บทท่ี 5 ความสมั พนั ธ์ ความรกั การเตรียมความ พรอ้ มสูก่ ารมีครอบครัวและการวางแผน ครอบครัว ตอนที่ 2 วัตถุประสงค์เชิงพฤตกิ รรม 1. นิสติ สามารถ อธิบายกระบวนการในการเตรียมความพรอ้ มก่อนการสมรสได้ 2. นสิ ติ มคี วามรู้ ความเข้าใจ ในการตรวจสขุ ภาพกอ่ นการสมสรไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง 3. นิสติ มคี วามรู้ ความเขา้ ใจ ในการวางแผนครอบครวั และการคมุ กาเนิดได้อย่างถกู ตอ้ ง 4. นสิ ติ มีความรู้ ความเขา้ ใจ เกี่ยวกบั ผลกระทบจากปญั หาการขาดการเตรยี มความพรอ้ มสู่การมคี รอบครวั วธิ กี ารสอน/กจิ กรรมการเรียนการสอน 1. Active Lecture - การสอนแบบยกตวั อยา่ ง การถาม-ตอบ 2. บรรยาย online แบบ live สด/ e-class room (เรยี นแบบประสานเวลา: synchronous learning) โดยใช้ ส่ือ online บน google drive 3. มอบหมายให้ฟงั บรรยายใน clip การบรรยายของอาจารย์ (เรยี นแบบไมป่ ระสานเวลา: asynchronous learning) 4. มอบหมายให้เรยี นจากการสืบคน้ (internet-based learning) 5. มอบหมายใหศ้ ึกษาคน้ ควา้ ดว้ ยตนเอง (self-directed learning) การประเมนิ ผลลัพธก์ ารเรยี นรู้ 1. ทดสอบ online (กลางภาค ปลายภาค ทดสอบยอ่ ย) 2. ประเมินชน้ิ งาน online ดา้ นเนอ้ื หาถกู ตอ้ งครบถว้ นและทนั สมยั 96
บทนา เมื่อมีความรักเกิดข้ึนระหว่างชายหญิง ก่อนที่ชายและหญิงจะแต่งงานหรืออยู่รว่ มกันและมคี วามสัมพันธ์กัน ควรคานึงถึงส่ิงต่างๆ ท่ีจะเปน็ ปจั จัยให้การใช้ชีวิตคู่เป็นไปอย่างราบร่ืน ดงั นั้นจึงจาเป็นต้องมีการเตรยี มความพรอ้ มสู่ การมีครอบครัว เพื่อเป็นการตระเตรียมชีวิตเพ่ือนาไปสู่ความสาเร็จหรือเป้าหมายที่วางไว้ โดยมี การวางแผนร่วมกัน ของคู่รักในเร่ืองที่จะทาให้ชีวิตครอบครัว หรือการสร้างครอบครัวร่วมกันเป็นไปอย่างราบรื่อน ยั่งยืนและ ผาสุก ซึ่ง ได้แก่ การเตรียมความพร้อมก่อนสมรส ประกอบดว้ ย ด้านจิตใจอารมณ์ ดา้ นเศรษฐกิจสังคม และดา้ นความพร้อม ในการมบี ุตร การวางแผนครอบครวั และการคุมกาเนดิ เนื้อหา 1. การเตรียมความพรอ้ มก่อนสมรส 2. การวางแผนครอบครวั และการคุมกาเนิด 2.1 ผลกระทบจากปญั หาการขาดการเตรียมความพร้อมสู่การมคี รอบครวั 1. การเตรียมความพร้อมก่อนสมรส ก่อนท่ีชายหญิงจะแต่งงานหรืออยู่ร่วมกันและมีความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยา ควรคานึงถึงสิ่งต่างๆ ท่ีจะเป็น ปัจจัยให้การใช้ชีวติ ค่เู ปน็ ไปอย่างราบร่ืน ดังตอ่ ไปนี้ 1. ด้านความเหมาะสมของคสู่ มรส 1.1 อายุทงั้ ชายและหญิง ควรบรรลุนิตภิ าวะเพอ่ื ทจ่ี ะสามารถรบั ผิดชอบตอ่ บทบาทหนา้ ท่ีของตนเองได้ดีกว่า อยู่ในวัยร่นุ หรอื วัยเรยี น 1.2 รายได้ ควรมีอาชีพมน่ั คงแนน่ อน เพยี งพอและมีเงนิ เก็บไว้เหลอื ใชภ้ ายหลงั แตง่ งาน 1.3 การศกึ ษา ควรใกลเ้ คยี งกันจะช่วยให้สามารถปรึกษาหรือ รบั ฟงั ปญั หาตา่ งๆไดง้ ่าย 1.4 ครอบครัว ญาตแิ ละเพอื่ น ควรศึกษาและเปิดใจยอมรบั ซงึ่ กนั และกนั 2. การเรยี นรู้ครองคู่ เป็นการศกึ ษาทัศนคติ บุคลิกภาพ ความประพฤติ นิสับใจคอ พื้นฐานครอบครวั การเล้ียงดู รสนิยม ความรบั ผิดชอบ ขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรมท่ีมีผลตอ่ การสรา้ งชีวิตคู่และการอยรู่ ่วมกัน ดังทกี่ ล่า ว่าควรรู้เขารเู้ รา ร้จู ักใหอ้ ภัย อดทน อดออม อดกล้ันต่อชวี ติ ค่เู พอ่ื ให้ยืนยาว 3. การวางแผนครอบครวั เพื่อเป็นการเตรียมพรอ้ มทง้ั ชายและหญงิ ต่อการวางแผนชีวิต วิธกี ารคุมกาเนิดกรณีที่ ยังไม่พร้อมมีบตุ รภายหลังการแต่งงาน 4. การตรวจร่างกาย เพ่ือดูความสมบูรณ์ของร่างกายและป้องกันโรคต่างๆ อันมีผลต่อสุขภาพทั้งชายและหญิง ตลอดจนบุตรทจี่ ะเกดิ ดว้ ย 5. การวางแผนการใช้จ่าย ควรปรึกษาหารือ กาหนดค่าใช้จ่ายท่ีจาเป็นในแต่ละอย่างให้เหมาะสมกับฐานะของ ครอบครัว 6. การไม่คิดเปล่ียนแปลงคู่ชีวิต ชายหญิงบางคู่คิดว่าตนเองมีความสามารถเปล่ียนแปลงคู่ชีวิตของตนให้ได้ตาม ความต้องการของตนเองภายหลังการสมรสน้ัน เป็นเรื่องที่ยากลาบากหรืออาจทาไม่ได้ ซึ่งควรเปิดใจกว้างยอมรับ หรือปรกึ ษาปญั หานนั้ ๆ เพ่ือไมใ่ ห้เป็นอปุ สรรคตอ่ ชีวิตคูต่ ่อไป 7. การรักษาขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรมไทย โดยยึดถอื หลักการรักษาพรหมจรรย์ไว้จนถึงการแต่งงาน การสู่ขอ การทาพิธีที่ถูกต้อง แต่การมีชีวิตคู่ที่ยืนยาวน้ันไม่ได้ข้ึนอยู่กับการแต่งงานท่ีใหญ่โตเพียงอย่างเดียว แต่ยังมี องค์ประกอบอืน่ ๆ ท่ที าให้ชีวิตคู่อยู่กันได้อย่างมคี วามสขุ และยาวนาน 8. การเรียนรเู้ ร่ืองเพศสมั พันธ์ เป็นเรอ่ื งสาคญั ต่อชีวติ คู่เช่นเดียวกับปจั จัยอ่ืนๆ ท่คี ู่ชีวิตควรศึกษา มีความรู้ และ ทัศนคติทดี่ อี ย่างพอเพยี ง ทัง้ นี้ ควรไดร้ บั คาปรกึ ษากอ่ นสมรส เพอื่ สร้างความสมั พนั ธร์ ะหว่างคูส่ มรสใหม้ ากขึ้น 97
หลังจากท่ีคู่สามีภรรยามีความพร้อมในทุก ๆ ด้านไม่ว่าจะเป็น อาชีพการงาน การเงิน และที่อยู่อาศัยแล้ว อีกส่ิงหนงึ่ ทจี่ ะทาใหค้ วามเป็นครอบครัวสมบูรณ์ คอื การมีทายาทไวส้ ืบสกุล โดยควรเตรียมความพรอ้ มก่อนการมบี ุตร ดงั น้ี ตรวจร่างกายดูสุขภาพท่ัวไป โรคประจาตัว การตรวจหาโรคท่ีสามารถถ่ายทอดไปสู่ลูกได้ เช่น ธาลัสซีเมีย โรคเอดส์ หรือโรคตดิ ต่อทางเพศสัมพันธ์ ได้แก่ ซิฟลิ สิ และไวรัสตับอักเสบบี เป็นตน้ การตรวจหาภูมิต้านทานโรคหัดเยอรมัน หากไม่มีภูมิคุ้มกัน แพทย์ก็จะแนะนาให้ฉีดวัคซีนซึ่งต้องใช้เวลา อยา่ งนอ้ ย 1 เดอื นจงึ จะอนญุ าตให้ต้งั ครรภไ์ ด้ ควรงดด่ืมสุรา งดสูบบุหรี่ และใช้สารเสพติดทุกชนิดก่อนท่ีจะตั้งครรภ์ เน่ืองจากสารเหล่านี้จะมีผลเสียต่อ ทารกในครรภ์ นอกจากน้ีสตรีก่อนตั้งครรภ์ควรได้รับกรดโฟลิค เป็นเวลา 3 เดือนก่อนการต้ังครรภ์ เพ่ือช่วยป้องกันความ ผดิ ปกติทางระบบประสาทของทารก 9. ด้านความพรอ้ มในการมบี ตุ ร การที่ฝ่ายชายและฝ่ายหญิง มีความรับผิดชอบร่วมกันในการป้องกันการต้ังครรภ์ที่ไม่พึงปรารถนา คู่สมรส ควรไดร้ ับการตรวจสขุ ภาพ และตรวจเลือดก่อนแต่งงาน และก่อนการมีลูก เพื่อรับการดแู ลรักษาและคาปรึกษาจะได้ ลดความ เสี่ยงต่อสุขภาพของแม่และลูก เช่น โรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม เช้ือเอชไอวีท่ีถ่ายทอดจากแม่สู่ลูก โรคหัวใจ โรคเบาหวาน ท่อี าจเปน็ ผลทาใหเ้ กดิ ปัญหาสุขภาพ และภาวะแทรกซ้อนขณะตั้งครรภ์ได้ การตรวจสุขภาพก่อนแต่งงานทง้ั ชายและหญงิ ประกอบดว้ ย 1) ตรวจรา่ งกายโดยแพทย์ 2) ตรวจวดคั วามดนั โลหติ / วัดชีพจร/ ชงั่ นา้ หนกั / วดั ส่วนสงู 3) ตรวจหาหมเู่ ลือด 4) ตรวจชนดิ ของกลมุ่ เลือด 5) ตรวจนบั ปรมิ าณ และชนดิ ของเมด็ เลอื ด 6) ตรวจหาเชอ้ื ไวรัสตบั อักเสบบี 7) ตรวจกามโรค หรือ ซิฟิลสิ 8) ตรวจหาเช้ือไวรัส HIV 9) ตรวจปสั สาวะอยา่ งสมบูรณ์ 10) ตรวจหาความผดิ ปกตทิ างพนั ธกุ รรมของเมด็ เลอื ดแดง 11) ตรวจหาภูมคิ ้มุ กันหดั เยอรมนั (เฉพาะฝา่ ยหญิง) 2. การวางแผนครอบครัวและการคมุ กาเนดิ (Family planning and contraception) การวางแผนครอบครัว หมายถงึ การทค่ี สู่ มรสหรือบุคคลวางแผนไวล้ ว้ งหนา้ เพ่อื ให้มกี ารตัง้ ครรภ์ ขณะทีม่ ี ความพร้อมทั้งรา่ งกาย จติ ใจ และสังคม ความสาคญั ของการวางแผนครอบครวั เปน็ ท่ที ราบกันดีอยู่แลว้ ว่าปัจจบุ ันปัญหาการคลาดแคลนทรพั ยากร และอัตราการแข่งขนั ทางเศรษฐกจิ ทท่ี า ให้ประชากรบนโลกที่นับวันจะมีแตง่ เพิ่มมากข้ึนต้องแข่งขันกันเองเพื่อความอยรู่ อด ถ้าหากไม่มีการควบคุมการเกิดก็ ยอ่ มส่งปัญหาประชากรล้นโลกเป็นแน่ ซง่ึ ประเดน็ นี้เป็นเร่อื งใหญ่ที่ค่อนข้างไกลตัว เราลองกลับมามองปัญหาใกล้ตัว ของเรา เช่น การท้องไม่พร้อมจนนาไปสู่การทาแท้ง,ปัญหาเด็กเร่ร่อน, ปัญหาทางการเงินภายในครอบครัวจาพวก หน้ีสินรุงรัง จนไม่สามารถให้การศึกษาและการเลี้ยงดูท่มี ีคุณภาพแก่ลกู ได้ เปน็ ต้น ซ่ึงเม่ือพิจารณาปัญหาเหล่านี้ก็จะ พบว่าต้นต่อหนึ่งมาจากการไม่วางแผนครอบครัว แนน่ อนวา่ ปญั หาเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อสงั คมในวงกวา้ ง กลายเป็น ปญั หาใหญท่ ่ีเราไม่ควรมองขา้ ม ซึ่งท่วี า่ มาทัง้ หมดนป้ี ้องกนั ไดเ้ พยี งแค่ใสใ่ จและสละเวลากับการวางแผนครอบครัว 98
การคุมกาเนิดหน่ึงในวิธีการวางแผนครอบครัว การคุมกาเนิด คอื เทคนิคและวิธีการที่ใช้ในการปอ้ งกันการ ปฏิสนธิหรือขัดขวางการ ตัง้ ครรภ์ เทคนิคและวิธกี ารเหล่าน้ี เช่น contraception (การป้องกันการตง้ั ครรภ์ หรือการ ปฏิสนธิ(, contragestion (การปอ้ งกันไม่ให้ตัวออ่ นฝังทีผนงั มดลูกและ ( การทาแท้ง (การนาตัวอ่อนออกจากมดลูก) การคุมกาเนิดเป็นการวางแผนครอบครัววิธีหน่ึงโดยมีเป้าหมายคือ จากัดจานวนของ การมีบุตร ซ่ึงการคุมกาเนิดน้ัน สามารถทาไดห้ ลายวิธี และทาไดท้ ั้งชายและหญิง คุณสมบตั ทิ ีดีของการคุมกาเนดิ 1. การป้องกันการปฏิสนธิ หรือการป้องกันการตั้งครรภ์ การคุมกาเนิดได้วิวัฒนาการมาต้ังแต่ในอดีตจนถึง ปัจจุบัน โดยได้ทาการศึกษา ค้นคว้าและ วิจัยหาวิธีใหม่ ๆ ท่ีคาดว่าจะมีคณุ สมบัติท่ี ดยี ่ิงขึน้ วธิ ีการคุมกาเนิดท่ีดีควร มีคุณสมบัตดิ ังนี้ 1.1. มีประสทิ ธภิ าพ (effective) สงู ในการปอ้ งกันการตั้งครรภ์ 1.2. ปลอดภัย (safe) ไมม่ อี าการแทรกซอ้ นทีร่ นุ แรง และไมม่ อี นั ตรายแม้ จะใชต้ ิดต่อกนั เปน็ เวลานาน 1.3. ภาวะเจริญพันธ์ุภายหลังคุมกาเนิด (return of fertility) ในกรณีที่เป็น วิธีคุมกาเนิดแบบช่ัวคราว เมื่อ เลิกใช้แล้วตอ้ งมกี ารเจริญพนั ธุ์ดีเหมอื นเดมิ 1.4. ใช้ได้ง่าย (simple) สะดวกในทางปฏิบตั แิ ละในการใหบ้ ริการ ประโยชน์ของการคมุ กาเนดิ 1. สามารถเลือกมบี ุตรไดต้ ามเวลาท่ตี ้องการ สาหรับคู่ทอี ายนุ ้อย ฐานะไมด่ ี หรือมีความไม่พร้อมดว้ ยเหตผุ ล หลายประการ 2. เพ่อื เว้นระยะการตง้ั ครรภ์ให้มีระยะเวลาห่างพอสมควร และไมใ่ ห้เป็นภาระต่อครอบครัวทีจ่ ะเลีย้ งดบู ุตรที่ เกิดมา 3. เพื่อจากดั จานวนของบุตรใหเ้ หมาะสมกบั ฐานะของครอบครวั บตุ รจะไดร้ ับการเลยี้ งดแู ละมีการศึกษาท่ีดี 4. ใช้เนื่องจากเหตุผลทางการแพทย์ ในกรณีที่มารดามีโรคท่ีเป็นข้อห้ามในการต้ังครรภ์ เช่น วัณโรค โรคหัวใจที่มีความเส่ียงสูง โรคไตระยะสุดท้าย โรคเบาหวานรุนแรง เป็นต้น ซ่ึงหากมีการตั้งครรภ์เกิดขึน อาจทาให้ อาการรนุ แรงถึงแกช่ ีวติ ทั้งมารดาและทารกได้ 5. เป็นวธิ ที ค่ี นสว่ นใหญย่ อมรบั (acceptable) 6. ราคาถกู (inexpensive) การคุมกาเนดิ แบง่ ได้ 2 ประเภทใหญ่ ๆ คอื 1) การคุมกาเนิดแบบชั่วคราว เป็นวิธีทีมีผลป้องกันการตง้ั ครรภ์ขณะที่ใช้วิธีนี้อยู่เท่านัน้ เม่ือเลิกใช้แล้ว จะมโี อกาสกลบั มาตง้ั ครรภไ์ ด้ปกติ ซงึ่ วธิ นี ้มี ีหลายวธิ ี เช่น 1.1.1 การนับวนั ปลอดภัย เปน็ วิธีการคานวณหาชว่ งระยะท\"ี่ ไม่ปลอดภัย\"ซงึ่ เปน็ ชว่ งเวลาทไ่ี ขต่ ก และ ถ้ามีเพศสัมพนั ธใ์ นช่วงเวลานีจ้ ะมีโอกาสการตั้งครรภ์สงู ฉะน้ันช่วงระยะ\"ปลอดภัย\" (safe period) จงึ เป็นช่วงเวลาท่ี นอกเหนอื จากเวลาท่คี านวณได้ โดยมีวิธกี ารคานวณดงั น้ี คือ ถ้าประจาเดอื นมาสม่าเสมอ ให้ถอื ว่าวนั ที่ 12 – 16 เป็น วนั ท่ี \"ไม่ปลอดภัย\" เช่น ถ้ามปี ระจาเดือนรอบละรอบละ 30 วัน วนั ท่ี 1-7 หลังมีประจาเดือนและก่อนมีประจาเดือน 7 วันจะเป็นระยะ\"ปลอดภยั \" วธิ กี ารคานวณ วนั แรกของระยะ\"ไมป่ ลอดภัย\"ไดจ้ าก วนั ทรี่ อบประจาเดือนสน้ั ท่ีสุดลบดว้ ย 18 ส่วนวนั สุดท้ายของระยะ \"ไม่ ปลอดภยั \" คานวณจากการลบดว้ ย 11 ออกจากรอบประเดอื นทน่ี านทีส่ ดุ 99
ตัวอยา่ ง ผหู้ ญิงคนหนึง่ มรี อบประจาเดือนอยรู่ ะหว่าง 26 วัน ถึง 31 วนั จงคานวณหาชว่ งระยะท่ี\"ไมป่ ลอดภัย\" (ชว่ งทม่ี ี ไข่ตก) และชว่ งเวลาท่ี \"ปลอดภยั \" (safe period) วิธีการ รอบเดือนท่สี ัน้ ท่สี ดุ ( 26 วนั ) – 18 = 8 รอบเดือนท่ีนานทสี่ ุด (31 วนั ) – 11 = 20 ดงั นน้ั ชว่ งเวลาท\"่ี ไมป่ ลอดภัย\" คอื วนั ที่ 8 ถงึ วนั ที่ 20 ของรอบประจาเดือน ชว่ งเวลาที\"่ ปลอดภัย\" คือ วันท่ี 1 ถงึ วันที่ 7 และ วันท่ี 21 ถงึ วนั ที่ 31 ของรอบเดอื น 1.1.2 การใช้ถุงยางอนามยั (CONDOM) เปน็ การคุมกาเนิดท่ีสามารถหาได้ง่ายๆ และชว่ ยป้องกัน การติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ท่ีดีที่สุด คือการใช้ถุงยางคุมกาเนิดในฝ่ายชาย โดยจะป้องกันการติดเช้ือทางเพศสัมพันธ์ เชน่ หนองใน ซิฟิลสิ และเอดส์ ซ่ึงเปน็ อันตรายถงึ ชวี ิตได้ แต่การใช้ถุงยางต้องไม่ใช่สารหลอ่ ลืน่ อ่นื ๆ ทีม่ ผี ลทาให้ถุงยาง เสอื่ ม เชน่ โลชนั่ ครมี บารงุ ผวิ นา้ มัน หากจาเป็นตอ้ งใช้สารหลอลนื่ ต้องใช้เจลหล่อล่ืนทีไ่ ม่มผี ลตอ่ ถุงยาง 1.1.3 ยาคุมกาเนดิ (Contraceptive Pill หรือ Birth Control Pill) เปน็ หนงึ่ ในวิธีการคมุ กาเนิด ด้วยการรับประทานยาเม็ดซึ่งบรรจุฮอร์โมนเพศหญิงไว้ ออกฤทธิ์ต่อการทางานของอวัยวะสืบพันธ์ุของเพศหญิง ทั้ง ปากมดลูก ผนงั มดลกู และรังไข่ ผ้หู ญิงทรี่ บั ประทานยาเม็ดคุมกาเนิดอยา่ งถกู วธิ ีจะสามารถปอ้ งกันการตั้งครรภไ์ ด้ แต่ ไม่สามารถป้องกนั โรคติดตอ่ จากการมีเพศสมั พันธ์ได้ ยาคมุ กาเนิดแบ่งตามคณุ สมบตั เิ ป็น 2 ชนดิ คอื 1) ยาเม็ดคุมกาเนิดแบบฮอร์โมนรวม (Combined Pill) ตัวยาจะบรรจุฮอร์โมนสังเคราะห์เอสโตร เจนและโปรเจสเตอโรน ยาจะยับย้ังกระบวนการตกไขใ่ นเพศหญิง สร้างเมอื กที่บริเวณปากมดลูก ทาให้ให้สเปริ ์มเข้า ไปผสมกับไขไ่ ด้ยากข้ึน และทาใหผ้ นังมดลกู บาง เพ่ือไม่ให้ไขฝ่ งั ตัวท่ผี นงั มดลกู ไดส้ าเรจ็ 2) ยาเม็ดคุมกาเนิดแบบฮอร์โมนตัวเดียว (Progestogen-only Pill) ตัวยาจะบรรจุฮอร์โมนโป รเจสโตเจนไวเ้ พยี งชนิดเดียว ยาจะทาใหเ้ กดิ การสรา้ งเมือกหนาบรเิ วณปากมดลูก ปอ้ งกนั ไม่ใหส้ เปริ ม์ เข้าไปผสมกบั ไข่ สง่ ผลตอ่ ระบบท่อนาไข่ ใหไ้ ข่ผ่านเขา้ ไปในทอ่ นาไข่ไดย้ ากขึ้น และทาใหผ้ นังมดลูกบางลงจนไม่เออ้ื ต่อการฝังตัวของไข่ ท่ีผสมแล้ว แนะนาให้ใช้ในกรณีของผู้หญิงที่ต้องให้นมบุตรและผู้ท่ีมีปัญหาสุขภาพ อย่างลิ่มเลือดอุดตัน เพราะการ รบั ประทานยาเมด็ คมุ กาเนดิ แบบฮอร์โมนรวมจะไดร้ ับฮอร์โมนเอสโตรเจนเพมิ่ มากข้นึ ส่งผลกระทบต่อทารกผ่านการ ใหน้ ้านม และกระทบต่อปัญหาสุขภาพของผู้ที่ปว่ ยด้วยบางภาวะอาการดว้ ย 100
ทง้ั นี้ เพอื่ ประสิทธิภาพสูงสดุ ในการปอ้ งกันการตั้งครรภ์ ตอ้ งรับประทานยาเมด็ คมุ กาเนิดอย่างถกู ต้องอยู่ เสมอ ท้ังในปริมาณและตามเวลาที่กาหนด หากลืมรับประทานยา ให้ทาตามข้ันตอนที่เภสัชกรแนะนาหรือที่พบบน ฉลากการใชย้ า ปริมาณการใชย้ าคุมกาเนิด ปริมาณ 1 แผง 21 เม็ด รบั ประทานวันละ 1 เมด็ ปรมิ าณ 1 แผง 28 เม็ด รับประทานวนั ละ 1 เมด็ การใชย้ าคุมกาเนดิ สาหรบั ยาเม็ดคมุ กาเนิดแบบ 1 แผง 21 เม็ด ใหร้ บั ประทานวนั ละ 1 เม็ด โดยเร่ิมจากเม็ดแรกตามวันใน สัปดาห์ท่ีมีสัญลักษณ์อยู่บนแผง จากน้ันรับประทานเม็ดต่อไปตามลาดับติดต่อกันทุกวัน เม่ือยาหมดแผง หยุด รับประทานยา 7 วัน (ซ่ึงเป็นวันท่ีประจาเดือนมา) เมื่อเข้าสู่วันที่ 8 ไม่ว่าประจาเดือนจะหมดแล้วหรือไม่ ให้เร่ิม รับประทานยาแผงใหม่ต่อไปได้ทันที โดยต้องรับประทานยาทุกวันในเวลาเดียวกันเสมอ หากลืมรับประทานยาตาม เวลาเดิมภายใน 24 ช่ัวโมง ให้รับประทานยาเม็ดที่ลืมทันทีที่รู้ตัว แม้จะใกล้กับช่วงเวลาของยาเม็ดต่อไปก็ตาม และ รับประทานยาเม็ดต่อไปตามเวลาปกติ แตห่ ากลืมรับประทานยานานเกินกว่า 48 ชั่วโมง ให้ข้ามไปรบั ประทานยาตาม วันปจั จบุ นั แลว้ ใช้วธิ คี ุมกาเนิดอนื่ ชว่ ยในการปอ้ งกนั หากมีเพศสัมพันธ์ในช่วงเวลา 7 วันหลงั กลบั มารับประทานยา ส่วนยาเม็ดคุมกาเนิดแบบ 1 แผง 28 เม็ด ให้รับประทานวันละ 1 เม็ด ติดต่อกันทุกวัน เมื่อยาหมด แผง สามารถเร่ิมรับประทานยาแผงใหม่ได้ทันที โดยต้องรับประทานยาทุกวันในเวลาเดียวกันเสมอ หากลืม รับประทานยาภายใน 3 หรือ 12 ช่ัวโมง (ข้ึนอยู่กับชนิดของยา) ให้รับประทานยาเม็ดที่ลืมทันทีท่ีรู้ตัว แม้จะใกล้กับ ช่วงเวลาของยาเมด็ ต่อไปก็ตาม ในกรณีท่ีลืมรบั ประทานยาหลายเม็ด ใหร้ บั ประทานเพียงเมด็ เดียว และรบั ประทานยา เม็ดตอ่ ไปตามเวลาปกติ และหลีกเลย่ี งการมเี พศสัมพนั ธ์ในช่วงเวลา 2 วันถัดมา หรอื ใชว้ ิธอี ่นื ช่วยในการคุมกาเนิดดว้ ย เพราะยาเม็ดคมุ กาเนิดแบบฮอร์โมนตัวเดียวจะใช้ระยะเวลา 2 วันในการสรา้ งเมือกท่ีหนาป้องกนั ไม่ให้สเปิร์มไปผสม กับไข่ได้ ผู้ท่ีต้องการคุมกาเนิดด้วยการรับประทานยาเม็ดคุมกาเนิด ควรเร่ิมรับประทานยาเม็ดแรกในเวลาท่ีสะดวก 101
และเหมาะสม เพราะจะตอ้ งรบั ประทานยาในเวลาเดิมทกุ วัน หากมขี อ้ สงสยั ควรศกึ ษาข้อมูลบนฉลาก รวมทงั้ ปรกึ ษา แพทยแ์ ละเภสชั กรผู้เชย่ี วชาญกอ่ นเรม่ิ ใช้ยา ผลขา้ งเคียงจากการใช้ยาคุมกาเนดิ ยาเมด็ คุมกาเนิดแบบฮอร์โมนรวม อาจทาให้เกดิ ผลข้างเคียงหลังการใชย้ า ดงั น้ี มเี ลือดไหลก่อนรอบประจาเดอื น เกดิ อาการปวดหัว คลืน่ ไสว้ งิ เวียน ปวดหน้าอก อารมณ์แปรปรวน ทาใหค้ วามดันโลหติ เพิ่มสูงขนึ้ ได้ เพม่ิ ความเส่ียงปญั หาสุขภาพบางอยา่ ง เช่น การเกิดลมิ่ เลอื ดอุดตนั มะเรง็ เต้านม ยาเมด็ คุมกาเนิดแบบฮอรโ์ มนตัวเดียว อาจทาให้เกิดผลขา้ งเคยี งหลงั การใชย้ า ดงั นี้ มเี ลอื ดไหลก่อนรอบประจาเดอื น ประจาเดอื นมาไม่ปกติ อารมณ์แปรปรวน เกิดปัญหาสิวอดุ ตนั น้าหนกั ตัวเพม่ิ ข้นึ ปวดหัว ปวดหวั ไมเกรน ปวดหนา้ อก หนา้ อกขยายใหญข่ นึ้ ปวดท้อง คลนื่ ไสอ้ าเจียน มีแรงขบั ทางเพศทีเ่ พ่มิ ขน้ึ หรือลดลง เกดิ ถงุ นา้ (ซีสต)์ ทร่ี ังไข่ กรณลี ืมรับประทานยาคุมกาเนิดชนิดรบั ประทาน 1) กรณีที่ 1. ลืมรับประทานยาคุมกาเนิด 1 เม็ด หรอื ลืมยาคุม < 24. ชม ให้รับประทานทันทีท่นี ึกได้ ส่วนเม็ดท่ีเหลือรับประทานต่อไปตามปกติ ซ่ึงเเสดงว่าวันที่นึกได้ จะต้องทานยาคุมกาเนิด 2 เม็ด ไม่ต้องใช้วิธี คมุ กาเนดิ ร่วมด้วย และไม่จาเป็นต้องใชย้ าคุมกาเนดิ ฉุกเฉิน . 2) กรณี ลืม 2เมด็ (ขนาดฮอร์โมนestrogen 30 -50 mcg ) หรอื ลืมทานยาคมุ ไม่เกนิ 48 ชม. ใหท้ านยา คุม 1 เม็ดทนั ทีท่นี ึกได้ อกี 1 เม็ดจะทานหรอื ไมก่ ็ได้ แลว้ ทานเมด็ ท่ีเหลอื ตอ่ ไปตามปกติ ไม่ต้องใชว้ ิธีคมุ กาเนิดอ่ืนร่วม ด้วย ไมจ่ าเป็นตอ้ งใชย้ าคมุ กาเนดิ ฉกุ เฉนิ ยกเว้นอาจจะพจิ ารณาให้กรณลี ืมในช่วงสปั ดาหแ์ รกของการทานยา 3) กรณลี ืมยาคุมกาเนิด > 3 เม็ดหรือลมื ทานยานานกว่า หรือเท่ากบั 48 ชม. ใหท้ านยา ยาคุมหนง่ึ เม็ด ทันทีท่ีนึกได้อีก 2เม็ด ที่เหลือจะทานหรือไม่ก็ได้ เม็ดที่เหลือทานต่อไปตามปกติ แต่ระหว่างนี้ต้องใช้วิธีคุมกาเนิดอื่น ร่วมด้วย เช่นใช้ถุงยาง อนามัย 7วัน และถ้ามีเพศสัมพันธ์ในช่วงท่ีลืมโดยมิได้ป้องกัน หากไม่เกิน5วันนับจากวันท่ีมี เพศสัมพันธ์ ใหใ้ ชย้ าคุมฉุกเฉนิ ดว้ ย ยาคุมฉุกเฉิน หรือยาเม็ดคุมกาเนิดฉุกเฉิน (Emergency contraception pill) ออกฤทธ์ิไม่ต่าง กบั ยาคมุ กาเนิดแบบธรรมดา เพียงแต่ยาเม็ดคมุ ฉุกเฉินจะมีปริมาณฮอร์โมนต่อเม็ดมากกว่ายาคุมกาเนิดท่ัวไปและจะ ใชก้ ็ต่อเม่ือมีความจาเป็นฉกุ เฉินเท่านนั้ ยาคมุ ฉกุ เฉินจะรับประทานหลังจากการมีเพศสัมพนั ธ์โดยไม่ได้ป้องกนั ภายใน ระยะเวลาท่ีกาหนด เพ่ือลดโอกาสในการต้ังครรภ์ แต่หากต้องการคุมกาเนิดในระยะยาวแล้ว ยาเม็ดคุมกาเนิดแบบ ธรรมดาจะมคี วามปลอดภยั และมปี ระสิทธิภาพมากกวา่ 102
ขอ้ ควรพิจารณา ยาคุมฉุกเฉินมีปริมาณฮอร์โมนต่อเม็ดมากกว่ายาคุมกาเนิดท่ัวไป จะใช้ในกรณีจาเป็น เพื่อลดโอกาสการ ตง้ั ครรภ์แบบไม่พงึ ประสงคเ์ ทา่ นน้ั ยาคุมฉุกเฉินมี 2 ชนิด ได้แก่ ยาคุมฉุกเฉินแบบฮอร์โมนตัวเดียว และยาคุมฉุกเฉินแบบฮอร์โมนรวม มีการ ออกฤทธิ์แตกต่างกนั แต่ปัจจุบนั ชนดิ หลงั ไดร้ ับความนิยมน้อยกว่าเพราะมีผลข้างเคียงมากกวา่ ชนิดแรก หากรับประทานยาคุมกาเนิดภายใน 12 – 24 ชั่วโมง หลงั จากการมีเพศสัมพันธ์จะช่วยป้องกนั การตงั้ ครรภ์ ได้ถึง 85% แต่หากท้ิงระยะนานไปเรื่อยๆ ประสิทธิภาพการป้องกันก็จะลดลงตามไปด้วย ผลข้างเคียงท่ีพบได้ เช่น คล่ืนไส้ อาเจียน เลือดออกกระปริบกระปรอย ประจาเดือนมาช้า หรือเร็วกว่าปกติ ดังนั้นจึงควรใช้เม่ือฉุกเฉินจริงๆ เทา่ นน้ั หรือใช้ภายใต้ตามคาแนะนาของแพทย์ หรอื เภสัชกร วธิ ใี ช้ยาคมุ ฉุกเฉนิ 1. หลังจากมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกัน ควรรับประทานยาคุมฉุกเฉินเม็ดแรกให้เร็วท่ีสุด โดยไม่ควร นานเกิน 120 ชัว่ โมง หรือ 5 วัน หรือจะให้ดีก็ไม่ควรเกิน 72 ช่ัวโมง หรือ 3 วัน หรือถ้าดีท่ีสุดกต็ ้องไม่เกิน 12 ชั่วโมง และหลงั รับประทานเมด็ แรกไปแล้ว 12 ชว่ั โมงกต็ อ้ งรับประทานเม็ดท่ี 2 ซ้าอกี 1 เม็ด 2. สามารถรบั ประทานยาคุมฉกุ เฉิน 2 เมด็ พร้อมกันได้เลยทีเดยี ว โดยทไ่ี มม่ ีความแตกต่างกันท้ังในเรื่อง ประสทิ ธิภาพและความปลอดภัย เมื่อเปรียบเทียบกับการแบ่งรับประทานออกเป็น 2 คร้ัง แต่ในบางราย อาจทาให้มี อาการคล่นื ไส้อาเจียนได้ เนอื่ งจากตวั ยาในรปู แบบการรับประทานครั้งเดียวจะมีความแรงเพ่ิมมากขึ้นจากการแบ่งกิน 2 ครงั้ ถงึ 2 เทา่ ตัว 3. หลงั จากที่รบั ประทานยาในแต่ละเม็ดไปแล้ว หากมกี ารอาเจียนออกมาภายในเวลา 2 ชัว่ โมง จะต้อง ซ้า ใหม่อกี 1 เม็ดในทนั ที 4. การรับประทานยาคุมกาเนิดฉุกเฉินมากกว่า 2 กล่องหรือ 4 เม็ดต่อเดือนขึ้นไป อาจทาให้มี ผลขา้ งเคยี งกับรงั ไขใ่ นระยะยาวเกดิ ข้นึ ได้ 1.1.4ฉีดยาคุมกาเนิด (Injectable contraceptive) คอื วิธีการคุมกาเนิดแบบชว่ั คราวแบบหนงึ่ โดยจะ เป็นการฉีดยาเข้ากลา้ มเนือ้ ของสตรใี นระยะเวลาตามทแ่ี พทย์กาหนด หลงั จากฉีดตวั ยาจะค่อย ๆ ขบั ฮอร์โมนออกมา เปน็ วิธีทนี่ ยิ มใช้กันมากในรายทต่ี อ้ งการเวน้ ระยะการมบี ตุ ร เนอื่ งจากมปี ระสทิ ธภิ าพในการคุมกาเนิดสูง ทาไดง้ า่ ย สะดวก และมีราคาถกู 103
ภาพจาก https://www.americaherald.com/dmpa-injectable-hormonal-contraceptive- associated-with-high-hiv-risk/21969/ การออกฤทธิข์ องยาฉีดคุมกาเนดิ ฮอร์โมนโปรเจสตนิ (Progestin) จะเปน็ ตัวยบั ยงั้ การตกไข่ ทาใหไ้ ม่มีไข่มารอปฏสิ นธิ นอกจากนนั้ ยงั ทาให้ เยื่อบุโพรงมดลกู บางตวั ไม่เหมาะสมแกก่ ารฝังตัวของไข่ และทาใหม้ กู ที่ปากมดลกู มีความเหนียวขน้ สง่ ผลให้ตัวอสุจไิ ม่ สามารถวา่ ยผา่ นเขา้ ไปผสมกบั ไขไ่ ด้ (ผา่ นเขา้ ไปไดย้ าก) จงึ สามารถช่วยคมุ กาเนดิ ได้ ยาฉีดคุมกาเนิด เหมาะสาหรบั สตรีท่ีตอ้ งการคุมกาเนิดแบบช่ัวคราวท่มี ีประสิทธิภาพสูงและปลอดภัย สตรี ท่ลี มื รบั ประทานยาคุมกาเนิดบอ่ ย ๆ ตอ้ งการความสะดวก ไม่ตอ้ งการรับประทานยาคมุ กาเนิดแบบเดมิ ทกุ ๆ วัน สตรี หลังคลอดที่กาลังให้นมบุตร (ต้องเป็นยาฉีดคุมกาเนิดชนิดฮอร์โมนเด่ียว) และสตรีท่ีมีอาการปวดประจาเดือนเป็น ประจา หรือแม้แตส่ ตรีท่ีสูบบหุ ร่ี ขอ้ ดขี องการฉีดยาคมุ กาเนดิ 1) สามารถรับบริการไดง้ า่ ย เนอื่ งจากวิธีการและอุปกรณส์ าหรับการใหบ้ รกิ ารไมย่ ุ่งยาก เลอื กให้บริการแกส่ ตรี ทว่ั ไปไดอ้ ย่างกวา้ งขวาง เพราะยาฉีดมขี ้อหา้ มในการใช้ยาน้อย 2) มีประสทิ ธิภาพในการคุมกาเนดิ สูงมาก (มากกวา่ หรือเทียบเท่ากับการรับประทานยาเมด็ คมุ กาเนิด) 3) ราคาถูกเมอ่ื เทียบกับวิธีคุมกาเนดิ แบบอนื่ เชน่ ยาเม็ดคุมกาเนิด หรอื การใส่ห่วงอนามยั 4) ใหค้ วามสะดวก ใช้งานงา่ ย ฉีดครงั้ เดียวกส็ ามารถคมุ กาเนดิ ไดน้ านถงึ 3 เดอื น โดยไม่ตอ้ งใชท้ กุ วันเหมอื นยา เมด็ คุมกาเนิด 5) ไมข่ ดั ขวางขนั้ ตอนตา่ ง ๆ ของการร่วมเพศ 6) สามารถใชไ้ ด้ดีในขณะใหน้ มลกู เพราะไม่ทาใหน้ า้ นมแห้ง 7) การไม่มีประจาเดือนภายหลังการฉีดมีผลดีต่อสุขภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผทู้ ่เี ปน็ โรคโลหติ จาง ข้อเสียของยาฉดี คุมกาเนดิ - ไมส่ ามารถปอ้ งกันโรคติดตอ่ ทางเพศสมั พนั ธไ์ ด้ - ประจาเดอื นอาจเปลยี่ นแปลง มาไม่สมา่ เสมอ มากะปรดิ กะปรอย หรือไมม่ ีประจาเดอื น และหลาย ๆ ราย อาจมีนา้ หนักตวั เพ่มิ ข้ึน - เมอ่ื หยุดฉดี ร่างกายจะยังไม่พรอ้ มมีลกู ไดท้ นั ที (มลี ูกไดช้ า้ กว่าการคมุ กาเนดิ แบบอนื่ ) โดยอาจจะต้องรอไป เกือบ 1 ปี หรอื มากกวา่ ขึน้ กบั ระยะเวลาของการไดร้ ับยา 1.1.5 ฝังคุมกาเนิด (Contraceptive Implant) เป็นวิธีคุมกาเนิดแบบชั่วคราวที่มีประสิทธิภาพสูง โดยใช้หลอดยาขนาดเล็กฝังเข้าไปใต้ผิวหนังบริเวณใต้ท้องแขนของแขนท่อนบน ซ่ึงภายในแท่งหรือหลอดจะบรรจุ 104
ฮอร์โมนโปรเจสติน (Progestin) เอาไว้ เมือ่ ฝังเอาไวเ้ รียบร้อยกจ็ ะคอ่ ย ๆ ปลอ่ ยฮอร์โมนชนิดนเ้ี ขา้ สรู่ า่ งกาย ซึง่ จะชว่ ย ป้องกันการตั้งครรภ์ได้เป็นเวลา 3-5 ปี แล้วแต่ชนิดของยา เป็นวิธีการคุมกาเนิดแบบกึ่งถาวร โดยฝังหลอดบรรจุ ฮอรโ์ มนสังเคราะห์เข้าไปใตผ้ ิวหนงั สามารถคุมกาเนดิ ได้นานถงึ 3 และ 5 ปี ตามชนิดของยา ชนิด 1 หลอด คุมกาเนิด ได้ 3 ปี ชนิด 2 หลอด คุมกาเนิดได้ 5 ปี ยาฝังคุมกาเนิด ประกอบด้วยฮอร์โมนโปรเจสติน (Progestin) บรรจุอยู่ใน หลอดหรือแทง่ ขนาดเลก็ โดยหนา้ ทห่ี ลกั ของฮอร์โมนโปรเจสตินทค่ี ่อย ๆ ปล่อยออกมาจากแท่งหรือหลอดเข้าส่กู ระแส เลือด คือ ทาให้ฟองไข่ไม่พฒั นาและไม่เกิดการตกไข่ เมื่อไม่เกิดการตกไข่ที่พร้อมปฏิสนธกิ ับเช้ืออสุจิ ก็จะไม่สามารถ เกิดการตั้งครรภ์ได้ นอกจากนน้ั ฮอร์โมนโปรเจสตินทีป่ ล่อยออกมายังทาใหเ้ มือกที่ปากมดลูกเหนียวข้น ซง่ึ ทาให้อสุจิ ผ่านเข้าไปยังมดลูกเพ่ือปฏิสนธิกับไข่ได้ยาก รวมไปถึงยังทาให้เยื่อบุผนังหมดลูกบาง ซึ่งทาให้ไข่ท่ีถูกผสมแล้วไม่ สามารถเกาะที่ผนงั มดลกู ได้ดี ภาพจาก: https://w1.med.cmu.ac.th/obgyn/index.php?option=com_content&view=article&id=1319:2017- 04-19-14-49-40&catid=39&Itemid=360 อา้ งอิง อ.พญ.อษุ ณยี ์ แสนหมี่ ภาควชิ าสตู ศิ าสตร์และนรีเวชวทิ ยา คณะ แพทยศาสตร์มหาวทิ ยาลัยเชียงใหม่ ขอ้ ดี 1.เปน็ วธิ ีคุมกาเนิดท่มี ีประสิทธภิ าพสูงมาก 2. ไม่มีผลรบกวนต่อการมเี พศสมั พนั ธ์ 3.ใส่ครง้ั เดยี วใช้ได้นาน 3-5ปี 4.สามารถใชใ้ นระยะใหน้ มลูกได้ โดยไมม่ ผี ลรบกวนปรมิ าณและคณุ ภาพของน้านม 5.เมื่อหยดุ ใช้ยาน้ีแลว้ สามารถมลี กู ได้ตามปกติ 6.ทางเลือกสาหรับคนทล่ี มื กนิ /ฉีดยาคุม วธิ กี ารใชย้ าฝงั คมุ กาเนิด สามารถฝังภายใน 5 วนั แรกของการมีประจาเดอื น เพอ่ื แนใ่ จวา่ ไมต่ ้ังครรภ์ มผี ลในการคุมกาเนดิ หลงั จากฝงั ยา 24 ชม. แต่ถา้ ฝังในชว่ งเวลาอน่ื ควรใช้ถุงยางอนามยั รว่ มดว้ ยประมาณ 7 วนั หลงั ฝงั ยาคมุ หลงั คลอด 4-6 สปั ดาห์ หลังแทง้ ธรรมชาต/ิ หลงั รับบรกิ ารยุติการตั้งครรภ์ท่ีปลอดภัยทนั ที หรอื 2-3 สัปดาห์ 105
อาการขา้ งเคยี ง ประจาเดอื นมาไมส่ มา่ เสมอ มเี ลอื ดออกกะปรดิ กะปรอย และอาการจะลดน้อยลงหลงั จากฝงั ยาไปแล้ว ประมาณ 6 เดอื น อาการขา้ งเคยี งทอี่ าจพบได้แตไ่ ม่บ่อย เชน่ นา้ หนักตวั เพม่ิ เปน็ สวิ ปวดหวั 1.1.6 ห่วงอนามยั (INTRA-UTERINE DEVICE-IUD) หรอื เรียกสน้ั ๆ วา่ IUD เปน็ อุปกรณพ์ ลาสตกิ ช้นิ เล็กรูปตัว T มขี นาดประมาณหนง่ึ ในสีข่ องมดลกู ใชโ้ ดยการสอดเขา้ ไปในโพรงมดลูกเพ่อื ปอ้ งกันการตัง้ ครรภ์ โดย IUD มี 2 ประเภท คือ ห่วงคมุ กาเนดิ ทเ่ี คลือบด้วยสารทองแดง และหว่ งคุมกาเนดิ ท่เี คลือบดว้ ยฮอร์โมนโปรเจสเตอ โรน ภาพจาก http://knowledge-from-msu.blogspot.com/p/temporary-contraception-1.html ข้อดขี องการใสห่ ่วง เปน็ การคมุ กาเนิดทไี่ ดผ้ ลดี ไม่จาเปน็ ต้องจาวนั ฉดี ยาหรือการกินยา เป็นการคมุ กาเนิดทีร่ าคาถูกท่ีสดุ ในระยะยาว สามารถเอาออกเมอ่ื ไรก็ไดโ้ ดยแพทย์ เมอ่ื ใส่หว่ งก็สามารถปอ้ งกนั ไดท้ นั ที เมื่อเอาออกก็สามารถตั้งครรภ์ได้ทนั ท่ี ผลข้างเคยี งตา่ ใส่หว่ งแลว้ สามารถให้นมบุตรได้ การใส่ห่วงจะไมร่ บกวนคณุ หรือคู่ครอง ขอ้ ด้อยของการใส่หว่ ง ปวดท้อง ปวดหลัง เลอื ดออกกระปดิ กระปอย บางรายประจาเดอื นมามาก ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสมั พันธ์ไม่ได้ ปีกมดลูกอกั เสบ 1.1.7 ยาคุมกาเนิดชนิดแผ่นแปะ แผน่ แปะคุมกาเนิดน้ี ประกอบไปดว้ ยฮอรโ์ มน 2 ชนดิ เช่นเดยี วกับ ยาเมด็ คมุ กาเนิด หลังจากแปะแผ่นยาไปแล้วประมาณ 48 ชั่วโมง ตวั ยาจะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดอย่างช้า ๆ และ ตอ่ เน่ือง (ไม่ผา่ นตับ แต่จะถูกกาจัดออกทางปัสสาวะและอุจจาระ) โดยระดับตัวยาที่ปล่อยออกมาจะอยู่ในระดับคงท่ี และสม่าเสมอ คอื NGMN จะถูกดูดซมึ เข้าสู่กระแสเลือดต่อแผน่ วันละประมาณ 150 ไมโครกรัม ส่วนปริมาณของ EE ในกระแสเลือดต่อวันคือ 20 ไมโครกรัม ระดับตัวยาท่ีปล่อยออกมาน้ีจะใกล้เคียงกันทุกตาแหน่งท่ีแปะ ไม่ว่าจะแปะ บริเวณสะโพก หน้าท้อง ต้นแขนด้านนอก หรือแผ่นหลังด้านบนก็ตาม จึงทาให้ยามีการออกฤทธิ์ได้นาน ซ่ึงยา 106
คมุ กาเนดิ ชนิดนี้จะมีกลไกการป้องกันการตั้งครรภ์เหมือนการรับประทานยาเมด็ คมุ กาเนิด ได้แก่ การช่วยป้องกนั การ ตกไข่ ปอ้ งกันไม่ให้ตัวอสุจผิ า่ นเย่อื เมอื กบริเวณปากช่องคลอดเขา้ ไปปฏิสนธิกับไขท่ อ่ี ยบู่ ริเวณโพรงมดลกู และในทอ่ นา ไขไ่ ด้ นอกจากนี้ยังมผี ลทาใหเ้ ย่ือบโุ พรงมดลูกบางลงจนไมเ่ หมาะในการฝังตัวของตัวอ่อนที่เกดิ จากการปฏสิ นธิ ภาพจาก https://women.mthai.com/love-sex/sex/22673.html ผู้ทเี่ หมาะจะใชแ้ ผน่ แปะคมุ กาเนิด เหมาะสาหรับผทู้ ี่อย่ใู นวยั เจริญพันธหุ์ รอื มีอายรุ ะหว่าง 18-50 ปี ท่ียังไมพ่ รอ้ มจะมบี ตุ ร ไม่ตอ้ งการคุมกาเนิดนานกวา่ 5 ปี (เพราะถา้ ต้องการคุมกาเนดิ นานกว่านี้ ควรเลือกใชว้ ิธกี ารคมุ กาเนิดแบบ อ่นื แทน เพ่อื เป็นการหลีกเลี่ยงผลข้างเคยี งของฮอร์โมนในระยะยาว) ผทู้ ไ่ี มช่ อบรับประทานยาเมด็ คุมกาเนดิ เปน็ ประจา ผทู้ ี่ไมม่ ีโรคหรอื ข้อหา้ มในการใชฮ้ อรโ์ มนหรอื ยาชนดิ น้ี ข้อหา้ มใช้แผน่ แปะคมุ กาเนดิ หากคุณมภี าวะดงั ตอ่ ไปน้ี ควรปรึกษาแพทยห์ รือสตู นิ รีแพทย์เพอ่ื ขอคาแนะนาก่อนการใช้แผ่นแปะคมุ กาเนิด ผู้ที่มีน้าหนักตัวมากกว่า 90 กิโลกรมั ข้นึ ไป เพราะอาจทาให้ตวั ยาในแผ่นแปะมีประสทิ ธิภาพนอ้ ยลง ผู้ท่ีสูบบุหรี่ เพราะการใช้แผ่นคุมกาเนิดจะเสรมิ ฤทธกิ์ ันจนกอ่ ให้เกดิ โรคหลอดเลือดหัวใจ รวมท้ังลิ่มเลือดอุด ตนั ในสมองได้ โดยเฉพาะอยา่ งยิ่งในผทู้ มี่ อี ายมุ ากกวา่ 35 ปี ผู้ทีม่ ีประวัติการแพ้ยาในกลุม่ ฮอร์โมน ผูท้ มี่ ีโรคประจาตัวบางอย่าง เชน่ โรคเบาหวาน โรคความดนั โลหิตสูง โรคตบั เพราะตัวยาจะสง่ ผลทาให้โรคที่ เป็นอยูร่ ุนแรงขึน้ ผูท้ ี่มปี ระวตั ิเลือดจบั ตวั เป็นกอ้ นง่าย เพราะตวั ยาจะเพ่มิ ปัจจัยเส่ียงทาให้เกิดภาวะลิม่ เลอื ดในหลอดเลอื ดได้ ผู้ทม่ี ีประวัติเปน็ โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง เพราะตวั ยาอาจเปน็ ปจั จัยเสยี่ งทาใหเ้ กิดโรคดังกลา่ วได้ ผทู้ ่มี ีประวตั ิเป็นโรคมะเรง็ เตา้ นมหรือมะเร็งเย่ือบุโพรงมดลกู เพราะอาจทาใหโ้ รคลุกลามแพรก่ ระจายได้ ผู้ทีม่ ีเลือดออกผดิ ปกตทิ างชอ่ งคลอดโดยไม่ทราบสาเหตุ 107
วธิ ีใช้ 1) แผ่นแรกให้แปะในวันแรกของการมีประจาเดือนมา อาจแปะบริเวณหน้าท้อง ต้นแขนด้านนอก ก้น สะโพก หรือแผ่นหลังช่วงบน (ไม่แปะบริเวณหน้าอก) แผ่นแปะ 1 แผ่นมีฤทธิ์ได้ 1 สัปดาห์ เม่ือถึงวันที่ 8 และ 15 ของรอบ เดือนกต้องดึงแผ่นเก่าออก แล้วเปล่ียนแผ่นใหม่ (แปะสัปดาห์ละแผ่น) พอครบ 3 สัปดาห์ (3 แผ่น) ก็ให้เว้นช่วง ไม่ ตอ้ งแปะแผ่นคมุ กาเนิดเป็นเวลา 7 วนั ในระหว่างนปี้ ระจาเดอื นจะมา และเมอ่ื ครบ 7 วนั แล้ว ก็แปะแผ่นต่อไปได้เลย ไม่ว่าประจาเดือน จะหมดหรือไมก่ ต็ าม 2) หากไม่เคยคุมกาเนิดมาก่อน ในช่วงเวลา 15 วันแรกของการใช้ยา ยาจะยังไม่ออกฤทธ์ิในการคุมกาเนิด แต่ จากนั้นจะคุมกาเนิดได้ตลอด การแปะแผ่นคุมกาเนิดอาจเปล่ียนบริเวณท่ีแปะได้ เพ่ือลดการระคายเคืองของผิวหนัง (อาจจะแปะในทีใกล้เคียงกนั ก็ได้แต่ไม่ควรซา้ รอยเดิม) ก่อนแปะไม่ควรทาโลชนั้ หรือแป้ง เพราะอาจไปรบกวนการดูด ซึมของตัวยาผ่านผวิ หนัง และไม่ควรใชย้ าในรูปแบบนีห้ ากมีการระคายเคืองหรอื แพม้ ากๆ 3) นอกจากนี้ ควรระมัดระวงั เวลาอาบนา้ ไม่ควรไปถแู รงๆ เพราะอาจทาให้แผ่นยา 1.1.8 การหลั่งน้าอสุจินอกช่องคลอด การหล่ังนอกเป็นวิธีการคุมกาเนิดแบบธรรมชาติวิธีหนึ่งที่ฝ่าย ชายจะต้องนาอวัยวะเพศออกจากช่องคลอดก่อนที่จะมีการหลั่งอสุจิ ประสิทธิภาพในการคุมกาเนิด พบว่า 27 จาก 100 คู่รักมีโอกาสต้ังครรภ์จากการใช้วิธีการหล่ังนอกเพ่ือการคุมกาเนิด การหลั่งนอกเป็นวิธีการคุมกาเนิดที่มี ประสิทธิภาพในการคุมกาเนิดค่อนข้างต่า นั่นหมายความว่า แม้ฝ่ายชายจะมีการนาอวัยวะเพศออกจากช่องคลอด ก่อนที่จะหล่ังอสุจิแล้วก็ตาม แต่ฝ่ายหญิงก็ยังมีโอกาสตั้งครรภ์ได้อยู่ดี และแม้ฝ่ายชายจะหล่ังนอกบริเวณใกล้ช่อง คลอด แต่อสุจิก็ยังมีโอกาสท่ีจะเข้าไปในช่องคลอดได้ ไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ ซ่ึงเม่ือมี เพศสัมพนั ธ์คุณจาเป็นต้องใช้ถุงยางอนามัยร่วมด้วยเพื่อป้องกันโรคติดต่อท่ีอาจมากับการมเี พศสัมพนั ธ์ ดังน้นั วิธีที่ดี ทสี่ ุดในการป้องกันการตั้งครรภ์และการปอ้ งกันโรคตดิ ตอ่ ทางเพศสมั พันธ์ คอื การงดมีเพศสัมพันธ์ )abstinence) 2) การคมุ กาเนิดแบบถาวร มี 2 วธิ ี ได้แก่ เปน็ การคุมกาเนดิ เพ่อื หยุดการมีลกู อยา่ งถาวร เหมาะสาหรับผทู้ ี่มลี ูกเพียงพอตอ่ ความต้องการหรือ สภาพ รา่ งกายไม่พรอ้ มตอ่ การมลี กู เชน่ คนทป่ี ว่ ยเปน็ โรคร้ายแรงบางชนิด ทง้ั นี้ ตอ้ งใหแ้ พทยผ์ เู้ ชียวชาญทาให้ แบ่ง 108
ไดเ้ ปน็ การทาหมันชายและการทาหมันหญงิ ซึง่ การทาหมันแตล่ ะประเภทมีข้อดีและขอ้ เสียแตกตา่ งกนั ไปขน้ึ อยู่กบั ความเหมาะสมแตล่ ะบคุ คล การทาหมนั เป็นวิธกี ารคุมกาเนิดถาวรชนิดหนงึ่ ทท่ี าไดท้ งั้ ในฝ่ายหญิง และฝา่ ยชาย เพอื่ ป้องกันการ ตั้งครรภ์อันไมพ่ งึ ประสงคห์ ลงั การมีเพศสมั พันธุ์ ทัง้ นี้ การทาหมันมักทาโดยขัน้ ตอนการผา่ ตัดรว่ มดว้ ย 1) การทาหมันสตรี หมายถงึ การทาใหท้ ่อนาไขข่ าดหรอื อดุ ตัน เพอื่ มใิ หไ้ ข่เดินทางมาพบกบั ตวั อสจุ ิ ของเพศชายหลงั การมเี พศสัมพนั ธสุ์ าหรบั การป้องกันการตงั้ ครรภอ์ ันไม่พึงประสงค์ การทาหมันในสตรี แบง่ ได้ 2 วิธี ตามระยะเวลาในการทาหมนั ไดแ้ ก่ 1.1) การทาหมนั หลงั คลอด หรอื การทาหมนั เปียก (Postpartum) เปน็ การทาหมนั ในระยะ หลงั คลอดทนี่ ิยมทาภายในเวลา 24-72 ่ช่ัวโมง หลังการคลอด ซง่ึ ในระยะน้ี มดลกู ยงั มขี นาดโตพอทจ่ี ะสามารถคลา พบผ่านทางหนา้ ทอ้ งไดอ้ ยา่ งชดั เจน ซง่ึ จะงา่ ยสาหรับการผา่ ตดั หน้าท้องสาหรบั ทาการอดุ ตนั รังไขไ่ ดง้ า่ ย 1.2) การทาหมันอกระยะหลงั คลอด หรอื การทาหมนั แห้ง (Interval Sterilization) เป็น การทาหมันหลังการคลอดตัง้ แต่ 6 สัปดาห์ หลังการคลอดขน้ึ ไป ซ่งึ ในระยะนจ้ี ะทาการผา่ ตดั หนา้ ทอ้ งสาหรบั สาหรบั การทาหมันไดย้ าก เน่อื งจาก มดลกู มีขนาดเลก็ และเล่ือนเขา้ อยูบ่ รเิ วณชอ่ งเชงิ กราน และห่างจากหน้าท้องมาก แต่ ปจั จบุ นั การทาหมนั แหง้ ไดม้ ีการพัฒนากระบวนการใหท้ ันสมัยมากขึ้น จงึ ไมเ่ ปน็ เร่อื งยงุ่ ยากเหมือนในอดีต 2) การทาหมนั ชาย หมายถงึ การทาให้ทอ่ อสุจขิ าดหรืออุดตัน เพื่อมิให้น้าเช้ืออสจุ หิ ลง่ั ออกมาพบกับ ไขเ่ พศหญงิ หลงั การมเี พศสมั พันธ์ุ สาหรับการปอ้ งกันการตง้ั ครรภ์อนั ไม่พึงประสงค์ของเพศหญิง การคุมกาเนิดในวัยรุ่น วัยรุ่นเป็นวัยท่ีอยากรู้อยากเห็นโดนเฉพาะเรื่องเพศ การหาทางออกท่ีดีจากการหมกหมุนเรื่องเพศ เช่นการ ออกกาลังกาย การเล่นกีฬา การอ่านหนังสือ การร้องเพลง หรือกิจกรรมอื่นๆ ที่เหมาะสม ที่สามารถหันเหหารหมก หมุนเรื่องเพศ เป็นสิ่งที่ดีท่ีสุด แต่การป้องกันเม่ือจาเป็นต้องมีเพศสัมพันธ์เป็นสิ่งท่ีต้องให้วัยรุ่นทราบเพ่ือเป็นการ ป้องกันการติดเช้ือทางเพศสัมพันธ์ ตลอดจนป้องกันภาวะการต้ังครรภ์ในวัยมี่ไม่สมควรหรือในสภาพท่ีไม่พร้อม จาก ข้อมูลการสารวจพบว่า อัตราการต้ังครรภ์และการแท้งในวัยรุ่นของสหรัฐอเมริกามีอัตราส่วนสูงกว่าประเทศ อุตสาหกรรมอื่นๆ เน่ืองจากการใช้วิธีการคุมกาเนิดที่ไม่ต่อเนื่อง, ไม่เหมาะสม หรือไม่ได้คุมกาเนิด ข้อมูลระดับชาติ (National data) จากการสารวจในปี 2018 พบว่า การใช้ถุงยางอนามัยเป็นวิธีคุมกาเนิดที่ใช้มากที่สุดในวัยรุ่น เนอ่ื งจากสามารถปอ้ งกันการตดิ เชือ้ เอชไอวไี ด้ การป้องกันการตั้งครรภ์หรอื คุมกาเนดิ มีหลายวิธคี วามแตกตา่ งกนั จาก ข้อมูลประสทิ ธิภาพในการปอ้ งกันการต้ังครรภ์วิธตี ่างๆ กไ็ มไ่ ดป้ ้องกนั ได้ 100% เชน่ การใช้หว่ งกาเนดิ ปอ้ งการต้ังครรภ์ไดป้ ระมาณ 98% การรบั ประทานยาคมุ กาเนิด ปอ้ งกนั การตงั้ ครรภ์ประมาณ 95% การฉีดยาคุมกาเนิด ปอ้ งกนั การตงั้ ครรภ์ได้ประมาณ 99% การใชห้ มวกครอบปากมดลกู ปอ้ งกนั การตัง้ ครรภ์ได้ประมาณ 80% การใช้ยาฝังคุมกาเนดิ ไดผ้ วิ หนงั บรเิ วณตน้ แขน ปอ้ งกนั การตั้งครรภ์ไดป้ ระมาณ 99% การใชถ้ งุ ยางอนามยั ในผชู้ าย ปอ้ งกนั การต้ังครรภไ์ ดป้ ระมาณ 86 – 95 % การใช้ยาฆ่าสเปรมิ ฉ์ ีดล้าง ปอ้ งกันการตั้งครรภ์ไดป้ ระมาณ 74% การหลงั่ ภายนอกช่องคลอด ป้องกนั การต้ังครรภ์ไดป้ ระมาณ 60-80% การนบั วนั ทีไ่ ข่ตกเพ่ือนบั ระยะปลอดภยั ปอ้ งกันการตง้ั ครรภ์ไดป้ ระมาณ 70-75% 109
ผลกระทบจากปญั หาการขาดการเตรียมความพร้อมสู่การมีครอบครวั ในประเทศไทยมที ารก 1 ใน 10 ที่เกิดจากแมว่ ยั รุ่นท่ีมอี ายุน้อยกว่า 20 ปี โดย 1 ใน 5 จะเกดิ จากแม่ท่ีไม่ พรอ้ ม หรือไม่ตงั้ ใจทจ่ี ะตั้งครรภแ์ ละแมว่ ัยรุ่นจะให้กาเนิดทารกแรกเกดิ น้าหนกั นอ้ ยเป็น 2.5 เท่าของแมว่ ยั ผู้ใหญอ่ ายุ 20 - 34 ปี ผู้ท่ตี ั้งครรภ์ไม่พร้อม พบปรากฏการการทาแทง้ ทาใหเ้ ปน็ ปญั หาทั้งทางดา้ นสขุ ภาพและเศรษฐกิจ การป้องกันและแก้ไขปญั หาการตั้งครรภ์ในวยั รุ่น ให้เข้าถงึ บริการคุมกาเนิดชนิด กึ่งถาวรแล้ว ยังมีการ แก้ไขปัญหาน้ดี ้วยมาตรการทางกฎหมาย ได้แก่ พระราชบัญญัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น พ.ศ. 2559 โดยมีเป้าหมายสาคัญในการลดอัตราการต้ังครรภ์ในวัยรนุ่ ให้เด็กและเยาวชนจะได้รับสิทธิประโยชน์ 5 เร่ืองท่ีสาคญั คือ 1) สถานศึกษาต้องจัดให้มีการสอนเพศวิถีศึกษาอยา่ งเหมาะสม จัดหาและพัฒนาผูส้ อนเพศวถิ ีศึกษา การ ให้คาปรึกษา ช่วยเหลือและคุ้มครองวัยรุ่นท่ีตั้งครรภ์ให้ได้รบั การศึกษาต่ออย่างเหมาะสม รวมท้ังส่งต่อให้ได้รับ สวัสดิการสังคม 2) สถานบริการต้องให้ข้อมูลความรู้และจดั บริการอนามัยการเจริญพันธ์ุ รวมท้งั สง่ ต่อให้ได้รับสวัสดิการ สังคม 3) สถานประกอบกิจการต้องให้ข้อมูลความรู้และส่งเสริมให้เข้าถึงบริการอนามยั การเจริญพันธ์ุ รวมท้ังส่ง ต่อให้ได้รับสวสั ดิการสังคม 4) การจัดสวัสดิการสังคมเพื่อปอ้ งกันและแกไ้ ขปัญหาการต้งั ครรภ์ในวัยรุน่ 5) ให้ราชการส่วนท้องถิน่ มีอานาจ ออกข้อบัญญัตทิ ้องถ่ินเพื่อคุ้มครองสิทธิของวัยร่นุ 110
เอกสารอ้างอิง กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข. สุขใจ ได้เป็นพ่อ: พอ่ แมท่ ุกคนตอ้ งอ่าน เพื่อร่วมมือกันเปน็ หุน้ สว่ นชีวิต. นนทบุร.ี กรมอนามัย; 2552. กรมอนามยั กระทรวงสาธารณสข.ุ คมู่ อื โรงเรียนพอ่ แม่กระทรวงสาธารณสขุ.กรงุ เทพมหานคร: โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์ การเกษตรแห่งประเทศไทย; 2550. สมศักด์ิ ตั้งตระกลู , บรรณาธกิ าร นรีเวชวิทยาและการวางแผนครอบครวั กรุงเทพฯ : สานักพมิ พขาวฟาง, 2554. สุวชัย อินทรประเสริฐ, พนั ธศักด์ิ ศุกระฤกษ และอราม โรจนสกุล, บรรณาธกิ าร วิทยาการกาวหนาในการเจริญ พันธุ และวางแผนครอบครัว ภาควิชาสูติศาสตร-นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลยั มหดิ ล. กรงุ เทพฯ : สานกั พิมพขาวฟาง, 2560. สุวชัย อินทรประเสริฐ, บรรณาธิการ การวางแผนครอบครัวประชากรและเทคโนโลยีการคุมกาเนิด พิมพคร้ัง แรก, กรงุ เทพฯ : สานกั พิมพขาวฟาง, 2559. สุรศักด์ิ ฐานีพานิชสกุล, ดารง เหรียญประยูร, สมชัย นอรุตติศาสน และอรรณพ ใจสาราญ, การวางแผน ครอบครัว และเทคโนโลยกี ารคมุ กาเนิด กรุงเทพฯ :บรษิ ทั ดไี ซรจากัด, 2549. 111
ใบกิจกรรม ชื่อ-สกลุ ............................................................. รหัสประจาตวั นสิ ิต................................................ ชื่อรายวชิ า ................................................................................. รหัสวชิ า ............................ กลุ่มที่เรยี น .................. ใบงานท่ี ............................. วนั ที่ .................................................................................................. อาจารย์ผู้สอน................................................................................................................................. โจทย์ ใหน้ ิสิตสบื คน้ case กรณศี กึ ษาเกี่ยวกบั ผู้มีปัญหาดา้ นการเตรยี มความพร้อมสู่การมีครอบครัว ในแต่ ละมิตทิ ่แี ตกต่างกัน อยา่ งน้อย 1 มิติ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 112
บทที่ 6 การดูแลสุขภาพดว้ ยภูมิปญั ญาไทยและสากลภายใตห้ ลกั เศรษฐกจิ พอเพยี งท่สี อดคลอ้ งกับ บริบทไทยและวิถีชีวติ ไทย วตั ถุประสงค์เชงิ พฤตกิ รรม เม่อื นสิ ิตศกึ ษาเอกสารและทากจิ กรรมต่าง ๆ ในหนว่ ยการเรียนน้ีแล้ว นิสติ สามารถ 1. อธิบายปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียง และสามารถประยุกตใ์ ช้ในชีวติ ประจาวนั ได้ 2. อธบิ ายหลกั เศรษฐกจิ พอเพยี งกบั การดแู ลสุขภาพของคนไทย วธิ ีการสอน/กจิ กรรมการเรียนการสอน 1. กจิ กรรมการเรยี นการสอน เพ่ือบรรลวุ ตั ถปุ ระสงค์ 1.1 บรรยาย ถามตอบ การซกั ถาม และศึกษาเอกสารประกอบ 1.2 ทาแบบฝึกหัดหลังบทเรียน การประเมินผลลพั ธก์ ารเรียนรู้ 1. การสอบ 2. การมีสว่ นรว่ มในชน้ั เรียน 113
บทนา ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงซึ่งเป็นปรัชญาท่ีพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้ พระราชทานพระราชดาริช้ีแนะแนวทางการดารงอยู่และปฏิบัติตนของประชาชนทุกระดับ ตั้งแต่ระดับครอบครัว ชุมชน จนถึงระดับรัฐ โดยสามารถนาไปประยุกต์ใช้ได้กับทุกเร่ืองไม่เฉพาะเรื่องของเศรษฐกิจเท่านั้น โดยความ พอเพียงหมายถงึ ความพอประมาณ ความมีเหตุมีผล และการมีระบบภูมิคุม้ กนั ในตัวทีด่ ีต่อผลกระทบใด ๆ อันเกดิ จาก การเปล่ยี นแปลงทง้ั ภายในและภายนอก ซง่ึ ในด้านการแพทย์ การสาธารณสขุ และเร่ืองของสุขภาพน้นั สามารถนาไป ประยุกต์ใช้ได้ นาไปสู่การมีสุขภาพแบบพอเพียง เกิดภาวะสุขภาพดีอย่างยั่งยืนพร้อมรับการเปล่ียนแปลงต่อ สถานการณต์ า่ ง ๆ ทีเ่ กดิ ขนึ้ เนอ้ื หา 1. ตอนที่ 1 หลกั ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียง 1.1 ความเป็นมาและความหมาย 1.2 หลกั ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียง 1.3 การประยกุ ต์ใช้หลักเศรษฐกจิ พอเพยี งในชีวิตประจาวนั และการดาเนนิ ชวี ิต 2. ตอนท่ี 2 หลกั เศรษฐกจิ พอเพยี งกบั การดแู ลสขุ ภาพของคนไทย 2.1 การดแู ลสุขภาพของคนไทยตามหลกั เศรษฐกิจพอเพยี ง 2.2 การสร้างเสรมิ สขุ ภาพในการแพทย์แผนไทย : แนวคดิ พนื้ ฐานการแพทยแ์ ผนไทย 3. ตอนท่ี 3 การสร้างเสรมิ สขุ ภาพในการแพทยแ์ ผนไทย : หลักปฏิบตั เิ พอื่ ใหค้ นไทยมสี ขุ ภาพดี 4. ตอนท่ี 4 หลักการสร้างเสรมิ สุขภาพในการแพทยแ์ ผนไทยบนพื้นฐานของปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพียง 4.1 หลักการสรา้ งเสริมสุขภาพในการแพทยแ์ ผนไทยบนพ้นื ฐานของปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพยี ง 4.2 ภูมปิ ัญญาการใช้สมุนไพรในการดูแลสขุ ภาพ 114
ตอนท่ี 1 หลักปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียง 1.1 ความเปน็ มาของหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียง คนไทยเร่ิมเรยี นรเู้ กย่ี วกับสาระสาคญั หลกั ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียงต้ังแต่ พ.ศ. 2517 จากการท่ี พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยูห่ วั ไดท้ รงเตือนลว่ งหนา้ ใหม้ คี วามระมัดระวังเกี่ยวกับความสมดลุ ดา้ นเศรษฐกจิ และสงั คม ของประเทศ และทรงแนะแนวทางการพฒั นาประเทศอย่าง “เป็นลาดบั ข้ัน” ดังตอนหนึ่งในพระราชดารสั ความวา่ “...การพฒั นาประเทศนน้ั จาเปน็ ตอ้ งทาตามลาดับขน้ั เริ่มดว้ ยการสร้างพ้นื ฐาน คือความมีกินมใี ชข้ องประชาชนกอ่ นดว้ ยวิธีการ ท่ีประหยดั ระมดั ระวัง แต่ถกู ต้องตามหลกั วิชา เมอื่ พ้นื ฐานเกดิ ขึ้น มัน่ คงพอควรแลว้ จึงคอ่ ยสรา้ งเสริมความเจรญิ ขน้ั ทสี่ งู ขน้ึ ตามลาดับตอ่ ไป... ดว้ ยความรอบคอบระมัดระวังและประหยัดนั้น กเ็ พ่อื ปอ้ งกัน ความผดิ พลาดล้มเหลว และเพอ่ื ให้บรรลผุ ลสาเร็จได้แนน่ อนบรบิ ูรณ.์ ..” พระบรมราโชวาทในพธิ ีพระราชทานปรญิ ญาบัตร ของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 19 กรกฎาคม 2517 การตระหนักอย่างจริงจังถึงความหมายของปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียงไดเ้ รมิ่ เกดิ ขน้ึ ภายหลังวกิ ฤต เศรษฐกิจใน พ.ศ. 2540 ซึง่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หวั ทรงยา้ ใหเ้ ห็นความสาคัญท่มี เี ศรษฐกจิ แบบ “พอมีพอกิน” พัฒนาคนใหส้ ามารถ “อุ้มชตู ัวเองได้” และไดท้ รงอธิบายความหมายของเศรษฐกจิ พอเพยี ง “...พอเพยี ง น้ีกห็ มายความวา่ มกี ินมีอยู่ ไมฟ่ ุ่มเฟือย ไมห่ รหู ราก็ได้ แต่ว่าพอ... คนเราถา้ พอในความตอ้ งการ กม็ คี วามโลภนอ้ ย เม่อื มีความโลภน้อย ก็เบยี ดเบยี นคนอนื่ น้อย ถ้าทุกประเทศมีความคิด-อันนไ้ี มใ่ ชเ่ ศรษฐกจิ -มคี วามคดิ วา่ ทาอะไรต้องพอเพยี ง หมายความวา่ พอประมาณ ไมส่ ุดโตง่ ไม่โลภอยา่ งมาก คนเรากอ็ ย่เู ปน็ สุข. พอเพียงนอ้ี าจจะมีมาก อาจจะมีของหรูหรากไ็ ด้ แตว่ า่ ต้องไม่ไปเบยี ดเบยี นคน อ่ืน. ต้องใหพ้ อประมาณตามอตั ภาพ พูดจาก็พอเพียง ทาอะไรกพ็ อเพยี ง ปฏบิ ตั ติ นกพ็ อเพียง..” พระราชดารสั เนอื่ งในโอกาสวันเฉลมิ พระชนมพรรษา : 4 ธันวาคม 2541 ต่อมา เม่ือวันที่ 22 เดือนตุลาคม พ.ศ. 2542 สานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคม แหง่ ชาตไิ ด้นาความขึ้นกราบบังคมทูลขอพระราชทานพระบรมราชวนิ ิจฉัยและขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตที่ จะเผยแพร่บทความท่ีอธิบาย “ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” ท่ีได้มาจากการเชิญผู้ทรงคุณวุฒิในทางเศรษฐกิจ และสาขาอน่ื ๆ จานวนหนึง่ มาร่วมกันประมวลพระราชดารัสเร่ืองเศรษฐกิจพอเพยี งและพระราชดารัสอื่นที่เกี่ยวข้อง และเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2542 สานักราชเลขาธิการได้มีหนังสือถึงประธานคณะกรรมการพัฒนาการ เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติแจง้ ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาปรับปรุงแก้ไขพระราชทานและทรง พระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้นาบทความดังกล่าวไปเผยแพร่ได้ เพื่อเป็นหลักคิดและ แนวทางปฏบิ ตั แิ ก่สานกั งานฯ เจ้าหนา้ ท่ีของรัฐ นกั ทฤษฎี นักธรุ กิจ ตลอดจนประชาชนทวั่ ไป 115
สรปุ ความเปน็ มาของหลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ปฐมบรมราโชวาท “พอประมาณ” ในหลวง รชั กาล 9 ทรงแกไ้ ขปรบั ปรุงพระราชทาน เก่ียวกับความพอเพียง “ไม่โลภ ไมส่ ดุ โต่ง” และพระราชทานพระบรมราชานญุ าต “พัฒนาตามลาดบั ขนั้ ” “พอมี พอกนิ พอใช้” “พอเพยี ง” ใหอ้ ัญเชญิ ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง เป็น 2541/ 2542 แนวทางในการพัฒนาฯ ตามคาขอของ สศช. 2517 29 พฤศจิกายน 2542 2540 2542 ปรัชญานาทางในการทาแผนพัฒนาเศรษฐกจิ วิกฤตเศรษฐกิจ สศช. ประมวล กล่ันกรอง และสงั คมแห่งชาติ “ตม้ ยากุง้ ” คานยิ าม ความหมาย ฉบบั ที่ 9 และฉบบั ที่ 10 ขอพระราชทานพระบรมราชานญุ าต 1.2 หลักปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียงตามทไ่ี ดร้ บั พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้เผยแพร่ (ท่มี า: สานกั งาน คณะกรรมการพฒั นาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สคช.)) “เศรษฐกิจพอเพียง” เป็นปรัชญาท่ีชี้ถึงแนวการดารงอยู่และปฏิบัติตน ของประชาชนในทุกระดับ ต้ังแต่ ระดับครอบครัว ระดับชุมชน จนถึงระดับรัฐ ทั้งในการพัฒนาและบริหารประเทศ ให้ดาเนินไปในทางสายกลาง โดยเฉพาะการพัฒนาเศรษฐกจิ เพอ่ื ใหก้ ้าวทันตอ่ โลกยุคโลกาภิวัตน์ ความพอเพยี ง หมายถงึ ความพอประมาณ ความมเี หตุผล การสรา้ งภูมคิ ุม้ กนั ในตัวท่ีดีพอสมควร ตอ่ การ มผี ลกระทบใด ๆ อนั เกดิ จากการเปล่ยี นแปลงทั้งภายนอกและภายใน ท้ังน้จี ะต้องอาศัยความรอบรู้ ความรอบคอบ และความระมดั ระวังอย่างย่งิ ในการนาวิชาการต่าง ๆ มาใช้ใน การวางแผนและการดาเนินการทุกข้ันตอน การเสริมสร้างจิตใจของคนในชาติ โดยเฉพาะเจ้าหน้าท่ขี องรฐั นักทฤษฎี และนกั ธุรกจิ ในทุกระดับ ให้มีสานึกในคุณธรรม ความซ่ือสัตย์ สุจริต และให้มีความรอบรู้ทเ่ี หมาะสม ดาเนนิ ชวี ติ ดว้ ย ความอดทน ความเพียร มีสติ ปัญญา และความรอบคอบ เพื่อให้เกิดความสมดุลและพร้อมต่อการรองรับการ เปลยี่ นแปลงอย่างรวดเร็วและกวา้ งขวาง ทัง้ ทางวตั ถุ สังคม สิง่ แวดล้อม และวัฒนธรรม จากโลกภายนอกได้เปน็ อยา่ ง ดี จากความหมายข้างต้น เม่ือนามาวิเคราะห์โดยใช้วิธีการจาแนกวิเคราะห์ (parsing) ซ่ึงเป็นหลักวิธีทาง ตรรกศาสตร์โดยทาความเข้าใจความเชื่อมโยงของแต่ละข้อความ และประโยคที่อธิบาย “ปรัชญาของเศรษฐกิจ พอเพียง” ซึง่ สามารถจาแนกไดเ้ ป็น 5 สว่ น ดงั รายละเอียดต่อไปนี้ 1. กรอบแนวคดิ เป็นปรัชญาทช่ี ี้แนะแนวทางการดารงอยู่และปฏิบัติตนในทางท่ีควรจะเป็น โดยมีพ้นื ฐาน มาจาก วิถีชีวิตดั้งเดิมของสังคมไทย สามารถนามาประยุกต์ใช้ได้ตลอดเวลา และเป็นการมองโลกเชิง ระบบที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา มุ่งเน้นการรอดพ้นจากภัย และวิกฤต เพ่ือความมั่นคงและ ความย่งั ยืนของการพฒั นา 2. คุณลักษณะ เศรษฐกิจพอเพียงสามารถนามาประยุกต์ใช้กับการปฏิบัติตนได้ทุกระดับ โดยเน้นการ ปฏบิ ัติบนทางสายกลาง และการพฒั นาอยา่ งเป็นข้ันเป็นตอน 3. คานยิ าม ความพอเพียงต้องประกอบดว้ ย 3 คณุ ลักษณะ พร้อม ๆ กัน ดงั น้ี 116
ความพอประมาณ (Moderation) หมายถึง ความพอดีต่อความจาเป็นและเหมาะสมกับฐานะ ของตนเอง สงั คม สิง่ แวดล้อม รวมท้ังวฒั นธรรมในแต่ละท้องถ่นิ ไมม่ ากเกินไป ไมน่ ้อยเกนิ ไป ตอ้ ง ไมเ่ บียดเบยี นตนเองและผู้อ่นื และเป็นการบริหารทรพั ยากรใหเ้ กิดการใช้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด ซ่ึงเมื่อพิจารณาจากสภาพสังคมและวัฒนธรรมไทย จะพบว่าความพอประมาณนั้น นับเป็นแนว ปฏบิ ัติท่ีมีมายาวนานแล้ว สังเกตได้จากการดาเนินชีวิตของคนไทย “พออยู่ พอกิน” “พ่ึงตนเอง” “ประหยดั เรยี บง่าย และได้ประโยชนส์ ูงสดุ ” ความมีเหตุผล (Reasonableness) หมายถึง การตัดสินใจเกี่ยวกับระดับของความพอเพียง และ การดาเนินการอย่างพอเพียงน้ันต้องเป็นไปอย่างมี เหตุผลตามหลักวิชาการ หลักกฎหมาย หลัก คุณธรรม และวัฒนธรรมท่ีดีงามโดยคานึงถึงปัจจัยท่ีเก่ียวข้อง ตลอดจนคานึงถึงผลท่ีคาดว่าจะ เกิดขึ้นจากการกระทานั้น ๆ อย่างรอบคอบถ้วนถี่ “รู้จุดอ่อน จุดแข็ง โอกาส อุปสรรค” และ คาดการณ์ผลท่ีจะเกิดข้ึนอย่างรอบคอบ “รู้เขา รู้เรา รู้จักเลือกนาสิ่งท่ีดีและเหมาะสมมา ประยุกต์ใช้” ท้ังน้ีความมีเหตผุลในปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง มีความหมายท่ีสะท้อนถึงความ เขา้ ใจผลท่ีเกิดขน้ึ จากการกระทา ณ สถานการณใ์ ดสถานการณ์หน่งึ โดยความมเี หตผุ ลจะเกดิ ขึน้ ได้ ต้องอาศัยการส่ังสมความรู้และประสบการณ์มาอย่างต่อเนื่อง มีการศึกษาข้อมูลอย่างเป็นระบบ และรู้วิธีประมวลปัจจัยท่ีซับซ้อนมาประยุกต์ใช้ในการตัดสินใจ เพื่อให้ความคิดและการกระทาอยู่ ในกรอบที่ถูกต้องตามหลักเหตุผล ดังนั้น ความมีเหตุผลในหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เนน้ การตดั สนิ ใจ และการปฏิบัติบนพนื้ ฐานของความรู้และประสบการณ์ การมีภูมิคุ้มกันทีด่ ีในตวั (Self-Immunity) หมายถึง การเตรียมตัวให้พรอ้ มรับผลกระทบและการ เปลีย่ นแปลงด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และ วัฒนธรรมจากท้ังในประเทศและต่างประเทศ เพื่อให้สามารถบริหารความเส่ยี ง ปรบั ตัว และรับมือไดอ้ ย่างทันท่วงที โดยคานึงถึงความเปน็ ไปได้ ของสถานการณ์ ต่าง ๆ ที่คาดว่าจะเกิดข้ึนในอนาคตท้ังในระยะสั้นและระยะยาว ทั้งนี้ การมี ภูมิคุ้มกันในตัวที่ดีอาจเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติหรือเกิดจากความไม่ประมาท ซึ่งต้องดาเนินไป พร้อม ๆ กับความมีเหตุผลและความพอประมาณ หลีกเล่ียงความต้องการท่ีเกินพอดีของแต่ละ บุคคล เป็นการสร้างวินัยในตัวเองให้เกิดขึ้นในระดับบุคคล เพื่อปกป้องตัวเองจากกระแสบริโภค นิยม หรอื ความเปล่ยี นแปลง ท่เี กิดขนึ้ จากกระแสโลกาภิวตั น์ต่าง ๆ เปน็ กลไกการรองรบั ผลกระทบ จากสถานการณ์ต่าง ๆ โดยดาเนินการอย่างเป็นข้ันเป็นตอน เร่ิมจากการ “แก้ไขปัญหาที่จุดเล็ก” หรอื คิด Macro ทา Micro 4. เงื่อนไข การตัดสินใจและการดาเนินกิจกรรมต่าง ๆ ให้อยู่ในความพอเพียงนั้น ต้องอาศัยความรู้ และ คณุ ธรรมเปน็ พ้ืนฐาน กล่าวคอื เงื่อนไขความรู้ (Set of Knowledge) ประกอบดว้ ย ก. ความรอบรู้ คือ มีความรู้เก่ียวกับวิชาการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างรอบด้าน โดยครอบคุลม เนื้อหาของเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อใช้เป็นพ้ืนฐานสาหรับการนาไปใช้ในโอกาสและเวลา ตา่ ง ๆ ข. ความรอบคอบ คอื ความสามารถท่ีจะนาความรแู้ ละหลักวิชาต่าง ๆ เหล่านัน้ มาพจิ ารณาให้ เช่อื มโยงสัมพนั ธ์กัน (connectivity of all acquired knowledge) เพอ่ื ประกอบการวางแผน ก่อนทจี่ ะนาไปประยกุ ต์ใช้ในการปฏิบตั ทิ ุกขนั้ ตอน ค. ความระมัดระวัง คอื ความมีสติ ในการนาแผนปฏบิ ตั ิท่ีต้ังอยู่บนหลักวชิ าตา่ ง ๆ เหล่านนั้ ไปใช้ ในทางปฏิบัติ (utilization of knowledge at any point of time with carefulness and attentiveness) เง่ือนไขคณุ ธรรม (Ethical Qualification) ประกอบดว้ ย 117
ก. ด้านจติ ใจ/ปญั ญา โดยเน้นการเสรมิ สรา้ งให้จิตใจมคี วามตระหนักในคณุ ธรรม มคี วามซื่อสตั ย์ สจุ ริต และมีความรอบรู้ทีเ่ หมาะสม ข. ด้านการกระทา หรือแนวทางในการดาเนนิ ชีวติ โดยเนน้ ความอดทน มคี วามเพียร ใช้ สติปัญญาในการดาเนินชวี ติ ไมโ่ ลภ และไม่ตระหน่ี และความรอบคอบ 5. แนวทางปฏบิ ตั ิ/ผลทค่ี าดวา่ จะได้รบั เพ่ือให้สมดลุ และยั่งยืน พร้อมรับตอ่ การเปลีย่ นแปลงอยา่ ง รวดเรว็ และกวา้ งขวางท้ังดา้ นวตั ถุ สงั คม ส่งิ แวดลอ้ ม และวฒั นธรรมจากโลกภายนอกไดเ้ ปน็ อย่างดี ความหมาย ประกอบด้วย ก. การนาปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกตใ์ ช้ จะทาใหเ้ กิดทง้ั วิถกี ารพัฒนา (development path) และผลของการพฒั นา (development goal) ทส่ี มดลุ (balance) และพรอ้ มรบั ต่อการเปล่ยี นแปลง (internal consistency between means and ends) กล่าวคือ - ความพอเพยี ง เป็นท้ังวธิ กี าร (means) ทค่ี านึงถงึ ความสมดุล-พอประมาณอยา่ ง มีเหตุผล-และการสรา้ งงภมู คิ ุ้มกนั ทีเ่ หมาะสม - ในขณะเดียวกันกน็ าไปสู่ผลของการกระทา (ends) ทกี่ ่อให้เกดิ ความสมดุลและ พร้อมรบั ต่อการเปลยี่ นแปลง ข. ความสมดลุ (balance) และพรอ้ มรบั ตอ่ การเปลยี่ นแปลงหมายถึง - ความสมดุล (balance) ในทุกด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และ ความรู้/ เทคโนโลยี ในขณะเดียวกันความสมดุลของการกระทาทง้ั เหตุและผลท่ี เกิดขึ้นในมิติของเวลาก็จะนาไปสู่ ความย่ังยืนของการพัฒนาหรือความดารงอยู่ อย่างต่อเนื่อง (sustainability) ของทุนในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นทุนทาง เศรษฐกิจ ทุนทางสังคม ทุนทางส่ิงแวดล้อม และทุนทางภูมิปัญญาและ วัฒนธรรม ภายใตก้ ระแสโลกาภิวตั นแ์ ละความเปล่ยี นแปลงตา่ ง ๆ - ความพร้อมต่อการรองรับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและกว้างขวาง (flexible and adaptable) ตอ่ ผลกระทบจากดา้ นตา่ ง ๆ ได้แก่ ดา้ นวัตถุ สังคม สิง่ แวดลอ้ ม และวฒั นธรรมจากโลกภายนอก 118
หลกั ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียง 2 เงอ่ื นไขพืน้ ฐาน ความรู้ คุณธรรม รอบรู้ในวชิ าการทีเ่ ก่ยี วขอ้ ง ตระหนกั ในคุณธรรมเปน็ พื้นฐาน รอบคอบในการนาความรู้ไปใช้ ซื่อสตั ยส์ ุจรติ ขยันอดทน มคี วามเพียร ระมัดระวังในขน้ั ตอนปฏบิ ตั ิ ใช้สติปญั ญาในการดาเนนิ ชวี ติ พอประมาณ 3 หลกั การ มภี ูมิคมุ้ กนั ในตัวท่ดี ี พอเหมาะ พอดี พอควร พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงและความ ใช้ศกั ยภาพของตนเองเตม็ ที่ มเี หตผุ ล เสีย่ งทจ่ี ะเกดิ ขึ้น วางแผนรอบคอบ ใช้ทรพั ยากรทีม่ ีให้เกดิ ประโยชน์ รสู้ าเหตุ-ทาไม เพราะเหตใุ ด ไมป่ ระมาท รปู้ ัจจยั ทเี่ กย่ี วขอ้ ง รู้ผลกระบทบท่จี ะเกิดข้ึน สมดุลและพรอ้ มรบั การเปลยี่ นแปลงท้งั 4 มติ ิ มิตวิ ัตถุ มิตสิ ังคม ประหยดั คมุ้ ค่า เออื้ เฟือ้ ไม่เบียดเบยี น มติ ิวฒั นธรรม มติ ิส่ิงแวดลอ้ ม เหน็ คุณคา่ ภูมิปญั ญา ความเปน็ ไทย มีจติ สานกึ รว่ มอนรุ กั ษ์ 1.3 การประยุกต์ใชห้ ลักเศรษฐกจิ พอเพียงในชีวิตประจาวันและการดาเนินชวี ิต หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (Sufficiency Economy Philosophy) เป็นหลักคิด หลักปฏิบัติเพ่ือ ความสมดุลมน่ั คง ก้าวหนา้ และยั่งยนื เปน็ กรอบแนวคิดเพอ่ื การตัดสนิ ใจ ทนี่ าไปสู่ความสาเรจ็ และการพัฒนาท่ีย่งั ยืน และเป็นหลักกการท่ีสามารถนาไปใช้ได้ในทุกิจกรรม ทุกการกระทา ทุกการดาเนินงานในทกุ ระดับตัง้ แต่ระดับบุคคล ระดบั ครอบครวั ระดบั ชุมชน และระดบั ประเทศ การประยุกต์ใช้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เริ่มได้จากจากระดับเล็กที่สุดคือบุคคลและครอบครัว โดย การเรียนรู้ที่จะพ่ึงพาตนเอง มีเหตุผล ใช้ชีวิตอย่างสมดุล บนทางสายกลาง สร้างโอกาสในการเรียนรู้ประสบการณ์ และทักษะต่าง ๆ เพ่ือสามารถรู้เท่าทันการเปล่ียนแปลง ยกระดับตนเองด้านคุณธรรม พร้อมกาหนดเป้าหมายการ ดาเนินชีวติ อยา่ งเป็นขนั้ เป็นตอน ทัง้ น้หี ลกั คดิ หลักปฏบิ ัติ อาศยั “2 เงื่อนไข 3 หลกั การ 4 มิติ” ตัวอยา่ งเช่น 119
การประยกุ ต์ใชห้ ลกั เศรษฐกจิ พอเพยี งในชีวติ ประจาวัน “ถอดบทเรียน 2 เงือ่ นไข -3 หลักการ -4 มิติ การ แปรงฟนั ตามหลักเศรษฐกิจพอเพยี ง” ความร้ทู ถ่ี กู ต้อง พอประมาณ ีมเี หตุผล รู้จกั ลักษณะสุขภาพปากและ เลอื กยาสฟี ัน แปรงสฟี นั ท่ี เพ่ือความสะอาดฟันและ ฟันของตนเอง เหมาะสม ชอ่ งปาก รู้หลกั การ วิธีการแปรงฟันที่ บบี ยาสีฟันพอดี ป้องกันฟนั ผุ ถูกต้อง ใชเ้ วลาเหมาะสม รกั ษาสุขภาพปากและ รู้จักยาสีฟนั แปรงสฟี นั ไมเ่ ปิดนา้ ท้ิง ฟัน คณุ ธรรมทเ่ี กย่ี วข้อง มภี ูมิคมุ้ กันในตวั ทีด่ ี มวี ินัย อดทน ซ่อื สตั ย์ มสี ติ ระมดั ระวัง มีสติตอนแปรงฟัน มยี าสีฟนั สารอง มนี ้าในถังสารอง เปลี่ยนแปลงสฟี นั ทกุ 3 เดือน เง่อื นไขพนื้ ฐาน หลักในการวางแผนและการตดั สินใจ การแปรงฟันอย่างพอเพียง : เปา้ หมายเพอ่ื ความสมดุลและพร้อมต่อ การรองรับความเปลยี่ นแปลง “วัตถุ สงั คม ส่ิงแวดลอ้ ม วฒั นธรรม” • จะส่งผลใหส้ ุขภาพปากและฟนั แขง็ แรง ลด การเปน็ โรคในชอ่ งปาก • ประหยดั คา่ รกั ษาพยาบาล คา่ ทาฟนั • ไมส่ นิ้ เปลอื งน้าและยาสีฟนั • ไมม่ กี ลนิ่ ปากรบกวนผอู้ ่นื • ย้มิ ได้อย่างมน่ั ใจ วฒั นธรรมยมิ้ สยาม • ใช้ยาสีฟนั สมนุ ไพรไทย • ร่วมรกั ษาและสบื สานภูมิปัญญาไทย 120
การประยุกตใ์ ชห้ ลักเศรษฐกจิ พอเพียงในการดาเนนิ ชีวติ “ถอดบทเรยี น 2 เงือ่ นไข -3 หลักการ -4 มิติ การวางแผนออกกาลงั กายตามหลกั เศรษฐกจิ พอเพียง” ความรทู้ ี่ถกู ต้อง พอประมาณ มภี มู คิ มุ้ กันในตัวทดี่ ี รู้วธิ กี ารเลน่ ทีถ่ กู ตอ้ ง เลอื กชนิดกีฬาให้เหมาะสมกับตนเอง ปอ้ งกนั อันตรายทเ่ี กดิ จากการเลน่ รู้กฏ กติกา มารยาท รู้ประโยชนข์ องการเล่น เลน่ กฬี าหรอื ออกกาลังกายใหพ้ อดี ไม่ อบอนุ่ ร่างกายกอ่ นเลน่ กฬี าเพ่อื มากหรือนอ้ ยเกินไป ป้องกันการบาดเจ็บ คลายกล้ามเนื้อหลังเล่น คุณธรรมท่ีเกย่ี วข้อง แบ่งเวลาให้เหมาะสม กฬี าเพือ่ ให้ร่างกายฟืน้ คนื สภาพปกติ มีนา้ ใจนักกีฬา อดทน มีวนิ ัย มีสติ มีเหตผุ ล ระมัดระวัง เพ่อื สุขภาพทแ่ี ข็งแรง เง่ือนไขพืน้ ฐาน หลกั ในการวางแผนและการตดั สนิ ใจ การออกกาลงั กายอยา่ งพอเพยี ง : “วัตถุ สงั คม เป้าหมายเพ่อื ความสมดุลและ พรอ้ มต่อการรองรับความ สิง่ แวดลอ้ ม วฒั นธรรม” เปลี่ยนแปลง สขุ ภาพแข็งแรงไมเ่ จบ็ ปว่ ยงา่ ย ทาใหไ้ ม่ต้องเสยี งบประมาณใน การรักษา สามารถทางานไดอ้ ยา่ งมีประสิทธภิ าพ อปุ กรณ์กฬี าใชไ้ ดน้ าน ใช้ไดท้ น ชว่ ยลดขยะพิษ ทาให้มีสมั พันธภาพท่ีดีต่อกัน มที ักษะในการทางานเปน็ ทีม การเล่นกีฬาประจาชาติ ประจาทอ้ งถ่นิ ต่าง ๆ ทาให้ได้เรยี นรู้ เร่ืองศลิ ปวัฒนธรรมของแต่ละชาติแต่ละทอ้ งถ่ินเพ่มิ ขึ้น เรยี นร้มู ารยาทในการทางานร่วมกันซ่งึ เปน็ พืน้ ฐานของการอยู่ ในสังคมท่ีมีความแตกต่างไดอ้ ยา่ งมคี วามสุข สรปุ ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียงเป็นหลักคดิ หลักปฏิบัติที่เหมาะกบั พ้ืนฐานสงั คมไทย เพื่อการตดั สินใจในการ ดาเนินชีวติ อยา่ งสมดุล ม่ันคงและยัง่ ยนื ในระยะยาว ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงของปัจจยั ต่างๆ โดยพจิ ารณา ในหลายมติ เิ ปน็ องครว์ ม ยึดหลกั ทางสายกลาง มีองคป์ ระกอบคือ ความพอประมาณ ความเหตุผล และการมภี ูมคิ ้มุ กนั ทด่ี ตี อ่ การเปลี่ยนแปลง โดยมเี งือ่ นไขพื้นฐาน คอื ความรูแ้ ละคณุ ธรรม เปน็ หลักกการท่ีสามารถนาไปใชไ้ ดใ้ นทุกจิ กรรม ทุกการกระทา ทกุ การดาเนินงานในทกุ ระดับตัง้ แต่ระดับบคุ คล ระดับครอบครัว ระดบั ชมุ ชน และระดบั ประเทศ 121
ตอนท่ี 2 หลกั เศรษฐกจิ พอเพยี งกบั การดูแลสขุ ภาพของคนไทย 2.1 'เศรษฐกจิ พอเพียง' กบั การดูแลสขุ ภาพของคนไทย ปัจจุบันมีการเปล่ียนแปลงของสิ่งแวดล้อมและสังคมโลก ร่วมกับธรรมชาติของโรคก็มีการเปล่ียนแปลง เช่นกัน ประเทศไทยได้มีการน้อมนาศาสตร์ของพระราชา “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” ที่พระบาทสมเด็จพระ ปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลท่ี 9 ทรงมีพระราชดารัสชี้แนะแนวทางการดาเนินชีวิตแก่ประชาชนชาวไทย ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2517 โดยมุ่งเน้นให้ประชาชนสามารถดารงอยู่ได้ อย่างมั่นคงภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์ ความ เปล่ียนแปลง และแรงกดดนั ตา่ ง ๆ ท่ีเกิดข้ึนกบั สังคมไทยและสังคมโลก รฐั บาลได้เร่ิมประกาศชั้นแผนพัฒนาสุขภาพแห่งชาตฉิ บบั ที่ 12 (2560-2564) โดยแผนดงั กลา่ วถูกกาหนดให้ มคี วามสอดคลอ้ งกับยทุ ธศาสตร์ชาติ 20 ปี ท่รี ัฐบาลฯพณฯพลเอก ประยุทธ์ จันทรโ์ อชา กาหนดขึ้นเพ่ือเป็นกรอบใน การพฒั นาประเทศใหบ้ รรลวุ สิ ัยทศั น์ \"ประเทศมีความมัน่ คง ม่งั คง่ั ยัง่ ยนื เป็นประเทศทพ่ี ฒั นาแล้ว ดว้ ยการพฒั นา ตามปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพียง\" ดังน้ันเพื่อเป็นการวางรากฐานของระบบสุขภาพให้เข้มแขง็ และสามารถต่อยอดให้ เกิดผลสัมฤทธิ์ได้อย่างต่อเน่ือง รัฐบาลจึงกาหนดวิสัยทัศน์ในการทาแผนพัฒนาสุขภาพแห่งชาติฉบับนี้ไว้ว่า \"ระบบ สขุ ภาพไทยเขม้ แข็ง เป็นเอกภาพ เพ่อื คนไทยสุขภาพดี สรา้ งประเทศใหม้ ัน่ คง มัง่ ค่ัง และยั่งยนื \" ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพยี งยึดคนเป็นศนู ยก์ ลางการพฒั นา และชถี้ ึงแนวการดารงอยแู่ ละปฏิบตั ติ นตงั้ แต่ระดบั บคุ คล ระดบั ครอบครัวและระดบั ชุมชน โดยใหม้ กี ารดาเนนิ ไปในทางสายกลาง รวมทงั้ ปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพียงยังยดึ หลกั การมีส่วนรว่ มของประชาชน โดยเชื่อว่าการพัฒนาคนตอ้ งเรมิ่ ต้นจากการทีป่ ระชาชนสามารถพึง่ ตนเองได้ แลว้ จงึ สร้างเครอื ขา่ ยการพัฒนาเชือ่ มโยงสคู่ รอบครัวและชมุ ชนภายนอก เพ่อื ความอยู่ดีมสี ขุ แนวคิดปรัชญาเศรษฐกิจแบบพอเพียงสามารถนามาประยุกต์ใช้กับสุขภาพได้ โดยเร่ิมท่ีตัวบุคคล เน่ืองจาก บุคคลทุกคนมีศักยภาพในการดูแลสุขภาพตนเอง เม่ือบุคคลมีความตระหนักและมีความรู้เรื่องสุขภาพ บุคคลนั้นจะ พยายามคดิ อย่างรอบคอบและมีเหตผุ ลด้วยความรู้ท่มี อี ยู่ในการดแู ล จัดการ ปอ้ งกันและสรา้ งเสรมิ สขุ ภาพของตนเอง ร่วมกับมีวินัยและอดทนในการปฏิบัติการดูแลอย่างต่อเน่ือง เม่ือบุคคลสามารถรักษาสมดุลและทาให้กายและจิตใจ รวมเป็นอันหน่ึงเดยี วกันได้ กจ็ ะนาไปสกู่ ารมสี ขุ ภาพดี และทาใหส้ ามารถดารงชีวติ ไดอ้ ย่างมีความสุข ประเทศไทยมีการดูแลสุขภาพของตนเองด้วยศาสตร์การแพทย์แผนไทย ซึ่งเป็นภูมิปัญญาไทยในการดูแล รักษาสุขภาพมาเป็นระยะเวลานาน เป็นศาสตร์และศิลป์ในการดูแลสุขภาพของคนไทยท่ีมีความครอบคลุมทั้งการ บาบดั รักษา การปอ้ งกนั โรค การฟน้ื ฟูและส่งเสรมิ สุขภาพ 2.2 การสรา้ งเสริมสุขภาพในการแพทยแ์ ผนไทย : แนวคิดพื้นฐานการแพทย์แผนไทย ประกาศกฎบตั รออตตาวาเพื่อการสร้างเสรมิ สุขภาพ ไดใ้ ห้ความหมายของการสร้างเสรมิ สุขภาพว่าหมายถงึ “กระบวนการทาใหป้ ระชาชนมสี มรรถนะในการควบคมุ และปรบั ปรงุ สขุ ภาพของตนเอง” นยิ ามน้เี ป็นการก้าวขา้ ม จากการมุ่งแกไ้ ขปญั หาสขุ ภาพที่พฤตกิ รรมของบคุ คลไปสูก่ ารปฏิบตั กิ ารทางสงั คมและสง่ิ แวดลอ้ มทหี่ ลากหลาย เพ่อื สร้างสุขภาวะทส่ี มบูรณ์ท้งั ทางกาย จติ ใจ และสังคม การสรา้ งเสรมิ สขุ ภาพมเี ปา้ หมายมงุ่ ไปทก่ี ารเพม่ิ ขดี ความสามารถของบคุ คลและกลมุ่ บคุ คลผทู้ ม่ี คี วามมุ่งมัน่ จะจัดการสุขภาพ ดว้ ยการเปลี่ยนแปลงสงิ่ แวดลอ้ ม หรอื การปรับเปลีย่ นตัวเองใหเ้ ข้ากบั สิ่งแวดล้อมท่เี ปลยี่ นแปลงไป รวมท้งั ควบคุมปัจจยั ตา่ ง ๆ ทีค่ กุ คามสขุ ภาพ เชน่ ความยากจน ความอดอยาก ความไมร่ ู้ การขาดการศกึ ษา การ วา่ งงาน สงิ่ แวดล้อมที่ทาลายสุขภาพ เปน็ ตน้ ขณะเดยี วกันก็ใหค้ วามสาคญั กบั ปจั จยั ทสี่ ง่ เสรมิ สขุ ภาพ เช่น การออก กาลงั กายเพือ่ สขุ ภาพ จิตสานกึ ในเรือ่ งความปลอดภยั การกนิ อาหารทม่ี ีประโยชน์ การอาศัยอยู่ในส่ิงแวดล้อมที่ดี มี สนั ติสขุ มที รัพยากรทยี่ งั่ ยนื มคี วามเป็นธรรมและเสมอภาคทางสงั คม เปน็ ตน้ จากแนวคดิ ดงั กลา่ วข้างตน้ เมื่อนาหลักการสาคัญของการแพทย์แผนไทยมาพจิ ารณา พบวา่ การดูแลสุขภาพ ตามหลกั สขุ ภาพดีดว้ ยการแพทยแ์ ผนไทยอาศัยหลกั การสมดลุ ธาตุ เนื่องจากหากเกิดการเปลี่ยนเปลงความสมดลุ ธาตุ และไมไ่ ดร้ ับการปรบั เปลีย่ นแก้ไขกจ็ ะนามาสู่การเกิดโรค ฉะนน้ั การสร้างสุขภาพ ให้สขุ ภาพดี จงึ จาเป็นตอ้ ง 122
ปรับเปล่ียนวถิ สี ุขภาพในระดับบคุ คล ระดับครอบครวั และชมุ ชน ซง่ึ ในท่นี จ่ี ะขอกล่าวถึงการปรบั เปล่ยี นในระดบั บคุ คล ดงั อธิบายตอ่ ไปน้ี การปรับเปลย่ี นในระดบั บุคคล เปน็ การปรับเปลีย่ นใหส้ อดคลอ้ ง 2 ขอ้ คือ 1. การปรบั เปล่ยี นให้สอดคลอ้ งกับสภาพบุคคล ธาตสุ มุฎฐานและอายสุ มฏุ ฐานในทางการแพทยแ์ ผนไทย คอื หลกั ในการพจิ ารณาเหตุแหง่ การเกิดโรคจาก สภาพบุคคล ซงึ่ เกีย่ วกบั ปกตลิ ักษณะหรืออายขุ องบุคคล ดงั นน้ั การสร้างเสรมิ ตามหลกั น้ี คือการเพมิ่ ขีดความสามารถ ในการปรับตัวของบคุ คลใหส้ อดคลอ้ งกบั ปกตลิ ักษณะ และวัยหรอื อายขุ องแตล่ ะบุคคลนน่ั เอง 2. การปรบั เปล่ียนใหส้ อดคล้องกบั สภาพแวดล้อมทางกายภาพ อุตุสมฎุ ฐาน กาลสมฎุ ฐาน และประเทศสมุฎฐานในการแพทย์แผนไทย คือหลักการพิจารณาความเจ็บป่วย จากสภาพแวดล้อมทางกายภาพที่เปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาล กาลเวลา และภูมิประเทศของถิ่นทีอ่ ยอู่ าศัย ซง่ึ เปน็ ปัจจัยทม่ี ีผลกระทบตอ่ ธาตภุ ายในรา่ งกายของมนษุ ย์ ดังนนั้ การสร้างเสริมตามหลกั นี้ คือ การเพม่ิ ขีดความสามารถใน การปรับตวั ให้สอดคลอ้ งกับฤดกู าล กาลเวลา และภมู ิประเทศทเ่ี ปลยี่ นแปลงไปน่ันเอง ซงึ่ การปรบั เปลยี่ นทง้ั ดา้ นตัวบุคคลเอง หรอื การปรบั เปลีย่ นให้สอดคล้องกบั สภาพแวดลอ้ มทางกายภาพ อาศัยแนวคดิ พ้ืนฐานของการเขา้ ใจสาเหตขุ องการเกิดโรค ดังรายละเอียดต่อไปน้ี แนวคดิ พน้ื ฐานดา้ นการแพทย์แผนไทย แนวคิดเกย่ี วกับสขุ ภาพดา้ นการแพทยแ์ ผนไทย เชอื่ วา่ สาเหตุหรอื มูลเหตขุ องการ เกิดโรคประกอบดว้ ย มูลเหตุการเกิดโรค 6 ประการดงั นี้ 1. ธาตทุ ั้ง 4 (ธาตสุ มฏุ ฐาน) 2. ฤดูกาล (อตุ สุ มุฏฐาน) 3. อายุ (อายุสมฏุ ฐาน) 4. กาลเวลา (กาลสมฏุ ฐาน) 5. ถนิ่ ทอี่ ยู่อาศัย (ประเทศสมฏุ ฐาน) 6. พฤติกรรมมูลเหตุการเกดิ โรค ธาตกุ ับความเจบ็ ป่วย ตามหลักทฤษฎีการแพทย์แผนไทย กล่าวว่า คนเราเกิดมาในร่างกายประกอบด้วยธาตุทง้ั สี่ คือ ธาตุดนิ ธาตุ นา้ ธาตุลม ธาตุไฟ ซ่ึงแตแ่ ละคนจะมธี าตุเด่นแตกตา่ งกัน เป็นธาตุประจาตัวต้ังแต่กาเนิด เรียกวา่ “ธาตเุ จ้าเรือน” ธาตุเจ้าเรือน หมายถึง ลกั ษณะ บุคลิก อปุ นิสัย ท่ีตดิ ตวั มาตัง้ แต่แรกเกิด อาจเปล่ียนแปลงได้ภายหลงั ซ่ึงได้ อิทธิพลมาจากพฤตกิ รรมการเลย้ี งดูสงิ่ แวดลอ้ ม ในทฤษฎกี ารแพทย์แผนไทย ระบุว่าการเกิดรปู ครง้ั แรก (ปฏิสนธ)ิ เกดิ จากอิทธิพลของธาตไุ ฟ จึงก่อให้เกิดธาตอุ ื่นตามมา เม่ือตง้ั ครรภ์ได้ 5 เดอื น นั่นคอื ชีวติ ไดเ้ กดิ แลว้ และด้วยอทิ ธพิ ลของ ธรรมชาติความร้อน เย็น ของภูมิอากาศตามฤดูกาล ทาให้ธาตุทั้ง 4 ของแต่ละคนแตกต่างกันไป ในพระคัมภีร์ปฐม จินดา กลา่ วไว้ว่า เมื่อต้งั ครรภใ์ นฤดูใดใหเ้ อาธาตขุ องฤดนู ้ันเป็นที่ต้ังของธาตุกาเนดิ ของทารก ดังนั้น สามารถแบง่ ธาตุ เจา้ เรือน แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ไดแ้ ก่ 1. ธาตุเจ้าเรอื นกาเนดิ หมายถึง ธาตุที่ตดิ ตวั มาต้งั แต่กาเนิด ผู้ท่เี กดิ เดอื น 5, 6, 7 มธี าตุไฟเปน็ ธาตุเจา้ เรือน ผ้ทู ี่เกิดเดอื น 8, 9, 10 มธี าตุลมเป็นธาตุเจ้าเรือน ผทู้ ี่เกดิ เดอื น 11, 12, 1 มธี าตุนา้ เปน็ ธาตุเจา้ เรือน ผ้ทู ี่เกิดเดอื น 2, 3, 4 มีธาตดุ ินเป็นธาตุเจา้ เรือน แต่คนสว่ นใหญ่มักจะจดจาเฉพาะวันเดอื นปีเกดิ ได้จงึ นาอายคุ รรภ์มาพจิ ารณาแลว้ สามารถประมาณการไดวา ผู้ท่เี กิดเดือน 5, 6, 7 มีธาตุลมเป็นธาตุเจ้าเรือน 123
ผู้ที่เกิดเดอื น 8, 9, 10 มีธาตุนา้ เปน็ ธาตุเจา้ เรือน ผทู้ ี่เกิดเดอื น 11, 12, 1 มธี าตดุ ินเป็นธาตุเจ้าเรือน ผู้ที่เกดิ เดอื น 2, 3, 4 มีธาตไุ ฟเปน็ ธาตุเจ้าเรือน *หมายเหตุนับตามเดอื นจนั ทรคติของไทย 2. ธาตุเจ้าเรือนเรือนปกติลักษณะ หมายถึง ธาตุท่ีแสดงถึงบุคลิกลักษณะของแต่ละบุคคลท่ีเปลี่ยนแปลง จากพฤติกรรม 2.1 ธาตไุ ฟ จะมีลักษณะ มักขี้ร้อน ผมหงอกเร็ว มักหัวล้าน หนังย่น ผม ขนหนวดค่อนข้างนิ่ม ไม่ ค่อยอดทน ใจร้อน มกี ลนิ่ ปาก กลิ่นตัว 2.2 ธาตุลม จะมีลักษณะ มีผิวหนังหยาบแห้ง รูปร่างโปร่ง ผอม ผมบาง ข้อกระดูกลั่นเมื่อ เคลื่อนไหว ขอี้ จิ ฉา ข้ีขลาด รักง่ายหนา่ ยเร็ว ทนหนาวไม่คอ่ ยได้ นอนไม่คอยหลบั ช่างพดู เสียงต่า ออกเสียงไม่ชดั 2.3 ธาตุน้า จะมีลักษณะรูปร่างสมบูรณ์ อวัยวะสมบูรณ์ สมส่วน ผิวพรรณสดใสเต่งตึง ตาหวาน นา้ ในตามาก ทา่ ทางเดินมั่นคง ผมดกดางาม กินช้า ทาอะไรชักช้า ทนหิว ทนรอ้ น ทนเยน็ ไดด้ ี เสียงโปร่ง มีลกู ดกหรือ มีความรสู้ ึกทางเพศดี แตม่ ักเฉ่อื ยและค่อนขา้ งเกียจคร้าน 2.4 ธาตุดิน จะมีลักษณะ รูปร่างสูงใหญ่ ผิวค่อนข้างคล้า ผมดกดา เสียงดังฟังชัด ข้อกระดูก แขง็ แรง กระดกู ใหญ่ น้าหนกั ตวั มาก ล่าสนั อวัยวะสมบรู ณ์ หากรา่ งกายเกิดภาวะเสียสมดลุ ของธาตุท้ัง 4 บคุ คลนนั้ จะมีปัญหาด้านสุขภาพ ทาให้เกิดการเจ็บป่วยได้ง่าย ด้วยอาการท่แี ตกตา่ งกันไปตามธาตุนนั้ ๆ โดยมที ฤษฎที ่ีอธิบาย ความเจ็บป่วยทส่ี มั พนั ธ์กับธาตุทงั้ 4 ดังน้ี ธาตุไฟ คือ องค์ประกอบของสิ่งมีชีวิต มีลักษณะที่เป็นความร้อน คุณสมบัติเผาผลาญให้แหลกสลาย ไฟทา ใหล้ มและน้าในรา่ งกายเคลอ่ื นทด่ี ้วยพลังแห่งความร้อนอันเหมาะสม มกั เจ็บป่วยดว้ ยโรคท่เี กดิ จากขบวนการเผาผลาญพลังงานในรา่ งกาย โดยมีส่ิงท่ีควบคุมการเจ็บป่วยของธาตุ ไฟ 3 ประการ คอื พทั ธะปติ ตะ อพัทธะปิตตะ กาเดา เป็นเหตุทาให้ธาตุไฟ 4 ประการผิดปกติ ธาตุลม คือ องค์ประกอบของส่ิงมีชีวิต มีลกั ษณะเคลื่อนไหวได้ มีคุณสมบัติคือความเบา เป็นส่ิงท่ีมีพลัง ทา ให้รา่ งกายมกี ารเคล่อื นไหว เดนิ น่ัง นอน คูเ้ หยยี ดได้ มกั เจ็บป่วยดว้ ยระบบการไหลเวยี นเลือด และระบบประสาท โดยมีสิง่ ที่ควบคุมความเจบ็ ป่วยของธาตุลม 3 ประการ คอื หทยั วาตะ สตั ถวาตะ สุมนาวาตะ เปน็ เหตุทาใหธ้ าตุลม 6 ประการผิดปกติ ธาตุน้า คือ องค์ประกอบของส่ิงมีชีวิตที่มีลักษณะเป็นของน้า เป็นของเหลวมีคุณสมบัติไหลไปมาได้ เช่น นา้ ดี น้าเลอื ด น้าตา มันข้น เปน็ ต้น มักเจ็บป่วยด้วยของเหลว หรือน้าภายในรา่ งกาย โดยมสี ิ่งที่ควบคุมความเจ็บป่วยของธาตุน้า 3 ประการ คือ ศอเสมหะ อรุ ะเสมหะ คถู เสมหะ เปน็ เหตุทาให้ธาตุน้า 12 ประการผิดปกติ ธาตุดิน คือ องค์ประกอบของสิ่งมีชีวิตท่ีมีลักษณะเป็นของแข็ง มีความคงรูป เช่น อวัยวะภายนอกภายใน ร่างกายมี 20 ประการ เช่น ผม ขน เลบ็ หวั ใจ เปน็ ต้น มักเจ็บป่วยด้วยโรคที่เกี่ยวกับอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย โดยมีสิ่งท่ีควบคุมความเจ็บป่วยของธาตุดิน 3 ประการ คอื หทยั วัตถุ อุทิรยะ กรสี ะ เป็นเหตทุ าให้ธาตดุ ิน 20 ประการผิดปกติ การเกิดโรคภยั ไขเจ็บจากการทธี่ าตทุ ง้ั 4 คือ ดนิ น้า ลม ไฟ เกิดภาวะเสยี สมดุล คอื กาเริบ หยอ่ น พิการ หรอื การปฏบิ ัติตนในชวี ติ ประจาวนั ทไ่ี ม่ถูกตอง อาจก่อใหเกดิ การเสยี สมดลุ จนทาใหธาตทุ ั้ง 4 แปรปรวน กลา่ วคือ กาเรบิ เปน็ ความผิดปกติในการทาหน้าท่ีของธาตุซงึ่ มากกวา่ ผิดปกติ หยอน เปน็ ความผดิ ปกติในการทาหน้าทข่ี องธาตุซ่ึงน้อยกว่าปกติ พิการ เปน็ ความผิดปกติในการทาหน้าทขี่ องธาตุ (ซ่งึ อาจเร่มิ จากกาเริบหรอื หย่อนกไ็ ด้) ทส่ี ง่ ผลทาให้ธาตไุ ม่ สามารถทาหนา้ ทน่ี ้นั ไดต้ ามปกติ ทาให้มีอาการความเจ็บป่วยแสดงออกมาให้เหน็ 124
ฤดูกาลกับความเจ็บปว่ ย อิทธพิ ลของฤดกู าล คอื ฤดูกาลตา่ ง ๆ มีผลทาใหร้ ่างกายแปรปรวน หากปรับตวั ไมไ่ ด้จะเกดิ เสียสมดลุ ทาให้ เจบ็ ปวย มี 3 ฤดคู ือ 1. ฤดูรอ้ น เจ็บป่วยด้วยธาตไุ ฟ 2. ฤดูฝน เจบ็ ป่วยด้วยธาตุลม 3. ฤดูหนาว เจ็บป่วยดว้ ยธาตนุ า้ อายุกับความเจ็บปว่ ย อายทุ ี่เปล่ยี นไปตามวัย มผี ลตอ่ การเกดิ โรคภยั ไขเจบ็ มี 3 วัย คอื 1. ปฐมวัย (อายุ 0 - 16 ป เกดิ โรคทางธาตนุ า้ 2. มัชฌิมวัย (อายุ 16 - 32 ป เกดิ โรคทางธาตไุ ฟ 3. ปจฉิมวยั (อายุ 32 ปข้ึนไป) เกดิ โรคทางธาตลุ ม กาลเวลากับความเจบ็ ปว่ ย อิทธิพลของกาลเวลา เปนเหตกุ ารเกิดโรคอนั เน่ืองจากเวลาที่เปลยี่ นไปทกุ 24 ชวั่ โมง ใน 1 วนั ทีท่ าให้เกดิ การแปรปรวนของธาตตุ า่ ง ๆ ในรา่ งกาย ไดแก่ 1. เวลา 06.00 – 10.00 น. และ 18.00 – 22.00น. มักมีการแปรปรวนของธาตนุ ้า จะมอี าการน้ามูกไหล หรอื ท้องเสีย 2. เวลา 10.00 – 14.00 น. และ 22.00 – 02.00 น. มกั มกี ารแปรปรวนของธาตไุ ฟ จะมอี าการไข้ แสบทอ้ ง ปวดท้อง 3. เวลา 14.00 – 18.00น. และ 02.00 – 06.00 น. มักมกี ารแปรปรวนของธาตลุ ม จะมอี าการวงิ เวียน ปวด เม่อื อ่อนเพลยี เปนลมในยามบาย ประเทศกับความเจ็บปว่ ย ถ่ินที่อยูอ่ าศัยหรอื ทอ่ี ยอู าศยั หรือส่งิ แวดลอ้ มที่ส่งผลตอ่ ชวี ิต ความเป็นอยูแ่ ละสขุ ภาพ แบ่งเปน็ 1. ประเทศร้อนหรอื สถานท่ที เ่ี ปน็ ภูเขา เนินผา มกั เจบ็ ป่วยด้วยธาตุไฟ 2. ประเทศเย็นสถานทท่ี ี่เป็นน้าฝนเปอื กตมมีฝนตกชกุ มกั เจ็บป่วยด้วยธาตุลม 3. ประเทศอุน่ สถานทท่ี ่เี ปน็ น้าฝนกรวดทรายเปน็ ท่ีเกบ็ นา้ ไม่อยู่ มักเจบ็ ปว่ ยด้วยธาตนุ า้ 4. ประเทศหนาวสถานทท่ี ี่เป็นนา้ เค็มมีเปือกตมชน้ื แฉะ ไดแ้ ก่ชายทะเล มักเจบ็ ป่วยด้วยธาตดุ ิน พฤติกรรมมูลเหตกุ อโรค พฤติกรรมสุขภาพท่ีไม่ถูกตอ้ ง คอื การมีชวี ติ ที่ไมส่ มดุล ไดแ้ ก่ พฤตกิ รรม 8 อย่างดงั นี้ (พระคัมภีร์โรคนทิ าน อ้างถงึ ในตาราการแพทย์แผนไทยเดมิ ฉบบั อนรุ ักษ์, 2523) 1. กนิ อาหารมากหรอื น้อยเกนิ ไป กินอาหารบดู หรืออาหารที่ไม่เคยกนิ กนิ อาหารไมถ่ ูกกับธาตุ ไม่ถกู กับโรค 2. ฝนื อริ ิยาบถ ไดแ้ ก่ การนง่ั ยนื เดนิ นอน ไมส่ มดลุ กัน ทาให้โครงสร้างรา่ งกายเสยี สมดลุ และเสอ่ื มโทรม 3. อากาศไมส่ ะอาด อยใู นที่อากาศรอนหรือเย็นเกินไป หรือเคยอยใู่ นอากาศรอ้ น แตไ่ ปอยู่ทก่ี าศเย็น หรือ เคยอย่ใู นท่โี ปรง่ ๆ แต่ไปอยทู่ ี่อากาศไม่ถ่ายเท สามารถทาใหเ้ กดิ ความเจบ็ ปว่ ยได้ 4. การอด ได้แก่ อดขาว อดนอน อดนา้ 5. การกลั้นอุจจาระปัสสาวะ 6. ทางานเกนิ กาลงั มากหรือมีกิจกรรมทางเพศมากเกนิ ไป 7. มีความโศกเศราเสยี ใจหรือดีใจเกนิ ไป 8. มโี ทสะมากเกินไปขาดสติ 125
ตอนที่ 3 การสรา้ งเสรมิ สขุ ภาพในการแพทยแ์ ผนไทย : หลกั ปฏิบตั ิเพือ่ ใหค้ นไทยมสี ุขภาพดี จากตอนที่ 2 ข้างต้น จะเห็นได้ว่านับต้ังแต่เกิดมนุษย์มีธาตุเจ้าเรือนติดตัวมาต้ังแต่ปฏิสนธิในครรภ์มารดา เรียกว่าธาตุกาเนิด ต่อมาต้องเผชิญกับส่ิงแวดล้อมและธรรมชาติของธาตุภายนอก อิทธิพลของฤดกู าล ถิ่นที่อยู่อาศัย กาลเวลา สุริยจักรวาล การเติบโตท่ามกลางการเล้ียงดูของครอบครัว และพฤติกรรมแห่งตน มนุษย์ต้องปรับตัวให้ รา่ งกายสมดุล ไมเ่ จ็บป่วย หรือให้ทรมานน้อยท่สี ุดจวบสิ้นอายุขัย การปรับเปลย่ี นในระดับบบคุ คลตามหลกั การแพทย์ แผนไทยท่ีสาคัญ คือ การปรับอาหาร พฤติกรรม อารมณ์และจิตใจ และการใช้เทคนิควิธีการต่าง ๆ เพ่ือดูแลสุขภาพ ในชีวิตประจาวัน เป็นต้น ท้ังน้ีเพื่อให้ง่ายต่อการปฏิบัติจึงมีหลักที่เรียกว่า “สุขภาพดีด้วยหลัก 8 อ.” เป็นหลักท่ียึด จากสาเหตุของพฤติกรรมที่ทาให้เกิดโรคนอกเหนือไปจาก ธาตุ อายุ ฤดูกาล กาลเวลา ที่อยู่อาศัย ซึ่งเป็นสาเหตุของ ความไม่สมดลุ ของธาตุโดยมีการใช้สมนุ ไพรท้งั ในรูปแบบอาหาร ยา การอบ การประคบ การนวด และการแพทยแ์ ผน ไทย ซ่ึงเป็นการนาคุณค่าจากทุนทางปัญญาและวัฒนธรรม ของสงั คมไทยสู่การมคี ุณภาพชีวิตท่ีดขี องประชาชนท้ังใน ระดับบุคคล ครอบครัว ชุมชน และสังคม นับเป็นวิถีการดูแลสุขภาพท่ีสอดคล้องกับวัฒนธรรมประเพณีในแต่ละ ทอ้ งถ่ิน ซง่ึ มุ่งเนน้ การดแู ลสุขภาพแบบองค์รวมเพอ่ื ใหเ้ กดิ ความสมดุลของรา่ งกาย รายละเอยี ดดังตอ่ ไปนี้ อ. ท่ี 1 อิริยาบถ หมายถึง การปรับอิริยาบถ เพื่อสร้างสมดุลโครงสร้างร่างกาย สามารถทาด้วยการปรับ อิริยาบถให้ถูกต้อง ไม่อยู่ท่าเดิมนาน ๆ การนวดด้วยตนเอง การทาท่ากายบริหารแบบไทย ๆ เช่น การบริหารรา่ งกาย ด้วยทา่ ฤๅษดี ัดตน 15 ท่าพืน้ ฐานของไทยในการปรับอิริยาบถ ซ่ึงการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์พบว่า การ นวดไทยทาให้การไหลเวียนของโลหติ ดีข้นึ กล้ามเนื้อคลายตวั ลดความตึงตวั กลา้ มเน้ือมีประสทิ ธิภาพดีขน้ึ เพิ่มความ ตงึ ตวั ของทางเดนิ อาหาร กระเพาะลาไสบ้ ีบตวั ท้องไมอ่ ืดเฟอ้ ทาให้เลือดไปเล้ียงผิวหนังได้ดขี นึ้ ทาใหห้ ายใจเข้าออก ได้ลึกขึ้น เพิ่มการนาออกซเิ จนเขา้ สู่รา่ งกาย ทาให้จิตใจผ่อนคลาย และนอนหลบั ได้ดีขน้ึ ส่วนการดดั ตนก็ให้ผลทานอง เดยี วกนั แต่มีผลโดยตรงตอ่ ความยืดหยุน่ ของขอ้ ต่าง ๆ มากกว่าการนวด ภาพแสดง การนวดไทย ภาพแสดง การประคบสมนุ ไพร ทม่ี าภาพ: https://asianparent-assets-th.dexecure.net/wp- content/uploads/sites/25/2015/09/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9B%E0% B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%84%E0%B8%9A%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7.jpg ภาพแสดง ทา่ นวดตนเอง บรรเทาปวดบ่า ภาพแสดง ท่านวดตนเอง บรรเทาอาการปวดฝ่ามอื ท่มี าภาพ : กลมุ่ งานการนวดไทย สถาบันการแพทย์แผนไทย ที่มาภาพ : กล่มุ งานการนวดไทย สถาบนั การแพทย์แผนไทย กรมพฒั นาการแพทย์แผนไทยและการแพทยท์ างเลือก กระทรวงสาธารณสขุ , 2556. กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข, 2556 126
ภาพแสดง การบริหารร่างกาย ฤาษดี ดั ตน ภาพแสดง การบริหารรา่ งกาย ฤาษดี ดั ตน การประคบสมุนไพร เป็นการใชค้ วามรอ้ นช้ืนและสารจากสมุนไพรเพ่ือให้ผลเฉพาะทีท่ ่ีผวิ หนังและกล้ามเนื้อ เส้นเอ็นบริเวณท่ีถูกประคบ ทาให้เนื้อเย่ือพังผืดยืดตัวอออก จึงสามารถลดการติดขัดของข้อต่อ ลดการเกร็งตัวของ กล้ามเน้อื และลดปวดได้ ความร้ อน ระบบไหลเวียนเลือด กล้ามเนือ้ ตงึ ตัว สารจาก ลดการไหลเวียนของระบบไหลเวียนเลือด สมุนไพร เกดิ การสะสมสารท่ที าให้เกดิ อาการปวด ปวด ภาพแสดง สรรี วทิ ยาของการประคบร้อนเพือ่ ลดอาการปวด การอบสมุนไพร เป็นการให้ความร้อนชื้นแก่ร่างกายทั่วตัว ช่วยเพ่ิมการไหลเวียนของโลหิตในร่างกาย จึงมี ประโยชน์ในการลดอาการปวดเมื่อยกล้ามเน้ือ ปวดขอ้ ผอ่ นคลายความเครียด ช่วยทาใหร้ ่างกายขบั เหงือ่ ออกมากข้ึน ขยายรขู ุมขน ทาใหท้ างเดินหายใจชุม่ ชน้ื ชว่ ยละลายเสมหะ ทาให้ขบั เสมหะออกมาไดง้ ่ายขึ้น สมนุ ไพรทนี่ ยิ มใช้ในการ อบสมุนไพรมี 4 พวก คอื 1. สมนุ ไพรท่ีมีน้ามันหอมระเหย ได้แก่ เหง้าไพล เหง้าขมิ้นชัน เหงา้ ว่านนา้ ตน้ ตะไคร้ ใบหนาด เปน็ ต้น มี ฤทธิ์ทาใหโ้ ลง่ จมกู ขยายหลอดลม 2. สมนุ ไพรทม่ี รี สเปรยี้ ว ไดแ้ ก่ ใบมะขาม ใบส้มป่อย ผลมะกรดู เปน็ ตน้ มฤี ทธิ์เปน็ กรดอ่อนๆ ช่วยชาระสิ่ง สกปรกทผี่ ิวหนงั 3. สมุนไพรทมี่ ีสารระเหยมกี ลน่ิ หอม ได้แก่ การบรู พมิ เสน ชว่ ยบารงุ หัวใจ รักษาโรคผวิ หนัง 127
4. สมนุ ไพรทีใ่ ช้รกั ษาเฉพาะโรค ไดแ้ ก่ เหงือกปลาหมอ ทองพนั ชงั่ ใชร้ กั ษาโรคผิวหนงั หัวหอม เปราะหอม ใช้แกห้ วัดคัดจมกู เปน็ ต้น โดยสมนุ ไพรทัง้ 4 กล่มุ สามารถนาประยุกตใ์ ชใ้ นการอบและอาบ อ. ที่ 2 อาหาร หมายถงึ การกินอาหารให้ถกู กบั ธาตุเจา้ เรอื น สะอาด ปลอดภัย เพื่อสร้างสมดุลธาตุ การใช้รสของอาหารเพื่อปรับสมดุลของร่างกายเพ่ือป้องกันความเจ็บป่วยและส่งเสริมสุขภาพ การเลือก รับประทาน พชื ผัก ผลไม้ อาหารรสตา่ ง ๆ ใหเ้ หมาะกับธาตุเจา้ เรือน หรือธาตุท่ีเจบ็ ปว่ ย (เสียสมดุล) ของบุคคลนัน้ ๆ จะทาให้บุคลลน้ัน ๆ มีธาตุทส่ี มดลุ ซ่ึงสามารถเลอื กได้ดังน้ี 1. ธาตุดนิ ควรรับประทานอาหารรสฝาด หวาน มัน เค็ม ได้แก่ ฝร่ังดิบ หัวปลี กล้วย มะละกอ เผือก ถ่ัว หัวมันเทศ ผักกะเฉด มังคุด ฟักทอง เป็นต้น ตัวอย่างอาหารปรับสมดุลธาตุดิน ผัดสะตอ ยาหัวปลี น้าพริก ผักจิ้มท่ีมีรสฝาด รสมัน อาหารว่างเช่น เต้าส่วน วุ้นกะทิ กล้วยบวชชร ตะโก้เผือก เครื่องด่ืม เช่น นมถ่วั เหลอื ง น้ามะพร้าว น้าฝรั่ง เปน็ ตน้ 2. ธาตุน้า ควรรับประทานอาหารรสเปร้ียว รสขม ได้แก่ มะกรูด มะนาว ส้ม สับปะรด มะเขือเทศ มะยม มะกอก มะดัน กระทอ้ น ตัวอย่างอาหารปรบั สมดลุ ธาตนุ า้ แกงส้มดอกแค ลาบ หรือยาที่มีรสเปร้ยี ว ผัด เปรี้ยวหวาน อาหารวา่ ง เช่น มะยมเชือ่ ม สับปะรดกวน กระท้อนลอยแกว้ มะมว่ งน้าปลาหวาน มะม่วง กวน เคร่ืองดื่ม เช่น นา้ มะนาว นา้ ส้มคั้น น้ามะเขือเทศ เป็นตน้ 3. ธาตุลม ควรรับประทานอาหารรสเผ็ดร้อน ได้แก่ ขิง ข่า ตะไคร้ กระชาย พริกไทย โหระพา กะเพรา กระเทียม พริกข้ีหนู ตัวอย่างอาหารเช่น ผัดกะเพรา ผัดขิง ค่ัวกลิ้ง แกงเผ็ด หรืออาหารท่ีมีรสเผ็ด อาหารว่าง เชน่ บวั ลอยน้าขงิ เต้าฮวย มนั ต้มขิง ถ่ัวเขยี วต้มขงิ เครื่องดืม่ เชน่ น้าขงิ นา้ ตะไคร้ น้ามะตูม เป็นตน้ 4. ธาตุไฟ ควรรับประทานอาหารรสขม เย็น จืด ได้แก่ บัวบก มะระ มะรุม สะเดา ผะกบุ้ง ตาลึง สายบัว แตงกวา คะน้า บวบ มะเขือ ตัวอย่างอาหารปรับสมดุลธาตุไฟ แกงจืดตาลึง ผักบวบ มะระผัดไข่ ผัด ผกั บุ้ง หรืออาหารท่ีมีรสจืด อาหารว่าง ซาหร่ิม ไอศรีม น้าแข็งใส เคร่ืองด่ืมน้าแตงโมป่ัน น้าใบเตย น้า เก๊กฮวย เป็นตน้ การรบั ประทานอาหารควรรบั ประทานให้หลากหลายครบทกุ รสทั้ง 4 ธาตุ ไม่ควรเลือกรับประทานเฉพาะรสใด รสหน่ึงตามธาตุเจ้าเรอื นของตนเอง หรือธาตุทีเ่ จ็บป่วย (เสยี สมดลุ ) เท่านัน้ เนือ่ งจากร่างกายตอ้ งการอาหารบารงุ ธาตุ ท้ัง 4 ด้วย หากธาตุใดธาตุหน่ึงขาดการบารุงจะเจ็บป่วยได้ การรับประทานอาหารท่ีเหมาะสมกับธาตุเจ้าเรือนของ ตนเอง หรือธาตุท่ีเจ็บป่วย ควรรับประทานให้มากกว่าธาตุอื่นๆ ท่ีสมดุลอยู่แล้ว พฤติกรรมดังกล่าวจะทาให้การปรับ สมดุลได้ผลดี อาหารสมุนไพร สมนุ ไพรนอกจากนามาเปน็ ยาแล้ว ยงั สามารถนามาใช้เปน็ อาหารเพื่อสร้างเสริมสขุ ภาพและปอ้ งกนั โรคได้ มี ตารบั อาหารไทยหลายตารับเป็นอาหารไทยเพื่อสขุ ภาพได้ ตัวอย่างเช่น แกงส้ม เป็นอาหารท่ีมพี ลงั งานค่อนข้างต่า เหมาะกับคนทตี่ ้องการลดนา้ หนักตัว ส่วนประกอบของพริกแกง ส้มมีพริกแห้งและหอมแดงเปน็ หลกั เป็นแหล่งสาคญั ของเส้นใยอาหาร เมื่อผสานกับรสเปรยี้ วของมะขามเปียก จงึ เป็น ยาระบายอ่อนๆ และมวี ติ ามิน แร่ธาตุต่าง ๆ โดยเฉพาะวิตามนิ ซี แกงสม้ ยงั มีเบตา้ แคโรทีนซ่ึงเปน็ สารตา้ นอนมุ ูลอิสระ คนโบราณใช้กนิ แก้ไขหวั ลมหรอื ไขท้ เ่ี กิดจากการเปลยี่ นฤดูฝนเปน็ ฤดหู นาว สถานบันวิจัยมโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ทาการศึกษาวิจัยผลของน้าแกงป่า น้าแกงเลียง และน้า แกงสม้ พบว่ามีศักยภาพทาใหเ้ ซลล์มะเรง็ ตายแบบธรรมชาติ โดยไม่ส่งผลกระทบต่อเซลล์อื่นในรา่ งกายได้มากถงึ รอ้ ย ละ 45 128
แกงเลียง เป็นอาหารไทยที่มาแต่โบราณ มีผักเป็นส่วนผสมหลัก ท่ีสาคัญคือใบแมงลัก ผักอื่น ๆ เช่น บวบ ข้าวโพดออ่ น ตาลงึ ฟกั ทอง หัวปลี เหด็ นางฟา้ เปน็ ต้น ใบแมงลักมรี สหอมร้อน และพริกไทยมรี สรอ้ น ทาให้นา้ นมไหลได้ดี ขบั ลม ขบั เหงอ่ื ฟักทอง มสี ารอาหารบารงุ รา่ งกายจานวนมาก ช่วยขบั น้านม ทาใหผ้ ิวพรรณสดใส ตาลึง มคี ณุ ค่าทางอาหารสูง มีเสน้ ใยอาหารในปรมิ าณมาก ช่วยบารงุ น้านม ทาให้น้านมมมี ากและบารงุ เลอื ด หวั ปลี มีสารอาหารและแร่ธาตุสาหรบั บารุงนา้ นม ดงั น้ัน แกงเลียงจึงเป็นตารับอาหารท่ีเหมาะกับแม่หลังคลอด เพราะช่วยทาให้เลือดลมไหลเวียนดีและบารุง นา้ นม ทาใหม้ นี ้านมมาก สถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ทาการศึกษาวิจัยผลของแกงเลียงกับการป้องกันมะเร็งลาไส้ ใหญ่ โดยใช้การทดสอบในหนูทดลองพบว่า แกงเลยี งชว่ ยลดการเกิดพยาธิสภาพขน้ั ตน้ ของการเกดิ มะเร็งลาไสใ้ นลาไส้ ของหนูทดลองได้ และสามารถเหน่ยี วนาใหม้ ีการสร้างเอนไซม์ท่ีทาหน้าทกี่ าจัดสารพิษในตับหนูให้สูงขึน้ แกงเลียงจึง อาจมีศักยภาพในการป้องกันการเกิดมะเร็ง โดยเฉพาะอย่างย่ิงมะเร็งลาไส้ใหญ่ในคน ส่วนการศึกษาวิจัยท้ังในเซลล์ พบว่า แกงเลียงชว่ ยลดการอกั เสบทเ่ี กิดข้ึนในเซลลต์ า่ ง ๆ ได้ ภาพแสดง แกงสม้ ภาพแสดง แกงเลียง ท่ีมาภาพ: https://f.ptcdn.info/519/068/000/q747rk587hP6GXG7pydZ-o.jpg ที่มาภาพ: https://sites.google.com/site/thailandherbs36/_/rsrc/1427649918154/xahar-pheux- sukhphaph/k/%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0 %B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%87.jpg?height=265&width=400 ภาพแสดง อาหารตามธาตุเจ้าเรือน ทีม่ าภาพ: https://www.สุขภาพนา่ รู้.com/wp-content/uploads/2016/03/031516_1302_1-1.jpg 129
ผักพนื้ บา้ น ประเทศไทยมผี ักพน้ื บ้านใหก้ ินตามฤดูกาลหลายชนดิ เชน่ ฤดฝู นมียอดตาลึง ผักแพว ฤดหู นาวมียอดผักปลัง ส้มปอ่ ย ฤดูร้อนมีข่าออ่ น ผักหวานป่า เปน็ ตน้ การกินผักพน้ื บ้านส่งผลดตี ่อสุขภาพ เนอ่ื งจากเปน็ พชื ทีเ่ จริญงอกงามได้ เองตามธรรมชาติ โดยไม่ต้องใช้สารเคมี มีคุณค่าทางอาหารสูงไม่แตกต่างจากพืชผักเศรษฐกิจ มีเส้นใยอาหารช่วยใน การขับถ่ายและลดการดูดซึมของไขมันในอาหารเข้าสู่ร่างกาย สามารถเก็บมารับประทานสดได้ตามต้องการ เพราะ แหล่งที่มามักอยู่ในทอ้ งถน่ิ หรอื เปน็ พชื ผักสวนครัว ตัวอย่างผักพื้นบ้านท่ีกินเป็นยาได้ ได้แก่ ดอกแค แก้ไขหัวลม ใบขี้เหล็กเป็นยาระบาย ผักแพวมีฤทธิ์ขับลม ใบยา่ นาง กระทงุ้ พษิ แก้ผิดสาแดง ผลอ่อนมะแว้งต้น และมะแว้งเครือ บารุงธาตุ เจริญอาหาร ตวั อย่างผักพ้ืนบ้านทม่ี คี ุณคา่ ทางอาหารสงู โปรตีนสูง ไดแ้ ก่ ผกั กดู ใบขเี้ หลก็ ใบชะพลู ผกั แว่น วติ ามินเอสูง ได้แก่ ผักโขม ฟักทอง ผักบุ้ง พริกช้ีฟ้า วิตามินซีสูง ได้แก่ ใบมะรุม ดอกข้ีเหล็ก ผักติ้ว แคลเซียมสูง ได้แก่ ใบยอ ผัก โขม ถ่ัวพู ธาตุเหลก็ สงู ได้แก่ ถวั่ ลนั เตา ผกั ชีฝรัง่ บวบเหลย่ี ม ดอกแค ขี้เหล็ก ที่มาภาพ: ที่มาภาพ: https://sukkaphap-d.com/wp-content/uploads/2016/12/Cassia-Tree.jpg https://winniethebamboo.files.wordpress.com/2016/02/e0b894e0b8ade0b88 1e0b981e0b884.jpg ใบชะพลู ผกั แพว ทม่ี าภาพ: https://medthai.com/images/2013/07/Wildbetal-Leafbush-1.jpg ทีม่ าภาพ: https://obs.line- scdn.net/0hfYXxtCJoOXZlARNp9xNGIV9XOhlWbSp1ATdodTlvZ0IaN3coDmJyGEYH MkIdZX4oCzN_FEEDIkdAYntyXmVy/w644 130
ใบยา่ นาง ผักกูด ทม่ี าภาพ: ทีม่ าภาพ: https://sites.google.com/a/wtp.ac.th/wtp08689/_/rsrc/1443889333719/laksna https://www.thairath.co.th/media/dFQROr7oWzulq5FZYSekhoi0mYxvgp6Xn7bjkI8 -khxng-bi-yanang-daeng/3.2.jpg?height=300&width=400 8vY1c3o4dUlvts54YxZFesYXSX8M.jpg อ. ท่ี 3 อากาศ หมายถึง การปรับท่ีอยู่อาศัยให้เหมาะสมโดยไม่เบียดเบียนธรรมชาติ ดูแลส่ิงแวดล้อมให้ สะอาด ทอ่ี ยอู่ าศัยสอดคล้องกบั ธรรมชาติไมร่ อ้ นไม่เย็นเกินไป ปรับให้เหมาะสมกบั ฤดูกาล การสดู ไอน้าสมนุ ไพร เปน็ การนาอากาศทอี่ ่นุ และชื้น และน้ามันหอมระเหยจากสมุนไพรเข้าสู่ทางเดนิ หายใจ ทาใหเ้ ย่ือจมกู และลาคอชมุ่ ชื้น และนา้ มูกเสมหะทเี หนียวขน้ จะถกู ขับออกมาง่ายข้ึน ชว่ ยให้จมกู โล่ง หายใจสะดวกขึ้น บรรเทาอาการคัดจมกู นา้ มูกไหล ลดการอกั เสบของโพรงจมูกจากภูมิแพ้ ลดอาการปวดตื้อๆ ที่ศรี ษะซ่ึงเกิดจากการที่ เย่ือบุจมูกบวมไปอุดก้ันโพรงจมูก และทาให้หลอดลมโล่งข้ึน ช่วยลดอาการหอบหืด สมุนไพรท่ีใช้ในการสูดไอน้าคือ สมนุ ไพรทมี่ นี า้ มนั หอมระเหย เช่น หอมหวั แดง ตะไคร้ เหงา้ ขงิ ใบสะระแหน่ เปน็ ตน้ อ. ที่ 4 อโรคยา หมายถึง พฤติกรรมท่ีเหมาะสมจะทาให้ธาตุท้ัง 4 ในร่างกายสมดุลซ่ึงจะไม่ทาให้เกิดโรค ตามมา ได้แก่ ไม่อดขา้ ว อดนอน อดน้า อดอาหาร และฝึกการนอนอย่างมคี ุณภาพ ตารางแสดงการปรับพฤตกิ รรมให้สอดคล้องกับปรกติลกั ษณะ อายุ เวลา ฤดูกาล (แสดงเนอื้ หาไวโ้ ดยสงั เขป พอ เป็นแนวทางเท่าน้ัน การปรับพฤติกรรมให้เหมาะสมกับคนแตล่ ะคนยงั มปี จั จยั และรายละเอียดอีกหลายประการ) ปรกติ ช่วงวยั ฤดู เวลา พฤติกรรม ลกั ษณะ ปิตตะ หนุ่มสาว ร้อน เท่ยี ง หลกี เลย่ี งการอยู่ในทอี่ าการร้อนจนเกนิ ไป ถูกแดดจัด ผิงไฟ กระทาความเพยี รมากเกินไป ควรอยู่ในท่ีรม่ เยน็ เดินรับลมตามชายหาด ใชน้ า้ อบ นา้ ปรุง กนิ หอมเยน็ วาตะ สูงอายุ ฝน เยน็ หลีกเลี่ยงการอดอาหาร อดนอน พูดมาก แบกหามของหนกั เดินทางไกลบนทางขรขุ ระ เสพกามมากเกินไป ถกู ความเยน็ ควรอยใู่ นที่สงบ อบอนุ่ และสวยงาม เสมหะ เดก็ วัยร่นุ หนาว เชา้ หลกี เลีย่ งการนอนกลางวนั ควรหมัน่ ออกกาลังกายทาให้รา่ งกายอบอนุ่ ทมี่ า: กรมพัฒนาการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทย์ทางเลอื ก, 2561. 131
อ. ท่ี 5 อาจิณ หมายถงึ การใสใ่ จสุขภาพการฝึกพฤติกรรมการขับถ่ายอย่างสมา่ เสมอ ไม่กลั้นอุจจาระ ปสั สาวะ ขบั ถา่ ยทกุ วันอยา่ งเหมาะสม อ. ท่ี 6 อุเบกขา หมายถึง การฝกึ การควบคมุ อารมณ์ ไมเ่ ศร้าเสียใจ ไม่ดีใจจนเกินไป ยอ่ มส่งผลตอ่ ด้านจติ ใจ ซ่ึงในหลักพระพทุ ธศาสนาการไม่ควบคุมอารมณ์มักทาให้คนขาดสติ และด้วยปรชั ญาความเชื่อของชาวตะวนั ออกทวี่ ่า รา่ งกายและจิตใจมคี วามสมั พันธก์ นั จะสง่ ผลให้การทางานของร่างกายแปรปรวนเสียสมดุลได้ อ. ท่ี 7 อุดมปัญญา หมายถึง ร้เู ท่าทันอารมณ์ ไม่มีโทสะมากเกินไป รู้ถึงข้อมลู ข่าวสาร/องค์ความรู้ คิดเป็น แกป้ ัญหาด้วยสติและปญั ญา ฝึกจิตให้เข้มแข็งอาทิการนัง่ สมาธิ ซึ่งผูท้ ่ีมีจิตเป็นสมาธิจะมีความเครียด ความวิตกกังวล ลดลง การรจู้ ักปรบั อารมณ์และจติ ใจที่เหมาะสมเป็นสิ่งสาคัญสาหรับการมสี ขุ ภาพดี การปรบั อารมณแ์ ละจติ ใจโดย คานงึ ถงึ จริตที่แตกตา่ งกันของคนแตล่ ะคน สามารถประยกุ ต์ความรจู้ ากพทุ ธศาสนามาใช้ ซึง่ อธิบายโดยสังเขปดังน้ี ผู้ที่มีปิตตะเป็นปกรติลักษณะมีแนวโน้มที่จะมีโทสะจริตเป็นเจ้าเรือน มักหงุดหงิด ขัดเคืองโกรธได้ง่าย ควร ทางานทป่ี ระณีต ละเอยี ดอ่อน สวยงามใหม้ ากขึน้ หมน่ั เจรญิ เมตตาภาวนา ผ้ทู ่มี ีวาตะเป็นปกรติลักษณะมแี นวโนม้ ทจี่ ะมีราคะจริตเป็นเจ้าเรือน มกั ชอบรปู สวยงามน่ารกั นา่ ชน่ื ใจ เสียง ไพเราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสนุ่มละเอียดอ่อน ควรทางานกับสิ่งที่ไม่น่ารัก น่าเบ่ือหน่าย หมั่นเจริญอสุ ภะกรรมฐาน ผู้ท่มี เี สมหะเป็นปกรตลิ กั ษณะมีแนวโน้มทีจ่ ะมโี มหะจรติ เป็นเจา้ เรอื น ควรแกไ้ ขความงว่ งเหงา ซมึ เซา อ. ที่ 8 อาชีพ หมายถึง การทางานสุจรติ มีงานทา ทาแต่พอดี รจู้ ักพักผอ่ นให้เพยี งพอ หากผ้ทู างานมากกว่า 8 ชั่วโมงต่อวันอาจเกิดความเมื่อยล้าของกล้ามเน้ือ เครียด เจบ็ ป่วยง่าย ซ่ึงมีผลการวจิ ัย ยืนยนั ว่าการทางานเกิน 10 ชวั่ โมงต่อวนั จะเสยี่ งเกิดการผดิ พลาดและอบุ ัตเิ หตุเพ่มิ ข้ึนร้อยละ 38 เกิดการเจ็บปว่ ยเพ่ิมขึ้นร้อยละ 61 ภาพแสดง หลักการสขุ ภาพดีดว้ ยการแพทย์แผนไทย ท่มี า: กรมพฒั นาการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก กองทนุ ภูมิปญั ญาการแพทย์แผนไทย, 2548. จากแผนภาพ การดูแลสุขภาพตามหลักสุขภาพดีดว้ ยการแพทย์แผนไทย อาศัยหลักการสมดลุ ธาตุในรา่ งกาย ประกอบด้วย 4 ธาตุซงึ่ สว่ นใหญเ่ ป็นอวัยวะตา่ ง ๆ การเสยี สมดุลอาจเกดิ จาก อายุฤดูกาล กาลเวลา ท่อี ยู่อาศัย และ พฤตกิ รรม 8 ประการ การเสียสมดุลธาตุถา้ ไม่ได้รบั การปรบั เปลยี่ นแก้ไข ก็จะนามาสกู่ ารเกิดโรค ฉะน้นั การสรา้ ง สขุ ภาพ ใหส้ ขุ ภาพดจี ึงจาเปน็ ตอ้ งเอาพฤตกิ รรม 8 ประการ หรือ 8 อ. มาปฏิบัติเปน็ ประจา 132
ตอนที่ 4 หลักการสรา้ งเสรมิ สขุ ภาพในการแพทย์แผนไทยบนพืน้ ฐานของปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพียง 4.1 หลักการสรา้ งเสรมิ สุขภาพในการแพทยแ์ ผนไทยบนพ้นื ฐานของปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพียง เม่ือพิจารณาภาพรวมขององคค์ วามรู้ และการปฏิบัตขิ องการแพทยแ์ ผนไทย จะพบว่าการแพทย์แผนไทยมี หลักการเป็นแบบองค์รวม คือเห็นว่าสรรพสิ่งล้วนสัมพันธ์เก่ียวข้องกัน มนุษย์ประกอบด้วยร่างกายและจิตใจท่ีไม่ สามารถแยกส่วนในการบาบัดรักษาได้ ความเจบ็ ป่วยมเี หตปุ ัจจยั ทเี่ กยี่ วข้องหลายประการ ทั้งจากธาตุภายในรา่ งกาย อาหาร พฤติกรรมและสภาวะทางอารมณ์และจิตใจ วัย การเปลี่ยนแปลงฤดู กาลเวลา ถิ่นที่อยู่ เป็นต้น การจัดการ กับความเจ็บป่วยจึงต้องแก้ไขท่ีเหตุปัจจัยเหล่านี้ ซึ่งประกอบด้วย การแก้ไขธาตุที่ผิดปกติด้วยการใช้ยาจากสมุนไพร การนวด การอบสมุนไพร และการใช้หัตถการอื่น ๆ เพ่ือบาบัดความเจ็บป่วย ฟ้ืนฟูธาตุบารุงธาตุให้แข็งแรง ใน ขณะเดียวกันผู้ป่วยควรงดอาหารแสลง ปรับเปลี่ยนการกินอาหารให้เหมาะสม งดเว้นพฤติกรรมและอารมณ์ท่ีทาให้ กาเริบ บริหารกายจิตด้วยการดัดตน และการปฏิบัตสิ มาธิภาวนา ปรบั เปลี่ยนการอย่อู าศยั รวมถงึ บาบดั ด้วยพิธีกรรม เช่น การสวดมนต์ เปน็ ต้น เมื่อวิเคราะห์จากหลักการสร้างเสริมสุขภาพในการแพทย์แผนไทยจะพบว่า เป็นหลักของการพ่ึงพาตนเอง โดยอาศัย “2 เงื่อนไข 3 หลักการ 4 มิติ” เห็นได้จากการมีภูมิคุ้มกันที่ดีในตัวทันต่อการเปลี่ยนแปลงท้ังจากภายใน และภายนอกร่างกาย มีความพอประมาณโดยนาคุณค่าจากทุนทางปัญญาและวัฒนธรรมทีม่ ีอยู่ของสงั คมไทยมาใชใ้ น การดูแลสุขภาพ รู้จักตนเองตามปรกติลักษณะ และมีเหตุผล คานึงถงึ ผลท่ีคาดว่าจะเกิดขึ้นจากพฤติกรรมการปฏิบัติ ตนอย่างรอบคอบ และมีคุณธรรมในการดารงชวี ติ ไมว่ ่าจะเป็นการรับประทานอาหาร การอยู่อาศัย การประพฤตติ นท่ี ทาให้ไม่เกิดภาวะไม่สมดุล ซ่ึงเป็นสาเหตุที่ทาให้เกิดโรคตามมา เป็นหลักปฏิบัติที่ทาให้เกิดสุขภาพท่ีสมดุลและย่ังยืน พร้อมรับการเปลย่ี นแปลงในทกุ ดา้ นบนรากฐานของความพอเพียง 2 เงื่อนไขพื้นฐาน ความรู้ คณุ ธรรม รู้จักสาเหตทุ ี่ทาใหเ้ กดิ โรค มวี ินัยในการปรบั เปลยี่ นพฤตกิ รรม รู้หลักการการดแู ล และปอ้ งกันตนเองในการ ระมดั ระวงั มสี ตใิ นการกาหนดพฤติกรรมทีจ่ ะไม่ เกิดโรค ก่อให้เกิดโรค พอประมาณ 3 หลักการ มีภูมิคุม้ กันในตวั ทีด่ ี รู้จักตนเองตามทฤษฎกี ารเกิดโรค วางแผนการปฏบิ ตั ิตัวรอบคอบก่อนการ ใชท้ รพั ยากรใกล้ตัวให้เกิดประโยชน์ เช่น มเี หตุผล เสียสมดลุ ธาตุ เช่น หลกั 8 อ. ผกั พนื้ บา้ น สมุนไพรในสาธารณสขุ มลู ฐาน เพอื่ สุขภาพรา่ งกายทดี่ ี ยาสมนุ ไพรประจาบา้ น สมดุลของรา่ งกายและพร้อมรับการเปล่ียนแปลงทั้ง 4 มิติ มิตวิ ตั ถุ มิติสงั คม ประหยดั คา่ รักษาพยาบาล ลดการพ่งึ พาระบบบริการสุขภาพของรฐั ทาใหผ้ ู้ทีม่ ีอาการหนักกว่า ประหยดั การนาเขา้ ยาจากตา่ งประเทศ ไดร้ ับการรกั ษาอยา่ งรวดเร็ว ลดภาระการดแู ลผปู้ ว่ ยของแพทยแ์ ผนปจั จบุ นั มติ วิ ฒั นธรรม มติ สิ ่ิงแวดลอ้ ม ร่วมรักษาและสืบสานภูมิปญั ญาไทยด้วยการใช้องคค์ วามรู้ ช่วยลดการสังเคราะหส์ ารเคมีในการกระบวนการผลิตยารกั ษาโรค ของศาสตรก์ ารแพทยแ์ ผนไทย ใชส้ มนุ ไพรไทย รู้คณุ คา่ ทาใหเ้ กดิ การอนรุ กั ษป์ ลูกพืชสมนุ ไพร ภาพแสดง หลักการสร้างเสริมสุขภาพในการแพทยแ์ ผนไทยบนพ้นื ฐานของปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพียง 133
4.2 ภมู ิปัญญาการใชส้ มุนไพรในการดูแลสุขภาพ นอกเหนือจากการปรบั พฤติกรรมให้ถกู กับปกติลกั ษณะของตนเองตามหลกั สขุ ภาพดีด้วย 8 อ. ภมู ิปญั ญา ไทยยังมีเร่อื งของการใช้สมุนไพรเพื่อสนับสนนุ การพงึ่ พาตนเองตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง อาทิสมนุ ไพรใน สาธารณสุขมูลฐาน และยาสามญั ประจาบา้ นแผนโบราณ เพ่ือสง่ เสรมิ สขุ ภาพ และรกั ษาโรค/อาการเจบ็ ป่วยเบ้อื งต้น ตามกลมุ่ อาการต่าง ๆ ดงั รายละเอียด สมนุ ไพรในสาธารณสุขมูลฐาน แผนพัฒนาการสาธารณสุข ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับท่ี 5 (พ.ศ. 2525-2529) เป็น แผนพัฒนาการสาธารณสุขฉบับแรกที่มีเน้ือหาเก่ียวกับสมุนไพร ในกลวิธีและมาตรการดาเนินงานตามแผนงาน สาธารณสุขมูลฐาน ได้กาหนดให้ประชาชนใช้ยาจากสมุนไพรเพ่ือการดูแลสุขภาพของตนเองได้อย่างปลอดภัย และมี ประสิทธิภาพ สานักงานคณะกรรมการสาธารณสุขมูลฐานจึงได้จัดทารายการสมุนไพรในสาธารณสุขมูลฐาน ซ่ึง ปจั จบุ นั มรี ายการยาทง้ั สนิ้ 61 ชนดิ โดยมีหลักการคดั เลอื กโดยใช้เกณฑด์ ังต่อไปน้ี 1. ด้านปรัชญาและแนวคิด ผสมผสานแนวคิดเกี่ยวกับสมุนไพรทั้งของการแพทย์ตะวันตกและ การแพทยต์ ะวันออก 2. ดา้ นการแพทย์และสาธารณสขุ สามารถแก้ไขปัญหาสุขภาพท่ีเป็นโรคและอาการป่วยที่พบบ่อยในชุมชน และประชาชน สามารถวนิ ิจฉัยและรักษาตนเองได้ มีประสิทธิภาพ โดยพิจารณาจากข้อมูลเกี่ยวกับองค์ประกอบทางเคมี สารเคมีสาคัญที่มี ฤทธท์ิ างเภสัชวทิ ยา และผลการศกึ ษาทางคลินิก มีความปลอดภยั โดยพิจารณาจากข้อมูลการทดสอบความเปน็ พษิ เม่ือจะผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ สามารถหาวัตถุดิบที่มีคุณภาพได้ สูตรตารับไม่ซับซ้อน มี สรรพคุณแน่นอน รวดเร็ว มรี ูปแบบพกพาสะดวก และราคาถูก เป็นสมุนไพรท่ีชาวบ้านคุ้นเคย ปลูกง่าย โตเร็ว มปี ระโยชน์หลายอย่าง และสามารถปลูก เป็นรายไดเ้ สรมิ ได้ 3. ดา้ นสังคมและวัฒนธรรม มคี วามสอดคลอ้ งกับองคค์ วามรู้ และทรพั ยากรของชุมชน มีความสอดคลอ้ งกับสภาพแวดลอ้ มของท้องถน่ิ เหมาะสมในการแก้ปัญหาสขุ ภาพท้องถ่ิน สง่ เสรมิ การอนุรักษธ์ รรมชาตแิ ละสิ่งแวดลอ้ ม เป็นสมนุ ไพรที่นิยมใช้ ตวั อยา่ งรายการสมนุ ไพรในงานสาธารณสุขมูลฐาน กลุ่มโรค อาการเจ็บป่วย รายการสมนุ ไพร 1. ระบบทางเดนิ อาหาร 1. โรคกระเพาะอาหาร 2. ทอ้ งผูก ขมิน้ ชัน, กลว้ ยน้าวา้ ชุมเห็ดเทศ, แมงลกั , คูน, มะขาม, 3. ท้องเสีย มะขามแขก 4. ทอ้ งอืดท้องเฟ้อ จกุ เสยี ด ฝรงั่ , ทับทมิ , ฟา้ ทะลายโจร กระเทียม, กะเพรา, ดีปล,ี ขมิ้นชัน, พรกิ ไทย 134
2. ระบบทางเดินหายใจ 5. คลืน่ ไส้อาเจยี น ขิง, ยอ 3. ระบบทางเดนิ ปสั สาวะ 6. เบอื่ อาหาร บอระเพด็ , ขีเ้ หลก็ , มะระข้ีน, สะดา 4. โรคผวิ หนงั บา้ น 7. พยาธลิ าไส้ ฟกั ทอง, เล็บมอื นาง 5. อาการเจบ็ ป่วยอ่นื ๆ อาการไอและระคายเคอื งคอ ขงิ , มะนาว, มะแวง้ เครอื , มะแวง้ ต้น ,มะขามปอ้ ม อาการขดั เบา กระเจ้ียบแดง, ตะไคร,้ หญา้ คา 1. กลาก เกลื้อน กระเทียม, ข่า, ทองพันช่ัง, พลู 2. ชนั นะตุ มะคาดีควาย 3. แผลไฟไหม้ น้ารอ้ นลวก บัวบก, วา่ นหางจระเข้ 4. ฝี แผลผุพอง วา่ นหางจระเข,้ ขม้นิ ชัน 5. อาการแพ้ แมลงสตั วก์ ดั ขมิ้นชนั , ผักบุ้งทะเล, เสลดพังพอน, ต่อย ตาลงึ , พญายอ 6. ลมพษิ พลู 7. เรมิ , งสู วัด พญายอ 1. อาการเคล็ดขดั ยอก ไพล 2. อาการนอนไมห่ ลบั ขี้เหลก็ 3. อาการไข้ บอระเพด็ ฟ้าทะลายโจร 4. เหา นอ้ ยหน่า 5. ปวดฟัน ผักคราดหัวแหวน ตัวอยา่ งวธิ ีการใช้สมนุ ไพรในสาธารณสุขมูลฐานในการดแู ลอาการเจบ็ ป่วยของตนเองเบอื้ งต้น - ฟ้าทะลายโจร ชอื่ วทิ ยาศาสตร์ : Andrographis paniculata (Burm.f.) Wall. Ex Nees ช่อื วงศ์ : ACANTHACEAE สรรพคุณ : ฟ้าทะลายโจรมีรสขม สรรพคุณ แก้ไข้ บรรเทาอาการเจบ็ คอ บรรเทาอาการของโรคหวัด วิธเี ตรียม : - ใชส้ ด ใบฟา้ ทะลายโจรสด 3-5 ใบ เค้ยี วแล้วกลนื รับประทาน 3 เวลา กอ่ นอาหาร - ใชต้ ้ม นาใบฟา้ ทะลายโจรสด ประมาณหนงึ่ หยบิ มอื ต้มกบั นา้ สะอาด 1 แกว้ รับประทาน 3 เวลา กอ่ น อาหาร สาหรบั ผทู้ ี่มอี าการมาก ใหต้ ม้ จนเหลอื ปรมิ าณนา้ เพยี ง 1 ใน 3 แก้ว แลว้ นามา รับประทาน ขอ้ ควรระวัง : หากใชฟ้ ้าทะลายโจรติดต่อกัน 3 วนั แล้วอาการไมด่ ขี นึ้ หรอื มอี าการรุนแรงขน้ึ ระหว่างใชย้ า ควรหยดุ ใช้และปรกึ ษาแพทย์ - ขงิ ชื่อวิทยาศาสตร์ : Zingiber officinale Rosc. ช่ือวงศ์ : ZINGIBERACEAE สรรพคณุ : ขงิ มรี สเผด็ ร้อนหวาน สรรพคณุ บรรเทาอาการท้องอดื ขับลม แนน่ จกุ เสยี ด ป้องกันและ ฃบรรเทาอาการคล่นื ไส้อาเจยี น จากอารการเมารถ เมาเรือ แก้เสมหะ วธิ เี ตรียม : 1. อาการท้องอืดท้องเฟ้อ แน่นจุกเสียด และอาการคลนื่ ไส้อาเจียน เนื่องจากธาตไุ มป่ กติ เมารถ เมาเรือ ใช้เหงา้ แกส่ ดขนาดเท่าหวั แม่มือ (ประมาณ 5 กรัม) ทบุ ใหแ้ ตก ตม้ เอานา้ ด่ืม 135
2. อาการไอ มีเสมหะ เอาเหง้าแก่ฝนกบั น้ามะนาว หรือใช้เหง้าสดตาผสมน้าเล็กน้อย คั้นเอานา้ และแทรกเกลอื เลก็ นอ้ ย ใชก้ วาดคอหรอื จบิ บ่อย ๆ - วา่ นหางจระเข้ ชอ่ื วิทยาศาสตร์ : Aloe vera Linn. ชอื่ วงศ์ : ALOACEAE สรรพคุณ : วุน้ ของว่านหางจระเข้ มีรสเย็นจดื สรรพคุณรกั ษาแผลไฟไหม้ นา้ รอ้ นลวก วธิ เี ตรียม : ใชว้ ุ้นจากใบโดยเลอื กท่ีอยู่ลา่ งสุดของตน้ ปอกเปลอื กสเี ขียวออก ล้างยางให้สะอาดดว้ ย นา้ ตม้ สุกหรอื น้าดา่ งทบั ทิม ขูดเอาวุน้ ใสมาพอกบรเิ วณแผลใหช้ มุ่ ชื่นอยู่ตลอดเวลาในชวั่ โมงแรก จากน้นั ทา วันละ 3-4 คร้ังจนแผลหาย ช่วยทาใหแ้ ผลหายเร็ว และลดการเกดิ แผลเปน็ ข้อควรระวัง : 1. กอ่ นใชว้ ่าน ทดสอบดูว่าแพ้หรือไม่ โดยเอาวนุ้ ทาบรเิ วณท้องแขนดา้ นใน ถา้ ผวิ ไม่คนั หรอื แดงก็ใชไ้ ด้ 2. ควรล้างยางเหลืองทอี่ าจตดิ มากบั วนุ้ ออกใหห้ มด เพราะจะเกิดอาการระคายเคืองผิวหนังได้ - กะเพราแดง ชอื่ วทิ ยาศาสตร์ : Ocimum tenuiflorum L. ช่ือวงศ์ : LAMIACEAE สรรพคณุ : ใบกะเพรา มีรสเผด็ ร้อน สรรพคุณแก้ปวดทอ้ ง ท้องอดื แก้ลมจกุ เสยี ดแนน่ ท้อง ขบั ลมทาให้เรอ เหมาะสาหรบั เดก็ วิธเี ตรียม : ใชใ้ บกะเพราและยอด 1 กามือ (ใบสดหนกั 25 กรมั , ใบแห้งหนกั 4 กรมั ) ต้มเอาน้าด่ืม นอกจาก ใช้เป็นยาแล้วใบกะเพรายงั เหมาะสาหรบั ปรงุ เป็นอาหารเพอ่ื ชว่ ยลดอาการทอ้ งอดื ทอ้ งเฟ้อ เช่น แกงจืดใบ กะเพรา ตม้ ยานา้ ใส ผัดกะเพรา ฟ้าทะลายโจร ขิง ทีม่ าภาพ: ท่ีมาภาพ: https://images.bentoweb.com/store-29143/blog_image/b9583a86- https://www.thairath.co.th/media/dFQROr7oWzulq5FZUE45KI68t8nnMXQ1jVnRC3 1779-dc0d-a1c4-585b5885857f.jpg BRg0umLwYC6Ydh6VZZQRi19TyWGSH.jpg 136
ว่านหางจระเข้ กะเพราแดง ทีม่ าภาพ: ที่มาภาพ: https://ca.lnwfile.com/d3qtp0.jpg https://lh3.googleusercontent.com/proxy/gLUM1IKZGt6Zcdd_qUPRyx4NdhSuBAse eOwdw3e9XftCLEs3d4vy8bFR5h2s7HdFXjOvjqAXCXGUuMOYNz4jTvGfDFjKIlkOqGN V8Fk โรคทีไ่ มค่ วรรกั ษาด้วยสมนุ ไพร ทอ้ งเดนิ รนุ แรง ลกั ษณะอุจจาระผิดปกติ เพลยี มาก ผิวหนงั แหง้ ถ่ายอุจจาระเปน็ มูกและเลือด อาการไข้สูง ไอมาก หายใจมเี สียงปกติ คล้ายมอี ะไรอยใู่ นลาคอโรคร้ายแรง โรคเรอ้ื รงั หรือยัง พิสจู นไ์ มไ่ ด้แน่ชัดวา่ รักษาดว้ ยสมุนไพรได้ เช่น งูพษิ กดั บาดทะยกั กระดูกหัก มะเรง็ วณั โรค กามโรค ความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคเรอ้ื น ดซี ่าน หลอดลมอักเสบเรอ้ื รัง ปอดอักเสบ อาการ บวม โรคตาทกุ ชนดิ เปน็ ตน้ ข้อดีของสมนุ ไพรในสาธารณสขุ มลู ฐาน มีรานงานการเกิดพษิ จากการใชน้ ้อย และมผี ลข้างเคียงนอ้ ยกวา่ อย่าแผนปจั จบุ นั มีราคาถกู ช่วยประหยักคา่ ใช้จา่ ย ข้อเสยี ของสมนุ ไพรในสาธารณสุขมูลฐาน มคี วามยงุ่ ยากในการเตรยี ม ซับซอ้ น ไมส่ ะดวก และเสียเวลาในการเตรียมยาสมุนไพร เห็นผลชา้ และมฤี ทธิ์ออ่ นกว่ายาแผนปจั จบุ นั ยาสามัญประจาบา้ นแผนโบราณ ยาสามัญประจาบ้านแผนโบราณ เป็นยาท่ีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขประกาศกาหนดข้ึน ภายใต้ หลักการของการเพิ่มการเข้าถึงยาของประชาชนที่สะดวกและปลอดภัย เพ่ือดูแลสุขภาพและรักษาอาการเจ็บป่วย เบ้อื งตน้ ที่ประชาชนสามารถดูแลรักษาตนเองได้ ท้ังน้ยี าสามญั ประจาบา้ นได้รับการยกเวน้ ให้จาหนา่ ยได้ โดยไม่ตอ้ งมี ใบอนุญาตขายยา ดังน้ัน จึงเป็นยาท่ีผู้ป่วยเป็นผู้เลือกใช้เองโดยท่ีไม่ต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์หรือเภสัชกร ตัวอย่างเช่น กลมุ่ อาการไข้ ชอื่ ยา: ยาจนั ทนล์ ลี า ขอ้ บ่งใช้: แก้ไข้เปล่ยี นฤดู แกอ้ าการไข้ตัวร้อน ไขป้ วดศีรษะ แก้ไขท้ ับระดู ข้อควรระวัง: - ไมแ่ นะนาให้ใช้ในผทู้ ี่สงสยั ว่าเป็นไขเ้ ลือดออก เน่อื งจากอาจบดบงั อาการของไข้เลอื ดออก - หากใชย้ าเป็นเวลานานเกนิ 3 วนั แล้วอาการไม่ดขี นึ้ ควรปรกึ ษาแพทย์ 137
กลมุ่ อาการท้องผกู ชอ่ื ยา: ยาธรณีสนั ฑะฆาต ข้อบ่งใช้ : แกก้ ษยั เสน้ เถาดาน ท้องผูก ขอ้ ควรระวัง : - ควรระวงั การรบั ประทานรว่ มกับยาในกลมุ่ สารกันเลือดเป็นลมิ่ (anticoagulant) และยาตา้ นการ จบั ตวั ของเกล็ดเลือด (antiplatelets) - ควรระวงั การใช้ยาอยา่ งตอ่ เนอื่ ง โดยเฉพาะอยา่ งย่งิ ในผปู้ ว่ ยที่มคี วามผิดปกตขิ องตับ ไต เนื่องจากอาจเกดิ การสะสมของการบูรและเกดิ พษิ ได้ - ควรระวังใช้ร่วมกับยา phenytoin, propranolol, theophylline และ rifampicin เน่ืองจาก ตารับนี้มีพริกไทยในปริมาณสงู - ควรระวังการใชใ้ นผู้สงู อายุ ขอ้ หา้ มใช้ : - คนเป็นไข้ เดก็ หรือสตรมี คี รรภ์ กลุ่มอาการนารีเวชศาสตร์ ชือ่ ยา: ยาประสะไพล ข้อบง่ ใช้ : แก้จุกเสยี ด แก้ระดูไม่ปกติ ขับนา้ คาวปลา ข้อควรระวงั : - ควรระวงั การใชย้ าอย่างตอ่ เนอ่ื ง โดยเฉพาะอย่างยง่ิ ในผปู้ ่วยทม่ี คี วามผดิ ปกติของตบั ไต เนอ่ื ง อาจเกิดการสะสมของการบรู และเกิดพษิ ได้ - กรณรี ะดูมาไม่สมา่ เสมอหรือมานอ้ ยกว่าปกติ ไมค่ วรใช้ตดิ ต่อกันนาน 1 เดือน - กรณีขับน้าคาวปลาในหญงิ หลงั คลอดบตุ ร ไม่ควรใช้ตดิ ตอ่ กันนานเกิน 15 วัน ขอ้ ห้ามใช้ : - หา้ มใช้ในหญิงตกเลือดหลงั คลอด หญงิ ตงั้ ครรภ์ และผูท้ ีม่ ีไข้ - หญงิ ที่มีประจาดือนมามากกว่าปกติเพราะจะทาใหม้ กี ารขบั ประจาเดอื นออกมามากขนึ้ กล่าวโดยสรปุ การสง่ เสรมิ ให้มีการใช้ยาจากสมุนไพรนั้น ไมไ่ ดม้ ีเป้าหมายเพียงแค่การอนรุ ักษว์ ิถีการดูแล สขุ ภาพของบรรพบรุ ษุ ไว้เทา่ นนั้ แตม่ คี ณุ ประโยชนอ์ ย่างมหาศาลใน 3 ด้าน คือ 1. ดา้ นเศรษฐศาสตร์ การแพทยแ์ ผนไทยและการใช้ยาจากสมุนไพรนบั เป็นอัตลักษณข์ องคนไทยท่ีแตกต่าง จากวิถีการดูแลสุขภาพของชนชาติอ่ืน ๆ การดูแลผู้รับบริการด้วยการแพทย์แผนไทยจะช่วยลดภาระการดูแลผู้ป่วย ของแพทย์แผนปัจจุบันซ่ึงมีอยู่จากัด นอกจากนี้การใช้ยาจากสมุนไพรยังช่วยลดการนาเข้ายาจากต่างประเทศได้อีก ด้วย ตัวอย่างยาที่ใช้ทดแทนยาแผนปจั จุบัน ยาสมุนไพร ทดแทนยาแผนปัจจบุ นั ขอ้ บง่ ใช้ ปรมิ าณการใช้ 1-2 cap*3 pc ยาขมน้ิ ชนั Simethicone 80 mg. บรรเทาอาการแนน่ จกุ เสยี ด 3-4 cap *4pc 450mg./cap Sodamint 300 mg. ท้องอดื ทอ้ งเฟอ้ อาหารไม่ย่อย M. carminative โรคกระเพาะอาหาร ยาฟ้าทะลายโจร Paracetamol 500 mg. เจบ็ คอ มอี าการไขหวดั 400 mg./cap. Serratiopeptidase 5 ท้องเสียไมต่ ิดเชื้อ mg. 138
ยาจนั ทลีลา Loperamide 2 mg. บรรเทาอาการไขต้ ัวร้อน ไข้ เปล่ียน 2 cap prn q4hr. 450mg./cap. Paracetamol 500mg. ฤดู ใช้ได้กรณกี ารปวด เมอ่ื ย ยาประสะไพล NSAIDs. กล้ามเนื้อร่วมด้วย - 2 cap*3 ac 450mg./cap Mefenamic acid 1.แก้ระดูมาไม่สม่าเสมอหรอื มา - กรณี ระดูไม่สม่าเสมอ ทาน 3-5 250mg. นอ้ ยกว่าปกติ วนั เมื่อระดูมาให้หยุด ยาธรณสี ันทฆาต 2.บรรเทาอาการปวดประจา้ เดอื น - กรณปี วดประจาเดอื น ทานก่อน 500mg./cap Bisacodyl 5mg. 3.ขับนา้ คาวปลา มีระดู 2-3 วนั จนถึงวนั ท่ี 2 ทมี่ ี Milk of Magnesia. 4.กระตุน้ น้านม ระดู - กรณขี บั น้าคาวปลา ทานจนกว่า ใชใ้ นคนไขท้ ่มี อี าการทอ้ งผูก และ นา้ คาวปลา จะหมด แตไ่ ม่เกิน 15 มอี าการปวดเมื่อย ทอ้ งเป็นเถา วนั เปน็ ดาน 2 cap hs ทม่ี า: กรมการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทย์ทางเลอื ก, 2562. 2. ด้านการพึ่งตนเอง การส่งเสริมให้มกี ารบริการการแพทย์แผนไทยและการใช้ยาจากสมนุ ไพรช่วยกระตุ้น ให้มีการศึกษาวิจยั และต่อยอดให้เกิดนวัตกรรมใหม่ ๆ ผลการวิจัยยังช่วยสร้างความเช่ือม่ันให้แก่ประชาชนในการนา การแพทย์แผนไทยไปใช้ดูแลสุขภาพของตนเองครอบครัวและชุมชน ทาให้ลดการพึ่งพาระบบบริการสุขภาพของรัฐ อาทเิ ม่ือเป็นหวดั ประชาชนกร็ จู้ ักนายาจากสมนุ ไพรใกล้ตัว อยา่ งหอมแดง ขงิ ตะไคร้ ฟา้ ทะลายโจร มาใช้รกั ษาแทนที่ จะต้องไปโรงพยาบาล หรือซ้ือยาแผนปัจจุบนั มารับประทาน 3. ด้านการสานต่อความรู้ของบรรพชน การแพทย์แผนไทยและยาจากสมุนไพรเป็นมรดกทางภูมิปัญญาที่ ตกทอดจากบรรพบุรุษมาถึงคนรุ่นเรา การส่งเสริมให้มีการใช้อย่างต่อเน่ืองและการพัฒนาที่ย่ังยืน จึงเป็นการส่งต่อ มรดกอนั ลา้ คา่ น้ีไปสูล่ ูกหลานของเราต่อไป ทั้งยงั เปน็ การเผยแพรใ่ หเ้ กิดประโยชน์แกค่ นทงั้ โลกอกี ด้วย สรปุ การแพทย์แผนไทย ( Thai traditionalmedicine) เป็นภูมิปัญญาไทยในการดูแลรักษาสุขภาพมาเป็นระยะ เวลานาน เป็นระบบการแพทยท์ ี่เกิดจากการเรียนรู้ การส่ังสมความรู้ ประสบการณ์การถ่ายทอด และการผสมผสาน กับการแพทย์ท้องถน่ิ และระบบการแพทย์อื่นทีเ่ ข้ามาส่สู ังคมไทย ในสมัยต่าง ๆ จนกลายมาเป็นระบบการแพทย์แผน ไทยซ่ึงเป็นการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมโดยเน้นความสมดุลของธาตุภายในร่างกายและความสมดุลภายในจิตใจ เมื่อทบทวนกระแสพระราชดารัสในเร่ืองเศรษฐกิจพอเพียงในด้านความพอดีพอควรสมเหตุสมผลและมีความสมดุล เพ่ือความสุขและสุขภาพดี เมื่อเจ็บป่วยควรได้รับการรกั ษาอย่างสมเหตุสมผล มีภูมิคมุ้ กันพง่ึ พิงดูแลตัวเองและคนใน ครอบครัวได้ย่ังยืน วิถีสขุ ภาพพอเพียงเป็นจึงวิถีชวี ิตทเี่ รียบง่าย ภายใตห้ ลักสมดุล องคร์ วม พงึ่ ตนเอง สอดคล้อง กับหลักการสาธารณสุขมูลฐานของประเทศไทย ทาให้เกิดภาวะสุขภาพท่ีดี และคุณภาพชีวิตท่ีดีได้จริง การส่งเสริมสนับสนุนให้บุคคลมีความรู้ในการดูแลสุขภาพที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตไทยโดยใช้การแพทย์แผนไทยหรอื ใช้ ภมู ิปัญญา เชน่ การใช้อาหารพืชผักผกั สมุนไพร การนวดพื้นฐาน การประคบ การบริหารด้วยท่าฤๅษีดีดตน มาปฏิบัติ ดูแลสุขภาพ เปน็ อกี วิธีหนึง่ ที่ในทางเลือกที่เพมิ่ ขนึ้ ลดปัญหาการใชย้ าแผนปจั จุบัน ขณะเดียวกนั ภมู ปิ ญั ญาไทยในอดีต มมี าต้ังแต่บรรพบุรษุ ท่ีมกี ารใชต้ อ่ เน่อื งกันมาหลายช่วั อายุคนได้พิสูจน์ใหเ้ หน็ แล้วว่าสามารถบรรเทาอาการเจ็บป่วยได้ อย่างดี และลดค่าใชจ้ า่ ยของครวั เรือนและประเทศชาติ กอ่ ใหเ้ กดิ สุขภาพท่ดี ี อย่างสมดลุ และย่ังยืน 139
เอกสารอา้ งองิ Aciksoz S, Akyuz A, Tunay S. (2017). The effect of self-administered superficial local hot and cold application methods on pain, functional status and quality of life in primary knee osteoarthritis patients. J Clin Nurs, 26(23-24), 5179-5190. Dhippayom T, Kongkaew C, Chaiyakunapruk N, Dilokthornsakul P, Sruamsiri R, Saokaew S, et al. (2015) Clinical effects of thai herbal compress: a systematic review and meta-analysis. Evid Based Complement Alternat Med, 2015:942378. กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทยท์ างเลือก. (1 มิถนุ ายน 2563). รายการยาสมุนไพรทสี่ ามรถใชท้ ดแทนยาแผน ปัจจบุ นั จานวน 31 รายการ. เขา้ ถงึ ได้จาก http://164.115.41.179/tm/sites/default/files/%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%9C%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%97% E0%B8%A2%E0%B8%97%E0%B8%94%E0%B9%81%E0%B8%97%E0%B8%99%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%9C%E0%B8 %99%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%88%E0%B8%88%E0%B8%B8%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%99.pdf กรมการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทย์ทางเลอื ก. (1 มิถนุ ายน 2561). ตาราเภสชั กรรมไทย เล่ม 1. สมุทรสาคร: พิมพ์ ดี. กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กองทุนภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย. (2548). คู่มือการ ดาเนินงานส่งเสริมสุขภาพและการป้องกันโรคด้วยการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก. กรงุ เทพมหานคร: สานกั งานกิจการโรงพมิ พ์องค์การสงเคราะหท์ หารผา่ นศกึ ในพระบรมชาชูปภัมภ์. กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก. (2561). ตาราพ้ืนฐานวิชาชีพการแพทย์แผนไทย เล่ม 1 ปรัชญาและพืน้ ฐานการแพทยแ์ ผนไทย. สมทุ รสาคร: พิมพ์ดี. กลุม่ งานการนวดไทย สถาบนั การแพทยแ์ ผนไทย กรมพัฒนาการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก. (2556). คูม่ อื การนวดตนเองสาหรับประชาชน. กรงุ เทพฯ: ชมุ นุมสหกรณก์ ารเกษตรแหง่ ประเทศไทย. กลมุ่ งานวชิ าการเภสัชกรรมแผนไทย สถาบนั การแพทย์แผนไทย. (1 มถิ นุ ายน 2563). ขอ้ มูลยาแผนไทยและยาจาก สมนุ ไพรท่ีมโี อกาสใช้แทนยาแผนปจั จบุ ัน : ยาในบญั ชียาหลกั แห่งชาติ. เขา้ ถงึ ได้จาก https://www.dtam.moph.go.th/images/download/dl0055-12122561_2.pdf กลุม่ พฒั นากรอบแนวคดิ ทางทฤษฎเี ศรษฐศาสตร์ ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียง. (2546). กรอบแนวคิดทางทฤษฎี เศรษฐศาสตร์ ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง. ม.ป.ท. : กลุม่ พัฒนา. คณะอนกุ รรมการขับเคลือ่ นเศรษฐกจิ พอเพียง สานกั งานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกจิ และสังคมแหง่ ชาต.ิ (2550). การประยกุ ตใ์ ชห้ ลกั เศรษฐกิจพอเพยี ง. ม.ป.ท. : คณะอนกุ รรมการ. จริ าภรณ์ บญุ มาก. (1 มถิ ุนายน 2563). คมู่ ือการดแู ลสขุ ภาพดว้ ยการแพทย์แผนไทย การแพทยพ์ ้ืนบา้ น และ การแพทย์ทางเลอื ก. เข้าถึงไดจ้ าก http://164.115.41.179/tm/sites/default/files/%E0%B8%84%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8 %94%E0%B8%B9%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8% A2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%81%E0%B8%9E%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B9%81%E0%B8%9C%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9 7%E0%B8%A2%20%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%81%E0%B8%9E%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8 %99%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%20%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%81%E0%B8%9E%E0% B8%97%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%81.pdf นาพร อนิ สนิ . (1 มถิ ุนายน 2563). สมุนไพรในงานสาธารณสุขมลู ฐาน. เขา้ ถงึ ได้จาก http://geed.snru.ac.th/UserFiles/File/%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%887%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%84%E 0%B8%9E%E0%B8%A3.pdf ประกาศกระทรวงสาธารณสขุ เรอ่ื ง ยาสามัญประจาบ้านแผนโบราณ พ.ศ. 2556. (2556). ราชกิจจานุเบกษา. เล่ม ๑๓๐ ตอนพิเศษที่ 21 ก., หนา้ 30. ฝา่ ยสรา้ งเสรมิ ความรอบร้ดู า้ นสขุ ภาพ กลมุ่ งานส่ือสารองคก์ รวชิ าการและแผนงาน กรมการแพทยแ์ ผนไทยและ การแพทยท์ างเลอื ก. (1 มถิ นุ ายน 2563). สมนุ ไพรในงานสาธารณสขุ มูลฐาน. เข้าถงึ ได้จาก https://thaicam.go.th/wp- content/uploads/2019/06/9.%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B9%83%E0%B8%99%E0% B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%98%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82% 140
E0%B8%A1%E0%B8%B9%E0%B8%A5%E0%B8%90%E0%B8%B2%E0%B8%992-by- %E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%81%E0%B8 %A5%E0%B8%B0%E0%B9%81%E0%B8%9C%E0%B8%99%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99-1.pdf ภาณพุ งศ์ พทุ ธรกั ษ.์ (1 มถิ ุนายน 2563). สมุนไพรในงานสาธารณสุขมลู ฐาน และบญั ชียาหลกั แหง่ ชาต.ิ เข้าถงึ ได้จาก http://thaihp.org/download.php?option=showfile&file=468 ภาณุโชตทิ องยงั , ผกากรอง ขวัญข้าว, พินติ ชนิ สร้อย, ณัฐดนยั มุสิกวงศ์, และอาสาฬา เชาวน์เจรญิ . (2558). คมู่ อื เภสัชกรสมุนไพร เล่มท่ี ๑ สมนุ ไพรไมใ่ ช่ยาขม. กรงุ เทพฯ: ปรมตั ถก์ ารพมิ พ.์ มณี อาภานนั ทิกุล. (2561). สุขภาพพอเพยี ง. วารสารสภาการพยาบาล, 33(2), 5-14. ศภุ มาส พนั ธ์เชย. (2562). เศรษฐกจิ พอเพยี งในการสาธารณสขุ . Krabi Medical Journal, 2(2), 85-87. สุภาพร คชารัตน์. (2560). จาก\"สขุ ภาพ\" สู่ \"สุขภาวะ\" : การปฏิรปู ระบบสุขภาพของวงการสาธารณสุขไทย. Veridian E-Journal, Silpakorn University, 10(2), 2803-2819. สานกั งานคณะกรรมการพฒั นาการเศรษฐกจิ และสงั คมแห่งชาติ (สศช.) มูลนิธสิ ถาบนั วจิ ัยและพฒั นาประเทศตาม ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียง (มพพ.) และสานกั งานทรพั ยส์ ินสว่ นพระมหากษตั รยิ ์. (2555). จากปรัชญา ของเศรษฐกิจพอเพียง สูก่ ารปฏบิ ัตกิ วา่ 1 ทศวรรษ. กรงุ เทพฯ : ดาวฤกษ์ คอมมนู ิเคชั่นส์. สานักงานคณะกรรมการพฒั นาการเศรษฐกิจและสงั คมแหง่ ชาติ สานักยทุ ธศาสตร์ดา้ นนโยบายสาธารณะ. (2560). “ปรชั ญาของ เศรษฐกจิ พอเพยี ง และการประยกุ ตใ์ ช้”. ม.ป.ท. : สานกั งาน. อัจฉรา โยมสิทธุ.์ (2563). หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพยี ง. เอกสารประกอบการอบรมเร่ืองหลกั ปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพยี ง, กรงุ เทพ : ตลาดหลักทรัพย์แหง่ ประเทศไทย. 141
ใบงาน/ใบกจิ กรรม/แบบทดสอบทา้ ยบท ชื่อ-สกุล............................................................................. รหัสประจาตวั นิสิต........................................................... ช่อื รายวิชา การดแู ลและการสรา้ งเสรมิ สขุ ภาพแบบองค์รวม (Holistic Health Promotion) รหสั วิชา 0042003 กล่มุ ทเ่ี รียน .................. ใบงานท่ี ............................. วนั ที่ ...................................................................................... คาส่ัง: ใหน้ ิสติ ตอบคาถามดงั ตอ่ ไปนี้ใหถ้ ูกตอ้ ง 1) นายเอมาพบแพทยด์ ้วยอาการท้องผกู เปน็ มา 1 สัปดาห์ มีอาชีพเปน็ นสิ ติ จงวเิ คราะหส์ าเหตุของการเกิด โรคท่นี ่าจะเปน็ ไปได้ ตามหลกั ทฤษฎีการแพทยแ์ ผนไทย …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2) จงวางแผนการรักษา/ดแู ลสขุ ภาพ ของนายเอดงั ข้อ 1 ตามหลกั ปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพียง โดยใชห้ ลกั การ “2 เงอื่ นไข 3 หลักการ 4 มิติ” และตามหลกั การดแู ลสขุ ภาพดว้ ยหลัก 8 อ. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 142
บทที่ 7 สทิ ธิประกันสขุ ภาพในประเทศไทยและสทิ ธิและหนา้ ทข่ี องผู้ป่วย วตั ถุประสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรม เมอ่ื นิสิตไดร้ ับฟงั การบรรยาย และรว่ มแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในบทเรยี นนี้แล้ว ผู้เรียนสามารถ 1. อธิบายความหมายและความสาคัญของการประกันสุขภาพ และจาแนกรูปแบบการประกันสุขภาพต่าง ๆ ของประเทศไทยได้ 2. อธิบายถงึ ความสาคัญของสทิ ธิประชาชนไทย ในการเขา้ ถงึ การประกนั สุขภาพในประเทศไทยได้ 3. อธิบายถงึ สิทธแิ ละหนา้ ทีข่ องผปู้ ว่ ยได้ 4. อธิบายถงึ โครงสรา้ งของระบบบรกิ ารสุขภาพของสถานพยาบาลในแต่ละระดับได้ วิธีการสอน/กจิ กรรมการเรียนการสอน 1. โดยการบรรยาย ถามตอบ การซกั ถาม และอภิปรายสถานการณ์ที่เก่ียวข้อง 2. การสอนแบบยกตวั อย่าง สาธิต การถาม-ตอบ 3. มอบหมายงานใหน้ ิสติ วิเคราะหอ์ งคค์ วามรู้ในทา้ ยชวั่ โมงเรยี นเปน็ รายบุคคล การประเมนิ ผลลัพธ์การเรียนรู้ 1. การทดสอบในชัว่ โมงเรียน (quiz) 2. ประเมนิ จากรายงาน 3. การสอบกลางภาค (midterm) 4. สอบปลายภาค (final exam) 143
บทนา ระบบสวัสดิการหรือระบบความมั่นคงทางสังคม (Social welfare) คือระบบที่รัฐสร้างขึ้น เพื่อเป็น หลักประกันแก่ประชาชน ถ้าหากเขาต้องประสบกับภาวะการสูญเสียรายได้ การมรี ายจ่ายพเิ ศษเพ่ิมข้ึน หรือการไม่มี รายได้อันจะมีผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของเขาและครอบครัว ท้ังน้ีได้อาศัยหลัก 3 ประการ คือ 1) หลักการ สงเคราะห์ 2) หลักการบรกิ ารสังคม และ 3) หลักการประกนั สังคม จดุ เร่ิมต้นของการประกันสุขภาพเกิดในช่วงปลายศตวรรษท่ี 18 ในกลุ่มคนงานและชาวนาของยุโรป ท่ี รวมตัวกนั ในบรเิ วณใกล้เคียงกัน ตั้งเปน็ กองทุนสาหรับการเจ็บป่วย (Sickness fund) โดยสมาชกิ แตล่ ะคนจะจ่ายเงิน สมทบเข้ากองทนุ และกองทุนกจ็ ะจ่ายเงนิ ใหก้ ับสมาชกิ เป็นคา่ รักษาพยาบาล ต่อมาไดพ้ ัฒนามาเป็นการทาสญั ญากับ แพทย์ทจี่ ะใหก้ ารดแู ลสมาชกิ กองทนุ อนึ่ง การบริการการแพทย์และสาธารณสุขเป็นสินค้าสาธารณะและสินค้าส่วนบุคคลในขณะเดียวกัน และยังมีองค์ประกอบทเ่ี ป็นสินคา้ คุณธรรม (Merit goods) ดว้ ยนนั้ ทาใหไ้ ม่อาจเปิดให้กลไกตลาดหรอื กลไกราคาใน ระบบเสรีนยิ มทางานเป็นอิสระได้ทั้งหมดเพราะจะส่งผลต่อความไม่เป็นธรรมทางเศรษฐกิจและสังคมได้โดยตรงและ ง่าย เน่ืองจากฐานะทางเศรษฐกิจหรือความไม่สามารถในการจ่ายทางเศรษฐกิจในบางกลุ่มประชากรจะมีผลให้ไม่ สามารถเข้าถึงหรือขาดโอกาสในการได้รับบริการการแพทย์และสาธารณสุข (Accessibility) หรือได้รับบริการท่ีด้อย คุณภาพ การสร้างหลักประกันหรือให้ความคุ้มครองด้านสุขภาพอนามัยโดยรัฐจึงยังมีความสาคัญและจาเป็นอยู่มาก สาหรับประชากรกล่มุ นัน้ ๆ ขณะเดียวกนั การเจบ็ ปว่ ยของประชากรนั้นโดยลกั ษณะธรรมชาติแลว้ กม็ ีความเสี่ยง (Risk) ในระดับหน่งึ กล่าวคอื เส่ยี งตอ่ การเจบ็ ป่วย และเสี่ยงตอ่ การต้องจ่ายค่ารกั ษาพยาบาลในขณะเดียวกัน ท้ังนี้โดยยังไม่ นับรวมถึงความเส่ยี งทเ่ี กดิ จากพฤตกิ รรมของบุคคลโดยเจตนาที่มีผลต่อสุขภาพอนามัย เชน่ พฤตกิ รรมการดม่ื แอลกอ ฮอร์ และสารเสพติด เป็นต้น การสร้างหลักประกันและให้ความคุ้มครองด้านสุขภาพอนามัยโดยอาศัยหลักการของ การประกันภัย (Insurance) คือการเฉลี่ยความเสี่ยง (Risk sharing) และการเฉลี่ยแบ่งรับภาระค่าใช้จ่าย จึงเป็นอีก วธิ ีหนึ่งที่น่าจะมคี วามเหมาะสมในหลายกรณี สภาพการณ์ที่ปรากฏในประเทศไทยน้นั ได้มวี ิวัฒนาการสบื เนอ่ื งมานาน พอสมควรในหลาย ๆ ด้านจนเป็นความหลากหลายของการสรา้ งหลักประกันและการคุ้มครองดา้ นสขุ ภาพอนามยั ซ่ึง แต่ละวิธีต่างก็มีเงื่อนไข คุณลักษณะ ขอบข่ายครอบคลุม การแบ่งรับภาระและรายละเอียดตลอดจนผลกระทบที่ แตกต่างกันไป ในปัจจุบันประชากรไทยท่ีได้รับหลักประกันและการคุ้มครองด้านสุขภาพอนามัยมีท้ังท่ีเป็นไปในเชิง บังคับตามนัยของกฎหมาย และที่เป็นไปโดยสมัครใจซ่ึงขึ้นอยู่กับความรู้ความเข้าใจ และการยอมรับของประชาชน เป็นสาคัญ นอกจากนั้นยังมีการให้ความคุ้มครองโดยรัฐในลักษณะท่ีเป็นสวัสดิการสงเคราะห์เพ่ือสร้างและประคอง โอกาสในการเข้าถงึ บรกิ ารการแพทย์และสาธารณสุขเป็นพิเศษสาหรบั ประชากรผู้ด้อยโอกาสบางกลมุ่ และยงั มีการจดั ให้เป็นสิทธิประโยชน์เกื้อกูลในรูปของสวัสดิการตอบแทนแก่ผู้ปฏิบัติงานอีกด้วย ความหลากหลายดังกล่าวน้ีโดยนัย หนึ่งเป็นข้อดีของระบบเศรษฐกิจและสังคมที่ทาให้ประชาชนมีโอกาสเลือกที่กว้างขวางข้ึน แต่อีกนัยหนึ่งก็เป็นการ ขยายความเหลอ่ื มล้าในทางปฏบิ ตั ซิ ่ึงสง่ ผลตอ่ ความไม่เป็นธรรมทางเศรษฐกจิ และสงั คมด้วย ดงั นน้ั หลกั ของการประกันสุขภาพ คือ การเฉลีย่ ความเสย่ี งสาหรบั คนกลุ่มมากเพือ่ ให้ผเู้ อาประกนั หรือ สมาชิกในครัวเรือนได้รับการคุ้มครองสามารถเข้าถึงบริการทางการแพทย์และสาธารณสุข เม่ือเจ็บป่วยโดยท่ีค่า รักษาพยาบาลไม่ใช่กาแพงขวางกั้น ณ จุดบริการนั้นผู้รับบริการอาจจะจ่ายสมทบค่ารักษาพยาบาลบางส่วน (Cost sharing) กไ็ ด้ ท้ังนข้ี ึ้นอย่กู ับเง่ือนไขของสญั ญาในการประกนั สขุ ภาพนั้น ๆ 144
เนื้อหา ความหมายและความสาคญั ของสทิ ธปิ ระกนั สขุ ภาพในประเทศไทย ในสถานการณใ์ นปัจจบุ นั นี้รัฐจะตอ้ งใหค้ วามมนั่ ใจแก่ประชาชนทกุ หมูเ่ หล่า ในการท่ีจะได้อยใู่ นระบบ สขุ ภาพทพ่ี ึงปรารถนา สามารถใชช้ ีวติ ไดเ้ ตม็ ตามศกั ยภาพทางสขุ ภาพของตนเอง ตามวยั และสถานะทางรา่ งกาย เชน่ เดก็ วยั แรงงาน วัยชรา หรือผ้ทู ุพพลภาพ ควรจะสามารถดาเนนิ ชีวิตไดเ้ ต็มท่ีตามอตั ภาพของตน โดยไมถ่ ูกจากัดดว้ ย ฐานะทางสงั คมหรือเศรษฐกิจใด ๆ หากพิจารณาตามเจตนารมณ์ของรฐั ธรรมนูญ รฐั จาต้องทาหน้าท่คี ้าประกันระบบ สุขภาพแหง่ ชาติให้มีคุณสมบตั ิตามกรอบปรัชญาในระดับน้ี โดยจัดเรยี งตามความสาคัญ ดงั น้ี 1) ความเสมอภาค (Equity) การจัดระบบสขุ ภาพจาตอ้ งมงุ่ ให้เกดิ ความเสมอภาคในการสร้างเสรมิ สุขภาพ การปอ้ งกันโรค การดูแลรกั ษาพยาบาล และการฟน้ื ฟูสขุ ภาพแกป่ ระชาชนทกุ หมูเ่ หลา่ อยา่ งเทา่ เทยี มกนั การ จัดโครงสร้างทางนโยบาย กฎหมาย และการคลงั ต้องมุง่ เนน้ ใหเ้ กิดพนื้ ฐาน และโอกาสในการเข้าถึงการดาเนินชวี ิตที่ มีสขุ ภาพไดเ้ สมอเหมือนกนั ดังนั้น ขอ้ มลู ข่าวสารเก่ยี วกับสุขภาพจงึ เปน็ ความจาเป็นขน้ั พืน้ ฐานท่ีจะชว่ ยใหป้ ระชาชน ท่มี พี น้ื ฐานการศกึ ษา ฐานะทางสังคม และเศรษฐกิจแตกตา่ งกนั สามารถตดั สินใจเลือกวถิ ที างสขุ ภาพของตนไดอ้ ยา่ ง เท่าเทียมกัน การจดั บริการสุขภาพต้องคานงึ ถึงโอกาสในการเขา้ ถงึ บรกิ ารท่ีเปน็ ธรรมกบั ทกุ ฝา่ ย โดยปอ้ งกนั อุปสรรค ทง้ั ในแงก่ ารเดนิ ทาง การกดี กัน้ ทางสงั คม และการเงนิ 2) ประสิทธิภาพ (Efficiency) การออกแบบระบบสุขภาพและการจัดการให้เกิดการขับเคล่ือนระบบ สุขภาพ จาต้องพิจารณาถึงความคุ้มค่าของค่าใช้จ่ายท่ีลงทุน โดยเฉพาะจะต้องวิเคราะห์ในแง่ความคุ้มทุนเมื่อ เปรียบเทียบกับผลลัพธ์ทางสุขภาพที่ได้รับจากการบริหารนโยบายสุขภาพ ทั้งยังต้องคานึงถึงศักยภาพทางการคลัง (Affordability) ของผู้ท่ีเก่ียวข้อง ต้ังแต่ระดับปัจเจก ชุมชน ท้องถ่ิน หรือรัฐบาล ซ่ึงมีภาระทางการเงินที่จาต้อง เลือกใช้จ่ายใหเ้ กิดผลประโยชน์สูงสุด ดังน้นั ข้อจากัดทางงบประมาณและการเงินเป็นเง่ือนไขสาคัญท่ีทาให้ผู้บริหาร จาเปน็ ตอ้ งเลอื กจัดบรกิ าร เทคโนโลยี หรอื กระบวนการทางสุขภาพทมี่ ีประสทิ ธิภาพสงู สุด 3) คุณภาพ (Quality) ระบบสขุ ภาพจาต้องมคี ุณภาพไดม้ าตรฐาน ม่งุ เนน้ ใหป้ ระชาชนไดร้ ับประโยชน์ สงู สุดอย่างจริงจัง ซ่ึงจะต้องสง่ เสริมให้เกิดกระบวนการพัฒนา และควบคุมคุณภาพในการจดั ระบบสขุ ภาพทกุ ๆ ดา้ น ตลอดจนกระจายข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสุขภาพ เพื่อช่วยให้ประชาชนที่มีระดับการศึกษาและความรู้แตกต่างกันมี ความรู้ความเข้าใจเพียงพอที่จะทาการตัดสินใจเลือกทางเลือกในการดูแลรักษาสุขภาพของตนได้อย่างเหมาะสม เนื่องจากความรู้เกี่ยวกับสุขภาพพัฒนาไปอย่างรวดเร็วจนคนส่วนใหญ่ไม่สามารถเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ กลไกรัฐและ กลุ่มวิชาชีพทางสุขภาพต่าง ๆ จึงต้องมุ่งปรชั ญาความเป็นเลิศในการพัฒนาคุณภาพและจริยธรรมให้เป็นหัวใจสาคัญ ในการจดั บริการสขุ ภาพ ดังนั้น รัฐจะต้องมีหลักประกันและการคุ้มครองด้านสุขภาพอนามัยของประชากร ซ่ึงประเทศไทยได้มี การจัดระบบสวัสดิการด้านการรกั ษาพยาบาลให้กับคนไทย โดยมรี ูปแบบและลักษณะท่ีหลากหลายมากนนั้ เฉพาะท่ี สาคญั ๆ ดงั นี้ 1. หลักประกนั และการคมุ้ ครองในเชงิ บงั คบั (ตามกฎหมาย) 1.1 การประกันสขุ ภาพตามนัยของกฎหมายประกนั สังคม 1.2 การประกนั สขุ ภาพตามนยั ของกองทุนเงนิ ทดแทน 1.3 พระราชบญั ญตั คิ ้มุ ครองผ้ปู ระสบภยั จากรถ 2. หลกั ประกนั และการคมุ้ ครองโดยสมคั รใจ - การประกันสุขภาพเอกชน 3. สวัสดิการรกั ษาพยาบาลทีร่ ัฐจัดให้ (Social Welfare) 3.1 สวัสดกิ ารรกั ษาพยาบาลของราชการและพนักงานรฐั วิสาหกิจ 3.2 หลักประกันสขุ ภาพถ้วนหน้า (Universal Coverage; UC) 145
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163