Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เอกสารประกอบการสอน 0042003

เอกสารประกอบการสอน 0042003

Published by surachat.s, 2020-07-15 10:12:31

Description: เอกสารประกอบการสอน 0042003

Search

Read the Text Version

นอกจากนนั้ แลว้ ยังมีหลักประกนั และการคุ้มครองด้านสุขภาพอนามยั อกี บางรปู แบบทป่ี ฏิบัตกิ นั อยแู่ ตม่ ี ขอบข่ายในวงแคบ เช่น การจัดให้มีบริการรักษาพยาบาลในสถานประกอบการ (บางแห่ง) การจัดในรูปสวัสดิการ รักษาพยาบาลสมทบหรือเพม่ิ เตมิ ข้นึ จากท่ีรฐั จดั ใหใ้ นบางหน่วยงาน เปน็ ตน้ 1. หลักประกนั และการคุ้มครองในเชงิ บงั คับ (ตามกฎหมาย) 1.1 การประกันสขุ ภาพตามนัยของกฎหมายประกนั สังคม แนวความคิดเก่ียวกับการประกันสังคมในประเทศไทยน้ันมีมาไม่น้อยกว่า 50 ปี แต่ท่ีเป็น รปู รา่ งจริงจงั ในการกาหนดมาตรการให้ความคุ้มครองแก่ประชาชนน้ัน น่าจะเป็นช่วง พ.ศ. 2495 เมอื่ คณะกรรมการ สังคมสงเคราะห์แห่งชาติ ซ่ึงของรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้เสนอให้นาระบบประกันสังคมมาใช้ในประเทศ ไทย และได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการข้ึนจัดทารายละเอียดของหลักการ และวิธีดาเนินการประกันสังคม กฎหมาย ประกันสังคมฉบับแรกประกาศใช้เม่ือวันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2497 คือ พระราชบัญญัติประกันสังคม และ พระราชบัญญัติการจัดตั้งกรมประกันสังคม ในสังกัดกระทรวงการคลัง หลังจากกฎหมายประกาศใช้จึงได้มีการ เตรียมการด้านต่าง ๆ ให้พร้อมที่จะเริ่มดาเนินการ เน่ืองจากกฎหมายดังกล่าวได้ระบุให้กาหนดวันเร่ิมบังคับใช้ กฎหมาย หรือเริ่มดาเนินการประกันสังคมอีกคร้ังหน่ึง โดยให้กระทรวงมหาดไทยเป็นผู้ดาเนินการตราเป็นพระราช กฤษฎีกา แต่ระหว่างน้ันได้มีการแสดงความเหน็ คัดคา้ นจากประชาชนและกลุ่มธรุ กิจ ประกอบกบั สภาวิจัยแห่งชาติได้ รายงานผลการศึกษาพระราชบัญญัติดังกล่าวทั้งข้อดีและข้อเสีย ในที่สุดมีผลให้ชะลอการประกาศบังคับใช้กฎหมาย ประกนั สังคมฉบบั น้นั ไวก้ อ่ น ในโอกาสต่อ ๆ มาได้มีการพิจารณาเรื่องการประกันสังคมอีกในแทบทุกรัฐบาล รวมท้ังได้มี ความพยายามยกร่างกฎหมายประกันสังคมขึ้นใหม่โดยปรับปรุงสาระสาคัญที่เป็นจุดอ่อนในกฎหมายเดิม เช่น ร่าง พระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2507 ร่างพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2522 เป็นต้น สาหรับการ ประกันสังคมนั้นร่างกฎหมายฉบับ พ.ศ. 2525 นับว่าความคืบหน้ามากที่สุด โดยได้ผ่านการอนุมัติในหลักการจาก คณะรัฐมนตรีในคร้ังน้ัน และให้มีการจัดทารายละเอียดเสนอเพ่ือพิจารณาใหม่ พร้อมกันนั้นคณะกรรมการปฏิรูป ระบบราชการและระเบียบบริหารราชการแผน่ ดินของนายกรัฐมนตรี ไดเ้ สนอให้สานักงานกองทนุ เงนิ ทดแทนพิจารณา ปรับขยายการครอบคลุมให้คุ้มครองถึงการเจ็บป่วยท่ีเกิดจากสาเหตุอ่ืน ๆ นอกเหนือไปจากการทางานด้วย (กองทุน เงินทดแทนนั้นเริ่มต้นตามกฎหมายใน พ.ศ. 2517 โดยครอบคลุมให้ความคุ้มครองเฉพาะการเจ็บป่วยที่มีสาเหตุจาก การปฏิบัติงานเท่าน้ัน) คณะรัฐมนตรีในคร้ังนั้นได้ให้ความเห็นชอบตามข้อเสนอของคณะกรรมการฯ แต่เกิดปัญหา ในทางปฏิบัติเน่ืองจากกองทุนเงินทดแทนไม่สามารถขยายขอบข่ายการครอบคลุมได้ เพราะเกินอานาจหน้าท่ีตาม กฎหมาย (คอื ประกาศคณะปฏวิ ัตฉิ บับที่ 103 ทจี่ ดั ตัง้ กองทุนเงนิ ทดแทนข้นึ ) วิวัฒนาการของการประกันสุขภาพในการประกันสังคมดังกล่าวเร่ิมชัดเจนมากข้ึนหลัง จากน้นั ท้ังนี้ อาจจะสืบเน่ืองจากการท่ีปญั หาด้านสขุ ภาพของผใู้ ช้แรงงานในประเทศไทยเริม่ วิกฤติมากขนึ้ และยากแก่ การคมุ้ ครองตามกฎหมายกองทุนเงินทดแทนเพียงด้านเดียว โดยเฉพาะกรณีของการเจ็บป่วยที่ไม่อาจวินิจฉัยช้ขี าดได้ ชดั เจนวา่ เปน็ เหตุสืบเนื่องจากการปฏิบัติงานหรอื ไม่ ทาให้มคี วามไม่เป็นธรรมมากขนึ้ ในหลากกรณี จนถงึ พ.ศ. 2527 สภาท่ปี รึกษาเพือ่ การพัฒนาแรงงานแห่งชาติเสนอตอ่ รัฐบาลใหป้ รบั ปรุงขยายงานกองทนุ เงนิ ทดแทนอกี ครง้ั หนึ่ง โดย เสนอให้ต้ังเป็นกองทุนสุขภาพเพื่อให้ความคุ้มครองผู้ใช้แรงงานด้านการเจ็บป่วยและอุบัติเหตุนอกเหนือจากการ ปฏิบัติงานปกติ (เรียกว่าการเจ็บป่วยนอกงาน) เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2528 คณะรัฐมนตรีคร้ังนั้นมีมติ เห็นชอบตามข้อเสนอ พร้อมทั้งให้ข้อสังเกตให้กระทรวงมหาดไทยรับไปพิจารณาในรายละเอียดข้อสังเกตของ คณะรัฐมนตรีดังกล่าวนั้นมีสาระสาคัญในหลักการของการประกันสังคมซึ่งมีผลกระทบในเวลาต่อมาไม่น้อย เช่น ข้อสังเกตที่ไม่ประสงค์ให้รวม ครอบคลุมพนักงาน รัฐวิสาหกิจ และข้อสังเกตท่ีให้หาลู่ทางร่วมมือกับกระทรวง สาธารณสุขโดยให้จัดเงินกองทุน (ซึ่งสมทบจากฝ่ายลูกจ้างและฝ่ายนายจ้าง) จ่ายให้โรงพยาบาลในสังกัดกระทรวง สาธารณสุขที่ ดูแลและบาบัดรักษาการเจ็บป่วยและอุบัติเหตุน้ัน ๆ ในลักษณะเหมาจ่าย กระทรวงมหาดไทยได้ส่ง เรื่องน้ีให้สภาที่ปรึกษาเพื่อการพัฒนาแรงงานแห่งชาติพิจารณา ซ่ึงสภาที่ปรึกษาฯ ได้พิจารณาส่งความเห็นกลับให้ กระทรวงมหาดไทยเมอ่ื 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2529 146

ข้อเสนอดังกล่าวนี้กระทรวงมหาดไทยเห็นชอบ และให้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาจัดตั้ง กองทุนสุขภาพข้ึนในกรมแรงงาน กระทรวงมหาดไทย โดยให้เก็บเงินสมทบกองทุนจากฝ่ายนายจ้างและฝ่ายลูกจ้าง เท่ากันในอัตราร้อยละ 1.5 ของค่าจ้าง รัฐบาลรับภาระค่าใช้จ่ายด้านการบริหารจัดการกองทุน ส่วนกองทุนสุขภาพ รับผิดชอบจ่ายค่ารักษาพยาบาลและคลอดบุตร และเงินทดแทนการสูญเสียรายได้เมื่อผู้ใช้แรงงานเกิดเจ็บป่วยหรือ ประสบอุบัติเหตุนอกงาน โดยให้เริ่มต้นในสถานประกอบการท่ีมีผู้ใช้แรงงาน 20 คนข้ึนไปใน 10 จังหวัดท่ีมี อุตสาหกรรมหนาแน่น อย่างไรก็ดีคณะรัฐมนตรี (11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2519) เห็นชอบให้จัดต้ังกองทุนใหม่ โดยให้ เป็นส่วนหนง่ึ ของการประกนั สังคม โดยใหพ้ จิ ารณาอตั ราการเรียกเกบ็ เงินสมทบใหเ้ หมาะสม และให้เพียงพอท่ีกองทุน จะดาเนนิ การได้ และให้กระทรวงมหาดไทยพจิ ารณากระบวนการจดั ตง้ั กองทนุ ใหมน่ ด้ี ้วย หลักการท่ัวไปและสาระสาคัญของการประกันสขุ ภาพในระบบประกันสังคม การประกันสุขภาพในระบบประกันสังคมเป็นระบบบังคับ ตั้งอยู่บนพื้นฐานแนวความคิดของ การเฉลี่ยความเส่ียงต่อการเจ็บป่วย และการเฉลี่ยความรับผิดชอบในระหว่างกลุ่มผู้เอาประกัน โดยมุ่งหมายให้การ คุ้มครองทุกประเภทของการเจ็บป่วย และให้ผู้ท่ีได้รับการคุ้มครองสามารถเข้าถึงบริการด้านสุขภาพอนนามัยได้เม่ือ จาเป็นโดยไมค่ านงึ ถงึ ความแตกตา่ งในฐานะทางเศรษฐกจิ และสงั คม ระบบประกันสังคมเป็นระบบการประกันในวงกว้างท่ีครอบคลุมการประกันหรือการ คมุ้ ครองหลาย ๆ ประเด็นท่ีมีผลกระทบทางสังคมโดยรวม การประกนั สังคมตามนัยของพระราชบัญญตั ิประกันสังคม พ.ศ. 2533 จึงรวมถงึ การประกันหรอื การให้ความคมุ้ ครองถึง 7 ประเด็นกลา่ วคือ 1) การประกนั การเจบ็ ป่วยหรอื อบุ ัตเิ หตุอันมิใช่เน่อื งมาจากการทางาน 2) การประกนั การคลอดบตุ ร 3) การประกันการทพุ พลภาพ 4) การประกันการเสียชีวติ 5) การประกนั การสงเคราะห์บตุ ร 6) การประกันชราภาพ 7) การประกันการวา่ งงาน การประกันสุขภาพตามกฎหมายประกันสังคมน้ีมีขอบเขตครอบคลุมผู้มีฐานะเป็น นายจ้างและลูกจ้างในกิจการทุกประเภทท่ัวประเทศ ยกเว้น (ก) ข้าราชการและลูกจ้างประจาของทาง ราชการ (ข) ลูกจ้างของรัฐบาลต่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ (ค) ลูกจ้างของนายจ้างที่มีสานักงานใน ประเทศและประจาทางานในต่างประเทศ (ง) ครูหรือครูใหญ่ของโรงเรียนเอกชนตามกฎหมายวา่ ดว้ ยโรงเรียนเอกชน (จ) นักเรียน นักเรียนพยาบาล นิสิต นักศึกษา หรือแพทย์ฝึกหัดซ่ึงเป็นลูกจ้างของโรงเรียน มหาวิทยาลัย หรือ โรงพยาบาล และ (ฉ) กจิ การหรือลูกจา้ งอื่นตามท่ีกาหนดในพระราชกฤษฎีกา ในปแี รกของการบังคับใช้นั้นใหใ้ ชบ้ งั คับแก่กิจการที่มีลกู จ้างตงั้ แต่ 20 คนขึ้นไป และเมอ่ื พ้น 3 ปีแล้ว (ตั้งแต่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2536) ให้มีผลบังคับคลุมถึงกิจการที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ซ่ึงในปัจจุบันน้ีมีผล บงั คบั กิจการท่ีมีลูกจา้ งตง้ั แต่ 1 คนขึน้ ไป (ตง้ั แต่ 1 เมษายน พ.ศ. 2545) 1.2 การประกันสุขภาพตามนัยของกองทนุ เงินทดแทน กองทุนเงินทดแทนเป็นระบบการคุ้มครอง และให้หลักประกันการเจ็บป่วยและอุบัติเหตุจาก การทางานของลูกจ้างในสถานประกอบการ เร่ิมดาเนินการตามกฎหมายมาต้ังแต่ พ.ศ. 2517 ตามนัยของประกาศ ค ณ ะ ป ฏิ วั ติ ฉ บั บ ที่ 103 ล ง วั น ที่ 16 มี น า ค ม พ . ศ . 2515 ว่ า ด้ ว ย ก า ร คุ้ ม ค ร อ ง แ ร ง ง า น โ ด ย มี ก า ร จัดตั้งกองทุนเงินทดแทนข้ึนในความดูแลรับผิดขอบของกรมแรงงาน กระทรวงมหาดไทย โดยกฎหมายกองทุนเงิน ทดแทนน้ัน กาหนดใหน้ ายจ้างจ่ายเงินสมทบเขา้ กองทุนเงินทดแทนในอัตรารอ้ ยละ 0.2 - 2.0 ของค่าจ้าง ทัง้ นี้ขนึ้ อยู่ กับระดับความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วย และอุบัติเหตุจากการทางานในสถานประกอบการนั้น เมื่อลูกจ้างในสถาน ประกอบการเกิดเจ็บป่วยหรือได้รับอุบัติเหตุจากการทางาน กองทุนเงินทดแทนจะจ่ายเงินทดแทนให้ลูกจ้างแทน 147

นายจ้างเป็นการเฉล่ียรับผิดชอบความเส่ียงระหว่างนายจ้างในสถานประกอบการ ต่าง ๆ และเป็นการส่งเสริมให้ นายจ้างหาวิธีการลดอุบัติเหตุในการทางาน และป้องกันการประสบอันตรายของลูกจ้างอันเน่ืองมาจากการทางาน เพราะอัตราเงินสมทบกองทุนเงินทดแทนท่ีเรียกเก็บจากนายจ้างจะเพิ่มขึ้นหรือลดลงขึ้นอยู่กับระดับการประสบ อนั ตรายในการประกอบการของนายจ้างแต่ละราย การดาเนินงานของกองทุนทดแทนเป็นการกาหนดให้นายจ้างจ่ายเงินประกันการทดแทนไว้ กับรัฐบาล โดยรัฐบาลจ่ายเงินอุดหนุนช่วยด้วยส่วนหนึ่ง รวมท้ังรัฐบาลรับผิดชอบคา่ ใช้จ่ายในการบริหารจัดการและ เจ้าหน้าท่ดี าเนินงานกองทนุ เงนิ ทดแทนดว้ ย การดาเนินงานของกองทุนเงินทดแทนในคร้ังแรกเร่ิมเฉพาะในเขตกรุงเทพมหานครสาหรับ สถานประกอบการที่มีลูกจ้างต้ังแต่ 20 คนข้ึนไป ใน พ.ศ. 2519 ได้ขยายขอบข่ายงานครอบคลุมอีก 5 จังหวัด ปรมิ ณฑล คอื นนทบุรี สมุทรปราการ ปทุมธานี สมทุ รสาคร และนครปฐม แต่ได้ขยายข่ายงานครอบคลุมจงั หวัดอน่ื ๆ เพิ่มขึ้นเป็น 28 จังหวัดใน พ.ศ. 2528 จนถึงครอบคลุมทั่วประเทศตั้งแต่กรกฎาคม พ.ศ. 2531 เป็นต้นมา และ ครอบคลุมสาหรับสถานประกอบการท่ีมีลูกจ้างตั้งแต่ 10 คนข้ึนไปในปัจจุบัน (โดยเริ่มต้ังแต่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2536) ซึ่งในปัจจบุ ันน้ีครอบคลมุ สถานประกอบการทีม่ ีลูกจ้างตั้งแต่ 1 คนข้ึนไป (ต้ังแต่ 1 เมษายน พ.ศ. 2545) เชน่ เดียวกับ กองทุนประกันสงั คม ใน พ.ศ. 2533 ได้มีการปรับปรุงสภาวะการคุ้มครองแรงงานจากเดิมให้สอดคล้องกับสภาวะ การเปลยี่ นแปลงในระยะหลัง ๆ จึงไดม้ ีพระราชบัญญัติแก้ไขเพิม่ เติมประกาศของคณะปฏิวตั ิฉบับที่ 103 ลงวันท่ี 16 มีนาคม พ.ศ. 2515 (ฉบับท่ี 1) พ.ศ. 2533 ให้โอนกองทุนเงินทดแทนและบรรดาอานาจหน้าท่ีของกรมแรงงาน กระทรวงมหาดไทย เฉพาะในส่วนท่ีเก่ียวกับสานักงานกองทุนเงินทดแทน และงานกองทุนเงินทดแทนในสานักงาน แรงงานจังหวัดไปเป็นของสานักงานประกันสังคม กระทรวงมหาดไทย (และต่อมาได้โอนไปสังกัดกระทรวงแรงงาน และสวัสดกิ ารสังคมที่จดั ตั้งขึ้นใหม่) และต่อมาได้มีการปรับปรุงสาระสาคัญของเงนิ ทดแทนเพ่ิมเติมอีกหลายประการ ตามกฎหมายใหมค่ ือพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. 2537 (มีผลบงั คับใช้ตัง้ แต่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2537) หลกั การทว่ั ไปและสาระสาคัญของกองทุนเงนิ ทดแทน กฎหมายกาหนดให้สานักงานกองทุนเงินทดแทนจ่ายเงินทดแทนแก่ลูกจ้างแทนนายจ้าง ใน กรณที ่ีลูกจา้ งไดร้ บั อันตรายหรอื เจ็บป่วยดว้ ยโรคเนอื่ งจากการทางาน ซงึ่ ในกฎหมายฉบบั ปจั จุบนั ใหร้ วม “การประสบ อันตราย” ทลี่ กู จ้างได้รับอนั ตรายแกก่ ายหรือผลกระทบแกจ่ ิตใจ หรอื ถงึ แกค่ วามตายเน่ืองจากการทางาน หรอื ป้องกัน รักษาประโยชน์ให้แก่นายจ้างหรือคาส่ังของนายจ้าง และรวมถึง “การเจ็บป่วย หรือถึงแก่ความตาย” ด้วยโรคซ่ึง เกิดขึ้นตามลักษณะหรอื สภาพของงานหรือเนื่องจากการทางาน สิทธิคุ้มครองลูกจ้างตามนัยของกองทุนเงินทดแทนนี้ เรมิ่ ต้นโดยทันทเี มือ่ นายจา้ งตกลงรับเขา้ ทางาน สิทธิประโยชน์ทดแทนแก่ลูกจา้ งตามนยั ของกองทนุ เงนิ ทดแทนรวมถงึ 1) คา่ รักษาพยาบาลเท่าทีจ่ ่ายจรงิ ตามความจาเป็น 2) คา่ ทดแทน ในกรณีที่ลกู จ้างสญู เสยี อวยั วะบางสว่ นของร่างกาย 3) ค่ารักษาพยาบาลและคา่ ทดแทน ในกรณีประสบอนั ตรายจนถงึ ทพุ พลภาพ 4) ค่าฟื้นฟูสมรรถภาพ ในกรณีประสบอันตรายและต้องได้รับการฟื้นฟูสมรรถภาพในการ ทางานของอวัยวะบางสว่ นทีส่ ญู เสียหรือทุพพลภาพ 5) ในกรณีตายหรือสญู หาย กฎหมายระบุรวมถึงการที่ลูกจ้างหายไปในระหว่างทางานหรือปฏิบัติตามคาส่ังของ นายจ้าง ซ่งึ มีเหตอุ ันควรเชอ่ื ว่าลูกจ้างถึงแกค่ วามตาย เพราะประสบอุบตั ิเหตุอันตรายท่ีเกิดข้ึนในระหว่างทางานหรือ ปฏิบัติตามคาสั่งของนายจ้างน้ัน หรือหายไปในระหว่างเดินทางโดยพาหนะทางบก ทางอากาศ หรือทางน้า เพื่อไป ทางานให้นายจ้าง ซ่ึงมีเหตุอันควรเชื่อว่าพาหนะนั้นได้ประสบอันตรายและลูกจ้างถึงแก่ความตาย โดยสานักงาน กองทุนเงนิ ทดแทนจ่ายเงินใหแ้ ก่ผมู้ สี ิทธิไดร้ ับเงนิ ทดแทนน้ี 148

2. หลักประกนั และการคมุ้ ครองโดยสมคั รใจ 2.1 การประกนั สขุ ภาพเอกชน ธุรกิจการประกันโดยภาคเอกชนได้เริ่มข้ึนในประเทศไทยประมาณกว่า 100 ปี มาแล้ว กล่าวคือเริ่มเม่ือสมัยรัชกาลที่ 5 เม่ือสหราชอาณาจักรได้ส่งคณะฑูตพาณิชย์มาเจริญสัมพันธ์ทางการค้า พร้อมกับได้ เจรจาของพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้บริษัท East Asiatic ของอังกฤษ ได้เป็นตัวแทนทาธุรกิจประกันชีวิต ของ Equitable Insurance Company of London ในประเทศไทย แต่การดาเนินธุรกิจประกันชีวิตครั้งน้ันไม่ ประสบผลสาเร็จมากนัก เพราะบริษทั ตวั แทนได้ประกอบธุรกิจอ่ืนเป็นหลัก จึงให้ความสาคัญกับการประกนั ชวี ิตน้อย ไป ยิ่งกว่านั้นตัวแทนขายประกันกเ็ ป็นชาวต่างชาตซิ ่ึงเข้าใจภาษาและขนบประเพณีไทยค่อยข้างน้อย ผู้ท่ีมีการศึกษา สูงพอท่ีจะเข้าใจเหตุและผลของการประกันชีวิตก็เป็นผู้มีอันจะกิน จึงไม่เห็นความสาคัญของการประกัน และ กรมธรรม์กับเงื่อนไขต่าง ๆ ค่อนข้างซับซ้อนภายใต้การควบคุมของบริษัทแม่ในประเทศอังกฤษ ในท่ีสุดจึงได้เลิก กจิ การไป กิจกรรมประกันภัยเอกชนเร่ิมขยายตัวใหม่ในระยะหลังสงครามโลกครั้งท่ี 1 กล่าวคือ เมื่อมี บริษัทประกันภัยได้รับอนุญาตให้ดาเนินการเป็นคร้ังแรกเม่ือ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2472 ประมาณกว่า 20 บริษัท ซ่ึง ทัง้ หมดเปน็ บริษทั ต่างชาติ และต่อมาใน พ.ศ. 2473 จึงได้เร่ิมธรุ กจิ ประกนั ชีวติ 4 บริษทั ซ่งึ เปน็ บรษิ ัทต่างชาติท้งั หมด เชน่ กนั ธุรกจิ ประกันชวี ิตแรกของไทยจดทะเบียนเมอ่ื 23 มีนาคม 2485 คือ บริษัทไทยประกนั ชีวิต และตอ่ มาเม่อื 28 ธนั วาคม ปเี ดยี วกัน บริษัทไทยเศรษฐกจิ ประกันภัยกไ็ ดจ้ ดทะเบยี นเป็นบริษัททส่ี อง โดยทากจิ การทั้งประกันวนิ าศภัย และประกนั ชีวติ ในระยะสงครามโลกคร้ังท่ีสองนั้น ธุรกิจประกันภัยซบเซาไปมาก โดยเฉพาะบริษัท ประกันภัยต่างประเทศได้พากันถอนตัวออกไปทั้งหมด ทาให้มีผลกระทบตอ่ ลูกคา้ ที่ไดท้ าประกันไวเ้ ป็นอันมาก และ ทาให้ธุรกิจประกันภัยถูกกระทบกระเทือน เพราะเหตุของความไม่แน่นอนและทาให้ลูกค้าเกิดความไม่ม่ันใจข้ึน จน ภายหลงั สงครามแล้วธรุ กิจประกนั ภัยโดยเฉพาะของคนไทยจึงไดก้ ลบั เร่ิมฟืน้ ตวั ข้นึ ใหม่ การประกันสุขภาพภาคเอกชนในประเทศไทยท่ีดาเนินการโดยธุรกิจประกันสุขภาพ โดยเฉพาะน้นั เร่ิมข้ึนโดยมีการจดทะเบียนบริษัทการแพทย์และสุขภาพไทยเมื่อ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2521 โดยบริษัท ได้เริ่มโครงการ “สุขภาพไทย” ข้ึนในทานองคล้าย ๆ กับโครงการท่ีได้ทาในต่างประเทศและประสบผลสาเร็จดีคือ จัดบริการประกันสุขภาพ โดยเฉพาะคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลในกรณีเจ็บป่วย แก่ผู้เอาประกัน ซึ่งต่อ ๆ มาบริษัท ประกนั ชีวิตหลายบริษทั ก็ไดข้ ยายธุรกิจประกันชีวติ ของตนมาผนวกการประกันสุขภาพเข้าไวด้ ว้ ย หลกั การและวิธีการของการประกนั สขุ ภาพเอกชน การประกันสุขภาพเอกชนถือเป็นการทาสัญญาระหว่างบุคคลสองฝ่ายคือฝ่ายผู้รับ ประกันภัย (Insurer) หรือบริษัทประกันภัย กับฝ่ายผู้เอาประกัน (Insured) โดยผู้รับประกันภัยตกลงจะ ชดใช้ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล ศัลยกรรมและอ่ืน ๆ ให้กับผู้เอาประกันภัย เมื่อผู้เอาประกันภัยเจ็บป่วยจาก โรคภัยไข้เจ็บ หรือจากอุบัติเหตุเป็นเหตุให้ต้องเข้าพักรักษาตัวเป็นผู้ป่วยในของโรงพยาบาลท่ีได้รับอนุญาตจาก กระทรวงสาธารณสขุ ทง้ั น้ีผู้เอาประกนั ภยั จะต้องจา่ ยเงินจานวนหนงึ่ ซง่ึ เรียกว่าเบยี้ ประกันภัย (Premium) ให้แก่ผู้รับ ประกนั ภัย โดยนัยตามกฎหมายไทยแล้ว การดาเนินธุรกิจการประกันของเอกชนในประเทศไทยมี 2 ประเภทใหญ่ ๆ คอื การประกันชีวิต กบั การประกันวนิ าศภยั 1. การประกันชีวิต จาแนกออกเป็นประเภทสามัญ ประเภทอุตสาหกรรม และประเภทหมู่ หรือกลุ่ม ซ่ึงในแต่ละประเภทย่อยของการประกันชีวิตนั้นสามารถจัดเป็นแบบต่าง ๆ ได้ 3 แบบ คือ แบบกาหนด ระยะเวลา (โดยกาหนดช่วงระยะเวลาของการเอาประกนั ) แบบตลอดชีวิต และแบบลงทนุ ซึ่งทัง้ 3 แบบนี้ มีการเสนอ ขายกรมธรรม์ใหผ้ ู้เอาประกันเลือกได้หลายลักษณะ เชน่ กรมธรรมป์ ระกันชวี ิตทั่ว ๆ ไป กรมธรรม์ประกนั รายปี กรม ธรรมประกนั เกษียณอายุ หรือกรมธรรม์ประกนั อุบัติเหตแุ ละสขุ ภาพ 149

2. การประกันวินาศภัย จาแนกเป็น 5 ประเภทย่อย คือ 1) ประเภทอัคคีภัย 2) ประเภท ขนส่ง 3) ประเภทภัยทางทะเล 4) ประเภทยานยนต์ และ 5) ประเภทอ่ืน ๆ ทั้งน้ี การประกันสุขภาพน้ันได้ถูกนิยาม และจดั ไวเ้ ป็นสว่ นหนง่ึ ของการประกนั ประเภทอน่ื ๆ ในการประกันวินาศภัย อย่างไรก็ดี ในทางปฏิบัตินั้น การขายประกันชีวิตไม่ว่าจะเป็นแบบหรือลักษณะใดก็ตามก็ได้ รวมผนวกไว้ในกรมธรรม์ใหค้ รอบคลุมการคุ้มครองการบาดเจ็บจากอบุ ตั ิเหตุ รวมถึงการรักษาพยาบาล และ/หรือการ ชดเชยความสูญเสยี รายได้ทเ่ี กดิ ขน้ึ จากการบาดเจ็บหรืออบุ ตั เิ หตแุ ตล่ ะคร้งั เขา้ ไวด้ ้วย ดังนั้น เม่ือจะวิเคราะห์ถงึ การประกันสุขภาพให้สอื่ ความหมายในทางปฏิบัตแิ ท้จริงแล้วก็ต้อง รวมพจิ ารณาท้งั ในประเภทการประกนั ชีวติ และการประกันวนิ าศภยั ไปพร้อม ๆ กัน ท้งั น้ี มขี ้อสงั เกตว่าข้อมลู ทุติยภูมิ โดยเฉพาะการรายงานต่าง ๆ ท่เี ปน็ ไปตามเงอ่ื นไขของกฎหมาย โดยเฉพาะสว่ นที่เป็นรายงานของธรุ กิจประกันชีวิตนั้น ไมไ่ ด้แสดงและไม่สามารถจะจาแนกกรมธรรมช์ นดิ ต่าง ๆ ทีค่ รอบคลุมและไมค่ รอบคลุมสว่ นทเ่ี ป็นบทผนวกแนบท้ายที่ มีผลในทางประกันสุขภาพออกจากกันได้ จึงมักเป็นข้อจากัดสาคัญของการวิเคราะห์ธุรกิจประกันสุขภาพเอกชน โดยท่ัวไป และเป็นท่ีน่าสังเกตว่าโดยนิตินัยแล้วการประกันสุขภาพเป็นการประกันวินาศภัย ไม่ใช่การประกันชีวิต ตามที่หลายคนเข้าใจ 3. สวสั ดกิ ารรกั ษาพยาบาลทร่ี ัฐจัดให้ (Social Welfare) 3.1 สวัสดกิ ารรกั ษาพยาบาลของข้าราชการและพนกั งานรัฐวสิ าหกิจ สวัสดิการรักษาพยาบาลของข้าราชการเป็นส่วนของสิทธิประโยชน์เกื้อกูล (Fringe benefit) ท่ีรัฐบาลจัดให้แก่ข้าราชการและลูกจ้าง มีลักษณะเป็นการอุดหนุนด้านขวัญและกาลังในส่วนหน่ึง และเป็นการรักษา ประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานอีกส่วนหนึ่ง สวัสดิการดังกล่าวน้ีมีมานานมาก อาจกล่าวได้ว่าควบคู่มากับระบบ ราชการก็ได้ โดยนัยหนึ่งแล้วจึงอาจพิจารณาได้ว่าการจัดสวัสดิการนี้เปรียบเทียบเสมือนหนึ่งสวัสดิการท่ีนายจ้างจัด ให้แก่ลูกจ้างของตน เมื่อเริ่มแรกน้ันเทียบได้กับการให้บริการรักษาพยาบาลยามเจ็บป่วยโดยรับบริการได้ที่ สถานพยาบาลของนายจ้างเอง แต่เมื่อมีขนาดและจานวนมากข้ึนตามเวลา ขอบข่ายและสถานท่ีให้บริการ รกั ษาพยาบาลกข็ ยายเติบโตขนึ้ รวมไปถึงการรบั บรกิ ารรักษาพยาบาลทส่ี ถานพยาบาลอื่น และครอบคลมุ บุคคลอ่ืน ๆ ในครอบครัวของข้าราชการและลูกจา้ งดว้ ย อยา่ งไรกด็ ีปรากฏเป็นขอ้ สังเกตจากการศกึ ษาวิเคราะหใ์ นระยะหลัง ๆ ว่า แม้วา่ สวัสดิการน้ีอาจเทียบได้กับสวัสดิการที่นายจ้างใหก้ ับลกู จ้าง แต่ค่าใช้จ่ายของสวัสดกิ ารนี้ก็มาจากเงนิ ภาษีอากร ของประชาชนทั้งประเทศ และเมือ่ ลกู จา้ งมสี ่วนสาคญั ในการกาหนดกฎเกณฑ์ของสวัสดิการด้วยก็นา่ จะมอี คตเิ ขา้ ข้าง ตนในอนั ทจ่ี ะขยายขอบข่ายและสทิ ธิประโยชน์ครอบคลมุ จากสวัสดกิ ารนี้เพิ่มมากขนึ้ จนถึงกับมีผลให้กลายเป็นภาระ ทางการเงินแกร่ ฐั บาลได้ในทส่ี ุด วิวัฒนาการของสวัสดิการรักษาพยาบาลของข้าราชการนั้นมีมาเป็นลาดับ ประเด็นสาคัญคือ การที่สวัสดิการนี้มีขึ้นและเป็นไปโดยมีกฎหมายรองรับ โดยเฉพาะพระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการเก่ียวกับการ รกั ษาพยาบาล ซึ่งมีการแก้ไขปรบั ปรุงเรอ่ื ยมาจนถึงฉบบั ที่มีผลบังคับใชใ้ นปัจจบุ ัน คือ พระราชกฤษฎีกาเงินสวสั ดกิ าร เก่ียวกับการรักษาพยาบาล พ.ศ. 2523 ฉบับท่ี 2 พ.ศ. 2528 ฉบับท่ี 3 พ.ศ. 2532 และฉบับท่ี 4 พ.ศ. 2533 และมี กรอบกากับวิธีปฏิบัติเก่ียวกับเงินสวัสดิการน้ีโดยระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินสวัสดิการเกี่ยวกับ การรักษาพยาบาล ซ่ึงมวี ิวัฒนาการและมีการปรับปรงุ แก้ไขเป็น ระยะ ๆ ตลอดมาเช่นกัน จนถึงระยะปัจจุบันได้เริ่ม มีการพิจารณาเกี่ยวกับเงินสวัสดิการนี้และมีแนวความคิดกว้างขวางมากข้ึนเรื่อย ๆ ว่าน่าจะมีการเปล่ียนแปลงครั้ง ใหญ่ โดยถึงขั้นปฏิรปู ระบบการใหส้ วัสดกิ ารรักษาพยาบาลของขา้ ราชการนที้ ้ังระบบ และไดม้ ีการทาการศึกษาเรื่องนี้ อยูห่ ลายกรณใี นปจั จุบัน สาหรับสวัสดิการรักษาพยาบาลของพนักงานรัฐวิสาหกิจนั้น โดยหลักการแล้วได้เลียนแบบ ทานองเดียวกับสวัสดิการรักษาพยาบาลของข้าราชการเกือบทั้งหมด โดยรัฐวิสาหกิจแต่ละแห่งนี้อานาจออกระเบียบ กาหนดวัตถุประสงค์ ขอบเขต เงื่อนไข และสิทธิประโยชน์ครอบคลุมของสวัสดิการนี้ด้วยตนเอง ดังนั้น แม้ว่า สาระสาคัญโดยหลักการแล้วจะไม่แตกต่างกัน แต่ก็มขี ้อทแ่ี ตกต่างกันไปบ้างในรายละเอยี ดและวธิ ีปฏิบตั ิ โดยเฉพาะใน รัฐวิสาหกิจที่มีสถานพยาบาลหรือโรงพยาบาลของตนให้บริการอยู่ด้วย อย่างไรก็ดี สวัสดิการรักษาพยาบาลที่ 150

รฐั วิสาหกิจแต่ละแห่งจัดให้แก่พนักงานของตนน้ันไม่ปรากฏว่ามีแห่งใดจัดให้ด้อยไปกว่าสวัสดิการรกั ษาพยาบาลของ ขา้ ราชการเลย สาระสาคัญของสวัสดิการรักษาพยาบาลของขา้ ราชการ ในปัจจุบัน สวัสดิการรักษาพยาบาลของข้าราชการตามกฎหมายครอบคลุมถึงข้าราชการ ประจา ลูกจ้างประจา ข้าราชการบานาญ และทหารกองหนุนมีเบ้ียหวัด รวมทั้งคู่สมรสบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายไม่ เกนิ 3 คน และบดิ ามารดาด้วย ซึ่งสวัสดกิ ารนมี้ ขี อบข่ายถงึ การจ่ายเงินสวัสดิการรกั ษาพยาบาลเปน็ 2 กรณี คือ ก. การรักษาพยาบาล สาหรับการเข้ารับการรักษาประเภทผู้ป่วยในในสถานพยาบาลของทางราชการ เบิกค่า รักษาพยาบาลไดเ้ ต็มจานวนตามท่ีจา่ ยจริง ข. การตรวจสุขภาพประจาปี สาหรับเฉพาะข้าราชการ ลูกจ้างประจา และข้าราชการบานาญ (ไม่รวมครอบครัวและ บุพการี) ต้องเข้ารับการตรวจสุขภาพในสถานพยาบาลของทางราชการ และเบิกได้ตามอัตราที่กระทรวงการคลัง กาหนด 3.2 หลกั ประกนั สขุ ภาพถว้ นหนา้ (Universal Coverage; UC) หลกั ประกันสขุ ภาพถ้วนหน้า หมายถงึ สทิ ธิของประชาชนไทยทุกคนที่จะได้รับบรกิ ารสุขภาพ ท่ีมีมาตรฐานอย่างเสมอหน้า ด้วยเกียรติและศักด์ิศรีท่ีเท่าเทียมกัน โดยที่ภาระด้านค่าใช้จ่ายในการใช้บริการไม่เป็น อปุ สรรคท่ีประชาชนจะไดร้ ับสทิ ธิน้นั หลักประกนั สุขภาพถ้วนหนา้ จึงไม่ใช่สิง่ ต่อไปน้ี - ไม่ใช่ “บริการสงเคราะห์” “บริการก่ึงสงเคราะห์” “บริการราคาถูก” หรือ “บริการที่ เพยี งพอสาหรับการแกป้ ัญหาสุขภาพแบบเฉพาะหน้า” เท่าน้นั - ไม่ใช่บริการท่ีต้องมีการสมัครจึงจะได้รับ หากจาต้องเป็นสิทธิตามกฎหมายของประชาชน ไทยทุกคน - ไม่ใช่การทุ่มงบประมาณไปท่ีกระทรวงใดกระทรวงหน่ึง โดยไม่มีการประกันสิทธิของ ประชาชน แตห่ ลักประกนั สุขภาพถ้วนหน้าเปน็ องค์ประกอบสาคัญอันหน่งึ ของระบบสขุ ภาพของประเทศ รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั ไทย พ.ศ. 2540 มาตรา 52 กาหนดว่า “บุคคลยอ่ มมสี ทิ ธเิ สมอ กันในการได้รบั บรกิ ารสาธารณสขุ ทไ่ี ดม้ าตรฐาน… ตามท่กี ฎหมายกาหนด” ซ่งึ ยังไมม่ กี ฎหมายใดกาหนดวา่ ประชาชน จะได้รบั สทิ ธเิ สมอกนั ดังท่รี ฐั ธรรมนูญระบุไวแ้ ต่อยา่ งใด วัตถปุ ระสงค์ของหลักประกนั สุขภาพถว้ นหนา้ หลกั ประกันสุขภาพถ้วนหน้ามวี ัตถุประสงคห์ ลกั ในการดาเนนิ งาน ดงั นี้ 1) ความเสมอภาค (Equity) นอกจากความเสมอภาคในแงส่ ทิ ธติ ามกฎหมายแลว้ ความเสมอภาคยังรวมถงึ การกระจาย ภาระด้านค่าใชจ้ ่ายในลักษณะก้าวหน้าและเป็นธรรม และการเข้าถึงบริการทไี่ ดค้ ุณภาพมาตรฐานเพยี งพออยา่ งเสมอ กนั 2) ประสทิ ธิภาพ (Efficiency) หมายถึง ระบบที่ใช้ทรัพยากรอย่างประหยัดคุ้มค่าที่สุด โดยใช้ระบบการบริการจัดการท่ี เคร่งครัด และเน้นบริการผ่านเครอื ข่ายสถานบริการปฐมภมู ิ (Primary care networks) ซ่ึงเป็นบริการทส่ี ร้างผลลัพธ์ ด้านสขุ ภาพด้วยต้นทุนต่า 3) ทางเลือกในการรับบรกิ าร (Choice) 151

ซงึ่ ประชาชนควรมีสิทธิเลือกใชบ้ ริการท่ีหลากหลายจากผู้ให้บริการประเภทต่าง ๆ รวมถึง สถานบริการของภาคเอกชน สามารถเข้าถึงง่าย และเลือกไดอ้ ย่างมีประสิทธิภาพ 4) การ “สร้าง” ให้มสี ขุ ภาพดถี ้วนหนา้ ระบบหลกั ประกนั สขุ ภาพถ้วนหนา้ ม่งุ สกู่ ารสรา้ งสขุ ภาพดี ไมเ่ พียงพอคุม้ ครองคา่ ใชจ้ ่ายใน การรกั ษาพยาบาลเท่านัน้ โดยเนน้ ส่วนที่เป็นบรกิ ารสุขภาพส่วนบคุ คล (Personal healthcare) ท่ีเปน็ บรกิ ารสง่ เสริม สุขภาพและป้องกันภยั ตอ่ สขุ ภาพดว้ ย การบรหิ ารจัดการระบบหลักประกนั สุขภาพถ้วนหนา้ การจัดระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าขึ้นเป็นผลสาเร็จในหลายประเทศนั้น แม้จะมี รปู แบบแตกต่างกันบ้างในรายละเอียด แตค่ ุณลกั ษณะท่ีคล้ายคลึงกันของทุกประเทศก็คอื การจัดระบบควบคมุ ตลาด (Market regulation) กล่าวคือ ทุกประเทศไม่ปล่อยให้ตลาดบริการสุขภาพทางานโดยเสรีเพราะจะเกิดภาวะตลาด ล้มเหลว (Market failure) ขณะเดียวกนั ก็เปดิ โอกาสใหก้ ลไกตลาดเขา้ มาร่วมกระตุ้นการแข่งขนั ของผใู้ หบ้ รกิ ารหลาย ประเภทท้ังภาครฐั และภาคเอกชน หลักสาคัญของระบบบริหารจัดการคือ การแยกความสัมพันธ์เชิงผลประโยชน์ระหว่างผู้ซื้อ บริการออกจากผู้ให้บริการ (Purchaser-provider split) โดยรัฐมักทาหน้าที่ผู้ซ้ือบริการรายใหญ่เพ่ือควบคุมตลาด ผ่านพลงั ซ้ือรูปธรรมหนง่ึ คอื “การจดั ตง้ั กองทนุ หลักประกันสุขภาพแหง่ ชาติ” ข้ึน โดยกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติน้ี จาเป็นต้องแยกขาดออกจากกระทรวง หรือส่วน ราชการท่ีเป็นเจ้าของสถานพยาบาล เพื่อตัดความสัมพันธ์เชิงผลประโยชน์ และเพ่ือให้กองทุนสามารถรักษา ผลประโยชนข์ องประชาชนด้วยการต่อรองกบั ผ้ใู หบ้ รกิ ารทกุ ประเภทอยา่ งเปน็ ธรรม ดังนั้น สรุปได้ว่าหากจะให้การบรรลุเป้าหมายสุขภาพดีถ้วนหน้าได้เป็นผลสาเร็จ ปัจจัยที่เก่ียวข้องใน ระบบสขุ ภาพจะต้องคานึงถึงปัจจยั และองคป์ ระกอบทง้ั ภายในและภายนอกอย่างรอบคอบ ปัจจัยท่ีสาคญั อย่างมากใน ปัจจุบนั ได้แก่ ปัจจัยทางดา้ นเศรษฐกจิ โดยเฉพาะการจดั การในเร่ืองการเงินด้านสุขภาพ การจัดการทางด้านการเงิน การคลังสุขภาพจะเป็นปัจจัยท่ีสาคัญต่อระบบสุขภาพ โดยมีประเด็นสาคัญที่จะต้องพิจารณา 2 ประการ คือ 1) หลักการด้านความเป็นธรรมในแง่โอกาส และความสามารถเข้าถึงบริการสาธารณสุข และ 2) ความเป็นธรรมในการ แบกรับค่าใช้จ่ายของบริการทางสุขภาพ ซึ่งหลักการเหล่าน้ีปรากฏเป็นรูปธรรมในไทย คือหลักประกันและการ ค้มุ ครองดา้ นสขุ ภาพอนามัยของประชากรไทย อนงึ่ ในการนที้ างเลือกสาหรับการจ่ายเงนิ ให้แก่ผู้ให้บริการที่จะทาให้งบประมาณเหมาะสมกับรายจา่ ย และผู้ใหบ้ ริการตัดสนิ การรักษาตามหลักวิชาการมากท่ีสดุ คือ 1. การเหมาจา่ ยงบประมาณตามรายหัว (Capitation) สาหรบั บริการขนั้ ปฐมภมู ิ 2. จ่ายตามปริมาณการบริการ (Fee for service) สาหรบั บริการส่งเสริมสุขภาพ 3. จ่ายตามราคากลางของกลมุ่ วนิ จิ ฉัยโรค (DRGs) สาหรบั การรักษาขน้ั ทตุ ยิ ภูมิ และตติยภูมิ 4. ประชาชนควรมสี ่วนร่วมในการใชบ้ ริการโดยเฉพาะบริการข้นั ปฐมภมู ิ และบรกิ ารตามความจาเป็น 5. ประชาชนมสี ่วนร่วมในการกากับการใช้จ่ายเงิน โดยส่งเสริมการมีส่วนร่วมในคณะกรรมการบริหาร งบประมาณทีเ่ กีย่ วขอ้ งในทุกระดบั ซง่ึ สอดคล้องกบั แนวนโยบายของรัฐในรฐั ธรรมนูญ ในประเดน็ ของการกระจายอานาจและเน้นศักยภาพ การดูแลตนเองของประชาชน การมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในทุก ๆ ด้าน พร้อม ๆ กับการรับรองสิทธปิ ระชาชน ในการได้รับบริการสาธารณสุขท่ีดี และมีคณุ ภาพ ครอบคลุมประชากรให้มากท่ีสุด การเพิ่มประสทิ ธิภาพดา้ นการเงิน การคลังจะทาให้เกิดความเป็นไปไดใ้ นการคมุ้ ครองดูแลทางสขุ ภาพ และความยัง่ ยืนของระบบสุขภาพท่เี ปน็ ประโยชน์ กับประชาชนมากทีส่ ดุ ท้ังน้ี ระบบประกันสุขภาพเป็นเคร่ืองมือสาคัญในการกาหนดระบบบรกิ ารสุขภาพในทศวรรษหน้าของ ประเทศไทย เน่ืองจากระบบประกันสุขภาพจะเป็นแหล่งเงินในการสนับสนุนการจัดบริการสาธารณสุขทัง้ ของภาครัฐ และเอกชน ดังนั้น รูปแบบของระบบการบริหารจัดการ วิธีการจ่ายเงิน ตลอดจนระบบบริการที่กาหนดในระบบ 152

ประกันสุขภาพ จะเป็นตัวกาหนดทิศทางของระบบบริการสาธารณสุขของประเทศที่ส่งผลต่อประชาชนให้มีความ เข้าใจถึงสิทธิและหน้าทีเ่ มือ่ เกดิ การเจบ็ ปว่ ยตอ่ ไป ความหมายและความสาคญั สทิ ธิและหน้าทขี่ องผู้ปว่ ย หวั ใจหลักสาคญั ของการสรา้ งหลกั ประกนั สุขภาพถ้วนหนา้ ไม่ใช่เพยี งต้องการให้ประชาชนทยี่ ังไม่มี หลักประกนั ดา้ นสขุ ภาพใดเข้าถงึ บริการรกั ษาพยาบาลจากภาครัฐดว้ ยคุณภาพและเสมอภาคเทา่ น้ันหลกั การทส่ี าคัญ คอื การสร้างสุขภาพให้ประชาชนมีความสมบูรณ์แขง็ แรงทง้ั ร่างกาย จติ ใจ ผู้ท่ีเก่ียวข้องจะตอ้ งสร้างกระบวนการ ใหป้ ระชาชนไดร้ บั รู้ เข้าใจ ปฏบิ ตั ิเป็นพฤติกรรมสขุ ภาพอยา่ งถกู ต้อง ไม่เชน่ นน้ั ภารกจิ เร่ืองสขุ ภาพทัง้ หมดจะไม่มี ทางประสบความสาเร็จได้ หากประชาชนคนไทยไมม่ คี วามรับผดิ ชอบต่อสขุ ภาพของตัวเอง สทิ ธแิ ละหน้าท่ีของผู้ปว่ ย ซงึ่ พระราชบัญญตั ิสขุ ภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 ได้กล่าวถึงสทิ ธแิ ละหน้าท่ีด้านสุขภาพของคนไทยไว้ ดงั นี้ - บคุ คลมสี ทิ ธิในการดารงชวี ิตในส่ิงแวดลอมและสภาพแวดลอมทเ่ี ออื้ ตอสขุ ภาพ - บุคคลมีหนาทรี่ วมกับหนวยงานของรัฐในการดาเนนิ การใหเกิดส่งิ แวดลอมและสภาพแวดลอม - สุขภาพของหญิงในดานสุขภาพทางเพศและสุขภาพของระบบเจริญพันธุซ่ึงมีความจาเพาะซับซอน และมอี ทิ ธพิ ลตอสขุ ภาพหญิงตลอดชวงชวี ิต ตองไดรับการสรางเสริมและคุมครองอยางสอดคลองและเหมาะสม - สุขภาพของเด็ก คนพิการ คนสูงอายุ คนดอยโอกาสในสังคมและกลุมคนตาง ๆ ที่มีความจาเพาะใน เร่อื งสขุ ภาพตองไดรับการสรางเสริมและคุมครองอยางสอดคลองและเหมาะสมดวย - ขอมูลดานสุขภาพของบุคคล เปนความลับสวนบุคคล ผูใดจะนาไปเปดเผยในประการท่ีนาจะทาให บคุ คลน้ันเสียหายไมได เวนแตการเปดเผยนั้นเปนไปตามความประสงคของบุคคลนั้นโดยตรง หรือมีกฎหมายเฉพาะ บัญญัติใหตองเปดเผย แตไมวาในกรณีใด ๆ ผูใดจะอาศัยอานาจหรือสิทธิตามกฎหมายวาดวยขอมูลขาว สารของ ราชการหรือกฎหมายอื่นเพือ่ ขอเอกสารเกย่ี วกับขอมูลดานสขุ ภาพของบคุ คลที่ไมใชของตนไมได - ในการบริการสาธารณสุข บุคลากรดานสาธารณสุข ตองแจงขอมูลดานสุขภาพที่เกี่ยวของกับการให บริการใหผรู ับบริการทราบอยางเพยี งพอที่ผูรบั บรกิ ารจะใชประกอบการตัดสินใจในการรับหรือไมรบั บรกิ ารใด และใน กรณีที่ผูรับบริการปฏิเสธไมรับบริการใด จะใหบริการนั้นมิได ในกรณีท่ีเกิดความเสียหายหรืออันตรายแกผูรบั บริการ เพราะเหตุท่ีผูรับบริการปกปดขอเท็จจริงท่ีตนรูและควรบอกใหแจง หรือแจงขอความอันเปนเท็จ ผูใหบริการไมตอง รับผิดชอบในความเสียหายหรืออันตรายนัน้ เวนแตเปนกรณีทผ่ี ูใหบริการประมาทเลินเลออยาง รายแรง แตไ่ ม่ให ใชบังคบั กับกรณดี งั ตอไปนี้ (1) ผูรับบริการอยูในภาวะที่เสี่ยงอันตรายถึงชีวิตและมีความจาเปนตองใหความชวยเหลือเปนการรี บดวน (2) ผูรับบริการไมอยูในฐานะท่จี ะรับทราบขอมูลได และไมอาจแจงใหบุคคลซ่งึ เปนทายาทโดยธรรม ตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย ผูปกครอง ผูปกครองดูแล ผูพิทักษ หรือผูอนุบาลของผูรับบริการ แลวแต กรณี รบั ทราบขอมลู แทนในขณะนน้ั ได - บุคคลมีสิทธิทาหนังสอื แสดงเจตนาไมประสงคจะรบั บริการสาธารณสุขที่เปนไปเพียงเพ่ือยืดการตาย ในวาระสุดทายของชีวิตตน หรือเพ่ือยุติการทรมานจากการเจบ็ ปวยได เมื่อผูประกอบวชิ าชพี ดานสาธารณสขุ ไดปฏิบัติ ตามเจตนาของบคุ คลดังกลา่ วแลว มิใหถือวาการกระทานน้ั เปนความผดิ และใหพนจากความรับผดิ ทั้งปวง จากข้อมลู ทก่ี ล่าวมาข้างตน้ นั้นเป็นกฎหมายทม่ี ีการบังคบั ใชส้ าหรับประชาชน และเจ้าหน้าที่ของรฐั ใน ฐานะทีม่ บี ทบาทในการจดั บริการสุขภาพใหก้ ับผู้มารับบรกิ ารอยา่ งมคี ุณภาพและมาตรฐานทกี่ าหนด 153

การจัดระบบบรกิ ารสุขภาพเพอื่ รองรับการประกันสขุ ภาพ แนวคิดการจัดบริการสุขภาพ ควรเป็นการจดั บรกิ ารสขุ ภาพที่มีความครอบคลมุ การส่งเสริมสขุ ภาพการ ป้องกันโรค การรักษาพยาบาล และการฟ้ืนฟูสภาพ โดนรวมถึงทั้งบริการท่ีจัดโดยบุคลากรทางด้านสุขภาพ (Professional Care) และบริการที่จัดโดยบุคคล ครอบครัว และชุมชน (Non –Professional Care) การจัดระบบ บริการสุขภาพควรมีความเหมาะสม สอดคล้องกับความจาหรือความต้องการ และสภาพปัญหาทางด้านสุขภาพของ ประชากรท่ีเป็นกลุ่มเป้าหมายของการบริการการจัดระบบบริการสุขภาพควรเริ่มด้วยการกาหนดความจาเป็นความ ต้องการตลอดจนสภาพปญั หาท่สี าคัญทางด้านสขุ ภาพทตี่ ้องการหรือมงุ่ เน้นทีจ่ ะดาเนนิ การแกไ้ ขหลงั จากน้นั จึงทาการ ออกแบบระบบบริการสุขภาพรวมท้ังการดูแลทางด้านสาธารณสุขท่ีเหมาะสมซึ่งรูปแบบการรักษาพยาบาล การ ส่งเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค และการฟื้นฟูสภาพที่มีความเปน็ ไปได้ มีทงั้ รูปแบบการดูแลตนเอง การจดั บริการใน สถานพยาบาลรปู แบบตา่ ง ๆ เช่น สถานอี นามัย ศนู ย์สุขภาพชุมชน คลนิ กิ โรงพยาบาลเปน็ ตน้ รวมทง้ั การออกหน่วย บรกิ ารเคล่ือนทใ่ี นรปู แบบต่าง ๆ โครงสร้างระบบบริการสขุ ภาพ และระบบสง่ ตอ่ ระบบบริการสุขภาพท่ีพึงประสงค์ควรเป็นระบบบริการสุขภาพแบบบูรณาการ (Integrated Health Care System) ที่มหี ลักการและคุณสมบตั ิสาคญั คือ ให้บริการที่ครอบคลุมท้ังคุณภาพเชิงสังคมและเชิงเทคนิคบริการ และครอบคลุมบริการท่ีจาเป็นทั้งหมด ไม่มีความซ้าซ้อนของบทบาทสภานพยาบาลในระดับต่าง ๆ มีความเชื่อมโยง ระหว่างสถานพยาบาลแต่ละระดับ เป็นการเช่ือมโยงท้ังการส่งต่อผู้ป่วยและข้อมูลข่าวสารเก่ียวกับผู้ป่วย โครงสร้าง ระบบสุขภาพมีองค์ประกอบท่ีสาคัญ ประกอบด้วยบริการปฐมภูมิ บริการทุติยภูมิ บริการตติยภูมิ บริการระดับศูนย์ การแพทย์เฉพาะทางและระบบส่งต่อ นอกจากนี้ยังควรมีระบบสนับสนุนท่ีสาคัญได้แก่ ระบบสนับสนุนทรัพยากร ระบบสนับสนนุ วชิ าการและการวจิ ยั และระบบขอ้ มูลข่าวสาร ดงั นี้ 1. การบริการปฐมภูมิ (Primary Care) เป็นบริการที่อยู่ใกลช้ ิดประชาชนและชุมชนมากที่สดุ จึงเน้นท่ี ความครอบคลุม มีการบริการผสมผสาน ท้ังในด้านการรักษาพยาบาล การส่งเสริมสุขภาพ การป้องกันควบคุมโรค ฟื้นฟูสภาพ จัดบริการปฐมภูมิในเขตพื้นท่ีชนบท สถานีอนามัย ศูนย์สุขภาพชุมชน สาหรับในเขตเมืองอาจเป็น ศนู ย์บริการสาธารณสขุ ของกรุงเทพมหานครหรือศูนย์แพทย์ชมุ ชน 2. การบริการทุติยภูมิ (Secondary Care) เป็นบริการที่ใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ในระดับที่สูงข้ึน เน้นการบรกิ ารรักษาพยาบาลโรคทย่ี าก ซับซอ้ นมากขึ้น ได้แก่ โรงพยาบาลชมุ ชนในระดบั อาเภอ โรงพยาบาลทัว่ ไปใน ระดบั จงั หวัด และโรงพยาบาลในสงั กดั กระทรวงกลาโหม 3. การบริการตติยภูมิ และศูนย์การแพทย์เฉพาะทาง (Tertiary Care and Excellent Center) เป็น การบริการที่ใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ข้ันสูง มีความสลบั ซับซ้อนมาก มีบุคลากรทางการแพทย์ในสาขาเฉพาะทาง สังกัดกระทรวงสาธารณสุขที่เป็นโรงพยาบาลศูนย์ สถาบนั เฉพาะทางต่าง ๆ หรือสังกัดมหาวิทยาลยั เชน่ โรงพยาบาล ในโรงเรยี นแพทย์ เปน็ ต้น (รายละเอียดตามภาพประกอบที่ 8.1) 154

ภาพท่ี 8.1 ระบบบริการสุขภาพของประเทศไทย ซึ่งระบบส่งต่อผู้ป่วยจะสนับสนุนให้เกิดการจัดบริการท่ีมีคุณภาพและมาตรฐานในแต่ละระดับของ สถานพยาบาล เพื่อรองรับการเจ็บป่วยที่มีความรุนแรงที่แตกต่างกันของประชาชน โดยเป็นไปตามตามรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 บัญญัติว่า รัฐต้องจัดและส่งเสริมการสาธารณสุขให้ประชาชนได้รับบริการท่ีได้ มาตรฐานและมีประสทิ ธิภาพอย่างทว่ั ถงึ ต่อไป ในสว่ นของเจ้าหน้าที่ภาครฐั ก็จะต้องปรบั แนวคดิ และบทบาทจากผปู้ ฏบิ ัติ ผสู้ ั่งการ หรือคิดตัดสนิ ใจ ทา แทนประชาชน ควบคุม ตรวจสอบ และประเมินผล เพื่อสนองงานหรือความต้องการของหน่วยงาน ให้มาทาหน้าที่ เป็นผู้สนับสนุนและสร้างกลไกปจั จยั ทเ่ี อ้ืออานวยตอ่ การพฒั นาระบบสขุ ภาพภาคประชาชน เป็นหนุ้ สว่ นการทางานซึ่ง กันและกัน เป็นพี่เลี้ยงเคียงข้างประชาชน ด้วยความจริงใจ มีความหนักแน่น ให้ขอ้ มูลขา่ วสารท่ีถูกต้องแก่ประชาชน เป็นผู้ลดความขัดแย้งในการทางาน สร้างความร่วมมือทุกระดับ สร้างความพร้อมและความสามารถในการทางาน ให้แก่ทีมงาน สร้างพลังปัญญาอย่างรู้เท่าทันให้แก่ประชาชน เป็นผู้ขายแนวคิดระบบสุขภาพภาคประชาชน เป็นผู้ กระตุ้นให้มีการใช้ทุนทางสังคมของท้องถ่ิน ทางานเป็นเครือข่าย และเจ้าหน้าท่ีต้องรู้บทบาทตนเอง รู้ว่าอะไรคือ ปัญหาของชุมชน สามารถถ่ายทอดให้ชุมชนได้ ซึ่งจุดสาคัญนั้นประชาชนต้องวินิจฉัยปัญหาได้ด้วยตัวเอง เจ้าหน้าท่ี เป็นเพียงผู้แนะนาการวางแผนอย่างง่าย การจัดอันดับความสาคัญของปัญหา การเตรียมวิธีแก้ปัญหาท่ีง่าย โดย กระบวนการทัง้ หมดน้นั ประชาชนจะตอ้ งเป็นผู้คดิ ตดั สินใจทาดว้ ยตนเอง ตามวธิ กี ารของประชาชนเอง สาหรับประชาชนเองก็จะต้องเป็นผู้สร้างความเข้มแข็งขององค์กรด้วยตนเอง โดยเปล่ียนจากผู้รับมา เป็นผู้ลกุ ข้ึนมากระทา ลดการพ่ึงพาและพ่งึ พิงผู้อืน่ ค้นหากัลยาณมติ ร สารวจขอ้ มูลชุมชนของตนเอง วเิ คราะห์ข้อมูล ชุมชนและสังคม องค์ความรู้ของตนเอง มีการรับรู้ข้อมูลอย่างเป็นเหตุเป็นผล และใช้ข้ อมูลอย่างมีเหตุมีผล สมเหตุสมผลในการทาแผนแบบมีสว่ นร่วมของชมุ ชน เพ่อื การพ่งึ ตนเอง เป็นต้น ดังน้ัน ประชาชนในชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เจ้าหน้าท่ีภาครัฐ และองค์กรเอกชน จะต้อง สร้างจุดยืนร่วมกันในการดูแลสุขภาพของคนในชุมชนภายใต้สิทธิและหน้าท่ีเพื่อการเข้าถึ งการประกันสุขภาพของ ประชาชนในแต่กลุ่ม มองเห็นเป้าหมายในทิศทางเดียวกัน โดยร่วมกันสร้างความปรารถนาและสร้างสะพานสู่ความ ปรารถนาร่วมกันของชุมชนว่าตอ้ งการเห็นชุมชนมีหน้าตาเป็นอยา่ งไร จะไปให้ถึงจุดหมายได้อย่างไร แล้วแปลงความ ปรารถนาหรือความต้องการของชุมชนให้เป็นแผนปฏิบัติหรือเป็นรูปธรรมที่ต่อเนื่อง เป็นจริง สัมผัสได้ วัดได้ และ ประเมินผลได้ต่อไป 155

เอกสารอา้ งองิ Doyle C, Metcalfe O, and Devlin J. (2003). Health Impact assessment; a practice guidance manual. Duvlin & Belfast: Institute of Public Health in Ireland. Promasatayaprot V., Pongpanich S., Hughes D., and Glangkarn, S. (2009). The Adjustment of the Universal Health Insurance by the Health Policy Strategic Planning and Health Economics in Thailand. Journal of Health Education, January - April 2009; Vol. 32 No. 111 pp. 71-87. Promasatayaprot V., Pongpanich S., Hughes D., and Srithamrongsawat S. (2012). Universal coverage health care reforms of Thailand: researching the role of the local fund health security in local government purchasers in the north-eastern region of Thailand. Journal of Medicine and Medical Sciences, January 2012; Vol. 3(1) pp. 049-059. พระราชบญั ญัตสิ ุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550. วรพจน์ พรหมสตั ยพรต. (2550). การบรหิ ารงานสาธารณสขุ ทอ้ งถิน่ . พมิ พค์ รง้ั ที่ 1. กรุงเทพมหานคร: บรษิ ทั ธนา เพรส จากัด. วรพจน์ พรหมสตั ยพรต. (2561). เศรษฐศาสตรส์ าธารณสุข. พมิ พ์ครง้ั ท่ี 14. มหาสารคาม: สารคามการพิมพ์ - สาร คามเปเปอร.์ วรพจน์ พรหมสตั ยพรต. (2561). ระบบประกันสุขภาพ. พมิ พค์ รัง้ ท่ี 10. มหาสารคาม: สารคามการพิมพ์ - สารคามเป เปอร์. วรพจน์ พรหมสัตยพรต. (2562). การบริหารงานสาธารณสขุ . พิมพ์ครงั้ ที่ 2. มหาสารคาม: สารคามการพิมพ์ - สาร คามเปเปอร.์ วรพจน์ พรหมสตั ยพรต. (2562). หมออนามยั กบั การประกอบวชิ าชพี การสาธารณสุขชมุ ชน. วารสารหมออนามัย ปที ่ี 26 ฉบบั ท่ี 1 (มกราคม – มิถนุ ายน). หนา้ 15 – 18. 156

ใบงาน/ใบกจิ กรรม/แบบทดสอบท้ายบท ชื่อ-สกุล............................................................................. รหสั ประจาตัวนิสิต........................................................... ชื่อรายวิชา การดแู ลและการสรา้ งเสริมสขุ ภาพแบบองค์รวม (Holistic Health Promotion) รหัสวชิ า 0042003 กลุ่มทเี่ รียน .................. ใบงานท่ี ............................. วันท่ี ...................................................................................... คาส่ัง: ให้นิสติ ตอบคาถามดังตอ่ ไปนี้ใหถ้ ูกต้อง 1) จงอธบิ ายถึงความหมายและความสาคญั ของหลักการประกนั สขุ ภาพมาพอสังเขป พรอ้ มยกตวั อย่างการ จาแนกรปู แบบการประกนั สุขภาพตา่ ง ๆ ของประเทศไทย …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2) จงอธบิ ายถึงความสาคัญของสทิ ธปิ ระชาชนไทย ในการเข้าถึงการประกนั สุขภาพในประเทศไทยมาพอ สงั เขป พรอ้ มยกตวั อย่างประกอบ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3) จงอธบิ ายถงึ สิทธแิ ละหนา้ ทีข่ องผู้ปว่ ยมาพอสงั เขป พรอ้ มยกตวั อย่างประกอบ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 4) จงอธิบายถึงโครงสร้างของระบบบรกิ ารสุขภาพของสถานพยาบาลในแตล่ ะระดบั มาพอสงั เขป พรอ้ ม ยกตัวอย่างประกอบ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 157

ภาคผนวก รายนามอาจารยผ์ เู้ ขียน/เรียบเรยี ง เอกสารประกอบการสอนรายวิชาการดูแลสขุ ภาพแบบองคร์ วม บทที่ เร่อื ง อาจารย์ผ้เู ขียน/เรยี บเรียง 1 แนวคดิ การดแู ลสุขภาพแบบองคร์ วม สขุ อนามัยและการ ผศ.ขวัญใจ ศกุ รนนั ทน์ ปอ้ งกันโรค 2 การดแู ลสุขภาพกายและการปอ้ งกันโรคทีพ่ บบ่อยในช่วงวยั รศ.ดร.สุมัทนา กลางคาร ต่าง ๆ ในระดับเบ้ืองต้น ตอนท่ี 1 การดแู ลสุขภาพกายและการปอ้ งกนั โรคทีพ่ บบ่อยในช่วงวยั อ.สุไวย์รนิ ทร์ ศรีชัย ต่าง ๆ ในระดับเบื้องต้น ตอนที่ 2 3 การประเมนิ สุขภาพจิตและการจดั การปัญหาสุขภาพจิต อ.สรุ ชาติ สทิ ธิปกรณ์ เบ้อื งตน้ ตอนท่ี 1-2 4 ความสัมพันธ์ ความรัก การเตรียมความพร้อมสู่การมี รศ.ดร.วัลยา สทุ ธขิ า ครอบครัวและการวางแผนครอบครัว ตอนท่ี 1 ความสัมพนั ธ์ ความรัก การเตรียมความพร้อมสู่การมี อ.ชลลดา ทอนเสาร์ ครอบครวั และการวางแผนครอบครัว ตอนท่ี 2 5 กฎหมายทเ่ี ก่ียวข้องกับการล่วงละเมดิ ทางเพศ ตอนที่ 1-2 รศ.ดร.ชยั สทิ ธ์ิ สทิ ธิเวช 6 การดูแลสขุ ภาพดว้ ยภูมปิ ัญญาไทยและสากลภายใตห้ ลกั ผศ.วัลลภา ลลี านนั ทกุล เศรษฐกจิ พอเพียงทส่ี อดคล้องกับบริบทไทยและวถิ ีชวี ติ ไทย ตอนที่ 1-4 7 สทิ ธปิ ระกนั สุขภาพในประเทศไทยและสิทธแิ ละหน้าที่ของ รศ.ดร.วรพจน์ พรหมสตั ยพรต ผปู้ ว่ ย 158


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook