Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 2556-063 พระศรีวิสุทธิคุณ (ดร.)

2556-063 พระศรีวิสุทธิคุณ (ดร.)

Published by Thanarat Sa-Ard-Iam, 2023-06-30 00:34:22

Description: 2556-063 พระศรีวิสุทธิคุณ (ดร.)

Search

Read the Text Version

๒๔๑ มากกวา่ ๑๐ ปีก่อนเข้าเรียนในศาลาบาลีชั้นสูงซงึ่ มีค่าเทียบเทา่ กบั สญั ญาบัตรของเด็กประถมศกึ ษาท่ี เรียนก.ข...จาํ นวน ๗ ปเี ท่าน้ัน ตอ่ มาใน ปีพ.ศ. ๒๔๙๘ รชั สมัยของพระบาทนโรดมสีหนไุ ดเ้ ปลยี่ นชอ่ื ศาลาบาลีชนั้ สูงมา เปน็ พุทธกิ วิทยาลยั ซง่ึ การศกึ ษาบาลนี นั้ ได้เจริญข้นึ ตามลาํ ดบั และใช้เวลาเรียน ๓ ปผี ทู้ ่สี อบได้ เรียกวา่ ”มหา“ วชิ าท่ีจัดให้เรยี นจะมภี าษาบาลีเปน็ หลักเชน่ ไวยากรณ์บาลแี ปลบาลีและพระ อภธิ รรมบาลีเป็นภาษาเขมรเป็นต้นและเปล่ยี นมาเป็นพุทธิกวทิ ยาลัยพระสรุ ามฤตเมือ่ เปล่ยี นชื่อได้ แลว้ พทุ ธกิ วทิ ยาลัยสุรามฤตจึงมกี รรมวิธีศึกษาหรือกระบวนการจดั การศึกษาอย่างเปน็ ระบบมีรปู แบบ ทแ่ี นน่ อนแตค่ ่าสัญญาบัตรพทุ ธกิ วิทยาลยั พระสุรามฤตยังไมส่ ามารถเทยี บเทา่ กับวิทยาลัยตา่ งๆ (Equivalence) ของกระทรวงอบรม (กระทรวงศกึ ษาธิการในประเทศเมอื งไทย) จนกระท่ัง ปีพ.ศ. ๒๕๑๑ ได้เทยี บเท่ากับมหาวิทยาลยั ต่างๆ ทว่ั ประเทศและได้รับการ รบั รองจากกระทรวงอบรมชาติเมือ่ ปพี .ศ. ๒๕๑๓ ตลอดมา ทําให้การศกึ ษาของสงฆ์ได้มคี วาม เปลย่ี นแปลงและปรับปรงุ ระบบการศกึ ษาทางพระพทุ ธศาสนามาเรอ่ื ยๆ และไดเ้ พิ่ม วชิ าการทางโลกเขา้ มาด้วยเพ่ือให้สมณศึกษามคี วามรู้ความสามารถทง้ั ทางโลกและทางธรรมควบคู่ไป พร้อมๆกนั อันทีจ่ ะนาํ ไปสัง่ สอนแนะนําพุทธบริษทั ไดศ้ ึกษามคี วามรคู้ วามเข้าใจท่ถี ูกต้องและนาํ ไป ปฎิบตั ิในการดําเนินชีวติ ประจําวันได้ การเปล่ยี นแปลงระบบการศกึ ษาของคณะสงฆ์กมั พูชาในครงั้ นไ้ี ด้รบั ความอุปถัมภจ์ าก พระราชามหากษัตริย์ผทู้ รงเปน็ ศาสนูปถัมภพ์ ร้อมดว้ ยคณะรฐั บาลได้เข้ามาเป็นกาํ ลังสําคญั ต่อ การศึกษาของสงฆ์ให้มีประสิทธภิ าพเท่าทันตอ่ ความเปล่ียนแปลงของโลกสมัยใหมเ่ พ่อื เปน็ การ ยกระดบั สถานะความรขู้ องพระสงฆ์ให้เปน็ ท่ียอมรบั เคารพศรัทธาคอื เป็นเนอื้ นาบญุ ของโลกเสมอื น อย่างในคร้ังอดตี ท่ีผา่ นมาดังนน้ั การจัดการศกึ ษาท่ีเป็นระบบมีแบบแผนใหม่นี้ ไดแ้ บง่ การศึกษา ออกเปน็ ๓ ระดบั คือ ๑ ) พุทธิกปฐมศึกษา ๒ ) พทุ ธกิ มัธยมศึกษา ๓ ) พทุ ธกิ มหาวิทยาลยั พระสีหนรุ าช การแบง่ ระดับการศึกษาของสงฆท์ ั้ง ๓ ระดบั นี้ ผ้ศู กึ ษาจะอธบิ ายในสว่ น ๒ ระดบั แรกเนี่องจากว่าการจัดการศึกษาระดับมหาวทิ ยาหรือการศกึ ษาระดบั อมุ ดมศกึ ษาน้ันจะกล่าวในข้อที่ Chan Bunny, “Buddhist Education in Cambodia from 1940 – 1953”, Aksornsat - Manutsat. (January – March, 2000) : 20. ลสี ุวรี ะ, พฒั นาการประวัตศิ าลาบาลชี ั้นสูงพระราชบรรณาลยั และกรมชุมนมุ ๓, หนา้ ๖๗–๖๙. วทิ ยสถานพุทธศาสนบัณฑติ , ประวตั พิ ทุ ธกิ ศึกษา, หนา้ ๓๑–๓๒

๒๔๒ ๓ .(๓ การศกึ ษาระดบั อดุ มศกึ ษา ) สาํ หรบั การเรยี นการสอนท้ังสองระดับแรกไดแ้ บ่งหวั ข้อใน การศึกษาออกเป็น ๔ ประการคอื (๑) สถานศึกษาพุทธกิ ศึกษา (๒) หลักสตู รการศึกษาพุทธกิ ศกึ ษา (๓) การเรียนการสอนพทุ ธกิ ศกึ ษาและ (๔) การวัดผลประเมนิ ผลพุทธกิ ศกึ ษาดงั ต่อไปน้ี ๑. สถานศึกษาพทุ ธิกศึกษา สถานศกึ ษาพุทธิกศึกษา หมายถึงเป็นสถานทด่ี าํ เนนิ การจัดการเรยี นการสอนของคณะ สงฆ์กมั พูชาทกี่ าํ กับดแู ลสนบั สนนุ การจัดการศึกษาดว้ ยพระราชาคณะทัง้ ๒ คณะ กลา่ วคอื คณะ มหานิกายกับธรรมยตุ กิ นิกายได้ดําเนนิ การจัดการศกึ ษาของพระภิกษุสงฆส์ ามเณรให้มีการศึกษาที่ สงู ขึ้นและมรี ะเบยี บแบบแผนอย่างชัดเจน โดยขน้ึ ตรงตอ่ กระทรวงธรรมการและศาสนาเปน็ ผูด้ าํ เนนิ การและดแู ลการจัดการศกึ ษาท่ัว ประเทศเพ่อื ให้เป็นไปตามแนวนโยบายของกระทรวงอบรม เยาวชนและกีฬาท่ที างรฐั บาลจัดการศกึ ษาแก่เยาวชนของชาติซ่งึ รายละเอยี ดเกี่ยวกบั สถานศึกษานั้นผู้ ศกึ ษาไดก้ ลา่ วมาแล้วดรู ายละเอยี ดในหวั ข้อท่ี ( ๑. สถานศกึ ษาพระปริยตั ธิ รรมแผนกธรรม ) ข้างต้น ต่อไปจะพูดถึงหลกั สูตรพทุ ธกิ ศึกษา ๒. หลักสตู รพทุ ธกิ ศึกษา หลักสูตรการพุทธกิ ศกึ ษาหมายถึงการนําหลกั สูตรการเรยี นการสอนมาใชจ้ ดั การศึกษาแก่ พระภิกษสุ ามเณรโดยหลกั สตู รนี้ ทางรฐั มนตรีกระทรวงธรรมการและศาสนาได้ดําเนนิ การและ รับผดิ ชอบการจัดการศกึ ษาของคณะสงฆ์กัมพชู าทวั่ ประเทศเพ่อื ใหเ้ ปน็ ไปตามแนวนโยบายการศึกษา ของชาตโิ ดยมีกระทรวงอบรมเยาวชนและกฬี าเป็นผดู้ าํ เนินการจัดการศึกษาทัว่ พระราชอาณาจักร กมั พูชาทงั้ การศกึ ษาภาครฐั และการศึกษาเอกชนดงั น้นั การจดั หลักสตู รการเรียนการสอนใน สถาบันการศกึ ษาพทุ ธกิ ศกึ ษาของคณะสงฆก์ มั พูชาไดแ้ บ่งออกเป็น๓ ระดบั ดังนี้ (๑) พทุ ธกิ ปฐมศกึ ษา (ประถมศึกษาช้นั ปีที่ ๔–๖) (๒) พทุ ธิกมัธยมศึกษาปฐมภมู ิ (มัธยมศกึ ษาชั้นปีท่ี ๑–๓) (๓) พุทธิกมัธยมศึกษาทตุ ยิ ภมู ิ (มัธยมศกึ ษาช้นั ปที ี่ ๔–๖) (๑) หลกั สตู รพุทธกิ ปฐมภมู ิ การจดั หลกั สูตรการศกึ ษาระดับพทุ ธกิ ปฐมภมู ินแี้ ตก่ ่อนใช้เวลาเรียน ๔ ปี หลังจากไดร้ บั เอกราชจากฝรั่งเศสและในปัจจุบนั ใช้เวลาเรียนจาํ นวน ๓ ปมี ีโรงเรยี นทั้งหมดจาํ นวน ๕๔๐ แห่งและมี จํานวนชัน้ ๗๕๑ ชั้น (ห้องเรยี น) สมณทก่ี าํ ลงั ศึกษาอยู่จํานวน ๑๒,๕๖๗ รูปหลกั สูตรท่ีจดั การศกึ ษาใน พทุ ธิกปฐมภมู ินี้ ไดป้ ระกาศใช้ในปัจจุบนั ท่ีกระทรวงธรรมการและศาสนาตามประกาศเลขท่ี ๙๙ กธศ. ลงวนั ท่ี ๒๕ เดอื นเมษายน พ.ศ. ๒๕๔๔ โดยมีรายละเอียดดงั โครงสร้างหลักสูตรแตล่ ะช้ันปีต่อไปน้ี วทิ ยสถานพทุ ธศาสนบณั ฑติ , ประวัตพิ ทุ ธกิ ศึกษา, หน้า ๖๐–๖๗.

๒๔๓ ตารางท่ี ๔.๓ โครงสรา้ งหลักสูตรพทุ ธกิ ปฐมภูมิ ลาดบั ช้นั ปี เวลาเรยี น / ชว่ั โมง / ภาคเรยี น ช้ันปที ่ี ๑ ภาคเรยี นท่ี ๒ รายวชิ าท่เี รยี น ภาคเรยี นที่ ๑ ชม. / เดือน ชม. / เดอื น ๓๒ ๘ ๑. ภาษาบาลี ๓๒ ๔ ๔ ๒. วนิ ัย, ศลี ธรรม ๘ ๒๔ ๑๒ ๓. พุทธประวัติ ๔ ๒๐ ๑๐ ๔. พระพทุ ธศาสนา ๔ ๘ ๔ ๕. ภาษาเขมร ๒๔ ๔ ๑๓๐ ๖. ภาษาอังกฤษ ๑๒ ๗. คณติ ศาสตร์ ๒๐ ๘. วิทยาศาสตร์ ๑๐ ๙. สังคมศาสตร์ ๘ - ประวตั ศิ าสตร์ ๔ - ภมู ิศาสตร์ ๔ สรปุ เวลาเรยี นตอ่ เดอื น ๑๓๐ ตารางท่ี ๔.๓ โครงสรา้ งหลักสตู รพุทธกิ ปฐมภมู ิ (ตอ่ ) ลาดบั ชัน้ ปี เวลาเรยี น / ช่วั โมง / ภาคเรยี น ช้ันปีที่ ๑ ภาคเรียนที่ ๒ รายวิชาทเ่ี รียน ภาคเรยี นที่ ๑ ชม. /เดอื น ชม. / เดอื น ๓๒ ๘ ๑. ภาษาบาลี ๓๒ ๔ ๔ ๒. วนิ ัย, ศลี ธรรม ๘ ๑๖ ๑๒ ๓. พทุ ธประวตั ิ ๔ ๑๘ ๘ ๔. พระพุทธศาสนา ๔ ๘ ๕. ภาษาเขมร ๑๖ ๖. ภาษาองั กฤษ ๑๒ ๗. คณติ ศาสตร์ ๑๘ ๘. วทิ ยาศาสตร์ ๘ ๙. สังคมศาสตร์ ๘

๒๔๔ - ประวัตศิ าสตร์ ๔ ๔ - ภมู ิศาสตร์ ๔ ๔ สรุป เวลาเรียนต่อเดอื น ๑๑๘ ๑๑๘ ตารางท่ี ๔.๓ โครงสร้างหลักสูตรพุทธกิ ปฐมภูมิ (ตอ่ ) ลาดับชัน้ ปี เวลาเรียน / ช่ัว โมง / ภาคเรียน รายวิชาทเ่ี รียน ภาคเรียนท่ี ๑ ภาคเรียนที่ ๒ ชนั้ ปที ี่ ๑ ชม. / เดือน ชม. / เดือน ๑. ภาษาบาลี ๓๒ ๓๒ ๒. วนิ ัย, ศีลธรรม ๘ ๘ ๓. พทุ ธประวัติ ๔ ๔ ๔. พระพทุ ธศาสนา ๔ ๔ ๕. ภาษาเขมร ๑๖ ๑๖ ๖. ภาษาองั กฤษ ๑๒ ๑๒ ๗. คณิตศาสตร์ ๑๘ ๑๘ ๘. วทิ ยาศาสตร์ ๘ ๘ ๙. สังคมศาสตร์ ๘ ๘ - ประวตั ศิ าสตร์ ๔ ๔ - ภมู ิศาสตร์ ๔ ๔ สรุป เวลาเรียนต่อเดอื น ๑๑๘ ๑๑๘ ทมี่ า : วทิ ยสถานพุทธศาสนบณั ฑิต, ประวัติพุทธิกศึกษา, หน้า ๖๐–๖๒. (๒) หลักสตู รพุทธกิ มธั ยมศกึ ษาปฐมภมู ิ การจดั หลักสูตรการศกึ ษาระดับพุทธิกมธั ยมศึกษาปฐมภมู ิน้ี ใชเ้ วลาเรยี นจํานวน ๓ ปีมี โรงเรยี นทงั้ หมดจํานวน ๒๓ แหง่ มจี ํานวนชัน้ ๗๕ ชั้น (หอ้ งเรยี น ) สมณที่กาํ ลงั ศกึ ษาอยู่จํานวน ๓,๘๒๖ รปู หลักสูตรทจ่ี ัดการศกึ ษาในพทุ ธิกมัธยมศกึ ษาปฐมภมู ิน้ีไดป้ ระกาศใช้ในปจั จบุ ันตามท่ี กระทรวงธรรมการและศาสนาตามประกาศเลขที่ ๑๐๔ กธศ. ลงวันที่ ๐๙ เดอื นเมษายน พ .ศ. ๒๕๔๔ มรี ายละเอยี ดดังโครงสรา้ งหลักสูตรตอ่ ไปน้ี

๒๔๕ ตารางท่ี ๔.๔ โครงสรา้ งหลกั สูตรพทุ ธิกมัธยมศึกษาปฐมภูมิ ลาดับที่ ช้ันปที ่ี ๑ ชน้ั ปีที่ ๒ ช้ันปที ี่ ๓ สรปุ ชม. น. ชม. น. ชม. น. ชวั่ โมง-นาที รายวิชาท่เี รียน ๑ ภาษาบาลี ๖ ๖ ๕.๓๐ ๑๗. ๓๐ ๖ ๒ ภาษาสันสกฤต ๒ ๒๒ ๖ ๓ ๓ พุทธประวตั พิ ระวนิ ยั ๒ ๒๒ ๑๔.๓๐ ๔ พระพุทธศาสนา ๑ ๑๑ ๑๒ ๑๕ ๕ ภาษาเขมร ๕ ๕ ๔.๓๐ ๑๔.๓๐ ๖ ภาษาอังกฤษ ๔ ๔๔ ๔ ๓ ๗ คณิตศาสตร์ ๕ ๕๕ ๓ ๘ วทิ ยาศาสตร์ ๔.๓๐ ๔.๓๐ ๕.๓๐ ๔.๓๐ ๙ - ฟิสกิ ส์ ๑ ๑๒ ๓ ๓ - เคมี ๑ ๑ ๑ ๓ - ธรณีวิทยา ๑ ๑๑ ๙๗.๓๐ ๓๙๐ - ชีววิทยา ๑.๓๐ ๑.๓๐ ๑.๓๐ ๓,๕๑๐ ๙ สังคมศาสตร์ ๓ ๓ ๓ - ประวตั ศิ าสตร์ ๑ ๑ ๑ - ภูมศิ าสตร์ ๑ ๑๑ - ศีลธรรม/หน้าท่ีพลเมอื ง ๑๑ สรุป ๓๒.๓๐ ๓๒.๓๐ ๓๒.๓๐ สรปุ ชั่วโมง ๑ เดือน ๑๓๐ ๑๓๐ ๑๓๐ สรปุ ชัว่ โมง ๑ปี ๑,๑๗๐ ๑,๑๗๐ ๑,๑๗๐ ทมี่ า : วทิ ยสถานพทุ ธศาสนบณั ฑิต, ประวตั ิพทุ ธกิ ศึกษา, หนา้ ๖๓–๖๔. (๓) หลักสูตรพุทธิกมัธยมศกึ ษาทุตยิ ภมู ิ การจดั หลักสตู รการศกึ ษาระดับพทุ ธิกมธั ยมศึกษาปฐมภมู นิ ี้ ใชเ้ วลาเรียน จํานวน ๓ ปมี ี โรงเรยี นทัง้ หมดจาํ นวน ๒๓ แหง่ มจี าํ นวนช้นั ๗๕ ช้นั (ห้องเรยี น ) สมณทก่ี ําลงั ศกึ ษาอยูจ่ ํานวน ๓,๘๒๖ รูป หลกั สตู รที่จัดการศึกษาในพทุ ธกิ มธั ยมศึกษาปฐมภูมนิ ้ีได้ประกาศใชใ้ นปจั จุบนั ตามท่ี กระทรวงธรรมการและศาสนาตามประกาศเลขท่ี ๑๐๔ กธศ. ลงวันที่ ๐๙ เดือน เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๔ มีรายละเอยี ดดงั โครงสรา้ งหลกั สตู รต่อไปน้ี

๒๔๖ ลาดบั ที่ ตารางที่ ๔.๕ โครงสร้างหลกั สูตรพทุ ธิกมัธยมศึกษาทุตยิ ภูมิ ช้นั ปีท่ี ๑ ชั้นปที ี่ ๒ ชัน้ ปที ี่ ๓ สรุป รายวิชาที่เรียน ชม. น. ชม. น. ชม. น. ชัว่ โมง-นาที ๑ ภาษาบาลี ๕ ๕ ๕ ๑๕ ๒ ภาษาสันสกฤต ๒๒๒ ๖ ๓ พุทธวนิ ยั ๑๑๑ ๓ ๔ พระพทุ ธศาสนา ๒ ๒๒ ๖ ๕ ภาษาเขมร ๔ ๔ ๔ ๑๒ ๖ ภาษาอังกฤษ ๔ ๔ ๔ ๑๒ ๗ คณติ ศาสตร์ ๕ ๕ ๕ ๑๕ ๘ วิทยาศาสตร์ ๖.๓๐ ๖.๓๐ ๖.๓๐ ๑๘.๓๐ - ฟสิ ิกส์ ๒๒๒ ๖ - เคมี ๒ ๒ ๑ ๕ - ธรณวี ทิ ยา ๑ ๑ ๑ ๓ - ชีววทิ ยา ๑.๓๐ ๑.๓๐ ๑.๓๐ ๔.๓๐ ๙ สังคมศาสตร์ ๓ ๓ ๔ ๑๐ - ประวัตศิ าสตร์ ๑๑๑ ๓ - ภมู ศิ าสตร์ ๑๑๑ ๓ -ศลี ธรรม/หน้าทพี่ ลเมือง ๑ ๑ ๒ ๔ สรุป ๓๒.๓๐ ๓๒.๓๐ ๓๒.๓๐ ๙๗.๓๐ สรปุ ชั่วโมง ๑ เดอื น ๑๓๐ ๑๓๐ ๑๓๐ ๓๙๐ สรุปช่ัวโมง ๑ปี ๑,๑๗๐ ๑,๑๗๐ ๑,๑๗๐ ๓,๕๑๐ ทม่ี า : วิทยสถานพุทธศาสนบณั ฑิต, ประวัตพิ ุทธกิ ศึกษา, หน้า ๖๖–๖๗. ๓. การเรียนการสอนพุทธิกศึกษา การจัดการศึกษาระดับพทุ ธกิ ปฐมศึกษา (Buddhist Primary School) สมยั กอ่ นน้ัน เป็นการศกึ ษาในระดบั บาลีรอง )เปรียญตรซี ึ:งได้ทําการศึกษาตัง้ แต่ (ปีพ.ศ. ๒๔๗๖และต่อมาได้ Chan Bunny, “Buddhist Education in Cambodia from 1940 – 1953”, Aksornsat - Manutsat.(January – March, 2000) : 18.

๒๔๗ เปลี่ยนแปลงช่อื มาเปน็ ศาลาพุทธกิ ปฐมศึกษาสําหรับเป็นสถานทเ่ี รยี นบาลีโดยจัดขึน้ ทก่ี รุงพนมเปญ เพียงแหง่ เดียวทาํ ใหพ้ ระภกิ ษุสามเณรไดร้ ับความลาํ บากในการเดนิ ทางเข้ามาศึกษาตอ่ ที่เมอื งหลวงให้ ในปีพ.ศ.๒๔๙๒ จงึ มกี ารจดั ตั้งศาลาเรียนบาลใี นระดับนีท้ ัว่ ประเทศประมาณ ๓๒๓ โรงเรยี นโดยมสี ถติ ิ นักเรยี นรวม ๑ รปู ๖๙๒ รปู และสอบผ่านเพยี ง ๒๔๔, การเพิ่มจํานวนขึน้ ของผ้ศู ึกษานี้เองเป็นเหตทุ ําใหอ้ าคารเรียนในเมืองหลวงไมเ่ พียงพอ สาํ หรับรองรับพระภิกษุสามเณรทเี่ ขา้ มาศกึ ษาตอ่ นในระดบั ท่สี งู ขนึ้ ประกอบกบั อาคารเรียนมีความ ทรดุ โทรมดว้ ยทําใหค้ ณะกรรมการพุทธิกศกึ ษาได้ปรกึ ษากนั แล้วกค็ วรจะสร้างอาคารเรยี นข้นึ มาใหม่ เพราะไดเ้ สยี ค่าใช้จ่ายกับการบรู ณะน้ันเป็นจํานวนมากจึงไดก้ อ่ สร้างอาคารเรยี นหลังใหมต่ ามพระราช กฤษฎีกาเลขที่ ๒๕๖ ลงวันท่ี ๑๘ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๘ เมื่อสรา้ งเสร็จสมบรู ณแ์ ลว้ พระมหากษตั รยิ ์ ทรงตั้งช่ือศาลาบาลีชน้ั สูง (Pali High School) ใหมว่ า่ สถาบันมัธยมศึกษาแหง่ พระพทุ ธศาสนาแล้ว ต่อมาก็ไดเ้ ปลี:ยนชื:อมาเป็นพุทธิกวิทยาลยั สุรามมฤตตามพระราชกฤษฎกี าเลยท่ี๑๘ กรกฎาคม พ .ศ. ๒๔๙๘ โดยในชว่ งนั้นสถาบนั พทุ ธิกมหาวิทยาลัยพระสีหนรุ าชไดเ้ กิดขึน้ แลว้ ดังนนั้ การปรับปรงุ ระบบ การศกึ ษาในสถาบันมธั ยมศกึ ษาแห่งพุทธศาสนาได้ดาํ เนนิ การจัดการเรียนการสอนตามแบบใหม่ตาม พระราชกฤษฎีกาเลขที่ ๒๖๕ ลงวนั ที :๑๘ พฤษภาคม พ .ศ .๒๔๙๘ โดยมวี ตั ถปุ ระสงค์เพ :อื เผยแพรก่ ารศกึ ษาในระดบั พทุ ธกิ มธั ยมศกึ ษาให้กวางขวา้ งย่ิงขึน้ และเพอ่ื เป็นการสนับสนุนใหส้ มณ ศึกษาไดเ้ ข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลยั พระพทุ ธศาสนาไดท้ ําใหส้ ถานศกึ ษาแหง่ น้ี ได้จัดการเรยี นการ สอนทัง้ วชิ าการทางพระพุทธศาสนาและวชิ าทางโลกเหมอื นกับการจดั การศึกษาของสถาบันการศึกษา ทางโลกทุกประการเพอื่ ให้สมณศกึ ษามีความรทู้ งั้ สองทางไปพร้อมๆ กนั โดยในปีการศกึ ษาแรกมี จาํ นวนสมณศึกษา ๑๕๐ รปู ทุกๆ ปโี ดยการสอบขดั เลอื กสมณนสิ ติ ทม่ี วี ุฒิการศึกษาจบจากศาลาพุทธิก ปฐมศึกษาระยะเวลาศึกษาในระดบั มัธยมศกึ ษานี้ ไดก้ าํ หนดให้ศึกษา ๔ ปีเมอื่ สมณศึกษาไดศ้ กึ ษาครบ ทั้ง ๔ ปแี ล้วจะมีการสอบใหญค่ รั้งหน่งึ เพือ่ ทดสอบความรู้ความสามารถของผู้เรยี นเมือ่ สอบผ่านก็จะ ไดร้ ับวฒุ ิศกึ ษาพุทธิกมัธยมศกึ ษาทางพระพทุ ธศาสนาซ่ึงวฒุ ิการศึกษาจะออกให้เฉพาะคนท่ีสอบผา่ น เท่านนั้ และจะตอ้ งปฎิบตั ิศาสนกจิ อกี ๑ ปีจงึ จะมีสิทธ์ิ ไดร้ ับวฒุ กิ ารศึกษาไดก้ ารปฎบิ ตั ิศาสนกจิ นัน้ ให้ สมณศกึ ษาไปเปน็ อาจารย์สอนในสถานศึกษาต่างๆ ทงั้ ภาครฐั และเอกชนหรอื กเ็ ปน็ ผ้จู ดั สถานศึกษาให้ มคี วามพรอ้ มในเรื่องของอปุ กรณก์ ารเรียนการสอน พระเทพเวที (ป.อ.ปยตุ ฺโต), พระพุทธศาสนาในอาเซยี , หนา้ ๒๔ - ๒๕. Chan Bunny, “Buddhist Education in Cambodia from 1940 – 1953”, Aksornsat - Manutsat. (January – March, 2000) : 20. นติ ยสารปนลือจักร เลขที่ ๑๒ (เดอื นตุลาคม–พฤจิกายน–ธันวาคม) พ.ศ. ๒๕๐๖, หน้า ๕๕. วิทยสถานพุทธศาสนบณั ฑิต, ประวตั พิ ุทธิกศกึ ษา, หน้า ๓๘.

๒๔๘ ดงั นน้ั การที่ทางคณะสงฆ์ไดข้ ยายสถานศกึ ษาทั่ว ประเทศน้นั ทําให้มกี ารเปล่ียนแปลง ระบบการจดั การเรียนการสอนตามพระราชกฤษฎกี าเลขท่ี ๖๐๗ น.ส. ลงวนั ที่ ๑๒ ธนั วาคม พ .ศ. ๒๕๐๐ โดยทางคณะสงฆม์ ีความมุง่ หวังให้สมณศึกษาทั้งหลายสามารถสอบเข้าศกึ ษาต่อในระดับพทุ ธิก วิทยาลยั ได้ด้วยเหตนุ ี้ ศาลาพุทธกิ ปฐมศึกษาจึงเปน็ หลักพื้นฐานทจี่ ะศึกษาตอ่ ในระดับพทุ ธกิ มธั ยมศกึ ษาและระดับอุมศกึ ษาด้วยแต่การปรบั ปรุงระบบการศกึ ษาในระดบั พุทธกิ ปฐมศึกษาใน ปพี .ศ. ๒๕๐๐ นัน้ ได้ประสบปญั หาเก่ยี วกบั การจดั การเรียนการสอนเปน็ อยา่ งมากกลา่ วคือขาดบุคลากรมี ความรู้ความสามารถที่จะดาํ เนินการเรียนการสอนไม่พอตอ่ ความต้องการของสถานศึกษาและขาด ความสมดลุ ของสมณศกึ ษาทเ่ี ขา้ มาศกึ ษาเปน็ จํานวนมากจึงไดส้ ง่ ผลกระทบตอ่ ระบบการเรยี นการสอน ของผ้เู รยี นไม่มปี ระสทิ ธิภาพตามด้วย โดยสภาพการจัดการเรยี นการสอนดังกล่าวนี้ ทาํ ใหม้ กี าร ปรบั ปรุงระบบการจดั การศกึ ษาเปน็ การใหญ่เพ่ือสง่ เสริมใหก้ ารดาํ เนนิ การบริหารจดั การศกึ ษาของ สมณศกึ ษามีคุณภาพขนึ้ มพี ัฒนาการกา้ วหนา้ มาอยา่ งรวดเรว็ ทําใหก้ ารจดั การศึกษาในระดบั พุทธกิ ปฐมศกึ ษาทง้ั สองระดับมจี ํานวจเพ่ิมมากขึ้นตามลาํ ดบั ดังกล่าวแลว้ ในสถานศึกษาพทุ ธกิ ศกึ ษา นอกจากน้ี กระบวนการจดั การเรยี นการสอนนั้นมีลักษณะไม่แตกตา่ งจากการศกึ ษาของ คณะสงฆ์ประเทศไทยมากนักกลา่ วคอื การเรียนการสอนนั้นก็มกี ารจดุ บันทึกจากครูสอนการทาํ กจิ กรรมกล่มุ จดั เสอนโครงงานตา่ งๆ และรายงานตามวิชาทคี่ รูสอนและทาํ แบบฝึกหัดเพ่ือประเมินผล การเรยี นของพระสงฆส์ ามเณรว่ามีทักษะความรคู้ วามสามารถมากนอ้ ยเพียงใดเพอื่ ทจี่ ะสอนเสรมิ ใน บางวชิ าทีเ่ หน็ ว่าพระสงฆ์สามเณรยังไมเ่ ขา้ ใจชัดเจนน้ีคือกระบวนการเรียนการสอนรายวชิ าการทาง โลกซ่งึ มที ้งั บรรพชิตและคฤหัสถเ์ ปน็ ผสู้ อนโดยเฉพาะคฤหัสถผ์ ู้ชายล้วนแล้วผ่านการบวชเรยี นมากอ่ น เหมอื นกันกบั เมืองไทย สว่ นกระบวนการเรยี นการสอนทางธรรมน้นั โดยเฉพาะภาษาบาลกี ารเรยี นการสอนก็ จะต้องท่องจาํ โดยนักเรียนนน้ั จะตอ้ งแต่งแปลจากภาษาบาลีทจี่ ารึกไวใ้ นพระไตรปฏิ กมาเป็นภาษา เขมรจากภาษาเขมรไปเป็นภาษาบาลีโดยกระบวนการเรยี นการสอนน้ี ไม่จําเปน็ ตอ้ งใชส้ ่อื การเรยี น การสอนมากนักนอกจากหนงั สอื คู่มือและแบบเรียนท่ที างกระทรวงธรรมการและศาสนากาํ หนดให้ เรยี นเทา่ นัน้ ซ่ึงการเรียนการสอนแผนกบาลนี ้ี ไม่แตกตา่ งจากการเรียนการสอนแผนกบาลีในประเทศ ไทยเพราะภาษาบาลจี าํ เป็นตอ้ งใช้ความจําเป็นหลกั จงึ จะสามารถสอบผา่ นไดซ้ ่ึงเหน็ ชัดในกระบวนการ วัดผลประเมนิ ผลการเรียนการสอนทถ่ี ือเปน็ กระบวนการสุดท้ายของการเรยี นการสอนในทกุ ระดบั ช้ัน ๔. การวดั ผลประเมนิ ผลพทุ ธกิ ศึกษา การวัดผลประเมินผลการเรียนการสอนพุทธกิ ศึกษาหรอื เป็นการประเมินผลการเรยี นรูเ้ ปน็ กระบวนการทใี่ หผ้ สู้ อนพฒั นาคุณภาพผ้เู รยี นเพราะจะช่วยใหไ้ ดข้ ้อมลู ข่าวสารท่แี สดงถึงพัฒนาการ ความก้าวหนา้ และความสาํ เร็จทางการเรยี นของผู้เรยี นรวมท้งั ข้อมูลท่จี ะเป็นประโยชน์ตอ่ การส่งเสริม ใหผ้ ้เู รยี นเกดิ การพฒั นาและเรียนรอู้ ยา่ งเต็มศกั ยภาพโดยรายละเอยี ดเกี่ยวกบั การวัดผลประเมินผลแต่

๒๔๙ ละระดับช้ันนน้ั จะตอ้ งเรียบเรยี งและจดั ทาํ ขนึ้ มาโดยมรี ัฐมนตรกี ระทรวงธรรมการและศาสนาตามคาํ ขอของคณะกรรมการพเิ ศษ ๑ กลุ่มท่ีไดแ้ ตง่ ตัง้ ขน้ึ มาตามประกาศของกระทรวงธรรมการและศาสนา ซึ่งมหี น้าท่ีในการตรวจสอบขอ้ สอบตรวจสอบความถกู ต้องของข้อสอบสาํ หรบั นําไปจดั การสอบแก่ พระภกิ ษสุ งฆ์ทวั่ ประเทศเพื่อใช้สอบวดั ผลประเมนิ การศึกษาแต่ละปซี ึง่ มีหลักการ ๗ ประการ ดงั ต่อไปน้ี (๑) แปลภาษาบาลเี ป็นภาษาเขมรหรือภาษาเขมรเป็นภาษาบาลี (คูณดว้ ย ๓ ใช้เวลา สอบ ๒ ช่วั โมง) (๒) แปลภาษาสนั สกฤตเปน็ ภาษาเขมรหรือภาษาเขมรเป็นภาษาสันสกฤต (คณู ด้วย ๒ ใช้เวลาสอบ ๒ ช่วั โมง) (๓) แปลภาษาองั กฤษเป็นภาษาเขมรหรอื ภาษาเขมรเปน็ ภาษาองั กฤษ (คูณดว้ ย ๒ ใชเ้ วลาสอบ ๒ ช่วั โมง) (๔) อธบิ ายเกยี่ วกบั ลทั ธทิ างพระพทุ ธศาสนา (พระอภิธรรมพระสูตรหรือพระวินยั ) (คูณด้วย ๓ ใชเ้ วลาสอบ ๓ ช่วั โมง) (๕) ประวตั ิศาสตร์ / ภูมิศาสตร์ (คูณด้วย ๒ ใชเ้ วลาสอบ ๒ ชว่ั โมง) (๖) คณิตศาสตร์ (คณู ด้วย ๒ ใชเ้ วลาสอบ ๒ ชั่วโมง) (๗) วิทยาศาสตร์ (คูณด้วย ๒ ใชเ้ วลาสอบ ๒ ชัว่ โมง) หลักการวดั ผลประเมินผลทัง้ ๗ ประการนี้ เป็นหลกั ของการออกขอ้ สอบแต่ละปีเพอ่ื ทดสอบประเมินผลสัมฤทธิ์ ทางการศกึ ษาของผ้เู รียนวา่ จะสอบผา่ นเกณฑ์หรือไม่ผ่านเกณฑ์ในแตล่ ะ ภาคการศกึ ษาโดยการวดั ผลประเมินผลมี ๓ ระดับคอื (๑) การประเมนิ ผลระดบั ชน้ั เรียน เป็นการกําหนดตามจุดมุ่งหมายของ การประเมนิ ความกา้ วหน้าของผเู้ รยี นให้มที กั ษะคณุ ธรรมจรยิ ธรรมค่านยิ มที่พึงประสงค์ โดยใช้วธิ กี ารวัดผลประเมินผลที่หลากหลายเหมาะสมกับสาระการเรียนร้แู ละมุ่งเน้นการพัฒนาและ ปรับปรงุ ผู้เรยี นโดยการมสี ว่ นรว่ มในการวัดผลประเมนิ ผลทั้งครูนักเรยี นและผปู้ กครองร่วมกนั ในการ กาํ หนดเปูาหมายวิธกี ารจดั การและเกณฑ์การวัดผลประเมนิ ผลเพ่อื ให้การวดั ผลประเมนิ ผลมีความ เที่ยงตรงสามารถนาํ ผลการประเมินไปใช้ในการพฒั นาและแก้ไขปญั หาของนกั เรยี นได้จริง (๒) การประเมนิ ผลระดับโรงเรียน เป็นการประเมนิ ผลเพือ่ ตรวจสอบความก้าวหนา้ ดา้ น การเรียนรเู้ ป็นรายชน้ั ปีโดยโรงเรยี นหรือสถานศึกษานําขอ้ มลู ทีไ่ ด้น้ีไปใชเ้ ป็นแนวทางในการปรบั ปรุง พัฒนาการเรียนการสอนและคุณภาพของผู้เรียนใหเ้ ปน็ ไปตามแนวนโยบายของกระทรวงธรรมการและ วทิ ยสถานพุทธศาสนบณั ฑิต, ประวตั ิพทุ ธกิ ศึกษา, หน้า ๓๗ - ๓๙.

๒๕๐ ศาสนารวมท้งั นําผลการประเมนิ รายช่วงชัน้ ไปพิจารณาตดั สนิ การเลื่อนระดบั การศึกษากรณผี เู้ รียนไม่ ผ่านการเรียนรู้ของแต่ละวิชาโดยสถานศกึ ษาตอ้ งจัดให้มกี ารเรียนการสอนซอ่ มเสริมและจดั ให้มกี าร ประเมินผลการเรยี นรู้ดว้ ย (๓) การประเมนิ คุณภาพระดับชาติ สถานพุทธิกศกึ ษาได้จัดให้มกี ารประเมินผลการเรียน ในปสี ุดท้ายของแต่ละชว่ งชัน้ ได้แกพ่ ทุ ธกิ มธั ยมศึกษาปฐมภูมแิ ละพทุ ธิกมธั ยมศึกษาทตุ ยิ ภมู ิเข้ารับการ ประเมินคณุ ภาพระดบั ชาตใิ นทกุ หลกั สตู รท่ไี ด้เรียนมาท้ังหมดตามท่กี ระทรวงธรรมการและศาสนาได้ กําหนดเพื่อขอ้ มูลทไ่ี ด้จากการประเมนิ นาํ ไปใช้ในการพฒั นาคุณภาพของผู้เรยี นและคุณภาพการจดั การศกึ ษาของสถานศกึ ษา เกณฑก์ ารจบหลกั สูตรพุทธิกรศกึ ษา การจัดการศึกษาตามหลักสูตรพุทธิกศึกษาท้ัง ๒ ระดับ คอื พทุ ธกิ ปฐมภูมิและพทุ ธิก มัธยมศกึ ษาเม่ือคณะกรรมการทาํ การจดั สอบท่ัวประเทศพรอ้ มตรวจขอ้ สอบเปน็ ท่เี รียบร้อยแลว้ ทาง คณะกรรมการจัดทําบัญชีรายชื่อสมณศึกษาท่ีสอบไดห้ รือสอบตกนนั้ คือจะตอ้ งมีคะแนนการสอบ ทัง้ หมด ๑๖๐ คะแนนข้ึนไปถอื วา่ สมณศกึ ษารูปนน้ั ได้สอบผา่ นหรือศึกษาจบหลักสูตรพุทธกิ ศกึ ษาซ่งึ วิธกี ารตัดเครดหรอื จัดลาํ ดับเหน็ ไดด้ งั ตารางต่อไปน้ี ตารางที่ ๔.๖ การวัดผลประเมนิ ผลสถาบนั พทุ ธกิ ศึกษา ช่วงคะแนนเป็นร้อยละ ระดบั การศกึ ษา ผลการศึกษา ๐ – ๑๕๙ F (Failed) ตก ๑๖๐ - ๑๗๖ C (Fair) พอใช้ ๑๗๗ – ๒๐๘ C+ (Very Fair) ค่อนข้างดี ๒๐๙ – ๒๔๐ B (Good) ดี ๒๔๑ – ๒๗๒ B+(Very Good) ดมี าก ๒๗๓ ขึน้ ไป A (Excellent) ดีเย่ยี ม ทีม่ า : วทิ ยสถานพุทธศาสนบณั ฑติ ,ประวัตพิ ทุ ธิกศึกษา , หน้า ๓๙. สรุปว่า การจัดการศึกษาพทุ ธกิ ศึกษาของคณะสงฆก์ มั พชู าเห็นวา่ การพัฒนาการทาง การศกึ ษาของพระสงฆ์สามเณรนัน้ มคี วามเจริญขึ้นอย่างรวดเรว็ โดยทุกสว่ นงานไดเ้ ขา้ มาสนับสนนั การ จดั การศกึ ษาของพระสงฆ์ใหม้ ีความเจริญรงุ่ เรอื งควบค่กู บั การพัฒนาประเทศซ่ึงอยใู่ นยคุ ของการ เปล่ียนแปลงนอกจากนี้ การศึกษาของพระภิกษุสงฆ์นัน้ ได้รบั สนบั สนนุ จากพระราชามาหากษตั ริย์ พรอ้ มทงั้ คณะรัฐบาลท่เี หน็ พร้อมกนั วา่ การปรบั ปรงุ ระบบการศกึ ษาของคณะสงฆน์ น้ั ถือวา่ เปน็ สงิ่ ที่มี ความสาํ คญั อย่างยิง่ ในการทจ่ี ะพฒั นาคนในประเทศให้เป็นคนดีมศี ลี ธรรมด้วยเหตุน้เี องทําใหก้ าร พฒั นาคุณภาพการจดั การศกึ ษาของคณะสงฆ์ให้มคี วามรู้ความสามารถทัง้ ในทางคดโี ลกและคดธี รรม ไปพรอ้ มๆ กันเพราะเห็นว่าพระสงฆ์ถือเป็นทรัพยากรมนษุ ยท์ สี่ ําคัญ (Human Resource

๒๕๑ Development) และมคี ุณภาพทง้ั ในดา้ นภมู ิรู้ภมู ิธรรมมคี วามประพฤตดิ ปี ฎบิ ตั ชิ อบตามหลกั พระ ธรรมวินัยและนอกจากนี้ พระสงฆก์ ไ็ ด้เข้ามามบี ทบาทสําคัญในการจดั การเรยี นการสอนแก่เยาวชน ของชาตใิ หเ้ ป็นคนเก่งคนดีและสามารถอย่รู ว่ มกับคนในชาติอย่างมีความสขุ ซึง่ เด็กในวันน้ี เป็นผู้ใหญ่ ในอนาคตและเปน็ ผ้ผู ลักดนั เศรษฐกิจของประเทศชาตใิ ห้มีความเจริญรงุ่ เรืองขน้ึ ได้โดยการดําเนนิ ชีวิต ตามหลักของพระพทุ ธศาสนาอนั เป็นหลกั สากลทคี่ วรนํามาประยุกต์ใชก้ บั ทกุ องคก์ รโดย พระพทุ ธศาสนาน้ันเปน็ สถาบนั หลักของกัมพูชามายาวนานตราบจนปัจจุบนั ๔.๒.๓ การศกึ ษาระดับอดุ มศึกษา การกอ่ ตั้งพทุ ธิกมหาวิทยาลัย สมเด็จพระบาทนโรดมสีหนุทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ ให้จัดตง้ั มหาวทิ ยาลัยสงฆ์ขึน้ ทกี่ รุง พนมเปญมชี อื่ วา่ พทุ ธกิ มหาวทิ ยาลยั พระสีหนรุ าช (Preah Sihanouk Raja BuddhistUniversity) โดย ความมุ่งหวังให้พระสงฆ์ได้รับการศกึ ษาท่ีสงู ข้ึนและจัดเปน็ มหาวทิ ยาลยั ทางพระพทุ ธศาสนาทีเ่ ก่าแก่ อนั ท่ี ๓ ของโลกโดยมสี มเด็จพระโพธิวงศฮ์ วดตาด (SamdechBodhivamsa Huot That) เป็น อธิการบดีพทุ ธกิ มหาวิทยาลัย ส่งผลให้การจดั การศึกษาของคณะสงฆก์ ัมพชู ามคี วามเจริญข้นึ อยา่ ง รวดเรว็ นอกจากนี้ สมเด็จพระโพธิวงศ์ฮวดตาดไดด้ าํ รวิ ่าจะทาํ อย่างไรจะใหพ้ ุทธกิ มหาวทิ ยาลัยพระสี หนุราชมคี วามเจริญรุ่งเรอื งทง้ั ในดา้ นวชิ าการด้านการเรยี นการสอนพร้อมทงั้ สภาพแวดล้อมใน สถานศกึ ษาใหส้ มกบั ประเทศที่มีเอกราชเม่ือทรงดาํ รเิ ชน่ น้ี แลว้ กม็ ีความประสงค์ที่จะไปศึกษาดงู าน การจัดการศึกษาทางด้านพระพุทธศาสนาในต่างประเทศโดยเรมิ่ ดงู านการเรยี นสอนที่ประเทศอินเดยี ศรีลงั กาและประเทศไทยซ่ึงได้รับสนับสนนุ ค่าใชจ้ า่ ยจากงบประมาณของชาตเิ ป็นผู้ดําเนนิ การของการ เดินไปศึกษาดงู านครง้ั นน้ั หลังจากสมเดจ็ พระโพธวิ งศ์ฮวดตาดไดศ้ กึ ษาดูงานการศึกษากลับจากตา่ งประเทศแล้วได้ ถวายรายงานต่อพระบาทนโรดมสหี นุเกี่ยวกับการจัดการศึกษาของประเทศตา่ งๆ เหลา่ น้นั เพื่อมา ศึกษาเปรยี บเทยี บกบั การจดั การศกึ ษาของประเทศกัมพูชาเมอื่ พระองคท์ รงทราบการถวายรายงาน แล้วทรงมพี ระราชบญั ชาไปยงั กระทรวงธรรมการและศาสนาให้ดาํ เนินการจดั การศึกษาของสงฆอ์ ยา่ ง เร่งด่วนซึง่ ทางกระทรวงฯ ไดจ้ ัดตง้ั คณะกรรมการมาชุดหนงึ่ มรี ัฐมนตรีกระทรวงธรรมการและศาสนา เปน็ ประธานและมีสมเดจ็ พระสังฆนายกทงั้ ๒ รูปเป็นกรรมการมคี วามร้คู วามสามารถกว่าคฤหสั ถ์เมือ่ ประชมุ วางแผนเป็นทเ่ี รยี บร้อยแล้วกถ็ วายรายงานตอ่ พระบาทนโรดมสีหนทุ รงทราบพระองคม์ พี ระ ราชหฤทยั ปตี ยิ ินดีอย่างยิงท่มี กี ารปรบั ปรุงสถาบันการศกึ ษาของสงฆ์เพอ่ื ให้พระสงฆ์ได้รบั ศกึ ษาและมี ความรทู้ างด้านพระพุทธศาสนาใหแ้ ตกฉานและเป็นท่ีเคารพศรัทธาของพทุ ธบรษิ ัทมายาวนานจึงทรง Toasanavadey Buddhika Siksa, Buddhist Studies Journal, (Preah Sihanouk Raja BuddhistUniversity : Phnom Penh, 1959), p. 14.

๒๕๒ ประกาศจดั ตั้งมหาวิทยาลยั ฯ ตามพระราชกฤษฏกี าเลขที่ ๘๗๙ นส . ลงวนั ที่ ๑ กรกฎาคม พ .ศ. ๒๔๙๗ ผา่ นทางรัฐสภาทงั้ ๒ สภาไดม้ ีมติพรอ้ มกนั อนมุ ัตจิ ัดต้งั ขนึ้ ขณะน้นั มีคหบดีใจบุญทา่ นหนึง่ ช่ือ เปงยานได้จัดสรา้ งอาคารมา ๑ หลงั เพอ่ื เป็น สถานที่ศกึ ษาในพน้ื ที่ ๘๐ X ๖๐ เมตรและพระองคท์ รง พระราชทานทรัพย์สว่ นพระองคส์ ่วนหนึง่ เพ่ือสรา้ งอาคารหลงั น้ีด้วย การจดั ตั้งมหาวทิ ยาลยั ฯ ด้วยเหตผุ ลวา่ ประเทศกมั พชู าเป็นประเทศที่นับถือ พระพุทธศาสนาและเป็นศาสนาประจําชาติของกัมพชู าต้งั แต่อดตี ทรี่ ะบบไวใ้ นรฐั ธรรมนูญแหง่ พระ ราชอาณาจกั รกมั พชู าซึง่ มีพระสงฆเ์ ป็นผทู้ าํ หน้าทส่ี ืบทอดพระพทุ ธศาสนาและอบรมส่ังสอนประชาชน ใหม้ ีแนวทางปฎิบตั ิทถี่ ูกตอ้ งตามหลักธรรมคาํ สอนขององค์สมเดจ็ พระสัมมาสมั พุทธเจ้าจงึ จําเปน็ อยา่ ง ยง่ิ ทพี่ ระสงฆ์จะต้องศกึ ษาใหม้ ีความรถู้ อ่ งแท้และนําหลักคาํ สอนมาเผยแผ่สบื ไป วัตถปุ ระสงคก์ ารจดั ตง้ั พทุ ธิกมหาวิทยาลยั พระสหี นรุ าช ๑. เพื่อให้พระสงฆพ์ ุทธศาสนิกชนมคี วามรวู้ ิชาการตา่ งๆ ทัง้ ทางธรรมและทางโลกใหส้ ูงขึ้น สมตามฐานะและกาลเวลาเพราะวา่ ประเทศท่วั โลกในปจั จบุ ันลว้ นแล้วตอ้ งการใหป้ ระชาชนมคี วามรู้ ทกุ ๆ คนโดยพระสงฆ์กเ็ ปน็ ทรพั ยากรบคุ คลทีส่ าํ คญั องคก์ รหน่งึ ในการชว่ ยปลกู ฝังความดีงามแกพ่ ุทธ บรษิ ทั ให้มปี ัญญาปราศจากอบายมขุ ตา่ งๆ ได้ถา้ พระสงฆไ์ ด้รับการศกึ ษาจนมีความรคู้ วามสามารถอาจ บาํ เพญ็ ศาสนกจิ ได้ ๒ กรณีคอื (๑) ช่วยแนะนาํ พลเมอื งในประเทศใหอ้ อกจากทางทเ่ี ป็นอกศุ ลหันมาหาทางทีเ่ ปน็ กุศลได้ (๒) เปน็ ทับพทุ ธธรรมทางพระพทุ ธศาสนาทช่ี ว่ ยฝกึ อบรมสงั่ สอนและประการ พระธรรมขององคพ์ ระบรมครูใหเ้ จริญร่งุ เรอื งทัง้ ในประเทศและตา่ งประเทศ ๒. เพอื่ ทพ่ี ระสงฆ์และพุทธศาสนิกชนกมั พชู าหลุดพน้ จากคํานนิ ทารษิ ยาวา่ โงเ่ ขลาเพราะ คาํ ว่าโง่เขลาเป็นคําหยาบไม่ควรจะมใี นพระสงฆท์ ุกรปู ซงึ่ เป็นท่ีเคารพสกั การะบชู าของพทุ ธศาสนกิ ชน ทว่ั ไป ๓. เมอื่ พระสงฆ์กัมพูชามีความรคู้ วามสามารถแลว้ ชว่ ยบาํ เพญ็ ศาสนกิจทัง้ ในประเทศและ นอกประเทศเพื่อเป็นการรวบรวมพุทธศาสนกิ ชนชาวตา่ งชาตเิ ปน็ บคุ คลท่มี คี ุณคา่ มปี ระโยชนแ์ ละ พระพุทธศาสนากไ็ ด้รับการยกย่องจากพระสงฆ์ทีไ่ ดท้ ําตามหนา้ ท่ขี องศากยบุตร ๔. เพ่ือใหพ้ ระสงฆ์มคี วามรูท้ ่ีสงู ขึน้ กลายเปน็ บณั ฑิตทเ่ี ป็นสมณเพศดว้ ยการบาํ เพ็ญกจิ การ ทางด้านพระพุทธศาสนาและเปน็ เกียรตทิ ีป่ ระเสรฐิ ของพระพทุ ธศาสนาในกัมพูชา จากเปูาประสงค์ทงั้ ๔ ประการถือเป็นภารกิจหลักของพระสงฆท์ ่ีศึกษาในพทุ ธิกมหา วิทยาลัยพระสีหนรุ าชมีการพฒั นาตัวเองอยู่เสมอเพ่อื เชดิ ชสู ถาบันพระพทุ ธศาสนาให้มคี วาม วทิ ยสถานพุทธศาสนบัณฑิต, ประวตั ิพุทธิกศึกษา, หน้า ๔๐–๔๖.

๒๕๓ เจริญรุ่งเรืองอย่างในสมยั มหานครท่ีพระสงฆไ์ ด้รบั การศึกษาและเป็นที่ยอมรับของผู้คนท่ไี ด้พบเหน็ และสนทนาธรรมดว้ ยพร้อมทง้ั สร้างศรทั ธาของคนเหล่านั้นให้ดําเนินชีวิตตามหลกั ธรรมและไม่ ประมาทในการกระทําท้งั ปวงนอกจากน้ี ถ้าหากวา่ บรรพชิตรปู ใดไม่สามารถอยใู่ นสถานะสมณเพศแล้ว เม่ือลาสิกขาออกมากเ็ ปน็ พลเมืองทดี่ ขี องสังคมเป็นผ้มู ีความรู้ความสามารถและดําเนินชวี ิตเป็น แบบอย่างแก่คนอนื่ ไดด้ ว้ ยการประพฤตปิ ฎบิ ัติตามหลักธรรมทางพระพทุ ธศาสนาสมกบั ฐานะ ประชาชนกมั พชู าสมยั ใหม่และเป็นประเทศทม่ี ีเอกราชชาตมิ พี ระพทุ ธศาสนาเปน็ ฐานของรฐั ตัง้ แต่ โบราณจนกระทงั่ ปัจจุบัน เพราะฉะน้นั มคี วามจําเปน็ อย่างยงิ ท่จี ะต้องสรา้ งพระสงฆใ์ หเ้ ปน็ ศาสนทายาทท่ีมี การศกึ ษามีความรูค้ วามสามารถมีประสทิ ธภิ าพมสี มรรถภาพมคี ุณภาพและเป็นแบบอยา่ งในการ ปฎบิ ัติสาํ หรบั พุทธศาสนกิ ชนท้ังหลายทีเ่ คารพนบั ถือและพระพทุ ธศาสนากม็ ีความเจริญรุ่งเรอื งตามมา ดว้ ยโดยการไดร้ ับสนับสนนุ จากทางรัฐบาลและองค์กรต่างๆเขา้ มามีสว่ นชว่ ยสมณศึกษาใหไ้ ดเ้ รยี นใน ระดับตา่ งๆ อย่างท่ัวถึงและทุกสถาบนั การศกึ ษาระดับอดุ มศกึ ษา การจดั การเรียนการสอนระดับอุดมศึกษา สาํ หรบั การจดั การเรยี นการสอนในพุทธกิ มหาวทิ ยาลยั พระสีหนรุ าช ซง่ึ บางหวั ขอ้ ไดก้ ล่าว รายละเอยี ดไวแ้ ล้วในบทที่ ๒ โดยมลี ักษณะเช่นเดยี วกันกับกระบวนการบรหิ ารหรอื วธิ ีการจัด การศึกษาฉะนั้นผู้วิจยั จงึ ขออธิบายในส่วนทเี่ ปน็ ภาพรวมการจดั การศกึ ษาระดบั อดุ มศึกษาของคณะ สงฆ์กัมพูชาตามลําดบั หัวข้อดงั ตอ่ ไปนี้ ๑. การบริหารงานวชิ าการ การบรหิ ารงานวิชาการ หมายถึงเป็นงานหลกั ท่ผี ้บู รหิ ารให้ความสาํ คัญเป็นอันดับแรกใน การดําเนินงานการจดั การวางแผนและออกนโยบายต่างๆ เพอื่ ใหบ้ คุ ลากรทางการศึกษาไดป้ ฎิบัติงาน ตามหนา้ ที่ซึง่ ไดร้ ับมอบหมายไวพ้ รอ้ มทง้ั ปฎบิ ัติงานนน้ั ๆ ให้สาํ เรจ็ ลุล่วงดว้ ยดีเน่ืองจากการบริหารงาน วชิ าการมีความเก่ยี วข้องกับกิจกรรมทกุ ชนิดในสถาบนั ศกึ ษาโดยเฉพาะเกย่ี วกบั การปรบั ปรงุ คณุ ภาพ การเรยี นการสอนให้มปี ระสทิ ธิภาพถอื เป็นจุดหมายหลักของสถานศกึ ษาเปน็ เครอื่ งช้วี ัดความสําเร็จ และความสามารถของผบู้ ริหารศกึ ษาดว้ ย ดังนั้นสาํ หรบั ผบู้ รหิ ารของพทุ ธิกมหาวิทยาพระสีหนรุ าชนบั ตง้ั แต่ ปีพ.ศ. ๒๕๔๒ – ๒๕๔๖ ผบู้ ริหารพทุ ธิกมหาวทิ ยาลัยพระสีหนรุ าชคือนายฮงี ยานเป็นประธาน นายเรืองยนุ รองประธาน มี หนา้ ทีร่ บั ผดิ ชอบแผนกเทคนคิ และนายโต้จณารามีหนา้ ท่ีรบั ผิดชอบแผนกรฐั บาลแตใ่ นปี พ .ศ. ๒๕๔๖ เป็นต้นมาผบู้ ริหารท้ัง ๓ ท่านเป็นทป่ี รกึ ษาของพทุ ธกิ สากลวิทยาลยั พระสหี นุราชโดยอยู่ภายใตก้ าร กํากับดูแลโดยกระทรวงธรรมการและศาสนา การเปลีย่ นแปลงระบบการบรหิ ารจดั การของพุทธิกศึกษาน้ี กลา่ วคือเปน็ ไปตามทไ่ี ด้ ประกาศไวใ้ นพระราชกฤษฎกี า เลขท่ี ๘๘ ลงวนั ที่ ๒๘ สงิ หาคม ค.ศ. ๒๐๐๖ รัฐบาลกัมพูชาไดจ้ ัดต้งั

๒๕๔ ใหม้ คี ณะกรรมการบรหิ ารพทุ ธกิ ศึกษาชาตแิ หง่ พระราชอาณาจักรกมั พชู าซงึ่ มีหนา้ ท่ีรับผิดชอบบริหาร จดั การศึกษาต้งั แต่ระดับพุทธปิ ฐมศกึ ษาจนถงึ พทุ ธิกอุดมศกึ ษาทว่ั ประเทศตามความในมาตรา ๒ แห่ง พระราชกฤษฎกี านี้ ไดก้ ําหนดบทบาทหน้าทแี่ ละภาระงานของสถาบันพทุ ธิกศกึ ษาดังต่อไปนี้ ๑. บรหิ ารปกครองและปรบั ปรุงการจัดการศึกษา ให้มีพฒั นาการเปน็ ไปตามกรรมวธิ ี การศึกษาของกระทรวงอบรมเยาวชนและกีฬา ๒. สนบั สนนุ แนวนโยบายการจัดการศึกษาทางด้านพระพทุ ธศาสนาแผนกธรรมวินัยบาลี และสันสกฤต ๓. ตรวจสอบโครงสร้างปรับปรุงและเผยแผก่ ารจัดการศกึ ษาเปน็ ไปตามนโยบายของ รฐั บาล ๔. กาํ หนดปฏิทนิ การศกึ ษาใหช้ ดั เจนสําหรบั ลงไปประเมินตามศาลาพุทธิกปฐมศึกษา จนถงึ ระดับอุดมศกึ ษาท่วั ทั้งประเทศเก่ยี วกบั การประกันคุณภาพการศกึ ษาทกุ ระดบั ช้นั ๕. กาํ หนดจุดประสงค์และตรวจสอบความถกู ตอ้ งเพ่อื คดั เลอื กข้อสอบสําหรับนําไปจัด สอบวดั ผลประเมินผลการจดั การศึกษาทุกระดับชั้น ๖. ปรึกษาหารอื กันเพอื่ แตง่ ต้งั ครอู าจารย์สาํ หรับจัดการเรียนการสอน ดว้ ยการสนับสนนุ การจดั การศึกษาครูพทุ ธิกศกึ ษาในสมณเพศหรอื คฤหสั ถ์เพ่ือปรับปรุงการศึกษาระดับการศกึ ษาขนั้ พนื้ ฐาน ๗. กําหนดนโยบายเพือ่ การจัดตัง้ สถานศกึ ษาพุทธิกปฐมศกึ ษาตลอดทงั้ ระดับอดุ มศกึ ษา กอ่ นท่ีจะผา่ นกระทรวงธรรมการและศาสนา ๘. การประสานงานทง้ั หลายกบั ประเทศทีน่ ับถอื พระพทุ ธศาสนาเถรวาทและมีองคก์ ร การศึกษาทางพทุ ธิกศึกษาเพอ่ื ใหค้ ณะผู้บรหิ ารและสมณนิสติ ไดไ้ ปศึกษาดูงานตามกรรมวธิ ีท่กี ําหนดไว้ อยา่ งชดั เจน ส่วนความในมาตรา ๓ ได้กาหนดบทบาทหน้าทีข่ องผู้บริหารดังต่อไปนี้ ๑ . สมเดจ็ พระมหาสเุ มธาธิบดี นน แงด ประธาน ๒ . สมเด็จพระธรรมลิขิต ลอ สลาย รองประธาน ๓ . สมเด็จพระอุดมมนุ ี เฮง ลางเฮา รองประธาน ๔ . สมเดจ็ พระวันรัตน์ ณอย จรึก รองประธาน ๕ . สมเด็จพระโพธิวงศ์ อม ลมี เฮง รองประธาน ๖ . สมเด็จพระอดุ มวงศา มว้ ง รา รองประธาน ๗ . พระโฆสธรรม เสาร์ จันทร์ธลุ รองประธานและเลขาธิการ ๘ . พระสทั ธรรมโกศล เจยี สาํ อาง รองประธาน

๒๕๕ โดยภาระงานทั้งหมดทีเ่ กยี่ วขอ้ งกับการจดั การศึกษาพุทธกิ ศกึ ษาตามความในมาตรา ๔ คอื ได้มอบอาํ นาจใหพ้ ลเอกมินคนิ (H.E. Min Kin) เปน็ ตวั แทนของกระทรวงธรรมการและศาสนา รบั ผดิ ชอบและสหการกบั ผบู้ รหิ ารพุทธกิ ศกึ ษาแหง่ ชาติในพระราชาอาณาจักรกัมพูชา ดงั นัน้ การปรบั เปลีย่ นระบบการบรหิ ารนี้ ถอื เปน็ ประวัตศิ าสตร์ของการศึกษาแผนกพุทธกิ ศึกษาทีไ่ ดร้ บั สนับสนุนจากรฐั บาลอยา่ งจริงจงั และอย่ภู ายใต้การบริหารงานโดยสมเดจ็ พระมหาสุ เมธาธิบดแี ละกระทรวงธรรมการและศาสนาซ่งึ มเี ปาู หมายอย่างชดั เจนในการพัฒนาการจดั การศึกษา แผนกพุทธิกศึกษาใหเ้ ปน็ ไปตามนโยบายของรัฐเพอื่ ส่งเสรมิ ให้การศกึ ษาของพระสงฆม์ คี วามกา้ วหน้า อย่างนานาอารยประเทศในโลกโดยเฉพาะประเทศทนี่ บั ถือพระพุทธศาสนาซ่งึ การบรหิ ารจดั การ ดังกลา่ วนี้ ผู้ศึกษาจะเขยี นสรปุ เป็นแผนผังงาน (Plan) ของการบริหารงานดงั แผนภูมติ ่อไปนี้ แผนภูมิท่ี ๔.๗ การจัดระบบสายงานของพุทธิกมหาวิทยาลัยพระสีหนุราช สภามหาวิทยาลยั อธิการบดี รองเลขานกุ ารฝ่ายธุรการ รองอธิการบดีฝ่ายวชิ าการ รองเลขานกุ ารฝ่ายวชิ าการ เลขานุการ รองเลขานกุ ารฝา่ ยธุรการ คณะกรรมการพุทธิกศกึ ษา วิชาการ กระทรวงธรรมการและศาสนา กระทรวงอบรมเยาวชนและกีฬา สานกั งานเลขานกุ าร คณะบดี ผู้อานวยการสานกั /ศูนย/์ สถาบัน/ หัวหน้าคณะวชิ าต่างๆ โรงเรยี น/พุทธกิ วทิ ยาลยั วิทยสถานพทุ ธศาสนบัณฑติ , ประวัติพทุ ธกิ ศกึ ษา, หนา้ ๗๘–๘๐.

๒๕๖ จากแผนภูมิ อธบิ ายได้วา่ กิจกรรมทุกชนิดท่ที างสถาบันพุทธิกศึกษาไดด้ าํ เนินการเชน่ การ จดั ตัง้ สํานกั เรยี นการแต่งต้ังครูอาจารย์การออกขอ้ สอบประเมินผลปลายภาคทกุ ปีการศึกษาจะตอ้ ง ผ่านทางกระทรวงธรรมการและศาสนากระทรวงอบรมเยาวชนและกีฬาไดร้ บั ความเหน็ ชอบเสียก่อนจึง จะสามารถดาํ เนินการไดโ้ ดยการแจ้งประกาศเปน็ ทางการให้รับทราบท่ัวกนั เพื่อใหก้ ารจดั การศกึ ษา แผนกพทุ ธิกศกึ ษามคี วามเจรญิ ก้าวหน้าและมคี ณุ ภาพเทา่ กันกบั สถาบนั การศกึ ษาของรฐั ทกุ ประการ ๒. การจัดหลักสูตรการเรียนการสอน การจัดหลักสูตรการเรยี นการสอนของพทุ ธิกสากลวิทยาลัยพระสหี นุราช ปจั จุบนั ไดแ้ บง่ การเรียนการสอนออกเป็น ๔ คณะและศนู ย์การศกึ ษา ๑ ศนู ย์ดังนี้ (๑) คณะปรชั ญาและศาสนา (Faculty of Philosophy and Religions) (๒) คณะครศุ าสตรแ์ ละเทคโนโลยีสารสนเทศ (Faculty of Education and Information Technology) (๓) คณะวรรณคดภี าษาเขมร (Faculty of Khmer Literature) (๔) คณะภาษาบาลี - สันสกฤตและภาษาตา่ งประเทศ (Faculty of Pali - Sanskrit and Foreign Languages) (๕) ศูนย์ฝึกอบรมครู (Center of Teacher Training) การจดั หลกั สูตรการเรยี นการสอนทัง้ ๔ คณะและ ๑ ศูนยก์ ารศกึ ษา ไดแ้ บ่งการจัดการ เรยี นการสอนออกเปน็ ๓ ภมู ิศกึ ษา (ระดบั ) ดงั น้ี คอื (๑) ภูมิศกึ ษาช้นั สูงที่ ๑ หรอื อุดมศึกษาปฐมภมู ิ ในภมู ิศึกษานี้ ผู้ท่สี ามารถเข้าเรียนได้กต็ ่อเมอ่ื มีวฒุ กิ ารศึกษามธั ยมศกึ ษาจากพุทธิกมัธ ศกึ ษาหรือมวี ุฒมิ ธั ยมศึกษาตอนปลาย (High School = Grade ๑๒) จากกระทรวง อบรมเยาวชนและกีฬาการศึกษาในภูมิศกึ ษาน้ีใช้เวลาเรยี น ๓ ปี เมือ่ เรยี นจบทั้ง ๓ ปีแล้ว ถา้ ได้ สอบผ่านกจ็ ะไดร้ บั สญั ญาบตั รชั้นสงู ท่ี ๑ วทิ ยสถานพุทธศาสนบณั ฑิต, ประวตั ิพุทธกิ ศกึ ษา, หน้า ๔๗–๕๑. นติ ยสารปนลือจกั ร เลขที่ ๒๑ เดือนมกราคม-กมุ ภาพันธ-์ มนี าคม ค.ศ. ๑๙๖๖, หนา้ ๖๐.

๒๕๗ (๒) ภมู ิศึกษาชั้นสงู ท่ี ๒ หรอื อุดมศึกษาทตุ ิยภูมิ การศึกษาในภูมิศกึ ษานี้ ผ้ทู ส่ี ามารถเขา้ เรียนไดก้ ็ต่อเมื่อมีวฒุ ิการศึกษาช้ันสงู ทางด้าน พระพุทธศาสนาชนั้ สงู ที่ ๑ หรอื วฒุ ิการศึกษาเทียบเทา่ จากกระทรวงอบรมเยาวชนและกฬี าเปน็ ผอู้ นุมตั ิและใชเ้ วลาเรียน ๔ ปี (๓) ภูมศิ กึ ษาชน้ั สูงที่ ๓ หรืออุดมศึกษาตติยภูมิ การศกึ ษาในภูมศิ ึกษานี้ ผ้ทู ส่ี ามารถเขา้ เรียนไดก้ ็ตอ่ เมือ่ มีวุฒกิ ารศกึ ษาช้ันสูงทางดา้ น พระพทุ ธศาสนาชน้ั สูงท่ี ๒ (ปรญิ ญาบัตขิ องมหาวทิ ยาลยั พระพทุ ธศาสนา) หรือวุฒกิ ารศกึ ษาเทยี บเทา่ จากกระทรวงอบรมเยาวชนและกฬี าเปน็ ผอู้ นุมัติการศกึ ษาในภูมิศกึ ษาน้มี ีเวลาเรียนอย่างนอ้ ย ๓ ปี แลว้ ได้ผา่ นการนพิ นธเ์ รือ่ งราวอย่างใดอยา่ งหนง่ึ แล้วตีพิมพเ์ รียกว่า บณั ฑิตมหาวิทยาลยั พทุ ธศาสนา นอกจากน้ี มีขอ้ สังเกตอยา่ งหนงึ่ เรอื่ งของ วุฒกิ ารศกึ ษา หรือ ปรญิ ญาบัตร ของผทู้ ่ีสําเร็จ การศกึ ษาทางประเทศกมั พชู าจะมกี ารเรียกแตกตา่ งจากประเทศไทยดงั นี้ คอื ๑ ) จบระดับปริญญาตรี เรยี กวา่ ปริญญาบตั ร ๒ ) จบระดับปรญิ ญาโท เรยี กวา่ อนบุ ณั ฑิต ๓ ) จบระดับปรญิ ญาเอก เรยี กว่า บัณฑติ ส่วนโครงสร้างหลกั สตู รและวชิ าท่ีได้ดําเนินการจดั การเรยี นการสอนและกาํ ลงั ปรับปรงุ และอนมุ ตั เิ ห็นชอบจากรฐั มนตรกี ระทรวงธรรมการและศาสานากับกระทรวงอบรมเยาวชน และกีฬาเพือ่ จัดการเรียนสอนในปี พ.ศ. ๒๕๕๓ มดี งั น้ี คือ (๑) คณะวรรณคดีภาษาเขมร (Faculty of Khmer Literature) (๒) คณะภาษาบาลี - สันสกฤตและภาษาต่างประเทศ (Faculty of Pali - Sanskrit and Foreign Languages) และ (๓) ศนู ย์ฝกึ อบรมครู (Center of Teacher Training) ส่วนรายละเอยี ดของโครงสรา้ งหลกั สูตรและรายวชิ าได้ดําเนินการจัดการศกึ ษาเปน็ ท่ี เรยี บร้อยแล้ว ในพทุ ธิกสากลวิทยาลัยพระสีหนรุ าชาดงั ตารางตอ่ ไปนี้ ตารางที่ ๔.๘ โครงสรา้ งหลกั สตู รพุทธิกสากลวิทยาลัยพระสหี นรุ าช คณะปรัชญาและศาสนา คณะครุศาสตร์และเทคโนโลยสี ารสนเทศ ๑. ศึกษาคัมภีรพ์ ระไตรปฎิ ก ๑. วฒั นธรรมอารยิ ธรรม ๒. ฉบบั รัฐธรรมนูญ ๒. วิทยาศาสตรน์ โยบาย ๓. กฎหมายอาญา ๓. รัฐบาลอบรม ๔. กฎหมายแพ่ง ๔. ปรชั ญาทั่วไป ๕. ปรัชญา ๕. กฎหมายการศกึ ษา ๖. สัมคมวิทยา ๖. รัฐศาสตร์สําหรบั ครู ๗. เศรษฐศาสตร์ ๗. เศรษฐศาสตร์สําหรบั ครู

๒๕๘ ๘. ภาษาองั กฤษภาษาฝรัง่ เศส ๘. หลักการสอนของพระพทุ ธเจา้ ๙. ศาสนาเปรยี บเทยี บ ๙. ประวตั ิพระพุทธศาสนา ๑๐. ศาสนามหายานหนี ยาน ๑๐. การวจิ ัยทางการศึกษา ๑๑. บรรณารกั ษศาสตร์ ๑๑. อักษรศาสตรบ์ าลี ๑๒.ตกวทิ ยาปรมัตวทิ ยาจติ วทิ ยา ๑๒. พระสงฆ์กับการศึกษา ๑๓.วทิ ยาศาสตรอ์ บรม ๑๓.ภาษาองั กฤษภาษาฝร่ังเศส ๑๔.ปรัชญาพื้นฐานของศลี ธรรมสากล ๑๔.ปรชั ญาการศกึ ษา ๑๕.ปรชั ญาวทิ ยาศาสตรน์ ิยม ๑๕.ทฤษฎกี ารศึกษา ๑๖. กิจสหปฏิบตั กิ ารสากล ๑๖. การศึกษาตามหลกั พระพุทธศาสนา ๑๗.สงั คมวทิ ยาอบรม ๑๘.ประวตั ิจิตวิทยา ๑๙. พระพทุ ธศาสนามหายาน ๒๐. พระสตู ร คณะวรรณคดภี าษาเขมร (กาํ ลังปรบั ปรุง ศนู ยฝ์ ึกอบรมครู (กําลงั ปรับปรงุ หลักสูตร) หลกั สตู ร) คณะภาษาบาลี - สันสกฤตและ ภาษาตา่ งประเทศ (กาํ ลังปรบั ปรุงหลักสูตร) ที่มา : วิทยสถานพุทธศาสนบณั ฑติ , ประวัตพิ ุทธกิ ศึกษา, หน้า ๗๐–๗๓. ๓. ผู้สอน ผูส้ อน หรือ ครู ตามความหมายในพจนานกุ รมเขมร ซ่งึ ได้รจนาโดยสมเด็จพระมหาสุ เมธาธบิ ดีสมเดจ็ พระสงั ฆราชสังฆนายกคณะมหานกิ ายจ้วนณาต (Somdechpreahsanghareach Chuon Nath) ไดใ้ หค้ าํ จํากัดความคําวา่ ครู หมายถงึ เปน็ ผู้ที่มจี ติ ใจหนกั , เปน็ ผทู้ ่ีถกู เคารพ, และเปน็ ผู้ ท่สี อนศลิ ปะวทิ ยาการตา่ งๆ แก่ศิษย์ ส่วนคําว่าอาจารย์หรืออาจาริย หมายถึงผ้ใู หก้ ารศึกษาอบรม และเรียนวิชาความรู้ในทางคัมภรี ์พระพทุ ธศาสนาไดแ้ บง่ ออกเป็น ๕ ประการคอื (๑) บรรพชาจารย์คือ อาจารยใ์ นบรรพชา (๒) อุปสมั ปทาจารยค์ อื อาจารย์ในอุปสมบท (๓) อุทเทศาจารย์คืออาจารยส์ อน บาลี (๔) นสิ สยาจารยค์ ืออาจารย์ใหน้ ิสัยและ (๕) ธรรมาจารย์คอื อาจารย์สอนธรรม สมเดจ็ พระมหาสเุ มธาธิบดจี วนณาต (จ.ณ. โชตญาณโณ), พจนานุกรมเขมรภาคท่ี ๑ - ๒, พิมพค์ ร้ังท่ี ๕ (พนมเปญ : พุทธศาสนบณั ฑิต, ๒๕๑๑), หนา้ ๙๘. เร่ืองเดียวกนั , หนา้ ๑๗๖ – ๑๗๗.

๒๕๙ สําหรับบุคลากรทางการศกึ ษา ทร่ี ับผดิ ชอบในการสอนของสถาบันการศกึ ษาพุทธกิ สากล วทิ ยาลัยพระสหี นรุ าชในปจั จบุ นั มที ง้ั บรรพชิตและคฤหัสถ์ที่เข้ามาจดั การเรียนการสอนใน สถาบนั การศกึ ษาแห่งน้ี ซึง่ ผู้สอนก็จบการศกึ ษาจากศาลาบาลชี น้ั สูงโดยเฉพาะคฤหสั ถ์ก็เป็นผทู้ เี่ คย บวชเรียนมากอ่ นแล้วสึกลาสิกขาเพศออกไปมาสมัครเป็นครูอาจารย์ในมหาวิทยาลยั ฯ แหง่ นี้ โดยได้รบั ความเห็นชอบหรอื ได้สอบคดั เลอื กจากกระทรวงธรรมการและศาสนากับกระทรวงอบรมเยาวชนและ กีฬาจึงจะสามารถสอนเข้ามาสอนได้นอกจากน้ี ยังมผี ู้เช่ยี วชาญดา้ นวชิ าการต่างๆ หรืออาจารย์พิเศษ เขา้ มาสอนในสถานบนั การศกึ ษานี้ แตต่ ้องได้รบั ความเห็นจากทงั้ ๒ กระทรวงดงั กล่าวด้วยโดยใน ปจั จุบันมคี ณาจารย์ท่ีสอนในแตค่ ณะแต่ละสาขาวิชานัน้ มจี ํานวน ๔๘ ท่านและได้รับเงินเดือนจาก รฐั บาลเปน็ ผสู้ นับสนุนซ่งึ เงินเดอื นเพือ่ ตอบแทนครอู าจารย์ท่ีสอนนี้ ยงั ไมท่ วั่ ถึง โดยเฉพาะครอู าจารย์ที่ สอนในระดับพุทธิกศกึ ษาทัง้ ๒ แผนกคือแผนกธรรมวนิ ัย และแผนกพทุ ธกิ ศึกษาทง้ั ๓ ชน้ั ท่อี ยู่ตาม จงั หวัดต่างๆ ทว่ั ประเทศส่วนเงินเดอื นทไี่ ดน้ าํ มาเป็นคา่ ตอบแทนครูอาจารย์เจา้ อาวาสวดั ตา่ งๆ พร้อม ด้วยอุบาสกอบุ าสกิ าเปน็ ผู้จดั หาและดําเนินการเองแม้เป็นเพียงเงินเล็กนอ้ ยก็เต็มใจทจ่ี ะสอนต่อไป ดังนน้ั การพัฒนาวิชาชีพครูให้เป็นวิชาชีพชน้ั สงู นนั้ ผ้วู จิ ยั เห็นวา่ ทางรัฐบาลและกระทรวง ธรรมการและศาสนา กับกระทรวงอบรมเยาวชน และกฬี าจะตอ้ งทบทวนกระบวนการเกย่ี วกับครู ทั้งหมด ไม่ว่าจะครทู างธรรม หรอื ครทู างโลกทุกระดบั ช้นั ควรสนับสนนุ องค์กรวชิ าชีพครู ซ่ึงเปน็ วิชาชพี ทีห่ นกั และเป็นวิชาชพี ทสี่ อนคนใหเ้ ปน็ มนุษย์ท่สี มบูรณ์ด้วยรา่ งกายจติ ใจ และสตปิ ัญญาของ การพฒั นาประเทศชาตใิ หเ้ จรญิ รุง่ เรืองเท่าทันกบั อารยประเทศ ท้งั หลายทีย่ กย่องใหเ้ กยี รติองค์กรครู เปน็ วิชาชพี ช้ันสงู พรอ้ มท้ังได้รับเงินเดือนมากกวา่ วิชาชพี อ่ืนๆ ฉะนน้ั ตอ้ งวางระบบเงนิ เดอื นครู สวสั ดกิ าร และสิทธิประโยชนเ์ กอื้ กูลและระบบการสร้างขวญั กําลังใจรวมทงั้ สง่ เสรมิ การผลิตและ พัฒนาบคุ ลากรให้สอดคลอ้ งกับผเู้ รียนแตล่ ะพนื้ ทพี่ รอ้ มท้งั พัฒนามาตรฐาน และจรรยาบรรณของ วิชาชพี กบั แนวทางวธิ กี ารใหห้ นว่ ยงานทางราชการการศกึ ษาระดมทรัพยากรบุคคลในชมุ ชนให้มสี ว่ น ร่วมในการจัดการศกึ ษาด้วยจงึ จะสามารถพัฒนาประเทศให้เจรญิ ได้ด้วย เรม่ิ ต้นที่กระบวนการพัฒนา คน ๔. ผเู้ รยี น ผเู้ รียนหมายถงึ เป็นผู้ท่สี ําเรจ็ การศึกษาภาคบังคับ ๑๒ ปที ี่ทางรฐั บาลไดจ้ ัดการข้นึ ทัง้ ของ ภาครัฐและเอกชนโดยเปน็ ไปตามความในมาตรา ๖๘ ฉบับรฐั ธรรมนญู แห่งพระราชอาณาจกั รกมั พูชา รฐั ชว่ ยจัดการศกึ ษาแผนกปฐมศกึ ษาและมัธยมศึกษาตามโรงเรียนของรฐั โดยไมเ่ สยี คา่ ใช้จา่ ยประชาชน ทกุ คนมสี ิทธิไดร้ บั การศึกษาอย่างนอ้ ย ๙ ปีรฐั ชว่ ยเผยแผ่และสนบั สนนุ ศาลาบาลแี ละพทุ ธกิ ศกึ ษา ลีสุวีระ, พฒั นาการประวตั ิศาลาบาลีชัน้ สูงพระราชบรรณาลยั และกรมชุมนมุ ๓, หน้า ๘๒.

๒๖๐ จากฉบับรัฐธรรมนญู น้ี แสดงใหเ้ ห็นว่ารฐั บาลไดจ้ ัดการศกึ ษาและสนับสนนุ การศึกษาท้งั แผนกพทุ ธจักรและอาณาจกั รอย่างท่ัว ถึงโดยเฉพาะการจดั กาศึกษาของเยาวชนน้นั เปน็ ไปตามอายุ ของการเข้าศกึ ษาที่รัฐบาลไดก้ ําหนดไว้ ส่วนของพระสงฆ์น้นั มคี วามหลากหลายในเร่อื งของอายุไม่ เป็นไปตามเกณฑก์ ารศกึ ษาข้นั พนื้ ฐานเพราะพระสงฆส์ ามเณรหลายรปู เขา้ มาบวชเรียนนัน้ มีอายุมาก แล้วโดยบางรปู นน้ั อายุ ๒๐ กว่าจงึ จะไดเ้ ขา้ เรียนในพทุ ธิมธั ยมศึกษาด้วยเหตุท่ีว่าระบบการสอบเข้า เรียนตอ่ ในระดับมธั ยมศึกษาชนั้ ที่ ๓ และมัธยมศกึ ษาชั้นปีที่ ๖ ต้องสอบผ่านจึงจะสามารถเรยี นตอ่ ได้ คือว่ามีระบบการเรียนซ้าํ ชน้ั เช่นมัธยมศกึ ษาช้นั ปที ี่ ๓ สอบเขา้ เรียนตอ่ มัธยมศกึ ษาชั้นปที ี่ ๔ และ มธั ยมศกึ ษาช้นั ปีท่ี ๖ จะตอ้ งสอบจบไดก้ ่อนแลว้ จงึ สอบเข้ามหาวิทยาลัยโดยในระดบั มธั ยมศึกษาชัน้ ปี ที่ ๖ น้นั แตล่ ะปีมีผสู้ อบไม่ผ่านเป็นจํานวนมากแล้วตอ้ งเรียนซ้ําชั้นอีก ๑ – ๒ ปซี ึ่งผศู้ กึ ษาไดก้ ลา่ วไว้ แลว้ เกี่ยวกับการวดั ผลประเมินผลการศึกษาพุทธกิ มธั ยศกึ ษาและเม่อื ได้สอบผ่านมธั ยมศึกษาชนั้ ปที ี่ ๖ แลว้ กต็ อ้ งสอบเรียนต่อในมหาวทิ ยาลัยอีกหลายปีจึงสอบผ่านและรบั จํานวนจํากัดในการเขา้ ศกึ ษาด้วย โดยเฉพาะในพุทธสิ ากลวทิ ยาลัยดงั เหน็ ได้จากตารางการรบั เข้าศกึ ษาต่อระดบั อุดมศกึ ษาดังนี้ ตารางท่ี ๔.๙ จานวนสมณนิสิต–นักศกึ ษาทีส่ อบเข้าศกึ ษาชน้ั ปที ี่ ๑ ทุกปกี ารศกึ ษา คณะสาขาวิชา ปกี ารศกึ ษา ปีการศึกษา ปีการศึกษา ปีการศกึ ษา ปีการศึกษา ชั้นปีท่ี ๑ ๒๕๔๘-๔๙ ๒๕๔๙-๕๐ ๒๕๕๐-๕๑ ๒๕๕๑-๕๒ ๒๕๕๒-๕๓ ปรชั ญาและ ๕๐รูป ๕๐รูป ๕๐รูป ๕๐รูป ๕๐รูป ศาสนา คณะครุศาสตร์ ๕๐รปู ๕๐รปู ๕๐รูป ๕๐รูป ๕๐รปู และเทคโนโลยี สารสนเทศ คณะวรรณคดี ๕๐รปู ๕๐รูป ๕๐รูป ๕๐รปู ภาษาเขมร คณะภาษาบาลี- ๕๐รูป ๕๐รปู ๕๐รูป สนั สกฤตและ ภาษาตา่ งประเทศ ศูนย์ฝึกอบรมครู ๕๐รปู ๕๐รูป ๕๐รูป ๕๐รปู สรปุ /ปี ๑๐๐รปู ๒๐๐รปู ๒๕๐รปู ๒๕๐รปู ๒๕๐รปู ท่มี า : วิทยสถานพุทธศาสนบัณฑติ , ประวตั ิพุทธกิ ศกึ ษา, หน้า ๖๙.

๒๖๑ ซึ่งจากจาํ นวนของพระนิสิตท่ีสอบเข้าศกึ ษาในระดับอมุ ดมศึกษาดงั ในตารางถอื วา่ มจี าํ นวน จาํ กัดประมาณ ๒๕๐ รูป ต่อปีถา้ เทยี บกับอตั ราของพระสงฆ์สามเณรทศี่ กึ ษาจบแต่ละปีและสอบเข้า ศึกษาต่อมีจํานวนประมาณ ๖ ,๐๐๐ - ๗,๐๐๐ รปู ท้ังสอบผา่ นและก็สอบตกด้วยโดยผ้สู อบผา่ นนั้น จะต้องคัดเลอื กผู้ทีส่ อบไดค้ ะแนนสูงสดุ และนับลงมาจนถงึ จาํ นวนทีท่ างมหาวิทยาลยั กําหนดไว้จงึ ได้ ศึกษาตอ่ นอกนั้นกจ็ ะต้องรออีก ๑ – ๓ ปี จึงสามารถเข้ามาศกึ ษาตอ่ ได้ จากเหตุผลนี้ ทําให้พระสงฆเ์ ป็นจํานวนมากจาํ เปน็ ตอ้ งไปศกึ ษาในสถาบนั การอุดมศึกษา อื่นๆ ท้ังของภาครัฐและเอกชนหลังจากทร่ี ัฐบาลไดอ้ นุญาตให้พระสงฆ์สามเณรสามารถเขา้ ศกึ ษาต่อ ตามสถาบนั อุดมศึกษาโดยเสรไี ม่มกี ฎข้อบังคบั ซง่ึ ในเรอ่ื งน้ี ตอนทผ่ี วู้ จิ ัยลงไปศึกษาขอ้ มลู สังเกตเหน็ วา่ พระสงฆ์ออกจากวดั ตา่ งๆ ในเมืองหลวงเวลาโดยประมาณ ๑๘ .๐๐ น .ขึน้ รถไปศกึ ษาตาม สถาบันการศึกษาทม่ี ีคณะวิชาที่ตนเองชอบแล้วก็กลับวัดกป็ ระมาณ ๒๑.๐๐ น.หรอื กม็ ากกว่าน้ันและก็ มีพระสงฆ์ไมน่ อ้ ยที่ออกไปศึกษาในต่างประเทศทม่ี หาวิทยาลัยทางดา้ นพระพทุ ธศาสนาการท่ีพระสงฆ์ ออกไปศึกษาระดับอุมศึกษาดังกลา่ วอาจจะมีผลกระทบตอ่ สถาบนั พระพุทธศาสนาใน ๒ กรณคี ือผลดี และผลเสียดงั น้ี ๑) ผลดี คือ พระภิกษุสามเณรมีความใฝเุ รยี นรแู้ ละพฒั นาความรูข้ องตัวเองให้สูงข้นึ เป็น สากลในระดับตา่ งๆ โดยเฉพาะมหาวิทยาลยั เอกชนซ่ึงมีมากกว่าของรฐั บาลโดยผศู้ ึกษาได้เข้าดูวิธีการ จดั การศกึ ษาในหอ้ งเรยี นดว้ ยกจ็ ะเหน็ ว่ามพี ระสงฆ์ประมาณ ๓ – ๔ รปู นอกนัน้ กม็ ีนกั ศึกษาท้งั หญิง – ชาย หลายวชิ าชีพ และมีชาวต่างชาตมิ าเรียนร่วมกนั ด้วยเพราะวธิ กี ารเรียนการสอนนั้นจะใช้ ภาษาอังกฤษในการสื่อสารท้งั หมดเอกสารศึกษาคน้ คว้าจะเปน็ ภาษาต่างประเทศเปน็ ส่วนใหญส่ ว่ น ๒) ผลเสยี คือ พระภกิ ษสุ ามเณรจาํ นวนมากอาจจะละเลยหรอื มไิ ดป้ ฎิบตั ิตนตามศาสน ทายาทหรอื ไม่สนใจศึกษาทางด้านพระพุทธศาสนาและเป็นผูช้ ้นี าํ หลกั การปฎิบตั แิ ก่พุทธศาสนิกชนก็ เปน็ ได้แตเ่ หตุผลนี้ มาโทษท่พี ระสงฆส์ ามเณรกค็ งไมไ่ ด้ต้องกลับไปดทู ี่กระทรวงธรรมการและศาสนา กับกระทรวงอบรมเยาวชนและกฬี า (Ministry of Education Youth and Sport) และรัฐบาลได้เข้า มาสนับสนนุ อย่างทว่ั ถงึ ทุกดา้ นหรือยังและปรับปรุงโครงสรา้ งอาคารเรยี นและขยายการจดั การศึกษา ไปยังจงั หวดั ต่างๆ พร้อมทัง้ จดั จ้างครูสอนและงบประมาณสนบั สนุนอยา่ งอนี่ ๆ เพียงพอหรอื ยังตอ้ ง คํานงึ ถงึ ตรงจุดน้เี ปน็ สาํ คัญ แต่อย่างไรกต็ ามปัจจบุ นั แมพ้ ระสงฆ์จะออกไปศกึ ษาข้างนอกและศึกษาวิชาชพี อน่ื ๆ นอกจากพระพุทธศานาแต่กม็ เี ยาวชนใหค้ วามสาํ คัญต่อการศกึ ษาทางดา้ นพระพุทธศาสนาในคณะ ปรชั ญาและศาสนาท่ีพุทธสิ ากลวทิ ยาลัยพระสีหนุราชประจําจังหวดั พระตะปองท่ขี ยายการจัด การศกึ ษาเพ่ิมขนึ้ โดยมนี กั ศกึ ษาเปน็ จาํ นวนมากและก็เพม่ิ ข้ึนเรือ่ ยๆ ด้วยเหตนุ ้ี ผู้วิจยั เหน็ วา่ ทุกองค์กร ทางการศกึ ษาควรทจี่ ะสนบั สนนุ เยาวชนใหไ้ ด้ศึกษาในสถาบันการศึกษาพทุ ธิกสากลวทิ ยาลยั ทีพ่ ระวร

๒๖๒ บดิ าแหง่ ชาตทิ รงจดั ตั้งขน้ึ ถอื วา่ เปน็ เกียรตยิ ศและมคี วามภาคภมู ใิ จทไ่ี ด้ศึกษาในสถาบนั พทุ ธิกศกึ ษาซ่ึง เปน็ สถาบันท่ีมมี าควบคู่กับการศกึ ษาของชาตโิ ดยตลอดมาหลายราชกาลจนกระทัง่ ปัจจุบัน ๕. กจิ กรรมการเรยี นการสอน การจัดกจิ กรรมการเรียนการสอน หมายถงึ เปน็ กจิ กรรมทส่ี ําคญั ของทกุ สถาบนั การศกึ ษาท่ี ผบู้ รหิ ารสถานศกึ ษาจะต้องคาํ นกึ ถึง และวางนโยบายจดั การศึกษาใหป้ ระสบผลสาํ เรจ็ โดยมอบหมาย ภาระหน้าท่มี าสายบุคลากรทางสายครอู าจารยเ์ ปน็ ผดู้ าํ เนินการและพิจารรณาเลือกสรรวิธกี ารสอนที่ เหมาะสมตามในรายวชิ าทกี่ าํ หนดขึ้นตามหลกั สูตร และนํามาจัดการเรียนการสอนเพ่ือสรา้ ง ประสบการณ์ และถ่ายทอดความรดู้ ว้ ยวธิ กี ารฝึกอบรมสืบสานและอนรุ กั ษ์วฒั นธรรมดงี ามของชาติ พรอ้ มทัง้ สร้างสรรค์ความกา้ วหนา้ ทางวชิ าการสร้างองค์ความร้อู นั เกิดจากการจดั สภาพแวดล้อมสังคม แห่งการเรียนรูแ้ ละปัจจยั เกือ้ หนนุ ให้เกดิ การเรียนรตู้ ลอดชวี ติ เพือ่ พัฒนาคนให้เปน็ มนุษยท์ ่ีสมบรู ณ์ทั้ง ร่างกายจติ ใจสตปิ ัญญาและความรู้คู่คุณธรรม สาํ หรบั การจัดกิจกรรมการเรยี นสอนของพุทธิกสากลวทิ ยาลยั พระสหี นรุ าชก็ไม่แตกต่างจา สถาบนั การศกึ ษาระดบั อดุ มศึกษาทง้ั ของภาครัฐและเอกชนเก:ียวกบั กระบวนการจัดการเรยี นการสอน โดยมีวัตถปุ ระสงค์อนั เดียวกันคือต้องการใหก้ ารจดั การเรยี นการสอนนั้นประสบผลสาํ เรจ็ มีคุณภาพมี ประสทิ ธภิ าพเป็นไปตามแนวนโยบายของรัฐบาลโดยการนาํ หลักสูตรจากกระทรวงธรรมการและ ศาสนาและใหม้ คี วามสอดคล้องกนั กบั กระทรวงอบรมเยาวชนและกฬี ามาจัดกิจกรรมการเรียนการ สอนเพอื่ ใหผ้ ู้เรียนเกิดการเรียนรทู้ ั้งด้านประสบการณต์ รงและโดยอ้อมพรอ้ มทง้ั มที ัศนคติที่ดตี อ่ ตนเอง และสังคมรอบขา้ งดว้ ยฉะนนั้ การที่ผเู้ รยี นเกิดการเรียนรจู้ ากประสบการณ์โดยตรงและประสบการณ์ โดยอ้อมกลา่ วคือ จากประสบการณโ์ ดยตรง คอื ผเู้ รยี นเกดิ การเรยี นรทู้ ่หี ลากหลายจากครูผ้สู อนเช่นการ มอบหมายงานทําการศึกษาคน้ คว้าอสิ ระเปน็ กล่มุ ยอ่ ย เมือ่ ได้ศกึ ษาค้นควา้ ทาํ เสรจ็ สมบรู ณ์ก็นาํ มา เสนอหนา้ ช้นั และหาข้อสรปุ รวมกัน เกย่ี วกับเนื้อหาสาระทไ่ี ดจ้ ดั กิจกรรมการเรียนการสอนซงึ่ กิจกรรม ในลกั ษณะนี้ ถอื เป็นการฝกึ ใหผ้ ู้เรียนเกดิ ความรบั ผดิ ชอบมคี วามสามคั คีกันในกลุ่มและกล่มุ อืน่ ๆ พรอ้ มท้ังฝึกประสบการณช์ วี ติ สําหรับนําไปประกอบอาชพี เม่ือจบการศกึ ษาแลว้ จากประสบการณ์โดยอ้อม คอื ผเู้ รยี นเกดิ การเรยี นจากครูอาจารย์เป็นภาพรวมโดยวธิ กี าร สอนนัน้ ก็จะเป็นการสอนแบบบรรยายและการบนั ทึกตามครูผ้สู อนเป็นส่วนใหญแ่ ม้จะมีการใช้สือ่ ช่วย สอนก็ตามแต่การสอนไมป่ ระสบผลสาํ เร็จกบั ผู้เรียนทง้ั หมดอยา่ งทวั่ ถงึ เพราะผเู้ รยี นเป็นจาํ นวนมากถา้ ไม่สนใจจริงๆ ก็คงยากท่ีจะเกิดการเรยี นรูแ้ ละเข้าใจสาระวชิ าทีส่ อนและได้เรียนส่วนกระบวนการ เก่ยี วกบั วิธกี ารจัดกจิ กรรมการเรียนการสอนน้ันผู้ศึกษาไดก้ ลา่ วไว้แลว้ ในบทท่ี ๒ หวั เดียวกัน ดังนนั้ การเรยี นการสอนทง้ั สองทาง ทก่ี ลา่ วมาเป็นการสอนโดยภาพรวมของพทุ ธกิ สากล วทิ ยาลยั พระสหี นุราชกบั รายวิชาทัว่ ไปทม่ี ิใชว่ ชิ าแก่นทางพระพุทธศาสนาผู้เรยี นจะตอ้ งทอ่ งจําฝกึ ฝน

๒๖๓ อยา่ งจริงจังและมคี วามอดทนอย่างมากในการเรียน ก็คือวิชาภาษาบาลแี ละสันสกฤตจึงจะสามารถ เรียนรูไ้ ดแ้ ละมขี อ้ สังเกตอย่างหน่ึงคือทางพทุ ธิสากลวทิ ยาลัยฯ ทุกคณะวิชาทุกชนั้ ปจี ะตอ้ งเรียนภาษา บาลแี ละภาษาสนั สกฤตจนจบการศกึ ษาออกไป ๖. สอื่ การเรยี นการสอน การใช้สื่อการเรยี นการสอนในพุทธสิ ากลวทิ ยาลัยฯ คอื มีคณะครุศาสตร์และเทคโนโลยเี พอ่ื การศึกษา (Faculty of Education and Information Technology) เปน็ ผู้ดําเนนิ การฝึกอบรมครู อาจารย์และพระนสิ ติ นักศึกษาเกี่ยวกบั กระบวนการใชส้ อ่ื การสอนแมจ้ ะเจอกับปญั หากบั อปุ กรณ์ เครื่องใช้ทน่ี าํ มาอาํ นวยความสะดวกใหม้ ีเพยี งพอตอ่ ความต้องการของสถาบนั ก็ ตามแตพ่ ระนิสติ นกั ศึกษาสว่ นมากก็ไดร้ บั การศกึ ษาจากสถาบันอื่นทีเ่ ปิดสอนพิเศษเปน็ (Course) เกย่ี วกับการใช้เทคโนโลยเี ปิดสอนโดยเสรคี ่าใช้จ่ายตอ่ หลกั สูตรนนั้ กอ็ ย่ปู ระมาณ ๑๕ –๓๐ $ มีพระสงฆ์สามเณรเปน็ จาํ นวนมากทไี่ ปศึกษาพร้อมทั้งไดร้ ับใบประกาศนียบัตรรับรองจากระทรวง อบรมเยาวชนและกฬี าด้วย ดงั นัน้ การใชส้ ื่อการเรียนการสอนสว่ นมากก็จะมี Projector & Computers ซง่ึ ทั้งได้รบั การบริจาคจากองคก์ รอื่นๆ และการจดั ซอ้ื มาเพมิ่ เพื่ออํานวยความสะดวกต่อการเรียนการสอน (ภาพที่ ๓.๑๐ ) ถอื วา่ กระบวนการเรยี นในปัจจุบันมพี ฒั นาการอยา่ งรวดเร็วภายหลังสงครามกลางเมืองไดย้ ตุ ิ ลงและทางคณะสงฆ์รัฐบาลไดม้ ีการฟื้นฟกู ารเรียนการสอนแผนกพุทธิกศกึ ษาขน้ึ มาใหม่ทกุ ระดับชั้นท่ี ไดห้ ยุดดําเนินการจัดการเรยี นการสอนนับแต่ ปีพ .ศ. ๒๕๑๘ ซึง่ อาคารสถานท่อี ปุ กรณ์การเรยี นการ สอนวัดอารามต่างๆ ก็ถกู เผาทําลายเกือบจะหมดจนกระทงั่ ปีพ.ศ. ๒๕๒๒ เปน็ ต้นมาไดด้ ําเนินการ จัดการเรียนการสอนแผนกพุทธกิ ศกึ ษาทกุ ระดับชั้นทั่วประเทศ โดยในปัจจบุ นั แหล่งศกึ ษาค้นคว้าท่ี สาํ คัญของประเทศกมั พชู ากค็ ือวิทยสถานพทุ ธศาสนบัณฑิต (The Buddhist Institute) (ภาพท่ี ๓.๑๑ ) เป็นแหล่งรวบรวมวิชาการตา่ งๆ เปน็ แหง่ เดยี วท่ยี งั คงอยใู่ นช่วงสมยั ปกครองดว้ ยระบบคอมมิวนสิ ต์ เขมรแดงและมกี ารศกึ ษาวจิ ัยเก่ยี วกบั ประวัติศาสตรต์ า่ งๆ โดยเฉพาะวัฒนธรรมอารยิ ธรรมฯลฯซ่งึ สามารถศึกษาค้นควา้ อ่านได้แตไ่ ม่อนญุ าติให้นําไปถ่ายเอกสารภายนอก โดยสรปุ สือ่ การเรยี นการสอนที่ไดน้ ํามาจัดกจิ กรรมการเรียนการสอนของพทุ ธกิ สากล วทิ ยาลัยฯ ยังมไี มเ่ พยี งพอประกอบกับอาคารสถานท่กี ็อยใู่ นสภาพทรดุ โทรมแมจ้ ะมีการสร้างเพ่ิมได้รับ สนบั สนนุ จากรฐั บาลแตก่ ย็ งั ไม่เพยี งพอเพราะงบประมาณของชาติสว่ นใหญ่ไปพฒั นาทางดา้ น การทหารการศกึ ษาของชาตดิ า้ นเศรษฐกจิ ดา้ นสังคมพรอ้ มกบั การพัฒนาประเทศไปพรอ้ มๆกนั ซง่ึ มี วิทยสถานพทุ ธศาสนบณั ฑติ , ประวัติพุทธิกศกึ ษา, หนา้ ๕๓–๕๘. Chheat Sreang and Group, The Buddhist Institute A Short Story, (Phnom Penh : X 7 Design Group, 2005), p. 43 - 44.

๒๖๔ แนวโน้มพัฒนาดขี ึ้นมาตามลาํ ดับตามนโยบายการศกึ ษาแหง่ ชาตพิ ุทธศักราช ๒๕๔๖ –๒๕๕๘ ของ กระทรวงอบรมเยาวชนและกฬี า ๗. การวดั ผลประเมนิ ผล ระบบการวดั ผลประเมนิ ผลการศึกษาในพุทธกิ สากลวิทยาฯ มีลักษณะไมแ่ ตกตา่ งกนั ของ การวัดผลประเมินการศึกษาระดบั พทุ ธิกมัธยมศึกษา กลา่ วคอื มกี ารเรยี นการสอนเก็บคะแนนตามปกติ ในหอ้ งเรยี นและเม่อื ถงึ เวลาประเมินผลปลายปีทางคณะครอู าจารยก์ ็ประชมุ กนั ออกข้อสอบและเสนอ ไปยงั กระทรวงธรรมการและศาสนาเพื :อให้ดําเนินการตรวจสอบความถกู ตอ้ งของข้อสอบพรอ้ มทงั้ ไดร้ ับความเห็นชอบจากกระทรวงอบรมเยาวชนและกีฬาด้วย การสอบประเมินผลปลายภาคทกุ ๆปีกจ็ ะนําข้อสอบจากศูนย์กลาง คือกระทรวงธรรมการ และศาสนาไปแจกตามกระทรวงธรรมการและศาสนาประจําทุกจงั หวดั เพ่ือนาํ ไปจัดการสอบประจาํ โรงเรยี นพทุ ธกิ ศกึ ษาทุกแหง่ โดยเฉพาะระดบั พุทธกิ มัธยมศึกษาไมม่ กี ารสอบซ่อมในบางวชิ าทสี่ อบตก และตอ้ งเรียนซํ้าช้ันไปอีกปีส่วนผทู้ ส่ี อนผา่ นแล้วก็จะต้องสอบเข้าเรียนอกี คร้ังหนง่ึ ซ่งึ มีผ้เู รยี นสอบตก เป็นจาํ นวนมากหรืออาจสอบอยหู่ ลายปจี ึงจะสามารถเขา้ เรียนในระดับอดุ มศึกษาได้สําหรบั เกณฑก์ าร วดั ผลประเมินผลและการจบหลกั สตู รพทุ ธิกสากลวิทยาพระสหี นรุ าชหรอื Grade Point ดงั ตาราง ต่อไปนี้ ตารางที่ ๔.๑๐ เกณฑ์การวัดผลประเมินผลพทุ ธกิ สากลวทิ ยาลยั พระสีหนุราช คะแนนระหวา่ ง ระดับ คา่ ระดับ ๒๗๓ขนึ้ ไป A (Excellent) ดเี ยยี่ ม ๒๔๑–๒๗๒ B+ (Very Good) ดีมาก ๒๐๙–๒๔๐ B (Good) ดี ๑๗๗–๒๐๘ C+ (Very Fair) คอ่ นข้างดี ๑๖๐ - ๑๗๖ C (Fair) พอใช้ ๐–๑๕๙ F (Failed) ตก ปัญหาและอุปสรรคการเรยี นการสอน ปัญหาและอุปสรรคการเรยี นการสอนในพุทธิกสากลวิทยาลัยฯท่ไี ด้ดําเนนิ การจัด การศกึ ษานบั ตั้งแตป่ พี .ศ. ๒๕๒๒ ไดป้ ระสบกับปัญหาหลักๆ คือ (๑) ปญั หาบคุ ลากรทางการศึกษา (๒) ปญั หาด้านอาคารสถานที่ และ (๓) ปัญหาอุปกรณ์การเรียนการสอน ๑. ปญั หาบคุ ลากรทางการศกึ ษา ปญั หาบุคลกรทางการศกึ ษาคอื ผทู้ ่ีอยู่ในสายครูอาจารยเ์ พราะวา่ พระสงฆ์ท่มี คี วามรู้ ความสามารถถกู สังหารในชว่ งการปฏิวตั ิรฐั ประหารการเกิดสงครามกลางเมอื งถอื เปน็ ยคุ มดื ของ

๒๖๕ ประเทศในขณะนน้ั เนอ่ื งจากทั้งทางพระสงฆ์และฆราวาสทม่ี ีความรใู้ นระดับต่างๆ ถกู จบั ไปประหาร ชวี ิตจาํ คุกและตายในท่ีสุดเพราะกลมุ่ ชนเหล่าน้ี เปน็ ตัวการของการตอ่ ตา้ นระบบคอมมิวนิสต์ นอกจากน้ีพระสงฆก์ ็ได้หนีไปอยูต่ ามประเทศตา่ งๆ กถ็ อื สัญชาตปิ ระเทศนน้ั ไป ๒. ปญั หาดา้ นอาคารสถานที่ ปัญหาดา้ นอาคารสถานท่ี ก็เปน็ ผลสบื เนอ่ื งจากการทาํ สงครามกันในระบบคอมมิวนสิ ตน์ ้นั เองโดยในสงั คมกมั พชู าตั้งแต่อดีตจนกระทั่ง ปจั จุบนั ซ่ึงการศึกษาเลา่ เรยี นกจ็ ะมศี ูนย์กลางอยู่ในวดั จึง เป็นเปาู สาํ คัญของผู้ปกครองคอมมิวนสิ ตจ์ ะต้องทําลายเพราะเป็นสถานท่ีฝึกคนให้ตอ่ ตา้ นระบบของ ตนแตป่ ัจจบุ นั สถานทเี่ ล่าเรยี นกเ็ กิดข้นึ อยา่ งรวดเรว็ ท่วั ประเทศซง่ึ ไดร้ บั สนับสนนุ จากองคก์ รตา่ งๆ และได้รับความอปุ ถัมภ์จากสถาบนั พระมหากษัตรยิ ์ในการฟน้ื ฟสู ถาบันพระพุทธศาสนาใหเ้ จริญรงุ่ เรอื ง อยา่ งในอดตี โดยเฉพาะโรงเรยี นพุทธกิ ศึกษาระดับมธั ยมศกึ ษาดังกลา่ วแลว้ ในการศกึ ษาพุทธกิ ศึกษาใน ปจั จุบัน ๓. ปัญหาอุปกรณก์ ารเรียนการสอน ปัญหาอปุ กรณ์การเรยี นการสอนถือเปน็ ปัญหาสําหรบั จัดการศึกษาแก่ผู้เรยี นโดยเฉพาะ ตําราเรยี นทเ่ี ป็นภาษาตา่ งประเทศมีจาํ นวนมากทาํ ใหผ้ ู้เรยี นทีม่ คี วามรูห้ ลักภาษาตา่ งประเทศมคี วาม ลําบากในชว่ งเริ่มแรกแต่พระสงฆส์ ามเณรไดพ้ ฒั นาความรูท้ างด้านภาษาตา่ งประเทศของตัวเองอยา่ ง รวดเร็วเนอื่ งจากในวดั ต่างๆกจ็ ะเต็มไปดว้ ยนิสติ นกั ศึกษาเปน็ จํานวนมากทม่ี าอาศยั อยใู่ นวัดและก็ได้ สอนพระสงฆส์ ามเณรทุกๆ วนั พรอ้ มทงั้ ออกไปเรยี นพิเศษเพม่ิ เตมิ อกี ดว้ ย ฉะน้ัน การศึกษาค้นควา้ เรยี นรใู้ นตําราเรียนท่เี ปน็ ภาษาต่างประเทศนนั้ ถือเป็นเรื่อง ธรรมดาในปัจจุบันทง้ั แผนกพทุ ธจกั ร และอาณาจักรมลี กั ษณะเปน็ สากลอยูแ่ ลว้ เพยี งแตว่ า่ บคุ ลากร ทางพระสงฆย์ งั ไม่ไดร้ ับสนบั สนนุ จากฝาุ ยต่างๆ จากรัฐบาลอย่างจริงจังท่วั ถึงเทา่ นนั้ เองคือวา่ บคุ ลากร ทางการศกึ ษาพร้อมท่ีจะตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงของระบบสือ่ สาร (Globalization) แต่ อุปกรณท์ างการศกึ ษายงั มไี มเ่ พียงพอต่อการดําเนนิ การและไมส่ มดลุ ตอ่ พระสงฆส์ ามเณรจงึ ไม่น่า แปลกทม่ี พี ระสงฆ์กัมพชู าออกไปศึกษาต่อระดบั อดุ มศกึ ษาในต่างประเทศทีส่ ถาบนั การศึกษาทาง พระพุทธศาสนาเป็นต้นว่าในประเทศไทย ๔.๓ สรปุ ปัญหาและอปุ สรรคการศึกษาของคณะสงฆก์ ัมพูชา ๑. ปัญหาและอปุ สรรคการศกึ ษาในอดีต ปญั หาและอปุ สรรคการเรียนการสอนในอดตี นัน้ ไมม่ ปี ญั หามากนกั เพราะการเรยี นการ สอนน้ันอยู่ในรปู แบบของมุขปาฐะ และมพี ระราชมหาษัตรยิ ์ทรงเป็นศาสนูปถัมภท์ ุก ๆ ดา้ น และ พระพุทธศาสนามคี วามเจรญิ รงุ่ เรอื งมาตลอด ซงึ่ ในครั้งอดตี น้นั มศี าสนาอยู่ ๒ ศาสนาคือศาสนา พราหมณแ์ ละพระพุทธศาสนา ทีป่ รากฏอยู่พระราชอาณาจักรกมั พูชาตัง้ แตส่ มัยกอ่ นเมืองพระนคร

๒๖๖ และหลงั พระนคร การศึกษาทางด้านพระพุทธศาสนานนั้ มีความเจรญิ รุ่งเรือง จนกระทง่ั มพี ระเถระ จากประเทศกัมพูชา ๒ รูปคือพระสงั ฆปาละและพระมนั ทรเสนได้ไปเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนาใน สาธารณรฐั ประชาชนจนี โดยการแปลคัมภรี พ์ ระไตรปิฎกจากภาษาบาลเี ปน็ ภาษาจีน ถือวา่ ประเทศ กัมพูชาน้นั ไดใ้ ช้ภาษาบาลีมาแลว้ หลายพนั ปี การศกึ ษาพระพุทธศาสนาได้เจริญรงุ่ เรืองสูงสดุ ในรัช สมยั ของพระบาทชยั วรมนั ที่ ๗ ซ่ึงแสดงใหเ้ ห็นถึงการศกึ ษาทางดา้ นพระพทุ ธศาสนามีความ เจริญกา้ วหนา้ ทุก ๆ ด้าน โดยเฉพาะพระพุทธศาสนานกิ ายมหายานมพี ุทธมหาวหิ ารเปน็ มหาวิทยาลยั สงฆท์ างพระพทุ ธศาสนา ได้ผลติ นักปราชญร์ าชบัณฑิตกวนี พิ นธด์ ้านต่าง ๆ เป็นจํานวนมาก โดยเฉพาะทางด้านศลิ ป์มีนครวัด นครธม เป็นทป่ี ระจักษช์ ัด ตอ่ มาสมยั หลงั พระนคร พระราชอาณาจกั รอันย่ิงใหญ่ก็ได้เสื่อมลงอยา่ งรวดเร็ว โดย อาํ นาจกิเลสของผปู้ กครองประเทศ อันสืบเนือ่ งจากการวบิ ตั ิภายในราชวงศ์ขึน้ และจากการรุกราน ของอํานาจใหม่ทีก่ ําลงั ก่อตวั ข้นึ จากประเทศเพือ่ นบ้านโดยเฉพาะสมยั กรงุ ละแวก สมัยกรุงอุดงค์มชี ยั การศึกษาพระพทุ ธศาสนานกิ ายเถรวาทแบบลงั กาวงศท์ ี่นาํ เขา้ โดยพระภิกษกุ มั พูชาคือพระราชโอรสใน พระบาทชัยวรมนั ที่ ๗ ก็เสอื่ มลงตามด้วย การพระศาสนาไม่มเี สถยี รภาพมีสภาพไมแ่ น่นอนเพราะ ต้องขึน้ อยูก่ บั ผปู้ กครองประเทศเปน็ สําคัญ ถา้ ประเทศชาตมิ คี วามสงบสขุ พระราชาทรงอุปถมั ภ์ บาํ รุงการศึกษาจนมีความเจริญกา้ วหนา้ เชน่ ในรชั สมยั พระบาทองค์ดวง การศกึ ษาทาง พระพุทธศาสนามีความเจรญิ ทุก ๆ ด้าน โดยเฉพาะด้านศีลธรรมคุณธรรมและจัดระบบการปกครอง โดยมอบหมายอาํ นาจแกพ่ ระราชวงศานวุ งศ์ตลอดกระทงั่ ขา้ ราชบริพารเหมาะสมกับสตปิ ัญญา ซึง่ ผทู้ ี่ จะเปน็ ผู้นําของปวงชนจะต้องผา่ นการทดสอบความรูท้ างดา้ นพระพทุ ธศาสนา คอื สอบแปลคมั ภีร์ พระไตรปฎิ กทีเ่ ปน็ ภาษาบาลี ฎกี าต่าง ๆ จึงสามารถดํารงตําแหนง่ ทม่ี อบหมายได้ นอกจากนยี้ งั ทรง เป็นพระอาจารยส์ อนภาษาบาลแี กพ่ ระภิกษสุ งฆต์ ลอดท่ังประชาราษฎร์ดว้ ย ลําดบั ตอ่ มา การศกึ ษาของพระภิกษสุ งฆ์พรอ้ มทัง้ การศกึ ษาของชาติมไิ ดด้ าํ เนนิ การจดั การศกึ ษาเท่าทคี่ วร เพราะพระราชาทป่ี กครองต่อ ๆ มาได้เจอกับปัญหารอบด้าน ท้ังจากการรกุ ราน จากประเทศเพ่ือนบา้ นและปญั หาภายในประเทศดว้ ย สง่ ผลให้การศกึ ษาทางดา้ นพระพทุ ธสาสนาได้ เส่อื มลงอย่างรวดเรว็ เนอื่ งจากผทู้ ี่บวชเรียนนั้นถกู เกณฑไ์ ปเปน็ ทหารเพอื่ ปูองกันประเทศชาติ แม้ ศนู ย์กลางการศกึ ษาจะอยูใ่ นวัดก็ตาม แต่การศกึ ษานน้ั เรม่ิ มีปญั หามาโดยตลอด จนกระทั่งพระ ราชอาณาจกั รกมั พชู าตกเปน็ เมอื งขน้ึ ของฝรั่งเศส (Colony of France) ในที่สดุ ฉะน้นั การศึกษาของชาติในช่วงการปกครองด้วยระบบฝรงั่ เศส พวกฝรงั่ เศสพยายามท่ีจะ กลืนวฒั นธรรมและเปลย่ี นแปลงระบบวัฒนธรรมของชาตใิ หเ้ หมอื นวัฒนธรรมของตน โดยเฉพาะระบบ รากฐานของการพัฒนาประเทศคอื กระบวนการทางการศึกษาใหใ้ ชภ้ าษาฝรง่ั เศสในระบบราชการทุก กระทรวง ทาํ ใหเ้ กิดกระแสการต่อตา้ นอย่างรุนแรงจากกลมุ่ ของพระสงฆไ์ ด้ทวีคูณรนุ แรงเพิม่ ขน้ึ ตามลาํ ดับจนทัว่ ท้งั ประเทศเปน็ เวลาหลายปี ทางฝรงั่ เศสจึงเปลยี่ นนโยบายมาสนับสนนุ

๒๖๗ พระพทุ ธศาสนาและการศึกษา โดยใช้ภาษาเขมรในระบบราชการ พรอ้ มทงั้ มอบอาํ นาจทุกอยา่ งคนื แดพ่ ระมหากษัตริย์ แต่ภาษาฝรัง่ เศสก็ยงั มีอทิ ธพิ ลในระบบโรงเรยี นทกุ โรงเรยี น ความเปลี่ยนแปลง ท่วี ่านี้ได้สง่ ผลให้การศกึ ษาทางพระพทุ ธศาสนามคี วามเจรญิ ข้นึ และมรี ะบบแบบแผนทแ่ี น่นอน มี หลกั สูตรการวัดผลประเมินผลเปน็ ทชี่ ัดเจน และสถานศกึ ษาไดเ้ กดิ ขึน้ ทว่ั ประเทศ จนกระท่ังไดร้ ับ เอกราชจากฝร่งั เศสอยา่ งสมบรู ณ์ ๒. ปัญหาและอปุ สรรคการเรยี นการสอนปัจจบุ นั การศกึ ษาพระปริยตั ิธรรมหลังได้รบั เอกราชจากฝรั่งเศสภายใตก้ ารบรหิ ารประเทศโดยองค์ สมเด็จพระบาทนโรดมสหี นพุ ระวรบิดา เอกราชชาตทิ ี่พระองคไ์ ดน้ อ้ มนาํ หลกั พระธรรมมาใช้ในการ ปกครองประเทศทเี่ รียกว่าทฤษฎพี ุทธสังคมนยิ ม (Buddhist Socialism) และยดึ หลกั สายกลางของ การพัฒนาประเทศส่งผลใหก้ ารศกึ ษาทางพระพุทธศาสนามีความเจริญร่งุ เรือง มีพทุ ธิกมหาวิทยาลยั พระสีหนรุ าชเป็นสถานศึกษาระดับอุดมศกึ ษาสาํ หรบั พระสงฆส์ ามเณรและประชาชนทั่วไป จนกระทั่ง ปจั จุบัน แตค่ วามเจรญิ ทัง้ หลายทพี่ ระองคไ์ ด้สรา้ งข้นึ มานน้ั ก็ไดเ้ ส่ือมสลายอย่างรวดเร็ว อนั เกิดจาก การทําปฎวิ ตั ริ ฐั ประหารโดยคณะรัฐมนตรีของพระองคม์ ีนายพลลอนนอลเป็นประธาน ซึง่ สนบั สนุน จากสหรฐั อเมริกา ไดส้ ง่ ผลกระทบต่อระบบการปกครองทุกอย่างของประเทศ โดยเฉพาะการศึกษา และมผี ลสบื เนอื่ งมาจนถึงการปกครองประเทศด้วยระบบเขมรแดง สถาบนั การศกึ ษาทัง้ หลายปลอ่ ย เป็นทีว่ า่ งเปล่า เอกสารตําราทางวิชาการต่าง ๆ ถูกเผาทําลายหมด วดั วาอารามทเ่ี ปน็ ศนู ยก์ ลาง การศึกษาของชาตกิ ็ถูกเผาทําลายทง้ิ และเป็นท่ีอยูอ่ าศัยของทหาร ส่วนพระสงฆส์ ามเณรก็ถูกไปจาํ คุก และประหารชีวติ เพราะเป็นผนู้ ําในการต่อต้านระบบคอมมวิ นสิ ต์ ดงั นน้ั โศกนาฏกรรมอนั มืดมนของ สงครามกลางเมืองภายในประเทศสง่ ผลกระทบอย่างมหาศาลต่อการพฒั นาในชว่ งรัฐบาล เจยี สมี เฮง สมั รนิ ฮุน เซน ดังน้ัน ภายใต้การบรหิ ารประเทศโดยคณะรัฐบาลปัจจบุ นั นับแต่ตัง้ มีการเปดิ โอกาสให้มี การบวชเรียนโดยเสรีไมจ่ ํากดั เรื่องอายุในกฎขอ้ บังคับ ๘ ประการดังกล่าวขา้ งต้น พร้อมทงั้ ประกาศให้ เปิดเรยี นพระปริยตั ิธรรมเป็นทางการนบั ต้งั แต่ปี พ .ศ. ๒๕๓๓ เปน็ ตน้ มา การศกึ ษาทางด้าน พระพทุ ธศาสนาก็มคี วามเจรญิ เพิม่ ข้ึนอย่างลําดบั แตก่ ็เจอกบั ปญั หาหลาย ๆ ดา้ นเกีย่ วกับการศกึ ษา ของคณะสงฆโ์ ดยเฉพาะอาคารสถานท่ี อปุ กรณก์ ารเรียนการสอน ครอู าจารย์ท่ที ําหน้าการสอนและสง่ิ อาํ นวยความสะดวกอื่น ๆ เป็นจาํ นวนมาก อาคารเรียนปจั จบุ นั ก็ยงั ใช้อาคารหลังเก่าเป็นสว่ นใหญ่ ส่วนทส่ี ร้างขึ้นมาใหม่น้ันก็ยังมีไม่ทัว่ ถึง เนอื่ งจากทางคณะสงฆ์ขาดงบประมาณในการจดั สร้างขน้ึ มา ใหม่ พรอ้ มทงั้ เงนิ สนบั สนุนจากรัฐบาลน้ันมีไมเ่ พยี งพอต่อจาํ นวนเพิม่ ขน้ึ ของพระสงฆส์ ามเณรนสิ ิต นักศกึ ษาท่เี ข้ามาศึกษาในสถาบันการศึกษา ทง้ั แผนกพทุ ธกิ ศกึ ษาและพุทธิกสากลวทิ ยาที่ได้ขยาย สาขาวิชาไปยงั จงั หวดั ตา่ ง ๆ ในปัจจุบัน

บทท่ี ๕ วิเคราะหก์ ระบวนการเสริมสร้างความสมั พนั ธท์ างศาสนาและวัฒนธรรมและแนวโน้ม และทิศทางของพระพทุ ธศาสนากบั การพฒั นาสังคมและวฒั นธรรมในประเทศกมั พูชา พระพทุ ธศาสนากมั พูชามคี วามเจริญรุง่ เรอื งมานานนับพนั ปีจากอดตี มา นับต้งั แต่พระเจ้า ศรมี าระไดข้ นึ้ ครองราชยส์ มบตั ติ อ่ จากพระเจา้ พนั พัน ราว พ.ศ. ๗๖๓ ยอมรับนบั ถอื พระพทุ ธศาสนา เปน็ ศาสนาประจาชาติ และทรงนบั ถอื อยา่ งเครง่ ครัด ทาให้พุทธศาสนาเจรญิ ถาวรยืนยาวมาจนถึง ปัจจบุ ัน ซง่ึ ผูว้ จิ ยั จะได้วเิ คราะห์กระบวนการ เสริมสร้างความสมั พันธท์ างศาสนาและวฒั นธรรมและ แนวโน้มและทศิ ทางของพระพุทธศาสนากับการพัฒนาสงั คมและวัฒนธรรมในประเทศกมั พชู า ๕.๑ วเิ คราะหก์ ระบวนการเสรมิ สร้างความสมั พันธ์ทางศาสนาและวัฒนธรรมในประเทศกมั พชู า ๕.๑.๑ กระบวนการเสรมิ สรา้ งความสมั พนั ธท์ างศาสนาและวัฒนธรรมผ่านศรทั ธาใน พระพุทธศาสนา เป็นทที่ ราบแลว้ ว่าพทุ ธศาสนกิ ชนใจประเทศกมั พูชามศี รทั ธาในพระพุทธศาสนานบั ตัง้ แต่ พุทธศาสนาไดเ้ ข้ามาเผยแผใ่ นดินแดนสุวรรณภูมแิ ถบนี้ เนือ่ งจากพระมหากษัตรยิ ์ทรงอปุ ถมั ภ์คู่กับ ศาสนาพราหมณ์ ในยามทพี่ ระมหากษัตรยิ ์นับถือศาสนาพราหมณ์ทรงอุปถมั ภพ์ ระพุทธศาสนาดว้ ย จึง เกิดพธิ กี รรมประสมประสาน ด้วยเหตผุ ลทีพระมหากษัตริยย์ อมรับพระพทุ ธศาสนากระท่ังถึงยคุ เมือง พระนคร พระมหากษัตรยิ ์โดยพระเจา้ ชยั วรมนั ที่ ๗ จึงเปน็ ยุคทองของพระพทุ ธศาสนา ความศรัทธาในพระพทุ ธศาสนาเปน็ กระบวนการเสรมิ สร้างให้เกดิ วฒั นธรรมเชงิ พุทธเท่าที่ เป็นรปู ธรรมและนามธรรมดงั นี้ ก. ความศรัทธาในมิติของรปู ธรรม อารยธรรมขอมหรอื เขมร กัมพชู าท่หี ลงเหลอื ถึงปจั จุบนั คอื ปราสาทซง่ึ มีลักษณะเฉพาะใน เชิงศลิ ปกรรมและสถาปตั ยกรรม พระมหากษัตริยใ์ นอดีตของกมั พูชาไดก้ ่อสรา้ งปราสาทบรเิ วณทแี่ ผ่ อานาจไปถึง เดมิ ทีแม้ว่าสร้างเป็นอนุสรณ์สถานดว้ ยความศรทั ธาในศาสนาทที่ รงนบั ถอื แตใ่ นที่สดุ แล้ว ปราสาทที่เมืองพระนครคือนครวดั นครธมไดม้ ลี กั ษณะที่อธิบายไดใ้ นเชงิ พทุ ธ โดยเฉพาะนครวัดไดร้ ับ การอญั เชญิ รปู ติดไว้ทีธ่ งชาติ เป็นตัวแทนของประกาศกมั พูชาท่ปี รากฏไปทั่วโลกอีกด้วย ครั้นสน้ิ ยุคพระนครแลว้ จึงส้ินยคุ ของการสร้างปราสาท พระมหากษัตรยิ ์ทรงสรา้ งวงั กับ วัดดว้ ยอทิ ธิพลของการพระพุทธศาสนาที่มีการติดต่อกบั ไทย มอญและลงั กา ปจั จุบนั น้ีมวี ดั ทว่ั จะมี ลักษณะทางศลิ ปกรรมและสถาปัตยกรรมคล้ายคลึงกันเกอื บจะเปน็ แบบเดียวกนั จะตา่ งก็เพยี งขนาด

๒๖๙ เท่าน้นั แตส่ ญั ลักษณ์ของวัดคอื โบสถ์ทง้ั เลก็ หรือใหญ่โตจะมีจติ กรรมฝาผนังเป็นภาพเล่าเรอ่ื งชาดกให้ ได้มากเทา่ ท่ีจะมากได้ ไมเ่ ว้นแม้แต่เพดานโบสถ์ จะเหน็ ไดว้ า่ วังกับวดั เป็นรูปธรรมทีเ่ กิดจากพลงั ศรทั ธาที่เด่นชดั อกี ประการหนึ่ง จะเหน็ ได้วา่ ปราสาททีผ่ ่านกระบวนการทางความศรัทธา ได้กลายเปน็ จดุ ขายในการเขา้ มาท่องเท่ยี ว อันมีผลตอ่ เศรษฐกิจ การคา้ ขาย การมีงานทา การปฏิสัมพนั ธ์กบั นกั ทอ่ งเทยี่ ว ข. ความศรัทธาในมิติของนามธรรม ความศรทั ธาในนมิ ิตนีเ้ ป็นศรัทธาทเ่ี กิดจากหลกั คาสอนในทางพระพุทธศาสนาซึง่ ชาวพุทธ ในประเทศกมั พูชาจะยึดถอื ปฏบิ ตั ิทาเปน็ ประเพณี ความศรทั ธาในมติ ินีไ้ ดแ้ สดงออกในด้านหลกั ธรรม ดังนี้ ๑. บุญกริ ยิ าวัตถุ ทาน พุทธศาสนิกชนชาวกัมพชู าเชื่อวา่ การบริจาคทานเปน็ การส่ังสมบุญ และบุญ เป็นสะพานเชอ่ื มถึงโลกสวรรค์ การให้ทานเป้นวธิ ีการทาบญุ ที่ง่ายทีส่ ดุ เช่นทุกเชา้ ทาบญุ ตกั บาตร ใน บางโอกาสจะนิมนต์พระไปรบั ทานทีบ่ า้ น ในบางโอกาสจะทาบุญทาทานเป็นการสาธารณะ เชน่ ทอดกฐนิ ทอดผา้ ปา่ บรจิ าคทรัพยบ์ ารงุ อาราม เป็นต้น ศลี ศลี ๕ เป็นปกติศลี ทช่ี าวพทุ ธกมั พูชารบั และนับถือ เมอ่ื ถึงวันอุโบสถศลี จะ รกั ษาศลี ๘ โดยเฉพาะในวันเข้าพรรษา และมกั ใชเ้ วลาอยใู่ นวดั ชว่ งวันพระหนงึ่ วนั โดยการสนทนา ธรรม ทาบญุ ทาทาน รกั ษาศีล การรักษาศลี ในธรรมปฏิบัติ รวมถงึ ความอ่อนนอ้ มถ่อมตวั การเคารพผสู้ งู อายุ เคารพ พระภกิ ษุสงฆ์ ตลอดถงึ ความกตญั ญกู ตเวทตี อ่ ผมู้ พี ระคุณผ่านการบวชเรียนจาการเปน็ สามเณร หรอื ใน สถานะเปน็ เด็กวดั ในกรณีทไี่ ม่ไดบ้ วช เยาวชนของกมั พูชาได้รบั การปลกู ฝังเร่อื งศีลธรรม คณุ ธรรม ตง้ั แต่วัยเด็ก เปน็ การหล่อหลอมสบื ทอดคาสอนในทางศาสนาได้เปน็ อย่างดี ภาวนา การภาวนาเปน็ การพฒั นาให้เกิดความเจรญิ ร่งุ เรอื งทางจติ วญิ ญาณ ทุกวนั พระชาวพุทธกมั พูชาจะไปทาบญุ รักษาศีลทวี่ ัด และเจริญภาวนา เป็นเวลาเปน็ โอกาสที่เหมาะสม นอกจากน้ียงั มีการแผ่เมตตาอุทิศสว่ นบญุ กศุ ลใหผ้ ้อู นื่ ด้วยทกุ ครั้ง ถอื เป็นการทาบุญอีกวธิ ีหน่ึงดว้ ย และพธิ ีบุญชาวพทุ ธกมั พชู ามักสวดคาถาติโลกวชิ ัยเสมอทกุ ครง้ั ที่ทาบญุ ใหท้ าน แม้แต่ชาวกัมพูชาทอ่ี ยู่ ในปา่ ธุระกันดารก็สวดบทนไ้ี ด้ จะเห็นได้ว่า ชาวกัมพูชาได้ปฏิบตั ศิ าสนาหลกั ของบุญกริ ิยาวัตถทุ ัง้ ๓ เป็นอยา่ งดแี มจ้ ะไม่ เคร่งครัดทส่ี ดุ แต่ก็ถอื วา่ ไดป้ ฏิบัติครบตามหลกั ของการทาความดี

๒๗๐ ๒. ความเชอื่ เรื่องกรรม ชาวพุทธกมั พชู าไดร้ ับการปลกู ฝงั ในคาสอนทางพระพทุ ธศาสนาโดยเฉพาะเร่ือง ศรทั ธา คอื กมั มสัทธา เชอื่ ในกฎแห่งกรรม ทาดีได้ดี ทาชวั่ ไดช้ ่ัว วิปากสทั ธา เช่ือในผลของกรรมวา่ กรรมมผี ลจริง กัมมัสสกตาสทั ธา เชอ่ื วา่ ทกุ คนมกี รรมเป็นของตนเอง แต่ละคนจะต้องรบั ผลของกรรม ท่ีตนได้ทาไว้ ตถาคตโพธสิ ัทธา เช่ือในการตรสั รขู้ องพระตถาคตเจ้า เชอ่ื ในคาสอนของพระพุทธเจ้า ความเชอ่ื ในเรอ่ื งกรรมชองชาวกัมพูชา ไดผ้ ่านบทเรยี นเหตุการณว์ ิกฤตของประเทศหลาย คร้ังหลายคราว แต่ในท่ีสดุ คนทมี่ ีชวี ิตอยกู่ ็ยังมโี อกาสและมีความหวงั กล่าวคอื การท่มี นุษยไ์ ด้ทาอะไร ลงไปแลว้ เกิดความผดิ พลาด เพราะมูลเหตุจากอกุศลมูลหรือเหตใุ ดก็ตามมนษุ ย์มีโอกาสไดท้ าความดี เพื่อทดแทนให้เกิดการเปลย่ี นแปลง เพราะการทาความดอี ย่างสม่าเสมอเป็นการสั่งสมบญุ ให้ไดผ้ ลดมี า เปล่ียนแปลง เพราะฉะนัน้ ชาวพุทธกมั พชู าจึงถือเปน็ เรือ่ งทีแ่ ต่ละคนจะต้องรับผดิ ชอบตัวเอง ไม่วุ่นวาย กบั ความอาฆาตแค้นกับอดตี พยายามทีจ่ ะพฒั นาตนในการทาความดี ดว้ ยความหวงั ว่า เขาตอ้ งไดผ้ ลดี เปน็ การตอบแทน ๕.๑.๒ กระบวนการสร้างความสัมพนั ธท์ างศาสนาผ่านบทบาทของผู้ปกครอง คอื พระมหากษัตริย์หรือผู้นา นบั ตง้ั แต่พระพุทธศาสนาได้เข้ามาเผยแผ่ในดนิ แดนแถบนีเ้ มอ่ื พทุ ธศตวรรษที่ ๓ เปน็ ตน้ มา พระมหากษตั รยิ ไ์ ดย้ อมรบั อปุ ถัมภค์ ู่กับศาสนาพราหมณ์ในฐานะท่ศี าสนาพราหมณเ์ ปน็ ศาสนาของพระ ราชวงศ์ พระพทุ ธศาสนาเปน็ ศาสนาของประชาชนในยามทพี่ ระมหากษตั รยิ ท์ รงนบั ถือ พระพุทธศาสนา ปุโรหติ จะนบั ถือศาสนาพราหมณ์ ประชาชนทวั่ ไปนับถือพระพุทธศาสนา เปน็ เช่นนี้ ตลอดมาถึงสมยั พระนคร พระพทุ ธศาสนาไดก้ ลายเป็นศาสนาของชาติ ดว้ ยเหตุผลท่พี ระเจา้ ขยั วรมันที่ ๗ ได้ปฏบิ ัตติ นเปน็ พระโพธสิ ัตว์ในพระพทุ ธศาสนามหายาน พระมหากษัตริยจ์ ึงมีอิทธพิ ลและบทบาทสาคัญในการเสรมิ ส่งสนับสนุนพระพุทธศาสนาให้ ม่นั คงในประเทศกัมพูชา แมใ้ นยุคหลังพระมหานครไดม้ ีกษตั ริย์ทีเ่ ปลยี่ นไปนับถอื ศาสนาอสิ ลาม เพราะบรรณาการจากเกาะชวา แต่ขนุ นางและประชาชนไม่พอใจเกิดการประท้วงจงึ ได้เสดจ็ หนไี ป เวยี ดนาม แลว้ ถูกทางการเวยี ดนามประหารสนิ้ พระชนม์ กษตั รยิ ต์ ่อๆมาทรงเปน็ พุทธมามกะทง้ั หมด ในยคุ อาณานิคมของฝรงั่ เศสถกู ฝรัง่ เศสเบยี ดเบยี นรังแกอย่างไรกไ็ มส่ ามารถเปลย่ี นพระมหากษตั รยิ ์ให้ เปน็ ศาสนิกในศาสนาอ่ืนไดเ้ ลย กลับมาถูกเขมรแดงทาลายลา้ ง สถาบนั พระมหากษัตรยิ ์ผ้กู มุ ชตากรรม ของพระพุทธศาสนาถกู ทาลายล้างเกอื บสิ้นสูญไปท้งั คู่ แต่สามารถฟื้นฟูไดใ้ นกาลตอ่ มาสู่การปกครอง แบบประชาธิปไตย อนั มพี ระมหากษตั รยิ เ์ ป็นประมขุ และบัญญัตพิ ระพทุ ธศาสนาเป็นศาสนาประจา ชาติกมั พูชา ศาสนากับการเมอื งอาศยั ซง่ึ กนั และกัน ตา่ งฝ่ายต่างตอ้ งการความสนับสนนุ เพอื่ รักษา ความมั่งคงของคน พระสงฆ์คือพระสังฆราชมบี ทบาทในฐานะทเี่ ป็นพระอาจารยข์ องกษตั ริยห์ รือผูน้ า

๒๗๑ กัมพูชาปจั จุบันก็เปน็ เชน่ น้นั หลงั จากปราบเขมรแดงไดแ้ ลว้ นกั การเมืองหรือผู้นาประกาศกไ็ ด้ให้ คามัน่ สญั ญากบั ประชาชน ผ่ายพระสงฆ์ทเ่ี ปน็ ผู้นาทางจิตวญิ ญาณ จะใหค้ วามสาคญั คุ้มครอง พระพุทธศาสนา ดังน้นั สงั คมพุทธในวฒั นธรรมพุทธ จึงอยูไ่ ด้ด้วยอิทธพิ ลของพระมหากษัตริย์หรือ ผนู้ าทางการเมอื ง สาเหตอุ กี ประการหนงึ่ ท่ที าใหพ้ ระพทุ ธศาสนาโดดเดน่ เปน็ ทีศ่ รัทธาของประชาชน คอื พระมหากษัตรยิ ์ออกบวชในพระพทุ ธศาสนา บางพระองค์ออกผนวชถวายพระองคต์ อ่ พระพุทธศาสนาจนถึงแกม่ รณภาพในสมเพศ บางพระองค์ออกผนวชนับพรรษา หน่ึงพรรษา บาง พระองค์ออกผนวชถงึ ๓ ครงั้ ก็มี ๕.๑.๓ กระบวนการสรา้ งความสมั พันธท์ างศาสนาเน่ืองจากความขดั เกลาทางสังคม ความขดั เกลาทางสังคมเกดิ ข้นึ ไดด้ ้วยการส่ังสมเวลาทีย่ าวนานในการนบั ถอื พระพุทธศาสนา พรอ้ มทงั้ ไดร้ ับการสนบั สนนุ ส่งเสรมิ จากชนช้ันนาตลอดมา ทาใหช้ าวกัมพชู ามศี ลี ธรรม คณุ ธรรม กจิ กรรมทาง สังคมท่ีเกี่ยวเนื่องกบั พระพทุ ธศาสนา เชน่ งานทอดกฐนิ ผา้ ป่า เทศนามหาชาตหิ รอื พธิ ชี วี ิต เชน่ งานตาย เป็น กิจกรรมทตี่ ้องทาร่วมกันของสงั คม เปน็ กิจกรรมทีป่ ระสานโลกประสานธรรมเขา้ ด้วเสยมกอัน สงั คมกัมพูชาเป็นสังคมเกษตรกรรม มชี ีวิตอยแู่ บบต้องพึ่งพา และมีความเออ้ื อาทร เพราะเหตุ จากผลกระทบทางการเมืองถึงกบั ต้องพง่ึ พาการชว่ ยเหลอื จากนานาชาติ แต่สาหรับชาวกัมพูชาแลว้ ยงั ต้อง พ่ึงพาซ่ึงกนั และกนั มคี วามเอ้อื อาทรต่อกันในประเทศดว้ ย น่ลี ักษณะที่ไดร้ ับการหลอ่ หลอมจาก พระพุทธศาสนาด้วยเช่นกนั โดยสรุปแล้ว กระบวนการสรา้ งความสมั พันธ์ทางศาสนาและวฒั นาธรรมในประเทศกัมพชู ามีอยู่ ๓ ทางด้วยกัน ดงั ภาพนี้ ความศรัทธา พระมหากษตั ริย์ ความขดั เกลา หรือผนู้ า ทางสงั คม

๒๗๒ ๕.๒ แนวโนม้ และทิศทางของพระพทุ ธศาสนากบั การพฒั นาสงั คมและวัฒนธรรมในประเทศกมั พูชา จากการศกึ ษาพระพทุ ธศาสนาในประเทศกมั พชู าท่ีได้จากการวิเคราะหเ์ อกสารและการลงพนื้ ที่ จริง โดยสัมภาษณบ์ คุ คลท่เี กย่ี วข้องกบั การวจิ ัย การประชมุ กลุ่มและการสงั เกตการณ์ พบว่าแนวโน้มและ ทิศทางของพระพทุ ธศาสนามีความมน่ั คงถาวรหรือเปล่ียนแปลงไปจากเดมิ นน้ั ข้ึนอยู่กบั เงอื่ นไขสาคัญ ๔ ประการ คอื ๑) การเมอื งการปกครอง ๒) การบริหารจัดการ ๓) ความสัมพันธท์ างสงั คมและวัฒนธรรม แล ๔) วถิ ีชวี ติ ของประชาชน ๕.๒.๑ การเมืองการปกครอง จากขอ้ มูลทางประวัตศิ าสตร์ตั้งแต่อดตี ถงึ ปจั จุบนั พบว่าพระพทุ ธศาสนากับการเมอื งการ ปกครองของกัมพชู ามคี วามเก่ียวข้องสัมพันธก์ นั กล่าวคือระบบการเมืองการปกครองในประเทศกมั พูชา มี สว่ นสาคญั ในการกาหนดทศิ ทางความเข้มแข็งของพระพุทธศาสนา ความเกี่ยวโยงความสมั พันธ์ของทงั้ สอง ฝา่ ยปรากฎใน ๔ ยคุ คือ ยคุ ฟูนัน ยุคเจนละ พยคุระนคร และยุคหลพงั ระนคร-ปจั จบุ ัน ก. ยุคฟนู นั มีพระมหากษัตริย์ ๗ พระองค์ พระเจ้าศรมี าระซึง่ เปน็ กษตั รยิ อ์ งค์ท่ีสอง เปน็ ผ้ฉู ลาด ในการบริหารจัดการ เข้มแขง็ ในการรบ มจี ารึกเกย่ี วกบั พระองค์วา่ “ชวี ิตเวยี นวา่ ยตายเกดิ แห่งสัตว์โลกในทุ่ง แห่งวัฏฏะสงสาร จงึ ทราบแจง้ แลว้ ในแนวทางดาเนินชีวิต ประกอบด้วยเมตตาและกรณุ าต่อสัพสตั ว์” จาก จารึกษเ์ ปน็ หลักฐานวา่ พระองคเ์ ป็นชาวพุทธทเ่ี ครง่ ครัด มีปกตทิ รงธรรม กอ่ นสิ้นพระชนม์ พระองค์ทรงรับสั่ง วา่ ขอให้พระราชาผ้เู สวยราชในอนาคต จงปฏิบัตติ ามประกาศน้ี เพ่อื ประโยชน์แก่สรรพสัตว์ สมัยพระเจา้ โกณฑญั ญะที่๒ กษัตริย์องค์ท่ี ๕ ในยคุ สมยั นบั ถอื ศาสนาพราหมณ์ แต่ พระพทุ ธศาสนามหายานเจริญร่งุ เรอื ง ได้ส่งพระสงั ฆปาละไปศกึ ษาพระพุทธศาสนาทป่ี ระเทศจีน และแปล พระไตรปิฎกจีน คมั ภรี ว์ ิมุตติมรรค ทาใหพ้ ระจักรพรรดิเหลยี งยู่ต้ีเคารพศรทั ธามาก ปัจจุบันผลงานแปลของ ทา่ นได้รับการจารึกอยใู่ นชื่อพระไตรปิฏกจนี ต่อมาไดส้ ง่ พระมันตรเสนไปศึกษาพระพุทธศาสนาทจี่ ีนด้วย สมยั พระเจา้ โกณฑญั ญะชัยวรมันทีส่ อง ทรงนับถอื ศาสนาพราหมณ์แตส่ นับสนุน พระพุทธศาสนามหายาน มีนักบวชมหายานจานวนมาก สมยั พระเจ้ารุทรวรมนั ได้ถวายพระองค์เปน็ อุบาสกในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท แล้วสง่ พระไป ศกึ ษาทีประเทศจนี ถงึ ๓ คร้งั คอื เมอ่ื ปี ๑๐๖๐, ๑๐๖๓, ๑๐๖๘ ข. ยุคเจนละมีกษัตรยิ ์ปกครอง ๕ พระองค์ พระเจา้ ภววรมนั ท่ี ๑ ทรงนบั ถอื ศาสนาพราหมณ์ แตไ่ มไ่ ด้เบียดเบยี นชาวพทุ ธศาสนกิ ชน ประชาชนนบั ถือพระพทุ ธศาสนาปะปนกบั ศาสนาพราหมณ์ พระเจา้ มเหนทรวรมนั ทรงมีพระทัยโน้มเอียงเขา้ ทางพระพุทธศาสนา แตท่ รงบัญชาให้สรา้ งเทวรูปพระศิวะอยู่ พระ เจ้าอิศานวรมนั ท่ี ๑ นบั ถือศาสนาพราหมณ์ ไศวะนิกาย ถูกอามาตยย์ ุยงให้ทาลายพระพทุ ธศาสนา และ พระพุทธศาสนาถกู ทาลายเกอื บหมด พระเจา้ ภววรมนั ท่ี ๒ ทรงนับถอื พระพทุ ธศาสนามหายาน แตเ่ คารพ พระศิวะดว้ ย เพอื่ รักษาเสถีรภาพทางราชบลั ลงั ก์ ในสมยั นีป้ ระชาชนเร่มิ มบี ทบาททางพระพุทธศาสนามาก ข้ึน ประชาชนได้สรา้ งวิหารถวายเป็นพทุ ธบูชา มอบทาสและเดก็ เป็นผู้ดแู ล สมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๑ เป็น

๒๗๓ ยคุ ทช่ี นชั้นสูงคือกษตั ริย์ออกบวชเป็นพระภิกษุ พระพทุ ธศาสนาเจรญิ รงุ่ เรือง หลังจากพระองคส์ วรรคตแล้ว จึงซบเซาลง เพราะไม่มีกษตั ริย์รบั ชว่ งตอ่ จะเหน็ ไดว้ า่ พระพทุ ธศาสนามหายานกับศาสนาพราหมณ์ไศวะนกิ ายเคียงคเู่ จริญรงุ่ เรอื ง กษตั รยิ ์ เปน็ พราหมณ์ ประชาชนเปน็ พทุ ธ กษัตริยไ์ มเ่ บยี ดเบยี นพทุ ธ ซา้ ไดส้ นบั สนนุ ดว้ ยก็เพราะรักษาอานาจในการ ปกครอง ค. ยคุ พระนคร เป็นยุคทีใ่ ชค้ าวา่ กมั พชุ เทศ คือประเทศกมั พชู าครัง้ แรก มีกษตั ริยป์ กครอง ๓๑ พระองค์ เป็นยคุ ทีมีสงครามกบั เวยี ดนามและเกิดการชงิ บลั ลงั ค์หลายครั้ง มกี ารสร้างปราสาทหลายแหง่ ใช้เปน็ เทวสถานของพราหมณ์ไศวะนกิ าย กิจกรรมดา้ นพระพทุ ธศาสนา พระมหากษตั ริยเ์ ป็นผู้กาหนดโดยเฉพาะพระพุทธศาสนามหายานคู่ กับศาสนาพราหมณ์ไศวะนิกาย และมลี ัทธิเทวราช นิกายไวศณขา้ พมเาด้วย พระมหากษัตริยท์ ่ีนบั วา่ โดดเดน่ ที่สุดมี ๓ คอื พระเจา้ ชัยวรมันที่ ๗ ไดเ้ ปล่ยี นนโยบายการบริหาร บ้านเมอื งจากโลกทศั นข์ องพราหมณ์มาเป็นโลกทัศชนิงพ์เ ุทธ โดยมพี ทุ ธมหายานเจ้าแทนทีพ่ ราหมณ์ พระองค์ ทรงสรา้ งคติธรรมประโยชนห์ ลายด้าน คอื สถาปตั ยกรรม โดยเฉพาะประสาทตาพรหม เปน็ ท่อี าศัยของ พระราชาคณะ และลูกวัดพรอ้ มทั้งมชี าวบา้ นทีอ่ ุปถัมภเ์ ป็นหมน่ื ครอบครัว ทรงจดั การดา้ นสาธารณะสขุ ทรง โปรดการให้ทาน และไดส้ ร้างพระพุทธรูป ประเทศชาติบา้ นเมืองกมั พูชาเจริญรุง่ เรอื ง เป็นยุคทองของกัมพชู า อย่างแท้จริง (๒)พระเจา้ อินทรวรมนั ท่ี ๓ พระองคพ์ ลิกโฉมหนา้ ประวัติศาสตรด์ ้วยการนบั ถือพระพทุ ธศาสนา เถรวาท ซงึ่ แต่เดมิ เปน็ ศาสนาของสามัญทั่วไป ทาใหพ้ ระพทุ ธศาสนาเถรวาทโดดเด่นด้วย มจี ารกึ ภาษาบาลี เกิดขนึ้ เป็นครั้งแรก บ้นั ปลายของพระชนมช์ พี ได้มอบราชสมบตั ิให้พระราชโอรสแล้วเสดจ็ ออกผนวช นับเป็น พระราชาองคแ์ รกทีออกบวชในพระพทุ ธศาสนาอย่างถาวรกระทัง่ สวรรคต (๓) พระเจา้ ศรธี รรมาโศกราช ซ่งึ ใน สมัยกรงุ ศรอี ยธุ ยาของไทยได้รบทพั จับศึกกับไทย มีการจับเชลยศึกไปกรุงศรีอยธุ ยา กมั พชู ามีใจเขา้ ถอื ฝ่าย เวียดนามแตท่ างไทยยงั ใหเ้ กยี รติกมั พูชาดว้ ยเหตสุ องประการคือพระมหากษตั รยิ ์และพระพุทธศาสนาเถรวาท เหมอื นกัน ในยคุ น้ีพระมหากษัตริย์ทรงใช้พระราชอานาจจัดการพระพทุ ธศาสนา ในดา้ นการศกึ ษาและจัด ระเบียบพระสงฆด์ ว้ ย ง. ยคุ หลงั ยคุ พระนคร เปน็ ยุคทเี่ ปลยี่ นโฉมหน้าประวตั ศิ าสตรก์ ัมพูชาอย่างสน้ิ เชงิ เพราะอทิ ธพิ ล ของพระพุทธศาสนาเถรวาทจากไทย มอ(พญม่า) และลังกา การบรหิ ารบ้านเมอื งอย่ทู ่พี ระมหากษัตริย์ แต่ไม่กระทบกระเทอื นตอ่ พระพุทธศาสนา พอถึงปี ๒๐๐๐ โดยประมาณ มสุ ลมิ จากเกาะสุมาตราและมาเลเซยี ไดเ้ ดินทางไปค้าขายทก่ี ัมพูชา และได้ทาการ เปลยี่ นใจให้ชาวกมั พชู านับถือมสุ ลมิ สรา้ งความไม่พอพระทัยใหพ้ ระนารายราชาเป็นอยา่ งมากแตก่ ็ทาอะไร ไม่ได้ ตอ่ มาในสมยั พระเจ้าจนั ทร์ มีพ่อค้าจากอาหรับ มาลายู และชวาเขา้ มาทาการค้ากับกมั พูชา ไดถ้ วาย เคร่อื งสักการะบรรณาการจานวนมาก พร้อมทั้งโน้มนา้ วให้เปลีย่ นศาสนา ทาใหเ้ กดิ ศรัทธาในศาสนาใหม่ พระองค์จนั ทรป์ ระกาศตนเปน็ มุสสลิม เปลีย่ นนามเปน็ สไุ ลมาน ในภาษาอาหรับ ตอ่ มาประชาชนกมั พชู า

๒๗๔ เห็นว่าเป็นการผิดประเพณรี าชวงศ์จึงประทว้ ง เกรงว่าพระพทุ ธศาสนาจะสาบสูญ จงึ อาราธนาพระปทุม กุมารข้ึนครองราชย์ โดยอาศยั อานาจกาลังชาวเวยี ดนาม พระเจ้าจันทร์ถูกเวียดนามจบั ในฐานะเชลย ในสมยั น้ี ประเทศกมั พูชาได้รับพอ่ คา้ โปรตุเกศ และชาติตะวนั ตกซง่ึ เดินทางเขา้ มาทาการคา้ ขาย และเผยแผ่ศาสนาคริสต์ พระมหากษตั รยิ ์ของกัมพูชายังมีอานาจในการบริหารจัดการ ในขณะเดียวกันน้นั กัมพูชาไดร้ บกบั ไทยหลายคร้งั แพศ้ กึ สงคราถูกจับเป็นเชลย เชลยศึกไดศ้ กึ ษาในประเทศไทย เปน็ เพือ่ นบา้ น ท่ีดตี อ่ กันทั้งในแง่สถาบนั พระมหากษตั ริย์และพระพุทธศาสนาเถรวาท มีการถ่ายทอดรพระพทุ ธศาสนาแก่ กมั พูชา ทาใหก้ ัมพูชามรี ูปแบบคลา้ ยคลึงกบั ไทย แม้ในช่วงท่ฝี รั่งเศสถือกมั พชู าเปน็ อาณานคิ ม พระพทุ ธศาสนากถ็ ูกทาให้บอบชา้ ทั้งสองประเทศในฐานะที่เป็นสมบรู ณาญาสทิ ธิราช ๕.๒.๒ การบรหิ ารจดั การ ปัจจยั สาคัญประการทีห่ นง่ึ ท่มี ผี ลตอ่ การกาเนิดทิศทางของพระพุทธศาสนาในกัมพชู า ทง้ั ทศิ ทาง ในอดตี และปจั จบุ นั ไดแ้ ก่ปัจจยั ด้านการบรหิ ารการจัดการที่ทาใหเ้ ห็นว่าพระพทุ ธศาสนาในประเทศกัมพชู ามี ความไม่เขม้ แขง็ นกั ยงั มจี ดุ อ่อนเมือ่ เทียบกบั ประเทศท่ีนบั ถอื พระพทุ ธศาสนาเถรวาทดว้ ยกนั ปจั จยั หรอื เง่อื นไขดังกล่าวคอื การบริหารจัดการ ซง่ึ ในงานวิจยั น้หี มายถึงการบรหิ ารจดั การที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ๒ ดา้ นหลกั คอื ๑) การบริหารจัดการดว้ ยการปกครอง ๒) การบรหิ ารจัดการด้วยการศกึ ษา ก. การบริหารจัดการดา้ นการปกครอง การปกครองคณะสงฆใ์ นประเทศกมั พูชา มีผลทาใหก้ ารปกครองในหมูส่ งฆ์เปน็ ไปอยา่ ง เรียบรอ้ ยดงี ามบางช่วง และไม่เรยี บร้อยบางชว่ ง ขึ้นอยู่กับปจั จยั ภายนอกเป็นหลกั คอื สถาบนั พระมหากษัตริยอ์ ามาตยท์ ่ีทรงสนับสนนุ อุปถัมภ์และให้การคุ้มครองจากการนบั ถอื และไม่สนบั สนุนไม่ อปุ ถมั ภแ์ ละไมน่ บั ถอื และผูน้ าประเทศ เชน่ ยุคเขมรแดง ซงึ่ เป็นสถาบนั ทีใ่ กล้ชดิ และสามารถกาหนดชะตา ชวี ิตของคณะสงฆท์ ีถ่ ือวา่ เป็นวถิ ชี วี ิตของทางสงฆ์โดยปริยาย นอกจากนี้ ยังมีปจั จัยภายในคือฝ่ายสงฆ์กันเอง กนั เองด้วย เป็นต้น ในอดีต การปกครองคณะสงฆ์กัมพชู ามที ้ังความเรียบรอ้ ยและไม่เรยี บรอ้ ยในยุคทีก่ ารบริหาร จัดการโดยพระมหากษัตรยิ ์ พระสงฆ์มคี วามสงบเรียบรอ้ ย เพราะเป็นคณะสงฆ์หมเู่ ดยี ว เหน็ ไดจ้ ากการที่ พระมหากษตั ริย์ไดส้ ่งพระสังฆปาละไปศึกษาพระพุทธศาสนามหายานในประเทศจนี ต่อมาได้สง่ พระมันตรเสน ไปศึกษาทปี่ ระเทศจนี อกี พระสงฆ์ไมไ่ ดข้ ัดขนื เพราะถือว่าทาตามพระราชอธั ยาศยั แม้ในยคุ ทร่ี บั พระพุทธศาสนาเถรวาทแล้วกไ็ ดส้ ่งพระภกิ ษฝุ า่ ยเถรวาทไปศึกษาพระพุทธศาสนาทปี่ ระเทศจนี อกี เหมือนกัน ส่วนความไม่เรียบร้อย เกดิ จากสถานการณ์ทางการเมืองหรือเหตกุ ารณ์บา้ นเมือง ซ่ึงถือวา่ เปน็ ความไม่เรียบร้อยเฉพาะปัจเจกบุคคล แตถ่ า้ มองในแงข่ ององค์กร หลังจากทแี่ บ่งการปกครองเปน็ มหานกิ ายคือ นกิ ายเดมิ กบั ธรรมยุติกนกิ ายอยา่ งชัดเจนแล้ว ถอื วา่ เรียบรอ้ ยในหมู่คณะไดเ้ ป็นอย่างดี เพราะมีสายบรหิ าร จัดการกลุ่มท่ชี ดั เจน เมื่อมองในมมุ มองพระวนิ ัยคอื แตกแยก แตกเป็นนิกายใหมข่ ึ้นมาคือธรรมยุติกนิกาย ปจั จุบัน คณะสงฆ์ในกัมพูชาแบง่ เป็นสองนิกาย คอื นกิ ายเดมิ มหานกิ ายกบั ธรรมยุติกนกิ าย ซ่ึง

๒๗๕ ได้รบั เอทิ ธิพลจากประเทศไทย ทงั้ สองนิกายนี้มคี ณะสงฆป์ กครองคณะของตนเองโดยอสิ ระ ดงั นั้น แนวโน้ม และทศิ ทางของพระพุทธศาสนาดา้ นการบรหิ ารการจัดการเฉพาะด้านการ ปกครองคณะสงฆ์ จงึ มีลักษณะการบรหิ ารจัดการทเ่ี ชื่อมโยงความสัมพนั ธก์ บั ฝา่ ยรัฐหรือการเมืองการปกครอง ไดเ้ รยี บรอ้ ยโดยมรี ฐั ธรรมนญู รบั รองสถานะพระพุทธศาสนาเปน็ ศาสนาประจาชาติ ข. การบริหารจดั การดา้ นการศึกษา การบริหารจัดการดา้ นการศกึ ษาพระพุทธศาสนาในประเทศกมั พูชา มจี ุดอ่อนอยใู่ นตวั เองอัน เน่อื งมาจาก ในอดีต ท่โี ดดเด่นคือสมัยพระนคร “ยุคทองของพระพุทธศาสนา” พระเจา้ ชัยวรมนั ท่ี ๗ ไดใ้ ห้มี การศึกษาพระปริยัตธิ รรมที่ปราสาทตาพรหมทางด้านตะวนั ออกของนครธม แต่ไม่ชัดเจน เมื่อชว่ งทม่ี ีการ ติดตอ่ กับไทยสมยั กรงุ ศรอี ยธุ ยากระทงั่ ถึงสมัยรตั นโกสนิ ทร์ โดยยึดรปู แบบของไทยในการดาเนนิ การ จากนั้น ไดถ้ ูกเบยี ดเบยี นโดยวิธีการต่างๆ จากฝรง่ั เศสท่ีพยายามจะเขา้ มามีอานาจเหนอื กัมพูชา การศกึ ษาของกัมพชู า ต้องปรบั ตามเงอื่ นไข กระทั่งถูกลา้ งแบบถอนรากถอนโคนโดยรฐั บาลเขมรแดง ในปจั จุบนั การบริหารจดั การดา้ นการศกึ ษาของประเทศกมั พชู าไดร้ ับการฟ้ืนฟจู ัดระบบได้ ๓ คอื การศกึ ษาพระปรัยตั ธิ รรมแผนกธรรม พทุ ธกิ ศึกษา และธรรมศึกษา ระดบั อุดมศึกษา ซง่ึ ท้ังสามระบบมกี าร บรหิ ารจัดการท่ลี งตวั แนวโนม้ การบรหิ ารการจดั การด้านการศกึ ษาพระพุทธศาสนา กาลังเขม้ แข็งเนอ่ื งจากสถาบนั พระมหากษัตริยแ์ ละผ้นู ารฐั บาลใหก้ ารสนับสนุนการสรา้ งวดั อาคารเรยี นในวัดเพอ่ื ถวายเปน็ พทุ ธบชู าให้ พระสงฆ์สามเณรไดศ้ ึกษาเล่าเรียน ๕.๒.๓ การประสานพลังทางสังคมและวฒั นธรรม สงั คมและวัฒนธรรมเป็นสงิ่ ท่ีเก่ยี วข้องกัน แยกกันไมอ่ อก -ทศิ ทางและแนวโนม้ ของสงั คมและ วฒั นธรรมจะเป็นไปในทศิ ทางใด จงึ ไม่อาจตอบตรงๆ ได้ว่าเป็นผลมาจากสงั คมหรอื วัฒนธรรมดา้ นใดด้านหนง่ึ เช่นเมื่อสังคมอุตสาหกรรมใหม่เข้ามามีบทบาท อาจทาใหค้ า่ นยิ มทางวัฒนธรรมบางอยา่ งปรับเปล่ียนไปได้ เชน่ การมชี ีวิตประจาวนั ในเมืองใหญๆ่ ยอ่ มปรับตวั แตกตา่ งไปจากการใช้ชีวติ ในพนื้ ที่ชนบท ทัง้ น้ยี ่อมจะเห็น ขอ้ เท็จจริงอย่างหน่ึงคือ สงั คมและวฒั นธรรมเป็นสง่ิ ที่ประสานสายสมั พนั ธก์ นั ตลอดเวลา สาหรบั ประชาชน กัมพูชา สภาพสังคมและวฒั นธรรมในเมอื งอาจมกี ารปรบั ตวั บา้ ง ไมถ่ ึงกับปรับเปลี่ยนโดยส้นิ เชงิ โดยเฉพาะ วัฒนธรรมเชงิ พทุ ธที่ฝงั รากลึกในมโนทศั นข์ องประชาชนต้งั แตอ่ ดีต ในกรงุ พนมเปญประชาชนยงั นับถอื พระ รัตนตรยั มวี ัดเป็นท่ปี ระทับของสมเด็จพระสังฆราชทัง้ สองนิกาย จงั หวัดพระตะบอง ซึง่ เป็นจังหวดั ใหญ่ พระสงฆม์ ีบทบาทรับกบั ผู้บริหารรัฐ เพื่อใช้เปน็ หลกั ธรรมทางพทุ ธศาสนาแก้ปญั หาความเบ่ยี งเบนทาง พฤตกิ รรมเยาวชน โดยมีการจัดกิจกรรมเชงิ พทุ ธบวชเณรและชีพราหมณ์ใหก้ ับเยาวงชนายทแ้ั ละหญิง ดงันนั้ ไมว่ ่าจะมคี วามพยายามทาใหเ้ ป็นประเทศใหมด่ทเัทยี มนานาอารยะประเทศโดยรูปแบบหรอื ทาประเทศให้มี การปกครองแบบประชาธิปไตย แต่พลงั ทางสังคมและวัฒนธรรมท่ีมีอยทู่ างพระพุทธศาสนาเปน็ จดุ เช่อื ม

๒๗๖ สมั พันธ์ ยังคงมอี ิทธพิ ลต่อประชาชนทน่ี บั ถือพระพุทธศาสนา ทั้งนี้ ลักษณะการประสานพลงั ทางสังคมและวฒั นธรรมโดยมพี ระพุทธศาสนาเป็นจุดเชอ่ื มโยงน้นั อาจพิจารณาโดยยดึ เอาพระรัตนตรยั เป็นกรอบวเิ คราะห์ คอื เป็นจดุ มองสงั คมและวัฒนธรรมตัง้ แตอ่ ดีตจนถึง ปจั จบุ ันผ่านกรอบของพระพุทธศาสนา คือ พระพุทธเจา้ พระธรรม และพระสงฆ์ จะเห็นทิศทางและแนวโน้ม ดังตอ่ ไปนี้ ก. พระพทุ ธเจ้า ในกมั พูชามีพระพุทธรปู ศกั ด์ิสทิ ธิค์ บู่ า้ นค่เู มอื ง คือพระแก้วมรกตจาลอง ประดิษฐานอยู่ทีก่ รุง พนมเปญ นอกจากน้ยี ังมีพระพทุ ธรปู ประจาเมืองในจังหวดั ใหญๆ่ ซึ่งมลี ักษณะจาเพาะทางศิลปะกรรมนาค ปรก ทาดว้ ยอิฐ ส่วนในเมืองใหญจ่ ะพบพระพุทธรูปที่มศี ิลปะไทย เพชน่ระตะบอง ศรโี สภณ พระพุทธรูปจะบรรจุไวท้ ีป่ ราสาท เปน็ ของสาคญั ทางประวัติศาสตร์ค่กู ับตัวปราสาท หลงั จากถูก เขมรแดงกวาดล้าง โดยการทาลายศาสนวัตศถาุ สนพธิ ี ศาสนธรรมและศาสนบุคคล แล้วประเทศกัมพูชาได้ ฟนื้ ฟู บูรณปฏสิ งั ขรณ์ข้นึ มาใหมเ่ พอื่ ให้เปน็ ทสี่ ักการบูชาปฏบิ ัตบิ ูชาดงั แตก่ ่อน ข. พระธรรม คาสอนของพระพุทธเจ้า ซ่งึ ถอื ว่าเปน็ หวั ใจสาคัญทางพระพทุ ธศาสนาคือพระไตรปิฎก ประเทศ กัมพชู าไดร้ ับพระไตรปิฎกอรรถกถา ฎกี า และคัมภรี ท์ างพระพุทธศาสนไปาจากประเทศไทย ซตึง่ ่อมาไดแ้ ปล พระไตรปิฎกภาษาบาลีแปลเปน็ ภาษาเขมรแล้วถวายไว้ทป่ี ระเทศไทยก่อนที่จะถกู เขมรแดงเผาทาลายหมด ต่อมาไดจ้ าลองพระไตรปิฎกไปจากประเทศไทยอกี ค. พระสงฆ์ พระสงฆม์ ีบทบาทสาคญั และโดดเด่นในหลายระดับ พระสงฆ์เปน็ ท่พี งึ่ ของประชาชนในทกุ ระดบั ในระดับวดั เจา้ อาวาสเป็นท่พี ่งึ ของประชาชนคุ้มวัดและทัว่ ไป ในระดบั นานาชาติ พระสาลวด เจ้าคณะจังหวัดอดุ รมีชยั พระนกั อนรุ ักษผ์ นื ปา่ บรสิ ุทธิ์ขนาด กว้างยาว ๑๖ x ๑๘ กิโลเมตร แถบพนมดงรักษต์ ิดชายแดนไทย (อาเภอกาบเชงิ – พนมดงรักษ์ จงั หวดั สุรินทร์) ไดร้ ับรางวลั ในระดบั โลก เพราะสถานภาพของความเป็นพระ ทาให้ประชาชนใหค้ วามร่วมมือเปน็ อย่างดี จะเห็นไดว้ ่ากาผรนึกประสานพลังทางสงั คมและวฒั นธรรมซง่ึ ในที่นไ้ี ดอ้ ธิบายผา่ นกรอบพระรตั นตรัย จึงกลายเปน็ เง่ือนไขสาคัญที่ทาให้พระพุทธศาสนาเป็นมติ รภาพตอ่ สังคมและวัฒนธรรมหรอื เรียกไดว้ ่าเป็นการ ประสานงานกนั อย่างลงตัว เน่อื งจากการขบั เคลือ่ นพระพุทธศาสนาในนมิ ิตตๆ่างล้วนเกิดจากพระสงฆ์และ ประชาชนท่ีศรัทธา ในขณะเดียวกนั การผนกึ กาลงั ประสานสัมพันธน์ นั้ ตอ้ งสงวนจาเพาะไว้ใหแ้ กส่ าระสาคัญ ของพระพุทธศาสนาโดยเฉพาะประชาคมอาเซียน อยา่ งไรกต็ าม เมือ่ กลา่ วถงึ อดตี พอสงั เกตได้ว่า สังคมและวฒั นธรรมได้อาศยั บุคคลทท่ี าให้ พระพทุ ธศาสนามีจดุ ประสานคอื พระมหากษตั รยิ ์ ถัดมาคือประชาชนทอ่ี ยู่ใกล้ชิดพระพุทธศาสนา เมื่อยดึ ถือ และปฏิบัตติ นตามวัฒนธรรมประเพณีจึงถอื ปฏิบตั ไิ ปตามความเชือ่ ทางพระพทุ ธศาสนาดว้ ย เช่น การแสดง

๒๗๗ พลังศรัทธาตอ่ พระพุทธรปู สาคญั แสดงออกตามประเพณี เช่นประเพณีสิบสองเดือน ซ่งึ ถอื วา่ เป็นประเพณีที่ ได้รบั การสืบสานมาต้งั แตอ่ ดีตถงึ ปัจจุบนั ในประเทศกัมพูชายังยึดถอื ฝังแน่น หากมองอนาคต ชมุ ชนสงั คม ปฏิบตั ิธรรมอยเู่ ชน่ น้ี ประเพณีและวัฒนธรรมทมี่ ีอยู่ ยงั คงมีสาระสาคญั ทางพระพทุ ธศาสนาอยู่ด่ังเดิมสามารถ ทาใหส้ ังคมกมั พชู าเป็นสงั คมพระพุทธศาสนายง่ั ยนื ๕.๒.๔ วิถชี ีวิตของประชาชน ในทน่ี ้ไี ดแ้ ยกใหเ้ ห็นเดน่ ชัดเป็น ๒ คือ (ก) วิถีชาวชองชาววดั (๒) วถิ ีชวี ิตชาวบา้ น ก. วถิ ชี ีวติ ของชาววัด คือพระภิกษุ สามเณร และแมช่ ี มวี ิถชี ีวิตทสี่ มถะเรียบงา่ ยเปน็ หลักและปฏบิ ัตติ ามหลักพระ ธรรมวินัย วถิ ีปฏิบัตขิ องพระภิกษุ สามเณร และแมช่ จี ะส่งผลไปถึงพระพุทธศาสนาหรือไมน่ ้ันขึน้ อยูก่ บั วดั ปฏิบัติและดาเนินชีวติ ทส่ี ัมพนั ธก์ ับสังคมและวฒั นธรรมพรอ้ มกนั ด้วย เนือ่ งจากนกั บวชเปน็ องค์กรสาคญั ทาง พระพุทธศาสนา บทบาทหน้าท่ีของบุคลากรเหล่านจ้ี ึงเป็นการธารงพระพทุ ธศาสนาในขณะเดียวกันตอ้ ง รับผิดชอบตอ่ สงั คมมาต้ังแต่อดีตกาล คณะสงฆท์ ่ีพระมหากษัตรยิ ์เลอ่ื มใสศรทั ธาส่งผลให้พระพุทธศาสนา เจริญรุ่งเรอื ง พรอ้ มกนั นน้ั ก็ทาให้การปกครองบ้านเมืองของกษตั รยิ ์มีความเรียบรอ้ ยราบรื่นไปด้วย ในทาง กลับกนั ฝา่ ยพระสงฆ์กไ็ ด้รบั ความเคารพนบั ถอื สูงมาสก่วนสามเณรและแม่ชีถอื ว่าเป็นรองลงมาจากพระภิกษุ และไมม่ บี ทบาทอะไรโดดเด่นเทา่ พระภกิ ษุ สามเณรมหี น้าท่เี ลา่ เรยี น ทองบน่ สาธยายมนตแ์ ละพระบาลี สว่ น บทบาทของแมช่ ีไมช่ ัดเจนว่ามหี น้าท่ที าครตัวม้ ขา้ วยาคถู วายสาหรับพระภิกษุฉันตอนเชา้ กอ่ นไปบิณฑบาต ตอนสาย แตถ่ อื วา่ เป็นบุคลากรทางศาสนาในวิถชี ีวติ ชาววดั แมช่ กี ัมพูชาเป็นสูงอายุจะมบี ทบาทเพยี งอุปถมั ภิ กาของวัดเท่าน้นั ปจั จุบันสิ่งท่ีเปน็ ตัวกาหนดถงึ ความเขม้ แข็งของพระพทุ ธศาสนาคอื การนยิ มให้เยาวชนได้ บรรพชาเปน็ สามเณร เป็นวิธีการบวชเรยี น แมม้ ีการลาสกึ บ้าง แต่จานวนทีค่ งอยกู่ ็มาพอสมควร จะเห็นไดว้ ่า วดั เป็นสถานทบ่ี ม่ เพาะคุณธรรม ศีลธรรมให้เยาวชนกรรมพูชาทเ่ี ปน็ เดก็ วัด วดั เปน็ สถานท่ีทาสงั คมสงเคราะห์ ข. วิถีชีวิตชาววดั วิถีชวี ติ ของชาวกัมพูชา มีความเป็นอยคู่ วบคู่กนั กบั ความเช่ือทางศาสนาและสงิ่ เหนือธรรมชาตมิ า แต่โบราณ คนกัมพูชานบั ถอื พระพุทธศาสนาควบคกู่ ับพธิ ีกรรมแบบพราหมณ์ แตห่ ากเขาแยกแยะออกว่าอัน ไหนเป็นพราหมณ์สว่ นไหนเปน็ พุทธ ชาวกมั พชู าไมน่ ยิ มสรา้ งพระเคร่ือง ไมส่ ร้างเครือ่ งรางของขลัง ปจั จบุ นั ชาวพทุ ธกัมพูชาจึงมวี ิถแี บบพทุ ธ นยิ มเขา้ วัดให้ทาน รักษาศีลฟังธรรม โดยเฉพาะ เทศนม์ หาชาติทีต่ อ้ งจดั ในรอบหนึง่ ปีตอ้ งมีหน่ึงครงั้ ในแต่ละวัด การเจรญิ ภาวนาในวนั อุโบสถหรือเทศกาล สาคญั เช่น งานปริวาสกรรมของภกิ ษุ จะมชี าวบ้านเขา้ ร่วมถือศีล ๘ บาเพญ็ ภาวนาจานวนมาก ประชาชน กมั พชู าให้ความสาคญั กบั กิจกรรมทางพระพุทธศาสนา นับถือพระรตั นตรยั เป็นทพ่ี งึ่ ปฏบิ ัตติ ามหลกั ทาน ศลี ภาวนา โดยผ่านกิจกรรมหลายอย่างในรอบปี มกี ารปลูกฝังตั้งแตร่ ะดบั ครอบครัว สนบั สนนกุ ารบวช เรียน

๒๗๘ หากพิจารณาถึงวถิ ีชวี ติ แบบพทุ ธศาสนาคนทัง้ สองกลุม่ จะเห็นว่าเปน็ ไขทสี่ าคญั คือวถิ ชี วี ิตแบบ สมถะเรียบงา่ ยของนกั บวช แตใ่ นทางปฏบิ ัตจิ ะถอื เปน็ เรือ่ งจริงจัง เครง่ ครัดในศาสนพิธี พระภิกษุสงฆ์เปน็ ท่ี พึ่งของประชาชนในทุกดา้ น ทั้งการปฏบิ ัติกจิ วตั ร การศึกษาพระปริยัติธรรม และการสงั คมสงเคราะห์ ส่วน วถิ ชี วี ติ ชาวบ้านจะโน้มเอยี งไปตามวถิ ชี ีวติ ชาววดั ในลกั ษณะเกือ้ กลู กนั โดยสรปุ แล้ว การพจิ ารณาวา่ ปัจจยั หรือเง่อื นไขใดทจี่ ะแสดงใหเ้ หน็ ทิศทาง แนวโน้มของ พระพุทธศาสนาในประเทศกมั พูชา จึงต้องอาศยั เงือ่ นไขอกี ๒ ดา้ น คอื ๑) เง่อื นไขดา้ นสังคม ๒) เงื่อนไขด้าน วัฒนธรรม ถ้าสงั คมและวัฒนธรรมมีทิศทางไปทางใด พระพทุ ธศาสนาจะเปน็ คาตอบในทิศทางน้นั ด้วย เงือ่ นไขทั้งสองด้านนั้นมสี รุปดังนี้ ๑) เงอ่ื นไขดา้ นสังคม เงอ่ื นไขนีเ้ ปน็ เงือ่ นไขเชิงโครงสรา้ งมากว่าเน้อื หาซ่ึงแยกออกเป็น (ก) การเมอื งการปกครองของฝ่ายรฐั โดยเห็นจากทร่ี ฐั ธรรมนญู บัญญตั ใิ หพ้ ระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจาชาติ กมั พูชา ว่ามคี วามมนั่ คงสถาพร (ข)การบริหารจดั การพระพทุ ธศาสนาในด้านการปกครองและการศึกษาซึ่งอยู่ ในรปู แบบตา่ งๆน้ันยังประสานงานและสอดคลอ้ งกับหลกั ทางพระพุทธศาสนาได้ในระดบั ใด ส่ิงทตี่ อ้ งติดตาม และศึกษาอยา่ งใกล้ชดิ ต่อไปคอื กระแสเศรษฐกจิ สังคมและการเมอื งการปกครองสมยั ใหมข่ องประเทศกมั พชู า สิ่งเหล่านจ้ี ะมผี ลกระทบตอ่ พระพทุ ธศาสนา วิถีชวี ติ ความเชอื่ ของชาวกมั พูชาหรือไม่ ภาคประชาชนจะคงยืน หยดั มงั่ คงหรือแสดงท่าทกี ับกระแสเศรษฐกจิ แสสงั คมสมยั ใหมห่ รือไม่ อย่างไร ผวู้ จิ ยั ไมอ่ าจคาดหมายไดอ้ ย่าง สมบูรณ์ เพียงแตค่ าดการณจ์ าเพาะหน้าว่า ถ้าหากสภาพสงั คมทม่ี โี ครงสรา้ งตา่ งๆน้นั ยึดถือหลักหรอื แนวทาง ทางพระพทุ ธศาสนาอยูด่ ว้ ยก็จะทาให้สังคมมคี วามเข้มแข็งขน้ึ ๒) เง่อื นไขด้านวฒั นธรรม วัฒนธรรมและกับประเพณเี ขา้ ด้วยกัน เป็นตวั ขับเคลื่อนวนั สาคญั ที่ ทาใหพ้ ระพทุ ธศาสนาหยัง่ รากลกึ อย่างเป็นเนอื้ เดยี วกกนั บั วถิ ชี วี ติ ของชาววัดกบั ชาวบา้ น เช่น ประเพณีการ บวชเรยี น ชาววดั มสี มาชิกเพิม่ ได้แสดงบทบาทหน้าท่ขี องชาววดั ส่วนชาวบ้านได้แสดงความเปน็ พทุ ธมามกะ ดว้ ยการทาบญุ ทาทาน รักษาศีล เจริญภาวนา โดยลูกหลานทบ่ี วชเรยี นเปน็ ผเู้ ช่ือมความสัมพนั ธ์ใหเ้ ปน็ ญาติ หรอื วัฒนธรรมในเชงิ นามธรรมที่ปรากฏอย่ใู นประเพณสี ิบสองเดือนซึ่งแต่ละเดอื นได้กลายเป็นวถิ ีปฏบิ ัตใิ น วงรอบของชวี ติ มาแตล่ ะคนโดยอัตโนมตั ิ แมบ้ างเดือนจะมกี ารยดื หยนุ่ บา้ งแต่ถือว่าเป็นประเพณที ่ีต้องทา เชน่ ฟงั เทศนามหาชาติ การเขา้ ปริวาสกรรม (ทาบุญเขา้ กรรเจมา้ )คณะจงั หวัดกาปงจาม จดั เดอื น ๖ ในขณะทเ่ี จ้า คณะอาเภอเมอื งเสียบเรียบจัดเดือน ๔ เปน็ ต้น โดยสรุป แนวโนม้ และทิศทางของพระพทุ ธศาสนาในประเทศกมั พชู าเป็นส่งิ ที่เดนิ เคยี งข้างกันกบั สังคมและวัฒนธรรมสาหรบั ชาวกมั พูชาตง้ั แต่อดตี จนถึงปจั จบุ นั ผา่ นการกระทบกระทง่ั ใหเ้ กิดความกระเทือน โดยฝรง่ั เศส เจ้าถงึ ยุคของการกวาดล้างจนสนิ้ ซากโดยรัฐบาลเขมรแดง ผ่านยคุ ฟ้ืนฟู บูรณปฏณสิ ์ ังเขา้รสูก่ าร จัดโครงสร้างทช่ี ัดเจนโดยมีพระพทุ ธศาสนาเป็นศาสนาประจาชาติ ท่ถี ือว่าเป็นจุดแข็งและคาดว่ามีผลใน ทางบวกมากกวา่ ลบถา้ เงอื่ นไขทางการเมอื งการปกครองยังไม่เปล่ียนแปลใงนส่วนของวัฒนธรรมเชงิ พุทธก็ จะดมู ีพลังประคบั ประคองบทบาทหน้าที่ในการชีท้ างบรรเทาทุกข์ ชส้ี ขุ เกษมศานตใ์ิ หก้ มั พชู าได้อย่างโดดเด่น

๒๗๙ แตก่ ระนนั้ เมื่อสังคมพฒั นาก้าวหนา้ ขน้ึ ไปวา่ จะเปน็ เทคโนโลยใี หม่ ธรุ กจิงเพชาิ นชิ เพม่ิ ขน้ึ ในเมอื งใหญ่ เช่น เสยี มเรยี บ พระตะบอง กาปงจาม ตาแก้ว พนมเปญ ก็อาจปรับตวั ทางวัฒนธรรมหรือรบั มือกับสิง่ ใหม่ๆไป พรอ้ มกันดว้ ยเช่นกนั ดังทไี่ ดแ้ ยกเงอ่ื นไขสาคญัๆ เอาไว้แล้ว ดังนน้ั สงั คมและวฒั นธรรมจะพัฒนาไปในทศิ ทางใด พระพทุ ธศาสนาจะเปน็ จดุ เชอ่ื มโยงและ ประสานสัมพันธ์ไปดว้ ยกนั กบั ยคุ สมัยน้ัน จากอดีตถึงปัจจบุ นั ทิศทางของพระพุทธศาสนาจะยงั คงเป็นบวก เนอ่ื งจากสงั คมยงั คงใหก้ ารสนบั สนนุ สง่ เสริม แมใ้ นบางยคุ สมยั พระพทุ ธศาสนาไดต้ กอยู่ในสถานะทสี่ ่นั คลอน และวิกฤตในระดับทีส่ ้ินพทุ ธแลว้ กต็ าม แต่ส่งิ ท่ีกระตุ้นใหเ้ กดิ มพี ลังศรัทธาได้คอื จิตสานกึ ในศลี ธรรม คณุ ธรรม รวมกนั เข้าเป็นเสาค้ายันพระพทุ ธศาสนา คือพระภกิ ษสุ งฆก์ บั ชาวบา้ น เมอื่ ทง้ั สองเขม้ แขง็ พระพุทธศาสนาก็ สามารถดารงคงอย่อู ย่างเขม้ แขง็ ในขณะเดยี วกันเมอ่ื พระพทุ ธศาสนากา้ วหน้าก็สามารถบ่งช้ีโครงสรา้ งคอื ระบบการปกครองและวฒั นธรรมใหส้ งา่ งามไปดว้ ย หากแต่พระพุทธศาสนาในกัมพชู าในปัจจุบนั นยี้ ังไม่เขม้ แขง็ ด้วยเหตทุ ีอ่ ย่ใู นช่วงของการ ปฏิสงั ขรณ์จากการทาลายลา้ งในยุคเขมรแดงเรืองอานาจ

บทที่ ๖ สรุปผลการวจิ ยั และข้อเสนอแนะ การศึกษาเรอ่ื งพระพุทธศาสนาในประเทศกัมพูชา : ประวัตศิ าสตร์ วัฒนธรรม และ ความสัมพนั ธ์ทางสังคม โครงสร้างวิจัยครง้ั นี้เป็นการวจิ ัยเชงิ คณุ ภาพโดยการศกึ ษาจากเอกสาร (Documents) การศึกษาภาคสนาม ( Field Study) เพื่อทาการสัมภาษณ์เชงิ ลกึ ( In-depth interviews)การสนทนากลุ่ม ( Group discussion) และการสงั เกตอย่างไม่เป็นทางการ ( Non- participants observation) แลว้ ทาการวิเคราะห์เนื้อหา (Content analysis) ผลการวจิ ยั สรุปไดด้ ังนี้ ๖.๑ สรุปผลการวิจัย ๖.๑.๑ พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจาชาตขิ องประเทศกัมพชู ามานานนับพนั ปี ประเทศกัมพชู าไดร้ บั อารยธรรมที่รุ่งเรืองมาจากอนิ เดยี ไว้เปน็ สมบตั ขิ องชาติเป็นมรดกของโลก ตั้งแต่โบราณกาลมาแล้ว ศาสนาท่ชี าวกัมพชู านบั ถือซ่ึงรับมาจากอนิ เดียคือศาสนาพราหมณแ์ ละศาสนาพุทธ ซึ่งรบั เขา้ ในสมยั ของพระเจา้ อโศกมหาราชส่งสมณทตู เขา้ มาในสวุ รรณภูมอิ นั มพี ระโสณะและพระอตุ ตระเปน็ หัวหนา้ คณะ เปน็ สายท่ี ๘ ทงั้ สองศาสนาตา่ งพยายามชงิ อทิ ธิพลกนั อย่างหนกั ในหมู่ประชาชนธรรมดาไปจนถงึ ชนชน้ั สงู อามาตย์ พระราชวงศแ์ ละพระมหากษตั รยิ ์ สมยั ใดพระมหากษตั รยิ น์ ับถอื ศาสนาพราหมณ์ ๆ ก็ เจริญรุ่งเรือง สมัยใดนบั ถอื ศาสนาพทุ ธ ๆ กเ็ จริญรงุ่ เรือง บางสมยั นบั ถอื ศาสนาพราหมณ์และสนบั สนนุ อุปถมั ภศ์ าสนาพทุ ธไปดว้ ยกนั ทาให้ศาสนาท้งั ๒ ยงั คงฝงั รากลึกในใจของชาวกัมพูชาตลอดมา ถึงแม้ว่าปัจจบุ ันจะเหลอื เพียงศาสนาพทุ ธเถรวาทก็ตาม จากอดตี ศาสนาพราหมณส์ ามารถแยง่ พืน้ ทีก่ ารนบั ถือได้สาเร็จโดยยดึ ฐานชนช้นั ผู้ปกครองได้มากกว่า อันจะเห็นได้จากรายช่อื พระมหากษตั รยิ ข์ อง กัมพูชาตั้งแต่ยุคแรกจนถึงราวพ.ศ. ๑๗๐๐ เศษเป็นตน้ มา ลว้ นมีจารกึ นามเป็นสนั สกฤต และปราสาทที่สรา้ ง ล้วนเพ่ือบูชาในศาสนาพราหมณ์ เปน็ สว่ นมาก พ.ศ. ๑๗๐๐ สมัยพระเจา้ ชัยวรมนั ที่ ๗ ถอื วา่ เป็นยุคทองของ พระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง เพราะพระมหากษัตรยิ ก์ มั พชู าศรัทธาเคารพนบั ถือพระรัตนตรัยเป็นสรณะเปน็ ทพ่ี ง่ึ อาศยั กลายมาเป็นพุทธมามกะโดยสมบูรณต์ ่อมา แม้วา่ พระพทุ ธศาสนาจะถูกเบยี ดเบยี น เพราะตก เปน็ ประเทศในอารกั ขาอาณานคิ มฝรัง่ เศส แตก่ ็ประคบั ประคองตวั อยู่รอดมาได้ จนวาระสุดทา้ ย พระพุทธศาสนาไดถ้ กู ทาลายเพราะชนชาตเิ ดยี วกนั นาโดยนายพอลพตและพวกกอ่ สงครามกลางเมอื ง เรียกว่าสงครามลา้ งเผ่าพันธ์กุ ัมพชู า หลงั สงครามสงบพระมหากษตั ริย์กมั พชู า ขุนนางและประชาชนจึงได้ ช่วยกนั ฟน้ื ฟูพระพุทธศาสนาใหเ้ จริญร่งุ เรืองสถาพรตราบถึงปจั จบุ นั

๒๘๑ ๖.๑.๒ พระพุทธศาสนากับความสมั พนั ธท์ างวัฒนธรรมในประเทศกัมพูชา จากการศกึ ษาพบวา่ พระพทุ ธศาสนาในประเทศกัมพูชามีความเป็นพลวัตคขู่ นานกนั กลา่ วคอื เมื่อพระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรอื ง วัฒนธรรมเชิงศาสนาก็มีความเจรญิ รงุ่ เรอื งไปดว้ ยกัน หรอื อาจเรยี กได้ว่าเป็นเงอ่ื นไขที่มีอทิ ธิพลตอ่ กนั โดยเฉพาะวฒั นธรรมที่ถกู จัดระบบใหอ้ ย่ใู นรปู ของ ประเพณีสบิ สองเดอื นและพธิ ชี ีวิตของประชาชน ซึ่งสามารถพิจารณาได้จากพลวัตของวฒั นธรรมที่ เคียงคู่กับพระพทุ ธศาสนาในสองมิติ คือ ๑) วฒั นธรรมในมิติของรูปธรรม ๒) วฒั นธรรมในมติ ิของ นามธรรม ซงึ่ ในที่สดุ แลว้ จะกลายเปน็ วิถีปฏบิ ตั ิตามหลักพระพทุ ธศาสนา พอสรุปไดด้ งั น้ี ๑ ) วฒั นธรรมในมติ ิของรปู ธรรม วัฒนธรรมในมติ นิ ี้มคี วามเป็นพลวัตสูง กลา่ วคอื การสรา้ งศาสนสถานล้วนเกิดจากพลังศรทั ธา จากประวตั ศิ าสตรก์ มั พชู าพบว่า กษัตริย์แต่ละพระองค์ ไดแ้ สดงศรทั ธาในการสร้างปราสาท อนั เป็นแรงจูงในศาสนาทงั้ สน้ิ แตส่ ่งิ เหลา่ นไ้ี มอ่ าจยืนยนั ถึงความ เป็นชาวพทุ ธอย่างแทจ้ ริง หากไมม่ กี ารปฏบิ ัติต่อสง่ิ เหล่าน้จี ากวฒั นธรรมในมิตินามธรรม จงึ กลายมา เป็นรูปแบบวถิ ชี ีวติ ตามทีป่ รากฏในประเพณสี ิบสองเดือนท่เี กีย่ วขอ้ งกบั เร่อื งราว เหตุการณ์ใน พระพุทธศาสนา หรอื เกย่ี วขอ้ งกบั พระรตั นตรัย ซึง่ มีความสาคัญระดบั พระราชวังมาตง้ั แต่อดีต และ ประเพณีเหลา่ น้ีลว้ นเกิดจากความเชือ่ ทางพระพุทธศาสนา ซึ่งอยู่ในมิติของนามธรรมทมี่ ีอย่ใู นบคุ คล ตั้งแตอ่ ดตี แต่เม่ือแปรความเช่อื มาเปน็ ภาคปฏิบตั ิ จงึ เปน็ ประเพณที ี่ชาวกัมพูชาไดช้ ว่ ยสืบตอ่ มาถงึ ปจั จุบนั บางประเพณอี าจเปลย่ี นแปลงไปบา้ งตามความเหมาะสม วัฒนธรรมในเชิงรูปธรรมคือปราสาท โดยเฉพาะปราสาทนครวตั อนั เป็นสญั ลกั ษณ์ ของประเทศกมั พชู าท่เี ป็นหนึ่งในมรดกโลก กไ็ ด้ประทบั รปู บนผนื ธงชาตขิ องประเทศกัมพชู า แมว้ า่ เดมิ ทปี ราสาทนครวัตถูกสร้างเป็นศาสนสถานของพราหมณห์ รอื ฮินดู แต่ในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ อันเป็นยคุ ทองของพระพทุ ธศาสนาเป็นต้นมา ปราสาทนครวัดได้รับการอธบิ ายไดว้ า่ เป็นสญั ลกั ษณท์ าง พระพทุ ธศาสนามหายาน ๒) วฒั นธรรมในมิติของนามธรรม มิตินีม้ พี นื้ ฐานมาจากความเชื่อใน พระพุทธศาสนา ความเชอ่ื ในหลักกรรมทางพระพุทธศาสนา แม้วา่ เป็นอุดมการณใ์ นความเหน็ ของคน ทว่ั ไป แตส่ าหรับพทุ ธศาสนาแลว้ สงิ่ ท่เี ปน็ นามธรรมถือวา่ เปน็ แกน่ สาระสาคญั ทีฝ่ ังรากลึกและตรึง จติ ใจของแต่ละบคุ คล และสามารถถ่ายทอดไปส่คู นรนุ่ ต่อๆ ไปได้ เช่น ความเชือ่ หลักธรรมในเรอ่ื ง กรรม ความเชอื่ ในผลของกรรม ความเชื่อวา่ ทุกคนมกี รรม และความเชื่อในพระโพธิญาณของ พระพุทธเจ้า ซงึ่ ในท่ีสุดแลว้ ความเช่ือเหลา่ นี้ได้กลายมาเป็นวถิ ีปฏบิ ัตโิ ดยผา่ นกระบวนการของทาน ศีล ภาวนา จะเห็นได้วา่ ประเพณีท่ีกาหนดไวใ้ นในสบิ สองเดือนจะมแี กน่ สารทีเ่ น้นการให้ทาน รักษาศีลและเจริญภาวนา การปลูกฝังคณุ ธรรมจรยิ ธรรมตามหลกั พระพทุ ธศาสนา เช่น เมอ่ื ถงึ เดือน

๒๘๒ สบิ นบั ตามจันทรคติ ชาวกมั พชู าตอ้ งทาพิธโี ฎนตา ซึ่งอาจเรยี กได้วา่ เป็นวาระของชวี ิต ประชาชนชาว กมั พูชาจะยากดีมจี น อยู่สว่ นไหนของประเทศ จะต้องทาพิธีโฎนตา คือพิธที าบญุ อุทศิ ให้แก่บรรพบุรษุ ดงั นัน้ เม่ือนับวงรอบของประเพณสี ิบสองเดือนจงึ เปน็ วิถีพุทธ มพี ลวัตขบั เคล่อื น ตามวงจรชีวติ แม้บางเดือนมมี ูลเหตุจากการประสมประสานกับพิธพี ราหมณด์ ว้ ยก็ตาม แตส่ าหรบั ชาวกมั พูชาแลว้ เขาสามารถอธิบายได้ในเชงิ พุทธ ๖.๑.๓ การจดั การดา้ นพระพุทธศาสนาในประเทศกมั พชู า สภาพการณแ์ ละกระบวนการด้านพระพทุ ธศาสนาในประเทศกมั พชู า ซ่งึ ในงานวิจัยนี้ ได้นาเสนอเรอ่ื งการศึกษาพระปรยิ ตั ธิ รรม แบง่ เปน็ ๒ หวั ข้อใหญ่ คือ ๑) การจดั การศึกษาพระปริยัติ ธรรมของคณะสงฆก์ มั พูชาในอดตี ๒) การจัดการศกึ ษาพระปรยิ ัติธรรมของคณะสงฆก์ มั พูชาใน ปจั จบุ ัน สรุปได้ดงั นี้ ๑ ) การจดั การศึกษาพระปริยัติธรรมของคณะสงฆ์กัมพชู า ในอดตี มี ๔ ยุค คือ สมยั ฟนู นั สมยั เจนละ สมยั พระนครและสมยั หลังพระนคร สมัยฟนู นั การศกึ ษาพระปริยัติธรรมสมยั ฟนู ัน จากหลกั ฐานทั้งหมดทไ่ี ด้กลา่ วมาใน บทท่ี ๔ น้นั เป็นการศึกษาภาษาสนั สกฤตและภาษาบาลีเป็นหลัก แต่ลกั ษณะของการเรียนการสอนน้นั เปน็ การท่องบน่ บอกเล่าตอ่ ๆ กนั มา โดยอาศัยความจาเป็นหลกั เรยี กว่า มุขปาฐะ มิฉะนัน้ คงไม่มี หลกั ฐานที่ปรากฏในหลักศิลาจารกึ ทว่ี ่า ในพระราชอาณาจกั รฟนู ันมพี ระภิกษุสามเณรเป็นจานวนมาก ทรงประพฤติดีปฏิบตั ชิ อบตามหลกั พระธรรมวินัยอย่างเครง่ ครัด พร้อมทงั้ มพี ระเถระผู้ทรงความรู้ด้าน ภาษาศาสตร์ได้เป็นสมณทูตไปแปลพระไตรปิฎกทปี่ ระเทศจีนดงั กล่าว สมัยเจนละ การศกึ ษาพระปริยตั ิธรรมสมยั เจนละ จากหลักฐานที่ปรากฏในสมยั เจน ละ ช่วงแรกจะเป็นการแย่งชงิ ราชสมบัตเิ ป็นสว่ นใหญ่ ทางด้านพระพทุ ธศาสนานนั้ พระราชาทกุ พระมหากษตั รยิ ก์ ม็ ิได้ทรงทอดทิ้งพระพุทธศาสนา ดังเชน่ ในรชั สมัยของพระบาทชยั วรมนั ที่ ๑ พระองคท์ รงเป็นพระราชาทรงอานาจอกี พระองค์หนงึ่ และขยายอาณาเขตอันกว้างใหญ่ โดยในรัช สมยั นี้ พระองค์ทรงไดผ้ นวชพระภกิ ษุสองรูปท่เี ปน็ เชอ้ื สายกษัตริย์ คอื ภิกษรุ ตั นะภาณุ และภิกษุรัตนะ สิงหะ ให้เปน็ ผ้ดู แู ลวัดไพรเวียร์ท่ีทรงสร้างถวาย และตามการบันทกึ ของหลวงจีนอจี้ ิงไดก้ ล่าววา่ พระพุทธศาสนาในอาณาจักรเจนละมคี วามเจริญรุ่งเรอื งมาก มีการสร้างวดั ทวั่ ทกุ แห่ง ประชาชน นยิ มบวชในพทุ ธศาสนา แมก้ ระทง่ั เจา้ นายก็นิยมบวชเชน่ กัน น่ีก็เปน็ หลักฐานทช่ี ัดเจนข้นึ เพราะการ บวชก็คือการศกึ ษาน่ันเอง เนอ่ื งจากการบวชนนั้ กจ็ าเป็นตอ้ งมพี ระอุปชั ญายอ์ าจารย์ที่เปน็ พระสังฆ เถระผู้ให้การอุปสมบทหรือใหก้ ารศกึ ษาแก่สทั ธวิ หิ ารกิ ที่ศรัทธาเขา้ มาบวชจงึ ถือเป็นการให้การศึกษา คณาจารย์มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ประวัติพระพุทธศาสนา, หนา้ ๑๒๑.

๒๘๓ ในเบอื้ งต้น กลา่ วคอื การให้กรรมฐานหลังจากบวชเปน็ ที่เรยี บรอ้ ยแล้วก็ขนึ้ อยูก่ บั พระอุปชั ญาย์อาจารย์ เปน็ ผสู้ ่งั สอน สมัยพระนคร พระบาทอินทรวรมนั ท่ี ๑ พระองค์ทรงเปน็ ผ้ใู หเ้ สรีภาพแก่ ประชาราษฎรใ์ นการนบั ถอื ศาสนาไมจ่ ากัดเฉพาะแต่ในศาสนาพราหมณเ์ ท่าน้ัน แตท่ รงให้นับถือ ศาสนาทีต่ นเคารพศรัทธาตามประเพณี เชน่ พระองคก์ ็ทรงศรทั ธาในพระพุทธศาสนาเป็นแบบอย่าง พระบาทยโสวรมนั ท่ี ๑ พระองคท์ รงเปน็ พุทธศาสนิกชนทที่ รงนบั ถอื พระพทุ ธศาสนามหายานอยา่ ง เป็นทางการ พรอ้ มกนั น้นั ก็ทรงศรัทธาในศาสนาพราหมณ์ และพระพุทธศาสนาเถรวาทท่สี บื ทอดมา จากรชั กาลกอ่ น ๆ พระบาทราเชนทรวรมันที่ ๒ มีการสรา้ งวดั วาอารามเพม่ิ ข้นึ เป็นจานวนมาก และ เปดิ โอกาสให้เคารพนบั ถอื ศาสนาไดอ้ ย่างเสรี โดยเฉพาะพระพทุ ธศาสนามหายานไดร้ ับการสนบั สนนุ จากกวที ฺราริมถนะ พร้อมท้งั ไดน้ าเอาคัมภีร์พระพุทธศาสนาจากตา่ งประเทศ เข้ามาเป็นจานวนมาก น่ี กแ็ สดงใหเ้ หน็ วา่ การศกึ ษาของพระสงฆใ์ นยุคน้นั คงจะมีความเจรญิ รงุ่ เรอื งแน่นอน ซึ่งจากสถิติการ สรา้ งวดั หรือจานวนของพระสงฆ์ท่บี วชอย่ใู นวดั น้ัน ๆ พรอ้ มทง้ั ตาราเอกสารตา่ ง ๆ สาหรบั ใช้ ประกอบการเรียนการสอนด้วย พระพุทธศาสนามหายานไดร้ ับการเชิดชูจากพระราชสานกั ทาใหล้ ทั ธิ มหายานมคี วามเจรญิ รงุ่ เรืองในพระราชอาณาจกั รกมั พูชาและเปน็ ศาสนาประจาชาติดว้ ย ส่วน พระพุทธศาสนาเถรวาทที่มอี ยู่เดิมนนั้ กม็ ีความเจรญิ รงุ่ เรอื งอยเู่ ช่นกนั เพียงแตไ่ ม่ไดร้ บั สนับสนุนจาก พระราชสานกั เทา่ ทีค่ วร พระบาทสรุ ิยวรมนั ที่ ๒ ได้มกี ารเปลีย่ นแปลงรปู แบบการปกครองพรอ้ มทง้ั การทานบุ ารุง พระพุทธศาสนา พระบาทตรภี ูวนาทิตยวรมันทรงสวรรคต พระบาทชยวรมันที่ ๗ พระองคจ์ ึงรวบรวม กองทัพรบกับจามจนไดร้ บั ชยั ชนะ และกาจัดพวกจามออกจากพระราชอาณาจกั รกมั พูชาในปีพ .ศ. ๑๗๒๔ ซึ่งเปน็ ปที ่ีพระองคข์ ้ึนครองราชย์ทรงไดร้ ับพระนามวา่ พระบาทชยั วรมนั ท่ี ๗ รัชกาลของ พระองคน์ น้ั ทาใหป้ ระเทศกัมพชู ามีอารายธรรมเจรญิ รุ่งเรืองถงึ ชั้นสูงสดุ ในทุก ๆ ด้าน โดยผู้ศึกษาขอ สรุป ได้ดงั น้ี ด้านการศึกษาพระพทุ ธศาสนา (Buddhist Studies) สาหรับการศกึ ษานั้นถือ ว่าเปน็ ยุคของพระองค์มคี วามเจรญิ รงุ่ เรอื งท้งั ฝา่ ยพุทธจักร และอาณาจกั รโดยมพี ุทธิกมหาวิทยาลัยคะ เชนทรตง ซึง่ เป็นมหาวทิ ยาลยั แหง่ ทีห่ นงึ่ ที่สอนวิชาลัทธพิ ระพทุ ธศาสนา มหาวทิ ยานลิ ะกะกตุ ตระ และมหาวทิ ยาลยั นเรนทราศรม เปน็ สถานท่ีศกึ ษาสาหรบั ประชาชนทวั่ ๆ ไป รวมทง้ั สตรเี ชือ้ พระวงศ์ ดว้ ย นอกจากน้นั แลว้ ยงั มีพระภิกษุชาวต่างชาตทิ ่ีเรยี นมหาวิทยาลัยนีด้ ว้ ย แมเ้ ราไมส่ ามารถรู้ไดว้ า่ มี การการเรียนการสอนในรูปแบบใดก็ตาม แตใ่ นยุคน้กี ารศกึ ษาของพระสงฆม์ ีความเจริญท่สี ดุ ยคุ หน่งึ ของกัมพูชา ดา้ นสถาปตั ยกรรม (Architectures) ทางดา้ นสถาปัตยกรรมรชั สมัยของ พระองค์ถอื เปน็ ยุคทีม่ ีอารยธรรมเจริญรุ่งเรืองท่สี ดุ และมกี ารสรา้ งประสาทตา่ ง ๆ ทัว่ ทกุ หนแห่งใน

๒๘๔ พระราชอาณาจักร เพื่ออทุ ศิ แด่พระพุทธศาสนาและพระราชามหากษตั รยิ ์องคก์ อ่ น ๆ โดยเฉพาะ ปราสาทตาพรหมอนั เป็นสถานศึกษาทีส่ าคัญของพระนครที่เรียกวา่ มหาวทิ ยาลัยพระพทุ ธศาสนา มี พระสงฆ์สามเณรศกึ ษาอย่ปู ระมาณ ๒๐,๐๐๐ กว่ารูป การศึกษาพระปรยิ ตั ธิ รรมตอ่ จากพระบาทชยั วรมนั ท่ี ๗ มาจนกระทั่งพระบาท อินทรวรมนั ท่ี ๒ ผูเ้ ป็นพระราชโอรสขึน้ ครองราชย์ การพระศาสนาทรงไดด้ าเนนิ รอยตามพระราช บดิ าคือทั้งพระพุทธศาสนาลทั ธิมหายาน และหินยานทไ่ี ด้แบบอย่างจากลงั กาทวปี กไ็ ดร้ บั ยกยอ่ งจาก ประชาชนทุกระดบั ช้นั และมีความเจรญิ ร่งุ เรอื งเร่อื ยมาจนกระท่งั ถึงรัชสมัยของพระบาทชยั วรมนั ที่ ๘ สถานการณพ์ ระพุทธศาสนาถูกทาลายอยา่ งหนกั จากอทิ ธิพลของพวกพราหมณ์ จึงถือเปน็ ยุค เสอ่ื มสลายลทั ธมิ หายาน และพราหมณไ์ ดส้ ้ินสดุ ลง ในพระราชอาณาจักรของพระบาทชัยวรมันท่ี ๗ และคงเหลือเพยี งพระพุทธศาสนาเถรวาท ทไี่ ด้รับการเคารพศรทั ธาจากพทุ ธศาสนิกท่ีคบั แคน้ ใจจาก พวกพราหมณ์ท่ีกดี กันเรือ่ งของศาสนา ทาใหพ้ ระพทุ ธศาสนาเถรวาทถูกยกย่องให้เป็นศาสนาประจา ชาตกิ ัมพชู า (Esteem to The National Religion of the Cambodia) และได้มคี วามเจริญรุง่ เรอื ง มาโดยตลอด ดังจะเห็นในรชั สมัยพระบาทอนิ ทรวรมันที่ ๓ ถอื ว่าพระองคท์ รงเปน็ แบบฉบับ ของพระราชสานกั และพสกนิกรทุกช่วงชั้นใหไ้ ดเ้ ขา้ มาศกึ ษาและปฏบิ ัติธรรมตามหลักคาสัง่ สอนของ องค์สมเดจ็ พระสัมมาสมั พุทธเจ้าอยา่ งแทจ้ ริง ดงั ตัวอย่างท่ีพระองค์ทรงเสด็จออกผนวชเพอ่ื อุทศิ เวลา ใหก้ ับการศึกษาทางด้านศาสนา และถือเป็นพระกรณยี กิจทีส่ าคัญในการเผยแผ่พระพทุ ธศาสนาในรชั สมยั ของพระองค์ดว้ ย และสิ่งทสี่ าคญั คอื ทรงใชภ้ าษาบาลีแทนภาษาสันสกฤตอยา่ งเปน็ ทางการใน พระราชอาณาจักร จงึ ทาให้การศกึ ษาพระพุทธศาสนาในรัชกาลของพระองคม์ คี วามเจรญิ รุ่งเรืองทสี่ ุด ยุคหนึ่งของกัมพชู าโดยตลอดมา พระบาทชยั วรมันที่ ๙ ทรงบาเพญ็ พระกรณยี กจิ อันสาคัญในการประกาศพระศาสนาไปยงั ประเทศลาวในรชั กาลของเจา้ ฟา้ งมุ้ จงึ ทาให้พระพทุ ธศาสนาเถรวาทไดก้ ลายเปน็ ท่ีพึง่ ทางจิตวญิ ญาณ และเปน็ ศาสนาประจาชาตขิ องสาธารณรฐั ประชาชนลาวมาถงึ ปัจจบุ ัน สมัยหลังพระนคร การศกึ ษาพระปรยิ ัติธรรมรชั สมยั พระบาทพญาญาตพิ ระองค์ทรง ทานุบารงุ ประเทศชาติใหไ้ ดร้ บั ความเจรญิ รงุ่ เรืองท้ังฝ่ายพทุ ธจักร และฝา่ ยอาณาจักรไปพรอ้ มๆกนั แม้ จะอยู่ในชว่ งทท่ี รงย้ายพระราชธานีหลายครั้งกต็ ามที แตพ่ ระองค์กไ็ ม่ทรงละทงิ้ ในเรือ่ งของ พระพทุ ธศาสนา พร้อมทรงไดส้ ร้างพระอารามไว้เปน็ จานวนมาก และยังคงอย่จู นกระทัง่ ปัจจบุ นั แต่ ตอ่ มาหลังจากท่พี ระองคท์ รงสวรรค์แลว้ ประเทศชาติก็เกดิ วบิ ตั ิกนั เองภายในราชวงศ์ทั้งปัญหา ภายในประเทศ และปัญหาจากการรกุ รานจากต่างประเทศด้วย จานง ทองประเสริฐ, ประวตั ิศาสตร์พทุ ธศาสนาในอาเชียอาคเนย์, หน้า ๒๘๓.

๒๘๕ การศกึ ษาสมัยพระยาละแวกจนถึงสมยั ของพระบางองคด์ วง คือนับต้งั แตส่ มัย พระบาทศรีสคุ นธบทขนุ หลวงพระเสด็จกอน และพระบาทจนั ทราชาซ่ึงท้ังสามพระองคล์ ้วนแลว้ เปน็ พทุ ธมามกะทรงเคารพบชู าพระรัตนตรยั เป็นทีส่ ักการบูชาสงู สดุ นอกจากนี้ทุกๆพระองคท์ รงสรา้ งพระ อารามไวเ้ ปน็ จานวนมาก และสนับสนนุ ให้พระสงฆไ์ ด้รบั การศึกษาเพอ่ื เปน็ กาลงั สาคัญในการชว่ ย ช้ีแนะแนวทางสง่ั สอนหลักการปฏิบตั ิทถี่ ูกที่ควรในฐานะเป็นพุทธศาสนกิ ชนผซู้ ึง่ ศรัทธาเลอื่ มใสในพระ ศาสนา และช่วงทท่ี รงครองราชย์นั้นพระองคย์ ังไดค้ ัดเลอื กตวั บุคคลทจ่ี ะเข้ามาช่วยบริหารกิจการทาง บ้านเมือง โดยมีการจดั ให้สอบไล่ประโยคภาษาลีและหลักคัมภรี ฎ์ กี าต่างๆในทางพระพทุ ธศาสนาเพ่อื จะไดผ้ ้บู รหิ ารท่มี คี วามรู้ควบคูค่ ณุ ธรรมและเป็นแบบอยา่ งในการปกครองบา้ นเมอื ง เมือ่ สอบผ่านแลว้ ก็ จะได้รบั แต่งต้ังใหเ้ ป็นผดู้ ารงตาแหนง่ ทางดา้ นการเมอื งการปกครองไปประจาท่หี วั เมืองตา่ งๆ ฉะนัน้ จงึ ถอื ว่ายคุ นีเ้ อาหลกั พระธรรมนาหน้าการปกครองประเทศ พระบาทองค์ดว้ ง การศกึ ษาของพระสงฆ์ และการศกึ ษาของเยาวชนนน้ั พระองค์ทรงเอาพระทยั ในการจัดการศึกษาใหเ้ ป็นไปตามกาลสมัย คือทรงปรับปรงุ ระบบการศกึ ษา ระบบขา้ ราชการ และทรงแต่งตงั้ ตาแหน่งในราชวงศต์ ามลาดบั เพอื่ ให้มีความคล่องตวั ในการปกครอง บา้ นเมือง โดยทรงใหไ้ ปประจาตาแหน่งตามหัวเมืองตา่ งๆอนั ท่ีจะพฒั นาประเทศชาติใหม้ ีความเขม้ แข็ง และเพื่อทจ่ี ะตอ่ ต้านจากภายนอกประเทศ นอกจากจะทรงปกครองประเทศตามหลักทศพธิ ราชธรรม แลว้ พระองคท์ รงเป็นนักเศรษฐกิจระหวา่ งประเทศท่สี าคญั อกี ด้วยกลา่ วคอื มีการจดั พิมพ์เงินเพอื่ ทา พานชิ กรรมกบั จีน และอินเดยี ดังกล่าวแลว้ ขา้ งต้น สว่ นทางการศึกษานน้ั พระองค์ทรงจัดใหม้ ีการสอบ ไลป่ ระโยคบาลี ได้มีพระสงฆเ์ ปน็ พระมหาเปรียญ คอื ตง้ั แต่เปรียญตรีเปรยี ญโทมาตามลาดับ ทาให้ การศึกษาพระพทุ ธศาสนาสมยั นีม้ คี วามเจรญิ อย่างมาก พรอ้ มกนั น้นั ยังมีเหตกุ ารณ์ท่ีสาคญั เกิดขึน้ ใน วงการพระศาสนาของพระราชอาณาจกั รกมั พูชา คอื ได้รบั คณะธรรมยตุ กิ นิกาย จากประเทศไทยเพมิ่ อีกนกิ ายทาให้พระพทุ ธศาสนาในกมั พชู ามี ๒ นกิ ายเหมือนกบั ประเทศไทยจนถึงปจั จุบนั ๒) การจดั การศกึ ษาพระปรยิ ัติธรรมของคณะสงฆ์กมั พูชาในปจั จุบนั จดั เปน็ รูปแบบ ๓ คอื การศึกษาพระปรยิ ตั ธิ รรมแผนกธรรม การศึกษาพุทธกิ ศึกษา และการศึกษา ระดับอดุ มศกึ ษา ในพระราชบัญญัติด้านการศึกษาได้มอบหมายพระเถระเหลา่ นี้รบั ผดิ ชอบ คือ ท่ี ชือ่ สมณศักด์ิ ช่ือจริง ตาแหน่ง ๑ สมเด็จพระมหาสเมธาธิบดี นน แหงด ประธาน ๒ สมเดจ็ พระธรรมลขิ ิต ลอส ลาย รองประธาน ๓ สมเด็จพระอดุ มมนุ ี เฮง เลยี งโฮ รองประธาน ๔ สมเด็จพระวนั รัตน์ นอย จรึก รองประธาน ๕ สมเดจ็ พระโพธิวงศ์ อมั ลมิ เฮง รองประธาน ๖ สมเดจ็ พระอุดมวงศา มว่ ง รา รองประธาน

๒๘๖ ๗ พระโฆสธรรม เสาร์ จันทรธ์ รู รองประธานและเลขานกุ าร ๘ พระสัทธรรมโกศล เจีย สาอาง รองประธาน การศกึ ษาปริยัตธิ รรมแผนกธรรม จากสถติ ิ พ.ศ.๒๕๕๑ มโี รงเรยี นแผนกพระ ธรรมวินยั (นกั ธรรมตรี โท เอก มจี านวน ๗๒๖ โรงเรียนสมณศึกษามีจานวน ๑๓,๖๑๒ รูป โรงเรียน พทุ ธิกประถมศึกษา มจี านวน ๕๔๙ โรงเรียน สมณศกึ ษาท่เี รยี นอยมู่ ี ๑๒,๑๗๔ รปู พทุ ธิกอนุวทิ ยาลยั (ม.๑-๓) มีจานวน ๒๖ โรง สมณศกึ ษา ๔,๐๓๗ รปู พุทธิกวิทยาลัย (ม.๔-๖) ๑๑โรง มสี มณศึกษา ๑,๘๙๓ รปู ระดบั อดุ มศกึ ษา ๒ แหง่ คือ พทุ ธกิ สากลวทิ ยาลยั พระสีหนุราช และพุทธิสากลพระสี หมนุ ี ๖๐๕ รปู ส่วนวัดทวั่ ราชอาณาจักร ๔,๒๓๗ วดั มพี ระภิกษุ-สามเณร ๕๗,๓๕๐ รปู การศึกษาพุทธกิ ศกึ ษา ๑.พุทธกิ ประถม ศกึ ษาให้ศึกษาระดับประถมศกึ ษา ชัน้ ป.๑-๖ ๒.พุทธิกมัธยมศึกษาปฐมภมู ิ จัดการศกึ ษาระดับมัธยมศึกษาตอนตน้ ๓.พทุ ธิก มัธยมศึกษาทุติยภูมิ จดั การศึกษาระดบั มธั ยมศึกษาตอนปลาย พ.ศ.๒๕๐๕ สมเด็จพระสหี นุราชได้ สรา้ งโรงเรียนสงฆเ์ รยี กวา่ โรงเรยี นพุทธิกศึกษาต้ังแต่ระดับมธั ยมศึกษาตอนตน้ และตอนปลาย โรงเรียนน้ตี ้ังอยูท่ ่วี ดั มหามนตรี ให้นามว่า วิทยาลัยพระสรุ ามฤต ในกรุงพนมเปญ ตามนามของพระ บดิ าของพระองค์ ปจั จบุ ันขยายตวั ออกไปหลายจังหวดั มีจานวนโรงเรยี นท้ังสนิ้ ๑๒ แหง่ มนี กั เรียน ๓,๔๐๐ รปู /คน พ.ศ.๒๕๓๒ (๑๙๘๙) โรงเรียนมธั ยมสงฆ์ไดร้ บั การฟืน้ ฟูอีกครัง้ หลงั ถกู ทาลายยับเยนิ ในสมยั เขมรแดง เป็นฐานผลิตบุคลากรให้มหาวิทยาลยั สงฆ์ต่อมา พ.ศ.๒๕๕๑ มีจานวนโรงเรียนมัธยม ทางพทุ ธศาสนา ๑๒ แห่ง การศึกษากับอดุ มศึกษา จัดการศึกษาระดบั มหาวทิ ยาลยั คือระดบั ปรญิ ญาตรี โท และ เอก ระดับอุดมศกึ ษา ได้กอ่ ตัง้ ขน้ึ ในวนั ท่ี ๑ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๙๗ (๑๙๕๔) โดยสมเดจ็ พระ เจ้านโรดมสีหนุ โดยใชพ้ ระนามของพระองค์ทา่ นมาเรยี กชื่อมหาวทิ ยาลยั เหมอื นกับมหาวทิ ยาลยั มหา จฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั ซึง่ พระราชทานนามจากในหลวงรชั กาลท่ี ๕ ชื่อว่าพุทธกิ สากลวทิ ยาลัยพระสี หนุราช Preah Sihanouk Raja Buddhist) โดยมุ่งหวงั ใหพ้ ระสงฆ์ใดร้ ับการศกึ ษาท่สี งู ขน้ึ จนถึงระดบั มหาวทิ ยาลัยเพือ่ นาเอาความรู้ทางพุทธศาสนาไปเผยแผ่พุทธศาสนกิ ชน โดยมีพระโพธวิ งศ์ (ฮวด ตาท) เป็นอธิการบดีรูปแรก มนี ักศึกษาชุดแรก ๔๐ รูป มหาวทิ ยาลยั ตกต่าสดุ ขดี ในสมัยแขมรแดง ตึกถกู ทบุ หนงั สือทางพุทธศาสนาถูกเผาทาลาย ไมม่ นี ักศกึ ษาเหลืออยู่ จนถงึ ปีพ.ศ.๒๕๔๐ (๑๙๙๗) จึงไดเ้ รม่ิ ฟืน้ ฟูอีกคร้ัง โดยเปดิ คณะพทุ ธศาสตรเ์ ป็นคณะแรก มนี ักศึกษาจบรนุ่ แรก ๕๐ รปู พ.ศ.๒๕๔๙ (๒๐๐๖) รฐั บาลกัมพชู าไดต้ ราพระราชบญั ญตั ิมหาวิทยาลัย มีผลทาให้เปน็ มหาวทิ ยาลยั รฐั บาล สมบูรณ์แบบ ในเบ้อื งตน้ เปิดสอนในระดบั ปรญิ ญาตรี ๕ คณะ คือ ๑.คณะศาสนาและปรชั ญา (Faculty of Phylosophy and Religions) ๒.คณะศกึ ษาศาสตร์ วิทยาศาสตรป์ ระชาสัมพันธ์ทาง คา้ นเทคโนโลยี (Faculty of Education Science and Infor-mation Technology) ๓.คณะ

๒๘๗ วรรณคดีเขมร (Faculty of Khmer Literature) ๔.คณะบาลี สนั สกฤตและภาษาตา่ งประเทศ (Faculty of Pali Sanskrit and Foreign Technology) ๕.ศนู ยฝ์ กึ อบรมครู (Center of Teacher Training) มีสถานะเทียบเท่าคณะ ต้งั แต่ก่อต้งั จนถึงพ.ศ.๒๕๑๘ มีผู้จบการศึกษาแล้ว ๑๗๖ รปู ปพี .ศ. ๒๕๔๒ (๑๙๙๙) มีผจู้ บปริญญาตรรี ุน่ แรก ๕๐ รูป วันที่ ๒๓ มกราคม พ.ศ.๒๕๔๙ (๒๐๐๖) รฐั บาล พระราชอาณาจักรกัมพูชายกสถานะเปน็ มหาวิทยาลยั ของรัฐอย่างสมบูรณ์ มีพรบ.ท่ีชัดเจน มสี มเด็จ พระสังฆราช (นน แหงด) เปน็ ทปี่ รกึ ษาอธิการบดี มี สมเด็จพระโพธวิ งศ์ (อัม ลิม เฮง) เปน็ อธิการบดี และศาสตราจารย์ ดร.พระเทพสัตถา (ชรี ) สวุ ัณณรัตนะ เป็นรองอธกิ ารบดี มหาวทิ ยาลยั ไดข้ ยาย การศกึ ษาออกสูช่ นบทโดยจดั ตัง้ วทิ ยาเขตออกเปน็ ๓ วิทยาเขตกาปงชนงั คอื ๑.วทิ ยาเขตพระตะบอง ๒.วทิ ยาเขตกัมปงจาม ๓.วทิ ยาเขตกาปงชนงั พ.ศ.๒๕๕๕ มนี กั ศกึ ษาทั้งหมด ๑,๕๑๒ รปู /คน มหาวิทยาลัยอกี แห่งหนึ่งคือ พทุ ธิกสากลวิทยาลัยพระสหี มุนรี าชา ( Preah Sihamoniraja Buddhist University) เปน็ มหาวิทยาลัยทีต้ังตามนามชองสมเดจ็ พระเจ้านโรดม สหี มนุ ี พระมหากษตั รยิ ์องค์ปัจจบุ ัน ตง้ั ที่วัดสวายเปาะแป กรงุ พนมเปญ โดยความพยายามของสมเดจ็ พระสงั ฆราชบวั คลี ฝ่ายธรรมยุติ ในพ.ศ.๒๕๔๗ ในวันเปดิ มหาวิทยาลัยพระเจา้ สีหมนุ ไี ดเ้ สดจ็ มาเปิด อยา่ งเปน็ ทางการ การดาเนินงานเป็นไปดว้ ยดี จนถงึ พ.ศ.๒๕๕๐ จงึ มพี รบ.อย่างสมบรู ณ์ มสี ถานะ เป็นมหาวิทยาลยั ในกากบั ของรัฐบาล ขณะน้ีเปิดแล้ว ๔ คณะ คือ ๑.คณะปรัชญา ศาสนา และ นติ ิศาสตร์ ๒.คณะบาลี สนั สกฤต และภาษาต่างประเทศ ๓.คณะอกั ษรศาสตรเ์ ขมร ๔.คณะสารสนเทศ ๖.๑.๔ ผลการวเิ คราะห์กระบวนการเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางศาสนาและ วฒั นธรรมในปะเทศกัมพูชา พบวา่ กระบวนการเสริมสรา้ งความสัมพนั ธ์ทางศาสนาและวัฒนธรรมได้ ทาผา่ น ๓ กระบวนการ คือ ก. ผา่ นความศรทั ธาในพระพุทธศาสนา ความศรัทธานีแ้ สดงออกด้วยสิง่ ท่ีเปน็ รูปธรรมและนามธรรม สิ่งที่เป็นรูปธรรมคือ ผ่านการสรา้ งปราสาท การสร้างวงั สร้างวดั ชาวพุทธกัมพูชามีศรัทธาในพระพุทธศาสนา ดูได้จาก ประวตั ิศาสตร์ตง้ั แต่สมัยฟนู ันเป็นต้นมา การสรา้ งปราสาทมีลักษณะพุทธมหายาน ปจั จุบันปราสาท เปน็ สญั ลักษณข์ องประเทศทีป่ ราก ฏในธงชาติ และศาสนสถาน คือวัดหรอื สิง่ ปลกู สรา้ งในวดั ปัจจุบนั ก็ ปรากฎศลิ ปกรรมและสถาปตั ยกรรมจากปราสาทด้วย ปัจจุบันปรากฏรปู ธรรมจากการสร้างวงั สรา้ ง วัดอย่างชดั เจน ความศรัทธาเปน็ นามธรรมเกิดผา่ นคาสอนในพระพทุ ธศาสนา โดยเฉพาะบุญกิริยา วัตถุ ๓ คือเชอื่ ในหลักกรรม ทาดไี ดด้ ี ทาช่ัวได้ชัว่ ข. ผ่านบทบาทของพระมหากษัตริย์หรอื ผนู้ า พระมหากษัตริยข์ องประเทศกัมพชู าเปน็ พทุ ธมามกะ อุปถมั ภพ์ ระพุทธศาสนาและ เกือ้ กูลต่อสถาบนั สงฆ์ตลอดมาถึงปจั จบุ ัน ชนช้นั ปกครองจึงมีบทบาทสาคญั ในการเสริมสรา้ ง

๒๘๘ พระพุทธศาสนาให้มัน่ คงในประเทศกมั พูชา ในปจั จุบันพระพทุ ธศาสนาได้รับการบรรจใุ ห้เป็นศาสนา ประจาชาติ นับได้วา่ เปน็ ความมน่ั คงในระดบั หนึง่ ค.ผา่ นกระบวนการความขัดเกลาทางสังคม เกิดจากการสืบเน่ืองทย่ี าวนานของพระพุทธศาสนาในประเทศกมั พูชาและได้รบั การ ส่งเสริมสร้างสนบั สนุนจากพระมหากษัตรยิ ์ ความขัดเกลาทางสงั คมถูกซึมซบั โดยพธิ กี รรม ทาง พระพุทธศาสนาผสมผสานเข้าไปในวถิ ีชีวติ ของชาวกัมพูชา การทาบุญทาทาน การรกั ษาศลี ถือ อโุ บสถศลี เปน็ สงิ่ ทสี่ ืบทอดต่อๆกันมาให้เยาวชนเห็นและปฏิบัตติ ามด้วยความเชอ่ื เลื่อมใส ความขดั เกลาทางสงั คมยังเกดิ เป็นประเพณีผู้ชายได้รับการบรรพชาอปุ สมบทในพระพทุ ธศาสนา เพ่อื ศกึ ษา ธรรม อบรมศลี ธรรมจรรยาอีกดว้ ย สว่ นผูช้ ายที่ไม่ได้บรรพชาอปุ สมบทจะใช้ชีวติ ชว่ งหนง่ึ ในการเป็น เดก็ วดั เป็นอบุ าสกรับใช้ศาสนบคุ คลในวดั จนกระท่งั จบการศึกษาหรอื มคี ู่ครองเรอื นตอ่ ไป ๖.๑.๕ แนวโนม้ และทศิ ทางด้านพระพทุ ธศาสนากับการพัฒนาสังคมและวัฒนธรรมใน ประเทศกมั พูชา ในวงรอบของชีวิตชาวพุทธในกัมพูชา ตั้งแต่อุบตั ถิ ึงดับชีพไปในช่วงอายทุ ่ีสาคัญ เชน่ วัยเดก็ โดยเฉพาะเดก็ ชาย พ่อแมน่ ยิ มใหบ้ รรพชาบวชเรยี นพระธรรมวนิ ัยหรอื นาไปฝากเป็นเดก็ วัด เพือ่ ได้ อบรมกล่อมเกลาทางศีลธรรมจรรยา แต่ในขณะเดียวกันยังมกี ิจกรรมแบบพราหมณแ์ ทรกซมึ ด้วย แต่ เป็นเพ่ือนองคป์ ระกอบให้ความเปน็ พุทธเด่นขน้ึ เท่านน้ั สว่ นสังคมวดั คอื พระสงฆ์แม้แตกต่างจากชาวบา้ น แต่ในวถิ ีชีวิตประจาวัน พระสงฆจ์ ะ ใกล้ชดิ กบั ชาวบา้ น สามารถเปน็ ทพ่ี งึ่ ของชาวบา้ นได้ สงิ่ ทเี่ ห็นได้ในวิถชี ีวิตของพระสงฆ์คือความเรียบ ง่าย แต่ไดท้ าหนา้ ท่ขี องพระสงฆไ์ ดเ้ ตม็ ท่ที ัง้ การศึกษาและการสังคมสงเคราะห์หรือชว่ ยเหลือชาวบ้าน วถิ ชี ีวิตชาววัดกับชาวบ้านจึงเป็นสง่ิ ทเี่ คยี งคกู่ ันเสมอมา ดังนัน้ จึงถือไดว้ ่าวถิ ชี วี ติ ชาววัดกับชาวบ้านจึง เปน็ เงอื่ นไขอีกประการหน่งึ ทจี่ ะกาหนดทิศทางของพระพทุ ธศาสนาในประเทศกัมพูชาได้ การศึกษาข้อมูลเชิงประวัติศาสตรท์ ี่เกยี่ วขอ้ งกับพระพทุ ธศาสนา การเมืองการปกครอง การจดั การพระพทุ ธศาสนา สงั คมและวัฒนาธรรมในประเทศกัมพชู า โดยทน่ี ส้ี รปุ ได้ ๖ องคป์ ระกอบ และเงือ่ นไขบ่งช้ี ดงั นี้ องค์ประกอบ เง่อื นไขบ่งช้ี ๑.รากฐาน ประวตั ิศาสตร์พระพทุ ธศาสนาในประเทศกัมพูชามีความต่อเน่ือง ประวตั ิศาสตร์ ยาวนานนบั พนั ปี ผา่ นการผสมผสานพทุ ธศาสนามหายานกบั พราหมณ์ ผ่าน การกระทบกระเทือนจากศาสนาคริสต์ อิสลาม ผ่านการกวาดโดยเขมรแดงเข้า ส่กู ารฟ้นื ฟแู ลว้ จัดระเบียบการศกึ ษาการปกครองการบรรจุพระพทุ ธศาสนา

๒๘๙ เป็นศาสนาประจาชาตไิ ดใ้ นปัจจุบนั ผู้วจิ ัยเชอื่ วา่ พระพุทธศาสนาในประเทศ กมั พชู าแม้ยงั อยใู่ นภาวการณ์(ตงั้ ไข)่ จะมแี นวโนม้ และทิศทางทีจ่ ะเจริญเติบโต ไดใ้ นโอกาสต่อไป ๒.ระบบการ การปกครองในอดตี ถงึ ปัจจุบัน ประเทศกัมพชู าปกครองโดย ปกครองในอดีต พระมหากษัตริย์ ในอดตี พระมหากษตั ริยป์ กครองเบด็ เสรจ็ ลักษณะสมบูรณาญา และระบบ สิทธริ าชมอี านาจบริหารจดั การการศึกษาพระพทุ ธศาสนาและกากับดแู ล การเมอื ง พระสงฆโ์ ดยฝา่ ยสมเดจ็ พระสังฆราช พระองค์ทรงเปน็ พุทธมามกะได้เป็น ตน้ แบบในการบารงุ พระพทุ ธศาสนา ในปจั จบุ ันการปกครองระบบอบประชาติป ไตย มพี ระมหากษัตรยิ ท์ างเปน็ ประมขุ การบริหารจดั การพระพุทธศาสนาต้อง เปน็ ไปตามกฎหมาย รัฐบาลถือเอาภารธรุ ะพระพทุ ธศาสนา แมใ้ นบางโอกาสจะ มพี ระสงฆเ์ ปน็ แกนนาประท้วงการเลือกตง้ั แตร่ ัฐบาลมีเครื่องมือในการจัด ระเบยี บ คือกฎหมาย ดังนน้ั ระบอบการเมืองการปกครองจาเป็นเง่อื นไขท่จี ะ กาหนดทิศทางของพระพทุ ธศาสนาวา่ จะให้เปน็ ไปในทศิ ทางใด ๓.การบรหิ ารจัดการ การจัดการด้านพระพุทธศาสนาของกัมพูชาปัจจบุ ันยงั อยใู่ นเกณฑ์ ด้านพระพุทธศาสนา มาตรฐานตา่ การศกึ ษาในทนี่ ี้หมายถงึ การศึกษาพระปรยิ ตั ธิ รรมแผนกธรรม พทุ ธกิ ศกึ ษา (ภาษาบาลี)และระบบมหาวทิ ยาลยั โดยเฉพาะดา้ นทนุ หรอื งบประมาณในการดาเนนิ การที่ไม่เพียงพอต่อความจาเปน็ แม้มรี ะบบ โครงสรา้ งบริหารจดั การท่ชี ดั เจนแน่นอนในระบบมหาวิทยาลัย แต่ไม่สามารถ ตอบโจทย์ความเจรญิ รุง่ เรืองไดเ้ พราะไม่เป็นท่นี ยิ มการจัดการศึกษาพระพุทธ ศาสนาในกัมพชู านา่ จะมแี นวโนม้ ดีขน้ึ ถ้าตอบโจทยใ์ นสมยั ปัจจุบันได้ ๔. การประสาน พระพทุ ธศาสนา โดยหลักการสาคญั คอื นามธรรม แตผ่ ู้ที่รบั ศาสน พลังทางสังคม ธรรมนน้ั เองทจ่ี ะเป็นผ้ทู าใหพ้ ระพทุ ธศาสนากลายเปน็ รปู ธรรม ทาให้เกดิ สังคม และวัฒนธรรม แบบพุทธ การอยู่ร่วมชุมชนชาววัดหรอื ชาวบ้านโดยมพี ระรัตนตรัยเป็น โดยมพี ระ ศนู ย์กลาง คอื พระพทุ ธเจ้าในรปู ของพระพุทธรูป พระธรรมในรูปของพระธรรม รัตนตรัยเป็น คาสอน และพระสงฆท์ ที่ าหนา้ ท่ใี นการปกครอง การศกึ ษาเผยแผห่ รอื การ ศูนย์กลาง สงั คมสงเคราะหก์ ารสานพลงั ทางสังคม จึงจดั ได้วา่ เปน็ เงอื่ นไขในการกาหนด ทศิ ทางของพระพุทธศาสนาได้ ๕.กระบวนการ พระพทุ ธศาสนาในประเทศกัมพชู าตวั อย่างในอดตี ถงึ ปัจจุบันมี เสรมิ สรา้ ง กระบวนการเสริมสร้างความสมั พนั ธอ์ ย่างยาวนานภายใตก้ ระบวนการท่เี ป็น ความสมั พันธท์ าง รปู ธรรมและนามธรรม ความสมั พันธภ์ ายใต้กระบวนการทางผ้ปู กครองคือ ศาสนาและ พระมหากษตั ริย์และภายใตก้ ระบวนการขดั เกลาทางสงั คม

๒๙๐ วัฒนธรรม ดังนนั้ กระบวนการทางเสริมสรา้ งความสัมพนั ธ์ทางศาสนาและ วัฒนธรรมจงึ ถือวา่ มสี ว่ นกาหนดทิศทางของพระพุทธศาสนา ๖.วถิ ีชีวติ แบบพุทธ ในวงรอบของชีวติ ชาวพทุ ธในกัมพูชา ต้ังแตอ่ ุบัติถงึ ดบั ชีพไปในชว่ ง อายุท่สี าคญั เช่นวัยเดก็ โดยเฉพาะเดก็ ชาย พ่อแม่นยิ มให้บรรพชาบวชเรียน พระธรรมวินยั หรือนาไปฝากเป็นเดก็ วดั เพอื่ ไดอ้ บรมกลอ่ มเกลาทางศีลธรรม จรรยา แต่ในขณะเดียวกันยังมีกิจกรรมแบบพราหมณแ์ ทรกซมึ ดว้ ย แต่เป็น เพือ่ นองคป์ ระกอบให้ความเป็นพุทธเด่นขึ้นเท่าน้นั สว่ นสงั คมวัดคอื พระสงฆแ์ ม้ แตกต่างจากชาวบ้าน แต่ในวถิ ีชวี ติ ประจาวัน พระสงฆจ์ ะใกล้ชดิ กับชาวบา้ น สามารถเปน็ ท่ีพึง่ ของชาวบ้านได้ ส่งิ ทเี่ หน็ ไดใ้ นวิถีชวี ติ ของพระสงฆ์คอื ความ เรยี บง่าย แต่ได้ทาหนา้ ทขี่ องพระสงฆ์ไดเ้ ต็มทีท่ ง้ั การศึกษาและการสังคม สงเคราะหห์ รอื ช่วยเหลือชาวบา้ น วิถชี ีวิตชาววัดกับชาวบ้านจงึ เป็นสิ่งที่เคียงคู่ กันเสมอมา ดงั นัน้ จึงถือไดว้ ่าวิถชี วี ติ ชาววัดกับชาวบา้ นจึงเปน็ เง่อื นไขอีก ประการหน่ึงทจี่ ะกาหนดทิศทางของพระพทุ ธศาสนาในประเทศกมั พชู าได้ จากการศกึ ษาวิเคราะหพ์ บว่า พระพทุ ธศาสนาในประเทศกมั พูชามคี วามเปน็ อตั ลกั ษณเ์ ชิง ประเพณี และเมื่อกล่าวถงึ บริบททางสงั คมและวัฒนธรรมแลว้ พบวา่ พระพทุ ธศาสนาเปน็ แกนกลาง ระหวา่ งสองบรบิ ทน้นั กลา่ วคือ ทางสังคมท่วี ่าด้วยรัฐ การเมอื ง การปกครอง องคก์ รทาง พระพทุ ธศาสนา ความสมั พันธท์ างสงั คมและวัฒนธรรม กระบวนการเสรมิ สรา้ งทางศาสนาและ วฒั นธรรม และบรบิ ททางวัฒนธรรมทง้ั ท่เี ปน็ วฒั นธรรมในมิตแิ ละนามธรรม ลว้ นมีแกนกลางคอื พระพทุ ธศาสนา แมจ้ ะมคี วามเช่ืออ่นื ปะปนบา้ ง แตเ่ มือ่ ว่าโดยส ถิตขิ องประ ชากรทนี่ ับถือ พระพุทธศาสนาของกมั พชู าทีม่ เี ปอรเ์ ซน็ ต์สงู สดุ ในบรรดาประชากรทีน่ บั ถือพระพุทธศาสนาในอาเซี่ยน ดว้ ยกนั แลว้ พระพทุ ธศาสนายงั คงมพี ลังดงึ ดูดท่สี าคัญท่ีทาใหส้ งั คมและวัฒนธรรมมีความเป็นสังคม และวัฒนธรรมพทุ ธมากกวา่ จะเป็นอยา่ งอ่นื


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook