1 บทที่ 1 ความหมายและความสำคัญของสขุ ภาพ ความรอบรดู้ ้านสขุ ภาพและการจัดการสขุ ภาพ วัตถปุ ระสงค์เชิงพฤติกรรม เมอื่ นิสติ ได้รบั ฟังการบรรยาย และร่วมแลกเปล่ยี นประสบการณ์ในบทเรยี นนแี้ ลว้ ผเู้ รยี นสามารถ 1. อธิบายถึงความหมายและความสำคัญของสุขภาพ ความรอบรู้ด้านสุขภาพและการจัดการ สขุ ภาพได้ 2. อธิบายถงึ องค์ประกอบสำคัญของความรอบรดู้ ้านสุขภาพได้ 3. อธิบายถงึ ความสำคัญของปัจจัยกำหนดสุขภาพทางสงั คม (Social Determinants of Health) ต่อการดูแลสุขภาพของประชาชนได้ 4. อธิบายถงึ องค์ประกอบของระบบสุขภาพตามกรอบแนวคดิ ขององค์การอนามยั ได้ วธิ ีการสอน/กจิ กรรมการเรียนการสอน 1. โดยการบรรยาย ถามตอบ การซกั ถาม และอภิปรายสถานการณ์ที่เก่ยี วขอ้ ง 2. การสอนแบบยกตวั อยา่ ง สาธติ การถาม-ตอบ 3. มอบหมายงานให้นสิ ิตวเิ คราะหอ์ งค์ความรู้ในทา้ ยชั่วโมงเรยี นเป็นรายบุคคล การประเมนิ ผลลัพธ์การเรยี นรู้ 1. การทดสอบในชวั่ โมงเรียน (quiz) และการสอบประจำภาค 2. ประเมินผลจากการเตรียมความพรอ้ ม ความสนใจ ความกระตือรือร้นในการเรยี นรู้ 3. ประเมนิ ผลจากการตอบคำถามในชน้ั เรยี น 4. ประเมนิ ผลจากผลงานท่นี ำเสนอ การสง่ งานตรงต่อเวลา การทำแบบฝึกหดั
2 บทนำ ประเทศไทยน้นั ไดช้ ื่อวา่ เปน็ ประเทศผู้นำท่เี ขม้ แข็งทีส่ ดุ ประเทศหนง่ึ ในการพัฒนาทาง สังคมเพื่อบรรลุจุดหมายสุขภาพดีถ้วนหน้าในปี 2543 ทั้งนี้เริ่มตั้งแต่การประชุมระดับชาติในปี 2520 และต่อมาในปี 2523 ประเทศไทยได้ใหส้ ัตยาบันใน “กฎบตั รเพื่อพัฒนาการทางสขุ ภาพ (Charter for Health Development)” อันเป็นการตอกย้ำเจตนารมณ์ของประเทศที่จะทำให้ “ทุกคนในประเทศ ไทย เกิดมาและเตบิ โตไปจนแก่ และตายอย่างมีศักดิ์ศรขี องความเป็นมนุษย์ อีกทั้งในระหว่างที่ยงั มชี ีวติ อยนู่ ั้นจะตอ้ งมีสขุ ภาพดพี อทจี่ ะเป็นประโยชน์และมีสว่ นร่วมสรา้ งเสรมิ เศรษฐกิจ ตลอดจนสังคมที่ทุกคน เปน็ สมาชิกอยไู่ ด้อย่างเตม็ ที่” ดังนั้น จึงได้มีการดำเนินงานพัฒนาสาธารณสขุ ทั้งด้านบริการส่งเสริมสุขภาพ ป้องกนั โรค รักษาพยาบาล และฟื้นฟูสภาพ ซึ่งได้ก่อให้เกิดผลดีต่อสุขภาพอนามัย ที่สำคัญและชัดเจนก็คือ ประชาชนมีอายุยืนยาวขึ้น นั่นเป็นผลจากการพัฒนาการจัดระบบบริการสุขภาพตั้งแต่ขั้นพื้นฐานทั้ง ภาครัฐและเอกชนที่ครอบคลุมและทั่วถึง ประชาชนมีการดูแลสขุ ภาพของตนเองมากขึ้นโดยอาศัยกลไก ของการสาธารณสุขมูลฐานนนั่ เอง อนึ่ง ในปัจจุบันนี้ได้มีการกล่าวถึงการรู้เท่าทันทางสุขภาพซึ่งเป็นความสามารถของ บุคคลในการเข้าถึงข้อมลู ทางสุขภาพ เข้าใจ และมีความรูใ้ นเรื่องน้ัน ๆ ตลอดจนสามารถประยุกตข์ ้อมูล ขา่ วสารที่ได้รับไปสูก่ ารตดั สินใจเพื่อปฏิบตั ิตวั ในการดูแลสุขภาพ ควบคุมปอ้ งกนั โรค และส่งเสรมิ สุขภาพ ตนเองเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต โดยมีปัจจัยที่มีผลต่อการรู้เท่าทันทางสุขภาพ เช่น อายุ ระดับการศึกษา ภาวะสขุ ภาพ ซ่ึงผู้ที่มกี ารร้เู ทา่ ทันสุขภาพต่ำอาจเปน็ ปจั จยั เสี่ยงที่สำคัญในการทำให้เกดิ ปัญหาสุขภาพได้ ดังนั้น แนวทางในการป้องกันและควบคุมโรคนั้นต้องมีความรู้เกี่ยวกับโรค การระบาดของโรค การ ปอ้ งกนั โรคอน่ื ๆ ตลอดจนการปฏบิ ตั ติ วั เมอื่ เกดิ โรค ทั้งนี้ จึงต้องเรียนรู้ถึงปัจจัยกำหนดสุขภาพทางสังคม (Social Determinants of Health) ที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสขุ ภาพท่ีจะทำให้เกดิ ความตระหนักถึงความเสีย่ งต่อสุขภาพ เพราะการ เปลี่ยนแปลงทางด้านสิ่งแวดล้อมกายภาพ ทางเศรษฐกิจ และสังคม จะส่งผลกระทบต่อสุขภาพของ มนุษยอ์ ยา่ งหลกี เลย่ี งไมไ่ ด้ เนือ่ งจากสขุ ภาพมไิ ด้ถูกกำหนดโดยระบบบรกิ ารสุขภาพและวิถีชวี ิตเท่านน้ั เนือ้ หา 1.1 ความหมาย ความสำคญั ของสุขภาพ ปจั จัยทก่ี ำหนดสุขภาพในศตวรรษท่ี 21 1.2 ปจั จยั ทีม่ ผี ลกระทบต่อสขุ ภาพ 1.3 แนวคดิ ของความรอบร้ดู ้านสุขภาพ องค์ประกอบและคณุ ลกั ษณะสำคญั ของความรอบรู้ ดา้ นสขุ ภาพ 1.4 แบบวดั ความรอบรู้ดา้ นสขุ ภาพ
3 1.1 ความหมายและความสำคัญของสขุ ภาพ ความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพและการจัดการสุขภาพ 1.1 ความหมายและความสำคัญของสุขภาพ มคี วามหลากหลายท่ีไดใ้ หค้ ำจำกัดความของ “สขุ ภาพ” ไวด้ งั นี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้เป็นพระพุทธภาษิตว่า “อโรคยา ปรมา ลาภา” ซ่ึง แปลว่า “ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ” ซึ่งพระพุทธภาษิตข้อนี้แม้แต่ชาวอารยประเทศทาง ตะวันตกก็ยังยอมรับนับถือกันและเห็นพ้องต้องกันว่า สุขภาพคือพรอันประเสริฐสุด นอกจากนี้ยังมี สภุ าษติ ของชาวอาหรบั โบราณกล่าวไว้ว่า “คนทมี่ สี ขุ ภาพดคี ือคนทม่ี คี วามหวงั และคนที่มีความหวงั คือคน ที่มีทุกสิ่งทุกอย่าง” ซึ่งนั่นก็หมายความว่าสุขภาพคือวิถีแห่งชีวิต โดยสุขภาพจะเป็นเสมือนหนึ่งวิถีทาง หรอื หนทางซงึ่ จะนำบุคคลไปสคู่ วามสขุ และความสำเร็จตา่ ง ๆ นานาได้ หรอื อาจกล่าวไดว้ า่ เปน็ “สขุ ภาพ ชีวติ ” พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2525 ได้ให้ความหมายของ “สุขภาพ” ไว้ ว่า “ความสุขปราศจากโรค ความสบาย” ก่อน พ.ศ. 2500 เราใช้คำสุขภาพกันน้อยมาก เพราะขณะนน้ั เราใชค้ ำว่า “อนามยั ” (อน + อามัย) ซึง่ หมายถึง “ความไมม่ โี รค” ซง่ึ เม่อื เปรยี บกันแล้วจะเห็นว่า คำว่า “สุขภาพ” มีความหมายกว้าง และสมบูรณ์กว่า “อนามัย” เพราะสุขภาพเน้นสุขภาวะคือ ภาวะที่ทำให้ เกดิ ความสขุ ปราศจากโรคซ่ึงเกี่ยวขอ้ งกับหลายๆ ปจั จัย และมีความหมายในเชิงบวก สว่ นอนามัยน้ันเน้น ที่โรคซึง่ เป็นความทกุ ข์มคี วามหมายในเชิงลบ นายแพทย์ประเวศ วะสี ได้ให้คำนยิ ามของ “สุขภาพ” คือ “สุขภาวะท่ีสมบูรณ์ ทั้ง ทางกาย ทางจติ ทางสงั คม และทางปัญญา สุขภาวะทงั้ 4 ด้าน เช่ือมโยงกันเป็นบรู ณาการเชื่อมโยงถงึ กนั และอยใู่ นกันและกัน ปัญญาเปน็ ศูนย์กลาง ถา้ ปราศจากปัญญา สุขภาวะทางกาย ทางจติ และทางสงั คม ก็เป็นไปไมไ่ ด้ การพัฒนาปัญญาต้องนำไปสกู่ ารพฒั นา กาย จิต และสังคม การพฒั นากาย จติ และสังคม ต้องนำไปสูก่ ารพฒั นาปัญญา ทั้ง 4 รว่ มกนั จึงเกดิ สขุ ภาวะทีส่ มบูรณ์” สำหรับองค์การอนามัยโลก ( WHO : World Health Organization) ได้ให้ ความหมายของ “สุขภาพ” ไว้ในธรรมนูญขององค์การอนามัยโลกเมื่อปี ค.ศ.1948 ไว้ดังนี้ “สุขภาพ หมายถึง สภาวะแห่งความสมบูรณ์ของร่างกายและจิตใจ รวมถึงการดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างเป็น ปกติสุข และมิได้หมายความเฉพาะเพียงแต่การปราศจากโรคและทุพพลภาพเทา่ นัน้ ” ต่อมาในท่ีประชุม สมัชชาองค์การอนามัยโลก เมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2541 ได้มีมติให้เพิ่มคำว่า “Spiritual well- being” หรอื สุขภาวะทางจิตวิญญาณเขา้ ไป ในคำจำกดั ความของสุขภาพเพมิ่ เติม ดงั นัน้ เม่ือกล่าวถึงสุขภาพในยคุ น้ันจะตอ้ งครอบคลมุ สิ่งท่ีสำคญั 4 ประการคอื 1. ภาวะท่วั ไปของร่างกายและจิตใจจะต้องแขง็ แรงสมบรู ณ์ 2. มีสขุ ภาวะทางจติ วิญญาณ 3. จะต้องปราศจากโรคหรือความทพุ พลภาพ 4. จะต้องเป็นผ้ทู ี่สามารถดำรงตนและปฏบิ ัตภิ ารกจิ ตา่ งๆ ในสังคมไดเ้ ปน็ ปกติสุข
4 สุขภาวะทางจิตวิญญาณจึงหมายถึงมิติทางคุณค่าที่สูงสุดเหนือไปจากโลกหรือภาพ ภูมิทางวัตถุ การมีศรัทธาและมีการเข้าถึงคุณค่าที่สูงส่ง ทำให้เกิดความสุขอันประณีตลึกล้ำ และตาม ความหมายในพระราชบัญญัตสิ ขุ ภาพแหง่ ชาติ พ.ศ. 2550 นั้น ให้ใชค้ ำวา่ “ปัญญา” แทน “จติ วญิ ญาณ” ดังน้ัน ความหมายของคำวา่ “สขุ ภาพ (Health)” หลงั จากนน้ั จงึ รวมความ หมายถึง สุขภาวะทสี่ มบูรณท์ ้งั ทางกาย ทางจติ ทางสงั คม และปัญญา หรอื สุขภาวะท่ีสมบรู ณท์ ุก ๆ ทางเชื่อมโยงกนั เป็นองคร์ วมอยา่ งสมดลุ ทำให้สะท้อนถึงความเปน็ องค์รวมอย่างแท้จรงิ ของสขุ ภาพท่ี เก้ือหนุนและเชอื่ มโยงกนั ทงั้ 4 มติ ิ (ตามนยิ ามของมาตรา 3 พระราชบัญญตั สิ ุขภาพแหง่ ชาติ พ.ศ. 2550) ซง่ึ ความหมายในแตล่ ะดา้ น คือ 1. สขุ ภาวะทางกาย หมายถึง การท่มี รี ่างกายท่ีสมบรู ณ์แข็งแรง มีเศรษฐกิจพอเพียง มีสง่ิ แวดล้อมดี ไม่มอี ุบตั ภิ ยั เปน็ ตน้ 2. สุขภาวะทางจติ หมายถงึ การทม่ี ีจิตใจทีเ่ ปน็ สุข ผอ่ นคลาย ไมเ่ ครยี ด คลอ่ งแคล่ว มีความเมตตา กรณุ า มสี ติ มสี มาธิ เป็นต้น 3. สุขภาวะทางสังคม หมายถึง การอยู่ร่วมกันด้วยดี ในครอบครัว ในชุมชน ในท่ี ทำงาน ในสังคม ในโลก ซงึ่ รวมถงึ การมบี รกิ ารทางสงั คมท่ีดี และมสี นั ตภิ าพ เปน็ ต้น 4. สุขภาวะทางปญั ญา หมายถึง ความร้ทู ั่วไป ความรูเ้ ทา่ ทนั และความเข้าใจอย่าง แยกได้ในเหตผุ ลแห่งความดี ความชว่ั ความมปี ระโยชนแ์ ละความมีโทษ ซ่งึ นำไปสูค่ วามมจี ิตอันดงี ามและ เอื้อเฟ้ือเผือ่ แผ่ ดังนั้น จะเห็นว่าความหมายของสุขภาวะทั้ง 4 ด้าน คือ สุขภาวะทางกายและสุข ภาวะทางจิตเปน็ สขุ ภาพทท่ี ำความเข้าใจไดง้ ่าย เปน็ การเปลีย่ นแปลงท่ีสังเกตเหน็ ไดต้ ลอดเวลา สุขภาวะ ทางสังคมเป็นการสดงออกรวมกันของสังคม ซึ่งต้องทำความเข้าใจและยอมรับรวมกันของทัง้ สังคม และ สุขภาวะทางปัญญาเป็นสุขภาพทท่ี ำความเขา้ ใจได้ยากและเป็นข้นั สงู สดุ ของสุขภาพองคร์ วม ซึ่งก่อนหน้านี้ใน ค.ศ. 1986 การประชุมนานาชาติที่กรุงออตาวา เมืองหลวงของ แคนาดา ในเร่ืองสขุ ภาพน้นั ได้ให้ความสำคัญในเร่ืองการส่งเสริมสุขภาพ (Health Promotion) เป็นครั้ง แรกซึ่งเกิดขึ้นโดย ได้ถูกบันทึกไว้ว่า “ความสมบูรณ์ทางร่างกาย จิตใจ และสังคม ปัจเจกบุคคลหรือ ลักษณะเฉพาะของกลุ่มและความปรารถนาที่เกิดขน้ึ จรงิ ความตอ้ งการการเปลย่ี นแปลง หรือการจัดการ กับสภาพแวดล้อม” ในโลกหน้า สขุ ภาพไมม่ จี ดุ ส้ินสุดแต่สามารถประยกุ ตแ์ นวคิดได้ในแต่ละบุคคล กลุ่ม ชมุ ชน หรือประชาชน สำหรับหน้าทีใ่ นการส่งเสริมสุขภาพนี้เป็นแนวคิดที่เน้นการปฏิบัตใิ หม่ขึ้นมาทั้งหมด โดยยึดเป็นหลักการพื้นฐานสำคัญของการทำงานด้านส่งเสริมสุขภาพ โดยกฎบัตรออตตาวา (Ottawa Charter) และสิ่งที่เพิ่มเข้ามาในโครงสร้างของคุณภาพชีวิต มี 5 ประเด็น ที่ผ่านมาคือ ระดับทักษะของ แต่ละคน ผา่ นการกระทำทางชมุ ชนและการให้บริการสาธารณสุข ครอบคลุมถึงสภาพแวดล้อม นโยบาย และเกีย่ วขอ้ งกบั ระบบนเิ วศน์ เป็นต้น ธรรมชาติของสังคมอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้อยู่เสมอ ทั้งจากธรรมชาติและจาก ผลิตผลของมนุษย์ การเปลี่ยนแปลงของสังคมนั้นอาจมีลักษณะก้าวหน้าหรือถอยหลัง รุนแรงหรือไม่
5 รุนแรง แต่ทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลงก็อาจเกิดแรงต่อต้านได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากเป็นการ เปลี่ยนแปลงทางดา้ นแนวความคิดซึง่ โดยปกตแิ ล้วสงั คมไทยมักจะยอมรบั การเปลีย่ นแปลงทางด้านวตั ถุ หรือเทคโนโลยีจากสังคมที่เจริญแล้วได้อย่างเต็มท่ี แต่มกั ยอมรับการเปลี่ยนแปลงดา้ นแนวความคิด และ คา่ นยิ มทีเ่ กิดจากพ้นื ฐานความรไู้ ดร้ บั การสัง่ สมเวลานานไม่ไดเ้ ตม็ ที่ การจัดการระบบสุขภาพของประเทศ ไทยกม็ กี ารเปล่ียนแปลงเร่อื ยมาจากอดตี ซ่งึ บางครง้ั การเปลี่ยนแปลงนัน้ อาจค่อยเปน็ ค่อยไป แตบ่ างครั้ง ก็รวดเรว็ และรนุ แรง ท้งั น้ี ส่วนหนึง่ กข็ น้ึ อย่กู บั สิ่งที่มอี ทิ ธิพลตอ่ สุขภาพของแต่ละคนดว้ ย องคป์ ระกอบสำคัญทีม่ ีอิทธิพลต่อสุขภาพ สิ่งที่มีอิทธิพลต่อสุขภาพของคนเรานั้นมีมากมายหลายสาเหตุ แต่ในที่นี้จะแบ่ง ออกเปน็ 3 องค์ประกอบที่สำคัญ ๆ ดงั นี้ 1. องคป์ ระกอบด้านตวั บุคคล 1.1 ลักษณะทางพนั ธุกรรม (Genetic makeup) 1.2 เชอื้ ชาติ (Race) 1.3 เพศ (Sex) 1.4 อายแุ ละระดับพัฒนาการ (Age and development level) 1.5 ปจั จยั ทางสรีรวิทยา (Physiological factors) 1.6 ปจั จยั ทางดา้ นจิตใจ (Psychological Factors) 1.7 ความรู้ ความเชอื่ ค่านิยม และทัศนคติ 1.8 พฤติกรรมอนามยั (Health behavior) หรือสุขปฏิบตั ิ (Health Practice) 2. องคป์ ระกอบด้านสง่ิ แวดล้อม (Environment Factors) ส่งิ แวดล้อมอาจแบ่งออก ได้เปน็ 4 ดา้ นใหญ่ คอื 2.1 สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ (Physical environment) 2.2 สิง่ แวดลอ้ มทางชีวภาพ (Biological environment) 2.3 สิง่ แวดลอ้ มทางเคมี (Chemical environment) 2.4 ส่ิงแวดลอ้ มทางเศรษฐกิจและสังคม (Social-economic environment) 3. องคป์ ระกอบทางดา้ นระบบการจดั การสาธารณสุขและการบริการสุขภาพ (Health Service System Factors) หมายถงึ การบริหารจัดการทรพั ยากรต่าง ๆ ทีม่ ีอยูข่ องรฐั ในการท่ี จะสนองตอบตอ่ การส่งเสรมิ ใหบ้ คุ คลทอี่ าศยั อยใู่ นชุมชนนน้ั ๆ หรอื ประเทศนั้น ๆ มสี ุขภาพท่ดี แี ละเทา่ เทยี มกัน รวมถงึ ส่งเสรมิ ใหท้ ุกคนมสี ทิ ธเิ ทา่ เทยี มกันในการเข้าถงึ ระบบการบรกิ ารทางการแพทยแ์ ละ สาธารณสุขทีม่ ีมาตรฐานอีกดว้ ย ผลกระทบทางสุขภาพ ลกั ษณะของผลกระทบทางสขุ ภาพ แบง่ ได้ 3 ประเภท คือ (1) ผลกระทบโดยตรง (Direct Impact) ซึ่งเป็นผลกระทบทางสุขภาพอัน เนื่องมาจากการดำเนนิ นโยบาย แผนงาน หรือโครงการโดยตรง โดยมีปัจจัยอืน่ ๆ มาเกี่ยวข้องน้อยมาก
6 เช่น ผลกระทบทางสุขภาพอนั เนื่องมาจากโครงการเหมืองแร่ในเขตปา่ หรือผลกระทบทางสขุ ภาพจิตอนั เนื่องมาจากความวติ กกังวลในอุบตั ิภัยที่อาจเกดิ ข้นึ จากนคิ มอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ เปน็ ต้น (2) ผลกระทบโดยอ้อม (Indirect Impact) ซึ่งเป็นผลกระทบที่มิได้เกิดขึ้นกับ สุขภาพโดยตรง แตเ่ กดิ ขน้ึ เน่อื งมาจากการเปลยี่ นแปลงของปัจจยั ท่ีมีผลตอ่ สขุ ภาพหลายตัวร่วมกนั จนมี ผลใหเ้ กดิ การเปลีย่ นแปลงทางดา้ นสุขภาพในท่ีสุด เช่น ผลกระทบตอ่ สุขภาพกายท่ีแยล่ ง เน่อื งจากความ วิตกกังวลเกี่ยวกับการดำรงชีวิต ภายหลังจากทรัพยากรธรรมชาติเสื่อมลงจากการดำเนินโครงการ หรือ ผลกระทบทางสุขภาพจิตที่ดีขึ้นอันเนื่องการจ้างงานที่เพิ่มขึ้น และความภูมิใจในความสามารถในการ พึ่งตนเอง ซ่งึ เป็นผลสืบ เน่อื งมาจากการดำเนนิ โครงการ (3) ผลกระทบสะสม (Cumulative Impact) หมายถึง ผลกระทบที่เกิดจาก โครงการที่กำลังพิจารณาและโครงการอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้นต่างเวลา ต่างสถานที่ ทั้งในอดีตอันใกล้ ปัจจุบัน และอนาคตอันใกล้ ผลกระทบสะสมเป็นผลกระทบทั้งทางตรง และทางอ้อม ที่สะสมจากการ ดำเนินนโยบาย แผนงาน และโครงการตา่ ง ๆ ในพ้ืนท่ีเดียวกัน หรือในกลุ่มประชากรเดียวกัน ซึ่งบางครั้ง ทำใหผ้ ลกระทบทางสุขภาพรุนแรงขึน้ เกนิ กว่าทคี่ าดการณไ์ วใ้ นการประเมินผลกระทบทางสุขภาพ ระดับผลกระทบทางสขุ ภาพ ระดับของผลกระทบทางสุขภาพที่จะทำการประเมินเป็นคำถามที่สำคัญอีกประการ หนึ่งในการประเมินผลกระทบทางสุขภาพ เพราะการเลือกระดับในการประเมินผลกระทบทางสขุ ภาพท่ี แตกต่างกันย่อมมีผลให้ผลลัพธ์ของการประเมินแตกต่างกันไปด้วย ระดับในการประเมินผลกระทบทาง สุขภาพ แบ่งออกไดเ้ ป็น 4 ระดบั ไดแ้ ก่ (1) ผลกระทบในระดับปัจเจกบุคคล เช่น ผลกระทบที่มีต่อความเจ็บป่วย หรือ สถานะทาง สุขภาพของแต่ละบุคคล การประเมินผลกระทบ ในระดับนี้มักง่ายต่อการเก็บรวบรวมขอ้ มลู และทำให้เข้าใจถึงผลกระทบที่แตกต่างกันในหมู่สมาชิกของแต่ละครัวเรือน เช่น เด็กหรือผู้สูงอายุอาจ ไดร้ ับผลกระทบมากกว่าผู้อ่ืน (2) ผลกระทบในระดับครอบครัว เช่น ผลกระทบที่มีต่อความสัมพันธ์ภายใน ครัวเรือน ซ่ึงจะทำให้ผู้ประเมินเห็นถึงขีดความสามารถในการรับมือกับปัญหาในระดับครอบครัว (ซ่ึง มกั จะเกิดขนึ้ เนื่องจากการระดมทรัพยากรและการหาทางออกร่วมกันของสมาชิกในครัวเรือน) หรือในมุม กลบั กนั ผ้ปู ระเมินก็อาจจะเหน็ ถงึ ปญั หาอนั เนอ่ื งมาจากความล้มเหลวในการรับมือกบั ปัญหาดงั กล่าว จน เกิดเป็นปัญหาภายในครอบครัวหรือขยายปัญหาในระดับชมุ ชน การประเมินผลกระทบในระดบั นีจ้ งึ เปน็ การศกึ ษาในระดบั ท่ีเป็นจุดเชื่อมตอ่ สำคัญกับสถาบนั ทางสงั คมที่ใหญ่ขน้ึ กวา่ น้ัน เช่น ชุมชน หรือองค์กร ของรฐั ทง้ั ในระยะสน้ั และในระยะยาว (3) ผลกระทบในระดบั ชมุ ชน เชน่ ผลกระทบทม่ี ีตอ่ ความสามารถในการจดั การการ คุ้มครอง และการสรา้ งเสริมสุขภาพของชมุ ชน การประเมินในระดับนีจ้ ะทำให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลง ของความร่วมมือ (หรือผลกระทบที่มีต่อความร่วมมือ หรือเกิดจากความเปลี่ยนแปลงในความร่วมมือ) ของชุมชนในการสร้างเสริมและคมุ้ ครองสขุ ภาพของสมาชกิ ในชมุ ชนจากการดำเนนิ นโยบายหรือโครงการ
7 (4) ผลกระทบในระดับสาธารณะ เช่น ปัญหาที่คุกคามสุขภาพของสาธารณะในวง กว้าง ไม่สามารถจำกัดเฉพาะกลุ่มประชากรที่ได้รับผลกระทบโดยตรง (เช่น การก่อวินาศกรรม การเกิด อุบัติเหตุจากการขนส่ง) หรือผลกระทบที่มีต่อทัศนะของสาธารณะในแง่ของความสำคัญของสุขภาพ (หรอื การให้คุณค่าต่อสุขภาพ และมติ ทิ างสุขภาพในแตล่ ะด้าน) เช่น การมองเห็นทางเลือกหรือโอกาสใน การสร้างเสรมิ สขุ ภาพที่แตกตา่ งไปจากเดมิ รวมถึงทศั นะทม่ี ีตอ่ ความเสีย่ ง (Risk perception) ของแตล่ ะ กลุ่มประชากร และภาพรวมที่เปลี่ยนแปลงไปอันเนื่องมาจากการดำเนิน (หรือผลของการดำเนิน) นโยบาย แผนงาน หรอื โครงการน้นั การประเมินผลกระทบในระดับสาธารณะแมว้ ่าจะยากในการกำหนด ขอบเขตและแนวทางการประเมิน แต่ก็มีความสำคญั ในการขับเคล่ือนเชิงนโยบายและการเรียนรู้ร่วมกนั ของสงั คม ดังนั้น การให้คำนยิ ามเรื่องสุขภาพเปน็ สิ่งสำคัญในกระบวนการกำหนดขอบเขตเพื่อ การประเมินผลกระทบทางสุขภาพ เน่ืองจากถา้ มองสขุ ภาพในความหมายแคบ การกำหนดขอบเขตการ ประเมินผลกระทบทางสุขภาพก็ไมค่ รอบคลุม ในทางกลับกันถ้ามองสุขภาพในมุมมองที่กว้างก็ทำใหก้ าร กำหนดของเขตการประเมนิ ผลกระทบทางสขุ ภาพกว้างและครอบคลมุ มากขนึ้ ซึ่งเป็นสงิ่ ทจ่ี ำเปน็ สำหรบั การแก้ปัญหาสุขภาพที่มีความซับซ้อนมากในปัจจุบัน และเกิดความเชื่อมโยงกันระหว่างปัจจัยต่าง ๆ ที่มากำหนดสุขภาพ ที่เราเรียกกันว่า “ปัจจัยกำหนดสุขภาพทางสังคม (Social Determinants of Health)” หรือ “ปจั จยั กำหนดสุขภาพ (Health Determinants)” ปัจจยั ทมี่ ีผลกระทบต่อสขุ ภาพ (http://www.healthcarethai.com) สุขภาพมกี ารเปลี่ยนแปลงอยตู่ ลอดเวลา การเปลี่ยนแปลงของสุขภาพขึ้นอยกู่ บั ปจั จัยหลาย อย่าง ทง้ั ปจั จัยภายในและภายนอก ปจั จัยเหล่านี้อาจทำใหส้ ขุ ภาพดีขึน้ หรอื แยล่ งก็ได้ ปัจจัยดงั กล่าวมี ดงั ตอ่ ไปน้ี ปัจจยั ภายใน ปัจจัยภายในหมายถึง ปัจจัยที่เกี่ยวกับบุคคลโดยตรงซึ่งบางปัจจัยไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ปัจจัยภายในประกอบด้วย องค์ประกอบ 3 อย่างคือ องค์ประกอบทางกาย องค์ประกอบทางจิต และ องคป์ ระกอบทางพฤตกิ รรมหรอื แบบแผนการดำเนนิ ชีวติ ดงั น้ี 1. องคป์ ระกอบทางกาย ไดแ้ ก่ องคป์ ระกอบทีเ่ ป็นมาต้งั แตเ่ กดิ และจะเปน็ อยู่เชน่ น้ี ตลอดไป โดยไม่อาจเปล่ียนแปลงได้ ไดแ้ ก่ 1.1 พันธุกรรม 1.2 เชื้อชาติ 1.3 เพศ 1.4 อายแุ ละระดับพัฒนาการ 2. องค์ประกอบทางจิต ร่างกายและจิตใจมีความสัมพันธ์กัน สภาพอะไรก็ตามที่ กระทบกระเทือนทางด้านร่างกายก็จะกระทบกระเทือนต่อจิตใจด้วย และสภาพอะไรก็ตามที่กระทบ กระเทือนต่อจิตใจก็จะมีผลให้ร่างกายเจ็บป่วยได้ นอกจากนี้องค์ประกอบทางจิตยังเป็นตัวกำหนด พฤตกิ รรมตา่ งๆ อีกด้วย องค์ประกอบเหล่าน้ี ไดแ้ ก่
8 2.1 อัตมโนทัศน์ (self-concept) เปน็ ผลรวมของความรู้สึกนกึ คิดและการรับรู้ที่ลึกซึ้ง และซับซ้อนท่บี ุคคลมตี อ่ ตนเอง และมอี ิทธพิ ลอย่างมากในการกำหนดพฤติกรรม คอื การทบี่ คุ คลจะแสดง พฤติกรรมอย่างไรนั้นขน้ึ อยู่กบั ว่าบคุ คลนั้นรบั รู้เก่ยี วกับตนเองอย่างไร 2.2 การรับรู้ (perception) การที่บุคคลจะมีพฤติกรรมเช่นใดนั้น ขึ้นอยู่กับการรับรู้ ของตนตอ่ สิ่งต่างๆ การรับร้เู กีย่ วกบั สขุ ภาพคือ รบั ร้วู า่ ตนเองมีสุขภาพเชน่ ไรก็จะมีอิทธพิ ลต่อพฤติกรรมที่ คนๆ นัน้ จะกระทำ คนแต่ละคนมีการรบั รู้เกยี่ วกบั สุขภาพแตกต่างกนั 2.3 ความเชื่อ ปกติคนเรามักได้ความเชื่อมาจาก พ่อ แม่ ปู ย่า ตา ยาย หรือผู้ที่เรา เคารพเชอื่ ถอื จะยอมรับฟงั โดยไม่ตอ้ งพสิ ูจน์ ความเช่ือเหลา่ นเี้ ป็นส่วนหนึ่งของการดำเนนิ ชีวิต ความเช่ือ เมื่อเกิดขึ้นแล้วมักจะเปลี่ยนแปลงยาก ความเชื่อด้านสุขภาพ (health belief) คือความเชื่อเกี่ยวกับ สขุ ภาพทีค่ นแต่ละคนยดึ ถอื วา่ เป็นความจรงิ ความเชอ่ื ดงั กลา่ วอาจจะจริงหรอื ไม่จริงกไ็ ด้ บคุ คลจะปฏิบัติ ตามความเชื่อเหลา่ นี้อยา่ งเครง่ ครัด ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์เซ่นใดก็ตาม และจะรู้สึกไม่พอใจถ้าใครไป บอกว่าสิ่งทเี่ ขาเชื่อน้นั เปน็ ส่ิงทไ่ี มถ่ กู ตอ้ ง หรอื แนะนำใหเ้ ขาเลกิ ปฏิบัตติ ามความเช่อื หรือให้ปฏิบัติในสิ่งท่ี ตรงข้ามกับความเช่ือ ความเชือ่ เกี่ยวกบั สุขภาพในสังคมไทยมมี ากมาย การปฏิบัติตามความเชื่อจะทำให้ บุคคลมีความมัน่ ใจและรู้สกึ ปลอดภยั ถา้ ตอ้ งฝืนปฏบิ ัติในส่ิงทข่ี ดั กบั ความเชื่อจะรู้สึกไม่ปลอดภยั เกรงว่า จะเป็นอันตราย ความเชื่อที่พบได้ท่ัวๆ ไปเกี่ยวกับสุขภาพได้แก่ เชื่อว่าถ้ารับประทานไข่ขณะที่เป็นแผล จะทำให้แผลนั้นเป็นแผลเป็นที่น่าเกลียดเมื่อหาย ถ้ารับประทานข้าวเหนียวจะทำให้แผลกลายเป็นแผล เปื่อย หญิงตั้งครรภ์ ถ้ารับประทานเนื้อสัตว์ชนิดใด จะทำให้ลูกมีพฤติกรรมเหมือนสัตว์ชนิดนั้น เชื่อว่า การดื่มเบียร์วันละ 12 แก้วจะช่วยป้องกันการติดเชื้อของลำไส้ เชื่อว่าถ้าดื่มน้ำมะพร้าวขณะมี ประจำเดือน จะทำให้เลือดประจำเดือนหยุดไหลเป็นต้น ความเชื่อเหล่านี้บางอย่างมีผลกระทบต่อ สขุ ภาพมาก แต่บางอย่างไม่มผี ลเสยี หายตอ่ สุขภาพ 2.4 เจตคติ เจตคติเป็นความรู้สึกของบุคคลต่อสิ่งต่างๆ อาจเป็นบุคคล สิ่งของหรือ นามธรรมใดๆ ก็ได้ การเกิดเจตคติอาจเกิดจากประสบการณ์ หรือเรียนรู้จากบุคคลใกล้ตัวก็ได้ เจตคติมี ผลกระทบต่อสขุ ภาพ เนื่องจากเปน็ สง่ิ ทีอ่ ยูเ่ บอื้ งหลงั การประพฤตปิ ฏิบัตติ ่างๆ เชน่ ถา้ ประชาชนมีเจตคติ ที่ไม่ดีต่อสถานบริการสาธารณสุข ก็อาจจะไม่ไปใช้บริการจากสถานที่นั้น หรือเจตคติต่อการรักษาแผน ปัจจุบันไม่ดีก็จะไม่ยอมรับการรักษาเมื่อป่วย เป็นตัน หรือเมื่อมีเจตคติไม่ดีต่อเจ้าหน้าที่ เมื่อเจ้าหน้าที่ แนะนำการปฏิบตั ิตนเพ่อื สุขภาพ บคุ คลนั้นอาจจะไม่ ยอมรับฟงั หรือปฏบิ ัติตาม ซึง่ ทำให้มีผลต่อสุขภาพ ได้ 2.5 ค่านิยม คือการให้คุณค่าต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ค่านิยมของบุคคลได้รับอิทธิพลมาจาก สังคม บุคคลพยายามแสดงออกถึงค่านิยมของตนทุกครั้งทีม่ ีโอกาส ค่านิยมของสังคมใดสังคมหนึ่ง จะมี อิทธิพลต่อการประพฤตปิ ฏิบัติของบคุ คลในสังคมน้ันๆ อย่างมาก ค่านิยมที่มีผล กระทบต่อสุขภาพ เชน่ ค่านิยมของการดื่มเหล้า สูบบุหรี่ ซึ่งแสดงถึงความมีฐานะทางสังคมสูง ค่านิยมของการเที่ยวโสเภณีว่า แสดงถงึ ความเปน็ ชายชาตรี คา่ นิยมที่ชว่ ยส่งเสริมสุขภาพ คือ ค่านยิ มของความมสี ขุ ภาพดี 2.6 ความเครียด (stress) ภาวะเครียดมีผลกระทบต่อสุขภาพทั้งทางดา้ นบวกและลบ ทางดา้ นบวก ในคร้งั แรกซึ่งเตม็ ไปด้วยความเครียดนน้ั จะทำใหแ้ ต่ละคนได้พฒั นาความสามารถ เกิดความ
9 มั่นใจ ความกลัวลดลง ทำให้ชีวิตเต็มไปด้วยคุณภาพ ซึ่งเป็นการยืนยันว่าความเครียดมีผลกระทบต่อ สุขภาพทางดา้ นบวก ในทำนองเดียวกัน ความเครียดก็ก่อให้เกดิ ผลทางดา้ นลบต่อสุขภาพไดด้ ้วยเช่นกัน ถ้าความเครียดนั้นมีมากเกินความสามารถของบุคคลจะเผชิญได้ หรือความสามารถในการเผชิญ ความเครยี ดของบคุ คลไม่เหมาะสม 3. องค์ประกอบทางพฤติกรรม หรือแบบแผนการดำเนินชีวิต (lifestyle) พฤติกรรมหรือ แบบ แผนการดำเนินชีวิตประจำวันนั้นเป็นองค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อสุขภาพมากที่สุด เพราะเป็น องคป์ ระกอบทีส่ ามารถเปล่ียนแปลงได้ แบบแผนการดำเนนิ ชีวิตไดแ้ ก่ 3.1 พฤติกรรมเก่ยี วกบั อนามัยส่วนบุคคล เป็นพฤติกรรมทป่ี ฏบิ ัติเพื่อการมีอนามัยท่ีดี ได้แก่ การแปรงฟัน การอาบน้ำ ความสะอาดของเสื้อผ้า การสระผม การดูแลสุขภาพของผิวหนัง การ ดูแลความสะอาดของอวยั วะสบื พนั ธ์ุ ส่ิงเหลา่ น้ีเปน็ กจิ วัตรประจำวนั ทบ่ี คุ คลปฏิบตั ิ ในการปฏิบตั กิ จิ กรรม เหล่านั้นมีทั้งปฏิบัติถูกต้อง และไม่ถูกต้อง การปฏิบัติถูกหรือไม่ถูกขึ้นอยู่กับความเชื่อ และการรับรู้ เกี่ยวกับปฏิบัติของแต่ละคน และการตัดสินใจว่าถูกต้องของประชาชนทั่วไปกับบุคคลากรทางแพทย์ อาจจะแตกต่างกัน พฤติกรรมเกี่ยวกับการแปรงฟัน ถ้าแปรงไม่ถูกวิธีอาจทำให้เหงือกร่น และถ้าใช้ยาสี ฟันทีม่ ีสารขัดฟนั คมเกินไป อาจทำให้ฟนั สกึ และเคลือบฟันบางลง การอาบน้ำในหนา้ หนาวถา้ ถสู บ่บู อ่ ยๆ หรืออาบด้วยน้ำอุ่นอาจจะให้ผิว แห้งและคันได้ การทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์หรือการดูแลขณะมี ประจำเดือน ถ้าไมส่ ะอาดพออาจเป็นเหตใุ หม้ กี ารติดเชื้อของมดลกู ได้ สิง่ เหลา่ น้ีมีผลต่อสุขภาพทัง้ สน้ิ 3.2 พฤตกิ รรมการรบั ประทานอาหาร นสิ ยั การรับประทานอาหารเปน็ การถ่ายทอด ทางวฒั นธรรม ซงึ่ แตกต่างกันไปตามลักษณะทอ้ งถ่นิ และความชอบของแตล่ ะคน พฤติกรรมการ รับประทานมผี ลกระทบต่อสุขภาพมาก บางคนรบั ประทานอาหารจุบจบิ ชอบรับประทานอาหารประเภท ขบเคี้ยว บางคนไมช่ อบรับประทานอาหารประเภทผกั และผลไมท้ ำใหม้ กี ากอาหารนอ้ ยทำใหเ้ ส่ียงตอ่ การ ปว่ ยเปน็ มะเรง็ ลำไส้ อาหารจงึ เปน็ องคป์ ระกอบทสี่ ำคัญต่อสขุ ภาพ 3.3 พฤติกรรมการขบั ถา่ ยอจุ จาระและปสั สาวะ ผทู้ ถี่ ่ายอจุ จาระไม่เป็นเวลา ถา่ ย ลำบาก อจุ จาระมีลกั ษณะแข็งตอ้ งเบ่งถ่ายอจุ จาระ มีโอกาสเสีย่ งตอ่ การปว่ ยเป็นโรคริดสีดวงทวารสูงกวา่ คนท่ีมีการขบั ถา่ ยเปน็ เวลาและถา่ ยสะดวก พฤติกรรมการกลั้นปัสสาวะทำให้เกดิ เปน็ โรคติดเชอ้ื ของ กระเพาะปัสสาวะไดง้ ่าย 3.4 การพกั ผอ่ นและการนอนหลบั เป็นทที่ ราบดีอยแู่ ลว้ ว่าร่างกายตอ้ งการการพกั ผอ่ น และการพกั ผ่อนท่ดี ที ่ีสุดคอื การนอนหลับ ผูท้ ่ีพกั ผ่อนหรือนอนหลบั ไม่เพยี งพอจะมีผลเสียตอ่ สุขภาพ ผู้ท่ี ได้รับการพักผ่อนไม่เพียงพอหรือนอนหลับไม่ เพียงพอไม่สามารถควบคุมตนเองให้ทำงานอย่างมี ประสิทธิภาพได้ ถ้าต้องทำงานที่ต้องระมัดระวังอันตราย เช่น งานในโรงงานอุตสาหกรรม จะมีผลให้ รา่ งกายได้รับอบุ ัตเิ หตุ เช่น เคร่อื งจกั รตดั น้ิวมอื หรืออบุ ัตเิ หตุอ่ืนๆ ได้ 3.5 พฤตกิ รรมทางเพศ การตอบสนองความตอ้ งการทางเพศเป็นความตอ้ งการพน้ื ฐาน ของมนษุ ย์ทีม่ ีผลกระทบต่อสขุ ภาพได้ถา้ บุคคลนนั้ มีพฤตกิ รรมทางเพศทีไ่ ม่ถูกตอ้ ง เช่น สำสอ่ นทางเพศ พฤติกรรมรักร่วมเพศ หรือมพี ฤติกรรมทางเพศแบบวิตถาร ซงึ่ มผี ลกระทบตอ่ สุขภาพทง้ั จากโรคติดเชื้อ
10 เชน่ กามโรค โรคเอดส์ หรือร่างกายได้รับบาดเจบ็ จากการรว่ มเพศ แบบวติ ถารหรือรุนแรงถึงขนาด สูญเสียชีวิตจากการฆาตกรรม เพราะความรักและความหงึ หวงได้ 3.6 พฤติกรรมอื่นๆ ได้แก่พฤติกรรมที่ไม่ใช่เป็นการปฏิบัติในกิจวัตรประจำวันของ บุคคลทั่วๆ ไป แต่อาจเป็นพฤติกรรมท่ีปฏิบัติเป็นประจำในคนบางคน พฤติกรรมเหล่านี้อาจแบ่งเป็น 2 ประเภทคือ 3.6.1 พฤติกรรมสุขภาพ ได้แก่ พฤติกรรมที่คนทำแล้วเชื่อว่าทำให้ตนมีสุขภาพดี พฤติกรรมทเ่ี กย่ี วกับการใชท้ รัพยากรเพื่อดูแลสุขภาพและพฤติกรรมส่วนบคุ คลทีม่ คี วามสมั พันธ์กับระบบ ชุมชน และการดแู ลสุขภาพสว่ นรวม ดังนี้คอื 1. พฤติกรรมที่เชื่อว่าทำให้ตนสุขภาพดีเป็นพฤติกรรมที่บุคคลปฏิบัติ เพื่อ ส่งเสริมสุขภาพ และป้องกันโรค เช่น การออกกำลังกาย การชั่งนํ้าหนัก การตรวจเต้านมด้วยตนเอง พฤติกรรมที่กระทำเพอ่ื สุขภาพดีนั้นยังตอ้ งการการค้นพบและแสวงหาอีกตอ่ ไป 2. พฤติกรรมเกี่ยวกับการใช้ทรัพยากรเพื่อดูแลสุขภาพ เป็นพฤติกรรมท่ี บุคคลไปรับบริการจากสถานบริการสาธารณสุข หรือบริการทางการแพทย์แผนโบราณ การเลือกใช้ บรกิ ารแบบใดขนึ้ อยูก่ ับความเชอ่ื ค่านิยม เจตคตแิ ละการรับรูข้ องบคุ คลน้ัน เปน็ ตน้ 3. พฤตกิ รรมส่วนบคุ คลที่มคี วามสัมพันธก์ ับระบบชุมชนและการดูแลสุขภาพ ส่วนรวมทั้งหมด ได้แก่ พฤติกรรมที่เป็นการอุทิศตนเพื่อเข้าไปมีส่วนร่วมในการดูแลสุขภาพของชุมชน เปน็ อาสาสมัครในโครงการสุขภาพ การสนบั สนนุ ทางด้านการเงนิ เพอื่ องคก์ รสุขภาพ 3.6.2 พฤติกรรมเสี่ยง คือ พฤติกรรมที่ปฏิบัติแล้วทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพหรือ เสีย่ งตอ่ การเกดิ อันตรายแกร่ ่างกาย เช่น การสบู บหุ รี่ การดม่ื เหลา้ การกินยาบา้ การขบั รถเรว็ เป็นตน้ ปัจจัยภายนอก ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อสุขภาพที่สำคัญ นอกจากปัจจัยภายในซึ่งเป็นเรื่องของบุคคลแต่ละคน แล้ว ปัจจัยภายนอกนับว่ามีความสำคัญไม่น้อยในแง่ของผลกระทบต่อสุขภาพ ปัจจัยภายนอกอาจแบ่ง ออกได้ ดงั ตอ่ ไปนี้ 1. องค์ประกอบทางสังคม แต่ละสังคมประกอบด้วยระบบย่อยหรือสถาบันสังคมที่สำคัญ 6 ระบบ สุขภาพของบุคคลในสังคมจะได้รับอิทธิพลจากระบบต่างๆ เหล่านี้ แต่ละระบบจะกระทบต่อ สขุ ภาพมากหรือน้อยขึ้นอยูก่ ับ ปทัสถาน (norm) ของสังคมน้ันๆ ระบบยอ่ ยทัง้ 6 ไดแ้ ก่ 1.1 ระบบครอบครัวและเครือญาติ สังคมไทยเป็นสังคมแบบระบบเครือญาติ คือ เครือข่ายทางสังคมมักจะเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันในหมู่ญาติ ญาติผู้ใหญ่เป็นผู้ที่มีอิทธิพลต่อความเชื่อ และ พฤติกรรมของบุคคลในครอบครัว ระบบเครือญาตินี้ถือวา่ การเจ็บป่วยของบุคคลใดบุคคลหนึง่ ไม่ใช่เร่อื ง เฉพาะตัวของผู้นั้น หากแต่เป็นเรื่องของครอบครัว ญาติพี่น้อง และสังคมที่จะมีส่วนช่วยเหลือและ รับผิดชอบ ให้กำลังใจในการรักษาและหายป่วยเร็วขึ้น แต่ถ้าพฤติกรรมที่ต้องปฏิบัตินั้นเป็นการขัดต่อ สขุ ภาพกจ็ ะทำให้เกิดผลเสียข้นึ 1.2 ระบบการศึกษา ระบบการศึกษาที่จัดให้แก่บุคคลในสังคมจะมีผลต่อสุขภาพของ บคุ คลในสงั คมเชน่ เดยี วกนั การศกึ ษาท่ีใหค้ วามสำคญั ของการดูแลสขุ ภาพจะชว่ ยให้เยาวชนมีพฤติกรรม
11 เกี่ยวกับสุขภาพต่างๆ อย่างถูกต้อง เช่น การรับประทานอาหาร การออกกำลงั กาย การป้องกันอุบตั เิ หตุ พฤติกรรมเหล่านี้จะติดตัวเป็นลักษณะนิสัยที่ก่อให้เกิดผลดีต่อสุขภาพเมื่อเข้าสู่วัยผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ ต่อไป นอกจากน้ี ระดบั การศกึ ษาของแต่ละคนยงั เปน็ ตัวกำหนดมาตรฐานการดำรงชีวิตอีกด้วย 1.3 ระบบสาธารณสุข ระบบการสาธารณสุขไทยมีทั้งระบบบริการโดยรัฐและบริการ โดยเอกชน ปัจจุบันรัฐได้พยายามกระจายบริการสาธารณสุขให้ครอบคลุมประชากรทั่วประเทศ โดย คัดเลือกผู้ส่ือข่าวสาธารณสขุ และอาสาสมคั รสาธารณสขุ เข้ามาชว่ ยปฏิบัตงิ านในชมุ ชนของตนเอง เป็น รูปแบบที่พยายามสนับสนุนและช่วยให้ประชาชนช่วยเหลือตนเองและเพื่อนบ้านเกี่ยวกับการดูแลรักษา โรคหรอื การเจบ็ ป่วยที่จำเปน็ การรู้จักระวังปอ้ งกันโรคติดต่อท่ีสำคญั โดยเชือ่ วา่ ระบบดังกล่าวจะช่วยให้ สุขภาพอนามยั ของประชาชนดขี ึน้ กว่านโยบายแบบเดิมท่ีรัฐให้บริการโดยให้ความสำคญั กบั การรักษาเมื่อ เจ็บป่วยมากกว่าการสง่ เสรมิ สขุ ภาพและการป้องกนั โรค 1.4 ระบบเศรษฐกิจและการประกอบอาชีพ ระบบเศรษฐกิจของไทยเป็นแบบทุนนิยม และกำลังเปลี่ยนแปลงจากระบบเกษตรกรรมเป็นระบบอุตสาหกรรม การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวมี ผลกระทบต่อสุขภาพอันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงลักษณะประชากร คือการย้ายถิ่น และการ เปลี่ยนแปลงอื่นๆ ได้แก่ การประกอบอาชีพ สภาพความเป็นอยู่ และวิถีชีวิต ก่อให้เกิดอันตรายแก่ สุขภาพทงั้ ทางกายและทางจติ โดยเฉพาะระบบงานกะ และงานล่วงเวลา ทำใหต้ ้องปรับตัวอยา่ งมาก 1.4.1 สภาพความเป็นอยู่ อาจจะอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมกับสุขภาพ เช่น อาศัยอยู่ในชุมชนแออัด หรือไม่มีที่อยู่อาศัยที่แน่นอน ภาวะแวดล้อมในสังคมอุตสาหกรรม จะมี สงิ่ แวดล้อมที่เป็นพษิ มากขึ้น 1.4.2 วิถีชีวิตต้องเปลี่ยนแปลงไปมีการใช้เทคโนโลยีต่างๆ เพื่ออำนวยความ สะดวกและเปน็ การประหยัดเวลามากขึน้ สงิ่ เหล่านด้ี เู หมอื นจะเป็นผลดีตอ่ สขุ ภาพ แตจ่ ริงๆ แล้วกลับทำ ให้รา่ งกายมีสมรรถภาพในการทำงานลดลง เพราะเครอื่ งอำนวยความสะดวกตา่ งๆ ทำใหร้ ่างกายมกี ารใช้ กำลังงานลดลงทำใหห้ ัวใจ ปอด หลอดเลือด กระดูกและกล้ามเนอื้ ไม่มีความแข็งแรงพอ สงิ่ เหล่าน้ีทำให้ ภาวะสุขภาพเปลยี่ นแปลงไป 1.5 ระบบการเมืองและการปกครอง เป็นระบบที่ให้อิสระแก่ประชาชนที่จะกำหนด ภาวะสุขภาพของตนเอง โดยรฐั ใหก้ ารสนบั สนุนและให้ความช่วยเหลือทางด้านต่างๆ เพื่อความมีสุขภาพ ดี แต่เน่ืองจากปัญหาสุขภาพเป็นสิ่งท่ปี ระชาชนจะต้องปฏิบตั ิดว้ ยตนเองจงึ จะแกป้ ัญหาได้ ปัจจุบันรัฐจึง ให้ความสำคัญเกี่ยวกับการเปลี่ยนพฤติกรรมของประชาชนให้เป็นไปในทางที่ถูกต้อง เพื่อให้ประชาชน เป็นทรัพยากรบุคคลที่มีสุขภาพแข็งแรง พร้อมที่จะปฏิบัติภารกิจต่างๆ ได้ ในทางตรงข้ามถ้าระบบ การเมืองและการปกครองมุ่งแสวงหาอำนาจ หรือมุ่งจะพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจอย่างเดียวโดยไม่ คำนงึ ถงึ คณุ ภาพของประชาชนยอ่ มจะมผี ลกระทบตอ่ สขุ ภาพของประชาชนอยา่ งแน่นอน ระบบการเมือง และการปกครองจงึ มีผลกระทบต่อสขุ ภาพ 1.6 ระบบความเช่ือหรอื สถาบันศาสนา ระบบความเชื่อเป็นวฒั นธรรมทีถ่ ่ายทอดผ่าน ระบบครอบครวั และสังคม การปฏิบัตติ ามความเชื่อและคา่ นิยม ทำให้คนรูส้ ึกปลอดภยั ในการดำรงชีวิต ความเชื่อจึงเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงค่อนข้างยาก ระบบความเช่ือมีอิทธิพลต่อสุขภาพของประชาซนใน
12 สงั คมน้ัน เป็นอย่างมากเพราะความเช่อื เปน็ ตัวกำหนดพฤตกิ รรมของบุคคล กจิ กรรมทางศาสนาบางอยา่ ง อาจมผี ลกระทบตอ่ สุขภาพได้ เช่น การรับประทานอาหารม้ือเดียว การงดอาหารบางประเภท การนั่งท่า เดียวเป็นเวลานานๆ สถาบันศาสนามีอิทธิพลต่อสุขภาพจิตของคนไทยมากโดยเฉพาะผู้สูงอายุ เป็นส่วน หนึ่งที่ทำใหผ้ ูส้ ูงอายุไทยมีสุขภาพจิตที่ดี และปรับตัวเข้ากับวัยสูงอายุได้ดี โดยมีสถาบันศาสนาเป็นท่ยี ึด เหนยี่ วทางใจ 2. องคป์ ระกอบทางส่ิงแวดล้อม ปจั จัยอะไรก็ตามที่ทำให้สง่ิ แวดล้อมเปล่ียนแปลงไป จะกระทบ ตอ่ ชวี ติ และความเปน็ อยู่ของมนษุ ย์ดว้ ยองคป์ ระกอบท่ีสำคญั ของส่ิงแวดลอ้ ม ได้แก่ 2.1 สภาพทางภูมิศาสตร์ ลักษณะภูมิศาสตร์ที่แตกต่างกัน ทำให้เกิดฤดูกาลแตกต่าง กันและอุณหภูมิของแต่ละพื้นที่แตกตา่ งกัน ซึ่งมีผลกระทบต่อสุขภาพของบุคคลโดยตรง สภาพภูมิศาสตร์ บางแหง่ เอือ้ อำนวยให้สงิ่ มชี ีวิตบางอย่างเจริญเตบิ โตไดด้ ี เช่น ประเทศไทย ซ่ึงอยู่บริเวณแถบศูนย์สูตร มี โรคเวชศาสตร์เขตร้อนนานาชนิดเกิดขึ้นกับประชาชน โรคเหล่าน้ี ได้แก่ โรคพยาธติ ่างๆ ไข้มาลาเรีย ซึ่ง ประเทศในเขตหนาวจะไม่ประสบกับปัญหาสุขภาพเหล่านี้ นอกจากนี้สภาพภูมิศาสตร์ ยังก่อให้เกิดภัย ธรรมชาตติ า่ งๆ เช่น นํา้ ท่วม แผ่นดินไหว พายุ ทำใหเ้ กิดบาดเจ็บและตายเปน็ จำนวนมาก 2.2 สภาพที่อยู่อาศัย เป็นสิ่งแวดล้อมที่อยู่ใกล้ตัวคนมากที่สุด ลักษณะบ้านที่ช่วย ส่งเสริมสุขภาพคือมีการระบายอากาศได้ดี อยู่ห่างไกลจากแหล่งอุตสาหกรรม ไม่มีเสียงรบกวน มีการ กำจดั ขยะทถ่ี ูกวิธี มีท่อระบายนา้ํ และมกี ารระบายนา้ํ ไม่มีน้ำท่วมขงั มสี ว้ มท่ถี กู สขุ ลกั ษณะ มนี ้ําดื่มน้ําใช้ ที่สะอาด มีความปลอดภัยจากโจรผู้ร้ายและอาชญากรรม ใช้วัสดุก่อสร้างที่มีความคงทนถาวร ภายใน บ้านได้รับการจัดวางสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ อย่างเป็นระเบียบปลอดภัยจากการเกิดอุบัติเหตุ ได้รับการ ดูแลรักษาความสะอาดเป็นอย่างดี มีสถานที่สำหรับอำนวยความสะดวกในการทำกิจกรรมต่างๆ และมี ความเป็นส่วนตัว สภาพบ้านที่ไม่ถูกสุขลักษณะจะก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพแก่ผู้อยู่อาศัยทั้งในด้านการ เจ็บป่วยด้วยโรคติดเชื้อต่างๆ และอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นได้จากความประมาท เช่นไฟไหม้ น้ำร้อนลวก การ พลดั ตก หกล้ม เป็นต้น 2.3 สภาพส่ิงแวดลอ้ มอ่ืนๆ ผลกระทบตอ่ สขุ ภาพอันเกิดจากมลพิษทางสิ่งแวดล้อม ท้ัง ทางนาํ้ ทางเสยี ง ทางอากาศ และทางดนิ ทำให้เกดิ โรคหรอื อนั ตรายแก่ชีวิตได้ เช่น น้ำทถี่ ูกปนเป้อื นด้วย เชื้อโรคหรือสารพิษจะทำให้ผู้บริโภคเป็นโรคของระบบทางเดินอาหาร เช่น บิด ไทฟอยด์ หรือได้รับ สารพิษโดยตรง การได้ยินเสียงท่ีดังมากๆ นานๆ ทำให้ประสาทหูเสื่อม ความสามารถในการได้ยินลดลง เป็นตน้ กรอบแนวคดิ เรื่องปัจจัยกำหนดสขุ ภาพทางสังคม (Social Determinants of Health) สุขภาพของมนุษย์มีความสัมพันธ์เชิงพลวัตกับปัจจัยต่าง ๆ มากมาย การเปลี่ยนแปลง ทางด้านสิ่งแวดล้อมกายภาพ ทางเศรษฐกิจ และสังคม ที่เกิดจากการพัฒนาและการดำเนินโครงการ พัฒนาจึงส่งผลกระทบต่อสุขภาพของมนุษย์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากสุขภาพมิได้ถูกกำหนดโดย ระบบบริการสุขภาพและวิถีชีวติ เท่าน้ัน แต่เงื่อนไขทางสังคม เศรษฐกิจ และปัจจัยด้านอื่น ๆ นอกเหนือ
13 ด้านสุขภาพที่ประชาชนอาศัยอยู่ เช่น ระบบการขนส่ง การจ้างงาน การอยู่อาศัย ฯลฯ ย่อมมีผลต่อ สุขภาพเช่นกัน ดังนั้น ปัจจัยกำหนดสุขภาพทางสังคม (Social Determinants of Health) หมายถึง ขอบเขตปัจจัยด้านบุคคล สังคมเศรษฐกิจ ประชากร และสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นตัวกำหนดสถานะทาง สุขภาพของบุคคลหรือประชากรทั่วไป ซึ่งในเอกสารฉบับนี้จะใช้คำว่า “ปัจจัยกำหนดสุขภาพ (Health Determinants)” ในความหมายเดียวกับ “ปัจจัยกำหนดสุขภาพทางสังคม (Social Determinants of Health)” การมีสุขภาพหรือสุขภาวะที่ดีล้วนมีอิทธิพลจากปัจจัยกำหนดสุขภาพต่าง ๆ ที่ส่งผลทั้ง ทางบวกและทางลบต่อการมีสุขภาพดี ปัจจัยกำหนดสุขภาพเป็นการพยายามระบุสาเหตุของปัจจัยหรือ ความสัมพันธ์ของปัจจัยต่าง ๆ ที่มีผลต่อสุขภาพของมนุษย์ โดยตั้งอยู่บนสมมุติฐานที่ว่าเมื่อมีเหตุการณ์ หรือ กิจกรรมหนึ่งกิจกรรมใดที่ทำให้ปัจจัยเหล่านั้นเปลี่ยนแปลงไปย่อมส่งผลต่อสขุ ภาพของคนกล่มุ น้นั ดว้ ย อนึ่ง กระทรวงสาธารณสุข ได้ศึกษาปจั จัยกำหนดสุขภาพ (Health Determinants) ของ ประชาชน พบว่า ปัจจัยที่เป็นตัวกำหนดสุขภาพ มีทั้งลักษณะที่ใกล้ตัวบุคคล ได้แก่ ปัจจัยทางปัจเจก บุคคล ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมทีอ่ ยู่รอบตวั และปัจจยั ที่เกี่ยวข้องกับระบบบริการสุขภาพ และปัจจัยท่อี ยู่ ไกลออกไปที่จะเป็นผลลัพธ์หรือเป็นตัวกำหนดปัจจัยกำหนดสุขภาพที่ใกล้ตัวอีกทางหนึ่ง นอกจากน้ี ปัจจยั กำหนดสขุ ภาพยังรวมไปถึงมติ ทิ างเศรษฐกิจ สังคม เชน่ ประเด็นความยากจน การจา้ งงาน การกีด กันทางสังคม โลกาภิวัฒน์ ภัยธรรมชาติ หรือภาวะโรคภัยต่าง ๆ ด้วย โดยปัจจัยเหล่านี้สามารถส่งผล กระทบต่อสุขภาพของคนทั่วทั้งโลก แม้จะไม่ได้เป็นประเทศที่เป็นจุดเริ่มต้นของการก่อให้เกิดปัญหาก็ ตาม นอกจากน้ียงั พบว่า “ระบบบริการสุขภาพ” ถือเป็นปจั จัยกำหนดสขุ ภาพท่ีสำคัญ หากมีการพัฒนา ระบบบริการสุขภาพที่ทำให้เกิดความเท่าเทียม ประชาชนสามารถเข้าถึงได้อย่างเป็นมาตรฐานเดียวกัน จะทำให้เกิดการดูแลสุขภาพที่มีความยั่งยืนและมีประสิทธิภาพในระยะยาวต่อไป (ทั้งนี้ จะได้กล่าวถึง รายละเอียดท่ีสำคญั ในบทที่ 3 ในเรื่องทีเ่ ก่ียวกับปัจจยั กำหนดสุขภาพ ความไม่เท่าเทียมด้านพฤติกรรม สงั คม เศรษฐกิจ และระบบการสาธารณสขุ )
14 รปู ที่ 1.1 แสดงความเช่ือมโยงระหว่างสุขภาพและปจั จยั กำหนดสุขภาพ 1.3 ความรอบรู้ดา้ นสขุ ภาพ การเสริมสร้างให้ประชาชนมีความรอบรูด้ า้ นสขุ ภาพนนั้ เป็นการสร้างและพฒั นาขดี ความสามารถระดบั บุคคลในการดูแลรักษาสขุ ภาพตนเองอยา่ งย่งั ยนื อาทิ มีการชนี้ ำระบบสุขภาพท่ี สอดคล้องกับปัญหาและความตอ้ งการของประชาชน มีการแลกเปลี่ยนขอ้ มูลสุขภาพของตนเองร่วมกบั ผู้ ใหบ้ ริการ และสามารถคาดการณค์ วามเสี่ยงดา้ นสขุ ภาพท่อี าจเกิดขน้ึ ได้ รวมทง้ั กำหนดเป้าประสงคใ์ น การดแู ลสุขภาพ ตนเอง โดยเฉพาะอยา่ งย่ิงการจดั การโรคเร้อื รังทีก่ ำลังเปน็ ปญั หาระดบั โลก เชน่ โรคตดิ เชื้อไวรัสโคโรนา่ 2019 (COVID-19) ดงั น้นั หากคนสว่ นใหญ่ของประเทศมรี ะดบั ความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ ต่ำย่อมจะสง่ ผลตอ่ สภาวะสขุ ภาพในภาพรวม เช่น ประชาชนขาดความสามารถในการดแู ลสุขภาพของ ตนเอง จำนวนผปู้ ว่ ยดว้ ยโรคเร้อื รังจะเพ่ิมข้นึ ทำให้คา่ ใชจ้ า่ ยในการรักษาพยาบาลเพิ่มสูงขนึ้ ต้องพงึ่ พา บรกิ ารทางการแพทย์และยารักษาโรคท่ีมรี าคาแพง สถานบริการสุขภาพจะต้องมีภาระหนกั ในดา้ นการ รักษาพยาบาล จนทำให้เกดิ ข้อจำกัดในการทำงานส่งเสริมสขุ ภาพ และไม่อาจสรา้ งความเทา่ เทยี มในการ เขา้ ถึงบริการอย่างสมบูรณไ์ ด้ ความหมายความรอบร้ดู า้ นสขุ ภาพ ในปัจจุบันมีการใช้คำว่า “ความรอบรู้ด้านสุขภาพ (Health Literacy)” ท่ี หลากหลาย เชน่ สถาบนั วิจัยระบบสาธารณสุข ใช้คำว่า “ความแตกฉานดา้ นสุขภาพ” สำนกั งานกองทุน สนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส) ใช้คำว่า “การรู้เท่าทันด้านสุขภาพ” สำนักงานเลขาธิการสภา
15 การศึกษาภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ใช้คำว่า “ความ ฉลาดทางสุขภาวะ” ส่วนกองสุขศึกษา กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข ใช้คำว่า “ความรอบรู้ด้านสุขภาพ” ซึ่งที่กล่าวมาทั้งหมดมีความหมาย คือ ความสามารถและทักษะในการเข้าถงึ ข้อมลู ความรู้ ความเขา้ ใจ เพอ่ื วเิ คราะห์ ประเมินการปฏบิ ัตแิ ละการจดั การตนเอง รวมทง้ั สามารถชี้แนะ เรอื่ งสุขภาพสว่ นบุคคล ครอบครวั และชุมชน เพ่อื สุขภาพทดี่ ี องค์ประกอบของความรอบรูด้ ้านสุขภาพ คุณลักษณะสำคัญที่จำเป็นเพื่อเพิ่มความรอบรู้ด้านสุขภาพ ประกอบด้วย 6 องคป์ ระกอบ ดงั นี้ 1) การเข้าถึงข้อมูลสุขภาพและบริการสุขภาพ (Access Skill) หมายถึง การใช้ ความสามารถในเลือกแหล่งขอ้ มูล รูว้ ิธีการในการค้นหาข้อมูลเก่ยี วกับการปฏบิ ัติตน และตรวจสอบขอ้ มลู จากหลายแหลง่ จนขอ้ มลู มคี วามน่าเชื่อถอื 2) ความรู้ ความเข้าใจ (Cognitive Skill) หมายถึง ความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้อง เกี่ยวกบั แนวทางการปฏบิ ัติ 3) ทักษะการสื่อสาร (Communication Skill) หมายถึง ความสามารถในการ สื่อสารโดยการพูดอ่าน เขียน รวมทั้งสามารถสื่อสารและโน้มน้าวให้บุคคลอื่นเข้าใจและยอมรับข้อมูล เกยี่ วกับการปฏิบัตติ น 4) ทักษะการจัดการตนเอง (Self-management Skill) หมายถึง ความสามารถ ในการกำหนดเปา้ หมาย วางแผน และปฏิบัตติ ามแผนการปฏิบัตพิ ร้อมทั้งมกี ารทบทวนวิธีการปฏิบัติตาม เปา้ หมายเพือ่ นำมาปรับเปลี่ยนวิธปี ฏบิ ัติตนใหถ้ กู ตอ้ ง 5) ทักษะการตัดสินใจ (Decision Skill) หมายถึง ความสามารถในการกำหนด ทางเลอื กและปฏิเสธหรือหลีกเลีย่ งหรอื เลอื กวิธกี ารปฏบิ ัติ โดยมีการใช้เหตุผลหรือวิเคราะห์ผลดี-ผลเสยี เพอ่ื การปฏเิ สธหรือหลีกเลี่ยงพร้อมแสดงทางเลือกปฏิบตั ิท่ีถกู ตอ้ ง 6) การรู้เท่าทันสื่อ (Media Literacy Skill) หมายถึง ความสามารถในการ ตรวจสอบความถูกต้องความน่าเช่ือถือของข้อมูลที่สื่อนำเสนอ และสามารถเปรียบเทียบวิธีการเลือกรับ สอ่ื เพ่อื หลีกเลยี่ งความเส่ยี งท่อี าจเกิดขนึ้ กบั สขุ ภาพของตนเองและผู้อน่ื รวมท้ังมกี ารประเมินข้อความสื่อ เพอื่ ช้ีแนะแนวทางใหก้ บั ชมุ ชนและสงั คม โดยจำแนกคุณลักษณะที่สำคัญของแต่ละองค์ประกอบของความรอบรู้ด้านสุขภาพ (Health Literacy) ดงั น้ี องค์ประกอบ คุณลกั ษณะทสี่ ำคัญ 1. การเข้าถึงขอ้ มลู 1. เลือกแหลง่ ขอ้ มลู ดา้ นสขุ ภาพ และบริการสุขภาพ รู้วิธกี ารค้นหาและการใช้ สขุ ภาพและ อุปกรณ์ในการคน้ หา บริการสุขภาพ 2. ค้นหาขอ้ มูลสุขภาพและบรกิ ารสขุ ภาพท่ีถูกต้อง
16 องคป์ ระกอบ คุณลักษณะท่ีสำคญั 3. สามารถตรวจสอบข้อมูลจากหลายแหล่งได้ เพื่อยืนยันความเข้าใจของ ตนเอง และได้ข้อมูลทนี่ ่าเช่อื ถอื สำหรบั นำไปใชใ้ นการดแู ลสุขภาพด้วยตนเอง 2. ความรคู้ วามเข้าใจ 1. มีความร้แู ละจำในเนือ้ หาสาระสำคญั ดา้ นสุขภาพ 2. สามารถอธิบายถึงความเข้าใจในประเด็นเนื้อหาสาระด้านสุขภาพในการท่ี จะ นำไปปฏิบตั ิ 3. สามารถวิเคราะห์ เปรียบเทียบเนื้อหา/แนวทางการปฏิบัติด้านสุขภาพได้ อย่างมเี หตผุ ล 3. ทกั ษะการส่อื สาร 1. สามารถสื่อสารข้อมูลความรู้ด้านสุขภาพด้วยวิธีการพูด อ่าน เขียน ให้ บุคคลอื่น เขา้ ใจ 2. สามารถโน้มน้าวให้บคุ คลอน่ื ยอมรับขอ้ มลู ดา้ นสขุ ภาพ 4. ทกั ษะการจัดการ 1. สามารถกำหนดเป้าหมายและวางแผนการปฏบิ ตั ิ ตนเอง 2. สามารถปฏบิ ตั ติ ามแผนที่กำหนดได้ 3. มกี ารทบทวนและปรบั เปลีย่ นวธิ กี ารปฏบิ ตั ิตน เพ่ือใหม้ พี ฤติกรรมสุขภาพท่ี ถกู ตอ้ ง 5 . ท ั ก ษ ะ ก า ร 1. กำหนดทางเลือกและปฏิเสธหรือหลกี เล่ียงหรือเลอื กวิธีการปฏิบัติเพื่อให้มี ตดั สนิ ใจ สุขภาพดี 2. ใช้เหตผุ ลหรอื วิเคราะหผ์ ลดี-ผลเสยี เพ่ือการปฏิเสธหรือหลีกเลี่ยงหรือเลือก วิธกี ารปฏบิ ัติ 3. สามารถแสดงทางเลือกท่ีเกดิ ผลกระทบน้อยต่อตนเองและผูอ้ ื่น 6. การร้เู ทา่ ทนั ส่ือ 1. ตรวจสอบความถูกตอ้ ง ความน่าเช่อื ถอื ของขอ้ มลู สุขภาพท่ีส่ือนำเสนอ 2. เปรียบเทียบวิธีการเลือกรับสื่อเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นกับ ตนเอง และผอู้ ืน่ 3. ประเมนิ ขอ้ ความส่ือเพ่อื ช้แี นะแนวทางใหก้ บั ชมุ ชนหรอื สงั คม ตาราง 2 แนวทางจำแนกระดบั การพฒั นาความรอบรู้ทางสุขภาพ ระดับของความรอบรูด้ ้านสขุ ภาพ ระดับพน้ื ฐาน ระดบั ปฏสิ มั พนั ธ์ ระดบั วิจารณญาณ
17 คุณลักษณะ มคี วามสามารถในการ มกี ารเขา้ ถึงข้อมูล มีการเข้าถึงขอ้ มูลสขุ ภาพ สำคญั เลอื กแหลง่ ข้อมลู สุขภาพและบรกิ าร และบริการสขุ ภาพ สุขภาพ รู้วธิ ีการใน สขุ ภาพระดับพน้ื ฐาน ระดับฏิสมั พนั ธ์ และมี 1. การเขา้ ถึง การค้นหาและการใช้ และมีความสามารถใน ความสามารถในการ ขอ้ มูล อปุ กรณ์สืบค้น อาทิ การค้นหาข้อมูลสุขภาพ ตรวจสอบข้อมลู จาก สขุ ภาพและ ทถ่ี กู ต้องและทันสมยั หลายแหลง่ จนข้อมูลมีค บริการ คอมพิวเตอร์ ระบบ เพือ่ การรบั เปลี่ยน วามาเชอื่ ถือสำหรบั การ สขุ ภาพ พฤติกรรมสุขภาพ นำมาใช้ ห้องสมดุ ฯลฯ 2. ความรู้ความ เขา้ ใจ การรูแ้ ละการจำ มคี วามรู้ ความเขา้ ใจ มคี วามรู้ ความเขา้ ใจ ประเดน็ สำคญั ในการ ระดบั พื้นฐานและ ระดับปฏสิ มั พนั ธแ์ ละ ปฏบิ ัติตัวเพ่ือ สามารถอธิบายถึงความ สามารถวิเคราะหห์ รอื เขา้ ใจในการ เปรียบเทยี บอยา่ งมี ใหม้ ีสขุ ภาพดี เหตผุ ลเกย่ี วกับแนว จะนำ ไปปฏบิ ตั ติ ัวได้ ทางการมีพฤตกิ รรมที่ อย่างถกู ตอ้ ง ถกู ต้อง ระดับของความรอบรูด้ ้านสขุ ภาพ คุณลักษณะ ระดบั พื้นฐาน ระดบั ปฏิสมั พันธ์ ระดบั วิจารณญาณ สำคญั มคี วามสามารถในการ มีทกั ษะการส่ือสารระดบั มีทกั ษะการสอื่ สารระดบั 3. ทักษะการ ส่ือสารโดยการพดู ปฏสิ มั พันธ์และสามารถ สอ่ื สาร อ่าน เขยี นขอ้ มูล พืน้ ฐานและสามารถ โนม้ นา้ วให้ผู้อนื่ ยอมรับ เกี่ยวกับการปฏิบัตติ ัว สือ่ สารให้ แนวทาง ใหม้ ีสขุ ภาพดี การมพี ฤตกิ รรมทถี่ กู ตอ้ ง
18 ระดับของความรอบรู้ด้านสุขภาพ คุณลักษณะ ระดบั พื้นฐาน ระดบั ปฏิสมั พนั ธ์ ระดับวจิ ารณญาณ สำคัญ บคุ คลอ่นื เขา้ ใจเก่ยี วกบั วิธีการปฏิบตั ติ ัวเพือ่ ให้มี สขุ ภาพดี 4. ทักษะการ มีความสามารถในการ มที กั ษะการตัดสนิ ใจ มีทักษะการตดั สนิ ใจ ตัดสินใจ กำหนดทางเลือกและ ปฏิเสธ/หลกี เลยี่ งหรอื ระดับ ระดบั ปฏิสมั พนั ธ์ และ เลือกวธิ ีการปฏิบัติ เพือ่ ให้มสี ขุ ภาพดี พื้นฐาน และมี สามารถแสดงทางเลอื กที่ ความสามารถในการใช้ เกิดผลกระทบนอ้ ยตอ่ เหตุผลหรอื วเิ คราะห์ผลดี ตนเองและผู้อื่น หรือ ผลเสียเพอื่ การปฏิเสธ/ แสดงข้อมลู ทห่ี กั ลา้ งความ เข้าใจ หลกี เลย่ี ง/เลือกวธิ ีปฏิบัติ ผิดไดอ้ ยา่ งเหมาะสม ซง่ึ เปน็ ทางเลอื กที่ เหมาะสมเพอ่ื ใหม้ ีสุขภาพ ดี 5. การร้เู ทา่ ทันสือ่ มคี วามสามารถในการ มกี ารรู้เทา่ ทันสื่อ มกี ารรเู้ ทา่ ทนั สือ่ ระดบั ตรวจสอบความถูกต้อง ระดับพ้นื ฐานและ ปฏสิ มั พนั ธแ์ ละมี ความสามารถ ความน่าเชอื่ ถอื ของ สามารถเปรียบเทยี บวธิ ี ในการประเมนิ ขอ้ ความ ขอ้ มลู ท่สี ่ือนำเสนอ การเลอื กรบั ส่อื เพื่อ สือ่ เพอ่ื เพ่ือนำ มาใช้ หลกี เลีย่ งความเส่ยี งที่ ชแี้ นะแนวทางใหก้ บั ในการดแู ลสุขภาพ อาจเกดิ ขึน้ กับสุขภาพ ชุมชนหรือสังคม ตนเอง ของตนเองและผอู้ ่ืน
19 ระดบั ของความรอบรูด้ ้านสขุ ภาพ คุณลกั ษณะ ระดบั พ้ืนฐาน ระดับปฏสิ มั พันธ์ ระดับวิจารณญาณ สำคัญ 6. การจัดการ มีความสามารถในการ มกี ารจดั การตนเองระดบั มีการจัดการตนเองระดับ ตนเอง กำ หนดเป้าหมายและ ปฏิสัมพนั ธ์และมี วางแผนในการปฏบิ ัติ พน้ื ฐานและสามารถทำ ความสามารถ ตน เพ่ือให้มพี ฤตกิ รรม ตาม สขุ ภาพท่ีถกู ต้อง ในการทบทวนวธิ กี าร แผนทีก่ ำหนด โดยมี ปฏบิ ัติตนตามเปา้ หมาย เปา้ หมายเพอื่ ใหม้ ี เพ่อื นำมาปรบั พฤตกิ รรมสุขภาพที่ เปลีย่ นวธิ ปี ฏิบตั ติ นให้มี ถกู ต้อง พฤติกรรมสุขภาพที่ ถกู ต้อง ท่ีมา: วัชราพร เชยสุวรรณ (2560) ดังน้นั เม่ือประชาชนมคี วามรอบร้ดู ้านสุขภาพน้อย และพฤติกรรมสุขภาพไม่ถูกต้อง กจ็ ะสง่ ผลให้ขาดความรู้ด้านสุขภาพ พฤตกิ รรมสุขภาพไม่ดี ไมร่ จู้ ักดแู ลตนเองเพ่อื ป้องกันโรค ไมไ่ ปตรวจ รา่ งกาย รวมไปถึงการไมป่ ฏบิ ัติตามการรักษาของบุคลากรทางดา้ นการแพทยแ์ ละสาธารณสุข โดยปัจจัย เหล่าน้ีทำใหล้ ่าช้าในการดูแลตนเองท่ีเหมาสม ทำให้สุขภาพทรดุ โทรม และทำให้เพิม่ อตั ราการใชบ้ ริการ ในสถานพยาบาล ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเสี่ยงต่อการเกิดโรค ดังนั้น การเสริมสร้างให้บุคคลมีความ รอบรู้ด้านสุขภาพจะส่งผลให้การปฏิบัติตัวและการจัดการทางสุขภาพ มีการควบคุมสุขภาพ และ ปรับเปล่ยี นปัจจยั ท่สี ่งผลใหป้ ระชาชนมีสขุ ภาพดขี ้นึ ทำให้ชุมชนและสงั คมมีสุขภาพดีขึน้ ต่อไปเช่นกัน ความรอบรู้ด้านสุขภาพ คือ หัวใจของปัจจัยกําหนดสุขภาพ ดังนั้น ความรอบรู้ด้าน สขุ ภาพจงึ เปน็ ตวั ทำนายสถานะสขุ ภาพท่ดี ีกว่ารายได้ การมีงานทำ ระบบการศึกษา และเชือ้ ชาติ ดงั น้ี 1. การอ่านออกเขียนได้ของประชาชนส่งผลดีต่อสังคม ผู้ที่อ่านออกเขียนได้จะมีรายได้สูงกวา่ มโี อกาสไดง้ านทาํ มากกวา่ และมีส่วนรว่ มต่อกจิ กรรมของสังคม และมีความเป็นอยู่ทด่ี กี วา่ 2. กลุ่มที่ความรอบรู้ด้านสุขภาพตํ่า โดยวัดจากการอ่านออกเขียนได้ จะสัมพันธ์กับการมสี ่วน ร่วมในการส่งเสริมสุขภาพตนเองและกิจกรรมการค้นหาความเสี่ยงต่อการเกิดโรค มีพฤติกรรมเสี่ยงสูง กว่า เกิดอุบัตเิ หตุจากการทาํ งานสูงกว่าในกรณที ี่เป็นโรคไม่ตดิ ต่อ ได้แก่ เบาหวาน ความดนั โลหิตสูง จะ ดูแลตนเองและประเมินสถานะสุขภาพด้วยตนเอง (self-assessed health status) ได้ดีน้อยกว่ากลุ่ม รอบร้ดู ้านสุขภาพ ต้องเข้ารบั การรักษาในโรงพยาบาล และอัตราการเข้ารกั ษาซ้ำทส่ี ูงกว่า
20 3. ความรอบรู้ดา้ นสุขภาพต่ําจะสง่ ผลต่อความเหล่ือมล้ำทางสงั คม และในสังคมทีค่ วามไม่เสมอ ภาคทางสังคมสูงจะยิ่งขยายช่องว่างความเหลื่อมล้ำให้มากขึ้น โดยกลุ่มที่มีความรอบรู้ด้านสุขภาพต่ำ ได้แก่ คนที่มกี ารศึกษาตาํ่ ผู้สงู อายุ เพราะขอ้ จํากดั ดา้ นการอ่านออกเขยี นไดเ้ ปน็ ตวั ท่สี ่งผลตอ่ สขุ ภาพ 4. การสร้างทักษะและความสามารถให้เกิดความรอบรู้ด้านสุขภาพ เป็นกระบวนการสะสมท่ี จะตอ้ งพฒั นาสมรรถนะตลอดช่วงชวี ติ การศึกษาเกี่ยวกับความรอบรู้ด้านสุขภาพที่ผ่านมา มักเน้นไปท่ีความสามารถของผู้รับบริการ มากกว่าบทบาทบุคลากรด้านสุขภาพ ประชาชนทั่วไปสามารถมีความรอบรู้ด้านสุขภาพได้โดยการใช้ ทักษะที่จำเป็นในการแสวงหา ทำความเข้าใจ ประเมิน สื่อสาร และใช้สารสนเทศด้านสุขภาพ ใน ขณะเดียวกันผู้ให้บริการสุขภาพสามารถส่งเสริมความรอบรู้ทางสุข ภาพได้โดยการนำเสนอข้อมูลและ สื่อสารในแนวทางที่ทำให้ผู้รับบริการเกิดความเข้าใจ และสามารถปฏิบัติตนตามข้อมูลที่ได้รับดีขึ้น ซึ่ง การสื่อสารที่ดียังสามารถเพิ่มความปลอดภัยให้แก่ผู้ป่วยด้วย (Patient safety) บุคลากรทางด้าน การแพทย์และสาธารณสุขควรให้ความสำคัญและส่งเสริมความรอบรู้ของประชาชนทั่วไปโดยผ่าน กระบวนการดา้ นการตดิ ต่อสือ่ สาร และการสร้างสัมพนั ธภาพระหวา่ งบคุ คลด้านการส่งเสรมิ สขุ ภาพ ด้าน การสนใจในผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อชีวิตของผู้รับบริการ และให้ความสนใจตระหนักถึงความรอบรู้ด้าน สุขภาพของผู้รับบรกิ ารเสมอ เพื่อให้ทราบแนวทางการหาข้อมูลสุขภาพที่ผู้รับบริการสามารถเข้าใจและ นำไปใช้เม่อื กลบั บา้ นได้ แนวทางการประยกุ ต์ความรอบร้ดู ้านสุขภาพสู่การดแู ลสุขภาพ มีดังนี้ 1. การสื่อสารทางวาจา ควรใช้การสื่อสารแบบสองทาง โดยใช้คำพูดที่เรียบง่าย หลีกเลี่ยงการ ใช้ศัพท์เทคนิคและศัพท์ทางการแพทย์ หากจำเป็นต้องใช้ควรอธิบายให้เกิดความเข้าใจอย่างชัดเจนพูด อย่างชัดเจน ใช้จังหวะความเร็วปานกลาง จำกัดจำนวนของข้อมูลในแต่ละครั้งของการสนทนาแค่ 2-3 ประเด็นที่สำคัญ และเน้นข้อมูลที่ปฏิบัติจริง รวมทั้งมีการตรวจสอบความเข้าใจของผู้รับบริการโดยใช้ เทคนิคการสอนกลับ (Teach-back) โดยให้ผู้รับบริการอธิบายสิ่งที่ได้รับคำแนะนำด้วยคำพูดของ ผรู้ ับบริการต้งั คำถามเป็นปลายเปิด เช่น “กรณุ าอธิบายว่าทา่ นเขา้ ใจในเรื่องนอี้ ยา่ งไร” 2. การส่ือสารดว้ ยการเขียน โดยใช้ประโยคสน้ั ๆ และเขยี นดว้ ยรูปประโยคอยา่ งงา่ ย หลีกเลี่ยง การใช้คำศัพท์เฉพาะ (Jargons) แบ่งข้อมูลออกเป็นส่วน ๆ และกำหนดหัวเรื่องให้ชัดเจน เสนอเนื้อหา ตามลำดับโดยการใช้ตัวเลขหรือเครื่องหมายต่าง ๆ วางหน้าข้อความเพื่อให้เห็นชัดเจนขึ้น ขีดเส้นหรือ วงกลมข้อความที่สำคัญ และในแบบฟอร์มควรใช้แบบตรวจสอบรายการ (Check boxes) มากกว่าที่จะ ให้ผูร้ ับบรกิ ารเขียนรายละเอียดหรือคำตอบ มตี ัวเลือก “ไม่ทราบ” และใชต้ ัวหนาสำหรับขอ้ ความสำคญั 3. การใช้สื่อช่วยสอน โดยการใช้รูปภาพ โมเดล วีดิทัศน์ การ์ตูน สื่อสิ่งพิมพ์ต่าง ๆ และส่ือ อเิ ลก็ ทรอนิกส์ หลกี เลย่ี งรายละเอียดทไี่ ม่จำเปน็ ไมใ่ ช้ส่อื สิ่งพิมพ์แทนการให้คำแนะนำโดยบคุ คล แต่ควร ใช้ขอ้ มูลจากสอ่ื ชว่ ยสอนเพ่ือเป็นส่อื ในการอธิบายด้วยวาจา ทบทวน และเน้นประเด็นสำคัญ 4. การเสริมสร้างพลังอำนาจและการจัดการตนเองของผู้รับบริการ โดยการส่งเสริมการมีส่วน ร่วมของผู้รับบริการ ยกตัวอย่างเรื่องของคำถาม ควรใช้คำถามปลายเปิด “ท่านมีคำถามหรือข้อสงสัย อะไรบ้าง”มากกว่าจะถามผู้รับบริการว่า “ท่านมีคำถามหรือไม่” บุคลากรทางด้านการแพทย์และ สาธารณสุขควรให้ผู้รับบริการทบทวนการรับรู้และการปฏิบัติตัว โดยใช้เทคนิค “Ask Me 3” ได้แก่ 1)
21 ปัญหาสุขภาพของฉันคืออะไร 2) ฉันต้องทำอะไรบ้าง และ 3) สิ่งที่ต้องทำนั้นสำคัญอย่างไร เช่น การ ประเมนิ ความเข้าใจเก่ยี วกบั การใช้ยาของผู้รับบริการโดยใช้เทคนิคการทวนซำ้ วธิ ีการใช้ยา “ท่านบอกได้ ไหมวา่ จะรบั ประทานยานอ้ี ย่างไร” และการให้ผู้รับบรกิ ารนำยาท่เี หลือมาด้วย เมือ่ มาพบแพทย์ตามนัด 5. ระบบสนับสนุนและการดูแลสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อความรอบรู้ด้านสุขภาพ บุคลากรทางด้าน การแพทย์และสาธารณสุขเป็นบุคลากรทางสุขภาพมีบทบาทในการสร้างความรอบรู้ มิใช่ผู้มีหน้าที่สั่ง สอน ตัดสินใจแทนผู้อื่น ทักษะที่สำคัญในการสร้างความรอบรู้ คือ ทักษะการฟังอย่างลึกซึ้ง เพราะด้วย การฟงั ทีล่ กึ ซ้งึ จะชว่ ยใหบ้ ุคลากรทางด้านการแพทย์และสาธารณสุขรับร้ไู ด้ว่าสว่ นใดท่ีผู้รับบริการยังขาด ความรู้หรือขาดความเข้าใจที่ถูกต้อง รวมทั้งการปรับกลวิธีการสอนสุขศึกษาที่มุ่งเน้นการใหส้ ถานการณ์ และแนะแนวในการตัดสินใจ เช่น การสอนการดูแลตนเองในผู้รับบริการเบาหวาน มิใช่เพียงการรู้ว่า อาหารที่ควรรับประทานในผู้รับบริการเบาหวานเป็นอย่างไร แต่ควรเป็นการตัดสินใจเลือกรับประทาน อาหารที่เหมาะสมกับโรคเบาหวานของตนมากกว่า มีการจัดสิ่งแวดล้อมใหด้ ูผอ่ นคลายโดยการเลือกใชส้ ี และการจัดวางส่ิงของที่ไม่มีบรรยากาศของความน่ากลวั สร้างบรรยากาศทีผ่ ู้รับบริการรูส้ ึกเป็นมิตรและ อยากจะซักถาม การมีป้ายแนะนำตามจุดต่าง ๆ ป้ายบอกทางที่เป็นสากล และจัดให้มีแหล่งเรียนรู้ด้าน สขุ ภาพ สรปุ ได้วา่ การเสรมิ สรา้ งความรอบร้ดู า้ นสขุ ภาพถอื เป็นวาระแหง่ ชาติ โดยกำหนดใหม้ ีการพฒั นาความ รอบรู้ด้านสุขภาพของประชาชนอยู่ในยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี อยู่ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม แหง่ ชาติและแผนพัฒนาสขุ ภาพแหง่ ชาติ ความรอบรูด้ ้านสุขภาพส่งผลตอ่ ผลลัพธ์ดา้ นสุขภาพ เม่ือบุคคล มีความรอบรู้ด้านสุขภาพจะมีศักยภาพในการดูแลตนเองได้ รวมทั้งยังจะช่วยแนะนำสิ่งที่ถูกต้องให้กับ บุคคลใกลช้ ดิ ครอบครัวชมุ ชน และสงั คมไดด้ ว้ ย ความรอบร้ดู า้ นสขุ ภาพเปน็ ส่ิงท่ีจำเป็นจะต้องพัฒนาอยู่ ตลอดเวลา เพราะสภาวะโรคภยั ไขเ้ จ็บมกี ารเปล่ยี นแปลงไปกบั กาลสมยั ดงั น้ันพยาบาลควรสง่ เสรมิ ความ รอบรู้ด้านสุขภาพของประชาชน เพื่อให้สามารถเข้าถงึ เข้าใจ และใช้ขอ้ มูลดา้ นสุขภาพในชีวติ ประจำวัน ได้อยา่ งถกู ต้องและเหมาะสม 1.4 ความสำคญั ของการจัดการสุขภาพ “ระบบสุขภาพ (Health System)” หมายความว่า ระบบความสัมพันธ์ทั้งมวลที่ เกย่ี วข้องกบั สุขภาพ (ตามนยิ ามในมาตรา 3 พระราชบัญญตั ิสขุ ภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550) มวี ตั ถปุ ระสงค์ เพื่อทำใหเ้ กิดสุขภาวะของคนทั้งมวล (Health For All) ท้ังการสรา้ งเสรมิ สขุ ภาพให้คนไทยมีสุขภาพดี มีความสุขกายสุขใจ อยู่ร่วมกันด้วยสันติ และอยู่อย่างได้ดุลยภาพกับสิ่งแวดล้อม มีการป้องกันและ ควบคุมโรคอย่างได้ผล มีระบบบริการสขุ ภาพที่มีความเป็นธรรม คุณภาพดี และมีประสทิ ธิภาพ ทั้งนี้ โดยการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในสังคม (All For Health) ด้วยการประสานจัดการที่ดี ซ่ึง โครงสร้างของระบบสุขภาพนั้นสามารถต่อเตมิ องค์ประกอบของแต่ละส่วน และมองเห็นอนุระบบต่าง ๆ ไดโ้ ดยงา่ ย ดงั นั้น การตั้งโครงสรา้ งของระบบน้ันมีไดห้ ลายวธิ ี ดังนี้ 1. คนทั้งมวล ประกอบด้วยปัจเจกบุคคลและคนในกลุ่มและองค์กรต่าง ๆ เช่น ครอบครัว เด็ก เยาวชน ผู้ใช้แรงงาน คนในองค์กรต่าง ๆ คนพิการ ผู้สูงอายุ คนชายขอบ เป็นต้น ดังน้ัน
22 ควรสำรวจให้ทราบประเภทและชนิดของคนกลุ่มต่าง ๆ จำนวน สภาวะสุขภาพ และทำรายการระบบ สุขภาพของคนกลุ่มต่าง ๆ เช่น ระบบสุขภาพครอบครัว เด็ก เยาวชน ระบบสุขภาพผู้ใช้แรงงาน ระบบ สุขภาพคนพกิ าร ระบบสุขภาพผู้สงู อายุ ระบบสุขภาพแรงงานอพยพ เปน็ ต้น เพ่อื ความครบถ้วนของการ คำนงึ ถึงสุขภาพของคนทงั้ มวล 2. ปัจจัยสุขภาพ ที่มีหลากหลาย เช่น ยีนหรือกรรมพันธุ์ ที่ทำให้เกิดโรคบางชนิด อาชีพ การมีสัมมาชีพทั่วทุกคนเป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งต่อสุขภาวะ ความมั่นคงด้านอาหาร และการมี อาหารที่สะอาดปลอดสารพิษ น้ำสะอาด สิ่งแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อสุขภาพ พฤติกรรมสุขภาพ ความ เข้มแขง็ ของชมุ ชนท้องถน่ิ ความยตุ ธิ รรม ความปลอดภยั และสนั ตภิ าพ การมจี ติ ใจทด่ี ี การเรียนรู้ทด่ี ี และ ระบบบริการท่ีดี เปน็ ต้น 3. ระบบบริการสุขภาพ มีองค์ประกอบมากหลาย เช่น ระบบสร้างเสริมสุขภาพ ระบบป้องกันและควบคุมโรค ระบบสุขภาพชุมชน ระบบการแพทย์ฉุกเฉิน ระบบบรรเทาสาธารณภัย และระบบโรงพยาบาล ซึ่งในแต่ละระบบต้องคำนึงถึงโครงสร้าง กำลังคน เทคโนโลยีที่ใช้ ตลอดจน การเงนิ ของระบบ เป็นตน้ 4. ระบบสนับสนุน มีหลายองค์ประกอบ เช่น การเงินการคลังเพื่อสุขภาพท่ี สนับสนุนจากหน่วยงานต่าง ๆ อาทิ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) สำนักงานกองทนุ สนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เป็นต้น ระบบข้อมูลข่าวสาร และการสื่อสารเพื่อสุขภาพ (Information and Communication for Health) ระบบวิชาการ และระบบ นโยบาย เปน็ ต้น 5. องค์กรนโยบาย ประกอบด้วยกระทรวงต่าง ๆ องค์กรปกครองท้องถิ่น ภาค ประชาสังคมและส่ือมวลชน สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสงั คมแห่งชาติ สำนักงาน คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ คณะรัฐมนตรี และรัฐสภา ซึ่งงานที่สำคัญนั้นจะอยู่ที่การประสานองค์กร นโยบายท้งั หมดใหไ้ ปสนบั สนุนการทำให้เกดิ สุขภาพของคนทั้งมวลต่อไป ดังนั้น องค์ประกอบสำคัญที่ทำหน้าที่ในการกำหนดทิศทางและกำกับดูแลให้ระบบ สุขภาพเคลื่อนตัวไปตามทิศทางที่กำหนดระบบสุขภาพ (Health System) ในพระราชบัญญัติสุขภาพ แห่งชาติ พ.ศ. 2550 จึงมีความหมายครอบคลุมตั้งแต่ สุขภาพเฉพาะบุคคล สุขภาพที่ดำเนินนอกตัว บุคคล กิจกรรมต่าง ๆ ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อสุขภาพ และกิจกรรมใดก็ตามที่ส่งผลต่อสุขภาพ กล่าวได้ว่า ระบบสุขภาพอาจนิยามจากบทบาทหน้าที่หรือองค์ประกอบ รวมไปถึงการมีกลไก กระบวนการ และ ความเช่ือมโยงขององค์ประกอบตา่ ง ๆ กบั ระบบสาธารณสขุ (Public Health System) (ซึ่งเปน็ ส่วนหนงึ่ ของระบบสขุ ภาพ) จึงหมายถึงการจัดการที่เกี่ยวข้องกับการป้องกนั โรค การรักษาพยาบาล การส่งเสริม สุขภาพ และการฟืน้ ฟูสมรรถภาพ ทงั้ นี้ จึงตอ้ งมีระบบบรกิ ารสาธารณสขุ มีความหมายว่าการบริการต่าง ๆ อันเกี่ยวกับการสรา้ งเสรมิ สขุ ภาพ การปอ้ งกนั ควบคุมโรคและปจั จัยทค่ี ุกคามสขุ ภาพ การตรวจวินิจฉัย และบำบดั สภาวะ ความเจ็บป่วย และการฟื้นฟูสมรรถภาพของบคุ คล ครอบครวั และชมุ ชนตอ่ ไป กรอบแนวคดิ ระบบสขุ ภาพ (Health System Framework)
23 ระบบสุขภาพ (Health System) นั้นมีความสำคัญมากต่อการพัฒนาสุขภาพ ประชาชน ซึ่งองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้วางกรอบแนวคิดระบบสุขภาพเพ่ือช่วยให้ประเทศตา่ ง ๆ นำไปปรับปรุงระบบสุขภาพให้เข้มแข็ง กรอบแนวคิดระบบสุขภาพ (Health System Framework) นี้ ประกอบดว้ ย 6 องคป์ ระกอบ หรอื เราเรยี กวา่ “The Six Building Blocks” ได้แก่ 1) ระบบบรกิ าร (service delivery) 2) กำลงั คนด้านสขุ ภาพ (health workforce) 3) ระบบขอ้ มูลข่าวสารด้านสขุ ภาพ (health information system) 4) เทคโนโลยีทางการแพทย์ (access to essential medicines) 5) คา่ ใชจ้ ่ายดา้ นสขุ ภาพ (health financing) 6) ภาวะผนู้ ำและธรรมาภิบาล (leadership governance) โดยระบบสุขภาพนั้นจะมุ่งผลลัพธ์ให้สุขภาพประชาชนดีขึ้น สนองตอบปัญหาสุขภาพ มี คุณภาพ ปลอดภัย มีประสิทธิภาพ และปกป้องประชาชนจากการล้มละลายทางการเงิน ประเทศจะ บรรลุเป้าหมายพัฒนาสุขภาพได้ ระบบสุขภาพต้องเข้มแข็งและมีประสิทธิภาพ ดังนั้น กรอบแนวคิด ระบบสุขภาพนี้จะช่วยให้เห็นความชัดเจนของ 6 องค์ประกอบหลักที่ทำงานสัมพันธ์กันและพึ่งพากัน เพอื่ นำทรพั ยากรมาใช้ให้เกดิ ประโยชน์สงู สดุ ดงั นี้ 1. การให้บริการสุขภาพที่ดี คือ การให้บริการมีประสิทธิผล ปลอดภัย และมีคุณภาพ สูญเสีย ทรัพยากรทไ่ี ม่เกิดประโยชน์นอ้ ยมาก 2. บุคลากรสุขภาพมีผลการดำเนินงานดี คือ การปฏิบัติงานตอบสนอง ยุติธรรม และมี ประสทิ ธภิ าพเพื่อบรรลผุ ลลัพธส์ ุขภาพไดด้ ีทีส่ ุด รูปที่ 1.2 แสดงกรอบแนวคิดระบบสุขภาพ (Health System Framework) “The Six Building Blocks”
24 3. ระบบสารสนเทศสุขภาพ คือ ระบบมีผลิตภาพ การวิเคราะห์ การกระจายข้อมูลสุขภาพ ถกู ตอ้ ง เชื่อถือได้ สง่ ผลการดำเนินการไปยงั ผใู้ ช้ได้ทันเวลา 4. ระบบสขุ ภาพที่ดตี ้องสรา้ งความม่นั ใจ 5. ระบบการเงินการคลังที่ดีช่วยให้มีทุนเพียงพอสำหรับการดำเนินงานด้านสุขภาพ โดยมี หลกั ประกันสขุ ภาพให้กบั ประชาชน และประชาชนสามารถเข้าไปใช้บริการได้เม่อื จำเปน็ 6. ภาวะผู้นำและธรรมาภิบาล นำกรอบแนวคิดนโยบายเชิงยุทธศาสตร์ ร่วมกับการกำกับที่มี ประสิทธิผล การสร้างพันธมิตร กฎ ระเบียบ โดยให้ความสนใจการออกแบบระบบงาน และความรับผดิ รับชอบต่อผลการดำเนนิ งาน (accountability) ปัจจุบันนี้กระทรวงสาธารณสุขไทยได้นำกรอบแนวคิดระบบสุขภาพขององค์การ อนามัยโลกมาพัฒนาระบบสขุ ภาพไทย เพื่อให้ระบบตอบสนองตอ่ การเปล่ียนแปลงสภาพแวดล้อม ด้าน การเมอื ง เศรษฐกจิ และสงั คมของประเทศ ท่ีมีการเปล่ยี นแปลงมาโดยตลอด อนึ่ง ในการที่จะบรรลุเป้าหมายในการปัญหาสุขภาพในอนาคตได้นั้น ระบบสุขภาพจะมี บทบาทร่วมกับระบบย่อยอื่นในสังคมโดยจะต้องประสานสอดคล้องกัน ทั้งนี้ ระบบบริการสุขภาพใน อนาคตจะมคี วามสำคญั ต่อการดูแลสขุ ภาพของประชากรโลก ดังนี้ 1. จัดให้มีบริการสุขภาพที่มีคุณภาพแก่ประชาชนตามความจำเป็นทางด้าน สุขภาพโดยมกี ารใช้จ่ายทรพั ยากรอยา่ งประหยดั 2. สนบั สนุนใหป้ ระชาชนมคี วามสามารถดูแลสุขภาพตนเอง มีพฤติกรรมสุขภาพ ที่เหมาะสม โดยประชาชนเข้าถึงข้อมูลด้านสุขภาพที่จำเป็นและทั่วถึง สนับสนุนวัฒนธรรมใหม่ด้าน สุขภาพ ท่ีเน้นการสง่ เสรมิ สุขภาพและป้องกนั โรคมากกวา่ การรกั ษาพยาบาล
25 3. ประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพัฒนานโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพ และดำเนินการร่วมกันเพื่อพฒั นาสิง่ แวดลอ้ มเพ่ือสขุ ภาพ 4. สนับสนุนให้กลุ่มประชาสังคมและชุมชนมีความเข้มแข็ง มีส่วนร่วมในการ บริหารจัดการบริการสาธารณสุข และสามารถบริหารจัดการทรัพยากรในชุมชนเพื่อให้ประชาชนมี คุณภาพชีวติ ทด่ี ี ดังนั้น สรุปได้ว่าหากจะให้ประชากรสามารถบรรลุเป้าหมายสุขภาพดีถ้วนหน้าได้เป็น ผลสำเร็จนั้น จะต้องมีปัจจัยท่ีเกี่ยวข้องในระบบสุขภาพที่ต้องคำนึงถึงปัจจัยและองค์ประกอบทั้งภายใน และภายนอกอย่างรอบคอบ ปัจจัยที่สำคัญอย่างมากในปัจจุบัน ได้แก่ ปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการจัดการในเรื่องการเงินด้านสุขภาพ การจัดการทางด้านการเงินการคลังสุขภาพจะเป็น ปัจจัยที่สำคัญต่อระบบสุขภาพ โดยมีประเด็นสำคัญที่จะต้องพิจารณา 2 ประการ คือ 1) หลักการด้าน ความเป็นธรรมในแง่โอกาส และความสามารถเข้าถึงบริการสาธารณสุข และ 2) ความเป็นธรรมในการ แบกรับค่าใช้จ่ายของบริการทางสุขภาพ ซึ่งหลักการเหล่านี้ปรากฏเป็นรูปธรรมในประเทศไทย คือ หลักประกันและการคุ้มครองด้านสุขภาพอนามัยของประชากรไทย ที่ครอบคลมุ ถึงปัจจัยความเสี่ยงดา้ น สุขภาพของประชากร ปัจจยั กำหนดสขุ ภาพ ความไมเ่ ทา่ เทยี มด้านพฤติกรรม สงั คม เศรษฐกจิ และระบบ การสาธารณสุข ผลกระทบของภาวะที่มีทรัพยากรของโลกจำกัดต่อสุขภาพ โรคติดต่อและการป้องกัน โรค โลกไร้พรมแดนกับการระบาดของโรคจากระดับประเทศสู่นานาชาติ โรคที่เกิดจากการใช้ ชีวิตประจำวันในยุคดิจิทัล รวมถึงนวัตกรรมและเทคโนโลยีในการป้องกัน การเสริมสร้างสุขภาพ โดย บูรณาการสหวิชาชีพด้านสาธารณสขุ การแพทย์ วิทยาศาสตร์สุขภาพ และด้านวิศวกรรม เพื่อประชากร โลกตามบรบิ ทของสงั คม อนึง่ นอกจากที่นิสติ ไดศ้ ึกษาแนวคิด ความหมายและความสำคัญของความรอบรู้ทางด้าน สุขภาพในการจดั การสขุ ภาพ ในบทเรยี นนี้แล้ว นิสิตจะได้เรียนรูใ้ นเรื่องท่ีเกี่ยวกับการสร้างเสริมสขุ ภาพ และป้องกันโรค เพศศึกษา การปฐมพยาบาลและการช่วยฟื้นคืนชีพเบื้องต้น การดูแลตนเองเรื่อง เครอ่ื งดมื่ แอลกอฮอล์ บหุ รแี่ ละยาสูบ การรับรู้ข้อมลู ข่าวสารเก่ยี วกบั สขุ ภาพ วิจารณญาณในการตดั สินใจ ด้านสุขภาพและการแพทยท์ างเลอื ก ในบทเรยี นต่อไป
26 เอกสารอ้างองิ กระทรวงสาธารณสขุ . (2552). แนวทางการประเมนิ ผลกระทบทางสุขภาพระดบั โครงการ. กรงุ เทพมหานคร. กระทรวงสาธารณสขุ . (2561). การเสรมิ สร้างและประเมินความรอบรดู้ ้านสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพ. กองสขุ ศกึ ษา กรมสนับสนุนบรกิ ารสขุ ภาพ. นนทบรุ ี. กองสขุ ศึกษา กรมสนบั สนนุ บริการสขุ ภาพ. (2553). ผลการสำรวจ Health Literacy ในกลมุ่ เยาวชนอายุ 12-15 ปี. นนทบุรี. กรมสนับสนุนบรกิ ารสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข. ฉัตรไชย รตั นไชย. (2553). การประเมนิ ผลกระทบสิ่งแวดล้อม. พมิ พ์คร้ังที่ 2. สำนกั พมิ พจ์ ุฬาลงกรณ์แห่ง มหาวทิ ยาลยั . กรงุ เทพมหานคร เดชรัต สุขกำเนิด. (2544). นโยบายสาธารณะเพอื่ สขุ ภาพ: การวเิ คราะหร์ ะบบการประเมินผลกระทบทาง สุขภาพ. สถาบนั วจิ ัยระบบสาธารณสุข. นนทบุร.ี เดชรัต สุขกำเนดิ วชิ ยั เอกพลากร และปตั พงษ์ เกษสมบรู ณ.์ (2545). การประเมินผลกระทบทางสขุ ภาพ เพื่อสรา้ งนโยบายสาธารณะหรอื สขุ ภาพ: แนวคดิ แนวทาง และการปฏิบตั ิ. พมิ พ์ครง้ั ท่ี 2. กรงุ เทพมหานคร: ดีไซด์ จำกดั . เดชรตั สุขกำเนิด วิชัย เอกพลากร และปัตพงษ์ เกษสมบูรณ.์ (2545). เอกสารชุด: การประเมนิ ผลกระทบ ทางสุขภาพ เล่มที่ 2 เรื่อง “แนวคิดการประเมนิ ผลกระทบทางสุขภาพ” เพอ่ื ปฏิรปู ระบบ สุขภาพ. นนทบุร:ี สถาบนั วิจยั ระบบสาธารณสขุ . ประเวศ วะสี. (2550). สขุ ภาวะทางจติ วญิ ญาณ. (ออนไลน)์ http://www.nationalhealth.or.th/blog. วชั ราพร เชยสวุ รรณ. ความรอบร้ดู า้ นสุขภาพ : แนวคิดและการประยุกต์สกู่ ารปฏบิ ตั ิการพยาบาล Health Literacy: Concept and Application for Nursing Practice. วารสารแพทยน์ าวี ปีท่ี 44 ฉบบั ท่ี 3 กนั ยายน-ธันวาคม 2560. วรพจน์ พรหมสตั ยพรต. (2550). การบรหิ ารงานสาธารณสุขทอ้ งถิ่น. พมิ พ์ครัง้ ที่ 1. กรงุ เทพมหานคร: บริษัท ธนาเพรส จำกัด. วรพจน์ พรหมสัตยพรต. (2561). เศรษฐศาสตร์สาธารณสขุ . พมิ พค์ ร้งั ท่ี 14. มหาสารคาม: สารคามการ พมิ พ์ - สารคามเปเปอร์. วรพจน์ พรหมสัตยพรต. (2561). ระบบประกันสขุ ภาพ. พมิ พค์ ร้ังท่ี 10. มหาสารคาม: สารคามการพมิ พ์ - สารคามเปเปอร์. วรพจน์ พรหมสัตยพรต. (2562). การบริหารงานสาธารณสุข. พิมพค์ รง้ั ที่ 2. มหาสารคาม: สารคามการ พมิ พ์ - สารคามเปเปอร์. วรพจน์ พรหมสัตยพรต. (2562). หมออนามยั กับการประกอบวชิ าชพี การสาธารณสขุ ชุมชน. วารสารหมอ อนามยั ปีที่ 26 ฉบบั ท่ี 1 (มกราคม – มิถุนายน). หน้า 15 – 18.
27 วชั ราพร เชยสวุ รรณ. (2560).ความรอบร้ดู ้านสขุ ภาพ : แนวคิดและการประยกุ ตส์ กู่ ารปฏบิ ตั กิ ารพยาบาล. วารสารแพทยน์ าวี. วารสารราย 4 เดอื น ปีท่ี 44 ฉบบั ที่ 3 กนั ยายน-ธนั วาคม. หนา้ 183 - 197. Doyle C, Metcalfe O, and Devlin J. (2003). Health Impact assessment; a practice guidance manual. Duvlin & Belfast: Institute of Public Health in Ireland. Promasatayaprot V., Pongpanich S., Hughes D., and Glangkarn, S. (2009). The Adjustment of the Universal Health Insurance by the Health Policy Strategic Planning and Health Economics in Thailand. Journal of Health Education, January - April 2009; Vol. 32 No. 111 pp. 71-87. Promasatayaprot V., Pongpanich S., Hughes D., and Srithamrongsawat S. (2012). Universal coverage health care reforms of Thailand: researching the role of the local fund health security in local government purchasers in the north-eastern region of Thailand. Journal of Medicine and Medical Sciences, January 2012; Vol. 3(1) pp. 049-059. WHO. (2005). Health Impact Assessment Toolkit for Cities Document 1 Vision to Action. WHO European.
28 ใบงาน/ใบกิจกรรม/แบบทดสอบทา้ ยบท ช่อื -สกลุ ............................................................................. รหัสประจำตัวนสิ ิต ........................................................... ชือ่ รายวชิ า ความตระหนกั รู้เรื่องสุขภาพ (Health Awareness) รหัสวชิ า 0042002 กลมุ่ ทเ่ี รียน .................. ใบงานท่ี ............................. วนั ที่ ...................................................................................... คำสงั่ : ให้นิสติ ตอบคำถามดงั ตอ่ ไปนใ้ี ห้ถูกตอ้ ง 1) จงอธบิ ายถึงความหมายและความสำคัญของสขุ ภาพมาพอสงั เขป พรอ้ มยกตัวอย่างประกอบ ของสุขภาพ ตามพระราชบัญญตั ิสุขภาพแหง่ ชาติ พ.ศ. 2550 ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………… 2) จงอธบิ ายถงึ องคป์ ระกอบสำคญั ของความรอบรู้ดา้ นสขุ ภาพมาพอสงั เขป พร้อมยกตวั อย่าง ประกอบ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………… 3) จงอธบิ ายถงึ ความสำคัญของปจั จัยกำหนดสุขภาพทางสงั คม (Social Determinants of Health) ต่อการดูแลสขุ ภาพของประชาชนมาพอสงั เขป พรอ้ มยกตัวอย่างประกอบ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………… 4) จงอธบิ ายถึงองคป์ ระกอบของระบบสุขภาพตามกรอบแนวคดิ ขององค์การอนามัยมาพอสังเขป พร้อมยกตวั อย่างประกอบ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………
29 บทที่ 2 การสรา้ งเสริมสุขภาพ วัตถุประสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรม 1. มีความรู้ ความเข้าใจ และสามารถอธบิ ายเกี่ยวกับความหมายของการสร้างเสริม สขุ ภาพ การดำเนนิ การสร้าฃเสริมสขุ ภาพ หลักในการสร้างเสรมิ สุขภาพได้ 2. มคี วามรู้ ความเขา้ ใจ และสามารถอธิบายเกยี่ วกับกิจกรรมการสรา้ งเสรมิ สขุ ภาพใน ระดบั บุคคล ครอบครัวและชุมชนได้ 3. สามารถบอกกจิ กรรมในการสรา้ งเสรมิ สุขภาพและการดแู ลสุขภาพระดบั บคุ คล ครอบครัวและชมุ ชนไดถ้ ูกต้อง วธิ ีการสอน/กิจกรรมการเรยี นการสอน 1. บรรยาย 2. อภิปราย 3. มอบหมายงานบททดสอบทา้ ยบท การประเมินผลลัพธ์การเรียนรู้ 1. ผู้เรียนอธบิ ายเกยี่ วกบั ความหมายของการสรา้ งเสรมิ สุขภาพ การดำเนินการสร้าฃเสรมิ สขุ ภาพ หลักในการสรา้ งเสรมิ สขุ ภาพได้ 2. ผู้เรียนอธบิ ายเกย่ี วกบั กิจกรรมการสรา้ งเสริมสุขภาพในระดบั บคุ คล ในระดบั ครอบครวั และ ในระดับชุมชนได้ 3. ผ้เู รยี นสามารถบอกกจิ กรรมในการสร้างเสริมสขุ ภาพและการดูแลสุขภาพระดบั บุคคล ครอบครวั และชุมชนได้ถูกตอ้ ง
30 บทนำ ในชีวิตประจำวนั เรารบั รู้ถึงพลวตั ท่เี กิดขนึ้ กับโลกมากมาย พร้อมกับเง่อื นไขปจั จัย ข้อจำกัดใหม่ๆ มากมายเกิดขึ้นดว้ ยเช่นกัน การเผชญิ กบั การเปลีย่ นแปลง ความเสยี่ ง ภยั คกุ คาม ความไม่ ม่นั คงท่สี ะท้อนให้เหน็ ถงึ ความไม่พร้อมของการรับมอื ปัญหาใหม่ กวา่ จะแก้ไขให้อยู่ในสภาพทสี่ มดลุ ได้ ก็ ใช้เวลาและมคี วามสญู เสยี เกิดขึ้น โจทย์ใหม่ๆท่ียากขึน้ ทำให้เกดิ คำถามวา่ จะทำอยา่ งไรกบั ผลพวงของ การเปลี่ยนแปลงเหลา่ นน้ั ในด้านสขุ ภาพก็มีการเปลยี่ นแปลงเกิดขน้ึ อยา่ งรวดเร็ว การแพร่กระจายของ เชื้อโรคผ่านการระบาดในพืน้ ทที่ พี่ รอ่ งภมู คิ มุ้ กัน และพร้อมท่ีจะกระจายตวั อย่างรวดเร็ว แมว้ ่าเทคโนโลยี ทางการแพทย์จะถูกพัฒนาใหด้ ีข้ึนมาจากอดีตมากขนึ้ ขนาดไหน ก็ยังไม่พอที่จะรองรับโรคอุบตั ใิ หมแ่ ละ โรคเรอื้ รงั ที่ไดค้ ร่าชวี ติ มนุษย์มากมาย ในอีกมุมหนงึ่ การสร้างเสรมิ สขุ ภาพเปน็ ทางเลอื กของการ เตรียมพร้อมรองรบั สิง่ ทจ่ี ะเกิดขนึ้ กับระบบสุขภาพ เป็นทางออกทีใ่ ชแ้ ละเก่ียวข้องในการสรา้ ง กระบวนการเรยี นรทู้ ่ตี อ่ เน่อื ง และรองรบั ความเสีย่ งให้มนษุ ย์ใชศ้ กั ยภาพของตนเพ่ือให้สุขภาพดีใหน้ าน ทส่ี ุด วงการสขุ ภาพท่ัวโลก มกี ารปฏิบัติงานดา้ นการสรา้ งเสริมสขุ ภาพมาเป็นเวลานาน แตด่ ้วยเหตุผล ข้างตน้ ถงึ การเปลี่ยนแปลงท่ีรวดเร็ว ท้ังสภาพเศรษฐกิจ สงั คม ในชว่ งปลายศตวรรษนี้ ตัวกำหนด (Determinants) ของสขุ ภาพไดแ้ ปรเปล่ยี น มีความซบั ซ้อนมากขึน้ จึงมีนกั วิชาการดา้ นการสรา้ งเสริม สขุ ภาพได้ศึกษาค้นคว้ากระบวนการ วิธกี าร รวมไปถงึ รูปแบบ นวตั กรรมใหม่ๆ มาจัดการกับตวั กำหนด ต่าง ๆ ทม่ี ผี ลต่อสุขภาพของมนษุ ย์ การสร้างเสริมสุขภาพคืออะไร มกี ารดำเนนิ การ หลักการและ กจิ กรรมการสรา้ งเสริมสุขภาพเปน็ อย่างไร รายละเอยี ดมดี ังต่อไปนี้ เน้อื หา 2.1 ความหมายของการสร้างเสรมิ สขุ ภาพ 2.2 การดำเนนิ การสร้างเสริมสขุ ภาพ 2.3 หลกั ในการสรา้ งเสริมสขุ ภาพ 2.4 กจิ กรรมการสรา้ งเสรมิ สุขภาพในระดบั บคุ คล ครอบครัวและชมุ ชน
31 2.1 ความหมายของการสรา้ งเสรมิ สขุ ภาพ กระบวนทศั นด์ ้านสขุ ภาพของสงั คมโลก มกี ารเปลีย่ นแปลงตามยคุ สมยั เชน่ กระบวนทศั นด์ ้าน สุขภาพวา่ เปน็ ของมนุษยธรรม คือ คนทเ่ี กง่ กว่า รูม้ ากกวา่ ชว่ ยเหลือเก้ือกูลคนอน่ื ในสังคม บางยุคมองวา่ สขุ ภาพเปน็ เรือ่ งของบริการแบบสินคา้ บางยคุ มุ่งไปทก่ี ารรกั ษาพยาบาล การพฒั นาและการใช้เทคโนโลยี เพ่อื การรักษาพยาบาลให้ไดผ้ ลสูงสดุ สว่ นปจั จุบนั กำลงั ปรบั กระบวนทศั น์ (paradigm) ดา้ นสขุ ภาพว่า เปน็ สิทธเิ สรีภาพท่ที ุกคนจะมีสภุ าพ และให้ความสำคัญตอ่ แนวทางการสง่ เสริมสขุ ภาพ ปี พ.ศ 2529 มกี ารประกาศกฎบัตรออตตาวา เพอ่ื การส่งเสรมิ สุขภาพดว้ ยการเสนอ New PubIic Heath ทีม่ ่งุ การสง่ เสรมิ สขุ ภาพ (heath promotion) เปน็ กระแสหลัก โดยไม่มองสขุ ภาพแยก สว่ นออกจากส่ิงแวดล้อม มองการดำเนนิ กจิ กรรมด้านสขุ ภาพไปในทิศทางของ Good Heath Approach ซึ่งเชื่อว่า จะทำให้ผลตอบแทนดา้ นสขุ ภาพทส่ี ูงกวา่ และประชาชนจะมสี ุขภาพดไี ดจ้ ริง มากกวา่ ความหมายของการสร้างเสรมิ สขุ ภาพ การสร้างเสรมิ สขุ ภาพ หมายถงึ กระบวนการเพม่ิ สมรรถนะให้คนเรามีความสามารถเพ่มิ ข้นึ ใน การควบคุมและการสรา้ งเสรมิ สขุ ภาพให้สุขภาพของตนเองดขี นึ้ ในการที่จะบรรลสุ ขุ ภาวะทีส่ มบรู ณ์ทัง้ รา่ งกาย จติ ใจและสงั คม ปจั เจกบุคคลหรอื กล่มุ บคุ คลจะต้องมีความสามารถท่จี ะบ่งบอกและตระหนกั ถงึ ความมุ่งมาดปรารถนาของตนเองทีจ่ ะสนองความต้องการตา่ ง ๆ ของตนเองและสามารถที่จะ เปล่ียนแปลงหรือปรบั ตนใหเ้ ขา้ กบั สิง่ แวดลอ้ ม เรอื่ งของสขุ ภาพจงึ ถกู มุง่ มองในลักษณะทรัพยากรท่ี จำเปน็ สำหรบั ชวี ติ ประจำวนั มใิ ชจ่ ดุ มุ่งหมายของการดำรงชวี ติ สุขภาพเปน็ คำทีม่ ีความหมายในทางบวก เนน้ หนักท่ีทรพั ยากรบคุ คลและสังคม เชน่ เดยี วกบั สมรรถนะตา่ ง ๆ ทางรา่ งกาย ดงั นน้ั การส่งเสรมิ สุขภาพจึงใชจ่ ุดมงุ่ หมายของการดำรงชวี ติ การสง่ เสริมสุขภาพหรอื การสรา้ งเสรมิ สุขภาพยังหมายรวมถงึ กระบวนการที่จะเอื้ออำนวยใหป้ ระชาชนสามารถเพ่ิมความสามารถในการควบคมุ และปรบั ปรงุ สุขภาพ ของตนเอง การจะเขา้ ถึงสภาวะท่ีสมบรู ณ์ท้ังกายจิตและสงั คมนนั้ บคุ คลหรือกลมุ่ บุคคลต้องสามารถระบุ ถึงสิง่ ทตี่ ้องการบรรลแุ ละบรรลุในส่ิงทีต่ อ้ งการได้ รวมถึงสามารถปรบั เปลี่ยนสง่ิ แวดล้อมหรือสามารถ ปรบั ตวั ใหเ้ ขา้ กบั สิง่ แวดลอ้ มที่เปล่ยี นแปลงไปได้ สขุ ภาพจึงมใิ ชเ่ ปา้ หมายแหง่ การดำรงชีวิตอยอู่ กี ตอ่ ไป หากแตเ่ ป็นแหลง่ ประโยชน์ของทกุ วนั ทเี่ ราดำเนนิ ชวี ิต สขุ ภาพเปน็ แนวคิดด้านบวกท่ีมงุ่ เนน้ แหล่ง ประโยชนท์ างสงั คมและแหลง่ ประโยชน์ส่วนบุคคล รวมถงึ ศกั ยภาพทางกายของบุคคล ดงั น้ันการสร้าง เสริมสุขภาพ จึงไมเ่ ปน็ เพยี งความรบั ผดิ ชอบของภาคส่วนท่ีดูแลสุขภาพเท่านั้น แต่ยงั มุง่ ไปทีร่ ปู แบบการ ดำเนนิ ชีวิตทส่ี ่งผลดีต่อสขุ ภาพซึ่งจะนำไปสกู่ ารมสี ขุ ภาวะในท่ีสุด (สนิ ศกั ด์ิชนม์ อนุ่ พรมมี, 2556) อีก ด้วย หลายประเทศทวั่ โลกไดใ้ ห้ความสำคญั และพัฒนาการสรา้ งเสรมิ สุขภาพแนวใหม่ มที ั้งภาพของ ความสำเรจ็ ความล้มเหลว ทำใหน้ กั สรา้ งเสรมิ สุขภาพตา่ งกไ็ ดว้ เิ คราะหก์ ันว่า หากจะดำเนนิ การสง่ เสรมิ สขุ ภาพใหส้ ำเร็จได้นนั้ ตอ้ งแสวงหาผสู้ ร้างเสรมิ สขุ ภาพใหม่ ทีม่ กี ารเปลยี่ นแปลงและการนำพาการสรา้ ง เสริมสขุ ภาพเข้าส่ศู ตวรรษใหมท่ ่ใี กลจ้ ะมาถงึ นี้ และประเดน็ ทส่ี ำคญั อกี ประเดน็ หน่ึงกค็ อื \"ตัวกำหนด\" (Determinants) ของสขุ ภาพ ได้เพ่ิมมากขนึ้ มีความซับซ้อนหลากหลายมากข้นึ ตามสภาพส่ิงแวดล้อม
32 และปจั จัยจากระบบเศรษฐกิจ สังคม และระบบนิเวศ ผสู้ รา้ งเสริมสุขภาพใหมจ่ งึ เป็นแนวทางในการ พัฒนาระบบการสรา้ งเสรมิ สขุ ภาพ เพราะความสำเร็จของการพฒั นาไมไ่ ดม้ าจากแนวทางการทำงานเดมิ ๆ โดยผมู้ ีสว่ นรบั ผิดชอบเดมิ แต่ดูแลท้ังสงั คม ผู้สรา้ งเสริมสุขภาพใหม่จึงประกอบด้วยผูค้ นหลากหลาย สถานะ อาชพี ทตี่ ่างกม็ สี ว่ นได้สว่ นเสีย เปน็ เจา้ ของสุขภาพมสี ิทธอิ ันชอบธรรมทจี่ ะมาชว่ ยกนั คดิ นวัตกรรมการสรา้ งเสรมิ สุขภาพแนวทางใหม่ ความเช่อื เรอ่ื งการสร้างเสรมิ สุขภาพตามกระบวนทศั นใ์ หม่ ให้แนวทางการทำงานดา้ นการสรา้ ง เสริมสขุ ภาพโดยเปลย่ี นจาก การมงุ่ ไปทก่ี ารปรบั เปลย่ี นวิถีชวี ติ หรอื พฤตกิ รรมสุขภาพเป็นหลักอย่างเดียว มาเป็นการตอ้ งช่วยสรา้ งพลงั อำนาจ เพิ่มความสามารถในการควบคมุ ตนใหค้ น (Empowerment) จึงจะ ทำใหป้ ระชาชนสขุ ภาพดขี น้ึ ในความเชือ่ น้ี ผ้ทู ่มี ีพลังอำนาจอยา่ งแท้จริง จะสามารถควบคุมหรือปรบั วิถี ชีวติ สขุ ภาพ (Life style) และปรบั เปลี่ยนภาวะความเป็นอยู่ (Living condition) ของตนได้ (วรรณภา ศรีธัญรตั น์ และคณะ, 2555) การศกึ ษาขององค์การอนามัยโลกไดส้ รุปวา่ ผสู้ ร้างเสริมสขุ ภาพใหม่ ประกอบด้วย องค์กรของ รัฐทม่ี สี ถานะเป็น \"หุ้นส่วน\" ซงึ่ จากเดิมรัฐเป็นผ้รู บั ผิดชอบงานสร้างเสรมิ สขุ ภาพเปน็ สว่ นใหญ่ บทบาทที่ เปล่ียนไป จะเป็นผ้ปู ระสานหรือผ้ทู บี่ ทบาทริเรม่ิ ในนโยบายสาธารณะเพือ่ สขุ ภาพ บทบาทท่สี ำคญั ในการ ประสานงานกับองค์กรของรฐั ในภาคอนื่ และมบี ทบาทส่งเสริมเก้ือหนนุ ใหอ้ งค์กรทไี่ มใ่ ช่รฐั จัดสรร ทรพั ยากร เปิดพ้ืนที่ใหห้ ุ้นสว่ นตา่ ง ๆใหม้ บี ทบาททส่ี งู ข้นึ และในชว่ งทา้ ยศตวรรษที่ 20 บทบาทและ สถานะของภาครฐั จะเปลยี่ นแปลงไปมากขึ้น การเคลื่อนยา้ ยของอำนาจในการตัดสนิ ใจ รวมไปถงึ ทรัพยากรไปเปน็ ภาคเอกชน (Privatization) มากขึ้น ส่วนองค์กรทไี่ ม่ใชร่ ฐั (Non - government organization) หรอื ทีเ่ ราเรยี กวา่ NGOs ถือว่าเปน็ สว่ นหน่ึงของผ้สู รา้ งเสริมสุขภาพใหม่ท่มี ีความสำคญั และนบั วันจะเพ่ิมความสำคญั มากขนึ้ องคก์ รเหล่าน้ีเรยี กรวมๆได้วา่ เปน็ เครือขา่ ยประชาสังคม (Civil society) ถอื ว่าเปน็ ตวั กลางในการช้ีแนะใหก้ ับสาธารณะ รวมไปถงึ การผลกั ดนั เชงิ นโยบาย การ ดำเนินงานทไ่ี มม่ ีกรอบระเบียบที่แขง็ เหมอื นภาครฐั ทำใหเ้ กิดความคล่องตัวในการดำเนินงานเปน็ อย่าง มาก และผสู้ รา้ งเสรมิ สขุ ภาพใหม่ที่น่าจบั ตามองอีกภาคสว่ นหนง่ึ ก็คือ ภาคเอกชน ทเี่ ปน็ กลุ่มทมี่ พี ลงั เข้มแข็งมากในแงข่ องทรัพยากร อำนาจใหมจ่ ากการปรบั เปล่ยี นแนวคดิ การพฒั นาแนวใหม่ท่ใี หโ้ อกาส ภาคเอกชนมากข้นึ ภารกจิ ของรัฐบาลในหลายเรื่อง กำลงั ถูกแปรสภาพเปน็ เอกชนมากขนึ้ ผู้สร้างเสรมิ สขุ ภาพใหม่ที่ถูกจบั ตามองถึงการเติบโตขึน้ คอื ชุมชนวชิ าการ (Academic community) กลุ่มนี้เปน็ ผ้สู รา้ งเสรมิ สุขภาพใหมท่ ี่ใช้ความรูเ้ ปน็ ตน้ ทนุ ในการขบั เคลอ่ื น แสวงหาความรู้ในหลากหลายวธิ ีเพื่อนำมา ประยุกต์และปฏบิ ตั ิการตา่ ง ๆ ของงานสร้างเสริมสุขภาพ จึงเปน็ กลมุ่ ท่มี พี ลงั อยา่ งมากในแง่ของการขับ เคล่ือนทมี่ ีเปา้ หมายชัดเจน ในประเทศไทยมผี ู้สรา้ งเสริมสุขภาพใหม่อีกกลุม่ ทส่ี ำคัญคอื กลุม่ องคก์ รสว่ น ท้องถิ่น หรือ อปท. กลุม่ นเ้ี ปน็ ผลผลติ จากการกระจายอำนาจของรัฐ ใหช้ ุมชนมอี ำนาจในการจดั การ ตนเองได้ ผา่ นคนทอ้ งถ่ินทร่ี ู้จักตัวตนของตนเองดี ความคาดหวงั ในการส่งเสรมิ สขุ ภาพจงึ ถกู พงุ่ เปา้ ลงที่ ท้องถิ่นคอ่ นขา้ งมาก ในปัจจบุ นั งานสรา้ งเสริมสขุ ภาพแนวใหม่ จึงมีความสำคัญอยา่ งมากกบั ประเทศไทย ทีเ่ ป็นองคป์ ระกอบของสังคมโลกทม่ี ีปัจจยั ตา่ ง ๆตามทีไ่ ดก้ ลา่ วมาแล้ว เหตกุ ารณห์ นึ่งๆทีเ่ กดิ ขนึ้ ณ มุม โลก จากนน้ั ไมน่ านกส็ ง่ ผ่านด้วยความเรว็ ไปท่ัวโลกในทนั ที การเปลีย่ นแปลงทีม่ ีความรุนแรงในศตวรรษน้ี
33 และจะรุนแรงมากข้ึนในศตวรรษหนา้ การดำเนินงานสรา้ งเสรมิ สขุ ภาพจงึ ตอ้ งให้ความสำคญั กับผสู้ รา้ ง เสรมิ สขุ ภาพใหม่ เรียนรกู้ ันผา่ นบริบทแบบไทยๆวา่ ผ้สู ร้างเสริมสขุ ภาพใหม่จะเขา้ มาเป็นหนุ้ ส่วนในการ สง่ เสรมิ สุขภาพไดอ้ ย่างไร จะร่วมมือกันอยา่ งไรเพอ่ื พลังความเขม้ แขง็ ในการขบั เคลอื่ นงานส่งเสริม สขุ ภาพอย่างไร ดงั น้ันแม้ภาครัฐมีบทบาทสำคัญตอ่ สุขภาพ แตส่ ขุ ภาพก็ได้รบั อทิ ธิพลอย่างสูงจากภาคเอกชน กลุ่มธุรกจิ องค์กรพฒั นาเอกชน และองคก์ รชมุ ชนตา่ ง ๆ ศักยภาพของแต่ละภาคสว่ นในการดแู ลและ สร้างเสริมสุขภาพของประชาชนควรไดร้ บั การสง่ เสรมิ องคก์ รทางการค้า การพานชิ ย์ ภาคอุตสาหกรรม สมาคมวิชาการ และผนู้ ำศาสนามโี อกาสอย่างมากในการดำเนนิ การเพอ่ื ผลประโยชน์ทางสุขภาพของ ชุมชน เราจงึ ควรสร้างเครอื ข่ายพันธมิตรใหมๆ่ เพอ่ื ให้เกดิ กิจกรรมดา้ นสุขภาพอยา่ งฉบั พลัน (สนิ ศกั ด์ิ ชนม์ อุ่นพรมมี, 2556) 2.2 การดำเนนิ การสร้างเสรมิ สขุ ภาพ สรา้ งเสริมสุขภาพตอ้ งเปน็ การเปลีย่ นแปลงจากภายใน (Inside out) เปน็ การปฏบิ ตั ติ วั เพอ่ื เปลย่ี นแปลงตัวเองในการสรา้ งเสรมิ สุขภาพ แตก่ ารเปล่ียนแปลงโดยการพ่งึ พาหรือได้รับความชว่ ยเหลอื จากภายนอกหรอื จากบคุ คลอ่นื จะเป็นการเปล่ยี นแปลงภายนอก (Out-side in) การสร้างเสรมิ สุขภาพ จะเปน็ ไปได้และมคี วามยัง่ ยนื ตอ้ งมกี ารเปลย่ี นแปลงจากภายใน ซึ่งมีแนวทางในการสรา้ งเสรมิ สขุ ภาพ ดังนี้ 1) การสรา้ งนโยบายสาธารณะเพ่ือสขุ ภาพ นโยบายสาธารณะเพือ่ สุขภาพ คือ นโยบายท่ีมี ลกั ษณะเป็นการประกาศชัดแจง้ ใหส้ ขุ ภาพและความเสมอภาคเกิดมีข้นึ ทกุ แหง่ และต้องมีลักษณะพร้อมท่ี จะรองรับต่อผลกระทบต่อสุขภาพทอี่ าจเกิดขนึ้ ภาครฐั ท่ีมบี ทบาทเกย่ี วกับ การเกษตร พาณชิ ย์ การศึกษา อตุ สาหกรรม และคมนาคม จะตอ้ งคำนงึ ถึงเรอ่ื งสขุ ภาพในฐานะทเ่ี ป็นปัจจัยสำคญั ในการกำหนดนโยบาย จะตอ้ งรบั ผิดชอบต่อผลทางดา้ นสขุ ภาพอันอาจจะเกดิ ขึ้นจากการตดั สินใจในนโยบายของตน และจะต้อง สนใจในเรอื่ งสขุ ภาพมากเท่า ๆ กับข้อพิจารณาทางเศรษฐกจิ การสง่ เสริมสขุ ภาพ มใิ ช่เปน็ ความรบั ผิดชอบของหน่วยงานทางการแพทยแ์ ละสาธารณสขุ เท่านัน้ ดงั นน้ั การมีนโยบายในระดบั กระทรวงสาธารณสขุ จงึ ไมเ่ พียงพอ จำเปน็ จะตอ้ งมีนโยบาย สาธารณะท่ีทุกหน่วยงานท้งั ภาครัฐ และเอกชน จะตอ้ งขานรบั และมีการปฏิบตั อิ ยา่ งเปน็ จริง นโยบาย สาธารณะเพื่อสขุ ภาพ จะเกี่ยวขอ้ งกับ กฎหมาย มาตรการทางเศรษฐกจิ การเงนิ การคลงั การเกบ็ ภาษี รวมทงั้ การจดั ตงั้ องคก์ รทแี่ นช่ ดั เพอ่ื รับผดิ ชอบ ซงึ่ กลวิธนี ี้มีจุดมงุ่ หมายเพ่อื กระต้นุ ทุกคนให้มสี ่วน เกี่ยวข้องในการดูแลสุขภาพ ใหม้ น่ั ใจว่าสขุ ภาพเปน็ ส่วนหนงึ่ ท่ีรวมอยู่ในการตัดสินในดา้ นสาธารณะ เพราะการสรา้ งเสรมิ สขุ ภาพเปน็ มากกวา่ การดแู ลสุขภาพ (อาภาพร เผา่ วัฒนาและคณะ, 2555) 2) การสร้างสง่ิ แวดล้อมที่เอ้ือต่อสขุ ภาพ การสรา้ งสิ่งแวดล้อมทีเ่ ออื้ ตอ่ สุขภาพ คอื การอนรุ กั ษ์ ทรัพยากรธรรมชาติและส่งิ แวดล้อมที่มีอยู่ในระดับชุมชน ระดับประเทศ และระดับโลก ทง้ั นีเ้ นอื่ งจาก สมดุลของธรรมชาตยิ อ่ มมผี ลโดยตรงตอ่ การมสี ขุ ภาพดีของมวลมนุษย์ นอกจากนย้ี ังรวมถงึ การจัด สง่ิ แวดล้อมให้สอดคล้องกับการเปล่ยี นแปลงของการดำเนนิ ชวี ติ การทำงาน และการใช้เวลาวา่ ง โดยการ
34 สรา้ งสังคมท่มี สี ขุ ภาพดี (Healthy society), การสรา้ งเมืองท่ีมสี ุขภาพดี (Healthy city), การจดั ที่ ทำงานที่เอ้ือตอ่ สขุ ภาพ (Healthy workplace) และการทำใหเ้ ปน็ โรงเรียนเพอื่ สุขภาพ (Healthy school) 3) การเพ่ิมความสามารถของชุมชนหรือศักยภาพของชมุ ชนให้เขม้ แข็ง การสง่ เสรมิ สุขภาพ ต้องอาศยั กิจกรรมชมุ ชนท่ีมีประสิทธภิ าพและเปน็ รปู ธรรม ทง้ั ในการจดั ลำดับความสำคญั การตดั สินใจ การวางแผนกำหนดแผนกลวิธี และการดำเนนิ งานตามกลวิธนี นั้ หวั ใจของการดำเนนิ งาน ได้แก่ การทำ ใหช้ มุ ชนมีอำนาจให้เกิดความเปน็ เจา้ ของ และควบคมุ งานที่ตนเองริเร่ิม รวมทัง้ อนาคตของชุมชนเอง ท้ังนชี้ ุมชนจะต้องเขา้ ถงึ ข้อมูลข่าวสาร โอกาสตา่ ง ๆ ในการเรยี นรเู้ ร่อื งสขุ ภาพ และงบประมาณ สนบั สนนุ อยา่ งตอ่ เนือ่ ง สง่ ผลให้สมาชิกในชุมชนมีความรสู้ ึกเปน็ “เจ้าของชวี ติ และชุมชนของตนเอง” ให้ ชุมชนสามารถควบคมุ การปฏบิ ตั ิงานและเปา้ หมายของชุมชนเองได้ ซึ่งชมุ ชนจะตอ้ งไดร้ บั ข้อมูลข่าวสาร โอกาสในการเรยี นรูเ้ กยี่ วกบั สุขภาพ และการสนับสนนุ ทางด้านการเงนิ อยา่ งเพียงพอและต่อเนอ่ื ง การ สร้างเสริมสุขภาพจะต้องเปน็ กิจกรรมต่อเน่อื งทช่ี ุมชนดำเนนิ การด้วยตัวเอง ในบางกรณีอาจจะอาศยั ความชว่ ยเหลอื ทางการเงนิ ทรพั ยากรและทางเทคนคิ จากภายนอก แต่ในระยะยาวชุมชนนน้ั ตอ้ งดำเนนิ กิจกรรมน้ดี ้วยตัวเอง หรอื ดีย่ิงไปกว่านน้ั เมอ่ื ประสบความสำเร็จก็ถ่ายทอดประสบการณค์ วามสำเร็จและ เทคนิคการดำเนินงาน ใหก้ ับชุมชนอน่ื ๆ ไปปฏบิ ตั ติ าม (สนิ ศกั ดิ์ชนม์ อ่นุ พรมมี, 2556) 4) การพฒั นาทักษะส่วนบุคคล การสรา้ งเสรมิ สุขภาพควรชว่ ยให้บคุ คลและสงั คมเกิดการ พัฒนา มคี วามรู้และทกั ษะในการดำรงชวี ิต (life skills) ซง่ึ เป็นทางเลอื กหนึง่ สำหรับประชาชนท่จี ะ ควบคุมสุขภาพของตนเองและควบคมุ สงิ่ แวดล้อม ซง่ึ ส่งผลตอ่ สขุ ภาพ เชน่ พฒั นาศักยภาพการออกกำลัง กายและการเลกิ บุหรี่ ใหบ้ คุ คลเห็นความสำคญั และตระหนักวา่ เปน็ เรอ่ื งทตี่ ้องลงมือปฏบิ ตั เิ อง แพทยแ์ ละ บุคลากรทางการแพทยไ์ มส่ ามารถออกกำลังกายและเลิกบุหรี่แทนได้ คนจำนวนมากทราบถึงพษิ ภัยของ การสบู บุหร่แี ต่ไมส่ ามารถเลกิ บุหรไี่ ด้ อาจเปน็ เพราะยงั ไม่มีความคิดในเชิงบวกวา่ ตวั เองสามารถกำหนด ทางเลอื กให้ตัวเองได้ว่าจะสบู บหุ รห่ี รือไม่ แลว้ มคี วามเข้าใจท่จี ะเลอื กทางเลอื กที่ดตี อ่ สุขภาพคอื การเลกิ บุหร่ี การปรบั เปลี่ยนพฤตกิ รรมสุขภาพในระดบั บคุ คล มักสง่ ผลให้เกดิ การเปล่ียนแปลงในพฤตกิ รรม ระดับบคุ ค องค์กร ชมุ ชน และประเทศตามมา เพราะบุคคลเปน็ สมาชิกของกลุ่มบุคคล บุคคลเปน็ ผมู้ ี บทบาทในการบรหิ ารองค์กร มบี ทบาทในการเลอื กต้งั หรือเสนอผู้นำหรือผแู้ ทนของตน และมบี ทบาทใน การสนบั สนนุ การออกกฎหมายแตล่ ะฉบบั ซ่งึ จะสง่ ผลตอ่ ความสำเรจ็ ในการปรับเปลี่ยนนโยบาย หรอื แม้แต่การเปลี่ยนแปลงภายในองคก์ ร ดังนน้ั การสรา้ งเสรมิ สุขภาพโดยการพฒั นาทกั ษะส่วนบคุ คล จึงมี ความสำคญั และเปน็ พน้ื ฐานการเปลีย่ นแปลงหรือพฒั นาในระดับท่ใี หญ่กวา่ (สนิ ศักดิ์ชนม์ อุ่นพรมมี, 2556) 5) การปรับระบบบริการสาธารณสุข ตอ้ งมีการปรับเปล่ียนระบบบรกิ ารสุขภาพจากเชิงรับเปน็ เชงิ รุก หรือจากการซ่อมสุขภาพเป็นการสร้างสขุ ภาพ โดยให้มีกจิ กรรมการสง่ เสริมสขุ ภาพให้มากขึน้ มี การสอื่ สารกับหนว่ ยงานภายนอกใหก้ วา้ งขวางย่ิงขึ้น เชน่ หน่วยงานดา้ นส่งิ แวดล้อม ดา้ นสังคม ด้าน การเมอื ง และเศรษฐกจิ นอกเหนอื จากการให้บริการด้านการรกั ษาพยาบาลเท่านน้ั นอกจากนน้ั ยังตอ้ ง
35 ให้ความสนใจเก่ียวกบั การวจิ ยั เพื่อปรับเปลีย่ นระบบและการฝกึ อบรมเจา้ หน้าทใี่ ห้มีแนวคิดเกย่ี วกับการ ส่งเสริมสุขภาพ การปรบั ระบบบริการสาธารณสุขคนสว่ นใหญอ่ าจจะเขา้ ใจว่าเปน็ การเปลยี่ นแปลง เฉพาะบุคลากรทางการแพทย์ และสาธารณสุขเท่าน้นั ทีจ่ ะตอ้ งเปลีย่ นวธิ คี ดิ วิธีทำงานจากการเป็นผู้ ใหบ้ รกิ ารสขุ ภาพมาเปน็ ผู้ให้การสนับสนุนประชาชนให้มคี วามสามารถในการควบคมุ และพฒั นาสุขภาพ ของประชาชนเอง แตท่ ส่ี ำคญั ไมย่ ่ิงหยอ่ นไปกวา่ กัน คอื ทัศนคติและวิธีคดิ ของประชาชนเองวา่ จะตอ้ ง สร้างเสรมิ สขุ ภาพและไปพึ่งพาระบบบรกิ ารสขุ ภาพตงั้ แต่ในข้ันตอนการสร้างเสริมสขุ ภาพ ไมใ่ ช่รอให้ ป่วยแล้วจงึ ไปใชบ้ ริการระบบสขุ ภาพเพ่อื การรักษาพยาบาลเทา่ นน้ั (สนิ ศักด์ิชนม์ อ่นุ พรมมี, 2556) 2.3 หลกั ในการสร้างเสรมิ สขุ ภาพ 1) เนน้ กจิ กรรมหลายลักษณะทม่ี ุงสรา้ งสมรรถนะของการสรา้ งสขุ ภาพดี ลดหรือควบคมุ ปจั จัย เสีย่ งและพฤติกรรมเสีย่ ง และเปน็ กระบวนการทม่ี ุ่งดำเนนิ การกนั ทง้ั บุคคลและสงั คม 2) เนน้ กระบวนการส่งเสรมิ ใหป้ ระชาชนเพมิ่ สมรรถนะในการควบคุมดูแลและพฒั นาสขุ ภาพ ของตนเอง 2.3.1 การสร้างเสริมสุขภาพเฉพาะพฤติกรรม การสรา้ งเสรมิ สุขภาพเปน็ กระบวนการในการพฒั นาศกั ยภาพของบคุ คลและชมุ ชนในการ ดูแลตนเอง พฤตกิ รรมการดแู ลสุขภาพจงึ ครอบคลมุ โภชนการ การออกกำลงั กาย การจดั การความเครียด และการป้องกันพฤตกิ รรมเสยี่ งต่าง ๆ เชน่ พฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ บุหร่ี และสรุ า ในการสรา้ งเสริม สขุ ภาพเฉพาะพฤติกรรมเหลา่ นจ้ี งึ ยึดถอื กลยทุ ธ์ในการชแ้ี นะสาธารณะ การประสานงาน และการพัฒนา ศักยภาพสว่ นบุคคล โดยใช้กลวธิ ีของการสร้างนโยบายสาธารณะ การสร้างสิง่ แวดล้อมที่เหมาะสมกบั การ ดแู ลสขุ ภาพการสรา้ งความเขม้ แขง็ ของชมุ ชน การพฒั นาทักษะสว่ นบคุ คล และการปรับเปล่ียนรูปแบบ บริการสขุ ภาพ ในการดำเนินการ ซ่ึงมคี วามเฉพาะของแตล่ ะพฤติกรรมเป็นเนอ้ื หาสาระหลกั และใช้ แนวคดิ ของการสรา้ งการมสี ่วนร่วมเพื่อให้เกดิ การสร้างเสรมิ สุขภาพชุมชนท่ียงั่ ยนื (อาภาพร เผา่ วฒั นา และคณะ, 2555) การสรา้ งเสรมิ สุขภาพจะประกอบดว้ ยกิจกรรมตา่ งๆกันออกไป กจิ กรรมการสร้างเสรมิ สุขภาพแต่ละระดบั อาจจะมีความแตกตา่ งกันบ้างหรอื บางครัง้ อาจจะมคี วามเกยี่ วโยงสมั พนั ธก์ ัน 2.4 กิจกรรมการสร้างเสริมสขุ ภาพในระดับบคุ คล ครอบครวั และชมุ ชน 2.4.1 กิจกรรมการสร้างเสรมิ สขุ ภาพระดับบุคคล 1) รบั ประทานอาหารที่มคี ุณค่าทางโภชนาการ ในปจั จุบนั ประชากรโลกเรม่ิ ตระหนักถึงพษิ ภัยของการรบั ประทานอาหารทไ่ี ม่ถูกต้องตามหลกั โภชนาการ หนั มาให้ความสำคัญกบั การควบคุมและเลือกรับประทานอาหารท่ีมปี ระโยชน์ตอ่ สขุ ภาพมากขึ้น เช่น ลดการรบั ประทานเนื้อสตั ว์ นม เนย ให้เพ่มิ การรับประทาน พชื ผกั และธญั พชื ซงึ่ อุดมดว้ ยเสน้ ใยจากธรรมชาติ และวิตามิน ในวัย เด็ก เนอ้ื สัตวแ์ ละนมยังเปน็ สงิ่ จำเปน็ เนอ่ื งจากรา่ งกายมีการเจริญเตบิ โต ในวัยผใู้ หญ่รา่ งกายตอ้ งการ โปรตนี ลดลง การรบั ประทานเนอ้ื สัตวแ์ ละนมมากเกนิ ไปยงั ทำให้ร่างกายไดร้ ับไขมันเพมิ่ เนอื่ งจากใน เน้ือสตั ว์และนมจะมปี รมิ าณไขมันคอ่ นขา้ งสงู นอกจากนนั้ ยังพบว่า ผทู้ ร่ี ับประทานเนื้อสัตว์มาก ๆ มี โอกาสเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ไดส้ งู ควรเปล่ียนแปลงมารบั ประทานโปรตีนจากพืชพวกถัว่ แทน อาหารอีก
36 กลุม่ ซ่งึ ไมค่ วรรับประทานมากเกนิ ไป คอื นำ้ ตาล พบวา่ นำ้ ตาลทำใหห้ ลอดเลือดมีความเสอ่ื มเร็วข้นึ ใน ผปู้ ่วยเบาหวานท่มี นี ำ้ ตาลสูงจะพบว่าหลอดเลอื ดแกก่ ่อนวยั ไขมันกเ็ ปน็ อกี กล่มุ หน่ึงทค่ี วรจำกดั และใช้ น้ำมนั จากพชื แทนน้ำมนั จากสตั ว์ ยกเว้นน้ำมนั มะพรา้ วและน้ำมนั ปาล์มควรหลีกเล่ียงเน่อื งจากมี โค เรสเตอรอลสงู อาหารทค่ี วรรบั ประทานคือ ผกั ผลไม้ ธญั พชื เชน่ ขา้ วซอ้ มมอื ถ่วั เพราะอดุ มไปด้วย กากใยธรรมชาติ วิตามนิ และเกลอื แร่ 2) ออกกำลังกายสม่ำเสมอ การออกกำลงั กายเปน็ การเพิ่มหรอื คงไว้ซ่ึงความทนทาน ของระบบไหลเวยี นโลหิตและปอด โดยมีขบวนการใชอ้ อกซเิ จน ในขบวนการเผาผลาญ เพ่ือให้เกดิ พลังงานสำหรบั การออกกำลังกายอยา่ งตอ่ เนือ่ ง ประโยชน์ของการออกกำลังกาย 1) ระบบการไหลเวยี นโลหติ ดี ทำให้กลา้ มเนอ้ื หัวใจแขง็ แรงมากขึน้ สามารถสูบฉีด โลหิตไดป้ รมิ าณมากขึน้ เพมิ่ หลอดโลหติ ฝอยมาเล้ยี งกลา้ มเนือ้ หัวใจ ลดอตั ราการเตน้ ของหวั ใจ ทงั้ ในขณะพกั และออกกำลังกาย ทำให้ไมเ่ หนื่อยงา่ ย นอกจากนยี้ ังชว่ ยลดแรงตา้ นทานส่วนปลายของหลอด โลหติ ฝอยทำใหค้ วามดนั โลหิตลดลงทงั้ ขณะพกั และออกกำลังกายลดความเส่ยี งต่อการเกดิ โรคความดนั โลหิตสูง 2) ระบบการหายใจ ทำให้ความจปุ อดเพมิ่ ขึน้ ทำให้การแลกเปล่ยี นออกซเิ จนมากข้ึน เพ่มิ ปรมิ าณโลหติ ไปสปู่ อด ทำใหก้ ารไหลเวียนของปอดดขี น้ึ เพม่ิ ประสิทธภิ าพในการแลกเปลีย่ นก๊าซท่ี ปอด ทำให้ประสทิ ธิภาพการหายใจดขี น้ึ 3) ระบบชีวเคมีในเลือด ชว่ ยลดปริมาณคอเลสเตอรอล (Cholesterol) และไตรกลี เซอไรด์ (Triglyceride) จึงลดอัตราเสี่ยงตอ่ โรคหลอดเลือดหวั ใจอดุ ตัน และโรคหลอดเลือดสมองอดุ ตัน ชว่ ยเพ่ิม HDL Cholesterol ซึง่ ช่วยลดการเปน็ โรคหลอดเลือดหวั ใจอุดตนั ลดน้ำตาลสว่ นเกนิ ในเลอื ด เป็นการช่วยป้องกันโรคเบาหวาน 4) ระบบประสาทและจิตใจ ลดความวิตกกงั วลและคลายความเครียด ทำให้มีความสุข และรู้สกึ สบายใจจากสาร Endorphin ที่หลัง่ ออกมาจากสมองขณะออกกำลงั กาย ข้นั ตอนและหลกั ในการปฏิบตั ิออกกำลังกาย ถา้ มีอายมุ ากกวา่ 35 ปี ควรตรวจสุขภาพ วา่ มโี รคหวั ใจหรือไม่กอ่ นการออกกำลงั กาย ชนิดนี้ ควรร้วู ิธเี หยียดและยืดกล้ามเน้ือ รวมท้ังอ่นุ เครื่อง (Warm up) และเบาเครอ่ื ง (Cool down) หลักในการปฏิบัติ เปน็ การใช้กล้ามเนื้อมัดใหญอ่ ยา่ งน้อย 1 ใน 6 ส่วนของรา่ งกาย ออกกำลงั อยา่ ง สม่ำเสมอ ซึง่ รูปแบบการออกกำลงั กายมีหลากหลายชนิด เชน่ วง่ิ เหยาะ, เดนิ เร็ว, ข่จี ักรยาน, วา่ ยนำ้ , เต้นแอโรบิค, ฟุตบอล, บาสเกต็ บอล, เทนนสิ , แบดมินตนั , ตระกรอ้ ขา้ มตาข่าย, วอลเลย์บอล เปน็ ตน้ 3) การจัดการความเครยี ดหรือสรา้ งสุขภาพจิตใหแ้ ขง็ แรง โดยการสรา้ งปจั จัย ป้องกันและลดปัจจยั เสย่ี งของสาเหตปุ ัญหาสขุ ภาพจิตด้านตา่ ง ๆ ดงั น้ี 1) การส่งเสรมิ สุขภาพร่างกาย การรักษาร่างกายใหแ้ ข็งแรง ปราศจากโรค การออก กำลงั กายอย่างสมำ่ เสมอ 2) การสง่ เสริมทางจติ ใจ โดยการฝกึ สูป้ ัญหาให้เกิดความเคยชิน ไมห่ ลบเล่ยี งปัญหา พัฒนาตนเองใหป้ รบั ตัวได้มากขนึ้ เม่ือพบปญั หา มองหาทางแกอ้ ยา่ งทา้ ทาย พิจารณาหาสาเหตุของ
37 ปญั หาและแกไ้ ขทส่ี าเหตุ เปล่ียนแปลงตนเองให้ค้นุ เคย ยอมรบั สงิ่ ที่เปลีย่ นแปลงไมไ่ ด้ ทำใจให้ยอมรับ สนุกกบั การเปลี่ยนแปลง รู้จกั สรา้ งวิธีคิดทด่ี ี มที ักษะคิดเป็น คดิ ดี คดิ ถูกทาง เบนความคิด มองโลกในแง่ ดี มองโลก หลายมุมมอง ควบคมุ ความคดิ หยดุ คดิ ได้ อารมณ์ขนั ทักษะการแกป้ ัญหาอยา่ งถูกทาง มีสติ เตือนตนเอง รูจ้ ักตนเอง พิจารณา ตนเองว่ามีความคิด อารมณ์ความรูส้ ึกอย่างไร รู้ตวั เมอื่ มีความกงั วล ความเครียด ความกลัว สขุ ภาพจิตดีหรอื ไม่ มีสาเหตุจากอะไร มที ักษะในการจัดการอารมณ์ตนเอง ลด ความเครยี ดลดอารมณ์เศร้าได้ดว้ ยตนเอง ปลกุ ปลอบใจให้กำลงั ใจตนเองได้ สรา้ งแรงจงู ใจในการกระทำ สิ่งต่าง ๆ สรา้ งความรู้สกึ ดตี อ่ ตนเอง ให้อภัยตนเองได้ มีกจิ กรรมสรา้ งความสขุ และความสงบ มคี วาม เขา้ ใจตนเอง รู้จดุ ดีจุดอ่อนของตน มคี วามภาคภูมใิ จในตนเอง ยอมรับตัวเอง สร้างแรงจงู ใจจากภายใน ใหม้ ีความชอบ ความสำเร็จ สนกุ กบั งาน ไมท่ ้อแทผ้ ิดหวงั กับความล้มเหลว มองความผิดพลาดเป็นครู หรือบทเรยี นทจ่ี ะพฒั นาตนเอง แก้ไขปรบั ปรุงตวั เองใหด้ ีข้นึ ไดท้ างออกทางแก้ไขปญั หาใหม่ๆทด่ี ีกวา่ เดิม มคี วามสขุ จากการให้ผ้อู น่ื มีเมตตา เห็นแก่ประโยชนส์ ว่ นรวมและส่งิ แวดลอ้ ม มีกจิ กรรมผ่อนคลาย ฝกึ การผ่อนคลายตนเอง ออกกำลังกาย กฬี า งานอดเิ รก ศลิ ปะ ดนตรี กจิ กรรมเหลา่ นี้จะช่วยคลาย เครียด มมี มุ สงบ พักผอ่ นจติ ใจ ธรรมชาติ ต้นไม้ 3) การปรึกษาผ้อู นื่ ทสี่ ามารถพ่งึ พาได้ ได้แก่ พอ่ แม่ พนี่ ้อง ครู อาจารย์ เพือ่ น ผู้บังคับบญั ชา หนว่ ยงานทเี่ กย่ี วข้อง เพ่อื แสวงหาข้อมลู ทางเลอื ก ทางแก้ปัญหาในมุมมองอ่นื 4) มนุษยสัมพนั ธด์ ี มีทกั ษะในการส่ือสารให้คนอ่นื เข้าใจ ทำงานร่วมกับผูอ้ น่ื อย่างมี ความสขุ กล้าพดู กลา้ บอก ชืน่ ชมผู้อน่ื บอกความคิด ความรู้สกึ และต้องการของตนเอง สอบถามผู้อื่น เมอื่ ไมเ่ ข้าใจ มวี ิธพี ดู บอกกนั ดี ๆ ด้วยเจตนาทเี่ ป็นมิตร มวี ธิ เี ตอื นผอู้ นื่ อย่างนุม่ นวล ชักชวนให้คนทำงาน ดว้ ยดี 5) ทักษะในการเผชญิ ความเครยี ด มกี จิ กรรมผ่อนคลายสลบั เชน่ พกั สายตา มองไป ไกล ๆ ขยับร่างกาย กายบริหาร ฟังเพลง รอ้ งเพลง ฝึกการผ่อนคลายตนเอง ด้วยเทคนคิ ต่าง ๆ 6) เมอ่ื มปี ญั หาสามารถระบายความไมส่ บายใจ กับคนทใ่ี กลช้ ดิ ไว้ใจได้ รับฟงั และใช้ คำแนะนำจากผอู้ ืน่ แก้ปญั หาได้ 7) การใช้ยารักษาอาการทางอารมณ์ ยาคลายเครียด ยาต้านโรคซึมเศรา้ หรอื รกั ษา อาการท่ีเกดิ ขึ้นทางรา่ งกาย เปน็ การรกั ษาตามพยาธสิ ภาพท่ีเกดิ ข้ึนทางรา่ งกาย 8) การเปลย่ี นแปลงสง่ิ แวดลอ้ มให้เหมาะสมกบั ตนเอง บรรยากาศสงบ เสยี งไม่ดงั ไม่ ร้อนมากเกนิ ไป สี แสง บรรยากาศผ่อนคลาย การมีธรรมชาติ ตน้ ไม้ ภาพวาด ภาพผนังห้อง การหางาน ทช่ี อบและถนดั สร้างความสามคั คีในทีมงาน มีการประสานงานกนั ดี บรรยากาศการทำงานเออ้ื เฟือ้ ชว่ ยเหลอื มนี ้ำใจตอ่ กัน จดั แบง่ เวลาทำงาน แบง่ งานเป็นชว่ ง ๆ มเี วลาพกั ผอ่ นหย่อนใจ เวลาทำงาน 8 ชั่วโมง เวลาพักผอ่ นหยอ่ นใจและออกกำลังกาย 8 ชว่ั โมง และนอนหลับ 8 ช่ัวโมง 4) การปอ้ งกันพฤตกิ รรมเส่ยี งต่าง ๆ คือ การละเวน้ สารเสพตดิ ทุกชนดิ ทจ่ี ะบนั่ ทอนสขุ ภาพ พิษภัยหรือโทษของสารเสพตดิ ซง่ึ เปน็ โทษท่ีมองไม่เห็นชดั เปรยี บเสมือนเป็นฆาตกรเงยี บ ท่ที ำลายชวี ติ บคุ คลเหลา่ นน้ั ลงไปทกุ กอ่ ปญั หาอาชญากรรม ปญั หาสุขภาพ กอ่ ความเสอื่ มโทรมใหแ้ กส่ งั คมและ บ้านเมืองอยา่ งรา้ ยแรง เพราะสารเสพยต์ ดิ ทุกประเภทที่มฤี ทธ์ิเป็นอนั ตรายต่อรา่ งกายในระบบประสาท
38 สมอง ซ่ึงเปรียบเสมือนศูนยบ์ ัญชาการของร่างกายและชวี ติ มนษุ ย์ การตดิ สารเสพตดิ เหลา่ นนั้ จงึ ไม่มี ประโยชนอ์ ะไรเกิดข้นึ แกร่ า่ งกายเลย แต่กลับจะเกิดโรคและพษิ รา้ ยตา่ งๆ จนอาจทำให้เสียชวี ิตหรอื เกิด โทษและอนั ตรายตอ่ ครอบครัว เพ่อื นบา้ น สงั คม และชมุ ชนตา่ งๆ ต่อไปได้อกี มาก นอกจากการสร้างเสรมิ สุขภาพเฉพาะพฤตกิ รรมดังกล่าวแลว้ การตรวจสุขภาพประจำปี กเ็ ปน็ การดูแลและสง่ เสรมิ สุขภาพที่ดมี าก ช่วยทำให้ทราบภาวะสขุ ภาพของคณุ ว่าสมบูรณ์เพียงใด มสี ง่ิ ผดิ ปกติ หรอื ไม่ เพอ่ื จะไดร้ ีบแก้ไข และป้องกนั ความรุนแรงท่อี าจจะเกดิ ขน้ึ หรือการตรวจสขุ ภาพประจำปเี ปน็ การตรวจแกผ่ ทู้ ่ยี ังไมม่ อี าการผดิ ปกติใด ๆหรืออาจมอี าการผิดปกตเิ พยี งเลก็ น้อยไมช่ ดั เจน การตรวจ สขุ ภาพประจำปีถอื ว่าเปน็ การตรวจเพื่อค้นหาโรคหรือความผดิ ปกติต้ังแต่ระยะเริ่มแรก จะทำให้สามารถ ปอ้ งกันภาวะแทรกซ้อน ลดความรนุ แรงของโรคหรือความพิการทอี่ าจเกดิ ขึ้นในบางโรคได้ ตา่ ง ๆที่จะ เกดิ ข้นึ จากโรคน้ัน ตลอดจนสามารถทำให้สามารถรกั ษา ได้ตงั้ แต่อาการยังไมม่ าก ตวั อยา่ งโรคทสี่ ามารถ ตรวจพบไดจ้ ากการตรวจสขุ ภาพประจำปี ไดแ้ ก่ โรคโลหิตจาง ความดันโลหิตสงู โรคเบาหวาน โรคไขมนั ในเลือดสงู โรคตดิ ต่อทางเพศสมั พนั ธ์ โรคพยาธิ โรคระบบทางเดนิ ปสั สาวะ วณั โรค และมะเร็งชนดิ ตา่ ง ๆ เปน็ ตน้ อยา่ งไรก็ตามการตรวจนี้ไมไ่ ด้เปน็ การรับประกนั ว่าจะไมเ่ ปน็ โรคดงั กล่าวในอนาคต ดงั น้ันส่งิ ท่ี ดีที่สดุ คอื การดแู ลสขุ ภาพใหด้ ี รบั ประทานอาหารครบหมู่ ออกกำลงั กายสม่ำเสมอ พกั ผอ่ นเพยี งพอ หลกี เล่ียงจากปัจจัยเสีย่ งของโรคต่าง ๆ เช่น งดการสบู บุหรแี่ ละด่ืมเหลา้ เปน็ ตน้ ซึง่ จะนำมาสสู่ ุขภาพทด่ี ี ตอ่ ไป 2.4.2 กจิ กรรมสรา้ งเสริมสขุ ภาพระดบั ครอบครวั การสร้างเสริมสขุ ภาพในครอบครัวเป็นส่งิ ทส่ี ำคญั เพราะครอบครัวเปน็ หนว่ ยของสงั คมท่ี ใกล้ชดิ กับบุคคล ตงั้ แต่เกดิ จนตาย ครอบครวั ทำหนา้ ทถี่ ่ายทอดคา่ นิยม ความเช่อื วัฒนธรรมจากคนรนุ่ หนงึ่ ไปยงั คนอีกรนุ่ หน่ึง ดังนนั้ การมีสุขนสิ ยั ท่ีดีในครอบครวั จงึ มีอิทธิพลต่อสมาชกิ ในครอบครวั มาก ซึ่ง เป็นสง่ิ ทจ่ี ะชว่ ยใหส้ มาชิกในครอบครวั มีสุขภาพดีได้ (ศิริพร ขัมภลขิ ิต และคณะ, 2555) การสรา้ งเสรมิ สุขภาพระดบั ครอบครวั จะแบง่ ออกตามระยะพฒั นาการของครอบครวั ดังนี้ 1. ระยะก่อนแต่งงาน ควรมกี ารตรวจสุขภาพรา่ งกาย การเตรียมความพร้อมสำหรบั การมบี ตุ ร และทักษะการใชช้ วี ิตคู่ 2) ระยะแต่งงานใหม่ ควรมกี ารใหค้ ำปรกึ ษาชีวิตคู่ และใหค้ ำปรกึ ษาอนามัยเจรญิ พันธท์ ั้งผทู้ ่ี พรอ้ มจะมีบตุ รและยงั ไมพ่ ร้อมจะมบี ตุ ร 3) ระยะก่อนคลอดบตุ ร ควรมีการสง่ เสรมิ ให้พอ่ แมท่ ำกจิ กรรมร่วมกนั และมีการประเมนิ สัมพนั ธภาพระหว่างพอ่ แม่ 4) ระยะมบี ุตรแรกเกิด – 5 ขวบ ควรมกี ารจัดกจิ กรรมสำหรบั พ่อ แม่ ลกู กระตุ้นพัฒนาการ ของลกู ในทกุ ๆด้าน การใหค้ วามร้เู ร่ืองพัฒนาการของลูก และการกระตุ้นพฒั นาการของเดก็ และการฝึก ทกั ษะการสังเกตความผดิ ปกตขิ องลูก การพูดกบั ลูก 5) ระยะมบี ตุ ร 6-12 ปี ควรเนน้ กจิ กรรมการส่งเสริมภายในครอบครัวมากขึ้น มกี ารจดั กจิ กรรม การให้คำปรกึ ษาวัยรนุ่ รว่ มกับพอ่ แม่ และจดั กจิ กรรมครอบครัว ให้สมาชกิ มโี อกาสทำกิจกรรมรว่ มกัน
39 ในสว่ นของการดแู ลสขุ ภาพครอบครัวน้ันนอกจากจะต้องดแู ลให้ทุกคนมโี ภชนาการทีด่ ี ได้รับ การส่งเสริมสุขภาพปอ้ งกนั โรค เมื่อเจบ็ ปว่ ยกม็ ีการดูแลรกั ษาให้หายไดอ้ ยา่ งเหมาะสมแลว้ ยงั ตอ้ งดแู ล ดา้ นสง่ิ แวดล้อมของครอบครวั และการทำหนา้ ทข่ี องครอบครัว ดังนี้ การดูแลสง่ิ แวดล้อมของครอบครัว - บริบทชมุ ชุนท่ีอย่อู าศยั ครอบครวั ควรมีท่ีอยู่อาศัยเปน็ หลกั แหล่ง ครอบครองที่อยู่อาศยั ใน บริบทของชุมชนท่ดี ี ตัง้ อยู่ในแหลง่ ชุมชนทป่ี ราศจากสงิ่ รบกวนอันเปน็ มลพิษ มคี วามสะดวกสบายด้าน สาธารณปู โภค มถี นน นำ้ ประปา ไฟฟา้ มีสถานท่อี อกกำลงั กายและสถานที่พกั ผอ่ นหยอ่ นใจ สามารถ เดนิ ทางเขา้ ถึงระบบบรกิ ารสุขภาพได้งา่ ย เชน่ คลินิก โรงพยาบาล สถานีอนามยั การเดินทางกลับเขา้ บ้านมีความปลอดภยั ในชีวติ และทรพั ย์สนิ ชุมชนบริเวณละแวกบ้านปราศจากแหลง่ ม่ัวสมุ อบายมขุ - ลกั ษณะบา้ น บา้ นที่อยู่อาศยั ควรมคี วามม่ันคงแข็งแรง มสี ิ่งอำนวยความสะดวกท่เี พียงพอต่อ การดำรงชวี ิตของคนในครอบครัว - สุขาภิบาลที่อยู่อาศยั สง่ิ แวดลอ้ มทั้งภายในและภายนอกบา้ นควรมีความปลอดภัยและถูก สขุ ลักษณะตามหลักสุขาภิบาล มีเพือ่ นบ้านทีเ่ ปน็ มติ รและใหค้ วามช่วยเหลอื ได้ การดแู ลด้านการทำหน้าทีข่ องครอบครวั ครอบครัวท่มี สี ุขภาพดีจะตอ้ งมกี ารทำหน้าท่ขี องครอบครวั ทดี่ ีเปน็ “ครอบครัวอบอ่นุ ” ซงึ่ สมาชกิ ในครอบครวั ควรมลี ักษณะเกย่ี วข้องกับสิง่ ต่อไปนี้ (มนสั วณิชชานนท, 2550 หน้า 28 - 29) สมั พนั ธภาพของคนในครอบครัว จะทำใหค้ นในครอบครัวอย่ดู ้วยความรักความเอ้ืออาทรต่อ กันโดยปฏบิ ตั ิดังนี้ - มีปฏิสัมพันธ์ สมาชิกในครอบครวั ใชเ้ วลารว่ มกนั มคี วามสุขเมือ่ ไดท้ ำกจิ กรรมร่วมกนั และมีเครอื ข่ายทางสงั คมทด่ี ี พอ่ แมเ่ ป็นแบบอย่างทีด่ ีของลกู เล้ียงดลู ูกแบบใช้เหตุผล ลกู ไดร้ บั การดูแล เอาใจใส่ อบรมส่งั สอน พฒั นาทกั ษะชีวติ พ่อแม่เปิดโอกาสใหล้ ูกได้พัฒนาไปสูค่ วามเปน็ ผู้ใหญ่ ลกู ประพฤติตนเปน็ คนดเี คารพเชอ่ื ฟงั พ่อแม่ กตัญญกู ตเวที ตงั้ ใจศกึ ษาเลา่ เรยี น รักษาชอื่ เสยี งวงศต์ ระกูล สามใี หเ้ กยี รตภิ รรยามคี วามซ่ือสัตย์ ภรรยายกย่อให้เกียรตสิ ามีและซอื่ สตั ย์ - มคี วามผกู พันทางอารมณ์ที่เหมาะสม ไม่ห่างเหนิ กนั เกนิ ไปหรือใกลช้ ิดกนั เกินไปจน ขาดความเปน็ ตัวของตัวเอง สมาชิกในครอบครวั ใสใ่ จด้านอารมณ์และความรสู้ ึก หว่ งใยเอ้อื อาทรซ่งึ กนั และกัน มีความรักใคร่ปรองดอง มีความสามคั คี ยอมรับและชน่ื ชมยินดตี อ่ กนั ทกุ คนมอี สิ ระท่ีแตกต่างกัน และมีความเปน็ ตวั ของตวั เองแตย่ อมรบั ขอ้ ตกลงและปฏิบตั ติ ามขอ้ ตกลงรว่ มกนั - มีการสอ่ื สารท่ีมปี ระสิทธภิ าพ สมาชกิ ในครอบครวั มที ักษะการสือ่ สารทางบวกเพื่อ สร้างความสมั พนั ธท์ ี่ดีของคนในครอบครวั บทบาทหน้าท่ขี องคนในครอบครัว เดก็ ได้รับการดูแลอบรมสง่ั สอนพัฒนาหลักคิดและแนวทาง ดำเนนิ ชวี ิตซ่ึงตอ้ งดำเนินการดงั น้ี - มบี ทบาทหนา้ ทีช่ ดั เจน ทกุ คนในครอบครัวตระหนักร้ถู งึ บทบาทหน้าทคี่ วามรบั ผดิ ชอบของ ตนเอง ช่วยเหลอื กนั ทำงานบา้ น การปฏิบัตหิ นา้ ทขี่ องสมาชกิ มคี วามยืดหย่นุ และเหมาะสม การจัดระบบ ภายในครอบครัวมีประสิทธภิ าพ กำหนดรูปแบบการดำเนนิ ชวี ติ ของสมาชิกในครอบครัวได้อยา่ ง
40 เหมาะสม มกี ารจัดลำดบั อำนาจและความเปน็ ผนู้ ำทชี่ ัดเจน ผนู้ ำครอบครัวมคี วามเปน็ ประชาธิปไตย สมาชกิ ในครอบครัวละเว้นอบายมขุ ไม่มีความผดิ ทางกฎหมาย รู้จักการวางแผนการใช้เงนิ และการออม - แก้ไขความขดั แย้งทีม่ ีประสทิ ธภิ าพ เมื่อมปี ญั หาความเครยี ด ความขดั แย้ง หรอื เผชิญวิกฤตก็ สามารถพูดคยุ และจดั การปญั หาได้อยา่ งเหมาะสม ไมม่ ีความรนุ แรงในครอบครวั 2.4.3 กจิ กรรมการสร้างเสรมิ สุขภาพระดับชมุ ชน การดำเนนิ งานสรา้ งเสริมสุขภาพในชมุ ชนรัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 52 และ 82 ได้กำหนดให้คนไทยทกุ คนไดร้ บั โอกาสและมีความเสมอภาคเทา่ เทยี มกนั ในการ เขา้ ถึงบริการด้านสุขภาพ และไดร้ ับบรกิ ารสุขภาพทไี่ ดม้ าตรฐานเดียวกัน โดยไมค่ ำนงึ ถงึ เศรษฐกิจและ สังคม ซงึ่ รัฐบาลได้ประกาศนโยบายให้ พ.ศ. 2545 เปน็ ปเี ริม่ ต้นแห่งการรวมพลังสรา้ งสขุ ภาพทว่ั ไทย โดยมวี ัตถุประสงคเ์ พ่อื ให้หนว่ ยงานเครือขา่ ยภาครฐั เอกชน และประชาชน ได้รว่ มกนั จัดกจิ กรรมรณรงค์ รวมพลงั สร้างสุขภาพใหค้ รอบคลุมทกุ พ้ืนท่ี และเพ่ือให้ประชาชนรแู้ ละตระหนักใส่ใจในการสรา้ งสุขภาพ ท้งั นี้ เพราะการพฒั นาสขุ ภาพของประชาชนไม่ใชห่ นว่ ยงานในระบบสขุ ภาพเทา่ น้ัน หนว่ ยงานเอกชน องค์กรทอ้ งถนิ่ องค์ชมุ ชน ต้องเขา้ มามสี ว่ นร่วมในการคิดและบริหารจดั การสขุ ภาพรว่ มกนั การ ดำเนินงานในระบบเปล่ียนผา่ นของระบบสขุ ภาพจาก“การซ่อมสุขภาพไปสกู่ ารสรา้ งสุขภาพ” จึงจำเปน็ อย่างย่ิงท่ีจะต้องนำศกั ยภาพขององคก์ รชุมชน บรหิ ารจัดการและดำเนนิ การดา้ นสขุ ภาพด้วยตนเอง โดย ภาครัฐเป็นผูส้ นบั สนนุ และสง่ เสรมิ ใหป้ ระชาชน และชมุ ชนมีศกั ยภาพในการสรา้ งสุขภาพทม่ี ีความรู้ ความเขา้ ใจท่ีเก่ียวกบั การสร้างสขุ ภาพทถี่ ูกตอ้ งและเหมาะสม อนั จะนำไปสู่ความพร้อมในการสร้าง สุขภาพของตนเอง ครอบครัว และชุมชนได้ กระทรวงสาธารณสุขได้ดำเนนิ การรณรงคก์ ารสรา้ งสขุ ภาพภายใตก้ ลยทุ ธ์ “รวมพลงั สรา้ ง สุขภาพ” โดยมวี ตั ถปุ ระสงค์เพอ่ื สง่ เสรมิ ใหป้ ระชาชน ทุกกลมุ่ ทุกวยั มีความรแู้ ละทักษะด้านสขุ ภาพ โดย มุง่ เนน้ ให้ศนู ย์สขุ ภาพชุมชนและสถานีอนามยั เปน็ หนว่ ยบรกิ ารสขุ ภาพหลัก ในการดำเนนิ งานประสาน และเชือ่ มโยงกับองคก์ รภาคี เครือขา่ ยสขุ ภาพชมุ ชนทงั้ สว่ นกลางและส่วนภูมิภาค มีบทบาทสำคญั ในการ ผลกั ดนั ใหน้ โยบาย ดังกลา่ วสัมฤทธผิ ลและบรรลุเปาู หมายตามทก่ี ำหนดไว้อยา่ งเป็นรปู ธรรม ต่อมา พ.ศ. 2556 ไดก้ ำหนดนโยบายส่งเสรมิ ให้ประชาชนแต่ละชุมชนรวมกลมุ่ กนั จัดกจิ กรรมดา้ นสขุ ภาพในรปู ของ ชมรมสร้างสุขภาพ คลอบคลมุ ทกุ ชุมชนและหมูบ่ า้ นโดยยึดแนวคดิ “ใชพ้ ้นื ฐานบรู ณาการทกุ ภาคสว่ น สรา้ งกระบวนการเรียนรูส้ วู่ ถิ ีชุมชน” อันจะทำใหเ้ กิดการสร้างสขุ ภาพทย่ี ั่งยนื และถาวร ซึ่งเนน้ กจิ กรรม สร้างสุขภาพตาม นโยบาย 6 อ ในการสง่ เสริมให้คนไทยมสี ุขภาพดี นโยบาย 6 อ มดี งั นี้ 1. อ.ออกกำลงั กาย สง่ เสรมิ ใหค้ นไทยทุกกล่มุ อายุ ออกกำลงั กาย วนั ละ 30 นาที อยา่ งนอ้ ย 3 วนั ต่อสัปดาหอ์ ย่างสมำ่ เสมอ 2. อ.อาหาร ส่งเสริมให้คนไทยเลอื กซอ้ื และบริโภค อาหารทีส่ ะอาดมีคณุ ค่า และปลอดสาร ปนเปอ้ื น 3. อ.อนามยั ส่งเสรมิ ใหค้ นไทยสร้าง อนามยั ส่ิงแวดล้อมในชมุ ชนเพอื่ ความสะอาดปลอดภยั ของทีอ่ ยู่อาศัยและพฒั นาสงิ่ แวดล้อมใหเ้ อ้ือต่อสขุ ภาพ
41 4. อ.อารมณ์ ส่งเสริมใหค้ นไทยมี อารมณ์ ทีด่ ี และร่วมเป็นสว่ นหนึง่ ในชมรมตา่ งๆ เชน่ ชมรม สร้างสุขภาพของวัยทำงาน เพื่อการมีสขุ ภาพจติ ที่ดีและแจ่มใส 5. อ.อโรคยา สง่ เสริมใหค้ นไทยปลอดโรค อโรคยา โดยเฉพาะโรคท่ที ำให้คนไทยเสียชีวติ ใน ลำดับแรก ๆคอื มะเร็ง หวั ใจ เบาหวาน 6. อ. อบายมขุ ส่งเสรมิ ให้คนไทยลด ละ เลกิ อบายมขุ เพอ่ื ลดปญ๎ หาสขุ ภาพทเี่ กิดจาก สุรา บุหร่ี สารเสพตดิ และการพนันในชุมชน การสรา้ งเสริมสุขภาพในระดบั ชมุ ชนเม่อื พิจารณาดบู ริบทของชมุ ชน ซงึ่ กวา้ งขวางครอบคลมุ คน มากกวา่ คนหนง่ึ คน มากกวา่ หนงึ่ ครอบครัว มากกวา่ หน่ึงกลมุ่ คน ดังนนั้ การสร้างเสริมสขุ ภาพชมุ ชนยอ่ ม ต้องการสมรรถนะทหี่ ลากหลายและต้องหลากหลายวชิ าชพี ดว้ ย นน่ั คือท่ีมาของหลักการสำคญั ข้อแรกใร การสร้างเสริมสุขภาพชุมชน คอื การสร้างการประสานความร่วมมอื ระหวา่ งภาคสว่ นตา่ ง ๆ และภาค ส่วนหรอื ดรมี ทีมที่ทุกคนต้องการ คือ ภาคประชาสงั คม ภาครฐั และภาควิชาการ (วรรณภา ศรธี ญั รตั น์ และคณะ, 2555) ปจั จุบนั สงั คมไทยมกี ารตืน่ ตวั และสนใจการดแู ลสขุ ภาพมากยิ่งขนึ้ จะเหน็ ไดจ้ ากมีการ จดั ตั้งองคก์ รดา้ นสขุ ภาพเกิดขึ้นมากมาย (การคุ้มครองผบู้ รโิ ภค การแพทย์ทางเลือก) และมีการรวมตัว กนั ของกลุ่มคนทส่ี นใจดา้ นสขุ ภาพ (ชมรมตา่ ง ๆ) แนวคดิ ของการสร้างเสริมสขุ ภาพชุมชน กฎบตั รกรุงเทพ เพื่อการส่งเสริมสขุ ภาพในยคุ โลกาภิวัตนไ์ ดถ้ กู บัญญัติขึ้นในการประชมุ สง่ เสรมิ สุขภาพโลกคร้ังท่ี 6 ซง่ึ จักขึน้ ทป่ี ระเทศไทย ใน พ.ศ. 2548 กฎบตั รกรงุ เทพสนับสนนุ และกำหนดขึน้ บน พื้นฐานของคา่ นิยม หลกั การและกลยุทธก์ ารสง่ เสรมิ สุขภาพตามทบ่ี ัญญตั ไิ วใ้ นกฎบัตรออตตาวา ซึง่ เปน็ กฎบตั รการส่งเสรมิ สุขภาพของโลกท่บี ญั ญตั ขิ ้ึนเป็นคร้ังแรกใน พ.ศ. 2529 จากการประชมุ ทีเ่ มอื ง ออตตาวา ประเทศแคนนาดา และข้อเสนอแนะจากการประชมุ ส่งเสริมสุขภาพโลกคร้ังตอ่ ๆ มาได้รบั การรับรองจากประเทศสมาชิกในการประชมุ สมชั ชาอนามัยโลก ซึ่งกฎบัตรกรุงเทพจะต้องเข้าถงึ ประชาชนทกุ กลมุ่ เพื่อการบรรลุสขุ ภาพดี การทำให้ประชาชนมสี ุขภาพดขี ึน้ ตอ้ งอาศัยการดำเนนิ การ ทางการเมอื งทเ่ี ข้มแข็ง การมสี ว่ นร่วมอยา่ งกว้างขวางและการชนี้ ำอย่างต่อเน่อื ง การสง่ เสริมสุขภาพทั้ง ในประเทศไทยและในระดับโลกมีมาตรการตา่ ง ๆ ที่ได้พสิ จู น์มาแลว้ ว่ามปี ระสิทธผิ ลเปน็ จำนวนมากแต่ สง่ิ สำคัญคอื ตอ้ งนำมาใช้ให้เกดิ ประโยชนเ์ ต็มท่อี ย่างเป็นรปู ธรรม ตามกลยทุ ธ์ของการสง่ เสริมสขุ ภาพ เรา ควรมีสว่ นรว่ มกบั ทกุ ภาคสว่ นของสงั คม และทกุ พน้ื ท่ีในการดำเนนิ กิจกรรมทจ่ี ำเปน็ ดงั นี้ 1. การช้ีนำเพือ่ สุขภาพ โดยตัง้ บนพน้ื ฐานของสิทธิมนุษยชนและภราดรภาพ 2. การลงทุน เพอื่ การพัฒนานโยบายทยี่ ่ังยืนและเพือ่ การดำเนนิ งาน ตลอดจนจัดโครงสรา้ ง พ้ืนฐานท่ีจะจดั การกับปจั จัยทเ่ี ป็นตวั กำหนดด้านสขุ ภาพ 3. การสร้างศักยภาพเพอ่ื การพฒั นานโยบาย สร้างภาวะผ้นู ำ พฒั นาทักษะการสง่ เสริมสขุ ภาพ การถ่ายทอดความรแู้ ละศกึ ษาวจิ ยั ตลอดจนมีความแตกฉานดา้ นสขุ ภาพ 4. การออกระเบียบและกฎหมายเพื่อให้ประชาชนไดร้ บั การค้มุ ครองจากอนั ตราย และมีโอกาส ทจ่ี ะมสี ุขภาพเทา่ เทียมกัน
42 5. การสร้างภาคเี ครือขา่ ยและพนั ธมิตร ท้งั ภาครัฐ เอกชน ประชาสงั คม และองคก์ รระหวา่ ง ประเทศเพอื่ ดำเนนิ กิจกรรมส่งเสรมิ สขุ ภาพท่ีย่งั ยนื แนวทางการสร้างเสริมสขุ ภาพชมุ ชน 1. การสร้างเสรมิ สุขภาพกาย เป็นการปฏบิ ัติตนเพื่อเสริมสร้างสขุ ภาพรา่ งกายให้มีสภาพ รา่ งกายท่ีสมบูรณ์ แขง็ แรง มีการเจรญิ เติบโตอยา่ งเหมาะสม ปราศจากโรคภยั ไขเ้ จบ็ 2. การสรา้ งเสรมิ สขุ ภาพจติ เปน็ การปฏิบตั ติ ัวเพอ่ื เสริมสรา้ งสขุ ภาพจิตใหม้ จี ิตใจทีด่ ี มคี วาม มนั่ คงทางอารมณ์ มีอารมณแ์ จม่ ใส มีสติ สามารถจัดการกับความเครียดไดโ้ ดยการมองโลกในแงด่ ี ฝกึ คิด ในทางบวก รู้จักวิธกี ารจัดการความเครยี ด 3. การสร้างเสริมสขุ ภาพทางสงั คม สามารถทำไดโ้ ดยมีส่วนรว่ มในการสร้างสรรคใ์ ห้เกดิ ส่ิงแวดลอ้ มท้งั ทางกายภาพและสงั คมทีเ่ หมาะสมทงั้ ทางดา้ นกายภาพและจิตใจ 4. การสรา้ งเสริมสุขภาพทางปญั ญา หรือจติ วิญญาณ ทำไดโ้ ดยการยดึ มนั่ ในหลกั ศาสนา และ วัฒนธรรมทีด่ งี าม ลด ละ เลิกพฤตกิ รรมท่เี ส่ียงทำให้เกิดอนั ตรายตอ่ สุขภาพ บทบาทของประชาชนต่อการสรา้ งเสริมสุขภาพระดับชมุ ชน กลวธิ ีในการสรา้ งเสรมิ สุขภาพในยุคปัจจบุ นั ใหค้ วามสำคัญกบั สภาพแวดลอ้ มที่เออื้ ตอ่ การสรา้ ง เสริมสุขภาพและกลวธิ ที บี่ รู ณาการในการแกไ้ ขปัญหาซ่ึงมปี จั จยั ทห่ี ลากหลาย (อาภาพร เผ่าวฒั นาและ คณะ, 2555) บทบาทของประชาชนต่อการสรา้ งเสริมสขุ ภาพระดับชุมชน มคี วามสำคญั อยา่ งยง่ิ โดย ประชาชนจะตอ้ งเห็นคุณคา่ และผลของสง่ิ แวดลอ้ มตอ่ ภาวะสุขภาพ ชว่ ยกันรักษา และสร้างสงิ่ แวดลอ้ มท่ี เกือ้ กูล ตอ่ การมีพฤติกรรมสง่ เสรมิ สุขภาพท่ีดี เช่น การรวมตัวกันของชมุ ชน เพ่อื ออกกำลังกาย กา รณรรงคต์ ่อต้านการสูบบหุ รี่ หรือส่ิงเสพตดิ การรณรงคป์ อ้ งกนั อุบัติเหตุ และการจดั โครงการ โรงเรยี น สขุ ภาพดี ที่ทำงานสขุ ภาพดี หรือชมุ ชนสขุ ภาพดี เป็นต้น องคก์ รชุมชน จงึ ตอ้ งมกี ารพฒั นาโครงสรา้ ง และกลไกการจดั การ ทีม่ ปี ระสทิ ธิภาพ มคี วามคดิ สร้างสรรค์ และตระหนกั ในสุขภาพของชุมชน และมี เจ้าหนา้ ท่สี ขุ ภาพ ทำหนา้ ทใี่ หค้ วามรู้ และสนบั สนนุ ใหเ้ กิดทกั ษะ การส่งเสริมสขุ ภาพ สอดคลอ้ งกับ แนวคดิ การสง่ เสรมิ พลงั อำนาจชมุ ชน ทีส่ นบั สนุนให้ชุมชนเกิดความสำนึก และพนั ธสญั ญาต่อส่วนรวม และการเสริมสรา้ งใหช้ มุ ชน ลงมอื ทำดว้ ยตนเอง อย่างต่อเนอ่ื ง เป็นการสะสมความรู้ และประสบการณ์ จากการปฏบิ ัตจิ รงิ (learning by doing) และเปน็ กระบวนการเรียนรู้ แบบปฏสิ ัมพนั ธ์ (interactive learning process) โดยเริ่มต้ังแต่ การสรา้ งทมี งาน เขียนโครงการ จัดทำแผน ดำเนนิ งาน ควบคู่ไปกบั กระบวนการสะท้อนความรสู้ กึ ของประชาชน สำหรับข้อมลู ยอ้ นกลับ ในการปรับปรุงแผนงาน และ กจิ กรรมในโครงการ จนเกิดความรสู้ กึ เปน็ เจ้าของโครงการรว่ มกนั ซึง่ มสี ่วนเก้ือหนนุ องค์กรชมุ ชน ใหม้ ี ความแข็งแกร่ง และม่นั คงยง่ิ ขึ้น สำหรับ การพัฒนาโครงการสง่ เสริมสุขภาพ แบบยงั่ ยนื ต่อไป การมสี ว่ น รว่ มในการพัฒนาส่ิงแวดล้อมชมุ ชน ดังน้นั คนในชุมชนจงึ ควรมสี ว่ นร่วมในการชว่ ยลดปัญหาภาวะโลก ร้อน ดงั นี้ เช่น การรณรงคใ์ ห้คนในชุมชนลดการใช้พลงั งานในบ้าน, การใช้หลอดไฟแบบประหยัด เช่น หลอดตะเกยี บ หลอดผอม, การขจี่ ักรยาน หรือใชว้ ิธเี ดินเม่ือไปทำธุระใกลบ้ า้ น, การจดั ส่งิ แวดล้อมใน บา้ นใหน้ า่ อยู่, การใชผ้ ลติ ภัณฑท์ ่มี ีส่วนช่วยในการดูแลส่ิงแวดลอ้ ม, การใชน้ ้ำอยา่ งประหยดั และคมุ้ คา่ ,
43 ปลกู ต้นไม่ในบริเวณบา้ น, การลดปริมาณการใชถ้ งุ พลาสตกิ , การสนับสนนุ สนิ คา้ และผลติ ภัณฑเ์ กษตรใน ทอ้ งถน่ิ , และจัดต้งั ชมรมหรือจัดตัง้ กจิ กรรมรณรงค์สิ่งแวดลอ้ มในชมุ ชน เป็นตน้ สรุปทา้ ยบท การส่งเสริมสขุ ภาพ เปน็ หนา้ ทช่ี อบผิดชอบทัง้ ของบคุ คลและสว่ นรวมสงิ่ ทบ่ี คุ คลจะมสี ว่ นร่วมได้ ท่ีสำคัญ คือ การดแู ลการรักษาสขุ ภาพของตนเองไมใ่ ห้เกิดโรคหรืออบุ ัติภัย ชว่ ยกันแกไ้ ขปัญหา สิง่ แวดล้อมของชุมชนและของโลก โดยการประหยดั การปรับคา่ นยิ มในการดำเนนิ ชวี ติ ทไี่ ม่เบียนเบยี ด สิ่วแวดลอ้ ม มสี ุขาภบิ าลสิ่งแวดลอ้ มท่ีดีของงรัฐบาลและชมุ ชนท่ตี ้องมแี นวทางท่จี ะตอ้ งพฒั นาชุมชน โดย คำนึงถงึ ผลกระทบต่อสงิ่ แวดล้อมดว้ ย นอกจากน้ีรฐั และองคก์ รเอกชนกต็ อ้ งมกี ารดำเนนิ กิจกรรมสขุ ภาพ โดยใหบ้ รกิ ารสขุ ภาพทีเ่ หมาะสม พยายามสร้างจิตสำนึกของความรับผดิ ชอบของบประชาชนทม่ี ีต่อ สุขภาพของชุมชนดว้ ยทางของสาธารณสุขมูลฐาน คอื รปู แบบของสุขภาพของการสาธารณสุขของชมุ ชน โดยชุมชน และเพ่ือชุมชน ตลอดจนการผลกั ดนั แนวคดิ ของการสง่ เสริมสุขภาพมาแทนการปูองกนั โรค ปลกู ฝังการรกุ ทางด้านสขุ ภาพ เพื่อพฒั นาศกั ยภาพทางสุขภาพของบุคคลใหพ้ ฒั นาไดส้ งู สดุ อนั เปน็ แนวทางท่ีนำไปสกู่ ารมคี ณุ ภาพชวี ติ ท่ีดี
44 เอกสารอ้างอิง คณาจารยผ์ สู้ อนรายวชิ า 0034001. (2560). บทที่ 3 การสรา้ งเสรมิ สขุ ภาพและการดูแลสุขภาพบุคคล ครอบครวั และชมุ ชน. เอกสารประกอบการสอน วชิ า 0034001 Health Care Management. สำนกั ศึกษาทว่ั ไป มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม นิตย์ ทัศนยิ ม และสมพนธ์ ทัศนยิ ม. (2555). การสรา้ งเสรมิ สุขภาพและการสรา้ งพลงั อำนาจ. ขอแก่น: หา้ งหุ้นสว่ นจำกดั โรงพมิ พค์ ลงั นานาวิทยา. วรรณภา ศรีธญั ญรตั น์, ผ่องพรรณ อรณุ แสง, พมิ ภา สตุ รา และเพ็ญจันทร์ เลิศรัตน.์ (2555). สร้าง เสริมสขุ ภาพองคร์ วม ส่สู ุขภาวะสงั คม. แผนงานพฒั นาเครอื ขา่ ยพยาบาลศาสตร์เพอ่ื การสร้าง เสริมสขุ ภาพ (พย.สสส.) ระยะที่ 2 คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแกน่ . ขอนแกน่ : หา้ งหุ้นสว่ นจำกัด โรงพมิ พค์ ลังนานา. ศริ ิพร ขมั ภลขิ ติ , จุฬาลักษณ์ บารมี (บรรณาธิการ). (2555). คมู่ ือการสอนการสร้างเสรมิ สขุ ภาพใน หลักสูตรพยาบาลศาสตรบณั ฑติ . ขอนแก่น: แผนงานพฒั นาเครอื ข่ายพยาบาลศาสตรเ์ พือ่ การ สร้างเสริมสขุ ภาพ (พย.สสส.) ระยะท่ี 2 คณะพยาบาลศาสตร์ มห าวทิ ยาลยั ขอนแกน่ . สินศกั ดช์ิ นม์ อ่นุ พรมมี (ผแู้ ปลและเรยี บเรยี ง). (2556). พัฒนาการสำคัญของการสร้างเสริมสขุ ภาพ: รายงานการประชุมระดบั โลกเรื่องการสรา้ งเสริมสขุ ภาพ. นนทบุรี: โครงการสวัสดกิ าร วิชาการ สถาบนั พระบรมราชนก สำนักงานปลดั กระทรวงสาธารณสุข. อัมพล จินดาวฒั นะ, สุรเกียรติ อาชานานภุ าพ, และสรุ ณี พพิ ัฒนโ์ รจนกมล. (2550). การสร้างเสริม สุขภาพ: แนวคิด หลักการและบทเรียนของไทย. กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์หมอชาวบา้ น. อาภาพร เ ผ่าวัฒนา, สรุ นิ ธร กลัมพากร, สุนยี ์ ละกำป่นั และขวัญใจ อำนาจสตั ย์ซือ่ . (2555). การสร้างเสริมสุขภาพและการปอ้ งกันโรคในชมุ ชน: การประยุกต์แนวคิดและทฤษฏสี ู่การ ปฏบิ ตั ิ (พิมพ์คร้ังที่ 2). กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์คลังนานาวิทยา. Barbara K. Rimer, Karen Glanz. สินศกั ด์ชิ นม์ อนุ่ พรมมี, ศรีเสาวลักษณ์ อุน่ พรมมี (ผูแ้ ปล). (2556). Theory at a Glance: A Guide for Health Promotion Practice. ทฤษฎีการ สร้างเสริมสขุ ภาพ ฉบับสรปุ สาระสำคัญ. นนทบรุ :ี โครงการสวสั ดกิ ารวชิ าการ สถาบนั พระ บรมราชนก สำนักงานปลดั กระทรวงสาธารณสขุ . ดวงกมล ทองอย.ู่ (2555). การประยุกตท์ ฤษฎที างจติ วิทยาเพอื่ พัฒนาจติ สาธารณะให้เด็ก และเยาวชนไทย.วารสารวไลยอลงกรณป์ รทิ ัศน์ ปที 2่ี ฉบับท1ี่ มกราคม-มิถุนายน หนา้ 11 – 22. กองสุขศึกษา กรมสนบั สนนุ บรกิ ารสขุ ภาพ กระทรวงสาธารณสุข. (2555). ค่มู ือสุขภาพสำหรับประชาชน ปรับพฤติกรรมเปลย่ี นสุขภาพคนไทย. กรงุ เทพฯซ สามเจรญิ พานชิ . สำนกั โรคไมต่ ดิ ตอ่ กรมควบคุมโรคกระทรวงสาธารณสขุ . (2556). แนวทางการดำเนนิ งานวิสาหกจิ ชมุ ชน ปลอดโรค ปลอดภยั กายใจเปน็ สุข. นนทบุรี: ชมุ นมุ สหกรณก์ ารเกษตรแห่งประเทศไทย.
45 เพญ็ จันทร์ สทิ ธปิ รีชาชาญ, ปนดั ดา ปรยิ ฑฤฆ. (2557). กระบวนการพฒั นาระบบการดแู ลสขุ ภาพชุมชน: 14 กรณศี กึ ษาชมุ ชนในพน้ื ทภี่ าคกลาง. วารสารพยาบาลสาธารณสุข. ปีที่ 28 ฉบับที่ 1 มกราคม – เมษายน หนา้ 1 – 15 ใบงาน/ใบกิจกรรม/แบบทดสอบทา้ ยบท ช่ือ-สกลุ ............................................................. รหัสประจำตวั นสิ ิต................................................ ชื่อรายวชิ า ................................................................................. รหัสวชิ า ..................................... กลุ่มท่เี รยี น .................. ใบงานที่ ............................. วนั ที่ ........................................................... อาจารยผ์ สู้ อน................................................................................................................................. 1. ให้นิสิตรวมกลมุ่ กันตงั้ แต่ 8 คน ข้นึ ไป ไม่เกนิ 10 คน และกำหนดกิจกรรมสง่ เสรมิ สุขภาพ สำหรับกลุ่มของตนเอง ที่จะทำร่วมกัน ตามความต้องการของกล่มุ วา่ ต้องการ กระทำร่วมกันในเรอื่ ง กิจกรรมสง่ เสริมสุขภาพชนิดใด 2. ให้เลือก 1 กจิ กรรม และ ให้ระบรุ ายละเอียดดังนี้ 2.1 ระบเุ หตุผลว่า ทำไมถงึ เลอื กกจิ กรรมนี้ 2.2 ระบุกิจกรรมในการสง่ เสริมสุขภาพ ระบุ วนั ท่ดี ำเนินการ ช่วงเวลา และ สถานท่ี 2.3 ดำเนินกจิ กรรมใช้เวลา 5 วนั ตามเวลาที่เหมาะสม โดยกลมุ่ กำหนดรว่ มกัน 2.4 ระบผุ ลที่ไดจ้ ากการทำกิจกรรมนีต้ ่อตนเอง และ กลุ่ม 2.5 ระบุปญั หา และ อุปสรรค ในการจัดทำกิจกรรม 3. ส่วนประกอบของรายงานทีส่ ง่ ประกอบดว้ ย ปกรายงาน คำนำ สารบญั รายละเอยี ด หัวขอ้ ที่ 2.1-2.5 และใหม้ ีภาคผนวก คอื รูปของนิสิตทุกคนท่รี ว่ มทำกิจกรรม และเอกสารอา้ งองิ ......................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................... .........................................................................................................................................................
46 บทท่ี 3 การป้องกันโรค วตั ถปุ ระสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรม 1. มคี วามรู้ ความเขา้ ใจ และสามารถอธิบายเกี่ยวกบั ความหมายของการปอ้ งกนั โรค ประเภท และปจั จยั ทีท่ ำใหเ้ กิดโรค ธรรมชาตขิ องการเกดิ โรคและการถ่ายทอดโรค หลกั และวิธีการ ป้องกันและควบคมุ โรคได้ 2. มคี วามรู้ ความเขา้ ใจ และสามารถอธิบายเก่ยี วกบั หลักและวธิ กี ารปอ้ งกันและควบคมุ โรคได้ 3. สามารถบอกกิจกรรมในการปอ้ งกนั โรคทพ่ี บบอ่ ยในชีวติ ประจำวันและการดแู ลเบ้อื งตน้ ได้ ถกู ต้อง วธิ กี ารสอน/กจิ กรรมการเรยี นการสอน 1. บรรยาย 2. อภิปราย 3. มอบหมายงานบททดสอบทา้ ยบท 4. กิจกรรมระหว่างเรยี น 1. ให้นิสิตจบั คกู่ ันซกั ถามเกย่ี วกบั การเจบ็ ป่วยในรอบปที ผ่ี ่านมา และแลกเปลีย่ น ประสบการณ์เก่ยี วกับการปอ้ งกนั และ ควบคุมโรคในโรคทน่ี สิ ติ มีประสบการณ์ คนละ 1 โรค 2. สุ่มเลือกนสิ ติ 1-2 คู่ ออกมานำเสนอประสบการณ์ และ ใหน้ สิ ิตทเี่ หลือได้รว่ มกัน แสดงความคดิ เห็น และ แลกเปลย่ี น ประสบการณ์เกีย่ วกบั การเจบ็ ป่วย การป้องกนั และ ควบคมุ โรค การประเมินผลลัพธ์การเรยี นรู้ 1. ผู้เรยี นอธบิ ายเกย่ี วกบั ความหมายของการปอ้ งกนั โรค ประเภทและปัจจยั ทีท่ ำให้เกดิ โรค ธรรมชาตขิ องการเกดิ โรคและการถา่ ยทอดโรค หลักและวธิ ีการปอ้ งกันและควบคุมโรคได้ 2. ผู้เรยี นอธิบายเกย่ี วกับหลกั และวิธีการปอ้ งกนั และควบคุมโรคได้ 3. ผู้เรยี นสามารถบอกกิจกรรมในการป้องกันโรคที่พบบอ่ ยในชีวติ ประจำวนั และการดูแล เบอื้ งต้นได้ถกู ต้อง
47 บทนำ 1. โรค และ การเจ็บปว่ ย เปน็ ภาวะทแี่ สดงออกถึงความไม่สมดลุ ของรา่ งกาย ท่ีเกดิ ข้ึนเพือ่ ตอบสนองต่อสิง่ ท่ีมากระตนุ้ เมอื่ เชือ้ โรคเข้าสู่รา่ งกาย จะเกิดการเปลย่ี นแปลงขึ้นในร่างกาย ซ่ึงร่างกาย อาจแสดงออกท้งั อาการ อาการแสดง หรือความผิดปกติจากการตรวจทางหอ้ งปฏบิ ัติการภายหลงั การ เกดิ โรค อาจเปน็ ไดต้ ั้งแต่ หายจากโรค พกิ าร หรอื ทุพลภาพ หรือ ตาย 2. การเกิดโรค เกดิ จาก ปัจจัยทสี่ ำคญั 3 ประการ ไดแ้ ก่ คน ส่ิงท่ีทำใหเ้ กดิ โรค และ สิง่ แวดล้อม ในภาวะปกติ ท่ี 3 ปัจจัยอยูใ่ นภาวะสมดลุ จะไม่เกิดโรค ในภาวะทปี่ ัจจยั ใดปัจจัยหน่งึ หรือ หลายปัจจัย เกิดความไมส่ มดลุ จะเกิดโรคขนึ้ 3. การถา่ ยทอดโรค มที ั้งทางตรง จากบคุ คลทเี่ ป็นแหล่งโรค ไปยังบุคคลทมี่ ภี มู ไิ วรับ ทางออ้ ม ทเี่ ป็นการถา่ ยทอดผ่านส่ือกลาง เชน่ ผา่ นทางนำ้ อาหาร พาหะนำโรค และ ถ่ายทอดทางอากาศ เชน่ ทางการไอ จาม 4. ธรรมชาตขิ องการเกดิ โรค ประกอบดว้ ย 4 ระยะ ไดแ้ ก่ 1) ระยะไวตอ่ การรบั เชอื้ เปน็ ระยะ ท่ผี ู้ทีม่ ีภมู ไิ วรบั มคี วามพร้อมในการทีจ่ ะรับเชือ้ โรคเข้าสรู่ ่างกายเน่ืองจากร่างกายมคี วาม ออ่ นแอ 2 ) ระยะกอ่ นปรากฏอาการ ซ่งึ เรยี กวา่ ระยะฟักตัว 3) ระยะปรากฏอาการของโรค เป็นระยะท่ีรา่ งกายไม่ สามารถทนทานตอ่ เช้อื โรคได้ จงึ แสดงอาการออกมา 4) ระยะไร้ความสามารถ เปน็ ระยะสดุ ทา้ ย ซงึ่ ผลลพั ธท์ ี่เกิดข้นึ จะมีไดต้ ้ังแต่ เจ็บป่วยเรือ้ รงั พิการ หรือ ตาย 5. การควบคุมโรค เป็นการสกัดก้นั การเพิม่ จำนวนการเกิดโรค และ ไมใ่ ห้โรคน้นั ขยายวงกวา้ ง ออกไปในชมุ ชน จนถงึ ขน้ั ที่ไมส่ ามารถควบคุมได้ ในขณะทก่ี ารป้องกันโรคสว่ นใหญ่จะต้องดำเนินการ ก่อนพบตัวกอ่ โรค หรอื ก่อนมอี าการปว่ ย แต่การควบคมุ โรคจะดำเนนิ การหลังทม่ี ีโรคเกิดข้นึ แลว้ โดยมี มาตรการในการลดผลดา้ นการเจ็บป่วยในกลุม่ ผปู้ ่วย การป้องกันการถา่ ยทอดโรคทจี่ ะขยายตวั ออกไป และ การเพ่มิ ภมู ิตา้ นทานให้กบั ประชากรเสย่ี ง เน้ือหา 3.1 ความหมาย ประเภทและปจั จัยท่ที ำใหเ้ กิดโรค 3.2 ธรรมชาติของการเกดิ โรคและการถา่ ยทอดโรค 3.3 หลกั และวธิ ีการป้องกนั และควบคมุ โรค 3.4 การป้องกนั โรคท่ีพบบอ่ ยในชวี ติ ประจำวันและการดูแลเบ้อื งตน้
48 ส่วนของเนื้อหา 3.1 ความหมาย ประเภทและปัจจยั ท่ีทำใหเ้ กิดโรค 3.1.1 ความหมาย และ ประเภทของโรค 1) ความหมายของโรค คำว่า “โรค” ตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑติ ยสถาน พ.ศ. 2543 แปลว่า “ความเจ็บปว่ ย” หรือ ความเจ็บป่วยทางจติ ใจ ซ่งึ ในภาษาองั กฤษใช้คำวา่ disease มาจาก dis + ease แปลตรงตวั วา่ “ความไมส่ บาย” “โรค” หมายถึง ความเจ็บป่วยอันเกดิ จาก ส่ิงท่ีทำให้เกิดโรค กระทำตอ่ อวยั วะ ของรา่ งกาย มนุษย์ ในช่วงเวลาหนึ่ง แล้วกอ่ ใหเ้ กิดความผดิ ปกติขึน้ ในรา่ งกาย ซงึ่ แสดงออกเป็น อาการ (signs และ อาการแสดง (symptoms) หรือพบความผดิ ปกตจิ าการตรวจทางห้องปฏิบัตกิ าร ซงึ่ อาการ และ อาการ แสดงนอี้ าจปรากฏอยรู่ ะยะหนึง่ แลว้ หาย หรอื กลบั เปน็ ซำ้ ขน้ึ มาอกี หรอื อาการคงอยตู่ ลอดไป และ อาจมีผลทำให้ อวยั วะสว่ นใดสว่ นหนง่ึ หรือท้งั รา่ งกาย เกดิ ความพิการ ทุพลภาพ หรอื ตาย ได้ (Beaglehole et al.,1993 ; Last, 2001) หาย รา่ งกายของ ส่งิ ท่ที าใหเ้ กิด เป็นโรค พกิ าร หรอื เรา โรค ทพุ ลภาพ ตาย รปู ท่ี 1 ความหมายของ “โรค” (ดดั แปลงจาก Last, 2001) 2) ประเภทของโรค (มหาวทิ ยาลยั สโุ ขทยั ธรรมาธิราช, 2552) แบง่ ตามลักษณะความสามารถ ของโรคที่จะแพรต่ ิดตอ่ ไปได้ เปน็ ดังน้ี 1. โรคติดตอ่ (Communicable disease) หมายถงึ โรค เม่อื ทำใหเ้ กิดการปว่ ยใน คนหนงึ่ แล้วจะสามารถแพรต่ ดิ ต่อ ไปยังคนอนื่ ต่อไปได้อกี จนเกิดโรคนน้ั ๆ ขน้ึ เปน็ วงกวา้ ง มผี ู้ปว่ ยเปน็ จำนวนมาก เชน่ หัด ไข้เลอื ดออก อจุ จาระร่วง เอดส์ เป็นตน้ นอกจากโรคจะสามารถแพร่ติดต่อจากคน ไปส่คู นดว้ ยกนั แลว้ ยังมีโรคทสี่ ามารถแพรต่ ิดตอ่ จากสตั ว์มาสคู่ นได้ เชน่ โรคฉีห่ นู โรคพษิ สนุ ขั บ้า โรค พยาธิใบไม้ตบั โรคอุจจาระรว่ ง โรคเอดส์ โรคหวัด เป็นตน้ 2 โรคไม่ตดิ ตอ่ (Non communicable disease) หมายถงึ โรคท่ีไม่สามารถแพร่ ติดตอ่ จากคนหนึ่ง ไปยงั อีกคนหนงึ่ ไดโ้ รคเหลา่ นี้มักเกยี่ วกับพันธกุ รรม หรือ ความผิดปกตติ ง้ั แต่เกิด เชน่ โรคเบาหวาน โรคทาลสั ซีเมยี เปน็ ต้น นอกจากนั้นยงั หมายถงึ การบาดเจบ็ จากจราจรทางถนน การ
49 เสียชีวิตจากการจมนำ้ ในเดก็ ปญั หาสุขภาพจากหมอกควัน ในภาคเหนือ และ ภาคใต้ อบุ ัติภัยสารเคมี เป็นตน้ 3.1.2 ปัจจยั ท่ที ำให้เกิดโรค การเกิดโรคภัย ไขเ้ จบ็ ในมนษุ ย์นนั้ ต้องเกิด จากสาเหตุ หรอื ปัจจัย 3 อยา่ ง ไดแ้ ก่ (พิพัฒน์ ลักษมีจรสั กลุ , 2546 ; ไพบูลย์ โลห่ ส์ ุนทร, 2552 ) 1. คน (Host) 2. สิง่ ทท่ี ำให้เกิดโรค (Agent) 3. ส่งิ แวดล้อม (Environment) คน (Host ) สภาพร่างกายทีเ่ ปล่ยี นแปลงไป ทำให้เกดิ ความไวตอ่ การเกดิ โรค เชน่ เด็ก และ ผู้ สงอายุ มีความเสย่ี งทีจ่ ะเกิดโรคได้มากกวา่ กล่มุ อายุอนื่ ๆ เนือ่ งจากเปน็ กลุม่ ท่ีมีภมู ิตน้ ทานตำ่ คณุ ลกั ษณะของ บคุ คลทสี่ ่งผลให้มีโอกาสเป็นโรคตา่ ง ๆ เพ่ิมมากขน้ึ 1. อายุ พบวา่ โรคบางอย่างพบในเดก็ มากกวา่ ผู้ใหญ่ เชน่ คอตีบ ไอกรน โปลิโอ เนื่องจากในวยั เดก็ ภูมิคุ้มกันของร่างกายยงั ไมส่ มบรู ณ์ ทำใหภ้ มู ติ า้ นทานตำ่ เมอ่ื ไดร้ บั เช้อื โรค มโี อกาสทจี่ ะเป็นโรคสงู เมอื่ ได้รับวัคซีน ทำให้ภูมคิ มุ้ กนั ในร่างกายสงู ขึ้น และ ลดตำ่ ลงเม่ืออยู่ในวยั ผู้สูงอายุ ทำใหม้ โี อกาสเส่ยี ง ตอ่ การเจบ็ ป่วยได้มากข้นึ 2. เพศ โดยทัว่ ไป เพศชาย มอี ตั ราตาย สงู กวา่ เพศหญิง เนอ่ื งจากลักษณะของการทำงาน และ ลกั ษณะของการดำเนนิ ชีวติ แตเ่ พศหญงิ มอี ัตราป่วย มากกวา่ เพศชาย อาจเนือ่ งมาจากความสมดลุ ของ ฮอรโ์ มน และโดยทัว่ ไปเพศหญงิ มอี ัตราการไปพบแพทย์ เพอื่ ตรวจสขุ ภาพในระยะแรกสูงกวา่ เพศชาย 3. กรรมพันธุ์ โรคบางชนดิ สามารถถ่ายทอดทางกรรมพนั ธ์ุ ได้ เชน่ โรคเลือดทาลสั ซเี มยี เบาหวาน เปน็ ตน้ 4. เชื้อชาติ คนที่ตา่ งเช้ือชาติจะมีความสามารถในการตา้ นทางโรคแตกตา่ งกัน เชน่ คนผวิ ขาว จะมคี วามสามารถต้านทานตอ่ วณั โรค ได้มากกวา่ คนผิวดำ 5. ภูมติ า้ นทานในมนษุ ย์ เด็กทกี่ นิ นมแม่ ภูมคิ ุ้มกนั ทผี่ า่ นจากแม่ไปหาลกู จะอยปู่ ระมาณ 6 เดอื น 6. อาชีพ ผทู้ ่ที ำงานเก่ยี วข้องกับแบตเตอรี่ มีโอกาสทจ่ี ะไดร้ ับสารพิษ จากตะกั่ว หรือ เกษตรกร มีความเสี่ยงที่จะเกดิ โรคมะเรง็ ของผิวหนงั 7. พฤติกรรม เชน่ พฤตกิ รรมการกินอาหารสุก ๆ ดบิ ๆ ก็เสี่ยงตอ่ การเกดิ โรคพยาธิต่าง ๆ หรอื อาหารมกี ารปนเป้ือนเช้ือโรค เชน่ อาหารท่ีมแี มลงวันตอม หรอื อาหารทป่ี รุงสกุ แล้ว แต่ทง้ิ ไว้คา้ งคืนหลาย วนั ก็มคี วามเสย่ี งตอ่ การเกิดโรคในระบบทางเดินอาหาร เชน่ โรคอุจจาระร่วง หรือ โรคอาหารเป็นพิษ ส่งิ ทีท่ ำใหเ้ กดิ โรค (Agent) หมายถึง ตัวกอ่ โรค หรือ สิ่งทเี่ ป็นตน้ เหตุที่ทำใหเ้ กดิ โรค อาจเป็น สิ่งทม่ี ชี ีวติ หรือ ไม่มชี ีวติ กไ็ ด้ แบ่งเป็น 4 ชนดิ ได้แก่ 1. ส่งิ ทีท่ ำให้เกิดโรคทางชวี ภาพ (biological agent) ไดแ้ กเ่ ชอ้ื โรคตา่ ง ไ เชน่ แบคทีเรยี พยาธิ เชอ้ื รา ชนดิ ตา่ ง ๆ ริคเกตเชีย เป็นต้น
50 2. ส่งิ ที่ทำให้เกิดโรคทางเคมี (chemical agent) หมายถึงสารเคมี ที่อาจเป็น อนั ตรายต่อมนษุ ย์ ไดแ้ ก่ สารพษิ ต่าง ๆ เชน่ สารหนู ยาฆ่าแมลง เครอ่ื งสำอาง ยารกั ษาโรค และสารเคมีท่ี อยูใ่ นรา่ งกายมนษุ ยท์ มี่ ีมาก หรอื น้อย เกินไปก็กอ่ ให้เกดิ ความผดิ ปกติ ไดเ้ ชน่ ฮอร์โมน 3. ส่ิงทท่ี ำใหเ้ กดิ โรคทางกายภาพ (physical agent) ได้แกค่ วามรอ้ น แสง เสยี ง รังสี ต่าง ๆ 4. ส่ิงท่ที ำใหเ้ กดิ โรค เนื่องจากการขาดสารทจี่ ำเปน็ ตอ่ รา่ งกาย (absent or insufficiency or factor necessary to health) เชน่ วิตามนิ ตา่ ง ๆ ถา้ ขาดวติ ามนิ ซี อาจทำใหเ้ กดิ อาการเลือดออกตามไรฟัน เป็นตน้ สงิ่ แวดลอ้ ม (Environment) หมายถงึ สงิ่ ตา่ ง ๆ ที่อยรู่ อบ ๆ ตัวเรา ท่มี ีส่วนเกีย่ วขอ้ งกับการ เกิดโรค 1.ส่งิ แวดลอ้ มทางกายภาพ (physical environment) ได้แก่ สภาพทัว่ ไปของทอี่ ยู่ อาศัย เช่นมภี าชนะเก็บกักนำ้ ในบา้ น ที่ไมม่ ฝี าปดิ กจ็ ะเอ้ือให้ยุงลายมาวางไข่ ทำใหเ้ ปน็ แหลง่ เพาะพันธุ์ ของพาหะนำโรค ไข้เลอื ดออก 2. สง่ิ แวดล้อมทางเคมี (chemical environment) ได้แก่ ภาวะแวดลอ้ มท่ี ประกอบด้วยสิง่ ตา่ ง ๆ ทีม่ ลี ักษณะทางเคมี ท่จี ะนำไปสโู่ รคได้ เชน่ การพบสารเคมบี างอยา่ งในอาหาร โดย เฉพาะอยา่ งยิง่ กลมุ่ ยาปฏชิ วี นะ ทจี่ ะนำไปสู่การดอ้ื ยาในอนาคต 3. สง่ิ แวดล้อมทางชีวภาพ (biological environment ) ได้แก่ สภาวะแวดล้อม ท่ี ประกอบด้วยส่งิ มชี ีวติ ตา่ ง ๆ เชน่ เชือ้ โรค ท่ีจะนำไปสู่การแพรก่ ระจายเช้อื เช่น บริเวณที่มียงุ ลาย ชุกชมุ 4. สง่ิ แวดลอ้ มทางดา้ นเศรษฐกจิ และ สังคม เปน็ สงิ่ แวดล้อมทเ่ี อือ้ ต่อการเกดิ โรค เช่น พฤตกิ รรมของกลมุ่ ประชากรทเ่ี สย่ี งตอ่ การเกดิ โรคเอดส์ ทเี่ กิดจากการย้ายถ่ินจากสงั คมชนบทสู่ สังคมเมอื ง การเกดิ โรคแตล่ ะอย่าง เกดิ จากความ ไมส่ มดลุ ของปัจจัยทงั้ 3 อย่าง ในภาวะปกตทิ ไี่ ม่มโี รค ปจั จัยท้ัง 3 จะมคี วามสมดลุ กัน ในภาวะปกติ จะทำใหเ้ กดิ ความไม่สมดลุ กนั ซ่งึ อาจทำให้เกดิ การ เปล่ยี นแปลงในตวั คน เชน่ คนมภี มู ติ ้านทานต่อโรคตำ่ เชน่ ในคนที่อดอาหาร หรืออดนอนมาหลายวัน ทำให้รา่ งกายออ่ นแอ เมอ่ื ไปเยย่ี มเพื่อน หรือผ้ปู ว่ ยอืน่ ท่ปี ว่ ยเปน็ โรค เช่น ไขห้ วดั ก็มีโอกาสท่ีจะติดเช้ือ โรคจากผู้ป่วยไดง้ า่ ย ในฤดฝู น มีฝนตกบอ่ ย ๆ อาจ ทกุ วันหรือ 2-3 วนั ต่อครัง้ ทำใหม้ ีนำ้ ขังเป็นจำนวน มาก โดยเฉพาะในภาชนะทไี่ มไ่ ด้ใช้แล้ว เชน่ ยางรถยนต์ แก้วแตก ขวดแตก กะลามะพรา้ ว ทำให้เกิดนำ้ ขัง ซ่ึงเป็นแหล่งเพาะพันธ์ของลกู นำ้ ยงุ ลาย ทีเ่ ปน็ พาหะของโรคไขเ้ ลือดออก หรอื ในฤดรู ้อน ในท่ที ม่ี ี อากาศรอ้ น ยุงสามารถแพร่พันธ์ุได้ดี เนอ่ื งจากความรอ้ นทำใหไ้ ข่ยุงสกุ และแตกตวั ไดง้ ่าย จงึ ทำใหม้ ี ปรมิ าณของยงุ เปน็ จำนวนมาก ซ่ึงสง่ ผลทำให้ เดก็ มีโอกาสเสยี่ งตอ่ การเกิดไขเ้ ลือดออกได้ 3.2 ธรรมชาติของการเกิดโรคและการถ่ายทอดโรค 3.2.1 การถา่ ยทอดโรค (Modes of disease transmission) (สุพนิ ดา เตยี ว, 2546 )
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186