๑๔๑ ตะขาบไล่ แม่มดให้วิงหนีกระจดั กระจาย แตกฟายหนอี อกนอกพระราชวัง แล้วจงึ ทูลเชญิ กษตั รยิ ์ทัง้ สองพระองค์ให้เสด็จมาทรงนั่งเหนอื รัตนบัลลงั ก์อนั สมควรแลว้ พราหมณ์ปโุ รหติ เชญิ น้ํามะกรดู น้าํ ส้มปอุ ยไปสระพระเกศา ชาํ ระอปุ ัทวนั ตรายทั้งปวงส้ินมลทินแลว้ เสด็จเชา้ พระราชวัง พระราชพธิ ีพทุ ธศาสตรน์ นั้ จึงใหส้ ังฆการนี มิ นต์พระราชาคณะมพี ระพทุ ธรปู เป็นประธาน มา ณ พระท่นี ัง่ อติเรกวิสทุ ธฉ์ ัน ณ วนั เพญ็ ๑๕ คาํ่ เพลาเช้า กษตั ริยท์ งั้ สองพระองคเ์ สด็จออกมาทรง ศีลเลยี้ งพระสงฆด์ จุ อยา่ ง ทกุ ครัง้ ฉนั แล้วเสดจ็ กลบั เข้าพระราชวัง...\" นริ าศนครวัด พระนิพนธ์สมเด็จฯ กรมพระยาดาํ รงราชานุภาพ ทรงบันทกึ ไว้วา่ ในเดอื น ๕ รัชกาลลมเด็จพระศรสี วัสด์ิ กัมพูชามพี ระราชพธิ ี “พิธตี รุษในเดือน ๕ มีสวดมนตเ์ ลีย้ งพระและยิงปนี อาฏานาเหมอื นในกรุงเทพฯ” พระราชพิธีเดือน ๔ ของราชสํานกั กัมพูชาทป่ี รากฏในหนังสือ พระราชพธิ ที วาทศมาส ภาค ๓ ของขนุ อุดมปรีชา (จาบ พนิ ) มพี ระราชพธิ ี ตรษุ สงกรานต์ ซงึ่ ปฏิบตั สิ บื มาต้ังแตใ่ นรชั กาล สมเดจ็ พระหรริ ักษร์ ามาอศิ ราธบิ ดี (พระองคด์ ว้ ง) ดงั ความในราชพงษาวดารกรุงกัมพชู าวา่ “...ในเดอื น ๔ (ก) ทรงใหท้ าํ พระราชพิธตี รุษ จดุ เทยี นไชยแลนิมนต์พระสงฆ์มาสวดภาณ ยักษ์... ” อาจสังเกตเห็นไดว้ ่า แมใ้ นสมยั หลังพระราชพธิ เี ดอื นสเ่ี ขมรจะเหลอื เพียงพระราชพิธีตรษุ สงกรานต์ ซึ่งเปน็ พระราชพิธีฝุายพุทธ แตข่ ั้นตอนบางอย่างกน็ ่าจะสบื มาจากพระราชพธิ ขี องเดมิ เก่ยี วกับไสยศาสตร์ เช่น การทํากระบอง และการที่ใหข้ ุนนางถือกระบองนที้ าํ ทา่ ขบั ไลภ่ ตู ผีกน็ ่าจะมา จากพธิ ีกรรมท่ปี รากฏในพงศาวดารละแวกฉบบั แปล จ.ศ. ๑๑๗๐ แต่ต่อมาได้ถกู น่ามารวมไว้ในพระ ราชพธิ ีฝาุ ยพทุ ธดงั ปรากฏอยู่ในหนงั สือพระราชพธิ ีทวาทศมาส ภาค ๓ ของขุนอุดมปรีชา (จาบ พิน) บทสรปุ จากท่ีกล่าวมาจะเหน็ ไดว้ า่ พระราชพธิ ที วาทศมาสหรอื พระราชพธิ ี สิบสองเดอื นกรุง กมั พูชามีวิวัฒนาการหลายยุคหลายสมยั พระราชพธิ ี บางพระราชพธิ เี คยจดั ขึน้ ครั้นตอ่ มาไมเ่ หมาะสม แก่กาลสมัยกม็ กี ารยกเลิก บางพระราชพิธีไมเ่ คยมกี ม็ ีการจัดขน้ึ ใหม่ตามความนยิ มและความเชื่อของ ลังคมทเ่ี ปล่ยี นแปลงไป พระราชพธิ ีบางพระราชพธิ ีแทรกเพิ่มเขา้ มาเน่อื งจาก มีการเปลีย่ นแปลงความ เชือ่ ทางศาสนา เชน่ การเพิม่ พระราชพิธีวนั วิสาขบชู า และวันมาฆบชู าเขา้ มาในสมัยหลังเม่อื มกี ารนบั ถอื พระพทุ ธศาสนา ส่วนพระราชพธิ พี ราหมณ์บางอย่างเม่อื ไม่เขา้ ใจวตั ถปุ ระสงคเ์ ดมิ ในการทาํ หรือไม่ เห็นประโยชน์ หรอื มคี วามยงุ่ ยากก็ยกเลิกไป เชน่ พระราชพธิ ใี นเดือนอ้าย และเดอื นยีท่ ีม่ กี ารยกเลกิ สมเดจ็ ฯ กรมพระยาดาํ รงราชานุภาพ, นิราศนครวัด, หน้า ๕๘. เร่อื งเดียวกนั , หนา้ ๓๑๒.
๑๔๒ เสยี ดงั น้นั ในเม่ือพิธีกรรมเป็นส่วนหนึง่ ของชีวิต ท่มี นุษยส์ รา้ งขนึ้ เพอ่ื ตอบสนองความตอ้ งการ โดยตัง้ อยู่บนพ้นื ฐานความเชอื่ ตา่ ง ๆ เมอื่ ความเชื่อปรบั เปล่ยี นไป พธิ ีกรรมบางอย่างแมจ้ ะดูเหมือนวา่ จะหายไป แตแ่ ท้ทีจ่ ริง กลบั สอดแทรกอยู่ในพิธกี รรมตามความเช่อื ใหม่ ๆ ไดอ้ ยา่ งกลมกลนื ราย ละเอียดความเปลีย่ นแปลงและรายละเอียดของพระราชพธิ ที วาทศมาสหรือ พระราชพิธสี บิ สองเดอื น กรงุ กัมพชู าสามารถศึกษาได้จากบทแปลตอ่ ไป ขา้ งหน้าน้ี ๓.๓ วฒั นธรรมในเชิงรูปธรรม (Material Culture) ๓.๓.๑ วฒั นธรรมทีเ่ ปน็ รูปธรรม (Material Culture) ในสมยั ๒,๐๐๐-๓,๐๐๐ ปมี าแลว้ ประเทศซีกโลกตะวนั ออกมีเพยี ง ๒ ประเทศท่ีมีอารย ธรรมมานานกว่าประเทศอื่น ๆ น่ันคืออินเดยี กับจีน แม้จีนได้เริม่ อารยธรรมในยคุ เดียวกับอนิ เดียก็ ตาม มรดกทางวัฒนธรมของจีนกม็ เี พยี งเล็กน้อยทีส่ ่งทอดให้แก่ย่านเอเซยี ด้วยกัน ผิดกบั อนิ เดยี ซึง่ ได้ ถ่ายทอดและวฒั นธรรมของตนให้แก่เอเซยี และแกโ่ ลกไดม้ ากกว่า วฒั นธรรมอนิ เดยี ไดก้ ระจายสทู่ างตะวนั ออก (เอเซยี อาคเนย์) หลักฐานสว่ นมากไดม้ าจาก คมั ภรี ์ชาดกของพระพทุ ธศาสนา และนทิ านพื้นบา้ นบ้าง พงศาวดารจีนบา้ ง ในชาดกเล่าถึงการ เดินเรือจากอนิ เดียสูด่ นิ แดนสวุ รรณภูมิ และหมูเ่ กาะตา่ งๆ แถบนี้ คนอนิ เดียสว่ นมากมาตง้ั หลักแหลง่ ในบรเิ วณสุวรรณภมู ิ มาจากตอนใต้ และมคี รอบครวั กนั ใหม่อีกคร้ังในแผ่นดนิ ผืนใหมน่ ี้ และเชอื่ กนั วา่ ในบรเิ วณตอนใตข้ องลุม่ นํ้าเจา้ พระยา (พวกละว้า-มอญ เป็นชนพืน้ เมืองด่ังเดิม) ไดม้ าต้ังอยู่ก่อนแล้ว และนับถอื นิกายเถรวาท ส่วนใหญ่มาทางทะเล ในสมยั พระเจา้ อโศกครองราชย์ได้ ๘ ปแี ลว้ ได้ยาตรา ทพั ลงไปปราบแควน้ กาลงิ คะนั้น และทีร่ อดตายถกู จับเปน็ เชลย ๑๕๐,๐๐๐ คน ส่วนใหญล่ งเรือหนี มายงั สวุ รรณภมู ิและเลยไปเกาะชวา ขา้ มมหาสมทุ รอินเดยี เข้าช่องแคบมะละกา ข้นึ บกท่ีแหลมมลายู หรอื ออ้ มแหลมไปยงั กัมพูชา และจัมปา จีน ชาวอนิ เดยี ทไ่ี ปต้งั อาณานิคมอยูท่ างตะวนั ออก เชน่ ชวา มลายู และจาม เปน็ ตน้ ไมน่ ิยม เดินทางบก เพราะมอี ันตราย ขนสง่ สินคา้ ลาํ บาก เม่ือทาํ การคา้ อีกท้งั ชาวอินเดยี มีความรูท้ างทะเล และฤดูมรสมุ จึงสามารถเดนิ เรอื ได้เปน็ อยา่ งดใี นยา่ นเหลา่ นี้ เม่ือพระเจา้ อโศกส่งพระเถระท้ังสองได้แก่ พระโสณะและพระอตุ ตระไปประกาศพุทธศาสนา จงึ เปน็ ไปดว้ ยความสะดวก เพราะมคี นอินเดยี มา ต้ังหลักแหล่งอยกู่ นั มาก และใชภ้ าษาเดยี วกัน หรือมีลา่ มชาวอนิ เดยี ชว่ ยเหลืออกี ทีหนึ่ง ส่วนใหญค่ งใช้ทางน้าํ แมท้ ่านฟาเหียน (ภิกษุชาวจนี ) ได้ออกเดนิ ทางจากเมอื งเชียงอัน สเุ ทพ พรมเลิศ, ผศ., คมั ภีรม์ ทาวงส์ ภาค ๑ , (กรุงเทพฯ: โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย , ๒๕๕๓), หนา้ ๕๑
๑๔๓ ผา่ นตอนกลางประเทศจีนลงสแู่ คชเมียร์ คันธาระ เท่ียวศึกษาอยู่ในอินเดยี แลว้ เลยไปลังกา จากลงั กา กก็ ลบั เมืองจนี โดยผา่ นอา่ งเบงคอลไปยงั หมเู่ กาะชวาแลว้ จึงเดินทางต่อไปเมืองจนี (ใชเ้ วลา ๑๕ ปี) ต่อมาท่านอีจ้ งิ ก็อาศยั การเดินทางเรอื เส้นทางนีเ้ ชน่ เดยี วกัน ประเทศกัมพูชาไดร้ ับอารยธรรมทร่ี ุง่ เรอื งมาจากอินเดียไว้เป็นมรดกต้งั แต่โบราณกาลมาแล้ว กัมพชู าเรม่ิ นบั ถือพระพุทธศาสนาแบบเถรวาทตั้งแตน่ ้นั มา แมว้ า่ กัมพูชาจะได้รับพระพทุ ธศาสนาโดยตรงจาก คณะพระธรรมทูตคอื พระโสณะและพระอตุ ตระอนั เป็นนกิ ายเถรวาทหรือหินยาน แตก่ ลับไมเ่ จริญรงุ่ เรอื ง เพราะตอ่ มาพระพทุ ธศาสนาแบบมหายานและศาสนาพราหมณน์ ิกายไศวะ และไวศณพได้เข้าเจรญิ มั่นคงแทน โดยมภี าษาลนั สกฤตเป็นภาษาสําคัญของราชวงศ์ และของพวกพราหมณ์ผทู้ าํ หน้าท่สี ่ือกลางระหวา่ งมนษุ ย์กับ พระเจา้ แนวความเช่อื ของศาสนาทั้งสองนี้ไดห้ ย่ังรากลกึ ลงในหวั ใจของชาวกมั พูชาทุกคน ตั้งแตช่ นช้ัน ปกครองจนถึงประชาชนธรรมดา ผลงานท่บี ่งบอกถึงความศรัทธาทมี่ นั่ คงแนว่ แน่ตอ่ ศาสนาของพวกเขาคือ การก่อสร้างศาสนสถานดว้ ยหินศลิ าของทง้ั สองศาสนาเกอื บ,๐๒๐๐ แห่งทั่วแผน่ ดินกมั พชู า ลาว เวยี ดนาม ซง่ึ แตล่ ะแหง่ สรา้ งไดอ้ ยา่ งใหญโ่ ตมโหฬาร ผทู้ ไ่ี มม่ ศี รทั ธามน่ั คง ยอ่ มไมอ่ าจสรา้ งผลงานมหึมาเหลา่ นีอ้ ยา่ ง แน่นอน และศาสนสถาน ๑ ใน๒,๐๐๐ ไดร้ ับการยอมรบั ใหเ้ ป็นสง่ิ มหัศจรรย์อนั ดบั เจ็ดของโลกด้วยน่ันคอื ปราสาทหนิ นครวัด ๓.๓.๒ คติการสร้างปราสาท การสรา้ งอาคารทรงปราสาทมาจากคติความเชอ่ื ของชาวอินเดียท่ีว่า เทพเจา้ ทงั้ หลายสถิต อยู่ ณ เขาพระสเุ มรุ อันเป็นแกนกลางของจกั รวาล ซ่งึ อยู่บนสวรรค์ การสร้างปราสาทจงึ เปรยี บเสมือน การจําลองเขาพระสุเมรมุ ายงั โลกมนุษย์ เพื่อเป็นทส่ี ถิตของเทพเจ้า และมีการสร้างรปู เคารพของเทพ เจา้ ขึ้น เพ่ือประดษิ ฐานไว้ภายใน โดยตัวปราสาทมีสญั ลักษณ์ตา่ งๆ ท่ีใช้แทนความหมายของเขาพระ สุเมรุ เช่น มีปราสาทประธานตรงกลาง มปี ราสาทบริวารลอ้ มรอบ ถัดออกมามีสระนํ้า และกาํ แพง ลอ้ มรอบอีกชัน้ หนึ่ง การทีท่ ําหลงั คาปราสาทเป็นเรือนซอ้ นชั้นกห็ มายถงึ สวรรคห์ รือวิมานของเทพ เทวดานัน่ เอง ด้วยเหตุทเี่ ปน็ การจําลองจกั รวาลมาไว้บนโลกมนษุ ย์ และเปน็ ทส่ี ถติ ของเทพเจา้ จึง ต้องมรี ะเบียบกฎเกณฑ์ ตามที่กาํ หนดไวใ้ นคมั ภรี ท์ างศาสนาอย่างเคร่งครดั ตัวปราสาทจึงมขี นาด ใหญโ่ ต และใช้เวลากอ่ สรา้ งยาวนาน ๓.๓.๓ ความสาคัญของการสร้างปราสาท ดว้ ยเหตทุ ีป่ ราสาทขอมคือ ศนู ยก์ ลางของจักรวาล ดังนนั้ ตัวปราสาท และเขตศาสนสถาน จึงถือวา่ เปน็ สถานทศี่ ักดสิ์ ทิ ธิ์ และใชใ้ นความหมายทเี่ ป็นศูนย์กลางของเมืองหรือชุมชน ปราสาทเปน็ ที่ประดิษฐานรปู เคารพ และใชท้ ําพิธีกรรมทางศาสนา ซง่ึ ในศาสนาฮนิ ดูจะมพี ราหมณ์เปน็ ผู้ทําพธิ ี เช่น พระมหาดาวสยาม วชิรปญั โญ, ดร., พระพุทธศาสนาในกมั พูชา, หนา้ ๘. เรอื่ งเดียวกนั หนา้ ๓๔.
๑๔๔ การสรงน้ํารปู เคารพท่ีอยภู่ ายในหอ้ งครรภคฤหะ น้ําทส่ี รงแลว้ จะไหลออกมาทางทอ่ น้ําเรยี กวา่ ท่อโสม สตู ร ซึ่งต่อออกมาภายนอกตวั ปราสาท เพ่อื ทช่ี าวบา้ นจะไดน้ ํานา้ํ ศกั ดิ์สทิ ธน์ิ ้ไี ปใช้ นอกเหนอื จาก ปราสาททเ่ี ป็นศนู ยก์ ลางของชมุ ชนแลว้ การสรา้ งสระน้าํ และบาราย (สระน้าํ ขนาดใหญ่) ก็เปน็ สว่ น หน่งึ ของปราสาท เพอ่ื เปน็ อ่างเก็บนํา้ สําหรับชมุ ชน ในการอุปโภคบรโิ ภค ดังน้ัน การสรา้ งปราสาทจึง เปน็ ภาระสาํ คัญของพระมหากษัตรยิ ์ ท่เี มอื่ ขึน้ ครองราชยแ์ ลว้ ต้องสร้างขึน้ เพื่ออทุ ิศใหแ้ ก่บรรพบรุ ุษ หรือให้แก่พระองคเ์ อง และสรา้ งบารายใหแ้ ก่ประชาชน การสร้างปราสาททีม่ ขี นาดใหญจ่ งึ แสดงให้ เห็นถึงบญุ บารมี และพระราชอาํ นาจของกษตั รยิ ์แตล่ ะพระองค์ด้วย ๓.๓.๔ ความเก่ียวเนอื่ งระหว่างปราสาทกับศาสนา โดยท่วั ไปศาสนสถานในศลิ ปะขอม จะสรา้ งขน้ึ เน่อื งในศาสนาฮินดูเป็นส่วนใหญ่ มีเพยี ง บางแห่ง หรอื บางสมยั เทา่ นัน้ ทส่ี รา้ งขน้ึ เนื่องในพระพทุ ธศาสนานกิ ายมหายาน เช่น ปราสาททีส่ รา้ ง ขนึ้ ในศิลปะแบบบายนทงั้ หมด เพราะในขณะน้ัน มีการเปลย่ี นมานบั ถือพระพุทธศาสนานกิ ายมหายาน แล้ว วิธีสงั เกตวา่ ศาสนสถานแห่งนัน้ ๆ สรา้ งขึ้นเนื่องในศาสนา และลัทธิใด ดไู ด้จากรูปเคารพ ท่ี ประดษิ ฐานภายในปราสาทประธานเปน็ สําคัญ ถา้ ไม่ปรากฏรูปเคารพ ให้ดไู ดจ้ ากภาพเลา่ เรอื่ งบนทับ หลงั โดยเฉพาะทบั หลังประดบั ด้านหน้าของหอ้ งครรภคฤหะ จะเปน็ ตัวบอกได้ดที ส่ี ุด ในสว่ นของ ปราสาทท่ีสรา้ งข้ึนในศาสนาฮนิ ดูแยกออกเป็น ๒ ลทั ธิ ได้แก่ \"ไศวนิกาย\" คือ การบชู าพระอิศวร หรอื พระศวิ ะเปน็ ใหญ่ เช่น ปราสาทพนมรุ้ง และ \"ไวษณพนกิ าย\" คือ การบชู าพระนารายณ์ หรือพระวิษณุ เป็นใหญ่ เชน่ ปราสาทนครวัด สว่ นปราสาทหนิ พิมาย และกลุม่ ปราสาทร่นุ หลัง ในศลิ ปะแบบบายน สรา้ งขนึ้ เน่อื งในพระพุทธศาสนานกิ ายมหายาน ๓.๓.๕ วัตถุประสงค์ในการสรา้ งปราสาทแยกได้ดังน้ีคอื ๑.สรา้ งปราสาทข้นึ เพอื่ เป็นพระราชสุสาน โดยมคี วามเชือ่ วา่ เม่ือพระมหากษตั ริย์ สวรรคต ดวงวิญญาณของพระมหากษัตรยิ ์กจ็ ะหลอมรวมกับเทพเจ้าที่พระองคเ์ คยนับถือ ๒.สร้างปราสาทขน้ึ เพอ่ื ตอ้ งการจะใหเ้ ป็นสถานทเ่ี คารพสักการะในทางศาสนา ๓.สรา้ งปราสาทขึ้นเพ่ือตอ้ งการใหเ้ ป็นศูนย์กลางของเมอื ง ไดแ้ ก่ ปราสาทบายน ปราสาทปาปวน และปราสาทพนมบาแค็ง ๔.สร้างปราสาทข้นึ เพ่อื เปน็ ท่รี ะลกึ แกด่ วงวญิ ญาณของพระอดีตมหากษัตรยิ ์ ไดแ้ ก่ ปราสาทแม่บญุ ปราสาทตาพรหม และปราสาทพระขรรค์ ๓.๓.๖ ความเช่ือทางศาสนาของอาณาจักรขอม ในชว่ งพทุ ธศกั ราชที่ ๕๐๐ ศาสนาพราหมท์ ไี่ ด้มีการนับถอื อยใู่ นประเทศอนิ เดยี ได้มกี าร เรม่ิ แผก่ ระจายขยายอิทธพิ ลไปยงั ดนิ แดนกัมพชู า โดยเข้ามาตามเส้นทางของการคา้ ขาย และใน อ้างแลว้ , พระมหาดาวสยาม วชริ ปญั โญ, ดร., พระพุทธศาสนาในกัมพชู า, หน้า ๓๔.
๑๔๕ ชว่ งเวลาไม่นานชาวกมั พูชาตา่ งกย็ อมรับศาสนาพราหมณ์ และศาสนาพราหมณ์จะมคี วามโดเด่นและ รงุ่ เรืองในกัมพชู าตั้งแต่พุทธศตวรรษท่ี ๖-๑๖ จากนั้นกม็ ีการสรา้ งปราสาทและรูปเคารพขนึ้ มากมาย ๓. ๓.๗ ลทั ธเิ ทวราชา ลทั ธเิ ทวราชา คอื เป็นความเชอ่ื ตามคตพิ ราหมณ์หรือฮนิ ดูทไ่ี ดม้ กี ารยกย่องให้กษตั ริย์ เปรียบเสมือนเปน็ ตัวแทนแหง่ เทพเจ้าที่อวตารลงมาสโู่ ลกมนุษย์ ด้วยเหตุนเี้ องจงึ มีการสรา้ งเทวสถาน อกี ทัง้ ยังมคี วามเชอ่ื กันอีกว่า หลังจากทก่ี ษตั รยิ ส์ วรรคต ก็จะกลายเปน็ อนั หนงึ่ อนั เดยี วกบั เทพเจา้ สว่ น วิญญาณก็จะประทับอยู่ในเทวสถานหรอื ปราสาท ดว้ ยความเชอ่ื นี้กษตั ริย์ขอมทม่ี ีความเช่ือศาสนาฮนิ ดู ลทั ธิไศวนกิ าย หลังจากทไ่ี ดข้ น้ึ ครองราชย์กไ็ ด้ทําการกอ่ สรา้ งเทวสถานข้ึนมาเพื่อประดิษฐานศิวลึงค์ เพราะถอื วา่ เป็นตัวแทนของพระศวิ ะ และยังเปรียบเสมือนเป็นทพิ ย์วมิ านของเทพเจา้ ที่อยู่บนโลก มนษุ ย์อีกดว้ ย ในชว่ งยคุ แรกๆเทวสถานจะสร้างอยบู่ นภเู ขาหรือเนินเขาท่ีเป็นธรรมชาติ ในการบชู าศวิ ลงึ คท์ ่ไี ดป้ ระดษิ ฐานอยูบ่ นยอดเขาน้นั เปรยี บเสมอื นกับการที่ได้บชู าพระศิวะทซ่ี ง่ึ ประทับอยู่บนยอด เขาไกรลาศแลว้ ยงั อยบู่ นเขาพระสเุ มรุ ซ่งึ ถกู จัดไว้เป็นศูนยก์ ลางจกั รวาล หลงั จากน้นั จงึ ไดม้ กี าร ปรับเปล่ียนโดยการสร้างเทวสถานขึ้นมาใหมใ่ นบริเวณพ้นื ที่ราบใจกลางเมือง ซง่ึ ลักษณะในการ ก่อสรา้ งนัน้ อาจสรา้ งภเู ขาจําลองขึ้นมาแทน จากนนั้ ก็ไดป้ ระดษิ ฐานศวิ ลึงค์ไวใ้ นปราสาทที่มคี วามสงู ทสี่ ดุ หรือเรียกว่าปรางคป์ ระธาน ซ่งึ กษัตรยิ ก์ ษัตริย์ขอมได้ทําพิธเี ซน่ ไหว้บชู า โดยมกี ารรดนํา้ ลงท่ศี วิ ลึงค์ ลกั ษณะของน้าํ ต้องไหลออกมาทางช่องโยนี แล้วผา่ นท่อโสมสตู ร ดงั นัน้ ศวิ ลึงคไ์ ด้ถอื เปน็ ต้น กําเนดิ ของชวี ติ และมีความศักด์ิสิทธ์ิ เพราะไดต้ งั้ อย่บู นภูเขาธรรมชาติหรอื อาจอย่ใู จกลางเมอื ง เปรียบเสมอื นกับแกนหรอื ศูนยก์ ลางของจกั รวาลนัน่ เองปราสาทตาพรหมเกล ๓.๓.๘ ศาสนาพุทธในอาณาจักรดินแดนขอม ศาสนาท่ีรุ่งเรืองในอาณาจกั รขอมมี ๒ ศาสนาคือ ศาสนาฮนิ ดู และ ศาสนาพุทธ โดย ศาสนาพทุ ธมีอยู่ ๒ นิกาย คือหนิ ยานและมหายาน ๑.พระพุทธศาสนานิกายหินยาน จะให้ความนับถือพระพุทธเจา้ แลว้ ยงั ตอ้ งยึดถือ ตามพุทธโอวาทอีกด้วย ในชว่ งพุทธศตวรรษที่ ๑๙ นกิ ายหนิ ยานมคี วามเจริญร่งุ เรอื งอย่างมากจนถึง ปจั จุบัน ๒.พระพทุ ธศาสนานกิ ายมหายาน ไดม้ ีการผสมผสานควบคกู่ ับการนบั ถอื เทพเจ้า ฮินดู มคี วามเชอื่ ว่าพระพุทธเจ้าไดท้ รงสรา้ งโลกนี้ขน้ึ มา และยงั ไดม้ กี ารนบั ถือพระโพธส์ิ ตั ว์ เพราะเคย เป็นอดตี ชาติของพระพทุ ธเจ้า ทางด้านพระโพธสิ ัตว์ที่เคารพก็คือ พระโลกเิ ตศวร และพระอวโลติ เกศวร ในชว่ งสมยั พระนครเมอื งพระนครถือไดว้ ่า พระพุทธศาสนามหายานเป็นทีน่ ับถือกันอย่างมาก โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ ในชว่ งสมยั พระเจา้ สุรยิ วรมันท่ี ๑ ซงึ่ ในแตล่ ะยุคแตล่ ะสมัย ศาสนาพุทธและศาสนา ฮินดู ไดผ้ ลดั กนั เจริญรงุ่ เรอื ง เพราะอยู่ท่วี า่ กษัตริยท์ ่ีขนึ้ ปกครองเลอื กนบั ถือศาสนาไหนเป็นหลกั
๑๔๖ ๓.๓.๙ รปู เคารพของพุทธศาสนานิกายมหายาน พระโพธ์สิ ตั ว์ หมายถึงปางก่อนๆของพระพทุ ธเจา้ ผซู้ ่งึ มีความเป็นใหญ่ในโลกแตเ่ ปี่ยมล้น ด้วยความเมตตา กรณุ า มทุ ติ า อเุ บกขา อกี ทง้ั เปน็ ผูม้ องลงมายงั เบื้องลา่ งเตม็ ไปด้วยความเมตตา กรุณา และมีความปรารถนาทจ่ี ะชว่ ยเหลือมนษุ ยใ์ ห้พ้นจากความทกุ ข์ เมอ่ื ครัง้ กอ่ นทีพ่ ระพุทธเจา้ จะ ตรัสรู้ โดยเฉพาะในชาดกของพุทธศาสนานิกายมหายาน พระโพธิ์สตั วม์ จี าํ นวนมากมาย ซงึ่ ทรงฤทธิ์ อํานาจเพ่ือจะตอ้ งคอยปกปักรักษาใหค้ วามคุม้ ครอง ใหค้ วามชว่ ยเหลอื แก่ผู้ที่มคี วามเคารพนบั ถือใน พุทธศาสนานิกายมหายาน และทส่ี ําคญั ท่สี ุดคือจะตอ้ งนําพาผทู้ ม่ี ีความเคารพนับถอื ทีม่ อี ยมู่ ากมาย ไปสู่ปรินิพพานพร้อมพระองค์ด้วย ๑.พระโพธิ์สตั ว์โลเกศวร หมายถงึ พระโพธ์ิสัตวท์ ไ่ี ดต้ รสั รแู้ ลว้ แต่ยังไมย่ อมไป นิพพานเพราะมคี วามปรารถนาทจ่ี ะรอใหค้ วามชว่ ยเหลือแก่ผ้คู นและสัตวท์ ้ังหลายให้หลดุ พ้นจากทุกข์ ทัง้ ปวง ๒.นางปรชั ญาปารมติ า หมายถงึ เทวีแห่งความฉลาดเฉลยี วของพุทธศาสนานกิ าย มหายานในขณะเดียวกนั จะเรียกวา่ เปน็ มารดาของพระพทุ ธเจา้ ทงั้ หลายดว้ ยกนั ๓.๓.๑๐ องคป์ ระกอบของปราสาทหนิ ปรางค์ประธาน : เป็นปรางค์องค์กลางท่ีมขี นาดสูงใหญ่ และมีหอ้ งทมี่ ชี ื่อว่า “หอ้ งครรภคฤหะ ” ซง่ึ เป็นทีต่ งั้ ของรปู เคารพสูงสุด ภายในห้องนี้เมื่อในครั้งอดตี ผู้ทจ่ี ะเขา้ มาได้ คือ กษัตรยิ แ์ ละนักบวชเพียงเท่านั้น มขุ กระสนั : เป็นลักษณะของทางเดิน ท่ีได้ทาํ หลงั คามุงเช่อื มระหวา่ งตวั อาคารท้ัง สองอาคาร มณฑป : เปน็ ปราสาทที่มีความสําคญั และมขี นาดใหญ่ โดยมากมักจะกอ่ สรา้ งตดิ กับปรางค์ องค์พระประธาน ทางด้านทศิ ตะวนั ออก บรเิ วณภายในมณฑปจะมหี ้องโถง เพราะจะเปน็ ทางทใ่ี ช้เข้า ไปยงั หอ้ งครรคฤหะ และยงั ไดม้ กี ารตั้งรูปท่ีเคารพที่มีความสําคัญรองลงมาเมือ่ คร้งั อดตี บรรดาชาวบา้ น ท้ังหลายสามารถเดินเขา้ มาสกั การะบริเวณมณฑปส่วนนไ้ี ด้ เสานางเรียง : เป็นเสาหนิ ที่ได้สร้างบรเิ วณทางเดิน ทีจ่ ะเขา้ ไปยังตวั ปราสาท มี ลกั ษณะเปน็ เสาหนิ แทง่ ยาว และมีการแกะสลักบรเิ วณยอดเสาออกแบบให้คลา้ ยคลึงกับดอกบัวตูม และประดับไฟเพื่อความสวยงามในยามคํา่ คืน โคปุระ : เป็นกาํ แพงลอ้ มรอบตัวปราสาท ซ่งึ ไดท้ าํ ชอ่ งเพ่ือใช้เป็นทางเข้า-ออก มี ช่อื เรียกคอื โคปุระ ทาํ ไวท้ ้งั หมด ๔ ทศิ โดยอาจทําเป็นแบบซมุ้ ประตู หรืออาจเป็นแคล่ านยกพน้ื และ ชอ่ งสําหรับใช้เขา้ ออกสว่ นอาณาบริเวณ หนา้ บัน : เป็นสว่ นท่อี ยู่เชอื่ มตอ่ กับเสา ซึ่งจะติดอย่กู บั ทบั หลังหรอื ผนัง ส่วน ลวดลายท่มี ีอยู่บนหน้าบนั น้นั สามารถใชเ้ ปน็ สว่ นท่ตี อ้ งการจะแยกตามยุคสมยั ของศิลปะนัน้ ไดเ้ ชน่ กัน ทับหลงั : เป็นแผ่นหินทีม่ ีการแกะสลักไวล้ วดลายสวยงาม โดยแผน่ หนิ จะมี
๑๔๗ ลกั ษณะเปน็ แท่งสเ่ี หลย่ี มผืนผ้า ซง่ึ จะวางไวบ้ ริเวณเหนือขอบประตู โดยสว่ นมากลวดลายตา่ งๆท่ี ปรากฎอยนู่ น้ั สามารถชว่ ยบง่ บอกให้ได้รู้ว่าเป็นศิลปะของยุคสมยั ใดไดบ้ า้ งเปน็ อยา่ งดี ระเบียงคด : เปน็ เฉลียงทางเดนิ ได้สร้างตามแนวกําแพงเพือ่ ลอ้ มรอบปราสาท และสรา้ งหลังคาหุ้ม โดยมีการเชื่อมต่อกนั เป็นแนวตลอดท้งั ๔ ด้าน ซ่งึ อาจมีบางแหง่ ทม่ี ีลกั ษณะกัน้ ให้ เปน็ ห้องๆ ชานชาลา : เป็นลานกวา้ งท่อี ยูบ่ ริเวณดา้ นหน้าของปราสาท โดยให้พืน้ ทีต่ รงกับ บรเิ วณชอ่ งประตทู เ่ี ขา้ ไปยงั ปราสาท ซ่งึ สว่ นมากจะสลักลวดลายให้เปน็ รูปดอกบัวบานอยา่ งงดงาม เรือนยอด : เป็นส่วนบนขององค์ปรางค์ โดยสว่ นมากแลว้ จะแกะสลักลวดลายให้ มีลกั ษณะกลบี ซ้อนกนั ซึง่ เรยี กวา่ “กลบี ขนนุ ” เสาประดับกรอบประตู : เปน็ ท่รี องรบั ทบั หลัง ซ่ึงมลี กั ษณะรปู รา่ งเปน็ เสากลม และมีลวดลายสวยงามเปน็ พรรณพฤกษาประดบั ไว้ บราลี : เป็นแทน่ หนิ ทผี่ ่านการแกะกลึง ใหม้ ลี กั ษณะเป็นปล้องปลายแหลมมน โดยให้เรยี งเปน็ แบบแนวยาว เพอ่ื นําไปใช้ประดบั บริเวณสันกลางของหลงั อาคาร และสว่ นของหลงั คา ระเบียงคด ลกู มะหวด : เปน็ ลูกกรงของบรเิ วณช่องหน้าต่างหรือช่องระเบยี ง ซ่งึ เป็นหินที่มี ลกั ษณะรปู ทรงกระบอก และได้ผา่ นการแกะกลงึ เปน็ ปล้อง ๓.๓.๑๑ ปราสาทตาพรหม สรา้ งในปลายปพี ทุ ธศตวรรษที่ ๑๘ รชั สมัยของพระเจ้าชยั วรมนั ที่ ๗ และมีการขยาย พืน้ ท่สี ร้างต่อเตมิ อีกในรัชสมยั ของพระเจา้ อนิ ทรวรมันที่ ๒ เปน็ ศลิ ปะแบบบายน สร้างถวายในศาสนา พุทธ นกิ ายมหายาน ปราสาทตาพรหมมขี อบเขตกว้างใหญค่ ล้ายกับเป็นเมืองเลก็ ๆ เมอื งหนงึ่ เพราะมี ชมุ ชนต้งั อยู่ในเขตของศาสนสถานดว้ ย จารกึ ปราสาทตาพรหม กลา่ วว่า มีผคู้ นอาศัยอย่ถู ึง๑๒,๖๔๐ คน มพี ระสงฆ์ช้นั ผใู้ หญ่ ๑๘ รูป มีพระสงฆ์ ๒,๗๔๐ รูปและเณรอกี ๒,๒๓๒ รปู ปราสาทตาพรหมจัด ไดว้ า่ เป็นวดั ในพุทธศาสนาและเปน็ วิหารหลวงในสมยั พระเจ้าชัยวรมนั ที่ ๗ ทางเข้าประกอบด้วยโคปุ ระชัน้ นอกและช้นั ใน บรเิ วณผนังทอ่ี ยูเ่ ชื่อมระหวา่ งโคปรุ ะชัน้ นอกและช้นั ในมกี ารสลกั ภาพตามคติ ธรรมของพุทธศาสนานิกายมหายาน ปราสาทแห่งน้ถี กู สรา้ งขึ้นในปี พ.ศ. ๑๗๒๙ เพ่ืออทุ ิศใหแ้ กพ่ ระ ราชมารดาของพระเจ้าชัยวรมันท่ี ๗ คือพระนางชัยราชจุฑามณีผูเ้ ปรียบประดุจกับพระนางปรัชญา ปรมติ า ซ่งึ หมายถึงเมอื่ พระองค์เป็นอวตารของพระโพธสิ ัตว์อวโลกเิ ตศวร พระราชมารดาของพระองค์ จึงเปรียบดงั พระนางปรมติ าเชน่ กัน Michael Freeman and Claude Jacques, Ancient Angkor, (Bangkok Thailand: Amarin Printing and Publishing (Public)Co Ltd, 2013), P 136.
๑๔๘ ปราสาทตาพรหมถูกสร้างเคยี งคูก่ บั ปราสาทพระขรรค์ ซ่ึงพระองคท์ รงถวายอทุ ศิ ให้กบั พระราชบิดา ปราสาทตาพรหมน้ีสรา้ งหลังปราสาทพระขรรค์เพยี ง ๕ ปี ท่ีนา่ ประหลาดใจคือพิธใี น ปราสาทยุคน้นั ซ่งึ จารึกกลา่ วถึงบรรดาผู้ท่เี กี่ยวขอ้ งกับการสรา้ งปราสาทแหง่ นคี้ ือ จาํ นวนคนและ บรรดาทรัพย์สนิ จากหมู่บ้านจาํ นวนถึง ๓,๑๔๐ หมู่บา้ น ใช้คนทํางานถงึ ๗๙,๓๖๕ คน และจาํ นวนน้มี ี พระช้ันผู้ใหญ่ ๑๘ รูป เจ้าหนา้ ทป่ี ระกอบพิธี ๒,๗๔๐ คน ผชู้ ว่ ยเจ้าหนา้ ทีป่ ระกอบพิธี ๒,๒๓๒ คน และนางฟอู นรําอีก ๖๑๕ คน สาํ หรบั ทรัพย์สมบัติของวัดก็มีจานทองคาํ ๑ ชดุ หนกั กวา่ ๕๐๐ กิโลกรัม และชดุ เงินเพชร ๓๕ เม็ด ไขม่ กุ ๔๐,๖๒๐ เม็ด หินมคี ่าและพลอยต่างๆ ๔,๕๔๐ เม็ด อ่างทองคาํ ขนาด ใหญ่ ผา้ บางสาํ หรับคลุมหน้าจากประเทศจนี ๘๗๖ ผนื เตียงคลมุ ดว้ ยผ้าไหม ๕๑๒ เตยี ง รม่ ๕๒๓ คัน ยังมเี นย นม นํา้ อ้อย น้าํ ผ้งึ ไม้จนั ทน์ การบรู เสอื้ ผ้า ๒,๓๘๗ ชดุ เพ่อื แต่ง รปู ปนั้ ต่างๆ กลา่ วกันวา่ ความฟุมเฟอื ยฟงูุ เฟูอน้ีเองเปน็ เหตใุ ห้เกิดความล่มสลายของอาณาจักรขอมในเวลาตอ่ มา ปราสาทแห่งนี้เป็นปราสาททีถ่ ูกปล่อยใหอ้ ยู่กบั ธรรมชาติ หลงั จากการค้นพบปราสาท ตา่ งๆ โดยชาวฝร่ังเศส แตเ่ ดิมปราสาทนครวดั เองก็อยูใ่ นลักษณะเช่นนี้กอ่ นท่ีจะมีการบรู ณะในต้นพทุ ธ ศตวรรษที่ ๒๕ ในขณะที่ปราสาทตาพรหม ถูกเก็บรกั ษาไว้เพ่อื ให้เห็นสภาพทแี่ ท้จริงว่าปราสาทอยูก่ ับ ธรรมชาติมาไดเ้ กือบ ๕๐๐ ปี อันเป็นอีกมมุ มองหน่งึ เพ่ือให้เห็นลักษณะของต้นไมท้ ีเ่ กาะกุมปราสาท เดมิ กอ่ นสร้างปราสาทนนั้ สภาพบรเิ วณน้เี ปน็ ปุามาก่อน เม่อื จะสร้างปราสาทจงึ ตอ้ งเคลยี รพ์ ้นื ท่ใี หเ้ ปน็ ที่โลง่ โดยการตัดไม้ออกแตใ่ นทีส่ ุดแล้วธรรมชาติกส็ ามารถท่ีจะเอาชนะถาวรวัตถุทถ่ี ูกสรา้ งจากมนุษย์ ตน้ ไม้ท่เี กาะกมุ ชอนไชไปเรือ่ ยๆ ไปยังส่วนต่างๆของปราสาท ช่วยให้บรรยากาศของปราสาทตาพรหม ดูลกึ ลับ สวย ไมเ่ หมือนปราสาทท่อี ืน่ ๆ ทป่ี ราสาทตาพรหมมตี ้นไมอ้ ยู่ ๒ ชนิด ต้นทใี่ หญท่ ี่สุดเรียกว่า ต้นสะปง หรือภาษาไทย เรียกวา่ ตน้ สําโรง เปน็ ตน้ ไมย้ ืนต้นเนื้ออ่อน รากของมนั จะดดุ นา้ํ ใตด้ ินเข้าลําตน้ ทําใหน้ กดูปุอง พอง ส่วนพนั ธ์ุไมอ้ กี พนั ธุ์หน่ึงเป็นไม้เลอื้ ยขน้ึ อยูต่ ามหน้าบัน ทบั หลังหรอื ตวั ปราสาท หลงั คา ลกั ษณะเป็นไม้ พ่มุ ไม้ล้มลุก บ้างกแ็ หง้ ตายคาอยู่ บา้ งก็ยังเขียวสดอยู่ เกดิ จากการท่นี กมาขบั ถ่ายมูลท่ีมเี มลด็ ของพันธุ์ นที้ งิ้ ไว้ บรเิ วณใดของปราสาทท่ีมนี ้าํ ขังอย่มู ีตะไครน่ ํา้ ทใี่ ห้ความชุ่มชน้ื กส็ ามารถทําใหเ้ มลด็ พันธเ์ุ ตบิ โต เปน็ ต้นได้ ทัง้ ไม้เลก็ และไมใ้ หญ่ต่างเตบิ โตตามสภาวะที่เอ้อื อาํ นวยรากของไมใ้ หญ่ทแ่ี ทรกชอนไชไปบน แผ่นศิลา เพอ่ื จะหาทล่ี งดินเกดิ เปน็ รปู ทรงคลา้ ยหนวดปลาหมึกเกาะกุมองค์ปราสาททําให้ช่วยประคอง ยดึ ตัวปราสาทไม่ใหพ้ งั ลงมาได้ จากโคปรุ ะทางทิศตะวนั ออกมุ่งส่ปู รางคป์ ระธาน ผนงั ดา้ นซ้ายมอื จะเป็นภาพสลักของคติ ธรรมทางพุทธศาสนาตอนพระแมธ่ รณบี บี มวยผม ซงึ่ เป็นตอนท่ีมารมาผจญเจา้ ชายสิทธตั ถะกอ่ นทจี่ ะ พรรณงาม เง่าธรรมสาร พรอ้ มคณะ, ประวัตศิ าสตรก์ ัมพูชา , (กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ๒๕๔๖), หน้า ๙๓.
๑๔๙ ตรัสรู้สัมมาสมั โพธิญาณเปน็ พระพทุ ธเจ้า ลักษณะภาพจะเหน็ บรรดาเหล่าพญามารต่างต่นื ตกใจหนี กระแสนํ้าท่ีเกดิ จากการบบี มวยผมของพระแมธ่ รณจี นพา่ ยแพไ้ ปในท่ีสดุ หลังจากโคปุระทางดา้ นทศิ ตะวันออกจะมบี รรณาลัยทอ่ี ยู่ทางซา้ ยมือ หน้าบนั เปน็ รปู พระอินทรท์ รงช้างเอราวัณ ประดับดว้ ย พวงมาลัย ทับหลังเป็นภาพนารายณ์บรรทมสนิ ธุ์ หนา้ บันและทับหลงั ตามปรางค์ปราสาทและโคปรุ ะ มภี าพสลักล้วนแตเ่ กี่ยวกบั พุทธ ประวตั ิ นกิ ายมหายานเปน็ สว่ นใหญน่ า่ เสียดายว่าภาพสลักบางภาพได้ถูกดัดแปลงให้เป็นภาพเกีย่ วกบั ศาสนาฮินดไู ปในท่ีสดุ ได้แกพ่ ระพุทธรปู หรอื พระพุทธเจ้าท่ถี กู สกดั ใหเ้ ป็นศวิ ลงึ คใ์ นสมยั พระเจ้าชยั วร มนั ที่ ๘ ท่ีทรงเลอ่ื มใสในศาสนาฮนิ ดู ทางเขา้ ส่ปู รางค์ประธานจะอย่ทู างทิศตะวันออกและทิศตะวันตก เช่นเดยี วกับในหลายๆ ปราสาท ทว่าปัจจบุ นั มีถนนตัดผา่ นทัง้ ๒ ทิศ นกั ทอ่ งเที่ยวนิยมเข้าทางทศิ ตะวันตก ถา้ เป็นไปไดค้ วรจะเข้าทางโคปุระทางทศิ ตะวนั ออก อนั เปน็ คตินยิ มของผ้สู ร้างปราสาททกุ แหง่ ของขอม ถัดจากบรรณาลยั จะไดพ้ บวิหารเลก็ ๆ ซ่ึงใช้เปน็ ที่ประกอบพธี ขี องพวกพราหมณ์ ซึ่ง วหิ ารนี้จะมกี ารจดุ ไฟบูชาตลอดท้งั วนั ทัง้ คืน ภูมสิ ถาปัตย์เชน่ เดียวกับปราสาทพระขรรค์ ปรางค์ ทางดา้ นทิศเหนอื ไดพ้ ังทลายลงมาหมดแล้ว เหน็ แต่เพยี งซากของเสา หนา้ บนั และทับหลงั ทบั กนั ระเกะระกะ ทางก่อนจะเข้าโคปุระชนั้ ที่ ๓ จะพบต้นสะปงขนาดใหญ่ ข้นึ ปกคลุมตรงส่วนกลางของ ปราสาทแหง่ น้ี ลาํ ตน้ ข้นึ อยู่บนหลังคา โดยมรี ากโอบอมุ้ ตัวปราสาทอยู่กอ่ นจะไชลงพน้ื ดนิ เปน็ มุมท่ี นิยมมาถา่ ยมาก หนา้ บนั ทอี่ ย่ถู ดั จากปรางคป์ ระธาน เป็นภาพเร่อื งรามเกียรต์ิตอนพระลักษณ์ พระราม และนางสดี าถกู ขบั ไล่ออกจากเมือง จะเหน็ พระรามเสด็จออกโดยมมี า้ เป็นพาหนะ มีไพร่ฟาู ประชาชน ตามส่งเสด็จที่สะดุดตาและแปลกคอื ภาพสลกั ขา้ งเสากรอบประตูของโคปรุ ะช้นั ที่ ๓ ด้านทศิ ตะวนั ตก มภี าพสลกั คลา้ ยไดโนเสารอ์ ยู่ ๑ ตัว เม่ือเดินมาสดุ ทางทจี่ ะออกปราสาทตาพรหม กจ็ ะพบโคปุระซึ่งมี ลักษณะคล้ายทางเขา้ สกู่ าํ แพงเมืองนครธมแห่งเมืองพระนครน่นั คอื ภาพใบหนา้ ของพระโพธสิ ตั วอ์ ว โลกิเตศวรท้ัง ๔ ทศิ อยูเ่ หนอื โคปุระน้ัน ปราสาทตาพรหมมีภาพสลกั ในพทุ ธศาสนาทีส่ าํ คัญ ๓ แหง่ คอื ๑. ภาพเลา่ เร่อื งพุทธประวตั ิตอนเสด็จออกมหาภเิ นษกรมณ์ ๒. ภาพพุทธประวตั ติ อนมารวิชยั ๓. พุทธประวัติในช่วง ๗ สัปดาห์หลงั การตรัสรู้ ๓.๓.๑๒ ปราสาทตาสม สร้างในปีพทุ ธศตวรรษที่ ๑๘ รัชสมัยของพระเจ้าชัยวรมนั ที่ ๗ และทําการขยายเพ่ิมเติม ในรัชสมัยของพระเจ้าอนิ ทรวรมนั ที่ ๒ เปน็ ศลิ ปะแบบบายน สรา้ งถวายศาสนาพุทธ นิกายมหายาน Michael Freeman and Claude Jacques, Ancient Angkor, P 182.
๑๕๐ ปราสาทตาสม เป็นปราสาทขนาดเลก็ หากเปรียบเทียบกับปราสาทตาพรหมหรือปราสาทบนั ทายกเดย ปราสาทแหง่ นแี้ บ่งออกเปน็ ๓ สว่ น ไดแ้ ก่ โคปุระดา้ นนอกและกาํ แพงลอ้ มรอบ โคปรุ ะด้านในและปรางค์ประธานพร้อมกับระเบยี ง คตทงั้ สีด่ ้าน มบี รรณาลัยอยูใ่ นระเบียงคต กําแพงด้านนอกมคี วามกวา้ ง ๒๐๐ เมตร ยาว ๑๔๐ เมตร เสน้ ทางเข้าสทู่ ิศตะวันออกเขา้ สู่โคปรุ ะดา้ นในจากทิศตะวนั ออกไปทศิ ตะวันตก ระเบียงคตรอบปรางค์ ประธานมีความยาว ๓๐ เมตร กวา้ ง ๒๐ เมตร บรรณาลัยอย่ทู างทศิ เหนอื และใตด้ ้านละหลัง เน่ืองจากถนนจะตดั ผา่ นด้านหลังปราสาททางด้านทศิ ตะวันตก นักท่องเท่ียวจงึ นยิ มเขา้ สู่ปราสาททาง ทศิ ตะวนั ตกนางอัปสร-เสากรอบประตู รปู แบบของปราสาทตาสมอาจกล่าวไดว้ ่าเป็นยคุ ตน้ ๆ ของ ศิลปะแบบบายน โดยสงั เกตไดจ้ ากลักษณะของนางอัปสร และลกั ษณะของเสากรอบประตูท่ีเป็นแปด เหลี่ยมและมีลายสลกั ลกั ษณะเป็นดอกไมแ้ ละใบไมอ้ ยู่โดบรอบ คลา้ ยคลึงกับปราสาทบายนมาก พระโพธิสตั วอ์ วโลกเิ ตศวร ลักษณะเดน่ ของปราสาทตาสมอีกอยา่ งกค็ อื พระพักตรข์ องพระ โพธสิ ตั ว์อวโลกเิ ตศวร ซ่ึงอยู่บนยอดของปรางคป์ ระธานและโคปุระทกี่ าํ แพงด้านนอกมีพระพกั ตรท์ งั้ ส่ี ทศิ รปู แบบลกั ษณะเชน่ นเี้ หมอื นกับปราสาทบายน ๓.๓.๑๓ นครธม สรา้ งในปพี ุทธศตวรรษท่ี ๑๘ รัชสมัยของพระเจ้าชยั วรมนั ท่ี ๑๗ เปน็ ศิลปะแบบบายน สร้างถวายศาสนาพทุ ธนกิ ายมหายาน นครธมมคี วามหมายวา่ เมืองใหญ่ (ธม แปลวา่ ใหญ่) เมืองพระ นครหลวงมพี ระราชวังและปราสาทต่างๆมากมาย และเปน็ ช่วงเวลาท่อี าณาจกั รขอมมงั่ คัง่ และรงุ่ โรจน์ เป็นทีส่ ดุ ไมว่ า่ ใครกต็ ามทเ่ี ดินทางมาเยีย่ มชมเมืองพระนครหลวง และนบั ตง้ั แต่กา้ วแรกทีจ่ ะตอ้ งเดนิ ทางผา่ นชอ่ งประตเู ข้า ตอ้ งตื่นตะลึงกบั ความโอฬารของหินทรายท่สี ลกั เป็นรปู พระพกั ตรข์ องพระ โพธสิ ัตวอ์ วโลกเิ ตศวร ด้วยสายตาทท่ี อดลงมายังทีต่ ํ่า และรอยย้ิมทเี่ ปน็ สขุ หรือยิม้ แบบบายนทเ่ี ปีย่ ม ดว้ ยความเมตตา ทําให้ผู้พบเหน็ มิอาจจะละสายตาไปได้ง่ายสว่ นดา้ นข้างของกรอบประตกู จ็ ะพบกับ ประตมิ ากรรมลอยตัวพระอินทร์ทรงชา้ งเอราวัณ ๓ เศยี ร คอยตอ้ นรับอาคันตุกะจากแดนไกลอกี เช่นกันสองข้างทางของสะพานท่ีทอดข้ามคูเมืองดา้ นซา้ ยเปน็ ศลิ าทรายสลกั ลอยตัวของเหลา่ เทวดาฉดุ ตวั นาค ส่วนดา้ นวาเปน็ บรรดายกั ษ์กาํ ลงั ฉุดดงึ ลาํ ตัวพญานาคอยูเ่ ช่นกนั ท้งั ภาพสลักเทวดา นาค และ ยกั ษ์ นยิ มนํามาใหก้ นั มากในศลิ ปะยุคบายนน้ี เมืองพระนครหลวง นับไดว้ ่าเป็นราชธานแี ห่งใหมท่ ีย่ ้ายมาจากนครยโศธรปรุ ะท่ีมมี าตง้ั แต่ พุทธศตวรรษที่ ๑๕ อนั เป็นพระราชดาํ รขิ องพระเจา้ ชัยวรมนั ท่ี ๗ ทีป่ ระสงคจ์ ะขยายอาณาจกั รขอมให้ ยง่ิ ใหญข่ ึน้ เมอื งพระนครหลวงมีคเู มืองล้อมรอบกวา้ งประมาณ ๘๐ เมตร แตล่ ะดา้ นมีความยาวถึง ๓ กโิ ลเมตรและมีกําแพงล้อมรอบท้งั สี่ดา้ นดว้ ยกนั มีพ้นื ทม่ี ากถงึ ๙ ตารางกโิ ลเมตร หรอื ๕,๖๒๕ ไร่ อา้ งแล้ว, (lb,d.) Michael Freeman and Claude Jacques, Ancient Angkor, P 74.
๑๕๑ กาํ แพงแตล่ ะด้านก่อดว้ ยศลิ าแลงสงู ๗ เมตรประตูด้านทศิ ใตข้ องเมืองพระนครหลวงจดั ได้ยงั มีความ สมบรู ณ์ของรปู ประติมากรรมลอยตวั ของเทวดาและยักษย์ ้อื ยดุ ฉดุ นาคเพอ่ื กวนเกษียรสมุทร อันเป็น ตอนเริม่ จากนยิ านปรัมปราท่พี วกพราหมณ์เลา่ ถงึ ตอนกําเนิดโลกมนษุ ย์และจักรวาล ๓.๓.๑๔ ปราสาทบายน ปราสาทบายนสร้างในปพี ทุ ธศตวรรษที่ ๑๘ รัชสมยั ของพระเจา้ ชัยวรมนั ท่ี ๗ เป็นศิลปะ แบบบายน ศาสนาพทุ ธนิกายมหายาน ปราสาทบายนเปน็ ปราสาทหลวงประจาํ รชั สมัยพระเจา้ ชยั วร มนั ท่ี ๗ และเป็นการปฏิวัติรปู แบบของการสรา้ งปราสาทท่ีมภี าพลักษณต์ ่างจากการสรา้ งรปู แบบเดิมๆ โดยส้ินเชงิ เป็นเพราะพระองคท์ รงเลือ่ มใสในพระพุทธศาสนานิกายมหายาน ซ่งึ ต่างจากกษตั รยิ ์หลาย พระองคท์ ่ลี ว้ นแลว้ แตน่ บั ถอื ศาสนาฮินดูหรือศาสนาพราหมณท์ ีส่ บื ทอดมากกวา่ ๔๑๕ ปี ปราสาทบายนถกู สรา้ งโดยการนําหนิ มาวางซ้อนๆ กนั ขน้ึ เป็นรปู ร่าง แม้จะเปน็ ปราสาทไม่ ใหญโ่ ตเทา่ นครวัด แต่มคี วามแปลกและดลู ลี้ บั ทั้งปราสาทมีแต่ใบหนา้ คน หากขึ้นไปยนื อยู่ภายใน ปราสาทน้ไี มว่ า่ มุมไหนกห็ าได้รอดหลุดพ้นจากสายตาเหลา่ นไ้ี ดเ้ ลย นักเดินทางรุน่ เกา่ ที่เดินทางมายังปราสาทบายนรนุ่ แรกๆ เช่น นายปแิ อร์ โลตี ได้บนั ทึกไว้ ว่า “ขา้ พเจา้ แหงานหนา้ ขึ้นไปยงั ปราสาทท่ีมีต้นไมป้ กคลมุ ซงึ่ ทําใหต้ วั เองรู้สึกเหมอื นคนแคระและ ทันทที นั ใด เลอื ดในตัวข้าพเจา้ กเ็ กดิ แขง็ เย็นขนึ้ มา เม่อื มองเห็นรอยยิม้ ขนาดมหมึ าทก่ี าํ ลงั มองลง มาแลว้ ก็รอยยิ้มอีกดา้ นหน่งึ เหนือกาํ แพงอกี ด้านหน่ึงแลว้ กร็ อยย้มิ ทสี่ ารทแลว้ กร็ อยย้มิ ที่หา้ แล้วก็ท่สี บิ ปรากฏจากทัว่ สารทิศขา้ พเจา้ รู้สกึ เหมอื นมตี าคอยจ้องมองอยู่ทุกทศิ ทาง” ปรางค์ปราสาทบายนท้ัง ๕๔ ปรางคถ์ กู สลักเปน็ ภาพพระพกั ตร์ของพระโพธสิ ัตวอ์ วโลกเิ ต ศวร ผนั พระพักตร์ออกไปท้ังส่ที ิศ เพื่อสอดสอ่ งดูแลความทกุ ขส์ ขุ ของเหล่าพสกนิกรของพระองค์ให้อยู่ เย็นเปน็ สุข รอยยม้ิ ที่ระเร่อื นีเ้ รียกว่ายิ้มแบบบายนเปยี่ มไปดว้ ยความเมตตากรุณา ใบหนา้ เหล่านั้นหาก นบั รวมกัน ๕๔ ปรางค์ปราสาทปรางค์ปราสาทละ ๔ หน้า จะมีรวมถึง ๒๑๖ หน้า แตป่ จั จบุ นั ไดส้ ึก กร่อนพังทลายลงไปหลายหนา้ แลว้ รอบๆ ปรางคป์ ระธานประกอบด้วยระเบียงคต ๒ ช้นั รปู ทรง สเ่ี หลี่ยมพ้นื ผ้า ชัน้ นอกมขี นาดกว้าง ๑๔๐ เมตร ยาว ๑๖๐ เมตร ช้นั ในมขี นาดกว้าง ๗๐ เมตร ยาว ๘๐ เมตร หนา้ โคปุระทุกดา้ นมภี าพประตมิ ากรรมลอยตวั รูปสิงหท์ ้ังสองข้างของบันได ปรางค์ประธาน มีลกั ษณะเปน็ ทรงกรวยมเี สน้ ผา่ ศนู ย์กลางถงึ ๒๕ เมตร และสงู ๔๓ เมตร เหนือจากระดบั พนื้ ตวั ปราสาทโดยรอบแบง่ ออกเปน็ ๓ ชัน้ ประกอบระเบียงคตด้านนอก ชนั้ ระเบียงคตดา้ นใน และบนสดุ เป็นช้ันของปรางคป์ ระธาน และปรางคบ์ รวิ ารท่ที ุกปรางคจ์ ะมีภาพพระพักตร์ของพระโพธิสตั วอ์ วโลกิ เตศวร ผินพระพักตรม์ องออกไปทัง้ ส่ีทิศ แต่เดมิ มหี ลังคาหินทรายมงุ อยู่ แต่ธรรมชาตแิ ละปุาที่กลืนปราสาทนานนบั ร้อยปี รวมทัง้ Michael Freeman and Claude Jacques, Ancient Angkor, P 78.
๑๕๒ สงครามตอ่ เนอื่ งอีกหลายทศวรรษ ทําให้หลังคาสว่ นใหญพ่ ังทลายลงหมด ปัจจุบนั หลังคาหินเหลา่ น้ี กองอยใู่ นบรเิ วณปราสาทหลายกอง พบแตเ่ สาศลิ าทรายท่ีทง้ั สี่ด้านของเสามรภาพสลกั นนู ตาํ่ ของนาง อัปสรากาํ ลงั ร่ายราํ ผนงั ด้านทิศตะวนั ออก ตลอดความยาว ๓๕ เมตรและสงู ๓ เมตร ถูกสลกั เปน็ ภาพ นนู ต่าํ ในภาพเปน็ ขบวนทหารและแมท่ ัพนายกองสว่ นหน่งึ ของขบวนทัพพระเจา้ ชยั วรมนั ที่ ๗ ภาพ แบง่ ออกเปน็ ๓ ชั้น คอื ภาพดา้ นบน กลางและด้านลา่ งง การจัดขบวนทพั ใยสมยั นนั้ เป็นรปู แบบขบวน ทพั ท่ใี ชก้ ันมาจนถึงปัจจุบนั ประกอบดว้ ยกองกาํ ลังสอดแนม ทพั หนา้ ทพั หลวง กองสรรพวุธและกอง เสบียง การแตง่ กายของเหลา่ ทหารมรี ูปแบบเป็นหมเู่ ป็นกองเหน็ ได้ชดั จากลักษณะของหมวก เส้อื ผา้ ยนั ต์ และผ้านุง่ ตลอดจนอาวธุ ทีใ่ ชก้ ็แตกตา่ งกันตามลาํ ดับและยศของทหาร ทพั หน้ามกี องกาํ ลังทหาร จากประเทศราช บางเหล่าแตง่ กายคล้ายทหารจีน ทพั หลวงมกี ระบวนม้าและกระบวนชา้ ง มีพัดโบก และอาวุธครบ สุดท้ายเปน็ กองเสบยี งมโี คเทียมเกวียนที่บรรทุกสมั ภาระไปกนั มากมาย มคี นจงู หมู แบกเต่าไปกับขบวนด้วย บางคนกาํ ลงั กอ่ ไฟย่างปลา บางคนกาํ ลงั หุงขา้ ว ภาพสลักชุดนเ้ี ลา่ ถงึ ชวี ิตของ ทหารในกองทพั พร้อมกับวถิ ีชวี ติ ของชาวบ้านได้เป็นอยา่ งดี ผนังดา้ นทิศใตเ้ ป็นภาพสลักยทุ ธภมู ทิ างเรอื ของทัพขอมและทัพจาม การปะทะกนั ทางเรอื ของสองทัพอยา่ งนองเลอื ด ทหารทง้ั ฝาุ ยขอมและจามลม้ ตายลงเป็นอันมาก บางคนกถ็ ูกจระเข้ใน โตนเลสาบคาบไป ณ สมรภมู ิแหง่ นีเ้ ล่าถงึ ตอนทก่ี ําลังทัพของพระเจา้ ชยั วรมนั ที่ ๗ สามารถเอาชนะทัพ ของพวกจามไดอ้ ย่าราบคาบ ผนังด้านทิศเหนอื ภาพสลกั เลา่ เรอื่ งในรงั้ ในวังของเหลา่ พระราชวงศ์ เช่น ตอนเสดจ็ พระราชดําเนินเย่ียมเยียนประชาชน ภาพการประดบั ราชวงั เพ่ือต้อนรบั พระราชอาคันตกุ ะ ภาพการซ่อมแซมปราสาท ภาพการแสดงกายกรรม การละเล่น คนไต่ราว การแสดงมายากล มวยปลาํ้ และพวกสัตว์ท่ีมากับคณะละครสัตว์ เป็นต้น ผนงั ระเบยี งคตชนั้ ในสว่ นมากสลกั ภาพในพระราชพธิ ีต่างๆ เช่น ตอนประชุมเหล่าเสนนา บดี ภาพบางตอนเลา่ ถงึ กฤษดาภนิ หิ ารต่างๆ ของพระเจา้ ชยวรมันที่ ๗ กอ่ นข้ึนครองราขย์ ในขณะที่ มหาปราสาทนครวดั มภี าพสลักในศาสนาฮินดตู าทพ่ี ระเจา้ สรุ ยิ วรมันที่ ๒ ทรงนับถือ แต่ที่ปราสาทบาย นภาพสลักในยุคพระเจ้าชัยวรมนั ที่ ๗ ไดแ้ สดงให้เห็นถึงวถิ ีชวี ติ ของขอมโบราณเมื่อ ๘๒๙ ปีก่อน หาก จะเปรียบเทยี บภาพสลกั ระหว่างสองปราสาทนีแ้ ล้วจะพบวา่ ท่ีปราสาทบายนมีลกั ษณะเร่งรีบ และมี ความงามดอ้ ยกวา่ ทนี่ ครวัดอยบู่ า้ ง และยงั พบได้วา่ มบี างพ้นื ทซ่ี ง่ึ ภาพสลกั ไม่เสรจ็ เช่น บริเวณผนังทิศ ใตฝ้ ่ังตะวนั ตก เปน็ เร่อื งขบวนทัพของพระเจ้าชัยวรมันท่ี ๗ แต่อย่างไรก็ตาม ปราสาทบายนนบั เปน็ ปราสาทท่ีมคี วามแปลกท่สี ุดท้งั ด้านศลิ ปะ และการกอ่ สร้าง สมควรทจี่ ะเข้าไปเย่ยี มชมไมแ่ พก้ ารไป เย่ียมชมที่ปราสาทนครวัดเชน่ กนั
๑๕๓ ๓.๓.๑๕ ปราสาทบันทายกเดย็ สรา้ งในปพี ทุ ธศตวรรษท่ี ๑๘ รชั สมยั ของพระเจา้ ชัยวรมนั ท่ี ๗ และขยายเพ่มิ ในรชั สมยั ของพระเจา้ อนิ ทรวรมนั ท่ี ๒ เป็นศิลปะแบบบายน สร้างถวายศาสนาพทุ ธ นิกายมหายาน ปราสาทบนั ทายกเดย (บัน-ทาย-กะ-เดย) มลี กั ษณะคลา้ ยกบั รปู แบบปราสาทตาพรหม และปราสาทพระขรรค์ แตม่ ขี นาดเลก็ กวา่ โคปุระทง้ั ๔ แหง่ มีพระพักตร์ของพระโพธิสัตวอ์ วโลกิเต ศวร หนั หนา้ พระพกั ตร์ไปท้งั ๔ ทศิ เช่นเดยี วกบั ปราสาทบายน โดยมกี ําแพงลอ้ มรอบทั้ง ๔ ด้าน ทางเขา้ ประกอบดว้ ยโคปรุ ะทง้ั ๔ มีพนื้ ทีโ่ ดยรอบประมาณ ๘๐๐ คูณ ๔๐๐ เมตร ปราสาทบนั ทายก เดยจดั เป็นวัดทางพระพุทธศาสนา แตม่ ีสภาพทชี่ ํารดุ มาก ก่อนถงึ ปรางค์ประธานจะมวี หิ ารของพ ราหณส์ ําหรับทาํ พิธที างศาสนา ถัดไปเป็นโคปุระดา้ นในนาํ ไปสปู่ รางคป์ ระธาน และปรางคบ์ ริวารทงั้ ๔ ทศิ มบี รรณาลยั ทางทศิ เหนอื -ใต้ อยูท่ ี่หน้าปรางค์ประธาน เช่นเดยี วกับปราสาททส่ี ร้างในศลิ ปะบายน ภาพนางอปั สรากาํ ลังรา่ ยรํา จงึ พบเหน็ ไดเ้ ป็นส่วนมาก ท่ปี รางคป์ ระธาน ปจั จุบันมพี ระพทุ ธรปู ปรางค์ สมาธิประดษิ ฐานอยู่ เนื่องจากเป็นปราสาทขนาดเลก็ สามารถเดนิ เย่ยี มชมจากทิศตะวนั ออกโดยใช้ เวลาไมม่ ากนัก หลังจากนัน้ สามารถเดินเทย่ี วชมไปยังสระสรง ซ่ึงอยไู่ ม่ไกลนัก ๓.๓.๑๖ สระสรง สร้างในปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๕ และได้รบั การดัดแปลงในยุคปลายสมัยคริสตศตวรรษที่ ๑๒ รัชสมัยของพระเจ้าราเชนทรวรมันและพระเจา้ ชยั วรมันที่ ๒ เปน็ ศลิ ปะแบบบายน ศาสนาพุทธ นิกายมหายาน สระสรง เปน็ สระทม่ี ีนํา้ ขงั นบั พนั ปแี ลว้ มีภมู ิประเทศท่ีสวยงาม หลงั จากเทยี่ วชม ปราสาทบันทายกเดยแลว้ ทางออกทางดา้ นทศิ ตะวันตกนาํ ส่สู ระสรง เดนิ ไปเทย่ี วชมได้เลย ทา่ ของสระ สรงสร้างขึ้นด้วยหนิ ทราย มบี นั ไดลงไปถึงพน้ื นา้ํ หนั หน้าไปทางทิศตะวนั ออก จุดประสงค์ของการ สร้างสระสรงเพื่อเปน็ ศาสนสถานพรอ้ มกับปราสาทบันทายกเดย ในรชั สมยั ของพระเจ้าชยั วรมนั ที่ ๗ สระสรงมขี นาดประมาณ ๘๐๐ คูณ ๔๐๐ เมตร อยูใ่ นแนวทิศตะวนั ออก-ตก เช่อื ว่าสระสรงนี้ใช้เป็นที่ สรงน้าํ ของพระมหากษตั รยิ ์ ทา่ นาํ้ ประกอบด้วยบนั ไดสงิ ห์ และสว่ นท่ีเปน็ ราวสะพานนาคมลี ักษณะจตุรมขุ (หนั หน้า ทัง้ ๔ ทิศ) ลักษณะกากบาท ประกอบด้วยประตมิ ากรรมตัวรูปสงิ หค์ ู่ และมบี นั ไดลงไปยังลานจตรุ มขุ ซึ่งประกอบดว้ ยนาค ๗ เศยี ร กลางสระ จะสงั เกตเห็นซากปราสาทหลงั เล็กๆ ชาวกมั พูชาเรยี กกนั ว่า ปราสาทลอยน้ํา แตห่ กั พังลงมาแล้ว สนั นษิ ฐานว่าพระเจา้ ชยั วรมนั ท่ี ๗ ทรงใชเ้ ป็นท่ีนัง่ สมาธิ ตอ่ โดย สะพานไม้จากฐานท่ีอยู่ติดกบั ปราสาท Michael Freeman and Claude Jacques, Ancient Angkor, P 147. lb,d. P 151.
๑๕๔ ๓.๓.๑๗ ปราสาทพระปติ ุ สร้างในพทุ ธศตวรรษที่ ๑๗ รชั สมัยของพระเจา้ สุรยิ วรมนั ท่ี ๒ เป็นศลิ ปะแบบนครวดั สรา้ ง ถวายศาสนาฮนิ ดู ไศวนกิ าย และ ศาสนาพทุ ธนกิ ายมหายาน พระปติ ใุ นภาษาไทยหมายถึงลงุ ของพระมหากษตั ริย์ เป็นกลุ่มปราสาท ๕ หลัง อยใู่ น สภาพทท่ี รุดโทรมมาก ปราสาททางด้านทศิ ใตอ้ ยูต่ รงข้ามกบั ปราสาทเทพพนม มีบนั ไดนาคเช่อื มต่อกบั โคปรุ ะของกาํ แพงปราสาท ตัวปราสาทคงเหลือผนังและกรอบประตทู ัง้ สี่ทศิ ท่ีผนังสลักภาพเทวดาและ พรรณไม้ กลางปราสาทมแี ทน่ ศวิ ลงึ คบ์ นฐานโยนี ดา้ นหลังของปราสาทยงั มีปราสาทอีกหลงั หนึ่งท่มี ี ขนาดเล็กลงมา ที่ขา้ งกาํ แพงปราสาทมีภาพสลกั ศวิ ลงึ ค์ใหญ่ ดา้ นทศิ ตะวันตกเฉยี งเหนือ มตี วั ปราสาท ท่ใี หญท่ ีส่ ดุ ในกลุม่ พระปติ ุ มลี กั ษณะเปน็ รปู สี่เหล่ียมจตุรสั ขนาด ๔ เมตร ภายในมแี ท่นศวิ ลึงคข์ นาด ใหญ่ แต่ยังแกะสลกั ไมเ่ สร็จสมบูรณ์ ไมห่ า่ งจากปราสาทหลังนี้ไปทางด้านเหนอื ยงั มีปราสาททด่ี เู รียบๆ ไมม่ เี ชิงชนั้ และระเบียงมจี ุดน่าชมคอื ท่หี น้าบันและด้านข้างหนา้ บันมีภาพสลกั ตอนพระกฤษณะปราบ พระเจ้ากรุงพาณ ภาพย่างสามขมุ และภาพพาลีสกู้ บั สุครพี ๓.๓.๑๘ ลานช้าง สร้างในตน้ พุทธศตวรรษที่ ๑๘ รัชสมัย : รัชสมัยของพระเจา้ ชัยวรมนั ท่ี ๗ และมีการ บรู ณะเพิ่มเติมสมยั ของพระเจา้ ชยั วรมันท่ี ๘ เป็นศิลปะแบบบายนสรา้ งถวายศาสนาพุทธนกิ าย มหายาน ลานช้าง ตงั้ อยูบ่ ริเวณกลางเมืองพระนครหลวง หันหนา้ เขา้ ส่ลู านกว้างเรียกว่าสนามหลวง ลักษณะเป็นระเบียงยาวประมาณ ๓๕๐ เมตร สูงจากพนื้ ๓ เมตร ผนังฐานพลบั พลาสร้างด้วยหนิ สลัก เปน็ รปู ชา้ งและครฑุ พา่ หพ์ ืน้ พลบั พลาเปน็ หนิ ตัง้ อย่ดู ้านหน้าประตูพระราชวังมีมุขยื่นออกมาทง้ั สอง ด้าน คอื มขุ ช้างเอราวัณและมุขรูปครุฑพา่ หม์ ีบันไดข้ึนลงได้ ๕ ทาง บนั ไดใหญ่ทสี่ ดุ อยู่ตรงกลาง ซ่ึงเป็น ทางพระราชดําเนนิ ที่จะใชล้ งไปยงั สนามหลวงของพระมหากษตั ริยเ์ ท่านัน้ จดุ ประสงค์ของการสร้างลานช้าง เพ่อื ใช้เปน็ สถานทส่ี ําหรบั พระมหากษตั รยิ น์ ่งั ทอดพระเนตรการสวนสนาม การซอ้ มรบ และการเฉลิมฉลองตา่ งๆ ตลอดจนการต้อนรบั พระราช อาคันตุกะ ภาพสลกั นูนสูงรูปช้างและครุฑ ฐานระเบียงมีภาพสลักนนู สูงเปน็ รูปช้างตลอดแนว เรียกว่า ลานช้าง และมีภาพครฑุ แบกท่ีสวยงามเรยี กวา่ ระเบียงครุฑหรือลานพระเกียรติ ภาพสลกั นนู สูงรปู มา้ หา้ หัว ดา้ นทิศเหนอื ของลานช้างบริเวณใกลฐ้ านลานพระเจ้าขเ้ี รอ้ื น มี ภาพม้าห้าหวั หรอื ม้าพลาหะอันเป็นอวตารปางหนึ่งของพระโพธสิ ตั ว์อวโลกิเตศวรทีค่ อยชว่ ยเหลือผู้คน ให้พ้นจากปีศาจรา้ ย Michael Freeman and Claude Jacques, Ancient Angkor, P 117. lb,d. P 106.
๑๕๕ ภาพสลกั นูนสงู รูปหงส์ ทางด้านทศิ ตะวันออกตรงข้ามกบั ทางเขา้ ประตชู ยั ของนครธม มี ภาพสลกั รปู หงส์ และบนฐานลานช้าง ถา้ มองไปยังทศิ ตะวันตก จะพบโคปรุ ะซึ่งนาํ ไปสู่ปราสาทพิมาน อากาศและพระราชวังหลวง ๓.๓.๑๙ ลานพระเจา้ ขเ้ี ร้อื น สร้างในพุทธศตวรรษท่ี ๑๘ – ๑๙ รัชสมัยของพระเจา้ ชยั วรมนั ท่ี ๗ และมีการบูรณะ เพิ่มเติมสมยั ของพระเจ้าชยั วรมันที่ ๘ เป็นศลิ ปะแบบบายน สร้างถวายศาสนาพทุ ธนิกายมหายาน ลานพระเจ้าขเี้ ร้อื น สร้างข้นึ ในปลายพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๘ โดยทีไ่ ม่ทราบช่อื จงึ ถกู ขนาน นามขน้ึ ใหม่ เชื่อกันวา่ เป็นศาลตัดสนิ โทษ ผนงั ของลานสันนษิ ฐานวา่ ถลม่ และไดร้ ับการบูรณะข้ึนมา ใหมท่ ้ังหมดมคี วามยาว ๒๕ เมตร สงู ๖ เมตร ภาพสลักนนู สงู ที่ระเบียง เปน็ ภาพพญายมมนี างนาคอยู่ ท้งั สองขา้ ง กล่าวถึงเมืองบาดาล อันเปน็ ทีพ่ กั อาศัยของนาค ท่มี ุมระเบียงมีภาพสลกั นนู สงู ของนาค ๙ เศยี ร และ ๕ เศยี รอย่ขู า้ งบน ภาพพญายมจะถอื พระขรรค์น่ังในท่าขดั สมาธแิ ละชันเข่าถ้าเป็นสตรี มกั จะมีศริ าภรณ์ (คล้ายๆมงกฏุ ) สวมใสบ่ นศรี ษะ นั่งในท่าพับเพียบหรือชนั เขา่ มอื ประนมถือดอกบวั มีบางรปู ท่แี ขว่งพระขรรค์แขนต้งั วงโคง้ วางมืออย่บู นศีรษะอยา่ งสวยงาม ภาพสลักนนู สงู แถวท่สี อง เป็นรูปยกั ษแ์ ละรูปครุฑ ซึ่งมีทง้ั รปู จริงและรูปจาํ แลง ภาพสลักแถวทีส่ ามเปน็ รูปเทวดา ๓.๓.๒๐ ปราสาทตาเนย สร้างในปคี รสิ ตศตวรรษท่ี ๑๘ รชั สมยั ของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ สร้างเพิม่ เตมิ สมยั พระเจ้า อินทรวรมันท่ี ๒ เปน็ ศิลปะแบบบายน สรา้ งถวายในศาสนาพุทธ นกิ ายมหายาน ปราสาทตาเนย ตั้งอยู่ ใกล้กบั ปราสาทตาแก้ว เปน็ ปราสาททีอ่ ยู่ในปาุ และอยใู่ นชว่ งกาํ ลังบูรณะ อย่างไรก็ดี ปราสาทนก้ี ็มี ความสวยงาม ทางเข้าปราสาทอยู่ทางทิศตะวันออกและทิศตะวันตก เปน็ ปราสาทหนิ ทรายทย่ี งั สรา้ ง ไมเ่ สรจ็ สมบูรณ์ ปัจจุบันไดช้ ํารุดทรดุ โทรมลง มตี น้ ไมใ้ หญ่เขา้ ชอนไชคล้ายกับปราสาทตาพรหม ทาํ ให้ หลายสว่ นพังทลายลง ในบริเวณปราสาทมีบรรณาลยั เหลืออยสู่ ว่ นหน่ึง และจะสงั เกตเห็นระเบยี งคตท่ี ตอ่ ติดกับตัวปราสาท ภาพหน้าบนั รูปเจ้าชายสทิ ธัตถะทรงมา้ เพ่อื ออกผนวช ด้านล่างเป็นรูปเทวดาน่งั พนมมือ เปน็ ทน่ี า่ สังเกตว่า ภาพดา้ นลา่ งถูกทาํ ลายโดยการสกดั ภาพออกเมอ่ื พทุ ธศตวรรษท่ี ๑๙ ใน สมยั พระเจ้าชยั วรมนั ที่ ๘ ท่ที รงนับถอื ศาสนาฮนิ ดู ไศวนกิ าย ๓.๓.๒๑ ปราสาทบาตรชมุ สรา้ งปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๕ รัชสมัยของพระเจ้าราเชนทรวรมนั ที่ ๒ เป็นศลิ ปะแปรรปู ศาสนาพทุ ธ นิกายมหายาน ปราสาทบาตรชุม เป็นวดั ในพระพทุ ธศาสนา ผสู้ ร้างและออกแบบคือกวี Michael Freeman and Claude Jacques, Ancient Angkor, P 109. lb,d. เร่ืองเดียวกัน, หนา้ ๑๓๑. lb,d. เรือ่ งเดียวกนั , หน้า ๑๕๕.
๑๕๖ นทราริมัธนะ ผ้ทู ส่ี ร้างพระราชวงั ให้กับพระเจา้ ราเชนทรวรมันท่ี ๒ และ ปราสาทแมบ่ ญุ ตะวนั ออก ยคุ สมยั นี้อาจกลา่ วไดว้ า่ เปน็ ต้นแบบของยุคศลิ ปะแปรรปู กวีนทรารมิ ธั นะ เป็นผู้เดียวซ่งึ มนี ามปรากฎอยู่ ในจารกึ ดา้ นขา้ งของประตู ปราสาทบาตรชุมประกอบด้วยปราสาททกี่ ่อดว้ ยอิฐ ๓ หลัง หันหน้าไปทาง ทิศตะวนั ออก ต้ังอยู่บนฐานเดยี วกนั ปราสาทท้งั ๓ หลังสร้างจากอฐิ ยกเว้นกรอบประตูทาํ จากหิน ทราย เสาประตมู ลี กั ษณะแปดเหล่ียม สลกั เป็นภาพใบไมแ้ ละดอกไทเ้ ป็นวงๆ หนา้ ปราสาทมี ประตมิ ากรรมลอยตัวรูปสิงหอ์ ยู่ ๓.๓.๒๒ปราสาทตาพรหมเกล สร้างในปี ต้นพุทธศตวรรษท่ี ๑๘ รชั สมยั ของพระเจา้ ชัยวรมันท่ี ๗ เปน็ ศลิ ปะแบบบายน ศาสนาพทุ ธนิกายมหายาน ปราสาทตาพรหมเกล ตง้ั อยตู่ รงขา้ มกบั มหาปราสาทนครวดั เป็นปราสาท ปรางคเ์ ดียวสรา้ งดว้ ยหนิ ทราย สงู ประมาณ ๑๒ เมตร เปน็ อโรคยศาลาหรือศาลาแหง่ ความไรโ้ รคหรอื โรงพยาบาลในสมยั โบราณ เป็นหนึง่ ในจาํ นวนอโรคยศาลาทัง้ ๑๐๒ แหง่ ทพี่ ระเจ้าชยั วรมนั ที่ ๗ ทรง เล็งเห็นความทกุ ขย์ ากของประชาชนทมี่ คี วามเจบ็ ปวุ ย ดงั ท่เี คยตรัสไวว้ า่ ความเจบ็ ปุวยของประชาชนก็ เหมือนความเจ็บปวุ ยของพระองค์ การเยี่ยมชมปราสาทตาพรหมเกลจึงไดเ้ ห็นถึงความเป็น โรงพยาบาลชุมชนของขอมโบราณ ๓.๓.๒๓ วัดในประเทศกมั พูชา วดั อารามใหม่ๆสรา้ งขนึ้ เปน็ จํานวนมากพิเศษในจงั หวัดกาํ ปวงจาม สวายเรียง ตาแกว้ และ จังหวดั กณั ดาล ถูกสรา้ งขนึ้ บนทตี่ ง้ั เก่าของปราสาทในสมยั อังกอร์ และก่อนสมัยอังกอร์ วดั จาํ นวนมาก ไดป้ รบั ปรงุ สภาพใหก้ ลบั มาไดบ้ นโครงสร้างเดมิ ท่ีหลงเหลืออยู่ อยา่ งไรกต็ ามนอกจากเจดยี ์ และสิ่ง กอ่ นสรา้ งปราสาทเล็กจาํ นวนหน่ึง และวัดจาํ นวนมากในปจั จุบันมสี ภาพชาํ รดุ ทรุดโทรมมากกว่าวดั ท่ี สร้างหลงเหลือในชว่ งกลางพุทธศตวรรษที่ ๑๙ ในกรณวี ัดท่ีมีการทาํ ลายวัดสิ่งก่อสรา้ งในวดั โดยไม่ พิจารณา รูปวาด ภาพแกะสลกั จาํ นวนมากท่ีอย่ใู นส่งิ ก่อสร้างเหลา่ นั้น ไมใ่ ช่เกดิ ข้ึนเฉพาะในสมัยพอล พต เทา่ นั้น ในระหว่างปี พ.ศ. ๑๙๖๔ มวี ดั อยา่ งน้อย ๔ วัด ในเมืองบัดดําบอง ท่เี ขาไดท้ ุบทําลายทง้ิ แล้วกอ่ สร้างวัดอารามขึ้นมาแทนใหม่ เหตกุ ารณ์ลักษณะนีไ้ ดเ้ กิดขึ้นท่ีเมืองอดุ งมีชยั วตั ถศุ ิลปะจํานวน หนึง่ ได้หลงเหลอื เพราะมีการอนุรักษส์ งวนไวต้ ามธรรมเนียมประเพณี หลกั ธรรมทีส่ าํ คญั ให้พิจารณา คือ อนิจจา (ไมเ่ ท่ียง)ของพระพุทธศาสนา จงึ ไดส้ ถติ ถาวรดาํ รงอยู่มานบั หลายศตวรรษแลว้ ธรรมดาวดั หน่ึงๆ จะมอี าคารจํานวนหลายหลงั ตั้งอยู่ในบรเิ วณเดียวกนั ล้อมรอบดว้ ยรว้ั กาํ แพงหินท่แี ขง็ แรง (เรียกวา่ มหาสีมา)ซ่ึงมปี ระตูเข้าเข้าจาํ นวนมาก พระสงฆม์ ักจะจาํ วัดรวมอยใู่ นกฏุ ิ lb,d., Michael Freeman and Claude Jacques, Ancient Angkor, P 68. កញ្ញា ជុំគន្ធា ,និងគណះបកប្រប,របវត្ិត និងការរបត្ិបត្ិតររះរទ្សា ាសន្ធរបទទ្សកម្ពជា ភាក ៣ , (ភុំ្ទរញ: រនឺលប្មរែ , គ.ស. ២៥១០), ទ្ំុ ១១៥,
๑๕๗ หลังเดยี วกนั ในแต่ละวัดจะมีกุฏหิ ลงั เดี่ยวเลก็ ๆอยู่ตา่ งหาก ซง่ึ สร้างข้ึนเพือ่ เป็นกุฏวิ ปิ สั สนากมั มัฏฐาน ตามธรรมดาพระเจา้ อธกิ ารจะพกั อยูห่ ลังเดยี วต่างหาก กุฏบิ างหลังมีการตกแต่งให้สวยงาม บางหลงั ใช้ ทห่ี อ้ งสมุด หรือหอไตรประจําวดั ด้วย หอไตรอาจถกู ใชเ้ ป็นสถานทจ่ี ัดประชมุ หรือเป็นท่เี ก็บรักษาพระ ปฏิมากรหรอื ภาพแกะสลักตา่ งๆ ในวัดอาจมีสระน้ําอยู่ในวัดเพอ่ื ใหพ้ ระสงฆ์ได้สรงนํา้ ในวดั และมี สถานทหี่ ุงตม้ หน่ึงท่ีทาํ จากไม้ และศาลปตูุ าหนงึ่ หลงั ซงึ่ ปกตจิ าํ อย่ทู ศิ อสี านของบริเวณวัดมีเจดียจ์ ํานวน หนึง่ และศาลาสําหรับประกอบกจิ กรรมต่างๆ ทางศาสนา ศาลาหอฉัน สํานักเรยี น และท่พี ักสําหรับ คนเดินทาง อยา่ งไรกต็ ามสงิ่ ทส่ี ําคญั ท่ีขาดไมไ่ ด้ก็คอื อโุ บสถ (วหิ าร) ซ่งึ การสร้างโบสถ์น้ันตอ้ งหันหน้า ไปทางทิศตะวันออก และต้องตกแต่งให้ดสู วยงาม เด่นกวา่ อาคารอนื่ ๆ ทง้ั หมดภายในวัด ในโรงอุโบสถ นน้ั ต้องตัง้ พระพทุ ธรูปและพระปฏมิ ากรหลายๆองค์ และเป็นสถานทีส่ ําหรบั พิธีทาํ บญุ สาํ คญั ๆ หรือ เป็นทีพ่ กั ของพระภิกษุสงฆ์ สามเณร ซึง่ เป็นลักษณะแทนการเกดิ ขึน้ ของชวี ิตตา่ งๆท่ีอยู่ในวดั . วดั วาอารามสว่ นมากจะมเี รือโง ซงึ่ เขามกั จะทาํ โรงยาวเป็นพิเศษเกบ็ ไว้สําหรบั แขง่ ขันกัน ประจาํ ปี ในเดือน พฤศจิกายน (ธนู)เป็นชว่ งออกพรรษา และเป็นเวลาทแ่ี มน่ ํ้าโขงไหลแรง ทําให้ ทะเลสาบกมั พูชามนี ํา้ เตม็ เป่ยี มไหลล้น หากวา่ เรอื โง ใครไดร้ ับชัยชนะในการแขง่ ขนั ก็จะทาํ ใหว้ ัดน้ันมี ช่ือเสียงเกียรตยิ ศ ดังน้นั แต่ละวัดจงึ มีความพยายามทจ่ี ะฝึกซ้อมเพอ่ื ให้ไดม้ าซง่ึ ชัยชนะและชื่อเสียงของ วดั สวายจมุ ตั้งอย่รู มิ ฝงั่ แมน่ ้าํ โขง ในกรุงพนมเปญ เปน็ วดั ท่มี ีชือ่ เสยี งเลื่องลอื ระบอื ไกล เพราะเป็นวดั ท่ี เคยไดร้ ับชัยชนะหลายคร้งั ตามความเช่อื ของประชาชนในถ่ินนัน้ มีความเชอ่ื ว่า เรือคือทีอ่ ย่อู าศัยของ พรายตนหนึง่ ทพ่ี ระสงฆ์ทั้งหลายและเจ้าอธกิ ารในวดั ได้เซ่นไหว้ตลอดหน่งึ ปี เรอื ทแี่ ข่งคอื ตัวแทนของ พญานาค ทช่ี ว่ ยรองรับแผน่ ดินและสูบนํา้ เพื่อไมใ่ ห้ท่วมขา้ วกล้า และอาจแสดงอทิ ธฤิ ทธิ์ช่วยให้เรือนนั้ ชนะในการแขง่ ขัน การทําบุญผกู พทั ธสมี าอโุ บสถหลังหน่ึง ต้องจดั เตรยี มพิธีใหถ้ กู ตอ้ งก่อนที่จะใช้อุโบสถ ประกอบพิธกี รรมต่างตามความประสงค์ของวดั ในพงษาวดารกลา่ วถึงการกอ่ สร้างวัด ใหเ้ ปน็ วดั เหมอื นกับวดั สรอเฬา ในจงั หวัดกําปวงธม ซ่ึงจดั วา่ เป็นเอกสารประวัตศิ าสตร์ท่ถี ูกตอ้ งตาม ขนบธรรมเนียมประเพณปี ฏิบตั ทิ างพระพุทธศาสนา ทาํ ใหร้ ู้ว่า วัดแรกในพระพทุ ธศาสนาคือวดั เวฬุวนั ของพระเจา้ พมิ พิสาร ตอ่ จากนน้ั มา พระสมั มาสมั พุทธเจา้ ไดป้ ระทานอนุญาตให้อคุ รสาวกสาํ คัญสอง พระองคค์ อื พระสารีบุตรและพระโมคคลั ลานะ กําหนดเขตขณั ฑสมี า ท่ีตงั้ อยู่ภายในเขตก้อนหนิ ใหญ่ หลายกอ้ น ที่อยใู่ นบรเิ วณนนั้ ทา่ นไดส้ วดพระธรรมวินัยทั้งหลายของวัด และการแสดงอาบัติ ทล่ี ่วง ละเมดิ ข้อทีพ่ ระพทุ ธเจา้ หา้ ม ตามท่กี ลา่ วมาทําใหร้ วู้ ่า พ้นื ที่ในเขตสีมาน้คี ือสถานท่ีเคารพสกั การะบชู า ทพ่ี ิเศษเหนืออํานาจอาณาจกั ร เช่น ในประเทศไทย ตามประเพณีพระมหากษตั รยิ ์ตอ้ งพระราชทาน កញ្ញា ជុំគន្ធា ,និងគណះបកប្រប,របវត្ិត និងការរបត្ិបត្ិតររះរទ្ាសាសន្ធរបទទ្សកម្ជព ា ភាក ៣, ទ្ុំ ១១៦,
๑๕๘ วิสงุ คามสีมา แกค่ ณะสงฆ์ผูด้ ูแลรักษา สิ่งทส่ี าํ คญั อย่างหนึ่งในกมั พชู า ได้ช้ีแจงอย่างละเอียดชัดเจน สัน้ ๆ ของพระเดชพระคณุ ฮวด ตาด ทต่ี ัง้ ชือ่ เร่อื งวา่ สีมาวินฉิ ยั สงั เขป (กลา่ วถึงมตทิ เี่ กยี่ วข้องกบั สีมา) ในพธิ บี ญุ ผูกพทั ธสมี า ซ่งึ กล่าวไวว้ า่ เปน็ พธิ ีบญุ ท่ีสง่ ผลานิสงฆ์ยิง่ ใหญ่ท่ีสุด ในจํานวนบุญ ทงั้ หลายในกัมพูชา ในประเพณีท่ีปรารภการทาํ บญุ บรรจสุ ีมานี้ นยิ มทาํ เดือน ๖,๗,๘ ระหวา่ งเดือน พฤษภาคมถงึ เดอื นกรกฎาคม ส่ิงท่สี าํ คัญในพิธีนค้ี ือ การบรรจลุ กู นิมิตสมี าทง้ั ๘ ลกู ลูกที่ ๙ ใสใ่ นพระ อุโบสถ และมพี ระสงฆส์ วดเกี่ยวกบั พธิ ีบรรจุสีมา และการทาํ พธิ ีบุญนี้ ตอ้ งมผี นู้ าํ คอื อาจารยผ์ ฉู้ ลาดใน การเตรยี มพิธอี ุปกรณต์ า่ งๆ เชน่ วัดพนม วดั พนมเปน็ วดั ทส่ี ําคญั มาก ซงึ่ กรงุ พนมเปญกม็ ที ม่ี าจากวดั แหง่ นด้ี ้วย ดังมตี ํานานพืน้ บา้ น กลา่ วว่า เมอื่ ราวหกรอ้ ยปีก่อน มีเศรษฐนี ีชาวเขมรผหู้ นงึ่ ชอ่ื เพ็ญ ไดไ้ ปพบพระพุทธรูปน้ําพดั มาเกยฝ่ัง หลายองค์ นางมีศรัทธาแก่กลา้ ในพระศาสนา จงึ ได้สรา้ งวัดข้ึนบนยอดเขาทีอ่ ยใู่ กล้ๆ กนั เพ่อื เป็นที่ ประดษิ ฐานพระพทุ ธรปู เหลา่ นน้ั แมเ้ ขาลกู นีจ้ ะสงู เพียง ๒๗ เมตร แต่กถ็ ือเป็นเขาท่ีสูงทส่ี ุดในละแวกนี้ จงึ เรียกกันเร่ือยมาวา่ \"พนมเปญ\" แปลวา่ \"เขายายเพญ็ \" วดั พนมมีประตูทางเข้าหนั ออกไปทาง ตะวันออก ทางขน้ึ นําเป็นบนั ไดนาค แตไ่ มส่ งู นกั วหิ ารใหญ่น้นั สรา้ งขึ้นใหม่หลายครัง้ หลังทเ่ี หน็ อย่ใู น ปัจจุบันเปน็ ของทีส่ ร้างขึน้ ในปี ๑๙๒๖ มีภาพจติ รกรรมฝาผนังวาดเปน็ เรอ่ื งรามเกียรต์ิ ลานวดั ทางทิศ ใตม้ ีศาลาเล็กๆ หลังหนงึ่ ใช้ตงั้ รูปป้ันยายเพญ็ ผสู้ ร้างวัดน้ี วดั พนมเป็นทรี่ วมของความเช่ืออนั หลากหลาย แม้จะเปน็ วัดในพทุ ธศาสนาสายเถรวาท แต่ก็มศี าลเปรยี ะโฮ ซ่ึงเปน็ เทพท่ีชาวเวียดนามนับถอื กันมากต้งั อยทู่ างตอนบนของวหิ าร ขณะท่โี ต๊ะ บชู าดา้ นหน้ามีรปู ปนั้ ขงจอื้ และปราชญ์จีนอกี สองท่าน ดา้ นซ้ายของแทน่ บชู าใหญก่ ม็ เี ทวรปู พระ นารายณ์แปดกร ประดษิ ฐานอยู่ มองลงมาทางทศิ ตะวนั ตกของวหิ ารจะเห็นเจดยี ์ใหญอ่ นั เป็นท่บี รรจุ พระอฐั ิธาตุของพระเจ้าพงหยัต พระทน่ี ั่งนโปเลียนที่ ๓ พระทีน่ ั่งองค์หลงั นเ้ี พ่งิ ผ่านการบรู ณะจากอาสาสมัครฝร่ังเศสโดย ใชเ้ งนิ ของฝรั่งเศสเอง เดิมเปน็ ตาํ หนกั ท่ีจกั รพรรดนิ โปเลียนท่ี 3 สรา้ งประทานแด่จกั รพรรดินีเออเชนี ตอ่ มาองค์จกั รพรรดดิ นิ ีมรี ับสง่ั ให้ร้ือถอดออกเป็นชิ้นๆ ส่งลงเรือมาประกอบขน้ึ ใหมเ่ ปน็ ของขวัญถวาย แดส่ มเด็จพระนโรดมที่กรงุ พนมเปญในทศวรรษที่ ๑๘๗๐ สว่ นทางด้านตะวนั ตกเฉียงเหนอื ของเขตพระราชวงั หลวง เปน็ เขตพระราชฐาน ท่ีประทับ ของสมเดจ็ พระสีหนุ ส่วนทางด้านใต้ของพระราชวังหลวง มหี ม่อู าคารพระคลังหลวง พระทนี่ ัง่ โภชนี โสภา สําหรับพระราชทานเล้ียง วัดอณุ าโลม หรอื วดั อณุ ณาโลม เป็นวัดสาํ คัญประจํากรงุ พนมเปญ ประเทศกัมพชู า สร้าง កញ្ញា ជុំគន្ធា ,និងគណះបកប្រប,របវត្ិត និងការរបត្ិបត្ិតររះរទ្ាសាសន្ធរបទទ្សកម្ពជា ភាក ៣, ទ្ុំ ១១៧.
๑๕๙ ข้ึนในสมัยพระบรมราชา (เจ้าพระยาญาต)ิ มีพระสงฆ์จําพรรษาสบื เนือ่ งมาจนถึงสมยั พระองค์ดว้ ง พระสังฆราช (เท่ียง) ไดบ้ ูรณะวัดน้ีข้นึ ใหม่ วัดนเ้ี ปน็ ท่ปี ระทบั ของพระสังฆราชฝาุ ยมหานกิ ายใน ประเทศกัมพูชา ศาสนสถานอันกว้างขวางท่ี มีอยหู่ ลายแหง่ ในพนมเปญเหมาะสาํ หรบั การมาเดนิ เท่ียวชม ในวนั ท่ีอากาศรอ้ น วดั ที่เก่าแกแ่ ละนา่ สนใจ ได้แก่ วัดอณุ าโลม ศูนย์กลางคณะสงฆ์ของกมั พูชาและถือ เป็นวัดทสี่ าํ คัญท่สี ุดในกรุงพนมเปญ กอ่ ตั้งขน้ึ ราวศตวรรษท่ี ๑๕ แตถ่ ูกเขมรแดงทําลายอย่างหนกั ก่อน จะไดร้ บั การฟื้นฟูกลบั คืนมาอย่างรวดเร็ว มพี ระเจดยี บ์ รรจุพระบรมสารรี กิ ธาตุต้งั อยู่ วดั โมหะมนตรี มี ภาพจติ รกรรมฝาผนงั ท่สี วยงามซงึ่ วาดขนึ้ ในช่วงปี ๑๙๖๐ เปน็ เรอื่ งราวเกย่ี วกับพทุ ธศาสนาในช่วง กลางศตวรรษที่ ๒๐ และวัดลงั กา วัดสําคญั รองมาจากวัดอุณาโลมไดร้ บั การฟ้นื ฟูหลงั จากถูกเขมรแดง ทาํ ลายเชน่ กัน ภายในวหิ ารมภี าพวาดชาดกตา่ ง ๆ ประดบั ไว้ ฟนู ันรับวัฒนธรรมอนิ เดียทง้ั รูปแบบการปกครอง สงั คม วฒั นธรรม อทิ ธิพลวฒั นธรรม อนิ เดีย มีอยมู่ ากในชนระดบั สงู สว่ นชาวบา้ นทั่วไปยังยึดมนั่ ในขนบประเพณสี งั คมด้งั เดมิ ของตนอยู่ ฟูนนั มีลกั ษณะเปน็ รฐั ชลประทาน มกี ารชลประทานเพือ่ ปลกู ข้าว โดยการขดุ คคู ลอง ทาํ นบกักเกบ็ นํา้ แล้วระบายไปยงั ไร่นาตา่ ง ๆ ขณะเดียวกัน ก็มเี มอื งทา่ ชอื่ เมืองออกเเก้ว เปน็ แหล่งนํารายได้ ผลประโยชน์มาสรู่ ฐั อกี ทางหนึ่ง นาํ ความอุดมสมบูรณม์ าให้ดว้ ย ฟนู นั ยงั่ ยนื มาถงึ ครสิ ต์ศตวรรษที่ 6 การส้นิ สดุ ของอาณาจกั รฟูนัน เมื่อพวกเจนละ(ขอมหรือเขมร) เข้ามายึดอํานาจ พวกเจน ละนับถอื ศาสนาพราหมณ์ จึงไดน้ ําศาสนาพราหมณ์มาเผยแพร่ในดนิ แดนน้ดี ้วย ๓.๔ สรุป พระพทุ ธศาสนากับความสัมพนั ธ์ทางวัฒนธรรมในประเทศกมั พูชา พระพุทธศาสนาได้เข้ามาเผยแผใ่ นประเทศกมั พูชาเป็นเวลานบั พนั ๆปแี ลว้ ใน ขณะเดยี วกนั กไ็ ดป้ ระสานสมั ผัสกบั ความเช่ือทอ้ งถน่ิ และคตทิ างศาสนาพราหมณ์ ทาํ ใหเ้ กดิ ผลิตผลใหม่ ทางวัฒนธรรมและประเพณี เรื่องของวัฒนธรรม และประเพณตี า่ ง ๆ มีลกั ษณะจะแตกต่างไปประการ ใดกแ็ ล้วแต่ลักษณะหรือสภาพของแตล่ ะทอ้ งถิน่ หรือแต่ละสงั คม เช่น ตั้งแต่ด้านเรื่องกริ ยิ า มารยาท การเลือกคู่ หม้ันหมาย แตง่ งาน ตาย เปน็ ตน้ สว่ นสงั คมกมั พูชานนั้ จะเปน็ การสืบเนอ่ื งมาจากการนบั ถือศาสนาพราหมณแ์ ละศาสนาพทุ ธกจ็ ะมีอทิ ธิพลด้านพราหมณแ์ ละพทุ ธศาสนาเขา้ มาเกี่ยวขอ้ งด้วย เช่น ระเบียบอปุ กรณท์ ่ีใชใ้ นพิธี การประกอบพิธี เชน่ ประเพณี ๑๒ เดอื น การเกดิ การตาย การหมั้น หมาย สมรส บวช ปลูกบา้ นใหม่ ขึ้นขึน้ ปใี หม่ วันสาร์ท วนั มาฆะ วนั วิสาขะ วนั อาสาฬหบูชา วนั พระ ผ้าปุา กฐนิ ประเพณกี ารบวช เข้าพรรษา ออกพรรษา สงกรานต์ ลอยกระทง เทศน์มหาชาติ เปน็ ต้น ซงึ่ ถอื วา่ เป็นระเบยี บแบบแผนในการปฏิบตั ทิ ีเ่ หน็ ว่าดีกวา่ ถกู ตอ้ งกว่า และเปน็ ท่ียอมรบั ของคนสว่ น ใหญใ่ นสงั คม และมกี ารปฏบิ ัตสิ ืบตอ่ ๆ กนั มา ฉะนัน้ พทุ ธศาสนาจึงมอี ทิ ธิพลตอ่ วฒั นธรรมประเพณไี ทยเป็นอยา่ งมากตั้งแตเ่ กดิ ถงึ ตาย
๑๖๐ ทีเดยี ว เพราะพุทธศาสนาเปน็ ศาสนาทคี่ ู่กับชาติกัมพชู ามาแตย่ าวนานจึงทําให้เกิดประเพณีหลาย ๆ ประการในสังคมท่ีมพี ธิ กี รรมทางพทุ ธศาสนามาเกี่ยวขอ้ งกับ วัฒนธรรมความเชอื่ ที่ปลกู ฝงั กนั มานาน แสนนานจนกลายเปน็ ประเพณปี ฏบิ ตั ทิ ี่สัมพนั ธก์ ับการดาํ รงชวี ติ ของชาวกมั พชู า ในชว่ งหนงึ่ ปีน้ัน จะ มปี ระเพณสี ิบสองเดือนทเ่ี ก่ียวข้องกับคติความเช่ือสบื ทอดกันมาทง้ั ท่ีเน่ืองด้วยพระพทุ ธศาสนาหรือ ศาสนาอ่นื ๆ ในทน่ี ีข้ อกล่าวถงึ ประเพณีสบิ สองเดือนทเ่ี กยี่ วขอ้ งกับพระพุทธศาสนาจาก พระมหากษตั ริยถ์ ึงประชาชนชาวกัมพชู า พระราชพิธีทวาทศมาส หรอื พระราชพิธีสบิ สองเดอื น เปน็ พระราชกรณียกิจของพระเจ้าแผน่ ดนิ ทจี่ ะต้องจัดทําข้นึ เป็นประจาํ เพือ่ คงไวซ้ ึ่งความอุดมสมบูรณแ์ ละ สวสั ดิมงคลของบา้ นเมือง และเพ่อื แสดงความเป็นพระเจา้ แผน่ ดินหรอื พระเจา้ จักรพรรดิราช เช่ือกันว่า หากมคี วามขาดตกบกพร่องในการประกอบพระราชพธิ ีดงั กลา่ วจะกอ่ ให้เกดิ อันตรายต่อบ้านเมอื ง ดังน้นั จงึ มีการจัดทาํ พระราชพิธีสบิ สองเดือนสบื เน่ืองต่อมาเปน็ เวลายาวนานจนถึงปจั จุบนั พระพุทธศาสนามีบทบาทต่อสังคมเศรษฐกจิ และการเมืองมาโดยตลอด ในขณะเดยี วกนั ก็ ไดร้ บั ผลกระทบจากสภาพสงั คมที่เปล่ยี นแปลด้วยเช่นกนั กลา่ วคือ พุทธศาสนาเป็นสถาบนั สงั คมท่ี เอื้ออํานวยให้สงั คมดาํ รงอยอู่ ย่างเป็นปกึ แผ่นม่ันคงมาตัง้ แตอ่ ดีตถงึ ปัจจบุ นั ในทํานองเดยี วกนั สงั คมได้ อุปถัมภ์และสง่ เสรมิ ให้ศาสนามคี วามเจรญิ และเป็นท่ียอมรบั นับถอื อย่างกวา้ งขวาง มวี ัดและพระสงฆ์ ทําหนา้ สนบั สนนุ การเมอื ง เศรษฐกจิ วฒั นธรรมและคา่ นิยม ให้ตอบสนองวตั ถปุ ระสงค์ของสงั คมและ ใหเ้ กดิ ประโยชนต์ อ่ ประชาชนกัมพูชาในด้านต่าง ๆ ตอ่ ไปนี้ เปน็ สถานศกึ ษา ซึง่ ชาวบา้ นสง่ ลูกหลานมารบั การฝกึ อบรมทางศีลธรรมหรอื มารับใช้พระ เป็นการเลา่ เรียนวิชาความรู้ตา่ ง ๆ ทางออ้ มจากระได้ทุกเวลาและโอกาส เป็นสถานสงเคราะห์ เป็นทพ่ี ักของคนเดินทางและสําหรบั คนยากจนได้มาอยู่อาศัย เป็นท่ี ปรึกษาแกป้ ัญหาชีวติ ครอบครวั และความทกุ ข์ตา่ ง ๆ และช่วยไกลเ่ กลย่ี ขอ้ พิพาทของชาวบ้าน รวมท้งั ช่วยรกั ษาผู้เจ็บปุวยตามความร้ขู องพระในขณะน้ัน ในดา้ นรปู ธรรมหรือวตั ถุนนั้ สถาปตั ยกรรมกัมพชู าซึ่งมลี กั ษณะเดน่ ในด้านคตินยิ ม เก่ียวกบั การกอ่ สรา้ ง ไดแ้ ก่ สถาปัตยกรรมเกีย่ วกบั ศาสนาพราหมณ์และพระพุทธศาสนา และการ ปกครอง และสถาปตั ยกรรมท่มี ีรูปลักษณะแบบประเพณี ซงึ่ พอจะแยกกลา่ วได้ดังนี้ สถาปัตยกรรมเกี่ยวกบั ศาสนาพราหมณแ์ ละพระพทุ ธศาสนาและการปกครอง สถาปตั ยกรรมเกี่ยวข้องกบั ศาสนาพราหมณ์และพระพทุ ธศาสนา เพราะเปน็ ที่ยอมรับนบั ถอื ของ กมั พชู ามาต้งั แตบ่ รรพบรุ ษุ เชน่ ปราสาท โบสถ์ วหิ าร ศาลาการเปรยี ญ และการกอ่ สร้างพระธาตเุ จดีย์ ตา่ ง ๆ ตามคตคิ วามเชือ่ ทางศาสนา และคลค่ี ลายมาเป็นคตนิ ิยมเกี่ยวกบั การเมืองการปกครอง สถาปตั ยกรรมกัมพูชาเริ่มแรกถอดแบบตามอินเดีย ต่อมากพ็ ัฒนาเป็นเอกลักษณข์ อง กัมพูชาเอง ประเพณีนิยมท่กี อ่ สร้างตาม ๆ กนั มาจนกลายเป็นคตินิยม เชน่ ปราสาท วงั และวัด เท่านัน้ ท่หี ลงั คาประดบั ด้วยชอ่ ฟูาใบระกาได้ แม้วา่ บางยคุ บางสมยั สถาปตั ยกรรมไม่นยิ มสร้างชอ่ ฟูา
๑๖๑ ใบระกาแต่กเ็ ปน็ คติความนิยมอยเู่ พยี งสมยั เดียวแลว้ กเ็ ลิกราไปแตย่ ังคงรูปแบบชนดิ ท่มี ชี ่อฟูาใบระกา และเนน้ ทางด้านหนา้ มากกวา่ ทางดา้ นขา้ ง ลกั ษณะเชน่ น้ไี ด้แก่ โบสถ์ และวิหาร การสรา้ งสถปู เจดีย์ หรอื มณฑปก็จะมีรปู แบบสถาปัตยกรรมของมันเอง ท่ีดแู ล้วรู้ได้ทันที เช่น เจดยี จ์ ะต้องมรี ูปลักษณะที่ เปน็ ทรงกรวย มยี อดแหลม หรอื เจดียช์ นดิ ทรงกรวยเหลยี่ มยอ่ มมุ ฯลฯ นัน่ คอื สถาปัตยกรรมท่เี กิดกบั วัด กับ วงั และปจั จบุ นั มีการจาํ ลองรปู แบบทางดา้ นสถาปัตยกรรมรวมเข้าเปน็ ส่วนหนึ่งของสถานที่ ราชการ เชน่ ทําเนียบรัฐบาล ศาลตลุ าการ หรือแม้แตโ่ รงแรม อาคารพานชิ เปน็ ตน้ จึงนบั ว่าพระพุทธศาสนาและศาสนาพราหมณ์มอี ิทธิพลต่อการกอ่ สรา้ งของสังคมกัมพูชา เป็นอย่างมาก ไม่วา่ ด้านจติ ใจ ดา้ นประเพณี ดา้ นพธิ กี รรม ด้านวรรณคดี ดา้ นภาษา ด้านการศกึ ษา ตลอดถงึ ดา้ นสถาปัตยกรรมการก่อสร้าง จนทําใหเ้ กิดเป็นวัฒนธรรมท่ีคนกมั พชู าทุกคนไดร้ ับรู้ได้เห็น และเปน็ เอกลกั ษณข์ องกัมพูชาในท่สี ดุ เม่ือชาวต่างชาตินึกถงึ ประเทศกัมพชู ามกั จะนึกถงึ ปราสาทนคร วดั นครธม ความสวยงามของโบสถ์ วิหาร พระราชวัง เปน็ ต้น จงึ นบั ว่าศาสนาพราหมณ์และ พระพทุ ธศาสนามอี ิทธพิ ลต่อสงั คมและวัฒนธรรมกมั พูชาในทกุ ๆ ดา้ นอย่างแท้จริง ซึง่ พอสรปุ เปน็ ตารางได้ดงั น้ี พระพทุ ธศาสนากบั ความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมในประเทศกมั พูชา ความสมั พันธ์เชิงนามธรรม ความสมั พันธ์เชงิ รูปธรรม ศิลปกรรมทีเ่ ก่ียวกับพระพุทธศาสนา ระดบั ปัจเจก ระดับรฐั พระสงฆ์กับการศกึ ษา พระสงฆ์กับสถาบนั กษัตริย์ ปฏมิ ากรรมพระพทุ ธรูป พระสงฆก์ บั การปฏิบัติ พระสงฆ์กับสถาบัน สถาปัตยกรรมปราสาท พระสงฆ์กบั ชาวบา้ น การเมืองการปกครอง สถาปตั ยกรรมเจดยี ์ พระสงฆก์ บั เดก็ วัด สถาปัตยกรรมวัด / วหิ าร ชาวบ้านกบั วิถีพทุ ธ จติ รกรรมฝาผนงั ชาวบา้ นกบั วถิ ีพุทธผสมพราหมณ์ ประณตี ศิลป์ลายจําหลัก
๑๖๒ บทที่ ๔ การจดั การด้านพระพุทธศาสนาในประเทศกมั พูชา ๔.๑ การจดั การศึกษาพระปรยิ ัติธรรมของคณะสงฆก์ ัมพชู าในอดตี การศกึ ษาพระปรยิ ัติธรรมของคณะสงฆ์กมั พชู าในอดตี นั้น แม้ว่าเอกสารตา่ ง ๆ ท่พี ดู ถึง การศึกษาในอดตี จะเป็นแบบใดกต็ าม แต่สง่ิ ทยี่ นื ยนั ได้ กค็ อื การเขา้ มาของพระพทุ ธศาสนาในประเทศ กัมพชู า ซ่งึ ประกอบไปด้วยทง้ั ส่ิงกอ่ สรา้ งศาสนสถานตา่ งๆ ทเ่ี ราได้ประจกั ษช์ ดั จนปัจจบุ ันกลา่ วคอื นครวดั นครธม เป็นตน้ ซึง่ สิ่งเหลา่ นีแ้ สดงให้เหน็ ว่าคนสมยั นนั้ มีความร้คู วามสามารถแขนงวิชาการ ต่างๆ อยา่ งแตกฉาน มฉิ ะน้นั คงไมม่ ศี ิลาจารกึ โบราณวตั ถุ โบราณสถานอันลํ้าค่าให้เราไดศ้ ึกษาคน้ ควา้ และเรยี นรู้ถึงความเจริญรงุ่ เรอื งงอกงามของวฒั นธรรม อารยธรรมอนั ยงิ่ ใหญ่ไพศาลของบา้ นเมอื ง และ ได้สง่ ผลสืบเนอ่ื งมาจนถึงปัจจุบนั อย่างแนน่ อน สาํ หรับการศกึ ษาพระปรยิ ตั ธิ รรมหรือการศกึ ษาพระพทุ ธศาสนาของคณะสงฆ์กัมพูชาสมยั อดีต มนี ักวชิ าการทางดา้ นประวตั ศิ าสตร์ ดา้ นโบราณคดี และด้านพระพทุ ธศาสนาไดใ้ หท้ ัศนะที่ แตกต่างกันเกี่ยวข้องกับยุคสมัย นักประวัตศิ าสตรก์ ัมพชู าได้แบ่งเปน็ ๕ สมัย คือ (๑) สมยั กอ่ น ประวตั ศิ าสตร์ ๒) สมยั ฟนู นั ๓) สมยั เจนละ ๔) สมัยมหานคร และ ๕ ) สมัยหลงั พระนคร ซึ่งการทม่ี ี นกั วชิ าการได้แบง่ ทง้ั หา้ ยคุ สมัยดังกล่าวขา้ งต้น ผวู้ จิ ยั ศกึ ษาเฉพาะ ๔ สมยั หลงั เท่านั้น โดยจะได้ อธบิ ายตามลําดบั เหตกุ ารณ์สําคญั ๆ ที่เกย่ี วขอ้ งกับการศกึ ษาของพระสงฆ์ ดังตอ่ ไปน้ี ๔.๑.๑ การศกึ ษาพระปรยิ ัตธิ รรมสมยั ฟูนนั การศกึ ษาพระปริยตั ิธรรมสมัยฟูนัน หรือเรยี กวา่ สมัยนครพนม พุทธศตวรรษท่ี ๖ – ๑๑ (พ .ศ. ๕๔๓ – ๑๐๙๓ คริสตศ์ ตวรรษที่ ๑ –๖ / ค.ศ. ๑ - ๕๕๐) โดยนบั ตามคัมภีร์สมนั ตปาสาทกิ า หรอื คัมภรี ม์ หาวงศ์ แห่งเกาะลงั กาซ่งึ ไดร้ ะบุวา่ พระพุทธศาสนาเขา้ มายังประเทศกัมพชู าต้งั แตพ่ ุทธ ศตวรรษที่ ๓ (พ.ศ. ๒๓๔) ก่อนคริสตศ์ ักราช ๓๐๙ ปี แม้เอกสารต่าง ๆ ไม่ได้กําหนดเปน็ ทช่ี ดั เจนวา่ พระพุทธศาสนาเขา้ มาในรชั กาลใดหรือโดยพระเถระรูปใดกต็ าม เน่อื งจากวา่ เหตุการณ์ทงั้ หลายไม่วา่ จะเปน็ กัมพูชาหรอื ภมู ภิ าคอน่ื ๆ ที่ตง้ั อย่ดู ินแดนสวุ รรณภมู กิ อ่ นครสิ ต์ศกั ราชน้ันไมม่ หี ลักฐานปรากฏ เป็นท่ีชดั เจน จึงนับไดว้ ่าเป็นยคุ กอ่ นประวตั ศิ าสตร์ พระธรรมปฎิ ก (ป.อ. ปยตุ โฺ ต), พระพุทธศาสนาในเอเชีย, (กรุงเทพฯ : ธรรมสภา, ๒๕๔๐), หนา้ ๔. ชา อวม และคณะ, ประวตั ิศาสตร์กมั พชู า, แปลโดยศานติ ภักดคี าํ , หนา้ ๗ - ๘. พุทธศาสนบณั ฑิต, พุทธศาสนา ๒๕๐๐, พมิ พ์คร้งั ท่ี ๓, (พนมเปญ : วทิ ยสถานพทุ ธศาสนบณั ฑติ ,๒๕๔๕), หนา้ ๓๖ - ๓๗.
๑๖๓ สําหรับคาํ ว่า นครพนม หรอื ฟนู ัน (Founan) เปน็ คาํ เรียกตามหลกั ฐานของจีนอันเปน็ ที่ตั้งแห่งพระราชธานีชอื่ วา่ “ต-ู มู” (To-Mou) ตามคาํ โบราณกมั พชู าเรียกวา่ “ตะ-มะ” หลกั ฐานศลิ า จารกึ กัมพูชาเรียกวา่ “กรุงพนม ”และภาษาสันสกฤตว่า “ปวัดพปู าล ”แปลวา่ “เสด็จพนม ” หรอื บรรพตพปู าล ซ่งึ มนี ักปราชญไ์ ดส้ ันนิษฐานกันวา่ “พนม” ซึง่ แปลวา่ “ภูเขา” ในความหมาย ภาษาไทย โดยพงศาวดารกมั พูชาไดก้ ลา่ วถึงราชวงศอ์ าณาจักรฟูนนั ว่า มพี ราหมณช์ าวชมพูทวีปทา่ น หนงึ่ มนี ามวา่ โกณฑญั ญะ คอื พระบาทโกณฑัญญะท่ี ๑ ตามตาํ นานกัมพูชาเรยี กว่า “พระทอง”และ ในภาษาจนี เรียกวา่ “ฮวนเตียน” ได้มาสพู่ ระราชอาณาจักรฟูนนั และทรงข้ึนครองราชยห์ ลงั จากได้ สมรสกับพระราชินีหลวิ เย่ หรอื บางแหง่ เรียกวา่ เหลยี วยี เปน็ พระมเหสี พระองคท์ รงครองราชยช์ ว่ ง กลางครสิ ต์ศตวรรษท่ี ๑ ทรงประทบั ทีพ่ ระราชธานี ชอ่ื ว่าวยาธปรุ ะ อย่ใู กลบ้ าพนมปัจจบุ นั โดยหลักฐานทอี่ า้ งถึงมานี้ ตรงกบั หลักฐานฝุายจนี ได้บันทึกไว้ว่า ณ นครฟนู ันมพี ระราชนิ ี เปน็ กษตั รยิ ค์ รองราชย์สมบัตเิ ป็นธรรมเนียม พระองค์ทรงมรี ูปสวยงามสง่าเหมอื นพระราชกุมารและมี พราหมณ์คนหน่งึ ชอื่ วา่ ฮวนเตยี น ไดศ้ รจากเทวดาแล้วลงสําเภามายงั นครฟนู ัน พระนางเหลียวยีผู้เป็น กษตั รยิ ท์ รงทราบก็ไดย้ กทพั ไปรบกบั ฮวนเตียน แตผ่ ลการรบนน้ั ถกู ปราบจนพา่ ยแพ้ จึงยอมรบั พราหมณน์ น้ั มาเปน็ พระสวามี พระเจา้ ฮวนเตียนกับพระนางเหลยี วยี จงึ เป็นปฐมกษัตรยิ แ์ ห่ง อาณาจักรฟนู นั ทาํ ใหอ้ าณาจักรแห่งน้ีได้เจรญิ รงุ่ เรืองครอบคลมุ ภาคใตข้ องประเทศกัมพชู าปัจจบุ ัน รวมท้งั ดินแดนบางสว่ นทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย และดนิ แดนส่วนลา่ งสดุ ประมาณ หนงึ่ ในสี่ของเวยี ดนามใต้ อาณาจกั รท่เี จรญิ รงุ่ เรอื งร่วมสมยั กันคืออาณาจกั รจมั ปาหรอื พวกจามตง้ั อยู่ ทางดา้ นตะวนั ออกและทางดา้ นเหนอื ของประเทศเวยี ดนามปัจจุบัน ประชาชนชาวฟูนนั มกี ารเคารพ นับถือพระพทุ ธศาสนาตง้ั แต่ยุคของพระโสณะเถระและพระอุตตระเถระไดม้ าเผยแผ่ในสุวรรณภมู ิ ปะปนกนั กับการนับถือโลกธาตุ ผีสางเทวดา ยกเวน้ พระราชสาํ นกั และชนชัน้ สูงท่นี ับถอื ศาสนาฮนิ ดู นกิ ายไศวะเปน็ หลกั พทุ ธศาสนบณั ฑติ , พทุ ธศาสนา๒๕๐๐, หนา้ ๓๗. คณาจารย์มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ประวัตพิ ระพุทธศาสนา, หน้า ๑๒๐. พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตโฺ ต), พระพทุ ธศาสนาในอาเซีย, หนา้ ๔. ชา อวม และคณะ, ประวัตศิ าสตร์กมั พชู า, แปลโดยศานติ ภกั ดีคํา, หนา้ ๑๑. โซม งวน, แสงแหง่ พระพทุ ธศาสนา, พมิ พค์ รัง้ ที่ ๒, (พนมเปญ : ม.ป.ส., ๒๐๐๕), หนา้ ๑๓๓. ดนยั ไชยโยธา, พระมหากษตั รยิ ก์ ับพระพุทธศาสนาในประวตั ิศาสตร์, (กรงุ เทพมหานคร : โอ.เอส. พรนิ้ ตงิ้ เฮา้ ส,์ ๒๕๔๘), หนา้ ๖๓.
๑๖๔ ดงั น้นั ต้นราชวงศโ์ กณฑัญญะท่ี ๑ ก็ไดน้ ําระบบรปู แบบการปกครองตามแบบอนิ เดยี มา ใชใ้ นการบรหิ ารประเทศซึ่งมีอยู่ ๒ ประเดน็ ใหญ่ ๆ คอื (๑) การเมอื งการปกครอง ได้แกร่ ะบบการ ปกครองแบบเทวราชาตามความเชือ่ ของศาสนาพราหมณ์ – ฮนิ ดู วา่ พระมหากษตั ริย์คอื เปน็ เทพเจ้า ทรงอวตารลงยังโลกมนุษย์ นอกจากนีย้ งั มรี ะบบปกครองจตสุ ดมภ์ คือเวยี ง วงั คลัง นา สาํ หรบั ปกครองอาณาจักร และประเพณีสืบราชสมบตั ิของอาณาจักร (๒) วฒั นธรรม ไดแ้ กก่ ารนับถอื ศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู อันประกอบดว้ ยประติมากรรม สถาปตั ยกรรมท่เี กีย่ วขอ้ งกับเทวาลยั และ เทพเจ้าในศาสนาพราหมณ์ – ฮนิ ดู เชน่ เทวรูปตา่ ง ๆ มีศวิ ลึงค์และปราสาทหนิ เป็นต้น ฉะน้ัน การนาํ รปู แบบการปกครองหรอื ไดร้ บั วัฒนธรรมของอนิ เดียดงั กล่าว สิ่งท่ไี ด้น้อมนํา ตามมาดว้ ยก็คือตัวอักษรตามแบบอินเดยี สันสกฤต (อกั ษรปลั วะ) มาใช้สาํ หรับบนั ทึกงานทางดา้ น ราชการและงานทางดา้ นพระศาสนา เรียกภาษานว้ี า่ ภาษาชั้นสงู หรือ ภาษาราชสานัก แต่สําหรับ คนพน้ื เมืองของชาวฟนู ันยงั ใชภ้ าษาเขมรในการสื่อสารระหว่างกนั เหมอื นเดิม เพราะสมัยนนั้ ภาษา เขมรมแี ตภ่ าษาพดู ไมม่ อี กั ษรสําหรับใชใ้ นการเขียน และภาษาเขยี นจึงไดเ้ กดิ ขึน้ ในรัชกาลนี้ ดังท่ี ราชทูตจีนตอนมาเยือนกมั พชู าในชว่ งคริสตศ์ ตวรรษท่ี ๒ กลา่ ววา่ ประชาชนฟนู นั มขี นบธรรมเนียม ประเพณี ตาํ รบั ตํารา มีหอ้ งเก็บเอกสาร เขียนอักษรแบบตวั หนงั สือของอินเดยี งานศพเหมอื น ประเทศจาม ประชาชนเคารพนบั ถือท้ังพระพทุ ธศาสนาและศาสนาพราหมณ์ นอกจากนน้ั ยัง ปรากฏหลักฐานทอี่ าจยืนยันได้ถงึ ความเจรญิ รุ่งเรืองของพระพทุ ธศาสนาในสมัยฟนู ัน จากแหล่ง เอกสาร ๓ ชุด กล่าวคือ ๑. จากพงศาวดารจีนชุดหน่งึ ๒. จากศิลาจารกึ ชุดหนง่ึ และ ๓. จาก โบราณวตั ถมุ ีพระพุทธรูป เป็นต้น จากเอกสารพงศาวดารจนี เป็นจดหมายเหตุต่าง ๆ ทีร่ าชทูตจีนไดเ้ ดนิ ทางมาเยือน ประเทศกัมพูชาในอดตี พร้อมทง้ั ได้บันทึกยุคสมยั ออกเป็น ๖ สมยั คือ ๑. สมยั ก่อนครสิ ตศ์ กั ราช ๒๓๑ ปี ๒. เจ-กวั -สมัยสามก๊กหรือซนั (San-kuouo-Tche ค.ศ. ๒๒๐ - ๒๘๐) ๓. สมยั ราชวงศ์สิน (Tsin ค.ศ. ๒๖๕ - ๔๑๙) ๔. สมัยราชวงศซ์ ้อง (Song ค.ศ. ๔๒๐ - ๔๗๘) ๕. สมัยราชวงศ์สี (Tsi ค.ศ. ๔๗๙ - ๕๐๑) และ ๖. สมยั ราชวงศ์เหลยี ง (Leang ค.ศ. ๕๐๒ - ๕๕๖) จากหลักฐานศิลาจารึก ปัจจุบันมเี หลืออยเู่ พียง ๔ แห่ง ดงั น้ี คอื ๑. ศลิ าจารกึ โวกัญ (Vo - Canh) ค้นพบทจ่ี งั หวดั ญาตรัง (เวียดนามปจั จบุ นั ) ๒.ศลิ าจารึกเนยี กตาดาํ บองแดก คน้ พบที่ (กัมพูชา) จังหวดั ตาแก้ว ๓. ศิลาจารกึ ที่ (ปราสาทปราํ ละแวง ค้นพบท่ีอาํ เภอตึกเขมา่ อําเภอน้ําดาํ ) จงั หวัดเปรกฤสเส็ย และ (อยู่ภาคใตเ้ วยี ดนามปัจจุบัน ) ๔. ศลิ าจารกึ ปราสาทตาพรหม (ค้นพบท่แี ม่นํ้า ดนยั ไชยโยธา, พระมหากษตั รยิ ์กบั พระพุทธศาสนาในประวัตศิ าสตร์, หนา้ ๖๔. โซม งวน, แสงแห่งพระพุทธศาสนา, หนา้ ๑๓๒. พทุ ธศาสนบัณฑติ , พทุ ธศาสนา ๒๕๐๐, หนา้ ๓๖-๕๗.
๑๖๕ บาตี (จงั หวัดตาแก้ว ) โดยหลักศิลาจารึกท้งั ๔ แห่งน้ี บางแหง่ ได้กล่าวถงึ พระราชาท่ีเคารพนับถอื พระพทุ ธศาสนาและศาสนาพราหมณ์ โดยเฉพาะศลิ าจารกึ ทโี่ วกัญเป็นศลิ าจารึกทมี่ คี วามสาํ คัญและ เก่ียวข้องกับพระพทุ ธศาสนาในสมัยฟูนันโดยตรง ส่วนหลักฐานทางวัตถุโบราณ มกี ารค้นพบพระพุทธรูปโบราณท่ที ําดว้ ยสัมฤทธ์ิ ทาํ ด้วย หินและทาํ ด้วยไม้ เป็นศิลปะเขมรแบบอมราวดี คปุ ตะ คนั ธาระ มถรุ า หรอื อชันตา เป็นศิลปะอยูใ่ นยุค พนมดา มศี นู ย์กลางของการสร้างพระพทุ ธรปู ๒ แหง่ คือทีอ่ ังครปุระ จงั หวัดตาแกว้ และท่ีตระพงั แวง ตอนใตข้ องจังหวัดพระตระพงั จังหวัดตราวิญ – เวียดนามปัจจุบัน เป็นปฏมิ ากรศลิ ปะยุคพนมดา มแี พร่หลายอยูท่ ่วั ไปเต็มอาณาจกั รพนมดัง เช่น เทวรูป เปน็ ต้น จากหลกั ฐานดงั กลา่ วขา้ งตน้ เป็นการช้ใี หเ้ ห็นถึงการมีตัวตนของพระราชอาณาจกั รฟนู นั ว่า มีการตดิ ตอ่ คา้ ขายกบั จนี และประเทศอ่นื ๆ ในแถบน้ีมาแลว้ เป็นเวลาหลายรอ้ ยปี รวมท้ังเอกสาร ฝาุ ยจนี ในยุคสามก๊ก ซนั –กัว – เจ (San – Kuo - Tche) ในรชั กาลพระเจ้ากรงุ จีนชื่อวู (Wou ค.ศ. ๒๒๐ - ๒๘๐) ได้ส่งกังไท (Kang - Thai) กบั จู - ยงิ (Tchou-Ying) มาทพี่ ระราชอาณาจักรฟูนันอย่าง เปน็ ทางการ และไดบ้ ันทกึ ไวว้ ่า ประชาชนในพระราชอาณาจกั รฟูนนั นบั ถอื พระพทุ ธศาสนา บา้ นเมืองมีความเจริญรงุ่ เรอื งเปน็ อยา่ งมาก มีการทาํ พาณชิ กรรม ทงั้ ในประเทศและนอกประเทศ โดยเฉพาะเร่ืองการเมอื งระหว่างประเทศนนั้ มีความสมั พนั ธอ์ นั ดตี ่อกันกับประเทศเพอื่ นบา้ น พร้อม กันน้นั พระบาทโกณฑัญญะที่ ๑ ได้มอบอาํ นาจใหพ้ ระราชโอรสและพระราชนดั ดาของพระองคไ์ ด้ ปกครองนครทั้งหลายแล้วกท็ รงสวรรคตในต้นครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี ๓ ในพระชนมายุ ๙๐ พรรษา ต่อมาในรัชสมัย พระบาทโกณฑัญญะท่ี ๒ โดยเรอ่ื งราวเกยี่ วกับพระองค์นั้นไม่มีการจด บนั ทกึ ไวเ้ ป็นทีช่ ดั เจน จึงทําเกิดมีการสบั สนเป็นจาํ นวนมากในเรื่องของพระองค์ ซ่ึงทรงเกิดในชว่ ง ปลายคริสตศ์ ตวรรษท่ี ๔ นับถอื พระศวิ ะ ไศวินกาย เจรญิ รงุ่ เรืองอย่างมาก พระพุทธศาสนามหายาน ก็เจริญเช่นเดยี วกนั โดยเฉพาะพระพุทธศาสนามมหายานไดร้ ับเคารพนบั ถอื เป็นส่วนใหญ่ คอื ประชาราษฎร์ สว่ นพระราชวงศานวุ งศแ์ ละขนุ นางนับถือศาสนาพราหมณ์ มีพระวิษณแุ ละพระศิวะ เปน็ ตน้ พระราชาทรงครองราชยต์ ามลาํ ดบั ต่อ ๆ มา เอกสารของจนี ได้บันทกึ ไวว้ า่ พระราชาแหง่ อาณาจกั รนครพนม ราชวงศโ์ กณฑญั ญะทรงมีพระนามวา่ จู- เย–ปา - มู (ชัยวรมนั ) กลา่ วคอื พระ บาทโกณฑญั ญชยั วรมัน พระองค์ทรงครองราชยใ์ นปี พ .ศ. ๑๐๒๑–๑๐๕๗ ซง่ึ แตก่ อ่ นนน้ั ทรงนบั ถอื P. Dupont, Statuaries Pr.ankoriennes, p. ๖๖ – ๖๗, อ้างในพุทธศาสนบณั ฑิต, พุทธศาสนา ๒๕๐๐, หนา้ ๕๕. โซมงวน, แสงแห่งพระพุทธศาสนา, หน้า ๑๓๒ - ๑๓๓. ชา อวม และคณะ, ประวัติศาสตรก์ ัมพูชา, แปลโดยศานติ ภักดคี าํ , หนา้ ๑๒.
๑๖๖ ศาสนาพราหมณ์ ตอ่ มาทรงกลบั มานับถือพระพุทธศาสนา ทําใหใ้ นรชั กาลของพระองค์มกี ารส่ง พระภิกษุชาวอินเดยี ชือ่ วา่ พระนาคเสน จากอาณาจักรฟนู ันไปยงั ประเทศจนี ในปี พ.ศ. ๑๐๒๗ และได้ กลา่ วถวายพระพรตอ่ พระเจา้ กรงุ จีนวา่ ใน “อาณาจักรฟนู ัน บา้ นเมืองมคี วามเจรญิ รุ่งเรืองอยา่ งมาก ประชาชนนบั ถือทง้ั ศาสนาพราหมณ์และพระพทุ ธศาสนา โดยเฉพาะพระพุทธศาสาน้ันมคี วาม เจริญรุ่งเรอื งอย่างมาก มีพระภิกษสุ งฆเ์ ป็นจํานวนมาก ทรงประพฤติดีปฎิบัตชิ อบตามหลกั พระธรรม วินยั อยา่ งเครง่ ครัด ภายหลงั จากพระนาคเสนไดเ้ ดินทางกลับจากเมืองจีนแลว้ ในปี พ .ศ. ๑๐๔๖ พระบาท โกณฑัญญะชยั วรมนั ไดส้ ง่ ราชทตู อีกทา่ นหน่ึงไปสพู่ ระราชสาํ นกั จีนเป็นคร้งั ที่ ๒ โดยการสง่ ไปคราวน้ี นอกจากจะสร้างสมั พนั ธไมตรีทางการเมืองแล้ว พระองค์ทรงทาํ หน้าท่เี ผยแผ่พระพทุ ธศาสนาไปยงั ประเทศจีนดว้ ย พร้อมท้ังได้สง่ เคร่ืองบรรณาการทเ่ี ป็นพระพุทธรูปทาํ มาจากดอกหนิ ทะเลและวตั ถุ เครือ่ งบริขารอนื่ ๆ พรอ้ มกับพระภกิ ษุจากฟนู ัน ๒ รปู เพ่อื ไปทําหน้าทเี่ ผยแผพ่ ระพุทธศาสนาตามคํา ขอร้องของพระเจา้ กรงุ จนี ในระหว่างปลายคริสต์ศตวรรษท่ี ๕ และตน้ คริสตศ์ ตวรรษที่ ๖ โดยพระ เถระท้ัง ๒ รูปนน้ั รูปแรกชือ่ ว่า พระสังฆปาละ เรียกตามความหมายภาษาจีนวา่ เสง็ –คา–ปู–ลู หรือ เรยี กเปน็ ภาษาจนี สาํ เนียงญปี่ ุนว่าโซโย หรอื โซกุย ท่านเกิดในปี พ.ศ. ๑๐๐๒. เป็นผูท้ ่มี คี วามแตกฉาน ทางด้านภาษาศาสตรห์ ลายภาษาและเป็นผูท้ รงพระไตรปิฏก ทงั้ สามมีจรยิ าวตั รงดงามเปน็ ทีน่ ่า เล่อื มใส จนมกี ิตติศัพท์เลอ่ื งลือไปถึงกรุงจีนแหง่ ราชวงศ์เหลยี งทรงมจี ติ ศรทั ธาในพระพุทธศาสนา จงึ ขอนมิ นตท์ า่ นจากนครฟนู ันให้ไปช่วยสอนหลกั ธรรมะและแปลพระไตรปฏิ กเปน็ ภาษาจีนที่เมืองจนี ท่านได้ทาํ การแปลพระไตรปิฏกเป็นเวลา ๑๖ ปที ่ี ฟนู นั -กวาน (Fuonan-Kouan) แปลว่า สํานกั งาน ประเทศพนม (สว่ นพระมหาเถระอีกรปู ชือ่ วา่ มนั -โต-โล (Man- to-lo = มนั ตระ) หรอื มนั -โต-เสน (Man-to-Sien=มนั ทรเสน) ในปี พ.ศ.๑๐๔๗. ทา่ นไดท้ าํ การเผยแผ่พระพทุ ธศาสนาในเมอื งจนี กับพระ สงั ฆปาละ ด้วยผลงานที่สาํ คัญของพระมหาเถระทง้ั ๒ รูป ไดป้ รากฎอยใู่ นพระไตรปิฏกฉบบั ภาษาจนี จนปจั จุบนั ต่อมารัชกาลของ พระบาทรทุ รวรมัน ทรงครองราชย์ในปี พ.ศ . ๑๐๕๗ แผน่ ศลิ าจารึกท่ี ปราสาทตาพรหม แหง่ แมน่ ้ําบาตี กล่าวว่าพระเจ้ารทุ รวรมันเป็นพระราชบตุ รของพระบาทโกณฑัญญะ สงุ สิว, พระพุทธศาสนากบั วทิ ยาศาสตร,์ พิมพค์ ร้ังที่ ๒, (พนมเปญ :บรรณาคารยายตาธรรม ,๑๙๗๒), หนา้ ๒๔. พระราชธรรมนเิ ทศ (รแบบฐิตญาโณ), ประวัตศิ าสตรพ์ ระพุทธศาสนา, หนา้ ๓๗๘ - ๓๗๙. พทุ ธศาสนบัณฑติ , พุทธศาสนา๒๕๐๐, หนา้ ๕๐ - ๕๑.
๑๖๗ ชยวรมัน ทรงประกาศถวายพระองคเ์ ปน็ อบุ าสก เคารพพระเกศาธาตเุ สน้ หนึ่งขององคส์ มเดจ็ พระ สมั มาสมั พทุ ธเจา้ เช่น ในหลกั ศลิ าจารกึ ท่ี G. Coedes ได้แปลไวด้ ังน้ี พระชนิ ศรี ทรงชนะแลว้ ซง่ึ ข้าศึกคือกเิ ลสพรอ้ มทั้งวาสนา ทรงถงึ พร้อมด้วยสัมปทาทุก ประการมีโพธิญาณอนั กวา้ งไกล ไม่มีสิ่งใดกีดกันพระองคไ์ ด้ ทรงมีพระหฤทัยเปีย่ มด้วยความกรุณา ตอ่ สรรพสตั วท์ ั้งหลาย มีพระยศอันย่ิงใหญไ่ พศาล ไม่มเี คร่อื งเศรา้ หมองลงั เลสงสยั ลงเหลืออย่แู ล้วแผ่ ไปทั่วทุกทศิ านทุ ศิ พระองคท์ รงโปรดสรรพสัตวท์ จ่ี มลงในหว้ งแหง่ วฏั สงสารคือไตรภพใหพ้ น้ แลว้ ซงึ่ ถงึ ฝัง่ คอื พระนพิ พานอนั ประเสรฐิ ยิง่ หาสิ่งใดเปรียบเสมอเหมอื น พระศรีธาตุ พระเกศาธาตุของพระพทุ ธองค์ ยังคงเปน็ ท่ีเคารพสักการะอนั จะเก้อื กูลประโยชน์ใหญห่ ลวงต่อสรรพสตั วท์ ัง้ หลายตลอดจนทุกวันนี้ กศุ ลอนั ใดทท่ี รงกระทํา (พระเจ้ารุทระวรมัน ) และทรงบูชาแลว้ ซึ่งพระธรรม มใิ ช่แคพ่ ระ ราชกรณกี จิ เทา่ นั้น โดยทรงกระทําเพ่ืออนเุ คราะหแ์ กโ่ ลกทง้ั มวล ทรงเคารพสกั การะ พระพุทธ พระ ธรรมและพระสงฆ์ ทรงประกาศถวายพระองคเ์ ป็นอบุ าสก ผู้เว้นแลว้ ซงึ่ จากการทําบาปทงั้ ปวง ดงั น้ัน การที่พระบาทรทุ รวรมันทรงประกาศพระองค์เปน็ พุทธมามกะ คอื เป็นผทู้ ีถ่ ึงพรอ้ ม ด้วยพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ เป็นทส่ี ักการบูชาสงู สดุ แสดงให้เหน็ ชดั วา่ รชั กาลของ พระบาท โกณฑญั ญะชัยวรมันและพระบาทรทุ รวรมัน พระพุทธศาสนาแบบดัง้ เดิมท่ีเผยแผม่ าในราวพทุ ธ ศตวรรษท่ี ๓ ยงั เจรญิ รุง่ เรอื งไม่ขาดสาย และมีการสืบทอดเร่ือยมา แม้การปกครองบา้ นเมืองจะมีการ เปล่ยี นแปลงไปตามยุคตามสมยั กต็ าม แตพ่ ระพทุ ธศาสนาส่วนมากจะอยูใ่ นจติ ใจของประชาชนถึงแม้ พระราชาจะนับถอื หรือไม่ก็ตาม สําหรบั ประชาชนชาวกัมพชู าก็ยงั เคารพนับถือพระพุทธศาสนามา โดยตลอด เพราะเหตุนน้ั ภายหลงั ท่ีพระบาทรทุ รวรมนั ซึ่งเปน็ กษัตรยิ อ์ งคส์ ุดทา้ ยไดป้ รากฎนามของ อาณาจกั รฟูนนันเสดจ็ สวรรคตแล้ว อาณาจักรเจนละทเ่ี คยเปน็ เมืองขึน้ และเปน็ เมืองอยรู่ ะดบั ทีส่ อง รองจากฟนู นั ก็เข้มแข็งขึ้น พระบาทภววรมนั ที่ ๑ ผ้เู ปน็ พระนัดดาของพระบาทรทุ รวรมันได้มา อภิเษกสมรสกบั พระราชธิดาของเจา้ นครเจนละ (ราชวงศ์สรู ิยวงศ์ ) ทีเ่ คยปกครองนครเจนละจนมี ความเจริญรงุ่ เรอื ง และมกี ําลังกองทัพเขม้ แข็งกไ็ ด้ประกาศอิสระจากฟนู นั และแลว้ สามารถยดึ ครอง อาณาจักรฟูนันมาเป็นเมอื งขึ้นของเจนละได้สาํ เร็จในราวปี พ .ศ. ๑๑๗๐ โดยบางทา่ นได้บอกวา่ ในปี พ.ศ. ๑๐๙๓ อาณาจกั รฟนู นั จึงสนิ้ สุดลงอยา่ งสมบูรณแ์ ละไดเ้ ร่ิมตน้ ของอาณาจกั รเจนละ หรอื เจนลา กลา่ วสรุป การศกึ ษาพระปรยิ ัตธิ รรมสมยั ฟนู นั จากหลกั ฐานท้ังหมดท่ไี ด้กล่าวมาน้นั เปน็ การศึกษาภาษาสนั สกฤตและภาษาบาลีเป็นหลัก แม้ว่าเรามิอาจทราบไดว้ า่ มกี ารจัดกิจกรรมการเรยี น พระธรรมปฏิ ก (ป.อ. ปยตุ ฺโต), พระพุทธศาสนาในอาเซีย, หน้า ๗. พุทธศาสนบณั ฑติ , พทุ ธศาสนา ๒๕๐๐, หน้า ๕๓ - ๕๔.
๑๖๘ การสอนและการวัดผลประเมินผลในรูปแบบใดกต็ าม แต่ลกั ษณะของการเรยี นการสอนนัน้ คงจะเป็น การบอกเล่าต่อ ๆ กันมา โดยอาศัยความจาํ เปน็ หลกั เรียกว่า มุขปาฐะ มิฉะน้นั คงไมม่ ีหลักฐานท่ี ปรากฏในหลักศลิ าจารึกทีว่ า่ ในพระราชอาณาจกั รฟนู นั มีพระภิกษสุ ามเณรเป็นจํานวนมากทรง ประพฤติดีปฏิบัติชอบตามหลกั พระธรรมวินัยอยา่ งเคร่งครดั พรอ้ มท้งั มีพระเถระผู้ทรงความรู้ด้าน ภาษาศาสตรไ์ ด้เปน็ สมณทูตไปแปลพระไตรปฎิ กทป่ี ระเทศจีนดังกล่าว แล้วข้างต้น ๔.๑.๒ การศึกษาพระปรยิ ัติธรรมสมัยเจนละ การศึกษาพระปริยัติธรรมสมัยเจนละได้รบั แบบอย่างจากยคุ ฟูนัน คอื หลงั จากทอ่ี าณาจกั ร ฟนู ันได้ส้ินสดุ ลง อาณาจกั รเจนละก็ไดส้ ถาปนาขน้ึ แทนที่ และเรม่ิ กอ่ ต้งั ขึน้ ตง้ั แตพ่ ุทธศตวรรษท่ี ๑๑ - ๑๔ (พ.ศ. ๑๐๙๓ - ๑๓๔๕) ระหว่างคริสต์ศตวรรษท่ี ๖ - ๙ (ค.ศ. ๕๕๐ - ๘๐๒) คําวา่ เจนละ หรือ เจนลา (Chenla) ก็เหมือนกับคําว่า ฟูนัน เพราะล้วนแล้วเปน็ ภาษาจนี ซง่ึ “เจนละ”เป็นคําท่เี รียกในภาษาเขมร ว่า จอน-เลอ หมายถงึ ช้ันบน หรอื ทส่ี งู โดยนัย นีเ้ หมอื นกับคําพูดของเขมรสุรนิ ทร์ท่นี ยิ มใชก้ นั คือ “เขมรจอน-เลอ และเขมรจอน -โกรม” หรือเขมร ช้ันบนและเขมรช้ันล่างน่นั เอง โดยอาณาจกั รเจนละตง้ั อยู่ถัดไปจากอาณาจกั รฟนู ัน ขน้ึ ไปทางตอน เหนอื และอยู่ทางทศิ ตะวันตกเฉียงใตข้ องประเทสจามปา ตรงกบั ภาคใต้ของลาว และภาคเหนือของ กัมพชู าปจั จุบนั ตามหลกั ศิลาจารึกไดร้ ะบุว่า วงศ์กษัตริย์ของเจนละสบื เชอ้ื สายมาจากฤๅษี กัมพูสวยมั ภวู ะทรงสมรสกับเทพธิดาเมรา จงึ ไดช้ อื่ ว่า “กมั พูชา” ผ้เู กดิ จากกัมพูคอื เปน็ ยุคเริมตน้ ที่แท้จรงิ ของ กมั พูชาในสมัยเจนละ ตรงกับคาํ กลา่ วของแปลลอี อต Pelliot วา่ อาณาจักรเจนละคอื กมั พูชา น่นั เอง โดยอาณาจักรเจนละนี้ แตก่ อ่ นเคยเป็นเมืองขึน้ ของอาณาจักรฟนู นั จนถงึ กลางพทุ ธ ศตวรรษท่ี ๑๑ ตรงกบั พงศาวดารจนี ในราชวงศ์ถังกลา่ ววา่ ตน้ พุทธศตวรรษท่ี ๑๑ อาณาจักรฟูนันมี การเปลยี่ นแปลงเรอ่ื งของการครองราชย์สมบตั ิภายในประเทศ และอาศยั โอกาสน้ันจงึ ทําให้เจนละ แยกตวั อิสระออกจากฟูนัน และไดย้ กทพั มาตีกรงุ ตูมู (To-Mou) คอื เมอื งวธยาปรุ ะ (บาพนม) ทาํ ให้ พระราชาวธยาปรุ ะได้ยา้ ยเมอื งไปอยู่ท่กี รุงตอนใต้ชื่อวา่ นา-ฟู-นา (Na-fou-Na) นรวรนคร (องั กรบรุ ี) พทุ ธศาสนบณั ฑิต, พุทธศาสนา๒๕๐๐, หน้า ๕๗. ชา อวม และคณะ, ประวตั ศิ าสตรก์ ัมพชู า, แปลโดยสนั ติภกั ดีคํา, หน้า ๑๔. มีแซล ตราเณ, ประวตั ศิ าสตร์ในกัมพชู าวฒั นธรรมเจนลา (ศตวรรษท่ี ๖ - ๘), (พนมเปญ : ม. ป.ส.,๒๕๔๗), หน้า ๑๕. พระธรรมปิฏก (ป.อ. ปยุตโฺ ต), พระพทุ ธศาสนาในอาเซีย, หน้า ๘. จาํ นง ทองประเสรฐิ , ประวัติศาสตรพ์ ทุ ธศาสนาในเอเชียอาคเนย์, (กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพ์คุรุ สภาลาดพรา้ ว, ๒๕๑๔), หนา้ ๒๕๘.
๑๖๙ และในราชวงศซ์ ุย้ กล่าวอกี ว่ากษตั ริยเ์ จนละ มีนามว่า เจ-ตู-เส-นา (จิตรเสนา) คือ พระบาทภววรมัน มายึดเอากรงุ พนมไดส้ ําเร็จ สมัยนนั้ นกั ปราชญ์กาํ หนดชื่อว่า “สมัยเจนละ”โดยมีพระราชาครองราชย์ ตอ่ กค็ อื พระบาทภววรมันที่ ๑ พระบาทภววรมันท่ี ๑ (พ.ศ. ๑๐๙๓ - ๑๑๔๓ / ค.ศ. ๕๕๐ - ๖๐๐) พระองคท์ รงขึ้นครองราชยเ์ ปน็ ปฐมกษัตรยิ ์ หลังจากไดร้ ับชนะอาณาจกั รฟนู ัน กบั พระ อนชุ าของพระองค์ทรงมพี ระนามว่าจิตรเสน โดยรัชกาลคงจะนับถอื ศาสนาฮินดูนกิ ายไศวะเป็นหลัก เพราะปรากฎว่าพระบาทภววรมนั ที่ ๑ ทรงไดส้ ร้างเทวาลัยอุทิศพระศวิ ภัทเรศวร และประดษิ ฐานศวิ ลึงคอ์ งคห์ นงึ่ ในตอนปลายรัชกาล พระบาทมเหนทรวรมันที่ ๑ (พ.ศ. ๑๑๔๓ - ๑๑๕๘ / ค.ศ. ๖๐๐ - ๖๑๕) พระองคท์ รงครองราชยเ์ ปน็ องคท์ ่ี ๒ หลังจากท่ีพระบาทภววรมนั ที่ ๑ ทรงสวรรคต โดย พระองค์ไมม่ ีรัชทายาทครองราชย์ต่อ พระบาทมเหนทรวรมนั กท็ รงสืบทอดปณิธานของพระบาทภววร มันต่อมาอีก พรอ้ มทัง้ ทรงยึดได้เขตกระเจส็ และมงคลบรุ ีเพือ่ เปน็ การรบั รองดินแดนทางดา้ นตะวันออก นอกจากนีพ้ ระองค์ยังไดผ้ ูกสัมพนั ธก์ ับจามปา เมือ่ พระองคส์ วรรคตอาณาจักรเจนละ ก็มเี สถรยี ภาพ มาก พระบาทอศี านวรมนั ท่ี ๑ (พ.ศ. ๑๑๕๘ - ๑๑๗๘ / ค.ศ. ๖๑๕ - ๖๓๕) พระองค์ทรงเป็นพระโอรสในพระบาทมเหนทรวรมันที่ ๑ ในรัชกาลของพระองค์ทรงมี พระราชอาํ นาจเข้มแขง็ ทรงปราบอาณาจกั รฟนู นั รวมเขา้ เปน็ ดนิ แดนของอาณาจกั รเจนละโดยส้นิ เชงิ ในปี พ.ศ. ๑๑๗๐ และขยายอาณาเขตออกไปแทบทุกทศิ โดยเฉพาะทางตะวนั ตกแผม่ าถงึ จงั หวดั จันทบรุ ีปัจจบุ ัน ซ่ึงในรชั กาลนี้ ตามพงศาวดารของกัมพชู าได้มีการคนั พบหลกั ศิลาจารกึ หลายแห่งที่ พูดถงึ พระพทุ ธศาสนา คือศิลาจารกึ ค้นพบทีส่ มบรู ณ์ ไพรกกุ จงั หวดั กาํ ปงธม จารึกใน พ .ศ. ๑๑๖๙ บทความปรากฏในศลิ าจารกึ กล่าวว่า “มีพระพุทธศาสนาและการเคารพนาคราชชอ่ื มจุ ลนิ ท์ทป่ี กปัก รกั ษาพระพทุ ธรูป” และในศลิ าจารึกน้ี ได้กลา่ วถึงพราหมณช์ ่ือปศุปติ เป็นผู้ทม่ี ีความรูเ้ ชี่ยวชาญเป็น นักปราชญ์ มีความรอบรสู้ ูงสดุ คือมคี วามรู้ทางดา้ นไวยากรณ์ ทางไวเศษกิ ทางนิยาย ทางสมกี ษะ พทุ ธศาสนบัณฑิต, พุทธศาสนา๒๕๐๐, หน้า ๕๘. ชา อวม และคณะ, ประวตั ิศาสตร์กัมพูชา, แปลโดยสันตภิ ักดีคาํ , หนา้ ๑๕. พระธรรมปิฏก (ป.อ. ปยุตฺโต), พระพุทธศาสนาในอาเซยี , หน้า ๘. ชา อวม และคณะ, ประวตั ศิ าสตรก์ มั พชู า, แปลโดยสนั ติภกั ดีคํา, หนา้ ๑๕. มีแซลตราเณ, ประวตั ศิ าสตรใ์ นกัมพูชาวัฒนธรรมเจนละ (ศตวรรษท่ี ๖ - ๘), หนา้ ๑๒. พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต), พระพุทธศาสนาในอาเซยี , หน้า ๙. พุทธศาสนบณั ฑิต, พทุ ธศาสนา๒๕๐๐, หน้า ๕๘.
๑๗๐ (สังขยา) และทางพระพทุ ธศาสนา นอกจากน้ยี งั มีศลิ าจารึกที่พนมบารายณ์กไ็ ด้ปรากฎนามของ พราหมณป์ ศปุ ตนิ ้ดี ้วย ซึง่ หลกั ศลิ าจารกึ นี้ “เปน็ การแสดงเคร่อื งหมายให้รวู้ า่ มศี ิลาจารึก พระพทุ ธศาสนาเป็นปฐมในสมัยเจนละ ” พงศาวดารจีนแห่งราชวงศ์ซุ้ย มา้ -ตวน-หลิน ไดบ้ นั ทกึ วา่ “รชั สมยั ของพระองค์นี้ มพี ระภกิ ษภุ ิกษณุ ีหลายรูป” เพราะฉะน้นั ตามหลกั ฐานทป่ี รากฏในหลกั ศิลาจารึก จดหมายเหตขุ อง ม้า-ตวน-หลนิ (Ma-Tuan-Lin) ทําใหเ้ ราไดท้ ราบถึงพระพุทธศาสนาในรัชสมยั ของพระบาทอศิ านวรมันท่ี ๑ วา่ ประชาชนกัมพชู า ในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒ มีการพัฒนารปู แบบประเพณขี องคนพน้ื เมอื งมากขนึ้ โดยเฉพาะการนําเอาคติความเช่ือเรอ่ื งพญานาคมุจลนิ ทเ์ ข้ามามบี ทบาทในความเชอ่ื ดงั กล่าว ถอื ได้วา่ เป็นการประยุกตเ์ อาความเชอ่ื ดั้งเดมิ ของชาวกมั พูชาท่ีเคยเชื่อว่าพญานาคเปน็ บรรพบรุ ุษของตน ให้ เขา้ มามีบทบาทเปน็ ผูพ้ ทิ กั ษร์ ักษาพระพทุ ธศาสนาแทน ซึ่งความเชือ่ อนั น้ีทาํ ให้มแี รงบนั ดาลในการ สร้างพระพทุ ธรูปลกั ษณะนาคปรกข้นึ เพื่อสื่อความหมายว่า “ชาวกัมพชู าจะเป็นผ้พู ิทกั ษร์ ักษา พระพทุ ธศาสนา ให้มคี วามเจริญรุ่งเรอื งควบคู่กบั ประเพณีของตนตลอดไป เช่นกับพญานาคมุจลินท์ที่ เคยพทิ กั ษ์รกั ษาพระพุทธศาสนาใหพ้ ้นจากสายฝนฟูา และลมหนาวในคร้ังพุทธกาล โดยความเช่อื ดังกล่าว แสม โซร์ ได้ยนื ยันวา่ “พระพทุ ธรปู นาคปรกนีเ้ ป็นพระพทุ ธรูปท่ี สร้างตามแบบศลิ ปะของเขมรอยา่ งแทจ้ ริง ” กล่าวคือมีการค้นพบที่ กบาลสะแร ยายยนิ (KbalSrea-Yeay-Yin) ใกล้ ๆ กบั พนมสรฺ กุ (Phnom-Srok) โดยกลุ่มประตมิ ากรรมท่ีพบจะเปน็ พระพทุ ธรปู นาคปรกบนขนาดลําตัวนาคทง้ั สองชนั้ อยู่รวมกนั ส่วนดา้ นอ่ืน ๆ กจ็ ะเป็นนางปรชั ญา ปารมติ า พระโพธสิ ัตว์อวโลกิเตศวร และพระโพธิสตั วว์ ชั รปาณี ซึง่ พระพุทธรปู เหลา่ น้เี ป็นต้นเคา้ ของ ชดุ ประตกิ รรมทีเ่ รยี กวา่ รตั นมหายาน โดยสลกั แบบนูนสูงอย่บู นแผ่นศิลาชนิ้ เดยี วกนั และก็ยงั มี ข้อสงั เกตอีกว่าในช่วงรัชสมยั พระบาทโกณฑญั ญะแหง่ อาณาจักรฟนู ัน พระพุทธรปู จะสรา้ งไปตาม ศลิ ปะนครพนมมีลกั ษณะแบบอมราวดีคุปตะคันธาระมถรุ า ยังไม่ปรากฎพระพุทธรูปทมี่ ีพญานาค พุทธศาสนบณั ฑติ , พุทธศาสนา ๒๕๐๐, หนา้ ๕๙. แสม โซร์, วฒั นธรรมอินเดีย - เขมร, (พนมเปญ : ม.ป.ส. , ๑๙๗๑, หนา้ ๘๒ Wibke Lodo, “Catalogue : Ninth to Late Tenth Century”, in Sculpture of Ankor and Ancient Cambodia : Millennium of Glory, ed. Helen Ibbitson Jessup and Thierry Zephir (Washington : National Gallery of Art, 1997), p. 242. Jean Boisselier, Le Cambodge, Son Soubert, “Catalogue : in Scupture of Ankor and AncientCambodia : Millennium of Glory, ed. Helen Ibbitson Jessup and Thierry Zephir (Washington : NationalGallery of Art, 1997), p 270 - 271. มแี ซลตราเณ, ประวัตศิ าสตร์กมั พชู าตัง้ แต่สมยั โบราณจนถงึ ศตวรรษที่ ๘, หน้า ๗๑ - ๘๑.
๑๗๑ (นาคปรก) อยดู่ า้ นหลงั ซึง่ คอยทําหน้าท่เี ปน็ ผู้พทิ ักษ์รกั ษาพระพุทธรูปเหมอื นอย่างในยคุ เจนละ จึงทาํ ใหม้ ีการสรา้ งพระพุทธรูปอย่ใู นลักษณะผสมผสานระหวา่ งความเชื่อของกัมพูชาสมยั เจนละใหม้ คี วาม สอดคล้องกับเร่ืองราวในพุทธประวตั ิอย่างแท้จริง พระบาทภววรมนั ท่ี ๒ (พ.ศ. ๑๑๘๒ - ๑๑๙๗ / ค.ศ. ๖๓๙ - ๖๕๔) รชั สมัยของพระองค์ ไดม้ ีการค้นพบศิลาจารึกหลกั หนงึ่ อยทู่ บี่ า้ นเขารัง ใกลอ้ รัญญประเทศ จังหวัดสระแก้ว ปัจจุบัน กลา่ วถงึ อบุ าสกคนหนง่ึ มหี นา้ ทเี่ ปน็ ลีนาหวะไดส้ รา้ งพระวิหารหลงั หนง่ี เพ่ือ อุทศิ ถวายแด่พระพทุ ธศาสนา พรอ้ มทง้ั ถวายเคร่ืองบรวิ ารอ่นื ๆ อีกเป็นจํานวนมาก แมบ้ างตํารา ไดก้ ลา่ ววา่ ศาสนาฮินดลู ทั ธหิ ริหระเกิดข้ึนแลว้ ในรชั กาลของพระบาทอศี านวรมนั พร้อมท้งั มีการ เบียดเบียนพระพทุ ธศาสนาอยา่ งมากมายจนแทบจะสญู สิ้นก็ตามที แต่จากหลักฐานที่ปรากฎในศิลา จารึกรชั สมยั ของพระบาทภววรมันท่ี ๒ ได้แสดงใหเ้ ห็นว่า พระพทุ ธศาสนายงั มคี วามเจริญรงุ่ เรือง แพร่หลายอยูใ่ นหม่ขู องประชาชนยังไม่เสื่อมคลาย พระบาทชัยวรมนั ที่ ๑ (พ.ศ. ๑๑๙๘ - ๑๒๒๔ / ค.ศ. ๖๕๕ - ๖๘๑) พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ทรงเขม้ แข็งอีกพระองค์หนึ่ง ตอนต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๓ โดย พระองค์ทรงขยายอาณาเขตไปจนถงึ อาณาจักรนา่ นเจา้ ในรัชกาลนม้ี หี ลกั ฐานไดแ้ สดงวา่ พระพทุ ธศาสนายังเจรญิ รงุ่ เรอื งอยู่ ดงั ได้ปรากฏในหลกั ศิลาจารกึ ๓ แหง่ ทีม่ คี วามเกีย่ วข้องกับ เหตกุ ารณท์ างพระพทุ ธศาสนา คือศลิ าจารึกแหง่ ทห่ี นึ่งไดม้ ีการคน้ พบที่ วัดไพรเวียร์ ในรา ปี พ .ศ. ๑๒๐๖ ท่ีอาํ เภอกําปงตระแบก จังหวดั ไพรแวง ได้กลา่ วถงึ พระภกิ ษุสององคเ์ ป็นเชอื้ สายกษัตริย์ และ เปน็ พน่ี ้องรว่ มมารดาเดียวกัน ได้ทรงผนวชเป็นพระภกิ ษุ แลว้ ประทับอยู่ที่วัดไพรเวียร์แห่งนี้ ดงั ตวั อย่างปรากฏในบทความศลิ าจารกึ วา่ “ในดินแดนทท่ี รงครอบครองน้ีมภี กิ ษุ ๒ องคเ์ ปน็ พ่ีนอ้ งทอ้ ง เดยี วกนั ทง้ั ๒ พระองคท์ รงมศี ลี เป็นพหูสูต สุภาพ มีขันติ มตี นอบรมแลว้ มีกรณุ า มสี มาธิจติ เป็น อรยิ ทรพั ย์ นามขา้ งตน้ มคี ําวา่ รตั นะเหมอื นกนั และคาํ ลงทา้ ยพระองคห์ นงึ่ เป็นภาณอุ ีกพระองค์หนง่ึ เป็นสงิ หะ คอื ภิกษุรัตนะภาณุ ๑ และภิกษุรัตนะสงิ หะ ๑ ” และจากศิลาจารกึ แหง่ ทีส่ องได้ค้นพบที่ วัดปราสาทอาํ เภอกาํ ปงตระแบก จงั หวดั ไพรแวง (เดิมเป็นจังหวดั บาพนม) ได้กลา่ วถงึ การถวายทาสแด่ พระโพธิสตั ว์ ๓ องค์ คอื คัสตะ ๑ ไมเตรยะ ๑ และอวโลกิเตศวร ๑ ส่วนศลิ าจารกึ แหง่ ทส่ี ามได้ ชา อวม, และคณะ, ประวัตศิ าสตรก์ ัมพูชา, แปลโดยสันติภักดคี ํา, หน้า ๑๕. G. Coedes, Inscription du Cabodge. Vol. V. p. ๒๓. พระธรรมปฏิ ก (ป.อ. ปยุตโฺ ต), พระพุทธศาสนาในอาเซีย, หนา้ ๙. พทุ ธศาสนบณั ฑิต, พระพทุ ธศาสน ๒๕๐๐, หนา้ ๕๙. พระธรรมปิฏก (ป.อ. ปยุตโฺ ต), พระพุทธศาสนาในอาเซยี , หนา้ ๙. A. Barth, Inscription du Cabodge, p. ๖๐.
๑๗๒ ค้นพบทป่ี ราสาทตาเกียม ราวปี พ.ศ. ๑๓๓๔ (จงั หวดั เสยี มเรียบปัจจบุ ัน ) ซ่ึงหลักศลิ าจารึกทั้ง ๓ แห่ง นไ้ี ด้ปรากฏหลกั ฐานพระพทุ ธศาสนาฝาุ ยมหายาน เน่ืองจากขอ้ ความในศิลาจารึกน้นั ได้ระบุถึงการ ถวายทาสแดพ่ ระโพธิสตั ว์ ๓ องค์ กลา่ วคือมีการสร้างรปู พระโพธสิ ตั วอ์ วโลกเิ ตศวรไวเ้ พอื่ เปน็ ทเ่ี คารพ บูชา ในปราสาทตาเกียม ดังนนั้ สมัยเจนละเป็นทน่ี า่ สังเกตอย่างหนึง่ คือพระพทุ ธศาสนาฝาุ ยเถรวาทกด็ ี มหายานก็ ดีและศาสนาพราหมณ์ก็ดี ต่างก็อยูร่ ่วมกนั อย่างมีความสขุ ไม่เบียดเบยี นซ่ึงกันและกัน กล่าวคอื ตา่ ง ฝาุ ยกม็ หี นา้ ท่ีในการเผยแผศ่ าสนธรรมของตัวเอง ส่วนวดั ใดจะเจริญหรอื ไดร้ ับความนยิ มมากว่าใคร นนั้ ก็ขนึ้ อยกู่ บั ผูน้ าํ ในนิกายนั้น ๆ วา่ จะสามารถเขา้ ถึงผนู้ ําทางการเมืองและชาวบ้านมากน้อยเพียงใด ซง่ึ ในเรื่องน้จี ะเหน็ ไดช้ ัดในยคุ มหานคร ตอ่ ไป โดยสรปุ การศกึ ษาพระปรยิ ัติธรรมสมยั เจนละ ผู้ศึกษาได้อา้ งองิ จากแหล่งข้อมลู ตา่ ง ๆ ดงั ที่กลา่ วไวแ้ ลว้ ขา้ งต้น เพ่อื จะโยงเข้าส่กู ารศกึ ษาของพระสงฆ์ในสมยั นน้ั ซึ่งจากหลกั ฐานท่ปี รากฏใน สมัยเจนละชว่ งแรกจะเป็นการแย่งชงิ ราชสมบตั ิเปน็ ส่วนใหญ่ คอื หลังจากทพี่ ระราชาทกุ พระองค์ทรง ข้นึ ครองราชย์แล้วกพ็ ยายามทําใหบ้ ้านเมอื งมีความร่มเยน็ เปน็ สขุ ปราศจากการวิวาทกนั ทงั้ ภายในประเทศและต่อต้านการรกุ รานจากภายนอกดว้ ย ซงึ่ ทางดา้ นพระพุทธศาสนาน้ันพระราชาทกุ พระองคก์ ม็ ิได้ทรงทอดท้งิ พระพทุ ธศาสนา คือมีการสร้างเทวสถานและพระวิหาร เพื่ออทุ ิศแด่ พระพุทธศาสนานีก้ ็เปน็ การชี้ใหเ้ หน็ ชดั ถึงการนับถอื และสืบทอดอายุของพระศาสนาเรื่อยมาไม่ขาด สาย ดงั เชน่ ในรชั สมัยของพระบาทชัยวรมันที่ ๑ พระองค์ทรงเปน็ พระราชาทรงอํานาจอีกพระองค์ หนึง่ และขยายอาณาเขตอันกวา้ งใหญ่ โดยในรัชสมัยน้ี พระองค์ทรงไดผ้ นวชพระภกิ ษุสองรูปทีเ่ ปน็ เชอ้ื สายกษตั รยิ ์ คอื ภกิ ษรุ ตั นะภาณุ และภิกษรุ ัตนะสงิ หะ ใหเ้ ปน็ ผู้ดแู ลวัดไพรเวยี รท์ ่ีทรงสร้างถวาย และตามการบนั ทึกของหลวงจนี อจ้ี งิ ได้กลา่ ววา่ พระพทุ ธศาสนาในอาณาจกั รเจนละมคี วาม เจริญรุง่ เรอื งมาก มกี ารสร้างวดั ทวั่ ทุกแห่ง ประชาชนนยิ มบวชในพุทธศาสนา แมก้ ระทงั่ เจา้ นายก็ นยิ มบวชเช่นกัน นีก่ ็เปน็ หลกั ฐานทีช่ ดั เจนขน้ึ เพราะการบวชก็คือการศกึ ษานัน่ เอง เนอื่ งจากการบวช นนั้ กจ็ าํ เปน็ ต้องมพี ระอปุ ัชญาย์อาจารย์ทเ่ี ป็นพระสงั ฆเถระผู้ให้การอุปสมบทหรอื ให้การศึกษาแก่ สัทธวิ หิ าริกทศี่ รทั ธาเขา้ มาบวชจงึ ถือเปน็ การใหก้ ารศึกษาในเบ้อื งตน้ กลา่ วคือการใหก้ รรมฐาน หลงั จากบวชเปน็ ทเ่ี รียบรอ้ ยแลว้ กข็ ้นึ อย่กู บั พระอุปัชญายอ์ าจารย์เปน็ ผู้สงั่ สอน แม้ในเรอื่ งน้ี เราไม่ สามารถรไู้ ด้วา่ การเรียนการสอนหรอื การให้การศกึ ษาน้นั จะอยใู่ นรปู แบบใดกต็ าม แตต่ ้องมกี ารศึกษา พทุ ธศาสนบัณฑติ , พระพุทธศาสนา ๒๐๐๕, หนา้ ๖๐. พระธรรมปิฏก, (ป.อ. ปยุตโฺ ต),พระพทุ ธศาสนาในเอเชยี , หน้า ๙ - ๑๐. มแี ซลตราเณ, ประวัติศาสตร์ในกัมพูชาวัฒนธรรมเจนลา (ศตวรรษท่ี ๖ - ๘), หน้า ๑๑๙ - ๑๒๗. คณาจารยม์ หาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั , ประวตั ิพระพทุ ธศาสนา, หนา้ ๑๒๑.
๑๗๓ อย่างแนน่ อน ฉะนนั้ เร่อื งราวทีเ่ กี่ยวข้องกับการศกึ ษาพระปรยิ ตั ิธรรมในสมัยเจนละทีผ่ ศู้ ึกษาได้ รวบรวมจากแหล่งวทิ ยาการต่าง ๆ พร้อมทง้ั หลักศิลาจารึกทไี่ ด้กลา่ วไว้ขา้ งต้น กส็ รุปไวเ้ พยี งเทา่ นี้ ต่อมาหลังจากท่ีพระบาทชัยวรมันทรงสวรรคตไปไม่นาน ด้วยเหตุทพ่ี ระองค์ไม่มพี ระราช โอรสสบื ทอดราชสมบตั ิตอ่ พระนางชยั เทวีผ้เู ปน็ พระมเหสที รงครองราชยแ์ ทน แต่ดว้ ยเหตุที่ อาณาจักรเจนละนน้ั มคี วามยง่ิ ใหญ่ พระนางไมส่ ามารถท่ีจะปกครองให้ราบรนื่ ได้ดงั พระราชสามี จึงทาํ ใหเ้ กิดความไมส่ งบสุข มีการแยง่ ชงิ ราชสมบัติข้นึ ในอาณาจกั ร อันเป็นเหตทุ าํ ให้เจนละแตกเป็น ๒ ส่วน คือ เจนละบก หรือเจนละเหนอื กับเจนละนา้ํ หรอื เจนละใต้ ในตอนปลายสมัยเจนละนาํ้ ก็ ตกอย่ใู ตอ้ ิทธิพลของชวา พระบาทชัยวรมนั ท่ี ๒ ที่ถกู จับไปเปน็ ตวั ประกันท่ีชวากไ็ ดก้ ลบั ประเทศแล้ว ประกาศเอกราชจากชวา และส้รู บกับชวาจนได้รบั ชยั ชนะ จากนั้นกร็ วบรวมเอาเจนละท้งั สองใหเ้ ข้า เปน็ อาณาจักรเดยี วกันแล้วสรา้ งเมืองหลวงขึน้ ใหมบ่ นยอดเขาพนมกูเลน อาณาจกั รเจนละก็ได้ สิ้นสุดลง จงึ เริ่มต้นของสมัยมหานคร (Angkor) ๔.๑.๓. การศกึ ษาพระปรยิ ตั ิธรรมสมัยพระนคร สมยั พระนคร หรือ สมยั มหานคร (พ.ศ. ๑๓๔๕–๑๙๗๕) ตัง้ อยูใ่ กลท้ ะเลสาบและอยู่ ทางเหนอื ของจงั หวัดเสียมเรยี บ (Siem Reap) ซงึ่ เป็นเมอื งหลวงของกมั พชู า และเป็นสมยั ทมี่ ีอารย ธรรมเจริญรุ่งเรอื งมากท่ีสดุ เปน็ มหาอาณาจกั รใหญ่ ท่มี ศี ลิ ปกรรมเจริญกา้ วหน้ามากกวา่ ยุคใด ๆ โดยเฉพาะสถาปตั ยกรรมทย่ี ังเหลอื ใหเ้ ราได้เหน็ จนทุกวันน้ีคือปราสาทนครวัด (Angkor) และปราสาท นครธรม (Angkor Thom) เปน็ ต้น โดยในสมัยนี้ พระราชาทท่ี รงข้นึ ครองราชมีหลายพระองค์ ทีผ่ ู้ ศึกษาจะไดน้ ําเสนอตามลาํ ดับเหตกุ ารณอ์ นั เก่ยี วขอ้ งกบั พระพทุ ธศาสนา โดยเฉพาะเรอ่ื งของการศึกษา ของคณะสงฆ์ ดงั ตอ่ ไปนี้ พระบาทชยั วรมันที่ ๒ (พ.ศ. ๑๓๔๕ - ๑๓๙๓ / ค.ศ. ๘๐๒ - ๘๕๐) รัชสมัยของพระบาทชยั วรมันที่ ๒ โดยระยะแรกนั้น พระองค์ทรงประทับ ณ เมืองอนิ ทรปุ ระเมอื งหริ หิราลัยและเมอื งอมรนิ ทรปุระ ตามลาํ ดบั เม่ือทรงขึ้นครองราชย์แล้วได้ย้ายพระราชธานี มาต้งั ท่ีภูเขามเหนทรบรรพตคอื พนมกูเลนปจั จบุ นั โดยครงั้ นั้นพระองคท์ รงเชิญพราหมณค์ นหนงึ่ ช่อื ชา อวม และคณะ, ประวตั ิศาสตร์กัมพชู า, แปลโดยสันตภิ กั ดคี าํ , หนา้ ๑๖. พีระพงศ์ สขุ แกว้ , ยอ้ นรอยเทวราชาผา่ นกษตั ราแห่งนครธม, หนา้ ๘๕. พระธรรมปฏิ ก (ป.อ. ปยุตฺโต), พระพุทธศาสนาในเอเซยี , หนา้ ๑๐. พุทธศาสนบัณฑิต, พทุ ธศาสนา ๒๕๐๐, หนา้ ๖๒. พระธรรมปิฏก (ป.อ. ปยตุ โฺ ต), พระพุทธศาสนาในเอเซีย, หนา้ ๑๑. พุทธศาสนบณั ฑติ , พทุ ธศาสนา ๒๕๐๐, หนา้ ๖๓. ชา อวม และคณะ, ประวัติศาสตร์กัมพูชา, แปลโดยสันตภิ กั ดคี ํา, หน้า ๒๑.
๑๗๔ หริ ณยทามะ มีหน้าที่เปน็ เจา้ พธิ ปี ระจาํ ราชสํานกั ใหม้ าช่วยจัดทาํ พิธีกรรม ประกาศเอกราชจากชวา และทรงสถาปนาพระองค์ขน้ึ เป็นพระเจ้าจักรพรรดิราช หลงั จากรวบรวมประเทศท่แี ตกแยกกันเปน็ สองภาคให้เขา้ เปน็ ประเทศอันเดียวกัน ซึ่งทางฝุายจีนเรยี กว่าเจนละบกและเจนละน้ํา ความปรชี า สามารถของพระองค์ทําให้พระองคท์ รงไดร้ ับยกย่องเทิดพระเกียรตจิ ากทางศาสนาพราหมณว์ า่ “เป็น องคเ์ ทวราชา คือเปน็ พระหริหระ” พระองค์แรกในประวตั ิศาสตร์กมั พชู า ทําใหล้ ทั ธเิ ทวราชได้บงั เกดิ ขึน้ ตัง้ แตร่ ัชกาลนีเ้ ปน็ ตน้ มา และเปน็ ที่นา่ สังเกตอยา่ งหนง่ึ คอื พระบาทชัยวรมันที่ ๒ ทรงนบั ถอื ศาสนาพราหมณ์ พร้อมทั้งใหป้ ระชาราษฎร์ถวายบังคมพระองค์ เสมือนเทพเจ้าเพอ่ื ใหพ้ ระองคท์ รงเป็นเทวราชาไมต่ กอยู่ใต้อาํ นาจของผอู้ นื่ ส่วนการประกอบพิธกี รรม นน้ั ก็เปน็ การสรา้ งเสริมพระราชบลั ลังก์ และพระบารมใี หม้ คี วามม่นั คงนนั่ เอง แต่อยา่ งไรก็ตาม ศาสนาท้งั สองนกิ ายคอื พุทธศาสนาเถรวาทดัง้ เดิม และพระพุทธมหายานก็ยงั คงอยรู่ วมกนั อยา่ งสงบสุข นอกจากน้ียังมปี ราชญ์บางท่านกล่าวว่า ในยคุ นี้มสี าเหตอุ ยา่ งหน่ึงทาํ ใหพ้ ทุ ธศาสนาฝุาย มหายานกับศาสนาฮนิ ดไู ดผ้ สมผสานกนั อยา่ งแนน่ แฟนู เกิดธรรมเนยี มการนับถอื ศาสนาคนละอย่าง เปน็ คสู่ ลับกนั ระหวา่ งพระราชากบั ปุโรหิต กลา่ วคอื ถา้ พระราชาถอื พราหมณ์ ปโุ รหิตถือพทุ ธ ถา้ พระราชาถือพุทธ ปุโรหิตถือพราหมณ์ เป็นประเพณีสบื ตอ่ กันมาหลายร้อยปี ซึ่งอาจจะมาจาก สาเหตุน้ี ทาํ ใหก้ ารศึกษาของคณะสงฆห์ รอื สถานภาพของพระศาสนาตกอยู่ภายใตค้ วามไมแ่ น่นอนจาก ผทู้ ่ีอปุ ถัมภ์บาํ รุงพระศาสนา พรอ้ งทัง้ การศึกษาของพระสงฆ์ดว้ ย โดยสรุป การศึกษาพระปริยัติธรรม รัชสมัยของพระบาทชยั วรมันที่ ๒ ไมป่ รากฏหลกั ฐาน ทช่ี ัดเจน ทราบแตเ่ พียงวา่ พระองค์ทรงเปน็ พระราชาท่ีทรงอํานาจ สามารถรวบรวมประเทศใหเ้ ป็น อันหนงึ่ อันเดียวกนั และทรงย้ายเมอื งหลวงหลายครัง้ จนกระทง่ั ปลายรัชกาลของพระองค์ทรงตั้ง เมืองหลวงข้นึ ใหม่ที่พนมกูเลน โดยพระองคท์ รงนาํ เอาแนวความคิดจกั รวาทินหรือเทวราชามาใชใ้ น การปกครองบ้านเมอื ง และทรงเป็นปฐมกษตั ริย์ของยคุ นครวดั นครธม ทพ่ี ระราชาทรงเคารพบูชา พระศวิ ะซงึ่ เปน็ ราชาแหง่ เทพ โดยการยกย่องพระองคด์ ุจเทพเจ้าท่ีจตุ ิจากสวรรค์มายังโลกมนษุ ย์ พระธรรมปิฏก (ป.อ. ปยตุ ฺโต), พระพุทธศาสนาในเอเซีย, หน้า ๑๓. พทุ ธศานบัณฑิต, พุทธศาสนา ๒๕๐๐, หน้า ๖๒. ชา อวม และคณะ, ประวตั ศิ าสตรก์ มั พชู า, แปลโดยสนั ติ ภักดคี าํ , หน้า ๒๒. พระธรรมปิฏก (ป.อ. ปยุตฺโต), พระพุทธศาสนาในเอเซีย, หนา้ ๑๒.
๑๗๕ พระบาทชยั วรมันที่ ๓ (พ.ศ.๑๓๙๓ - ๑๔๒๐ / ค.ศ. ๘๕๐ - ๘๗๗) พระองคท์ รงเปน็ พระราชบตุ รในพระบาทชัยวรมนั ที่ ๒ หลงั จากพระราชบิดาทรงสวรรคต ไป พระองค์กท็ รงได้ขึ้นราชยต์ อ่ จากพระราชบิดา โดยทรงไดป้ ระทับท่ี เมืองหริหราลัย อนั เปน็ เมืองหลวงของพระราชบิดาท่ที รงสร้างไวเ้ ท่านั้น โดยในรัชกาล นี้ไม่คอ่ ยมีอะไรโดดเดน่ เทา่ ไรนกั นอกจากจะทรงพยายามรักษาอาณาจักรใหค้ งเดมิ ถือว่าเป็นการ สานตอ่ งานของพระบาทชัยวรมันท่ี ๒ เทา่ นั้น จึงไมม่ ผี ลงานให้ได้ศึกษาในรายละเอียด พระบาทอินทรวรมนั ที่ ๑ (พ.ศ. ๑๔๒๐ - ๑๔๓๒ / ค.ศ. ๘๕๑ - ๘๘๙) พระบาทอนิ ทรวรมันที่ ๑ พระองคท์ รงสบื พระญาติวงคฝ์ าุ ยพระมารดาของพระบาทชัยวร มนั ท่ี ๓ คอื หลงั จากพระบาทชัยวรมันที่ ๓ ทรงสวรรคตไป พระองคไ์ ม่มพี ระราชโอรสสบื ราชสมบตั ิ ต่อจึงทาํ ใหพ้ ระบาทอนิ ทรวรมนั ท่ี ๑ ทรงขึ้นครองราชย์แทน เม่อื พระองค์ทรงขน้ึ ครองราชย์แล้วกไ็ ด้ ย้ายพระราชธานจี ากพนมกเู ลนมาต้งั ท่ีตาํ บลระลวส อาํ เภอสูตรนิคมปจั จุบนั พร้อมกันนัน้ ทรงได้ สรา้ งปราสทบาคง หรือบากองเปน็ หรหิ ราลยั เปน็ สถานทสี่ ําหรบั สักการบชู าเทวราช พระองคท์ รงนบั ถอื ศาสนาพราหมณ์ เคารพพระหริหระ เหมอื นพระราชบิดา แตก่ ็ทรงศรัทธาโปรดปรานใน พระพทุ ธศาสนาเช่นเดียวกัน นอกจากนี้ ในรชั กาลของพระองค์ มกี ารค้นพบศลิ าจารกึ แห่งหนง่ึ ในปี พ .ศ. ๑๔๒๙ ท่ี บา้ นปนุ เก ท่สี ามารถยนื ยนั ได้ว่า แม้พระองคจ์ ะทรงเคารพนบั ถือในศาสนาพราหมณก์ ็ตาม แต่ทรงเปิด โอกาศให้ขา้ ราชบรพิ ารทกุ คนสามารถนบั ศาสนาได้อย่างเสรภี าพตามธรรมเนียมประเพณที ี่สืบกันมา ต้ังแตก่ าลกอ่ น และในศลิ าจารกึ นั้นได้กลา่ วถึงเสนาองคมนตรีทา่ นหน่ึงชอ่ื โสมาทติ ยะ ได้สรา้ ง พระพทุ ธรูปองค์หนง่ึ ให้เปน็ ศาสดาลา้ํ เลศิ กวา่ ศาสนาทง้ั หลาย โดยทรงถวายพระนามว่า “ไตร โลกนาถ” เพอ่ื ชว่ ยกอบกมู้ นุษยโลกให้รอดพน้ จากกองทุกข์แห่งสงั สารวัฎ สรปุ ว่า จุดเด่นในรัชกาลของพระบาทอนิ ทรวรมันที่ ๑ พระองค์ทรงเป็นผู้ใหเ้ สรภี าพ แกป่ ระชาราษฎร์ในการนับถอื ศาสนาไม่จาํ กัดเฉพาะแตใ่ นศานาพราหมณเ์ ทา่ นนั้ แตท่ รงให้นบั ถือ ศาสนาท่ีตนเคารพศรทั ธาตามประเพณี เชน่ พระองคก์ ท็ รงศรัทธาในพระพทุ ธศาสนาเป็นแบบอย่าง มีแซลตราเณ, ประวตั ิศาสตรใ์ นพระราชาณาจกั รกมั ชู าจักรภพกัมพูชเทศต้ังแต่ศตวรรษท่ี ๙ – ๑๓ ในคริสต์ศักราช, (พนมเปญ : ม.ป.ส., ๒๐๐๖), หน้า ๒๘. ชา อวม และคณะ, ประวัตศิ าสตรก์ ัมพชู า, แปลโดยสนั ตภิ กั ดีคํา, หนา้ ๒๒. พทุ ธศาสนบณั ฑติ , พุทธศาสนา ๒๕๐๐, หน้า ๖๓. เรื่องเดยี วกนั , หน้า ๖๔.
๑๗๖ พระบาทยโสวรมันท่ี ๑ (พ.ศ. ๑๔๓๒ - ๑๔๕๓ / ค.ศ. ๘๘๙ - ๙๑๐) พระองค์ทรงเปน็ พระราชโอรสในพระบาทอินทรวรมนั ท่ี ๑ หลังจากทพ่ี ระราชบดิ า สวรรคตกข็ ึ้นครองราชย์สบื ต่อทรงมีพระนามว่าพระบาทยโสวรมนั ท่ี ๑ ซึง่ เป็นพระมหากษตั รยิ ผ์ ทู้ รง เปย่ี มด้วยวชิ าความรู้ มพี ละกําลัง มคี ุณธรรม มคี วามรอบรดู้ า้ นพิธีกรรม เมือ่ ทรงขึ้นครองราชย์ก็ ทรงยา้ ยพระราชธานไี ปต้ังท่ีเมอื งพระนครยโสธรปรุ ะคอื นครธม เนื่องจากเมืองหริหราลยั เป็นราธานี ไมม่ รี ะเบียบแบบแผนประกอบกบั ความไมเ่ หมาะสม พระองคจ์ ึงทรงสรา้ งเมอื งยโสธรปุระเปน็ พระราชาธานขี ้ึนใหม่ต้ังอยูท่ ี่พนมบาแค็ง นอกจากนนั้ แลว้ ยงั ทรงสร้างปราสาททลไล (โลเลย) เพอื่ อุทิศถวายแดว่ ญิ ญาณของอดีต บรู พมหากษัตริย์ท่พี นมโกรม และพนมบูก เพอื่ อุทิศถวายแดศ่ าสนาพราหมณ์ พร้อมทง้ั ทรงโปรดให้ ขุดบารายณ์ตะวันออกมคี วามยาว ๗ กโิ ลเมตรกว้าง ๑.๘ กโิ ลเมตรจากเมอื งยโสธรปุระ ไปถึงบารายณ์ แห่งเมืองหรหิ ราลัย โดยรัชสมยั ขององคพ์ ระมกี ารรบชนะจามปาหรอื ชวา พรมแดนของประเทศ กัมพูชาซงึ่ ทรงขยายโดยสันติภาพ เริ่มต้นจากลาวด้านตะวนั ออกไปจรดอ่าวไทย และจากชายฝัง่ โค ชนิ จนี ไปถงึ เทศพม่า พระองค์ทรงสวรรคตในปี พ .ศ. ๑๔๔๓ หลังจากเสวยราชย์สมบัตไิ ด้ ๑๑ พรรษา นอกจากน้ียังมีข้อสงั เกตอกี อย่างว่าพระองค์ทรงเปน็ พุทธศาสนกิ ชนนบั ถอื พระพทุ ธศาสนา มหายานอยา่ งเป็นทางการเป็นคร้ังแรก แตก่ ็ทรงศรทั ธาศาสนาพราหมณ์ และพระพทุ ธศาสนาเถรวาท เชน่ เดยี วกนั ซ่ึงในช่วงนั้นศาสนาท้งั สามอยู่รวมกนั อยา่ งสนั ติ และมีการสร้างทง้ั พราหมณาศรม ไวษณ วาศรม และเสวคตาศรม (อาศรมถวายพระสุคต) หลายแหง่ เพือ่ อทุ ิศแดศ่ าสนาทั้งสาม โดยสรปุ พระพทุ ธศาสนารัชกาลของพระบาทยโสวรมนั ท่ี ๑ พระองคท์ รงเป็น พุทธศาสนิกชนทที่ รงนับถอื พระพทุ ธศาสนามหายานเปน็ ทางการ พรอ้ มกันน้ันก็ทรงศรัทธาในศาสนา พราหมณ์ และพระพทุ ธศาสนาเถรวาททสี่ ืบทอดมาจากรัชกาลก่อน ๆ จนกระทั่งปลายรัชสมัยของ พระองค์ พระราชาตอ่ ๆ มาทรงกลับมาถอื ศาสนาพราหมณต์ ามสาํ นกั ครูบาอาจารยท์ ่ีไดศ้ กึ ษาเลา่ เรยี นมาตอนยงั พระเยาว์ ส่วนพระพทุ ธศาสนาเถรวาทก็ยังมีการนับถอื มาโดยตลอด ชา อวม และคณะ, ประวัติศาสตร์กมั พชู า, แปลโดยสันติภักดคี าํ , หน้า ๒๓. พุทธศาสนบณั ฑติ , พทุ ธศาสนา ๒๕๐๐, หน้า ๖๔. ชา อวม และคณะ, ประวตั ศิ าสตรก์ ัมพูชา, แปลโดยสนั ติภกั ดคี าํ , หนา้ ๒๓ - ๒๔. พุทธศาสนบณั ฑิต, พทุ ธศาสนา ๒๕๐๐, หน้า ๖๔.
๑๗๗ พระบาทหรรษวรมันที่ ๑ (พ.ศ. ๑๔๔๓ - ๑๔๖๕/ค.ศ. ๙๑๐ - ๙๒๒) พระบาทหรรษวรมนั ที่ ๑ ทรงเป็นพระราชโอรสของพระบาทยโสวรมันท่ี ๑ ทรงข้ึน ครองราชย์หลังจากพระราชบิดาทรงสวรรคต ซง่ึ ช่วงทรงข้ึนครองราชยน์ นั้ ในปี พ .ศ. ๑๔๖๔ พระ ปิตลุ าของพระองค์ไดท้ รงแขง่ ขันกับพระองค์ และทรงประกาศตนเปน็ พระมหากษตั ริย์ทรงมีพระนาม ว่าพระบาทชัยวรมนั ท่ี ๔ โดยทรงประทบั ท่ีพระราชธานีเกาะแกร์ และในปีถัดมา คือปีพ .ศ. ๑๔๖๕ พระบาทหรรษวรมนั ที่ ๑ ทรงสวรรคต พระอนชุ าของพระองค์มีพระนามวา่ พระบาทอีศานวรมนั ที่ ๒ ทรงครองราชยท์ ี่เมืองพระนคร ซึ่งชว่ งนน้ั ประเทศกัมพชู าไดแ้ ตกแยกออกเป็นสองสว่ น จนกระทง่ั พระบาทอศี านวรมันท่ี ๒ สวรรคต ประเทศกมั พชู าจึงไดร้ วบรวมเปน็ อันเดยี วกนั โดยมีพระเจ้าแผ่นดนิ พระองคเ์ ดียวคือพระบาทชัยวรมันที่ ๔ ทรงข้นึ ครองราชยท์ เ่ี กาะแกร์ หรอื เกาะเก ดังน้ัน รัชสมยั ของพระบาทหรรษวรมนั ท่ี ๑ เหตกุ ารณ์ทางด้านพระพุทธศาสนานัน้ ไมม่ ี อะไรปรากฏให้เหน็ ชดั มเี พยี งเหตกุ ารณ์แยง่ ชิงราชสมบตั จิ นทําใหป้ ระเทศมีความแตกแยก เช่นอย่าง ในสมยั เจนละ แตก่ ็ไมม่ ีผลกระทบมากนัก เนือ่ งจากเปน็ ระยะเวลาท่ีสั้น ๆ ของการครองราชย์ จนกระทง่ั สิน้ ราชสมยั ของพระบาทชยั วรมันท่ี ๔ พระบาทหรรษวรมนั ที่ ๒ ก็ทรงขึน้ ครองราชย์ ต่อมาอกี เป็นเวลา ๓ ปี คอื ระหวา่ งปี พ.ศ. ๑๔๘๕–๑๔๘๘ ซ่งึ เป็นพระราชาทีท่ รงขึน้ ครองราชยร์ ะยะ สนั้ ท่ีสุด นอกจากนน้ั ในรชั กาลของพระบาทชยั วรมนั ท่ี ๔ มีหลักศลิ าจารึกใหมห่ ลกั หน่งึ คอื (Ka ๑๗๘) ไดค้ น้ พบดว้ ยศาสตราจายร์ยางวรี บุตรในปี พ .ศ. ๒๕๔๘ (ค.ศ. ๒๐๐๕) ทตี่ าํ บลแสฺรอําเบล็ (นาเกลอื ) ปรากฏนามพระมหากษตั รยิ ค์ ือศรชี ยั สงิ หวรมนั และพระนามของพระองคไ์ ดป้ รากฎใน หลกั ศลิ าจารึก ๒ แหลง่ คือในประเทศไทยและประเทศกมั พชู า เขียนเปน็ ภาษาสันสกฤต คอื หลักศลิ า จารกึ (K ๔๐๔ และ Ka ๑๗๗) ซง่ึ บทความในหลกั ศิลาจารึก (Ka ๑๗๗) นัน้ ได้พูดถงึ เรื่องราวพระองค์ ทท่ี รงพระราชทานสง่ิ ของแกป่ ระชาราษฏรอ์ ยู่ทกี่ รงุ สระบุรี และทรงสั่งใหท้ หารขดุ สระนํ้าใหญห่ นึ่ง สายใกล้อาสนะอันเปน็ ที่เคารพสักการะพระสิวลึงคเ์ พ่ือเปน็ สริ มิ งคลเกิดความร่มเย็นเปน็ สุขแกอ่ าณา ประชาราษฏร์ในทกุ ระดบั ชั้น มแี ซล ตราเณ, ประวัติศาสตรใ์ นพระราชาณาจักรกัมชู าจักรภพ กมั พชู เทศ ตั้งแตศ่ ตวรรษที่ ๙ - ๑๓ ในคริสตศ์ กั ราช, หน้า ๒๘. ชา อวม และคณะ, ประวัติศาสตร์กัมพูชา, แปลโดยสนั ตภิ ักดคี ํา, หนา้ ๒๔. มีแซล ตราเณ,ประวตั ศิ าสตรใ์ นพระราชาณาจักรกมั ูชา จกั รภพกัมพูชเทศ ตัง้ แตศ่ ตวรรษท่ี ๙ – ๑๓ ในคริสตศ์ กั ราช, หนา้ ๒๙.
๑๗๘ พระบาทราเชนทรวรมนั ที่ ๒ (พ.ศ. ๑๔๘๗–๑๕๑๑ / ค.ศ. ๙๔๔ - ๙๖๘) พระบาทราเชนทรวรมนั ที่ ๒ ทรงเปน็ พระภาคิไนยของพระบาบชยั วรมันท่ี ๔ และทรงข้ึน ครองราชยส์ ืบต่อ โดยไดพ้ ระราชมรดกคือเมืองภวปรุ ะ จึงสามารถสรา้ งเอกภาพใหก้ ับกัมพูชา จากน้นั พระองค์เสด็จกลบั มาประทบั ทเ่ี มอื งยโสธรปรุ ะ ซงึ่ พระองค์ทรงถอื ศาสนาพราหมณ์ เคารพ พระอิศวร แต่กไ็ ม่ทรงทอดทิง้ พระพุททธศาสนา คือไดม้ กี ารสรา้ งวัดวาอารามทางพระพทุ ธศาสนา เพ่มิ ขน้ึ เป็นจํานวนมาก โดยสมัยพระองค์มีมนตรีช้นั สงู คนหนง่ึ คือกรนี ทรารมิ ถนะเปน็ ผทู้ ม่ี คี วามรู้ ดา้ นสถาปัตยกรรมเหมือนองค์วศิ วกรรมเทพบตุ ร และเปน็ มหาพทุ ธศาสนิกท่เี ปยี มด้วยความรู้ ความสามารถ ท่านได้สร้างปราสาท ๓ แห่ง ทบ่ี าตชม (Bat Chum) เพ่อื ถวายแดส่ มเดจ็ พระ สัมมาสัมพุทธเจ้าถวายพระวชั รปาณี และถวายพระนางปราชญาปารมิตา เพราะเหตุนัน้ พระเจา้ ราเชนทรวรมันท่ี ๒ พระองคท์ รงได้แตง่ ตง้ั กรนี ทรารมิ ถนะซงึ่ เปน็ ผู้ ทนี่ บั ถือพระพุทธศาสนา และดํารงตําแหน่งเปน็ ประธานรัฐมนตรตี ามธรรมเนยี มประเพณี แล้ว พระองค์ทรงพระราชทานพระปฎิมากร ๓ องค์ แก่กรีนทราริมถนะอํามาตย์ เพื่อนําไปประดิษฐาน ในศาสนสถานต่างๆของพทุ ธศาสนามหายาน ดังตอ่ ไปนี้ ๑) พระพุทธรปู พระชนิ ศรีประดิษฐานทชี่ ยนั ตะประเทศ พ.ศ. ๑๔๘๙ ๒) พระพทุ ธรปู พระโกนาถ และรปู นางเทวีสององค์ประดษิ ฐานที่กุฏิสวาระ หรอื อิศวร ๓) พระพุทธรปู ปฎิมากร พระพทุ ธชนิ ศรี และรปู ทิพยเทวีปราชญาปารมิตา พร้อมทงั้ รูป วัชรปาณี ประดิษฐานท่ปี ราสาทเมบณุ ยเ์ ม่อื ปี พ.ศ. ๑๕๐๖ นอกจากน้ี รชั กาลพระองค์ทรงใหเ้ สรภี าพในการนับถือศาสนาอยา่ งกว้างขวาง โดยเฉพาะ พระพทุ ธศาสนาฝาุ ยมหายานมคี วามเจริญรุ่งเรอ่ื งมากกวา่ เดมิ เพราะได้รบั การสนับสนุนจากกรีนทรา รมิ ถนะ ทีพ่ ยายามส่งเสริมสนบั สนุนพระพทุ ธศาสนาอย่างเขม้ ข้น ท่านได้นําเอาคมั ภรี ท์ าง พระพุทธศาสนาเข้ามาจากตา่ งประเทศเป็นอนั มาก และในวันสาํ คัญ ๆ ทา่ นจะนําพระพุทธรปู ทงั้ หลายมาสรงน้าํ เป็นพิธใี หญ่โต และในยคุ น้ีมีการนําเอาศาสนาพราหมณ์ลัทธพิ ระอิศวรกับ พระพุทธศาสนามหายาน ผสมผสานเขา้ ดว้ ยกนั จนทําให้เกิดเปน็ ประเพณที างศาสนาในเวลาต่อมา โดยสรุป รชั กาลพระบาทราเชนทรวรมนั ท่ี ๒ มีการสร้างวัดวาอารามเพิม่ ขน้ึ เป็นจํานวน มาก และเปดิ โอกาสใหเ้ คารพนับถอื ศาสนาได้อย่างเสรี โดยเฉพาะพระพุทธศาสนามหายานไดร้ บั การ ชา อวม และคณะ, ประวัติศาสตร์กมั พูชา, แปลโดยสันติ ภกั ดีคาํ , หน้า ๒๕. พระธรรมปฎิ ก (ป.อ.ปยตุ ฺโต), พระพุทธศาสนาในอาเซยี , หนา้ ๑๒. พทุ ธศาสนบณั ฑิต, พระพทุ ธศาสนา ๒๕๐๐, หน้า ๖๔ - ๖๕. L. Brigg, st.le de vat Sithor, Inscription du Cambodge vol., VI, p. 1. พทุ ธศาสนบณั ฑิต, พุทธศาสนา ๒๕๐๐, หน้า ๖๕.
๑๗๙ สนบั สนุนจากกวีทรฺ ารมิ ถนะ พร้อมทั้งได้นาํ เอาคัมภรี พ์ ระพทุ ธศาสนาจากต่างประเทศ เขา้ มาเปน็ จํานวนมาก น่กี ็แสดงให้เหน็ ว่าการศกึ ษาของพระสงฆ์ในยคุ น้ันคงจะมคี วามเจรญิ รุ่งเรืองแน่นอน ซง่ึ จากสถติ ิการสรา้ งวัดหรอื จํานวนของพระสงฆท์ ่บี วชอยู่ในวัดนนั้ ๆ พร้อมทงั้ ตําราเอกสารต่าง ๆ สําหรบั ใชป้ ระกอบการเรียนการสอนด้วย พระบาทชยั วรมันที่ ๕ (พ.ศ. ๑๕๑๑ - ๑๕๔๔ / ค.ศ. ๙๖๘ - ๑๐๐๑) พระองค์ทรงเป็นพระราชโอรสในพระบาทราเชนทรวรมนั ที่ ๒ เมอ่ื พระราชบดิ าทรง สวรรคตไปแลว้ ทรงขึน้ ครองราชย์ต่อจากพระราชบดิ า และไดด้ ําเนินกิจการบ้านเมืองตามแบบอย่าง ของพระราชบดิ า โดยเฉพาะทรงนับถือศาสนาพราหมณเ์ หมอื นกันในชว่ งแรก แตต่ อ่ มาก็ทรงเปล่ียน มานบั ถอื พระพทุ ธศาสนาแทน ดงั นั้น เหตผุ ลทพี่ ระองคท์ รงเปล่ยี นมานับถือพระพุทธศาสนา แทนทจี่ ะนับถอื ศาสนา พราหมณต์ ามพระราชบดิ านนั้ กค็ งเป็นไปได้ยาก เนื่องจากว่าในพระราชสกุลรวมท้ังมนตรีชน้ั สูงของ พระองคส์ ว่ นมากเปน็ ผู้นบั ถือพระพุทธศาสนาทัง้ หมด นอกจากน้นั แล้วพระองค์กท็ รงแต่งตง้ั นกั ปราชญ์ผู้มีช่อื เสยี งเปน็ ประธานรฐั มนตรี เหมือนพระราชบิดาทรงแต่งตง้ั กรีนทรรมิ ถนะ ดงั คาํ กล่าวของยอร์ซเซเดส์ทปี่ รากฎในศิลาจารึกวดั เสฺรยสนั ธอร์ (ศรีสันธอร์) ไดพ้ ดู ถงึ กริ ติ บัณฑติ ผศู้ รัทธาตอ่ พระพุทธศาสนาอยา่ มนั่ คงบทความจารึกได้บอกว่า “นมัสการพระพุทธพระธรรมพระโพธิสัตวพ์ ระพทุ ธมีกาย ๓ คอื ธรรมกายสัมโภคกาย และนิรมาณกาย ๑ คาถาท่ี ) - ๙ (ได้สรรเสรญิ บารมีของพระบาทชยั วรมันท่ี ๕ ในปี ๘๙๙ ศก คือ เทา่ กบั ค.ศ. ๙๗๗๙ คาถาท่ี) - ๑๘ (ไดส้ รรเสรญิ กิรตบิ ัณฑติ โดยเฉพาะการแก้ไขระเบียบพุทธศาสนา ใหม่มีการกล่าวถงึ การปฎสิ งั ขรณพ์ ระพทุ ธรูปหลายองค์ และพระอาชญาของพระราชาในการปฎิบตั ิตอ่ พระพทุ ธศาสนา” จากบทความท่ปี รากฏในศลิ าจารกึ น้ี นกั ปราชญ์หลายท่านให้ความเห็นวา่ มกี ารคลกุ เคล้า เอาศาสนาพราหมณก์ ับพระพุทธศาสนามหายานเขา้ ดว้ ยกนั เป็นทางการคร้งั แรกในพงศาวดารของ ประเทศกมั พชู าจากพระราชา นอกจากน้แี ลว้ ยังมีศิลาจารึกหลายแห่งที่ยนื ยนั ได้ และมีความ เกีย่ วข้องกับการเอาพระพุทธศาสนามหายานผสมผสานเขา้ กับศาสนาพราหมณ์ เชน่ ศิลาจารึกค้นพบ มีแซล ตราเณ, ประวัตศิ าสตรใ์ นพระราชาณาจกั รกัมูชา จกั รภพกมั พูชเทศตั้งแต่ศตวรรษท่ี ๙ – ๑๓ ในครสิ ตศ์ กั ราช, หนา้ ๓๑. พทุ ธศาสนบัณฑติ , พุทธศาสนา ๒๕๐๐, หนา้ ๖๕. พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต), พระพทุ ธศาสนาในอาเซีย, หน้า ๑๕.
๑๘๐ ทีบ่ ้านบันเตยี เสรฺ ็ย (บนั ทายสรี) มกี ารกลา่ วถงึ องคมนตรชี อ่ื ตรภิ วุ นวชั ชฺระทไี่ ดส้ รา้ งองค์ พระปฎิมา กรปราชญาปารมติ า หรือภควตีคอื ธรรมมารดาในพระพุทธเจ้าข้นึ ในปี พ .ศ. ๑๕๒๔ พร้อมทั้งก่อสร้าง วตั ถุต่าง ๆ เพอ่ื ถวายแด่พระชคทีสวฺ าระอีกด้วย และถดั จากนั้นมาอกี ในปี พ.ศ. ๑๕๒๕ มนตรอี ีกองค์ หนง่ึ ชือ่ โสมวัชชฺระเปน็ พเ่ี ขยของมนตรีตริภวุ นวชั ชระ ถวายปฎมิ ากรโลเกสฺวาระ หรือโลเกศวร เพื่อ ประดษิ ฐานไวใ้ นศาสนาสถานตา่ ง ๆ นอกจากน้ยี งั มีศิลาจารกึ ค้นพบท่ปี ราสาทปราดากได้กล่าวถึงพระ รัตนตรยั ซงึ่ มีพระศรฆี นะ กล่าวคอื พระพุทธพระธรรมและพระสงฆ์ ฉะน้ัน ภาพรวมพระพทุ ธศาสนาในรัชสมยั ของพระบาทชัยวรมันท่ี ๕ ดงั ได้กล่าวไว้ขา้ งตน้ นับต้ังแต่พระองคท์ รงข้ึนครองราชยใ์ นช่วงแรก ได้สนองงานตามพระราชประสงค์ของพระราชบดิ า สว่ นในราชตระกลู พรอ้ มทั้งข้าราชบรวิ ารทัง้ หมดทรงเคารพนบั ถือพระพุทธศาสนามหายาน ซ่งึ เป็น เหตุผลหน่งึ ทําให้พระองค์ทรงหันมานับถอื พระพทุ ธศาสนามหายานแทน จงึ ถอื วา่ ยุคน้ลี ทั ธิมหายาน ไดย้ อมรับนับถอื จากพระราชสํานักอย่างเป็นทางการ ในประวตั ิศาสตรข์ องกัมพูชา และส่งผลให้ การศกึ ษาไดร้ ับความเจรญิ รุ่งเรอื งทางด้านวิชาการทุก ๆ ดา้ นไปด้วย พระบาทสรุ ิยวรมันที่ ๑ (พ.ศ. ๑๕๔๕–๑๕๙๓ / ค.ศ. ๑๐๐๒ - ๑๐๕๐) พระองค์ทรงเปน็ พระราชโอรสของเจ้าศรีธรรมราชกษตั รยิ แ์ หง่ ตามพรลงิ คะซ่งึ มีเมืองหลวง ที่นครศรีธรรมราชหรือไชยา และเป็นศนู ยก์ ลางแหง่ หนึง่ ของพระพุทธศาสนา พระองคท์ รงมีเช้ือสาย ราชวงศก์ ัมพูชา โดยพระราชมารดาเปน็ เจา้ หญงิ เขมร ทรงมีพระราชศรัทธาอยา่ งแรงกล้าใน พระพุทธศาสนามหายาน จึงทรงหนั มาสนบั สนุนนกิ ายนีม้ ากข้ึน เมื่อพระองคท์ รงขนึ้ ครองราชยแ์ ล้ว กท็ รงเป็นพระปฐมกษตั ริย์ท่ีเคารพนบั ถอื พระพุทธศาสนามหายานเปน็ ศาสนาของรฐั อย่างเป็นทางการ และทรงเปน็ พระศาสนปู ถัมภก์อยา่ งประเสรฐิ อกี ด้วย โดยรชั กาลนี้มเี หตุการณ์ทนี่ ่าสังเกตอยา่ งหน่ึง คอื หลังจากทีพ่ ระบาทชยั วรมันท่ี ๕ สวรรคใ์ นปี พ .ศ. ๑๕๔๔ พระบาทอุทยั ทติ ยวรมนั ท่ี ๑ ซง่ึ เป็น พระภาคิไนยของพระองคท์ รงขึ้นครองราชยไ์ ด้ประมาณเดือนเศษกห็ ายพระองคไ์ ป ไม่ทราบว่า พระองค์ทรงสละราชสมบัตหิ รอื สวรรคต ทําใหก้ มั พชู าช่วงนัน้ เกิดจลาจล มกี ษัตรยิ ห์ ลายพระองค์ แบ่งแยกประเทศเปน็ สว่ น ๆ และไดอ้ า้ งสทิ ธทิ กุ ๆ พระองค์ ตอ่ มาในปี พ .ศ. ๑๕๔๕ – ๑๕๕๓ ปรากฏนามพระราชาที่ทรงขึน้ ครองราชย์ต่ออกี พระองค์หน่ึงคือพระบาทชยั วรี วรมัน เมอื งหลวงทีท่ รง พีระพงศ์ สุขแก้ว, ยอ้ นรอยเทวราชาผา่ นกษัตราแห่งนครธม, หนา้ ๑๑๐ - ๑๑๖. พทุ ธศาสนบัณฑติ ,พทุ ธศาสนา ๒๕๐๐, หนา้ ๖๕ - ๖๖. พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโฺ ต), พระพทุ ธศาสนาในอาเซยี , หน้า ๑๕. พุทธศาสนบณั ฑติ ,พทุ ธศาสนา ๒๕๐๐, หนา้ ๖๗. ชา อวม และคณะ, ประวตั ิศาสตรก์ ัมพชู า, แปลโดยสันติ ภักดคี าํ , หนา้ ๒๕ - ๒๖.
๑๘๑ ข้ึนครองราชย์คอื เมืองยโสธรปรุ ะ เวลาเดยี วกนั นนั้ พระบาทสรุ ิยวรมนั ท่ี ๑ กไ็ ดป้ ระกาศพระองคเ์ ป็น พระราชาของกมั พูชาดว้ ย และไดย้ กทบั มารบกบั พระบาทชัยวรี วรมนั ตัง้ แตป่ ี พ .ศ. ๑๕๔๙–๑๕๕๓ โดยใชเ้ วลารบกนั ยดื เยือ้ ๔ ปจี งึ ได้รับชยั ชนะ ครองราชยเ์ พยี งพระองคเ์ ดียวในพระราชอาณาจกั ร กมั พชู า ดงั นน้ั หลงั จากทพี่ ระองค์ทรงปราบปรามบ้านเมอื งใหม้ คี วามสงบแลว้ พระองคไ์ ดข้ ยาย อาณาเขตอกี เปน็ จํานวนมาก ทางด้านตะวนั ตกครอบคลมุ อาณาจกั รทวาราวดี ทางเหนือทรงตีได้ เมอื งหลวงพระบาง ทางใตต้ ไี ด้ตอนบนของแหลมมลายู มสี ิง่ ก่อสรา้ งท่ีสาํ คญั ๆ กลา่ วคอื พมิ าน อากาศ (Phimanakas) ปราสาทตาแกว้ (Takeo) ปราสาทเขาพระวหิ าร และปราสาทบาบวน ซงึ่ เป็นปราสาทบนภเู ขาในเมอื งใหม่ ส่วนการสถาปนาใหส้ ําเร็จนน้ั เป็นผลงานของพระราชโอรสคือพระ บาทอุทัยทิตยวรมนั ท่ี ๒ ซงึ่ เป็นวหิ ารแห่งแรกท่สี ร้างด้วยหินทราย สําหรบั การศกึ ษา พระพุทธศาสนารชั สมัยของพระบาทชยั วรมนั ท่ี ๑ ลัทธมิ หายานได้แพรข่ ยาย และมอี ิทธพิ ลต่อ ประเทศกัมพูชาเป็นอยา่ งมาก หรอื อาจกล่าววา่ เปน็ ศาสนาประจาํ ชาตกิ ว็ ่าได้ แม้แตค่ มั ภรี ์ฎีกา หรือ ครบู าอาจารย์ล้วนแลว้ มาจากมหายานท้ังสน้ิ นอกจากน้ี พระองค์ทรงเปน็ พระราชาทีป่ ระกอบดว้ ย ขนั ตธิ รรมอยา่ งสงู สดุ ทรงเป็นพุทธศาสนิกลัทธิมหายาน แต่กท็ รงไม่ละทิ้งต่อ “ลัทธิเทวราช ” พรอ้ มท้ังปกปูองรกั ษาพระพทุ ธศาสนาเถรวาทเชน่ กับพระราชาในสมัยก่อน ดงั หลกั ศลิ าจารึกที่ค้นพบ ในจังหวดั ลพบรุ ปี ัจจุบันปี พ.ศ. ๑๕๖๕ – ๑๕๖๘ ข้อความในจารึกได้บอกวา่ “ภกิ ษสุ งฆฝ์ ุายมหายานก็ ดี ภกิ ษสุ งฆฝ์ าุ ยเถรวาทก็ดี อยู่รวมกนั ด้วยความสขุ สว่ นพวกฤๅษกี ป็ ฎิบตั ติ ามลัทธิศาสนาพราหมณ์ โดยเสรีไมม่ ีการกดขขี่ ่มเหงกันและกัน” โดยสรุป การศึกษาพระปรยิ ัตธิ รรมในรชั กาลนี้ พระพทุ ธศาสนามหายานได้รับการเชิดชู จากพระราชสํานัก ทําใหล้ ัทธมิ หายานมีความเจรญิ ร่งุ เรอื งในพระราชอาณาจักรกมั พชู าและเป็น ศาสนาประจาํ ชาตดิ ้วย สว่ นพระพุทธศาสนาเถรวาททม่ี ีอยเู่ ดมิ นนั้ ก็มีความเจริญรงุ่ เรอื งอยูเ่ ช่นกัน มีแซล ตราเณ, ประวัติศาสตรใ์ นพระราชาณาจักรกมั ชู าจกั รภพกมั พชู เทศตัง้ แตศ่ ตวรรษท่ี ๙ - ๑๓ในครสิ ต์ศักราช, หนา้ ๓๑. ชา อวม และคณะ, ประวตั ศิ าสตรก์ มั พชู า, แปลโดยสนั ตภิ กั ดคี ํา, หนา้ ๒๗. พระธรรมปฎิ ก (ป.อ.ปยุตฺโต), พระพทุ ธศาสนาในอาเซยี , หนา้ ๑๕ – ๑๗. พีระพงศ์ สขุ แกว้ , ย้อนรอยเทวราชาผ่านกษัตราแหง่ นครธม, หนา้ ๑๑๖. ชา อวม และคณะ, ประวตั ศิ าสตรก์ มั พชู า, แปลโดยสนั ติ ภักดคี ํา, หนา้ ๒๘. P. Dupont et G. Coed.s, Les steles du stok koh thom, (Phnom Sandak et Provjhar. BEFEO; LXIII, 1943), p. 121. พุทธศาสนบัณฑิต, พทุ ธศาสนา ๒๐๐๕, หน้า ๖๘.
๑๘๒ เพยี งแตไ่ มไ่ ด้รับสนับสนุนจากพระราชสาํ นักเทา่ ที่ควร แตศ่ าสนาท้งั หลายมอี ยู่ในรชั กาลน้กี ็อย่ดู ว้ ยกนั อย่างสันติ จนกระท่ังสน้ิ สดุ รชั กาลของพระบาทสรุ ยิ วรมนั ท่ี ๑ ก็เกิดมเี ร่อื งว่นุ วายขนึ้ มาอีก พระบาทอุทัยทิตยวรมนั ท่ี ๒ (พ.ศ. ๑๕๙๓–๑๖๐๙ / ค.ศ. ๑๐๕๐ - ๑๐๖๖) พระองคท์ รงเปน็ พระราชโอรสในพระบาทสุรยิ วรมันท่ี ๑ เปน็ พระราชาที่ทรงขนึ้ ครองราชย์ในขณะทท่ี รงพระเยาว์อย่มู าก ทาํ ให้รชั กาลของพระองค์เกดิ ความวุ่นวายอกี สามครงั้ คือ ในปี พ.ศ. ๑๕๙๔ ครงั้ หนึ่ง และปี พ.ศ. ๑๕๙๘ สองครง้ั ติดๆ กัน ซึ่งความวนุ่ วายท้ังสองครง้ั นี้ เกิด จากการปฎิปักษ์ตอ่ พระพุทธศาสนา กล่าวคอื พระองคท์ รงศรัทธานบั ถอื ศาสนาฮนิ ดลู ทั ธไิ ศวนิกาย ไมเ่ สรมิ พระพุทธศาสนามหายาน ทาํ ใหบ้ รรดาขุนนางที่นับถอื พระพทุ ธศาสนาไม่พอใจ จึงได้มกี ารก่อ กบฏขน้ึ แมว้ า่ จะปราบปรามกบฏไดก้ ท็ ําใหก้ มั พูชาตอ้ งออ่ นแอกําลงั ลงมาก จงึ ตอ้ งเสยี ดินแดน บางสว่ นไป เช่น อาณาจกั รทวารวดี ซ่งึ พระเจา้ อนิรธุ กษัตริย์แห่งพกุ าม (พมา่ ) ไดแ้ ผ่อิทธพิ ลเข้ามา ครอบครองอาณาจกั รทวาราวดีแทนท่ีกมั พชู า ซึ่งเร่ืองดงั กลา่ วเป็นมติของปราชญ์ไทย สําหรับนัก ประวัติศาสตรฝ์ าุ ยตะวนั ตกกล่าววา่ พระบาทสุรยิ วรมันที่ ๑ ทรงปราบปรามได้ลพบุรีแล้วแผอ่ าํ นาจ ตามชนมอญทอ่ี พยพรน่ ถอยมาจนถงึ อาณาเขตอาณาจักรมอญ เมืองสะเทิมในพม่า จะรุกรานเข้าไปอกี แตถ่ กู ทัพของพระเจา้ อนุรธุ มหาราชตแี ตกล่าทพั กลับมาเขตแดนระหวา่ งกัมพชู ากับพกุ าม จงึ หยุดอยู่ เพยี งนน้ั คือลพบรุ ีและทวารวาดีกย็ ังคงเป็นของกมั พูชา โดยในระหว่างน้ี ชนชาตไิ ทยก็ได้อพยพลงมาจากจีนภาคใตเ้ ข้ามาอยูใ่ นล้านนา และลา้ น ช้างมากขึ้น แล้วเลื่อนต่อลงมาในแมน่ ้ําเจ้าพระยาเขา้ แทรกแยกกลางระหว่างมอญพม่ากบั กัมพชู า และตกอยู่ใตอ้ าํ นาจของอาณาจกั รท้งั สองน้นั ตามถน่ิ แดนที่ตนเข้าไปตงั้ ถ่ินฐาน ส่วนทางด้าน ตะวันออกชนเผา่ อันนมั ซ่ึงรับพระพทุ ธศาสนามหายานและวฒั นธรรมต่าง ๆ จากจีนกไ็ ด้ตัง้ ตัวเปน็ อสิ ระจากจนี สาํ เรจ็ สถาปนาอาณาจกั รนามเวียด (ตอ่ มาเปน็ เวียดนาม ) ข้ึนทางเหนือของอาณาจกั ร จามปา เมอ่ื ประมาณปี พ.ศ. ๑๔๘๒ กาํ ลังทัพมอี ํานาจเข้มแข็งมากขึน้ และกาํ ลังเป็นคู่สงครามกบั จาม ปา อํานาจใหมท่ ง้ั สองทกี่ าํ ลงั กอ่ ตวั ขนึ้ ทางตะวนั ตก (ไทย) และทางตะวนั ออก (เวยี ดนาม) จะมาเปน็ เครือ่ งบน่ั รอนตอ่ อาณาจกั รกมั พูชา ตามลําดบั มา พระบาทหรรษวรมนั ที่ ๓ (พ.ศ. ๑๖๐๙–๑๖๒๓ / ค.ศ. ๑๐๖๖ - ๑๐๘๐) พระองคท์ รงขึ้นครองราชย์ต่อหลงั จากที่พระบาบอทุ ัยทิยวรมันท่ี ๒ ทรงสวรรคตไป โดย เหตุท่พี ระองคไ์ มม่ พี ระราชทายาททีจ่ ะสบื สมบตั ิ พระราชบัลลงั ก์ก็ไดแ้ กพ่ ระอนชุ าของพระองค์คือ ชา อวม และคณะ, ประวัตศิ าสตร์กมั พูชา, แปลโดยสันติ ภักดคี าํ , หนา้ ๒๗. พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยตุ ฺโต), พระพุทธศาสนาในอาเซีย, หน้า ๑๖. พรี ะพงศ์ สุขแก้ว, ยอ้ นรอยเทวราชาผา่ นกษตั ราแห่งนครธม, หน้า ๑๑๘. พระธรรมปฎิ ก (ป.อ.ปยุตโฺ ต), พระพทุ ธศาสนาในอาเซีย, หนา้ ๑๖ - ๑๗.
๑๘๓ พระบาทหรรษวรมนั ท่ี ๓ เมอ่ื ทรงครองราชยแ์ ล้วได้สร้างเอกภาพของประเทศใหม้ คี วามยิง่ ใหญ่ เกิด ความสงบเรียบร้อยขน้ึ โดยการเคารพอยา่ งเคร่งครัดในวรรณะทงั้ ส้ิน และทรงโปรดให้ซอ่ มแซม ปราสาทท้ังหลายท่พี ังลงเพราะสงครามในรชั กาลก่อน ๆ ซึง่ ถือวา่ พระองคเ์ ปน็ พระราชาทส่ี บพระ หฤทยั ในการสร้างสนั ติภาพให้เกิดขึน้ แกพ่ ระราชอาณาจกั ร แต่หลังจากทีส่ ร้างสนั ติภาพแล้ว พระ ราชอาณาจักรถูกรุกรานจากจามและตังเกิย๋ พระองคก์ ต็ อ้ งทําพระกรณียกิจสาํ คญั ด้วยการทาํ สงคราม อีกสองคร้งั กบั จามและตงั เก๋ยี คอื ครั้งท่ี ๑ ในปี พ .ศ ๑๖๑๗ จามไดร้ ุกรานพรมแดนเข้ามาถงึ เมอื งสัมภปุระ พวกจามได้ ทาํ ลายศาสนสถานต่าง ๆ ท่นี ่ัน และจบั ประชาชนไปเปน็ เชลยทัพ กัมพูชาตอ่ ต้านไม่สไู้ ดช้ ยั ชนะ แต่ พอถงึ ปี พ.ศ.๑๖๒๓ สขุ สนั ติภาพกเ็ กิดขน้ึ ในประเทศทง้ั สอง คร้งั ที่ ๒ ในปี พ .ศ.๑๖๑๙ กัมพชู าต้องทาํ สงครามกับตงั เกยี๋ และจนี จนกระท่ังทพั จนี พ่ายแพ้ไป กัมพูชาจึงยกทพั กลบั คืนมา ต่อมาปลายรชั กาลในปี พ .ศ.๑๖๒๓ พระองคท์ รงประทับอยู่ ในภาคเหนอื ของกมั พูชา กรงุ มหิธรปรุ ะ (ในลมุ่ แม่นาํ้ มูน) และมีอภิชนทา่ นหน่งึ ไดป้ ระกาศตนเปน็ พระ เจ้าแผ่นดินมีพระนามว่าพระบาทชยั วรมันท่ี ๖ ซึ่งช่วงน้ันเมอื งขอมมีเรื่องกบั จามปา และเปน็ ช่วงท่ี พระบาทหรรษวรมนั ท่ี ๓ ทรงสิ้นพระชนม์ก็เกิดเรื่องแย่งชงิ ราชยส์ ัมบัตขิ ึน้ พระราชบลั ลังกไ์ ดต้ กอยู่ ทพี่ ระบาทนฤปตินทราทยิ วรมนั ซ่ึงครองราชย์ทเ่ี มืองพระนคร โดยสรุป พระพทุ ธศาสนาในรชั สมัยของพระบาทหรรษวรมันที่ ๓ สภาพการณ์ทเ่ี ก่ียวขอ้ ง กบั พระพุทธศาสนาน้ันมไิ ด้กล่าวถึง เพราะเหตุทีว่ ่าพระองค์ทรงปน็ พระมหากษัตรยิ ์ทีท่ รงเหน็ดเหนื่อย จากการบรู ณะปฎิสงั ขรณ์ปราสาทและศาสนสถานตา่ ง ๆ อนั เกดิ จากการทาํ สงครามระหว่างพระราชา องคก์ อ่ น ๆ และนอกจากนพี้ ระองค์ทรงกระทําพระกรณยี กจิ ท่สี ําคญั ในการที่จะปกปอู งรักษา ประเทศชาตจิ ากการรุกรานดินแดนของจามตังเก๋ยี และจีน จนไดร้ ับชัยชนะกระท่งั ส้ินรชั สมยั ของ พระองคบ์ ้านเมืองเกดิ จลาจลแยง่ ชิงราชบัลลังก์ระหว่างปุโรหิตกับขุนนางกนั เองในพระราชอาณาจักรท่ี เคยเจริญรุ่งเรืองออ่ นแอกาํ ลงั ลง ชา อวม และคณะ, ประวตั ศิ าสตร์กัมพูชา, แปลโดยสนั ติ ภกั ดีคาํ , หน้า ๒๘. ๙– พรี ะพงศ์ สขุ แก้ว, ย้อนรอยเทวราชาผา่ นกษตั ราแหง่ นครธม, หนา้ ๑๑๘. มีแซล ตราเณ ,ประวัตศิ าสตรใ์ นพระราชาณาจักรกมั ชู าจักรภพกัมพูชเทศต้ังแตศ่ ตวรรษท่ี ๑๓ ในคริสต์ศกั ราช, หน้า ๓๒.
๑๘๔ พระบาทชัยวรมันที่ ๖ (พ.ศ. ๑๖๒๓–๑๖๕๐ / ค.ศ. ๑๐๘๐ - ๑๑๐๗) พระองคท์ รงเปน็ ราชยว์ งศ์ “มหิธร” ซ่งึ ไดป้ รากฏในหลกั ศิลาจารึก “พนมรงุ่ ” และเปน็ ราชย์วงศ์ที่มคี วามซบั ซ้อน คาดว่าตน้ ราชวงศน์ ่าจะเป็นเจา้ ชายมหินทรวรมนั เดิมครองเมืองวเิ ทภะอยู่ บรเิ วณปราสาทพระวิหาร ต่อมาพระบาทสุรยิ วรมันท่ี ๑ ได้สงั่ ยา้ ยไปครอง “ดนิ แดนแห่งรงั โคล ” ท่ี หลายท่านคาดวา่ เปน็ เมอื งแถว ๆ พนมรุ่งปจั จุบนั โดยในราชวงศ์น้ี มกี ษตั รยิ ค์ รองอาณาจกั รขอม หลายพระองค์มอี ิทธิพลอยา่ งสงู ต่อการสร้างปราสาท และวฒั นธรรมของขอมในประเทศไทย โดยเร่มิ ต้งั แต่พระบาทชัยวรมันท่ี ๖ พระองค์แรกซง่ึ ทรงศรทั ธานบั ถอื พระพุทธศาสนา แตม่ ิไดข้ ัดขวางศาสนา ฮินดู เปน็ ลกั ษณะเชน่ เดียวกนั กบั พระบาทสุริยวรมนั ท่ี ๑ ทีใ่ หเ้ สรีภาพในเรื่องของศาสนา ฉะน้ัน ปราสาทพิมาย (Pimai) อาจจะสรา้ งในสมัยของพระองคน์ ้ดี ว้ ย ดังนัน้ การที่อาณาจักรของพระบาทชยั วรมันท่ี ๖ ทรงมอี ิทธพิ ลตอ่ อาณาจกั รขอมนน่ั ก็ อาจจะเปน็ ไดว้ ่า การท่พี ระองค์ทรงประกาศตนเปน็ พระมหากษัตรยิ ข์ องกัมพชู า ซ่งึ ในช่วงน้ัน ปลายรชั สมัยของพระบาทหรรษวรมนั ท่ี ๓ ทรงสวรรคต พระบาทนฤปตนิ ทราทิยวรมนั ทีเ่ ป็นปโุ รหิตใน พระองคท์ รงขึ้นครองราชย์ อนั เปน็ เหตทุ ําให้เกดิ การแยง่ ชิงราชบัลลงั กร์ ะหวง่ ปุโรหติ กบั ขนุ นาง พระ บาทชยั วรมันที่ ๖ ก็ไดย้ กทัพมารบกบั พระบาทนฤปตนิ ทราทิยวรมนั และทรงสวรรคตในปี พ .ศ. ๑๖๕๗ สําหรบั ประชาชนก็ศรทั ธาในพระบาทนฤปตนิ ทราทยิ วรมัน ต่อมา รัชสมัยของพระบาทธรณินทรวรมนั ที่ ๑ (พ.ศ. ๑๖๕๐ - ๑๖๕๖) ซงึ่ เป็นพีช่ ายของ พระบาทชัยวรมนั ท่ี ๖ แต่ขึน้ ครองราชยห์ ลังจากนอ้ งชาย โดยพระองค์ทรงเป็นคชู่ งิ ดชี งิ เด่นกับพระ บาทนฤปตนิ ทราทยิ วรมันเกยี่ วกบั การครองราชย์ และพระราชนดั ดาของพระองค์ซึ่งอนาคตพระบาท สรุ ยิ วรมันที่ ๒ ทาํ สงครามระหว่างพระบาทธรณินทรวรมันที่ ๑ รนุ แรงมาก จนในที่สดุ ปี พ .ศ. ๑๖๕๖ พระบาทสุริยวรมันท่ี ๒ ปลงพระชนมพ์ ระบาทธรณนิ ทรวรมนั ไดส้ ําเร็จแล้วทรงขนึ้ ครองราชย์ ตอ่ มาก็ ไดร้ บกับพระบาทนฤปตนิ ทราทิยวรมัน และปลงพระชนมไ์ ด้ นับแตน่ ้นั มาประเทศกมั พูชาได้กลบั มามี เอกภาพอีกคร้งั ภายใต้การปกครองของพระองค์ ฉะนน้ั การพระศาสนาในชว่ งที่พระบาทนฤปตินทราทยิ วรมัน พระบาทชยั วรมันท่ี ๖ และ พระบาทธรณนิ ทรวรมนั ท่ี ๑ ทรงขนึ้ ครองราชยน์ น้ั มิได้กล่าวถึงการศกึ ษาของพระสงฆเ์ ลย เพราะ เปน็ ช่วงที่ประเทศชาติตกอยภู่ ายใต้การทําสงครามแยง่ ชิงราชบลั ลงั ก์กันเอง และส่งผลใหส้ ภาพของ มีแซล ตราเณ, ประวตั ิศาสตร์ในพระราชาณาจกั รกัมชู า จกั รภพกมั พชู เทศ ต้ังแตศ่ ตวรรษท่ี ๙ – ๑๓ ในครสิ ต์ศกั ราช, หนา้ ๓๒. พรี ะพงศ์ สขุ แกว้ , ย้อนรอยเทวราชาผ่านกษัตราแหง่ นครธม, หน้า ๑๑๙ - ๑๒๐. พรี ะพงศ์ สุขแก้ว, เรอ่ื งเดียวกัน, หน้า ๑๒๐. ชา อวม และคณะ, ประวตั ศิ าสตร์กัมพชู า, แปลโดยสันติ ภักดคี าํ , หน้า ๒๙ - ๓๐.
๑๘๕ บ้านเมอื งไมม่ คี วามสงบสุข อันเปน็ เหตุทําให้อาณาจกั รทอ่ี ยูร่ อบข้างได้โอกาสเตรยี มกาํ ลงั เพือ่ ทจี่ ะเขา้ มารุกรานทุกเวลา ดังจะเหน็ ในรัชสมัยของพระบาทสรุ ิยวรมันที่ ๒ ตามลาํ ดบั พระบาทสรุ ยิ วรมนั ท่ี ๒ (พ.ศ. ๑๖๕๖ - ๑๖๙๓) พระองค์ทรงขึน้ ครองราชยห์ ลงั จากทรงปราบการแย่งชงิ ราชบัลลงั ก์กนั เองภายในประเทศ เป็นเวลานาน จนไดร้ ับเอกภาพมีความสงบสขุ เกดิ ข้นึ พระองค์นั้นทรงนบั ถือศาสนาพราหมณ์ เคารพ พระวษิ ณุ และเปน็ พระมหากษตั รยิ ท์ ท่ี รงอาํ นาจอีกพระองค์หน่งึ สมยั พระนครซง่ึ เปน็ มหา อาณาจักรมคี วามเจริญรงุ่ เรืองท่ีเรยี กว่า “เป็นศกั ราชของอารยธรรมของกมั พูชา ” รัชสมัยของ พระองคท์ รงเปน็ พระมหากษตั รยิ ์ทปี่ กครองด้วยระบบเทวราช เพอ่ื เป็นเคร่ืองหมายรวบรวม และ ควบคุมกาํ ลงั ไพรพ่ ลใหเ้ ป็นอันหน่งึ อนั เดียวกนั ส่วนทางดา้ นเศรษฐกิจบา้ นเมอื งอดุ มดว้ ยระบบ ชลประทานทจี่ ดั ไวอ้ ยา่ งดี ทรงแผ่ขยายอาณาเขตทางภาคเหนอื ถงึ ล้านนา ภาคกลางจรดพม่า ภาคใต้ถงึ อ่าวบา้ นดอน (สุราษฏรธ์ านี) ภาคตะวันออกถงึ แควน้ ตังเก๋ีย พร้อมท้งั ปราบอาณาจักรจาม ปาลง และยดึ ครองไวไ้ ดป้ ระมาณ ๔ ปี นอกจากนั้นพระองค์กท็ รงอุปถัมภบ์ ํารุงศาสนาฮินดู ทางลัทธิไวษณพ จนเกดิ มีลทั ธวิ ษิ ณรุ าชแทนลัทธเิ ทวราช พรอ้ มทัง้ ไดส้ รา้ งศาสนสถานอันเป็นสงิ่ มหัศจรรยข์ องโลกคือนครวดั (Angkor Wat) เปน็ ศาสนสถานทีใ่ หญ่ทีส่ ุดในโลก มเี ทวรูปพระวิษณุ เทพทรงครุฑทองคาํ อยู่ศูนยก์ ลางบริเวณทั้งหมด มเี นอื้ ทีก่ ว้าง ๘๕๐ . ๑๐๐๐ เมตร มีคลู ้อมรอบ ๒๐๐ เมตร และลึกประมาณ ๔ เมตรพร้อมทง้ั มชี ัน้ บนั ไดอยู่ลอ้ มรอบด้วย นอกจากน้ี รัชสมัยของพระองคย์ งั มกี ารทาํ สงครามอันสบื เน่ืองมาจากพระราชาองคก์ ่อน ๆ พรอ้ มทงั้ มีการชงิ ราชบัลลังก์ในพระราชอาณาจักรด้วย เป็นเหตุใหอ้ าณาจกั รเคยเป็นคสู่ งครามกันมา กอ่ นไดร้ วบรวมกาํ ลงั เตม็ ที่ กเ็ ร่มิ รุกรานเขา้ มาพระองค์จงึ ตอ้ งรบกนั อีก ๒ คร้ัง คอื คร้งั ที่ ๑ เป็นชว่ งท่ีกมั พชู ากาํ ลงั เกิดความแตกแยก จามได้จัดทพั มาตงั้ อยทู่ ต่ี าํ บลฎีสณฺฎ (ดนิ สนั ดอน) ของแมน่ า้ํ โขง แล้วปล้นเอาวตั ถุมีคา่ ไปจากปราสาทตา่ ง ๆ พระองค์ไดไ้ ล่จามพวกนไี้ ป พุทธศาสนบัณฑติ , พุทธศาสนา๒๕๐๐, หนา้ ๖๘. มีแซล ตราเณ, ประวตั ิศาสตร์ในพระราชาณาจกั รกัมชู าจกั รภพกมั พชู เทศตั้งแต่ศตวรรษที่ ๙ - ๑๓ ในครสิ ตศ์ กั ราช, หนา้ ๑๓๘ - ๑๓๙. พระธรรมปฏิ ก (ป.อ.ปยุตโฺ ต), พระพุทธศาสนาในอาเซยี , หนา้ ๑๗ - ๑๘. เรือ่ งเดยี วกนั , หนา้ ๑๓๙. สุชาติ หงษา, ประวตั ศิ าสตรพ์ ระพุทธศาสนาจากอดีตสู้ปัจจุบัน, หน้า ๑๐๙. มแี ซล ตราเณ, ประวัติศาสตรใ์ นพระราชาณาจกั รกมั ูชา จักรภพกัมพูชเทศ ตง้ั แต่ศตวรรษที่ ๙ – ๑๓ ในครสิ ตศ์ ักราช, หนา้ ๑๔๑. เรอื่ งเดยี วกัน, หนา้ ๑๕๕.
๑๘๖ อาศัยในเวยี ดนาม ครนั้ ทรงเห็นว่าเวียดนามช่วยจาม พระองค์จงึ ตเี วยี ดนามอกี และในปี พ .ศ. ๑๖๗๔ พระองคไ์ ด้บังคบั ใหจ้ ามเข้ากับกัมพูชาเพื่อตเี วยี ดนาม คร้งั ท่ี ๒ ในปี พ.ศ. ๑๖๗๙ พระเจา้ แผ่นดนิ จามเหน็ ว่าพระบาทสรุ ิยวรมนั ท่ี ๒ ไม่สามารถ เอาชนะเวียดนามได้ก็แยกตัวจากกมั พูชา แล้วกลบั เขา้ กบั เวียดนามอีก เพอ่ื เปน็ การแกแ้ ค้นทจ่ี ามแปร พกั ตรน์ ่ันทาํ ให้ในปี พ.ศ. ๑๖๘๘ พระองคไ์ ด้ยกทับตกี รุงวชิ ัย และประเทศจามไดท้ งั้ หมด ต่อมาปี พ.ศ. ๑๖๙๐ พระองค์ต้ังเชอื้ พระวงศ์กมั พชู าพระองคห์ นึง่ พระนามวา่ หริเทวะไป ครองจามปาได้ ๕ ปี พวกจามทางใตไ้ ด้พากันขบถพรอ้ มทงั้ ปลงพระชนม์พระบาทหรเิ ทวะไดส้ ําเรจ็ และในปี พ.ศ. ๑๖๙๓ ถัดมาพระบาทสรุ ิยวรมนั ที่ ๒ ก็ทรงสวรรคตพรอ้ มทัง้ ได้รบั เฉลมิ พระปรมาภิไธย วา่ พระบรมวษิ ณุโลก ซง่ึ หมายความวา่ พระองคท์ รงเสดจ็ เข้าสู่สถานทขี่ องพระวิษณเุ ป็นท่ี ประดษิ ฐานพระรปู ของพระองคเ์ พือ่ เปน็ ท่ีเคารพสักการะบชู า โดยสรปุ พระพทุ ธศาสนารัชสมยั ของพระบาทสุริยวรมันท่ี ๒ ไดม้ กี ารเปล่ยี นแปลงรูปแบบ การปกครองพร้อมทัง้ การทํานุบํารงุ พระพุทธศาสนาดว้ ย กล่าวคอื ทรงเปล่ยี นระบบการปกครองแบบ เทวราชมาเปน็ วษิ ณรุ าชแทน ทําให้การอปุ ถัมภ์พระศาสนาน้ันไดห้ นักไปทางลัทธทิ ่พี ระองคท์ รงเคารพ ศรัทธามากกว่าศาสนาที่พระราชากอ่ น ๆ ได้กระทาํ ไว้ หรืออาจจะสบื เน่อื งจากบา้ นเมอื งถกู รกุ ราน จากทง้ั ภายนอก และเกดิ ความวุ่นวายภายในอาณาจกั รด้วยก็เป็นได้ พระบาทธรณินทรวรมันท่ี ๒ (พ.ศ. ๑๖๙๓ - ๑๗๐๓) พระองคท์ รงครองราชยส์ มบัตติ อ่ หลงั จากพระบาทสรุ ิยวรมันที่ ๒ ทรงสวรรคตแล้ว โดย เหตทุ พ่ี ระองค์ทรงเป็นอนชุ าร่วมพระอยั ยกิ ากบั พระบาทสุริยวรมันท่ี ๒ เมอื่ ทรงครองราชยแ์ ลว้ ทรงมี ชายาที่เป็นพระราชบุตรขี องพระบาทหรรษวรมันท่ี ๓ ทรงมนี ามว่าพระศรีชยราชจูฑามณี และประสตู ิ พระราชบตุ รพระองค์หนึง่ ประกอบดว้ ยคณุ สมบัติทุกประการทรงเป็นมกุฎราชกมุ าร และอนาคตนั่นคอื พระบาทชัยวรมนั ที่ ๗ รัชสมัยน้ีทรงเป็นพุทธศาสนกิ ชนนบั ถือพระพุทธศาสนามหายานอย่างม่นั คง ดังท่ี ยอรช์ เซเดสไ์ ด้แปลจากหลกั ศลิ าจรึก มีใจความว่า “พระองคท์ รงมีพระราชหฤทัยอย่างยิง่ ตอ่ นํา้ อมฤตแหง่ ศาสนาพระจนั ทร์ คือพระศากยมุนที รงมอบสทิ ธิแดภ่ กิ ษุพราหมณ์พรอ้ มทง้ั ประชาชนของ ชา อวม และคณะ, ประวัติศาสตร์กมั พชู า, แปลโดยสันติ ภกั ดคี ํา, หน้า ๓๐ - ๓๒. มแี ซล ตราเณ, เรอ่ื งเดยี วกัน, หนา้ ๑๕๔. ชา อวม และคณะ, ประวตั ศิ าสตรก์ มั พชู า, แปลโดยสันติ ภกั ดคี ํา, หน้า ๓๒. มีแซล ตราเณ, ประวตั ศิ าสตรใ์ นพระราชาณาจักรกัมูชา จกั รภพกมั พูชเทศ ต้งั แตศ่ ตวรรษท่ี ๙ - ๑๓ ในครสิ ต์ศกั ราช, หน้า ๑๕๕. พุทธศาสนบณั ฑิต, พทุ ธศาสนา ๒๕๐๐, หนา้ ๖๙.
๑๘๗ พระองค์ที่ตอ้ งการนาํ เอาสาระธรรมจากกายทไ่ี มม่ สี าระ กลา่ วคอื อายตนะเป็นอสุภะ และทรงกม้ พระ วรกายถวายบงั คมโดยเคารพแดพ่ ระบาทแห่งพระชินศรที ุกกาลท้ังปวง” จากความหมายที่ปรากฏในศิลาจารกึ น้ีก็แสดงใหเ้ ห็นว่าพระองคท์ รงเปน็ พระราชาทรงไม่ กดี กนั เร่ืองของการนับถอื ศาสนาไม่วา่ จะเปน็ พระภิกษุสงฆ์องค์สามเณร พร้อมทง้ั พระราชวงศานุวงศ์ และประชาราษฎรส์ ามารถทจี่ ะนับถอื ศาสนาทตี่ วั เองศรัทธาได้ ซึ่งจุดม่งุ หมายของพระองค์กค็ ือเพ่อื ให้ ทุกคนพิจารณาร่างกายของตัวเองว่าเปน็ อสภุ ะ เป็นสิ่งปฏิกลู เป็นสง่ิ ทไี่ มค่ วรไปยดึ ติด เมื่อศึกษาเข้าใจ และนํามาปฎิบตั ิถกู ต้องแลว้ ก็จะเข้าถึงแกน่ แท้แห่งสัจธรรมและหลุดพน้ จากกองทุกขท์ ัง้ ปวง ตอ่ มาปี พ.ศ. ๑๗๐๓ พระวรบดิ าของพระองค์ทรงสวรรคตโดยพระราชาทีท่ รงครองราชย์ ต่อคือพระบาทยโสวรมันที่ ๒ (พ.ศ.๑๗๐๓–๑๗๐๘) สาํ หรบั พระบาทชัยวรมนั ท่ี ๗ ซง่ึ เป็นพระราชโส รสนนั้ มิได้ข้นึ ครองราชย์ตอ่ จากพระราชบดิ า เนื่องจากพระองคไ์ ดไ้ ปทําสงครามกบั จามปาจนถงึ ปีพ .ศ. ๑๗๐๘ และเป็นปีท่พี ระบาทยโสวรมันท่ี ๒ ซึง่ ถูกขนุ นางคนหน่ึงปลงพระชนม์เพอ่ื ชงิ ราชบัลลังก์พระ บาทชยั วรมันท่ี ๗ ทรงทราบแล้วเสดจ็ กลับคนื มาก็เกดิ สงครามขึ้นในรัชกาล สว่ นพระบาทตรีภวู นาทิตยวรมนั เป็นขุนนางที่ปลงพระชนมพ์ ระบาทยโสวรมนั ที่ ๒ กท็ รง ข้ึนครองราชยใ์ นปี พ.ศ. ๑๗๐๘ - ๑๗๒๐ ไดร้ บั พระนามวา่ พระบาทตรภี วู นาทิตยวรมนั และกเ็ ปน็ ปีท่มี ีการรบกนั กับจามอกี โดยในปพี .ศ. ๑๗๒๐ จามได้ยกทพั มาที่แมน่ ้ําโขงเข้ามาถึงทะเลสาบ เวลา นั้นจามตเี มอื งพระนครได้พรอ้ มทั้งปลงพระชนมพ์ ระบาทตรีภวู นาทิตยวรมนั ดว้ ย จามกไ็ ดย้ ึดเมืองพระ นครเป็นเวลาประมาณ ๕ ปี ซึ่งการพ่ายแพใ้ นครัง้ น้ไี ดท้ ําให้พระราชอาณาจักรกัมพูชาไดส้ ูญเสยี อนุ ภาพอย่างมาก ทาํ ใหภ้ าระในการทีจ่ ะกอบกบู้ ้านเมืองขน้ึ มาใหม่ให้มเี อกภาพในการปกครองบริหาร ประเทศนน้ั ตกอยพู่ ระบาทชยั วรมันท่ี ๗ โดยสรุป ช่วงทพ่ี ระบาทยโสวรมันท่ี ๒ และพระบาทตรีภวู นาทติ ยวรมนั ทรงครองราชย์นน้ั พระบาทชัยวรมันท่ี ๗ พระองค์เปน็ พระราชาทไ่ี มแ่ ยง่ ชิงราชบลั ลังก์กนั เองในราชวงศ์ พระองค์ทรง เหน็ ว่าการแยง่ ชงิ กนั เองนน้ั เป็นเหตทุ าํ ให้ศตั รูสามารถทยี่ ึดครองเมืองได้ทุกเวลา เพราะประชาชน ขุน นางกําลงั เกดิ ความแตกแยกขาดความสามัคคีกัน และกาํ ลังกองทัพก็ไมส่ ามารถท่ีจะเอาชนะข้าศกึ ได้ จนกระทง่ั พระบาทตรภี ูวนาทิตยวรมันทรงสวรรคต พระองคจ์ งึ รวบรวมกองทัพรบกบั จามจนไดร้ บั ชยั ชนะ และกําจัดพวกจามออกจากพระราชอาณาจกั รกมั พชู าในปีพ .ศ. ๑๗๒๔ ซ่งึ เปน็ ปีทีพ่ ระองคข์ นึ้ ครองราชยท์ รงไดร้ บั พระนามว่าพระบาทชัยวรมนั ท่ี ๗ ชา อวม และคณะ, ประวตั ิศาสตรก์ มั พูชา, แปลโดยสันติภักดคี ํา, หน้า ๓๒ - ๓๓. มีแซล ตราเณ, ประวัตศิ าสตร์ในพระราชาณาจักรกัมชู า จักรภพกมั พูชเทศ ต้งั แต่ศตวรรษท่ี ๙ - ๑๓ ในครสิ ต์ศกั ราช, หน้า ๑๕๖. ชา อวม และคณะ, ประวัตศิ าสตร์กัมพชู า, แปลโดยสันติ ภกั ดคี ํา, หน้า ๓๓.
๑๘๘ พระบาทชยั วรมนั ที่ ๗ (พ.ศ. ๑๗๒๔ - ๑๗๖๑ / ค.ศ. ๑๑๘๑ - ๑๒๑๘) พระองคท์ รงเป็นพระราชาหรือเป็นเสดจ็ จกั รวาล ทรงปกครองประเทศชาติตามหลกั พทุ ธ ธรรมอันนํามาซ่งึ โภคผลความเจริญงอกงามในทกุ ๆ ดา้ นแกป่ ระชาราษฎร์ พร้อมทงั้ ไดท้ รงบาํ เพญ็ พระกรณยี กิจทสี่ าํ คัญทส่ี ดุ ของการปกปักรกั ษาประเทศชาติให้ปลอดพน้ จากศัตรขู า้ ศึกท่ีเข้ามารกุ ราน พระราชอาณาจกั รกัมพูชา พรอ้ มกนั นน้ั พระองค์ทรงเป็นพระราชาท่ีทาํ นบุ าํ รงุ อปุ ถัมภ์พระพทุ ธศาสนา และยกยอ่ งให้พระพทุ ธศาสนาเป็นศาสนาของชาติ ทรงบําเพ็ญพระราชพิธสี ําคัญ ๆ แบบพทุ ธนิยม เพ่อื ใหเ้ กดิ เอกภาพของชาติทใ่ี หญไ่ พศาลไดโ้ ดยพระองค์ทรงสถาปนาเทวสถาน โรงพยาบาล วดั วา อาราม ศาลาธรรมะ มหาวิทยาลัย สะพาน และถนนหนทาง ท้งั ในพระราธานกี เ็ หมอื นกบั ในหวั เมอื ง ต่าง ๆ ได้ปรากฏหลักฐานในศิลาจารึกประสาทพระขรรธ์ ซง่ึ การดําเนนิ งานการกอ่ สร้าง บรู ณปฏสิ งั ขรณ์ประสาทศาสนถานวดั วาอารามและสง่ิ สาธารณูปโภคเหลา่ นี้ คือพระองค์ทรงดําเนิน ตามพระจริยาวตั รของพระเจ้าอโศกมหาราช พระองคท์ รงศรทั ธาอย่างแรงกล้าในนกิ ายมหายาน เหมอื นกับพระราชบดิ าของพระองค์ กลา่ วคือรชั กาลของพระองค์ทางพุทธจกั รก็ดี ทางอาณาจกั รก็ดี มีความเจริญรุ่งเรืองสูงสุด สืบเนอ่ื งจากพระองค์ทรงเป็นพระราชาท่ปี ระกอบด้วยพรหมวหิ ารธรรม ของปกครองประเทศ นอกจากน้ีแลว้ พระองคย์ ังไดท้ รงสง่ เสริมพระพุทธศาศนาฝาุ ยมหายานจนมี ความเจรญิ อยา่ งแพรห่ ลาย พรอ้ มทัง้ ศรัทธาในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท และศาสนาพราหมณ์ เหมือนเดมิ คอื ทรงตงั้ “ลทั ธพิ ทุ ธราช ” ข้นึ มาแทนลัทธเิ ทวราช และทรงสร้างนครธมหรอื มหา นครเป็นราชธานีโดยมพี ุทธวหิ ารบายนเปน็ ท่ปี ระดิษฐานพระพทุ ธรูปองคใ์ หญ่ เรยี กว่าพุทธราช เปน็ พุทธสถานนกิ ายมหายาน ต้งั อยเู่ ปน็ ศูนย์กลางมคี ูล้อมรอบเมอื งยาวประมาณ ๑๒ กโิ ลเมตร และนอกจานี้ พระองคท์ รงสร้างปราสาทอ่ืน ๆ อกี หลายแหง่ ในพระราชธานี เชน่ ปราสาทบนั ทายกฎี (Banteay Kdei) ปราสาทพระขรรธ์ (Preah Khan) เป็นตน้ เพื่ออุทศิ ถวายแด่ พระพุทธศาสนา ปราสาทตาพรหมเป็นสถานทศ่ี ึกษาของพระสงฆ์คือเป็น มแี ซล ตราเณ, ประวตั ศิ าสตร์ในพระราชาณาจักรกัมชู า จักรภพกมั พชู เทศ ต้ังแตศ่ ตวรรษท่ี ๙ - ๑๓ ในครสิ ตศ์ ักราช, หนา้ ๑๗๑,๑๗๗ - ๑๗๘. พรี ะพงศ์ สุขแก้ว ,ยอ้ นรอยเทวราชาผา่ นกษัตราแหง่ นครธมหนา้ ๑๒๕ - ๑๓๔. มีแซล ตราเณ , ประวตั ศิ าสตรข์ องกัมพูชา : สังคมเขมรในรัชกาลพระเจ้าชัยวรมนั ที่ ๗, (พนมเปญ : ม.ป.ส. , ๒๐๐๓), หนา้ ๒๐ - ๒๖, ๑๑๘ - ๑๑๙. Hitoshi Tamura and Yoshiaki Ishizawa, A long The Royal Roads To Ankor, 5th ed, (New York and Tokyo. English edition protected copyright under the terms of the International Copyright Union; all rights reserved. Printed in Chaina, 2005), p. 9. พีระพงศ์ สขุ แก้ว, ย้อนรอยเทวราชาผา่ นกษตั ราแหง่ นครธม, หนา้ ๑๒๕. ชา อวม และคณะ, ประวตั ิศาสตร์กัมพชู า, แปลโดยสนั ติ ภักดีคาํ , หน้า ๓๘.
๑๘๙ มหาวิทยาลยั สงฆ์ และพรอ้ มทงั้ ไดป้ รากฏบทความจารึกของวดั บุรีราชมหาวหิ าร หรือ จารึกปราสาทตาพรหมณ์ มีใจความวา่ “บรุ รี าชมหาวหิ าร หรอื มหาวทิ ยาลัยสงฆ์นั้น มกี ารสนบั สนนุ จากหวั เมืองจาํ นวน ๓ ,๑๔๐ เมอื งเพอื่ เปน็ การอปุ ถัมภ์ครูบาอาจารย์ ๔๐๐ คน พระอธิการ (มหาเถระ) ๑๘ รูปพระอธิการรอง (อนุเถระ) ๒,๗๔๐ รูป อบุ าสกผ้ชู ่วยงาน ๒ ,๒๓๒ คน อุบาสกิ าจํานวน ๖๑๕ คน ประชาชนผจู้ ําศลี หรอื ผู้มาศึกษาธรรมระยะสั้น และยาวจาํ นวน ๑๒ ,๖๔๐ คน และร่วมคนอืน่ ๆ ทท่ี าํ หน้าท่ีประจําท้ัง ชายและหญงิ จาํ นวน ๖๖ ,๖๒๕ คน เมอื่ รวมจาํ นวนทง้ั หมดแล้วมจี ํานวน ๘๔ ,๖๕๕ คน รวมทัง้ ชาว ต่างประเทศท่มี าศึกษาท่นี ี่ มีชาวพมา่ และชาวจาํ ปามาอาศัย เพ่อื ศกึ ษาในท่ีน้ดี ว้ ย” นอกจากน้ี ภายในพุทธมหาวหิ ารมีบา้ นพักหรอื กฏุ ทิ ่สี รา้ งดว้ ยหินมีจาํ นวน ๕๖๖ แหง่ ท่ี สรา้ งดว้ ยอิฐ ๒๘๘ แหง่ สระนา้ํ กวา้ ง ๗๖ วา และยาว ๑ ,๑๕๐ วา มพี ระภกิ ษุ (ธรรมจารี) จาํ นวน ๔๓๙ รูปรบั ภัตตาหารทุกวันในพระราชวัง ศิษยท์ ี่อยู่กบั ครจู ํานวน ๙๗๐ คน รวมท้งั หมด ๑ ,๔๐๙ พร้อมกันน้ันก็มกี ารสร้างพระพุทธรูปจาํ นวน ๗๙๘ องค์เพ่ือประดษิ ฐานไว้ทวั่ พระราชอาณาจกั ร ดังได้ ปรากฏบทความหลักศิลาจารึกบอกวา่ พระบาทชยั วรมันท่ี ๗ ทรงมีจิตประกอบดว้ ยพระมหา กรณุ าธคิ ณุ ใหญห่ ลวงตอ่ ประชาชนของพระองค์ กลา่ วคือทรงห่วงใยตอ่ โรคของประชาชนกว่าพระ อาพาธขององค์เอง เพราะวา่ ทกุ ข์ของประชาราษฏรค์ ือเป็นทกุ ขข์ องผู้ปกครอง ดงั นน้ั พระราชา ทัง้ หลายควรตง้ั พระราชหฤทัยประกอบดว้ ยความมีเมตตา และพระองค์ทรงตัง้ ปณิธานวา่ ขอให้ ข้าพเจา้ ไดข้ นสรรพสัตวท์ ้งั ปวงซึง่ จมอยู่ในสาครแห่งหว้ งวัฏสงสารอันมีไตรภพไปวางถงึ ฝง่ั คืออมตมหา นพิ พาน ด้วยเดชแห่งกุศลที่ข้าพเจ้าได้สรา้ งมานท้ี กุ ประการเทอญ สาํ หรบั การศึกษาพระปรยิ ตั ธิ รรม รชั สมัยของพระองค์มเี หตกุ ารณ์สําคญั อยา่ งหน่ึงคอื ทรง ได้ส่งพระราชบุตรไปศึกษาวิชาการทางพระพุทธศาสนาพร้อมทง้ั ทรงผนวชท่ีวดั มหาวิหารแหง่ เกาะ ลงั กา ซึ่งการสง่ พระราชบตุ รไปศึกษาคร้งั นี้ทาํ ให้เกิดความเปล่ียนแปลงทางพทุ ธศาสนาในกมั พูชา เวลาต่อมา กลา่ วคอื ตอนตน้ รชั กาลของพระบาทชัยวรมันที่ ๗ และตรงกับตอนปลายของรัชกาลพระ เจ้าปรากรมพาหมุ หาราชแหง่ ประเทศศรลี งั กา ช่วงนนั้ พระพทุ ธศาสนาแบบเถรวาทในลงั กาได้รบั การ ฟื้นฟมู ีการอปุ ถมั ภบ์ าํ รงุ เจริญรุ่งเรืองขึ้นทั้งในดา้ นปริยตั ิและปฏบิ ตั ิ จนกลายเป็นศูนย์กลางการศึกษา ของพระสงฆใ์ นยคุ นนั้ จงึ ทําใหม้ พี ระภิกษสุ ามเณรจากประเทศต่าง ๆ เปน็ จํานวนมากไดไ้ ปศกึ ษาเล่า เรยี นทีน่ นั่ ดงั ท่ีปรากฏในพงศาวดารพมา่ (จุลวงศ)์ ไดก้ ลา่ วว่า มแี ซล ตราเณ,ประวตั ศิ าสตร์ในพระราชาณาจักรกมั ชู า จกั รภพกัมพชู เทศ ตัง้ แตศ่ ตวรรษท่ี ๙ – ๑๓ ในคริสต์ศักราช, หน้า ๑๘๙-๑๙๒. เรื่องเดียวกนั , หนา้ ๒๕๐ - ๒๕๑. พทุ ธศาสนบณั ฑติ , พุทธศาสนา ๒๕๐๐, หนา้ ๗๕ - ๗๖.
๑๙๐ “ราวปี พ.ศ. ๑๗๓๓ พระภิกษุมอญรปู หน่งึ ชือ่ ฉปตะไดเ้ ดินทางจากประเทศพม่าติดตาม พระมหาเถระมอญรูปหนึ่งไปยงั ลังกาทวีปตอนยังเปน็ สามเณร ไดศ้ ึกษาเล่าเรียนอยู่ ๑๐ ปี แลว้ อปุ สมบทกไ็ ด้เดินทางกลับมายงั ประเทศพม่า เพ่อื ดาํ เนินงานอบรมสัง่ สอนใหก้ ารอุปสมบทแก่ผ้ทู ี่ ศรทั ธาตามแบบที่รับมาจากลงั กา ทาํ ใหช้ าวพม่ามคี วามต่ืนตวั ในการศึกษาและปฎิบตั มิ ากข้ึนการ เดนิ ทางกลบั มา คร้ังนน้ั พระฉปตะได้นาํ พระภิกษุชาวตา่ งชาติร่วมเดนิ ทางกลบั มาด้วย ๔ รปู ซ่ึงใน จาํ นวนนนั้ มชี ื่อพระตามลนิ ทะ พระโอรสของพระบาทชัยวรมนั ที่ ๗ ไดก้ ลับมาด้วยทาํ ให้พระราชาที่ ครองราชย์ในอาณาจักรกัมพูชา ตอ่ มาทรงเคารพศรัทธาพระพทุ ธศาสนาเถรวาทแบบลังกา และถกู ยก ยอ่ งใหเ้ ป็นศาสนาประจาํ ชาติกมั พูชาถึงปัจจุบัน ฉะนนั้ หลังจากพระบาทชัยวรมนั ท่ี ๗ ทรง สวรรคตในราวปพี .ศ. ๑๗๖๑ พระองค์ทรงไดร้ บั เฉลมิ พระปรมาภิไธยวา่ พระมหาบรมเสาวคตซึ่ง หมายถึงพระมหาบรมสคุ ต คือเป็นพระนามหนง่ึ ของพระพุทธเจ้าชื่อพระสุคต และรชั กาลต่อ ๆ มา ท่กี ําลงั จะพดู ถงึ นนั้ ประเทศกมั พชู ามคี วามเปลี่ยนแปลงอยา่ งมาก โดยเฉพาะเรื่องของพระพทุ ธศาสนา อนั เป็นเหตทุ ําใหพ้ ระราชาอาณากัมพชู าตกอยู่ภายใตค้ วามไมม่ ีเสถยี รภาพมากขึ้น โดยสรุป รัชกาลของพระบาทชยวรมันที่ ๗ ประเทศกมั พูชามอี ารายธรรมเจรญิ รงุ่ เรืองถงึ ชั้นสงู สุดในทกุ ๆ ด้าน โดยผศู้ ึกษาขอสรุปเป็นข้อๆ ไดด้ ังนี้ ๑) ดา้ นการเมอื งการปกครอง (Politics) คือหลังจากที่พระองค์ทรงครองราชยแ์ ลว้ ซงึ่ เป็นช่วงที่พระราชอาณาจักรมีความแตกแยกกัน อันเนื่องจากการแยง่ ชงิ ราชบังลงั กข์ องพระราชาองค์ กอ่ น ๆ และมกี ารรกุ รานจากศตั รภู ายนอกด้วย แต่ดว้ ยความสามารถของพระองคท์ ่ีนําเอาหลกั การ ทางพระพทุ ธศาสนาหรอื เอาพทุ ธธรรมนําหนา้ การปกครอง จงึ เปน็ เหตทุ ําใหพ้ ระราชาอาณาจกั รสมัย พระองคม์ คี วามเจรญิ รุ่งเรืองสงู สุด และมีอาณาเขตย่งิ ใหญไ่ พศาลในภมู ภิ าคนี้ ๒) ดา้ นการศึกษาพระพุทธศาสนา (Buddhist Studies) สาํ หรับการศกึ ษาน้นั ถือว่าเปน็ ยคุ ของพระองค์มคี วามเจริญรุ่งเรืองทั้งฝุายพทุ ธจกั ร และอาณาจักรโดยมีพทุ ธิกมหาวิทยาลยั คะเชนทรตง ซ่งึ เปน็ มหาวิทยาลยั แหง่ ทหี่ นง่ึ ท่ีสอนวิชาลทั ธพิ ระพุทธศาสนา มหาวิทยานลิ ะกะกตุ ตระ และมหาวิทยาลัยนเรนทราศรม เป็นสถานทีศ่ ึกษาสําหรับประชาชนทว่ั ๆ ไป รวมทัง้ สตรเี ชอ้ื พระวงศ์ ด้วย นอกจากนนั้ แลว้ ยงั มีพระภกิ ษชุ าวตา่ งชาติทเ่ี รยี นมหาวิทยาลัยนี้ดว้ ย แมเ้ ราไมส่ ามารถรู้ได้วา่ มี มีแซล ตราเณ, ประวัตศิ าสตร์ในพระราชาณาจักรกัมูชา จักรภพกมั พูชเทศ ตงั้ แต่ศตวรรษที่ ๙ - ๑๓ ในคริสตศ์ กั ราช, หนา้ ๒๓๒ - ๒๓๔. Hall. D.G.E., A History of Southeast Asia, (New York : St. Martin’s Press, 1962), p. 128. พระธรรมปฎิ ก (ป.อ.ปยุตโฺ ต), พระพุทธศาสนาในอาเซีย, หนา้ ๒๒.
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383