ็ ออกพระที่น่ังมงกุฎพิมาน แล้วพราหมณม์ หาราชครู ปโุ รหิตเจา้ พนักงานเชิญซง่ึ กระออมใส่พระ สธุ ารสสําหรบั กษัตรยิ ์มบี ชู าอยู่ มากน้อยเทา่ ใดมาถวายแลว้ สรงพระเจ้า แล้วสรงทวั่ สรรพางค์องค์ ให้ สิ้นพระสธุ ารส แล้วพราหมณถ์ วายพระพรว่า ไชยตๆุ เสร็จแลว้ พราหมณถ์ วายบงั คม ๓ หน แล้วกไ็ ป ตามอนุกรมสาํ ดบั กนั กระทําอย่างนี้เรียกชอื่ ว่าบษุ ยาภิเษก จาํ เพาะ ณ เดือนยีเ่ ทา่ น้นั ...’ พระราชพธิ ีเดอื นยี่ ในราชพงษาวดารกรงุ กมั พูชา กลา่ วถงึ พระราชพธิ เี ดอื น ๖ ในรัชกาล สมเด็จพระหรริ ักษร์ ามาอศิ ราธิบดี (พระองค์ด้วง) วา่ “...ในเดอื นยี่ (ก) ทรงใหก้ วาดแผ้วถางที่แล้วสร้าง ปลูกกฎุ ีนมิ นต์พระกมุ แดง สงฆเ์ ข้าปริวาสกรรม...” ไม่ปรากฏพระราชพิธีเดอื นยี่กรงุ กมั พูชาในนริ าศนครวัด พระนพิ นธ์ สมเดจ็ ฯ กรมพระยา ดาํ รงราชานุภาพ พระราชพธิ เี ดอื นย่ีของราชสํานักกมั พูชาสมยั ปัจจุบันปรากฏในหนงั สอื พระราชพธิ ที วาทศ มาส ภาค ๓ ของขุนอุดมปรีชา (จาบ พนิ ) กลา่ ววา่ ตงั้ แต่รัชกาลพระกรุณาพระบาทสมเด็จพระสีสุวัตถ์ิ , พระสีสวุ ัตถิ์มนุ ีวงศ์, พระนโรดมสีหนุ มาจนถึงรชั กาลพระบาทสมเด็จพระนโรดมสุรามฤต ไมม่ ีการ พระราชพธิ ใี ดในเดอื นบุษย (เดอื นย่ี) แต่ในเอกสารโบราณ ๔ ฉบับ คอื พระราชพงศาวดารประเทศ กัมพชู า รัชกาลพระบาทสมเด็จพระหรริ กั ษ์ (พระองคด์ ้วง) ของออกญายมราช (ฌนุ ) กล่าวว่า เดอื น บุษย ชําระทส่ี รา้ งโรงกุฏปิ ระเคนพระสงฆ์ สาํ หรับเข้าปริวาสกรรม ปลงอาบตั ิ ในหนงั สอื พระราชพธิ ี ทวาทศมาส ซึง่ คดั ลอกจากกระบวนสมเด็จอสิ ภี ทั ทธบิ ดี (มั่ง) จางวาง กรมบารคู กลา่ วว่า เดอื นบุษย (ย่ี) ทาํ โรงทานให้ทานเพลงิ นิมนตพ์ ระสงฆ์เข้าปริวาสกรรม เวรข้าวแชถ่ วายพระสงฆ์ งานบุญนี้ ยกมา รวมในงานเฉลิมพระชนม์พรรษา ในหนังสือธรรมเนยี มเขมร ของออกญาวงศาอุทัย (นง - มาส) อดีต เจ้าเมืองโสตง (กาํ ปงธม) กล่าวว่า เดอื นบษุ ย (ยี่) ขา้ งแรม เสด็จออกนิมนตพ์ ระสงฆซ์ ึง่ มีสงสยั ในอาบตั ิ สงั ฆาทิเสสใหเ้ ข้าปริวาสกรรม ในบรรดาเอกสารเหลา่ นี้ เอกสารที่ ๒ ท่ี ๓ ท่ี ๕ ไม่ระบุชดั วา่ รัชกาลใด แต่เอกสารท่ี ๑ ระบชุ ัดเจนวา่ รชั กาลพระองคด์ ้วง คอื วา่ ในรัชกาลพระบรมโกฏฐ์ ยังมีการทาํ พระราช กศุ ลชําระทส่ี ร้างโรงกฏุ ิประเคนพระสงฆเ์ ข้าปรวิ าสกรรม ให้ทานเพลงิ เวรขา้ วแช่ถวายพระสงฆ์อยู่ กรมศิลปากร, ประชุมพงศาวดารภาคท่ี ๗๑, หนา้ ๕๘-๕๙. กรมศลิ ปากร, ราชพงษาวดารกรงุ กมั พูชา, หนา้ ๓๑๑.

๑๓๙ เม่ือเปรยี บเทียบระหวา่ งพระราชพธิ ีเดือนย่เี ขมรที ป่ รากฏในหนังสอื ทวาทสมาสกบั ที่ ปรากฏในพงศาวดารละแวกฉบบั แปล จ.ศ. ๑๑๗๐ แลว้ จะเหน็ วา่ มีพระราชประเพณบี างอยา่ งได้ เปล่ียนแปลงไปโดยเฉพาะการพระราชพิธอี ันเนอื่ งด้วยเรือ่ งไสยศาสตร์ ทงั้ นอ้ี าจเนื่องมาจากในสมัย หลัง (คงราว สมัยต้นกรงุ รัตนโกสินทร์) พระราชพิธบี ษุ ยาภเิ ษกของกัมพูชาได้แก้ไข รปู แบบบางอยา่ ง ไปจากเดิม และมิได้เรียกว่าพระราชพิธีบุษยาภเิ ษกอกี ตอ่ ไป มีเพยี งพระราชพธิ ีบางอยา่ งเพ่อื คงไว้เพ่ือ ความรม่ เยน็ เปน็ สุขของแผน่ ดิน ดว้ ยเหตนุ ้ตี ่อมาในสมัยรัชกาลสมเดจ็ พระสสิ วุ ตั ถิ์, สมเดจ็ พระสีสวุ ัตถิ์ มุนีวงศ์และสมเด็จพระนโรดมสุรามฤต จึงมีการยกเลิกพระราชพธิ ีเดือนยไี ปโดยมิไดม้ ีการจัดขน้ึ อีก ๓.๒.๑๑ พระราชพิธเี ดือนสาม (เดอื นมาฆ) พระราชพธิ ีเดือนสามของกรุงกมั พชู าสมัยพระนครไม่ปรากฏในบนั ทึกของโจวต๋ากวาน หลกั ฐานที่เกา่ แกท่ ่สี ดุ ของพระราชพธิ ีในเดือนน้ปี รากฏในราชสาํ นักกรงุ กมั พชู าสมยั หลงั พระนคร ตาม หนงั สือประชุมพงศาวดารภาคที่ ๗๑ พงศาวดารละแวก ฉบบั แปล จ.ศ. ๑๑๗๐ กลา่ วถงึ พระราชพธิ ี เดอื นสามในรัชกาลสมเด็จพระศรีสุรโิ ยพรรณ ไว้วา่ “...ครนั้ ณ เดอื น ๓ เป็นพระราชพธิ ไี สยศาสตร์นนั้ สั่งให้เจา้ พนักงานเอาขา้ วไปกองไวใ้ น พระราชวงั ๕ กอง แลว้ ให้เอาฟางขา้ วผกู เป็นรปู หุน่ ๕ คนปกั ไวก้ บั กองขา้ วแล้วใหพ้ ระยาพลเทพแตง่ เครอื่ งสกั การบูชาสําหรับถวายบงั คม และขุนนางในกรมนานน้ั ข่เี กวยี นระแทะเทยี มโค ๕ เล่มนนั้ แต่งตวั นงุ่ ลาย ใส่เสอื้ ครยุ ใสล่ าํ พอก คนขีม่ ้าคนละตัว นุ่งลายใสเ่ สื้อครุยใส่หมวกลอม พระยาพลเทพ น้นั สปั คบั ใสช่ ฎา น่งุ สมปักลาย ใส่เสือ้ ครุยขลิบทอง ๒ น้ิว บรวิ ารยศ อปุ โภคบรโิ ภคตามหลังมพี ร้อม มี สงิ โตจีนตวั หนึ่งเดนิ หนา้ ถดั ลงมามา้ ๔ ตัว เดินเปน็ คู่ ถัดลงมาเกวยี นระแทะขบั เคยี งกนั ทัง้ ๔ เลม่ ถดั ลงมาถงึ ช้าง พระยาพลเทพ ภรรยาพระยาพลเทพ ๔ คนขช่ี า้ งกูบคนละตัว นงุ่ ลายหม่ สีตา่ งๆ ครน้ั ได้ ฤกษ์แลว้ พระยาพลเทพแหเ่ ข้าในพระราชวัง เรียบพลยืนช้างอยู่ ณ ทก่ี องขา้ ว แล้วใหเ้ จา้ พนักงานเรยี บ พระราชโรงท่ีพระที่นัง่ จนั ทไฉยา ขา้ ราชการ แตง่ ตัวดุจอย่างพระราชพธิ ีตามบรรดาศกั ดิส์ พู่ ระราชโรง หลวงพร้อมแล้ว จึ่ง สมเด็จพระราชโองการกับสมเด็จพระอัครมเหษเี สด็จออกพระทีน่ งั่ จนั ทไฉยา ขา้ ราชการถวายบังคมพร้อมแลว้ จ่ึงมรี บั ส่งั ใหห้ าพระยาพลเทพมาเฝาู ณ พระท่ีนั่งจนั ทไฉยาแล้วพญา พลเทพนาํ ซ่ึงเครอื่ งดอกไม้ธูปเทียนมาถวายบังคม ๓ หนแล้วหมอบเฝูา เจา้ พนักงานอา่ นหนังสือคํา เสนอใหพ้ ระยาพลเทพและพระวงศานุวงศ์ และขา้ ราชการผู้ใหญผ่ นู้ ้อยฟัง มอบราชสมบัติให้ เจา้ พระยาพลเทพจบแล้ว ตวงสันทบาท ๓ หน แลว้ พระยาพลเทพและขา้ ราชการถวายบงั คมพรอ้ มกัน แลว้ พระยาพลเทพออกมาขึน้ ช้าง และบรรดาเครอื่ งเล่นทงั้ ปวงมหี ุ่น โขน มวยปลา ราํ กระปกี ระบอง ดาบดงั้ เปน็ ตน้ ตา่ งคนกต็ า่ งเล่นไปทกุ พนกั งาน พระยาพลเทพยืนชา้ งดซู ึ่งการเลน่ ทั้งปวงสักคร่หู นึง่ แล้วก็แห่พระยาพลเทพกับทัง้ กระบวนน้ันประทกั ษิณเวยี นกองขา้ ว ๓ รอบแล้ว แห่ ออกไปสู่ประตเู จ้า จันทร์ เจ้าพนกั งานพราหมณ์ปโุ รหติ กระทาํ พลีกรรมบวงสรวงบชู ากองขา้ ว แลว้ ก็เผากองข้าวน้ันเสีย นยั หนึง่ พระราชพิธขี ้างพุทธศาสตรน์ น้ั ให้เจา้ พนักงานเรยี บพระราชโรง ณ พระที่นง่ั อตเิ รก

๑๔๐ วิสุทธิ์พรอ้ มแลว้ ใหส้ งั ฆการเี ผดยี งสมเด็จพระสังฆราชและพระราชาคณะทงั้ ปวง และมพี ระพทุ ธรูป เป็นประธาน มาฉัน ณ พระที่นั่งอตเิ รกวสิ ุทธ์ิ ครน้ั ณ วันเพ็ญ ๑๕ คํา่ กษัตรยิ ท์ งั้ สองพระองค์เสด็จมา ทรงบาตร แลว้ ถวายสํารับพระสงฆ์ฉัน เสร็จแล้วหลง่ั ซึ่งนาสิโนทก แลว้ เสดจ็ สู่พระราชวัง...” พระราชพิธีเดือน ๓ ในราชพงษาวดารกรงุ กมั พชู ากล่าวถงึ พระราชพธิ เี ดือน ๖ ในรัชกาล สมเด็จพระหริรกั ษร์ ามาอิศราธิบดี (พระองค์ด้วง) วา่ “...ในเดอื น ๓ (ก) ทรงให้จดั ทําพระราชพธิ เี ฉลมิ ๓ วัน (ข) ทรงใหจ้ ดั ทํา พระราชพิธีบชู าพระไพศพ คอื บูชาภเู ขาขา้ วเปลอื ก...” ไมป่ รากฏพระราชพธิ ีเดือน ๓ กรุงกัมพูชาในนิราศนครวัด พระนพิ นธส์ มเด็จฯ กรมพระยา ดาํ รงราชานภุ าพ พระราชพิธีเดอื น ๓ ของราชสาํ นักกมั พชู าสมยั ปจั จบุ ันปรากฏในหนงั สือพระราชพธิ ที วา ทศมาส ภาค ๓ ของขนุ อดุ มปรชี า (จาบ พนิ ) มีสอง พระราชพธิ คี อื พระราชพธิ ีเผาขา้ ว หนังสือกลา่ ว ว่าในเดอื นน้มี ีพธิ บี ญุ เสดจ็ มาฆ (พธิ ีเผาข้าว) ๓.๒.๑๒ พระราชพธิ ีเดอื นส่ี (เดอื นผลคนุ ) พระราชพธิ ีเดือนสีของกรงุ กมั พูชาสมยั พระนครไม่ปรากฏในบนั ทกึ ของโจวตา๋ กวาน หลักฐานทีเ่ ก่าแก่ท่สี ุดของพระราชพธิ ีในเดือนนป้ี รากฏในราชสาํ นักกรงุ กัมพูชาสมัยหลังพระนครว่ามี การพระราชพิธตี รุษสงกรานต์ ในวนั แรม ๑๒ - ๑๕ คาํ่ เดอื นผลคุน (เดือนส่ี) ดงั ปรากฏในพงศาวดาร ละแวก ฉบบั แปล จ.ศ. ๑๑๗๐ โดยแบง่ พระราชพิธีเดือนส่ี ออกเปน็ สองสว่ น ส่วนแรกเปน็ พระราชพิธี ฝาุ ยไสยศาสตร์ กับส่วนท่ี ๒ เป็นพระราชพธิ ฝี าุ ยพทุ ธ ดังน้ี “...ครน้ั เดอื น ๔ เปน็ พระราชพิธไี สยศาสตร์ จึงเจา้ พนักงานพราหมณ์ ปุโรหติ เอาผล มะกรดู ผลสม้ ปุอยใส่ในเหมสมั ฤทธ์พิ านทองรอง ๒ ชั้น แห่ไปสพู่ ระราชวัง เข้าในพระท่ีนง่ั อตเิ รกวสิ ทุ ธิ์ มีเตียงทองรองปิดดว้ ยพระชนุ วิที มีพระศุขไสยาสน์กําบังเปน็ อนั ดี แล้วชักพระสันนยาปดิ ๔ ทิศ พราหมณ์ ปโุ รหิตอยู่ในชน้ั พระสันนยา กระทาํ พลีกรรมบวงสรวงบชู า ณ กลางห้องพระตําหนกั แล้วให้ นาํ มาซึ่งแม่มด ๘ คน มารําโรงที่ดนิ ข้างเหนือพระตําหนกั พมิ านอากาศ แล้วใหค้ นแต่งตัวนุง่ ผา้ อยา่ ง โขนใส่หัวโขนยกั ษ์ศีรษะพริก ๔ คน รําดว้ ยแมม่ ดแลว้ ให้เอาหญา้ คามาทําเป็นมา้ ใหไ้ ด้ ๑๐๐ ตัว ๒๐๐ ตัว ใหค้ นข่ีม้าหุ่นคา มือหนึง่ ถือไมเ้ ท้าสาก มือหนึ่งถือตะขาบชัก ถอื ปนี บ้าง ถือธนูบ้าง จุด ประทดั บา้ ง เอาใบตาลมาทําเป็นพระขรรค์บา้ ง เป็นหอกบ้าง ให้ยกพลมาแตน่ อกพระราชวังแลว้ ให้ตั้ง ล้อมโรงรําแม่มดไว้ คร้ันได้ฤกษต์ วงสันทบาท ๓ หน แล้วใหพ้ ลม้าเขา้ ตแี มม่ ด จุดปนี ยิงประทัด ชกั กรมศลิ ปากร, ประชุมพงศาวดารภาคท่ี ๗๑, หน้า ๖๓-๖๔. กรมศลิ ปากร, ราชพงษาวดารกรุงกัมพชู า, หนา้ ๓๑๒. เรือ่ งเดียวกัน, หน้า ๖๔ – ๖๕.


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook