Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หน้าที่พลเมืองและศีลธรรม

หน้าที่พลเมืองและศีลธรรม

Published by panyaponphrandkaew2545, 2020-02-09 21:03:04

Description: หน้าที่พลเมืองและศีลธรรม

Search

Read the Text Version

บทที่ 1 สถาบันทางสังคมและบรรทดั ฐานทางสังคม สถาบันทางสงั คม เม่อื คนมาอาศยั อยรู่ วมกนั และสรา้ งความสมั พนั ธข์ นึ้ ระหวา่ งกนั ความสมั พนั ธเ์ หลา่ นนั้ จะเช่ือโยงกนั ไปมาเสมือนเป็นแบบแผนท่ีม่นั คง หากจดั แบง่ ความสมั พนั ธเ์ หลา่ นีอ้ อกเป็นเร่อื งๆ กจ็ ะเห็นกลมุ่ ความสมั พนั ธท์ ่มี ีลกั ษณะคลา้ ยคลงึ กนั เราเรยี กกลมุ่ ความสมั พนั ธใ์ นเร่อื งหนงึ่ ๆวา่ “สถาบนั ทางสงั คม(social institution)” ซง่ึ จะทาหนา้ ท่ีตอบสนองความตอ้ งการของสมาชิกในสงั คม สถาบนั ทางสงั คมตามนยั แห่งสงั คมวิทยานนั้ มิใชจ่ ะปรากฏออกมาในรูปท่เี ป็น ทางการ เช่น การอยรู่ วมกนั เป็นครอบครวั ในบา้ นแหง่ หนง่ึ (สถาบนั ครอบครวั ) ธนาคาร สานกั งาน ตลาดสด (สถาบนั ทางเศรษฐกิจ) โรงเรยี น วิทยาลยั มหาวิทยาลยั (สถาบนั การศกึ ษา) เทา่ นนั้ แตร่ วมไปถึงรูปแบบท่ไี มเ่ ป็นทางการดว้ ย ซง่ึ ในแตล่ ะ สงั คม จะมีสถาบนั ทางสงั คมท่ีเป็นพืน้ ฐาน ดงั นี้ องคป์ ระกอบของสถาบันทางสงั คม 1.องคก์ ารทางสงั คม ไดแ้ ก่ สถานภาพ บทบาท การควบคมุ ทางสงั คม การจดั ระดบั ความสาคญั ของบคุ คลตาม สถานภาพและคา่ นิยม 2.หน้าทข่ี องสถาบันทางสังคม คอื ภาระผกู พนั ท่สี ถาบนั จะตอ้ งกระทาเพ่อื สนอง ความตอ้ งการของสงั คม 3.ระเบยี บแบบแผนในการปฏบิ ัติ คือ วิถีทางในการปฏบิ ตั ิเพ่ือใหอ้ ยรู่ ว่ มกนั ใน สถาบนั ของสงั คม บรรทดั ฐานทางสังคม

บรรทดั ฐานทางสงั คมแบง่ เป็ น 3 ประเภท คอื 1. วิถีประชา (Folkways) เป็นแบบแผนในการปฏิบตั ิหนา้ ท่ีท่ที กุ คนในสงั คมปฏบิ ตั ิ กนั โดยท่วั ไปจนเกิดเป็น ความเคยชิน ไมต่ อ้ งมีศีลธรรมและกฎหมายบงั คบั ผไู้ ม่ ปฏบิ ตั ิตาม ก็ไมไ่ ด้ รบั โทษ เพียงแคถ่ กู นินทา เชน่ ในการรบั ประทานอาหาร ควรใช้ ชอ้ นกลาง ตกั อาหาร หากไมใ่ ชช้ อ้ นกลางก็ไมม่ คี วามผิด เป็นแค่ถกู ตาหนิวา่ ไมม่ ี มารยาทในการรบั ประทาน วถิ ีประชาแต่ละสงั คม มีความแตกตา่ งกนั ไป แตล่ ะสงั คม จงึ ทาใหม้ วี ฒั นธรรมแตกต่างกนั ไป 2. จารตี (Mores) มคี วามหมายเหมอื นคาวา่ “ศลี ธรรม” จารตี เป็นบรรทดั ฐานท่ีทกุ คนในสงั คม จะตอ้ งกระทาเป็นกระบวนการ พฤตกิ รรมท่จี าเป็นตอ่ ความเป็นระเบียบ เรยี บรอ้ ย และ สวสั ดิภาพของสงั คม จารตี มคี วามสาคญั กวา่ วิถีประชา เป็นเรอ่ื งของ ความรูส้ กึ วา่ ส่ิงใดผดิ สิ่งใดถกู ผใู้ ดฝ่าฝืนจะถกู สงั คมลงโทษ หรอื ไดร้ บั การตาหนิ อย่างรุนแรง ในสงั คมไทยมีจารตี บางอย่างท่ีสาคญั มาก แมม้ ิไดน้ าไปบญั ญตั เิ ป็น กฎหมาย เชน่ ความกตญั ญู ระบบอาวโุ ส ความซ่อื สตั ยร์ ะหวา่ งสามี ภรรยา การ แสดงความเคารพผใู้ หญ่ ฯลฯ 3. กฎหมาย (Laws) หมายถงึ กฎเกณฑห์ รอื ขอ้ บงั คบั ท่รี ฐั บญั ญตั ขิ นึ้ เป็นลายลกั ษณ์ อกั ษรโดยองคก์ ารทางการเมอื งการปกครองและไดร้ บั การรบั รองจากองคก์ ารของรฐั เพ่ือควบคมุ บคุ คลในสงั คม หากผใู้ ดฝ่าฝืนยอ่ มไดร้ บั การลงโทษตามกฎหมาย ไดแ้ ก่ ระเบยี บ ขอ้ บงั คบั พระราชกาหนด พระราชกฤษฎีกา และพระราชบญั ญตั ิ หากผใู้ ด ฝ่าฝืน ตามปกตยิ ่อมถกู ลงโทษตามท่ีกาหนดไว้ บทบาท ความสาคญั ของสถาบนั ทางสงั คมและบรรทดั ฐานทางสงั คม 1. สถาบนั ครอบครัว

คือ แบบแผนพฤติกรรมของคนท่มี าตดิ ตอ่ เก่ียวขอ้ งกนั ในเร่อื งเก่ียวกบั ครอบครวั และเครอื ญาติ น่นั คอื คนท่ีเป็นญาตกิ นั โดยสายเลอื ด เชน่ พอ่ แม่ พ่นี อ้ ง และเป็นญาตกิ นั ทางการแตง่ งาน เช่น สามภี รรยา เขยสะใภ้ หรอื การรบั ไวเ้ ป็นญาติ เชน่ บตุ รบญุ ธรรม เป็นตน้ คนเหลา่ นีจ้ ะตอ้ งปฏิบตั ติ ามกฎเกณฑแ์ บบแผนท่ีสงั คม เป็นผกู้ าหนดขนึ้ รวมเรยี กวา่ “สถาบนั ครอบครวั ” บทบาทและหนา้ ท่ีของสถาบนั ครอบครวั คอื การใหส้ มาชิกใหมก่ บั สงั คม ดแู ล และทานบุ ารุง รวมทงั้ ถา่ ยทอดวฒั นธรรมใหแ้ กส่ มาชิกท่ีกาเนิดขนึ้ มาในสงั คม ตลอดจนกาหนดแนวปฏบิ ตั เิ ก่ียวกบั ความสมั พนั ธข์ องสมาชิกในครอบครวั เชน่ การ เลอื กคู่ การหมนั้ การแตง่ งาน เป็นตน้ สถาบนั ครอบครวั เป็นสถาบนั พืน้ ฐานแรกสดุ ท่ีมีความสาคญั อย่างย่ิง เพราะ เป็นจดุ เรม่ิ ตน้ ของสถาบนั อ่ืน ๆ ในสงั คม และทาหนา้ ท่อี บรมขดั เกลาใหส้ มาชิกใน ครอบครวั เป็นคนดีของสงั คม 2. สถาบนั เศรษฐกจิ คอื แบบแผนการคดิ การกระทาเก่ียวกบั เรอ่ื งของการผลิตสินคา้ และ บรกิ าร การจาหนา่ ยแจกจา่ ยสนิ คา้ และการใหบ้ รกิ ารตา่ ง ๆ รวมทงั้ การบรโิ ภคของ สมาชิกในสงั คม สถาบนั เศรษฐกิจเป็นกฎเกณฑข์ อ้ บงั คบั ท่ีลกู จา้ ง นายจา้ ง เจา้ ของโรงงาน ธนาคาร และผผู้ ลิตสนิ คา้ และบรกิ ารจะตอ้ งปฎบิ ตั ติ าม แมแ้ ตผ่ ปู้ ระกอบการอสิ ระ และเกษตรกร ก็จะตอ้ งปฎบิ ตั ิตามกฎเกณฑข์ องการประกอบอาชีพท่ีดเี ช่นเดียวกนั สถาบนั เศรษฐกิจเป็นความสมั พนั ธใ์ นแงข่ องการผลติ การแลกเปล่ียน และ การบรโิ ภค ซง่ึ การปฎสิ งั สรรคก์ นั ทางสงั คมในแง่นี้ อาจเป็นความสมั พนั ธร์ ะหวา่ ง

สมาชิกในครอบครวั และญาติ หรอื กบั บคุ คลอ่ืน ทงั้ ท่อี าศยั อยใู่ นสงั คมเดยี วกนั หรอื ตา่ งสงั คมกนั ได้ บทบาทและหนา้ ท่ีของสถาบนั เศรษฐกิจ คือ สรา้ งแบบแผนและเกณฑใ์ นการ ผลิตสินคา้ ใหไ้ ดม้ าตรฐาน กาหนดกลไกราคาท่ีเหมาะสม รวมทงั้ ผลิตเคร่อื งอปุ โภค และบรโิ ภคและเทคโนโลยี ซง่ึ คนๆ เดยี วมาสามารถท่จี ะกระทาหรอื ผลติ เพ่ือ ตอบสนองความตอ้ งการไดท้ งั้ หมด จงึ ตอ้ งพ่งึ พาอาสยั คนอ่ืนใหช้ ว่ ยทาใหไ้ ดผ้ ลผลติ ท่ี เป็นอาหารและของใช้ สง่ ผลใหค้ นเราตอ้ งมีความสมั พนั ธก์ บั คนอ่ืนๆ และภายหลงั ท่ี ผลิตขนึ้ มาไดแ้ ลว้ ก็จาเป็นตอ้ งนาไปแลกเปลี่ยนกบั ของชนดิ อ่ืนท่เี ราไมไ่ ดท้ าขนึ้ เอง กระบวนการแลกเปล่ยี นจงึ เป็นหวั ใจสาคญั ของความสมั พนั ธข์ องคนในสงั คม โดยเฉพาะอยา่ งย่งิ ในยคุ ปัจจบุ นั ท่มี ีการผลิตสินคา้ และบรกิ ารจานวนมาก 3. สถาบันการเมืองการปกครอง คือแบบแผนการคดิ การกระทาท่ีจะแตกตา่ งกนั ออกไปในแตล่ ะสงั คมโดย ขนึ้ อยกู่ บั ปรชั ญาความเช่ือพืน้ ฐานของคนในสงั คมวา่ ตอ้ งการจะใหเ้ ป็นแบบเสรี ประชาธิปไตย หรอื แบบสมบรู ณญาสทิ ธิราช หรอื แบบคอมมวิ นิสต์ เม่ือไดเ้ ลอื ก รูปแบบการปกครองแลว้ ก็ตอ้ งจดั การบรหิ ารการปกครองใหเ้ ป็นไปตามปรชั ญา การเมอื งแบบนนั้ ๆตามแนวทางท่ีเหน็ วา่ ถกู ตอ้ งและเหมาะสม บทบาทและหนา้ ท่ีของสถาบนั การเมืองการปกครองท่ีสาคญั คอื การรกั ษา ความม่นั คงปลอดภยั ของชาติ บาบดั ทกุ ขบ์ ารุงสขุ ใหร้ าษฎร สรา้ งความม่นั คงและ รกั ษาสิทธิประโยชนข์ องประเทศชาติ รวมทงั้ สรา้ งความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งประเทศ โดย จะครอบคลมุ ทงั้ ในระดบั ชาติ และระดบั ทอ้ งถ่ิน ซง่ึ บางสว่ นจะทาหนา้ ท่ีในการตรา กฎหมายและกฎระเบียบขอ้ บงั คบั และบางสว่ นจะทาหนา้ ท่ีบรหิ ารงาน เพ่ือใหส้ งั คม ดารงอยแู่ ละพฒั นาตอ่ ไปได้ โดยในระดบั ชาติ เช่น นกั การเมือง นายกรฐั มนตรี

รฐั มนตรี ผพู้ ิพากษา เป็นตน้ และในระดบั ทอ้ งถ่ิน เช่น ผใู้ หญ่บา้ น กานนั สมาชิก องคก์ ารบรหิ ารสว่ นตาบล เทศบาล เป็นตน้ 4. สถาบนั การศกึ ษา สถาบนั การศกึ ษา คอื แบบแผนของการคดิ และกระทาท่ีเก่ียวขอ้ งกบั การ อบรมใหก้ ารศกึ ษาแก่สมาชิกใหมข่ องสงั คม รวมทงั้ ถ่ายทอดวฒั นธรรมจากคนรุน่ หน่งึ ไปยงั อีกรุน่ หน่งึ ดว้ ย สถาบนั ทางการศกึ ษาเป็นสถาบนั ท่ีครอบคลมุ ในเรอ่ื งท่ีเก่ียวกบั หลกั สตู ร การสอบเขา้ การเรยี นการสอน การฝึกอบรมในดา้ นตา่ ง ๆ บทบาทและหนา้ ท่ีของสถาบนั การศกึ ษา คอื สง่ เสรมิ ใหส้ มาชิกในสงั คมเกิด ความเจรญิ งอกงามในดา้ นตา่ ง ๆ เช่น ดา้ นวิทยาศาสตร์ ดา้ นการวจิ ยั เป็นตน้ สง่ เสรมิ ใหบ้ คุ คลเป็นคนดี มีศีลธรรม มีคา่ นิยมท่ดี งี าม รูจ้ กั สิทธิหนา้ ท่ีท่ตี นพงึ ปฏิบตั ิ ตอ่ สงั คมและประเทศชาติ รวมทงั้ สง่ เสรมิ ใหเ้ กิดการเปลีย่ นแปลงและการปฏริ ูปสงั คม เบอื้ งตน้ การอบรมขดั เกลาสมาชิกของสงั คมเป็นหนา้ ท่ีของครอบครวั สว่ น การจดั การการศกึ ษาเพ่ือใหเ้ ยาวชนมคี วามรู้ มคี ณุ ธรรมและวิชาชีพต่าง ๆเพ่ือจะได้ นาไปใชใ้ นการดาเนินชีวิตสว่ นใหญ่จะเป็นหนา้ ท่ีของรฐั และเอกชนจดั การให้ โดยจะ จดั เป็นโรงเรยี นท่มี ีครูอาจารยแ์ ละเจา้ หนา้ ท่รี ว่ มมือในการจดั การศกึ ษาใหก้ บั เยาวชน 5.สถาบนั ศาสนา สถาบนั ศาสนา คอื แบบแผนการคดิ และการกระทาของสถาบนั ท่ีเก่ียวพนั ระหวา่ ง สมาชิก ของสงั คมกบั นกั บวช คาสอน ความเช่ือ สิ่งศกั ดิส์ ิทธิ์ อานาจท่ีนอกเหนือ ธรรมชาติ และกฎเกณฑท์ างศีลธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี และวฒั นธรรมของ สงั คม การนบั ถือศาสนาจะเก่ียวพนั กบั การดาเนนิ ชีวติ ของคนอยา่ งใกลช้ ิด โดยเฉพาะ อยา่ งงย่ิงในโอกาสสาคญั ต่าง ๆของชีวติ หรอื ช่วงเวลาท่ีผา่ นพน้ จากสถานภาพหน่งึ

ไปยงั อีกสถานภาพหนง่ึ บทบาทและหนา้ ท่ีของสถาบนั สงั คมคือ เป็นศนู ยร์ วมความ ศรทั ธา สรา้ งแบบแผนแนวทางการดาเนินชีวิตของสมาชิกในสงั คม 6.สถาบันนันทนาการ สถาบนั นนั ทนาการ คอื แบบแผนการคดิ และการกระทาท่ีเก่ียวขอ้ งกบั การพกั ผ่อน หยอ่ นใจ หลงั จากการทางานท่ีเหนด็ เหน่ือยของคนในสงั คม เพ่อื ใหก้ ารดารงชีวติ มี ความสขุ สมบรู ณม์ ากย่ิงขนึ้ บทบาทและหนา้ ท่ีของสถาบนั นนั ทนาการ คือการทาใหค้ นในสงั คมผอ่ นคลายความ ตงึ เครยี ดเพ่มิ พนู อนามยั ท่ีดี ใชเ้ วลาวา่ งใหเ้ ป็นประโยชนใ์ นทางสรา้ งสรรคต์ า่ งๆ รวมทงั้ สนองความตอ้ งการทางสงั คม ในรูปแบบความบนั เทงิ ตา่ งๆ เชน่ ศิลปะ การละเลน่ การกีฬา เป็นตน้ โดยผลท่ีตามมานอกจากความผอ่ นคลาย ความ เพลิดเพลินใจแลว้ ก็คือทาใหม้ ลี ะคร ภาพยนตร์ งานบนั เทงิ มหรสพ คนตรี ฟอ้ นรา ขนึ้ มาในสงั คม สถาบนั นนั ทนาการจาเป็นทีจะตอ้ งมีบคุ คลวธิ ีการสาหรบั ดาเนนิ การ และการฝึกฝน เป็นระยะเวลานานจนเกิดความชานาญจนทาใหก้ ารแสดงสมจรงิ สามารถสรา้ งความ เพลิดเพลนิ บนั เทิงใจแก่คนท่วั ไปได้ ดงั นนั้ ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งศิลปิน ผจู้ ดั การ และ คนดทู ่วั ไปจงึ เกิดขนึ้ และสอดคลอ้ งกนั และกนั 7.สถาบนั สื่อสารมวลชน สถาบนั สื่อสารมวลชน คอื แบบแผนการส่อื สารระหวา่ งบคุ คลในสงั คมท่ีมีการขยายตวั กวา้ งใหญ่ขนึ้ ครอบคลมุ อาเภอ จงั หวดั ประเทศ และโลก โดยแบบแผนดงั กลา่ ว เกิดขนึ้ เพ่ือลดขอ้ จากดั ในแง่ของระยะทางและเวลา ในรูปของหนงั สือพมิ พ์ วิทยุ โทรทศั น์ และอินเทอรเ์ น็ต

บทบาทและหนา้ ท่ีของสถาบนั สอ่ื สารมวลชน คอื การสง่ ขา่ วสาร นาเสนอความ คดิ เห็นของประชาชนออกไปสสู่ าธารณชนเพ่ือใหร้ บั รูข้ า่ วสารทนั กบั ความ เปลยี่ นแปลงของสงั คมทงั้ ในประเทศและตา่ งประเทศ ตรวจสอบการทางานของ บคุ คลและกลมุ่ คนท่ีทางานเพ่ือสว่ นรวม เชน่ นกั การเมือง ขา้ ราชการ ใหม้ คี วาม โปรง่ ใส ยตุ ธิ รรม และเป็นประโยชนต์ อ่ บา้ นเมอื งมากท่ีสดุ นอกจากนี้ สอ่ื มวลชนยงั มี หนา้ ท่ีถ่ายทอดวฒั นธรรมใหค้ วามบนั เทิงและชว่ ยพฒั นาคณุ ภาพชีวิตแก่ผรู้ บั สารใน ปัจจบุ นั นอกจากนี้ สถาบนั สือ่ สารมวลชนยงั ทาหนา้ ท่ีใหค้ วามรูแ้ ก่ประชาชนทกุ เพศทกุ วยั ใน แขนงตา่ ง ๆ โดยยปัจจบุ นั สอื่ มวลชนไดผ้ ลิตสือ่ ออกมาหลายรูปแบบมากขนึ้ เช่น รูปแบบของส่อื อเิ ล็กทรอนิกสท์ ่บี รรจเุ นือ้ หาสาระของความรูท้ กุ แขนงสปู่ ระชาชนโดย ไมจ่ ากดั เวลา สถานท่ี เพศ และวยั เป็นตน้ ทาใหส้ งั คมปัจจบุ นั กลายเป็นสงั คมแหง่ ความรู้ บรรทดั ฐานทางสงั คม คือ แบบแผน กฎเกณฑข์ อ้ บงั คบั หรอื มาตรฐาน ในการปฏิบตั ิ ของคนในสงั คมซง่ึ สงั คมยอมรบั วา่ สมควรจะปฏบิ ตั ิ เชน่ บดิ า มารดา ตอ้ งเลยี้ งดบู ตุ ร บตุ รตอ้ งมคี วามกตญั ญตู อ่ บิดา มารดา ขา้ ราชการตอ้ งบรกิ ารประชาชน พระสงฆต์ อ้ ง รกั ษาศลี และเป็นท่พี ง่ึ ทางใจ ของประชาชน ฯลฯ ความสมั พนั ธข์ องสถาบนั ทางสังคม 1. ความสัมพนั ธท์ างตรง เป็นความสมั พนั ธท์ ่มี ีลกั ษณะเก่ียวขอ้ งกนั โดยตรง มี การพบปะพดู คยุ กนั เชน่ สถาบนั ครอบครวั มคี วามสมั พนั ธก์ บั สถาบนั การศกึ ษา เม่ือ ผปู้ กครองสง่ บตุ รหลานไปโรงเรยี นใหอ้ ยภู่ ายใตก้ ารอบรมส่งั สอนของครู ก็จะมกี าร แลกเปลี่ยนขอ้ มลู ปฏิสมั พนั ธก์ นั ระหวา่ งผปู้ กครองและครู เพ่ือพฒั นาศกั ยภาพของ นกั เรยี น หรอื สถาบนั การศกึ ษามีความสมั พนั ธก์ บั สถาบนั เศรษฐกิจ โดย

สถาบนั การศกึ ษาจดั ทาหลกั สตู รการเรยี นการสอนใหส้ อดคลอ้ งกบั ความตอ้ งการของ ตลาดแรงงาน เป็นตน้ 2.ความสัมพนั ธท์ างอ้อม เป็นความสมั พนั ธท์ ่ไี มไ่ ดเ้ ก่ียวขอ้ งกนั โดยตรง โดยปกติ คนเราตอ้ งเก่ียวพนั กบั คนอ่ืนท่ตี งั้ อยหู่ า่ งออกไป ในขณะท่คี นเมืองใหญ่ท่คี นทงั้ สงั คม เก่ียวขอ้ งอยา่ งจากดั แตค่ วามสมั พนั ธท์ างออ้ ม ก็เกิดขนึ้ ไดเ้ ช่นกนั ตวั อยา่ งเช่น การ เป็นคนไทยเชน่ เดยี วกนั การนบั ถือศาสนาเดยี วกนั กบั คนอ่ืนๆในสงั คม เป็นตน้ ปัจจบุ นั ความกา้ วหนา้ ทางการส่อื สารและคมนาคมขนสง่ เป็นไปอยา่ งสะดวกขนึ้ ทา ใหร้ ะยะหา่ งทางสงั คมแคบลง คนท่ไี มร่ ูจ้ กั กนั อาจมีความสมั พนั ธท์ างตรงต่อกนั โดย ผา่ นทางเคร่อื งมือส่อื สาร จดหมายอเิ ล็กทรอนิกส์ และการพดู คยุ ผ่านเครอื ข่าย อนิ เตอรเ์ นต็ ได้ จนกอ่ ใหเ้ กิดความสมั พนั ธใ์ นแงต่ ่าง ๆมากขนึ้ ดงั นนั้ สถาบนั ทางสงั คม เป็นองคป์ ระกอบหน่งึ ของโครงสรา้ งทางสงั คมท่ีเก่ียวกบั การกาหนดกฏระเบยี บ มาตรฐาน และแนวทางความประพฤตขิ องคนในสงั คมใหป้ ฏบิ ตั ติ าม บทท่ี 2 สงั คมไทย ปัญหา สังคมไทย คุณธรรม จรยิ ธรรม และค่านิยมทคี่ วรปลูกฝังในสังคมไทย สังคมไทย ความหมายของสงั คมไทย ศาสตราจารยพ์ ระยาอนุมานราชธน ไดอ้ ธิบายความหมายของสงั คมไทยไวว้ า่ สงั คมไทย หมายถงึ ชนทกุ กลมุ่ ท่ีดารงชีวติ อยรู่ ว่ มกนั โดยมีวฒั นธรรมไทยเป็นพืน้ ฐาน ในการดาเนนิ ชีวิต สงั คมไทยมิไดเ้ นน้ เฉพาะชนเชือ้ ชาตไิ ทยเทา่ นนั้ แตร่ วมถงึ ชนกลมุ่ นอ้ ยอ่ืน ๆ ซง่ึ อาจมเี ชือ้ ชาติ ศาสนา และวฒั นธรรมบางอย่างแตกตา่ งกนั แตท่ กุ กลมุ่ ยดึ ถือวฒั นธรรมไทยเป็นพืน้ ฐานในการดารงชีวิตรว่ มกนั

ลักษณะของสังคมไทย ประเทศไทย เป็นชาติท่ีมวี ฒั นธรรมขนบธรรมเนียมประเพณีท่สี บื ทอดกนั มาเป็น เวลานาน ลกั ษณะของสงั คมไทยเปล่ยี นแปลงไปตามปัจจยั ตา่ ง ๆ ตลอดเวลา อยา่ งไร ก็ตามยงั มีลกั ษณะท่ีเป็นเอกลกั ษณข์ องสงั คมไทยอยู่ สรุปไดด้ งั นี้ 1.สงั คมไทยเป็ นสังคมเกษตรกรรม ซง่ึ เป็นอาชีพหลกั ทางเศรษฐกิจไทยมาแต่ ดงั้ เดิม ทงั้ ยงั เป็นอาชีพท่ีสรา้ งรายไดใ้ หก้ บั ประชาชนสว่ นใหญ่ของประเทศ ซง่ึ ทาเงนิ เขา้ ประเทศปีละมาก ๆ แสดงใหเ้ หน็ ถึงความสาคญั ของการเกษตรในสงั คมไทย ลกั ษณะของสงั คมเกษตรไดห้ ลอ่ หลอมชีวติ จิตใจของคนไทยใหร้ กั อสิ ระอยอู่ ย่างเรยี บ งา่ ย มจี ิตใจอ่อนโยนเอือ้ เฟื้อเผ่ือแผเ่ กือ้ กลู กนั และกนั แมว้ ถิ ีชีวิตในปัจจบุ นั จะ เปลีย่ นแปลงไปจากเดิม มีการแข่งขนั กนั ในทางธุรกิจมากขนึ้ แตจ่ ากการท่ีสงั คมไทย เป็นสงั คมชาวพทุ ธ มีความเออื้ เฟื้อเผ่ือแผก่ นั ทาใหส้ มาชิกในสงั คม สามารถปรบั ตวั เขา้ หากนั ไดอ้ ย่างสงบสขุ ไมม่ ีปัญหาการขดั แยง้ กนั เหมือนในสงั คมประเทศอ่ืนๆ บาง ประเทศ 2.สังคมไทยเป็ นสังคมทม่ี ีความผูกพันกันในระหวา่ งเครือญาตกิ นั อยา่ งใกล้ชิด ทงั้ นีเ้ น่ืองจากการท่สี งั คมไทยเป็นสงั คมเกษตร จงึ จาเป็นตอ้ งอาศยั แรงงานของคนใน ครอบครวั เป็นสว่ นใหญ่ ทาใหค้ รอบครวั ของคนไทยแตเ่ ดิมเป็นครอบครวั ใหญ่ มีพอ่ แม่ ลกู หลาน ป่ ู ยา่ ตา ยาย หรอื ญาติอ่ืนๆ รวมอยดู่ ว้ ยเป็นสายสมั พนั ธท์ างระบบ เครอื ญาติ เกิดความผกู พนั หว่ งใยดแู ลทกุ ขส์ ขุ กนั เป็นสายสมั พนั ธอ์ นั แนน่ แฟ้นท่ตี อ้ ง อปุ การะเกือ้ กลู กนั กตญั ญตู ่อผมู้ ีพระคณุ และญาติผใู้ หญ่

3.สังคมไทยเป็ นสังคมทย่ี ดึ ม่ันในพระพุทธศาสนา และขนบธรรมเนียม ประเพณีทางพุทธศาสนา มีบทบาทสาคญั ในการดาเนนิ ชีวติ คนไทย นบั ตงั้ แต่เกิด มา สงั คมไทยคนไทยจะมีพธิ ีกรรมท่ีเก่ียวขอ้ งกบั พทุ ธศาสนาตลอดจนกระท่งั ตาย 4.สังคมไทยเป็ นสังคมทเ่ี ทดิ ทนู สถาบันกษัตริย์ เน่ืองจากประเทศไทยมกี าร ปกครองในระบอบกษัตรยิ ม์ าตงั้ แตโ่ บราณ ทรงมฐี านะเป็นพระเจา้ แผน่ ดนิ ยดึ ถือหลกั ทศพธิ ราชธรรม ในการปกครองประชาชนใหอ้ ยเู่ ยน็ เป็นสขุ ถึงแมใ้ นปัจจบุ นั การ ปกครองของไทยไดเ้ ปลี่ยนจากระบอบราชาธิปไตยมาเป็นประชาธิปไตย พระมหากษัตรยิ ก์ ็ยงั คงไดร้ บั การเคารพเทิดทนู อย่างเช่นในอดตี โดยเฉพาะ พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ วั ภมู พิ ลอดลุ ยเดช รชั กาลปัจจบุ นั ทรงตรากตรางานหนกั เพ่ือพสกนิกรของพระองค์ ทรงเป็นม่ิงขวญั และศนู ยร์ วมแหง่ ความสามคั คีของคนใน ชาติ ไดร้ บั การยกยอ่ งเทดิ ทนู อยา่ งสงู ในสงั คมไทย 5.สังคมไทยเป็ นสังคมทใ่ี หค้ วามสาคญั ในเร่ืองอาวุโส ใหเ้ กยี รตยิ กยอ่ งผู้ใหญ่ หรือผู้ทอ่ี าวุโสกว่า ซง่ึ ถือเป็นลกั ษณะเดน่ ของสงั คมไทย ซง่ึ จะพบเห็นไดใ้ นทกุ กลมุ่ ทกุ ชนั้ โดยพอ่ แม่ ผปู้ กครองจะส่งั สอนลกู หลานกนั ตอ่ ๆ มา ใหเ้ ดก็ มีสมั มาคารวะตอ่ ผทู้ ่อี าวโุ สกวา่ ซง่ึ ในทางพทุ ธศาสนากลา่ วรบั รองวา่ เป็นความดงี าม ผทู้ ่ปี ฏบิ ตั ิจะไดร้ บั ความสขุ ความเจรญิ ปัญหาสงั คมไทย และแนวทางแกไ้ ข ความหมายของปัญหาสังคม ปัญหาสงั คม หมายถงึ สภาวะการณท์ ่มี ผี ลกระทบกระเทอื นตอ่ คนจานวนมากใน สงั คมและเหน็ วา่ ควรรว่ ม กนั แกป้ ัญหานนั้ ใหด้ ีขนึ้ ปัญหาสังคมในประเทศไทย และแนวทางในการแกป้ ัญหา

1. ปัญหาความยากจน สาเหตุเกดิ จาก 1. การเพ่มิ ขนึ้ ของจานวนประชากร 2. การขาดการศกึ ษา ทาใหม้ ีรายไดต้ ่า 3. ประชากรสว่ นใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม 4. ลกั ษณะอาชีพมรี ายไดไ้ มแ่ นน่ อนสม่าเสมอ เชน่ กรรมกร รบั จา้ ง 5. มบี ตุ รมากเกินไป รายไดไ้ มพ่ อกบั รายจา่ ย 6. มลี กั ษณะนิสยั เฉ่ือยชาและเกียจครา้ น ไมช่ อบทางาน แนวทางการแกไ้ ขปัญหา 1. พฒั นาเศรษฐกิจ เชน่ กระจายรายได้ การสรา้ งงานในชนบท ขยายการคมนาคม ขนสง่ เป็นตน้ 2. พฒั นาสงั คม เชน่ ขยายการศกึ ษาเพ่มิ มากขนึ้ บรกิ ารฝึกอาชีพใหก้ บั ประชาชน 3. พฒั นาคณุ ภาพของประชากร 2. ปัญหาอาชญากรรม สาเหตเุ กดิ จาก 1. การขาดความอบอนุ่ ทางจิตใจ 2. การเปลี่ยนแปลงทางสงั คมมากขนึ้ 3. ส่งิ แวดลอ้ มทางเศรษฐกิจและสงั คม 4. มคี า่ นิยมในทางท่ีผดิ

การแกไ้ ขปัญหา 1. รฐั และหนว่ ยงานรบั ผดิ ชอบควรชว่ ยกนั แกไ้ ขปัญหา 2. ปลกู ฝังและพฒั นาจิตใจของสมาชิกในสงั คมใหม้ ีคณุ ธรรม 3. อบรมส่งั สอนและใหค้ วามรกั ความอบอนุ่ และรวมถึงใหค้ วามรว่ มมือกบั หนว่ ยงาน และเจา้ หนา้ ท่ี 3. ปัญหายาเสพตดิ สาเหตุเกดิ จาก 1. ถกู ชกั ชวนใหท้ ดลอง 2. ประกอบอาชีพบางอยา่ งท่ตี อ้ งการเพ่มิ งานมากขนึ้ 3. ความอยากรูแ้ ละอยากทดลอง 4. สภาวะแวดลอ้ มไมด่ ี การแกไ้ ขปัญหา 1. ใหค้ วามรูเ้ รอ่ื งโทษของยาเสพตดิ 2. ปอ้ งกนั และปราบปรามผซู้ อื้ และผขู้ ายอยา่ งเดด็ ขาด 3. การรว่ มมือสอดสอ่ งดแู ลความประพฤตขิ องเดก็ อย่างใกลช้ ิด 4. จดั ใหม้ ีการบาบดั และรกั ษาผตู้ ิดยาเสพติด 4. ปัญหาโรคเอดส์

สาเหตเุ กิดจาก 1. ปัญหายาเสพตดิ 2. ขาดความรูใ้ นการปอ้ งกนั โรค 3. เกิดจากความยากจนและไมเ่ พียงพอ การแกไ้ ขปัญหา 1. ใหค้ วามรู้ ความเขา้ ใจเก่ียวกบั การโรคเอดสใ์ หก้ บั ประชาชน 2. ไมเ่ สพสง่ิ เสพติด โดยเฉพาะการใชเ้ ข็มฉีดยารว่ มกนั 3. ระมดั ระวงั การติดเชือ้ โดยทางสายเลอื ด 5. ปัญหาสิ่งแวดล้อม เช่น อากาศเป็นพิษ นา้ เนา่ เสีย เสยี งเป็นพิษ ขยะมลู ฝอย เป็นตน้ สาเหตุเกดิ จาก 1. การเพ่มิ ขนึ้ ของจานวนประชากรอยา่ งรวดเรว็ 2. เกิดจากความกา้ วหนา้ ทางวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 3. การขยายตวั ทางดา้ นอตุ สาหกรรม 4. ขาดความรบั ผดิ ชอบ และระเบียบวนิ ยั ของสมาชิกในสงั คม การแกไ้ ขปัญหา

1. ใหก้ ารศกึ ษาและคาแนะนาตา่ ง ๆ แกส่ มาชิกในสงั คม 2. วางนโยบายการปอ้ งกนั การทาลายสง่ิ แวดลอ้ ม 3. ลงโทษผฝู้ ่าฝืนและกระทาผิดอยา่ งจรงิ จงั แนวทางการป้องกนั และแก้ไขปัญหาสังคมไทย 1.รฐั บาลควรออกระเบียบ กฎเกณฑ์ และกฎหมาย เพ่ือ กาหนดมาตรการการปอ้ งกนั และปราบปรามผกู้ ระทาผิดอยา่ งจรงิ จงั และแน่นอน 2.วางแผนและนโยบายการแกป้ ัญหาท่ีเกิดขนึ้ โดยรว่ มมือกบั ภาคเอกชนเพ่ือรณรงค์ และอนรุ กั ษ์ 3.ใหก้ ารศกึ ษาแกส่ มาชกิ ในสงั คมเพ่ือใหเ้ กิดความรูแ้ ละความเขา้ ใจในปัญหาตา่ ง ๆ ใหม้ ากขนึ้ 4.ปรบั ปรุงและพฒั นาสงั คมใหม้ ปี ระสทิ ธิภาพมากขนึ้ 5.พฒั นาเศรษฐกิจทงั้ ดา้ นเกษตรกรรม อตุ สาหกรรม และการบรกิ ารใหด้ ีขนึ้ 6.พฒั นาสงั คม สรา้ งคา่ นิยม และรณรงคใ์ หป้ ระชาชนรว่ มมือในการแกป้ ัญหาท่ี เกิดขนึ้ คุณธรรม จริยธรรม คุณธรรม หมายถึง สภาพคณุ งามความดแี ละความถกู ตอ้ งซง่ึ บคุ คลควรยดึ ม่นั ไวเ้ ป็น หลกั การในการปฏิบตั ิตนจนเป็นนิสยั ความประพฤติดีงาม เพ่ือประโยชนแ์ กต่ นและ สงั คม ซง่ึ มีพนื้ ฐานมาจากหลกั ศลี ธรรมทางศาสนา คา่ นิยมทางวฒั นธรรม ประเพณี หลกั กฎหมาย จรรยาบรรณวิชาชีพ การรูจ้ กั ไตรต่ รองวา่ อะไรควรทาไมค่ วรทา และ

อาจกลา่ วไดว้ า่ คณุ ธรรม คอื จรยิ ธรรมท่นี ามาปฏบิ ตั ิจนเป็นนสิ ยั เช่น การเป็นคน ซ่อื สตั ย์ เสียสละ และ มีความรบั ผิดชอบ จริยธรรม หมายถึง ความประพฤติท่เี กิดจากคณุ ธรรม กฎเกณฑท์ ่ีเป็นแนวทางใน การประพฤตปิ ฏิบตั ิตนในส่งิ ท่ดี งี าม สิง่ ท่ีทาไดใ้ นทางวนิ ยั จนเกิดความเคยชินมีพลงั ใจ มีความตงั้ ใจแนว่ แน่จงึ ตอ้ งอาศยั ปัญญา และปัญญาอาจเกิดจากความศรทั ธา เช่ือถือผอู้ ่ืน ในทางพทุ ธศาสนาสอนวา่ จรยิ ธรรมคือการนาความรู้ ความจรงิ หรอื กฎ ธรรมชาตมิ าใชใ้ หเ้ ป็นประโยชนต์ อ่ การดาเนินชีวติ ท่ีดงี าม คาวา่ ”คุณธรรมจริยธรรม” นี้ เป็นคาท่ีคนสว่ นใหญ่จะกลา่ วควบคกู่ นั เสมอ จนทาให้ เขา้ ใจผิดไดว้ า่ คาทงั้ สองคามคี วามหมายอย่างเดยี วกนั หรอื มคี วามหมายเหมือนกนั แทท้ ่จี รงิ แลว้ คาวา่ “คณุ ธรรม” กบั คาวา่ ”จรยิ ธรรม” เป็นคาแยกออกได้ 2 คา และมี ความหมายแตกตา่ งกนั คาวา่ “ คณุ ” แปลวา่ ความดี เป็นคาท่ีมีความหมายเป็นทาง นามธรรม สว่ นคาวา่ “จรยิ ” แปลวา่ ความประพฤติกรยิ าท่คี วรประพฤติเป็นคาท่ีมี ความหมายทางรูปธรรม ดงั นนั้ จงึ ควรท่ผี บู้ รหิ ารจะตอ้ งทาความเขา้ ใจเก่ียวกบั ความหมายของคาสองคานีใ้ หถ้ ่องแทก้ อ่ น การปลูกฝังสร้างเสริมคุณธรรมและจริยธรรม สถานการณบ์ า้ นเมอื งของประเทศไทยเราในปัจจบุ นั นี้ ดนู า่ เป็นหว่ ง อย่างย่งิ ไมว่ า่ จะเป็นวิกฤตทางเศรษฐกิจ ปัญหาความเสื่อมถอยในดา้ น คณุ ธรรม จรยิ ธรรมของ คน ทงั้ ในระดบั นกั การเมือง ขา้ ราชการ หรอื คนในแวดวงอาชีพอ่ืนๆ ภาพท่ีเห็น ชดั เจนและเป็นข่าวอยทู่ กุ วนั ก็คอื การทจุ รติ คอรปั ช่นั การกอ่ อาชญากรรม การ เสพและการคา้ ยาเสพติด ซง่ึ แพรร่ ะบาดในกลมุ่ เยาวชนไทย ตงั้ แต่ระดบั ประถมศกึ ษา จนถงึ อดุ มศกึ ษา รวมถึงการแตง่ กายลอ่ แหลม ท่ีเป็นมลู เหตกุ อ่ ใหเ้ กิด อาชญากรรม ทางเพศ ของนกั ศกึ ษาหญิง การขายบรกิ ารทางเพศของ

นกั ศกึ ษา การท่นี กั ศกึ ษาอยรู่ ว่ มกนั ฉนั ทส์ ามีภรรยา การทะเลาะวิวาทของนกั ศกึ ษา ทงั้ ภายในสถาบนั เดียวกนั และตา่ งสถาบนั เหลา่ นีเ้ ป็นตน้ ปัญหาท่ีเกิดขนึ้ ในกลมุ่ ของเยาวชนดงั กลา่ ว ทกุ คนตา่ งลงความเหน็ ตรงกนั วา่ เยาวชนไทยของเราขาดการปลกู ฝังในดา้ น คณุ ธรรม จรยิ ธรรม อยา่ งย่งั ยืน คือ อาจจะมีอยบู่ า้ งแตเ่ ป็นแบบฉาบฉวย ไมเ่ กิดผลท่ีถาวรในขณะท่ีสงั คมไทยตอ้ งการ เหน็ ภาพการพฒั นาเยาวชนไทยไปสกู่ ารเป็นบณั ฑิตท่ีมคี ณุ ภาพ มีความสมบรู ณ์ ทงั้ รา่ งกายและจิตใจ มสี ติ ปัญญา มีความรูแ้ ละคณุ ธรรม มีจรยิ ธรรมและ วฒั นธรรม ในการดารงชีวติ สามารถอยรู่ ว่ มกบั ผอู้ ่ืนได้ อยา่ งมีความสขุ มรี ายงาน ผลการสารวจของผทู้ ่ถี กู ใหอ้ อกจากงาน เฉพาะในกรณีท่เี ก่ียวกบั คณุ สมบตั ิของตวั พนกั งานเอง พบวา่ 17 % ถกู ใหอ้ อกงานเพราะ ขาดทกั ษะความรูแ้ ละ ประสบการณ์ 83 % ถกู ออกจากงานเพราะปัญหาเรอ่ื ง ความประพฤติ และ บคุ ลกิ ภาพ ในขณะเดียวกนั มผี ไู้ ปสารวจความคิดเห็นของผปู้ ระกอบการ ในการ พิจารณารบั คนเขา้ ทางาน ในหนว่ ยงาน องคก์ ร สถาบนั ตา่ ง ๆ พบวา่ ผปู้ ระกอบการสว่ นมากตอ้ งการบณั ทิต ท่มี ีคณุ ลกั ษณะ ดงั นี้ ขยนั ประหยดั ซ่อื สตั ย์ อดทน เสียสละ และ มีความ รบั ผดิ ชอบ ซง่ึ ปรากฏการณใ์ นสงั คม ดงั กลา่ วมานีเ้ ป็นผลโดยตรง มาจากเร่อื ง ของการปลกู ฝัง ทางดา้ นคณุ ธรรม จรยิ ธรรม หลกั ธรรมาภบิ าล หลกั ธรรมาภบิ าล หรอื การบริหารกจิ การบา้ นเมอื งทดี่ ี ซง่ึ เรารูจ้ กั กนั ในนาม “Good Governance” เป็นหลกั การอย่รู ว่ มกนั ในบา้ นเมืองและสงั คมอย่างมคี วาม สงบสขุ สามารถประสานประโยชนแ์ ละคล่คี ลายปัญหาขอ้ ขดั แยง้ โดยสนั ติวธิ ีและ พฒั นาสงั คมใหย้ งั ยืน

ซง่ึ ระเบยี บสานกั นายกรฐั มนตรวี ่าดว้ ยการสรา้ งระบบบรหิ ารกิจการบา้ นเมืองท่ีดี พ.ศ. 2544 ระบวุ า่ หลกั ธรรมาภบิ าล มอี งคป์ ระกอบท่ีสาคญั ๖ ประการดงั นี้ 1. หลักนิตธิ รรม คอื การตรากฎหมาย กฎ ระเบยี บขอ้ บงั คบั และกตกิ าตา่ ง ๆ ให้ ทนั สมยั และเป็นธรรม ตลอดจนเป็นท่ยี อมรบั ของสงั คมและสมาชกิ โดยมีการ ยินยอมพรอ้ มใจและถือปฏิบตั ิรว่ มกนั อย่างเสมอภาคและเป็นธรรม กลา่ วโดยสรุป คือ สถาปนาการปกครองภายใตก้ ฎหมาย มใิ ชก่ ระทากนั ตามอาเภอใจหรอื อานาจของ บคุ คล 2. หลักคุณธรรม คือ การยดึ ถือและเช่ือม่นั ในความถกู ตอ้ งดงี าม โดยการรณรงค์ เพ่ือสรา้ งคา่ นยิ มท่ีดงี ามให้ ผปู้ ฏบิ ตั ิงานในองคก์ รหรอื สมาชิกของสงั คมถือ ปฏิบตั ิ ไดแ้ ก่ ความซ่อื สตั ยส์ จุ รติ ความเสียสละ ความอดทนขยนั หม่นั เพียร ความมี ระเบียบวินยั เป็นตน้ 3. หลกั ความโปร่งใส คอื การทาใหส้ งั คมไทยเป็นสงั คมท่ีเปิดเผยขอ้ มลู ข่าวสาร อยา่ งตรงไปตรงมา และสามารถตรวจสอบความถกู ตอ้ งไดโ้ ดยการปรบั ปรุงระบบและ กลไกการทางานขององคก์ รให้ มี ความโปรง่ ใส มกี ารเปิดเผยขอ้ มลู ข่าวสารหรอื เปิด ให้ ประชาชนสามารถเขา้ ถึงขอ้ มลู ขา่ วสารได้ สะดวก ตลอดจนมรี ะบบหรอื กระบวนการตรวจสอบและประเมนิ ผลท่ีมปี ระสิทธิภาพ ซง่ึ จะเป็นการสรา้ งความ ไวว้ างใจซง่ึ กนั และกนั และชว่ ยให้ การทางานของภาครฐั และภาคเอกชนปลอดจาก การทจุ รติ คอรปั ช่นั 4. หลกั ความมสี ่วนร่วม คือ การทาให้ สงั คมไทยเป็นสงั คมท่ีประชาชนมี สว่ นรว่ ม รบั รู้ และรว่ มเสนอความเห็น ในการตดั สินใจสาคญั ๆ ของสงั คม โดยเปิดโอกาสให้ ประชาชนมี ชอ่ งทางในการเขา้ มามสี ว่ นรว่ ม ไดแ้ กก่ ารแจง้ ความเหน็ การไตส่ วน สาธารณะ การประชาพจิ ารณก์ ารแสดงประชามติ หรอื อ่ืน ๆ และขจดั การผกู ขาดทงั้

โดยภาครฐั หรอื โดยภาคธรุ กิจเอกชน ซง่ึ จะช่วยให้ เกิดความสามคั คี และความ รว่ มมือกนั ระหวา่ งภาครฐั และภาคธุรกิจเอกชน 5. หลกั ความรับผิดชอบ ผบู้ รหิ ารตลอดจนคณะขา้ ราชการ ทงั้ ฝ่ายการเมอื งและ ขา้ ราชการประจา ตอ้ งตงั้ ใจปฏบิ ตั ิ ภารกิจตามหนา้ ท่ีอย่างดยี ่งิ โดยมงุ่ ให้ บรกิ ารแก่ ผมู้ ารบั บรกิ าร เพ่ืออานวยความสะดวกตา่ ง ๆ มคี วามรบั ผดิ ชอบตอ่ ความบกพรอ่ งใน หนา้ ทีการงานท่ีตนรบั ผิดชอบอย่แู ละพรอ้ มท่จี ะปรบั ปรุงแก้ ไขได้ ทนั ทว่ งที 6. หลกั ความคุ้มค่า ผบู้ รหิ ารตอ้ งตระหนกั วา่ มีทรพั ยากรคอ่ นขา้ งจากดั ดงั นนั้ ใน การบรหิ ารจดั การจาเป็นจะตอ้ งยดึ หลกั ความประหยดั และความคมุ้ คา่ ซง่ึ จาเป็น จะตอ้ งตงั้ จดุ มงุ่ หมายไปท่ีผรู้ บั บรกิ ารหรอื ประชาชนโดยสว่ นรวม การปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม และหลักธรรมาภบิ าล คณุ ธรรม จรยิ ธรรม และธรรมาภิบาล มเี ปา้ หมายเดียวกนั คือ นาไปสกู่ ารลดความ สญู เสีย ขจดั ความร่วั ไหล ปอ้ งกนั การทจุ รติ การประพฤตแิ ละดาเนนิ การท่ีมิชอบเพ่มิ ประสิทธิภาพประสิทธิผล ความคมุ้ คา่ โปรง่ ใส ตอบสนอง สจุ รติ ซ่อื ตรง และเท่ียง ธรรม เม่ือนามาใชใ้ นการบรหิ ารงานท่ีจะ ช่วยสรา้ งสรรคแ์ ละสง่ เสรมิ องคก์ รใหม้ ี ศกั ยภาพและประสิทธิภาพ อาทิ พนกั งานตา่ งทางานอยา่ งซ่อื สตั ยส์ จุ รติ และ ขยนั หม่นั เพียร ทาใหผ้ ลประกอบการขององคก์ รธรุ กิจนนั้ ขยายตวั นอกจากนีแ้ ลว้ ยงั ทาใหบ้ คุ คลภายนอกท่เี ก่ียวขอ้ ง ศรทั ธาและเช่ือม่นั ในองคก์ รนนั้ ๆ อนั จะทาใหเ้ กิด การพฒั นาอย่างตอ่ เน่ือง เช่น องคก์ รท่ีโปรง่ ใส ย่อมไดร้ บั ความไวว้ างใจในการรว่ มทา ธุรกิจ รฐั บาลท่ีโปรง่ ใสตรวจสอบได้ ยอ่ มสรา้ งความเช่ือม่นั ใหแ้ กน่ กั ลงทนุ และ ประชาชน ตลอดจนสง่ ผลดตี อ่ เสถียรภาพของรฐั บาลและความเจรญิ กา้ วหนา้ ของ ประเทศ เป็นตน้

ค่านิยม คา่ นยิ ม หมายถงึ วิธีจดั รูปพฤติกรรมของมนษุ ยท์ ่ฝี ังแน่นอยใู่ นตวั คน และเป็นสิง่ ท่ีเรา ยดึ ถือปฏิบตั ิกนั ตอ่ ๆ มา หรอื อาจหมายถงึ การยอมรบั นบั ถือและพรอ้ มท่ีจะปฏิบตั ิ ตามคณุ ค่าท่คี นหรอื กลมุ่ คนท่ีมีอยตู่ อ่ สงิ่ ต่าง ๆ ซง่ึ อาจเป็นวตั ถุ มนษุ ย์ สิง่ มชี ีวิตอ่ืนๆ รวมทงั้ การกระทาดา้ นเศรษฐกิจ สงั คม จรยิ ธรรม และสนุ ทรยี ภาพ โดยไดป้ ระเมนิ ค่า จากทศั นคติตา่ ง ๆ อยา่ งถ่ีถว้ นและรอบคอบแลว้ ความหมายและความสาคญั ของค่านิยมไทย คา่ นยิ ม (Value) หมายถึง สง่ิ ท่ีมีคณุ คา่ นา่ ยกย่อง เป็นรูปแบบของความคิดท่ีตดิ อยู่ ในจิตใจของคน ในสงั คม และเป็นแนวทางท่ีคนยดึ ถือไวเ้ พ่ือประพฤติปฏบิ ตั ิ คา่ นยิ มแบง่ เป็น 2 ประเภท 1. คา่ นิยมของบคุ คล ซง่ึ บคุ คลจะแสดงออกใหเ้ หน็ ไดจ้ ากการตดั สินใจของตนเองทงั้ นี้ ย่อมจะแตกต่างไปตามความถนดั และความสนใจของแตล่ ะบคุ คล 2. คา่ นิยมของกลมุ่ หรอื คา่ นิยมของสงั คม ซง่ึ ชีใ้ หเ้ ป็นถงึ การเลอื กสรร การยกยอ่ ง และ สิง่ ท่บี คุ คลท่วั ไปในสงั คมปรารถนาวา่ มอี ะไรบา้ ง ส่ิงเหลา่ นีย้ อ่ มเป็นแนวทางใหบ้ คุ คล อ่ืน ๆ ในสงั คมทราบวา่ ควรปฏบิ ตั อิ ยา่ งไรในสถานการณห์ น่งึ สถานการณใ์ ด ลักษณะของค่านิยม ค่านิยมมีลักษณะดังนี้ 1. คา่ นิยมมีทงั้ คา่ นยิ มท่ีดี และคา่ นิยมท่ีไมด่ ี 2. เป็นสง่ิ ท่สี ามารถปลกู ฝังถา่ ยทอดได้ 3. สามารถแกไ้ ขเปลย่ี นแปลงได้ แตก่ ็ไมอ่ าจจะทาไดโ้ ดยงา่ ยนกั อยา่ งไรกต็ ามการ เปล่ยี นแปลงคา่ นิยมอาจจะทาไดง้ า่ ยขนึ้ เม่ือบคุ คลไดเ้ รยี นรูแ้ ละมปี ระสบการณ์

เพ่มิ ขนึ้ 4. เป็นมาตรฐานอย่างหนง่ึ ในการประเมินความประพฤตขิ องบคุ คล ความสาคญั ของคา่ นิยม 1. คา่ นยิ มเป็นสงิ่ ท่ีมคี วามสาคญั ตอ่ การแสดงพฤติกรรมของบคุ คล 2. คา่ นยิ มเป็นส่งิ ท่ีควบคมุ พฤติกรรมของคนในสงั คม 3. คา่ นยิ มมีอิทธิพลตอ่ บคุ ลิกภาพ และอปุ นิสยั ใจคอของคนสว่ นมาก เพราะบคุ คลใน สงั คมยอ่ มไดร้ บั อิทธิพลจากคา่ นิยมของสงั คม 4. คา่ นยิ มจะช่วยใหค้ นในสงั คมมีจดุ มงุ่ หมายอยา่ งเดียวกนั ทาใหม้ คี วามเช่ือในเร่อื ง ตา่ ง ๆ อยา่ งเดียวกนั ดงั นนั้ คา่ นิยมของสงั คมจงึ จดั วา่ เป็นกระบวนการทีเกิดขนึ้ เพ่ือ สรา้ งความสงบเรยี บรอ้ ยใหแ้ กส่ งั คม ท่มี าของคา่ นิยมของสงั คมไทย 1. ไดจ้ ากการศาสนาพทุ ธ ปะปนกบั ศาสนาพราหมณ์ 2. ไดจ้ ากสงั คมดงั้ เดมิ คอื ระบบศกั ดนิ า เช่น คา่ นยิ มการนบั ถือเจา้ นาย ยศถาบรรดาศกั ดิ์ เป็นตน้ 3. ไดจ้ ากระบบสงั คมเกษตรกรรม เชน่ ความเฉ่ือย ขาดความกระตือรอื รน้ ยดึ ตวั บคุ คล 4. ไดจ้ ากความเช่ือในอานาจศกั ดิส์ ทิ ธิ์โชคลาภ ค่านิยมของชุนสังคมชนบทในสังคมไทย 1. ยอมรบั เร่อื งบญุ วาสนา กรรมเกา่ โดยไมโ่ ตแ้ ยง้ 2. เช่ือถือโชคลาภ เพราะมีวิถีชีวิตผกู พนั กบั ธรรมชาติ 3. นิยมเคร่อื งประดบั ประเภท ทอง เพชรนิลจินดา

4. ชอบเส่ยี งโชค 5. เชิดชยู กย่องผคู้ ณุ ความดี 6. นิยมทาบญุ เกินกาลงั และพธิ ีการตา่ ง ๆ 7. ไมน่ ิยมโตแ้ ยง้ ขีเ้ กรงใจคน เช่ือผสู้ ่งั เหน็ แก่หนา้ 8. พง่ึ พาอาศยั กนั รว่ มมือกนั ช่วยเหลือจนุ เจือกนั 9. สนั โดษ เรอ่ื งท่ีเก่ียวกบั สว่ นรวมไมค่ อ่ ยกระตือรอื รน้ 10. หวงั ผลเฉพาะหนา้ เช่น สนใจเฉพาะผลผลิตปีนี้ โดยไมค่ อ่ ยสนใจอนาคต คา่ นิยมของสงั คมเมอื งในสงั คมไทย 1. มีเหตผุ ล จะไมเ่ ช่ือเรอ่ื งท่ีพสิ จู นไ์ มไ่ ด้ 2. มกี าหนดเวลาแตล่ ะวนั ชดั เจน เช่น ต่ืนนอน ไปทางาน 3. มีการแข่งขนั สงู ตอ้ งดิน้ รนเพ่ือความอยรู่ อด 4. นิยมตะวนั ตก เชน่ การใชเ้ ทคโนโลยี การแตง่ กาย การนนั ทนาการ มีความ รบั ผิดชอบตอ่ สงั คม 5. ชอบงานฟ่ มุ เฟือยหรูหรา เชน่ ตกแตง่ บา้ นหรูหรา การเลยี้ งรุน่ เล่อื นยศ วนั เกิด ฯลฯ 6. เหน็ แก่ตวั ไมค่ อ่ ยไวใ้ จใคร เน่ืองจากตอ้ งแขง่ ขนั และมีสมาชิกในสงั คมมาก คา่ นิยมทค่ี วรปลูกฝังในสังคมไทย คา่ นิยมท่ีดงี ามควรปลกู ฝังในสงั คมไทยมีดงั นี้ 1. การจงรกั ภกั ดตี อ่ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตรยิ ์ 2. ความซ่ือสตั ยส์ จุ รติ 3. ความขยนั ขนั แขง็ มีมานะอดทน 4. การยกยอ่ งผทู้ ่ที าความดี

5. ความกตญั ญกู ตเวที 6. การเคารพผอู้ าวโุ ส 7. การไมผ่ กู พยาบาท 8. การนยิ มของไทย 9. การเห็นแก่ประโยชนข์ องสว่ นรวม 10. ความเออื้ เฟื้อเผ่ือแผ่ ค่านิยมทคี่ วรแกไ้ ขในสังคมไทย คา่ นิยมในทางท่ีไมถ่ กู ตอ้ งจะเป็นอปุ สรรคในการอยรู่ ว่ มกนั ในสงั คมไทย คา่ นยิ มท่คี วร แกไ้ ขมดี งั นี้ 1. การเห็นคณุ คา่ ของเงนิ ตรามากเกินไป 2. การชอบเส่ยี งโชคและถือโชคลาง 3. การขาดระเบยี บวนิ ยั 4. การนยิ มใชข้ องท่ีมาจากตา่ งประเทศ 5. การไมร่ ูจ้ กั ประมาณในการใชจ้ ่าย 6. การไมช่ อบเหน็ ใครดีเดน่ กวา่ ตนเอง บทท่ี 3 วัฒนธรรมไทย ความหมายและความสาคัญของวฒั นธรรม วฒั นธรรม คอื มรดกแหง่ สงั คมท่มี นษุ ยไ์ ดส้ รา้ งสรรคข์ นึ้ และไดร้ บั การถ่ายทอดกนั มาจากอดตี สปู่ ัจจบุ นั เป็นผลผลติ ท่ีแสดงถงึ ความเจรญิ งอกงามทงั้ ดา้ นวตั ถแุ ละท่ี ไมใ่ ช่วตั ถุ เช่น อดุ มการณ์ คา่ นิยม ประเพณี ศีลธรรม กฎหมายและศาสนา เป็นตน้

พระราชบญั ญตั วิ ฒั นธรรมแหง่ ชาติ พทุ ธศกั ราช 2485กลา่ ววา่ วฒั นธรรม หมายถึง ลกั ษณะท่ีแสดงถึงความเจรญิ งอกงาม ความเป็นระเบียบเรยี บรอ้ ย ความ กลมเกลียวกา้ วหนา้ ของชาติ และศลี ธรรมอนั ดงี ามของประชาชน สรุปไดว้ า่ วฒั นธรรม หมายถึงวิธีการดารงชีวติ ของมนษุ ยท์ ่แี สดงถงึ ความ เจรญิ งอกงามใน การอยรู่ ว่ มกนั เป็นการสรา้ งสรรคข์ องมนษุ ยท์ ่แี สดงออกในลกั ษณะ วตั ถแุ ละไมใ่ ชว่ ตั ถแุ ลว้ ถ่ายทอดสืบต่อกนั มา วฒั นธรรมทาใหเ้ กิดความสามคั คคี วามเป็นอนั หน่งึ อนั เดียวกนั สงั คมท่ีมีวฒั นธรรม เดียวกนั ยอ่ มจะมคี วามรูส้ กึ ผกู พนั เดยี วกนั เกิดความเป็นปึกแผน่ จงรกั ภกั ดีและอทุ ศิ ตนใหก้ บั สงั คมทาใหส้ งั คมอยรู่ อดวฒั นธรรมเป็นตวั กาหนดรูปแบบของสถาบนั ทงั้ นี้ เน่ืองจากวฒั นธรรมในสงั คมเป็นตวั กาหนดรูปแบบ เช่น วฒั นธรรมไทยกาหนดเป็น แบบสามีภรรยาเดยี ว ในอกี สงั คมหน่งึ กาหนดวา่ ชายอาจมีภรรยาไดห้ ลายคน หรอื หญิงอาจมีสามีไดห้ ลายคน วฒั นธรรมเป็นเครอ่ื งแสดงเอกลกั ษณข์ องชาติ คาวา่ เอกลกั ษณ์ หมายถงึ ลกั ษณะพิเศษหรอื ลกั ษณะเดน่ ของบคุ คลหรอื สงั คม ท่ีแสดงวา่ สงั คมหนง่ึ แตกตา่ งไปจากอีกสงั คมหนง่ึ เช่น วฒั นธรรมการพบปะกนั ในสงั คมไทย จะ มกี ารยกมือไหวก้ นั แตใ่ นสงั คมญ่ีป่นุ ใชก้ ารคานบั กนั เป็นตน้ วฒั นธรรมชว่ ยใหป้ ระเทศชาตเิ จรญิ กา้ วหนา้ หากสงั คมใดมีวฒั นธรรมท่ีดีงาม เหมาะสม เช่น ความมรี ะเบยี บวนิ ยั ขยนั ประหยดั อดทน การเหน็ ประโยชนส์ ว่ นรวม มากกวา่ สว่ นตวั เป็นตน้ สงั คมนนั้ ยอ่ มจะเจรญิ กา้ วหนา้ ไดอ้ ย่างรวดเรว็ วฒั นธรรม เป็นเคร่อื งสรา้ งระเบยี บแก่สงั คมมนษุ ย์ วฒั นธรรมไทยเป็นเคร่อื งกาหนดพฤตกิ รรม ของสมาชกิ ในสงั คมไทย ใหม้ ีระเบียบแบบแผนท่ชี ดั เจนรวมถงึ ผลของการแสดง พฤตกิ รรมตลอดจนถึงการสรา้ งแบบแผนของความคดิ ความเช่ือและคา่ นิยมของ สมาชิกใหอ้ ยใู่ นรูปแบบเดียวกนั วฒั นธรรมเป็นเครอ่ื งมือชว่ ยแกป้ ัญหา และสนอง

ความตอ้ งการของมนษุ ย์ มนษุ ยไ์ มส่ ามารถดารงชีวิตภายใตส้ ง่ิ แวดลอ้ มไดอ้ ย่าง สมบรู ณ์ ดงั นนั้ มนษุ ยต์ อ้ งแสวงหาความรูจ้ ากประสบการณท์ ่ตี นไดร้ บั การประดิษฐ์ คดิ คน้ วิธีการใชท้ รพั ยากรนนั้ ใหเ้ กิดประโยชนต์ อ่ ชีวติ และถ่ายทอดจากสมาชกิ รุน่ หนง่ึ ไปสสู่ มาชิกรุน่ ตอ่ ไปไดโ้ ดยวฒั นธรรมของสงั คม สาเหตุของการเกิดวฒั นธรรม การเกิดวฒั นธรรมมสี าเหตมุ าจากความตอ้ งการของมนษุ ย์ ๓ ประการ คอื 1. ความตอ้ งการท่ีจะไดร้ บั การตอบสนองทางชีววทิ ยา (biological needs) ซง่ึ เป็น ความตอ้ งการพืน้ ฐาน คือ ปัจจยั 4 2. ความตอ้ งการทางสงั คม (social needs) เน่ืองจากการอยรู่ ว่ มกนั ของ คน การแบง่ หนา้ ท่ี การรว่ มมือกนั แกไ้ ขปัญหาพืน้ ฐาน ก่อใหเ้ กิด วฒั นธรรม คอื การจดั ระเบยี บ ทางสงั คม (social organization) 3. ความตอ้ งการทางจติ ใจ (psychological needs) ซง่ึ วฒั นธรรมท่มี า ตอบสนอง ความตอ้ งการ คือ ระบบความเช่ือ (ลทั ธิ/ศาสนา) ประเภทของวฒั นธรรม โดยท่วั ไปแลว้ มกั จะแบง่ วฒั นธรรมออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ 1. วฒั นธรรมท่เี ป็นวตั ถุ (Material Culture) ซง่ึ ไดแ้ กส่ งิ่ ประดิษฐแ์ ละเทคโนโลยี ตา่ ง ๆ ท่ีมนษุ ยค์ ิดคน้ ผลติ ขนึ้ มา เช่น สง่ิ กอ่ สรา้ ง อาคารบา้ นเรอื น อาวธุ ยทุ โธปกรณ์ เคร่อื งอานวยความสะดวกตา่ ง ๆ เป็นตน้ 2. วฒั นธรรมท่ีไมใ่ ช่วตั ถุ (Non – material Culture) หมายถงึ อดุ มการณ์ คา่ นิยม แนวคิด ภาษา ความเช่ือทางศาสนา ขนมธรรมเนียมประเพณี ลทั ธิการเมือง

กฎหมาย วิธีการกระทา และแบบแผนในการดาเนนิ ชีวิต ซง่ึ มลี กั ษณะเป็น นามธรรม (Abstract) ท่มี องเหน็ ไมไ่ ด้ ประเภทของวัฒนธรรม โดยท่วั ไปแล้วมักจะแบง่ วัฒนธรรมออกเป็ น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ 1. วฒั นธรรมท่ีเป็นวตั ถุ (Material Culture) ซง่ึ ไดแ้ กส่ ่งิ ประดษิ ฐ์และเทคโนโลยี ตา่ ง ๆ ท่ีมนษุ ยค์ ิดคน้ ผลติ ขนึ้ มา เชน่ สิง่ กอ่ สรา้ ง อาคารบา้ นเรอื น อาวธุ ยทุ โธปกรณ์ เคร่อื งอานวยความสะดวกตา่ ง ๆ เป็นตน้ 2. วฒั นธรรมท่ีไมใ่ ช่วตั ถุ (Non – material Culture) หมายถึง อดุ มการณ์ คา่ นยิ ม แนวคิด ภาษา ความเช่ือทางศาสนา ขนมธรรมเนียมประเพณี ลทั ธิการเมอื ง กฎหมาย วิธีการกระทา และแบบแผนในการดาเนินชีวติ ซง่ึ มลี กั ษณะเป็น นามธรรม (Abstract) ท่มี องเหน็ ไมไ่ ด้ การแบ่งประเภทของวฒั นธรรมออกเป็ น 2 ประเภท ดังกล่าวข้างตน้ นักสงั คม วทิ ยาบางทา่ นเหน็ ว่า แนวคดิ ทเ่ี กยี่ วกับวฒั นธรรมทไ่ี ม่ใช่วตั ถุนั้นคลุมเครือ จงึ ไดแ้ บ่งวัฒนธรรมออกเป็ น 3 ประเภท ดงั นี้ คอื 1. วฒั นธรรมทางวตั ถุ (Material) ไดแ้ ก่ วตั ถสุ ิ่งของเครอ่ื งใชต้ า่ ง ๆ ท่ีมนษุ ยส์ รา้ ง ขนึ้ เพ่ือนามาใชใ้ นสงั คม เชน่ ท่ีอยอู่ าศยั อาหาร เสอื้ ผา้ ยารกั ษาโรค 2. วฒั นธรรมความคิด (Idea) หมายถึง วฒั นธรรมท่เี ก่ียวกบั ความรูส้ กึ นึกคิด ทศั นคติ ความเช่ือตา่ ง ๆ เชน่ ความเช่ือในเรอ่ื งตายแลว้ เกิดใหม่ ความเช่ือใน เรอ่ื งกฎแหง่ กรรม การเช่ือถือโชคลาง ตลอดจนเร่อื งลกึ ลบั นิยายปรมั ปรา วรรณคดี สภุ าษิต และอดุ มการณต์ า่ ง ๆ เป็นตน้

3. วฒั นธรรมดา้ นบรรทดั ฐาน (Norm) เป็นเร่อื งของการประพฤตปิ ฏบิ ตั ติ าม ระเบยี บแบบแผนท่ีสงั คมกาหนดเอาไวไ้ มว่ า่ จะเป็นลายลกั ษณอ์ กั ษรหรอื ไม่ เป็นลายลกั ษณอ์ กั ษรก็ตาม ซง่ึ แบง่ ออกเป็นประเภทย่อย ๆ ดงั นี้ - วฒั นธรรมทางสงั คม (Social Culture) เป็นวฒั นธรรมท่เี ก่ียวกบั ความ ประพฤติ หรอื มารยาททางสงั คม เช่น การไหว้ กาจบั มือทกั ทาย การเขา้ แถว การแต่งชดุ ดาไปงานศพ เป็นตน้ - วฒั นธรรมท่ีเก่ียวขอ้ งกบั กฎหมาย (Legal Culture) เป็นวฒั นธรรมท่ี ก่อใหเ้ กิดความเป็นระเบยี บและกฎเกณฑเ์ พ่ือใหค้ นในสงั คมอยดู่ ว้ ยกนั อยา่ งมี ความสขุ - วฒั นธรรมท่ีเก่ียวกบั จิตใจและศลี ธรรม (Moral Culture) วฒั นธรรมประเภทนี้ ใชเ้ ป็นแนวทางในการดาเนนิ ชีวิตในสงั คม เชน่ ความซ่ือสตั ย์ สจุ รติ ความ เมตตากรุณา ความเอือ้ เฟื้อเผ่ือแผ่ เป็นตน้ ตามพระราชบญั ญตั ิวฒั นธรรมแหง่ ชาติ ปีพทุ ธศกั ราช 2485 ไดแ้ บง่ ประเภท วฒั นธรรมออกเป็น 4 ประเภท ไดแ้ ก่ • คตธิ รรม (Moral) คอื วฒั นธรรมท่เี ก่ียวกบั หลกั ในการดารงชีวิตสว่ นใหญ่เป็น องของจิตใจ และไดม้ าจากศาสนา ใชเ้ ป็นแนวทางในการดาเนนิ ชีวติ ของสงั คม เช่น ความเสยี สละ ความขยนั หม่นั เพียร การประหยดั อดออกม ความกตญั ญู ความอดทน ทาดไี ดด้ ี เป็นตน้ • เนตธิ รรม (Legal) คือวฒั นธรรมทางกฎหมาย รวมทงั้ ระเบยี บประเพณีท่ี ยอมรบั นบั ถือกนั วา่ มีความสาคญั พอ ๆ กบั กฎหมาย เพ่ือใหค้ นในสงั คมอยู่ รว่ มกนั อยา่ งมีความสขุ

• สหธรรม (Social) คือวฒั นธรรมทางสงั คม รวมทงั้ มารยาทตา่ ง ๆ ท่ีจะติดตอ่ เก่ียวขอ้ งกบั สงั คม เชน่ มารยาทในการรบั ประทานอาหาร มารยาทในการ ตดิ ตอ่ กบั บคุ คลตา่ ง ๆ ในสงั คม • วตั ถธุ รรม (Material) คือวฒั นธรรมทางงวตั ถุ เช่น เคราองน่งุ ห่ม ยารกั ษาโรค บา้ นเรอื น อาคารส่งิ กอ่ สรา้ งตา่ ง ๆ สะพาน ถนน รถยนต์ เครอ่ื งคอมพวิ เตอร์ เป็นตน้ เอกลกั ษณข์ องวฒั นธรรมไทย - ภาษาไทย ตวั อกั ษรไทย ซง่ึ นบั วา่ เป็นอารยธรรมขนั้ สงู - อาหารไทย เชน่ นา้ พรกิ ปลาทู หรอื ตม้ ยากงุ้ ท่เี ป็นท่ีรูจ้ กั และโดง่ ดงั ไปท่วั โลก - สมนุ ไพรไทย แมแ้ ตต่ า่ งชาตกิ ใ็ หค้ วามสนใจ เช่น วา่ นหางจระเข้ กระชายดา กราวเครอื - ฉายาสยามเมอื งยิม้ ซง่ึ แสดงถงึ ความยิม้ แยม้ แจ่มใส มอี ธั ยาศยั ซง่ึ หายากใน ชนชาติอ่นื - มารยาทไทย เช่นการไหว้ เป็นท่รี ูจ้ กั ของคนท่วั โลก การมีสมั มาคารวะ เคารพผู้ อาวโุ ส รูจ้ กั กาลเทศะ - ประเพณีไทย เช่น ผตี าโขน บญุ บงั้ ไฟ การแหป่ ราสาทผงึ้ แหน่ างแมว - การแสดงแบบไทย เช่นลิเก โขน ราวง - ดนตรไี ทย เชน่ ระนาด ป่ี ขลยุ่ องั กะลงุ - การละเลน่ ไทย เชน่ มอญซอ่ นผา้ ลาตดั - สิ่งกอ่ สรา้ ง เชน่ เรอื ไทย

- เพลงไทย เช่นเพลงไทย(เพลงไทยเดิม) เพลงลกู ทงุ่ วัฒนธรรมในภมู ิภาคตา่ ง ๆ ของไทย วฒั นธรรมไทยในแต่ละทอ้ งถ่ิน จะมคี วามคลา้ ยคลงึ และแตกต่างกนั ไปขนึ้ อยกู่ บั ปัจจยั ต่าง ๆ และยงั มีการเปลีย่ นแปลงอยตู่ ลอดเวลา ทงั้ นีเ้ ป็นเพราะมกี าร เปล่ยี นแปลงทางดา้ นสงั คม เศรษฐกิจ การเมืองการปกครอง และการดาเนินชีวติ ของคนไทยอยตู่ ลอดเวลา วฒั นธรรมไทยในภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ ชนพืน้ เมืองถ่ินอีสานดารงชีวิตอย่างเรยี บงา่ ย มีโครงสรา้ งทางสงั คมและวฒั นธรรม เป็นเอกลกั ษณบ์ นพืน้ ฐานประวตั ศิ าสตรอ์ นั ยาวนาน วฒั นธรรมตา่ ง ๆ ของภาค อีสานเป็นการนาแนวความคดิ ความศรทั ธา และความเช่ือท่ีไดส้ ่งั สมและสบื ทอดเป้ นมรดกตอ่ กนั มา ตวั อย่างวฒั นธรรมในดา้ นต่าง ๆ มีดงั นี้ 1.ดา้ นอาหาร วฒั นธรรมเก่ียวกบั พืชผกั และกรรมวิธีในการปรุงอาหารของชาวอีสาน พบวา่ พืชผกั พืน้ บา้ นท่ีชาวบา้ นบรโิ ภคมีจานวน 99 ชนิด แบง่ ออกเป็นพืชนา้ 10 ชนิด พืชบก 89 ชนิด พืชเหลา่ นีม้ ีบรโิ ภคตลอดปี 57 ชนิด สว่ นท่ีเหลอื เป็นพืชผกั ตาม ฤดกู าลพืชผกั ดงั กลา่ ว กองโภชนาการ กระทรวงสาธารณสขุ ไดว้ ิเคราะหส์ ารอาหารแลว้ จานวน 44 ชนิด ซง่ึ ต่างใหค้ ณุ คา่ ทางโภชนาการ มากมาย บางชนดิ เป็นยาสมนุ ไพรสามารถปอ้ งกนั รกั ษาโรคภยั ตา่ ง ๆ ได้ สาหรบั กรรมวิธีการปรุงอาหารพบวา่ ชาวอีสานมีวธิ ีปรุงอาหารโดยเก็บพชื ผกั มา ประกอบรวมกบั เนือ้ สตั ว์

แลว้ ทาใหส้ กุ เชน่ นง่ึ ตม้ ยา่ ง เป็นตน้ และเรยี กอาหารท่ีประกอบแลว้ ได้ 18 วธิ ี เช่น แกงอ่อม ออ๋ หมกยา สา่ ค่วั หลู้ ป่น หลน ซบุ เนียน ลาบ กอ้ ย แจว่ หลาม เป็น ตน้ สว่ นการถนอมอาหารนนั้ ใชเ้ ทคโนโลยีพนื้ บา้ น สว่ นใหญ่เป็นการนาอาหารสดมา ตากแหง้ และใชว้ ธิ ีหมกั ตามธรรมชาติ 2.ดา้ นศาสนาและลทั ธิความเช่ือ เช่น บญุ บงั้ ไฟ การแห่ผีตาโขน เป็นตน้ 1.บญุ บงั้ ไฟเป็นประเพณีสาคญั ของชาวอสี าน นิยมทาในงานเทศกาลเดอื นหา้ ฟา้ หก (ราวเดือนเมษายน-พฤษภาคมของปี) ในช่วงนีช้ าวนาจะเตรยี มไถนาจงึ ขอใหฝ้ นตก จากความเช่ือในเรอ่ื งของสงิ่ ลลี้ บั และเทวดาหรอื พญาแถนท่ีอยบู่ นสวรรค์ สามารถ บนั ดาลใหฝ้ นตกฟา้ รอ้ งได้ จงึ มีการจดั พิธีบชู าพญาแถนทกุ ปีดว้ ยการทาบงั้ ไฟ 2.การแหผ่ ีตาดโขนท่ีอาเภอดา่ นซา้ ย จงั หวดั เลย ผเู้ ลน่ จะนารูปหนา้ กากท่ีมีลกั ษณะ น่าเกลียดน่ากลวั มาสวมใสแ่ ละแตง่ ตวั มดิ ชิด แลว้ เขา้ ขบวนแหแ่ สดงท่าทางต่าง ๆ ในระหวา่ งมงี านบญุ ประเพณีประจาปีของทอ้ งถ่ิน การแหผ่ ีตาโขนหรอื ท่ีอาเภอ ดา่ นซา้ ยเรยี กวา่ ”บญุ หลวง” เป็นการรวมเอาบญุ ประเพณีบญุ พระเวสและบญุ บงั้ ไฟ เขา้ ดว้ ยกนั โดยจะจดั ขนึ้ ในช่วงวนั ขา้ งขนึ้ เดอื น 8 นยิ มทากนั 3 วนั โดยวนั แรกเป็นวนั ท่ปี ระชาชนจากหมบู่ า้ นตา่ ง ๆ เดนิ ทางมารว่ มงานซง่ึ ปกติจะนา บงั้ ไฟมาดว้ ย พิธีจะเรม่ิ ตอนเชา้ ตรูโ่ ดยทาพธิ ีอญั เชิญพระอปุ คตุ เขา้ มาประดิษฐานใน วดั โพนชยั เพราะเช่ือว่าจะสามารถปอ้ งกนั เหตเุ ภทภยั ตา่ ง ๆ ท่จี ะเกิดในงาน ได้ จากนนั้ ก็มกี ารละเลน่ ทงั้ กลางวนั และกลางคนื เชน่ เซงิ้ บงั้ ไฟ ฟ้อนรา การแสดง ผีตาโขน เป็นตน้ จนลว่ งถงึ วนั ท่สี องของงาน การละเลน่ ก็ยงั ดาเนนิ ตอ่ ไป ในเย็น วนั ท่สี องจะมีการจดุ บงั้ ไฟ และวนั ท่ีสามพระจะเทศนส์ งั กาสและเร่อื งพระเวสสนั ดร ทงั้ วนั

นอกจากตวั อยา่ งงานประเพณีท่กี ลา่ วมาขา้ งตน้ แลว้ ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือยงั มีประเพณีงานบญุ และเทศกาลท่ีสาคญั อีกจานวนมาก เช่น งานบญุ พระเวสหรอื บญุ มหาชาติ จงั หวดั รอ้ ยเอ็ด ซง่ึ กระทากนั หลงั ออกพรรษา งานบญุ ขา้ วสากหรอื บญุ เดือนสิบ จงั หวดั ยโสธร ประเพณีการแห่ปราสาทผงึ้ จงั หวดั สกลนคร และประเพณี ไหลเรอื ไฟ จงั หวดั นครพนม เป็นตน้ 3.ดา้ นท่ีเก่ียวกบั การดารงชีวิตทางการเกษตร ไดแ้ ก่ งานบญุ คนู ลานเม่ือชาวนาในพืน้ ถ่ินอีสานเก็บเก่ียวขา้ วเสรจ็ ก็จะมดั ขา้ วท่ีเก่ียวเป็นฟ่ อน และนาฟ่ อนขา้ วมารวมกอง ไวท้ ่ลี านเพ่อื นวด และเม่ือนวดขา้ วเสรจ็ ก็นิยมทากองขา้ วท่ีนวดใหส้ งู ขนึ้ จากพืน้ ลาน เรยี กวา่ “คนู ลาน” ผทู้ ่ไี ดข้ า้ วมากก็มกั จะจดั ทาบญุ กองขา้ วท่ีนวดใหส้ งู ขนึ้ จากพืน้ ลานเรยี กวา่ “คนู ลาน” ผทู้ ่ไี ดข้ า้ วมากกม็ กั จะจดั ทาบญุ กองขา้ วขนึ้ ท่ลี าน ชาวอีสานถือวา่ บญุ คนู ลานเป็นประเพณีอย่างหน่งึ ในฮติ สิบสองหรอื งานทาบญุ สาคญั ในรอบหนง่ึ ปีของคนในภมู ิภาคนี้ งานบญุ คนู ลานกค็ ืองานทาขวญั ขา้ วก่อนขน ขา้ วมาสยู่ งุ้ ฉางชาวบา้ นจงึ ทาบญุ เพ่อื เป็นสริ มิ งคล เพ่มิ ความม่งั มศี รสี ขุ แก่ตนและ ครอบครวั และเป็นการอญั เชิญขวญั ขา้ ว คอื พระแมโ่ พสพใหม้ าอยปู่ ระจาขา้ ว การ ทานาขา้ วจะไดผ้ ลอดุ มสมบรู ณแ์ ละผคู้ นจะไมอ่ กอยาก วฒั นธรรมไทยในภาคเหนือ เป็นวฒั นธรรมท่มี ีเอกลกั ษณเ์ ฉพาะตวั โดยเฉพาะวฒั นธรรมของชาวลา้ นนาท่ยี งั คง ยดึ ม่นั ในขนบธรรมประเพณีของพระพทุ ธศาสนา ท่แี สดงออกถงึ มิตรไมตรแี ละความ เอือ้ เฟื้อเผ่ือแผต่ อ่ กน มกี ารสบื ทอดมาเป็นระยะเวลาอนั ยาวนาน จงึ ถือเป็นมรดกทาง วฒั นธรรมท่ีสาคญั ย่งิ ท่ีคนคนทอ้ งถ่ินในภาคเหนือยงั รกั ษาไวจ้ นถึงปัจจบุ นั ในท่ีนีจ้ ะ กลา่ วถึงตวั อยา่ งวฒั นธรรมท่สี าคญั

1ดา้ นอาหาร โดยตวั อยา่ งของวฒั นธรรมในดา้ นนี้ ไดแ้ ก่ ระเพณีเลยี้ ง ขา้ วแลงขนั โตกหรอื ก๋ินขา้ วแลงขนั โตก เป็นประเพณีของชาวลา้ นนา ผทู้ ่อี าศยั อยใู่ น จงั หวดั ทางภาคเหนือตอนบนและใชภ้ าษไทยเหนือเป็นภาพดู มีการตกแต่งสถานท่ี อยา่ งสวยงามมีอาหารภาคเหนือมากมายหลายชนิด เจา้ ภาพเหร่ือจะแตง่ กายแบบ พืน้ เมืองทงั้ ชายหญิง งานเลีย้ งขนั โตกจะเรม่ิ ดว้ ยขบวนแห่นาขบวนขนั โตกดว้ ยสาวงามช่าง ฟอ้ น ตามมาดว้ ยคนหาบกระติบหลวง ขบวนแหน่ ีจ้ ะผสมผสานกบั เสยี งดนตรโี หร่ อ้ ง แสดงความช่ืนชมยนิ ดี เม่ือมาถึงงานเลยี้ งแลว้ กจ็ ะนากระตบิ หลวงไปวางไวก้ ลางงาน แลว้ นาขา้ วนง่ึ ในกระตบิ แบง่ ปันใสก่ ระติบเลก็ ๆแจกจา่ ยไปตามโตกตา่ ง ๆ จนท่วั บรเิ วณงาน ซง่ึ มีโตกใสส่ าหรบั กบั ขา้ วเตรยี มไวก้ อ่ นแลว้ อาหารท่ีเลยี้ งกนั นนั้ นอกจาก จะมีขา้ วนง่ึ เป็นหลกั แลว้ ก็มีกบั ขา้ วแบบของชาวเหนือ คอื แกงฮงั เล แกงอ่อม แกงแค ไสอ้ ่วั นา้ พรกิ อ่อง นา้ พรกิ หน่มุ แคบหมู ผกั สด และของหวาน เชน่ ขนมปาด ขา้ ว แตน๋ เป็นตน้ 2.ดา้ นศาสนาและลทั ธิความเช่ือ ตวั อยา่ งวฒั นธรรมในดา้ นนี้ ไดแ้ ก่ งานทาบญุ ทอดผา้ ป่าแถว งานทาบญุ ตานกว๋ ยสลากหรอื การทาบญุ สลากภตั (ทาน สลาก) ประเพณีการสบื ชะตา เป็นตน้ 1. การทาบญุ ทอดผา้ ป่าแถวจะกระทากนั ในเขตตวั อาเภอและอาเภอรอบนอก ของจงั หวดั กาแพงเพชร โดยกระทาพรอ้ มกนั ทกุ วดั ในคนื วนั ลอยกระทงหรอื วนั ขนึ้ 15 ค่า เดือน 12 โดยชาวบา้ นแตล่ ะครอบครวั เรอื นจะจดั หาก่ิงไม้ เทยี นไข ผา้ ขา้ วสาร อาหารแหง้ ผลไม้ และบรขิ ารของใชต้ า่ ง ๆ พอตกกลางคืนเวลาราว 19.00 น. ชาวบา้ นจะนาองคผ์ า้ ป่าไปไวใ้ นลานวดั จดั ใหเ้ ป็นแนวเป็นระเบยี บแลว้ นาผา้

พาดบนก่ิงไม้ นาเครอ่ื งไทยธรรมท่เี ตรยี มไวม้ าวางใตก้ ่ิงไมพ้ อถึงเวลามรรคนายกวดั จะป่าวรอ้ งใหเ้ จา้ ของผา้ ป่าไปจบั สลากรายนามพระภกิ ษุ เม่อื ไดน้ ามพระภิกษุแลว้ เจา้ ของผา้ ป่ าจะเอามากลดั ติดไวก้ บั ผา้ ท่ีหอ้ ยอยบู่ นก่ิงไม้ ของตน และพากนั หลบไปแอบอยใู่ นเงามืดเฝา้ รอดดู ว้ ยความสงบวา่ พระภิกษุรูปใด จะมาชกั ผา้ ป่าของตน เม่ือพระภกิ ษุชกั ผา้ ป่ าเรยี บรอ้ ยแลว้ พระภิกษุทกุ รูปจะไปน่งั รวมกนั แลว้ ใหศ้ ลี เจรญิ พระพทุ ธมนต์ อวยพร เม่ือเสรจ็ สิน้ เสยี งพระสงฆ์ มหรสพ ตา่ ง ๆ จะทาการแสดงทนั ที 2.งานทาบญุ ตานก๋วยสลากหรอื การทาบญุ สลากภตั (ทานสลาก) จะทาในชว่ งวนั เพญ็ เดอื น 12 (วนั ขนึ้ 15 ค่า เดอื น 12) ถึงเดอื นเก๋ียงดบั (วนั แรม 15 ค่า เดือน 12) หรอื ราวเดือนตลุ าคม – พฤศจิกายนของทกุ ปี ชาวเหนือหรอื ชาวลา้ นนาไทยจะ ทาบญุ ตานก๋วยสลากหรอื ก๋ินกว๋ ยสลาก โดยวนั แรกแตล่ ะครอบครวั หรอื คณะศรทั ธาจะเตรยี มงานตา่ ง ๆ หรอื เรยี กวา่ “วนั ดา” ผหู้ ญิงจะไปจ่ายตลาดหาซอื้ ของ สว่ นผชู้ ายจะเหลาตอกสานกว๋ ยไวห้ ลาย ๆ ใบ จากนนั้ นามากรุดว้ ยใบตองหรอื กระดาษปิดมดั ก๋วยรวมกนั เป็นมดั ๆ สาหรบั เป็นท่ี จบั ตรงสว่ นท่ีราบไวน้ ีช้ าวบา้ นจะเสยี บไมไ้ ผแ่ ละสอดเงนิ ไวเ้ ป็นเสมอื นยอด กว๋ ยสลากมี 2 ชนิด คอื กว๋ ยเลก็ จะมยี อดเงินไมม่ ากนกั ใชเ้ พ่ืออทุ ศิ สว่ นกศุ ลไปใหผ้ ี ป่ยู ่าตายายท่ลี ว่ งลบั หรอื อทุ ิศสว่ นกศุ ลเพ่ือตนเองในภายภาคหนา้ สว่ นอีกชนิดหน่งึ เป็นก๋วยใหญ่ เรยี กวา่ สลากโจก้ (สลากโชค) สว่ นมากจะจดั ทาขนึ้ เพ่ือใหอ้ านสิ งส์ เกิดแกต่ นเอง ในภพหนา้ จะไดม้ กี ินมใี ช้ ม่งั มศี รสี ขุ เหมือนในชาตินี้ งานทาบญุ ตานกว๋ ยสลากหรอื งานบญุ สลากภตั มคี ตสิ อนใจใหค้ นเรารูจ้ กั รกั ใคร่ สามคั คกี นั เกิดความปรองดองในหมญู่ าตพิ ่ีนอ้ งและเพ่ือนบา้ น ขณะเดยี วกนั ในทาง คตธิ รรมจะมีคติสอนใจพระสงฆแ์ ละสามเณรมใิ หย้ ดึ คตใิ นลาภลกั การะทงั้ หลาย โดย

เฉพาะก๋วยสลากท่ีญาติโยมนามาถวายนนั้ อาจมเี ลก็ บา้ งใหญ่บา้ ง มเี งนิ มากนอ้ ย ตา่ งกนั การจบั สลากจงึ ยงั ผลใหพ้ ระสงฆร์ ูจ้ กั ตดั กิเลส การทาบญุ โดยไมเ่ จาะจงพระ ผรู้ บั ส่ิงบรจิ าคนี้ ถือเป็นการทาความดเี พ่ือความดจี รงิ ๆ ตามอดุ มการณ์ เพ่ือ ความสขุ ของจิตใจโดยแท้ 3.งานประเพณีการสบื ชะตาหรอื การตอ่ อายไุ ดร้ บั อทิ ธิพลจากพระพทุ ธศาสนา กระทาขนึ้ เพ่ือยืดชีวติ ดว้ ยการทาพิธีเพ่ือใหเ้ กิดพลงั รอดพน้ ความตายได้ เป็น ประเพณีท่ีคนลา้ นนานิยมกระทาจนถึงทกุ วนั นี้ ซง่ึ แบง่ ออกเป็น 3 ประเภท คือ ประเพณีการสบื ชะตาคน ประเพณีการสืบชะตาบา้ น และสบิ ชะตาเมือง การสืบชะตาคนจะกระทาขนึ้ เม่อื เกิดการเจบ็ ป่วย หรอื หมอดทู ายทกั วา่ ชะตาไมด่ ี ชะตาขาด ควรจะทาพธิ ีสะเดาะเคราะหแ์ ละสบื ชะตาตอ่ อายเุ สยี จะทาใหแ้ คลว้ คลาดจากโรคภยั และอยดู่ ว้ ยความสวสั ดีตอ่ ไป ซง่ึ เป็นเชน่ เดยี วกบั การสบื ชะตาบา้ นและการสืบชะตาเมืองอนั เป็นอบุ ายใหญ้ าตพิ ่ี นอ้ งและผเู้ ก่ียวชอ้ งมารวมกนั เพ่ือใหก้ าลงั ใจและปรกึ ษาหารอื ในการแกป้ ัญหาบา้ น ปัญหาเมอื งใหส้ าเรจ็ ลลุ ว่ งไป ตวั อยา่ งท่ีกลา่ วมาขา้ งตน้ เป็นวฒั นธรรมท่ผี คู้ นทางภาคเหนือของไทย ไดก้ ระทา สืบทอดกนั มานาน นอกจากนี้ ยงั มีอกี มากมาย เช่น ปอยสา่ งลองหรอื งานบวช ลกู แกว้ เป็นสามเณรในพทุ ธศาสนาของชาวไทยใหญ่ในจงั หวดั แมอ่ อ่ งสอน ปอย หลวงหรอื งานมหกรรมการทาบญุ ของลา้ นนา งานสมโภชพระพทุ ธชนิ ราชท่ีจงั หวดั พษิ ณโุ ลกงานทาขวญั ผงึ้ ของชาวอาเภอคีรมี าศ จงั หวดั สโุ ขทยั งานแข่งเรอื ท่ีเป็น ตานานกีฬาของชาวบา้ นลมุ่ นา้ ในจงั หวดั พจิ ติ ร พษิ ณโุ ลก และน่าน งานอมุ้ พระดา นา้ เพ่อื ความอดุ มสมบรู ณข์ องชาวจงั หวดั เพชรบรู ณ์ งานสขู่ วญั เพ่ือสรา้ งพลงั ใจของ ชาวบา้ น ซง่ึ เป็นประเพณีธรรมเนียมไทยท่วั ทกุ ภาค การตีเหลก็ นา้ พีข้ องตาบลนา้

พี้ อาเภอทองแสนขนั จงั หวดั อตุ รดติ ถ์ ประเพณีสงเคราะหข์ องชาวลา้ นนา พิธีเลยี้ ง ผปี ่ยู า่ ซง่ึ เป็นผีคมุ้ ครองจรยิ ธรรมของสตรลี า้ นนา เป็นตน้ วฒั นธรรมไทยในภาคกลาง วฒั นธรรมทอ้ งถ่ิน ภาคกลางสว่ นใหญ่เป็นวฒั นธรรมท่ีเก่ียวเน่ืองกบั พระพทุ ธศาสนา เช่นเดียวกนั กบั วฒั นธรรมทอ้ งถ่ินภาคเหนือ แตม่ ลี กั ษณะท่ีแตกตา่ งกนั ออกไป บา้ ง เน่ืองจากสภาพแวดลอ้ มทางธรรมชาติ สงั คม และคา่ นยิ มในทอ้ งถ่ินท่ีแตกตา่ ง กนั ลกั ษณะวฒั นธรรมและขนบธรรมเนียมประเพณีโดยรวมมีความเก่ียวเน่ืองกบั พิธีกรรมในพระพทุ ธศาสนา และพธิ ีกรรมเก่ียวกบั คามเช่ือในการดาเนินชีวิต ซง่ึ ถือ วา่ เป็นเอกลกั ษณท์ ่สี าคญั ของวฒั นธรรมไทย ตวั อยา่ งของวฒั นธรรมทางภาคกลางท่ี สาคญั มีดงั นี้ 1.ดา้ นศาสนาและลทั ธิความเช่ือเช่น ประเพณีการรบั บวั โยนบวั การบชู ารอยพระ พทุ ธบาทเป็นตน้ 1.ประเพณีรบั บวั โยนบวั มขี นึ้ ท่อี าเภอบางพลี จงั หวดั สมทุ รปราการ เป็นประเพณี ท่ปี ฏบิ ตั สิ ืบทอดกนั มากวา่ 80 ปี โดยชาวบา้ นเช่ือตามตานานวา่ หลวงพอ่ โตลอย ตามแมน่ า้ เจา้ พระยามาหยดุ ท่ีปากคลองสาโรงเป็นการแสดงเจตจานงอนั แนว่ แนว่ า่ จะจาพรรษาอยใู่ นละแวกนนั้ อยา่ งแนน่ อน ชาวบา้ นจงึ ชว่ ยกนั รงั้ นิมนตเ์ ขา้ มาจนถงึ วดั บางพลีใหญ่ใน ซง่ึ เป็นท่ปี ระดิษฐานในปัจจบุ นั แลว้ อญั เชิญขนึ้ ไวใ้ นโบสถ์ หลวง พอ่ โตจงึ เป็นหลวงพอ่ ของชาวบางพลตี งั้ แตน่ นั้ มา หลงั จากนนั้ ในวนั ขนึ้ 14 ค่า เดอื น 11 ของทกุ ปี ชาวบางพลจี ะนมิ นตห์ ลวงพ่อขนึ้ เรอื แลน่ ไปใหช้ าวบา้ นไดม้ นสั การ ชาวบา้ นจะพากนั มาคอยมนสั การหลวงพอ่ อยรู่ มิ คลองและเดด็ ดอกบวั รมิ นา้ โยนเบา ๆ ขนึ้ ไปบนเรอื ของหลวงพอ่ ตอ่ มางานรบั บวั และโยนบวั จงึ กลายเป็นประเพณีสบื ทอดมาจนถึงปัจจบุ นั

2.การบชู ารอยพระพทุ ธบาท จงั หวดั สระบรุ ี โดยรอยพระพทุ ธบาทเป็นปชู นีย สถานท่ีสาคญั ย่งิ แหง่ หน่งึ เพราะเป็นมรดกชนิ้ เอกของชาติและศาสนา เป็นท่ีรูจ้ กั แพรห่ ลายของประชาชน และ เป็นท่เี คารพสกั การะของพทุ ธศาสนกิ ชนท่วั ไป โดยเฉพาะอยา่ งย่งิ ในเทศกาลบชู า พระพทุ ธบาท คือ ช่วงวนั ขนึ้ 1 ค่า เดือน 3 ถงึ วนั แรม 1 ค่า เดือน 3 กบั ช่วง วนั ขนึ้ 1 ค่าเดอื น 4 ถงึ วนั แรม 1 ค่า เดอื น 4 ประชาชนท่วั ทกุ สารทิศทงั้ ในเพศบรรพชิตและ คฤหสั ถต์ า่ งหล่งั ไหลมามนสั การรอยพระพทุ ธบาทในพระมณฑป อนั เป็นการ เช่ือมโยงความรูส้ กึ นึกคดิ ของพทุ ธบรษิ ัททงั้ หลายใหร้ ูส้ กึ ผกู พนั ตอ่ พระสมั มาสมั พทุ ธ เจา้ ผเู้ ป็นศาสดาอยา่ งเหนียวแนน่ ตลอดมา 2.ดา้ นท่ีเก่ียวกบั การดารงชีวติ ทางการเกษตร ไดแ้ ก่ 1.การทาขวญั ขา้ วเป็นประเพณีท่ยี งั คงทากนั อยา่ งกวา้ งขวางในหมขู่ องคนไทยภาค กลาง ไทยพวน และไทยอสี านท่วั ไป โดยจะนยิ มทากนั เป็นระยะ คือ ก่อนขา้ วออก รวง หลงั จากนวดขา้ ว และขนขา้ วขนึ้ ยงุ้ สาหรบั การเรยี กขวญั กอ่ นขา้ วออกรวงจะ นิยมทากนั ตงั้ แต่วนั แรม 1 ค่า เดือน 11 เป็นตน้ ไป ผทู้ ่จี ะเรยี กขวญั จะเป็นผหู้ ญิงซง่ึ จะแตง่ กายใหส้ วยงามกวา่ ธรรมดา พอถงึ ท่ีนาของตนก็จะปักเรอื นขวญั ขา้ วลงใน นา จากนนั้ ก็นาผา้ ซนิ่ ไปพาดกบั ตน้ ขา้ ว เอาขนมนมเนย ของเปรยี้ ว ของเค็ม เคร่อื งประดบั ของหอมต่าง ๆ หมาก พลู และบหุ ร่ี ใสล่ งไปในเรอื ขวญั ขา้ ว จากนนั้ ก็จดุ ธปู 8 ดอก เทียน 1 เลม่ และน่งั พนมมือเรยี กขวญั ขา้ ว พอเสรจ็ พธิ ีเรยี กขวญั แลว้ ผทู้ าพิธีเรยี กขวญั ก็จะเก็บขา้ วของท่ีมคี า่ บางสว่ นกลบั บา้ น สว่ นเคร่อื งสงั เวยอ่ืน ๆ ก็ จะทงิ้ ไวใ้ นเรอื นขวญั ขา้ วนนั้ ตอ่ ไป การทาขวญั ขา้ วเป็นความเช่ือของชาวนาวา่ จะทา ใหข้ า้ วออกรวงมาก ซง่ึ เป็นธรรมเนียมปฏิบตั ทิ ่ีทากนั มาแตด่ งั้ เดิม

3.ดา้ นยาและการรกั ษาพืน้ บา้ น จากการศกึ ษาคน้ ควา้ และรวบรวมตารายาพืน้ บา้ น ในจงั หวดั ชลบรุ ี โดยไดม้ กี ารสมั ภาษณแ์ พทยแ์ ผนโบราณ และคน้ ควา้ จากตาราท่ี บนั ทกึ อยใู่ นใบลาน สมดุ ขอ่ ยขาว สมดุ ข่อยดา พบวา่ มตี ารายาไทยแผนโบราณ ทงั้ หมด 318 ขนาน ท่ยี งั ใชอ้ ยใู่ นปัจจบุ นั มี 138 ขนาน จาแนกตามคณุ สมบตั ิ เชน่ ยาแกไ้ ข้ 12 ขนาน ยาแกท้ อ้ งเสีย 6 ขนาน ยาขบั โลหติ 29 ขนาน ยาแกไ้ อ 1 ขนาน ยาแกท้ อ้ งขนึ้ ทอ้ งเฟอ้ 2 ขนาน ยาแกล้ ม 11 ขนาน เป็นตน้ ยาสว่ นใหญ่เป็น พืชสมนุ ไพร และแรธ่ าตุ นอกจากนี้ ยงั มตี วั อยา่ งประเพณีวฒั นธรรมของคนในภาคกลางอีกจานวน มาก ท่ถี ือปฏิบตั ิกนั มาชา้ นาน เชน่ งานพธิ ีการทงิ้ กระจาดของจงั หวดั สพุ รรณบรุ ี งานประเพณีแหเ่ จา้ พอ่ เจา้ แมป่ ากนา้ โพ จงั หวดั นครสวรรค์ งาน ประเพณีตกั บาตรเทโวของจงั หวดั อทุ ยั ธานี ประเพณีตกั บาตรนา้ ผงึ้ จงั หวดั ฉะเชิงเทรา ประเพณีกอ่ เจดียท์ ราย จงั หวดั ฉะเชิงเทรา ประเพณีกวนขา้ วทิพยห์ รอื ขา้ วมธุปายาส จงั หวดั ชยั นาท และ ประเพณีสขู่ วญั สขู่ า้ ว จงั หวดั นครนายก เป็นตน้ วฒั นธรรมไทยในภาคใต้ ภาคใตม้ ปี ระวตั ิศาสตรค์ วามเป็นมาอนั ยาวนาน เป็นแหลง่ รบั อารยธรรมจาก พระพทุ ธศาสนา ศาสนาพราหมณ-์ ฮินดู และศาสนาอสิ ลาม ซง่ึ ไดห้ ลอ่ หลอมเขา้ กบั ความเช่ือด่งั เดิม กอ่ ใหเ้ กิดการบรูณาการเป็นวฒั นธรรมทอ้ งถ่ินภาคใต้

1.ดา้ นอาหาร ไดแ้ ก่ ประเพณีกินผกั หรอื ท่ีชาวบา้ นและชาวจีนท่ีอยใู่ นจงั หวดั ภเู ก็ต เรยี กกนั วา่ “เจีย๊ ฉ่าย” เป็นประเพณีท่คี นจีนนบั ถือมาชา้ นาน โดยเฉพาะคนจีนฮกเกีย้ นวนั ประกอบพิธีจะ ตรงกบั วนั ขนึ้ 1 ค่า เดอื น 9 ถึงวนั ขนึ้ 9 ค่า เดือน 9 ตามปฏทิ นิ จีนของทกุ ๆ ปี ประเพณีกินผกั ไดเ้ รม่ิ ขนึ้ เป็นครงั้ แรกท่ีหมบู่ า้ นไลท่ ู (ไนท)ู ซง่ึ ปัจจบุ นั คอื หมบู่ า้ น กะทู้ ตาบลกะทู้ จงั หวดั ภเู ก็ต ในสมยั นนั้ คนในหมบู่ า้ นสว่ นใหญ่เป็นชาวจีนท่ีอพยพเขา้ มาทาเหมือง แรใ่ นประเทศไทยตอ่ มาไดม้ คี ณะงวิ้ จากประเทศจีนเดินทางมาเปิดการแสดงใน หมบู่ า้ น แต่เม่อื ทาการแสดงไปไดร้ ะยะหน่งึ ก็เกิดโรคระบาดขนึ้ ในหมบู่ า้ น ทาให้ คณะงวิ้ นกึ ขนึ้ ไดว้ า่ พวกตนไมไ่ ดป้ ระกอบพิธีเจีย๊ ฉ่าย (กินผกั ) ท่เี คยปฏบิ ตั กิ นั มาทกุ ปีขณะอยทู่ ่ีเมืองจีนเลยตงั้ แต่ยา้ ยมาอยทู่ ่ปี ระเทศไทย คณะงวิ้ และชาวบา้ นจงึ ไดต้ กลงใจกนั ประกอบพธิ ีเจีย๊ ฉ่ายขนึ้ ท่ีโรงงวิ้ ตอ่ มาโรคภยั ไขเ้ จ็บตา่ ง ๆ ในหมบู่ า้ นก็หายไปหมดสิน้ ปัจจบุ นั พธิ ีกินผกั (เจีย๊ ฉ่าย) ของชาวภเู ก็ตไดป้ ฏบิ ตั สิ ืบทอดกนั มาทกุ ปี ถือวา่ เป็น ประเพณีอนั ดงี ามของชาวจงั หวดั ภเู ก็ต อนง่ึ การใชป้ ระโยชนจ์ ากพืชผกั พืน้ บา้ นภาคใตใ้ นมติ วิ ฒั นธรรมพบวา่ พืชผกั จานวน 103 ชนดิ ในจงั หวดั นครศรธี รรมราชนนั้ มจี านวน 47 ชนิดท่สี ามารถนามา จาแนกตามคณุ ประโยชน์ ดงั นี้ 1.พืชผกั ท่ีมีสรรพคณุ ทางสมนุ ไพร 22 ชนดิ เชน่ กาลงั ความถึก ชะเมา ชะเลอื ด เดือยบิด ตาก ตีเมยี เบ่ือยา่ ง เถาคนั เป็นตน้

2.พืชผกั ท่ีมีสรรพคณุ สมนุ ไพร และใชป้ ระโยชนใ์ นบา้ นหรอื ทางสถาปัตยกรรม 13 ชนิด เช่น กา้ งปลาแดง ขลจู่ ิกง่วงนอน จิกนา ชะมวงควาย นนทรี ผกั หนาม เป็นตน้ 3.พืชผกั พืน้ บา้ นท่ีใชป้ ระโยชนใ์ นบา้ นหรอื ทางสถาปัตยกรรม 12 ชนดิ เช่น กะสงั ชี เงาะ ตมุ พระ นา้ นอง ผกั กดู ทะเล หงอนไก่ เป็นตน้ นอกจากนี้ พืชผกั พืน้ บา้ นในจงั หวดั นครศรธี รรมราช จานวน 103 ชนิด ท่ีชาวบา้ น ใชบ้ รโิ ภคเป็นประจาในครวั เรอื น พบวา่ มกี ารนาไปใชป้ ระโยชนเ์ ป็นอาหารได้ 3 กลมุ่ คือใชป้ รุงอาหาร ใชร้ บั ประทานสด ลวก ดอง (ผกั เหนาะ) และใชไ้ ดท้ งั้ ปรุง อาหารและรบั ประทานสดก็ได้ พืชผกั พืน้ บา้ นตา่ ง ๆ นนั้ เม่ือบรโิ ภคแลว้ จะใหป้ ระโยชนต์ อ่ รา่ งกายชว่ ยควบคมุ ภาวะธาตใุ นรา่ งกายใหอ้ ยใู่ นภาวะสมดลุ ทาใหร้ า่ งกายแข็งแรง ไมเ่ จ็บไขไ้ ดป้ ่วย ขอ้ มลู ดงั กลา่ วจงึ สะทอ้ นใหเ้ หน็ ถึงวิถีชีวติ แห่งการพง่ึ ตนเองตามแนวทางการดแู ล สขุ ภาพโดยเฉพาะพฤติกรรมการบรโิ ภค 2.ดา้ นศาสนาและลทั ธิความเช่ือ เช่น ประเพณีลากพระ ประเพณีสารทเดือนสิบ เป็น ตน้ 1.ประเพณีลากพระ ชกั พระ หรอื แหพ่ ระ ชาวใตป้ ฏบิ ตั ิกนั มานานตงั้ แต่ครงั้ โบราณ กาล ชาวบา้ นท่ีเป็นพทุ ธศาสนิกชนจะพรอ้ มใจกนั อญั เชญิ พระพทุ ธรูปจากวดั ขนึ้ ประดษิ ฐานบน “นมพระ” หรอื บษุ บกท่วี างอยตู่ รงกลางรา้ นไม้ รา้ นไมน้ ีจ้ ะวางไวบ้ น ไมข้ นาดใหญ่สองท่อนอีกทีหนง่ึ หรอื ใชน้ มพระวางบนลอ้ เล่อื น รถ หรอื เรอื แลว้ ลาก หรอื ชกั แหไ่ ปตามถนนหนทางตามแมน่ า้ ลาคลอง หรอื รมิ ฝ่ังทะเล เคยมีผสู้ นั นิษฐาน

วา่ ประเพณีลากพระเกิดขนึ้ ในประเทศอินเดยี ตามลทั ธิของพราหมณท์ ่นี ยิ มเอาเทวรู ปออกแห่แหนในโอกาสตา่ ง ๆ และชาวพทุ ธไดน้ าเอาประเพณีนนั้ มาดดั แปลง ในกรณีภาคใตข้ องไทย ชาวบา้ นจะตระเตรยี มงานในวนั ขนึ้ 15 ค่า เดือน 11 และ เรม่ิ ทาการลากพระในตอนเชา้ ตรูข่ องวนั แรม 1 ค่า เดอื น 11 อนั เป็นวนั ออกพรรษา โดยประชาชนจะเดินทางไปวดั เพ่ือนาภตั ตาหารไปใสบ่ าตรท่ีจดั เรยี งไวต้ รงหนา้ พระ ลาก เรยี กว่า “ตกั บาตรหนา้ ลอ้ ” เม่อื พระฉนั ภตั ตาหารเชา้ เสรจ็ แลว้ ชาวบา้ นจะนิมนตพ์ ระภกิ ษุในวดั ขนึ้ น่งั ประจา เรอื พระ พรอ้ มทงั้ อบุ าสกและศิษยว์ ดั ท่ีจะตดิ ตามและประจาเคร่อื งประโคม อนั มี โพน ฆอ้ ง โหมง่ ฉ่ิง ฉาบ แลว้ ชาวบา้ นกจ็ ะช่วยกนั ลากพระออกจากวดั ขณะท่ีลาก พระไปประชาชนท่ีรออยจู่ ะนาตม้ (ขา้ วเหนียวหอ่ ใบกะพอ้ ทาเป็นรูปสามเหลีย่ ม) มา แขวนท่ีลอ้ เลื่อนหรอื รถเพ่ือทาบญุ กนั ไปตลอดทาง การลากพระนีอ้ าจขยายออกเป็น 2 – 3 วนั หรอื 7 – 10 วนั แลว้ แตท่ อ้ งท่ี 2.ประเพณีสารทเดอื นสบิ ของจงั หวดั นครศรธี รรมราช ถือเป็นงานประเพณีท่ี ย่งิ ใหญ่ ไดร้ บั อทิ ธิพลมาจากศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู จดั ขนึ้ เพ่ืออทุ ิศสว่ นบญุ สว่ น กศุ ลใหแ้ กผ่ ทู้ ่ลี ว่ งลบั ไปแลว้ 3.ดา้ นศลิ ปะ ไดแ้ ก่ การราโนราซง่ึ เป็นศิลปะพืน้ บา้ นท่ีเกา่ แกข่ องภาคใต้ โดย นอกจากจะแสดงเพ่ือความบนั เทงิ แลว้ ยงั แสดงเพ่อื ประกอบพธิ ีกรรมท่ีเรยี กวา่ โนรา โรงครูหรอื โนราลงครู อีกดว้ ย พธิ ีกรรมนีม้ ีจดุ มงุ่ หมายในการจดั เพ่ือไหวค้ รู หรอื ไหวต้ ายายโนรา อนั เป็นการแสดงความกตญั ญรู ูค้ ณุ ต่อครู เพ่ือทาพิธี แกบ้ น เพ่ือทาพิธียอมรบั เป็นศลิ ปินโนราคนใหม่ และเพ่อื ประกอบพิธีเบด็ เตลด็ ตา่ ง ๆ

ประเพณีการราโนรามคี วามสมั พนั ธก์ บั วิถีชีวติ ของชาวบา้ นทงั้ นี้ เพราะโนราโรง ครูเป็นพธิ ีกรรมท่ีเป็นความเช่ือทางพระพทุ ธศาสนาระดบั ชาวบา้ น อนั หมายถึงความ เช่ือในหลกั คาสอนของพระพทุ ธศาสนาซง่ึ ผสมผสานเขา้ กบั ลทั ธิพราหมณ-์ อินดู และ ความเช่ือในเรอ่ื งไสยศาสตรห์ รอื ผสี างเทวดา อนั รวมไปถงึ การเซน่ ไหวบ้ รรพบรุ ุษการ เขา้ ทรง และพธิ ีกรรมทางความเช่ืออ่ืน ๆ นอกจากนี้ ประเพณีของชาวไทยมสุ ลมิ ทางภาคใต้ เชน่ การเกิด โกนผมไฟ แตง่ งาน การตาย เป็นตน้ ลว้ นมีเอกลกั ษณพ์ ิเศษและเป็นเร่อื งท่ีนา่ สนใจศกึ ษา เพราะในแตล่ ะประเพณีท่ี กลา่ วถงึ จะไดร้ บั การยดึ ถือปฏบิ ตั อิ ย่างเครง่ ครดั สบื ตอ่ กนั มาอยา่ งไมข่ าดสาย ประเพณีเหลา่ นีแ้ สดงใหเ้ หน็ ถงึ ความคิด ความเช่ือ และการปฏิบตั เิ ฉพาะอยา่ ง เห็นไดช้ ดั เช่น ประเพณีการทาศพ ส่งิ ท่ตี อ้ งกระทา คือ การอาบนา้ ศพ หอ่ ศพ ละหมาดศพ และฝังศพ ถา้ ไมก่ ระทาเช่ือวา่ จะบาปกนั ทงั้ หมบู่ า้ น นอกจากประเพณีท่กี ลา่ วถึงแลว้ นนั้ ภาคใตข้ องไทยยงั มีประเพณีอ่ืนๆ อีก เชน่ การตกั บาตรธูปเทยี นเป็นการทาบญุ ดว้ ยธูปเทียนและดอกไม้ เน่ืองในเทศกาล เขา้ พรรษา เพ่ือใหพ้ ระสงฆท์ ่จี าพรรษานาธูปเทียนใชบ้ ชู าพระรตั นตรยั ตลอด พรรษา ประเพณีแหผ่ า้ ขนึ้ พระธาตเุ ป็นประเพณีท่ชี าวนครศรธี รรมราชรว่ มมือรว่ มใจ กนั บรจิ าคเงินทองตามกาลงั ศรทั ธาซอื้ ผา้ มาเยบ็ ตอ่ กนั เขา้ เป็นแถบยาวนบั รอ้ ยเมตร แลว้ ใชแ้ ถบผา้ นนั้ ไปพบั โอบรอบฐานองคพ์ ระบรมธาตเุ จดยี ์ อนั เป็นเจดยี ท์ ่บี รรจพุ ระ บรมสารรี กิ ธาตแุ ละเป็นท่ีนบั ถือของชาวใต้ ประเพณีแหเ่ จา้ แมล่ มิ้ กอเหน่ียวเป็นงาน สมโภชเจา้ แมล่ มิ้ กอเหน่ียวโดยจงั หวดั ปัตตานีจะใหค้ วามสาคญั กบั งานนีเ้ ป็น พเิ ศษ ประเพณีลาซงั ซง่ึ จดั ขนึ้ เพ่ือบวงสรวงแสดงความกตญั ญตู อ่ พระแมโ่ พสพ เป็น ตน้

บทที่ 4 การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอนั มี พระมหากษัตริยท์ รงเป็ นประมุข การปกครองระบอบประชาธปิ ไตย ระบอบประชาธิปไตย ( Democracy ) หมายถึง ระบบการปกครองท่ปี ระชาชน เป็นใหญ่ ดงั นนั้ การปกครองท่ีเป็นประชาธิปไตยก็คอื รูปการปกครองท่ียดึ ถืออานาจ อธิปไตยเป็นของปวงชน ประเทศท่ีเป็นประชาธิปไตยนนั้ จาเป็นตอ้ งมีรฐั ธรรมนญู เพราะรฐั ธรรมนญู เป็นกฎหมายหลกั หรอื เป็นกตกิ าท่กี าหนดแนวทางสาหรบั การท่ีรฐั จะใชอ้ านาจ ปกครองประชาชน และมหี ลกั การจดั ระเบยี บการปกครองแตร่ ฐั ธรรมนญู ก็ไมใ่ ช่ เคร่อื งหมายแสดงความเป็นประชาธิปไตย เพราะประเทศท่ปี กครองดว้ ยระบอบเสด็จ การก็มรี ฐั ธรรมนญู เช่นเดียวกนั การท่ีจะพจิ ารณาวา่ ประเทศใดเป็นประชาธิปไตย หรอื ไม่ จงึ ตอ้ งดวู า่ รฐั ธรรมนญู ของประเทศนนั้ ใหป้ ระชาชนเป็นเจา้ ของอานาจ อธิปไตยหรอื ไม่ ลกั ษณะสาคญั ของการปกครองแบบประชาธิปไตยสามารถพิจารณาไดจ้ าก รฐั บาล การเลือกตงั้ และการปกครองโดยเสยี งขา้ งมาก หลักการสาคัญของการปกครองระบอบประชาธปิ ไตย 1. หลกั ความเสมอภาค ความเสมอภาคทางการเมอื งประชาชนทกุ คนสามารถมสี ่วนรว่ มทางการเมอื งไดอ้ ย่าง เทา่ เทยี มกนั รูปแบบจดั แสดง การต์ นู เคลอ่ื นไหว Animation แสดงหลกั ความเสมอ ภาคทางการเมืองผ่านประชาชนทกุ ระดบั ทกุ อาชีพท่ีตา่ งมหี นง่ึ สทิ ธิหนง่ึ เสียงเทา่ เทยี ม กนั

ความเสมอภาคทางเศรษฐกิจประชาชนทกุ คนตอ้ งไมถ่ กู กีดกนั ในการประกอบอาชีพ การประกอบการตอ้ งเป็นไปอย่างเสรเี ป็นธรรมไมม่ ีการผกู ขาดทางการคา้ รูปแบบการ จดั แสดง การต์ นู เคลือ่ นไหวแสดงหลกั ความเสมอภาคทางเศรษฐกิจผา่ นเร่อื งราวของ ประชาชนคนหนง่ึ ซง่ึ สามารถเปลี่ยนอาชีพไดอ้ ย่างอิสระเสรี ความเสมอภาคทางโอกาสบคุ คลสามารถจะไดร้ บั การศกึ ษา การรกั ษาพยาบาลและ การใหบ้ รกิ ารจากรฐั อยางเทา่ เทียมกนั รูปแบบการจดั แสดง การต์ นู เคล่อื นไหว แสดง หลกั ความเสมอภาคทางโอกาสผา่ นภาพเปรยี บเทียบการไดรบั โอกาสท่ีเท่าเทยี มกนั แมว้ า่ จะตา่ งฐานะกนั 2. หลักสิทธิ เสรีภาพและหน้าท่ี สิทธิ คือ อานาจอนั ชอบธรรม หรอื ประโยชนท์ ่กี ฎหมายรบั รองและคมุ้ ครอง รูปแบบการจดั แสดง การต์ นู เคล่อื นไหว แสดงหลกั สิทธิเปรยี บเทียบผา่ นเรอ่ื งราวการ เคารพสทิ ธิซง่ึ กนั และกนั บนทอ้ งถนน โดยรถยนตค์ นั หนง่ึ ท่ีกระทาละเมดิ สทิ ธิของรถ คนั อ่ืนท่ีมาก่อน เสรภี าพ คอื การมีอิสระท่ีจะกระทาสิ่งใด ๆ โดยตอ้ งไมล่ ะเมิดเสรภี าพของผอู้ ่ืน รูปแบบการจดั แสดง การต์ นู เคลอ่ื นไหว Animation แสดงหลกั เสรภี าพการเคารพ เสรภี าพซง่ึ กนั และกนั ของเพ่อื นท่ีอาศยั รว่ มหอ้ งเดยี วกนั หนา้ ท่ี คือ สง่ิ ท่ีบคุ คลตอ้ งปฏิบตั ิหรอื งดเวน้ จากการปฏิบตั ิบคุ คลยอ่ มมสี ิทธิ เสรภี าพ และหนา้ ท่ีซง่ึ การใชส้ ิทธิ เสรภี าพตอ้ งไมไ่ ปละเมดิ สทิ ธิของผอู้ ่ืน และตอ้ งปฏบิ ตั ิหนา้ ท่ี ของตนภายใตก้ ฎหมาย รูปแบบการจดั แสดง การต์ นู เคลอื่ นไหว Animation แสดงหลกั หนา้ ท่ีผา่ นอาชีพแตล่ ะ อาชีพท่ีแต่ละบคุ คลในสงั คมพงึ ปฏบิ ตั ติ ามหนา้ ท่ีแต่งอาชีพของตน

3. หลกั นิตธิ รรม การใชก้ ฎหมายเป็นหลกั ในการบรหิ ารประเทศ บคุ คลทกุ คนตอ้ งอยภู่ ายใตก้ ฎหมาย เจา้ หนา้ ท่ีของรฐั ตอ้ งใชก้ ฎหมายตอ่ ทกุ คนอยา่ งเทา่ เทยี มกนั โดยไมเ่ ลอื กปฏบิ ตั ิ รูปแบบการจดั แสดง การต์ นู เคล่ือนไหว Animation แสดงหลกั นิติธรรมผา่ นตาช่งั ความยตุ ิธรรมเทา่ เทียมกนั แมว้ า่ อีกฝ่ายจะมีอานาจฐานะมากกวา่ อีกฝ่ายก็ตาม 4. หลักการใชเ้ หตุผล คอื การใชห้ ลกั เหตผุ ลมาเป็นพืน้ ฐานในการตดั สินใจ และหากมีการตดั สินปัญหาดว้ ย การออกเสียงตอ้ งยอมรบั มติของเสียงขา้ งมาก แตต่ อ้ งเคารพสิทธิของเสียงสว่ นนอ้ ย รูปแบบการจดั แสดง การต์ นู เคลื่อนไหว Animation แสดงหลกั การใชเ้ หตผุ า่ นการลง มตเิ สียงเลอื กทาสีหอ้ งใหมข่ องนกั เรยี นหอ้ งหนง่ึ โดยอาศยั หลกั เหตผุ ลและเสียงขา้ ง มากในการตดั สินแตไ่ มล่ ะเลยเสียงขา้ งนอ้ ย 5. หลักการมีส่วนร่วมทางการเมอื ง การปกครองระบอบประชาธิปไตยนนั้ ประชาชนมีสว่ นรว่ มในการปกครองประเทศทงั้ ทางตรงและทางออ้ ม ทางตรง เช่น การออกเสยี งประชามติ การเสนอถอดถอน ฯลฯ ทางออ้ ม เช่น การเลอื กตวั แทนเขา้ ไปทาหนา้ ท่ีบรหิ ารประเทศแทนตน ทางตรง คอื การใชส้ ิทธิเสรภี าพตามรฐั ธรรมนญู เชน่ การแสดงความคิดเหน็ การออก เสยี งประชามติ การขอรบั รูข้ อ้ มลู ขา่ วสารราชการ การชมุ นมุ การรอ้ งทกุ ขส์ ว่ นราชการ ทางออ้ ม คอื การเลอื กตงั้ ตวั แทน เช่น ส.ส. , ส.ว. ไปทาหนา้ ท่ีในการออกกฎหมาย และบรหิ ารประเทศ

รูปแบบการจดั แสดง การต์ นู เคลือ่ นไหว Animation แสดงหลกั การมีสว่ นรว่ มทางการ เมืองผ่านการคดั เลอื กหวั หนา้ หอ้ งคนใหม่ หากเลอื กคนไมด่ ีเขา้ ไปเป็นตวั แทนจะทาให้ เดือดรอ้ น ดงั นนั้ ควรเลือกตวั แทนท่ดี เี ขา้ ไปทาหนา้ ท่ีแทนตน รูปแบบการปกครองระบอบประชาธิปไตย 1. แบบรัฐสภา (Parliamentary Democracy) ระบอบประชาธิปไตยแบบรฐั สภา คอื จะมีผแู้ ทนราษฎรเพียง 1 สภาหรอื มี 2 สภาก็ได้ สภาผแู้ ทนราษฎร มาจากประชาชนเป็นผลู้ งคะแนนเสียงเลอื กตงั้ สว่ นวฒุ ิสภา สว่ นมากไดส้ มาชิกมาจากการแต่งตงั้ แตส่ มาชิกวฒุ สิ ภาบางประเทศก็มาจากการ เลอื กตงั้ อีกทงั้ สภากส็ ามารถเรยี กต่างกนั ได้ เชน่ ประเทศองั กฤษเรยี กวา่ สภาลา่ ง กบั สภาสงู หรอื สภาขนุ นาง เป็นตน้ แตต่ ามรูปแบบประชาธิปไตยแลว้ สภาทงั้ สองจะตอ้ ง ทาการประชมุ รว่ มกนั ท่เี รยี กวา่ รฐั สภา สว่ นผใู้ ชอ้ านาจนิติบญั ญตั ิ คือเป็นกลมุ่ คนท่ีมี อานาจในการออกกฎหมายเพ่ือใชป้ กครองประเทศ รวมทงั้ มอี านาจใหค้ วามเห็นชอบ จดั ตงั้ รฐั บาล อกี ทงั้ คอยควบคมุ การบรหิ ารของรฐั บาลดว้ ย แมร้ ฐั บาลตอ้ งอยใู่ นการ กากบั ดแู ลของสมาชกิ รฐั สภา รฐั สภาคอยดแู ลสอดสอ่ งรฐั บาลตามกระบวนการของ รฐั ธรรมนญู สว่ นทางรฐั บาลก็สามารถยบุ สภาได้ ทาใหเ้ กิดความสมดลุ ในการ ปกครอง โดยมีประเทศท่ใี ชร้ ะบบสาธารณรฐั ระบบรฐั สภาไดแ้ ก่ เยอรมนี อติ าลี อนิ เดยี ออสเตรยี ฮงั การี ตรุ กี อิรกั อสิ ราเอล ปากีสถาน สิงคโปร์ ไอรแ์ ลนด์ ไอซแ์ ลนด์ ฟินแลนด์ กรซี เซอรเ์ บยี เช็กเกีย บลั แกเรยี เนปาล บงั กลาเทศ เอธิโอเปีย ซรู นิ าม เป็น ตน้

สว่ นประเทศท่ีใชร้ ะบบราชาธิปไตยภายใตร้ ฐั ธรรมนญู ไดแ้ ก่ สหราชอาณาจกั ร ญ่ีป่นุ ไทย กมั พชู า มาเลเซยี สเปน สวเี ดน นอรเ์ วย์ เนเธอรแ์ ลนด์ เบลเยยี ม เดนมารก์ แคนาดา ออสเตรเลีย นวิ ซีแลนด์ ลกั เซมเบริ ก์ ลกิ เตนสไตน์ โมนาโก อนั ดอรร์ า เป็น ตน้ 2. แบบประธานาธิบดี (Presidential Democracy) มคี วามเหมือนกบั แบบรฐั สภา คอื มีรฐั สภาเหมือนกนั แตม่ ีความแตกต่างกนั ตรงท่ี มี ประธานาธิบดเี ป็นผใู้ ชอ้ านาจบรหิ าร ซง่ึ ประธานาธิบดสี ามารถแตง่ ตงั้ คณะรฐั มนตรี ขนึ้ มา 1 ชดุ เพ่อื ช่วยในการบรหิ ารประเทศและถา้ หากเกิดอะไรขนึ้ ก็ตอ้ งรบั ผิดชอบ รว่ มกนั สว่ นอานาจนิติบญั ญตั กิ ็อยทู่ ่รี ฐั สภาน่นั เอง ทงั้ ประธานาธิบดีและ สมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎร มาจากการโหวตคดั เลอื กของประชาชน จงึ ตอ้ งทาหนา้ ท่ีตอ่ ประชาชนโดยตรง อานาจตลุ าการนนั้ มีอิสระเสรี เพราะฉะนนั้ การปกครองในรูปแบบ นี้ อานาจนิตบิ ญั ญตั ิ อานาจบรหิ าร อานาจตลุ าการ ตา่ งมีอิสระเป็นของตนแยกกนั อยา่ งเด่นชดั สถาบนั ทงั้ 3 นีท้ าหนา้ ท่ีถว่ งดลุ อานาจซง่ึ กนั และกนั เพ่อื ไมใ่ หฝ้ ่ายใด ฝ่ายหนง่ึ ใชอ้ านาจของตนเกินขอบเขต ระบบประธานาธิบดโี ดยไมม่ นี ายกรฐั มนตรี เชน่ อฟั กานสิ ถาน แองโกลา อารเ์ จนตนิ า นากอรโ์ น-คาราบคั เบนนิ โบลเิ วีย บราซลิ บรุ ุนดี ชลิ ี โคลอมเบีย คอโมโรส คอสตารกิ า ไซปรสั สาธารณรฐั โดมนิ ิกนั เอกวาดอร์ เอลซลั วาดอร์ แกมเบีย กานา กวั เตมาลา ฮอนดรู สั อินโดนีเซีย อหิ รา่ น เคนยา ไลบีเรยี มาลาวี มลั ดีฟส์ เมก็ ซิโก นกิ ารากวั ไนจีเรยี ปาเลา

ปานามา ปารากวยั ฟิลปิ ปินส์ เซเชลส์ เซียรร์ าลโี อน โซมาลแี ลนด์ เซาทซ์ ูดาน ตรุ กี เตริ ก์ เมนสิ ถาน สหรฐั อรุ ุกวยั เวเนซเุ อลา แซมเบยี ซมิ บบั เว เบลารุส แคเมอรูน สาธารณรฐั แอฟรกิ ากลาง ชาด จบิ ตู ี อิเควทอเรยี ลกินี กาบอง กินี กายอานา โกตดิววั ร์ คาซคั สถาน รวนั ดา เกาหลใี ต้ ซูดาน ทาจกิ ิสถาน แทนซาเนีย โตโก ยกู นั ดา อซุ เบกิสถาน 3. แบบกง่ึ รัฐสภากง่ึ ประธานาธิบดี (Semi-parliamentary or Semi-Presidential Democracy) ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยรูปแบบนี้ คือ ประธานาธิบดีจะดารงตาแหนง่ ประมขุ รวมทงั้ ช่วยบรหิ ารราชการแผ่นดินรว่ มกนั กบั นายรฐั มนตรี หากพดู ถึงในดา้ น การบรหิ ารนายกรฐั มนตรจี ะเป็นผลู้ งนามในการประกาศใชก้ ฎหมาย สว่ น คณะรฐั มนตรกี ็ยงั คงเป็นผใู้ ชอ้ านาจบรหิ ารเช่นเดมิ แต่เพ่มิ เตมิ คือตอ้ งรบั ผดิ ชอบตอ่ รฐั สภา สว่ นรฐั สภามีหนา้ ท่ี ออกกฎหมายควบคมุ การบรหิ ารราชการแผน่ ดิน สว่ น ประธานาธิบดีเป็นผกู้ าหนดนโยบายตา่ งประเทศรวมทงั้ เร่อื งการเมืองท่วั ไป อีกทงั้ ยงั ทาหนา้ ท่ีตลุ าการ สามารถยบุ สภาไดอ้ ีกดว้ ย เพราะฉะนนั้ การปกครองแบบนี้ จงึ มี อานาจมาก การปกครองในรูปแบบนีเ้ ราจะเห็นไดจ้ าก ประเทศ อนิ เดีย ฝร่งั เศส เป็น ตน้ รูปแบบของรัฐ รูปแบบของรฐั หมายถงึ ลกั ษณะอนั แสดงถงึ รฐั วา่ เป็นประเทศท่ีมกี ารปกครองและ องคก์ รทางการปกครองเป็นเอกภาพ หรอื วา่ เป็นกลมุ่ ของรฐั ท่ีประกอบกนั เป็นประเทศ และจดั การปกครอง ตลอดทงั้ มีองคก์ รทางการปกครองซา้ ซอ้ นหรอื ขนานกนั ดงั นนั้ รูปแบบของรฐั จงึ สอ่ ใหเ้ ห็นถึงลกั ษณะของการใชอ้ านาจอธิปไตยในประเทศวา่ จะใช้

ในลกั ษณะใดเป็นอนั หน่งึ อนั เดยี วกนั มีรฐั บาลเดียวกนั และมีรฐั สภาแหง่ ประเทศเป็น หน่งึ เดียว หรอื วา่ มีรฐั บาลและมรี ฐั สภาซา้ ซอ้ นกนั เคยี งคกู่ นั รูปของรฐั ท่ีปรากฏอยนู่ บั แตอ่ ดีตจนถึงปัจจบุ นั สามารถจาแนกออกได้ 2 ชนิด คือ 1. รัฐเดย่ี ว รฐั เด่ยี ว (Unitary State) คอื รฐั ท่ีมศี นู ยก์ ลางในทางการเมืองและการปกครองรวมกนั เป็นอนั หนง่ึ อนั เดยี ว เป็นรฐั ซง่ึ มเี อกภาพไมไ่ ดแ้ ยกออกจากกนั มีการใชอ้ านาจสงู สดุ ทงั้ ภายในและภายนอกโดยองคก์ รเดียวกนั ท่วั ดินแดนของรฐั อานาจสงู สดุ ในท่ีนี้ ก็คอื อานาจอธิปไตย (อานาจนิติบญั ญตั ิ อานาจบรหิ าร และอานาจตลุ าการ) ในรฐั เด่ยี ว บคุ คลทกุ คนในประเทศจะอยภู่ ายใตบ้ งั คบั บญั ชาของอานาจแห่งเดียวกนั นี้ ทกุ คนจะ อยใู่ นระบอบการปกครองเดียวกนั และอยใู่ ตบ้ ทบญั ญตั ิของกฎหมายอย่างเดียวกนั รฐั เด่ยี วมอี ยมู่ ากในโลกนี้ และมีในทกุ ทวีป เช่น ไทย ฯลฯ รฐั เด่ยี วนนั้ ไม่ จาเป็นตอ้ งตงั้ อยบู่ นผืนแผน่ ดนิ เดยี วกนั และติดตอ่ กนั ไป ตวั อยา่ งเช่น ญ่ีป่นุ อินโดนีเซยี เป็นตน้ ซง่ึ มีลกั ษณะเป็นรฐั หมเู่ กาะ อาจประกอบดว้ ยดินแดนหลาย ดินแดนอยแู่ ยกหา่ งจากกนั โดยมีประเทศอ่ืนค่นั อยกู่ ็ได้ ตวั อยา่ งเช่น ประเทศ ปากีสถาน และตรุ กี เป็นตน้ 2. รัฐรวม รฐั รวม คือ รฐั ตา่ งๆ ตงั้ แต่ 2 รฐั ขนึ้ ไป ซง่ึ ไดเ้ ขา้ มารวมกนั ภายใตร้ ฐั บาลเดียวกนั หรอื ประมขุ เดียวกนั อาจดว้ ยความสมคั รใจของทกุ รฐั เพ่ือประโยชนร์ ว่ มกนั โดยท่ีแต่ละรฐั ตา่ งก็ยงั คงมีสภาพเป็นรฐั อยอู่ ยา่ งเดมิ เพียงแตก่ ารใชอ้ านาจอธิปไตยไดถ้ กู จากดั ลง ไปบา้ ง มากบา้ งนอ้ ยบา้ งตามแต่รฐั ธรรมนญู จะกาหนด หรอื ตามแตข่ อ้ ตกลงท่ีไดใ้ หไ้ ว้ ทงั้ นี้ เพราะวา่ ไดน้ าเอาอานาจนีบ้ างสว่ นมาใหร้ ฐั บาล หรอื ประมขุ เป็นผใู้ ช้ ซง่ึ แตล่ ะ รฐั นนั้ อยภู่ ายใตอ้ านาจสงู สดุ เดียวกนั โดยท่ีรฐั รวมในรูปแบบอ่ืน เชน่ สมาพนั ธรฐั นนั้

สว่ นมากก็ไดก้ ลายเป็นอดตี กนั ไปหมดแลว้ ยกเวน้ กรณี สหพนั ธรฐั เทา่ นนั้ ประเทศท่ี เป็นรฐั รวมหลายรฐั ท่ียงั คงหลงเหลืออยใู่ นปัจจบุ นั ลว้ นอยใู่ นรูปแบบของ สหรฐั หรอื สหพนั ธรฐั ทงั้ สนิ้ ลกั ษณะสาคญั ของรูปแบบรฐั บาลตามแบบ สหพนั ธรฐั (Federalism) คือ การ แบง่ แยกอานาจ (Division of Power) ระหวา่ งรฐั บาลกลาง (Central Government) และรฐั บาลมลรฐั (State Government) โดยท่อี งคป์ ระกอบของแต่ละหน่วยท่มี า รวมตวั กนั เป็นสหพนั ธรฐั ตอ้ งมขี อบเขตอาณาบรเิ วณท่ีชดั เจน และทงั้ รฐั บาลกลาง และรฐั บาลทอ้ งถ่ินตา่ งมอี านาจโดยตรงจากรฐั ธรรมนญู ของตนเอง และเป็นอานาจท่ี ไมก่ า้ วกา่ ยซง่ึ กนั และกนั อกี ทงั้ การสรา้ งสมดลุ ระหวา่ งอานาจระหวา่ งทอ้ งถ่ิน และ รฐั บาลกลางเป็นสง่ิ ท่จี าเป็นอยา่ งย่งิ ดงั นนั้ มลรฐั จงึ มอี านาจท่ีจะสามารถควบคมุ ดแู ลประชาชนภายในมลรฐั ของตน แต่ หลกั การสาคญั คอื อานาจนนั้ ตอ้ งไมข่ ดั กบั ความตอ้ งการ และสวสั ดภิ าพของชาติ โดยสว่ นรวมอานาจ โดยท่ีหนา้ ท่ีซ่ึงแต่ละมลรฐั มีภายในรฐั ของตนได้ ก็อยา่ งเชน่ การศกึ ษา การสาธารณสขุ กฎหมายการแตง่ งาน การหยา่ รา้ ง การเก็บภาษีทอ้ งถ่ิน การควบคมุ และดาเนินการเลอื กตงั้ ดงั นนั้ แมว้ า่ รฐั สองรฐั จะอยตู่ ดิ กนั แตอ่ าจมี กฎหมายในเร่อื งเดียวกนั ตา่ งกนั ได้ การมรี ฐั บาลรูปแบบสหพนั ธรฐั ก็เพ่ือจดั สรรอานาจใหค้ นกลมุ่ ตา่ งๆ ภายในประเทศท่ี มีความเป็นอิสระในการตดั สนิ ใจ และดารงไวซ้ ง่ึ แบบแผนความเช่ือ และวถิ ีชีวิตท่ีตน ตอ้ งการโดยท่ีไมเ่ ป็นอปุ สรรคตอ่ สวสั ดภิ าพ และความม่นั คงของชาติ โดยลกั ษณะท่ี สาคญั ของสหพนั ธรฐั ไดแ้ ก่

1) มรี ฐั ธรรมนญู เป็นลายลกั ษณอ์ กั ษร (written constitution) เพ่ือใหส้ อดคลอ้ งกบั หลกั การแบง่ แยกอานาจ เน่ืองจากทงั้ รฐั บาลกลาง และรฐั บาลทอ้ งถ่ินตา่ งตอ้ งการ หลกั ประกนั ท่ีม่นั คงจากรฐั ธรรมนญู ว่าสทิ ธิอานาจของตนจะไมถ่ กู ลบลา้ ง 2) สถาบนั นิตบิ ญั ญตั ิในระบบสหพนั ธรฐั โดยท่วั ไปจะประกอบดว้ ยสองสภา สภา หนง่ึ เป็นตวั แทนของประชาชนทงั้ ประเทศ สว่ นอกี สภาหน่งึ ทาหนา้ ท่ีแทนประชาชนใน มลรฐั หรอื รฐั บาลทอ้ งถ่ิน 3) รฐั บาลทอ้ งถ่ินมีสทิ ธิท่จี ะเขา้ ไปมีสว่ นรว่ มในการแกไ้ ข (amendment)รฐั ธรรมนญู ของรฐั บาลกลาง 4) ระบบสหพนั ธรฐั คานงึ ถึงศกั ดิ์ และสิทธิท่ีเทา่ เทียมกนั ของรฐั สมาชิก โดยไมใ่ ห้ ความสาคญั กบั ขนาด หรอื จานวนประชากรของรฐั เชน่ วฒุ สิ มาชิกของสหรฐั อเมรกิ า มจี านวนเทา่ กนั คอื รฐั ละ 2 คน เป็นตน้ การปกครองระบอบประชาธปิ ไตยอนั มีพระมหากษัตรยิ ท์ รงเป็ น ประมุข สงั คมทกุ สงั คมจะเจรญิ กา้ วหนา้ เป็นปึกแผน่ ได้ ยอ่ มตอ้ งมีระเบยี บวนิ ยั และผนู้ าของ สงั คมเป็นหลกั ในการปกครอง ผนู้ าของสงั คมระดบั ประเทศโดยเฉพาะระบอบ ประชาธิปไตยสว่ นใหญ่จะอยใู่ นรูปแบบของประธานาธิบดหี รอื พระมหากษัตรยิ ์ สาหรบั การปกครองระบอบประชาธิปไตยอนั มีพระมหากษัตรยิ ท์ รงเป็นประมขุ นนั้ พระมหากษัตรยิ ท์ รงอยภู่ ายใตร้ ฐั ธรรมนญู แตก่ ารใชพ้ ระราชอานาจดา้ นนติ บิ ญั ญตั ิ บรหิ าร ตลุ าการ ทรงมไิ ดใ้ ชพ้ ระราชอานาจเหลา่ นนั้ ดว้ ยพระองคเ์ อง แตม่ ีองคก์ ารหรอื หน่วยงานท่ีรบั ผิดชอบตา่ ง ๆ กนั ไป พระราชอานาจทงั้ ปวงไมว่ า่ จะเป็นฐานะประมขุ ของรฐั หรอื ในฐานะอ่ืน ไดถ้ กู กาหนดไวโ้ ดยชดั แจง้ ในรฐั ธรรมนญู

1. ประมุขของรัฐ รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทยทกุ ฉบบั กาหนดรูปแบบการปกครองและ ประมขุ แห่งรฐั ไวว้ า่ ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอนั มี พระมหากษัตรยิ ท์ รงเป็นประมขุ เป็นการเทิดทนู พระมหากษัตรยิ ์ คอื ทรงดารงอยใู่ น ฐานะอนั เป็นท่เี คารพสกั การะ ผใู้ ดจะละเมดิ มไิ ด้ และรฐั ธรรมนญู ยงั กาหนดพระราช อานาจของพระมหากษัตรยิ ์ โดยใหพ้ ระมหากษัตรยิ ท์ รงเป็นผใู้ ชอ้ านาจอธิปไตยซง่ึ เป็นของประชาชน โดยใชอ้ านาจนิติบญั ญตั ิผา่ นทางรฐั สภา อานาจบรหิ ารผา่ นทาง คณะรฐั มนตรี และอานาจตลุ าการผา่ นทางศาล การกาหนดเชน่ นีห้ มายความวา่ อานาจต่าง ๆ จะใชใ้ นพระปรมาภไิ ธยของพระมหากษัตรยิ ์ ซง่ึ ในความเป็นจรงิ อานาจ เหลา่ นีม้ อี งคก์ รเป็นผใู้ ช้ ฉะนนั้ การท่บี ญั ญตั ิวา่ พระมหากษัตรยิ ท์ รงใชอ้ านาจนิติ บญั ญตั ิ อานาจบรหิ าร และอานาจตลุ าการผา่ นทางองคก์ รต่าง ๆ นนั้ จงึ เป็นการ เทิดพระเกียรติ แตอ่ านาจท่ีแทจ้ รงิ อยทู่ ่ีองคก์ รท่ีเป็นผพู้ ิจารณานาขนึ้ ทลู เกลา้ ถวาย เพ่ือพระมหากษัตรยิ ท์ รงลง พระปรมาภิไธย พระมหากษัตรยิ ใ์ นระบอบรฐั ธรรมนญู ของไทยแมจ้ ะไดร้ บั การเชดิ ชใู หอ้ ยเู่ หนือ การ เมืองและกาหนดใหม้ ผี รู้ บั สนองพระบรมราชโองการในการปฏบิ ตั ิทางการ ปกครอง ทกุ อยา่ ง แตพ่ ระมหากษัตรยิ ก์ ็ทรงมีอานาจบางประการท่ไี ดร้ บั การรบั รอง โดยรฐั ธรรมนญู และ เป็นพระราชอานาจท่ีทรงใชไ้ ดต้ ามพระราชอธั ยาศยั จรงิ ๆ ไดแ้ ก่ การแตง่ ตงั้ คณะ องคมนตรี การแตง่ ตงั้ ขา้ ราชการในพระองค์ และ สมหุ ราชองครกั ษ์ การแกไ้ ขเพ่มิ เติมกฏมณเทียรบาลวา่ ดว้ ยการสืบราชสนั ตตวิ งศ์ การ พระราชทางเคร่อื งราชอสิ รยิ าภรณ์ เป็นตน้


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook