Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 2556-063 พระศรีวิสุทธิคุณ (ดร.)

2556-063 พระศรีวิสุทธิคุณ (ดร.)

Published by Thanarat Sa-Ard-Iam, 2023-06-30 00:34:22

Description: 2556-063 พระศรีวิสุทธิคุณ (ดร.)

Search

Read the Text Version

๔๑ เข๎า โจมตี เพอื่ คุ๎มครองพทุ ธศาสเมนอื่ากองทัพไทยมาถงึ ชาวกมั พูชาตาํ งกด็ ใี จเปน็ อยํางยิง่ เพราะจะไดม๎ าปลดปลํอย และรักษาพทุ ธศาสนาให๎ม่นั คงเชํนเพดริมะองคส๑ วรรคตเม่ือ พ.ศ. ๑๘๕๙ โดยถกู หอกของตาชยั หรือกตาารจใชาค๎ยํา ตามหลงั ของกษตั รยิ ก๑ ัมพชู าวําวรมจันึงจบลงเพียงเทํานแี้ ละเริ่มมาฟน้ื ฟูใหมใํ นสมยั ปจ๓ จบุ นั คือพระเจา๎ นโรดมสี หนวุ รมัน เพอ่ื ตอ๎ งการรักษาความยง่ิ ใหญํเหมอื นในอดตี ไว๎ ๒.๕.๒๕ พระเจา้ ชยั วรมนั ปรเมศวร (เจา้ เมืองนคร) พ.ศ. ๑๘๕๙ พระเจา๎ ชัยวรมนั ปรเมJaศyวaรva(rmanparameshvar) หรือเจา๎ เมอื งนครไดช๎ บุ เล้ยี งเจ๎าฟูา งุ๎มโอรสของกษตั ริย๑ฟาู โง๎มของลาว โดยการแนะนําของภกิ ษุชาวกัมพพูชารนะมามหวาาํ ปาสมนั ต์ หลังจากเจริญวยั แลว๎ พระองค๑ไดม๎ อบพระธิดานามวํา พระนางแก๎วเก็งยาให๎ ตํอมาได๎มอบกองทัพกัมพซู าใหจ๎ งึ นํากองทพั เขา๎ โจมตี อาณาจักรลาว (หลวงพระบาง) ลงได๎ แล๎วเจ๎าฟูางม๎ุ ได๎เป็นกษัตรยิ ๑ปกครองลาวตํอจากพระบดิ า พระเจา๎ กรงุ กมั พชู า ผู๎ เป็นพํอตาจึงมอบพระพุทธรปู ปางประทานพรให๎เปน็ ขวญั กาํ ลังใจแกํพระธดิ า ต้ังแตํนน้ั เปน็ ต๎นมาพระพุทธศาสนา แบบเถรวาทของกมั พูชาได๎หลง่ั ไหลเขา๎ สลํู าว จนทําให๎ลาวนับถือพทุ ธศาสนาแบบเถรวาทอยํางมนั่ คงตอํ มา และพระ มหาปาสมันตเ๑ ถระชาวกัมพชู าก็ไดเ๎ ดินทางมาอาศยั ทห่ี ลวงพระบางดว๎ ย ได๎รบั แตงํ ต้งั ใหเ๎ ปน็ พระสังฆราชลาวในสมยั พระเจ๎าฟาู งุม๎ ดว๎ ยน้เี ป็นหลกั ฐานแสดงใหท๎ ราบวาํ พระพุทธศาสนาแบบเถรวาท ในกมั พชู าไดม๎ ั่นแคลงะแยลังว๎เปน็ ผูส๎ นบั สนนุ ใหเ๎ จริญรงํุ เรืองในลาวดพว๎ รยะเจา๎ ชัยวรมันปรเมศวรทรงนับถอื พทุ ธศาสนาเถทรรวงาสทร๎างอารามหลาย แหงํ สวรรคต พ.ศ.๑๘๗๐ ๒.๕.๒๖ พระเจ้าแตงห(วTาeนangwan) พ.ศ. ๑๘๗๐ พระเจ๎าแตงหวาน (ตรอชกแผอฺ ม) หรอื พระเจ๎าศรีสริ ิบท ขึ้นปกครองอาณาจกั รพระนครสบื ตํอจากพระเจา๎ ชัยวรมนั ปรเมศวร ตํอมาในตํานานของกมั พชู ากลาํ ววํา ท่ีพระองค๑ได๎นามเชนํ นนั้ เพราะเคยเป็นชาวสวน ปลูกแตงโมมากอํ น เดิมชื่อตาจายหรือตาชัย ตํอมาเคยรับราชการ เคยรบชนะข๎าศกึ มามาก เมอื่ พระเจ๎าศรอี ินทรชยั วร มนั เบียดเบยี นพุทธศาสนาจึงได๎สังหารเสีย เมือ่ การกบฏสําเร็จจึงให๎เจา๎ เมืองนครปกครอง ตํอมาจึงยดึ อํานาจแลว๎ ขน้ึ ครองบลั ลงั กต๑ ํอมา พระองคน๑ บั ถอื พุทธศาสนานกิ ายเถรวาท สํวนนิกายมหายานมผี น๎ู บั ถือนอ๎ ย พระองค๑ปกครอง จนถึง พ.ศ. ๑๘๘๓ รวม ๔ ปเี ทาํ นั้น พระองคม๑ โี อรส ๒ พระองค๑คอื พระเจ๎านิพพานบาท กับพระเจา๎ สิทธานราชา และ ตํอมาโอรสของพระเจา๎ สิทธานราชานามวําพระเจ๎าลําพงราชาปกครองตํอมา ๒.๕.๒๗ พระเจ้านพิ พานNบibาaทnb(ath) พระองค๑ปกครองเมอ่ื พ.ศ. ๑๘๘๓ เปน็ พระราชบุตรองค๑ใหญํของพระเจา๎ แตงหวาน ครองราชย๑ ณ กรงุ ยโสธรปรุ ะ (นครธม) ตอํ จากพระบดิ า ประวัตขิ องพระองค๑คอํ นขา๎ งเลอื นราง แตพํ อสบื คน๎ ได๎วาํ ทรงขึน้ ครองราชย๑เม่ือ ทรงพระเยาว๑ โดยมีพระเจา๎ อาเป็นผู๎สาํ เรจ็ ราชการ ในสมัยนไ้ี มํมีเหตุการณค๑ วามวุนํ วายใด ๆ พระองค๑นบั ถือศาสนา พุทธ นิกายเถรวาท ปกครองได๎ ๖ ปีก็สวรรคต เม่ือ พ.ศ. ๑๘๘๙ ซ่งึ เปน็ ชวํ งท่พี ระเจ๎าอทูํ องของไทยสรา๎ งอาณาจกั ร อโยธยา (อยธุ ยา) ซึง่ เปน็ ภัยคกุ คามอาณาจกั รกัมพชู าตอํ มา

๔๒ ๒.๕.๒๘ พระเจา้ ศรีธรรมโศSกhrรiาDชham( mashokraj) พ.ศ.๑๙๑๖ ในรัชสมยั ขพอรงะเจา้ ศรธี รรมโศกราช พระนามเดมิ วาํ แกว๎ ฟูา ขน้ึ ครองราชยท๑ ี่เมืองนคร ธม พระองค๑เป็นพระอนุชาชองสมเดจ็ พระรามาธิบดีก(คอาํงทขดัพ)ไทยในสมัยพระบรมราชาธริ าชท่ี ๒ (เจ๎าสามพระยา) แหํงกรุงศรอี ยุธยาไดเ๎ ขา๎ โจมตีกัมพูชา ลอ๎ มนครหลวงอยํู ๗ เดือน พระองค๑ไดส๎ ํงพระสงฆผ๑ ใู๎ หญํ ๒ รูป เป็นทูต เจรจา คอื พระธรรมกิจและพระสคุ นธพ์ ระธรรมกิจนั้นบางฉบบั กลาํ ววําไดม๎ าศกึ ษาพระปรยิ ัติธรรมในพระนครศรีอยุธยา มาแลว๎ แตไํ มเํ ป็นผล ในทีส่ ุดพระองคย๑ อมพํายแพ๎มอบเมืองให๎กบั กองทัพไทย ตํอจากนัน้ กองทัพไทยไดม๎ อบเมอื ง ให๎กบั พระอินทราชา (แพรก)ซ่ึงเป็นพระโอรสของพระเจา๎ ศรธี รรมโศกราชขนึ้ ครองราชยแ๑ ทน ในไดขณ๎กวะาเดียวกนั ตอ๎ นชาวกัมพูชาไปยังกรงุ ศรอี ยธุ ยาถึง ๕ หมืน่ คน นบั เปน็ การสญู เสยี มากท่ีสดุ ครั้งหนงึ่ ของกัมพชู า มูลเหตขุ อง สงครามคร้ังนเี้ ป็นเพราะไทยไมพํ อใจท่กี องทัพกมั พชู าโจมตีเมอื งชายแดน และมีใจออกหําง ไปถอื ขา๎ งฝาุ ยเวยี ดนาม เปน็ ท่นี ําสงั เกตวาํ สงครามครั้งนไี้ ทยไมไํ ดส๎ ูร๎ บแบบปาุ ยเถังใือ่ หน๎เกียรตกิ ษัตรยิ ๑กมั พชู าอยมูํ าเกพราะจากพงศาวดาร กลําวยนื ยันวาํ เมือ่ พระเจ๎าศรีธรรมโศกราชไดเ๎ สดจ็ สวรรคตแพลร๎วะเจา๎ สามพระยาของไทยได๎ทาํ การฌาปนกิจ พระองคอ๑ ยาํ งสมพระเกียรติ แลว๎ สรา๎ งวัดพระเชตุพนถวายราชานสุ รณ๑ แล๎วนิมนตพ๑ ระธรรมกจิ เป็นเจ๎าอธิการวัด แลว๎ สรา๎ งวดั น๎อยอกี วัดถวายพระสคุ นธ๑เถระ เหตกุ ารณ๑นีอ้ าจจะเปน็ เพราะทง้ั สองฝาุ ย ตํางนับถอื พุทธศาสนาแบบเถรวาท เหมอื นกัน แตพํ ระอินทราชาปกครองไดไ๎ มํนาน ถูกพระยาญาตซิ ง่ึ เป็นพระญาติวงศอ๑ กี องคซ๑ ํองสมุ ไพรพํ ล เปน็ กบฏ แล๎วจบั พระอินทราชาประหเาพรราะถือวาํ เปน็ หนํุ เชิดของไทแลยว๎ พระองคค๑ รองราชย๑ตํอมา ในด๎านพระพุทธศาสนพาระเจา๎ ศรีธรรมโศกราชเปน็ กษัตรยิ ท๑ ่ีศรทั ธาในพระพุทธศาสนามาก ทรงมจี ริยา วตั รคลา๎ ยพระเจ๎าอโศกมหาราชของอนิ เดีย พระองค๑ไดส๎ ร๎างวัดพทุ ธศาสนารหาลชาอยาวณัดาจกั รอปุ ถัมภ๑คณะสงฆ๑ มากมาย การศึกษาของคณะสงฆ๑เฟอ่ื งฟูอยาํ งมาก ในยคุ นีศ้ าสนาพราหมณย๑ ังมบี ทบาทบา๎ งในเฉพาะพิธหี ลวง เชนํ พิธี แรกนาขวัญ พธิ ีขนึ้ ครองราชยส๑ มบตั เิ ป็นต๎น แตใํ นวิถีแหงํ ชาวบ๎านน้นั พทุ ธศาสนาแบบเถรวาทไดเ๎ ขา๎ มาแทนท่ี หมดแล๎ว ๒.๕.๒๙ สมเดจ็ พระบรมราชาธริ Pาaชram( arajadhiraj) สมเด็จพระบรมราชาธิราช พระนามเดิมวาํ พระยาญาติ ได๎เขา๎ โจมตสี งั หารพระอินทราชาและ ปกครองสืบมา เพราะกลัวกองทพั ไทยจะโจมตี จงึ ย๎ายเมอื งหลวงมาที่เมอื งศรีโสธร (จังหวดั ไพรเวยี งป๓จจุบัน) ซึง่ อยทูํ างทศิ ใต๎ แตํเพราะเกดิ ป๓ญหานํ้าทํวมจงึ ย๎ายไปยงั เมืองจตุรมุข คอื พนมเปญในปจ๓ จุบนั ต้งั แตํน้ัน เมอื งพนมเปญจึงกลายเปน็ เมืองหลวงของประเทศ แตอํ กี ๒ รัชกาลถัดมากลบั ย๎ายไปที่อน่ื จนกระทงั่ อกี ๒๐๐ ปจี ึงกลายมาเปน็ เมอื งหลวงอีกครง้ั ศานติ ภกั ดคี าํ , ดร., เขมรรบไทย, (กรงุ เทพฯ: บรษิ ัท พิฆเนศ ปริ้นตงิ้ เซนเตอร จาํ กดั , ๒๕๔๔), หน๎า๑๑๖. บังอร ปิยะพันธ๑, ผศ., ประ:วตั ิศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้, (กรงุ เทพฯ: โอ. เอส. พรน้ิ ติง้ เฮาส๑ , ๒๕๓๗), หน๎า ๒๙.

๔๓ สรุป ๑. อาณาจกั รพระนครถูกไทยโจมตีหลายครัง้ แตํท่ีไทยชนะมี ๓ ครั้งคือ สมยั พระเจ๎าอทูํ อง พ.ศ. ๑๘๙๓ สมยั พระราเมศวร และสมยั พระเจ๎าสามพระยา พ.ศ.๑๙๑๖ ๒. กษัตรยิ ๑กัมพชู าเปลี่ยนมานับถอื พุทธศาสนานกิ ายเถรวาทอยาํ งเปน็ ทางการ โดยกษัตริย๑ใน พ.ศ. ๑๘๗๙ เปน็ ต๎นมา สรปุ กษตั รยิ ร์ าชวงศพ์ ระนคร ที่ นามกษตั รยิ ๑ พ.ศ. เมืองหลวง ศาสนาท่นี ับถือ ๑ พระเจา๎ ชยั วรมันท่ี ๒ ๑๓๔๕-๑๓๙๖ เมอื งอินทรปุระ พราหมณ๑ นิกายไศวะ ๒ พระเจา๎ ชัยวรมันที่ ๓ ๑๓๙๖-๑๔๒๐ หรหิ ราลยั พราหมณ๑นกิ ายไศวะ ๓ พระเจา๎ อนิ ทรวรมันที่๑ ๑๔๒๐-๑๔๓๒ ยโสธรปรุ ะ(พระนคร) พราหมณ๑นกิ ายไศวะ ๔ พระเจ๎ายโสวรมนั ท่ี๑ ๑๔๓๒-๑๔๕๑ ยโสธรปุระ(พระนคร) พราหมณ๑นกิ ายไศวะ ๕ พระเจ๎าหรรษวรมันที่๑ ๑๔๕๓-๑๔๖๕ หรรษปุระ พราหมณน๑ กิ ายไศวะ ๖ พระเจ๎าอิสานวรมันที่๒ ๑๔๖๕-๑๔๗๑ เมืองพระนคร พราหมณน๑ ิกายไศวะ ๗ พระเจ๎าชัยวรมนั ที่๔ ๑๔๗๑-๑๔๖๕ เกาะแกร๑ พราหมณน๑ ิกายไศวะ ๘ พระเจ๎าหรรษวรมนั ท่ี๒ ๑๔๘๕-๑๔๘๗ เกาะแกร๑ พราหมณน๑ ิกายไศวะ ๙ พระเจา๎ ราเชนทรวรมนั ที่๒ ๑๔๘๗-๑๕๑๑ ยโสธรปรุ ะ(พระนคร) พราหมณ๑นกิ ายไศวะ ๑๐ พระเจ๎าชยั วรมนั ท่ี๕ ๑๕๑๑-๑๕๔๔ ยโสธรปุระ(พระนคร) พทุ ธ พราหมณ๑ ไศวะ ๑๑ พระเจ๎าอทุ ยั ทติ ยวรมันที่๑ ๑๕๔๔-๑๕๔๔ เมอื งพระนคร พราหมณ๑นกิ ายไศวะ ๑๒ พระเจา๎ สรู ยวรมันท่ี๑ ๑๕๔๔-๑๕๙๓ ยโสธรปุระ(พระนคร) พทุ ธ นกิ ายเถรวาท ๑๓ พระเจา๎ อุทัยทิตยวรมนั ที่๒ ๑๕๙๓-๑๖๐๙ ยโสธรปรุ ะ(พระนคร) พราหมณน๑ กิ ายไศวะ ๑๔ พระเจ๎าหรรษวรมันท่ี๓ ๑๖๐๙-๑๖๒๓ ยโสธรปุระ(พระนคร) พราหมณน๑ ิกายไศวะ ๑๕ พระเจา๎ ชัยวรมันท่ี๖ ๑๖๒๓-๑๖๕๐ ยโสธรปุระ(พระนคร) พราหมณน๑ ิกายไศวะ ๑๖ พระเจ๎าศรยี วุ ราช ๑๖๕๐-๑๖๕๐ มเหนทรปรุ ะ พราหมณน๑ ิกายไศวะ ๑๗ พระเจ๎าธรณนิ ทวรมนั ที่๑ ๑๖๕๐-๑๖๕๕ มเหนทรปรุ ะ พราหมณ๑นกิ ายไศวะ ๑๘ พระเจา๎ สรู ยวรมนั ที่๒ ๑๖๕๖-๑๖๙๓ ยโสธรปุระ(พระนคร) พราหมณไ๑ ศวะไวศณพ ๑๙ พระเจา๎ ธรณินทวรมันท่ี๒ ๑๖๙๓-๑๗๐๓ ยโสธรปุระ(พระนคร) พุทธ ฮินดู ไวศณพ ๒๐ พระเจา๎ ยโสวรมันท่ี๒ ๑๗๐๓-๑๗๐๙ ยโสธรปรุ ะ(พระนคร) ฮนิ ดู นิกายไวศณพ ๒๑ พระเจา๎ ตรภี ูวนาทติ ยวรมนั ๑๗๐๙-๑๗๒๔ ยโสธรปุระ(พระนคร) พราหมณ๑นกิ ายไศวะ พระมหาดาวสยาม วชริ ปญ๓ โญ, ดร., พระพทุ ธศาสนาในกัมพูชา, หนา๎ ๔๔.

๔๔ ๒๒ พระเจา๎ ชยั วรมนั ท่ี๗ ๑๗๒๔-๑๗๔๔ ยโสธรปุระ(นครธรม) พุทธ นิกายเถรวาท ๒๓ พระเจา๎ อินทรวรมันท่ี๒ ๑๗๔๔-๑๗๘๖ ยโสธรปรุ ะ(นครธรม) พุทธ นิกายเถรวาท ๒๔ พระเจา๎ ชยั วรมันที่๘ ๑๗๘๖-๑๘๒๖ ยโสธรปรุ ะ(นครธรม) พราหมณน๑ ิกายไศวะ ๒๕ พระเจา๎ อนิ ทรวรมันที่๓ ๑๘๓๗-๑๘๕๑ ยโสธรปุระ(นครธรม) พทุ ธ นิกายเถรวาท ๒๖ พระเจา๎ ศรอี ินทรชัยวรมนั ๑๘๕๑-๑๘๕๙ ยโสธรปรุ ะ(นครธรม) พราหมณน๑ ิกายไศวะ ๒๗ พระเจา๎ ชัยวรมปรเมศวร ๑๘๕๙-๑๘๗๐ ยโสธรปรุ ะ(นครธรม) พุทธ นิกายเถรวาท ๒๘ พระเจา๎ ชยั วรมนั ท่ี๙ ๑๘๗๐-๑๘๗๙ ยโสธรปุระ(นครธรม) พราหมณน๑ กิ ายไศวะ ๒๙ พระเจา๎ แตงหวาน ๑๘๗๙-๑๘๘๓ ยโสธรปุระ(นครธรม) พทุ ธ นกิ ายเถรวาท ๓๐ พระเจา๎ นพิ พานบาท ๑๘๘๓-๑๘๘๙ ยโสธรปรุ ะ(นครธรม) พุทธ นกิ ายเถรวาท ๓๑ พระเจ๎าสิทธานราชา ๑๘๘๙-๑๘๙๐ ยโสธรปุระ(นครธรม) พทุ ธ นกิ ายเถรวาท สรปุ ปราสาทขอมโบราณ ท่ี ชือ่ ปราสาท ที่ต้ัง ผส๎ู รา๎ ง ท่ีสรา๎ ง ศาสนา นกิ าย ๑ กระวาน (Kravan) ๑๐ ก.ม. จากเสยี มเรยี บ ชุนนางมหธิ รวรมัน ๕๐๐ พราหมณ๑ ศิวะ ๒ คลังใต๎ ๑๕ ก.ม.จากเสยี มเรยี บ สรุ ิยวรมนั ที่ ๑ ๖๐๐ ไมแํ นชํ ดั (South Khleng) ๓ คลงั เหนอื ๑๕ ก.ม. จากเสียมเรียบ สรุ ยี วรมนั ที่ ๑ ๖๐๐ ไมแํ นชํ ดั (North Khleng) ๔ เจ๎าสายเทวดา ๑๕ ก.ม. จากเสียมเรยี บ สุรียวรมนั ที่ ๒ ๑๖๕๖ พราหมณไ๑ ว (Chau Say Tevoda) ศณพ ๕ ซวั ปรัต (Suor Prat) ๑๕ ก.ม. จากเสียมเรียบ ชยั วรมนั ท่ี ๗ ๗๓๔ พทุ ธ มหายาน ๖ ตาแก๎ว (Takeo) ๑๓ ก.ม. จากเสยี มเรยี บ ไมํแนชํ ัด ๕๐๐ ไมํแนชํ ัด ๗ ตาพรหม(Ta prom) ๑๕ ก.ม. จากเสยี มเรียบ ชัยวรมนั ที ๗ ๗๒๙ พุทธ มหายาน ๘ ตาสม (Ta Som) ๑๗ ก.ม. จากเสียมเรยี บ ชัยวรมันท่ี ๗ ๗๓๔ พทุ ธ มหายาน ๙ ธมมานนท๑ ๑๕ ก.ม. จากเสยี มเรยี บ สรยวรมันที่ ๒ ๖๕๖ พุทธ มหายาน (Thommanon) ๑๐ นครธม ๑๒ ก.ม. จากเสยี มเรียบ ชัยวรมันท่ี ๗ ๗๒๔ พทุ ธ มหายาน (Angkor Thom) ๑๑ นครวดั ๑๐ ก.ม. จากเสียมเรียบ สรุ ิยารมนั ที่ ๒ ๖๕๖ พทุ ธ มหายาน (Angkor Wat)

๔๕ ๑๒ นาคพัน(Neak Pan) ๑๗ ก.ม. จากเสยี มเรียบ ชยั วรมนั ที ๗ ๓๗ พุทธ มหายาน ๑๓ บนั ทายกฎุ ี ๑๒ ก.ม. จากเสยี มเรยี บ ชยั วรมันที่ ๗ พทุ ๑ธ มหายาน (Banteay Kadei) ๗๓๔ ๑๔ บันทายศรี ๓๐ ก.ม. จากเสยี มเรียบ ยัชญวราหะ ไมแํ ๑นชํ ดั (Banteay Srei) ๕๑๐ ๑๕ บันทายสาํ เหรํ ๑๕ ก.ม. จากเสยี มเรยี บ ไมํแนํชดั พรา๑หมณ๑ไว BanteaySamre) ๗๐๐ ศณพ ๑๖ บากอง (Ba Kong) ๑๕ ก.ม. จากเสียมเรียบ อนิ ทรวรมนั ที่ ๑ พรา๔หมณ๑ ศิวะ ๒๒ ๑๗ บาเคง(Ba Kheang) ๑๐ ก.ม. จากเสยี มเรยี บ ยโศวรมนั ที่ ๑ พรา๔หมณ๑ ศิวะ ๓๖ ๑๘ บาปวน (Baphuan) ๑๕ ก.ม. จากเสียมเรยี บ อุทยั ทติ ยวรมนั ท๒่ี ๗๐๐ พราหมณ๑ ศิวะ ๑๙ ปก๓ ษจี ํากรง ๑๐ ก.ม. จากเสยี มเรยี บ หรรษวรมนั ที่ ๑ ๕๐๐ พราหมณ๑ ศิวะ (BakseiChamkrong) ๒๐ แปรรูป (Pre Rup) ๑๐ ก.ม. จากเสียมเรยี บ ราเชนทรวรมนั ที่ ๑ ๕๐๐ พราหมณ๑ ศิวะ ๒๑ พนมกรอม ๑๕ ก.ม. จากเสียมเรียบ ยโศวรมันที่ ๑ ๑๔๖๓ พราหมณ๑ ศิวะ (Phnom Krom) ๒๒ พระขรรค๑ ๑๗ ก.ม. จากเสียมเรียบ ชัยวรมันท่ี ๗ ๑๔๓๔ พุทธ มหายาน (Prean Khan) ๒๓ พระโค (Prea Kor) ๑๕ ก.ม. จากเสยี มเรียบ อนิ ทรวรมันท่ี ๑ ๔๒๒ พราหมณ๑ ศิวะ ๒๔ พระปาุ เลไลย๑ ๑๕ ก.ม. จากเสียมเรียบ ไมแํ นํชัด ๑๘๐๐ พทุ ธ เถรวาท (Prean Paililay) ๒๕ พมิ านอากาศ ๑๕ ก.ม. จากเสียมเรียบ สรุ ยี วรมันท๑ี่ - ไมํแนํชัด (Phimeanakas) ๒๖ แมํบุญตะวันออก ๑๒ ก.ม. จากเสยี มเรียบ ราเชนทรวรมนั ท่ี ๒ ๕๐๐ ไมํแนํชัด (East Mebon) ๒๗ โลเลย (Lo lei) ๑๕ ก.ม. จากเสียมเรียบ อนิ ทรวรมันท๑ี่ ๔๒๒ พราหมณ๑ ศิวะ

๔๖ ๒.๖ พระพุทธศาสนาสมัยไทยมีอทิ ธพิ (ลพ.ศ. ๒๑๓๔-๒๔๐๖) ยุคน้นี บั เปน็ การเปล่ยี นโฉมหนา๎ ประวตั ิศาสตร๑กมั พูชาอยํางสน้ิ เชงิ เพราะแตํไหนแตไํ รมา เมือ่ กลาํ วถึงราชสาํ นักกมั พูซาจะตอ๎ งกลําวถึงศาสนาพราหมณ๑ และ พุทธศาสนามหายานเสมอ แตํพอเขา๎ สยูํ ุคน้ที ้ัง สองศาสนาได๎หมดอทิ ธพิ ลไป เรอื่ งนส้ี รา๎ งความฉงนใหก๎ ับนกั ประวัติศาสตร๑มากวาํ อะไรเป็นสาเหตขุ องการ เปล่ียนแปลงน้ี แตํสํวนใหญํลงความเหน็ วาํ เพราะอทิ ธพิ ลของพทุ ธศาสนาเถรวาทจากไทย มอญ และลงั กา จงึ ทาํ ใหโ๎ ฉมหน๎ากมั พูชาเปล่ยี นแปลงเชนํนี้ พ.ศ. ๑๘๙๓ ในเมอื งไทยพํอขุนศรีอินทราทิตย๑ก็ได๎ประกาศเอกราชรวมเผําไทยทัง้ มวล ปลดปลอํ ยตวั เองจากอาํ นาจของขอมแตํเดมิ แมท๎ างขอมหรือกัมพูชาจะพยายามยบั ย้งั แตํไมํสําเรจ็ ตํอมาพระ เจา๎ อํทู องได๎นํากองทพั กรงุ ศรอี ยธุ ยาเขา๎ โจมตีเมืองพระนคร ตํางฝุายพลดั กนั แพ๎ชนะ จนถึง พ.ศ.๑๘๙๗ กองทพั กรุงศรอี ยธุ ยาจึงได๎รับชยั อยํางเดด็ ขาด อาณาจักรพระนครจึงไดล๎ ํมสลาย ผ๎ูคนจงึ ไดถ๎ กู ต๎อนกลับกรงุ ศรีอยธุ ยา ประชากรทีเ่ หลอื รอดกไ็ ด๎อพยพมาสรา๎ งเมืองลงทางใต๎ทเี่ มืองศรีสนั ธรละแวก อุดงคม๑ ีชยั และ พนมเปญ ตามลาํ ดบั แมจ๎ ะอพยพมาตง้ั ท่ีพนมเปญแล๎ว แตกํ ัมพชู าตอ๎ งทําสงครามกับกรุงศรอี ยอธุ ยูําหลาย คร้ังโดยมากจะเปน็ ฝาุ ยแพ๎มากกวํา ในระยะนี้เวียดนามไดพ๎ ยายามแผอํ ิทธพิ ลเข๎ามาในเขมรเชํนกนั จนเกดิ เป็นสงครามกบั ไทยหลาย ครง้ั เขมรจึงกลายเป็นรฐั แยํงชิงอิทธพิ ลทง้ั จากไทยและเวียดนาม ตามลําดบั แตํไทยมภี าษเี หนือกวาํ เนือ่ งจาก นบั ถอื ศาสนาคอื พุทธศาสนาแบบเถรวาทเหมือนกัน ในขณ ะท่เี วยี ดนามรบั อารยธรรมจากจนี มากกวํา แมก๎ ระทง่ั พระพทุ ธศาสนารบั มาจากจีนเชนํ กนั สถานการณก๑ ารเมอื งจากน้ไี ปจงึ เป็นสงครามระหวําง ๓ ฝุาย ไทย กัมพูชา เวียดนาม บางชํวงเปน็ เมอื งขนึ้ ของไทย บางชํวงเป็นเมอื งข้นึ ของเวยี ดนาม บางชํวงไดเ๎ อกราช สมบรู ณ๑ และบางชํวงต๎องยอมอํอนน๎อมกบั ท้ังสองประเทศคอื ไทยและเวียดนาม ๒.๖.๑ พระเจา้ ศรีลาํ พงราชSาrila(mpongraja) เรียกอกี อยาํ งหนึ่งวาํ สมเดจ็ พระบรมลาํ พงศ๑ (หรอื ลาํ พงั ) พระราชบตุ ร ข้ึนปกครองแผํนดินกมั พูชา พ.ศ. ๑๘๙๔ ทรงตงั้ พรศะรีสรุ ิโยทยั (ศรสี ุริยวงค)๑ พระอนชุ า เป็นพระอปุ ราช ซ่ึงเปน็ โอรสของพระเจา๎ ศรีลาํ พงราชา ใน รชั กาลนม้ี ีชาวเขมรแปรพักตรเ๑ ขา๎ มาในกรงุ พระเจา๎ ศรลี ําพงจงึ ส่งั ให๎กองทพั ตดิ ตาม สมเด็จพระรามาธิบดี (อํทู อง) ของ ไทยโปรดให๎พระราเมศวรพระโอรสเขา๎ โจมตกี มั พูชา ผลของสงคราม กองทพั ไทยต๎องถอยรํนกลับไปดังเดิม กองทัพเขา๎ โจมตีอีกคร้ังพระองคป๑ ระชวรและสวรรคตกอํ น ทําใหพ๎ ระอนุชาของพระองค๑ตํอสลู๎ าํ พงั ในสนามรบ กองทพั ไทยตง้ั ลอ๎ มกรุงอยถูํ ึง ๑ ปี จงึ โจมตีสําเร็จ พระองคส๑ ้ินพระชนม๑ในสนามรบเ๑ม๘อื่ ๙พ๖.ศเม.อ่ื กองทัพไทยชนะจึงได๎อพยพ ผคู๎ น ๙๐,๐๐๐ คน มาไทยครัง้ ใหญํ ไทยจึงครอบครองกัมพูชาบางสวํ นตง้ั แตนํ นั้ มา น้เี ปน็ คร้ังแรกที่ไทยยกทัพไปโจมตี กัมพชู าซงึ่ เคยย่งิ ใหญเํ หนอื ไทยมาตลอด ๒.๖.๒ พระเจา้ ศรีสรุ ิยวงศ์ที่ S๑ris(uriyavong 1) ครน้ั ตอํ มากองทพั ไทยนําโดยขุนหลวงพะงวั่ ไดย๎ กโจมตอี ีกครั้ง พศระีสเุรจยิ า๎ วงศผ๑ เ๎ู ปน็ นัดดา (หลาน) ของพระเจา๎ ลาํ พงราชาไดห๎ ลบหนีไปอาศยั ทล่ี าว ตอํ มาได๎รวบรวมผค๎ู นทง้ั จากกองทพั ลาวเข๎าโจมตี จนสามารถยดึ พระ

๔๗ นครกลับคืนมาได๎ พระองคข๑ บั ไลํกองทพั ไทยจนถึงโคราชและปราจนี บุรี ขึน้ ครองราชสมบตั ิเมอื่ พ.ศ. ๑๘๙๖ พระองค๑ มีพระราชโอรส ๑ พระองคค๑ ือ เจ๎าชายบรมรามา ตอํ มากองทพั ไทยไดเ๎ ขา๎ โจมตอี ีกครั้ง พระเจ๎าศรีสรุ ยิ วงศ๑ ส้ินพระชนมใน๑ สนามรบ เมื่อกองทพั ไทยไดร๎ บั ชัยชนะจึงได๎กวาดตอ๎ นผคู๎ นและทรัพย๑สนิ เปน็ จํานวนมากกลับอยธุ ยา เมื่อไทยมชี ัยแลว๎ สมเดจ็ พระเจา๎ อทํู องจึงแเตจ๎าํงตปัง้ราสาทผป๎ู กครองเมืองเขมร โดยอยใํู ตอ๎ าํ นาจของไทยเโจดา๎ยให๎ อปุ ราช (บาอาจ)และเจ๎ากําบงสพี ีเป็นผ๎ูชํวยราชการพร๎อมกองทพั ผสมไทยเขมรจาํ นวนหนง่ึ หม่นื ไว๎คอยรักษาพระ นคร เหตุการณ๑เกดิ ขึน้ ในปี พ.ศ. ๑๘๙๖ สวํ นศาสนานน้ั พระองค๑นบั ถือศาสนาพทุ ธ นกิ ายเถรวาท ทรงคุ๎มครองศาสนาพราหมณ๑และพทุ ธศาสนา มหายาน ๒.๖.๓ พระเจา้ สรุ ยิ วงศท์ ี่ ๑Su(riyavong 1) ขน้ึ ปกครองกัมพูซาเมอ่ื พ.ศ. ๑๙๐๐ โดยปลงพระชนม๑พระเจ๎ากาํ พงสพี ีแล๎ว ครองราชยส๑ มบัติ โดยการชกั ซวนเอาเชลยกัมพชู าหลายหม่ืนคนมาจากนครราชสีมา และบางพ้ืนท่ีของไทยมาไวใ๎ นกองทัพจงึ ยึด อํานาจได๎ พระองค๑เปน็ พระนดั ดา (หลาน) ของพระเจ๎าศรีลําพงราชา ในคราวนพ้ี ระเจา๎ อํทู องชองไทยไดย๎ ก กองทพั มาโจมตอี ีกครัง้ คราวนีไ้ มสํ ามารถจะยึดเมอื งได๎ จงึ เป็นแคกํ วาดต๎อนชาวเมอื งไป ๙ หมนื่ คนนบั วาํ เป็น จํานวนไมนํ ๎อย พระองค๑สวรรคตเม่ือ พ.ศ. ๑๑๐๙ ดา๎ นศาสนา พระองคน๑ ับถอื พุทธศาสนาเถรวาท ไดส๎ ร๎างวดั หลายแหงํ ไวใ๎ นราชอาณาจกั ร ๒.๖.๔ พระเจา้ บรมราม(Bาoromrama) พระองค๑ได๎ข้นึ ครองราชย๑สมบัตเิ มื่อ พ.ศ. ๑๙๐๙ ตอํ จากพระบดิ าและทรงผูกสมั พนั ธไมตรีกับ ไทย จามปา (เวียดนาม) และจีน ทาํ ใหร๎ าชการของพระองคไ๑ มมํ สี งครามใหญํ ในดา๎ นศาสนาพระองค๑นบั ถือ ศาสนาพุทธ นกิ ายเถรวาทเชํนพระบดิ า ต้ังแตํพทุ ธศตวรรษที่ ๑๘ เป็นต๎นมากมั พชู าได๎หันมานบั ถอื พทุ ธ ศาสนาแบบเถรวาท อยํางสมบรู ณ๑ ตั้งแตรํ าชวงศช๑ ้ันสูงจนถงึ ราษฎรท่ัวพไรปะองคส๑ วรรคตเมอ่ื พ.ศ. ๑๙๑๖ ๒.๖.๕ พระเจ้าธรรมาโศDกha(mmashoka) พระองค๑ทรงปกครองเม่ือ พ.ศ. ๑๙๑๖ เป็นพระอนชุ าของพระเจา๎ บรมรามา พระองคน๑ ําทัพเขา๎ โจมตไี ทยแถวจนั ทบรุ ี ชลบุรี แตถํ ูกกองทัพไทยตีโตจ๎ งึ ได๎ถอยรํนกลบั ไป ครงั้ ท่ี ๒ เมอื่ พ.ศ. ๑๙๓๖ ยกทัพไปตี จันทบรุ ขี องไทยอกี ครั้ง คราวน้พี ระองคส๑ รา๎ งความโกรธแคน๎ ให๎ไทยเปน็ อยาํ งยิ่ง ตํอมากองทพั ไทยจงึ ไดเ๎ ข๎าตี เมืองพระนครและสามารถยึดเมืองพระนครได๎ดว๎ ยความชํวยเหลือจากขุนนางกัมพชู าหลายคน พระองค๑ สวรรคตเม่อื พ.ศ. ๑๙๓๗ ๒.๖.๖ พระเจ้าพญาญาPตhิ (rayayat) หรือพระนามเดมิ วํา นักองค๑จันทร๑ เม่ือกองทัพยึดเมอื งหลวงไดแ๎ ล๎ว อีกปีถดั มา พ.ศ. ๑๙๖๔ พญาญาตผิ ๎ูโอรสจงึ กอํ กบฏตอํ ไทยแลว๎ สงั หารผสู๎ ําเร็จราชกาอรงไขทยแล๎วข้ึนครองราชย๑ได๎นามวาํ สมเดจ็ พระ บรมราชารามาธบิ ดี ศรสี โุ ยพรรณธรรมกิ ราช และพ.ศ. ๑๙๗๔ พระเจ๎าอํทู องของไทยจากศกรรีอุงยธุ ยาได๎ยก

๔๘ กองทัพไทย เข๎าโจมตเี มืองพระนครของกัมพูชา ผลปรากฏวาํ กองทัพไทยมชี ัยชนะ ตอํ มาพระองคจ๑ งึ ย๎าย เมืองหลวงจากเมอื งพระนครไปทศี่ รสี ันธร (ศรสี นุ ทร) แตเํ มอื งนีน้ า้ํ ทํวมบอํ ย จงึ ยา๎ ยราชธานีมาทพี่ นมเปญ เมอ่ื พ.ศ. ๑๙๙๒ คาํ วาํ พนมเปญ แปลวาํ ภูเขายายเพญ็ (พนม แปลวาํ ภูเขา สวํ นคาํ วาํ เปญ็ มาจากชื่อยายเพ็ญ) อันเป็นชัยภมู ิทเ่ี หมาะสม อุดมสมบูรณ๑ เพราะอยํลู มํุ แมนํ าํ้ โขงและทส่ี ําคญั คือหํางจากไทยพอสมควรเพอ่ื กนั การโจมตจี ากไทยอีก พระองค๑มโี อรส ๓ พระองค๑คอื พระเจ๎านารายณร๑ าชา พระเจ๎าศรีราชา และ พระเจา๎ ธัม โมราชา ตอํ มาพระองคส๑ ละราชสมบตั ใิ ห๎พระโอรสคือพระเจ๎านารายณธร๑บิ าดชี รวมพระชนมายุ ๗๘ พรรษา ๒.๖.๗ พระเจา้ นารายณร์ าชNาar(ayanaraja) พรฺะองคท๑ รงปกครองตอํ จากพระบดิ าเมอ่ื พ.ศ. ๒๐๐๕ ปกครองได๎ ๖ ปกี ส็ วรรคต พระอนุชาอกี องค๑ปกครองตอํ มา จึงไมํมีเหตุการณ๑ท่ีสําคัญในสมัยน้ี ในขณะทก่ี องทัพไทยก็ไมไํ ดโ๎ จมตี ฝาุ ยไทยพยายามที่ จะควบคมุ กมั พชู าใหอ๎ ยใูํ นอํานาจ แตํกัมพูชาก็พยายามดนิ้ รนเป็นอิสระ การเผยแพรศ่ าสนาอสิ ลาม ในยุคมีเหตกุ ารณท๑ ่ีนําสนใจยง่ิ คือการเผยแผขํ องศาสนาอสิ ลามเสขูํก๎าัมพชู า โดยเร่ิมจากเกาะสุ มาตราและมาเลย๑ โดยนักสอนศาสนาชาวชวาและมาเลย๑ เน่อื งจากชาวเขมร โดยมากยงั มนั่ คงในพทุ ธศาสนา คนนับถือศาสนาอสิ ลามมีน๎อย แตชํ าวจามทเี่ คยเป็นศาสนิกของพทุ ธศาสนาและพราหมณม๑ ากอํ นกลบั ใจหัน ไปนบั ถือศาสนาอิสลาม สร๎างความไมํพอใจให๎แกํกษตั รยิ ก๑ มั พูชามาก แตํกท็ ําอะไรไมไํ ด๎ ป๓จจบุ นั มชี าวจามที่ นับถอื ศาสนาอสิ ลามราว ๔๐,๐๐๐คนท่วั ประเทศ ในจํานวนประชากรเขมร ๑๔ ลา๎ นคนเศษ ๒.๖.๘ พระเจา้ ธัมโมราชDาha(mmoraja) ในชวํ งตน๎ ของการขน้ึ ครองราชย๑ ทรงยอมออํ นน๎อมขึ้นตรงตอํ ไทย ตํอมา พ.ศ. ๒๐๒๐ เม่ือเหน็ วํา ไทยเริ่มวนํุ วายจึงกํอกบฏประกาศเอกราชจากไทย ปกครองมาจนถึง พ.ศ. ๒๐๗๓ เมื่อเสด็จสวรรคตแลว๎ พระโอรสนามวาํ พระเจ๎าสคุ นธบถ จึงปกครองตอํ จากพระองค๑ พระองค๑ปกครองได๎ ๔ ปีคือ พ.ศ. ๒๐๓๗-๒๐๔๑ พระองค๑มีอนุชา ๑ พระองค๑ คอื พระเจา๎ จนั ทราชา ตํอมาราชองครักษค๑ นหน่งึ นามวาํ นายกอน กอํ การกบฏแลว๎ จับพระเจ๎าสุคนธบถประหาร แล๎วตั้ง ตนเปน็ กษตั รยิ ๑ สวํ นพระเจ๎าจนั ทราชาผูเ๎ ปน็ อนชุ าหนไี ปพ่งึ พระบรมโพธสิ มภารจากไทย ในดา๎ นศาสนา เน่อื งจากความวํุนวายทางดา๎ นการเมอื ง จงึ ไมมํ โี อกาสสร๎างผลงานทึโ่ ดดเดนํ เหมือนบรรพชนดังเชนํ ในสมัยพระ เจ๎าชยั วรมนั ที่ ๒ เป็นตน๎ แตํพระองคก๑ เ็ ป็นพทุ ธมามกะ ได๎สร๎างพระอารามหลายแหงํ ในกรุงพนมเปญ ๒.๖.๙ พระเจา้ องคจ์ ันทร์ที่ O๑n(g Chan) เมือ่ ทราบวํานายกอนกอํ การกบฏ จึงขออนุญาตจากไทยกลับกัมพูชา แตไํ ทไมยํอนุญาตจงึ ออก อบุ ายวาํ ท่กี มั พชู ามีชา๎ งเผอื กทสี่ วยงามจงึ ขอขันอาสานํามาถวายให๎ได๎ เม่อื ได๎รบั คาํ มั่นอยาํ งดีจงึ กลับกัมพูซา แล๎วตอํ ส๎จู นชนะนายกอนทเี่ มืองสาํ โรง พระองคข๑ นึ้ ครองราชยส๑ มบัติเมื่อ พ.ศ. ๒๐๔๘ แลว๎ ตัง้ ราชธานที ่ีเมือง จํานงค๑ ทองประเสรฐิ , ประวตั ศิ าสตร์พุทธศาสนาในเอเชียอาคเนย์, หน๎า ๒๐๕.

๔๙ ละแวก เพ่อื ปอู งกันการโจมตีจากไทยและเวยี ดนาม พระองคม๑ ีพระโอรสหน่ึงพระองคน๑ ามวําพระบรมราชา ตํอมาไทยทวงชา๎ งเผือก แตํพระองค๑ปฏิเสธจงึ เกิดสงคราม ในประวัติศาสตรเ๑ รียกวํา สงครามชา๎ งเผอื ก กองทัพไทยเข๎าโจมตี พ.ศ.๒๐๓๔ สมยั เจ๎าสามพระยา ต๎องมาพํายทเี่ สียมราฐเพราะประมาท ไทยจึงให๎พญา องค๑ทถี่ ูกจบั ไว๎เปน็ ตวั ประกนั มาตอํ สเู๎ พอื่ ชงิ ราชบลั ลังก๑ แตํก็ต๎องถอยรนํ กลับอีกรอบโดยท่พี ญาองคไ๑ ด๎ สิน้ พระชนมใ๑ นสนามรบ ยคุ น้ีศาสนาฮินดแู ละพุทธศาสนา นิกายมหายานแทบจะหมดอทิ ธพิ ลไป ในรชั กาลนศ้ี าสนาพทุ ธ แบบเถรวาทรํงุ เรืองเป็นอยํางย่งิ พระองคน๑ ับถอื ศาสนาพทุ ธ นิกายเถรวาท ซ่ึงเปน็ ศาสนาของประชาชนทัว่ ไป พระองคไ๑ ดส๎ ร๎างวดั มากมายในกัมพูชา คอื ๑.วหิ ารจัตรุ มขุ ๒.วดั พระเจา๎ เข๎านิพพาน บนเขาพระราชทรัพย๑ เมอื งอดุ งค๑ ๓.สรา๎ งพระพุทธรปู อัฏฐารส ๔ พระองค๑ ๔.พระพทุ ธรปู องคใ๑ หญแํ กะด๎วยศลิ าประดษิ ฐานบนเขา พระราชทรพั ยใ๑ นคราวท่ีทรงมชี ยั ชนะเจ๎ากอง เจ๎าเมืองโพธิสตั วเ๑ สรจ็ แล๎วเสดจ็ มาประททบั ี่เมืองโพธสิ ัตว๑ได๎ สรา๎ งพระอฏั ฐารส (สงู ๑๘ ศอก) ประดษิ ฐานไทว่ีว๎ ดั ในเมืองอมราพิบรู ณ๑ บูรพา๒ พระองค๑สิ้นพระชนมเ๑ มอ่ื พ.ศ. ๒๐๙๘ ราว พ.ศ. ๒๐๕๕ ไดม๎ ชี าวยุโรปเขา๎ มาในกัมพูชาเปน็ คร้งั แรก ชงึ่ อยใํู นสมัยพระเจา๎ พระองค๑จันทร๑ ที่ ๑ พ.ศ.๒๐๙๘ ทรงยกกองทพั หลวงไปตอํ สู๎กบั กองทพั ไทยที่เมืองโพธสิ ตั ว๑ทมรีชงัย กองทพั ได๎แตก หนีในคราวน้ัน กอํ นออกรบไดม๎ ีบพุ พนิมิตด๎านดคี อื ตน๎ โพธิ์ทต่ี ายไปแล๎ว แตํงอกแตกกิ่งก๎านสาขาได๎ ใบเขยี ว สดใสเหมอื นแตกํ ํอน จึงจัดเครอื่ งบชู าตน๎ พระศรีมหาโพธ์เิ รียกตน๎ โพธ์ใิ หมวํ ํา ต๎นโพธิ์ผ๎ูมีบญุ แล๎วใหส๎ ร๎างวหิ าร จากนนั้ สร๎างวหิ าร๒ องค๑เพ่อื ประดษิ ฐานในวิหารน้ัน แลว๎ บรรจุอัฐิพระเชษฐาในวิหารวัดน้ันด๎วย ๒.๖.๑๐ พระเจา้ บรมราชาB(oromraja) หรอื นามเดิมวาํ ปรมนิ ทรราชา พระองค๑ปกครองกมั พูชาเม่อื พ.ศ. ๒๐๘๓ หลงั พระบดิ าคอื พระ เจา๎ องค๑จันทรท๑ ่ี ๑ สวรรคต ทรงสร๎างเมืองละแวกเปน็ ราชธานี ปจ๓ จบุ นั อยใํู นเขตจังหวัดกาํ ปงฉนงั หาํ งจาก กรุงพนมเปญเมอื งหลวงป๓จจุบัน ๙๕ กิโลเมตร ทางทศิ เหนือ ละแวกเปน็ เมืองหลวงของกัมพชู ามา ๖๖ ปี มี พระราชาท่ีครองกรงุ ละแวก ๕ พระองคค๑ อื ๑.พระเจา๎ บรมราชา ๒.พระเจ๎ารามาธบิ ด๓ี .พระเจ๎ารามาธิบดี สตั ถา ๔.พระเจา๎ ชยั เชษฐาธิราชรามาธบิ ดหี ลังขึ้นครองราชยแ๑ ล๎วกองทัพไทยได๎เขา๎ ยึดครองเมอื งละแวกและ จันทบรุ อี ีกครั้ง พระองค๑ตอ๎ งหลบหนอี อกจากเมืองและตํอมายอมออํ นน๎อมตํอไทย แตํไทยก็ยงั ให๎อํานาจ ปกครองตนเองตอํ มา เมอ่ื ไทยเสยี กรุงศรอี ยุธยาใหพ๎ มาํ ในปีถัดมา พระบรมราชาได๎โอกาสจึงยกกองทพั มาซาํ้ ในขณะน้ันพมํากวาดตอ๎ นผคู๎ นไปมาก เหลือเฝูากรงุ เพียงแคํ,๐๑๐๐ คนเทาํ นัน้ การสงครามกับไทยในครง้ั น้ี หลวงเรอื งเดชอนนั ต,๑ พนั ตร,ี ราชพงษาวดารกัมพูชา, (กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พโ๑ สภณ, ๒๕๕๐), หน๎า ๘๐. สจุ ติ ต๑ วงษ๑เทศ, พระนเรศวรตเี มืองละแวก แต่ไมไ่ ดฆ้ ่าพระยาละแวก, (กรงุ เทพฯ: บรษิ ัทพฆิ เนศ พรนิ ติง้ เซนเตอร,๑ ๒๕๔๔), หน๎า ๘๙.

๕๐ เขมรลอ๎ มกรุงศรอี ยธุ ยาอยํู ชาวเมืองตํอสูย๎ งิ ปนื ใหญถํ กู พระยาจมั ปาธริ าชแมํทพั ของเขมร ในทส่ี ุดจงึ ยอมยก ทพั กลับ ถ๎ามองในมมุ เขมรนเ้ี ปน็ โอกาสอันดที ีจ่ ะเปน็ ไท ไมํเป็นเมอื งข้ึน หรอื เบยี้ ลํางไทย แตถํ ๎ามองในมุมไทย น้ีเป็นการซ้ําเติมยามทีไ่ ทยออํ นแอ ๒.๖.๑๑ พระเจา้ สตั ถาที่ ๑S(attha 1) หรือนกั พระสัตถา พระองคข๑ น้ึ ครองราชย๑ เมอ่ื พ.ศ. ๒๑๑๐ เปน็ พระโอรสของพระบรมราชา มี ความภักดีตอํ ไทยเปน็ อยํางยง่ิ แตํในมุมมองของนกั ชาตนิ ยิ มกมั พูชา เหน็ วาํ พระองค๑เป็นบริวารของไทย เม่ือ พมําเข๎าโจมตีกรงุ ศรอี ยธุ ยา ไทยได๎ขอรอ๎ งใหพ๎ ระองค๑สงํ กองทัพไปชวํ ยไมํรอชา๎ ได๎โปรดใหพ๎ ระศรีสุรโิ ยพรรณ ผู๎เปน็ อปุ ราชยกกองทัพไปชวํ ย จนไทยชนะสงครามพมาํ แตํกองทัพกมั พูชาไมไํ ดร๎ บั เกียรติจากไทย จึงกลับมา ดว๎ ยความคับข๎องใจ เมอ่ื ไทยถูกพมําโจมตอี กี ครัง้ จงึ ไมชํ วํ ยเหลอื ขณะเดียวกนั กห็ าชํองทางยึดบางเมอื ง กลบั มาไวใ๎ นอาณาเขตของตน พระองค๑ได๎สร๎างเจดียห๑ ลายองคบ๑ นเขาพมนเพ่อื บรรจอุ ฐั ิธาตุของสมเด็จพระ บรมราชาพระยาญาติผ๎ูเปน็ พระบดิ า ตํอมาพระองค๑สละราชสมบตั ิใหพ๎ ระโอรสดว๎ ยวัยเพยี ง ๑๐ พรรษา ๒.๖.๑๒ พระเจา้ ชัยเชษฐาท่ี J๑ay(ajettha 1) พ.ศ.๒๑๑๗ การสละอํานาจของพระเจ๎าสัตถาสร๎างความไมพํ อใจให๎ขนุ นางมาก เพราะเห็นวํา บา๎ นเมืองอยํูในชํวงหัวเล้ียวหวั ตอํ และพระโอรสยังเยาวเ๑ กินไปทจ่ี ะรบั ภาระอันหนักเชํนนี้ แตํพระองคท๑ รง ตัดสินใจแลว๎ พระเจา๎ ชยั เชษฐาที่ ๑ ผเู๎ ป็นพระโอรสจึงได๎ครองราชยส๑ มบัติสืบตอํ มา กองทัพไทยไดโ๎ จมตี กองทพั เขมรได๎ยึดโคราชและจันทบุรคี นื พ.ศ. ๒๑๓๔ พระนเรศวรมหาราชได๎ยกกองทัพหลวงเข๎าบกุ กลับ ทะลวงโจมตี ในที่สุดจงึ ยึดกัมพูชามาเปน็ เมอื งขึน้ เหมอื นเดิม สมเดจ็ พระนเรศวรใชห๎ นํวยสอดแนมหรือสายลบั เขา๎ ไปวางแผนกํอน โดยพระองค๑ใหจ๎ ารบรุ ษุ ๒ คนคือ สปุ ญั โญ และตปิ ญั โญไปศกึ ษาวิทยาคมแล๎วไปบวชเป็นพระไปศึกษาที่เมอื งลาว จากนั้นใหเ๎ ขา๎ ไป อาศยั ที่เมืองละแวก กองทพั ไทยโดยพระนเรศวรมหาราชนาํ ทัพไทยถึง ๓ แสนคน เขา๎ โจมตีเปน็ เวลานาน แตํ ยังไมอํ าจจะเอาชนะไดจ๎ งึ ตอ๎ งเผากอไผรํ ายรอบ อีกทง้ั ด๎านในจารบรุ ุษทั้งสองได๎พยายามปิดปืนใหญเํ สีย ท๎ายทส่ี ุดเมอื งละแวกจึงแตก กมั พชู าได๎กลายเป็นเมืองข้นึ ของไทยอยาํ งสมบูรณ๑ เพราะไทยมีพระมหากษัตริย๑ ท่ีทรงพระปรีชาสามารถมากทีส่ ดุ ในประวัติศาสตร๑คอื พระนเรศวรมหาราชจึงเป็นการยากทรี่ ัฐเล็กอยาํ ง กมั พชู าจะตา๎ นอยูํได๎ สงครามกับไทยครั้งน้พี เรจะ๎าชยั เชษฐาได๎หลบหนีไปที่เมืองสตรงึ เตรงและสวรรคตท่นี น่ั พระศรสี ุริโยพรรณถกู จบั เป็นเชลยพร๎อมพระประยรู ญาติทั้งหมด ในยุคนี้พทุ ธศาสนามหายานและศาสนาพราหมณห๑ รือฮนิ ดนู กิ ายตํางๆ ได๎หายไปจากกมั พูชา เทวาลัยของฮนิ ดูถกู ดัดแปลงให๎เปน็ วัดทางพทุ ธศาสนา ทีต่ ้งั ของศวิ ลึงค๑และพระโคกถ็ ูกแทนที่ด๎วย พระพุทธรูปปางตาํ งๆ ซึ่งตรงกนั ขา๎ มกับอินเดยี ในยุคเดียวกนั นี้ ทางพระพทุ ธศาสนาไดถ๎ ูกดัดแปลงให๎เปน็ วัด ฮินดูเกอื บหมด ในพงศาวดารกลาํ ววสํามเด็จพระชยั เชษฐาหรือพระยาละแวกน้นั มศี รทั ธาในพุทธศาสนา ศานติ ภกั ดคี ํา, ดร., เขมรรบไทย, หนา๎ ๑๑๖.

๕๑ มาก ไดส๎ รา๎ งวดั หลายแหํงและพระเจดยี ๑ ๔ คบํู นเขาพระราชทรพั ย๑เมอื งอุดงค๑มชี ยั เพ่ือบรรจุอฐั ิพระ มหินทราชาธิราช ซ่งึ เปน็ พระปติ ุลา จากนนั้ นมิ นตพ๑ ระสงฆผ๑ ูใ๎ หญไํ ด๎มาจําพรรษาที่อารามท่ไี ดส๎ รา๎ ง ถวาย ๒.๖.๑๓ พระเจ้ารามาเชิงไพร (Ramachengpri) เมือ่ ราชวงศก๑ มั พูชาที่เหลอื ถกู นาํ ตวั ไปกัมพชู าหมดแล๎ว ไดม๎ ีราชนิกลู กัมพูชากลมุํ หนึ่งนํา โดยพญาละแวกไดซ๎ ํองสุมกาํ ลงั ผูค๎ นแลว๎ เข๎าโจมตีกองทัพไทยทด่ี ูแลเมืองละแวกอยํู การรบท่ไี มทํ นั ตง้ั ตวั ทําใหไ๎ ทยพํายแพ๎ จึงปราบดาภเิ ษกตนเองเป็นกษตั ริย๑กมั พชู า พ.ศ. ๒๑๓๗ ได๎พระนามวํา พระเจา้ รามาเชงิ ไพร แลว๎ ไปประทับทีเ่ มืองศรีสนั ธร ซ่งึ อยํูหาํ งไกลจากไทย พระองคไ๑ ด๎รวบรวมผู๎คนยกทพั โจมตที ัพไทยให๎ออกจากเมอื งละแวก ตอํ มาพระองคถ๑ ูกฝรง่ั ชาวสเปนนามวํา เวโลโช ( Veloso) สงั หาร ที่เมืองเชงิ ไพรเมือ่ พ.ศ. ๒๑๓๙ ชาวโปรตุเกสและสเปนเยือนกัมพูชา ความจริงชาวโปรตเุ กสเดินทางเข๎ากัมพชู าในสมยั ของพระเจา๎ องค๑จนั ทรท๑ ี่ ๑ ด๎วย จุดประสงคใ๑ นการเผยแพรศํ าสนาคริสต๑ พระสตั ถาทรงเหน็ ประโยชน๑จากชาวตํางชาติคอื นายเวโลโช ชาวโปรตุเกส และนายรยุ ส๑ ชาวสเปน จงึ รบั ไว๎ใช๎ในราชสาํ นกั ในสมยั ที่กองทพั ไทยเข๎าโจมตีกัมพชู า คนทั้งสองกถ็ กู จบั มาทก่ี รุงศรอี ยุธยาดว๎ ย ตํอมาตอ๎ งการใหไ๎ ทยปลอํ ยตวั จึงออกอุบายวํา ที่เกาะ ฟลิ ิปปินสข๑ องเสปนมปี นื ใหญมํ าก ถา๎ ต๎องการจะชวํ ยติดตํอให๎ ฝุายไทยหลงเช่อื จึงยอมให๎ไปพรอ๎ ม ทหารไทย แตํตอํ มาถกู ฝรงั่ ฆําตายหมด แลว๎ นําเงนิ ไปช้ืออาวุธปืนแลว๎ กอํ กบฏขึน้ ท่เี ขมร แลว๎ ฆําพระ เจา๎ รามาเชงิ ไพรเสีย ๒.๖.๑๔ พระเจ้าบรมราชา (Boromraja) นามเดมิ วําพญาตน เปน็ โอรสองค๑ที่ ๒ ของพระเจ๎าสัตถา พระองค๑ทรงไปพํานกั ในลาวเปน็ เวลานาน เมื่อพระรามาเชิงไพรสวรรคตแลว๎ ๕จึงกลับมาครองราชย๑สมบัติ เม่อื พ.ศ. ๒๑๓๙ เมือ่ พระชนมายุ ๑๗ พรรษา ด๎วยนกึ ถึงบญุ คณุ ทฝี่ ร่งั ชํวยปราบเสี้ยนหนามให๎ ตํอมาทรงแตงํ ตง้ั เวโลโช ชาวโปรตุเกสเปน็ เจา๎ เมืองบาพนม และแตงํ ตัง้ หลุยส๑ ชาวสเปน เป็นเจา๎ เมืองตรงั เพราะเหน็ วํามี ความสามารถ ตํอมาไมนํ านเมอื่ เป็นเจ๎าเมืองกลบั ปกครองบ๎านเมอื งด๎วยความโหดรา๎ ย สร๎างความไมํ พอใจใหแ๎ กํราษฎรเป็นอยํางยง่ิ จึงเกดิ กบฏท่ัวไป เจา๎ เมอื งชาวฝรงั่ ท้งั สองไปปราบกบฏพนื้ เมอื งและ จามแตกกลับถูกกบฏฆําตายท้ังสองคน เมือ่ พญาตนออกไปปราบกบฏด๎วยตนเองกถ็ ูกกบฏปลงพระ ชนม๑เชนํ กัน เหตุการณ๑นเ้ี กิดเมื่อ พ.ศ. ๒๑๔๓ ๒.๖.๑๕ พระเจ้าบรมราชาธริ าช (Boromrajadhiraj) นามเดมิ วาํ พญาอาน พระองคท๑ รงเปน็ พระปิตุจฉา (ลงุ ) ของพระเจา๎ พญาตน ขนึ้ ครองราชย๑ พ.ศ. ๒๑๔๙ หลังการสวรรคตของพระเจา๎ พญาตน โดยการสนบั สนนุ จากพระนเรศวร มหาราช เพราะพญาอานเขา๎ มาเปน็ ตวั ประกันในกรงุ ศรีอยธุ ยาเปน็ เวลานาน นามเดมิ วาํ พระสุพรรณ

๕๒ รามาธิราช พระองค๑มมี เหสีหลายองค๑ มีพระโอรสหลายองค๑ แตทํ ีไ่ ดค๎ รองราชย๑สบื ตอํ คือ พระชยั เชษฐา ในกาลตอํ มาได๎เกดิ กบฏจามขนึ้ อกี คร้ัง พระองค๑ขอความชํวยเหลอื จากชาวสเปนท่มี ะนลิ า แตํ พระองคถ๑ กู กบฏปลงพระชนมอ๑ ีก พระองค๑ครองราชยร๑ วม ๓ ปี ในยคุ นชี้ าวกัมพชู าได๎ร๎จู กั ศาสนาครสิ ตเ๑ ปน็ ครงั้ แรกโดยการเผยแพรํของบุคคลทงั้ สองและ ได๎มีการสร๎างโบสถ๑คริสต๑ นกิ ายคาทอลกิ ข้ึนเปน็ ครั้งแรกในนครหลวงด๎วย แตํยงั ไมํอาจจะแพรหํ ลาย ๒.๖.๑๖ พระเจา้ พญายม (Prayayom) พระองค๑ขึ้นครองราชย๑เมอ่ื พ.ศ. ๒๑๔๒ เป็นโอรสของพระเจา๎ สัตถาท่ี ๑ มพี ระมารดาเปน็ ชาวลาว มีเมอื งหลวงท่ศี รีสนั ธร เม่ือบา๎ นเมืองสงบแล๎วกลายเป็นกษัตรยิ ๑เจา๎ สาํ ราญ ไมํดูแลราษฎร ไมเํ อาใจใสํธุระบา๎ นเมือง ข๎าราชบริพารจงึ ทลู ไปยังสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเพื่อขอพระศรีสุริโย พรรณซ่งึ ประทับอยํู ณ กรุงศรีอยธุ ยามาครองราชย๑ พระองคจ๑ ึงถูกปลดจากราชบัลลังก๑ แตํได๎รับการ แตงํ ต้งั เป็นพระแก๎วฟาู ตํอมาเสดจ็ ออกผนวชในพุทธศาสนา เมื่อลาผนวชแล๎วกํอการกบฏจงึ ถูกปลง พระชนม๑ เมอ่ื พ.ศ. ๒๑๔๓ ๒.๖.๑๗ พระเจา้ ชยั เชษฐา (Chaiyachettha) เปน็ โอรสของพระเจ๎าบรมราชาธิราช (พญาอาน) ข้ึนครองราชยส๑ มบตั ิในปี พ.ศ. ๒๑๖๓ ได๎ ย๎ายเมืองหลวงมาทีเ่ มืองอุดงค๑ หรืออุดมมชี ัยในภาษาไทย ซ่ึงอยกูํ ่งึ กลางระหวาํ งกรงุ ละแวกและ พนมเปญ พระองค๑ได๎แตงํ งานกับเจ๎าหญิงแหงํ โคชนิ จนี ราชธิดาแหงํ ราชวงศ๑เหงยี นของเวียดนาม ทรง ฝ๓กใฝุเวยี ดนามเพ่อื มาถํวงดุลอาํ นาจกบั ไทย จากการอภิเษกสมรสน้ีเป็นเหตใุ หช๎ าวเวยี ดนามเร่มิ เขา๎ มา ตง้ั รกรากหากนิ ในกมั พูชามาก และคืบคลานยึดครองอาณาเขตของเขมรให๎ลดลงอยาํ งมาก และ ๑ ปี ถดั มาพระองคป๑ ระกาศเอกราชจากไทย ฝาุ ยไทยเปล่ียนแผนํ ดนิ ครองราชย๑โดยพระเจ๎าทรงธรรมได๎ยก กองทพั มาปราบแตํไมสํ ําเร็จ มหิ นาํ ซ้ําไทยยงั ถกู จบั เป็นเชลยไว๎มาก นับวําเป็นเรอ่ื งอบั อายใน ประวตั ศิ าสตร๑ ในยคุ น้เี องที่พวกฝร่งั ฮอลนั ดาไดเ๎ ข๎ามาขออาศัยตัง้ บา๎ นเรือนในกรุงพนมเปญ เพื่อการค๎า ขาย ในขณะทก่ี รุงพนมเปญเองมีพวกโปรตุเกสอาศัยอยูํแลว๎ ท้งั สองฝุายคา๎ ขายสินคา๎ อยํางเดยี วกัน จึงมเี รื่องกระทบกระทั่งจนไมํพอใจหลายครง้ั พระองค๑มพี ระโอรส ๒ องคค๑ อื ๑.เจา๎ ชายปทมุ ราชา เกดิ จากพระมเหสีชาวเวยี ดนาม ๒.เจ๎าชายจัน เกดิ จากพระราชมารดาทเี่ ป็นชาวลาว พระองคส๑ วรรคต พ.ศ.๒๑๖๘ ๒.๖.๑๘ พระเจา้ จนั ทร์ (Chandra) พระองค๑เปน็ โอรสของพระเจา๎ ชัยเชษฐา จากพระมารดาทม่ี าจากลาว ทรงพระนามวํา สมเด็จพระรามาธบิ ดี ครองราชย๑ พ.ศ.๒๑๖๘ ตอํ มา พ.ศ.๒๑๘๖ มีพอํ ค๎าชาวอาหรบั มาลายู และชวา จาํ นวนมากมาค๎าขายในราชอาณาจกั ร คนเหลําน้ีนบั ถือศาสนาอิสลาม ได๎นาํ เคร่อื งบรรณาการจาก อาหรับมาถวายเป็นจาํ นวนมาก รวมท้งั เกล้ียกลํอมให๎นับถือศาสนาอิสลาม จนทําให๎พระทยั ศรัทธาใน

๕๓ ศาสนาใหมํ จงึ ได๎ประกาศตนหนั เปล่ยี นไป นับถอื ศาสนาอสิ ลาม เปลี่ยนพระนามพระองคเ๑ องเป็นสไุ ล มาน ในภาษาอาหรับ ตํอมาชาวกัมพชู าเห็นการนอกรีตของพระราชา กลวั วาํ พระพุทธศาสนาจะสญู หายไปจึงไดไ๎ ปอาราธนาพระปทุมกมุ ารขน้ึ ครอง โดยอาศัยกาํ ลังทหารจากเวียดนาม พระเจ๎าจนั ทรถ๑ กู เวยี ดนามจบั ตัวไปเปน็ เชลยทเ่ี มอื งเว๎ เวียดนาม และสิน้ พระชนมท๑ ีน่ ั่น รชั กาลน้ปี กครองจนถงึ พ.ศ. ๒๒๐๑ (๑๖๕๘) จึงนับเป็นกษตั รยิ ก๑ ัมพูชาคนแรกท่นี บั ถอื ศาสนาอิสลาม ถา๎ การนบั ศาสนาอสิ ลามของ พระองคม๑ ผี สู๎ บื ตํอ ชะตากรรมของพุทธศาสนาในกมั พชู าคงส้นิ สดุ เหมอื นทเี่ คยเป็นในอินโดนเี ซีย มาเลเซีย พ.ศ.๒๒๔๓ ในสมยั ที่พระเจา๎ ชยั เชษฐาครองกรุงกมั พูชา พระองค๑เกดิ ความเลอ่ื มใสในพุทธ ศาสนาอยาํ งแรงกล๎า เห็นวาํ ราชบลั ลงั ก๑ไมํมีสาระแกนํ สาร จึงได๎สละราชบลั ลงั กม๑ อบให๎พระโอรส พระองค๑ไดอ๎ ปุ สมบททีว่ ดั โพธิม์ ีบุญ แตบํ วชไมนํ านทรงเกดิ ความคิดถงึ ราชบัลลังกจ๑ ึงลาผนวชแล๎ว กลับมาครองบลั ลงั กท๑ รงกลับไปผนวชอยํางนี้ ถึง ๓ คร้งั ๒.๖.๑๙ พระเจ้าปทุมราชา (Padumaraja) เป็นโอรสของพระเจา๎ ชยั เชษฐา เป็นพระเชษฐาชองพระราชาองค๑เดมิ นามเดมิ วํา นักองค๑ โส เมอื่ กษัตรยิ ผ๑ อ๎ู นชุ าหนั ไปนบั ถอื ศาสนาอิสลามสรา๎ งความไมพํ อใจให๎พระสงฆแ๑ ละอาณา ประชาราษฎร๑มาก ในทีส่ ดุ จงึ ถูกขบั ออก พระองค๑ทรงครองราชยต๑ ัง้ แตํ พ.ศ.๒๒๔๓ ทรงนบั ถอื พทุ ธ ศาสนาแบบเถรวาท ไดส๎ รา๎ งวัดหลายแหงํ มีพระโอรส ๒ พระองค๑คือ เจ๎าชายนน (นกั องคน๑ น) และ เจา๎ ชายตน ซง่ึ ตํอมาได๎แยงํ ราชบัลลังก๑จนแผํนดนิ ต๎องเสียใหแ๎ กํไทยและเวียดนามด๎วย พระองคน๑ นมี เวยี ดนามสนับสนนุ แตํพาํ ยแพต๎ อ๎ งหนีไปสน้ิ พระชนม๑ทีไ่ ซงํอน พ.ศ.๒๒๑๖ กองทัพไทยเหน็ เวียดนาม เข๎ามามอี ทิ ธิพลในกมั พชู าเกือบหมดจึงยกกองทพั ไปหวังโจมตี แตํไมํประสบความสําเร็จเพราะสมเด็จ พระนารายณ๑มหาราชได๎สวรรคตเสียกํอนจงึ เลกิ ทัพกลับมาในยุคน้ีเวียดนามจงึ เขา๎ มามีอทิ ธิพลแทน ไทยเกอื บทกุ ดา๎ น ๒.๖.๒๐ พระเจ้าศรธี รรมราชา (Sridhammaraja) พ.ศ.๒๒๕๖ พระศรธี รรมราชาไดป๎ กครองกมั พชู า แตํกบฏหลายครั้ง พระศรธี รรมราชา และพระองคท๑ องหนกี บฏเขา๎ มาพึง่ ไทยสมยั พระเจา๎ ท๎ายสระ พระองค๑จงึ โปรดใหย๎ กกองทพั ไปยดึ ครอง กัมพูชาใหพ๎ ระศรีธรรมราชาจะได๎ใช๎โอกาสนเ้ี ขา๎ ไปมอี ํานาจในกัมพชู าอีก ฝาุ ยเวยี ดนามพระแกว๎ ฟาู ขนึ้ ปกครองแทน กองทพั ไทยไมอํ าจจะเอาชนะได๎ จงึ ถอยรนํ กลบั มา ตอํ มาพระองค๑สํงพระยาโกษาธิบดี พระยาจกั รี พระเดโชยกกองทัพไปรบอกี คราวนีฝ้ ุายไทยไมํอาจจะเอาชนะได๎ ทพั เรอื ไทยท่ีนําโดย พระยาโกษาธบิ ดไี มชํ าํ นาญการรบตอ๎ งพาํ ยแพ๎ แตทํ พั บกยงั มชี ัย จงึ ทําสญั ญาสงบศกึ โดยเขมรยอมสํง เคร่อื งบรรณาการใหไ๎ ทย แตํไมํอาจจะตง้ั “พระเจ๎าศรีธรรมราชา”เป็นกษัตรยิ ไ๑ ดจ๎ ําต๎องนาํ พามายงั กรุง ศรอี ยุธยา พระองคม๑ โี อรส ๒ องค๑คือ นกั องคอ์ ิ่ม และ นกั องคท์ อง ท้งั คูํยงั พาํ นกั อยทูํ ก่ี รงุ ศรอี ยธุ ยา สวํ นกรุงกัมพชู าปกครองพระแก๎วฟูาท่มี เี วียดนามหนนุ หลงั

๕๔ ในระหวาํ งที่ประทับทกี่ รุงศรอี ยธุ ยา พระเจา๎ ศรธี รรมราชาธริ าช เมือ่ พระชนม๑ ๓๑ พรรษา ได๎สรา๎ งพระเจดยี ๑หม๎ุ ดว๎ ยดีบุกภายในพระนคร ตอํ มาพรรษา ๓๕ ทรงผนวช เป็นเวลา ๒ เดือน พรรษา ๔๓ ทรงผนวชอีกคร้ัง เป็นเวลา ๑ เดือน สํวนนกั องคท๑ องทรงผนวช ๘ เดอื น ทรงสร๎างวหิ ารหลังใหญํ ไดผ๎ ูกพทั ธสมี าภายในพระนคร คร้นั พรรษา ๓๘ ได๎ผนวชอกี ๘ ปีจนแตกฉานในภาษาบาลแี ละพระ วินยั ตํางๆ สวํ นนกั องคอ๑ ิ่มพรรษาได๎ ๒๑ ปี ทรงผนวช ๓ ปี ตอํ มาพรรษา ๒๔ ทรงผนวช ๒ ปี พรรษา ๒๖ ผนวชอีก ๔ ปี รวม ๙ ปใี นรมํ เงาพุทธศาสนา พ.ศ.๒๒๘๑ เกิดความไมํสงบในกมั พชู าอีกครง้ั เขมรแตกออกเปน็ หลายกก๏ ไทยได๎โอกาส จงึ ยกทพั ไปกมั พชู า ในทสี่ ุดไทยได๎รบั ชัยชนะ พระเจา๎ ศรธี รรมราชาจึงไดค๎ รองราชย๑อีกครงั้ หนงึ่ เปลย่ี นพระนามเป็นพระเจ๎าชยั เชษฐาธิราช แตํไมนํ านเกดิ ความวนุํ วายอกี ครั้ง เพราะพระอุทัยราชา แยํงอํานาจ พระองคส๑ ไ๎ู มไํ ด๎จึงหนไี ปลาวแทนทีจ่ ะเป็นไทยเหมือนเดมิ ในท่สี ุดได๎ส้ินพระชนม๑ท่ลี าว พ.ศ.๒๒๙๖ จากนัน้ พระองค๑ทองถูกสถาปนาเปน็ กษัตรยิ ๑ไดพ๎ ระนามวําพระเจ๎ารามาธบิ ดี ครองราชย๑ สมบตั ติ อํ มา ๒.๖.๒๑ สมเด็จพระนารายณร์ าชา (Narayanaraja) นามเดิมวํา นักองค๑ตน สมเดจ็ พระเจ๎าอทุ ัยราชาไดข๎ ้ึนครองราชย๑สมบัตใิ นปี พ.ศ. ๒๓๐๑ ได๎พระนามเต็มวาํ “พระนารายณร๑ าชารามาธิบดี ฯ” พระองคพ๑ อพระทัยพระมหาเถระรูปหนึง่ นามวํา ทมิ พาํ นักทีพ่ ระอารามนามวาํ สะแบง เปน็ พระปฏิบัตดิ ีงาม ทรงอาราธนามาทีพ่ ระราชวังเพ่ือฟ๓งพระ ธรรมเทศนาทกุ ๆวันพระในพระราชวังมิไดข๎ าด ทรงแตงํ ต้งั ใหเ๎ ป็นสมเดจ็ พระสคุ นธาธิบดี ปกครอง คณะสงฆ๑กัมพูชา๗ นบั เป็นพระสังฆราชท่ีได๎แตงํ ตั้งอยาํ งเปน็ ทางการ พระองค๑ผนวช ๒ คร้ัง คร้ังที่ ๒ พ.ศ.๒๓๐๖ ทรงผนวชทวี่ ดั เกาะจนี ๑ พรรษาในโอกาสมีเสนาอํามาตย๑ผใู๎ หญขํ อลาบวชตามเปน็ จาํ นวนมาก เพราะการมีพระเถระถวายคาํ แนะนํา ทําให๎พระองค๑ศรัทธาในพทุ ธศาสนาอยาํ งแรงกลา๎ ทรงปรารถนาพุทธภมู ิ โดยประกาศเจตนารมณ๑นต้ี อํ หนา๎ สงฆ๑ เม่อื พ.ศ.๒๓๑๘ ตรงกับรัชสมยั สมเดจ็ พระเจา๎ กรงุ ธนบุรี สมเด็จพระนารายณ๑ราชาธริ าช รามาธบิ ดี (นักองค๑ตน)ไดต๎ ระหนกั วาํ การสงครามระหวาํ งเขมรกบั ไทยมลู เหตุเพราะพระรามราชา ปรารถนาในราชสมบัติ เพื่อเหน็ แกํอาณาประซาราษฎร๑ไดน๎ ิมนต๑พระมหาสังฆราชพระพรหมมนุ ีซ่อื (หลง) นําความไปทลู สมเด็จพระรามราชาทีเ่ มืองกาํ โพช ใหม๎ าครองราชยส๑ มบัตทิ ่บี ันทายมาศ ทรงยก ราชสมบัติใหไ๎ ด๎พระนามวาํ “สมเด็จพระรามราชาธิราชบรมบพติ ร” (นกั องคโ๑ นน) สถิต ณ กรงุ กมั พชู า ขอมเปน็ พระญาติวงศร๑ ํวมพระอยั ยกิ าเดยี วกนั เมอื่ ความทราบฝุาละอองพระบาท สมเด็จพระเจา๎ กรุง หลวงเรืองเดชอนนั ต๑ (ทองดี ธนรัชต๑), พนั ศรี, ราชพงษาวดารกัมพชู า, (กรงุ เทพฯ: โสภณการพิมพ๑ ๒๕๕๐), หนา๎ ๑๓๓.

๕๕ ธนบรุ ที รงพระโสมนัส ทรงพระกรุณาพระราชทานอภเิ ษกสมเดจ็ พระรามราชาฯ สํวนสมเดจ็ พระ นารายณฯ๑ นนั้ ทรงพระกรุณาพระราชทานเป็นพระมหาอปุ โยราช ครั้นถึง พ.ศ.๒๓๒๒ ข๎าราชการเขมรคนหนึ่งช่อื เจ๎าฟูาทะละหะ (มู) คดิ การกบฏ จับสมเดจ็ พระรามราชาฯใสํกรงถวํ งนา้ํ จนสวรรคต แลว๎ สถาปนาตวั เองเปน็ สมเดจ็ ฟาู ทะละหะ ครน้ั ความทราบ ฝุาละอองพระบาท สมเดจ็ พระเจา๎ กรุงธนบุรี ทรงพระพโิ รธแกํพระยายมราช (แบน) ซึง่ เปน็ ขนุ นาง เขมรคนสนทิ ของสมเด็จพระรามราชาวํา ไมรํ ะวังเจ๎านายใหเ๎ ขาทาํ รา๎ ยได๎ จงึ ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา๎ ฯ ให๎เรยี กตวั พระยายมราช (แบน) เข๎ามาจาํ คกุ ณ กรุงธนบรุ ี เจา๎ พระยามหากษัตรยิ ๑ศกึ (ตอํ มาคอื พระบาทสมเดจ็ พระพุทธยอดฟูาจฬุ าโลก)ไดท๎ รงบาํ รุงมใิ หเ๎ ดือดร๎อนอยํใู นคุกกรุงธนบุรีนน้ั (ทรงถอื วํา พระยายมราช (แบน) เปน็ ข๎าหลวงเดมิ มาแตคํ รัง้ นน้ั ) ตอํ มา สมเด็จพระเจา๎ กรงุ ธนบรุ ี ทรงทราบวาํ สมเด็จฟูาทะละหะ (ยู) ฝ๓กใฝุเวียดนาม จะ แข็งเมืองตํอต๎านไทย จงึ ทรงพระกรณุ าโปรดเกล๎าฯ ให๎พระเจา๎ ลูกเธอกรมขนุ อนิ ทรพทิ ักษ๑ เจ๎าพระยา มหากษัตรยิ ๑ศึก และ เจ๎าพระยาสุรสีห๑พษิ ณวุ าธิราช (ตํอมาคอื สมเด็จพระบวรราชเจา๎ กรมพระราชวัง บวรมหาสรุ สงิ หนาท) ยกกองทพั ออกไปปราบปราม เมื่อปฉี ลู พ.ศ.๒๓๒๕ แตํยกทัพไปถึงเพียงเมอื ง เปยี งชีดอง ความทราบไปถึงทํานแมทํ ัพวาํ ในกรงุ ธนบุรีสมเดจ็ พระเจ๎ากรงุ ธนบรุ ี ทรงเสยี พระจรติ เกดิ จลาจลขนึ้ จงึ ตอ๎ งยกกองทัพกลบั มาแกไ๎ ข ดงั นั้นการทางเมอื งเขมรจึงต๎องพักไว๎คราวหน่งึ ๒.๖.๒๒ สมเด็จพระอทุ ยั ราชาที่ ๖ (Udayaraja 6) พ.ศ.๒๓๔๓ เจ๎าฟาู ทะละหะได๎ทาํ บุญฉลองบรรจพุ ระอฐั ิสมเดจ็ พระบรมบพติ ร ในพระ เจดีย๑ใหญทํ ่เี ขาพระราชทรพั ย๑ กรุงอดุ งค๑มชี ยั แลว๎ สร๎างพระพุทธรปู สาํ ริด ๑ องค๑ ทาํ จากตะก่วั ๑ องค๑ เพ่ือเปน็ ทส่ี ักการบชู าของประชาชนด๎วย แลว๎ บูรณะอารามหลายแหํงใหส๎ มบรู ณด๑ งั เดมิ จากน้นั พ.ศ. ๒๓๙๕ เจ๎าฟาู ทะละหะใหท๎ ําพธิ เี กสากันต๑ (ตดั ผม) นกั องค๑จนั ทร๑ผเ๎ู ป็นพระราชบตุ รองค๑ใหญํใหผ๎ นวช ในบวรพุทธศาสนา ๓ เดือน ออกพรรษาแล๎วจงึ ไดล๎ าสิกขาออกมารบั ราชการ อีก ๑ ปีตํอมาได๎แตงํ ตัง้ พระอาจารย๑เพชรเป็นพระมหาสงั ฆราชสุคามมุนี นามเดิมวาํ เพชร ชาวเมอื งบันทายมาศ และให๎พระ มหาสังฆราชเปน็ ประธานสร๎างพระพทุ ธรูปองค๑ใหญปํ ระดษิ ฐานบนเขาพระราชทรัพย๑ สมเดจ็ พระอุทยั ราชาท่ี ๖ทรงมีนามเดิมวาํ นกั องค๑จนั ทร๑ ไดพ๎ ระนามพระเจา๎ อทุ ัย ราชาธิราชรามาธบิ ดี (นกั องคจ๑ นั ทร)๑ ทรงเข๎าขา๎ งญวน แตํนกั องค๑อ่มิ เขา๎ ข๎างไทย จึงเกดิ ข๎อขัดแย๎งพระ อุทยั ราชา ส่ังจบั ฝาุ ยทีเ่ ขา๎ ข๎างไทยหมด นักองอ่ิมจงึ หลบหนเี ข๎าไทย ในหลวงรชั กาลท่ี ๒ จึงให๎ เจา๎ พระยาบดินเดชา (สิงห๑ สิงหเสนี) ยกกองทัพไทยไปปราบ พระเจ๎าอุทยั ราชาจึงหนไี ปพง่ึ พระเจา๎ ญา ลอง จกั รพรรดเิ วียดนาม แตกํ องทัพประสบปญ๓ หาไมํอาจจะต๎านกองทพั เรือของเวียดนามได๎จงึ พาํ ย กลับมา ญวนจึงยึดพนมเปญได๎พระเจา๎ อุทยั ราชา ไมํมพี ระโอรส มีแตธํ ดิ านามวํานกั องค๑แบน จงึ ต๎อง หาผ๎ูมาครองราชยต๑ อํ พระองค๑ถึงพิราลยั พ.ศ.๒๓๗๗ แตํญวนท่ยี ดึ ครองไดส๎ นับสนุนนกั องค๑แบน ปกครองเขมร และให๎แตงํ งานกบั ญวนเสีย ตํอมาญวนพยายามเปลีย่ นเขมรให๎กลายเป็นญวนทุกอยําง

๕๖ ทั้งอกั ษร ภาษา วัฒนธรรม จนทําใหน๎ ักองค๑แบนทนไมไํ หว จงึ วางแผนขอความชํวยเหลือจากไทย แตํ งานขอความชวํ ยเหลอื ไมสํ าํ เรจ็ พระนางถูกญวนจบั สงั หาร พ.ศ.๒๓๘๐ กองทัพไทยนาํ โดยเจ๎าพระยา บดินทรเ๑ ดชา จงึ ยกเขา๎ โจมตีเขมรอีกครัง้ คราวน้กี องทัพไทยยดึ ไดถ๎ งึ พนมเปญ แตถํ กู กองทัพญวนตีโต๎ อีกครั้ง จึงได๎หยุดอยแูํ คนํ ้ัน ในดา๎ นศาสนา พระบาทสมเดจ็ พระพุทธเลศิ หลา๎ นภาลัยมนี โยบายปกปอู งพทุ ธศาสนา ชัดเจน พระองคต๑ รัสกบั เจ๎าพระยาบดินทรเ๑ ดชาแมํทัพไทยกํอนไปตํอส๎ูกบั ญวนทเ่ี ขมรวํา “ทรง เสยี ดายบวรพทุ ธศาสนา สงสารอาณาประชาราษฎร๑เขมรนกั การไปดงั นี้ เพราะองคจ๑ ันทร๑(แอบเขา๎ ขา๎ ง ญวนแลว๎ มาทําลายพทุ ธศาสนา) จนพระศาสนาในเมืองเขมรจะสญู สิ้น ใหร๎ ักษาบวรพทุ ธศาสนาใน เมอื งเขมรให๎ม่นั คงถาวร ไมใํ ห๎ญวนมิจฉาทิฏฐิมาทําลายเสีย ไมใํ หแ๎ ปลงเขมรท่ีเป็นสัมมาทฏิ ฐใิ ห๎ กลายเป็นมจิ ฉาทิฏฐติ ามญวน” จากพระดาํ รสั นจ่ี ะเห็นไดว๎ ํานโยบายการตาํ งประเทศของไทยสมัย รชั กาลที่ ๑ และ ๒ มีพันธกจิ ท่ีจะปกปูองพุทธศาสนาดว๎ ย เจา๎ พระยาบดินทรเดชาปราบปรามญวน ออกจากเขมรแลว๎ ได๎สํงเสรมิ พุทธศาสนาหลายดา๎ น เชนํ นําทหารบูรณะอารามท่ีถูกทําลาย อาราธนา พระสงฆท๑ ี่มีความสามารถมาแตงํ ตง้ั เปน็ พระราชาคณะบริหารกจิ การคณะสงฆ๑ ในดา๎ นพุทธศาสนา พ.ศ.๒๓๕๓ พระสังฆราชพระธรรมวิป๓สสนาเดินทางมาจากนครวัดเข๎า เฝาู ทรงเลอ่ื มใสในพระรูปน้ีมาก เพราะเป็นอาจารยข๑ องพระบิดาของพระองค๑ สอนพระกัมมฏั ฐาน เมอ่ื ครั้งผนวชทว่ี ัดสมอราย กรงุ เทพฯ เดนิ ทางมาจําพรรษาทนี่ ครวดั ตํอมาในฤดูเขา๎ พรรษาโปรดให๎ อนชุ า ๓ พระองค๑นําโดยนกั องค๑สงวน ผนวชในอารามท่พี ระสังฆราชเปน็ ประมุข สํวนนักองค๑ด๎วงผนวช ในวดั จตรุ ทิศนาํ โดยพระมหาพรหมมุนี (นอง) ออกพรรษาแลว๎ โปรดใหอ๎ อกญาพระคลงั (นวง) เป็น หวั หนา๎ สนบั สนุนการกํอสร๎างพระพุทธบาทท่ียอดเขาสนั ธุก นาํ โดยพระสงั ฆราชองคน๑ ี้ เมือ่ พระสังฆราช สนิ้ พระชนม๑แลว๎ โปรดให๎แตํงตงั้ พระมหาพรหมมนุ เี ปน็ พระสังฆราชสืบตํอมา อีก ๑ ปถี ดั มา พระองคไ๑ ดน๎ มิ นต๑ ๑.พระมหาสังฆราช (นวง) ๒.พระสงั ฆราชบวรสัตถา (เรอื ง) ๓.พระสมเดจ็ (หงิ่ ) ๔.ออกญาพระเสดจ็ คํา ๕. ออกญาพระคลัง (นวง)ไปประชุมพร๎อมกนั กับ คณะสงฆใ๑ นพระวิหารบนเขาพระราชทรัพย๑เมืองอุดงคม๑ ชี ยั แล๎วใหแ๎ ปลคัมภรี พ๑ ระวินยั ปิฎกถวาย พระสงั ฆราชพระธรรมวปิ ๓สสนา นจ้ี ึงเปน็ เหตกุ ารณ๑แปลพระไตรปิฎกอยํางเป็นทางการในกมั พูชา ๒.๖.๒๓ สมเด็จพระนารายณ์ (Phranarayana) นกั องคเ๑ องเป็นพระโอรสของพระนารายณร๑ าชา ได๎รบั การเลยี้ งดูจากราชสํานักของไทย พ.ศ.๒๓๓๗ เม่อื อายุครบอปุ สมบท พระบาทสมเดจ็ พระพุทธยอดฟูาจฬุ าโลกโปรดเกลา๎ ให๎ พระราชทานผ๎าไตรและรบั เป็นนาคหลวง เขา๎ พิธอี ุปสมบทท่ีวัดพระแก๎ว ในพระราชวังโดยการอุปถมั ภ๑ อักษรเจริญทัศน๑, ประวตั เิ จา้ พระยาบดนิ ทรเ์ ดชา, (กรุงเทพฯ : สาํ นักพมิ พ๑อกั ษรเจริญทัศน๑, ๒๕๔๕), หน๎า ๗๒.

๕๗ จากในหลวงทัง้ ส้ิน จากน้นั ในหลวงทาํ การราชาภเิ ษกเป็นกษตั รยิ ใ๑ นกมั พูชาที่กรงุ เทพฯ ได๎พระนาม เตม็ วาํ \"สมเด็จพระนารายณร๑ ามาธิบดี ศรสี ุริโยพรรณ บรมสุรนทรามหาจกั รพรรดริ าช บรมนาถบพิตร เจา๎ กรงุ กมั พชู า” จึงกลาํ วไดว๎ าํ กมั พูชาเป็นเมอื งขน้ึ ของไทยเตม็ ตวั ในขณะเดยี วกนั ได๎ให๎พระยา กลาโหมเป็นพ่เี ลีย้ งปกปอู งราชบัลลังกไ๑ ปกาํ กับด๎วย พระองคม๑ ีพระโอรส ๕ องค๑ คอื ๑.นกั องค๑จันทร๑ ๒.นักองค๑พมิ พ๑ ๓.นักองค๑สงวน ๔.นักองคอ๑ ่ิม ๕.นั กองคด๑ ๎วง อยาํ งไรก็ตามพระนารายณร๑ าชาปกครอง ไดเ๎ พยี ง ๓ ปี ๒ เดอื นพระองคไ๑ ด๎ทิวงคต ขณะท่ีพระชนมายุ ๒๕ พรรษาเทาํ น้ัน นักองค๑จันทร๑ พระโอรสพระชนมายุ ๖ พรรษาข้ึนครองราชยแ๑ ทน ครน้ั ครองราชย๑มาได๎ ๑๐ ปี พระชนมายุ ๑๖ พรรษาเจา๎ ฟูาทลหะ (ปก) จึงได๎อญั เชิญพระองคไ๑ ปยังกรงุ เทพมหานคร พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอด ฟาู จฬุ าโลกจึงไดท๎ ําพธิ รี าชาภเิ ษกเปน็ กษตั รยิ ก๑ มั พชู า ได๎พระนามวาํ “สมเดจ็ พระอทุ ัยราชารามาธิบดี ศรีสรุ โิ ยพรรณ บรมสุรินทรามหาจักรพรรดิ ราชบรมนารถบพติ ร สถิตเป็นอิศวรกาํ พลู รฐั ราษฎร์ โอภาสชาตวิ รวงษ์ ดาํ รงกรุงกมั พูชาธบิ ดี ศรโี สธรนครอินทปตั กุรุราชบรุ ีรมย์ อุดมมหาสถาน เจ้า กรงุ กมั พูชา” จากนัน้ เสด็จกัมพูชา ในเบือ้ งตน๎ พระองคม๑ สี ายสัมพันธท๑ ีด่ กี บั ไทยมาก แตํภายหลงั เร่มิ มี ใจออกหาํ ง ไปผกู สายสมั พันธก๑ บั เวียดนามเพือ่ ถํวงดุลอํานาจกับไทย พระองคท๑ ิวงคต พ.ศ. ๒๓๗๗ ในด๎านพุทธศาสนา พ.ศ.๒๓๙๐ พระองคศ๑ รทั ธาในพทุ ธศาสนาไมนํ ๎อยกวําองคอ๑ ่ืนๆ ได๎ โปรดให๎ทําพิธีเกสากันตแ๑ กพํ ระโอรสนามวาํ พระองค๑เจา๎ จรอเลง้ิ ตํอมาเปลยี่ นนามเปน็ องค๑ราชาวดี ให๎ ผนวชเป็นสามเณรกบั พระสังฆราชเจ๎า (นูร๑) ณ วดั กรังไพลย๑ จากน้นั นักองคพ๑ มิ พ๑ได๎ผนวชเป็น พระภกิ ษุในสาํ นักวดั นเี้ หมือนกัน เมอื่ ออกพรรษาแลว๎ ทง้ั ๒ พระองคจ๑ ึงลาสิกขา นอกจากจะสนบั สนุน ใหพ๎ ระญาติวงศ๑ไดเ๎ ข๎ามาผนวชในบวรพทุ ธศาสนาแลว๎ ยังสนับสนุนการศกึ ษาสงฆ๑ใหเ๎ จรญิ กา๎ วหนา๎ มาก ข้ึน การศึกษาภาษาบาลแี ละธรรมวนิ ัยมีการศกึ ษาอยํางจรงิ จงั ตอํ มาพระองคด๑ ว๎ งไดส๎ ถาปนา พระสังฆราช (นูร๑) เป็น “สมเดจ็ พระมหาสังฆราชาคณาธิบดี สิรบิ รมบพติ ร สังฆนายกดลิ กโลกา จรยิ าคม บรมสังฆเชษฐา มหาสังฆราชาวโรดม บรมบพติ ร” เป็นฝุายคนั ถธรุ ะ ทรงแตงํ ตั้งอีกองค๑ เป็น “สมเดจ็ พระสคุ นั ธาธบิ ดี” เป็นฝุายวิป๓สสนาธรุ ะ จากนน้ั ทรงถวายสมณศกั ด์ิพัดยศ ไลํเลยี งลงมา ตามลาํ ดับ ทรงจํายพระราชทรพั ยเ๑ ปน็ นิตยภัตให๎พระสงฆ๑สามเณรทศี่ ึกษาเลาํ เรยี นทกุ เดอื น กระตนุ๎ ให๎พระสงฆ๑ใสใํ จทงั้ คันถธรุ ะและวปิ ๓สสนาธุระในยคุ น้ีพระพุทธศาสนาจึงเจรญิ กา๎ วหน๎ามาก ๒.๖.๒๔ สมเด็จพระหริรักษ์ (Harirak) พ.ศ.๒๓๙๑ (๑๘๔๘) สมเด็จพระแก๎วฟูา (นกั องค๑ด๎วง) พระอนชุ าของนกั องค๑จนั ทร๑ ได๎ พาํ นกั อยพํู ระตะบองภายใตก๎ ารคุม๎ ครองของไทยเปน็ เวลานาน ได๎รับการแตํงตั้งเปน็ กษตั ริยก๑ ัมพูชาได๎ พระนามวาํ “สมเด็จพระหริรักษร์ ามาอิศราธบิ ดี” พระองค๑ครองราชย๑ จนถงึ พ.ศ.๒๔๐๓ (๑๘๖๐) ขณะท่ีพระชนมายุ ๕๒ พรรษา ทรงขน้ึ ครองราชย๑ที่เมอื งอุดงค๑ ตรงกบั รชั สมัยของพระน่งั เกลา๎ เจา๎ อยูํหวั รัชกาลที่ ๓ พระองคม๑ ีพระโอรสหลายพระองค๑ คือ

๕๘ ๑. องศ์ราชาวดี ประสูติ พ.ศ.๒๓๗๙ ที่กรงุ เทพมหานคร ขณะทพ่ี ระองค๑ประทบั อยูํที่ กรงุ เทพ พระมารดาคือเจา๎ จอมมารดาแปนู ได๎สํงมายงั เมืองไทย อายุ ๗ พรรษา ได๎บรรพชาเปน็ สามเณร แล๎วเมือ่ ถึงวยั อปุ สมบท พระบาทสมเด็จพระจอมเกลา๎ เจ๎าอยูํหวั จึงใหอ๎ งค๑ราชาวดีอปุ สมบท เป็นนาคหลวงทีว่ ดั พระศรีรตั นศาสดาราม กรงุ เทพฯ โดยมสี มเดจ็ พระมหาสมณเจ๎ากรมพระยาปวเรศว รยิ าลงกรณ๑เป็นพระอุป๓ชฌายไ๑ ดส๎ มณ ฉายาวํา นรุตตฺ โม จากนน้ั ไดไ๎ ปจําพรรษาทว่ี ดั บวรนเิ วศวหิ าร แล๎วเสดจ็ กลับกมั พชู า การเดินทางไปกัมพูชาในภกิ ขภุ าวะนั้นไดร๎ ับการกลําวขวัญมาก เพราะฝาุ ยไทย จัดขบวนใหอ๎ ยาํ งย่งิ ใหญํ และฝาุ ยกัมพชู าเองตอ๎ นรับอยํางสมพระเกยี รติ นบั เปน็ การเช่อื มสมั พันธ๑ทาง พทุ ธศาสนาทส่ี ําคญั ยิ่งของ ๒ ชาติ ทรงพาํ นกั อยูํไมนํ าน จากนัน้ จงึ กลบั มาลาผนวชท่กี รงุ เทพฯ องค๑ ราชาวดนี ้ี ตอํ มาคอื สมเด็จพระเจา้ นโรดมบรมรามเทวาวตาร ครองราชย๑ตํอมา และพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา๎ อยูํหัวไดพ๎ ระราชทานเคร่อื งราชกกุธภณั ฑ๑ให๎องค๑ราชาวดี คือ ๑.พระมหาเศวตฉตั ร ๒. พระมหามงกฎุ ๓.ธารพระกร ๔.ฉลองพระบาท ๕.ดาบ หรอื พระขนั ธ๑ ๖.แส๎จามร ๒. องค์สสี วุ ัตถ์ิ (ศรสี วสั ดิ์) เกดิ พ.ศ.๒๓๘๑ ท่กี รงุ เทพมหานครเหมือนองค๑ราชาวดี แตํพระ มารดาตํางกัน ตํอมาได๎ครองราชย๑นามวาํ สมเด็จพระเจ้าสสี วุ ัตถมิ์ ณวี งศ์ และเป็นต๎นตระกลู สสี ุวตั ถิ์ ตํอมา ๓. องคช์ ัยวฑั ถา หรอื พระองค๑เจ๎าศรีวฒั นา หรือองคศ๑ รีวัตถา หรอื นพรตั น๑ ประสตู ิจาก พระมารดาเดียวกบั พระองคร๑ าชาวดี ทรงรวบรวมพงศาวดารกมั พชู าเปน็ ผลงานชิน้ เอกมาถงึ ปจ๓ จบุ ัน ตํอมาเป็นกบฏลม๎ ราชบลั ลังกพ๑ ระเชษฐา (องคร๑ าชาวดี) ๔. นักองคศ์ ริ วิ งศ์ เป็นพระโอรสองคเ๑ ล็ก ตํอมาได๎ทิวงคตไมํนาน ในชวํ งนีก้ ัมพูชาถูก อิทธิพลของ ๒ ชาติทใ่ี หญํกวํา คือไทยกับเวยี ดนาม พยายามแขงํ อิทธพิ ลกนั เขา๎ ครอบครองกัมพูชา ใน สมัยของจักรพรรดมิ นิ หม๑ างทรงพยายามอยาํ งยิง่ ทจ่ี ะแผํอิทธิพลเข๎ามายงั กัมพูชาและเปลีย่ นกมั พชู า เปน็ เวยี ดนามท้ังด๎านภาษา และวฒั นธรรม แตํไทยจะได๎เปรียบในด๎านความใกล๎ชิดทางดา๎ นศาสนา ประเพณี และ วัฒนธรรม ตํอมานักอง ค๑ดว๎ งด๎วยการสนับสนุนจาก เจา้ พระยาบดินทรเ์ ดชา ได๎สรา๎ งสถานะของ กษตั รยิ ๑ให๎มนั่ คงขึ้น ทรงสํงเสริมพทุ ธศาสนาหลายอยําง โปรดใหท๎ ําลายปอู มของเวยี ดนามทเี่ มือง พนมเปญ ขนอฐิ เหลาํ น้ีไปสร๎างวัดในพทุ ธศาสนาเจด็ แหํงในเมืองอุดงค๑ พระพทุ ธรปู ท่แี ตกหกั ไดร๎ ับการ ซํอมแซมใหมํ แมอ๎ งค๑ใหมํกไ็ ดถ๎ กู ปน้๓ ขึน้ มา พระสงฆไ๑ ดร๎ บั การสํงเสรมิ ให๎พาํ นักอยํตู ามวัดอีกครง้ั และ ประชาชนไดร๎ ับการสนบั สนุนใหเ๎ คารพพระองค๑มาก การบูรณะนี้ ได๎รับการสนับสนุนอยาํ งแข็งขัน จากฝุายไทยนําโดยเจา๎ พระยาบดนิ ทร๑เดชา ทาํ ให๎ชาวกัมพูชาสนบั สนุนไทยมากกวาํ เวียดนามที่ จกั รพรรดิสนใจแตํขงจือ้ ซง่ึ เป็นศาสนาท่ีชาวกมั พชู าปฏเิ สธ ในปี พ.ศ.๒๓๙๗ พระองคไ๑ ด๎สํง ศานติ ภักดีคาํ , ดร., เขมรรบไทย, หนา๎ ๒๘๔.

๕๙ พระไตรปิฎกฉบบั ใบลานอักษรขอมมาถวายในหลวงรชั กาลที่ ๓ สงํ พระมาศึกษาท่ีเมืองไทยหลายองค๑ พระองค๑ดว๎ งปกครองจนถงึ พ.ศ.๒๔๐๓ จึงสวรรคต นับเปน็ กษัตรยิ ท๑ ีม่ ีบทบาทมากทส่ี ดุ ในการยกระดบั ความศรทั ธาในสถาบนั พระมหากษัตรยิ ๑ใหม๎ ั่นคงย่งิ ขึน้ นับตงั้ แตํอาณาจักรกรุงศรีอยธุ ยาเป็นตน๎ มาจนถงึ รัตนโกสินทรส๑ มัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกลา๎ เจา๎ อยํูหัว กัมพชู ารบกบั ไทย ๒๘ ครงั้ สวํ นใหญไํ ทย ชนะและเขา๎ ครอบครองกัมพชู า เมอ่ื พระเจา๎ อทุ ัยราชาถงึ พิราลยั แลว๎ นักองค๑ด๎วงถูกแตํงตั้งใหเ๎ ป็นเจ๎าเมืองพระตะบอง ทาง ไทยมแี ผนจะใหค๎ รองราชย๑ท่เี มืองอดุ งค๑ เมืองหลวง แตํยังไมํอาจจะจัดการอะไรได๎เพราะญวนเขา๎ ครอบครอง ฝาุ ยเวยี ดนามได๎แผํอทิ ธพิ ลเขา๎ มาครอบงําเขมรหมด วัดวาทางพทุ ธศาสนาถกู รอ้ื ถอน พระภกิ ษุสามเณรถูกจบั สกึ ราษฎรจึงกํอการกบฏ จงึ ขอกาํ ลังจากไทย เจ๎าพระยาบดินทร๑เดชาจงึ แจ๎ง มายังกรงุ เทพ พระเจ๎าอยูํหวั เหน็ สมควรทีจ่ ะปกปูองพุทธศาสนาจงึ ให๎กองทัพไทยนําเอานกั องคด๑ ๎วง ตามไปดว๎ ย จนยดึ กัมพชู ากลับมาได๎ ประกอบกบั เวียดนามตอนนน้ั เร่ิมมีฝรัง่ เศสเข๎ามาคกุ คาม เวียดนามจึงเปน็ หํวงบ๎านตวั เองมากกวาํ เขมรจงึ ขอทาํ สัญญาสงบศกึ กบั ไทย เพียงแตขํ อใหก๎ ษตั ริย๑ เขมรถกู แตงํ ตัง้ จากญวนด๎วยและสํงราชบรรณาการ ๓ ปีตํอครัง้ ฝุายไทยพิจารณาวาํ การที่กษตั ริย๑ท่ี ไทยสนับสนุน ให๎เป็นกษัตริย๑ ทาํ ให๎สถานะของไทยในเขมรดกี วาํ สมยั รัชกาลท่ี ๒ มาก จึงตกลงเซ็น สญั ญาสงบศึกกับญวนใน พ.ศ.๒๓๙๐ ในยุคของพระองค๑นับเปน็ ยุคสันติภาพอยํางแทจ๎ รงิ ประเทศไมํมีสงคราม ประชาชนอยูดํ ี กนิ ดี เมื่อไดป๎ กครองกมั พชู าสมบรู ณ๑แบบ ได๎ทรงย๎ายเมอื งหลวงจากเมืองอดุ งค๑มายงั พนมเปญ ทรง สนับสนุนพุทธศาสนามากมาย เพราะเคยผนวชทเี่ มืองไทยหลายพรรษาจึงเห็นความสําคญั ทรง สนบั สนนุ นกิ ายธรรมยุติให๎เจริญรุงํ เรืองในกมั พูชา ทรงสร๎างวดั ปทุมวดี ถวายสมเด็จพระสังฆราช (ปาน) ไดส๎ ร๎างวัดฝุายมหานกิ ายหลายวัด ถวายพระสังฆราชฝุายมหานกิ าย โปรดใหม๎ กี ารอุปสมบท พระโอรสและพระราชวงศ๑ โดยการอบรมของ ๒ สมเด็จพระสังฆราช คอื พระสังฆราชนิลเท่ียง ฝาุ ย มหานกิ าย และพระสังฆราช ปาน ฝาุ ยธรรมยตุ ิ ทรงแตํงตงั้ พระสงฆใ๑ ห๎ดํารงสมณศกั ดชิ์ นั้ สงู แล๎ว มอบหมายให๎ปกครองคณะสงฆ๑ โปรดให๎มกี ารจดั สอบพระปรยิ ตั ิธรรมทงั้ แผนกธรรมและแผนกบาลขี ้ึน จนสามารถสอบผํานเป็นมหาหลายรูป จนทาํ ใหส๎ ถานการณ๑พทุ ธศาสนาเจริญรุํงเรือง พระองค๑ทวิ งคต พ.ศ.๒๔๐๒ ในยุคน้ไี ด๎มีนกั สํารวจชาวฝรั่งเศสคนหน่งึ นามวาํ อองรี มูโอต๑ ( Henri Mouhot) ไดเ๎ ข๎ามา สาํ รวจกัมพชู า เดินทางไปทัว่ ทั้งประเทศใน พ.ศ.๒๔๐๔ ด๎วยวําในยคุ น้นั ยังไมํมกี ล๎องถาํ ยภาพ เขาเป็น จติ รกรอาศยั ความชํานาญในการวาดภาพ เมอื่ เดินทางไปถึงนครวดั ไดว๎ าดภาพนครวดั มากกวาํ ๘๐๐ ภาพ ภาพเหลาํ นเ้ี มอื่ นาํ กลับไปตพี ิมพ๑ที่ฝรั่งเศส สรา๎ งความตน่ื ตะลงึ ใหแ๎ กชํ าวยุโรปมาก เพราะไมํนาํ

๖๐ เช่อื วําชาวเอเชยี ผวิ เหลอื งท่ีถอื วาํ ตา่ํ ต๎อยจะมอี ารยธรรมท่ีสูงสํงขนาดนม้ี ากอํ น ภาพท่ีเขาวาดยังได๎ ตพี ิมพต๑ ํอมา เปน็ การเปิดโลกทัศนใ๑ หช๎ าวยโุ รปหล่ังไหลมาเยือนกมั พชู ามากยิ่งขนึ้ ๒.๖.๒๕ การสถานปนานกิ ายธรรมยุติ นกิ ายธรรมยตุ ใิ นประเทศไทยสถาปนาโดยพระบาทสมเด็จพระจอมเกลา๎ เจ๎าอยหูํ วั เมื่อครั้ง ออกผนวชเป็นพระวชิรญาณหรือพระบาทสมเด็จพระจอมเกล๎าเจ๎าอยหูํ ัว ไดศ๎ รัทธาในพระมอญที่ เครํงครัดจงึ ได๎กอํ ต้ังนิกายใหมํขน้ึ ใน พ.ศ.๒๓๕๖ จนเจริญแพรหํ ลายในประเทศและเรมิ่ ขยายสูปํ ระเทศ เพื่อนบา๎ นทง้ั กัมพชู าและลาว เม่อื พ.ศ. ๒๓๙๗ ในสมยั พระบาทสมเด็จพระจอมเกล๎าเจา๎ อยหูํ วั นกิ ายธรรมยตุ ิได๎กอํ ต้ัง เปน็ ทีเ่ รียบร๎อยแลว๎ พระองค๑ทรงทราบวําพระไตรปฎิ กในประเทศกัมพชู าน้ันถูกขา๎ ศกึ ทําลายเสยี มากกวาํ มาก จงึ ใหส๎ มณทตู คณะหนงึ่ กับข๎าหลวงตํางองค๑นําคัมภรี พ๑ ระไตรปิฎก ๔๐ คัมภีร๑ไป พระราชทานแกสํ มเด็จพระหริรกั ษร๑ ามาธบิ ดี (ด๎วง) โดยมี พระอมราภิรกั ขติ (อมร เกิด) เป็นหวั หน้า กบั พระมหาปานปญ๓ ญาสโี ล วดั บรมนวิ าส และพระอนื่ ๆ อกี ๕ รปู ฝุายคฤหัสถ๑มหี ลวงสนุ ทรโวหาร (นอ๎ ย อาจารยางกูร) เปรียญ ๙ประโยค เปน็ หัวหนา๎ สมณทตู และข๎าหลวงได๎ไปถงึ กรุงอดุ งค๑ เมือ่ วัน จนั ทร๑ เดอื น ๔ ข้ึน ๑๑ ค่าํ พ.ศ. ๒๓๙๗ พระมหาปานป๓ญญาสโี ลไดแ๎ ปลบุพพสกิ ขาวรรณนาของพระ อมราภิรกั ขติ เปน็ ภาษาเขมร คณะธรรมยุติในประเทศกมั พูซานับถอื พระอมราภริ ักขิตเป็นบรู พาจารย๑ องคห๑ น่ึง จงึ หลํอรปู ไวท๎ ี่วดั ปทมุ วดี กรงุ พนมเปญ สาํ หรบั สกั การบชู าอยํูจนทุกวนั น้ี พระอมราภริ ักขิต ไปยังกรุงอุดงคม๑ ชี ัย กัมพชู าคร้ังท่ี ๒ กบั พระมหาปาน ปญ๓ ญาสโี ล และภิกษสุ งฆ๑ธรรมยุติ ระหวาํ ง พ.ศ. ๒๔๐๓ - ๒๔๐๕ คือเมอื่ สมเดจ็ พระนโรดมเสวยราชยแ๑ ล๎ว และกอํ นเวลาทฝี่ รง่ั เศสจะเขา๎ มีอํานาจ วัด นาคตาแสงกลายเป็นวดั แรกของนิกายน้ี โดยไดร๎ ับการสนบั สนนุ จากราชวงศก๑ มั พูชาเปน็ อยํางดี พระ มหาปาน เปน็ เจ๎าอาวาสรปู แรก โดยไดส๎ ร๎างพ.ศ. ๒๓๙๘ (๑๘๕๕) ๒.๖.๒๖ สมเด็จพระสคุ นธาธิบดี (ปาน) พระสคุ นธาธิบดี (ปาน) เกิดพ.ศ.๒๓๖๗ (๑๘๒๔) ที่จังหวดั พระตะบอง ครอบครัวมีอาชีพ ทํานา เม่ืออยูํในวยั เดก็ ไดเ๎ ข๎ามาบวชเปน็ สามเณรทวี่ ดั ครน้ั อายุครบบวชแล๎วได๎อุปสมบทเป็นพระภกิ ษุ ตํอมาพ.ศ. ๒๔๐๗ พระมหาปานไดม๎ าศกึ ษาพุทธศาสนาในประเทศไทย แลว๎ ฝากตัวเปน็ ศิษยพ๑ ระวชิ รญาณ หรือในหลวงรัชกาลท่ี ๔ ขณะที่ทรงผนวช แล๎วญัตติเป็นฝุายธรรมยตุ ิ ได๎ฉายาวาํ ป๒๓ ฺญาสโี ล จากนน้ั พาํ นกั ท่วี ดั บวรนิเวศวิหาร แล๎วไปจาํ พรรษาตอํ ทว่ี ดั บรมนิวาส กรงุ เทพฯ สอบได๎เปรียญธรรม ๔ ประโยค เม่ือจบการศกึ ษาแลว๎ กลบั ไปยงั กมั พูชา ไดน๎ ํานกิ ายธรรมยุติน้ีไปเผยแผํทกี่ มั พูชาด๎วย ครัน้ ตอํ มาได๎รับการแตงํ ต้ังเป็น สมเดจ็ พระสคุ นธาธบิ ดี สมเดจ็ พระสังฆราช (ปานป๓ญญาสีโล) ดแู ลคณะ ไกรฤกษ๑ นานา, สยามทีไ่ มท่ ันได้เห็น, (กรุงเทพฯ: โรงพิมพเ๑ ซเวนํ พริ้นติ้ง จาํ กดั , ๒๕๔๙), หน๎า ๔๖.

๖๑ สงฆ๑ฝุายธรรมยุติ ทํานมีผลงานที่โดดเดนํ ๒ อยาํ งคือ ๑.แตงํ พงศาวดารในปี พ.ศ.๒๔๑๒ ทํานได๎ ตรวจสอบพงศาวดารกมั พูชาและเรยี บเรียงใหมํใหซ๎ ่ือวํา “พระราชพงศาวดารนครเขมร” จารึกด๎วย อกั ษรขอมในใบลาน เปน็ หนงั สอื ประวัติศาสตรก๑ ัมพูชา ที่สําคญั มากอีกฉบับ นับเป็นผลงานทางดา๎ น วรรณกรรมทีท่ รงคุณคําที่สดุ ของเขมร ๒.ปฏิรูปอกั ษร อักษรท่ใี ชก๎ นั ในประเทศเรยี กวาํ อักษรขอม ยาก ตํอการเขียนหวัด หรือ เขยี นอยาํ งรวดเร็ว เพราะตอ๎ งมเี ชิงและโคง๎ งอ ทาํ นจงึ ไดป๎ ริวรรตเปน็ อกั ษรเชรี ยงท่ีมลี ักษณะตรง งาํ ยตอํ คนสามัญทั่วไปจะเขยี นสะดวก กลายเป็นมรดกของกัมพูชามาถึงป๓จจุบนั ท้งั ฝุายมหานิกาย และธรรมยตุ มิ ีการบริหารแยกกันโดยเดด็ ขาดไมขํ ้นึ ตรงตอํ กนั เหมอื นเมอื งไทย เมอ่ื ถงึ มหาเถรสมาคม พระสังฆราชฝาุ ยมหานกิ ายเรียกวาํ “ สมเดจ็ พระสเุ มธาธิบดี สังฆนายก มหานกิ าย” ฝุายธรรมยุติเรยี กวํา “สมเด็จพระสธุ ัมมาธิบดสี งั ฆนายก คณะธรรมยุตติกนิกาย” พุทธศาสนาใน กมั พูชาจงึ มลี กั ษณะเหมือนกบั ไทยมาก สมเดจ็ พระสังฆราชปาน มรณภาพ พ.ศ.๒๔๓๗ รวมอายุ ๗๐ พรรษา ๒.๖.๒๗ สมเด็จพระสงั ฆราช (เทยี่ ง) สมเดจ็ พระสังฆราชฝาุ ยมหานิกายองคน๑ ี้พระนามเดิมวาํ นลิ เท่ยี ง (Tieng) เกิด พ.ศ.๒๓๖๘ (๑๘๒๓) ท่ีเกยี นสวาย (Kien Svay) จังหวัดสวายเรยี งของกัมพูชา ในตระกลู ชาวนาทยี่ ากจน บดิ าเป็น คนท่ีขยัน แตํตํอมาได๎ถูกกองทพั ไทยกวาดต๎อนครอบครัวไปเป็นคนงานในคราวสงครามไทย-กัมพชู า ตํอมาถูกจับสํงไปเปน็ ทาสที่จงั หวดั มงคลบุรี พอทํานอายไุ ด๎ ๘ ปีได๎ไปอาศัยในวัด จากน้ันได๎บรรพชา เปน็ สามเณรไมนํ าน ๔ ปี ขณะเป็นสามเณร ไดต๎ ิดตามอาจารย๑มาศึกษาธรรมทว่ี ดั อัมรินทร๑ กรุงเทพฯ ตอํ มาได๎อุปสมบทเป็นพระภกิ ษุ ทีว่ ดั อัมรินทร๑ กรุงเทพฯ ทํานจาํ พรรษาทีก่ รงุ เทพ ศึกษาทั้งนักธรรม และบาลีทก่ี รงุ เทพ เปน็ เวลา ๗ ปี ไดเ๎ ขา๎ เฝูาพระบาทสมเดจ็ พระนงั่ เกล๎าอยํูหัวเป็นประจาํ จากนัน้ จึง ขออนญุ าตเดนิ ทางกลับกัมพชู า ในขณะนั้นนครหลวงของกัมพชู าอยูทํ เ่ี มอื งอดุ งค๑ ทาํ นจงึ จําพรรษาทีว่ ัดปรางค๑ เมอื งอุดงค๑ ไมนํ านได๎รบั แตํงตัง้ เปน็ เจ๎าอาวาสวดั ปรางค๑ ในปี พ.ศ.๒๔๐๐ ทาํ นได๎รบั การแตงํ ตั้งจากสมเด็จพระเจา๎ นโรดมเป็นสมเดจ็ พระสุเมธาธบิ ดี สงั ฆนายก คณะมหานิกาย ตอํ มาเมือ่ พระเจ๎านโรดมไดย๎ า๎ ยพระนคร จากเมืองอดุ งคม๑ าที่พนมเปญ ทาํ นได๎ตดิ ตามไปทก่ี รุงพนมเปญ ทาํ นจําพรรษาทวี่ ัดอณุ ณาโลมตดิ พระบรมมหาราชวัง ทํานมคี วามชํานาญเปน็ เลศิ ในด๎านภาษาบาลี สนั สกฤต และไทย นอกจากน้ันยัง เกงํ ในคณิตศาสตร๑ โหราศาสตร๑ ทํานมรณภาพทวี่ ดั อณุ ณาโลมกรุงพนมเปญ ในปีพ.ศ.๒ ๔๐๗ สริ ิอายุ ๘๘ ปี ■ หนา๎ ๒๐๙. เดวิด แชนเลอร๑, ประวตั ิศาสตร์กมั พชู า, (กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พม๑ หาวิทยาลยั ธรรมศาสตร๑, ๒๕๔๐), Lan Mabbett and David Chandler, The Khmer, P 109.

๖๒ ๒.๗ พระพทุ ธศาสนายุคฝร่งั เศสปกครอง พ.ศ.๒๔๐๖-พ.ศ.๒๔๙๖ เมื่อสมเด็จพระหริรักษร๑ ามาอศิ ราธบิ ดี (นกั องดว๎ ง) ได๎สวรรคตแล๎ว นกั องค๑ราชาวดี ไดข๎ ้ึน ครองราชย๑ได๎พระนามวาํ พระเจา๎ นโรดม พรหมบรริ กั ษ๑ (เทวาวตาร)ได๎ครองราชยใ๑ นปี พ.ศ.๒๔๐๗ ทํามกลางตัวแทนฝุายไทยและฝรัง่ เศส พระองค๑เป็นพระโอรสของสมเด็จพระหริรักษารามาอิศราธบิ ดี (ด๎วง) ประสูติ พ.ศ.๒๓๗๗ ที่กรงุ เทพมหานคร ชวี ิตในวัยเยาว๑อยูใํ นราชสาํ นกั ไทยทก่ี รุงเทพมาตลอด จนสามารถพดู ไทยได๎คลํองแคลวํ มากกวาํ ภาษากมั พชู า เมอื่ มพี ระชนมายุ ๒๑ พรรษาทรงไดร๎ บั พระราชทานจากในหลวงรชั กาลท่ี ๔ ใหเ๎ ปน็ นาคพลวง ให๎การอปุ สมบทท่ีพระศรรี ัตนศาสดาราม (วัด พระแกว๎ ) พระองคเ๑ คยกลําววํา “เพราะกษตั รยิ ๑ไทย (ร.๔)ในกรุงเทพฯ ทีไ่ ดม๎ อบจวี รให๎ฉัน เขาเป็น อปุ ช๓ ฌายข๑ องฉัน มันเป็นความผกู พนั ระหวําง ๒ประเทศ” ๑ในชํวงตน๎ ของการข้ึนครองราชยส๑ มบตั นิ นั้ พระเจา๎ นโรดมได๎รกั ษาความสัมพันธก๑ ับราชสาํ นักไทยเป็นอยาํ งดี เพราะองค๑เองไดเ๎ ขา๎ เฝูาในหลวง รัชกาลที่ ๔ เสมอในฐานะอดีตพระอปุ ๓ชฌาย๑และเจ๎าแผนํ ดนิ ทั้งยังสงํ พระโอรสเขา๎ มาศึกษาท่ีไทยดว๎ ย แตใํ นภายหลัง เริ่มไมพํ อใจไทยหลายเร่ืองคอื ๑.เรอ่ื งดนิ แดน พ.ศ.๒๔๑๐ (๑๘๖๗) ฝรง่ั เศสไดย๎ อม มอบจงั หวัดพระตะบอง ศรีโสภณ เสียมเรียบใหไ๎ ทย เร่ืองน้ีสรา๎ งความไมํพอใจมาก เพราะถอื วาํ แผนํ ดนิ กัมพชู าเหลือนอ๎ ยอยูํแล๎ว ยงั ตอ๎ งมาเสยี เพม่ิ ๒.ฝรัง่ เศสเรม่ิ ยนื่ ข้อเสนอที่จะขจดั อทิ ธพิ ลไทย ให๎ โดยจะเป็นผคู๎ ุม๎ ครองแทน เพราะในพระหฤทยั ต๎องการจะกําจัดอทิ ธิพลไทยท่ีครอบงาํ พระองคแ๑ ละ กัมพูชาอยูํ ในทีส่ ุด พระองค๑จึงไดท๎ ําสญั ญาลับ ๆ กับฝาุ ยฝรัง่ เศสในวนั ที่ ๑๑ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๐๖ (๑๘๖๓) ในขณะท่ีตอนนน้ั ยงั เปน็ รัฐในอารกั ขาของไทย พระองคป๑ กปิดสญั ญาทีท่ ําน้ไี ว๎ถึง ๒ เดอื น เมื่อข๎าหลวงไทยทราบเร่ืองนี้ แล๎วสงํ ทตู ไปสอบถาม พระองคต๑ อบวํา “ฉันยังเป็นขา๎ รับใช๎ (ของ พระมหากษตั ริยไ๑ ทย) ด๎วยพระบารมีไปตลอดช่ัวชวี ติ จะไมมํ สี ง่ิ ใดมาเปล่ียนแปลงความมงํุ ม่ันในใจของ ฉนั ได”๎ ฝร่งั เศสเป็นชาตมิ หาอํานาจตะวันตกชาตหิ น่งึ ท่มี ุงํ หน๎าสตํู ะวันออกเพ่อี แสวงหาอาํ นาจตาม ประเทศตะวนั ตกที่เดนิ ทางมากอํ นหนา๎ เชํน สเปน โปรตุเกส ฮอลันดา และ อังกฤษ ในเบอ้ื งต๎นมงํุ หน๎าค๎าขายกอํ น แตํครั้นทราบวาํ ชาติในเอเชียยงั ไมเํ จริญกา๎ วหน๎าด๎านเทคโนโลยีด๎านอาวุธ จึงถือ โอกาสเข๎าขํมขํคู ุกคาม จนในท่สี ดุ กส็ ามารถเขา๎ ยึดครองกัมพูชาจากไทย ในปพี .ศ.๒๔๐๖ เป็นตน๎ มา แลว๎ แตํงตง้ั ผ๎ปู กครองมาเป็นตวั แทนรฐั บาลฝรัง่ เศส สํวนสถาบันกษตั รยิ ๑นั้น ฝร่ังเศสยงั รักษาไว๎ เหมือนเดิม เป็นแตอํ ยํภู ายใต๎อาํ นาจการปกครองเทําน้นั สรา๎ งความขมขืน่ ให๎พระเจ๎าศรีสวัสด์ิ กษตั ริย๑ กมั พชู าเป็นอยาํ งมาก ทรงสวรรคต พ.ศ.๒๔๔๗ (๑๙๐๔) พ.ศ.๒๔๐๘ พระเจ๎านโรดมไดย๎ ๎ายเมืองหลวงจากเมอื งอุดงค๑มชี ยั มายงั กรุงพนมเปญในป๓จจบุ ันตามคาํ แนะนาํ ของ ขา๎ หลวงฝรง่ั เศส ซึ่งตรงกับปลายสมยั รชั กาลที่ ๔ของไทย ผลงานทสี่ าํ คัญคือ พระองค๑ได๎สร๎างวงั เขมริ นทร๑ใน พ.ศ.๒๔๐๘ ตรงกบั สมัยพระราชกาลที่ ๕ โดยได๎แบบแปลนตามแบบอยํางมหาราชวังของไทย ซ่ึงพระองค๑เคยอยูยํ าวนาน มพี ระท่ีนงั่ หลายแหงํ คือ ๑. พระทีน่ ัง่ มหามณเฑียรสถาน ๒. พระทน่ี งั่ จกั รพรรดิ ๓.พระที่นัง่ นารรี ตั นโสภา ๔. ทน่ี งั่ สรุ ามรนิ ทร๑ ๕. พระท่นี ัง่ ทักษิณ ๖. พระทน่ี ่งั เทวาวนิ ิจฉัย

๖๓ ๗. พระที่น่ังโอภาสนารี ๘.พระทีน่ ง่ั มณีเมขลา ๙.พระทีน่ งั่ นงคราญภิรมย๑ ๑๐.พระทนี่ ง่ั วิมานดษุ ฎี ๑๑. พระท่ีนัง่ โภชนโี สภา ๑๒.พระท่นี ่งั กลั ยาโสภณ ๑๓.พระทนี่ ่ังวิมานอากาศ ๑๔.พระทีน่ ง่ั ประพาสทิพย วนั ๑๕.พระท่นี ัง่ จันทรฉายา ๑๖.พระทน่ี ่ังบรรยงมหาปราสาท ๑๗.พระที่นัง่ โอภาสโสภณ ๑๘.พระที่ น่ังมณเฑยี รดนตรี ๑๙.พระทนี่ ่งั เบญจเกษตร ๒๐.พระท่ีนง่ั มณเฑยี รดาํ กลพระรูป ป๓จจบุ ันพ้ืนที่ พระราชวังมคี วามยาว ๔๓๕ เมตร กว๎าง ๔๒๑ เมตร พระเจา๎ นโรดมมีพระโอรสหลายพระองค๑ เชํน เจา๎ ชายนโรดม สคุ ุณาพทั และเจ๎าชายสุรา มฤต แตพํ ระโอรสไมํได๎ข้นึ ครองราชย๑ ฝร่งั เศสไดม๎ อบหมายใหเ๎ จ๎าชายศรีสวุ ัตถขิ์ ึ้นครองแทนในปี พ.ศ. ๒๔๐๙ (๑๘๖๖) ไดเ๎ กดิ กบฏตอํ ตา๎ นฝรง่ั เศสข้ึนหลายแหงํ อีกทง้ั ไมพํ อใจทีก่ ษตั รยิ ๑ยอมอยใํู ต๎อํานาจของ ฝรง่ั เศส ฝรงั่ เศสจงึ แตํงตง้ั เจ๎าชายศรีสุวตั ถ์ิ(เจ๎าสีสวัสด์ิ) พระอนชุ าของพระองคเ๑ ปน็ แมทํ ัพปราบศึก รํวมกบั ฝรัง่ เศส เม่อื รบชนะศึก ราชบัลลงั กข๑ องพระองคจ๑ ึงเรม่ิ สั่นคลอน เพราะฝร่ังเศสมองวําพระเจา๎ นโรดมให๎ท๎ายกบฏ ในดา๎ นศาสนาพระองคไ๑ ดจ๎ ัดใหม๎ กี ารสอนพระปริยตั ธิ รรมแผนกบาลี ๒ ครงั้ ผ๎ูสอบ ผํานไดม๎ อบใบประกาศและพัดยศเพ่ือเป็นการยกยํองเหมอื นในเมืองไทย ในปี พ.ศ.๒๔๒๓ (๑๘๘๐) พระเจ๎านโรดมเทวาวตารได๎มีพระราชพธิ อี ปุ สมบทใหพ๎ ระโอรส นามวําสุคุณพทั ทพี่ ทั ธสีมาวดั ปทุมวดีติดกับพระราชวงั พระโอรสไดจ๎ าํ พรรษาทีน่ ั่น ๑ พรรษา แม๎จะมีผ๎ู ตําหนวิ าํ พระองค๑ไมํใสํใจกบั พุทธศาสนานกั แตพํ ระองคย๑ งั บาํ เพญ็ กิจทางศาสนาอยํู โดยคราวน้ใี ห๎ พระโอรสเข๎ามาศึกษาพระธรรมในพทุ ธศาสนา เหมอื นพระองค๑ได๎รับการอุปสมบทท่ีวดั พระแกว๎ กรงุ เทพฯ ๒.๗.๑ ฝรั่งเศสพยายามลบล้างอักษรศาสตร์ พ.ศ.๒๔๔๓ ในยคุ สมยั ที่นายพลเรอื ยอรจ๑ โคตแิ อร๑ ( Georget Gautier) เป็นขา๎ หลวงใหญํ ปกครองกมั พูชา เขาเหน็ ความสําเร็จของการนาํ เอาอกั ษรลาตนิ มาเขยี นในภาษาเวียดนามแทนอักษร จีน และเป็นทีน่ ยิ มอยํางแพรหํ ลาย ในฐานะเจา๎ อาณานคิ มมองวาํ การใชอ๎ ักษรลาตนิ ยํอมงํายตอํ ชาว ฝรงั่ เศสทจ่ี ะส่อื สารแทนอกั ษรเขมร พจิ ารณาเห็นวาํ ควรจะทาํ แบบน้กี บั กัมพูชาบา๎ ง จงึ ไดน๎ าํ เสนอท่ี จะเปลี่ยนแปลง ๒ เร่ืองคอื ๑. การเปล่ียนแปลงอกั ษรสาสตร๑เขมร โดยมอบหมายใหน๎ ายจอรจ๑ เซเดส๑ ( Georger Caedes) เป็นผถ๎ู ํายเสยี งอักษร ๔๕ ตวั ในภาษากมั พชู าเป็นอักษรลาดิน ผลปรากฏวาํ ไดร๎ ับการตํอต๎าน มากมายจากพระสงฆ๑ เชนํ พระอาจารยแ์ ฮม เจยี ว (Ham Chiev) ซ่ึงเป็นอาจารย๑สอนภาษาบาลใี น โรงเรียนสงฆอ๑ อกจดหมายคัดคา๎ นและเดนิ ขบวนประท๎วง มคี นเข๎ารวํ มมากกวํา ๑,๐๐๐ คน ในขณะท่ี พระเจ๎านโรดมทรงคัดคา๎ นเชํนกนั ทรงตรสั วาํ พระองคจ๑ ะสละราชบลั ลังก๑ ถา๎ ฝรั่งเศสยังพยายามทํา กรมพระยาดาํ รงราชานุภาพ, สมเดจ็ , นริ าศนครวัด. (กรุงเทพฯ: เอสเอ็ม เซอรท๑ ิสเพรส, ๒๕๓๗), หน๎า ๒๔.

๖๔ ตามแผนที่วางไว๎ การตอํ สู๎ใชเ๎ วลาไมนํ ๎อย จนในทสี่ ดุ ฝรงั่ เศสจงึ ยกเลิกแผนการดังกลําว เหตกุ ารณน๑ ี้ เหมือนในลาว ที่ฝรัง่ เศสพยายามนําเอาอกั ษรลาตินเขา๎ มาเขียนแทนอักษรเดมิ แตํเพราะการตอํ สู๎ คดั คา๎ น อยาํ งแข็งขัน ในทส่ี ดุ จึงสามารถรักษามรดกดา๎ นอกั ษรศาสตร๑ของชาติไวไ๎ ด๎ ๒. การเปล่ียนปฏิทินกัมพูชาเชํนเดยี วกับไทยคอื ใชป๎ ฏทิ ินตามแบบจันทรคติ ท่ไี ดร๎ ับ อทิ ธพิ ลจากอนิ เดยี ตํอมาฝรัง่ เศสเหน็ วาํ นาํ จะมกี ารเปล่ียนเปน็ แบบสากลโดยเอา วันท่ี ๑ มกราคม เปน็ วนั ข้นึ ปีใหมํแทนวนั ท่ี ๑๓ เมษายน การเปล่ยี นปฏทิ นิ นไี้ ดร๎ ับการตํอตา๎ นจากชาวกัมพชู าเชนํ กัน ทาํ ให๎ฝรัง่ เศสตอ๎ งยกเลิกทงั้ ๒ แผนการ อยํางไรก็ตามหลงั สงครามโลกครงั้ ท่ี ๒ กัมพูชาไดเ๎ ปลยี่ น ปฏทิ นิ ไปเปน็ แบบสากลเชนํ เดยี วกบั ไทย ๒.๗.๒ ส่งพระธรธมทูตไปยงั ลงั กา ในปีพ.ศ.๒๔๓๐ (๑๘๘๗) พระเจ๎านโรดมทรงพิจารณาเห็นความสาํ คัญของการสืบสาน พระพทุ ธศาสนาให๎ยนื ยาว อกี ทั้งพระไตรปิฎกของกมั พชู ายังไมสํ มบูรณ๑ จงึ ได๎สํงพระเถระผู๎ใหญํกลํมุ หนง่ึ นาํ โดยพระวนั รตั น๑ เดินทางไปทศั นศกึ ษาท่ปี ระเทศศรลี งั กา คณะอาศยั เรือเดินทางของอังกฤษไป ถงึ ใชเ๎ วลา ๑ เดือน เพราะแวะพักหลายแหํง คณะได๎เคร่อื งราชบรรณาการจากสมเดจ็ พระนโรดมเพอื่ ไปมอบใหก๎ บั ผ๎ูปกครององั กฤษท่ีปกครองลังกาหลายอยําง คณะได๎พบปะผน๎ู าํ ระดับสงู ของลงั กา คณะ ได๎เข๎าไปกราบพระเข้ียวแกว๎ ทเี่ มืองแคนดี จากนน้ั ไปเยีย่ มเมืองโปโลนารุวะโคลมั โบและอนรุ าธปุระดว๎ ย คณะอยูทํ ล่ี ังกา ๓ ปี ขากลับได๎อาราธนาพระรตั นสาระ นาํ พระบรมสารีรกิ ธาตุและก่ิงต๎นโพธิท์ ี่ลังกา มาด๎วย เมือ่ มาถึงไดม๎ ีพธิ กี ารเฉลมิ ฉลองท่วี ัดประทุมวดี มกี ารเฉลมิ ฉลองเป็นเวลา ๗ วนั การเดินทาง ครัง้ นไี้ ด๎นาํ พระไตรปิฎกฉบบั ลงั กามาด๎วย อกี ทง้ั ไดน๎ าํ ตาํ ราภาษาบาลแี ละอรรถกถามาแปลเปน็ ภาษา เขมรจํานวนมาก นบั วําเป็นประโยชนม๑ หาศาล เปน็ การเปิดศกั ราชใหมขํ องวงการพทุ ธศาสนาใน กมั พชู า ตงั้ แตํน้นั มาคณะสงฆ๑กมั พูชาเร่ิมมกี ารติดตอํ กับภายนอกมากข้นึ ในปพี .ศ.๒๔๔๙ (๑๙๐๑) ออกญาเสนาฤทธิ์ได๎สนองพระราชโองการสํารวจสถติ พิ ระสงฆ๑ ในพระราชอาณาจักรท้ังประเทศพบวํามี ๒,๓๐๐วดั พระสงฆม๑ ี ๑๒,๐๐๐ รูป เฉพาะพระตะบอง เสยี ม เรียบ และศรีโสภณ มี ๔๐๐ วัด จงั หวัดกาํ ปงจามมี ๑๙๓ วดั มภี กิ ษุ ๒,๗๒๔ สามเณร ๖๔๘ รปู อตั รา เฉล่ีย ๑๔.๑ รปู ตํอ ๑ วดั ๒.๗.๓ พระเจัาสสี ุวตั ถิ์ มณวี งศ์ พระเจา๎ นโรดมสวรรคตใน พ.ศ.๒๔๔๗ รวมอายุ ๘๐ ปี ครองราชย๑ ๕๔ ปี นับวาํ ยาวนาน ทีส่ ดุ ในประวตั ศิ าสตร๑กัมพูชา หลังจากพระเจา๎ นโรดมไดส๎ วรรคตไปแล๎ว ฝร่งั เศสได๎แตงํ ตั้งเจา๎ ชายสสี ุ วัตถ์ิ (ศรสี วสั ดิ์) มณวี งศ๑เปน็ กษัตรยิ ๑องค๑ตํอมา ได๎พระนามวาํ พระบาทสมเด็จพระเจ๎าสสี วุ ตั ถิ์มณวี งศ๑ พระองค๑ประสูติ พ.ศ.๒๔๑๘ (๑๘๗๕) เป็นโอรสของพระเจา๎ สีสุวัตถ๑ ครองราชย๑ พ.ศ.๒๔๔๗ (๑๙๐๔) Lan Mabbett and David Chandler, The Khmer, P 108.

๖๕ ในขณะท่ีพระชนมายุ ๖๔ พรรษา เปน็ อนุชาของเจ๎านโรดม พระองค๑ไดอ๎ ภเิ ษกสมรสแลว๎ ทรงมี พระโอรส ๑ องค๑ คอื เจ้าชายสสี วุ ัตถม์ิ ณีเรศ พระธดิ าคือเจ๎าหญิงกสุ มุ าเทวี(คอื มารดาเจา๎ สีหนุ) นัก วจิ ารณ๑หลายคนกลาํ ววําพระองคไ๑ ด๎ราชบัลลังกม๑ าเพราะการประจบสอพลอฝร่งั เศส ทรงได๎เสดจ็ ไป เย่ียมฝรั่งเศสในปเี ดียวกนั เพอ่ื ดูกจิ การความกา๎ วหน๎าของฝร่ังเศส ในสมยั นเ้ี องทีไ่ ทยจําต๎องยอมมอบ พื้นทีพ่ ระตะบองและศรโี สภณกลับคืนใหก๎ มั พูชาตามทีฝ่ ร่งั เศสยืนยันมา ในด๎านศาสนา ทรงเครงํ ครัดในพุทธศาสนาย่งิ กวาํ พระเจา๎ นโรดม พระเชษฐาเสียอีก แตํ ทรงค๎ุนเคยกบั ฝาุ ยธรรมยุตมิ ากกวาํ มหานิกาย จึงไดส๎ นบั สนุนฝาุ ยธรรมยุติมาก ทรงรบั ศีลจากพระสงฆ๑ ทุกวนั พระ พ.ศ.๒๔๕๒ มกี ารนําพระไตรปฎิ กทอ่ี ยใํู นรปู ใบลานไปประดิษฐานไว๎ในวดั ใกลน๎ ครวัด มีการ เฉลมิ ฉลองโดยพระองค๑ทรงเสด็จไปสกั การะด๎วยพระองคเ๑ อง ในปลายรัชกาลฝรง่ั เศสอยากจะ เปลี่ยนแปลงอักษรศาสตร๑ โดยต๎องการให๎กมั พูชาหันไปใชอ๎ กั ษรโรมันเขียนแทนอกั ษรขอมเดมิ เหมือน เวียดนาม ทาํ ให๎เกดิ การประทว๎ งโดยท่วั ไปโดยมีพระสงฆ๑เป็นแกนนาํ ในทส่ี ดุ โครงการนจ้ี งึ ยกเลิกไป พระเจ๎าสีสุวตั ถิ์ มณีวงศ๑ครองราชย๑จนถงึ พ.ศ.๒๔๘๔ (๑๙๔๑) รวม ๖๖ ปี ๒.๗.๔ พระเจา้ นโรดม สหี นวุ รมนั พระเจ๎าสสี วุ ตั ถ์ิมณีวงศไ๑ ด๎สวรรคตลง พ.ศ. ๒๔๘๔ พระองคม๑ ีพระโอรสนามวาํ เจา๎ ชายสสี ุ วัตถม์ิ ณีเรศ นาํ จะได๎ขน้ึ ครองราชย๑แทน แตฝํ ร่ังเศสไดแ๎ ตํงตงั้ เจ๎าชายนโรดมสีหนุขึน้ เป็นกษัตริยต๑ ํอมา เพราะ เหน็ วาํ หัวอํอนนําจะควบคมุ ไดง๎ าํ ย พระเจ๎านโรดมสหี นวุ รมนั พระองค๑ประสูตวิ ันท่ี ๓๑ เดอื น ตุลาคม พ.ศ.๒๔๖๙(๑๙๒๒) พระองค๑เปน็ พระโอรสองคแ๑ รกของพระเจ๎านโรดมสรุ ามฤต และพระนาง ศรสี ุวตั ถ์ิ กสุ มุ าลย๑นารเี รศสิริวฒั นา ขนึ้ ครองราชยใ๑ นปี พ.ศ.๒๔๘๔ (๑๙๔๑) ขณะพระชนม๑มายุ ๑๕ พรรษา ปกครองจนถึง พ.ศ.๒๔๙๘ (๑๙๕๕) จงึ มอบราชบลั ลงั กใ๑ ห๎พระบิดาปกครองตํอ สํวนพระองค๑ ลงเลนํ การเมอื งเตม็ ตัว โดยต้งั พรรคสงั คมราษฎรน๑ ิยม แล๎วลงเลือกตงั้ ชนะ ได๎เปน็ นายกรัฐมนตรสี มใจ พระองค๑กลบั มาครองราชย๑สมบัติอกี ครั้ง พ.ศ.๒๕๓๖ (๑๙๙๓) และลาออกในปี พ.ศ.๒๕๔๗ (๒๐๐๔) ให๎พระโอรสนามวําพระเจา๎ นโรดมสหี มนุ ี ครองราชยต๑ ํอจนถงึ ป๓จจุบนั เจา๎ สีหนุได๎รับการยอมรบั วาํ เป็น นักการเมืองที่ยิง่ ยงมากท่ีสุดของโลก ทรงเปน็ กษัตรยิ ๑ ๒ สมัย เป็นนายกรฐั มนตรี ๑ สมัย เปน็ หัวหนา๎ กบฏ ๑ สมัย เปน็ ประธานาธบิ ดี ๑ สมัย พระองคม๑ มี เหสี ๗ พระองค๑ คอื ๑.พระนางนาคโมเนยี งฟต๓ กันฮอล มพี ระธดิ า ๑ คือ เจ๎าหญิงบปุ ผาเทวี พระโอรส ๑ พระองค๑ คอื เจ๎านโรดมรณฤทธิ์ ๒.พระนาง สีสุวัตถพ๑ งสานมนุ ี มโี อรสธดิ า ๗ คอื ๑.เจา๎ ชายนโรดมยนุ าถ (ยวุ เนท) ๒.เจ๎าชายนโรดมรววี งศ๑ ๓. เจา๎ ชายนโรดมจักรพงศ๑ ๔.เจา๎ ชายสุริยรงั สี ๕.เจา๎ หญงิ นโรดมคนั ธบุปผา (สิ้นพระชนม๑ขณะอายุ ๔ พรรษา) ๖.เจา๎ ชายนโรดมเขมานุรกั ษ๑สีหนุ ๗.เจ๎าหญิงนโรดม ปทุมบปุ ผา ๓.พระนางนโรดมธวชั นร รกั ษ์ ไม่มโี อรสธดิ า ๔.พระนางสสี ุวตั ถม์ ณีเกสร ๕.พระนางกนษิ ฐานโรดมนรรักษ์ ๖.หมอ่ ม มณีวรรณ ชาวลาว มธี ดิ าคอื ๑.เจา๎ หญงิ นโรดม สุชาดา ๒.เจา๎ หญิงนโรดม อรุณรศั มี ๗.พระนาง มณี นาถ (โมนิก) สีหนุ มพี ระโอรส ๒ พระองค๑คอื ๑.เจา๎ ชายนโรดม สหี มนุ ี ๒.เจา๎ ชายนโรดม นรนิ ทรพงศ๑

๖๖ ในดา๎ นพุทธศาสนา ทรงศรทั ธาในพุทธศาสนามาก ไดเ๎ ข๎ารบั การอุปสมบท ๒ ครัง้ คือ คร้งั ที่ ๑ พ.ศ.๒๔๙๐ และคร้ังที่ ๒ พ.ศ.๒๕๐๖ ณ พัทธสีมาวดั พระแก๎ว ภายในพระราชวังเขมรนิ ทร๑ ทรงเป็น ประธานฝาุ ยฆราวาสงานประชมุ สงั คายนาครง้ั ท่ี ๖ ทีก่ รุงยํางก๎งุ ประเทศพมาํ พ.ศ.๒๔๙๘ จากน้นั ทรง เสด็จเยอื นพุทธสถานในประเทศอนิ เดยี และลงั กาในปี พ.ศ.๒๕๐๐ จากการท่ีได๎ไปเยอื นสถานที่สาํ คัญ เหลํานีท้ าํ ให๎พระองคม๑ ีแนวความคิดการปกครองแบบใหมํทไ่ี มํใชปํ ระชาธปิ ไตยไมใํ ชคํ อมมวิ นิสต๑ แตํ เปน็ ทฤฎีผสมผสานระหวํางพุทธศาสนาและสังคมนยิ มจงึ ให๎นามวําสังคมราษฎรน๑ ยิ ม เน๎นให๎ ประชาชน มีความอยดูํ ีกินดี มคี วามเทําเทยี มกนั พงึ่ พากนั อาศัยเกอ้ื กูลกนั ตามหลักพทุ ธศาสนา ๒.๗.๕ สมณศักดสิ์ มยั ฝรงั่ เศส ในดา๎ นศาสนา ในสมัยฝรง่ั เศสปกครอง การแตงํ ต้งั คณะสงฆร๑ ะดับลํางเป็นของกษตั รยิ ๑ กมั พูชา แตํถา๎ เปน็ ระดับสงู ต๎องผํานความเห็นชอบจากผูป๎ กครองชาวฝรัง่ เศสดว๎ ย ตาํ แหนํงทางคณะ สงฆค๑ ือ พระสังมราช ฝุายมหานกิ าย สมเด็จพระมหาสงั ฆราช วัดอณุ าโลม พนมเปญ พระสงั มราชฝุายธรรมยุตนิ ิกาย สมเด็จพระมหาสุคนธาธิบดี วัดปทมุ วดี พนมเปญ ตาํ แหนง่ พระสงั ฆราชจะมีพระฐานานุกรมองคล์ ะ ๘ รปู คอื ๑.พระครปู ลดั สงั ฆวงศ๑ ๒.พระครูปลดั สังฆวชิ า ๓.พระครสู งั ฆวชิ า ๔.พระครสู ังฆสทั ทา ๕.พระวนิ ยั ธร ๖.พระวนิ ัยธรรม ๗.พระสมุห๑ ๘.พระใบฎกี า พระราชาคณะผใู้ หญ่ชน้ั จตุสดมภ์ พระธรรมลขิ ิต พระธรรมวงศ๑ พระมังคลทิพาจารย๑ พระวันรัต พระราชาคณะผูใ้ หญ่ชน้ั โอภาสราชนิมนต์ พระมหาพมิ ลธรรม พระมหาพรหมมุนี พระราชาคณะสามัญสํารบั เอก ๑.พระพุทธโฆษาจารย๑ ๒.พระธรรมโกษาจารย๑ ๓.พระโฆษธรรม ๔.พระธรรมอดุ ม ๕.พระธรรมไตรโลกาจารย๑ ๖.พระสริ ลิ งั คามมุนี ๗.พระอมรโมลี ๘.พระบวรสตั ถา ๙.พระอมราภริ กั ขติ ๑๐.พระญาณบวรวชิ า ๑๑.พระสุธรรมเถระ

๖๗ พระราชาคณะสาํ รบั โท ๑.พระศรีสมมุติวงศ๑ ๒.พระพทุ ธวงศ๑ ๓.พระศากยวงศ๑ ๔.พระธรรมกวีวงศ๑ ๕.พระอรยิ วงศ๑ พระราชาคณะ สามัญสาํ รบั โท ๑.พระญาณรังสี ๒.พระศรวี ิสทุ ธวิ งศ๑ ๓.พระญาณวิรยิ ะ ๔.พระธรรมปญ๓ ญาญาณ ๕.พระญาณโกศล ๖.พระญาณโกศล พระราชาคณะสามัญสํารบั จัตวา ๑.พระธรรมวิป๓สสนาญาณ ๒.พระสมาธิธรรม ๓.พระธรรมวิสทุ ธิ ๔.พระธรรมวิริยะ. ๕.พระธรรมนโิ รธรงั สี สมัยกอํ นนนั้ ฝรง่ั เศสจะเขา๎ ปกครองใหมํ ๆ สมณศักดิส์ าํ รับเอก พระเจา๎ กรุงกัมพชู าแตํงต้งั ด๎วยพระองค๑เอง สาํ รับโท พระมหาอุปโยราชแตํงตั้ง สาํ รับตรี แตงํ ต้ังโดยพระมหาอุปราช สาํ รบั จัตวา พระราชนิ จี ะเปน็ คนแตํงตง้ั แตมํ าในภายหลงั พระมหากษตั ริย๑แตํงตง้ั ท้งั สน้ิ พ.ศ.๒๔๐๐ สมเดจ็ พระมหาสคุ นธาธบิ ดีได๎มาศกึ ษาทก่ี รุงเทพฯ พํานักท่ีวัดบวรนเิ วศวหิ าร จากน้นั ไดเ๎ ดินทางกลบั ไปกัมพูชาแล๎วนํานกิ ายธรรมยตุ จิ ากไทยไปยังกมั พูชา ทํานเป็นพระทม่ี ชี ื่อเสยี ง ในด๎านวงการศึกษาพระพุทธศาสนา ไดเ๎ ขยี นตําราหลายเลมํ ทํานมรณภาพ พ.ศ.๒๔๓๗ กลายเป็น นกิ ายที่ใกลช๎ ิดกบั ราชวงศม๑ ากทส่ี ดุ ในป๓จจบุ ันราชวงศก๑ ัมพูชาจะอุปสมบทในนิกายนเ้ี หมือนในไทย จากนั้นเปน็ สมเดจ็ พระสงั ฆราช (เท่ยี ง) เดินทางเขา๎ มาศกึ ษาพุทธศาสนาในประเทศไทยพํานกั ท่วี ัด บวรนเิ วศวิหาร สมยั รชั กาลที่ ๔ เมือ่ กลบั กมั พชู าได๎นาํ แบบแผนการศึกษาสงฆ๑ไทยไปใช๎ ตํอมาไมํ นาน พระวมิ ลธรรม (ทอง) ศษิ ย๑ของทํานพระสังฆราชเท่ยี งได๎เข๎ามาศกึ ษาพทุ ธศาสนาในกรงุ เทพฯ จากน้ันกลับไปเปดิ สอนภาษาบาลที ่นี ครวัตใน พ.ศ.๒๔๕๒ ตํอมาย๎ายไปอยูํกรุงพนมเปญในปี พ.ศ. ๒๔๕๗ เปน็ แหลํงผลิตมหาเปรยี ญธรรมทีช่ ํานาญพุทธศาสนา ตอํ มาได๎เปล่ยี นนามเปน็ “พุทธกิ วิทยาลัย'' พ.ศ.๒๔๗๓ (๑๙๓๐) ฝร่ังเศสได๎กอํ ต้ังสถาบันทรี่ วบรวมคัมภรี ๑สาํ คัญทางพทุ ธศาสนามา รวบรวมจัดพมิ พเ๑ รยี กวาํ “สถาบนั พุทธศาสนบัณฑติ ” โดยแตงํ ตัง้ นักปราชญท๑ างพทุ ธศาสนา เชนํ พระสังฆราช จวน ณาต และฮวด ตาท มารวบรวมจัด พิมพ๑คมั ภีรท๑ สี่ าํ คญั เชนํ อภิธรรมมาติกา ปญ๓ จัปปการณอภิธรรมะ อภิธรรมสงั คหะ ภกิ ขปุ าฎโิ มกข๑ วสิ ุทธิมรรค มงั คลัตถทีปนี หนงั สอื บาลี กรมพระยาดํารงราชานภุ าพ, สมเดจ็ , นริ าศนครวัด. หนา๎ ๓๒.

๖๘ ไวยากรณ๑ และหนงั สอื เทศน๑ นบั วาํ เป็นประโยชน๑มาก ในป๓จจุบันสถาบนั นเี้ ปน็ สถานท่พี ิมพ๑ตําราทาง พุทธศาสนามากท่ีสดุ ชองประเทศ ๒.๘ พระพุทธศาสนายุคไดร้ ับเอกราช พ.ศ.๒๔๙๖ นับต้ังแตํไดเ๎ อกราชเป็นต๎นมา เจา๎ สีหนไุ ด๎แสดงบทบาททางการเมอื งอยาํ ง โดดเดํน เพราะพระองคเ๑ ป็นกษัตริย๑เปน็ คูเํ จรจาทางการเมอื งในฐานะตัวแทนกมั พูชาทกุ ท่ี แตมํ าไมํ นานพระองคไ๑ ดส๎ ละบลั ลงั ก๑ให๎มอบใหพ๎ ระบดิ าขึ้นครองราชสมบตั แิ ทน คอื พระบาทสมเด็จพระเจ้า นโรดม สรุ ามฤต พ.ศ.๒๕๐๕ จากนั้นพระองค๑ไดล๎ งเลํนการเมืองเต็มตวั พระองค๑ตัง้ พรรคการเมือง ชื่อสังคมราษฎรนิยม แล๎วลงเลอื กตั้งได๎เปน็ นายกรฐั มนตรีสมใจ ยคุ ทเี่ จา๎ นโรดมสหี นุปกครองจงึ ถอื วาํ เป็นยุคทองแหงํ สนั ตภิ าพอยํางแทจ๎ ริง เพราะหลงั จากนี้ สันตภิ าพได๎เริ่มจางหายตามมาดว๎ ยสงคราม ใหญํมากมาย ในด๎านศาสนา เจ๎านโรดมสหี นุมีบทบาทในการสนับสนุนพทุ ธศาสนาอยํางมาก นักวิเคราะหต๑ ง้ั ขอ๎ สงั เกตวาํ พระองคไ๑ ดแ๎ บบอยํางการบาํ รุงพุทธศาสนาตามแบบพระเจ๎าอโศกมหาราชท่ี จะสนับสนุนและปกปูองพุทธศาสนาบทบาทของพระองคไ๑ ด๎ทาํ คือ ๑. ทรงอปุ สมบทดว้ ยพระองคเ์ อง ทรงตดั สนิ พระทยั ท่จี ะเข๎าพธิ ีผนวชตามอยํางขตั ติย ราชประเพณี จงึ ไดเ๎ ขา๎ พิธวี ันที่ ๓๑ เดือนกรกฎาคม พ.ศ.๒๔๙๐ (๑๙๔๗) ที่พระอุโบสถวัดพระแก๎ว ภายในพระราชวงั เป็นเวลา ๓ เดือนโดยพระสังฆราช จวน ณาต เปน็ พระอุป๓ชฌาย๑ ทรงผนวชอกี ครัง้ พ.ศ.๒๕๐๕ ๒. ก่อตง้ั โรงเรยี นมธั ยมสงฆ์ ทรงเห็นวาํ พระสงฆค๑ วรมีแหลํงการศกึ ษา จงึ ได๎กํอตงั้ โรงเรยี นมธั ยมสงฆ๑ขึ้นท่ีวดั มหามนตรีให๎ชอ่ื วํา พุทธิกวิทยาลยั สรุ ามกฤต ตามพระนามของพระบดิ า จัดการศึกษาระดับมธั ยมศกึ ษาสงฆต๑ อนต๎น และตอนปลาย ตงั้ แตปํ ี พ.ศ .๒๕๑๒ เป็นตน๎ มาจนถงึ พ.ศ. ๒๕๑๘ มีนกั เรียนจบไปแลว๎ ๙,๕๔๕ รูป ๓. ตงั้ มหาวิทยาลยั สงฆ์ นับแตไํ ด๎รับเอกราชเปน็ ต๎นมา พระสงฆ๑ชาวกัมพชู าไดเ๎ ดนิ ทาง มาศึกษาในเมืองไทยเป็นจาํ นวนมาก เมื่อจบแลว๎ ได๎กลบั ไปเป็นกาํ ลังสาํ คัญใหพ๎ ระพทุ ธศาสนาใน กัมพชู า เปน็ เหตุทาํ การศึกษาสงฆใ๑ นกมั พูชาเลยี นแบบไทยเกอื บทัง้ หมด แตํภายหลงั เจา๎ สหี นไุ ดต๎ ดั ความสมั พนั ธ๑กับไทย การเดนิ ทางมาศกึ ษาของพระสงฆ๑ไดย๎ ุตลิ ง ตอํ มาในวนั ที่ ๑ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๙๗ (๑๙๕๔) เจ๎านโรดม สีหนุจงึ ได๎สถาปนามหาวิทยาลยั สงฆข๑ ึน้ นามวาํ “มหาวิทยาลัยพทุ ธิกสากล วิทยาลยั พระสหี นรุ าช” ตงั้ อยูใํ กลพ๎ ระราชวังเขมรินทร๑ กรงุ พนมเปญ มชี ่ือยํอวํา พสส. และ SBU ใน P.V. Bapat, ๒๕๐๐ years of Buddhism, (New Delhi: Tara Art Press, 1997), P 337. พระศรีปรยิ ัตโิ มลี (สมชยั กศุ ลจิตโฺ ต), พุทธทศั นะร่วมสมยั , (กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พม๑ หาจฬุ าลงกรณ ราชวทิ ยาลัย, ๒๕๔๐), หน๎า ๑๒๗.

๖๙ ภาษาอังกฤษ เพื่อเปน็ สถานทีศ่ กึ ษาระดบั อุดมศึกษาของพระสงฆ๑กัมพชู ามหาวิทยาลัยประสบชะตา กรรมเลวรา๎ ยในปี พ.ศ.๒๕๑๘ ในยุคทเ่ี ขมรแดงเขา๎ ปกครอง ต๎องหยุดเรียนไปนาน อาคารกลายเปน็ ที่ รวมชุมนุม และปลกุ ระดมทางการเมือง พระอาจารยถ๑ ูกจับไปสงั หาร จบั สกึ ทรมาน บางสํวนสามารถ หลบหนอี อกนอกประเทศได๎ พ.ศ.๒๕๐๔ (๑๙๖๑) ท้งั ประเทศกมั พูชามพี ระสงฆ๑ ๕๒,๐๐๐ รูป ๒,๗๐๐ วัด ธรรมยุตมิ ี ๑,๔๖๐ รูป มี ๑๐๐ วัด หลังจากน้ันไมํนานจาํ นวนวัดและพระสงฆล๑ ดลงจนแทบหมดในสมัยเขมรแดง ปกครอง ๒.๘.๑ สมเดจ็ พระสงั ฆราช (จวน ณาต) พระสังฆราชจวน ณาต เกดิ เมื่อวนั องั คาร ท่ี ๑๑ มีนาคม พ.ศ.๒๔๒๖ (๑๘๘๓) ขน้ึ ๑๑ ค่ํา เดอื น ๓ ในตระกูลชาวนาแหํงหมํบู า๎ นระกาเกาะ ตําบลระกาเกาะ อําเภอกองพศี รี จังหวดั กาํ ปงสะพือ บิดานามวาํ จวน มารดานามวํา ยก เปน็ บตุ รชายคนโตของครอบครวั ทํานมนี ๎องชายอีกคนนามวาํ จวน นุช ตํอมาเป็นผูว๎ ําราชการจังหวัด ขณะอายุ ๑๒ ปี บดิ าไดน๎ าํ ไปฝากเรยี นหนังสือกับพระครแู กหมอ ทวี่ ดั โพธ์ิ ตําบลระราง แกน อาํ เภอกณั ดาลสะตงึ จงั หวดั กณั ดาล อายุ ๑๔ ปที าํ นได๎บรรพซาเปน็ สามเณร ในวนั เพ็ญ ๑๕ คํา่ เดอื นอ๎าย พ.ศ.๒๔๔๑ ณ วดั โพธ์ทิ ี่เดิม ๒ ปีตอํ มาไดย๎ ๎ายมาจําพรรษาทว่ี ดั อณุ ณาโลม นครพนมเปญ มาอาศัยกบั ทาํ นพระครู เทพ เสาร๑ วัดอณุ ณาโลมในปี พ.ศ.๒๔๔๓ ทาํ นได๎รับการศกึ ษาภาษาบาลที ี่นี่ อยํางแตกฉาน จนได๎เปรียญธรรม ๙ ประโยคคนแรกและคนเดยี วของประเทศในปนี ัน้ พ.ศ.๒๔๔๗ (๑๙๐๔) ได๎อุปสมบทเป็นพระภิกษทุ สี่ าํ นกั วัดโพธเิ์ หมอื นเดมิ แลว๎ ย๎าย มาจาํ พรรษาที่วัดอุณณาโลมเชนํ เดิม ไดร๎ บั ฉายา โชตญาโณ ๒ สงั กัดนกิ ายธรรมยุติ จากน้ันได๎เปน็ อาจารย๑ สอนในโรงเรียนบาลีกรุงพนมเปญ พ.ศ.๒๔๖๕ (๑๙๒๒) ทํานและพระฮวดตาทถูกสงํ ไปศึกษาภาษา สันสกฤตกบั ทาํ นหลยุ ส๑ ฟโิ นต๑ นกั ปราชญ๑ด๎านภาษาสนั สกฤตและภาษาตะวันออก ชาวฝร่ังเศสที่กรงุ ฮานอย เวียดนาม ทาํ นไดเ๎ ผยแผํพทุ ธศาสนาในหลายรูปแบบ พ.ศ.๒๔๗๘ (๑๙๓๕) ทาํ นเปน็ ครสู อน ภาษาบาลี สนั สกฤต เขมร ไทย และลาว จนถึง พ.ศ.๒๔๘๕ (๑๙๔๒) ทาํ นจงึ ถูกแตํงตง้ั เป็นอาจารย๑ โรงเรียนบาลี พ.ศ.๒๔๘๗ (๑๙๔๔) ได๎รบั การแตํงตงั้ เป็นเจ๎าอาวาสวดั อณุ าโลม กรุงพนมเปญ พ.ศ. ๒๕๐๖ (๑๙๖๓) ได๎รบั แตงํ ตง้ั เปน็ สมเด็จพระสงั ฆราชฝาุ ยมหานกิ าย พ.ศ.๒๔๖๓ ทํานเปน็ กรรมการแตงํ หนงั สอื พจนานกุ รมเขมร บาลี สนั สกฤต และทํานรบั ทาํ คนเดียวจนเสร็จ จากนัน้ ได๎แตํงตํารามากกวาํ ๑๙ เลํมทั้งภาษาเขมรและบาลี ท่ีสาํ คญั คอื พจนานกุ รมภาษาเขมร-บาลี หลกั ไวยากรณ๑ และประวตั ิศาสตร๑กัมพซู า ทาํ นได๎บัญญตั ิคาํ ศพั ท๑มากมาย ทมี่ าจากภาษาฝรั่งเศส อังกฤษเป็นภาษากมั พูชา พ.ศ.๒๔๗๔ ไดร๎ บั แตงํ ตง้ั ใหเ๎ ป็นคณะกรรมการชําระ พระไตรปฎิ กจากภาษากัมพชู าเป็นภาษาเขมร พ.ศ.๒๙๗๙ ได๎รับแตงํ ตั้งเป็นศาสตราจารย๑ สอนภาษา บาลี สนั สกฤต เขมร ลาว ไทยในวิทยาลยั พระศรีสุวัตถิ์ กรุงพนมเปญ ทาํ นได๎เดนิ ทางไปรอบโลกท้งั

๗๐ พมํา ศรีลงั กา อินเดีย โชเวยี ต มองโกเลีย เวยี ดนาม และ ลาว เพ่อื ศกึ ษางานทางพระพทุ ธศาสนา ทําน มรณภาพอยาํ งสงบในวนั อังคารที่ ๒๕ เดือนธันวาคม พ.ศ.๒๕๑๒ (๑๙๖๙) รวมอายุ ๘๖ ปี เพราะ ความดีเดนํ ของทําน พ.ศ. ๒๕๕๒ ทางรฐั บาลกัมพูชาได๎สรา๎ งอนุสาวรียข๑ องทาํ นไว๎ใกลก๎ ับแมนํ ้ําโขง ไมํ ไกลจากพระราชวงั นับเปน็ พระเถระรูปเดยี วท่ไี ด๎รบั เกียรติในการสร๎างอนุสาวรีย๑ ๒.๘.๒ การจดั สรา้ งพระไตรปฎิ ก ดว๎ ยเลง็ เหน็ วําคําสอนของพระสมั มาสัมมาพุทธเจา๎ เปน็ ส่ิงที่สําคัญทส่ี ุด การรักษาคําสอน ให๎บริสุทธไ์ิ ด๎จงึ เหมือนรกั ษาพุทธศาสนาไวไ๎ ด๎ เจา๎ สหี นุจึงไดแ๎ ตงํ ต้ังพระเถระที่ทรงความรทู๎ างภาษาบาลี และสนั สกฤตเปน็ คณะกรรมการชําระพระไตรปฎิ กคอื ที่ ชือ่ วัด หมายเหตุ ๑ พระสังฆราช {จวนนาถ โชติป๒โฺ ญ) อณุ าโลม มรณภาพแลว๎ ๒ พระสงั ฆราช ปทมุ วดี ๓ สมเด็จพระธรรมลขิ ติ (ลาส ฬาย) เกาะแกร๑ - ๔ สมเด็จพระสงั ฆนายก (เฮงเลียงโฮ) อุณณาโลม ยังมีชวี ิต ๕ สมเด็จพระมหาสเุ มธาธิบดี (นน แหงด) อุณณาโลม ยงั มีชีวติ ๖ พระครูมหาธรรมญาณ (ชวนเอื้อ) วดั พะเทียะกณั ดาล ยงั มีชีวติ มรณภาพแล๎ว พระไตรปิฎกชดุ น้เี รม่ิ สร๎าง พ.ศ.๒๔๙๗ ในสมยั สมเดจ็ พระเจา๎ นโรดม มณีวงศ๑ จนมาสิ้นสดุ พ.ศ.๒๕๑๒ (๑๙๖๙) จงึ บริบรู ณ๑ มที ้งั หมด ๑๐๐ เลํม แบงํ เป็นพระวนิ ยั ปิฎก ๑๓ เลมํ พระสูตร ๖๓ เลมํ พระอภธิ รรม ๓๔ เลํม ปกแข็งสีเหลอื ง ในแตลํ ะเลมํ แบงํ เป็นหนา๎ ซ๎ายเป็นภาษาบาลี อักษรเขมร หน๎าขวาเปน็ ภาษาเขมรอักษรเขมร เพอื่ ใหผ๎ ๎ูคนอํานไดเ๎ ขา๎ ใจอยํางแท๎จรงิ พมิ พ๑ออกมาแล๎ว ๒,๐๐๐ ชุด แล๎วแจกจาํ ยไปยังวดั สถานศกึ ษาตาํ งๆ และไปยังตํางประเทศดว๎ ย ในยุคทเ่ี ขมรแดงทําลายพุทธ ศาสนาหมด พระไตรปฎิ กเหลาํ นถ้ี กู ทําลายด๎วย คณะสงฆ๑กัมพูชาจึงไดข๎ อยมื พระไตรปฎิ กท่ถี วายใน เมืองไทยถาํ ยสาํ เนาไปพิมพใ๑ หมอํ กี รอบ ในยคุ นพ้ี ระพทุ ธศาสนาถอื วาํ เจรญิ รงุํ เรอื งมากที่สดุ ของ กัมพูชา เพราะการเอาใจใสํของเจา๎ นโรดม สีหนุ ๒.๘.๓ ฉลอง ๒๕ พทุ ธศตวรรษ ในวาระท่ีพระพุทธศาสนาไดเ๎ ผยแผํจนเจรญิ แพรหํ ลายไปยงั นานาอารยประเทศ เมอื่ พ.ศ. ๒๔๙๙ รฐั บาลและคณะสงฆ๑ในหลายประเทศ เชํน ไทย ลาว พมาํ อินเดยี ศรีลงั กา เกาหลี ญป่ี ุน ธิเบต ไดม๎ ีการเฉลมิ ฉลองในวาระท่เี ปน็ มงคลน้ี ชาวกัมพชู าเชํนเดียวกัน รฐั บาลและประชาชนไดม๎ ีการเฉลมิ ฉลอง ๒๕ พทุ ธศตวรรษขน้ึ ในการน้ี พระเจ๎านโรดม สหี นุและพระราชวงศไ๑ ด๎เสด็จไปรวํ มกจิ กรรมทุก ครัง้ ทรงรับศลี อุโบสถ ท่วึ ดั อณุ ณาโลม ฟ๓งพระธรรมเทศนาจากพระสงฆ๑ท่ีมคี วามสามารถ ในวาระท่ี

๗๑ เป็นมงคลนี้ รฐั บาลและคณะสงฆ๑ไดท๎ าํ กิจกรรมหลายอยํางคือ ๑.อญั เชิญพระบรมสารรี ิกธาตุ จาก อินเดยี มาประดษิ ฐานทีส่ นามกฬี ากลาง จากน้ันได๎สร๎างพระศากยมุนเี จดยี ๑ที่หนา๎ สถานรี ถไฟ พนมเปญ เปน็ ทีป่ ระดษิ ฐาน ๒.สร้างโรงพยาบาลสงฆ์ ที่กรุงพนมเปญ เพื่อรักษาพระสงฆ๑และสามเณรทอี่ าพาธ ๓.จัดพิมพ๑พระไตรปิฎก ฉบบั ภาษาบาลีและกมั พชู าให๎แล๎วเสรจ็ ๔.แตงํ ตงั้ พระสงฆแ๑ ตงํ หนงั สอื โดยให๎ ๑.นายอดุ มปรชี า จาบพิน เขียนเร่อื ง พุทธประวตั ิ ๒.พระมหาปาง ขดั เขียนประวัตพิ ระพุทธศาสนา ในกัมพชู า ๓.พระอุบาลีวงส์ (สูร หาย) เขียนศิลปะของพระพุทธศาสนา ๔.พระญาณวริ ิยะ (วาน สาฑุง) เขียนวฒั นธรรมทางพระพุทธศาสนา ๕.พระมหาอกุ อืน แปลคัมภรี ๑สัทธัมมปช๓ โชต ในปีพ.ศ.๒๕๐๒ มสี ถิติจาํ นวนวัดทวั่ ประเทศ ๑,๙๓๗ วดั วัดธรรมยตุ ินกิ าย ๑๐๖ วดั รวมท้ัง ๒ นกิ ายมี ๑,๘๓๑ วัด ตํอมาพ.ศ.๒๕๑๒ (๑๙๖๙) ผาํ นไป ๑๐ปี กํอนมีการปฏวิ ตั ิ เปลีย่ นแปลงการปกครองมกี ารสาํ รวจวัดอยํางเป็นทางการปรากฏวาํ มีวดั ท้ังสนิ ๓,๓๖๙ วดั มวี ัดเกิด ใหมปํ ีละ ๖๓ วดั มีพระภิกษสุ ามเณร ๕๓,๕๐๙ รปู จึงนับวํามีจํานวนเพม่ิ ขึน้ ไมํน๎อย ๒.๘.๔ สมณศักด์กิ มั พูชา ในสมัยสมเด็จพระเจา๎ นโรดมสหี นุ ไดท๎ รงสนับสนนุ พุทธศาสนาเป็นอยาํ งดี เปน็ ลักษณะพิง พาอาศยั กนั คณะสงฆ๑เองไดแ๎ สดงความจงรกั ภกั ดมี ีการสรรเสริญพระองคใ๑ นสถานที่ตาํ งๆ กษัตรยิ เ๑ อง ไดร๎ ับยกยํองเป็นธรรมราช คอื ผูพ๎ ิทกั ษธ๑ รรม ในด๎านศาสนกจิ พระองคไ๑ ดท๎ ํากจิ หลายอยาํ งทั้งการสร๎าง วดั สนบั สนนุ การศกึ ษาของพระสงฆ๑ การจดั ทาํ พระไตรปิฎก ฉลอง ๒๕ พทุ ธศตวรรษ แตทํ ที่ รงทาํ ตอํ เนอ่ื งจากรัชกาลกอํ นคือการสถาปนาพระสงฆใ๑ หด๎ าํ รงตําแหนํงในคณะสงฆ๑เพื่อความสะดวกในการ ปกครองดแู ล เทียบเคียงกับทางโลก สมณศักด์ทิ ่ีทรงสถาปนามลี กั ษณะคล๎ายคลงึ กับในเมืองไทยมาก ทงั้ นามของสมณศักด์ิ พัดยศ การแตํงตัง้ เปน็ ต๎น เมอ่ื พระสงฆร๑ ปู ใดไดร๎ ับการแตํงตั้งเป็นพระราชาคณะ จะได๎รับสมณศักด์จิ ากพระเจ๎านโรดมท่วี ัดพระแก๎ว ภายในพระราชวงั เขมรนิ ทร๑ กรุงพนมเปญ สมณ ศักดใ์ิ นสมยั นีม้ ี ๔ ระดับทงั้ ฝาุ ยมหานิกายและธรรมยตุ ิ คอื ประมขุ สงฆ์ ฝาุ ยมหานิกาย ๑. สมเด็จพระมหาสุเมธาธิบดี สงั ฆนายก คณะมหานิกาย พระราชาคณะชน้ั ที่ ๑ ๒. พระธรรมลขิ ติ ๓.พระโพธิวงศ๑ ๔.พระวันรตั พระราชาคณะช้ันท่ี ๒ ๕. พระมหาวมิ ลธรรม ๖.พระพทุ ธโฆสาจารย๑ ๗.พระโฆสธรรม พระมหาดาวสยาม วชิรป๓ญโญ, ดร., พระพทุ ธศาสนาในกมั พชู า, หน๎า ๘๔.

๗๒ ๘.พระศาลนมุนี ๙.พระมุนโี กศล ๑๐. พระสริ สิ ัมมตวิ งศ๑ ๑๑.พระพุทธวงศ๑ ๑๒.พระศากยวงศ๑ ๑๓.พระอบุ าลวี งศ๑ ๑๔.พระญาณวงศ๑ ๑๕.พระสเุ มธวงศ๑ พระราชาคณะช้ันที่ ๔ ๑๖. พระธรรมวปิ ส๓ สนา ๑๗.พระสมาธิธรรม ๑๘.พระญาณโกศล ๑๙.พระสริ ิสังฆมนุ ี ๒๐.พระสริ วิ สิ ทุ ธิ ๒๑.พระธรรมวงศ๑ ๒๒.พระญาณสงั วร ๒๓.พระวนิ ัยสงั วร ๒๔.พระอนิ ทมุนี ๒๕.พระเทพสทั ธา ๒๖.พระสลี สังวร ๒๗.พระคัมภรี เถระ ๒๘.พระอริยมรรคญาณ ๒๙.พระวภิ ัททญาณ ๓๐.พระบวรสัตถา ๓๑.พระธรรมวสิ ทุ ธิวงศ๑ ๓๒.พระญาณวิสทุ ธวิ งศ๑ ๓๓.พระปิฎกธรรม ประมขุ สงฆ์ ฝาุ ยธรรมยตุ ิ ๑. สมเดจ็ พระสธุ ัมมาธบิ ดี สังฆนายก คณะธรรมยตุ ิกนิกาย พระราชาคณะชั้นท่ี ๑ ๒.พระมังคลเทพาจารย๑ ๓.พระพฒุ าจารย๑ พระราชาคณะช้นั ที่ ๒ ๔.พระมหาพรหมมนุ ี ๕.พระธมั โมตมะ ๖.พระอรยิ กสั สปะ พระราชาคณะช้ันที่ ๓ ๗. พระอรยิ วงศ๑ ๘.พระธรรมกวีวงศ๑ ๙.พระญาณรังสี ๑๐.พระมหาวีรวงศาจารย๑ พระราชาคณะช้ันที่ ๔ ๑๑.พระปทมุ วงศ๑ ๑๒.พระธรรมมุนี ๑๓.พระวชิรเมธ ๑๔.พระอริยมนุ ี ๑๕.พระเทวโมลี ๑๖.พระธรรมเถระ ๑๗.พระอมราภริ กั ซิต ๑๘.พระมหาราชธรรม ๑๙.พระรตั นมนี ๒๐.พระธรรมไตรโลกาจารย๑ ๒๑.พระธรรมวโรตมะ ๒๒.พระญาณวริ ิยะ ตาํ แหนง่ สมณศักดิ์ในแตล่ ะจงั หวดั สมณศักดเ์ิ หลําน้ี ทง้ั ช่อื สมณศกั ดิแ์ ละพัดยศจะไมํแตกตํางจากในเมืองไทย คร้งั มกี ารเพ่มิ จงั หวัดได๎เพมิ่ เติมมาอีกหลายตําแหนงํ ให๎ครบทุกอาํ เภอเหมือนในบ๎านเมืองท่มี ีนายอําเภอ ตอํ มาใน สมัยรฐั บาลลอนนอลไดเ๎ พ่ิมเตมิ เข๎าไปอีก จนมาถูกทําลายในสมยั เขมรแดงตํอมา

๗๓ ท่ี จังหวดั ตาํ แหนงํ ประจาํ จงั หวดั ปลดั คุณ(คลา๎ ยเลขา) หมายเหตุ ๑ พระตะบอง พระสังฆกจิ โกศล พระปลดั วมิ ลมุนี ๒ กนั ดาล พระวมิ ลเวที พระปลัดเวทีวงศ๑ ๓ กัมปงจาม พระนาคมนุ ี พระปลดั นาคสัตถา ๔ กมั โปด พระชลธิวาสี พระปลัดสาครรงั สี ๕ ไพรเรยี ง พระมนุ ีรักขิตวงศ๑ พระปลัดพรหมป๓ญญา ๖ กําปงชนงั พระธรรมวงศาธิบดี พระปลดั สธุ รรมจารี ๗ ตาแกว๎ พระมงคลทิพโลกรังสี พระปลัดทิพโลกมุนี ๘ สวายเรียง พระวงศาธิบดธี รรม พระปลัดคมั ภรี ธ๑ รรมสัตถา ๙ กาํ ปงธม พระสัตถาบารมี พระปลัดบารมธี รรมบาล ๑๐ เสยี มราฐ พระมงคลสีลาจารย๑ พระปลัดวสิ าลัปป๓ญญา ๑๑ กระต่วิ พระสคุ นั ธสีลาจารย๑ พระปลัดวินยั เมธา ๑๒ กงปงสะปือ พระมุนีสัตถาจริยาโกศล พระปลดั สตั ถาภิรักขิต ๑๓ โพธสิ ตั ว๑ พระโพธวิ งศาวมิ ล พระปลัดวิจิตรพรหมธร ๑๔ สะตรึงเตรง พระธรรมโกศล พระปลัดวรวทิ ู ตําแหน่งสมณศกั ด์ิ ระคับอาํ เภอ (สรอ๊ ก) จังหวดั พระตะบอง มี ๑๑ อนคุ ณุ ที่ อําเภอ ตําแหนํงประจําอาํ เภอ ท่ี อาํ เภอ ตําแหนงํ ประจาํ อาํ เภอ ๑ ระตะบอง พระครสู ิริสัตถา ๒ แซงเกยี พระครปู ๓ญญาวุฒิ ๓ เมจิ งรุสเซีย พระครูธรรมรังษี ๔ เมงิ กบุ ุรี พระครูสริ มิ งคล ๕ สิริโสภณ พระครูโสภณวิมล ๖ ตุกกอ พระครูโกศลเมธี ๗ โพไพลิน พระครวู ชริ ป๓ญญา ๘ โลว พระครสู ังวรสตั ถา ๙ เจก พระครูป๓ญญารกั ขิต ๑๐ พนมสร๏อก พระครปู วิตตเมธา ๑๑ ป๓นเตอื ย พระครธู รรมานุจารี จงั หวดั กนั ดาร มี ๑๐ อนุคณุ ท่ี อําเภอ ตาํ แหนงํ ประจําอําเภอ ที่ อําเภอ ตําแหนํงประจําอําเภอ ๑ นมเปญ พระครูจริยาโกศล ๓ กชจั กันดาร พระครูอุทยั วงศ๑ ๒ ปนู อลี ิว พระครูมงคลรงั สี พระครูญาณวมิ ล ๔ มุขกาํ พุช

๗๔ ๕ เทยี นสวาย พระครูวิสทุ ธวิ งศ๑ ๖ ละเวียแอม พระครูป๓ญญาสริ ิ ๗ กันดารสตงึ พระครูวนิ ยั เวที ๘ ละออ๏ กดยี ๑ พระครมู ุนีโกวิท ๙ สะแอง พระครวู ิชติ เมธา ๑๐ โคธม พระครปู ญ๓ ญานุรกั ขิต จงั หวัดกําปงจาม มี ๑๑ อนคุ ณุ ท่ี อําเภอ ตาํ แหนํงประจาํ อาํ เภอ ท่ี อาํ เภอ ตาํ แหนํงประจาํ อําเภอ ๑ กําปงเสยี ม ๓ เจงิ ปรยี พระครสู งั วรมุนี ๒ ปรยึ กโฮร พระครวู ชิรวทิ ู ๕ ตบังกมมะ ๗ เมม๏วด พระครสู งั ฆรกั ขิตวิญญา ๔ โคโชติน พระครวู ทิ ูทปิ ปาล ๙ สิรีย๑ สนั ดร ๑๑ จมั การเ๑ ลียง พระครมู ุธรธรรมรังษี ๖ กรอด ชเมยี ร๑ พระครสู ริ ิวสิ าล พระครูวิสุทธ'ธรรมบาล ๘ สตงึ ตร๏อง พระครูวิสาธรรมทาสี พระครูสรวี ชิ ชา ๑๐ แกงเมยี ส พระครปู ญ๓ ญารงั สี พระครสู ิรธิ รรมรกั ขติ จงั หวัดกําปอต มี ๗ อนุคณุ ท่ี อําเภอ ตาํ แหนํงประจาํ อําเภอ ท่ี อําเภอ ตําแหนํงประจาํ อําเภอ ๑ กาํ ปอด ๓ กาํ พงตราจ พระครสู าครโสภณ ๒ ปน๓ เตอื ยเมียส พระครสู วุ รรณรังสี ๕ คฮอก ๗ ปรียนุป พระครวู สิ ุทธกวี ๔ กาํ ปงโสม พระครูสริ ิธรรมธาตา พระครูปทมุ คามรกั ษ๑ ๖ โคโคง พระครูทปรกั ขสัตถา พระครสู ัตถามุนีวรคุณ จังหวัดปรีย์เวง มี ๗ อนคุ ุณ ที่ อาํ เภอ ตําแหนํงประจําอาํ เภอ ที่ อําเภอ ตําแหนงํ ประจาํ อําเภอ ๑ ปรยี ๑เวง พระครมู ารานวุ ชิ ัย ๓ ปีเรยี ง พระครูทฆี วนเมธา ๒ กมั จัย-เม พระครูวิชยั มุนี ๕ มียพนม พระครูปวรเมธี ๗ กันปรีด๑ พระครสู งั วรวนิ ยั ๔ สธิ รกันดาร พระครเู มตตาธรรมธร ๖ กําพงระแบก พระครมู นุ ีมงคล ที่ อําเภอ จังหวัดกาํ ปงชนงั มี ๕ อนุคุณ ๑ โรลี เปยี ว ตําแหนํงประจําอําเภอ ท่ี อาํ เภอ ตําแหนํงประจาํ อาํ เภอ พระครธู รรมนุวัฒน๑ ๒ บอรี่โบร พระครูมงคลเกสร

๗๕ ๓ กาํ พงเลง พระครศู ากยปตุ สงั วร ๔ กาํ พงตระหลาจ พระครูธรรมธารชนุ บุตร ๕ ตูกพอ๏ ส พระครูวสิ ุทธศลี คุณ จงั หวดั ตาแก้ว ๗ อนคุ ณุ ที่ อําเภอ ตําแหนํงประจําอาํ เภอ ท่ี อาํ เภอ ตาํ แหนงํ ประจําอาํ เภอ ๑ เตริญ พระครูมงคลเกสร ๓ โคอนั ทดึ พระครูธรรมวิมล ๒ คริ ิวงส๑ พระครธู รรมสรมุนี ๕ สาํ รอง พระครูวิชชาเวที ๗ ตรมั ก๏ุก พระครูรัตนปปวร ๔ บดี พระครอู ดุ มเมธา ๖ ปรยี ๑ กาบบดั พระครธู รี วนั สาจรยิ า จังหวดั สวายเรียง มี ๔ อนคุ ุณ ท่ี อําเภอ ตาํ แหนํงประจาํ อาํ เภอ ที่ อาํ เภอ ตําแหนํงประจําอําเภอ ๑ สวายเรยี ง ๓ สวายตึม พระครธู รรมปาลวงศา ๒ ราํ ดร พระครูนาถาภริ ักขิต พระครวู ริ ยิ ะโกวทิ ๔ กระเมยี สแหก พระครปู ริตตวทิ ู ที่ อาํ เภอ จังหวดั กาํ ปงธม มี ๘ อนคุ ณุ ตําแหนงํ ประจําอําเภอ ๑ กาํ พงสวาย ตาํ แหนํงประจําอําเภอ ท่ี อาํ เภอ พระครูวิสทุ ธสัตถา ๓ กระเวยี ง พระครวู ริ ยิ ธรรมคตุ ต๑ ๒ สนั ดัน พระครูจริยานุรักษณ๑ ๕ สะตวง พระครโู สภณปญ๓ ญา ๔ บะไรย๑ พระครนู ิรมลธรรมลักษณ๑ ๗ เจียม ขสนั พระครูปริยตั ตวิ ิโรจน๑ ๖ สันตวก พระครณู ฐั านุรกั ขโกสล พระครอู รัญญิกสิทธิศักดิ์ ๘ เคห็บ จังหวดั เสียมราฐ มี ๖ อนุคุณ ที่ อาํ เภอ ตาํ แหนํงประจําอําเภอ ท่ี อาํ เภอ ตาํ แหนํงประจาํ อําเภอ ๑ เสยี มราฐ ๓ กระลัญ พระครูปาสาทรงั ษี ๒ ปวก พระครูสริ เิ วที ๕ ไชเกรง พระครสู ังฆมุนี ๔ โสตระนิรมุ พระครูคมั ภรี ธ๑ รรมาจารย๑ พระครูสรธรรมบาล ๖ สํารองจองกอล พระครวู สิ ลปญ๓ ญา จงั หวดั กระติ้ว มี ๔ อนุคุณ ท่ี อาํ เภอ ตาํ แหนงํ ประจําอําเภอ ท่ี อําเภอ ตาํ แหนงํ ประจําอําเภอ

๗๖ ๑ กระติ้ว พระครูสีลขันธปั ปช๓ โชติ ๒ สมั โบร พระครูวิสทุ ธปั ป๓ญญา ๓ สมวล พระครกู ังขาอทุ ยั ศีลธรรม พระครวู ิสุทธเมธา ๔ คลอง จังหวัดกาํ ปงสะพอื มี ๕ อนุคุณ ที่ อําเภอ ตําแหนงํ ประจาํ อําเภอ ที่ อําเภอ ตาํ แหนํงประจาํ อําเภอ ๑ สาํ รองโตง ๓ ตบอง พระครูวนิ ัยวาที ๒ กอง-ปีไสย พระครูมนุ ีวงั ศา ๕ พนม-สรูจ พระครอู ริยสัตถา ๔ อทู อง พระครปู ๓ญญาอุดม พระครพู รหมกิริธรรมบาล จงั หวัดโพธิสตั ว์ มี ๓ อนคุ ณุ ที่ อาํ เภอ ตําแหนงํ ประจาํ อาํ เภอ ท่ี อําเภอ ตาํ แหนงํ ประจําอําเภอ ๑ ปะกัน ๓ กระกอร๑ พระครูอดุ มสตั ถา ๒ พนมกระวัน พระครูเมตตาวหิ ารี พระครูสุธวี ชิรณาณ จังหวดั สะตรงึ เตรมงี ๓ อนคุ ณุ ๕ ที่ อําเภอ ตําแหนํงประจาํ อําเภอ ที่ อาํ เภอ ตาํ แหนงํ ประจาํ อําเภอ ๑ สตงึ ตรอ๏ ง พระครูธรรมาภริ ัต ๒ เวียนไสย พระครูสุภทั รจริยา ๓ ถลปรวิ ัต พระครูวินยานุรักษ๑ สมณศกั ด์ิเหล่านท้ี ้ังชื่อสมณศักดิม์ าถงึ ปัจจบุ ันได้เปลยี่ นแปลงไปหลายตําแหน่ง บาง ตําแหน่งยกเลิกไป บางตําแหนง่ คงไว้ ๒.๙ พระพทุ ธศาสนายคุ สาธารณรฐั พ.ศ.๒๕๑๓-๒๕๑๘ ต้งั แตํพ.ศ.๒๕๐๖ เป็นต๎นมา สงครามเวียดนามทวีความรนุ แรงมากขึ้นทกุ ปี กองทัพเวยี ด มนิ หซ๑ ง่ึ เป็นคอมมวิ นสิ ตไ๑ ด๎อาศัยเส๎นทางลําเลยี งอาวุธลงมาทางเวียดนามภาคใตผ๎ ํานทางกมั พูชา เจา๎ สี หนทุ รงรเ๎ู หน็ เปน็ ใจโดยอนญุ าตให๎ฝุายเวียดมนิ หแ๑ อบลําเลียงอาวุธไปโจมตีทหารสหรฐั และเวียดนามใต๎ ได๎ สหรัฐอเมริกาไดร๎ อ๎ งขอให๎เจา๎ สหี นุหา๎ มการลําเลยี งและปดิ เส๎นทางนเ้ี สีย แตพํ ระองค๑ปฏิเสธ ใน ท่สี ุดชไี อเอ หนวํ ยงานสืบราชการลับของสหรัฐจงึ สนบั สนนุ ใหน๎ ายพลลอนนอน ผูบ๎ ญั ชาการทหารบก ในสมยั นนั้ ทาํ การยดึ อํานาจในชํวงทีเ่ จา๎ สีหนเุ สดจ็ ประพาสยุโรป ในวนั ท่ี ๑๘ มนี าคม พ.ศ. ๒๕๑๓ (๑๙๗๐) กํอนที่จะยึดอาํ นาจ นายพลทํานน้ียังไปเข๎าเฝูาขออนุญาตจากพระราชินีกสุ ุมาลย๑ พระมารดา ของเจ๎าสีหนุทพ่ี ระราชวงั หลวงด๎วย

๗๗ ๒.๙.๑ นายพลลอนนอล ผู๎บัญชาการทหารบกทยี่ ดึ อํานาจเจา๎ สีหนทุ ํานนีม้ ีนามวาํ ลอนนอล ( Lon Nol) เกดิ วนั ท่ี ๑๓ เดอื น พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๕๖ (๑๙๑๓) ทจี่ งั หวัดไพรเวยี ง ในตระกลู ครอบครวั เชอื้ สายจีนกัมพูชา มพี ี่นอ๎ ง ๓ คน บิดานามวํา ลอนหนิ เมื่อโตขึ้นได๎รับการศึกษาจากกรงุ ไชงํอนประเทศเวียดนาม พ.ศ. ๒๔๘๙(๑๙๔๖)ไดร๎ บั การแตํงต้ังเปน็ ผ๎วู ําราชการจังหวดั กระแต๎ ตอํ มาไดใ๎ กลช๎ ิดกบั เจา๎ นโรดม สีหนุ จากนั้นไดร๎ ับงานดูแลทางดา๎ นการทหารจนไตเํ ตา๎ ขึน้ เป็นนายพล พ.ศ.๒๔๙๘ (๑๙๕๕) ได๎รบั การ แตํงต้งั เป็นผบ๎ู ญั ชาการทหารบก พ.ศ.๒๕๐๓ (๑๙๖๐)ไดร๎ ับการแตํงต้ังเปน็ รฐั มนตรกี ลาโหม พ,ศ. ๑๙๖๖ ได๎รับการแตํงตงั้ เป็นนายกรัฐมนตรีสมยั สมยั แรก พ.ศ.๒๕๑๓ (๑๙๗๐)ได๎ยึดอาํ นาจจากเจา๎ นโรดม สีหนุ โดยการสนับสนนุ ของสหรฐั อเมรกิ า แลว๎ ดํารงตําแหนงํ นายกรัฐมนตรจี นมาถงึ พ.ศ. ๒๕๑๘ กํอนทบี่ ินหนไี ปยงั เกาะฮาวายของสหรฐั อเมริกา กํอนท่เี ขมรแดงจะเขา๎ ยึดครองพนมเปญได๎ ๑ สปั ดาห๑ เสียชวี ิตทีฮ่ าวาย วันที่ ๑๗ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๒๘ (๑๙๘๕)ในชวี ติ นักการเมอื งไดด๎ าํ รง ตําแหนํงผ๎ูบญั ชาการทหารบก รฐั มนตรีกระทรวงกลาโหม และนายกรฐั มนตรี ๒ สมยั คณะรฐั บาลลอนนอลเปลี่ยนชื่อประเทศจากพระราชอาณาจกั รกัมพูชา ( Kingdom of Cambodia) เป็นสาธารณรฐั กมั พชู า ( Repullic of Cambodia) มีประธานาธบิ ดีเป็นประมขุ สูงสดุ เปลี่ยนธงชาติและเพลงชาตใิ ห๎แตกตาํ งออกไป รฐั บาลนี้ท่ีมสี หรฐั อเมรกิ าหนุนหลงั เต็มท่ี คณะรฐั มนตรี ประกอบด๎วย นายพลลอนนอล เปน็ ,ประธานาธิบดี เจา๎ สริ มิ าตะ เป็นนายกรัฐมนตรี นายฮนิ ตาม เป็น รฐั มนตรกี ระทรวงการตาํ งประเทศ นายพลสัก สุดสาคร เปน็ รัฐมนตรกี ระทรวงกลาโหม นายพลเดยี ล เดล เป็นผบ๎ู ัญชาการทหารบก เม่ือนายพลลอนนอล ยดึ อาํ นาจสําเรจ็ เจา๎ สหี นจุ ึงประณามลอนนอลอยาํ งรุนแรงพร๎อมกับ เดนิ ทางเขา๎ มายงั เขมรผํานทางชายแดนไทยไปพบกบั ผน๎ู ําเขมรแดงคือพอลพต ทปี่ ุาใกลช๎ ายแดน พอล - พตเป็นคนฉลาด มองวํา เจ๎าสีหนุยงั มีอิทธิพลในชนบทจงึ ยกเจา๎ สีหนุเปน็ ฉากบังหน๎าแลว๎ ทาํ สงคราม กบั รฐั บาลลอนนอล โดยเกลีย้ กลอํ มชาวเมืองวําทาํ สงครามเพือ่ ชวํ ยสมเด็จโอ (สมเดจ็ พอํ ) คือเจา๎ สีหนุ สงครามจึงแผกํ ระจายทุกหนแหํงในกมั พูชา จนสิ้นสดุ พ.ศ.๒๕๑๘ ทีเ่ ขมรแดงยดึ ครองอาํ นาจได๎สาํ เรจ็ ในดา๎ นพทุ ธศาสนา พ.ศ.๒๕๑๑ คณะสงฆก๑ ัมพชู าไดจ๎ ดั สร๎างพระไตรปฎิ ก ฉบับกมั พชู า สาํ เรจ็ มีการเฉลิมฉลองยิง่ ใหญํ พระไตรปฎิ กฉบับนมี้ ีจํานวน ๑๐๐ เลมํ แตลํ ะเลมํ เป็น ๒ ภาษา คอื ด๎านซ๎ายเป็นภาษาบาลี สวํ นดา๎ นซา๎ ยเป็นภาษาเขมร นบั เป็นความสาํ เร็จของคณะสงฆก๑ มั พชู าอยาํ ง หนง่ึ พ.ศ.๒๕๑๓ มกี ารสาํ รวจวดั มีทั้งสนิ ๓,๓๖๙ วัด แบงํ เป็นวัดมหานกิ าย ๓,๒๓๐ วัด วดั ธรรมยุติ ๑๓๙ วัด จาํ นวนพระสงฆ๑-สามเณร ๖๕,๐๖๒ รูป ชาวกัมพูชาร๎อยละ ๙๕ นบั ถือพุทธศาสนาทัง้ สอง นกิ ายคือ มหานกิ ายและธรรมยุติ สวํ นพทุ ธศาสนามหายานเคยรงุํ เรืองในกัมพชู านน้ั ได๎สญู สลายไป หมด หาคนนบั ถอื ไมํได๎ ยกเว๎นในชมุ ชนชาวจนี และเวยี ดนามเทําน้ัน

๗๘ ผลกระทบกับสงครามกบั เขมรแดงทําให๎พระสงฆถ๑ ูกฆาํ ๓๐ รปู จากการทงิ้ ระเบิด บาดเจ็บ อีกมากกวํา ๓๐ รปู วัดถูกทําลายไป ๒๔๐ วดั จากเวยี ดกง เวียดนามเหนือและเขมรแดง เฉพาะปี พ.ศ. ๒๕๑๕ เพยี งปีเดยี ว วดั ถกู ระเบิดเสยี หายถึง ๖๗๖ วัด นายพลลอนนอล เปน็ คนท่ศี รทั ธาในพทุ ธ ศาสนาแรงกล๎าทาํ นหนึ่งจงึ ไดส๎ นบั สนุนพทุ ธศาสนา หลายอยาํ งคอื ยกพทุ ธศาสนาเปน็ ศาสนาประจาํ ชาติของกัมพชู า อยาํ งไรก็ตามพทุ ธศาสนาถกู ภยั สงครามเบียดเบยี นยังไมํอาจจะเจรญิ รุํงเรอื งได๎ วัดถกู ทาํ ลายไปมาก พระสงฆ๑ถูกสงั หารและได๎รบั บาดเจ็บ หรอื บางรูปเข๎าเป็นฝ๓กฝุายกับกลุมํ การเมืองตําง ๆ ทัง้ ฝุาย ลอนนอล และฝาุ ยคอมมิวนสิ ตเ๑ ขมรแดง ๒.๙.๒ การคุกคามจากเวียดกง เวยี ดกงคือชาวเวยี ดนามเหนอื สํงเข๎าไปแทรกซมึ ท้งั ในลาว กัมพชู า และเวียดนามเอง การ ปฏิบัติการของเวียดกงในกมั พูชาเปน็ ไปคํอนข๎างรุนแรง มีผลกระทบตอํ พุทธศาสนามาก รฐั บาลลอนนอลปกครองประเทศไมํนาน ก็เกิดความไมํพอใจในหมพูํ ระสงฆ๑หลายอยาํ ง บางกลมํุ ปรารถนาใหร๎ ัฐบาลคืนอํานาจแกํเจ๎านโรดมสหี นุ รัฐบาลได๎สํงทหารเข๎าระงับจนเกิดการ เสยี ชวี ติ หลายรปู เพือ่ ปูองกนั ความวนุํ วายอันจะเป็นเหตุให๎ฝุายเวยี ดนามใตท๎ ่ีมใี จฝก๓ ใฝใุ นลัทธิคอม มิวนิสต๑ ตามแบบอยาํ งประธานโฮจิมินห๑ของเวยี ดนามเหนือ เวยี ดกงจึงเป็นตัวแทนของนกั รบท่ีรฐั บาล เวียดนาคอมมวิ นิสตแ๑ ทรกซมึ ไดง๎ าํ ย รัฐบาลจึงฺห๎ามพระสงฆใ๑ นนครหลวงและใกลเ๎ คียงเคลอ่ื นไหวใดๆ เพ่อี อธิบายเร่อื งนี้ นายพลลอน นอล ไดส๎ ํงจดหมายลงวันที่ ๙ เดือนตุลาคม พ.ศ.๒๕๑๓ (๑๙๗๐) ไป ถงึ สมเด็จพระสงั ฆราชฮวด ตาด วํา “การเปล่ยี นแปลงทางการเมือง ไมํได๎หมายความวาํ ไมชํ ื่อสตั ย๑ตํอ พระพทุ ธศาสนา พระพทุ ธศาสนายงั เป็นศาสนาของรฐั นับแตํอดีตจนถึงปจ๓ จุบัน พทุ ธธรรมล๎วนแตวํ ํา ดว๎ ยสทิ ธเิ สรีภาพชองผูค๎ น พระพทุ ธศาสนาสอนเราใหซ๎ ่ือสัตย๑ ไมํเห็นแกํตวั สงํ เสรมิ การชวํ ยเหลอื กนั ที่กลาํ วมาข๎างต๎นเป็นเคร่อื งหมายแหํงเสรีภาพ ความเสมอภาพ ภราดรภาพ การพัฒนา และความ เป็นอยขูํ องผค๎ู น” ฉตั ร เปรมฤดี ซง่ึ เป็นผู๎ท่ชี ่ืนชอบตอํ ทาํ นประธานาธิบดลี อน นอล ถือวําเป็นผทู๎ ่ี พิทักษพ๑ ระพทุ ธศาสนา และเคารพนับถอื ศาสนาอยาํ งเครํงครดั เป็นหวํ งใยตํอบ๎านเมอื ง “เราจะ ปูองกันพระพทุ ธศาสนาโดยชวี ิต และเลือดเนอ้ื เพอ่ื ให๎พระพทุ ธศาสนาดาํ รงคงอยูํ ถึง ๕,๐๐๐ พระ พรรษา...ฯ...เราตอํ ส๎ูเพอ่ื ปกปูองบา๎ นเมอื งและศาสนาโดยลําพัง” แมว๎ ํา ทางภาครฐั พยายามสร๎างความกลมเกลยี วใหพ๎ ระสงฆเ๑ ป็นอนั หนง่ึ อันเดียวกัน เพื่อ สรา๎ งความเชื่อมนั่ แกํพทุ ธศาสนกิ ชนวาํ รฐั บาลใหค๎ วามเคารพนับถอื พระพทุ ธศาสนา อยํางไรกต็ าม เพ่อื ตอบโตร๎ ัฐบาลลอน นอล กองกําลงั เวยี ดกงและเวียดมินห๑ ก็ไดโ๎ ฆษณาชวนเชอื่ ให๎พระสงฆ๑ทอี่ ยูํใน จังหวัดตาํ งๆ เดินขบวนตํอต๎านรัฐบาลลอน นอล โดยใหค๎ ําม่ันสญั ญาวํา “จะคืนอํานาจที่แทจ๎ ริงใหช๎ าว กมั พูชา” แตใํ นทางตรงขา๎ มได๎ทําสิ่งใดกบั คาํ มั่นสญั ญาทางกองกาํ ลังเวยี ดกงและเวยี ดมินห๑ไดท๎ าํ ลาย พระพทุ ธศาสนา เชํนประหารชวี ิตพระสงฆ๑ ทําลายวดั วาอารามพทุ ธปฏมิ า เผาทาํ ลายคมั ภีรฎ๑ ีกา เอกสารท่ีมคี วามสําคัญทางประวตั ศิ าสตรว๑ ฒั นธรรมและศาสนา พรอ๎ มทงั้ ขบูํ งั คบั ใหพ๎ ระสงฆ๑สึกเข๎า

๗๙ เปน็ ทหารของตน ยดึ ทรัพย๑สินและเกณฑช๑ าวกมั พชู าเป็นทหารซึง่ ระหวํางปีพ.ศ.๒๕๑๓ - ๒๕๑๔ วัดที่ ถูกทําลายดว๎ ยกองกาํ ลังเวยี ดกงและเวยี ดมนิ ห๑มถี ึง ๒๙๑ แหํง มพี ระสงฆม๑ รณภาพ ๔๒ รปู บาดเจบ็ ๕๒ รูป ถูกจบั เปน็ เชลยศึก ๒๑ รปู และตอ๎ งอพยพเข๎ามาพนมเปญ ๔๕๒ รปู นอกจากน้ยี งั มีโบสถ๑ ครสิ ต๑ ๑๓ แหํง บาทหลวง ๓ รปู รวมท้ังมัสยิด ๖ แหงํ นอกจากนี้ ยังใช๎กองกาํ ลังทหารเข๎ายดึ ครอง นครวัดซงึ่ เป็นมรดกประวตั ิศาสตรศ๑ าสนา และศิลปวัฒนธรรมโลก ดังรายงานของพุทธกิ สมาคม และ สมาคมนักนพิ นธ๑กัมพชู าวาํ “วนั ท่ี ๒๓ มีนาคม ปี พ.ศ.๒๕๑๓ (ค.ศ.๑๙๗๐) เวียดกงและเวยี ดมนิ ห๑ โฆษณาชวนเชือ่ ประชาชนในจงั หวัดกําปงจาม และไพรแวง ตอํ ตา๎ นกับรฐั บาลสาธารณรัฐ วันท่ี ๒๘ มนี าคม ค.ศ. ๑๙๗๐ กองกาลังเวยี ดกงและเวยี ดมินห๑จาํ นวน ๕๐,๐๐๐ คน เขา๎ มาในกัมพูชา ได๎ทาํ ลายทีท่ ํางาน โรงเรียน วทิ ยาลัย ศนู ยส๑ ขุ ภาพ เผาทําลายวัดวาอาราม ศาสนสถาน จับพระสงฆเ๑ ปน็ ตัวประกันเดนิ นําหนา๎ เพ่อื ปูองกนั มใิ ห๎ทหารรฐั บาลยิง นอกจากนีไ้ ด๎ทําร๎ายพระสงฆด๑ ๎วยการตบตีอยาํ งโหดร๎าย ขณะน้ี ทั้งเวียดกงและเวียดมนิ หก๑ ําลงั ยดึ ครองปราสาทนครวัดซง่ึ เป็นแหลงํ มรดกแหงํ ประวัตศิ าสตร๑ศาสนา และ ศิลปวัฒนธรรมโลก” พุทธศาสนาในยคุ นี้จงึ มีแตํทรงกับทรดุ เพราะผลจากภัยสงครามทัง้ จากการปราบปราม เขมรแดง และการเขา๎ มาแทรกซมึ ของทหารเวยี ดกงในกมั พชู า อกี ทงั้ การท้งิ ระเบิดจากกองทพั สหรฐั ใน กมั พูชา พระสงฆ๑จึงไมํมโี อกาสศกึ ษาเทาํ ใดนกั เพราะพะวงกบั ปญ๓ หาสงคราม ๒.๑๐ พระพทุ ธศาสนายคุ เขมรแดง พ.ศ.๒๕๐๘-๒๕๒๐ พ.ศ.๒๕๑๘ พรรคคอมมวิ นิสต๑กัมพชู า เรียกอยํางหน่ึงวํา เขมรแดงได๎ทําสงคราม และ สามารถเขา๎ ยดึ ครองกัมพูชาแทนทีร่ ัฐบาลลอน นอล ที่สหรัฐหนนุ หลงั ไดส๎ าํ เร็จ ขบวนการเขมรแดงนํา โดยพอลพต เขยี วสมั พนั ธ๑ ตาม๏อก นวลเจยี เอยี งซารี ซอนเซน กํอตั้งในปี พ.ศ.๒๔๙๖ เพื่อตํอสกู๎ บั รฐั บาลเจา๎ สหี นุ เมอ่ื เจ๎าสีหนถุ ูกนายพลลอนนอลยดึ อาํ นาจ จึงหลอกเอาเจา๎ สหี นมุ าเป็นพวก เพื่อหวาํ น ล๎อมคนในชนบทให๎มาเขา๎ พวก ในท่สี ุดจงึ ยึดอํานาจสาํ เรจ็ ด๎วยการสนับสนุนจากจนี คอมมวิ นสิ ตท๑ ้ังด๎าน อาวธุ และอาหาร เปน็ คอมมิวนิสต๑สุดโตํงทตี่ อ๎ งการนําระบบคอมมิวนิสตเ๑ ต็มรูปแบบมาใชก๎ บั กมั พชู า ด๎วยการกําจัดชนชน้ั นายทุน ขนุ ศึก ศกั ดินา ศาสนาให๎หมดสิ้นไป สรา๎ งสังคมท่มี คี วามเสมอภาคและ เทาํ เทยี ม ไมอํ นญุ าตใหม๎ ลี ทั ธิป๓จเจกบคุ คล คือไมอํ นญุ าตให๎ผค๎ู นสะสมสิง่ ของ ทรัพยส๑ ิน ไรนํ าได๎ ทุก อยาํ งจะตอ๎ งเป็นของรัฐท้ังส้นิ แล๎วรฐั จะแจกขา๎ ว เสือ้ ผา๎ เครือ่ งบริโภคทจ่ี าํ เป็นให๎ เม่อื นําทฤษฎีน้ีมาใช๎ กบั กัมพชู า เขมรแดงได๎ตั้งหนํวยงานควบคมุ คนเรยี กวําองคก๑ รปฏวิ ตั ิ หรือออกเสยี งตามสาํ เนียงเขมรวาํ “องคก๑ า๎ ปฏเิ วต” ผฝ๎ู ุาฝนื คาํ ส่ังองค๑กรจะถูกสงั หารได๎งาํ ย พระสุเธยี สวุ ณณฺ เถโร, “การศึกษาของคณะสงฆ์ในพระราชอาณาจักรกัมพชู า” “วทิ ยานพิ นธ๑ พทุ ธศาสตรมหาบณั ฑติ ” หน๎า ๔๐.

๘๐ ๒.๑๐.๑ พอลพตจากพระสงฆ์กลายเปน็ นักฆ่า พอลพต (Pol Pot) มนี ามเดิมวาํ สลอต ชาร๑ (Salot Sar) เกดิ วันท่ี ๑๙ เดอื นมีนาคม พ.ศ. ๒๔๖๘ (๑๙๒๕) ทีห่ มบํู ๎านเพรกสวาย จงั หวัดกําปงธม ครอบครวั มีลกู ๙ คน เขาเป็นคนท่ี ๘ และเป็น คนท่ี ๒ ในบรรดา ลกู ชาย ๓ คน ในตระกูลเช้ือสายจนี พ.ศ.๑๙๓๔ เขาไดม๎ าอาศยั ในวัดทพ่ี นมเปญ แล๎วศกึ ษาทโี่ รงเรยี นคาทอลิค จนสามารถพดู ภาษาฝรงั่ เศสได๎ อายุ ๒๑ ปี ไดอ๎ ุปสมบทเปน็ พระภกิ ษุที่ วดั ในกรงุ พนมเปญ เนอื่ งจากนอ๎ งสาวนามวาํ เรือง เป็นพระสนมของพระเจา๎ ศรสี ุวตั ถิ์ มณวี งศ๑ จึงทาํ ให๎ เขาไดโ๎ อกาสไปเย่ยี มพระราชวงั บํอยๆ จากนั้น พ.ศ.๒๔๙๒ (๑๙๔๙) ไดม๎ ีโอกาสไปศกึ ษาที่ประเทศ ฝรัง่ เศสด๎านอีเลกทรอนกิ ส๑ เขาเกดิ สนใจในลัทธคิ อมมิวนิสตอ๑ ยาํ งแรงกลา๎ จึงมอี ุดมการณ๑ทจ่ี ะทํา กมั พชู าให๎กลายเป็นรฐั คอมมิวนสิ ต๑จรงิ ๆ ตามอุดมการณ๑ จากนัน้ พ.ศ.๒๔๙๖ (๑๙๕๓) ไดก๎ ลบั กัมพูชา ตง้ั พรรคคอมมวิ นสิ ต๑ตอํ สูใ๎ นปาุ โดยอาศัยเอียง ชารี นวน เจีย และเขียวสมั พันธ๑รวํ มด๎วย ในปี พ.ศ. ๒๕๐๖ (๑๙๖๓) ได๎รับแตํงต้งั ให๎เป็นเลขาธิการพรรคคอมมวิ นสิ ตก๑ มั พชู า( Communist Party of Kampucha) ตํอมาชาวเขมรร๎ูจกั พรรคนี้วํากองกําลงั เขมรแดง ระหวํางพ.ศ.๒๕๑๘-๒๕๒๑ ท่เี ขามี อํานาจไดร๎ บั การแตงํ ตง้ั เปน็ นายกรฐั มนตรี แตํหลายคนเรียกเขาวําพ่ชี ายหมายเลข ๑( The Brother number one) หลงั จากที่กองทหารเวียดนามขับเขมรแดงออกจากอาํ นาจสาํ เร็จ เขาและพลพรรคไป อาศยั ใกล๎พรมแดนไทย โดยยงั มีกองกําลงั ตอํ ส๎กู บั รฐั บาลเฮงสมั รินทม่ี ีเวยี ดนามหนนุ หลัง และเปน็ ที่ ยอมรับของสหประชาชาติพรอ๎ มกับเขมรอกี ๒ กลมํุ คอื ๑.กลมุ่ เจ้าสหี นุ (Sihanok Group) ๒.กลมุ่ เขมรเสรขี องนายชอนซาน (Sonsanh Group) พ.ศ.๒๕๓๙ เขาถูกนายพลตามอ๏ ก จบั กักขัง บริเวณ สาเหตเุ พราะหวาดระแวงวําตามอ๏ กจะตตี ัวออกหํางแปรพกั ตรไ๑ ปเขา๎ ขา๎ งฝาุ ยเฮงสัมรนิ จงึ สัง่ จับ แตํตามอ๏ กสามารถคุมกําลังทหารไดจ๎ งึ สัง่ จบั พอลพตขงั แทน เขาเสียชีวติ อยาํ งเดียวดายในฐานท่ีมั่นท่ี เมอื งไพลนิ ใกล๎พรมแดนไทย ในวนั ที่ ๑๙ เมษายน พ.ศ.๒๕๔๑ (๑๙๙๘)นับเปน็ การส้ินสุดของชีวติ นัก ฆํา ทลี่ ๎างผลาญชวี ติ ชาวกัมพูชาไปมากกวํา ๒ ลา๎ นคน ๑๙ เมษายน ๒๕๑๘ หลงั ผาํ นเทศกาลปีใหมสํ งกรานต๑ไปไมํนาน เขมรแดงยึดพนมเปญได๎ นักการเมอื งฝุายลอนนอลเชนํ นายลอง โบเรต (Long Boret) รัฐมนตรี ยงั คงอยํูในสํานกั งาน นายกรัฐมนตรี ถูกเขมรแดงจบั กมุ พร๎อมนาํ ไปสังหาร เจา้ สิรมิ าตะ (Prince Sirimatak) รอง นายกรัฐมนตรมี ชี ะตากรรมไมํตํางกนั ถกู จบั กมุ และถูกสังหาร ๒ วนั หลังเขมรแดงยึดพนมเปญได๎ นายลอนนน (Lon Non) น๎องชายนายพลลอนนอล มีชะตากรรมอยํางเดยี วกัน สวํ นเจ๎านโรดม สีหนุน้ันกวาํ จะร๎ูวาํ เขมรแดงหลอกใชก๎ ส็ ายไปเสียแลว๎ เม่ือได๎อาํ นาจรัฐแล๎ว พระองคถ๑ กู กักขงั ไว๎เฉพาะในพระราชวงั โดยทหารยามเฝูาแนนํ หนา โดยไมมํ ีสํวนเข๎าไปยํุงเก่ยี วใน นายลอง โบเรตมาถึงเฮลคิ คอปเตอร๑ลําสุดท๎ายทีจ่ ะออกจากพนมเปญ แตํภรรยาเสยี ดายเครือ่ งเพชร ท่ีลมื ไว๎ท่ีบา๎ น จึงส่งั ไห๎คนขบั วนกลบั ไปเอา แตํไมํทนั การณถ๑ กู เขมรแดงจับและนําไปสังหาร

๘๑ กจิ การใดๆ ของเขมรแดงจนภรรยานายกรัฐมนตรโี จวเอนิ ไหล ของจนี เป็นหํวงจงึ เดินทางมาเยือน กัมพูชา เจา๎ หนา๎ ท่ไี มํอนญุ าตให๎เขา๎ พบ แตํใหเ๎ จา๎ สีหนุ มายนื ทีศ่ าลาจัตุรมขุ ท่ีสามารถเห็นไดถ๎ นัด จากนนั้ รถท่ีพามาดามโจวเอินไหลผํานไปอยาํ งช๎าๆ เจา๎ สีหนรุ อดตายเพราะมีผู๎นําจนี ค๎มุ ครอง ทําให๎ เขมรแดงเกรงใจ หามเิ ชนํ น้นั แล๎ว พระองค๑อาจจะถูกนําไปสงั หารเหมือนคนอื่น แตพํ ระองคไ๑ มํสามารถ คม๎ุ ครองพระโอรส ธดิ าได๎ เพราะถกู เขมรแดงนาํ ไปสงั หารหลายพระองค๑ เมอื่ ยึดครองกรงุ พนมเปญได๎แล๎วไมํถงึ ๒ วัน เขมรแดงสงั่ บงั คับให๎ผู๎คน ทั้งพนมเปญและ เมืองใหญํท่วั ประเทศต๎องอพยพออกไปชนบทใหท๎ าํ งานหนักในตาํ งจังหวดั โดยอา๎ งวาํ อเมรกิ ันจะมาท้ิง ระเบิด จาํ ตอ๎ งอพยพดวํ น ผู๎ขัดขืนจึงถูกสงั หารทนั ที คําสั่งอพยพน้ีไมํเวน๎ พระสงฆ๑ในวดั คนพกิ าร คน ปุวยในโรงพยาบาลแม๎จะต๎องผําตดั หรอื ให๎น้าํ เก ลืออยจูํ ะตอ๎ งถูกขับออกเชํนกนั คนเหลาํ นี้ออกจาก โรงพยาบาลพรอ๎ มเตยี งพยาบาลและสายนาํ้ เกลืออยไํู ดไ๎ มํเกิน ๓ วัน สวํ นใหญํเสยี ชีวติ ทันที และไมํตอ๎ ง นําสมั ภาระไปมากเพราะหลอกผค๎ู นวําจะไปเพียง ๓ วนั เทาํ น้นั เม่อื ได๎อาํ นาจรฐั เขมรแดงไดย๎ กเลิกสงิ เหลํานค้ี อื ๑. ยกเลกิ การศกึ ษา การศึกษาทกุ ระดบั ต้งั แตํอนบุ าล ประถมศึกษา มัธยมศึกษาและ มหาวิทยาลยั ถกู ยกเลกิ ทง้ั ส้ิน นกั เรียนนักศกึ ษาถูกขบั ออกจากสถานศึกษา ถ๎าเปน็ ระดบั มหาวทิ ยาลยั จะถูกสงั หารไดง๎ ํายเพราะถือวําเปน็ ปญ๓ ญาชนทตี่ อ๎ งกําจดั สํวนครูอาจารยถ๑ ๎าแสดงตัวจะถกู สงั หารทันที ๒. ยกเลิกเงินตรา เมือ่ เข๎ามาแลว๎ เงนิ ถูกยกเลกิ ทันที จงึ กลายเป็นเศษกระดาษ ท่ถี กู เผา ทงิ้ อยาํ งไมใํ ยดี การค๎าขายจงึ ไมมํ ี แตถํ า๎ มกี ารแอบคา๎ ขายจะลกั ลอบใช๎ทองคาํ ทดแทน ๓. ยกเลิกศาสนา พระสงฆ๑ถกู มองวาํ เป็นกาฝากสังคมมานานถงึ ๒,๐๐๐ ปี มาแล๎ว เพราะ ไมอํ อกแรงงาน อาศัยแตชํ าวบา๎ นกิน เหมอื นปลิงทีค่ อยดูดเลอื ดมนุษย๑ ตอํ จากน้ืไปจงึ ต๎องทาํ ลายและ ลา๎ งบางปลิงเหลําน้ีให๎หมดจากสงั คมกัมพูซา การประกอบกิจกรรมทางศาสนาถกู ยกเลิกและหา๎ มทาํ เดด็ ขาด ผู๎ฝาุ ฝืนจะถกู สงั หารทันที เพราะรัฐมองวาํ พุทธศาสนาเป็นกากเดนของพวกจกั รพรรดนิ ิยมที่ จะตอ๎ งถูกทําลายใหส๎ น้ิ ซาก ดงั น้ัน การทําลายจงึ เป็นไปอยาํ งรนุ แรง ๔. การสาธารณสขุ กอํ นทเ่ี ขมรแดงเขา๎ ยึดครอง กมั พูชามีโรงพยาบาลของรัฐ อยทํู ุก จังหวดั และในหลายอําเภอ เม่อื เขา๎ ยดึ ครองแล๎ว ถกู สังปิดทนั ที คนปุวยถกู ขับออก หมอถกู นําไป สังหาร สวํ นพยาบาลถูกบงั คบั ใหใ๎ ช๎แรงงานหนกั ในชนบท บุคลากรในโรงพยาบาลจงึ ไมํคอํ ยมีใครรอด กลบั มาหลงั เขมรแดงล๎มสลายเพราะราํ งกายทนงานหนกั ไมไํ หว อกี ท้งั ชีวิตเลอื กท่จี ะอยกํู ับอนามัย เม่ือ เขมรแดงไมํมีใหจ๎ ึงไมเํ หลือ ๔. การบันเทงิ การบันเทงิ เรงิ รมย๑ ทงั้ ภาพยนตร๑ วงดนตรี นักร๎อง นักแสดง โขน ลเิ ก และ การละเลํนประกาศยกเลิกหมดสน้ิ นกั ร๎องทีม่ ชี ่อึ เสียงกอํ นเขมรแดงเข๎ายึดครองคอื สนิ สีสมุทร รส เสรสี ธุ า ปาน รน ถกู นาํ ไปสงั หารทนั ทีเพราะถอื วาํ หนุํ เชดิ ของจกั รพรรดินยิ ม

๘๒ เจา๎ นโรดม สหี นุไดก๎ ลําวทีก่ รุงปก๓ ก่ิงวําเขมรแดงต๎องการทาํ ลาย ๓ อยาํ งท่สี าํ คญั คือ ๑.ยบุ สถาบันกษตั รยิ ์ ๒.ยุบความนยิ มท้องถนิ่ (สนใจในลัทธิสากลกรรมาชีพเทํานั้น) ๓.ยบุ พทุ ธ ศาสนา ซงึ่ ท้ังสามอยํางน้ีพวกเขาได๎ทาํ สําเร็จอยาํ งรวดเรว็ เขมรแดงปกครองกมั พูชาจนถงึ วนั ท่ี ๗ มกราคม ๒๕๒๑ เปน็ เวลา ๓ ปี กับ ๘ เดือนจึงถูกกองทัพเวียดนาม และเฮงสัมรนิ ที่เคยเปน็ อดตี เขมรแดงแปรพักตรไ๑ ปอยกํู บั เวียดนามเข๎าโจมตแี ละยึดครองแทน ปรากฏวําชาวกมั พูชาเสยี ชวี ติ มากกวํา ๒ ลา๎ นคนเศษ เพราะถูกทรมาน นําไปสงั หาร อดอยาก ทาํ งานหนัก ๒.๑๐.๒ แดนประหารตวลเสลง เพ่อื ใหเ๎ ปน็ ไปตามแผนการทีต่ ั้งไวค๎ ือกาํ จดั นายทนุ ขนุ ศึก ศกั ดินาใหห๎ มดสิน้ จากสังคม กมั พูชาให๎กลายเป็นสังคมคอมมิวนิสต๑ทสี่ มบรู ณแ๑ บบ พวกเขาจงึ จดั ตั้งคกุ ทรมานนักโทษขนึ้ มาเรียกวํา คกุ เอส ๒๑ (S-๒๑) หรอื เรยี กงาํ ยๆวํา คกุ ตวลเสลง (Tuol Sleng) โดยดดั แปลงโรงเรยี นประถมในกรุง พนมเป็ญ อนั ประกอบด๎วยอาคารเรียน ๓ ชัน้ ๓ หลงั เป็นคกุ ทรมานนักโทษ ผท๎ู ีอ่ ยํใู นบัญชรี ายชอ่ื ถกู สังหารเม่อื ยึดกรงุ ไดค๎ ือ ๑.ประธานาธบิ ดี ลอนนอล บนิ หนไี ดก๎ อํ น ๑ สัปดาห๑ ๒.นายกรฐั มนตรลี อง โบเรต ถกู จับได๎นําไปสังหารทันที ๓.รองนายกรัฐมนตรเี จ้าสิริมาตะ ถูกจับไดแ๎ ลว๎ นาํ ไปสังหารทันที ๔. นายพลเฟอร์ นนั เดช ผูบ๎ ัญชาการทหารบกหนไี ปได๎ ๕.นายพลสดุ สาคร รฐั มนตรกี ลาโหมหนีไปได๎ กอํ น ๖.สมเดจ็ พระสังฆราช (อวดตาท) ถกู นําไปสังหารท่ีเมืองอุดงค๑ สํวนนักการเมอื งท่หี นีไมทํ นั สํวน ใหญนํ ํามาสบื สวนและนําไปสังหารทบี่ ึงเจืองเอก ๗ กิโลเมตรจากกรงุ พนมเปญ นอกจากนักการเมอื งที่ สาํ คัญแลว๎ ประชาชนธรรมดา พระสงฆ๑ ขา๎ ราชการสมัยรัฐบาลเกาํ ทัง้ ทหาร ตาํ รวจ ครู หมอ พยาบาล เป็นบุคคลกลมํุ ตอํ มา ในชํวงปลายของการปกครอง คือพ.ศ.๒๕๒๐-๒๕๒๑ เม่อื เขมรแดงกาํ จดั เส้ยี นหนาม หมดแล๎ว เรมิ่ หันมาเลํนงานพวกเดยี วกนั ดว๎ ยการยัดข๎อหาแปรพกั ตร๑ เอาใจออกหาํ ง ปรากฏมี นักการเมอื งฝุายเขมรแดงเองที่ถกู นําไปสงั หารโหดเพราะข๎อหานี้ อกี ท้งั ขดั ใจพอล พตด๎วย เชนํ ๑. วอนเวต รองนายกรฐั มนตรี และรฐั มนตรกี ารสอ่ื สาร ถกู นํามาสอบสวนทรมานทคี่ กุ ตวลเสลง ในกรุง พนมเปญ จากนัน้ ถกู นาํ ไปสังหารกอํ นที่เขมรแดงจะลํมสลายเพียง ๗ วนั ๒.ฮนู มิ (เกิด ๒๕ กรกฎาคม ๒๔๗๓ เสยี ชีวิต ๖ กรกฎาคม ๒๕๒๐) รัฐมนตรกี ารประชาสัมพันธ๑ แตพํ วั พนั กบั กลํมุ ทหารที่จะแปร พกั ตรท๑ างดา๎ นเหนอื จงึ จับขงั ทรมานและสงั หารทคี่ กุ ตวลเสลง ๓.ฮูยวน (เกิด พ.ศ.๒๙๗๓ เสยี ชวี ติ พ.ศ.๒๕๑๘) ท่ีปรึกษาพิเศษของพอลพต เขาคดั คา๎ นการอพยพคนไปชนบทจึงถูกพรรคส่งั จับและนําไป สงั หาร นกั โทษที่นํามาสืบสวนทค่ี กุ น้มี ีจํานวน ๑๖,๐๐๐ คน ไมํมรี ายใดรอดชีวติ ไดเ๎ ลย แตใํ ชวํ าํ จะไมํ มคี นโชคดี ยงั มอี ีก ๑๔ คนท่ีรอดตายเพราะความสามารถท่โี ดดเดนํ เขมรแดงจงึ เล้ยี งไวใ๎ ชง๎ าน คือ ๑.บูเม่ง (เกิดพ.ศ.๒๙๘๔) นักวาดภาพฝมี อื ชนั้ ครู ถูกนําไปวาดภาพพอลพตจึงรอดตาย ๒.วันนาถ นัก จรญั โยบรรยงค๑, ล้างชาติเขมร, (กรงุ เทพฯ: กรุงสยามการพิมพ,๑ ๒๕๒๒), หน๎า ๕๐.

๘๓ วาดภาพและแกะสลกั รอดตายเพราะวาดภาพและแกะสลกั รปู ป๓นพอลพต เขามีรายช่อื ถกู ลังหารแล๎ว แตผํ คู๎ ุมขดี เส๎นใต๎รายชื่อแลว๎ เขยี นไว๎วําเก็บรกั ษาไวส๎ กั ระยะ ๓.ชมุ ม่ัน (เกดิ พ.ศ.๒๔๗๖) ชาํ งเครอ่ื ง ซํอมรถยนตแ๑ ละไฟฟาู ๔.รุยนาคง ๕.เลมจนั ๖.เฮง นาถ ๗.ปานถนั จนั ๘.องึ เพชร เปน็ ตน๎ นบั เปน็ โศกนาฏกรรมที่นําสลดใจทสี่ ดุ ในประวัติศาสตร๑กัมพชู า ๒.๑๐.๓ การสงั หารสมเด็จพระสงั ฆราช (ฮวด ตาท) สมเด็จพระสังฆราช สุเมธาธิบดี (ฮวดตาด) (Huot Tat) เปน็ สงั ฆนายกฝุายมหานิกาย ทาํ น เกิดเมือ่ วันที่ ๑๒ เดือนกันยายน พ.ศ.๒๔๓๔ (๑๘๙๑) บรรพชาทว่ี ดั พระตะบอง และอปุ สมบทที่วัดใน พระตะบอง พ.ศ.๒๕๑๒ (๑๙๖๙) จากนั้นได๎มาเปน็ ครูสอนบาลใี นกรุงพนมเปญ ไดร๎ บั การแตํงตั้งเป็น สมเดจ็ พระโพธวิ งศ๑ จากนน้ั ได๎รบั การแตงํ ตัง้ ตอํ จากสมเด็จพระสงั ฆราช (จวน ณาต) เป็น สมเดจ็ พระสงั ฆราช สเุ มธาธบิ ดี (ฮวด ตาท) ในปพี .ศ.๒๕๑๒ วนั ที่ ๑๗ เมษายน หลังเขมรแดงไดย๎ ึดครองพนมเปญไดแ๎ ลว๎ ทาํ นและผตู๎ ดิ ตามถกู ทหาร เขมรแดงนาํ ข้ึนรถยนตน๑ าํ ไปทีเ่ มืองอดุ งค๑ (อดุ มมีชัย) จากน้ันนําทํานลงจากรถ ถกู ทุบตี มัดมือตดิ ต๎นไม๎ ในท่ีสดุ ถกู สงั หารท่วี ัดปราง เมอื งอดุ งคใ๑ นวันท่ี ๒๑ เมษายน ๒๕๑๘ ผส๎ู อื ขาํ วเวยี ดนามรายงานวาํ ทาํ น ถกู มดั ตดิ กับรถแทรกเตอร๑ลากไปตามถนนในเมอื งอุดงค๑ มรณภาพอยาํ งสยดสยอง ในวันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๑๘ ท่เี ขมรแดงทาํ กับทํานอยํางนั้นดว๎ ยจดุ ประสงค๑ ๒ อยาํ งคือ ๑.เพราะคิดวาํ การ ทาํ ลายผน๎ู าํ สูงสดุ ของพุทธศาสนาแลว๎ จะทําลายพทุ ธศาสนาไดง๎ าํ ย แล๎วปลกู ฝง๓ ลทั ธคิ อมมิวนิสต๑เข๎า แทน ๒.เพอื่ เปน็ การเขียนเสอื ให๎ววั กลัว พระภิกษุสามเณร และชาวบ๎านจะได๎เกิดความเกรงกลวั ไมํ กลา๎ ตํอต๎านระบบการปกครองใหมํ นอกจากพระสงั ฆราชแล๎วยังมีพระสงฆ๑ผู๎ใหญอํ ีกหลายรปู เชํน พระธรรมลิขติ พระวนั รัต พระโพธิวงศ์ ได๎ถูกสังหารไลํเลย่ี กนั นบั แตยํ ึดพนมเปญได๎ ๒.๑๐.๔ การทําลายพทุ ธศาสนาของเขมรแดง ในยุคท่เี ขมรแดงปกครองจงึ เปน็ ยคุ ทีพ่ ทุ ธศาสนาถกู ทําลายอยาํ งถอนรากถอนโคน เพราะ ทฤษฎี ของคารล๑ มาร๑คเข๎าไมไํ ดก๎ ับพุทธศาสนา และไมเํ หน็ ดว๎ ยกับคําสอนทางพทุ ธศาสนาหลายอยาํ ง คอมมิวนิสตม๑ องวํา พุทธศาสนาสอนใหง๎ อมืองอเทา๎ ไมอํ อกแรงงาน หวังลมๆ แล๎งๆในโลกหน๎า เช่อื เร่ืองนรกสวรรค๑ สิง่ เหลาํ น้ีเป็นตวั ขดั ขวางการปฏิวตั ิชนชนั้ กรรมาชีพอยาํ งแทจ๎ รงิ พวกเขายงั มองวํา พระสงฆ๑เป็นกาฝากสงั คมอยํางแท๎จรงิ เพราะไมอํ อกแรงงานแตํอาศัยชาวบ๎านเขากนิ เหมือนปลิงท่ีดูด เลือดจึงต๎องถูกกาํ จัดทงิ้ จากสังคม แมน๎ ายเอียงสารี รฐั มนตรกี ระทรวงการตํางประเทศของเขมรแดง ประกาศให๎ชาวโลกรู๎วาํ “ประชาชน กมั พูชา มีสทิ ธ์อิ ันชอบธรรมในการนับถอื ศาสนาใด ศาสนา หนึง่ และพวกเขามีสทิ ธ์ิ อนั ชอบธรรมท่ีจะไม่นบั ถือศาสนาและลัทธิใดๆ” แตํนัน้ เป็นเพียงลมปากของเขมรแดง เพราะในความเป็นจรงิ พวกเขากาํ ลังทําลายพทุ ธ ศาสนาอยํางเป็นระบบเพอ่ื ถอนรากถอนโคนให๎สิน้ ซาก เพราะเรยี นกนั มาอยาํ งฝ๓งหวั วํา “ศาสนาคอื ยา

๘๔ เสพติด” หรอื “พวกพระคอื กาฝากสงั คม\" จงึ ไมํแปลกใจที่เขมรแดงได๎อํานาจแล๎วจึงทําลาย องคป๑ ระกอบหลักของศาสนาคือ ๑.ศาสนบคุ คล พระสงฆ๑ถูกนําไปสงั หาร ถกู จับสกึ บงั คับให๎ใช๎แรงงาน เหมือนชาวบา๎ น ถ๎าไมทํ าํ ตามจะถูกสงั หารทันที ๒.ศาสนธรรม พระไตรปิฎกฉบบั กัมพูชา และคมั ภีร๑ ทางพทุ ธศาสนาที่อยูในรูปแบบของใบลานและหนังสอื ได๎ถูกเผาท้งิ ๓.ศาสนสถาน วดั ทางพุทธศาสนา เชํน อโุ บสถถกู เปลีย่ นเป็นท่ีเก็บขา๎ วสารของหมูบํ ๎าน ใช๎ลานวดั เป็นทป่ี ระชมุ ศาลาวัดจากเดิมเคยเปน็ ท่ี ฟูงธรรมกลายเปน็ ท่รี วบรวมชาวบ๎านมาอบรมตามคาํ สงั ฃององคก๑ าร๑ พระพุทธรปู ถกู ทุบทิ้ง ถา๎ เปน็ ทองเหลอื งหลอมละลายไปใชป๎ ระโยชน๑ดา๎ นอ่นื ๔.ศาสนพธิ ี เมอ่ื ปลดปลํอยแลว๎ หา๎ มมกี ารประกอบ ศาสนกจิ โดยเดด็ ขาดเพราะถอื วําเปน็ การงมงายอยํางย่งิ เสียเวลาปลกู ผัก ทาํ นา ผูใ๎ ดยังบชู าแสดงวาํ ยัง ไมเํ ปลีย่ นพฤตกิ รรมอาจจะถูกสงั หารได๎งําย ดังนน้ั จาํ นวนพระสงฆก๑ อํ นเขมรแดงปกครองมีถงึ ๖๐,๐๐๐ รูป เวลาผํานไป ๓ ปีเศษ ผ๎ูที่ ยงั พยายามอยํแู บบพระโดยไมํยอมสละเพศจะถูกสงั หาร เชนํ ๑. พระสินอูม เจา๎ อาวาสวัดรตั นมนุ ี จงั หวัด ไพรเวียง ซึง่ เคยสนับสนุนพอลพตในยุคทีท่ ําสงครามตํอตา๎ นเจ๎านโรดม สหี นุ และลอนนอล ถกู ทุบตีและนําไปใช๎แรงงาน โชคดีทํานหลบหนีมาถึงชายแดนไทย จึงรอดชีวติ ปจ๓ จุบันทํานมอี ายุ ๘๒ ปี ทํานเปิดใจภายหลังวาํ คดิ ผดิ ทชี่ วํ ยเหลือเขมรแดงมา ๒. พระอาจารยป์ รก เจ๎าอาวาสวัดคมั โพธ์ิ ถูก บังคับให๎เปล่ยี นผา๎ ให๎ใสํเสอื้ ผา๎ เกําๆ แล๎วไปใชแ๎ รงงาน ทาํ นมรณภาพเพราะความเหนอ่ื ยล๎าและอด อาหาร ๓. พระวนิ ัยรักขิต สทุ ธสีโล วัดวจิ ิตราราม ๑๖ กิโลเมตรจากกรุงพนมเปญ เขมรแดงไดบ๎ ังคับ ให๎ทาํ นลาสิกขา ทํานไมยํ อม พวกเขาจงึ เอาทํอนเหล็กทบุ ทาํ นจนมรณภาพ พรอ๎ มพระลูกวดั ๑๔ รูป และเดก็ วดั อีก ๒ คน เมอ่ื ระบบเขมรแดงลมํ สลายจึงมกี ารขุดหลมุ ศพทํานมาทาํ การฌาปนกิจอีกครั้ง หนึ่ง ทจี่ ังหวดั เสียมเรียบ(เสียมราฐ) ใกลพ๎ รมแดนไทยมีวัดมากกวาํ ๑๗๘ วดั และพระสงฆแ๑ ละ สามเณร ๔,๘๐๐ รปู เมอื่ เขมรแดงยึดครองได๎แลว๎ ถกู ขับออกวดั ทง้ั หมด แลว๎ ใหใ๎ ชช๎ ีวิตแบบฆราวาสให๎ ใชแ๎ รงงานเหมอื นคนทวั่ ไป พระติช ปาน อดีตเจา๎ คณะจังหวัดเสยี มเรยี บถกู บังคับให๎สึกแลว๎ ให๎เลย้ี งไกํ และทาํ งานหนกั ขณะนนั้ ทํานอายุ ๗๘ ปี ทาํ นมรณภาพ พ.ศ. ๒๕๒๐ ในสภาพของฆราวาสที่ผอมแห๎ง ทจ่ี งั หวดั พระตะบอง เมอ่ื เขมรแดงเข๎ามาถงึ ไดใ๎ บปลวิ โฆษณาชวนเช่ือโดย การลงนามของ เจ๎าคณะจงั หวดั คอื พระครูบุน สมเพียจ ซึง่ เป็นพระนักวชิ าการทางภาษาบาลี และเปน็ ท่เี คารพนับถอื ของชาวจังหวัดพระตะบองวาํ “ขอให๎ทหารและประชาชนทุกคนวางอาวุธลง และเข๎าข๎างเขมรแดง สงครามจบแลว๎ ” และทนั ทที เี่ ขมรแดงยดึ จงั หวัดบดั ดาบอง กไ็ ด๎แยกพระสงฆอ๑ อกเปน็ สองฝาุ ย คือ Howrd J Delike, Genocide in Cambodia, (Bangkong: O.S .orienting2009),p 362. พระศรปี ริยตั ิโมลี (สมชัย กสุ ลจิ ตฺโต), พุทธทัศนะร่วมสมัย, (กรุงเทพฯ: โรงพมิ พ๑มหาจฬุ าลงกรณ ราช วิทยาลัย. ๒๕๙๐), หนา๎ ๒๙.

๘๕ พระสงฆ๑ภาคมูลฐานหรือพระสงฆ๑เจา๎ ถนิ่ ทอี่ ยูชํ นบทกบั พระสงฆเ๑ มอื งหลวง กลําวคอื พระสงฆ๑ธรรมดา กับพระสงฆ๑ทมี่ ีตําแหนํงเป็นพระผใ๎ู หญํ โดยพระสงฆ๑ท่มี ีตําแหนํงนับแตเํ จา๎ คณะอาํ เภอขน้ึ ไปจนถงึ ระดบั สูงสุด เชนํ พระครบู นุ สมเพียจ พระครูจานนี วดั แกว๎ พระครแู กว๎ สร๎าง วัดกําแพง เป็นตน๎ ถูก กลาํ วหาหลายคดี แลว๎ นาํ ไปสังหารชวี ติ อยํางโหดเห้ียม จากบทความของพระมหาฮุก สาวนั ระบวุ ํา พระครบู นุ สมเพยี จ ถกู เขมรแดงจบั สกึ แล๎ว สง่ั ใหข๎ ดุ ดนิ ฝ๓งตวั เอง ทแี่ บกจานใกล๎สนามบินจังหวัดพระตะบอง ซง่ึ ขณะนั้น ทํานมีตาํ แหนงํ เป็น พระราชาคณะชัน้ หน่ึง เปน็ เจ๎าคณะจงั หวดั และเปน็ อดตี สมาซิกชําระพระไตรปิฎก สํวนพระครูเสก เนียง ซึ่งเปน็ ศาสตราจารย๑ภาษาบาลปี ระจาํ พทุ ธิกมหาวทิ ยาลัยพระสหี นุราช พนมเปญและเป็นอดีต สมาชิกชําระพระไตรปิฎกเชํนกันถูกเขมรแดงจบั สกึ และบงั คับให๎แตํงงานกับสตรีคนหนงึ่ ทีจงั หวัดไพร แวง แตํเน่ืองจากทํานบอกสตรีคนนน้ั วาํ จะนบั ถอื กันเปน็ พน่ี ๎อง โดยไมํจาํ เปน็ ต๎องมเี พศสมั พนั ธก๑ นั เร่ืองของทํานได๎เผยเขา๎ หเู ขมรแดง ทาํ นจึงถกู นาํ ไปประหารชวี ติ โดยทาํ นไดข๎ อร๎องกํอนจะหมดลม หายใจวาํ “ขอเอาผา้ จีวรคลุมหลมุ ฝังศพ” พระมหาอกุ สาวัน ยังกลาํ วตํออกี วํา ทกุ วนั นไ้ี ดค๎ ๎นพบ หลุมฝง๓ ศพทาํ นแล๎ว และไดเ๎ อาอฐั ธิ าตมุ าประกอบพธิ ีกรรมทางศาสนา สมเด็จพระสังฆราช (เทพวงส๑) ได๎เลําเหตุการณ๑ขณะท่ที าํ นเปน็ รองเจา๎ อาวาสวดั ราชโบณ๑ และเปน็ พระวนิ ยั ธร จงั หวดั เสียมเรยี บวํา ขณะทเี่ ขมรแดงยึดได๎เมืองสาํ คญั ๆ สามวันตอํ มาได๎เกณฑ๑ พระสงฆแ๑ ละประชาชนมากกวาํ ๕,๐๐๐ คน มาประชุมที่นครวัด พระสงฆถ๑ กู แยกเปน็ ๒ สํวน คือ พระสงฆใ๑ นตวั เมอื งและพระสงฆ๑อสิ ระ (เป็นพระสงฆท๑ ่ีมีสวํ นรํวมในการปฏวิ ัตหิ รือเปน็ พระสงฆ๑ทีอ่ ยํู ชนบท) ซึง่ เปน็ แกนนําสําคัญของเขมรแดงกลําววํา “ยกเลิกนับถอื พระพุทธศาสนา” หลังการประชมุ พระเทพวงษแ๑ ละพระสงฆ๑อีกหลายรูป ถกู สั่งไปอยชํู นบท และพระครปู จุ ปนุ เจา๎ อาวาสวัดเกสราราม (เป็นเจ๎าคณะจังหวัดเสียมเรียบในสมยั พระราชอาณาจักรกมั พูชา มรณภาพในปี ค.ศ. ๒๐๐๕) ได๎เขา๎ รวํ มประชมุ ครัง้ นด้ี ว๎ ย นอกจากนใ้ี นที่ ประชุม ยงั มีการปรารภถึงวันครบรอบแหํงชัยชนะ มีการบันเทิง แลว๎ มีพระสงฆ๑สวดชะยันฺโต ตํอมา พระถกู ขับไลอํ อกจากวดั พระที่ขัดขนื กถ็ ูกยิงมรณภาพหนา๎ โบสถ๑ สํวนพระทีม่ ีอายุพรรษามากได๎รบั การเหยียดหยาม ดหู มิน่ ในชํวงระยะเวลา ๓ ปคี รงึ่ ท่เี ขมรแดงปกครองประเทศ พระพทุ ธศาสนาได๎ถกู ยกเลกิ การนับถือ พระสงฆ๑ถกู บงั คบั สึกและแตงํ งาน และทส่ี ุดถูกฆํา ดังกรณีเกดิ ขนึ้ กับอดตี สมาชิก คณะกรรมการชาระพระไตรปิฎก คือ ๑. สมเดจ็ พระธรรมลขิ ติ (ลาส ฬาย Las Lay) หลงั จากเขมรแดงเขา๎ มาแลว๎ ทํานถกู จับ สกึ แลว๎ ถกู บงั คับให๎แตํงงานกบั ผห๎ู ญงิ ท่ีทาํ นไมํเคยรจ๎ู กั แตโํ ชคดีท่ีทํานรอดตายมาไดจ๎ นถึงปจ๓ จุบนั พระมหาดาวสยาม วชิรป๓ญโญ, ดร., พระพุทธศาสนาในกัมพชู า, หนา๎ ๑๐๔.

๘๖ ๒. สมเดจ็ พระมหาสุเมธาธิบดี (นน แหงด) ทาํ นถูกบงั คับสึกแล๎วให๎นุงํ ผา๎ ดําเหมือนชาว เขมรแดง จากนนั้ มหี นา๎ ทีต่ ดั ต๎นไม๎ และทําการวิดนํ้าเข๎านา ถูกทุบตีทรมานหลายคร้งั โชคดที ี่ทํานรอด กลับมาได๎ จนไดไ๎ ด๎รับการอปุ สมบทใหมํ ปจ๓ จุบนั ทาํ นเปน็ สมเดจ็ พระสงั ฆราชแหงํ กมั พชู าฝุาย มหานกิ าย จําพรรษาทว่ี ัดอณุ ณาโลม กรงุ พนมเปญ ๓. พระครมู หาธรรมญาณ (ชวนเออื้ ) วดั พะเทียะกณั ดาล จงั หวัดกัมปงจาม ไมํไดร๎ บั ลงโทษแตํอยํางใด เพราะเขมรแดงเปน็ ลกู หลาน และทาํ นสามารถส่งั สอนใหย๎ กเลกิ การลงโทษ ประชาชน แตํลูกหลานเขมรแดงภายหลงั ได๎ถูกลงโทษโดยองคก๑ าร๑ (องค๑กร) เพราะขัดคาํ สง่ั ๔. สมเดจ็ พระสังฆนายกที่ ๓ (เฮงเลยี งโฮ) อดีตสมาชิกคณะกรรมการชําระพระไตรปฎิ ก ถูกจบั สึกพร๎อมพระรูปอ่นื ๆ หลังจากสึกแลว๎ ทหารเขมรแดงมาขอเอาผ๎าจีวรมาทาํ เป็นผา๎ ปูนอน แตํ ทํานปฏเิ สธแลว๎ เอาผา๎ ขาวมาย๎อมสีดาํ เพอื่ ใหส๎ อดคลอ๎ งกับเสอื้ ผ๎าสดี าํ ซ่ึงเปน็ เครอื่ งหมายขององค๑การ ปฏิวตั เิ ขมรแดง ๕. พระอุดมมนุ ี (อุ๎ม ส๎ม) ฉายา ธมมฺ วินยรกฺขโิ ต วัดสาละวนั กรุงพนมเปญ อดตี สมาชิก กรรมการชาํ ระพระไตรปฎิ ก ถูกบงั คับให๎เล้ียงวัวเล้ียงควาย และเกบ็ ข้วี ัวขีค้ วายมาทําเป็นป๋ยุ ทาํ นถูก ทหารเขมรแดงเยาะเย๎ยวําถูกพระพุทธศาสนาหลอกใชม๎ าถึง ๓๙ ปี และพระพทุ ธศาสนาก็ไมํได๎ให๎อะไร เลย และชวํ ยอะไรไมํได๎ ทาํ นจึงต๎องทนอยํอู ยํางตรอมตรม แตํยังโชคดที รี่ อดมาได๎ กลับมาบวชใหมํ ปจ๓ จุบันมรณภาพแล๎ว ถงึ ปี พ.ศ.๒๕๒๑ นายยุน ยัด รฐั มนตรีกระทรวงวฒั นธรรมของเขมรแดงได๎ บอก แกนํ ักขาํ วชาวเชโกสโลวเกียวาํ “พทุ ธศาสนาในกมั พูชาได้ตายสนทิ แลว้ ” อนั เป็นการบํงบอก เจตนาอยํางแทจ๎ รงิ ของเขมรแดงเปน็ อยาํ งดี ซึง่ ก็ไมแํ ปลกเพราะพวกเขาตั้งใจทําลายทุกวิถีทาง เขมร แดงปกครองกมั พูชาอยาํ งปุาเถอ่ื นโดยที่ไมมํ รี ฐั บาลประเทศไหนจะไลํฆําประชาชนของตนเองมากอยาํ ง นื้มากํอน ถึง พ.ศ.๒๕๒๑ เม่อื กองทพั เวียดนามเข๎ารกุ ราน ขบั ไลํเขมรแดงออกจากกมั พูชาสาํ เร็จ รวม เวลาท่ีเขมรแดงปกครองประเทศ ๓ ปี ๘ เดือน ๒๐ วัน เหลอื พระสงฆ๑ไมถํ ึง ๑๐ รูปอาศยั อยํูใน ประเทศ สวํ นวดั ไดก๎ ลายเปน็ ยงุ๎ ฉางเกบ็ ขา๎ วเปลือกนบั เป็นยคุ มดื ทางพทุ ธศาสนาอยาํ งแท๎จรงิ บทสรุป สถานการณข๑ องพุทธศาสนาในยุคเขมรแดง นับไดว๎ าํ เป็นยคุ มดื ที่สดุ ของประวตั ิศาสตร๑ พระพุทธศาสนาในกัมพูชา เพราะถกู ทําลายอยาํ งยอํ ยยับท้งั ในดา๎ นศาสนสถาน ศาสนบุคคล ศาสนพธิ ี ศาสนธรรม จนดูเหมอื นวําจะฟน้ื ฟไู มไํ ดแ๎ ลว๎ การศกึ ษายงิ่ ไมํต๎องกลาํ วถงึ เพราะลําพังเอาตัวเองใหร๎ อด นับวําบญุ มากแล๎ว แตยํ งั โชคดีทรี่ ะบบการปกครองของเขมรแดงอยํูไดเ๎ พียง ๓ ปีครง่ึ เทําน้นั โดยไมกํ ล๎า คดิ วาํ ถา๎ เขมรแดงปกครอง ตํอเนอ่ื งมาจนถึงป๓จจุบันจะเกดิ อะไรขึ้นกบั ชะตากรรมของพุทธศาสนาและ ชาวเขมรโดยทัว่ ไป เกยี่ วกบั เร่ืองน้ีชาวกัมพชู าหลายคนพูดขึน้ โดยไมํได๎ลังเลวํา ถา๎ เปน็ เชํนนนั้ จรงิ “จะ ไม่เหลือชาวกัมพชู าในโลกน้ี เวน้ แต่พอลพต” ซง่ึ สะท๎อนพฤติการณ๑ของระบบเขมรแดงเป็นอยาํ งดี

๘๗ อีกท้งั พระพทุ ธศาสนาได๎ฝ๓งรากลึกในจิตใจของชาวกัมพูชามานานกวําพนั ปี จงึ ไมํใชํเร่อื งงํายทจี่ ะมา ทาํ ลายภายในไมํกี่ปี ถึงจะถกู ทาํ ลายไป แตจํ ิตใจท่มี ศี าสนา หลอํ เล้ียงยงั รอเวลาทีจ่ ะฟ้ืนฟูอกี ครงั้ หน่งึ ๒.๑๑ พุทธศาสนาสมัยเวยี ดนาม-เฮงสมั รนิ พ.ศ.๒๕๒๐-๒๕๓๕ กํอนหนา๎ ทเ่ี วียดนามจะยกกาํ ลังทหารเข๎าโจมตีและยดึ ครองกมั พูชาน้ัน รฐั บาลกัมพชู าของ พอลพตและเวยี ดนามมเี รื่องขดั แยง๎ ด๎านพรมแดนกันบํอย แมท๎ ง้ั สองประเทศจะปกครองระบบ คอมมวิ นิสต๑ด๎วยกนั แตคํ นละขัว้ กลําวคอื เวียดนามมโี ซเวียตสนับสนุน สวํ นเขมรแดงมจี นี เปน็ ฝุาย หนุนหลงั กมั พชู าจงึ สํงกําลงั ทหารเข๎าโจมตีจดุ ท่ขี ดั แย๎งกันบํอย เวยี ดนามไดแ๎ ตตํ อบโต๎ แตไํ มํได๎กํอ สงครามเต็มรูปแบบ เมื่อทนไมไํ หวในที่สดุ วันที่ ๒๕ธนั วาคม พ.ศ.๒๕๒๑ คอมมวิ นสิ ตเ๑ วยี ดนามได๎ โจมตีกมั พชู า เพ่อื ขบั ไลเํ ขมรแดงออกไป แล๎วเขา๎ ยดึ ครองแทน ได๎มชี าวกัมพชู าเขา๎ รวํ มกบั เวียดนามนาํ โดย นายเฮงสมั รนิ นายเจยี ชมิ นายฮนุ เซน นายเพญ็ โสวนั ผน๎ู าํ เหลํานถ้ี กู ทหารเรยี กขานวําฝุาย เฮงสัมริน ล๎วนเคยเป็นกองกาํ ลงั เขมรแดงมากํอน ตํอมาองคก๑ าร๑เร่มิ จบั ตามองเพราะเริ่มมีใจออกหําง เม่ือเหน็ วาํ ตนเองจะเปน็ อันตรายจึงได๎นํากาํ ลังทหารราว ๒,๐๐๐ นาย ไปเข๎ารํวมกบั เวยี ดนามในปพี .ศ. ๒๕๒๐ จากนัน้ ยังได๎รวบรวมชาวเขมรท่หี นีภยั เขมรแดงมาเวียดนามมาเปน็ ทหารรวมท้ังส้นิ ๓๐,๐๐๐ นาย รวมทหารเวียดนาม ๒๐๐,๐๐๐ นาย บุกเข๎าโจมตกี มั พชู าอยาํ งสายฟาู แลบ เพียง ๗ วนั เทํานัน้ ก็ สามารถยดึ กรงุ พนมเปญได๎ การท่ีเวียดนามรกุ รานกมั พูชาทาํ ให๎จนี ไมํพอใจมาก จึงสํงกาํ ลงั ทหารเข๎าโจมตชี ายแดน เวียดนามและสามารถยดึ ครองได๎หลายจงั หวัด แตํไม นํ านถอนทหาร จีนเรยี กสงครามคร้งั น้วี าํ “สงครามสง่ั สอน” ๒.๑๑.๑ การฟ้นื ฟูพุทธศาสนา ในเบื้องต๎นเวยี ดนามเขม๎ งวดทางศาสนามาก ไมอํ นญุ าตให๎บวชใหมํ มกี ารอนุญาตให๎บวช ไดเ๎ ฉพาะทมี่ หี ลักฐานวําได๎เคยบวชมากอํ นแลว๎ ถกู จับสึกในสมัยเขมรแดงเทาํ นั้น และอนญุ าตให๎บวชได๎ เฉพาะผม๎ู ีอายุ ๖๐ ปขี ึ้นไป โดยอ๎างวาํ รฐั บาลยงั ตอ๎ งการผ๎ูชายเพอื่ ไปสร๎ู บกับเขมรแดงอยํู ถา๎ เขา๎ มาบวช กันหมด จะทําใหป๎ ระเทศไมํมพี ลัง แตใํ นความเปน็ จริง รฐั เองตอ๎ งการควบคมุ คณะสงฆ๑อยํางเขม๎ งวด ไมตํ อ๎ งการใหพ๎ ุทธศาสนา เจรญิ ขน้ึ มาตามทฤษฎีมารค๑ -เลนนิ นอกจากน้ันรฐั บาลยงั ใหพ๎ ระสงฆ๑ทกุ รูป ต๎องศกึ ษาลทั ธิการเมอื งดว๎ ย แตํพ.ศ.๒๕๒๒ (๑๙๗๙) เริ่มมีการผอํ นผนั พระสงฆช๑ ดุ แรกทีได๎รบั การอุปสมบท จาก พระสงฆเ๑ วยี ดนาม นิกายเถรวาทนาํ โดยทาํ นตชิ เบาโจน อดตี พระชุดแรก ๗ คนได๎รับการคดั เลอื กดว๎ ย คณุ สมบัตคิ อื ไมํไดแ๎ ตงํ งานสมัยเขมรแดงยงั รักษาพรหมจรรยไ๑ ด๎ คือ อา๎ งแลว๎ , พระมหาดาวสยาม วชริ ปญ๓ โญ, ดร., พระพุทธศาสนาในกมั พชู า, หนา๎ ๑๐๗. เรือ่ งเดยี วกนั หนา๎ ๑๐๘.

๘๘ ที่ ชือ่ ฉายา นามสกลุ ช่อื ภาษาองั กฤษ อายุ จังหวัด ๘๒ กําปงธม ๑ พระเกิดวาย Koeut Vay ๖๗ ตาแกว๎ ๕๕ กัณดาล ๒ พระปรกั ดิต Prak Dith ๕๕ ตาแก๎ว ๕๕ ตาแก๎ว ๓ พระดิน สารน Din Sarun ๕๔ ไพรแวง ๔๗ เสียมเรียบ ๔ พระอ๊ิด สมุ๎ Et Som ๕ พระนน แหงด Nuon Nget ๖ พระแกนวงษ๑ Kaen Vogn ๗ พระเทพวงษ๑ Tep Vong ๒.๑๑.๒ สมเด็จพระสงั ฆราชเทพวงษ์ สมเด็จพระสงั ฆราชเทพวงษ๑ ( Somdech Preah Sangharaja Tep Vong) พระเถระทาํ น น้ีเกิดพ.ศ.๒๔๗๕ (๑๙๓๒) ที่จังหวัดตาแกว๎ จากนน้ั ได๎รบั การอปุ สมบท พ.ศ.๒๕๒๒ เปน็ รองเจ๎า อาวาสวัดราชบรู ณะ(ราชโบว๑) จังหวดั กําปงชนงั เมื่อเขมรแดงไดย๎ ึดครองกมั พูชาแลว๎ ทาํ นถูกจับสึก แล๎วแตํงชุดฆราวาสไปทํางานหนักกบั ชาวบา๎ นทัว่ ไป ทํานกลาํ ววาํ “วันที่ ๖ พฤษภาคมปี ค. ศ. ๑๙๗๕ ฉันถกู สงั่ ให๎ออกจากวัด เดินทางไปอําเภอชีแกรง หลงั เดินทางสามวนั สามคืน ถูกบังคบั ใหท๎ ํางานหนักที่ วัดฤษเี ลจ ตํอมาเปลยี่ นมาทวี่ ดั สรองจา และวัดกะบาลดําเรย๑ (วดั หัวช๎าง) อําเภอพอนไลย๑ จังหวดั เสียมเรยี บ ฉนั ทาํ งานเหมอื นทาส และถูกสอบสวนอยาํ งสาหสั ปี ค.ศ. ๑๙๗๖ พวกเขาถอดผา๎ จีวรฉนั ออก แล๎วเอาชดุ ทหารมาให๎ ฉันไดร๎ บั ความทกุ ข๑แสนสาหัสเกนิ จะทน ตอํ มากถ็ กู นําไปใสคํ กุ ๘๔ วัน โดยไมํทราบเหตุผล ฉันกับเพอ่ื นอีก ๑๐๐ รูปพรอ๎ มท้งั น๎องชายของฉนั ชอ่ื พนมเปือนไดร๎ ับชะตากรรม คล๎ายๆ กนั ทุกๆ วนั เราไดร๎ ับความทรมานเพม่ิ ข้นึ ทกุ ที พวกเขาแบํงขา๎ วสารให๎ประมาณวันละ ๙๐๐ กรัม ตอํ คน ๔๐ - ๗๐ คน” ตอํ มาองค๑การจบั ไดว๎ ําทํานเคยเป็นพระจะนําตวั ไปสังหาร ทหารเขมรแดงมัดตามดั มอื ทํานไพลํหลงั แล๎วนําตวั ไปตอนกลางคนื เพอี่ เตรยี มจะนําไปสงั หารพร๎อมกบั นกั โทษ ๗ คน แตํทหาร เขมรแดงปะทะกับกองทหารเวียดนามกอํ นจึงทิง้ ทาํ นและนกั โทษอืน่ ๆ หลบหนี ทาํ นจึงรอดตายกลบั เขา๎ มาบวชอีกคร้ังโดยพระสงฆ๑เวยี ดนาม ในปีพ.ศ.๒๕๒๒ ขณะนนั้ ทาํ นมีอายุ ๔๗ ปี อีกสองปคี ือ พ.ศ.๒๕๒๔ (๑๙๘๑) รฐั บาลได๎แตงํ ต้ังทํานใหเ๎ ปน็ พระสงั ฆราชองคแ๑ รกในสมยั ของเวียดนามยึดครอง นบั วาํ ทาํ นเป็นสังฆราชต้ังแตํ ๒ พรรษา ป๓จจุบนั เป็นท่ปี รึกษาพระสังฆราชฝุายมหานิกาย พํานกั ที่วัด ปทุมวดี กรงุ พนมเปญ ตอํ มาไดม๎ อี ดตี พระสงฆเ๑ ข๎ามาขออปุ สมบทใหมํ ๓,๐๐๐ รปู พุทธศาสนาจึงได๎ เร่มิ พลิกฟน้ื ขน้ึ มาอกี ครัง้ หนง่ึ

๘๙ อยาํ งไรกต็ าม นโยบายของรฐั บาลเฮงสัมรนิ ทม่ี ีเวยี ดนามหนุนหลังได๎มีกฎระเบียบเครํงครดั ทางพทุ ธศาสนา คอื ๑.วดั หน่งึ ๆไมคํ วรมพี ระเกนิ ๔ รูป เพราะเศรษฐกจิ ยังไมํดพี อทจี่ ะเลีย้ งดูพระได๎ ๒.ผทู๎ ่ีจะบวชได๎ ต๎องเคยเปน็ พระมากํอน และมีอายุ ๕๐ ปี ข้ึนไป รฐั บาลอา๎ งวําต๎องการพลเมืองชาย ชํวยพัฒนาประเทศชาตแิ ละความม่ันคง ๓.คณะกรรมการแนวรํวมแหํงชาตจิ ะเป็นคนเก็บผลประโยชน๑ จากวัดเสยี เอง คอื เงนิ บริจาค ทงั้ หมดเพีอ่ นาํ ไปสรา๎ งโรงเรียนโรงพยาบาล สถานอนามัย เป็นต๎น การ ออกกฎระเบยี บ เหลําน้มี องได๎ ๒ ด๎าน มองในด้านบวก เพราะรัฐบาลเพิ่งเอาชนะเขมรแดงมาใหมทํ กุ อยาํ ง ถกู ทําลายหมด เศรษฐกิจยังโคมํา ประเทศยงั ต๎องการทหารเพอ่ื ไปรบกับเขมรแดงไมให๎ กลบั มา มอี าํ นาจอกี อีกท้ังโรงพยาบาลถกู ทําลายหมดส้นิ การรักษาพยาบาลจึงจาํ เปน็ อยาํ ง ยงิ่ ยวด มองใน ดา้ นลบ เปน็ การจํากัดความเจริญของพทุ ธศาสนา เพราะเวียดนามและ เฮงสัมรนิ เองยังเป็นพรรคที่ นิยมในลทั ธคิ อมมวิ นสิ ต๑ แตํไมสํ ดุ โตํงเหมอื นเขมรแดง จึงยังมแี นวโนม๎ จํากดั พุทธศาสนาไมํให๎มีบทบาท ในสงั คมอกี แตไํ มํได๎ทําลายลา๎ งให๎สญู สลายไปหมดเหมอื นเขมรแดง ข๎อจํากดั นีไ้ ดม๎ าถูกยกเลกิ ในปี พ.ศ.๒๕๓๒ จากนน้ั ยงั มีนโยบายเกย่ี วกบั พระสงฆอ๑ กี ๔ ข๎อคือ ๑.พระสงฆต๑ อ๎ งศึกษาและให๎ ความสาํ คัญแกลํ ทั ธกิ ารเมอื ง(คอมมวิ นสิ ต๑) ๒.พระสงฆ๑ต๎องอบรมตนและส่ังสอนประชาชนให๎เขา๎ ใจลทั ธิ การเมือง (คอมมวิ นิสต๑) ๓.พระสงฆ๑ตอ๎ งบาํ เพญ็ ตนเหมอื นพระศาสดา และเตรยี มพรอ๎ มในการตํอสกู๎ ับ ศตั รู ๔.พระสงฆ๑ต๎องรักษาสํงเสริมความรักชาติ และแนวปฏิบตั ิเหมอื นทํานเขมจีนและทํานมี จากการ ออกกฎระเบียบนแี้ สดงใหเ๎ หน็ วํา พวกเขายงั ตอ๎ งการให๎พระสงฆม๑ าสนบั สนุนในลทั ธกิ ารเมอื งของ ตนเอง พ.ศ.๒๕๒๕ สปี ีนับแตํเขมรแดงลมํ สลายไดม๎ ีการบูรณะซอํ มแซมวัดและศาสนสถานไปแลว๎ ๑,๘๒๑วดั มพี ระสงฆผ๑ เู๎ ข๎ามาบวชทัง้ สิน้ ๒,๓๑๑ รูปโดยเปน็ อดตี พระ ๘๐๐รูป พุทธศาสนาดเู หมอื นวาํ จะเร่มิ สํองแสงข้นึ อีกคร้ังในกัมพชู าแมจ๎ ะไมเํ หมอื นอดตี อันรงุํ เรอื ง พ.ศ.๒๕๓๒ พรรคประชาชนกัมพูชา นําโดยเฮง สมั ริน และอุนเซน ไดป๎ ระกาศใหพ๎ ระพุทธศาสนาเปน็ “ศาสนาประจาํ ชาติ” ใน รัฐธรรมนญู นับเป็นเรอ่ื งที่แปลกประหลาด ท่พี รรคคอมมวิ นิสต๑จะมายกยอํ งศาสนา แตํนักวิเคราะห๑ เชือ่ วาํ รัฐบาลทาํ ไปเพอี่ เอาใจพระสงฆ๑และและหาแนวรวํ มเพี่อเพมิ่ ความชอบธรรมให๎กับตนเอง ๒.๑๑.๓ พระมหาโฆษนนั ทเถระ (Mahaghosananda) พระเถระรปู น้มี บี ทบาทในการกลับไปฟนื้ ฟพู ทุ ธศาสนาในกมั พชู าหลงั สงครามกลางเมอื ง ยตุ ิลง ทาํ นเกิด พ.ศ. ๒๔๗๐ (๑๙๒๗) ทีบ่ ๎านชุมตา จังหวัดตาแกว๎ ในตระกลู ชาวนา ในขณะทเี่ ปน็ เด็ก ๘ ปี ทํานไดเ๎ ข๎ามาอาศัยในวดั ตํอมาได๎เกิดความสนใจในศาสนาเป็นอยาํ งมาก จากนัน้ อายุ ๑๔ ปี จงึ ไดโ๎ อกาสบวชเป็นสามเณร ไดม๎ ีโอกาสศกึ ษาภาษาบาลีแลว๎ ยา๎ ยไปศึกษาตํอทีพ่ ระตะบอง และกรุง พระมหาดาวสยาม วชิรป๓ญโญ, ดร., พระพทุ ธศาสนาในกมั พูชา, หนา๎ ๑๑๐.

๙๐ พนมเปญ ทํานบวชแลว๎ ไปจําพรรษาทลี่ ังกา กรุงพนมเปญ แลว๎ ฝากตัวเปน็ ศษิ ย๑กับพระสงั ฆราช (จวน ณาต) สังกดั มหานกิ าย ปีพ.ศ. ๒๕๐๘ (๑๙๖๕) ได๎ไปศกึ ษาตํอท่มี หาวิทยาลยั นาลนั ทา รัฐพหิ าร ประเทศอินเดยี จากคําบอกเลาํ ของพระเขมรในอนิ เดียกลาํ ววํา ทาํ นเปน็ พระท่ีมีปฏิปทานาํ เลื่อมใสมาก ไมสํ ะสมเงิน ทอง ในขณะทีอ่ ยูํอินเดียทํานได๎รํวมงานกับพระนิชดิ ตั สุ ฟูจอิ ิ พระสงฆญ๑ ป่ี นุ นิกายนิชเิ รน ทเี่ ดินทางไป เผยแผํพุทธศาสนาในอนิ เดีย จากการท่ที ํานไดอ๎ าศยั อยูํทอ่ี ินเดียเป็นเวลานาน ทาํ นจึงได๎นามวาํ “มหา โฆษนันทะ”อันแปลวํา ผย๎ู ินดีในเสียงอันกึกกอ๎ งอันย่ิงใหญํ เมอ่ื กลับมาเมืองไทยได๎ไปฝกึ วปิ ๓สสนา กัมมฏั ฐานกบั พระอาจารยธ๑ ัมมธโร วดั ปุาชัยยา จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นเวลา ๔ ปี เมอื่ ประเทศกลายเปน็ คอมมิวนิสต๑จึงขอลภ้ี ยั ไปยงั ประเทศอเมรกิ า จากน้ันไดเ๎ ดินทางไป หลายแหงํ ในยุโรปเพอื่ เผยแผพํ ุทธศาสนา อกี ทง้ั ชวํ ยเหลือผล๎ู ้ภี ัยชาวกัมพูชาท่ีเดนิ ทางไปยังยุโรปและ อเมรกิ าด๎วย พ.ศ.๒๕๒๑ (๑๙๗๘) เม่ือกองทพั เวยี ดนามบกุ กมั พชู าเพอ่ี โคนํ ล๎มเขมรแดง มีผ๎ูลีภ้ ัยเข๎ามา อาศัยในแดนไทยหลายแสนคน ทาํ นจึงไดต๎ ้ังหนํวยอาสาสมคั รชํวยเหลือคนเหลํานี้ แม๎จะอยูใํ นความ ขัดแย๎งมากมาย แตํทาํ นได๎ข๎อรอ๎ งให๎ทกุ ฝาุ ยในกัมพูชาอดกล้ัน มีเมตตาธรรมตอํ กนั พ.ศ.๒๕๓๕ เป็น ตน๎ มา เพอื่ สหประชาชาติได๎จดั การเลือกต้ังกัมพูชาสนั ติภาพได๎กลบั มายังกมั พูชาอกี ครง้ั ทาํ นได๎พา พระสงฆ๑และชาวพทุ ธกัมพูชาเดินธรรมยาตราทวั่ ประเทศนบั เปน็ ภาพทน่ี าํ ปลาบปลม้ื ใจแกชํ าวกัมพชู า เปน็ อยาํ งยงิ่ เป็นสัญลักษณ๑วาํ พุทธศาสนาจะกลับมายังกัมพชู าอกี ครั้ง ทํานไดร๎ ับการขานนามวาํ คานธแี ห่งกมั พชู า เพราะยึดหลกั อหิงสาคอื การไมํเบยี ดเบียนเปน็ ที่ตั้ง ด๎วยความเสียสละ และผลงาน ของทาํ นน้ีไดถ๎ กู เสนอชอื่ รบั รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพด๎วย พ.ศ.๒๕๓๑ (๑๙๘๘) ทํานได๎รบั การยก ยํองจากคณะสงฆใ๑ นปารสี ใหเ๎ ปน็ สมเด็จพระสงั ฆราชในตํางแดน พ.ศ.๒๕๓๕ (๑๙๙๒) ไดร๎ บั แตงํ ต้ังให๎ เป็นสมเดจ็ พระสันตภิ าพ จากสมเดจ็ พระเจา้ นโรดม สีหนุ ทํานมรณภาพวนั ท่ี ๑๒ เดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๐ (๒๐๐๗) ท่รี ัฐเมสซาชูเสส ประเทศสหรฐั อเมริกา รวมสิรอิ ายุ ๘๐ ปพี อดี นบั เปน็ การสูญเสยี บคุ ลากรทางพทุ ธศาสนาของกมั พูชาทีท่ รงคณุ คําอยํางย่ิง


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook