Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เอกสารประกอบการสอน 0042003

เอกสารประกอบการสอน 0042003

Published by surachat.s, 2020-07-15 10:12:31

Description: เอกสารประกอบการสอน 0042003

Search

Read the Text Version

การประเมินดว้ ยแอพพลเิ คชนั ตา่ ง ๆ ในปัจจบุ นั การประเมนิ หรอื ตรวจสอบความปกตทิ างสุขภาพกาย เบอื้ งตัน สามารถประเมินไดง้ า่ ย ๆ ในแอพพลเิ คชนั ตา่ ง ๆ ทง้ั ใน Smart Phone หรือ Internet ไดแ้ ก่ - โปรแกรม Health Check ตาม https://programmerthailand.com/health - DoctorMe ทาให้รวู้ ิธีดูแลตัวเองจากอาการเจ็บป่วยเบอื้ งต้นด้วยตนเอง พร้อมข้อมลู ประกอบให้ รจู้ กั กับโรคและการใชย้ า - DooRare (ดูแร) ช่วยประเมินและอ่านค่าผลการตรวจสุขภาพ ช่วยตรวจสอบและบันทึกค่า สุขภาพได้ตลอดเวลา - ฯลฯ 2. การประเมนิ สขุ ภาพดว้ ยทางการแพทย์ โดยการตรวจและคดั กรองความเสีย่ งต่าง ๆ เชน่ การวดั ความ ดันเลอื ด การตรวจวัดระดับไขมนั ในเลือด และการตรวจวดั ปริมาณนา้ ตาลในเลือด และการตรวจวดั ปริมาณนา้ ตาลใน เลอื ด โดยตรวจสุขภาพประจาปี ปลี ะ 1 ครั้ง โดยให้แพทยต์ รวจร่างกายทว่ั ไป ไดแ้ ก่ ตรวจอจุ จาระ ตรวจ ปัสสาวะ เอกซเรย์ปอด และตรวจเลือด สาหรับการตรวจเลือดนัน้ จะทาใหท้ ราบภาวะผิดปกตติ า่ ง ๆ ของร่างกาย ได้มากมาย การประเมินสุขภาพทางการแพทยใ์ นทนี่ จ้ี ะกลา่ วเฉพาะภาวะของร่างกายที่ควรไดร้ ับการตรวจประจาปี โดยเฉพาะผู้ใหญ่ เชน่ การตรวจเลอื ด ทาให้ทราบสภาวะของรา่ งกาย ดงั น้ี  ระดับคอเลสเตอรอล (Cholesterol) ในเลือด เป็นไขมันในเลือดชนิดหนึ่ง ระดับปกติไม่ควรเกิน 200 มลิ ลิกรัม/เดซิลิตร (mg/dl) ถ้ามากกว่านี้ถือว่าสูง ควรควบคุมอาหาร ออกกาลังกายเป็นประจา และควรไป พบแพทย์เพ่ือปฏบิ ัติตามคาแนะนาของแพทย์  ระดับไตรกลีเซอไรด์ (Triglyceride) เป็นไขมันในเลือดอีกชนิดหน่ึง ระดับปกติไม่ควรเกิน 150 มลิ ลิกรัม/เดซลิ ิตร ถา้ มกี ารควบคมุ อาหารทดี่ ี ออกกาลังกายอยู่เสมอจะทาใหร้ ะดับไตรกลเี ซอไรด์ลดลงได้ และควร ไปพบแพทย์เพือ่ รับคาแนะนาและการรกั ษาท่ีถูกตอ้ ง  ระดับเอชดแี อล (HDL, High-density Lipoprotein) หรือไขมันดี ซ่ึงเป็นไขมันท่ีมีความหนาแน่นสูง ควรมีค่าไม่น้อยกว่า 35 มิลลิกรัม/เดซิลิตร จึงจะถือว่าปกติ การออกกาลังกายจะช่วยเพ่ิมระดับเอชดีแอลได้มาก รวมท้ังควบคมุ ระดบั คอเลสเตอรอลได้เช่นกนั  ระดับแอลดีแอล (LDL, Low-Density lipoprotein) ซ่ึงเปน็ ไขมนั ท่มี ีความหนาแน่นน้อย ถ้ามีมาก ไม่ดี ควรมีค่าไม่เกิน 130 มิลลิกรัม/เดซิลิตร จึงจะถือว่าปกติ การปฏิบัติตนในการควบคุมระดับคอเลสเตอรอลจะ ช่วยใหร้ ะดับแอลดีแอลลดลงได้ ถ้ามีสภาวะร่างไม่เป็นไปตามเกณฑ์ปกติตาม 4 ประเด็นข้างต้นที่กล่าวมา ถือว่าเป็นปัจจัยเส่ียงท่ีจะทาให้ เกดิ โรคต่าง ๆ ตามมาได้ เช่น โรคหวั ใจขาดเลือด หรือหลอดเลือดสมองตบี ตนั ทาใหเ้ กดิ โรคอัมพาตได้  ระดับน้าตาลในเลือด (Glucose) ตามปกติควรอยู่ระหว่าง 65-100 มิลลิกรัม/เดซิลิตร ถ้าสูงเกิน 100 มลิ ลกิ รัม/เดซิลติ ร ถือวา่ ภาวะนา้ ตาลในเลอื ดสงู มีโอกาสเปน็ โรคเบาหวาน  ระดับกรดยูริกในเลือด (Uric Acid) ตามปกติไม่ควรเกิน 7 มิลิกรัม/เดซิลิตร ถ้าเกินกว่านี้ถือว่ามี กรดยรู ิกในเลอื ดสูง มโี อกาสเส่ียงตอ่ การเปน็ โรคเกาด์  ความเข้มข้นของเม็ดเลือดแดง (Hematocrit : Hct) ผู้ชายควรอยู่ระหวา่ ง 40-45% ผู้หญงิ ควรอยู่ ระหว่าง 37-47% และสีของเม็ดเลือดแดง (Hemoglobin : Hb) ผู้ชายควรอยู่ระหว่าง 12.5-17.5 กรัม/เดซิลิตร (g/dl) ผ้หู ญงิ ควรอยู่ระหว่าง 11.5-16.5 กรมั /เดซลิ ติ ร (g/dl) ถ้ามคี ่านอ้ ยกวา่ นถี้ ือ่ว่าเลือดจาง  จานวนเม็ดเลือดขาว (White Blood Cells) ควรอยู่ระหว่าง 5,000-10,000 เซลล์/ลูกบาศก์ มิลลเิ มตร (cells/cmm) 46

โดยสรุป การประเมนิ สขุ ภาพทายส่วนบุคคลในวยั รุ่น วัยผู้ใหญ่ และวัยผสู้ งู อายุ ทาใหท้ ราบวา่ บุคคลน้นั มี สขุ ภาพทางสมบูรณ์มากน้อยเพียงใด สามารถทางานได้ตามปกตหิ รือไม่ รวมทั้งสามารถตรวจสอบสุขภาพเบือ้ งต้นว่า มคี วามเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยและเพ่ือค้นหาโรคในระยะแรกที่ยังไม่มีอาการปรากฏชดั เจน เพือ่ นาสู่การดูแลสร้างเสริม และการปอ้ งกันโรคเบื้องตน้ ตอ่ ไป 47

เอกสารอ้างอิง กองโภชนาการ, กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสขุ . อาหารสาหรบั แม่และลูก, สงิ หาคม 2551 กองโภชนาการ, กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข. แนวทางการดาเนินงานเฝา้ ระวังการเจริญเติบโตของเด็กอายุ 6- 18 ปี พ.ศ. 2552. กรมอนามยั , กระทรวงสาธารณสขุ . ผลการสารวจภาวะสุขภาพนักเรียน ปี 2558. สุรัตน์ โคมินทร์, 2547, โรคอ้วนในผู้ใหญ่ ผลกระทบและหลักการลดน้าหนัก, ในการประชุมวิชาการ เรื่อง “กินให้ ปลอดภัย ไม่อ้วน ครบถ้วนคุณค่า” สมาคมโภชนาการแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ สมเด็จ พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ร่วมกับคณะเวชศาสตร์เขตร้อน, 10-11 มิถุนายน 2547, มหาวทิ ยาลยั มหดิ ล, กรงุ เทพฯ. พานทิพย์ แสงประเสริฐ, วรวรรณ วาณิชเจริญ ชัยและมรรยาท รุจิวิทย์, 2552, ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการ ออกกา ลังกายและพฤตกิ รรมการจัดการความเครียดของผปู้ ว่ ยโรคเรื้องรงั , ว. พยาบาล 58: 69-84. ไพโรจน์ วงศ์วุฒิวัฒน์ , มติชนออนไลน์, จะเตรียมรับมืออย่างไร ? ...สังคมผู้สูงอายุ , แหล่งท่ีมา : http://hilight.kapook.com/view/ 34319, 11 ตลุ าคม 2556. Elliott, W. J, Lzzo, J.L., White, W.B., Rosing, D., Snyder, C.S., Alter, A., Gavish, B. and Black, H.R., 2004, Graded blood pressure reduction in hypertensive out patients associated with use of a device to assist with slow breathing, J. Clin. Hypertens. 6: 553-559. ESH & ESC, 2007, Guidelines for the Management of Arterial Hypertension The Task Force for the Management of Arterial of the European Society of Hypertension (ESH) and of The European Society of Cardiology (ESC), J. Hypertens. 25: 1105-1187. Pender, N.J., Murdaugh, C.L. and Parsons, M.A., 2006, Individual Models to Promote Health Behavior in Health Promotion in Nursing Practice, 5th Ed., Appleton & Lange, California. Sangprasert, P. and Pradujkanchana, N. , 2010, The effectiveness of health promotion behavior program (HPBP) in Thai hypertensive patients, Thammasat Int. Sci. Technol.15(1): 53-59. Tobin, M.J., Chadha, T.S., Jenouri, G., Birch, S.J., Gazeroglu, H.B. and Sackner, M.A., 1983, Breathing patterns: 1. Normal subjects, Chest84: 202-205. World Health Organization, 1998, Health promotion glossary, World Health Organization, Geneva. World Health Organization media care. Obesity and overweight Fact sheet [Online]. 2015 [cited 2015 Apr 17]. Available from: http://www.who.int/mediacentre/ factsheets/fs311/en/ http://www.healthcarethai.com http://www.manager.co.th/Dhamma/ViewNews.aspx?NewsID=9530000059681 http://advisor.anamai.moph.go.th/main.php?filename=env102 48

แบบทดสอบท้ายบท ช่อื -สกุล.................................................................................... รหัสประจาตัวนิสติ .............................................. ชอ่ื รายวชิ า ............................................................................. รหัสวิชา ............................... กลุ่มท่ีเรียน ............ ใบงานท่ี ............................. วันที่ .................................................................................................. อาจารย์ผสู้ อน................................................................................................................................. 1. ให้นสิ ติ อธิบายสาเหตขุ องปญั หาสุขภาพทางกายในวัยรนุ่ วยั ผู้ใหญ่ และวยั ผู้สงู อายุ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. ใหน้ ิสติ บนั ทกึ BMI และวดั รอบเอว และนาไปวเิ คราะหคื วามเส่ียงทางดา้ นสขุ ภาพของตนเอง …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 49

ใบงาน (เด่ยี ว) โจทย์ ให้นิสติ ประเมนิ ภาวะสุขภาพกายและการป้องกนั โรคทพี่ บบอ่ ยในชว่ งวัยร่นุ วยั ผู้ใหญ่ และวยั ผสู้ ูงอายุ โดย ดาเนินการออนไลน์ตามรายละเอยี ดที่กาหนดในห้องเรยี นออนไลน์ 50

บทที่ 3 การประเมินสุขภาพจติ และการจัดการปัญหาสุขภาพจิตเบอ้ื งต้น วัตถุประสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรม 1. มคี วามรู้ ความเข้าใจ และสามารถอธบิ ายเก่ยี วกบั ความหมายของสขุ ภาพจิต ประเภทของปญั หา สุขภาพจิตตามชว่ งวยั และการประเมินสุขภาพจติ เบือ้ งตน้ ได้ 2. ความรู้ ความเข้าใจ และสามารถประยกุ ตใ์ ชแ้ บบประเมนิ สขุ ภาพจิตเบ้ืองตน้ ในการดาเนนิ ชวี ิตเพ่อื เฝา้ ระวังปัญหาสขุ ภาพจิตได้ วิธกี ารสอน/กิจกรรมการเรยี นการสอน 1. บรรยาย 2. อภิปราย 3. มอบหมายงานบททดสอบท้ายบท การประเมินผลลัพธก์ ารเรียนรู้ 1. การสอบ 2. การมีส่วนรว่ มในชน้ั เรยี น 51

บทนา แนวคิดเรื่องสุขภาพจิต และความผิดปกติทางจิต มีวิวัฒนาการมานานตั้งแต่มีมนุษย์เกิดข้ึนในโลก เม่ือมีมนุษย์ มากกวา่ 2 คนข้ึนไปมาอย่รู ่วมกัน ความคิดเห็นยอ่ มแตกต่างกันไปเป็นธรรมดา คนทัว่ ไปมักจะมองว่าตนเองถกู ต้อง แต่คน ที่มีความเห็นแตกต่างกบั ตนนัน้ ไมถ่ ูกต้องหรืออาจจะว่าเลยต่อไปว่าไม่ปกติ และถ้ามีบุคคลบางคนท่ีมีความคิดแตกตา่ งไป จากคนส่วนใหญ่ แล้วยิ่งบุคคลคนน้ันแสดงออกมาในรูปของพฤติกรรมท่ีผิดแผกแตกต่าง จนคนส่วนใหญ่มองว่าผิดปกติ คนอ่ืน ๆ กจ็ ะพยายามหาคาอธบิ ายความผิดปกติเหล่านนั้ ซึ่งในระยะแรกๆเมื่อไม่สามารถหาเหตุผลมาอธบิ ายได้ ก็เช่ือว่า เป็นเรือ่ งอานาจลกึ ลบั แต่ตอ่ มาเมือ่ มผี ู้ใหค้ วามสนใจไตรต่ รองและมกี ารศึกษากันเรื่อยมา จงึ เกิดความรคู้ วามเขา้ ใจในเรือ่ ง ความผิดปกติและการเจ็บป่วยทางจิตอย่างถูกทาง การประเมินความเส่ียงต่อการเกิดปัญหาทางสุขภาพจิต เพอื่ ประมาณ โอกาสทีป่ ระชากรจะเกดิ ปญั หาสุขภาพจิต เปน็ การประเมินความผดิ ปกติดา้ นจติ ใจและระดบั ความรนุ แรงเพื่อการสง่ ต่อต่อ ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต หรือสามารถให้คาแนะนาเบื้องต้นได้ ย่อมจะเป็นการป้องกันท่ีดี และเกิดผลลัพธ์ต่อคุณภาพ ชวี ติ ทด่ี ี เนอ้ื หาตอนท่ี 1 3.1 ความสาคัญและความหมายของสขุ ภาพจิต 3.1.1 ความสาคัญของสขุ ภาพจติ ปัจจุบันสุขภาพจิต (mental health) เป็นเร่ืองท่ีสาคัญและเกี่ยวข้องกับการดาเนินชีวิตของมนุษย์ เน่ืองจากสภาพแวดล้อมทางสังคมท่ีมีการเปล่ียนแปลงอย่างรวดเร็ว ทาให้ความเป็นอยู่ของคนในสังคมเกิดความ วุ่นวาย สับสน สลับซับซ้อน มีการต่อสู้แย่งชิง และฉวยโอกาสมากข้ึน (เจษฎา โชคดารงสุข, 2558) ส่งผลให้มนุษย์ ตอ้ งดิ้นรนและปรับตวั ใหเ้ ขา้ กับการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมในสังคมให้ได้ บคุ คลจงึ ต้องมสี ภาพจติ ใจท่ีเขม้ แข็ง สามารถปรับตัวใหม้ คี วามสขุ อยกู่ ับสังคมและสงิ่ แวดล้อมไดด้ ี มสี ัมพันธภาพอนั ดงี ามกับบุคคลอืน่ และดารงชีวิตอยูไ่ ด้ ด้วยความสมดุลของทง้ั ทางกายและจิตสังคม รวมทงั้ สนองตอบความต้องการของตนเองในโลกท่กี าลงั เปล่ยี นแปลงได้ แตห่ ากไม่สามารถปรับตัวได้ อาจนาไปสกู่ ารเจบ็ ป่วยทางจติ เวชท่ีเพ่มิ สูงขึน้ อารมณแ์ ละความเครยี ด ความเครียด เป็นสภาพทางจิตของอารมณ์ทไ่ี ม่ดี หรอื ไมส่ มดดุ ทบ่ี คุ ลประสบ เชน่ ความโกรธ ความกลวั ความวิตกกังวล เปน็ ต้น อารมณ์เหล่านีบ้ างคนเรียกว่า \"อารมณ์เครยี ด\" ความเครียดเป็นสิง่ ทร่ี บกวน และจะกระตุ้นให้ เกดิ ปฏกิ ริ ิยาโต้ตอบ บคุ คลจงึ จาเปน็ ตอ้ งมกี ารปรับตวั เพ่อื ขจัดความเครยี ดท่เี กดิ ขึน้ อยา่ งเป็นกระบวนการ การปรับตัว ท่ไี มถ่ ูกต้องจะเกิดความผดิ ปกตทิ งั้ ทางด้านร่างกายและจิตใจ ซงึ่ กลไกการเชญิ ความเครียดของบคุ คล จะออกมาในรูป พฤตกิ รรมท่มี ีความ สัมพันธก์ ับความร้สู ึกนึกคดิ จติ ใจเละอารมณ์ของแตล่ ะบุคคล เมือ่ สามารถใช้กลไกถกู ตอ้ ง เหมาะสม ก็สามารถปรับตัวได้เปน็ ปกติ “สุขภาพจิต” มีผลต่อการดารงชีวิตของมนษุ ยห์ ลายด้าน ดงั นี้ 1. ดา้ นการศึกษา ผทู้ ่สี ขุ ภาพจิตดียอ่ มมจี ิตใจปลอดโปรง่ สามารถศกึ ษาไดส้ าเร็จ 2. ด้านอาชีพการงาน ผู้ทสี่ ขุ ภาพจิตดยี ่อมมีกาลงั ใจต่อสู้อุปสรรคไมท่ อ้ แท้ เบ่ือหนา่ ย ทางานกบ็ รรลผุ ล สาเร็จ 3. ด้านชวี ิตครอบครวั คนในครอบครวั สขุ ภาพจิตดี ครอบครวั ก็สงบสุข 4. ด้านเพอื่ นรว่ มงาน ผู้ทสี่ ุขภาพจติ ดยี ่อมไม่เปน็ ทีร่ งั เกยี จปรบั ตวั เข้ากับผู้อื่นไดด้ ี 5. ด้านสขุ ภาพร่างกาย ถ้าสุขภาพจิตดรี ่างกายกส็ ดชนื่ หนา้ ตายม้ิ แย้มสมองแจม่ ใส เปน็ ทสี่ บายใจแก่ผู้พบ เห็น อยากคบค้าสมาคมด้วย 52

3.1.2 ความหมายของสุขภาพจิต สขุ ภาพจิต (Mental health) หมายถึง สภาพที่ดีของจิตใจท่ีสามารถควบคุมอารมณ์มิใหเ้ กดิ ความคับข้อง ใจหรือขัดแย้งภายในจิตใจ สามารถปรับตัวเข้ากับสังคมและส่ิงแวดล้อมได้อย่างมีความสุขหรือสภาพชีวิตที่เป็นสุข (อ้างอิง : พจนานุกรมการสาธารณสุขไทย ฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. 2559) องคการอนามัยโลกไดนิยามคาวา สุขภาพจิต (mental health) หมายถึง “สภาพสุขภาวะที่บุคคลรับรู ศักยภาพของตน สามารถรับมือกับความเครียดในชีวิต สามารถทางานใหเกิดประโยชนและสร้างสรรคและสามารถทา ประโยชนใหแกสังคมของตนเองได” ดวยความหมายน้ี การทป่ี ราศจากโรคจิตเวชนนั้ จึงไมไดหมายความวามสี ุขภาพจิต ที่ดีหรือในอีกแงหน่ึง คนที่ปวยดวยโรคจิตเวชยังสามารถมีสุขภาวะท่ีดีมีชีวิตที่พึงพอใจ มีความหมายมีชีวิตที่ยังทา ประโยชน์ไดภายใตขอจากัดของความเจ็บปวด ความทุกขหรือความบกพรองท่ีเปนอยู ดังนั้น “สุขภาพจิต” จึงเป็น ความสามารถของบุคคลท่ีปรับตัวให้มีความสุขอยู่กับสังคมและส่ิงแวดล้อมได้ดี มีความสัมพันธ์ท่ีดีกับบุคลอื่นและ ดารงชวี ิตอยู่ไดด้ ว้ ยความสมดุลอย่างสุขสบายรวมทงั้ สนองความตอ้ งการของตนเองในโลกท่ีกาลงั เปลี่ยนแปลงได้โดยไมม่ ี ข้อขัดแย้งภายในจิตใจ (ฉวีวรรณ สัตยธรรม, 2557) ดังนั้น สุขภาพจิตจึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับประชาชนและเป็น สิ่งจาเป็นเกี่ยวกับสุขภาพทั้งหมด ของคนทุกคนโดยไม่คานึงถึงเช้ือชาติ อายุ เพศ หรือระดับเศรษฐกิจและสังคม สุขภาพจิตเป็นพ้ืนฐานของการทาหน้าท่ีในแต่ละวัน ตลอดจนการกระทาส่ิงต่างๆที่ดีงาม (Fortinash & Holoday- Worret,2008 อ้างถึงใน ทศา ชัยวรรณวรรต, 2560) ความหมายของสุขภาพจิตท่ีกล่าวมาสรุปได้ว่า สุขภาพจิต คือ สภาวะความเป็นสุขทางจิตใจของบุคคลที่ สามารถปรับตัวได้กับการเปลยี่ นแปลงต่างๆ โดยไม่เกิดความขัดแย้งภายในใจของตนเอง โดยบุคคลนน้ั จะแสดงออกมา ให้เห็นทางความคิดที่มีเหตุผล แสดงอารมณ์ พฤติกรรมได้เหมาะสมสอดคล้องตามสังคมวัฒนธรรมมสี ัมพันธภาพที่ดกี ับ ผู้อ่ืน และสามารถอยรู่ ว่ มกับผู้อื่นในสงั คมได้ ความสมั พันธข์ องสขุ ภาพกายกบั สุขภาพจติ สุขภาพจิต สุขภาพกาย ลักษณะของผู้ท่ีมีสุขภาพจิตดี ประโยชน์ของการมีสุขภาพจิตดี สุขภาพกายและ สุขภาพจิตของคนย่อมมีความสมั พันธก์ ันอย่างแน่นแฟ้น เด็กทีม่ ีความบกพรอ่ งทางกาย เช่น หูตึง หรอื สายตาสั้น อาจ ไดร้ ับความลาบาก ในการปรับตัว เด็กท่ีมโี รคประจาตัวบางอยา่ งมักมอี ารมณห์ งดุ หงดิ ทาตวั ใหเ้ ข้า กบั เพื่อนฝงู ได้ยาก เดก็ ประเภทนจี้ าเปน็ ต้องไดร้ ับความช่วยเหลอื มฉิ ะนั้นสขุ ภาพจิตของเด็กก็มีหวัง เส่ือมทรามลงไปได้มาก ๆ คนท่ีขาด สุขภาพจิตมักมสี ุขภาพกายเส่อื มลงไปดว้ ย เด็กที่เสียสุขภาพจติ ถา้ เกิดเจ็บป่วยขึ้นมาก็มักเจ็บป่วยมาก กล่าวคือ เด็ก จะเสยี กาลังใจและตีโพย ตีพายไปเกนิ กว่าเหตุ อาการเจบ็ ปว่ ยธรรมดาอาจเพมิ่ ข้ึนโดยไม่จาเป็น กาลังใจของคนไขเ้ ป็น ส่วนประกอบอนั สาคญั ในการที่จะรักษาโรคใหไ้ ด้ผล ถา้ คนไข้เปน็ คนขาดสขุ ภาพจติ แล้วก็จะทาใหก้ ารรกั ษาโรคลาบาก ย่ิงข้ึน รา่ งกายและจิตใจมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชดิ ถ้ารา่ งกาย เกิดผิดปกติกจ็ ะทาให้จิตใจผิดปกติไปไม่มากก็นอ้ ย ท้ังน้ีขึ้นอยู่กับบุคคล และส่ิงแวดล้อมด้วย ในทางกลับกัน ถ้าสุขภาพจิตไม่ดีก็จะมีผลให้ สุขภาพกายเปลี่ยนแปลงไป อาจทาให้เกดิ โรคทางกายได้ ผูท้ ี่มอี ารมณห์ วั่นไหว วติ กกังวล หรือเครียด อาจจะมอี าการท้องเดิน เม่ือเกดิ ความกลัวก็ อาจจะมอี าการปวดศีรษะ หรือเกิดอารมณ์ทางกายอน่ื ๆ เมอ่ื เราต่นื เต้นตกใจก็จะทาให้การหายใจเร็วขึ้น ตัวส่ัน เป็น ต้น ดังนัน้ การท่ีคนเราจะมีร่างกายท่สี มบูรณ์ได้ก็ควรจะต้องมีอารมณอ์ ยู่ในภาวะท่ีสมบรู ณ์ด้วย จากความสมั พนั ธ์กัน อย่างใกลช้ ิดของร่างกายและจติ ใจน้ี จึงมีผกู้ ล่าวว่า จิตใจทีแ่ จม่ ใสยอ่ มอยใู่ นร่างกายทส่ี มบรู ณ์ 3.1.3 ลกั ษณะของผทู้ ี่มสี ุขภาพจิตดี ผูท้ ่มี ีสขุ ภาพจิตดีมลี ักษณะหลายประการ ดังน้ี 1. เปน็ ผู้ทีม่ ีความสามารถและความเต็มใจที่จะรบั ผดิ ชอบอยา่ ง เหมาะสมกับระดับอายุ 2. เปน็ ผูท้ ่ีมคี วามพอใจในความสาเรจ็ จากการได้เขา้ รว่ ม กจิ กรรมตา่ ง ๆ ของกลุม่ โดยไม่คานงึ วา่ การเขา้ ร่วม กิจกรรมน้นั จะมีการถกเถียงกันมาก่อนหรือไม่กต็ าม 3. เป็นผ้เู ตม็ ใจที่จะทางานและรบั ผดิ ชอบอยา่ งเหมาะสมกบั บทบาท หรือตาแหน่งในชวี ติ ของเขา แมว้ ่าจะทา ไปเพอ่ื ตอ้ งการตาแหนง่ ก็ตาม 4. เมื่อเผชิญกบั ปัญหาทจ่ี ะต้องแก้ไข เขากไ็ ม่หาทางหลบเล่ียง 53

5. จะร้สู ึกสนุกตอ่ การขจดั อปุ สรรคทข่ี ัดขวางต่อความสุขหรือ พัฒนาการ หลงั จากทเี่ ขาค้นพบด้วยตนเองวา่ อปุ สรรคนนั้ เป็นความจริง ไม่ใชอ่ ปุ สรรคในจินตนาการ 6. เป็นผทู้ ี่สามารถตดั สนิ ใจด้วยความกังวลน้อยทส่ี ุด มีความรสู้ กึ ขดั แย้งในใจและหลบหลีกปัญหาน้อยท่ีสุด 7. เป็นผู้ทส่ี ามารถอดได้ รอได้ จนกวา่ จะพบสง่ิ ใหม่ หรอื ทางเลอื กใหมท่ ่ีมีความสาคญั หรอื ดกี ว่า 8. เปน็ ผู้ท่ีประสบผลสาเร็จด้วยความสามารถทแี่ ท้จรงิ ไมใ่ ช่ความสามารถในความคดิ ฝนั 9. เปน็ ผ้ทู ่คี ิดกอ่ นทา หรอื มีโครงการแน่นอนก่อนท่จี ะปฏบิ ัติ ไม่มีโครงการทถี่ ่วงหรือหลกี เลี่ยงการกระทา ตา่ ง ๆ 10. เปน็ ผู้ท่เี รียนรจู้ ากความล้มเหลวของตนเองแทนที่จะหา ข้อแกต้ วั ด้วยการหาเหตุผลเข้าขา้ งตนเอง หรอื โยนความผดิ ใหแ้ กค่ นอ่นื 11. เม่ือประสบผลสาเรจ็ กไ็ ม่ชอบคุยโอ้อวดจนเกนิ ความเปน็ จริง 12. เป็นผทู้ ี่ปฏบิ ัตติ นได้สมบทบาท รวู้ า่ จะปฏบิ ตั อิ ย่างไรเมอ่ื ถึงเวลา ทางาน หรอื จะปฏิบตั ิอยา่ งไรเมอ่ื ถึง เวลาเล่น 13. เป็นผู้ทส่ี ามารถจะปฏิเสธตอ่ การเข้ารว่ มกจิ กรรมที่ใช้เวลา มากเกินไปหรือกิจกรรมท่ีสวนทางกบั ทเ่ี ขา สนใจแม้วา่ กจิ กรรมน้ันจะทาให้ เขาพอใจไดใ้ นชว่ งเวลาใดเวลาหนึ่งก็ตาม 14. เป็นผทู้ ส่ี ามารถตอบรบั ที่จะเขา้ รว่ มกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ สาหรับเขา แมว้ ่ากิจกรรมนน้ั จะไมท่ าใหเ้ ขา พึงพอใจกต็ าม 15. เปน็ ผู้ทจ่ี ะแสดงความโกรธออกมาโดยตรง เมื่อเขาไดร้ ับ ความเสยี หายหรอื ถูกรังแก และจะแสดงออก เพอ่ื ป้องกนั ความถูกตอ้ ง ของเขาด้วยเหตดุ ว้ ยผลการแสดงออกนจี้ ะมีความรนุ แรงอย่างเหมาะสม กับปรมิ าณความ เสยี หายท่ีเขาไดร้ บั 16. เปน็ ผูท้ ีส่ ามารถแสดงความพอใจออกมาโดยตรงและจะแสดงออก อยา่ งเหมาะสมกบั ปริมาณและชนิด ของส่ิงท่ีก่อใหเ้ กดิ ความพึงพอใจ 17. เปน็ ผ้ทู ี่สามารถอดทน หรืออดกลนั้ ตอ่ ความผดิ หวัง และ ภาวะความคบั ขอ้ งใจทางอารมณไ์ ด้ดี 18. เปน็ ผู้ที่มลี กั ษณะนสิ ัยและเจตคติท่ีก่อรปู ขน้ึ อยา่ งเป็นระเบยี บ เม่อื เผชิญกับสงิ่ ยงุ่ ยากตา่ ง ๆ กส็ ามารถ จะประนปี ระนอมนิสัยและเจตคติ เขา้ กับสถานการณท์ ีย่ ุง่ ยากต่าง ๆ ได้ 19. เปน็ ผทู้ ่ีสามารถระดมพลงั งานทม่ี อี ยใู่ นตวั ออกมาใชไ้ ดอ้ ย่างทนั ที และพรอ้ มเพรยี ง และสามารถรวม พลงั งานนนั้ สเู่ ปา้ อยา่ งใดอยา่ งหนึง่ เพ่อื ความสาเรจ็ ของเขา 20.เป็นผทู้ ี่ไม่พยายามท่จี ะเปลี่ยนแปลงความจริงซงึ่ ชีวติ ของเขา จะตอ้ งดิน้ รนตอ่ สู้อยา่ งไมม่ ที ่ีสน้ิ สดุ แต่เขา จะยอมรับวา่ บุคคลจะตอ้ งตอ่ สู้ กับตนเอง ฉะนน้ั เขาจะต้องมคี วามเข้มแขง็ ให้มากท่สี ดุ และใชว้ จิ ารณญาณ ทดี่ ีทสี่ ดุ เพ่ือจะผละจากคลน่ื อุปสรรคภายนอก ความสมั พันธร์ ะหว่างสขุ ภาพจิตกับความเครยี ด ชวี ิตคนต้ังแต่เกิดมาตอ้ งมกี ารปรบั ตวั ใหเ้ กิดความสมดลุ ในการดารงชวี ติ ความเครยี ด(stress) คอื ผลรวมของ ปฏิกริ ยิ าตามธรรมชาติของมนษุ ย์ ท่เี กดิ ขนึ้ เมือ่ ต้องเผชญิ กับปัญหา การเปล่ยี นแปลง หรือสถานการณ์ต่าง ๆ ความเครียดทเ่ี หมาะสม (eustress) จะกระตนุ้ ใหเ้ กดิ การปรบั ตวั แกไ้ ขปัญหา เกดิ การพฒั นาและสรา้ งสรรค์ แต่ ความเครยี ดท่ีมากเกนิ ไปเปน็ ผลเสยี ต่อร่างกาย และจติ ใจ เกิดความไม่สบายใจ (distress) ทาใหเ้ กดิ อาการตา่ ง ๆ ทาให้ ปรบั ตวั ไมไ่ ด้ แกไ้ ขปญั หาไดต้ า่ กวา่ ความสามารถที่แทจ้ ริง หรอื เกิดโรคทางร่างกายหลายโรคทอี่ าการเกิดข้ึนสัมพนั ธก์ ับ ความเครียด ความเครียดจึงเป็นส่วนหนง่ึ ของชีวิตทท่ี กุ คนจะตอ้ งเผชิญ และฝึกฝนเอาชนะ แกไ้ ขปญั หาไม่เกดิ อาการของ ความเครียด คนทีส่ ขุ ภาพจติ ดคี ือคนทมี่ วี ิธกี ารปรับตวั กบั การเปลี่ยนแปลงตา่ ง ๆหรือความเครยี ดไดด้ ี 54

3.1.4 อาการของคนสขุ ภาพจิตไมด่ ี คนสขุ ภาพจติ ไมด่ ี เมอ่ื เผชญิ ปัญหาในชีวิต จะเกิดอาการตา่ ง ๆ ทางจิตใจ อารมณ์ แสดงพฤติกรรมบางอย่าง หรือปฏิกิริยาตอบสนองทางร่างกายซึ่งแสดงภาวะไม่สมดุล บางคนอาจมีอาการแสดงออกมาเล็กน้อย เรียกว่าปัญหา สุขภาพจิตหรือมมี ากจนเป็นกลมุ่ อาการทเ่ี รียกว่าโรคทางจิตเวช โดยอาการของปัญหาสุขภาพจติ ได้แก่ 1. อาการทางรา่ งกาย เม่อื จติ ใจเกิดความเครียด ประสาทอตั โนมตั ิภายในรา่ งกายถกู เรา้ ให้ทางานเพิ่มขึน้ อวัยวะภายในซึง่ ถกู กากับโดยประสาทอตั โนมตั ถิ ูกกระตนุ้ ให้ทางานมากข้นึ ได้แก่ หวั ใจ หลอดเลือด ปอด กระเพาะ อาหาร ลาไส้ กระเพาะปสั สาวะ เช่น · หวั ใจทางานมากเกนิ ไป เกดิ อาการใจเต้น ใจส่ัน หวั ใจเต้นผดิ จังหวะ · หลอดเลือดถูกกระตุ้น เกิดการหดตวั ทาให้ความดันโลหิตสงู · ปอด หลอดลมจะตีบลง หายใจลาบาก · กระเพาะอาหารมกี ารหลั่งกรดออกมาจานวนมาก ทาใหเ้ กิดแผลในกระเพาะอาหารและลาไส้ · ลาไส้มกี ารบีบตัว ทาให้ท้องเสยี ปวดทอ้ ง คลนื่ ไสอ้ าเจียน · กระเพาะปัสสาวะมกี ารบีบตวั ทาใหป้ สั สาวะบ่อย · กล้ามเน้ือจะถกู กระตนุ้ มากจนเกิดการส่นั เกรง็ กระตุก ปวดเมอื่ ยกล้ามเนื้อ ปวดคอหลงั เอว · ต่อมเหงอื่ ทางานมาก ทาให้เหง่อื อกมากเกินปกติ ถา้ อวยั วะเหล่าน้ที างานมากเกนิ ไป จะเกดิ โรคทางร่างกายต่าง ๆ เช่นโรคความดนั โลหิตสงู โรคหลอดเลอื ด หัวใจ โรคแผลในกระเพาะอาหารหรอื ลาไส้ โรคหอบหดื 2. อาการทางอารมณ์ ความเครียดทาให้ทาใหจ้ ติ ใจเกดิ ความรสู้ กึ วิตกกังวล กลัว ตน่ื เตน้ ไมส่ บายใจ บางคนมี อารมณ์ซึมเศร้า ท้อแท้รว่ มด้วย เบื่อ หงุดหงดิ ไมส่ นุกสนานสดชื่นร่าเริงเหมือนเดิม อารมณซ์ ึมเศร้ามักเกดิ ร่วมกับการ สูญเสียหรอื พลาดหวังอยา่ งรนุ แรง อารมณไ์ มส่ บายใจเหลา่ นีอ้ าจทาใหเ้ กดิ อาการอนื่ ๆ ตามมา ไดแ้ ก่ เบื่ออาหาร นอน ไมห่ ลับ เพลีย เหนื่อยงา่ ย เหนอ่ื ยหนา่ ย 3. อาการทางจิตใจ ความคดิ มกี ารเปลี่ยนแปลงไปตามอารมณ์ คิดไม่ดี คิดร้าย ความคดิ กงั วลล่วงหน้า ยา้ คิดยา้ ทา ไมส่ ามารถหยดุ ความคิดตนเองได้ ความคิดควบคุมไมไ่ ด้ คิดมาก มองตนเองไมด่ ี มองคนอ่นื ไมด่ ี มองโลกใน แง่รา้ ย ความเครยี ดถ้ามมี ากและตอ่ เนอื่ ง จะทาใหส้ มองมนึ งง เบลอ ขาดสมาธิ ความคิดความอา่ นและความจา ลดลง การตดั สนิ ใจชา้ ไม่แนน่ อน ไม่มั่นใจตนเอง 4. พฤตกิ รรม พฤตกิ รรมอาจแสดงออกเป็นการหลบเล่ยี ง หวาดกลวั ขาดความรบั ผดิ ชอบ ไมก่ ลา้ แสดงออก ปัจจยั ที่ทาให้เกิดปญั หาสุขภาพจิต ปญั หาสุขภาพจติ เกดิ จากปัจจยั หลายประการ ดงั ต่อไปนี้ 1. ปัจจัยทางร่างกาย ร่างกายท่ีอ่อนแอ ปรับตัวได้น้อย เกิดอาการทางร่างกายและจิตใจได้ง่าย เช่น ผูท้ ป่ี ว่ ย มโี รคประจาตวั โรครา้ ยแรงหรอื เร้ือรัง ทาให้เกดิ ความเครยี ดสงู - ร่างกายที่แข็งแรงทาให้สมองสดช่ืนแจ่มใส กล้ามเนื้อต่ืนตัวพร้อมใช้งาน การแก้ปัญหาทาได้ดี ไม่ค่อย เครยี ด สู้ความเครียดได้มากกวา่ รา่ งกายทอ่ี อ่ นแอ การทางานของอวัยวะต่าง ๆมกี ารประสานงานกนั ดี มคี วามยืดหยุ่น สงู - การใช้ยาหรือสารเสพตดิ อาจเกิดอาการเครยี ดกังวลสงู โดยเฉพาะเวลาขาดยา - การรกั ษาร่างกายใหแ้ ข็งแรง จงึ ป้องกันและลดความเครยี ดได้ เชน่ การออกกาลงั กายสมา่ เสมอ ดแู ลสขุ ภาพ ให้ถูกสุขลักษณะ มีเวลาพกั ผ่อนเพียงพอ หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เชน่ เหล้า บุหรี่ ควรแบง่ เวลาในแต่ละวันดังนี้ เวลาเรียนหรอื ทางาน 8 ชว่ั โมง เวลาพกั ผ่อนออกกาลงั กาย 8 ช่วั โมง เวลาพกั ผ่อนนอนหลับ 8 ชวั่ โมง 2. ปัจจัยทางจิตใจ คนแต่ละคนมีพ้ืนอารมณ์ตอบสนองต่อส่ิงเร้าแตกต่างกัน บางคนเครียดง่าย บางคน เครียดยาก บางคนปรับตัวเก่ง การตอบสนองน้ีส่วนหน่ึงเป็นคุณสมบัติตดิ ตัวมาต้ังแต่เกิด บางส่วนเกิดจากการเลีย้ งดู 55

ภายในครอบครัว การโอกาสเผชิญปัญหาและแก้ไขปัญหาจนสาเร็จ การได้ฝึกฝนจนเกิดความชานาญคุ้นเคยชินกับ ปัญหา ทาใหเ้ ผชญิ ความเครยี ดเกง่ การปรับตวั ได้รวดเรว็ และมปี ระสิทธิภาพ บางคนเครยี ดจากวธิ คี ิดของตนเอง เช่น ชอบคดิ ลว่ งหน้ามากเกินไป คิดในทางร้าย มองโลกในแงร่ า้ ย ไม่มีวิธี หยุดคิด คาดหวังชยั ชนะมากจนเกนิ ไป คาดหวังความสาเรจ็ เพือ่ คนอ่ืน ไมร่ ู้สกึ ยินดีกบั ชัยชนะของคนอื่น บางคนคิดวา่ ถ้าแพค้ นอน่ื จะดถู ูกเย้ยหยัน ไมม่ คี นสนใจคนพ่ายแพ้ บางคนคดิ วา่ การพา่ ยแพเ้ ป็นสง่ิ ทีน่ า่ อบั อาย คิดวา่ ตนเองไมด่ ี ไม่ มคี ุณคา่ เปน็ ตน้ เหตใุ ห้ครอบครัวเสยี ช่ือเสียง บางคนคิดวา่ พ่อแม่ เพ่ือนฝงู รู้สกึ อับอายไปดว้ ย คาดหวังกบั ผลตอบแทน เชน่ เงนิ รางวลั รายได้ ตาแหนง่ ถกู คาดหวงั มากจากเพ่อื น ความคิดทไ่ี มส่ มเหตุผล ไดแ้ ก่ การคิดว่าตวั เองต้องทาให้ทุกคนพอใจ ฉันตอ้ งเป็นท่ีรักของทกุ คน คนทไี่ ม่ ทกั ทายฉนั เปน็ ทเ่ี กลียดฉนั นอกจากการคดิ ไมด่ ไี มส่ มเหตผุ ลแลว้ คนที่สุขภาพจติ ไมด่ ีมักขาดการคิดแก้ปัญหา คดิ ไม่ เป็นระบบ ขาดการคดิ สรา้ งสรรค์ 3. ปัจจัยส่ิงแวดล้อมภายนอก สิ่งแวดล้อมภายนอก ท่ีมีผลต่อสุขภาพจิต ได้แก่ ครอบครัว เพ่ือน เพ่ือน ร่วมงาน ท่ีอยู่อาศัย ท่ีทางานชุมชน และประเทศชาติ เป็นตัวกระตุ้นสาคัญท่ีทาให้จิตใจมีความเครียด วิตกกังวล แตกต่างกัน - การทางานท่ีมีอนั ตราย ความเสี่ยงสงู ไม่แนน่ อน งานท่ีต้องอดนอน เวลานอนไม่แน่นอน เกิดอุบัติเหตสุ ูง การทางานนา่ เบ่ือ ขาดการพกั ผ่อนหรือผ่อนคลาย งานทมี่ ีความคาดหวังสงู ต้องใช้พลังกาย พลังใจ สายตาหรอื สมาธิ สูงๆ - อากาศรอ้ นหรือหนาวเกนิ ไป เสยี งดัง สีที่ทางานท่ีคนใกล้ชดิ ทเ่ี ครียดสขุ ภาพจติ ไม่ดี บรรยากาศท่ีเรง่ รบี ไม่ เป็นกันเอง การแข่งขนั สูง มกี ารต้ังเป้าหมายจากภายนอกสูง มีการแบ่งพรรคพวก จ้องจับผิดทาลายกัน ล้วนเป็นเหตุ ภายนอกที่รบกวนสขุ ภาพจติ - การเลือกส่ิงแวดล้อมท่ีดี เหมาะกบั ตัวเอง หรือปรับเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมให้มีบรรยากาศผ่อนคลาย เป็นมิตร กัน ชว่ ยเหลอื กนั ส่ือสารกันด้านบวก ช่วยปอ้ งกันหรือส่งเสรมิ สุขภาพจติ ได้ - การเลือกงานที่เหมาะกับตนเอง การวางแผนงานหรือการแบ่งงานท่ีพอดี ไม่มากเกินไป ไม่น่าเบ่ือ สนุก ช่วยเหลือกนั เลือกงานหรอื สร้างบรรยากาศทีไ่ มม่ กี ารแบง่ พรรคแบง่ พวก การปรับตัวเองให้พอเหมาะกับส่ิงแวดล้อม และปรับส่ิงแวดล้อมให้เหมาะกับตนเอง ถ้าใช้ให้เหมาะสมกับ สถานการณ์ชว่ ยป้องกนั และคลายเครยี ดได้ 4. ความสามารถในการปรับตัว คนมีวธิ ีการปรับตัวแตกต่างกัน ขึน้ อยู่กับพื้นฐานบุคลิกภาพ ถ้าไม่มีการฝึก ในการเผชิญความเครียดอย่างถูกต้อง จะใช้วิธีการแก้ไขปัญหาแบบเดิม ซึ่งอาจไม่ถู กต้อง และเป็นผลเสียต่อ สมรรถภาพ เช่น บางคนใช้วิธีโหมทางานมาก ๆ โดยคิดว่าย่ิงหนักยิ่งดี แต่ความจริงแล้ว ควรมีความพอดี ๆ หนกั มาก เกินไปรา่ งกายทรุดโทรม จิตใจตึงเครียด ทาให้ยิง่ ผลงานแย่ลง บางคนเวลาเตรียมหรือซ้อมทาไดด้ ี แต่เวลาทาจริงเกิด ความเครียด ต่ืนเต้นจนทาได้ต่ากว่าความสามารถท่ีแท้จริง บางคนมีอาการของความเครียดออกมาทางร่างกาย ทาให้ เหง่ือออกมาก ใจเตน้ ใจสั่น มือส่ัน รบกวนการทางาน บางคนหลบเลีย่ ง บางคนยอมเส่ียงมากเกินไปจนเปน็ อันตราย การฝึกตัวเองใหม้ ีความสามารถในการปรับตวั เผชญิ ปัญหาได้ ชว่ ยปอ้ งกันความเครียดได้ การพัฒนาตวั เอง ใหป้ รบั ตัวได้ดี มกั เริ่มตน้ ต้ังแต่เดก็ ฝึกให้เผชิญปัญหา ไม่ช่วยเหลือมากเกินไป จะมที กั ษะในการแก้ปัญหาดี เม่ือเผชิญ ปญั หาจะทาไดด้ ไี ม่เกดิ ความเครยี ด ภาวะการเจบ็ ปว่ ยทางจติ ในประชาชนทวั่ ไปในแต่ละช่วงอายุ ความเจบ็ ปว่ ยทางจิต ในแตล่ ะชว่ งวัยซงึ่ พัฒนาการทางด้านสขุ ภาพจิตทแี่ ตกตา่ งกัน รวมทั้งระดบั ความเครยี ด รูปแบบการเผชิญความเครียดทส่ี ั่งสมจากประสบการณ์ทผ่ี ่านมา ย่อมนาพาประชาชนทัว่ ไปนน้ั ประสบ ปัญหาสขุ ภาพจติ และอาจตอ้ งเผชญิ ในสถานการณ์ต่างๆ กนั ได้ ในบทนจี้ ะกลา่ วถึงภาวะการเจบ็ ปว่ ยทางจิตเบื้องตน้ ในแตล่ ะชว่ งวัย ดงั น้ี 56

- วัยทารกและวยั เดก็ การดแู ลสุขภาพในหญิงมคี รรภ์ เพื่อไมใ่ ห้เกิดผลกระทบต่อเซลลส์ มองของทารกต้ังแต่ อยใู่ นครรภ์ป้องกนั ความพกิ ารตอ่ เด็กทจ่ี ะเกิดมา เช่น ทารกนา้ หนกั น้อยคลอดก่อนกาหนด เปน็ ต้น และป้องกันไมใ่ ห้ หญงิ ตั้งครรภก์ ระทบกระเทือนตอ่ จติ ใจ เชน่ การถูกสามีทอดทง้ิ หรือสามไี ม่ยอมรบั การต้ังครรภ์เพราะจะทาให้หญงิ ตงั้ ครรภไ์ ม่สนใจดแู ลสขุ ภาพตนเอง หรือพยายามหาทางทาแท้ง เชน่ กนิ ยาขบั เลอื ดซึ่งถ้าการทาแทง้ ไมส่ าเร็จกจ็ ะมีผล ต่อเดก็ ท่จี ะเกดิ ตามมา ทาใหเ้ กิดภาวะปญั ญาออ่ น หรือเปน็ โรคท่เี กย่ี วกบั สมอง ไดแ้ ก่ โรคลมชกั โรคออทิซมึ (Autism) - วัยเรียน การทพ่ี อ่ แม่ไมม่ กี ารเลย้ี งดูเดก็ ใหเ้ หมาะสมตามวัย การไม่เปดิ โอกาสเด็กได้เรียนรู้ ไดฝ้ ึกหดั ระเบยี บ วนิ ัย พอ่ แมย่ งั ไมเ่ ข้าใจการใหอ้ าหารเดก็ ทมี่ คี ุณภาพและการป้องกันอบุ ัตเิ หตทุ างสมองทอ่ี าจเกดิ แก่เด็ก อาจทาใหเ้ ดก็ เกดิ ปญั หาสุขภาพจติ ได้ - วัยรุน่ พ่อแม่จะตอ้ งเขา้ ใจต่อการเปลี่ยนแปลงทางดา้ นร่างกาย จิตใจและสังคมของวยั รุ่นเพอ่ื ชว่ ยเหลือ แนะนาแกว่ ยั รนุ่ ในการปรับตัวเก่ยี วกบั เรอ่ื งทางเพศ การคบเพื่อนตา่ งเพศ การวางตัวในสงั คมท่จี ะพง่ึ พาตนเองได้ การ เลือกวชิ าชีพและแนวทางการดาเนนิ ชวี ติ - วยั ผใู้ หญ่ การรูจ้ กั แก้ไขปัญหาและอุปสรรคที่พบในการดารงชวี ิต ไดแ้ ก่ ปญั หาในอาชพี การงาน ความ ขัดแย้งทเ่ี กดิ ขึ้นในชีวิตสมรสและครอบครัว การรู้จักปรบั ตวั อยา่ งเหมาะสม เม่ือมีความ เครยี ดเกิดขน้ึ หรือมีเหตุการณ์ รนุ แรงทต่ี อ้ งเผชิญในการดาเนินชวี ิต - วัยสงู อายุ การรูจ้ กั เตรยี มตวั เตรยี มใจก่อนการเกษยี ณอายุ รู้จักการดารงชวี ิตอย่างเหมาะสมกบั วัยทีไ่ ม่ตอ้ ง พึ่งพาผ้อู ่ืนจนเกินไปรู้จักระวังรกั ษาสขุ ภาพตอ่ สงั ขารท่ีเริ่มเส่อื ม เพ่อื ป้องกนั ไมใ่ ห้ป่วยเป็นโรคต่าง ๆ ท่พี บบ่อยในวยั สูงอายุ เช่น โรคหวั ใจ โรคความดันโลหติ สงู เส้นเลือดตบี แขง็ และโรคขอ้ กระดูกตา่ ง ๆ เป็นตน้ ดงั น้นั โอกาสทีแ่ ตล่ ะชว่ งวัยจะเกดิ ปญั หาทางดา้ นสขุ ภาพจติ ย่อมมโี อกาสเปน็ ไปได้ อยา่ งไรกต็ ามการป้องกัน ปัญหาทางด้านสขุ ภาพจิต แต่เนน่ิ ๆ โดยการคดั กรองสขุ ภาพจติ เบ้อื งตน้ จะเปน็ การปอ้ งกันเพอื่ ลดความรุนแรงของผทู้ ่ี มปี ญั หาทางจิตใจในระยะเริม่ แรก และยงั สามารถตอ่ สง่ หรือขอรับคาปรกึ ษาจากผชู้ านาญการดา้ นจติ เวชไดอ้ ีกดว้ ย ซง่ึ จะไดก้ ลา่ วถงึ ในลาดบั ต่อไป 57

3.2 การประเมินและวเิ คราะห์สุขภาพจติ เบอ้ื งตน้ ความหมายของการคัดกรองสุขภาพจติ การคัดกรอง (Screening) หมายถึง การทดสอบสมาชิกของกลุ่มประชากรเพ่ือประมาณโอกาสท่ีประชากร เหล่าน้ีจะมีโรคใดโรคหนึ่งที่ต้องการค้นหา เป็นการป้องกันเพื่อลดความรุนแรงของผู้ที่มีปัญหาทางจิตใจในระยะ เร่ิมแรกและสามารถวินิจฉัยได้โดยไม่ล่าช้า เตรียมพร้อมให้การช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาได้ทันท่วงที ซ่ึงกรม สขุ ภาพจิตได้พฒั นาแบบคัดกรองท่สี าคัญ เชน่ แบบคัดกรองโรคออทิสตกิ ในเด็กอายุ 1-6 ปี แบบประเมินความเครียด แบบประเมินภาวะซึมเศร้าแบบประเมนิ ความเสีย่ งในการฆ่าตัวตาย แบบคัดกรองโรคจิต แบบคดั กรองความฉลาดทาง อารมณ์เด็กอายุ 3-5 ปี ดัชนีความสุขคนไทย และแบบคัดกรองปัญหาด้านสังคมจิตใจ เป็นต้น(สานักส่งเสริมและ พฒั นาสุขภาพจติ กระทรวงสาธารณสุข, 2559) อยา่ งไรก็ตามในบทนีจ้ ะกลา่ วถงึ ตัวอยา่ งเครอ่ื งมอื คัดกรองสขุ ภาพจิต ดังนี้ การคัดกรองสุขภาพจิต มี 2 ประเภทคือ การคัดกรองโรค (Disease screening) คือ คัดกรองว่าบุคคลใด ป่วยบ้าง และการคัดกรองสุขภาพ และการคัดกรองความเสี่ยง (Health or risk screening) คือ คัดกรองว่าใครมี โอกาสเกิดปัญหาสุขภาพบ้างขณะที่ยังไม่ได้เป็นโรค ซ่ึงการคัดกรองความเส่ียงเป็นเคร่ืองมือกระตุ้นให้ประชาชนเกิด ความตระหนกั (Awareness) และนาไปสูแ่ รงจงู ใจในการปรบั พฤตกิ รรมสุขภาพ โดยหากตอ้ งการใชก้ ารคัดกรองความ เส่ียงเพื่อกระตุ้นให้เกิดการปรับเปล่ียนพฤติกรรมสุขภาพ เครื่องมือในการคัดกรองนั้นควรเป็นเคร่ืองมือที่ประชาชน สามารถใช้ในการประเมนิ ตนเอง (Self-assessment) ได้ ดังนี้ 3.2.1 การประเมินความสุขตามดัชนีชี้วัดความสุขคนไทย เป็นแบบประเมินความสุขด้วยตนเอง ซ่ึงสร้าง ขนึ้ ภายใต้กรอบ แนวคดิ คาจากัดความของความสุข หมายถึง สภาพชีวิตที่เป็นสุข อันเป็นผลจากการมีความสามารถ ในการจัดการปัญหาในการดาเนนิ ชีวิต มีศักยภาพทจ่ี ะพฒั นาตนเองเพ่ือคณุ ภาพชวี ิตทด่ี ี โดยครอบ-คลุมถึงความดีงาม ภายในจิตใจ ภายใต้สภาพสังคมและสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป ซ่ึงกรอบแนวคิดของความหมายของสุขภาพจิต ความสุขจัดเป็นองคป์ ระกอบหน่ึงท่สี าคญั เก่ียวกับสุขภาพจิต ความสุข หมายถงึ สภาพชวี ติ ท่ีเปน็ สขุ ของบุคคล ซึ่งเกิด จากการมีความสามารถท่ีจะจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิต การมีจิตใจท่ีดีงาม และการพัฒนาตนเองให้มีคุณภาพ ชวี ติ ท่ีดที า่ มกลางความเปลี่ยนแปลงทางสังคมได้ การมภี าวะสขุ ภาพจติ ดที ่มี คี วามสขุ มอี งคป์ ระกอบทีส่ าคญั 4 ดา้ นคอื สภาพจิตใจ (mental stage) สมรรถภาพของจติ ใจ (mental capacity) คณุ ภาพจติ ใจ (mental quality) และปจั จยั สนับสนนุ (supporting factors) 1) สภาพจติ ใจ คอื การรับรู้สภาพที่เป็นสุขหรอื เป็นทุกข์ของจติ ใจตนเองและการเจบ็ ป่วยทางกายที่มผี ลต่อ จิตใจ การพิจารณาสภาพจติ ใจของบุคคลจึงดจู ากความผาสุกในปจั จบุ นั ซงึ่ บุคคลจะแสดงออกทางอารมณ์ ความคดิ ความรู้สึก และการรับรู้สภาวะสขุ ภาพของตนเอง 2) สมรรถภาพของจติ ใจ คือ ความสามารถในการสรา้ งสัมพันธภาพกบั ผ้อู ืน่ และความสามารถในการเผชญิ และแก้ไขปัญหาในชีวิตได้ 3) คุณภาพจิตใจ คอื ลกั ษณะของจิตใจที่ดีงามท่เี ปน็ ประโยชนต์ ่อตนเองและสงั คม ชว่ ยให้ดา เนนิ ชวี ติ ได้ อย่างเป็นสุขและมคี ุณภาพชีวติ ทีด่ ี และ 4) ปจั จัยสนบั สนนุ คอื ปัจจัยทส่ี ง่ เสริมให้บุคคลมสี ขุ ภาพจิตทีด่ ี เชน่ ครอบครัว ชุมชน ศาสนา ความเชอื่ และ สิ่งแวดลอ้ มท่ีชว่ ยใหร้ สู้ กึ มั่นคงปลอดภัย ปจั จัยสนบั สนนุ จึงมงุ่ เนน้ ที่การรบั รเู้ กีย่ วกับบุคคลแวดลอ้ มและส่งิ แวดล้อมท่ี มีอิทธิพลตอ่ จิตใจและการดาเนนิ ชีวติ (อภชิ ยั และคณะ, 2544; 2547) ดัชนีช้ีวัดความสุขของคนไทยฉบับสั้น 15 ข้อ (Thai Happiness Indicators) พัฒนาโดย อภิชัยและคณะ (2552) เปน็ แบบประเมนิ ฉบับสั้น เหมาะสาหรับการประเมินท่ีต้องการใชเวลาไม่มากนัก แตหากตอ้ งการการประเมิน ท่ีมีรายละเอียดมากกว่าน้ี สามารถศกษาโดยใชดัชน่ีชีวัดความสุขคนไทยฉบับสมบูรณ ขอได (หรือดัชนีชี้วัด สุขภาพจติ คนไทย) สามารถเขา้ ถึงฉบบั ออนไลน์ไดท้ ีhttps://www.dmh.go.th/test/qtest/asheet.asp?qid=1 โดย กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ใช้ประเมินสภาพชีวิตที่เป็นสุขในระยะ 1 เดือนท่ีผ่านมา จานวน 15 ข้อ เป็น แบบมาตราส่วนประมาณคา่ 4 ระดบั คือ ไม่เลย เลก็ นอ้ ย มาก มากทสี่ ุด เกณฑ์การใหค้ ะแนนแบง่ เปน็ 2 กลุม่ คือ ขอ้ 58

คาถามทางบวกให้ค่าคะแนน 0 1 2 และ 3 เมื่อตอบไมเ่ ลยเล็กน้อย มาก มากท่ีสุด ตามลาดับ (ข้อ 1, 2, 4, 5, 6, 7, 9, 10, 11, 13, 14, 15) สว่ นข้อคาถามทางลบ (ไดแ้ ก่ ขอ้ 3, 8 และ 12) ให้ค่าคะแนน 3 2 1 และ 0 เมอื่ ตอบไม่เลย เล็กนอ้ ย มาก มากที่สุด ตามลาดบั การแปลผลคะแนนรวม มี 3 ระดับ คือ (อภิชัยและคณะ, 2552) คะแนน 33 – 45 คะแนน หมายถงึ มีความสุขมากกว่าคนทว่ั ไป (good) คะแนน 27 – 32 คะแนน หมายถึง มคี วามสุขเทา่ กบั คนท่ัวไป (fair) 26 คะแนนหรือนอ้ ยกว่า หมายถึง มคี วามสขุ นอ้ ยกวาคนทว่ั ไป (poor) คาชแี้ จง กรุณากาเครือ่ งหมาย  ลงในชองที่มขี อความตรงกับตัวทานมากทสี่ ุด คาถามตอไปน้ี จะถามถึงประสบการณของทานในชวง 1 เดอื นทีผ่ านมา ใหทา่ นสารวจตัวทา่ นเองและ ประเมนิ เหตุการณอาการหรอื ความคดิ เหน็ และความรสู้ ึกของทานวาอยูในระดับใด และตอบลงในชองคาตอบที่เปน็ จริงกบั ตัวทานมากทส่ี ดุ โดยคาตอบจะมี 4 ตวั เลอื ก คือ ไมเลย หมายถงึ ไมเคยมเี หตุการณ อาการ ความรูส้ ึก หรือไมเห็นด้วยกบั เรือ่ งนน้ั ๆ เล็กน้อย หมายถึง เคยมีเหตุการณ อาการ ความรู้สึกในเรอื่ งนัน้ ๆ เพยี งเล็กนอ้ ยหรือเหน็ ดว้ ยกบั เรอ่ื งน้นั เล็กน้อย มาก หมายถงึ เคยมีเหตุการณ อาการ ความรู้สกึ ในเร่อื งนนั้ ๆ มาก หรอื เห็นด้วยกบั เร่อื งน้ัน ๆ มาก มากทสี่ ดุ หมายถงึ เคยมีเหตกุ ารณ อาการ ความรสู้ กึ ในเรอื่ งนนั้ ๆ มากทสี่ ดุ หรอื เห็นดว้ ยกับเรอ่ื งนัน้ ๆ มากที่สุด ในกรณีทท่ี า่ นมีคะแนนน้อยในกล่มุ ทีม่ ีความสุขนอ้ ยกวา่ คนทวั่ ไปทา่ นอาจชว่ ยเหลอื ตนเองเบ้ืองตน้ โดยขอรับ บรกิ ารการปรกษาจากสถานบรกิ ารสาธารณสขุ ใกลบานของทา่ นได้ ข้อที่ คาถาม ไม่เลย เลก็ น้อย มาก มากท่สี ดุ 1 ทานรสู กึ วาชวี ติ ของทานมีความสุข 2 ทานรสู ึกภมู ิใจในตนเอง 3 ทานตองไปรับการรักษาพยาบาลเสมอ ๆ เพื่อให สามารถดาเนินชีวิตและทางานได 4 ทานพงึ พอใจในรูปรางหนาตาของทาน 5 ทานมสี มั พันธภาพท่ดี ีกบั เพอื่ นบาน 6 ทานรสู ึกประสบความสาเรจ็ และความก้าวหนาใน ชีวติ 7 ทานมนั่ ใจทจี่ ะเผชิญกับเหตุการณรายแรงทเ่ี กิดข้ึนใน ชีวิต 8 ถาสิง่ ตางๆ ไมเปนไปตามทค่ี าดหวงั ทานจะรูสกึ หงุดหงดิ 9 ทานสามารถปฏิบัตกิ จิ วตั รประจาวนั ตางๆ ด้วยตวั ทา่ น เอง 10 ทานรสู กึ เปนสุขในการชวยเหลือผูอ่ืนท่ีมปี ญั หา 11 ทานมคี วามสุขกับการรเิ ร่มิ งานใหม ๆและมุ่งมนั่ ทจ่ี ะ ทาใหสาเรจ็ 59

ข้อท่ี คาถาม ไม่เลย เลก็ น้อย มาก มากท่ีสดุ 12 ทา่ นรสู กึ วาชีวติ ของทานไรคา ไมมีประโยชน 13 ทานมเี พอื่ นหรอื ญาติพี่นองคอยชวยเหลอื ทา่ นในยามที่ ทา่ นตองการ 14 ทานมน่ั ใจวาชมุ ชนทที่ านอยอู าศยั มีความปลอดภยั ต อทาน 15 ทานมโี อกาสไดพักผอนคลายเครียด 3.2.2 เครอ่ื งมอื ในการประเมินความเครียด ความเครียด เปน็ สภาวะจติ ใจและร่างกายท่ีเปล่ยี นแปลงไป เป็นผลจากการทบ่ี คุ คลตอ้ งปรับตวั ต่อสิง่ กระตุ้น หรือสิ่งเร้าต่าง ๆ ในส่ิงแวดล้อมท่ีกดดันหรือคุกคามให้เกิด ความทุกข์ ความไม่สบายใจ เกี่ยวกับตนเอง เกี่ยวกับ สุขภาพและการเจ็บป่วย ท้ังรุนแรงและไม่รุนแรงทาให้เกิดความเครียดได้ บุคลิกภาพ ผู้ที่มีบุคลิกภาพท่ีชอบแข่งขัน เร่งรีบ ต้องการเอาชนะไม่อดทน จะมีความเครียดมาก เก่ียวกับครอบครัว ความขัดแย้งในครอบครัว ปัญหาเรื่องลูก ความยุ่งยาก เรื่องเพศ ฯลฯ เกี่ยวกับการงาน ข้ึนอยู่กับลักษณะงาน ภาระงาน ความสัมพันธ์กับผู้ร่วมงาน หรือ ค่าตอบแทน ส่ิงแวดล้อม อากาศ แสง เสยี ง ฝุน่ ความร้อน ฯลฯ ท้งั น้ี จากความรเู้ ดิมที่ได้ทราบแลว้ ว่า ความเครยี ดมีผลกระทบหลายด้านต่อคนเรา ได้แก่ ผลกระทบต่อตนเอง ทางกาย เช่น ปวดศีรษะ ปวดศีรษะข้างเดียว หัวใจเต้นแรงและเร็ว มือ เท้าเย็น ท้องอืด คลื่นไส้หรือป่ันป่วนในท้อง ความดันโลหิตสูง หอบหืด โรคหัวใจ เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ ฯลฯ ทางอารมณ์ เช่น หงุดหงิด โกรธง่าย วิตกกังวล ซึมเศร้า ฯลฯ ทางด้านความคิด เช่น หดหู่ ไม่มีสมาธิ ตัดสินใจลาบาก หลงลืมง่าย มีความคิดทางลบมากกว่าทางบวก เห็นตวั เองไม่มีคุณค่า สน้ิ หวงั ฯลฯ และทางพฤตกิ รรม เชน่ ดื่มจัดมากเกินไป สบู บหุ รี่จดั ไมเ่ จรญิ อาหาร กา้ วร้าว นอน ไมเ่ ตม็ ท่ี ผลกระทบของความเครียดต่อครอบครัว ครอบครัวขาดการสื่อสารท่ีดีซ่ึงกันและกันไม่ยอมรับและไม่มีความ เข้าใจกันเกิดความขัดแย้งทะเลาะวิวาท เกิดการหย่าร้าง หรือแยกกันอยู่ระหว่างสามีภรรยา ลูกไม่ได้รับความรักความ อบอุ่น และความเอาใจใสจ่ ากพอ่ แม่ ผลกระทบของความเครียดต่อการงาน ไม่มีสมาธิในการทางาน ทางานบกพร่องและผิดพลาดไม่รับผิดชอบ งานท่ีได้รับมอบหมายขาดงานบ่อยประสิทธิภาพในการทางานลดลง อย่างไรก็ตาม ข้อดีและขอ้ เสียของความเครียด ความเครียดในระดับต่าในระยะส้ันๆ จะทาให้มกี ารต่ืนตัว มี ความกระตือรือรน้ ในการทางาน เช่น ก่อนสอบจะมีสมาธใิ นการอ่านหนังสือ ข้อเสีย ถา้ มีความเครยี ดระดบั สูงในระยะ ยาวไม่ไดร้ ับการแก้ไขจะส่งผลเสียต่อตนเอง ค รอบครวั การงาน ดังนั้น เพอื่ ให้สามารถประเมินและวเิ คราะหค์ วามเครียดด้วยตนเองได้โดยง่ายเพอ่ื สามารถประเมินสภาวะตนเองได้นั้น จึงสามารถเลือกใช้เครื่องมือประเมินความเครียดอย่างง่ายได้ เช่น เคร่ืองมือประเมินความเครียดของกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข และแบบวัดความเครียดสวนปรุง กรมสุขภาพจิต ซึ่งจะได้นาเสนอเพ่ือใช้ประโยชน์ได้ง่ายและ รบั ทราบถึงผลการประเมนิ ไดแ้ ละสามารถเปน็ แนวทางไปสกู่ ารปรบั ตัวและการใหค้ วามช่วยเหลือเยียวยาได้โดยเร็ว การประเมนิ ความเครยี ดโดยใชแ้ บบประเมนิ ประเมินความเครียดด้วยแบบประเมนิ ST5 ประเมนิ โดยให้คะแนน 0 - 3 ทตี่ รงกบั ความรสู้ ึก คะแนน 0 หมายถึง แทบไมม่ ี คะแนน 1 หมายถึง บางครัง้ คะแนน 2 หมายถึง บอ่ ยครั้ง คะแนน 3 หมายถึง เปน็ ประจา ท้ังน้สี ามารถเขา้ ถงึ แบบประเมนิ ฉบับบออนไลนไ์ ด้ท่ี https://www.dmh.go.th/covid19/test/qtest5/ 60

ข้อที่ อาการหรอื ความรู้สกึ ท่เี กดิ ในระยะ 2 - 4 สปั ดาห์ คะแนน 0123 1. มปี ญั หาการนอน นอนไม่หลบั หรือนอนมาก 2. มสี มาธนิ ้อยลง 3. หงุดหงิด/กระวนกระวาย/ว้าวนุ่ ใจ 4. ร้สู กึ เบอื่ เซ็ง 5. ไมอ่ ยากพบปะผู้คน การแปลผล คะแนน 0 - 4 เครียดน้อย คะแนน 5 - 7 เครียดปานกลาง คะแนน 8 - 9 เครยี ดมาก และคะแนน 10 - 15 เครยี ดมากทส่ี ุด เมือ่ ประเมินแล้วพบวา่ มีความเครียดในระดบั มากถงึ มากทสี่ ดุ (คะแนนตงั้ แต่ 8 ขนึ้ ไป) ควรให้คาแนะนาการ จดั การความเครียด และให้คาแนะนาใหไ้ ปพบกบั เจา้ หนา้ ทส่ี าธารณสขุ เพือ่ การดูแลทเี่ หมาะสมตอ่ ไป การใหค้ าแนะนาเบื้องต้นในการจัดการกบั ความเครยี ด - ผอ่ นคลายตามความเหมาะสมของแตล่ ะบคุ คล เชน่ ออกกาลังกาย นอนพกั ผ่อน กนิ อาหารอรอ่ ย ดูหนังฟงั เพลง หรอื หาคนพูดคุยเปน็ ต้น - การฝึกคลายความเครยี ดด้วยการฝึกหายใจ โดยหายใจเข้าชา้ ๆ นับ1-4 ในใจ กล้ันหายใจ นบั 1- 4 และ หายใจออกช้า ๆ นับ 1-4 - การผ่อนคลายความเครียดท่ไี มเ่ หมาะสม คือ “กนิ เหลา้ เคล้านารี ผีพนัน เทยี่ วมนั กลางคืน” เน้อื หาตอนท่ี 2 3.3 การสง่ เสริมสขุ ภาพจติ การส่งเสริมสขุ ภาพจติ ทาไดโ้ ดยการสรา้ งปจั จยั ปอ้ งกันและลดปัจจยั เสย่ี ง ของสาเหตปุ ัญหาสขุ ภาพจิต ดา้ นตา่ ง ๆ ดังน้ี 1. การสง่ เสริมสุขภาพรา่ งกาย 1. การรักษารา่ งกายใหแ้ ข็งแรง ปราศจากโรค 2. การออกกาลังกาย แบบแอโรบคิ 2. การส่งเสริมทางจิตใจ 1. การฝึกส้ปู ัญหาใหเ้ กิดความเคยชนิ ไมห่ ลบเลีย่ งปญั หา พฒั นาตนเองให้ปรบั ตวั ไดม้ ากขนึ้ เมื่อพบปัญหา มองหาทางแก้อยา่ งทา้ ทาย พจิ ารณาหาสาเหตขุ องปัญหา และแก้ไขที่สาเหตุ 2. เปลย่ี นแปลงตนเองใหค้ ุ้นเคย ยอมรบั ส่งิ ทเี่ ปลย่ี นแปลงไมไ่ ด้ ทาใจใหย้ อมรับ สนกุ กบั การเปลี่ยนแปลง 3. สรา้ งวธิ ีคดิ ที่ดี มีทกั ษะคดิ เปน็ คดิ ดี คดิ ถูกทาง เบนความคดิ มองโลกในแง่ดี มองโลก หลายมุมมอง ควบคมุ ความคดิ หยดุ คิดได้ อารมณ์ขนั มีทักษะการแกป้ ัญหาอยา่ งถกู ทาง 4. มีสตเิ ตือนตนเอง รู้จกั ตนเอง พิจารณาตนเอง วา่ มคี วามคดิ อารมณค์ วามรู้สึกอยา่ งไร รูต้ วั เม่ือมีความ กงั วล ความเครียด ความกลัว สขุ ภาพจิตดีหรอื ไม่ มีสาเหตจุ ากอะไร 5. มที กั ษะในการจดั การอารมณต์ นเอง ลดความเครียดลดอารมณ์เศร้าไดด้ ้วยตนเอง ปลกุ ปลอบใจให้ กาลังใจตนเองได้ สรา้ งแรงจงู ใจในการกระทาสิ่งต่าง ๆ สร้างความรูส้ กึ ดีต่อตนเอง ใหอ้ ภัยตนเองได้ มกี ิจกรรมสร้าง ความสุข และความสงบ 6. มคี วามเขา้ ใจตนเอง รูจ้ ดุ ดจี ุดอ่อนของตน มีความภาคภมู ิใจในตนเอง ยอมรบั ตวั เอง สรา้ งแรงจูงใจจาก ภายใน ใหม้ ีความชอบ ความสาเร็จ สนกุ กับงาน ไมท่ อ้ แท้ผดิ หวงั กับความลม้ เหลว มองความผดิ พลาดเปน็ ครู หรอื บทเรียนที่จะพฒั นาตนเอง แก้ไขปรับปรงุ ตวั เองให้ดขี ึน้ ได้ทางออกทางแก้ไขปญั หาใหมๆ่ ทด่ี กี วา่ เดิม 61

7. มีความสขุ จากการใหผ้ อู้ ่ืน มเี มตตา เห็นแก่ประโยชนส์ ่วนรวมและสง่ิ แวดลอ้ ม 8. มีกิจกรรมผ่อนคลาย ฝกึ การผ่อนคลายตนเอง ออกกาลังกาย กีฬา งานอดเิ รก ศลิ ปะ ดนตรี กจิ กรรม เหลา่ นจ้ี ะช่วยคลายเครยี ด มีมมุ สงบ พกั ผ่อนจติ ใจ ธรรมชาติ ตน้ ไม้ 9. การปรึกษาผ้อู ่นื ที่สามารถพึ่งพาได้ ไดแ้ ก่ พอ่ แม่ พน่ี อ้ ง ครูอาจารย์ เพ่อื น ผบู้ ังคบั บัญชา หนว่ ยงานท่ี เกีย่ วข้อง เพ่อื แสวงหาขอ้ มูล ทางเลอื ก ทางแก้ปัญหาในมุมมองอ่ืน 10. มนุษยสมั พนั ธ์ดี มที กั ษะในการสื่อสารให้คนอนื่ เขา้ ใจ ทางานร่วมกบั ผอู้ น่ื อย่างมีความสขุ กล้าพดู กล้า บอก ช่นื ชมผอู้ ่ืน บอกความคิด ความรู้สกึ และต้องการของตนเอง สอบถามผอู้ น่ื เมอื่ ไมเ่ ข้าใจ มวี ิธีพูด บอกกนั ดีๆ ด้วย เจตนาทเ่ี ปน็ มติ ร มีวธิ ีเตอื นผ้อู ่ืนอย่างนุม่ นวล ชักชวนให้คนทางานดว้ ยดี 11. ทกั ษะในการเผชญิ ความเครยี ด มกี ิจกรรมผ่อนคลายสลบั เช่น พกั สายตา มองไปไกลๆ ขยบั ร่างกาย กายบริหาร ฟงั เพลง ร้องเพลง ฝกึ การผอ่ นคลายตนเอง ดว้ ยเทคนิคตา่ ง ๆ 12. เม่ือมีปญั หาสามารถระบายความไมส่ บายใจ กบั คนทีใ่ กลช้ ดิ ไวใ้ จได้ รับฟั และใช้คาแนะนาจากผู้อนื่ แก้ปัญหาได้ 13. การใช้ยารักษาอาการทางอารมณ์ ยาคลายเครยี ด ยาตา้ นโรคซึมเศรา้ หรือรกั ษาอาการทเี่ กิดขน้ึ ทาง รา่ งกาย เป็นการรักษาตามพยาธสิ ภาพท่ีเกดิ ข้นึ ทางร่างกาย 3. การเปล่ียนแปลงส่ิงแวดล้อมให้เหมาะสมกบั ตนเอง บรรยากาศสงบ เสียงไม่ดงั ไม่ร้อนมากเกินไป สี แสง บรรยากาศผ่อนคลาย การมธี รรมชาติ ตน้ ไม้ ภาพวาด ภาพผนงั หอ้ ง การหางานท่ชี อบและถนัด สรา้ งความสามคั คีในทมี งาน มีการประสานงานกนั ดี บรรยากาศการทางาน เอ้อื เฟ้อื ช่วยเหลอื มีน้าใจต่อกนั จัดแบ่งเวลาทางาน แบง่ งานเปน็ ชว่ ง ๆ มเี วลาพกั ผอ่ นหย่อนใจ เวลาทางาน 8 ช่ัวโมง เวลาพักผ่อนหย่อนใจและออกกาลังกาย 8 ชั่วโมง และนอนหลบั 8 ช่ัวโมง เทคนิคการผ่อนคลายตนเอง เทคนิคต่อไปน้ใี ช้ในการแก้ไขความเครยี ด ทเี่ กดิ ขน้ึ แลว้ โดยไมส่ ามารถแก้ไขท่สี าเหตไุ ด้ 1. ฝึกสมาธิ สติ ผ่อนคลายกลา้ มเนือ้ การฝกึ ลมหายใจ(breathing exercise) 2. ออกกาลังกายสมา่ เสมอ แบบแอโรบิค ไดแ้ ก่ เดนิ หรอื วิง่ จักรยาน ว่ายนา้ เต้นแอโรบคิ วนั ละ 30 นาที อย่างน้อย 3 ครง้ั ตอ่ สัปดาห์ 3. กฬี า แบบท่เี ลน่ รว่ มกับผอู้ น่ื กฬี าทไ่ี ด้ระบายอารมณ์ แต่มกี ตกิ าปลอดภยั 4. นวดกล้ามเน้อื โดยผู้นวดท่ไี ด้รบั การฝกึ อยา่ งดี การนวดจะชว่ ยคลายกลา้ มเนอ้ื ที่มกี ารหดเกร็งปวด ให้คลาย ออก และความเครยี ดจะลดลง 5. การฝกึ ประสาทอัตโนมัติ เซาน่า โดยการแชใ่ นนา้ เยน็ จดั สลบั กบั การอบไอนา้ รอ้ นจัด อยา่ งละ 10-20 นาที เพื่อใหป้ ระสาทอตั โนมัตเิ กดิ การเปลีย่ นแปลงตามอยา่ งรวดเร็ว วธิ นี ีค้ วรทาเมอ่ื ร่างกายแขง็ แรง 6. สร้างจนิ ตนาการทที่ าใหใ้ จสงบ ผ่อนคลาย เช่น สถานทท่ี ่ีเคยไปพักผ่อน ชายทะเล ภเู ขา 7. การฟงั เพลง/ดนตรี ทผี่ ่อนคลาย ดนตรตี อ้ งมีลกั ษณะนุ่มนวล จงั หวะชา้ ๆไม่เกิน 60 ครั้งตอ่ นาที ไม่ควรมี เน้ือรอ้ ง เสียงธรรมชาติ เช่น เสยี งนา้ ตก เสยี งคล่ืน เสียงนก กส็ ามารถทาใหผ้ ่อนคลายไดเ้ ช่นกนั 8. กจิ กรรมศิลปะ งานประดิษฐ์ ศิลปะ แกะสลัก เครอ่ื งป้นั ดนิ เผา กวี 9. กิจกรรมสนกุ เชน่ รายการวทิ ยุ โทรทัศน์ รายการตลก 10. กลุ่มช่วยเหลือกนั เอง มโี อกาสระบายความทกุ ขใ์ จ และช่วยเหลือกนั เอง มคี วามรู้สกึ มีเพ่อื นร่วมทุกข์รว่ ม สุข และใหก้ าลังใจและคาแนะนาแก่กนั เทคนคิ การปรับเปลย่ี นความคิด 62

1. มีสติกับความคิดตนเอง รูว้ ่ากาลังคิดอะไร คิดอย่างไร เขา้ ใจความคิดตนเอง ความสัมพันธร์ ะหว่างความคิด ความรสู้ ึก และอาการทางร่างกายหรือพฤตกิ รรม เมื่อคิดดมี คี วามสขุ ไมม่ อี าการทางกาย คดิ ไมด่ ีทาใหเ้ ครยี ด ไมส่ บาย ใจ เกิดอาการทางกาย หรอื โรคทางกายกาเรบิ 2. การหยุดความคิด รู้ตวั ว่าเรมิ่ คิดไม่ดี คิดวนเวยี น คิดมาก ย้าคดิ และฝึกควบคุมความคดิ โดยการฝึกสติ ฝึก การหายใจ (breathing exercise) หยดุ ความคดิ ทีว่ นเวยี นมาจดจ่อกับรา่ งกาย 3. การเบนความคดิ ดว้ ยกิจกรรม เช่น งานอดเิ รก การสวดมนต์ 4. การฝกึ คดิ ดี ในดา้ นต่าง ๆ ดงั นี้ · มองตนเองดี มองด้านบวก หาสิ่งที่ถนดั ส่งิ ทย่ี งั พอควบคมุ ได้ เช่นความคิดตนเอง ส่งิ ท่ที าได้ เป็นประโยชน์ต่อ ผอู้ ่ืน การทาตัวให้เปน็ ประโยชน์ต่อตนเอง ใหก้ าลงั ใจตนเอง ปลุกปลอบตนเอง · มองผู้อนื่ มองในด้านดี ให้อภัย แผเ่ มตตา หวังดี ไม่หวงั ผลตอบแทนจากคนอ่ืน สุขใจที่ได้ช่วยคนอนื่ ทาตวั ให้ เปน็ ประโยชน์ตอ่ ผู้อืน่ คาดหวงั วา่ ผอู้ ื่นจะชว่ ยเหลอื เก้ือกลู กันได้ รูจ้ กั ปรึกษาผอู้ ่นื · มองโลกและอนาคตในแง่ดี มีความหวัง มีทางออก ยอมรับเหตุการณ์ที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ หา ชอ่ งทางแก้ปัญหาได้ 3. การเปล่ียนแปลงส่ิงแวดล้อมให้เหมาะสมกับตนเอง บรรยากาศสงบ เสียงไม่ดัง ไม่ร้อนมากเกินไป สี แสง บรรยากาศผ่อนคลาย การมธี รรมชาติ ต้นไม้ ภาพวาด ภาพผนังหอ้ ง การหางานที่ชอบและถนดั สรา้ งความสามัคคใี น ทีมงาน มีการประสานงานกันดี บรรยากาศการทางานเอ้ือเฟื้อช่วยเหลือมีน้าใจต่อกัน จัดแบ่งเวลาทางาน แบ่งงาน เป็นช่วง ๆ มีเวลาพักผ่อนหยอ่ นใจ เวลาทางาน 8 ชั่วโมง เวลาพกั ผ่อนหยอ่ นใจและออกกาลงั กาย 8 ชว่ั โมง และนอน หลบั 8 ชว่ั โมง สรปุ การเรยี นร้เู ตรยี มตวั และฝึกฝนใหเ้ ผชญิ กบั ชีวิต สามารถเร่ิมตง้ั แต่วยั เดก็ โดยสง่ เสรมิ พัฒนาการทุกด้าน ท้ัง ทางร่างกาย จิตใจอารมณ์และสังคม พัฒนาเป็นบุคลิกภาพที่ดี มีสุขภาพจิตท่ีดี ป้องกันปัญหาสุขภาพจิต และมี ความสุขในการดาเนินชีวิตต่อไป การรู้วิธีการประเมินสุขภาพจิตเบ้ืองต้น จะสามารถช่วยในการรับรู้ความเสี่ยง การ วางแผนในการจัดการปัญหาสุขภาพจิตของตัวท่านเองได้อย่างถกู ต้อง รวมถึงการรู้วิถีทางในการแก้ไขปัญหาได้อย่าง เหมาะสมตามลาดบั 63

เอกสารอา้ งอิง กองยทุ ธศาสตรแ์ ละแผนงาน กรมสขุ ภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข. (2562). แผนพฒั นาสขุ ภาพจติ แห่งชาติ ฉบบั ท่ี 1 (พ.ศ. 2561 - 2580). ขวญั จติ มหากิตตคิ ณุ และคณะ. (2559). ความสุขของนกั เรียนวยั รุ่น. วารสารพยาบาลสงขลา นครินทร์. ปที ี่ 36 ฉบบั ท่ี 1 มกราคม - เมษายน 2559 ฉวีวรรณ สตั ยธรรม, แผ จนั ทรส์ ุข และศกุ รใ์ จเจริญสุข. (2557). การพยาบาลจิตเวชและสขุ ภาพจิต (ฉบับปรับปรงุ ) เล่มที่ 1. (พมิ พ์ครงั้ ท่ี 2). นนทบรุ ี: โครงการสวัสดิการวชิ าการ สถาบันพระบรมราชชนก นติ ยา ศรจี านง. บทท่ี 2 กระบวนการพยาบาลในการพยาบาลสขุ ภาพจิตและจติ เวช. เขา้ ถงึ ออนไลน์ วันท่ี 30 พฤษภาคม 2563. http://www.elnurse.ssru.ac.th/nitaya_si/ พนม เกตุมาน. (2560). ความรู้เรื่องโรคทางจติ เวชและปัญหาพฤติกรรม. บริษัทคลนิ ิคจติ -ประสาท. คลินิคจติ -ประสาท 563 ถ.สามเสน แขวงวชิรพยาบาล เขตดุสติ กทม 10300 ทศา ชยั วรรณวรรต. (2560). บทบาทของพยาบาลจิตเวชในการส่งเสริมสขุ ภาพจิตและการป้องกนั การเจบ็ ปว่ ยทางจิต. The Journal of Psychiatric Nursing and Mental Health. ปที ี่ 31 ฉบับที่ 2 พฤษภาคม – สิงหาคม 2560 สุภทั ร ชปู ระดษิ ฐ์. (2563). สขุ ภาพจติ กับกจิ กรรมการดาเนินชวี ิต เพ่อื การเพม่ิ ประสทิ ธภิ าพการ ทางานของบคุ ลากรภาครัฐ. January 20, 2020. Thai mooc online ภาควชิ ากิจกรรม บาบดั คณะเทคนคิ การแพทย์ มหาวิทยาลยั เชยี งใหม่ อภชิ ยั มงคล, วัชนี หัตถพนม, ภสั รา เชษฐ์โชติศักด,ิ์ วรรณประภา ชลอกลุ , ละเอียด ปัญโญใหญ่, สุจรติ สวุ รรณชพี . (2544) “การศึกษาดัชนชี ี้วัดสุขภาพจติ คนไทย (ระดบั บคุ คล).” วารสาร สมาคมจิตแพทยแ์ ห่งประเทศไทย; 46 (3) : 209-225 Website กรมสขุ ภาพจิต เข้าถึงออนไลน์ https://www.dmh.go.th/ 64

ใบงาน/ใบกิจกรรม/แบบทดสอบทา้ ยบท ชือ่ -สกุล............................................................. รหัสประจาตัวนสิ ติ ................................................ ชือ่ รายวิชา .......................................................................... รหัสวชิ า ..................................... กล่มุ ทเี่ รียน .................. ใบงานที่ ............................. วันที่ ................................................................................................... อาจารยผ์ สู้ อน................................................................................................................................. โจทย์ ใหน้ สิ ติ แบง่ กลุ่ม ๆ ละ 8-10 คน รว่ มทาการสารวจแบบ โดยใช้แบบประเมนิ สุขภาพจิตเบือ้ งตน้ ใน บุคคลทวั่ ไปในมหาวทิ ยาลัย จานวน 15-20 คน นาผลการศึกษามาอภปิ รายแสดงความคิดเหน็ เก่ยี วกบั ผลประเมิน ปัญหาทางสขุ ภาพจติ ให้สรปุ ตามความคดิ เห็นของกลุม่ และเสนอแนวทางการป้องกันปญั หาสขุ ภาพจติ แล้วออกมา นาเสนอหนา้ ชน้ั เรยี น …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 65

บทท่ี 4 กฎหมายทเี่ กยี่ วข้องกับการลว่ งละเมดิ ทางเพศ วัตถุประสงค์เชิงพฤตกิ รรม 1. นิสติ สามารถอธบิ าย ลักษณะพฤตกิ รรมการล่วงละเมดิ ทางเพศไดอ้ ย่างถูกต้อง 2. นสิ ติ สามารถประยกุ ต์ใชอ้ งคค์ วามรูใ้ นการปฏบิ ัตติ นในชวี ิตประจาวนั เพ่ือหลกี เลี่ยงการลว่ งละเมดิ ทางเพศ ผูอ้ ืน่ และสามารถหลีกเลย่ี งการถกู ล่วงละเมดิ ทางเพศได้อย่างถกู ตอ้ ง 3. นสิ ิตสามารถประยุกตใ์ ช้องคค์ วามรใู้ นการหาทางออกเม่อื พบเหน็ ผู้อ่นื ถกู ลว่ งละเมดิ ทางเพศหรือเมอ่ื ถกู ล่วงละเมดิ ทางเพศไดอ้ ยา่ งเหมาะสม 4. นิสิตสามารถอธิบายกฎหมายเบือ้ งตน้ ทเ่ี กี่ยวขอ้ งกับการล่วงละเมิดทางเพศไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง วธิ ีการสอน/กจิ กรรมการเรยี นการสอน 1. บรรยายเนือ้ หาโดยเกร่ินนาขอ้ มลู ของบรบิ ทในสังคมไทยต่อการลว่ งละเมดิ ทางเพศ 2. บรรยายเนือ้ หาโดยสอดแทรกการถาม-ตอบคาถามเชิงคณุ ธรรมจรยิ ธรรมทีเ่ ก่ียวข้องกับการปฏบิ ัตติ นท่ี เหมาะสมตอ่ ท้งั เพศเดียวกันและเพศตรงขา้ ม 3. บรรยายเนื้อหาโดยกระต้นุ ใหเ้ กิดการตคี วามกฎหมายเป็นข้อปฏิบัติในชีวติ ประจาวนั และยกตัวอย่าง เหตุการณ์หรือขา่ วทเี่ กย่ี วขอ้ งประกอบ 4. ให้นิสติ ทากรณศี ึกษาทา้ ยบทโดยรว่ มกนั อภปิ รายทงั้ ประเด็นด้านคณุ ธรรมจริยธรรมและประเด็นทางดา้ น กฎหมาย การประเมินผลลพั ธ์การเรยี นรู้ 1. ประเมินพฤติกรรมการเรยี นรู้จากความรับผดิ ชอบและการร่วมมอื การทาอภปิ รายกรณีศึกษาท้ายบท 2. ประเมินพฤตกิ รรมการเรยี นรู้จากการถามตอบคาถามเชิงคณุ ธรรมจรยิ ธรรมที่เกี่ยวข้องกบั การปฏบิ ตั ติ นที่ เหมาะสมต่อท้งั เพศเดยี วกันและเพศตรงขา้ ม 3. ประเมนิ ความเขา้ ใจบทเรียนจาการถามตอบประเด็นการตีความกฎหมายที่เกี่ยวข้องกบั การล่วงละเมิด ทางเพศ 4. ประเมินความรู้จากการสอบปลายภาค 66

บทนา ปัญหาการล่วงละเมิดทางเพศเป็นปัญหาท่ีสาคัญของสังคมไทย โดยการล่วงละเมิดทางเพศที่พบในปัจจุบัน อาจเกิดไดท้ ั้งกับคนในครอบครัวเดยี วกนั และคนท่ีไม่รูจ้ ักกันมาก่อน และเมือ่ เหยื่อไม่มีความร้คู วามเข้าใจต่อกฎหมาย ทเี่ ก่ยี วข้องกับการลว่ งละเมิดทางเพศหรอื เหยอ่ื ที่เปน็ เด็กก็จะไม่สามารถแก้ไขปญั หาไดอ้ ย่างถูกต้อง บอ่ ยครัง้ จะพบว่า เหย่ือที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศจะไม่ต้องการแจ้งความดาเนินคดีกบั ผลู้ ว่ งละเมิดทางเพศเนื่องจากหลายสาเหตุ เชน่ ผู้ท่ี ล่วงละเมิดทางเพศเป็นบิดา-มารดาหรือญาติสนิท ผู้ท่ีล่วงละเมิดทางเพศขู่หรือใช้คาพูด/พฤติกรรมคุกคามความ ปลอดภัยของเหย่ือทาเหยื่อรู้สึกกลัวและรู้สึกไม่ปลอดภัย ผู้ท่ีล่วงละเมิดเป็นผู้มีหน้าที่การงานหรือมีอิทธิพลจนเหยื่อ รสู้ ึกส้ินหวังที่จะใช้กฎหมายจัดการกับผู้ท่ีล่วงละเมิดทางเพศตนเป็นต้น ดังน้ันจะพบว่าปัญหาการล่วงละเมิดทางเพศ เปน็ ปัญหาท่ซี บั ซอ้ นและมักจะถกู มองข้ามไป ทาไมผู้ที่ไม่ได้ศึกษาด้านกฎหมายจะต้องทาความเข้าใจเก่ียวกับกฎหมายการล่วงละเมิดทางเพศ? นั่นก็เป็น เพราะว่าในปัจจุบันพบว่าปัญหาการล่วงละเมิดทางเพศสามารถเกิดข้ึนได้ทุกท่ีและกับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นการล่วง ละเมิดทางเพศในครอบครัว การล่วงละเมิดทางเพศในที่ทางาน เป็นต้น ดังน้ันเมื่อบุคคลในสังคมไทยได้รู้จักและมี ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายทเ่ี กี่ยวข้องกับการล่วงละเมิดทางเพศแลว้ ก็จะทาให้สามารถจัดการกบั ปัญหาท่ีเกยี่ วขอ้ ง กบั การล่วงละเมิดทางเพศได้อย่างถกู ต้องและเป็นการช่วงยกระดับคุณภาพความเปน็ อยู่ในสงั คมไทยได้อีกดว้ ย ทาให้ สังคมไทยพฒั นาไปเปน็ สังคมทปี่ ลอดภัยได้อยา่ งย่ังยนื เน้ือหา 1. ความหมายและลกั ษณะของการล่วงละเมดิ ทางเพศ 2. สาเหตุของการถูกล่วงละเมดิ ทางเพศ 3. ผลกระทบตอ่ เหยอ่ื ที่ถกู ลว่ งละเมิดทางเพศ 4. กฎหมายทีเ่ กีย่ วขอ้ งกับการล่วงละเมิดทางเพศ 5. การแกไ้ ขปญั หาทเ่ี ก่ยี วข้องกับการลว่ งละเมดิ ทางเพศ 67

เนอื้ หาตอนท่ี 1 ความหมายและลักษณะของการลว่ งละเมดิ ทางเพศ 1. ความหมายของการลว่ งละเมิดทางเพศ การลว่ งละเมดิ ทางเพศหมายถงึ พฤตกิ รรมของบคุ คลทลี่ ว่ งละเมดิ สทิ ธิของบคุ คลอนื่ ท่ีเก่ียวขอ้ งกับเรือ่ งเพศ ในลักษณะตา่ งๆ ไมว่ ่าจะดว้ ย คาพดู สายตา การใชท้ า่ ทีทสี่ ่อเจตนาลว่ งเกินทางเพศ การกระทาอนาจาร การบังคบั ให้ มีเพศสัมพนั ธ์ การขม่ ขนื และการกระทาทท่ี าให้ผูอ้ ่ืนไดร้ บั ความอับอายโดยทผี่ ถู้ ูกกระทาไม่ยนิ ยอมพร้อมใจ ซงึ่ การ กระทาทัง้ หมดจะสง่ ผลตอ่ จติ ใจ อารมณ์ สงั คม รวมถึงสวัสดิภาพการดารงชวี ติ อยู่อย่างเป็นปกติสุขท้งั ในระยะสน้ั และ ระยะยาวของผถู้ กู กระทา นบั เปน็ การกระทาทผ่ี ิดกฎหมาย ศีลธรรม และบนั่ ทอนความปกตสิ ขุ ของสังคม 2. ลกั ษณะพฤติกรรมทเ่ี ข้าขา่ ยการล่วงละเมิดทางเพศ พฤติกรรมการล่วงละเมดิ ทางเพศนนั้ ในแต่ละสังคมจะมีบรรทัดฐานท่แี ตกตา่ งกนั แต่จะ ตัง้ อย่บู นพนื้ ฐาน 2 อยา่ งดว้ ยกนั คอื การเคารพสทิ ธิและหนา้ ทีข่ องบุคคลอื่น และความเท่าเทียมกันของบคุ คลใน สังคมโดยไมแ่ บง่ แยกฐานะการเงนิ อายุ เพศ หรอื ความแตกตา่ งอืน่ ใด เนอื่ งจากเมอ่ื วเิ คราะห์สถติ ิแลว้ จะพบวา่ เหย่อื มักมคี วามด้อยกวา่ ผู้ที่ทาการล่วงละเมดิ ในดา้ นตา่ งๆ ทาให้ผ้ลู ่วงละเมิดฉวยโอกาสในการละเมดิ สทิ ธขิ องเหย่ือได้ เชน่ เหยื่อท่เี ปน็ เดก็ หรือเหยื่อที่มีฐานะยากจนและอาศยั อยู่ในบา้ นท่ไี มม่ คี วามมิดชดิ ปลอดภยั เป็นตน้ พฤตกิ รรมการล่วง ละเมิดทางเพศแบง่ ออกไดต้ ามระดบั ความรนุ แรงดังนี้ 2.1 การลว่ งละเมิดดว้ ยวาจา หมายถงึ การลว่ งละเมิดทางเพศผู้อ่นื ด้วยคาพูดท่ี ส่อไปในเร่อื งทางเพศ เรือ่ งลามกอนาจาร เรื่องสองแงส่ องงา่ ม โดยทีผ่ ฟู้ งั ไมไ่ ด้รสู้ ึกสนุกสนาน หรอื ทาใหผ้ ฟู้ ังรู้สกึ อึดอดั ไม่สบายใจ รวมไปถงึ คาพดู ที่ทาใหผ้ ฟู้ ังรู้สึกถงึ ความไมป่ ลอดภยั ตอ่ สวสั ดภิ าพของตนเอง การลว่ งละเมดิ ดว้ ยวาจาแบง่ ออกเป็นหลายร้แู บบดงั น้ี  การวิพากษว์ จิ ารณร์ ปู ร่างหนา้ ตาของผอู้ ่ืน อันส่อไปในทางลามกอนาจาร  การตามจีบ ตามตือ้ พูดจาเกย้ี วพาราสโี ดยทอ่ี ีกฝ่ายหน่งึ แสดงความไมช่ อบใจหรือแสดงความ ไม่พอใจ  การเลา่ เรอื่ งตลกลามกหรือเรอื่ งสองแงส่ องงา่ มในเร่อื งเพศ  การใชค้ าพูดแทะโลมหยาบคายในเรอื่ งเพศ  การใชโ้ ทรศัพท์พดู คยุ เร่อื งลามกหรอื แทะโลมในเรอ่ื งเพศเพื่อตอบสนองอารมณท์ างเพศของ ตน  การพดู จาบงั คบั ให้มีเพศสมั พนั ธด์ ้วยแต่เหยื่อยังไมไ่ ดม้ ีเพศสมั พนั ธก์ บั ผลู้ ว่ งละเมดิ ไมว่ า่ จะ เปน็ ดว้ ยการหวา่ นล้อมหรือการข่มขู่ 2.2 การลว่ งละเมดิ ดว้ ยการกระทาทไ่ี ม่ถกู เนอ้ื ตอ้ งตัว หมายถงึ การกระทาท่ี ล่วงเกินทางเพศผูอ้ นื่ โดยไมถ่ กู เนือ้ ตอ้ งตัวอีกฝ่าย เช่น การส่งสายตาลวนลาม การอวดโชว์ของสงวน เปน็ ตน้ การลว่ ง ละเมดิ ดว้ ยการกระทาทีไ่ มถ่ กู เนอื้ ตอ้ งตัวจัดเปน็ การล่วงละเมดิ ทางเพศแบบไมร่ ุนแรง พฤติกรรมทีเ่ ข้าข่ายการล่วง ละเมิดดว้ ยการกระทาท่ีไมถ่ กู เนอื้ ตอ้ งตัวมีลักษณะดังน้ี  การใช้สายตาจอ้ งมองของสงวนหรือหน้าอกของอกี ฝา่ ยในลกั ษณะท่สี อ่ ไปในทางลามกอนาจาร  การแอบดูหรือท่เี รียกวา่ “ถ้ามอง” โดยพฤตกิ รรมนีจ้ ะมลี กั ษณะของการแอบโดยตรงหรอื การ ใช้อปุ กรณช์ ว่ ยในการแอบดู หรอื ช่วยในการบนั ทกึ ภาพของเหยอ่ื  การอวดโชวอ์ วยั วะเพศของตนเอง  การเผยแพรส่ ือ่ ลามก คลิปวดี โี อโป้ 2.3 การล่วงละเมิดทางเพศดว้ ยการกระทาอย่างชัดแจ้ง หมายถงึ การลว่ ง 68

ละเมิดทางเพศดว้ ยการกระทาอนั ชดั แจง้ นับตง้ั แต่ การถูกเนอื้ ตอ้ งตวั อกี ฝา่ ยโดยทีอ่ กี ฝา่ ยไมย่ นิ ยอม การลว่ งละเมดิ ใน ลักษณะทช่ี ัดแจง้ ถือเปน็ การลว่ งละเมิดทางเพศแบบรุนแรง พฤตกิ รรมทีเ่ ขา้ ขา่ ยการลว่ งละเมดิ ทางเพศด้วยการกระทา อยา่ งชดั แจง้ ได้แก่  การสัมผัสรา่ งกายผอู้ ื่นโดยทผ่ี ู้อืน่ ไมย่ นิ ยอม รวมไปถือการน่ังหรอื ยนื ใกล้ผ้อู นื่ จนเกิดไป การ สัมผัสเสือ้ ผา้ เสน้ ผม โดยท่ีอกี ฝา่ ยไม่ยนิ ยอม จดั วา่ เปน็ การล่วงละเมิดทางเพศทงั้ ส้ิน  การกระทาอนาจาร ไดแ้ ก่ การกอด จูบ ลบู คลา ซ่ึงเปน็ การแสดงความใครท่ างเพศ ในทาง กฎหมายถือว่าการบังคบั ให้ผูอ้ ื่นมีเพศสมั พันธแ์ บบไมส่ อดใสช่ อ่ งคลอด ทวารหนกั น้ันถอื ว่าเป็น การกระทาอนาจาร เช่น การบังคับใหผ้ อู้ ่นื ใชป้ ากหรือมือสาเร็จความใคร่ให้ เป็นตน้  การถูกบังคับใหม้ เี พศสัมพันธด์ ว้ ยโดยเหย่อื ไม่ยินยอมพรอ้ มใจ หรอื ไมม่ ภี าวะทางกฎหมายให้ สามารถยินยอมพร้อมใจได้ ในประเทศไทยมกี ฎหมายกาหนดอายทุ สี่ ามารถยนิ ยอมให้มกี ารร่วม ประเวณไี ด้ท่ีอายุ 18 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 277 และ 279 โดยโทษจะทวคี วาม รนุ แรงมากขน้ึ เมือ่ เกดิ การกระทาชาเราในเดก็ ทมี่ อี ายุตา่ กวา่ 15 ปี แม้ว่าเหย่อื จะยนิ ยอมพร้อม ใจแต่กฎหมายไทยได้กาหนดอายุไว้ชดั เจนว่าผ้ทู จี่ ะสามารถยนิ ยอมพร้อมใจในการร่วมประเวณี จะต้องมอี ายมุ ากกวา่ 18 ปีขนึ้ ไป โดยเม่อื เกิดการละเมิดกฎหมายแลว้ จะไมส่ ามารถมกี ารยอม ความกนั ได้ตามมาตรา 283ทวิ หมายเหตุ: ในกรณเี ดก็ หญงิ อายุ 13-15 ปี สามารถใหศ้ าล อนุญาตใหส้ มรสกนั เสยี ก่อนเกิดการร่วมประเวณกี ็จะเขา้ ข่าย “อายุท่ีรับร้ยู ินยอม” ตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 277 เมื่อศาลอนุญาตแลว้ การร่วมประเวณจี ะไม่ถอื ว่าผิด กฎหมาย  การข่มขืนกระทาชาเรา เปน็ การทารา้ ยร่างกายทเ่ี กย่ี วข้องกบั เพศสมั พนั ธ์ หรอื การลว่ งลา้ ทาง เพศแบบอ่ืนโดยเหย่ือไม่ยนิ ยอมพร้อมใจ โดยใช้กาลงั ทางกายบบี บังคบั ซึง่ เหย่อื อาจจะมีสตหิ รือ หมดสตอิ ย่กู ็ได้ ตามประมวลกฎหมายอาญาอาจเรยี กการข่มขืนกระทาชาเราว่าเปน็ การทารา้ ย ร่างกายทางเพศได้ด้วย โดยการทาร้ายรา่ งกายนอี้ าจเกิดจากการสอดใสอ่ วยั วะเข้าไปในรา่ งกาย อีกฝ่าย ไมว่ า่ จะเปน็ ช่องคลอด ปาก ทวารหนกั หรือรอ่ งอก ซึ่งผ้ทู ่ีสอดใสไ่ ม่จาเปน็ ต้องสอดใส่ องคชาตแิ ต่อาจจะเปน็ อวัยวะอนื่ กจ็ ดั วา่ เปน็ การขม่ ขืนแล้ว เช่น นว้ิ มอื หรือล้นิ หรอื แมก้ ระท่งั วสั ดุอนื่ เช่น ขวด เปน็ ตน้ ก็เขา้ ขา่ ยการทาร้ายรา่ งกายทางเพศท้ังสน้ิ โดยนยิ ามกลบั กัน ทางดา้ นพฤติกรรมน้ันก็สามารถเกดิ ข้ึนได้ เนือ่ งจากในอดีตจะมบี ันทกึ ไวเ้ พยี งการขม่ ขนื ทีม่ ีเพศ ชายเปน็ ฝา่ ยกระทาเพศหญงิ ดงั น้นั ในปัจจบุ นั พบว่ามเี พศหญงิ หรอื เพศอน่ื ๆ ข่มขนื เพศชายใน อัตราร้อยละ 9 ของคดีข่มขนื ทงั้ หมด จงึ นยิ ามรวมพฤตกิ รรมที่มกี ารบังคบั ให้มีการขบั เคลอื่ น หรือผลกั ดนั องคชาติของอกี ฝา่ ยเข้าไปในชอ่ งคลอดหรอื ทวารหนกั โดยท่ีอกี ฝา่ ยไมย่ นิ ยอมเขา้ ไป ในนิยามของการทาร้ายรา่ งกายทางเพศเพิม่ ขน้ึ อีกดว้ ย ผ้ทู ่ีมีพฤติกรรมเขา้ ขา่ ยข่มขนื กระทา ชาเราผอู้ ื่นถอื วา่ ละเมดิ กฎหมายอาญามาตรา 276 ระวางโทษจาคุกตงั้ แต่ 4-24 ปี และปรบั 8 หมืน่ ถึง 4 แสนบาท หากใช้อาวธุ ร่วมในการขม่ ขกู่ อ่ นและระหวา่ งการข่มขืน (โดยเหย่ือจะเป็น ชายหรือหญงิ ก็ได้) ระวางโทษจาคุกตงั้ แต่ 15-20 ปี และปรับตง้ั แต่ 3 แสนถึง 4 แสนบาท หรอื จาคกุ ตลอดชีวติ  การรมุ โทรมเปน็ พฤติกรรมทาร้ายทางเพศโดยผู้กระทามากกวา่ 1 คน หากเหยอื่ เป็นเพศหญงิ เรียก โทรมหญิง หากเหยื่อเปน็ เพศชายเรียก โทรมชาย นน้ั ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 277 หากใชอ้ าวธุ รว่ มในการโทรมหญิงหรอื โทรมชายและทารา้ ยเหยื่อใหไ้ ดร้ บั บาดเจบ็ สาหสั ระวางโทษ จาคกุ ตลอดชวี ติ หากเหย่ือเสียชีวติ จะมโี ทษเพยี ง 2 อย่างคอื จาคุกตลอดชวี ติ หรือ ประหารชวี ติ 69

 การเป็นธรุ ะจัดหาการคา้ ประเวณี ข้อน้อี าจไม่เกยี่ วข้องการลว่ งละเมิดทางเพศโดยตรง แต่จาก สถติ พิ บวา่ ในเหยอื่ ท่ีมกี ารถูกล่วงละเมิดทางเพศพบวา่ อาจมีผใู้ หญเ่ ป็นธุระจดั หาใหม้ กี าร คา้ ประเวณี ซง่ึ ผดิ กฎหมายอาญามาตรา 286 ระวางโทษจาคกุ ไม่เกนิ 20 ปี ปรับไม่เกนิ 4 แสน บาท หรอื จาคกุ ตลอดชวี ิต สาเหตขุ องการถกู ล่วงละเมิดทางเพศ ปัญหาการล่วงละเมิดทางเพศมกั เปน็ เรอื่ งของการใช้อานาจในทางทผี่ ิดเพื่อล่วงเกนิ ทางเพศผอู้ ่ืน ดังนน้ั เหยอ่ื ท่ถี กู ลว่ งละเมิดทางเพศจึงมกั เปน็ เดก็ ลูกนอ้ งในทที่ างาน แม่บา้ น คนทีส่ ตปิ ญั ญาไมส่ มประกอบ คนจรจัด หรอื แมก้ ระทงั่ ศพกส็ ามารถเปน็ เหยอื่ ของการลว่ งละเมิดทางเพศได้ ในบางครัง้ คนในสงั คมจะพบว่าการจัดการปญั หาการ ล่วงละเมิดทางเพศนน้ั เป็นเรอื่ งที่ซบั ซอ้ น และบอ่ ยครัง้ ทผี่ ูท้ ลี่ ว่ งละเมดิ ทางเพศผูอ้ น่ื จะยนื ยนั ปฏิเสธ และขม่ ขูเ่ หยื่อ รวมถงึ ผทู้ ่ใี หค้ วามช่วยเหลอื เหยอ่ื สาเหตุของการถูกลว่ งละเมดิ ทางเพศแบง่ ออกเป็นหลายลกั ษณะดังนี้ 1. การใชส้ ถานภาพและความสมั พันธ์กับเหยือ่ จากสถิตพิ บวา่ ในประเทศไทยเหยอื่ จะมีความสัมพนั ธ์กับผลู้ ว่ งละเมดิ ทางเพศเปน็ ส่วนใหญ่ โดยแบง่ ออกเปน็ 2 ลักษณะดังน้ี 1.1 คนท่ีคนุ้ เคย คือ บคุ คลทม่ี คี วามคนุ้ เคยกับเหยื่ออยกู่ ่อนแลว้ ซง่ึ ลกั ษณะการลว่ งละเมดิ โดยคน ทค่ี นุ้ เคยเกดิ ขึ้นได้บ่อยในประเทศไทย โดยเฉพาะคนทีเ่ ปน็ สมาชิกครอบครัวเดียวกนั แตอ่ าจมี ปัจจยั ทางสงั คมดา้ นอื่นรว่ มดว้ ย เชน่ การดืม่ สุรา การอาศยั ในชมุ ชนแออดั การมสี ภาพบ้านท่ี ไม่มิดชดิ ปลอดภยั ซึ่งเหย่อื ท่ีถกู ล่วงละเมิดโดยคนที่คนุ้ เคยนม้ี ักเปน็ เดก็ หรือบคุ คลทม่ี ี สตปิ ญั ญาไมส่ มประกอบ ในทางกฎหมายการทารา้ ยร่างกายทางเพศแกบ่ ุคคลอันไดแ้ ก่ พอ่ -แม่ พ่ีนอ้ ง เครอื ญาติ ลูกศษิ ย์ ลูกนอ้ ง ผู้อยู่ในความปกครอง ถือว่าผดิ กฎหมายอาญามาตรา 285 ตอ้ งเพม่ิ โทษทจี่ ะได้รับข้นึ 1 ในสาม เชน่ หากพอ่ ขม่ ขืนลกู ทม่ี ีอายุ 19 ปี หากศาลตดั สนิ จาคกุ ในข้อหาน้ี (มาตรา 276) 15 ปี จะถกู เพ่ิมโทษจากมาตรา 285 อกี 5 ปี 1.2 คนแปลกหนา้ คือ บุคคลทีไ่ มค่ นุ้ เคยกบั เหยอื่ มกั เปน็ บคุ คลที่เปน็ ปญั หาตอ่ สงั คม ผทู้ ่ตี ิดยาเสพ ติดหรือบคุ คลท่ีมีความเก็บกดทางเพศหรอื เปน็ เหยอื่ ท่เี คยถูกล่วงละเมิดทางเพศมากอ่ น และ จะอาศัยปจั จัยอน่ื ๆ ร่วมด้วย เชน่ การที่เหย่ืออาศยั ในชุมชนแออัด การทเี่ หย่ือมีสภาพบ้านไม่ มิดชดิ ปลอดภัย 2. ความไมม่ ิดชิดปลอดภัยของทพี่ ักอาศัย ปัจจัยหนงึ่ ทพ่ี บวา่ สามารถเพ่ิมโอกาสให้ เหยอ่ื ถูกลว่ งละเมดิ ทางเพศได้กค็ ือ สภาพทีพ่ ักอาศยั โดยเหยือ่ ที่อาศัยในชุมชนแออดั หรอื มบี า้ นทอี่ ยู่ในสถานที่เปลย่ี ว หา่ งไกลผู้คน จะมโี อกาสท่จี ะถูกลว่ งละเมิดทางเพศไดส้ ูงกวา่ นอกจากนก้ี ารทเ่ี หย่ือเข้าไปอย่ใู นสถานท่ีทไ่ี มเ่ หมาะสม ในจังหวะเวลาที่ไม่เหมาะสม เชน่ การอยูใ่ นผบั บารต์ ามลาพัง การอย่ใู นแหลง่ มวั่ สุมอบายมขุ ต่างๆ หรือการไปอยูใ่ น สถานท่ีเปลี่ยวในยามวกิ าล ล้วนเป็นปจั จัยที่เพิ่มโอกาสการถกู ลว่ งละเมดิ ทางเพศทัง้ สน้ิ 3. สภาพการทางาน การล่วงละเมดิ ในท่ที างานก็เป็นเหตุการณ์ทพ่ี บไดบ้ อ่ ย เช่นเดยี วกับการลว่ งละเมิดคนทอ่ี ยู่ในครอบครวั เดียวกัน และการลว่ งละเมิดในสถานท่เี ปลย่ี วเนอ่ื งจาก คนบางคนอาจ มองเหน็ โอกาสทจ่ี ะลว่ งละเมดิ ทางเพศผอู้ น่ื โดยอาศัยลกั ษณะหรอื ขอ้ อ้างในการทางาน ตลอดจนสภาพของสถานที่ ทางานมาเกย่ี วข้องทาใหส้ ามารถลว่ งละเมดิ ทางเพศผอู้ น่ื ได้ดังนี้ 3.1 สภาพสถานทท่ี างาน การอย่ใู นหอ้ งทางานเพียงลาพังโดยไม่มผี อู้ ่นื อยู่ในห้อง หรือการตอ้ งมา ทางานในเวลาทไี่ ม่มคี นอื่นอยใู่ นท่ีทางานย่อมเพม่ิ ความเส่ียงตอ่ การถกู ล่วงละเมดิ ทางเพศ ให้แกพ่ นกั งานได้ นอกจากนี้ ผบู้ ังคบั บญั ชาหรือเจา้ ของหนว่ ยงานควรใส่ใจท่ีจะติดกลอ้ งวงจร ปิดในมุมอบั ของทีท่ างานเพ่อื ลดความเสี่ยงในการใชม้ มุ อับของสถานทท่ี างานในการกอ่ เหตลุ ว่ ง ละเมดิ ทางเพศผู้อน่ื ได้ 3.2 การใช้สถานะผบู้ ังคบั บัญชา จากสถิติพบวา่ การลว่ งละเมิดทางเพศในทที่ างานมกั จะเกดิ ระหว่างผู้บงั คบั บญั ชาใชอ้ านาจในทางทผ่ี ดิ ในการขม่ ข่เู พื่อล่วงละเมดิ ทางเพศผู้ใต้บงั คบั บญั ชา 70

ได้ ซ่งึ อาจเกดิ ระหวา่ งครแู ละลกู ศษิ ยด์ ้วย ดงั นน้ั ทที่ างานควรจดั ให้มกี ารสอดส่องความ ปลอดภยั และไม่ควรปล่อยใหม้ กี ารอยู่กนั ตามลาพงั ระหวา่ งผใู้ ต้บังคับบญั ชากับผบู้ งั คบั บัญชา ในหนว่ ยงาน หรือแมก้ ระท่งั ลกู ศษิ ย์กับครู 3.3 การอาศยั การเดนิ ทางไปตา่ งพน้ื ที่ ในบางครง้ั การจัดการอบรมนอกสถานทอ่ี าจเปน็ สาเหตุท่ี ก่อให้เกดิ การล่วงละเมดิ ทางเพศกับพนกั งานได้ เน่ืองจากการออกนอกพ้ืนท่ีจะทาใหผ้ ทู้ างาน หา่ งไกลจากภรรยาหรือสามีของตน และสภาพทพ่ี กั อาจไมม่ คี วามปลอดภยั เพยี งพอ ซึง่ เม่อื เกดิ เหตุการณล์ ่วงละเมิดทางเพศเกิดขน้ึ อาจทาให้ผู้ทถี่ ูกล่วงละเมิดทางเพศไม่ร้จู ะหาทางหนี อย่างไรเนื่องจากเปน็ สถานท่ที ไี่ ม่คนุ้ เคย 4. การถกู กระตนุ้ จากสอื่ ต่างๆ ในบางครง้ั การเสพสือ่ บางอยา่ งอาจทาให้บุคคลเกดิ ความเขา้ ใจผิดว่าตนเองสามารถกระทาการลว่ งเกนิ ต่อบุคคลอื่นได้ ดงั ทพี่ บในขา่ ว เช่น การลว่ งละเมิดทางเพศ พนักงานสง่ สนิ ค้า การล่วงละเมดิ ทางเพศทางพยาบาล เปน็ ต้น 5. การไมร่ กั นวลสงวนตัวของเหยอ่ื ในเหย่ือบางรายทีม่ กี ารใชช้ วี ติ ประจาวนั แบบไม่ รกั นวลสงวนตวั เชน่ การแตง่ กายดว้ ยเสอ้ื ผ้าทโ่ี ป้ หรือคบั แน่นเนน้ สัดสว่ นจนเกนิ ไป การเปิดเผยเนื้อหนงั มากเกนิ ไป หรือการพดู จาเรื่องตลกทางเพศน้นั อาจทาให้ผอู้ นื่ เขา้ ใจผดิ วา่ เหยอื่ มคี วามไม่รักนวลสงวนตัวและพรอ้ มท่จี ะมี เพศสัมพนั ธ์กบั ใครก็ได้ 6. ความบกพรอ่ งทางรา่ งกายและปญั ญา บ่อยคร้งั จะพบวา่ เหยอ่ื ที่มีความบกพร่อง ทางรา่ งกายและปญั ญาจะถกู ล่วงละเมิดทางเพศ เนือ่ งจากผลู้ ว่ งละเมดิ ทางเพศจะเข้าใจว่าเหยื่อจะไม่สามารถหนีการ ลว่ งละเมิดได้ หรอื เม่อื ถกู ล่วงละเมดิ ทางเพศแลว้ กไ็ มส่ ามารถท่จี ะไปเลา่ เรอ่ื งให้ใครฟงั ไดเ้ นอ่ื งจากมรี ่างกายหรอื สติปัญญานอ้ ยกวา่ คนปกติ โดยเหยอื่ อาจถูกลอ่ ลวงให้มีเพศสมั พันธ์หรือถูกบงั คบั กไ็ ด้ ท้ังน้ีผทู้ ลี่ ่วงละเมิดทางเพศต่อผู้ ทีม่ ีความทุพพลภาพ จิตบกพรอ่ ง ฟน่ั เฟือน คนปว่ ย คนเจ็บ คนชรา คนทอ้ ง ถือว่าทาผิดกฎหมายอาญามาตรา 285/2 ใหเ้ พม่ิ โทษอีก 1 ใน 3 ทจี่ ะได้รับเชน่ ชายคนหน่ึงข่มขนื หญิงพกิ ารอายุ 20 ปี ศาลตดั สินให้จาคุกตามมาตรา 276 เป็น เวลา 9 ปี และต้องเพ่มิ โทษตามมาตรา 285/2 อกี 3 ปี รวมเป็น 12 ปี 7. สถานการณ์คบั ขันหรือเหตกุ ารณ์ที่ไมค่ าดคดิ เปน็ สถานการณก์ ารถกู ลว่ งละเมิด ทางเพศท่หี ลีกเลีย่ งได้ยากทส่ี ดุ เน่ืองจากผู้ลว่ งละเมดิ มักมองหาสถานทที่ ีม่ คี นพลุกพล่าน หนาแน่น หรอื ระยะเวลาที่ ผูค้ นสว่ นใหญ่เร่งรีบ ในการฉวยโอกาสลว่ งละเมิดทางเพศผูอ้ ่นื เช่น การยนื เบียดเพอื่ ถูอวัยวะเพศไปโดนผู้อืน่ การ อาศัยความแออัดในการสมั ผัสหน้าอกของผ้อู ่ืน เปน็ ตน้ ผลกระทบต่อเหยือ่ ทถี่ ูกล่วงละเมิดทางเพศ บางคนอาจจะมองวา่ ปญั หาการล่วงละเมดิ ทางเพศเป็นปัญหาสว่ นตวั และคนสว่ นใหญ่กม็ กั จะไม่อยากไปยงุ่ เก่ยี วเม่ือพบเจอผู้ท่ถี กู ล่วงละเมดิ ทางเพศ เน่อื งจากมองวา่ เปน็ เรอ่ื งส่วนตวั แต่แทท้ ่จี ริงแล้ว เหยือ่ ที่ถกู ลว่ งละเมิดทาง เพศจะเกิดความเครยี ด ความสบั สน และโทษตัวเอง ดังนนั้ การใหค้ วามชว่ ยเหลือเหย่อื จึงมคี วามจาเปน็ อยา่ งยิง่ เพือ่ ปอ้ งกันไม่ใหเ้ หย่อื คดิ โทษตวั เองหรอื เกดิ การฆ่าตัวตายเกดิ ข้นึ ตามบนั ทึกในประวัตศิ าสตรพ์ บวา่ ฆาตกรตอ่ เนื่อง (serial killer; ผทู้ ีฆ่ า่ คนอยา่ งนอ้ ย 3 คนขนึ้ ไปหรือก่อเหตุ มาแลว้ อย่างน้อย 3 ครง้ั ) นน้ั จะมวี ยั เด็กทม่ี ปี ัญหาและสว่ นใหญจ่ ะเปน็ เดก็ ท่ถี กู ทารุณกรรมและลว่ งละเมิดทางเพศ จากคนใกล้ชดิ ทาใหเ้ ดก็ โตขน้ึ มาดว้ ยความเครยี ดท่ีสงู ความสบั สน และหาทางระบายความคบั แคน้ ใจกับส่ิงอืน่ ทม่ี ี ความด้อยกวา่ ตน เชน่ การฆา่ สตั ว์ การทาลายข้าวของ เปน็ ตน้ ซึง่ ปัญหานจ้ี ะทาให้เกิดความคุ้นชนิ ต่อการใชค้ วาม รุนแรง ดังนั้นการคุม้ ครองสวัสดิภาพของเดก็ น้ันไมเ่ พยี งทจ่ี ะมขี ้อดใี นการพัฒนาทรัพยากรบคุ คลใหแ้ กป่ ระเทศชาติ แตย่ ังเป็นการปอ้ งกนั ปญั หาอาชญากรรมทจี่ ะเกิดข้ึนไดอ้ กี ทางหนึง่ ด้วย นอกจากเดก็ จะเปน็ เปา้ หมายหลักของการลว่ ง ละเมิดทางเพศแลว้ ยงั พบวา่ มผี หู้ ญงิ ผูใ้ ต้บงั คบั บญั ชา หรือแม้กระท่ังศพกส็ ามารถเป็นเหย่อื ของการล่วงละเมดิ ทาง เพศได้ ผลกระทบที่เกดิ กบั เหย่อื สามารถแบง่ ออกได้ดังนี้ 71

1. ผลกระทบทางรา่ งกาย ผทู้ ีถ่ ูกลว่ งละเมดิ ทางเพศมักถกู ทารา้ ยรา่ งกายรว่ มดว้ ยจาก การใชก้ าลงั ข่มขู่ และนอกจากการบาดเจบ็ ทางรา่ งกายภายนอกแลว้ นนั้ เหยอื่ ยงั จะตอ้ งมกี ารตรวจโรคตดิ ตอ่ ทาง เพศสัมพนั ธ์ และมกี ารให้คาปรกึ ษาโดยจิตแพทย์เพอ่ื เยียวยาความบาดเจบ็ และใหค้ าแนะนาในการปฏิบัตติ นได้อย่าง ถกู ตอ้ ง 2. ผลกระทบทางจติ ใจ ผทู้ ่ถี ูกล่วงละเมิดทางเพศจะเกิดความกลัวและความกงั วล ซึ่ง เหยอ่ื จะเกดิ ความสับสนจนไมส่ ามารถชว่ ยเหลือตนเองได้ ดงั นนั้ ผใู้ หค้ วามชว่ ยเหลอื จะต้องพูดจาในลักษณะแนะนา และเปน็ ทพี่ ึง่ ให้แก่เหยอื่ ผลกระทบทางจติ ใจในระยะยาวน้นั จะทาใหเ้ หยอื่ สญู เสยี ความมัน่ ใจ เกิดความหวาดกลวั ตอ่ สวัสดภิ าพ ของตนเอง ร้สู กึ อับอาย ในบางรายอาจมีอาการซึมเศรา้ จนอาจคดิ ฆา่ ตัวตายได้ 3. ผลกระทบต่อพฤตกิ รรมและบคุ ลิกภาพ การถกู ล่วงละเมดิ ทางเพศนั้นเปน็ การ สรา้ งความเครยี ดและความทกุ ข์ใจใหแ้ ก่เหยือ่ โดยเหยื่อมักตอบสนองโดยการหวาดกลวั สถานทที่ ถ่ี ูกล่วงละเมดิ ทาง เพศ หรือในบางรายอาจจะตัดสนิ ใจผิดพลาดเน่อื งจากคิดว่าตวั เองไมม่ ีคา่ แล้ว ทาใหเ้ หยอ่ื บางรายตดั สนิ ใจคา้ ประเวณี หรือค้ายาเสพตดิ เปน็ ตน้ การใหค้ าปรกึ ษาแกเ่ หยื่อจงึ มคี วามสาคญั เพ่อื ปอ้ งกนั การตดั สินใจหรอื พฤตกิ รรมท่ีทาให้เกิด ความผดิ พลาดในชีวติ มากขึน้ ไปอกี ในบางรายสามารถพฒั นาความเก็บกดจากการถูกลว่ งละเมดิ ทางเพศไปเป็น พฤติกรรมความรุนแรงได้ ทาใหผ้ ทู้ ่เี คยเปน็ เหย่ือกลับกลายเปน็ ผ้ทู ่ไี ปล่วงละเมิดทางเพศผ้อู นื่ ซึ่งจะทาใหอ้ ตั ราของ ปัญหาอาชญากรรมในสังคมเพมิ่ สูงขน้ึ อย่างรวดเรว็ 4. ผลกระทบตอ่ ครอบครัวและชวี ิตประจาวนั ดงั ทก่ี ลา่ วมาแลว้ วา่ เหยอื่ สว่ นใหญ่ท่ี ถกู ล่วงละเมดิ ทางเพศจะเกดิ ความสับสน และสง่ ผลตอ่ พฤตกิ รรมท่พี ฒั นามาจากความเกบ็ กด หวาดกลัว โดยสว่ นใหญ่ เหย่ือจะร้สู กึ ดอ้ ยค่าและในบางรายจะโทษตวั เอง ทาใหส้ ง่ ผลเสยี ต่อการทางานหรอื การเรียน รวมถึงความรูส้ กึ ดอ้ ยคา่ นีจ้ ะทาให้ส่งผลต่อการใช้ชวี ิตคซู่ ึง่ อาจจะทาให้เกดิ การหยา่ ร้างกันในครอบครัวได้ เนอื้ หาตอนที่ 2 กฎหมายทเี่ ก่ียวขอ้ งกบั การลว่ งละเมดิ ทางเพศ ในปัจจบุ นั ประเทศไทยไดม้ ปี ระกาศแกไ้ ขพระราชบญั ญตั ปิ ระมวลกฎหมายอาญา (ฉบบั ที่ 27) พ.ศ.2562 ใน วนั ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ.2562 โดยมีเนื้อหาทเ่ี กี่ยวข้องกับการลว่ งละเมิดทางเพศดังนี้ 1. กฎหมายอาญามาตรา 276 ผู้ใดข่มขืนกระทาชาเราผู้อื่นโดยขู่เข็ญด้วยประการใด ๆ โดยใช้กาลัง ประทุษร้าย โดยผู้อ่ืนนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ หรือโดยทาให้ผู้อ่ืนน้ันเข้าใจผิดว่าตนเป็นบุคคลอื่น ต้อง ระวางโทษจาคุกตั้งแต่สี่ปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่แปดหมื่นบาทถึงสี่แสนบาท การกระทาชาเราตามวรรคหน่ึง หมายความว่าการกระทาเพ่ือสนองความใคร่ของผู้กระทาโดยการใช้อวัยวะเพศของผู้กระทากระทากับอวัยวะเพศ ทวารหนัก หรือช่องปากของผู้อื่น หรือการใช้ส่ิงอ่ืนใดกระทากับอวัยวะเพศหรือทวารหนักของผู้อ่ืน ถ้าการกระทา ความผิดตามวรรคหนึ่งได้กระทาโดยมีหรือใช้อาวุธปืนหรือวัตถุระเบิด หรือโดยร่วมกระทาความผิดด้วยกันอันมี ลักษณะเป็นการโทรมหญิงหรือกระทากับชายในลักษณะเดียวกัน ต้องระวางโทษจาคุกตั้งแต่สิบห้าปีถึงย่ีสิบปี และ ปรับต้ังแต่สามแสนบาทถึงส่ีแสนบาท หรือจาคุกตลอดชีวิต ถ้าการกระทาความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นการกระทา ความผิดระหว่างคู่สมรสและคู่สมรสน้ันยังประสงค์จะอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยา ศาลจะลงโทษน้อยกว่าท่ีกฎหมาย กาหนดไวเ้ พียงใดกไ็ ด้ หรือจะกาหนดเงื่อนไขเพื่อคมุ ความประพฤตแิ ทนการลงโทษก็ได้ ในกรณีทศ่ี าลมคี าพพิ ากษาให้ ลงโทษจาคุก และคู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ประสงค์จะอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยาต่อไป และประสงค์จะหย่า ให้คู่ สมรสฝา่ ยนั้นแจ้งให้ศาลทราบ และใหศ้ าลแจ้งพนกั งานอยั การใหด้ าเนนิ การฟอ้ งหยา่ ให้ 2. กฎหมายอาญามาตรา 277 ผู้ใดกระทาชาเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบหา้ ปีซึ่งมิใช่ภริยาหรือสามีของตน โดย เด็กนั้นจะยนิ ยอมหรอื ไม่ก็ตาม ต้องระวางโทษจาคกุ ต้ังแตส่ ีป่ ีถงึ ยี่สบิ ปี และปรับตง้ั แตแ่ ปดหมื่นบาทถงึ สแ่ี สนบาท การ กระทาชาเราตามวรรคหนึ่ง หมายความว่า การกระทาเพ่ือสนองความใคร่ของผู้กระทาโดยการใช้อวัยวะเพศ ของ 72

ผู้กระทากระทากับอวัยวะเพศ ทวารหนัก หรือช่องปากของผู้อื่น หรือการใช้ส่ิงอ่ืนใดกระทากับอวัยวะเพศหรือทวาร หนักของผูอ้ นื่ ถา้ การกระทาความผิดตามวรรคหน่ึงเป็นการกระทาแก่เด็กอายยุ ังไม่เกินสิบสามปี ตอ้ งระวางโทษจาคุก ตั้งแต่เจ็ดปีถึงย่ีสิบปี และปรับต้ังแต่หน่ึงแสนสี่หมื่นบาทถึงสี่แสนบาท หรือจาคุกตลอดชีวิต ถ้าการกระทาความผิด ตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสามได้กระทาโดยร่วมกระทาความผิดดว้ ยกันอันมีลักษณะเป็นการโทรมเด็กหญิงหรือกระทา กับเด็กชายในลักษณะเดียวกันหรือได้กระทาโดยมีอาวุธปืนหรือวัตถุระเบิด หรือโดยใช้อาวุธ ต้องระวางโทษจาคุ ก ตลอดชีวิต ความผิดตามท่ีบัญญัตไิ ว้ในวรรคหน่ึง ถ้าเป็นการกระทาโดยบคุ คลอายุไม่เกินสิบแปดปีกระทาต่อเด็ก ซึ่งมี อายุกว่าสิบสามปีแต่ยังไม่เกินสิบห้าปี โดยเด็กผู้ถูกกระทาน้ันยินยอม ศาลที่มีอานาจพิจารณาคดีเยาวชนและ ครอบครัวจะพิจารณาให้มีการคุ้มครองสวัสดิภาพของเด็กผู้ถูกกระทาหรือผู้กระทาความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการ คุ้มครองเดก็ หรือจะอนุญาตให้ทั้งสองฝ่ายสมรสกันโดยกาหนดเง่ือนไขให้ต้องดาเนินการภายหลังการสมรสก็ได้ และ เมอื่ ศาลได้พจิ ารณามีคาสง่ั อย่างใดแล้ว ศาลจะลงโทษผู้กระทาความผิดนอ้ ยกว่าที่กฎหมายกาหนดไวส้ าหรับความผิด น้ันเพียงใดก็ได้ ในการพิจารณาของศาลให้คานึงถึงอายุ ประวัติ ความประพฤติ สติปัญญา การศึกษาอบรม สุขภาพ ภาวะแห่งจิต นิสัย อาชีพ ส่ิงแวดล้อมของผู้กระทาความผิดและเด็กผู้ถูกกระทา ความสัมพันธ์ระหว่างผู้กระทา ความผดิ กับเดก็ ผถู้ กู กระทา หรือเหตอุ น่ื อนั ควรเพ่อื ประโยชนข์ องเด็กผ้ถู ูกกระทาด้วย 3. กฎหมายอาญามาตรา 278 ผู้ใดกระทาอนาจารแก่บคุ คลอายกุ ว่าสบิ ห้าปีโดยขเู่ ข็ญดว้ ยประการใด ๆ โดย ใช้กาลงั ประทุษร้าย โดยบุคคลนั้นอยู่ในภาวะท่ีไม่สามารถขัดขืนได้ หรือโดยทาให้บุคคลนั้นเข้าใจผิดว่าตนเป็นบุคคล อืน่ ต้องระวางโทษจาคุกไม่เกนิ สบิ ปี หรือปรับไม่เกนิ สองแสนบาท หรอื ทงั้ จาทัง้ ปรบั ถ้าการกระทาความผิดตามวรรคหน่ึง เป็นการกระทาโดยใช้วัตถุหรืออวัยวะอื่นซึ่งมิใช่ อวัยวะเพศล่วงล้า อวัยวะเพศหรือทวารหนักของบุคคลน้ัน ผู้กระทาต้องระวางโทษจาคุกต้ังแต่ส่ีปีถึง ย่ีสิบปี และปรับตั้งแต่แปดหม่ืน บาทถึงส่ีแสนบาท ถ้าการกระทาความผิดตามวรรคสอง ได้กระทาโดยทาให้ผู้ถูกกระทาเข้าใจว่าผู้กระทามีอาวุธปืน หรือวัตถุระเบิด ต้องระวางโทษจาคุกตั้งแต่เจ็ดปีถึงยี่สิบปี และปรับต้ังแต่หนึ่งแสนส่ีหมื่นบาทถึงสี่แสนบาท ถ้าการ กระทาความผิดตามวรรคสอง ได้กระทาโดยมีอาวุธปืนหรือวัตถุระเบิดหรือโดยใช้อาวุธ หรือโดยร่วมกระทาความผิด ด้วยกันอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงหรือกระทากับชายในลักษณะเดียวกัน ต้องระวางโทษจาคุกตั้งแต่สิบห้าปีถึง ยี่สบิ ปี และปรบั ต้ังแต่สามแสนบาทถึงสแี่ สนบาท หรือจาคุกตลอดชวี ิต 4. กฎหมายอาญามาตรา ๒๗๙ ผู้ใดกระทาอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี โดยเด็กน้ันจะยินยอม หรือไม่ก็ตาม ตอ้ งระวางโทษจาคุกไม่เกนิ สิบปี หรอื ปรับไมเ่ กินสองแสนบาท หรือทง้ั จาทง้ั ปรับ ถ้าการกระทาความผิด ตามวรรคหนึ่ง เป็นการกระทาแก่เด็กอายุไม่เกินสิบสามปี ต้องระวางโทษ จาคุกต้ังแต่หน่ึงปีถึงสิบปี หรือปรับต้ังแต่ สองหม่ืนบาทถึงสองแสนบาท หรือทั้งจา ท้ังปรับ ถ้าการกระทาความผิดตามวรรคหน่ึงหรือวรรคสอง ผู้กระทาได้ กระทาโดยขเู่ ข็ญด้วยประการใด ๆ โดยใช้กาลังประทษุ รา้ ย โดยเดก็ นนั้ อย่ใู นภาวะท่ีไมส่ ามารถขดั ขนื ได้ หรอื โดยทาให้ เด็กนั้นเข้าใจผิดว่า ตนเป็นบุคคลอ่ืน ตอ้ งระวางโทษจาคุกต้ังแต่หนึ่งปถี ึงสิบหา้ ปี หรือปรับต้ังแต่สองหมื่นบาทถึงสาม แสนบาท หรือทั้งจาท้งั ปรบั ถา้ การกระทาความผดิ ตามวรรคหน่งึ หรอื วรรคสาม เป็นการกระทาโดยใช้วตั ถหุ รอื อวยั วะ อื่น ซ่งึ มิใช่อวัยวะเพศล่วงล้าอวัยวะเพศหรอื ทวารหนกั ของเด็กน้ัน ผู้กระทาต้องระวางโทษจาคกุ ตั้งแต่ห้าปี ถึงย่ีสิบปี และปรับตั้งแต่หน่งึ แสนบาทถึงสี่แสนบาท ถ้าการกระทาความผิดตามวรรคสี่ เป็นการกระทาแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบ สามปี ต้องระวางโทษ จาคุกตั้งแต่เจ็ดปีถึงย่ีสิบปี และปรับต้ังแต่หน่ึงแสนสี่หม่ืนบาทถึงสี่แสนบาท หรือจาคุกตลอด ชีวิต ถ้าการกระทาความผิดตามวรรคส่ีหรือวรรคห้า ได้กระทาโดยทาให้ผู้ถูกกระทาเข้าใจว่าผู้กระทามีอาวุธปืนหรือ วัตถุระเบดิ ต้องระวางโทษจาคุกตั้งแตส่ บิ ปีถึงย่ีสิบปี และปรับตั้งแตส่ องแสนบาทถึง สีแ่ สนบาท หรือจาคุกตลอดชวี ิต ถา้ การกระทาความผดิ ตามวรรคส่ีหรอื วรรคหา้ ไดก้ ระทาโดยมอี าวธุ ปืนหรือวัตถรุ ะเบิด หรอื โดยใช้อาวธุ หรอื โดยรว่ ม กระทาความผดิ ด้วยกันอนั มีลักษณะเป็นการโทรมเดก็ หญงิ หรือกระทากับ เด็กชายในลกั ษณะเดยี วกัน ตอ้ งระวางโทษ จาคกุ ตลอดชวี ติ กฎหมายอาญา 5. มาตรา 280 ถ้าการกระทาความผิดตามมาตรา 278 หรือมาตรา 279 เป็นเหตุให้ ผู้ถูกกระทา 5.1 รบั อันตรายสาหสั ผกู้ ระทาตอ้ งระวางโทษจาคกุ ต้ังแตห่ า้ ปถี งึ ยี่สิบปี และปรบั ต้ังแต่ หนงึ่ แสน บาทถึงสีแ่ สนบาท หรอื จาคกุ ตลอดชีวติ 73

5.2 ถงึ แกค่ วามตาย ผู้กระทาตอ้ งระวางโทษประหารชีวิต หรือจาคกุ ตลอดชวี ิต การแกไ้ ขปญั หาทเี่ กยี่ วข้องกับการลว่ งละเมดิ ทางเพศ ในชีวิตจริงไม่มีใครอยากตกเป็นเหย่ือของการล่วงละเมิดทางเพศและทาสาคัญที่จะเน้นในเน้ือหาบทนี้คือ การท่ีเรารู้จักกฎหมายและบทลงโทษสาหรับการล่วงละเมิดทางเพศแลว้ ดังน้ันนอกจากผู้เรียนควรระมัดระวังตัวเอง ไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของการลว่ งละเมิดทางเพศและควรป้องกันตนเองไมใ่ ห้เป็นผู้ท่ไี ม่ลว่ งละเมิดทางเพศผอู้ ื่น เพราะเรา ควรจะทราบดีวา่ การล่วงละเมดิ ทางเพศผูอ้ ื่นยอ่ มเปน็ การสรา้ งผลเสียให้กับทง้ั ร่างกายและจติ ใจให้แก่ผูเ้ ป็นเหยอื่ ในอีกแง่มมุ หนึง่ เม่ือเราไดพ้ บเจอผู้ทถ่ี ูกลว่ งละเมดิ ทางเพศในสังคม การเขา้ ใจกฎหมายทเ่ี กี่ยวข้องกบั การลว่ ง ละเมดิ ทางเพศในเบ้อื งตน้ กท็ าให้เราสามารถปกป้องสิทธิเสรีภาพของตัวเราเองและผู้อื่น และสามารถใช้กฎหมายเป็น เกราะกาบัง พร้อมทั้งสามารถแนะนาผู้อ่ืนให้เอาผิดกับผู้ที่ล่วงละเมิดทางเพศผู้อื่น เน่ืองจากหลายครั้งเหยื่อของการ ล่วงละเมิดทางเพศจะมีความหวาดกลัว สับสน ไม่สามารถตัดสินใจได้อยากมีสติสัมปชัญญะครบถ้วน ดังน้ันการ ชว่ ยเหลือดูแลเหย่อื ทถ่ี ูกลว่ งละเมิดทางเพศจึงมีความสาคัญเช่นเดียวกัน 1. ขอ้ ปฏิบัตเิ ม่อื ตัวเราเองตกเปน็ เหย่อื ของการล่วงละเมดิ ทางเพศ ในกรณีทตี่ ัวเราเองตกเปน็ เหยอ่ื ของ การลว่ งละเมดิ ทางเพศให้ตั้งสตแิ ละปฏบิ ตั ิตัวดงั นี้ 1.1 กรณถี ูกขม่ ขืน ควรรีบไปพบแพทย์ท่โี รงพยาบาลโดยไมต่ ้องอาบน้าหรอื ชาระลา้ งร่างกายเพอ่ื ทจ่ี ะให้ แพทยไ์ ด้สามารถเก็บตัวอยา่ งของคนร้ายไปประกอบในการสบื หาคนร้ายและเป็นหลกั ฐานในการ ฟอ้ งศาลเพอ่ื เอาผิดกับคนร้ายตอ่ ไป ทงั้ นแ้ี พทย์จะให้ยาป้องกันการตง้ั ครรภ์ และตรวจหาโรคตดิ ต่อ ทางเพศสัมพนั ธผ์ ปู้ ระสพเหตุ 1.2 หลงั จากถูกลว่ งละเมดิ ทางเพศไมค่ วรอยู่คนเดียว เนอ่ื งจากพบวา่ เหยอ่ื การลว่ งละเมิดทางเพศทอี่ ยู่ คนเดยี วโดยไมม่ ีใครให้คาปรกึ ษามักจะเครียด สับสน ซึมเศร้าและอาจฆ่าตัวตายได้ ทง้ั นเี้ ม่ือพบว่า ตวั เองมีอาการดงั กล่าว ควรแจ้งโรงพยาบาลเพื่อขอพบจิตแพทย์ 1.3 หาบุคคลทไ่ี วใ้ จได้เพ่อื ทจี่ ะไดค้ อยใหค้ าปรกึ ษา เช่น พ่อแม่ เพือ่ น หรือญาตสิ นทิ ทไี่ ว้ใจได้ เนอื่ งจาก การดาเนนิ คดกี บั ผตู้ ้องหาทเี่ กย่ี วขอ้ งกบั การล่วงละเมดิ ทางเพศมกั จะทาใหเ้ หย่อื เกดิ ความเครยี ดที่ จะต้องเลา่ เหตกุ ารณใ์ หต้ ารวจฟงั ซา้ ไปซา้ มา 1.4 เมือ่ สบายใจข้ึนและตดั สนิ ใจดีแลว้ ให้ไปแจง้ ความดาเนนิ คดีกบั ผ้ทู ี่ล่วงละเมดิ ทางเพศ ท่สี ถานี ตารวจ โดยนาหลักฐานการตรวจร่างกายไปเปน็ หลกั ฐานการแจง้ ความ 2. การชว่ ยเหลือเหยอ่ื ของการลว่ งละเมดิ ทางเพศทีเ่ ปน็ เดก็ 2.1 ในกรณีท่ียังไม่มนั่ ใจวา่ เด็กพดู ความจริงหรือสรา้ งเรอ่ื งข้ึนมาใหต้ ้งั ใจฟังเร่ืองราวท้งั หมดเสียกอ่ น แลว้ คอยสงั เกตความสอดคล้องของเนือ้ หา ถ้าหากพบวา่ เด็กสร้างเรอื่ งขึ้นมายอ่ มแสดงให้เห็นวา่ เด็กอาจจะมปี ัญหาดา้ นอน่ื ซงึ่ ควรไดร้ ับการช่วยเหลอื เชน่ เดียวกนั 2.2 รับฟังเรอื่ งราวอย่างตง้ั ใจโดยใชท้ า่ ทีทส่ี งบ โดยใหถ้ ามเรียงลาดบั เหตกุ ารณ์ วนั เวลา สถานที่ ผู้กระทา โดยเฉพาะอย่างยิง่ เหตุการณ์ก่อนที่เดก็ จะถกู ลว่ งละเมดิ ทางเพศ โดยผทู้ ร่ี ับฟงั เร่อื งราว จะตอ้ งไมว่ พิ ากย์ วจิ ารณ์ แสดงกริ ยิ า หรือสีหน้าต่อเรอื่ งราวท่เี ดก็ เลา่ และไมช่ ักจูงใหเ้ ด็กเลา่ เรอ่ื งท่ี ผู้ฟงั อยากจะใหเ้ ป็น 2.3 ปลอบโยนเด็ก ใหค้ วามมั่นใจว่าผู้ฟงั จะพยายามชว่ ยเหลือเดก็ อย่างเต็มที่ และใหก้ าลงั ใจวา่ การทน่ี า เรอื่ งมาเล่าใหฟ้ ังนั้นเปน็ การตดั สินใจทถ่ี กู ต้องแล้ว พร้อมท้ังสัญญาว่าจะเกบ็ เรื่องราวทง้ั หมดไว้เป็น ความลบั 2.4 ถ้าผ้ฟู งั มีความแนใ่ จว่าเด็กโดนลว่ งละเมดิ ทางเพศแล้วแนน่ อน และมคี วามจาเป็นจะตอ้ งพาเด็กไป อยทู่ อี่ ืน่ ซงึ่ อาจจะเปน็ สถานสงเคราะห์หรอื ไปอาศัยกบั ญาติทไี่ วใ้ จได้ จะเปน็ การชว่ ยให้ สถานการณด์ ขี น้ึ 74

2.5 ในกรณที เ่ี ด็กเพ่งิ จะโดนลว่ งละเมดิ ทางเพศมา ให้พยายามเก็บหลกั ฐานใหม้ ากทส่ี ดุ และพาเดก็ ไป ตรวจรา่ งกายโดยไม่ต้องอาบนา้ ชาระรา่ งกายไปก่อน 2.6 ในกรณีทผี่ ูท้ ่ีล่วงละเมิดทางเพศเด็กเปน็ คนแปลกหน้า ใหร้ ีบแจง้ ตารวจโดยทนั ทเี พ่ือเป็นการป้องกัน การล่วงละเมดิ ทางเพศที่จะเกดิ กบั เด็กคนอื่น 2.7 เม่ือแจ้งตารวจเพอ่ื ดาเนินคดแี ลว้ ควรตดิ ต่อหนว่ ยงานทางด้านสงั คมเพ่ือมาช่วยให้คาปรกึ ษาในการ บาบดั ฟ้ืนฟสู ภาพจติ ใจของเด็กและครอบครัว 2.8 หากเปน็ ไปไดค้ วรให้ทพ่ี ักที่ปลอดภยั แกเ่ ด็กท่ถี กู ล่วงละเมดิ ทางเพศ 2.9 ควรถามขอ้ มูลสิ่งทจี่ ะเกิดขึน้ เมือ่ เกดิ การฟอ้ งร้องดาเนินคดี เพอื่ ทจ่ี ะหาทางออกหลังจากเกิดการ ดาเนนิ คดีกบั ผทู้ ล่ี ว่ งละเมิดทางเพศกบั เด็กแลว้ เชน่ ในกรณที ผ่ี ู้ทีล่ ว่ งละเมดิ เป็นพอ่ แท้ๆ และเม่ือ ดาเนนิ คดกี บั พ่อแลว้ ควรจะแจง้ หนว่ ยงานด้านสงั คมเพอ่ื จัดหาท่พี กั ใหเ้ ดก็ เปน็ ต้น 3. การดาเนนิ การช่วยเหลือในดา้ นกฎหมาย 3.1 ควรอธิบายให้เหย่ือฟงั เสียก่อนว่า การไปแจง้ ความดาเนนิ คดีกบั ผถู้ กู ล่วงละเมดิ ทางเพศนนั้ มี ความสาคัญอยา่ งไร 3.2 ควรอยู่เป็นเพ่ือนเหย่อื เพ่ือให้กาลังใจและลดความวิตกกงั วลเมอื่ ตอ้ งเลา่ เร่อื งการถูกล่วงละเมดิ ทาง เพศใหเ้ จ้าหน้าที่ตารวจฟงั 3.3 ในกรณีที่เหย่ือเปน็ เด็ก ควรมีผู้ปกครอง หรือบุคคลอืน่ ตามทผี่ ู้เสียหายรอ้ งขอเขา้ รว่ มฟังการ สอบสวนดว้ ย 3.4 ในกรณีทเ่ี หยื่อเป็นเด็กกระบวนการสอบสวนจะตอ้ งมอี ยั การ นกั จิตวทิ ยา และนักสังคมสงเคราะห์ อยู่ด้วย 3.5 ถ้าเป็นไปไดค้ วรขอใหม้ กี ารสอบสวนขอ้ มลู โดยตารวจที่เปน็ ผู้หญิงเพื่อลดความเครียดของเหยื่อ 3.6 เมือ่ แจ้งความแลว้ ควรอา่ นบนั ทกึ การแจง้ ความอยา่ งละเอยี ดเพือ่ ตรวจดูความถูกต้อง ถ้าหากพบว่า การลงบนั ทึกแจ้งความไม่ตรงกบั ความเปน็ จริง ควรบอกให้ตารวจแก้ไขใหถ้ ูกต้อง หากตารวจไมท่ า ผเู้ สยี หายไมค่ วรลงชื่อยอมรับเด็ดขาด และแจ้งอยั การ นักจติ วิทยาและนกั สงั คมสงเคราะห์ให้ ช่วยเหลอื 3.7 กรณีท่ผี ้เู สยี หายไม่พรอ้ มทจ่ี ะใหก้ าร เนอื่ งจากได้รบั ความกระทบกระเทอื นทางจติ ใจควรใหเ้ วลา ผูเ้ สยี หายไดพ้ บกบั จติ แพทยเ์ สยี กอ่ น 4. การป้องกนั การถกู ลว่ งละเมดิ ทางเพศ การป้องกนั การล่วงละเมดิ ทางเพศเป็นแนวทางที่ดีทส่ี ุดทจ่ี ะทา ใหไ้ ม่เกดิ ความเสียหากับทั้งตวั เราและบุคคลอน่ื ดงั นน้ั ในเบื้องตน้ ควรลดความเส่ียงทจ่ี ะถกู ลว่ งละเมดิ ทางเพศ และมสี ติตลอดเวลาเม่ือจาเป็นตอ้ งเดินทางไปในทเี่ ปล่ียวลับตาคนนนน 4.1 ในกรณีพอ่ แม่ การปอ้ งกนั การลว่ งละเมดิ ทางเพศในเดก็ นน้ั พอ่ แม่จะมีบทบาทสาคญั เป็นอยา่ ง มาก โดยจะตอ้ งรู้ตลอดเวลาวา่ ลูกอยทู่ ใ่ี ด อยู่กับใคร มกี ารสอดส่องดแู ลอย่ตู ลอดแม้วา่ เดก็ จะเล่น กบั คนทรี่ ูจ้ ักคุ้นเคยเปน็ อย่างดี นอกจากนี้พอ่ แมย่ งั ตอ้ งสอนใหล้ ูกรู้จักป้องกันตวั จากการถูกลว่ ง ละเมดิ ทางเพศ เชน่ การไมไ่ วใ้ จบคุ คลแปลกหนา้ เมื่อมคี นมาถกู เน้อื ตอ้ งตัวจะต้องไม่แสดงอาการ ยนิ ยอม เมอื่ เกดิ เหตุการณ์ผิดปกตคิ วรเลา่ เรอ่ื งใหผ้ ใู้ หญท่ ราบ 4.2 กรณีบคุ คลทัว่ ไป การถูกล่วงละเมดิ ในทีท่ างานกเ็ ปน็ การถูกลว่ งละเมดิ ทางเพศท่ีพบบอ่ ย ดงั นนั้ ควรป้องกนั ตนเองจากการท่ีจะต้องทางานที่ห้องทลี่ บั ตาคนทีจ่ ะตอ้ งอยกู่ ับผอู้ ืน่ เพียงลาพัง หรอื การ ไมเ่ ดินทางไปยงั สถานที่เปลีย่ วหรือแหลง่ รวมอบายมกุ โดยไม่จาเป็น 75

76

เอกสารอ้างอิง ดวงพร เพชรคง. (2563).การล่วงละเมิดทางเพศ. กรงุ เทพ: กรุงเทพ. บทความทใี่ ชอ้ อกกระจายเสียงสถานวี ทิ ยุรฐั สภา รายการเจตนารมณ์กฎหมาย สานักงานสภาผแู้ ทนราษฎร. กลมุ่ สาระการเรียนรสู้ ุขศึกษาและพละศกึ ษา, (ม.ป.ป.), การป้องกนั การถูกล่วงละเมิดทางเพศ, สืบค้นจาก http://stu.rbru.ac.th/~s5415262005/oa/ 77

ใบงาน/ใบกิจกรรม/แบบทดสอบทา้ ยบท กรณศี กึ ษาที่ 1. วัยรุ่นชายอายุ 14 ปี ตดิ ต่อกับวัยรนุ่ หญิงคนหนงึ่ อายุ 13 ปี ทางแอพพลเิ คช่นั ในโทรศัพท์ ภายหลงั ได้ นัดเจอกนั แล้วตกลงคบหาเป็นแฟนกันโดยท่ีบ้านของทั้ง 2 ฝ่ายไม่ทราบเรอ่ื งแตอ่ ย่างใด มีอยู่วนั หนึ่งทงั้ คู่ไดห้ นีออกไป จากบ้านเพื่อท่ีจะไปอาศัยอยู่ด้วยกัน หลังจากฝ่ายหญิงหายออกไปจากบ้านญาติได้ทาการแจ้งตารวจและตารวจได้ ตดิ ตามไปพบตัวท่ีจังหวัดใกล้เคียง จากการสอบสวนเบ้ืองต้น ควู่ ัยรุ่นดังกลา่ วได้ร่วมประเวณีกับแล้วโดยความเต็มใจ ของท้ัง 2 ฝ่ายหลายคร้งั กอ่ นที่จะหนีไปอยู่ด้วยกนั ด้วยความรกั เนื่องจากมัน่ ใจวา่ ทบ่ี า้ นจะไม่เห็นด้วยกบั การคบหากัน ในครง้ั นีอ้ ยา่ งแนน่ อน จงอภิปรายกรณีศกึ ษาในแง่มมุ ของ กฎหมาย และคณุ ธรรมจรยิ ธรรม ......................................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................................... 78

กรณศี ึกษาท่ี 2. ชายอายุ 30 ปี พบผหู้ ญิงเมาไม่ได้สติในผบั แห่งหนึ่ง ผู้หญิงเดนิ ตามผูช้ ายไปท่ีลานจอดรถและท้ังค่ไู ด้ ขน้ึ รถกลับบ้านไปยงั ท่ีพักของผูช้ าย ในคืนนั้นได้เกิดการร่วมประเวณีกันเกิดขึ้น โดยที่ฝ่ายหญิงไม่ได้สติ เม่ือตื่นขึ้นมา ในตอนเช้าฝ่ายหญิงได้เข้าแจ้งความดาเนินคดีกบั ฝา่ ยชายโดยภายหลังพบว่าฝ่ายหญิงมีอายุ 17 ปี และไมย่ ินยอมทีจ่ ะ รว่ มประเวณีกบั ฝ่ายชาย จงอภปิ รายประเด็นทางกฎหมายและประเด็นทางคณุ ธรรม จริยธรรม ......................................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................................... 79

บทที่ 5 ความสัมพนั ธ์ ความรกั การเตรยี มความพรอ้ มสู่การมีครอบครวั และการวางแผนครอบครัว ตอนท่ี 1 วัตถปุ ระสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรม 1. เพอื่ ใหน้ ิสติ มคี วามเขา้ ใจ มที ศั นคตทิ ถี่ ูกต้อง และสามารถประเมนิ ระดับความสัมพนั ธ์ไดส้ อดคล้องกบั ความเปน็ จริง 2. เพ่อื ใหน้ สิ ิตร้เู ท่าทันและสามารถแกป้ ัญหาเกี่ยวกบั ความสมั พันธไ์ ด้อยา่ งเหมาะสมเพอ่ื ให้ดาเนนิ ชีวติ ได้ อยา่ งราบรื่น วิธีการสอน/กิจกรรมการเรียนการสอน 1. ตงั้ คาถามชวนคิด วเิ คราะห์ และสนบั สนุนให้มกี ารแลกเปลยี่ นความคิดเห็น 2. บรรยายสรปุ สาระสาคัญ 3. ดูตวั อยา่ งคลปิ วดี โี อกรณีตวั อยา่ งทีส่ มั พนั ธก์ ับบทเรยี น เพ่อื ประกอบการบรรยายและการวเิ คราะห์ การประเมนิ ผลลพั ธ์การเรียนรู้ 1. นสิ ิตสามารถแยกแยะระดับความสัมพนั ธไ์ ดอ้ ยา่ งเหมาะสม โดยพิจารณาจากการทาแบบทดสอบท้ายบท 2. นสิ ติ มที ัศนคตแิ ละมมุ มองเกยี่ วกับความสัมพนั ธไ์ ด้ตามความเปน็ จรงิ โดยพจิ ารณาจากการวเิ คราะหก์ รณี ตวั อย่าง 3. นิสิตสามารถตัดสนิ ใจเลือกวธิ ีแก้ปญั หาไดอ้ ยา่ งถูกต้อง โดยพิจารณาจากการทาแบบทดสอบทา้ ยบท 4. นสิ ติ กล้านาเสนอแนวคิดหรือความรู้สกึ ไดอ้ ยา่ งเหมาะ โดยประเมินจากการแลกเปลี่ยนข้อคดิ เห็นในชนั้ เรยี น 80

บทนา กิจกรรมท่ี 1 ให้นสิ ติ พิจารณาโดยใชข้ อ้ มลู ต่อไปนี้ วิเคราะห์ และแลกเปล่ยี นความคิดเหน็ ในประเดน็ ตอ่ ไปน้ี ความสัมพนั ธ์ ความรัก ความสุข ประเดน็ แรก : นิสิตคดิ วา่ ท้ังสามคา ควรมลี าดบั กอ่ น-หลังอยา่ งไร ชวนคิด : หากนักเรียนคดิ วา่ คนเราตอ้ งเริม่ มีความสัมพันธแ์ ละรจู้ กั กันกอ่ น จึงก่อเกิดเปน็ ความรกั และจบด้วยความสขุ เหตุการณ์จริงเปน็ เช่นนน้ั เสมอหรือไม่ ส่อื ประกอบ : ภาพดารานกั แสดงที่น่าดงึ ดูด เจา้ ชายซาอทุ ่หี ล่อและรวยมาก ประเด็นที่สอง : นสิ ิตคิดว่า อะไรคือเปา้ หมายสงู สดุ ชวนคิด : หากนักเรยี นสว่ นใหญต่ อบวา่ เป้าหมายคอื \"ความสขุ \" ด้วยเหตุนี้ เราจาเปน็ ต้องดาเนนิ ตามขน้ั ตอน “ความสมั พนั ธ์ ความรัก ความสุข” ด้านบน เพ่ือทาให้เราบรรลเุ ปา้ หมายแหง่ ความสขุ หรือไม่ เราจาเป็นตอ้ งมคี วามรักกอ่ น จึงจะมคี วามสุขในชีวติ ใช่หรือไม่ ประเดน็ ท่สี าม : ระหว่าง “เงนิ เวลา ความรัก และสขุ ภาพ” หากให้ เลอื กได้ เพยี งอยา่ งเดยี ว นักเรยี นจะเลือกสิง่ ใดกอ่ น ประเดน็ ที่ส่ี : ระหวา่ ง “เงิน เวลา ความรกั สุขภาพ” หากตอ้ ง เสียไป นกั เรยี นคิดว่า การสญู เสียส่ิงใด เสียหาย ท่สี ดุ จากประเดน็ คาถามทง้ั 4 ประเดน็ นักเรยี นคิดว่า อะไรคือส่งิ ทีส่ าคัญทีส่ ุดของชีวิต ลองอภปิ รายและแลกเปลย่ี นกับ เพื่อนในช้นั เรียน เน้อื หา 1. ความหมายและความสาคญั ของ ความสัมพนั ธ์ ความรกั และความสุข 2. บนั ได 3 ขัน้ ของความรกั 3. กลไกทางเคมที ี่เก่ียวขอ้ งกบั ความรักและชวี ติ คู่ 4. วิธีปฏิบัตเิ พ่อื ใหร้ กั 5. หลักคดิ ทางพทุ ธศาสนากับความรัก 6. ทางรอดเมอ่ื พลาดรกั 81

1. ความหมายและความสาคัญของ ความสัมพนั ธ์ ความรกั และความสุข จากกิจกรรมท่ี 1 ในประเดน็ คาถามท่ี 1-4 ที่ผ่านมาในบทนา จะเห็นไดว้ ่า แตล่ ะคนมมี ุมมองและให้ ความสาคัญของ ความสมั พนั ธ์ ความรัก และความสขุ แตกตา่ งกัน อย่างไรกด็ ี เราไม่อาจปฏเิ สธไดว้ า่ ทกุ คนลว้ น ต้องการประสบกบั “ความสุข” เปน็ เป้าหมายทั้งสน้ิ อยา่ งไรก็ดี คาถามที่เกิดขนึ้ ในประเดน็ ท่ี 2 คอื เราจาเป็นตอ้ งเร่ิม มี “ความสัมพนั ธท์ ่ดี ี” มี “ความรกั ทีล่ ึกซ้งึ ” แลว้ จงึ จะไปถึงเปา้ หมายคือ “ความสุข” ใชห่ รอื ไม่ หากเป็นเช่นนนั้ ผ้ทู ไี่ ม่ มีความรกั คือผทู้ ีจ่ ะไมม่ วี ันไดพ้ บกับความสขุ อยา่ งนน้ั หรือ ดว้ ยเหตุนี้ จงึ มงี านวจิ ยั ท่พี ยายามศึกษาวิธที ่จี ะ “ไปถึง” ความสขุ และผลจากการวิจยั แสดงใหเ้ หน็ วา่ กลมุ่ ประชากรทมี่ คี วามสุขสูงสดุ คอื กลุ่มนกั บวช (ซึ่งแนน่ อนวา่ นกั บวช โดยเฉพาะในพทุ ธศาสนาทป่ี ระเทศไทย นกั บวชไมส่ ามารถมคี รอบครวั มีความสมั พันธแ์ ละความรกั แบบวัยเจริญพันธ์ุ ทั่วไปได)้ ในขณะเดยี วกนั เรากลบั ไดย้ นิ สุภาษิตทส่ี อนกันต่อๆ กันมาวา่ “ท่ีใดมีรัก ที่นน่ั มีทุกข์” ดงั น้ัน จึงมีขอ้ กังขา ท่วี า่ ความสัมพนั ธ์และความรักเปน็ บอ่ เกิดแห่งความสุขท่แี ทจ้ รงิ หรอื ไม่ ดว้ ยเหตุน้ี จึงมกี ารศึกษาเชิงลกึ ว่า เพราะเหตุใดประชากรกลมุ่ นี้ จึงเปน็ กลุ่มทม่ี ีความสุขทส่ี ดุ คาตอบจาก ผลงานวิจยั แสดงให้เหน็ วา่ คนกลมุ่ ทีม่ คี วามสุขทสี่ ุดคอื กลมุ่ คนท่ี “หลดุ พน้ จากความทกุ ขไ์ ด้ไวทส่ี ุด” นนั่ เอง ยกตัวอยา่ งเช่น คนทอี่ กหกั (ไมส่ มหวงั ในความรัก) หากเปน็ คนทว่ั ไปอาจต้องใชเ้ วลาเยยี วยาจิตใจประมาณ 3 เดอื น แต่ หากเปน็ กล่มุ คนทมี่ ีความสุขสูง เรากลบั พบวา่ คนกลุ่มนใ้ี ชเ้ วลาเพยี ง 7-15 วนั กส็ ามารถเยียวยาจติ ใจตนเอง หลุดพน้ จากภาวะซมึ เศรา้ และกลบั มามีชวี ติ ทป่ี กติได้อยา่ งรวดเร็ว ดงั นน้ั หากเราตอบตวั เองว่า เปา้ หมายของเราคอื “ความสุข” ท่แี ท้จริงแล้ว เราจึงควรให้ความสนใจ “วิถ”ี ทน่ี าไปสูค่ วามสุข โดยอาจลัดขน้ั ตอนความสัมพันธแ์ ละความ รกั ไปได้ อยา่ งไรก็ดี หากเราสมคั รใจและมีความปรารถนาทีจ่ ะมีความสมั พนั ธ์และความรักทด่ี แี ลว้ การศกึ ษาและทา ความเขา้ ใจ “กลไก” ของความรกั ท้ังในเชงิ สงั คมศาสตร์และวทิ ยาศาสตร์จงึ เป็นสิ่งทน่ี ่าสนใจ 2. บันได 3 ข้ันของความรกั หลง (Lust) รัก (Attraction) ผูกพนั (Attachment) เราจะแยกแยะได้อย่างไรระหวา่ ง “รัก” กับ “หลง” ลองศึกษาและเปรียบเทยี บดังตาราง 6.1 ตาราง 6.1 เปรยี บเทยี บขอ้ สงั เกตระหวา่ ง “รกั ” กบั “หลง” ข้อท่ี รัก คอื หลง คือ 1 ความ “ปรารถนาด”ี ตอ่ อีกฝา่ ย อยากใหอ้ กี ฝา่ ยมี ความปรารถนา “อยาก” ให้อกี ฝา่ ยมาทาใหเ้ รามี ความสขุ ความสุข 2 การ “สนับสนนุ ” เออื้ เฟอ้ื เก้ือกลู กัน เป็น การอยากให้อีกฝ่ายทา “ตามใจฉนั ” โดยไมส่ นวา่ เขา แรงผลักดนั ให้ฝันของอกี ฝ่ายเปน็ จริง จะอยากทาหรอื ไม่ 3 การให้ “ความสบายใจ” เมื่ออย่ใู กล้ ไม่ต้องบงั คบั การอยากเปน็ “เจา้ ขา้ วเจ้าของ” อยากใหเ้ ขามาเป็น มาครอบครอง เพราะท้งั สองตา่ งอยากเป็นของกัน ของเรา และกัน 4 การถามตวั เองอยเู่ สมอวา่ จะทาอยา่ งไรใหเ้ รา การถามตัวเองว่า ฉันจะตอ้ ง “ได้” อะไรจากเขา ฉัน “ท้งั สอง” มคี วามสขุ ใหค้ วามสมั พันธ์ของเรา จึงจะมคี วามสุข (ต้องได้ดอกไม้ ตอ้ งได้คาหวาน ตอ้ ง ราบรื่น ดาเนนิ ไปดว้ ยดี ไดก้ ารคุยกนั ทกุ เยน็ ฯลฯ) 5 การทาส่ิงที่อกี ฝ่ายชอบดว้ ยความ “เตม็ ใจ” การ “อยาก” ให้อกี ฝ่ายทาสง่ิ ทเี่ ราชอบ เพอ่ื ทเี่ ราจะ เพราะเรารู้ว่าส่งิ น้นั จะทาให้เขายม้ิ ได้ ได้ย้ิมออก 82

6 การยอมรบั ใน “ตัวตน” ของคนทีเ่ รารัก การคดิ วา่ ตวั เองรักในตัวตนของเขา แต่จรงิ ๆ แล้ว เรารกั “เปลอื ก” ของเขามากกว่า (สาหรับผชู้ าย ลองคิดดวู า่ ถ้าแฟนเราแกต่ วั ขน้ึ มา หน้าเหยี่ ว ผวิ หนงั หย่อนยาน เราจะยงั รักเขาอยไู่ หม สาหรับ ผู้หญิง ลองคิดดวู ่า ถา้ เกิดวิกฤต ฝ่ายชายล้มละลาย ไมม่ ีรถหรู บา้ นสวย เราจะยงั อยเู่ คยี งขา้ งเขาในวันท่ี เขาลม้ อยู่หรอื ไม)่ 7 การ “ปรับปรงุ ” ข้อเสยี ของเราเอง เพื่อให้อกี ฝ่าย การบอกให้อีกฝา่ ย “เปลยี่ นแปลง” ตัวเองเพ่ือให้เรา มีความสขุ (แต่เราต้องไม่ทกุ ข์ดว้ ยนะ ไมเ่ ชน่ นน้ั มคี วามสุข เปลี่ยนไดไ้ มน่ าน เราก็จะกลับมาเป็นคนเดิมอีก) 8 ความ “เข้าใจ” ในความไมส่ มบรู ณแ์ บบของเขา ความ “ต้องการ” ให้เขาสมบรู ณ์แบบตามภาพท่เี รา วาดไว้ 9 การ “ปรับตัว” ใหเ้ ขา้ หากนั ทงั้ สองฝา่ ย การ “อยาก” ให้อกี ฝ่ายปรบั ตวั เขา้ หาเรา 10 การ “ให้” โดยไม่ไดห้ วงั ว่าเราจะต้องได้อะไรตอบ การให้โดย “คาดหวัง” ว่าเขาจะต้องให้เราตอบแทน แทน ในขณะเดยี วกัน ผรู้ ับกจ็ ะอยากตอบแทน ถา้ เขาไม่ใหต้ อบ เราก็เปน็ ทกุ ขล์ ะ ความรักหากได้มนั มา ดงั นน้ั ถา้ ไดค้ บคนท่ีมีจรติ ของ Give&Take ท่ีเหมือนกัน จะอยูก่ ันได้นานกวา่ คนท่มี คี วามคิดเร่อื งนีไ้ ม่เหมือนกัน (เพราะฝา่ ยท่ี ให้อยู่อยา่ งเดียวกจ็ ะร้สู กึ ไม่โอเค แม้ว่าเขาจะไม่ หวงั ก็ตาม) 11 การรบั ฟังและเปิดใจความคดิ เหน็ ของอกี ฝา่ ย และ การระบายความในใจอยา่ งบา้ คล่งั เพอ่ื หวงั ใหอ้ ีก ชว่ ยหาทางแกเ้ ท่าที่จะทาได้ ฝา่ ยมาช่วยหาทางออก 12 อาศยั เวลาในการศกึ ษาดใู จ ใช้เวลาเพียงชว่ั พรบิ ตา ไมว่ า่ จะเปน็ รปู รา่ งหนา้ ตา ภายนอก หรอื ข้อดจี อมปลอมท่ีแสดงใสก่ นั ใน ระยะแรก 13 การตอ่ ส้เู คยี งขา้ งอีกคนในยามท่ีเปน็ ทกุ ข์หรอื มคี วามสขุ และตวั พองกบั ความสาเร็จของอีกฝ่าย แต่ เดอื ดรอ้ น ร้สู กึ อึดอดั เม่อื อีกฝ่ายตกตา่ หรอื ประสบปัญหา ความผกู พนั เม่ือมีความสมั พนั ธเ์ กิดขึ้นเปน็ ระยะเวลานานพอ ความสัมพันธน์ น้ั จะกลายเปน็ ความผกู พันในทส่ี ดุ นน้ั โดยมี ลักษณะเป็น การเกีย่ ว แนน่ แฟน้ เชือ่ มโยง เกยี่ วขอ้ งกับความรัก ความคิดถึง ความห่วยใยและเอือ้ อาทรต่อกนั เปน็ ความรูส้ กึ ออกมาจากสญั ชาตญาณบนความสนิทสนม หรืออาจเกดิ ขน้ึ ได้ทางสายเลอื ด เช่น ความผกู พันกับพอ่ แม่ คน รกั ญาติพน่ี อ้ ง หรอื แม้แต่สตั วเ์ ลย้ี งและสง่ิ ของ เม่ือสูญเสยี ไปกจ็ ะเกดิ ความอาลยั เสยี ใจ และเสียดาย ยากท่จี ะลืม ท้งั น้ี และทงั้ น้นั การทเ่ี รามีความร้สู กึ หลง รกั หรอื ผูกพนั นนั้ ส่วนหนงึ่ เปน็ ผลมาจากกลไกของสารสอื่ ประสาทในสมองของ เรา ซ่ึงมีรายละเอียดแสดงในหัวข้อต่อไป 83

3. กลไกทางชีวเคมที ีเ่ กีย่ วข้องกบั ความรักและชีวติ คู่ โดยธรรมชาตนิ ั้น ส่ิงท่เี ป็นตัวสง่ สญั ญาณระหว่างสัตวช์ นดิ เดยี วกันเพอ่ื ดึงดูงเพศตรงข้ามใหม้ าสนใจน้นั คอื ส่ิง ที่เรยี กว่า ฟีโรโมน (Pheromone) ซง่ึ มาจาก มาจากภาษากรกี “Pherein” แปลว่า “to carry” และ “Hormone” ที่ แปลวา่ “to excite” ออกฤทธิ์ต่อสงิ่ มชี ีวติ สปีชสี ์เดียวกันเท่านั้น ไม่มกี ล่นิ แตส่ ามารถรบั รู้ได้ด้วยสมอง สังเคราะหไ์ ดโ้ ดย เมตาบอลิสมึ หรอื แบคทเี รียในบริเวณน้ัน เช่น รักแร้ (ตอ่ ม apocrine) สารคัดหลง่ั จากอวัยวะเพศ ปัสสาวะ ผวิ หนงั โดยฟีโรโมนจะจบั กบั ตวั รบั (vemeronasal receptors) ทีจ่ มูก แลว้ ส่งสญั ญาณไปทส่ี มอง (olfactory blub) ฟีโรโมนมัก สรา้ งโดยเพศหญิง โดยเฉพาะอย่างยิง่ ในวนั ไขต่ ก ปัจจุบนั สามารถสกัดฟีโรโมนของมนษุ ย์ไดแ้ ลว้ พบวา่ มโี ครงสรา้ ง คล้าย Dhea ซงึ่ เปน็ ฮอรโ์ มนจากต่อมหมวกไต จากการศึกษาโดย Claus Wedekind พบวา่ ผหู้ ญงิ จะชอบกลนิ่ จากชายท่ี มียนี ของระบบภูมิคุม้ กันแตกตา่ งจากตัวเธอ มากกวา่ จะชอบชายทมี่ ียีนภูมคิ ้มุ กันใกล้เคียงกบั ตัวเธอเอง ซ่งึ ส่ิงนี้เองที่ อาจให้เกดิ ความหลากหลายและความเข้มแข็งของภมู คิ มุ้ กนั และสร้างความแขง็ แรงใหก้ บั มนษุ ยชาตโิ ดยรวม สาหรบั ฮอรโ์ มนที่เกย่ี วขอ้ งกบั ความรักและชีวิตคนู่ ัน้ นอกเหนอื จากฟโี รโมนแลว้ จากงานวิจยั ปจั จบุ ันพบว่ามี หลายตวั ดว้ ยกนั ในทนี่ จ้ี ะขอหยิบยกตวั อยา่ งมาอธิบายพอสังเขปไวใ้ นทนี ีด้ ังต่อไปนี้ เทสโทสเตอโรน (Testosterone) เปน็ ฮอรโ์ มนท่ีสัมพนั ธ์กบั ระดบั ของความกา้ วร้าวและเซก็ ซ์ ผชู้ ายมมี ากในชว่ งอายุ 15-25 ปี ในขณะทีเ่ พศ หญงิ มนี อ้ ยกวา่ (เพศหญงิ จะมสี งู สุดในชว่ งอายุ 30-40 ป)ี เด็กเล็กยังไม่มฮี อรโ์ มนน้ี สงิ่ เร้าทางตาจะกระตนุ้ ฮอร์โมน้ไี ดด้ ี ท่ีสุด ตามดว้ ยผวิ หนงั (โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ บริเวณ erogenous zone) สาหรับในเพศหญิงมักถูกกระตนุ้ ได้ดว้ ย (1) อยู่ ใกลค้ นรกั (2) ในวนั ท่ีมีไขต่ กและ 1-2 วนั ก่อนมปี ระจาเดอื น โดยส่ิงทพ่ี ึงระวังท่ีทาใหเ้ พศชายมกั ขาดความยบั ยั้งชงั่ ใจ มี 2 ปจั จยั คอื (1) อย่ลู าพงั ในทลี่ บั ตา (2) ฝา่ ยหญงิ แตง่ กายล่อแหลม TESTOSTERONE and AGGRESSION: ฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนกับความกา้ วรา้ ว ในสตั วเ์ ลย้ี งลกู ดว้ ยนา้ นมส่วนใหญ่ เพศชายมักมคี วามกา้ วรา้ วรุนแรงมากกวา่ เพศหญิง การตอนหรือการตัด อัณฑะ (castration) พบวา่ มีส่วนทาใหล้ ดพฤตกิ รรมก้าวรา้ วลงได้ ภาพท่ี 6.1 ระดับของเทสโทสเตอโรนในเพศชาย (สแี ดง) และหญงิ (สีฟา้ ) ในกลุม่ อาชญากร 84

โดยปกตคิ วามกา้ วรา้ วมักจะเพมิ่ ข้ึนเม่ือเข้าสวู่ ยั รุ่น หลังจากการตอ่ สูก้ นั จะพบวา่ ผทู้ เ่ี ปน็ ฝ่ายชนะมกั จะมี ระดบั ของ testosterone สงู กว่าคู่แขง่ ในเชงิ อาชญากรรมพบวา่ อายุของอาชญากรทกี่ อ่ เหตคุ วามรุนแรงเปน็ คร้งั แรก นัน้ สมั พนั ธก์ บั ระดบั ของ testosterone นอกจากนยี้ ังพบอกี วา่ ผ้ตู อ้ งโทษหญงิ ที่กอ่ เหตรุ นุ แรง มักมรี ะดับของ testosterone สูงกว่าผตู้ อ้ งโทษหญงิ กลมุ่ ทีไ่ ม่มีลกั ษณะรุนแรง TESTOSTERONE and MARRIAGE: ฮอรโ์ มนเทสโทสเตอโรนกบั ชวี ิตสมรส ภาพที่ 6.2 ระดับของเทสโทสเตอโรนในเพศชายกบั จานวนครง้ั ของการแตง่ งาน นอกจากน้ยี งั มรี ายงานท่ีแสดงให้เหน็ ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งชีวติ สมรสกับระดบั ของ testosterone จากกราฟ จะเห็นไดว้ า่ ผู้ชายทีแ่ ต่งงานคร้งั เดียวและสามารถอยู่กบั คู่ครองไปได้ยาวนาน มักเปน็ กลมุ่ ที่มรี ะดบั testosterone ต่า กว่าชายกลมุ่ ทแ่ี ตง่ งานแล้วมกี ารหย่ารา้ ง ออกซโี ตซิน (Oxytocin) ฮอร์โมนแหง่ ความผกู พัน หล่ังโดยสมองสว่ น hypothalamus และ posterior pituitary gland มบี ทบาทช่วยกระตุ้นการหล่งั น้านมและ กระต้นุ การบบี ตัวของมดลูกขณะคลอดบุตร อีกทัง้ กอ่ ให้เกดิ spontaneous erection เม่ือมี orgasm จะมอี อกซโิ ตซนิ สูงขึ้น และชว่ ยลาเลียง sperm ระหวา่ ง ejaculation อทิ ธิพลของฮอร์โมนนจ้ี ะส่งผลให้หญิง “รักเดียว ใจเดียว” และ ก่อให้เกดิ พฤติกรรมความเปน็ แม่ นอกจากน้ี ออกซโิ ตซนิ ยงั ชว่ ยลดความดนั โลหิต ลดระดบั ของฮอร์โมนคอติซอล (ที่ เกีย่ วขอ้ งกับความเครยี ด) ลดความเจบ็ ปวด คลายกงั วล เพม่ิ ความเช่อื มนั่ และลดความหวาดกลวั โดยไปออกฤทธทิ์ ี่ ส่วนamygdala ของสมอง ในปี ค.ศ. 2005 วารสารวทิ ยาศาสตร์ Nature ไดต้ ีพิมพง์ านวจิ ัยทม่ี ีการใชฮ้ อรโ์ มนออกซิโตซินในรูปของ สเปรย์พน่ จมกู ซึง่ มีผลกอ่ ใหเ้ กิดความไว้วางใจ และมผี ลตอ่ การตัดสนิ ทางธรุ กิจ (neuroeconomics) อยา่ งไรก็ดี จาก การทดลองโดย Carsten de Dreu แห่งมหาวทิ ยาลัยอมั สเตอร์ดัม รายงานวา่ oxytocin สามารถสง่ ผลดา้ นลบ คือภาวะ คล่งั ชาติ จนถึงข้นั เหยียดผวิ และกอ่ ความรุนแรง ในบางครัง้ ฮอร์โมนออกซโิ ตซินถูกเรยี กว่า cuddle hormone (การกอด) เพราะนักวจิ ยั จากมหาวทิ ยาลยั นอร์ธ แคโรไลนา พบวา่ การกอดสามารถเพม่ิ oxytocin และลดความดนั โลหิต และลดระดบั cortisol ได้ (โดยเฉพาะในเพศ หญิง) ซ่งึ เป็นผลดตี ่อผูป้ ว่ ยโรคหวั ใจ นอกจากน้นี กั วิจยั ชาวสวเี ดนและอังกฤษยงั ใชเ้ ทคนคิ functional magnetic resonance imaging (fMRI) ในการศกึ ษาและแสดงใหเ้ หน็ ว่าฮอร์โมนออกซโิ ตซินสามารถยบั ยงั้ ความวิตกกงั วลในบุคคล และสามารถใชร้ ักษากลมุ่ คนออทิสตกิ หรือพวกกลัวสังคมได้ จะเหน็ ไดว้ ่า การสวมกอด สรา้ งความผกู พนั และส่งผ่าน ความรู้สกึ แน่นแฟน้ ไดเ้ ปน็ อย่างดี หากพิจารณาในแงง่ านวจิ ัยทางวิทยาศาสตรพ์ บวา่ สภาวะของความรู้สึกตั้งแต่ความใคร่ หลง รัก ความ ผูกพนั สขุ หรือเศร้าน้นั มฮี อร์โมนหรือสารสอื่ ประสาทท่เี ก่ยี วข้องกบั สภาวะตา่ งๆ สรุปพอสังเขปไดด้ งั น้ี 85

ตาราง 6.2 ฮอร์โมนทเ่ี กีย่ วข้องกับความรูส้ ึกในแบบตา่ งๆ ระดบั ของความร้สู กึ ฮอร์โมนทีเ่ กยี่ วขอ้ ง ความใคร่ (Erotic) มักเปน็ อิทธพิ ลของ testosterone โดยเฉพาะในผชู้ ายอาจไมเ่ กย่ี วกับรสู้ กึ ผกู พนั ใดๆ ความหลง (Lust) มกั เปน็ อทิ ธพิ ลของฮอร์โมนเพศอยา่ ง estrogen และ testosterone ความรกั (Attraction) มกั เปน็ อทิ ธพิ ลของสารสอ่ื ประสาทพวก PEA, dopamine และ serotonin ทาให้ รู้สึกคิดถงึ นอนไม่หลับ ไม่อยากอาหาร กระชมุ่ กระชวยตลอดเวลา และยงั ไป กระตุ้น norepinephrine และ endorphrine ทาให้รู้สกึ มแี รงผลักดนั อกี ด้วย ความผกู พนั (Attachment) มกั เปน็ อทิ ธพิ ลของ Oxytocin และ vasopression ท่สี ร้างความรสู้ กึ ไว้วางใจ ผูกพนั แนน่ แฟ้น ดังนัน้ สงิ่ สาคัญทส่ี ดุ ในเร่อื งของความรกั และความสาคญั นนั้ คือ การมี “สติ” และชว่ ยให้เรา “หยั่งรู้” ความรูส้ ึกและความต้องการทีแ่ ท้จรงิ ของทัง้ สองฝา่ ย ซึง่ “สติ” นเ้ี องทจี่ ะคอยเป็นเครือ่ งเตือนใหเ้ ราดาเนนิ ชวี ิตและ ความสัมพนั ธไ์ ปในทิศทางทีถ่ ูกทีค่ วร เพ่ือใหส้ ัมพันธภาพดาเนนิ ไปด้วยความราบรื่น และเปน็ พลงั งานดา้ นบวกที่ ส่งเสริมใหช้ ีวิตมีความเจริญงอกงามในทกุ ๆ ทาง ทจี่ ะนาไปสปู่ ลายทางซ่ึงกค็ ือ “ความสุข” นัน่ เอง ดว้ ยอทิ ธพิ ลจากฮอร์โมนท่เี ปลีย่ นแปลงในวัยเจรญิ พันธ์เุ มอ่ื มีส่งิ เร้ามากระตุ้นดงั ทไ่ี ดก้ ล่าวมาก่อนหน้าน้ี ทา ใหม้ ชี ว่ งเวลาทต่ี อ้ ง “ใส่ใจเปน็ พเิ ศษ” โดยเฉพาะอย่างยงิ่ สาหรบั เพศหญิง นัน่ กค็ อื ชว่ งท่ี “ไขต่ ก” ในแตล่ ะรอบเดอื น ซ่ึงมีความเปน็ ไปไดส้ งู ทจ่ี ะตงั้ ครรภ์หากมีเพศสัมพันธ์กันในช่วงวนั ทีไ่ ขต่ กน้ี ในทนี่ ้ีจงึ จะขอทาความเข้าใจกับธรรมชาติ ของการมีรอบเดือนในเพศหญงิ พอสังเขป ดงั นี้ Menstrual Cycle จากภาพด้านลา่ งจะเห็นได้วา่ ในช่วงทจ่ี ะมไี ขต่ ก (ovulation) ในเพศหญิง (ประมาณ 14 วนั หลงั จากการมี ประจาเดือนคร้งั ก่อน) ระดบั ของฮอรโ์ มน LH, FSH และ estrogen จะสูงขึ้น ในขณะทีร่ ะดบั ของ progesterone ยังต่า อยู่ พร้อมๆ กับการที่เยื่อบุผนังมดลูกจะค่อยๆ หนาตวั ขนึ้ ดว้ ย หากไข่ไม่ไดร้ ับการปฏิสนธิภายในชว่ งเวลาที่เหมาะสม (ภายใน 24 ชัว่ โมงหลงั จากทไ่ี ข่ตก) หลงั จากน้ันระดับ ของ progesterone จะคอ่ ยๆ เพ่ิมข้นึ จนเมื่อครบ 28 วัน ระดบั ของ progesterone จะลดลงอย่างรวดเร็ว ก่อให้เกดิ การหลดุ ลอกของเย่อื บุผนังมดลกู ออกมาเป็นประจาเดือน (menstruation) แตห่ ากไข่ได้รับการปฏสิ นธิ ระดับของ progesterone จะยงั คงสงู อยู่ (ทาใหไ้ มม่ ี menstruation) เยอ่ื บุผนัง มดลกู จึงหนาพอและเหมาะสมสาหรับการฝังตวั ของตัวอ่อน นอกจากนี้ระดับของฮอร์โมน hCG กจ็ ะคอ่ ยๆ สงู ข้นึ ดว้ ย โดยจะมรี ะดบั สงู สดุ เมือ่ อายุครรภ์ครบไตรมาสแรก ซง่ึ สามารถตรวจพบฮอรโ์ มนนไี้ ดใ้ นปสั สาวะของแมด่ ้วย 86

ภาพท่ี 6.3 ระดับของฮอรโ์ มนเพศหญงิ ในแตล่ ะชว่ งเดือน นอกจากระดับของฮอร์โมนในเพศหญิงจะมผี ลต่อการตกไข่แลว้ ยงั มผี ลต่อความตอ้ งการทางเพศ (แสดงดงั กราฟด้านลา่ ง) โดยในวันดังกล่าว เพศหญงิ จะมอี ุณหภมู ริ า่ งกายสงู ขนึ้ เลก็ นอ้ ยอีกดว้ ย 87

ภาพที่ 6.4 ระดับของฮอรโ์ มนเพศหญงิ และการตกไข่ท่ีสัมพนั ธก์ ับความร้สู กึ ต้องการทางเพศ ผูห้ ญิงชอบผู้ชายแบบไหน จากการทดลองกบั กลุ่มตวั อย่างพบวา่ ในช่วงตา่ งๆ ของ Menstrual cycle ผู้หญงิ จะมคี วามรสู้ กึ ชอบพอต่อ ลักษณะรูปหนา้ ทแ่ี ตกต่างกัน ดงั ตวั อย่างดา้ นลา่ ง1 Feminised Masculinised ภาพที่ 6.5 ลกั ษณะรปู หนา้ ของเพศชายท่ถี กู ดดั แปลงให้ค่อนไปทางออ่ นโยน (ซา้ ย) กบั ทางดดุ นั (ขวา) 1 งานวจิ ัยโดย Perrett et al. 1998, Nature 88

% feminization preferred 20% low conception risk Significant 15% high conception risk effect of 10% conception risk 5% 0% Penton-Voak et al. 1999, Japanese faces Caucasian faces Nature ภาพที่ 6.6 รอ้ ยละของความชอบรูปหนา้ ที่แตกตา่ งกันในช่วงทมี่ แี ละไม่มไี ขต่ ก จากผลการวิจัย สรุปไดว้ า่ ในชว่ งทีม่ ีไข่ตก ผูห้ ญิงชอบรูปหนา้ ทมี่ ีลักษณะ Masculinised (ออกแนวแมนๆ) แต่หากไมใ่ ช่ ช่วงไข่ตก ผ้หู ญิงจะชอบรูปหนา้ ทีม่ ลี กั ษณะค่อนไปทาง Feminised (ออกแนวหวาน) เลก็ นอ้ ย นอกจากนผี้ ู้หญงิ ที่มี ระดับของฮอร์โมนเอสโตรเจนสงู จะย่ิงมีความชอบทีแ่ ตกตา่ งกนั มากยิง่ ขน้ึ ในชว่ งระหว่างรอบของการตกไข่ 4. วิธปี ฏิบตั ิเพ่ือใหร้ กั ใจใส่ อนุ่ สบาย ภมู ิ วธิ ปี ฏิบตั เิ พ่ือใหค้ วามรักและความสัมพันธ์ราบรนื่ ไม่มีรปู แบบทแ่ี น่นอนตายตวั ตอ้ งอาศัยทงั้ ศาสตร์และศลิ ป์ ประกอบกัน อยา่ งไรก็ดี เร่อื งน้ีเปน็ เรื่องทีเ่ กยี่ วข้องกับความรสู้ ึกเปน็ สาคญั ดว้ ยเหตุน้ี จงึ ตอ้ งมุ่งความสนใจไปที่ “จติ ใจ” โดยมหี ลักสาคัญๆ พอจะสรุปได้ดงั นี้ 1. ใส่ใจ : การเอาใจใส่คนที่เรารกั และรกั เรา ถือเปน็ พืน้ ฐานของความสัมพนั ธ์ การรู้จักสังเกตพฤติกรรม ความชอบ-ไมช่ อบของกนั และกนั ถือเป็นสงิ่ ทชี่ ่วยให้แตล่ ะฝา่ ยสบายใจ ไม่เกิดความขดั เคอื งใจ หรือ หงุดหงิดกับเรอื่ งเลก็ นอ้ ยท่ีต้องพบบ่อยๆ ทุกวนั 2. อุ่นใจ : ความเป็นเพ่อื น ความรสู้ ึกวา่ เปน็ พวกเดียวกัน การเป็นที่ปรึกษา หรือแมแ้ ตเ่ ป็นแคผ่ ้รู ับฟังทดี่ ี ก็ ช่วยใหอ้ กี ฝ่ายรูส้ ึกอุ่นใจวา่ มีอีกคนท่ีพรอ้ มเคยี งขา้ งกันไมว่ า่ จะเป็นสถานการณใ์ ดกต็ ามสิ่งเหลา่ นี้ แสดงออกได้แมไ้ มม่ คี าพูดทสี่ วยหรู เพยี งแค่การยมิ้ แย้ม การพยักหน้า การจับมือ การโอบกอด ส่งิ เหล่านี้ ล้วนแล้วแตท่ าให้อกี ฝา่ ยรสู้ กึ อบอนุ่ ขึน้ ไดเ้ ชน่ เดยี วกนั 3. สบายใจ : การไม่ต้องเสแสร้ง สามารถเปน็ ตัวของตัวเอง ความม่ันคงทางอารมณ์ท่ีเรยี บนง่ิ ไม่วูบวาบ- เด๋ยี วดีเด๋ยี วรา้ ย ความมเี หตุผลในการใชจ้ า่ ย ความระมัดระวงั กิรยิ าอาการ หรือแมแ้ ต่คาพดู ทั้งกับค่ขู อง เราและกบั บุคคลอน่ื ๆ การพดู จาที่สุภาพ ไม่สรา้ งความเดอื ดร้อนความกระวนกระวายใจใหอ้ กี ฝา่ ย ทาให้ คูข่ องเรารสู้ ึกสบายใจเม่ืออยู่ใกล้ รสู้ กึ วางใจเม่อื อย่หู ่างไกล เปน็ ต้น 89

4. ภูมใิ จ : การแสดงออกด้วยความยนิ ดีอย่างจริงใจกบั ความสาเรจ็ ของคชู่ ีวิต การไมต่ อ้ งรสู้ ึกวา่ เปน็ คู่แข่ง ขนั ของกันและกัน การแสดงออกซ่ึงการยอมรับและภาคภมู ิใจในคู่ของเรา การให้เกยี รตกิ ันทงั้ ต่อหนา้ และลับหลงั รวมถึงในทีส่ าธารณะ ส่ิงเหล่านี้ยอ่ มทาใหอ้ กี ฝ่ายร้สู กึ ดีและมีความจริงใจต่อกัน 5. นยิ ามความรกั ในพระพุทธศาสนา พระพทุ ธศาสนามีคาสอนเกยี่ วกบั ความรักอยมู่ ากมาย จะไดร้ ับการเปรยี บเทียบวา่ พระพทุ ธศาสนาคอื ศาสนาแหง่ ความรัก สิง่ ท่นี า่ สนใจคอื พระพทุ ธเจา้ มิได้ทรงนิยามความรักดว้ ยคาบาลคี าใดคาหนึ่ง แต่พระองค์ได้ทรงให้ คานยิ ามเกี่ยวกบั ความรกั ไวม้ ากมาย ดังน้ี ความรักคือความใคร่ (กามะ), ความรกั คือความกาหนัดยินดี (ราคะ), ความรักคือความทะยานอยาก (ตัณหา), ความรกั คือความรกั ใคร่เยอ่ื ใย (สเิ นหะ คาไทยเรยี กวา่ เสน่หา), ความรกั คอื ความเพลดิ เพลนิ (นนั ท)ิ , ความรกั คอื ความอยาก (อิจฉา), ความรกั คอื ความผูกพัน (ปฏิพทั ธา), ความรกั คือความปรารถนา (ปัตถนา), ความรักคือความอยากได้ (โลภะ), ความรกั คอื ความพอใจ (ฉันทะ), ความรักคืออารมณ์ทีน่ า่ รกั น่าใคร่ (เปมะ) ความรกั คือความปรารถนาให้คนอนื่ สตั ว์อน่ื มีความสขุ (เมตตา), ความรกั คอื ความสงสาร ต้องการใหพ้ น้ จากความทกุ ข์ (กรณุ า), เป็นต้น อาจจะมีคนสงสยั วา่ ทาไมท่านต้องใหค้ วามหมายกบั คาวา่ ความรกั ไวม้ ากมายขนาดน้ี ประเดน็ นพ้ี นั เอกปิน่ มทุ ุกันต์ ได้ให้ความเหน็ วา่ “เนื่องจากความรกั เปน็ อาการของจติ ความรักจงึ มีการเปลี่ยนแปลงกลับกลอกยอกย้อน มากมาย ถงึ กบั พระพุทธเจา้ ต้องตง้ั ชอ่ื ดกั เอาไว้เยอะๆ เพ่ือใช้เรียกอาการทค่ี วามรกั จะเปลีย่ นแปลงไปในลกั ษณะ ตา่ งๆ” ประเภทความรกั ในพระพุทธศาสนา ดว้ ยเหตทุ ี่คาวา่ ความรักมีความซบั ซอ้ น และละเอียดมาก ในทางพระพทุ ธศาสนาจงึ มีการแบง่ ความรกั เปน็ ลาดบั ขน้ั ดังน้ีคือ 1. ความรักฝา่ ยอกุศล หรือ ความรักตนเอง เปน็ อาการหรอื ธรรมชาติในด้านมดื ของความรัก เป็นความรกั ฝา่ ยกเิ ลส ทีจ่ ะทาใหจ้ ติ ใจผ้ทู ่ีรกั และคนทีถ่ กู รักตกตา่ ลง เรียกความรกั กลุ่มนวี้ ่า “ความเสนห่ า” (สิเนหะ) หรอื “ตณั หา” อธิบายงา่ ยๆไดว้ า่ “ความรกั ทจี่ ะเอา” คือ เอาความ รัก ความสขุ และทกุ อย่างมาทตี่ นเองเป็นสาคญั (ความเห็นแกต่ วั ) 2. ความรักฝา่ ยกลาง (อพั ยากตะ) เป็นความรกั ที่สูงกวา่ ความรกั ฝา่ ยอกศุ ล ความรกั ฝ่ายนีอ้ ยู่กง่ึ กลางระหวา่ งความดีและความชั่ว สามารถถูกความชั่วดงึ ไปก็ได้ ถูกความดีดึงออกไปกไ็ ด้ จงึ อยรู่ ะหวา่ งความรักแบบเสนห่ าและเมตตาหรือคุณธรรม เรยี กความรกั แบบนี้ว่า “เปม” (เป-มะ) เปน็ ความรกั ในครอบครวั ความรักทจี่ ะอยรู่ ว่ มกนั อย่างมคี วามสขุ ในครอบครัว 3. ความรักฝ่ายกศุ ล หรอื ความรกั ผู้อืน่ เป็นความรักในระดบั ที่สงู กวา่ ความรกั อกี สองระดับแรก ความรกั ประเภทน้ีเป็นความดีงามทีบ่ ริสทุ ธิ์ใจ ไมต่ ้องการส่ิง ตอบแทน เรยี กว่า “เมตตา” 4. ความรักฝ่ายกุศลสงู สุด หรอื ความรักผู้อ่ืนโดยไม่มีประมาณ 90

เป็นความรกั ในสิ่งทดี่ งี าม สิ่งทถ่ี กู ต้องตามทานองคลองธรรม ไมเ่ บียดเบยี นตนเองและผูอ้ น่ื ผูท้ มี่ ี ความรักประเภทนจ้ี ติ ใจจะสะอาดบรสิ ทุ ธม์ิ ากย่ิงขึน้ จนสามารถควบคุม อานาจฝา่ ยอกศุ ลได้ จงึ เปน็ ความรกั ข้ันสงู สดุ ในพระพุทธศาสนา เรียกว่า “กศุ ลฉนั ทะ” หรอื “ฉนั ทะ” สรุปลาดับข้นั ความรักในพระพทุ ธศาสนาได้เป็น 4 ขน้ั งา่ ยๆดงั นี้ สเน่หา, ตัณหา – ความรกั ตัวเอง เปม – ความรกั ครอบครวั เมตตา – ความรักคนรอบข้าง ฉนั ทะ – ความรักในความต้องการการหลุดพ้นจากกิเลส บ่อเกดิ ของความรกั ในพระพุทธศาสนา พทุ ธศาสนาได้มีการกลา่ วถงึ บ่อเกิดของความรกั ไว้ ดังพทุ ธภาษติ วา่ “ปพุ ฺเพว สนนฺ ิวาเสน ปจฺจปุ นนฺ หิเตน วา เอวนตฺ ชายเต เปม อุปปฺ ล ว ยโถทเก” แปลว่า ความรกั ยอ่ มเกดิ เพราะอาศยั เหตุ ๒ ประการคอื เพราะอยูร่ ว่ มกันในปางกอ่ น ๑ เพราะเก้อื กลู กนั ในปัจจบุ นั ๑ (1) ความรกั เกิดเพราะอยูร่ ่วมกนั ในปางก่อน เรยี กว่า บุพเพสนั นิวาส คอื การไดเ้ คยอยรู่ ว่ มกนั ในอดตี ชาติ ได้สร้างบุญสรา้ งกศุ ลรว่ มกันมา ทาอะไรตรงตามกัน มคี วามเห็นสอดคลอ้ งเหมือนกนั เม่อื อยดู่ ว้ ยกันแล้วมีความสขุ เปน็ เหตุส่งผลให้ได้มาเปน็ คคู่ รองกันในปัจจบุ นั บุพเพสนั นิวาสบางครง้ั อาจจะไดอ้ ยูร่ ่วมกนั ในฐานะอน่ื กไ็ ด้ (2) ความรกั เกิดเพราะเกอ้ื กูลกนั ในปจั จุบนั ในกรณซี ่ึงไมใ่ ชบ่ ุพเพสันนิวาส แตอ่ าศยั ความใกล้ชดิ สนทิ สนม กัน อาศยั ความชว่ ยเหลือกนั เห็นอกเห็นใจกันในปัจจบุ นั จะส่งผลให้เป็นเนือ้ คูก่ นั ในปจั จบุ นั และในอนาคตตอ่ ไป หลกั ธรรมะเก่ยี วกับความรกั แมเ้ ปา้ หมายหลกั ของพระพุทธศาสนาคือการเดินทางไปสู่ความหลุดพ้นจากกเิ ลสทง้ั ปวง แต่กเ็ ป็นเรื่องท่ี ปฏิเสธไม่ไดว้ ่า ระหวา่ งทางเดนิ นี้ มนุษย์และสตั วท์ ้งั หลายล้วนยงั ต้องวนเวียนอยกู่ ับความรัก เพอื่ ไมใ่ หห้ ลงใหลไปในวัง วนแหง่ ความรัก และต้องบาดเจบ็ จากการรักอย่างไมถ่ กู ต้อง พระพทุ ธศาสนาจึงมีหลกั ธรรมคาสอนเก่ยี วกบั ความรกั ใน ระดับต่างๆให้นาไปปรบั ใช้กนั ไดโ้ ดยหลักธรรมท่ีสาคัญทสี่ ดุ คือ หลักธรรมสาหรับการรักตัวเอง คนเราทกุ คนย่อมรกั ตัวเอง ไม่มใี ครอยากใหต้ ัวเองต้องเจบ็ ปว่ ย ลาบาก หรือประสบพบเคราะหร์ า้ ยใดๆ มีคา กล่าวไว้วา่ หากเราไม่รูจ้ กั รกั ตัวเองก่อน เราจะรกั คนอน่ื ไดอ้ ย่างไร เพราะฉะนน้ั ความรกั ในขัน้ แรกคือการรกั ตัวเอง อยา่ งถูกต้องพระพุทธศาสนามหี ลักธรรมเบ้ืองต้นสาหรับทุกคนคอื หลัก เบญจศีล เบญจธรรม แม้จะไมส่ นใจการปฏบิ ัติ ภาวนาใดๆ แต่ก็ไม่ควรละทงิ้ หลกั เบญจศลี เบญจธรรม ซง่ึ เปน็ หลกั ธรรมง่ายๆ ในการดารงชวี ติ อนั จะนามาซงึ่ ชวี ิตที่ เปน็ ปกติสุข ไมเ่ ดอื ดเนอื้ ร้อนใจ ห่างไกลภัยอนั ตรายตา่ งๆดงั ทที่ กุ คนปรารถนานน่ั เอง สรุปความรกั ในพระพทุ ธศาสนา ความรกั ตัวเอง —–> ตอ้ งมีเบญจศลี เบญจธรรม ความรกั คนรอบขา้ ง —–> ต้องปฏิบัติตามหลักทิศ 6 ความรกั ผอู้ ืน่ แบบไมม่ ปี ระมาณ —–> ตอ้ งใช้หลกั เมตตา และเมตตาอปั ปมญั ญา 6. ทางรอดเมอ่ื พลาดรกั เมือ่ ความรกั เปน็ เรอื่ งของความสมั พันธ์ทต่ี อ้ งเก่ยี วขอ้ งกบั บุคคลอ่ืน ดว้ ยเหตุนี้ การบังคับให้บคุ คลอืน่ เป็นไป ตามทีใ่ จเราปรารถนานน้ั ทุกครง้ั นั้นย่อมเปน็ ไปไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ จงึ เปน็ เร่ืองปกติมากทอี่ าจจะไมส่ ามารถรักษา ความสัมพันธใ์ ห้ราบรื่นตลอดไปได้ และเมื่อความสัมพันธไ์ มไ่ ดเ้ ป็นไปตามความต้องการหรือตามความคาดหวัง เราควร รบั มือกบั สิ่งนน้ั อยา่ งไร 91

ภาพที่ 6.7 ภาพตวั อย่างกรณศี กึ ษา เม่ือพลาดรกั ส่งิ ทีค่ วรคอ่ ยๆ ทาความเขา้ ใจเก่ยี วข้องกับประเดน็ ดงั ตอ่ ไปน้ี 1. ไม่มีสิ่งใดจรี ังย่งั ยืน ไม่วา่ สขุ หรอื ทกุ ข์ กจ็ ะอยูก่ ับเราไม่นาน ดังนั้นหากช่วงเวลาดังกลา่ วจะทาใหร้ ้สู กึ ทกุ ข์มาก ก็พึงระลึกและเตอื นตัวเองว่า ทกุ ข์ก็จะอยู่กับเราไมน่ านเชน่ กนั เดยี๋ วเหตกุ ารณน์ กี้ จ็ ะผา่ นไป และถ้าเรายงั มลี มหายใจอยู่ โอกาสคร้ังต่อไป (ซงึ่ อาจดกี ว่า) ยอ่ มเกดิ ขนึ้ กบั เราได้เช่นกนั 2. แมว้ า่ ความสมั พนั ธจ์ ะเป็นไปอยา่ งท่เี ราตอ้ งการ (รักกนั ด)ี แตว่ นั ใดวันหนึง่ ความพลัดพรากจากคนรกั ก็ ยอ่ มตอ้ งเกดิ ข้นึ อยูด่ ี (สดุ ทา้ ยกต็ ้องตายจากกันอยู่ดี) การพลัดพรากจากของท่ีรกั จึงเปน็ เรอ่ื งธรรมดา 3. ไมจ่ าเปน็ ต้องโทษตวั เอง หรือคดิ วา่ ตนเองด้อยค่า ไมเ่ ปน็ ท่ตี อ้ งการของอกี ฝา่ ย เพราะคนเราทกุ คนมี ความดีอย่างใดอย่างหน่ึงซ่อนอยู่เสมอ ผ้ทู ล่ี ะท้ิงเราไป เป็นฝ่ายที่ยงั มองไมเ่ ห็นสงิ่ ลา้ คา่ นนั้ ตา่ งหาก เรา จงึ ยงิ่ ควรดาเนนิ ชวี ิตตอ่ ไปในทางที่ถูกท่เี หมาะทค่ี วร สร้างความกา้ วหนา้ ใหก้ ับชวี ติ อยา่ งนอ้ ยตวั เราก็จะ ไม่ตกตา่ ลงแตก่ ลับมีคุณคา่ สงู ยง่ิ ๆ ขึ้นไป ในวนั ข้างหนา้ เราอาจพบกบั คนทีศ่ ลี เสมอกนั 2 เห็นคุณคา่ ท่ี แทจ้ รงิ ในตวั เรา และรกั เราในแบบท่เี ราเปน็ อยา่ งจรงิ ใจ ดงั ตัวอยา่ งทม่ี ีให้เหน็ อยา่ งมากมายในสงั คม เปน็ ตน้ กิจกรรมที่ 2 นิสติ เหน็ อะไรในภาพน้ี ใหล้ องบรรยายและแลกเปล่ยี นมุมมองกบั เพ่อื นๆ ในชัน้ เรยี น 2 วิธีดเู น้ือคทู่ ่พี ระพุทธองคท์ รงตรสั ไว้ ๑. ศรทั ธาเสมอกัน ๒. มีศลี เสมอกนั ๓. จาคะเสมอกัน ๔. ปญั ญาเสมอกัน 92

คาถามทา้ ยบท (ใหท้ าบน Platform ของ Google classroom) ใหน้ สิ ติ พจิ ารณาขอ้ ความต่อไปน้ีว่าถกู หรอื ผดิ 1. คนทจี่ ะพบกับความสขุ ได้ ตอ้ งมคี วามสมั พันธแ์ ละความรักทด่ี กี ่อน  2. ความปรารถนา “อยาก” ใหอ้ กี ฝา่ ยมาทาให้เรามคี วามสุข ความรสู้ ึกแบบน้ีเรียกว่า “รกั ”  3. เพศหญงิ มแี นวโนม้ ท่ีจะเกิดความผูกพนั ไดง้ ่ายกวา่ เพศชาย  4. คนทมี่ ีระดับเทสโทสเตอโรนสงู หากได้แตง่ งาน มแี นวโนม้ ทจี่ ะมีโอกาสหย่ารา้ งตา่  5. วันท่ไี ข่ตก คอื วันทฮ่ี อรโ์ มนเอสโตรเจน ของเพศหญงิ มรี ะดบั สงู ทส่ี ดุ  6. ในวันทไ่ี ข่ตก เพศหญงิ จะมคี วามรสู้ กึ สงวนตวั น้อยท่สี ุด  7. วันใดก็ตามท่รี ะดบั ของฮอรโ์ มนโปรเจสเตอโรนลดระดบั ลงอย่างรวดเร็ว เพศหญิงจะมปี ระจาเดอื น  8. การประสบความสาเร็จสูงในหนา้ ท่ีการงาน เปน็ ส่วนหนง่ึ ทจ่ี าเปน็ ในวิธีปฏบิ ตั ิเพ่ือให้รัก  9. หลักธรรมเกีย่ วกบั ความรักที่สาคญั ทีส่ ุดในทางพระพทุ ธศาสนาคือ “การรกั ตวั เอง”  10. สง่ิ สาคญั ทีส่ ุดเมื่อเร่ิมมีความสัมพันธแ์ ละความรกั คอื “สติ”  93

เอกสารอ้างองิ D. I. Perrett, K. J. Lee, I. Penton-Voak, D. Rowland, S. Yoshikawa, D. M. Burt, S. P. Henzik, D. L. Castles & S. Akamatsu. (1998), Effects of sexual dimorphism on facial attractiveness. NATURE. VOL 394: 884-887. I. S. Penton-Voak, D. I. Perrett, D. L. Castles, T. Kobayashi, D. M. Burt, L. K. Murray and R. Minamisawa (1999) Menstrual cycle alters face preference. Nature volume 399, pages741–742 Stanislaw, H., & Rice, F.J. (1988). Correlation between sexual desire and menstrual cycle characteristics. Archives of Sexual Bahavior, 17, 1988, (New York: Plenum Publishing) 499-508. วนิษา เรซ. (2552) อัจฉรยิ ะสร้างสุข. กรุงเทพ: บริษัท อจั ฉริยะสรา้ งได.้ https://talk.mthai.com/inbox/433749.html เขา้ ถึงเม่อื 10 พฤษภาคม 2563. 94

ใบงาน/ใบกจิ กรรม/แบบทดสอบทา้ ยบท ชอ่ื -สกลุ ............................................................. รหัสประจาตัวนสิ ิต................................................ ชอ่ื รายวชิ า ................................................................................. รหัสวิชา ............................ กลุ่มที่เรยี น .................. ใบงานท่ี ............................. วันท่ี .................................................................................................. อาจารยผ์ ู้สอน................................................................................................................................. กิจกรรมท่ี 1 ให้นิสิตเขียนความคิดเหน็ สาหรับคาถามทงั้ 4 ประเด็น ลงในทวี่ า่ งด้านลา่ ง 1. ………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. ………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. ………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 4. ………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… กิจกรรมที่ 2 ให้นิสิตเขียนความคดิ เหน็ สาหรับคาถามในกิจกรรมที่ 2 ลงในที่วา่ งดา้ นลา่ ง …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 95


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook