หน่วยที่ 1 งานอาชีพเบอื้ งต้น ความหมายของอาชีพ อาชพี (Occupation) ตามความหมายของบณั ฑิตยสถาน (2546 : 1362) กลา่ วว่า อาชพี (อาชีว-อาชีวะ) การเลยี้ งชวี ิต การทามาหากนิ ในงานทที่ าเป็น ประจาเพอ่ื เลยี้ งชีพ สรุปแลว้ อาชีพ หมายถึง การทามาหากินในงานท่ที าเป็นประจาเพอ่ื ใหเ้ กดิ รายได้ สาหรบั การเลยี้ งชวี ิตตนเองและครอบครวั ความสาคัญของอาชีพ การทามาหากนิ เพอ่ื ดารงชีวติ ของมนษุ ยม์ คี วามจาเป็นอยา่ งยง่ิ ของทกุ คน ดงั นน้ั ความสาคญั ของอาชีพมีหลายประการ คือ 1. พัฒนาคุณภาพชวี ติ ท่ีดีขึน้ พัฒนาคณุ ภาพชวี ติ ทีด่ ขี นึ้ เช่น มรี ายไดซ้ อื้ บา้ น ซือ้ รถยนต์ ซือ้ เสอื้ ผา้ ใหม่ๆ ฯลฯ 2. จดุ เรม่ิ ต้นในการพัฒนาความก้าวหน้ายิ่งขึน้ จดุ เร่ิมตน้ ในการพฒั นาความกา้ วหนา้ ยง่ิ ขนึ้ เช่น จากปลดั อาเภอ กา้ วขนึ้ เป็น นายอาเภอ จากนายอาเภอ กา้ วเป็นปลดั จังหวดั จากปลดั จงั หวดั กา้ วเป็นผวู้ า่ ราชการจงั หวดั เป็นตน้ 3. ฝึ กตนเองให้มภี าวะการเป็ นผ้นู า ฝึกตนเองใหม้ ีภาวะการเป็นผนู้ า โดยเฉพาะหากไดร้ บั การเลือกขนึ้ เป็นผนู้ า หนว่ ยงาน 4. สร้างความเจริญกา้ วหน้า
สรา้ งความเจริญกา้ วหนา้ ใหแ้ กป่ ระเทศชาติ เนอื่ งจากรายไดข้ องทกุ คนจะชว่ ยกนั เสยี ภาษีอากร และรฐั บาลนาเงินเหลา่ นมี้ าพฒั นาประเทศชาติใหเ้ จริญกา้ วหนา้ ตอ่ ไป รูปท่ี1.1 ภาวะการเป็ นผู้นา ประเภทของอาชพี การประกอบอาชพี โดยท่วั ไปสามารถแบ่งประเภทออกได้ 3 ประเภท ไดแ้ ก่ 1. อาชีพข้าราชการ เป็นอาชพี ท่รี ฐั บาลจา้ งเพอื่ ใหท้ าหนา้ ทบ่ี รกิ ารแก่ประชาชน ท่วั ไป เช่น เกษตร ตาบล ปลดั อบต. ครู พยาบาล หมอ ตารวจ ทหาร เป็นตน้ ซ่งึ ไดร้ บั รายไดห้ รอื ตอบแทนเป็นเงินเดอื น 2. อาชพี อสิ ระ บางครงั้ เรียกวา่ อาชพี สว่ นตวั เป็นการประกอบอาชีพเป็นของ ตวั เอง ลงทนุ เอง เป็นผดู้ าเนินการเอง และเป็นนายตวั เอง ซ่ึงอาชีพอิสระแบง่ ได้ เป็น 3 อยา่ ง คอื 1.2.1 อาชีพการผลติ (Manufacturing) หมายถงึ การประกอบอาชีพใน การทาสนิ คา้ ขนึ้ มาสาหรบั จาหน่ายใหแ้ ก่ผบู้ รโิ ภค 1.2.2 อาชพี การคา้ (Trading) หมายถึง การประกอบอาชีพซอื้ มาขายไป หรอื เป็นคนกลางในการซอื้ ขายสนิ คา้
1.2.3 อาชพี บริการ (Service) หมายถึง การประกอบอาชพี ที่ใหบ้ ริการ ลกู คา้ เช่น ธนาคาร โรงแรม รา้ นตดั ผม เป็นตน้ 3. อาชีพลูกจ้าง ไม่ไดเ้ ป็นเจา้ ของกิจการ ทางานโดยปฏบิ ตั ิตามคาส่งั และไดร้ บั คา่ ตอบแทน คอื เงนิ เดอื น หรอื รายไดต้ ่อวนั /สปั ดาห์ รูปที่ 1.2 อาชพี ร้านขายก๋วยเตย๋ี ว 2. ขายผลไมร้ ถเข็น 1. ทาเล : ยา่ นชมุ ชนทม่ี คี มนาคมสะดวก เชน่ หนา้ สานกั งานตา่ งๆ ตลาด หนา้ หม่บู า้ น และตามมหาวิทยาลยั หรือโรงเรยี นตา่ งๆ เป็นตน้ 2. เงนิ ลงทนุ : ครง้ั แรกประมาณ 6000 บาท 3. เงินลงทนุ ต่อวนั : ประมาณ 900 บาท 4. รายได้ : วนั ละ 300-400 บาท 5. อปุ กรณ์ : รถเข็น ราคาประมาณ 4500-5000 บาท กระจกส่ีเหล่ียม แบง่ เป็นชอ่ งๆ มดี เขยี ง กระป๋ อง ถาด
6. วิธีทา : ผขู้ ายจะตอ้ งต่นื แต่เชา้ เพ่ือไปซอิ้ ผลไม่มาเตรียมจดั ใสร่ ถไวข้ าย (ซือ้ ทีต่ ลาดมหานาค) ผลไมท้ เ่ี ลือกซือ้ ตามฤดกู าล เช่น แตงโม สบั ประรด ฝร่งั มนั แกว ชมพู่ มะละกอ แคนตาลปู ฯลฯ เมื่อเตรียมผลไมแ้ ลว้ ก็ทานา้ จม่ิ มี 2 ชนดิ ชนิดท่ีทา จากพรกิ ป่นผสมเกลอื ป่นผสมนา้ ตาลทราย ซง่ึ ออก 3 รส เคม็ หวาน เผด็ (นิดหนอ่ ย) และชนิดทาจาก นา้ ตาลปี๊บผสมกบั พรกิ ขหี้ นผู สมเกลือ ใหม้ ี 3 รส เช่นกนั 7. ขอ้ แนะนา : วธิ ีการห่นั ผลไมข้ าย ก็สาคญั เช่นกนั ควรห่นั ใหน้ า่ รบั ประทาน อีกทงั ตผู้ ลไม้ ควรสะอาด สวยงาม จะทาใหล้ กู ค้าอยากซือ้ มากขนึ้ รูปที่ 1.3 อาชพี ขายผลไมร้ ถเขน็ 3. บริษทั ซกั อบ รดี ดว้ ยสภาพสงั คมที่เปลย่ี นไป ทาใหค้ นในเมอื งตอ้ งใชช้ ีวิตอย่างเรง่ รีบในการ ทางานและการดาเนินชวี ติ การจดั การกบั ธรุ ะสว่ นตวั อย่างเรอื่ งการซกั รีดผา้ อาจจะ เป็นสง่ิ ทอี่ ยนู่ อกเหนอื บริษัทไดเ้ พราะฉะนนั้ รา้ นซกั อบ รดี จงึ เกิดขนึ้ มาเป็นจานวน มาก ซง่ึ กเ็ ป็นธุรกจิ ท่ีสรา้ งรายไดอ้ ย่างเป็นกอบเป็นกาใหแ้ กผ่ ปู้ ระกอบการอีกดว้ ย 1. เงินลงทนุ
เงนิ ลงทนุ ครงั้ แรกของธรุ กจิ ซกั อบ รีด จะอยปู่ ระมาณ 20000 บาท ไม่รวมค่าเช่า รา้ น 2. รายได้ รายไดข้ องผปู้ ระกอบการในแต่ละเดือน อย่างนอ้ ยทีส่ ดุ อยู่ ประมาณ 10000 บาท ซ่งึ รายไดจ้ ะขนึ้ อย่กู บั ลกู คา้ ซึง่ กอ็ ย่ทู ่ที าเลของการตงั้ รา้ นและ ฝีมือในการซกั อบ รีด เป็นสาคญั 3. วสั ด/ุ อปุ กรณ์ วสั ดแุ ละอปุ กรณส์ าหรบั การประกอบธรุ กิจ ประกอบไปดว้ ย 1. เคร่อื งซกั ผา้ แบบถงั เดี่ยว 2. เคร่อื งอบแหง้ 3. เตารดี 4. ถงุ พลาสตกิ สาหรบั ใสผ่ า้ นวม ผา้ ห่ม และผา้ ปทู ี่นอน 5. โตะ๊ รดี ผา้ 6. กะละมงั ซกั ผา้ 7. ผงซกั ฟอก 8. นา้ ยาปรบั ผา้ นมุ่ 9. นา้ ยาซกั ผา้ ขาว 10. นา้ ยารีกผา้ เรยี บ 11. ไมแ้ ขวนเสอื้
12. ราวแขวนเสอื้ 4. แหล่งจาหน่ายวสั ดอุ ปุ กรณ์ รา้ นจาหนา่ ยเครอ่ื งใชไ้ ฟฟ้าและหา้ งสรรพสินคา้ ท่วั ไป 5. วิธีดาเนินการ ในปัจจบุ นั การซกั ผา้ สามารถทาได้ ๒ วิธี คอื ซกั ดว้ ยมอื และซกั ดว้ ยเครอ่ื งซกั ผา้ โดยมีวธิ ีการซกั ทแี่ ตกตา่ งกนั ดงั นี้ 1)การซักผ้าด้วยมือ เป็ นการซกั ผา้ ที่มีมาต้งั แตด่ ั้งเดมิ เป็นวิธีซกั ผา้ ท่ีตอ้ งออก แรงขยหี้ รอื แปรงผา้ ทีซ่ กั เหมาะสาหรบั ผา้ ท่ตี อ้ งการดแู ลเป็นพิเศษหรอื ผา้ ที่สกปรก มาก แต่วธิ ีนใี้ ชเ้ วลา แรงงานมากกว่าซกั ดว้ ยเครอื่ งซกั ผา้ ซงึ่ ขอ้ ดีของการซกั ผา้ ดว้ ยมอื คอื สามารถทาความสะอาดเฉพาะส่วนไดด้ ี เครื่องมืออุปกรณท์ ่ีใช้ในการซกั ผ้าโดยทว่ั ไปแลว้ ในการซกั ผา้ ด้วยมอื จะ ใช้เครื่องมืออปุ กรณด์ งั นี้ 1. ถงั หรอื อ่างสาหรบั แชแ่ ละซกั ผา้ อยา่ งนอ้ ย ๒ ใบ 2. แปรงซกั ผา้ ใชแ้ ปรงผา้ ในส่วนท่สี กปรกมาก เชน่ ปกเสอื้ ขอบแขน เป็นตน้ 3. กระดานแปรงผา้ ใหใ้ ชค้ กู่ บั แปรงสาหรบั รองผา้ ขณะแปรงผา้ 4. สารซกั ฟอก ไดแ้ ก่ ผงซกั ฟอก สบู่ และสารฟอกขาวใชซ้ กั ผา้ โดยสารฟอกขาวจะใช้ ในกรณีซกั ผา้ ขาว หรือผา้ สกปรกทีต่ อ้ งการฟอกเฉพาะสว่ น 5. สารแต่งผา้ ไดแ้ ก่ คราม แปง้ ลงผา้ เยลล่ี - คราม ใชส้ าหรบั แตง่ สีผา้ ขาวใหส้ ดใส ทาไดโ้ ดยนาครามละลายกบั นา้ และนาผา้ ท่ีซกั สะอาดแลว้ ไปแช่และขยาในนา้ ครามใหท้ ่วั บิดและนาไปตาก - แปง้ ลงผา้ ใชส้ าหรบั ลงผา้ ใหม้ ีความคงรูป ใชไ้ ดท้ ัง้ ผา้ สแี ละผา้ ขาวโดยท่วั ไปแลว้
จะใชก้ บั ผา้ ฝา้ ย ผา้ ไหม โดยใชแ้ ป้งมนั สาปะหลงั ตม้ กบั นา้ พอนา้ แปง้ สกุ จะมีลกั ษณะ ขน้ ใส และกอ่ นท่จี ะนาไปลงผา้ ควรกรองนา้ แปง้ ดว้ ยผา้ ขาวบาง เพือ่ นาเศษฝ่นุ ละออง และแป้งที่จบั เป็นลกู ออกจากนา้ แป้ง นา้ แปง้ ไม่ควรใหข้ น้ มาก พอแป้งสกุ ใหน้ ามา ผสมนา้ คนใหท้ ่วั แลว้ นาผา้ ลงแช่ใหท้ ่วั จงึ บดิ และนาไปตาก - เยลล่ีลงผา้ ใชส้ าหรบั ตกแต่งผา้ ใหค้ งรูปเชน่ กนั มขี ายอย่ทู ่วั ไปลกั ษณะเป็นแผน่ บางเป็นเสน้ วธิ ีการแต่งผา้ ใหน้ าไปตม้ ผสมกบั นา้ และกรองเช่นเดยี วกบั แปง้ ลงผา้ 2) การซักผ้าด้วยเครอ่ื งซกั ผ้า เครอื่ งซกั ผา้ ในมอี ย่หู ลายรูปแบบ เหมาะ สาหรบั ผา้ ท่ไี ม่พถิ ีพถิ นั ในการซกั หรอื ผา้ ที่ไม่สกปรกมาก แต่ถา้ ตอ้ งการซกั ผา้ ทีส่ กปรก มากดว้ ย กอ่ นการใชเ้ คร่ืองซกั ผา้ ควรแปรงหรอื ขยผี้ า้ ดว้ ยมอื หรือทาดว้ ยนา้ ยาขจดั รอยเปือ้ น เฉพาะสว่ นทสี่ กปรกมาก เชน่ ปก ปลายแขน เป็นตน้ การใชเ้ ครอ่ื งซกั ผา้ ตอ้ งหม่นั เช็ดทาความสะอาด และจะตอ้ งปฎบิ ตั ิตามคาแนะนาอยา่ งเครง่ ครดั เพอ่ื ยดื อายกุ ารใชง้ านของเสอื้ ผา้ ไดย้ าวนาน สาหรบั วธิ ีการในการซกั ผา้ ควรปฎบิ ตั ดิ งั นี้ 1. กอ่ นการซกั ผา้ ใหต้ รวจดกู ระเป๋ าเสอื้ กระเป๋ ากางเกงทกุ ตวั หากมวี ตั ถสุ งิ่ ของ ตกคา้ งอย่ใู หเ้ อาออก 2. กลบั เสอื้ ผา้ ทกุ ตวั โดยเอาดา้ นในออกก่อนการซกั ผา้ 3. เพื่อใหผ้ า้ สะอาดอยา่ งท่วั ถงึ ควรทาความสะอาดดว้ ยมอื หรือผสมสารซกั ฟอก เฉพาะท่กี อ่ นการซกั ดว้ ยเคร่ือง เช่น ปกเสอื้ ขอบปลายแขนเสอื้ เป็นตน้ 4. นาผา้ ใส่ลงในเครื่องซกั ผา้ ตามขนาดละความจุ หรอื นา้ หนกั ทบ่ี อกรายละเอียดไว้ 5. นาสารซกั ฟอกและสารอน่ื ๆ ใส่ในเคร่อื งซกั ผา้ ตามขอ้ แนะนาของเครอ่ื งซกั ผา้ แต่ ละชนดิ 6. เพือ่ ใหเ้ สอื้ ผา้ สะอาดย่งิ ขนึ้ ควรแชผ่ า้ ทงิ้ ไวป้ ระมาณ ๑๕-๒๐ นาที เช่นเดียวกนั กบั
การซกั ดว้ ยมือ 7. ตงั้ รายการซกั ผา้ ตามคาแนะนาของเครื่องซกั ผา้ 8. เมอื่ ซกั เสรจ็ แลว้ ใหน้ าผา้ ออกจากเคร่ืองซกั ผา้ 3)การซักผ้าขาว ในการซกั ผา้ ขาวควรแยกซกั จากผา้ สเี พราะการซกั รวมกนั กบั ผา้ สีจะทาใหผ้ า้ ขาวสีหมองคลา้ หรอื มีสดี ่างดาจากสขี องผา้ สีได้ ในการซกั ควรปฎิบตั ิ ดงั นี้ 1. นานา้ เปลา่ หรือนา้ ผสมผงซกั ฟอกอ่อน ๆใสก่ ะละมงั แช่ทงิ้ ไวป้ ระมาณ๑๕-๒๐ นาที 2. ศึกษาคุณสมบตั ขิ องผา้ กอ่ นซกั ผา้ บางชนิดผสมใยสงั เคราะห์ เมอ่ื ถกู สารฟอกขาว จะเปลีย่ นจากสขี าวเป็นสเี หลอื งหรอื สนี า้ ตาลออ่ น ผา้ บางชนิดเมอื่ ขยแี้ รง ๆหรือถไู ป มาแรง ๆเนอื้ ผา้ จะเสยี รูปทรงดงั นน้ั ควรทดลองโดยใสเ่ ศษผา้ หรอื หากไมม่ ีกท็ ดลอง โดยใชเ้ สอื้ ผา้ สว่ นทม่ี องเหน็ ไม่ชดั เจนเมื่อสวมใส่เชน่ ใตว้ งแขน สาบเสอื้ ดา้ นใน เป็น ตน้ 3. สาหรบั เสอื้ ผา้ ทสี่ ามารถแปรงได้ ใหใ้ ชแ้ ปรงเบา ๆ หลายครงั้ ในสว่ นท่ีสกปรกมาก ใหท้ ่วั ถา้ เป็นเสอื้ เชติ้ ผชู้ ายควรใชว้ ธิ ีแปรง ถา้ ใชว้ ิธีขยจี้ ะทาใหป้ กเสอื้ เสียรูปทรง และ ในการแปรงผา้ ถา้ แปรงแรงมากจะทาใหผ้ า้ ขาดงา่ ยและเสยี รูปทรง ส่วนผา้ ท่ีเนอื้ บาง ใหใ้ ชว้ ธิ ีขยา ถา้ จาเป็นตอ้ งขยจี้ ะตอ้ งขยใี้ หเ้ บามอื ท่สี ดุ 4. เม่ือซกั สะอาดโดยการซกั ใหห้ มดสารซกั ฟอกแลว้ จึงลงสารแต่งผา้ ตามตอ้ งการ และนาไปตากแดดโดยกลบั เอาดา้ นในออก 4) การซกั ผ้าสี ควรปฏบิ ตั ิดงั นี้ 1. เพื่อปอ้ งกนั สีตกและทาใหผ้ า้ มีสีสดใสขนึ้ ใหน้ านา้ เปล่าผสมเกลือ คนใหเ้ กลอื ละลาย และนาผา้ ลงแช่ประมาณ ๑ ช่วั โมงโดยใชน้ า้ ประมาณ ๔ ลติ รต่อเกลอื ๑ ชอ้ น
โตะ๊ 2. นาผา้ ไปแช่ในนา้ ผสมสารซกั ฟอกออ่ น ๆในกะละมงั แช่ทงิ้ ไวป้ ระมาณ ๑๕-๒๐ นาที 3. ซกั วิธีเดยี วกนั กบั การซกั ผา้ ขาว แต่ไม่ตอ้ งลงคราม ส่วนการตกแตง่ ผา้ ใหแ้ ข็งก็ สามารถทาไดต้ ามตอ้ งการ รูปที่ 1.4 อาชีพรา้ นซกั รีด 4. ขบั รถจกั รยานยนตร์ ับจ้าง 1. เงินลงทนุ : ประมาณ30000 บาท ขนึ้ ไป (รวมค่ารถ) 2. รายได้ : 200 บาท ขนึ้ ไป/วนั (ขนึ้ อยกู่ บั จานวนผใู้ ชบ้ รกิ าร) 3. อปุ กรณ์ : รถจกั รยานยนต์ เสอื้ คิว หมวกกนั นอ๊ ค 4. วิธีดาเนนิ การ : เรม่ิ จากการซอื้ รถจกั รยานยนต์ ถา้ มเี งนิ ลงทนุ นอ้ ยกห็ าซอื้ รถมือ สอง หมวกกนั น๊อคควรมี 2 ใบ สาหรบั ตวั เองและผโู้ ดยสาร บางแหง่ ตอ้ งมีการไป ติดตอ่ ซอื้ เสอื้ ควิ จากผดู้ แู ลคิว ซึง่ ราคาเสอื้ แต่ละแหง่ ไมเ่ ท่ากนั หลงั จากนนั้ จึงมา เขา้ คิวรบั -ส่งผโู้ ดยสาร บางแห่งอาจเขา้ คิวตามเวลาทีม่ ากอ่ น-หลงั หรอื บางแหง่ เขา้ คิวตามหมายเลขเขา้ ควิ ตามหมายเลขท่ีตดิ เสอื้ คิว อาจมีการจา่ ยเงินเป็นรายวนั
หรือรายเดือน ใหแ้ ก่ผดู้ คู วิ แลว้ แตจ่ ะตกลงกนั เวลาในการใหบ้ รกิ ารขนึ้ อย่กู บั ความ ขยนั และจานวนผใู้ ชบ้ รกิ าร 5. ขอ้ แนะนา : 1. ผทู้ จี่ ะประกอบอาชพี นีต้ อ้ งมีใบขบั ข่ี มีความชานาญ และมมี ารยาทในการขี่ รถจกั รยานยนต์ ปฏบิ ตั ิตามกฎหมาย และรูจ้ กั เสน้ ทางเป็นอยา่ งดี 2. เงินลงทนุ มากหรอื นอ้ ยขนึ้ อยกู่ บั สภาพรถและราคาเสอื้ คิวของแต่ละ่ แห่ง รูปท่ี 1.5 อาชีพขบั รถจกั รยานยนตร์ บั จา้ ง สรุปสาระสาคัญ อาชีพ หมายถึง การทามาหากนิ ในงานทท่ี าเป็นประจา เพ่อื ใหม้ ีรายได้ ความสาคญั ของอาชพี มีหลายประการ คือ 1. พฒั นาคณุ ภาพชวี ติ 2. หนา้ ท่กี า้ วหนา้
3. มภี าวะความเป็นผนู้ า 4. ประเทศชาติพฒั นา ประเภทของอาชีพ มี 3 ประการ คอื 1. อาชีพรบั ราชการ 2. อาชีพอิสระ 3. อาชีพลกู จา้ ง คุณสมบัตทิ จี่ าเป็ นของผู้ประกอบอาชีพ มี 2 ประการ ได้แก่ 1. คณุ สมบตั ขิ องผปู้ ระกอบอาชีพรบั จา้ ง เชน่ มไี หวพริบ สติปัญญา มีความรูใ้ น การใชอ้ ปุ กรณม์ ีทกั ษะการใชค้ อมพิวเตอร์ 2. คณุ สมบตั ิของผปู้ ระกอบอาชีพอสิ ระ เช่น กลา้ เสยี่ ง ประหยดั มีความคดิ รเิ รมิ่ สขุ ภาพแขง็ แรง ขยนั หม่นั เพียร ซ่อื สตั ย์ มวี ินยั และความรบั ผดิ ชอบ เป็นตน้ ประโยชนข์ องการประกอบอาชพี คอื ทาใหม้ ีรายไดต้ ่อตนเอง ทาใหค้ รอบครวั มีเงนิ ใชจ้ ่าย และทาใหป้ ระเทศชาตแิ ละสงั คมพฒั นากา้ วหนา้ อาชพี ทน่ี า่ สนใจในยคุ ปัจจบุ นั มีหลายอาชีพ เชน่ ขายกว๋ ยเตย๋ ว ขายผลไม้ รถเขน็ รา้ นบริการ ซกั อบรีด เป็นตน้
รูปที่ 1.6 การประกอบอาชพี ตา่ งๆ หน่วยที่ 2 มาตรฐานอาชีพ ความหมายของมาตรฐานอาชพี ตามความหมายของมาตรฐานอาชพี (Occupation Standard) ฝีมือแรงงาน แห่งชาติ (กรมพฒั นาฝีมอื แรงงาน 2556 : 1) มาตรฐานอาชีพ คือ ขอ้ กาหนดทาง วชิ าการท่ีใชเ้ ป็นเกณฑว์ ดั ระดบั ความรูค้ วามสามารถและทศั นคติ ในการทางานของผู้ ประกอบอาชพี ในสาขาต่างๆ มาตรฐานอาชพี ตามแนวคิดของฉตั รชาญ ทองจบั (2553 : 36) กล่าววา่ เป็นการกาหนดมาตรฐานของสมรรถนะ รวมทงั้ ความรูแ้ ละ ความเขา้ ใจทค่ี าดหวงั วา่ บคุ ลากรจะบรรลสุ าหรบั อาชพี หน่งึ มาตรฐานอาชีพนใี้ ชเ้ ป็น ฐานในการกาหนดและประเมนิ เพอื่ ใหไ้ ดค้ ณุ วฒุ วิ ชิ าชีพ (Vocation Qualification = VQ) สรุปแลว้ มาตรฐานอาชพี หมายถึงขอ้ กาหนดท่ีเป็นเกณฑเ์ ก่ยี ว ความรู้ ความสามารถและทศั นคตทิ ี่คน สามารถใชใ้ นการทางานในอาชีพตา่ ง ๆ ไดอ้ ยา่ งมี ประสิทธิภาพ องคป์ ระกอบสาคญั ของมาตรฐานอาชีพ มาตรฐานอาชีพมอี งคป์ ระกอบท่สี าคญั 3 ส่วนดงั นี้ 1. ความรู(้ Knowledge)
ความรูเ้ ป็นสงิ่ จาเป็นทจ่ี ะใชง้ านนน้ั ๆ ไดถ้ กู ตอ้ งตามหลกั วชิ าการหรือหลกั ทฤษฎี ในอาชพี ตา่ งๆ 2. ทักษะ (Skill) ทกั ษะเป็นการสะสมประสบการณจ์ นเกดิ ความชานาญ มีความสามารถเพยี งพอ ท่จี าทางานไดอ้ ย่างมคี ณุ ภาพ ตามขอ้ กาหนดและแลว้ เสร็จ เชน่ ทกั ษะอาชีพช่าง ไฟฟ้าภายนอกอาคารสามารถติดตงั้ ซ่อมแซม แกป้ ัญหาเก่ียวกบั ระบบไฟฟ้านอก อาคารไดท้ กุ วธิ ี โดยถกู ตอ้ งและปลอดภยั เป็นตน้ รูปที่ 2.1 อาชีพช่างไฟฟ้าท่ีใช้ทักษะในการทางาน 3. ทศั นคติ (Attitude) มจี ติ สานกึ ในการทางานทีด่ ี ซ่ึงเป็นเรือ่ งเก่ยี วกบั นิสยั ในการประกอบอาชีพ เช่น การตรงต่อเวลา การรกั ษาวนิ ยั มคี วามซ่อื สตั ย์ ประหยดั และวเิ คราะหว์ างแผน แกไ้ ขปัญหาในการทางาน โดยคานึงถึงประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการทางาน ซึง่ ทศั นคตนิ มี้ คี วามสาคญั มากในการประกอบอาชพี ทกุ อย่างในยคุ สมยั ใหม่ ที่ เจริญกา้ วหนา้ ดว้ ยเทคโนโลยี ประเภทมาตรฐานอาชีพ
กรมพฒั นาฝีมอื แรงงาน โดยกองมาตรฐานฝีมอื แรงงานไดแ้ บ่งประเภท มาตรฐานอาชีพออกเป็น 4 ประเภท ดงั นี้ 1. มาตรฐานอาชีพเฉพาะ มาตรฐานอาชพี เฉพาะเป็นมาตรฐานท่ีกาหนดขนึ้ เพ่ือรบั รองฝีมือแรงงาน ซ่ึงมี วตั ถปุ ระสงคเ์ ฉพาะ เชน่ 1. เพ่ือคนหางานที่ตอ้ งการไปทางานตา่ งประเทศ 2. ตามความตอ้ งการของสถานประกอบการท่อี อกให้ 3. ตามความตอ้ งการของแรงงานจงั หวดั 2. มาตรฐานอาชพี แหง่ ชาติ เป็นมาตรฐานทที่ าการรา่ งโดยผเู้ ช่ยี วชาญแต่ละสาขาอาชะี และคณะกรรมการ สง่ เสริมอาชพี ใหก้ ารอนมุ ตั ิ โดยมกี ารจดั ทาและปรบั ปรุงเพอ่ื ใหส้ อดคลอ้ งกบั ความ ตอ้ งการของตลาดแรงงานและการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีสมยั ใหม่ 3. มาตรฐานอาชพี ของอาเซียน เป็นมาตรฐานท่จี าเป็นที่จะตอ้ งรว่ มมอื กนั จดั ทาขนึ้ จากประเทศสมาชกิ อาเซียน ทงั้ 10 ประเทศ เน่อื งจากนบั ตงั้ แตป่ ี 2558 เป็นตน้ ไป จะมกี ารเคลื่อนยา้ ยแรงงาน หรอื ประกอบอาชีพตา่ งๆ ในกลมุ่ อาเซียนอยา่ งเสรี 4. มาตรฐานอาชีพนานาชาติ
รูปท่ี 2.2 การทดสอบมาตรฐานอาชพี ประโยชนข์ องมาตรฐานอาชพี 1. ประโยชนต์ ่อภาคเอกชน/สถานประกอบการ มาตรฐานอาชีพมีประโยชนต์ อ่ ภาคเอกชนหรอื สถานประกอบการ ดงั นี้ 1. ไดบ้ คุ คลที่มีความรู้ ความสามารถ ทกั ษะฝีมอื และทศั นคตทิ ่ีดีตอ่ การทางาน 2. ไดร้ บั ความรว่ มมอื ในการพฒั นาอาชีพรว่ มกนั ระหวา่ งภาครฐั และภาคเอกชน 3. สถานประกอบการไดร้ บั ผเู้ ขา้ ทางานที่มฝี ีมือตามมาตรฐาน 4. ลดปัญหาหรอื ลดความเสียหายในกระบานการผลิต 5. มีการประหยดั และไดร้ บั ผลผลิตเพิม่ 6. ไดส้ ินคา้ และบรกิ ารที่มีคณุ ภาพและแข่งขนั ได้ รูปที่ 2.3 มาตรฐานโรงงานอุตสาหกรรม
2. ประโยชนต์ ่อรัฐบาล 1. ใชใ้ นการจดั ระดบั กาลงั แรงงานของชาติ 2. ใชเ้ ป็นแนวทางในการประกอบการพจิ ารณาจาดทาสตู รฝึกอบรมแรงงาน 3. พฒั นาเศรษฐกจิ ของประเทศ ใหส้ ามารถแข่งขนั ในระดบั นาๆชาติได้ 4. ประเทศมฝี ีมอื เพ่มิ ขนึ้ สอดคลอ้ งกบั ทศิ ทางและความตอ้ งการของธรุ กจิ 5. ประชาชนมีทศั นคติทีด่ ตี อ่ รฐั บาลเนอื่ งจากไดร้ บั ความคมุ้ ครองที่ดีจากภาครฐั 3. ประโยชนต์ ่อประชาชน 1. ประชาชนไดร้ บั สนิ คา้ และบริการทพี่ งึ พอใจ 2. ประชาชนไดใ้ ชส้ นิ คา้ ท่ีมีคณุ ภาพดี ทนทาน ปลอดภยั 3. ประชาชนลดความสญู เสียค่าใชจ้ ่ายจากสนิ คา้ ที่ไม่มีคณุ ภาพ 4. ประชาชนเกิดความปลอดภยั ตอ่ ชวี ิตและทรพั ยส์ ิน ระดับของมาตรฐานอาชพี เป็นการจาแนกมาตรฐานอาชพี ตามความสามารถ และความชานาญในการ ปฏิบตั งิ าน ซ่งึ แบง่ ออกเป็น 3 ระดบั คือ 1. ระดบั 1 เป็นมาตรฐานระดบั กึ่งฝีมอื หมายถึง ผทู้ ี่มีฝีมือและความรูพ้ นื้ ฐานในการ ปฏิบตั ิงานท่ตี อ้ งมหี วั หนา้ ช่วยใหค้ าแนะนาหรอื ช่วยตดั สินใจเรื่องสาคญั เมอื่ จาเป็น 2. ระดบั 2 เป็นมาตรฐานระดบั ฝีมือ หมายถงึ ผูท้ มี่ ีฝีมือระดบั กลาง มีความรู้ ความสามารถ ใชเ้ ครอื่ งมืออปุ กรณไ์ ดด้ ี และมปี ระสบการณใ์ นการทางาน สามารถใหค้ าแนานา ผใู้ ตบ้ งั คบั บญั ชาได้
3. ระดบั 3 เป็นมาตรฐานระดบั เทคนคิ หมายถึง ผทู้ ่มี ฝี ีมอื ระดบั สงู สามารถวิเคราะห์ วนิ จิ ฉัยปหา รูข้ นั้ ตอนกระบสนการของงานอย่างดี สามารถช่วยแนะนางานฝีมอื แก่ ผใู้ ตบ้ งั คบั บญั ชาไดด้ ี สามารถใชห้ นงั สือคมู่ ิืิอ นาความรูแ้ ละความสามารถมา ประยกุ ตใ์ ชก้ บั เทคโนโลยใี หมไ่ ด้ รูปท่ี 2.4 ระดับช่างเทคนิคในสาขาต่างๆ มาตรฐานอาชีพของสาขาอาชพี ตา่ งๆ อาศยั อานาจตามความในมาตร 22 วรรคหนงึ่ แหง่ พระราชบญั ญัติส่งเสริมการ พฒั นาฝีมอื แรงาน พ.ศ. 2545 คณะกรรมการส่งเสรมิ การพฒั นาฝีมือแรงงาน จึงก าหนดมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติจานวน 91 สาขาอาชีพ โดยดรู ายละเอียดไดท้ ี่ http ://nome.dsd.go.th/standard 1. มาตรฐานอาชีพ สาขาอาชพี ช่างไฟฟ้าภายนอกอาคาร แบง่ เป็น 3 ระดบั ไดแ้ ก่ 1. ระดบั 1 หมายถงึ ผทู้ ี่มีความรูช้ า่ งซง่ึ ประกอบอาชีพในงานตดิ ตงั้ อปุ กรณ์ ประกอบเสาไฟฟ้าและการตงั้ เสาไฟฟ้า 2. ระดบั 2 หมายถึง ชา่ งซึ่งประกอบอาชีพในงานติดตงั้ อปุ กรณไ์ ฟฟา้ และและ ภายนอกอาคารและแกป้ ัญหา 3. ระดบั 3 หมายถึง ช่างซึ่งประกอบอาชีพในงานตดิ ตงั้ อปุ กรณไ์ ฟ้ฟ้าตรวจสอบ
ระบบไฟฟา้ ภายนอกอาคาร 2. มาตรฐานอาชพี สาขาซอ่ มรถยนต์ แบง่ เป็น 3 ระดบั ไดแ้ ก่ 1. ระดบั 1 หมายถึง ช่างทม่ี คี วาม ความสามสรถการตดั สนิ ใจปานกลาง ทา หนา้ ที่ถอดประกอบ ปฎิบตั ิงานตามคาส่งั ของหวั หนา้ งาน 2. ระดบั 2 หมายถึง ช่างท่ีมีความ สามารถตรวจวเิ คราะหห์ าสาเหตขุ อ้ ขด้ ขอ้ ง เบือ้ งตน้ กาหนดงานซ่อมบารุงและปฎบิ ตั ิการซอ่ งบารุงตามอาการทเ่ี กดิ ขนึ้ 3. ระดบั 3 หมายถึง ชา่ งท่ีมีความรู้ ความสามารถ มีความชานาญในการตรวจ วเิ คราะหห์ าสาเหตขุ อ้ ขด้ ขา้ งของระบบงานท่ซี บ้ ซอ้ น กาหนดงานซ่อมบารุงและ ปฎบิ ตั งิ านซอ่ มบาบงุ ทย่ี าก แลว้ ซบั ซอ้ นได้ รูปที่ 2.5 ชา่ งซอ่ มรถยนต์ 3. มาตรฐานอาชีพ สาขาอาชพี นักเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ (ภาษา) แบง่ เป็น 2 ระดบั 1. ระดบั 1 หมายถงึ ผทู้ มี่ ฝี ีมอื ความรู้ ความสามารถในการเขียนโปรแกรม พนื้ ฐานเบือ้ งตน้ เขา้ ใจหลกั การเขียนโปรแกรม เขา้ ใจแนวทางแกไ้ ขปัญหา เขา้ ใจการ เขยี นแัังงาน (Flow Chart) สามารถกาหนดขนั้ ตอนการทางานเพอื่ แกไ้ ขปัญหา
(Algorithm)สามารถเขียนโปรแกรมเพ่อื ประยุกตใ์ ชง้ านอย่างสมบรู ณต์ ามมาตรฐานที่ กาหนด 2. ระดบั 2 หมายถึง ผทู้ ี่มีฝีมอื ความรู้ ความสามารถในการเขยี นโปรแกรมขนั้ สงู (Advanced) เพอ่ื ประยกุ ตใ์ ช่สาหรบั งานตา่ งๆ ได้ มคี วามเชียวชาญในการใช่ เครือ่ งมอื (Tool)ของแตล่ ะภาษาคอมพวิ เตอรใ์ นการเขียนโปรแกรม สามารถแกไ้ ข โปรแกรมตรวจสอบขอ้ ผิดพลาดในการงานโปรแกรม (Debuggig) ไดอ้ ยา่ งมี ประสิทธิภาพ สามารถวิเคราะหอ์ อกแบบงานเพื่อเขยี นโปรแกรมสามารถติดตงั้ โปรแกรมที่เขียนเพือ่ ใชง่ านไดอ้ ย่างสมบรู ณ์ ตามมาตรฐานทก่ี าหนด 4. มาตรฐานอาชีพ สาขาชา่ งจดั ดอกไม้ แบ่งเป็น 3 ระดบั ไดแ้ ก่ 1. ระดบั 1 หมายถึง ผทู้ ีม่ คี วามรูเ้ บอื่ งตน้ ในการจดั ดอกไม้ วสั ดอุ ปุ กรณ์ การ เลือกซอื้ และการดแู ลรกั ษา รวมถงึ การจดั ในรูปแบบทรงตา่ งๆ 2. ระดบั 2 หมายถึง ผทู้ ม่ี ีฝีมอื ในระดบั มืออาชีพ สามารถนาความรูใ้ นเรื่องของ องคป์ ระกอบศิลป์ มาใชใ้ นการดดั แปลงวสั ดุ อปุ กรณ์ การนาเทคนคิ ตา่ งๆมา ประยกุ ตใ์ ชใ้ นการจดั ดอกไมแ้ บบสากล 3. ระดบั 3 หมายถึง ผทู้ ี่มฝี ีมอื ในการออกแบบดา้ นการจดั ดอกไมแ้ บบสากล แบบรว่ มสมยั ในโอกาสต่างๆ วางแผนปฏบิ ตั งานและนาเสนอชนิ้ งาน มีความคดิ ริเรมิ่ สรา้ วสรรค์ และแกไ้ ขปัญหาต่างๆ รูปที่ 2.6 อาชีพการจัดดอกไม้
5. มาตรฐานอาชีพ สาขาอาชพี การดแู ลผสู้ งู อายุ มี 1 ระดบั คอื ระดบั 1 หมายถงึ บคุ คลมีความรู้ ความสามารถ ทกั ษะ และมีคณุ ธรรมในการ ทาหนา้ ท่ชี ว่ ยเหลอื ครอบครวั ผสู้ งู อายุ ดอู ลรบั ผดิ ชอบผสู้ งู อายไุ ดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง แบบ ปลอดภยั เพอ่ื ใหผ้ สู้ งู อายมุ ีความเป็นอย่แู ละคณุ ภาพชวี ิตท่ีดี 6. มาตรฐานอาชีพ สาขาอาชีพพนกั งานนวดไทย แบง่ ออกได้ 3 ระดบั ประกอบดว้ ย 1. ระดบั 1 หมายถงึ ผทู้ ่ีมคี วามรู้ ความสามารถในการนวดไทยเพื่อผอ่ นคลาย และรูข้ อ้ หา้ มและขอ้ ควรระวงั ในการนวด พรอ้ มทงั้ มสี ขุ ภาพรา่ งกายและจิตใจไม่ขดั ต่อจรรยาบรรณ จริยธรรมในการประกอบอาชีพการนวดไทย 2. ระดบั 2 หมายถึง ผทู้ ี่มีความรู้ ความสามารถมนการนวดไทยเพอื่ ผอ่ นคลาย บรรเทาอาการปวดเมือ่ ยท่วั ไปไดอ้ ยา่ งนอ้ ย 10 อาการ และรูข้ อ้ ตอ้ งหา้ มและขอ้ ควร ระวงั ในการนวด พรอ้ มทงั้ มีสขุ ภาพรา่ งกาย และจติ ใจไมข่ ดั ต่อจรรยาบรรณ จริยธรรม ในการประกอบอาชีพ 3. ระดบั 3 หมายถงึ ผทู้ ม่ี ีความรู้ ความสามารถในการนวดไทยเพ่ือผอ่ นคลาย บรรเทาอาการปวดเมื่อยท่วั ไป สามารถวนิ ิจฉยั บาบดั โรคตามทฤษฎกี ารแพทยแ์ ผน ไทย และรูข้ อ้ หา้ ม ขอ้ ควรระวงั ในการนวด พรอ้ มทงั้ มสี ขุ ภาพรา่ งกายและจิตใจไมข่ ดั ต่อจรรยาบรรณ จรยิ ธรรมในการประกอบอาชีพการแพทยแ์ ผนไทย และมีใบประกอบ โรคศลิ ปะ ทกั ษะตามมาตรฐานอาชีพ ทกั ษะ (Skill) แสดงถงึ ความสามารถประกอบดว้ ย ขอบเขตตามสภาพในการ ปฏิบตั ิงาน เป็นการสะสมประสบการณจ์ นเกิดความชานาญ มคี วามสามารถเพยี ง พอทจ่ี ะทางานไดอ้ ยา่ งมคี ณุ ภาพตามตามขอ้ กาหนดและแลว้ เสรจ็ ซึ่งเป็นทกั ษะตาม มาตรฐานอาชพี ต่างๆ มีความแตกต่างกนั และคณะกรรมการสง่ เสริมการพัฒนาฝีมือ แรงงานไดก้ าหนดไว้ จานวน 91 สาขาอาชพี ตวั อยา่ งเช่น
1. ทกั ษะอาชีพช่างไฟฟา้ ภายนอกอาคาร มที กั ษะ 3 ระดบั ไดแ้ ก่ 1. ระดบั 1 ความสามารถในการปฏิบตั ิงานการเดินสายและตอ่ สายไฟฟา้ ได้ ดงั นี้ 1. ตคู้ วบคมุ 2. ต่อสายไดท้ กุ วธิ ี โดยถกู ตอ้ งและปลอดภยั 3. พนั ฉนวนหมุ้ บริเวณจดุ ตอ่ สายแบบต่างๆไดถ้ กู วิธี 4. การตดิ ตงั้ อปุ กรณ์ 5. สายไฟฟ้าหมุ้ ฉนวนขนาดใหญ่ 2. ระดบั 2 ความสามารถในการปฏิบตั ิงาน ดงั นี้ ตดิ ตงั้ อปุ กรณไ์ ฟฟ้าและเครอื่ งมอื วดั ในโรงงานอตุ สาหกรรม ดงั นี้ ก. ระบบอินเพทุ และเอาทพ์ ทุ (I/O System) ข. ระบบควบคมุ สายดนิ และอปุ กรณต์ ิดตงั้ ค. มอเตอรไ์ ฟฟ้าควบคมุ การขบั เคล่ือนดว้ ยไฟฟ้า ง. มอเตอรไ์ ฟฟา้ ควบคมุ โดยโปรแกรมเมเบิล จ. ระบบเครอื่ งกลอตั โนมตั ิและการควบคมุ การอา่ นแบบและเขียนแบบ ดงั นี้ ก. วงจรการเดินสายไฟฟ้า ข. สญั ลกั าณท์ างไฟฟ่แ้ บบตา่ งๆ ค. การต่อสายและการเลือกใชส้ ายไฟฟา้ ง. การตรวจอกุ ปรณร์ ะบบควบคมุ
3. ระดบั 2 ความสามาในการปฎิบตั ิงาน ดงั นี้ ตดิ ตงั้ อกุ ปรณค์ วบคมุ ไดแ้ ก่ ก. โปรแกรทควบคบุ ข.สายดินสาหรบั การควบคมุ ค. เครอ่ื งมือวดั การจดั การตรวจสอบแกไ้ ขและซ่อมบารุงอปุ กรณค์ วบคมุ การคานวณและการออกแบบ ไดแ้ ก่ ก. สายไฟฟ้า ข. การลดั วงจร ค. สายดิน ง. ประเมินราคา 2. ทกั ษะอาชีกกานดแู ลผสู้ งู อายุ ซึ่งมีมาตรฐานฝีมือแรงงานแหง่ ชาติ ระดบั 1 เทา่ นนั้ ระดบั 1 ความสามารถในการปฎิบตั ิงาน ดงั นี้ 1. การดแู ลความสะอาดและอนามยั สง่ิ แวดลอ้ ม ก. การอาบนา้ สระผม และดแู ลความสะอาดสว่ นต่างๆของรา่ งกาย ข. การเช็ดตวั บนเตยี ง ค. การเลอื กใชผ้ ลติ ภณั ฑร์ กั ษาผวิ หนงั ง. การทาความสะอาดช่องปาก ฟัน หู ตา และจมกู จ. แตง่ ตวั และสวมเสอื้ ผา้ ฉ. การปเู ตยี ง จดั เคร่ืองนอน ช. การจดั ส่งิ แวดลอ้ มใหป้ ลอดภยั เพอื่ ป้องกนั การเกิดอบุ ตั เิ หตุ
2. การปฐมพยาบาล ไดแ้ ก่ ก. การเชด็ ตวั ลดไข้ ข. การวดั ปรอท วดั ความดนั โลหิต นบั ชีพจร 3. การใหอ้ าหาร นา้ ตามคาส่งั แพทย์ ไดแ้ ก่ ก. การป้อนอาหารทางปากใหผ้ ปู้ ่วยทกี่ ลนื ลาบาก ข. การป้อนอาหารทางสายสวนกระเพาะอาหาร ค. แนวทางการปฏบิ ตั ิเม่อื เกดิ อาการสาลกั 4. การขบั ถา่ ย ไดแ้ ก่ ก. ช่วยเหลือผสู้ งู อายใุ นการปัสสาวะและอจุ จาระ ข. การชาระรา่ งกายหลงั การขบั ถ่าย 5. การเคลอื่ นไหวและเคลือ่ นยา้ ยผสู้ งู อายุ ไดแ้ ก่ การพลิกตวั บนเตยี ง ลกุ น่งั ลกุ ยืน ลกุ เดนิ และการใชอ้ ปุ กรณช์ ว่ ยเหลอื 6. ยา ไดแ้ ก่ ก. การดลู กั ษณะยาที่เสยี หรอื เสอ่ื มสภาพ ข. การจดั เตรยี มยา การใหย้ าผสู้ งู อายตุ ามคาส่งั แพทย์ รูปที่ 2.7 การดแู ลผู้สงู อายุ 3. ทกั ษะอาชีพนกั เขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ (ภาษาซี) มี 2 ระดบั ไดแ้ ก่ 1. ระดบั 1 ความสามารถในการปฏบิ ตั งิ าน ดงั นี้
1. การใชโ้ ปรแกรมจดั การเก่ยี วกบั แฟ้มขอ้ มลู 2. การใชโ้ ปรแกรมจดั การเก่ยี วกบั ฐานขอ้ มลู 3. การเขียนโปรแกรม 2. ระดบั 2 ความสามารถในการปฏิบตั ิงาน ดงั นี้ 1. การเขียนโปรแกรมเรียกใชต้ วั เอง 2. การประยกุ ตเ์ ขยี นโปรแกรมตามลกั ษณะงานท่กี าหนด 3. การเขียนคาส่งั เพือ่ ทางานรว่ มกบั โปรแกรมอืน่ ๆ 4. การประยกุ ตใ์ ชค้ าส่งั สรา้ งผลงานในดา้ นต่างๆ 5. การสรา้ งชดุ คาส่งั ใหม่ 6. การสรา้ ง Data Link Library (DLL) หรอื Unit รูปท่ี 2.8 นกั เขียนโปรแกรมคอมพวิ เตอร์ เครอ่ื งหมายมาตรฐานที่เก่ียวขอ้ งกบั อาชีพ เคร่อื งหมายมาตรฐานทีเ่ ก่ยี วขอ้ งกบั อาชีพทแ่ี สดงวา่ สินคา้ ที่อาชพี ตา่ งๆ ผลติ ขนึ้ อย่างมีคณุ ภาพ หรอื ความปลอดภยั ในการอปุ โภค และมีประสทิ ธิภาพในการใชง้ าน มีคณุ ภาพสมราคา มีหลายอยา่ ง ดงั นี้
1. เคร่ืองหมายมาตรฐานผลิตภัณฑอ์ ตุ สาหกรรม สานกั งานมาตรฐานผลิตภณั ฑอ์ ุตสาหกรรม (สมอ.) กระทรวงอตุ สาหกรรม เป็น องคก์ รท่ใี หก้ ารรบั รองมาตรฐานผลติ ภณั ฑอ์ ตุ สาหกรรม (มอก.) ว่ามีคณุ ภาพไดม้ าร ฐานตามทกี่ าหนดมีความปลอดภยั ในการอปุ โภค บริโภค มปี ระสทิ ธิภาพในการใช้ งาน และมคี ณุ ภาพสมราคา ปัจจบุ นั สมอ. รบั รองรบั รองเครื่องหมายไว้ 3 ประเภทคอื 1. เครื่องหมายมาตรฐานท่วั ไป สาหรบั ผลิตภณั ฑอ์ ปุ โภคบริโภค ผผู้ ลิตสามารถยื่นขอการรบั รองดว้ ย ความสมคั รใจเพอื่ พฒั นาคณุ ภาพผลติ ภณั ฑใ์ หเ้ ป็นไปตามเกณฑก์ าหนดมาตรฐาน รูปท่ี 2.9 เคร่อื งหมายมาตรฐานท่วั ไป 2. เครอ่ื งหมายมาตรฐานบงั คบั เป็นเคร่อื งหมายผลติ ภณั ฑท์ ่ีกฎหมายกาหนดใหผ้ ผู้ ลติ ต้องทาตาม มาตรฐาน และตอ้ งแสดงเครอ่ื งหมายผลติ ภณั ฑ์ เพอื่ ความปลอดภยั ตอ่ ผบู้ รโิ ภค
รูปท่ี 2.10 เครือ่ งหมายมาตรฐานบงั คบั 3. เคร่ืองหมายมาตรฐานเฉพาะดา้ นความปลอดภยั เป็นเครอ่ื งหมายรบั รองผลติ ภณั ฑท์ ่ีตอ้ งมคี วามปลอดภยั ในการใชง้ าน ซึ่ง สานกั งานฯ จะกาหนดมาตรฐานโดยเนน้ เฉพาะเรื่องความปลอดภยั เป็นสาคญั เพอ่ื ให้ การคมุ้ ครองแก่ ผบู้ ริโภคดา้ นความปลอดภยั ในการใชง้ าน เชน่ เตารีด พดั ลมไฟฟา้ เป็นตน้ เครอ่ื งหมายทีม่ ีทงั้ แบบบงั คม และไม่บังคบั หากเป็นแบบ บงั คบั ก็ตอ้ งปฏิบตั ิ ตามกฎหมายทีต่ อ้ งทาผลติ ภณั ฑใ์ หไ้ ดต้ าม มาตรฐานที่ กาหนดทงั้ ผทู้ า ผนู้ าเขา้ และ ผจู้ าหน่าย รูปที่ 2.11 เครื่องหมายมาตรฐานเฉพาะดา้ นความปลอดภยั 4. เครือ่ งหมายมาตรฐานเฉพาะดา้ นความเขา้ กนั ไดท้ างแม่เหลก็ ไฟฟ้า เป็นเครื่องหมายรบั รองผลติ ภณั ฑท์ ่ีมคี ณุ สมบตั ิของความเขา้ กนั ไดท้ าง แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ ซึ่งเป็น ผลิตภณั ฑท์ ส่ี ามารถทางานรว่ มกับผลติ ภณั ฑอ์ ่นื หรือใชพ้ รอ้ ม กนั ไดแ้ ละไม่สง่ คลน่ื แมเ่ หล็กไฟฟ้าไดใ้ นระดบั หน่ึง ไดแ้ ก่ ผลิตภณั ฑ์ เทคโนโลยี สารสนเทศ เช่น โทรศพั ท์ โทรสาร เครอ่ื งรบั -สง่ วทิ ยแุ ละเครือ่ งมือทางการแพทย์ เป็น ตน้ เคร่ืองหมายนมี้ ที งั้ แบบบงั คับ และไม่บงั คบั หากเป็นมาตรฐานบงั คบั ผผู้ ลติ ผูน้ า เขา้ และผู้ จาหนา่ ยจะตอ้ งผลติ นาเขา้ และจาหนา่ ยแต่ผลติ ภณั ฑท์ ีไ่ ด้ มาตรฐาน เท่านนั้
รูปท่ี 2.12 เครอ่ื งหมายมาตรฐานเฉพาะดา้ นความเขา้ กนั ไดท้ างแม่เหลก็ ไฟฟ้า 5. เครอื่ งหมายการรบั รองฉลากเขียว (Green Label) สานกั งานมาตรฐานผลติ ภณั ฑอ์ ตุ สาหกรรม รว่ มกบั สถาบนั สงิ่ แวดลอ้ มไทย ดาเนินโครงการฉลากเขยี วเพ่อื ใหก้ ารรบั รอง โดยใชฉ้ ลากเขียว สาหรบั ผลติ ภณั ฑ์ ทงั้ นเี้ พอ่ื ชว่ ยลดมลภาวะจากส่ิงแวดลอ้ ม และเพ่ือผลกั ดนั ใหผ้ ผู้ ลิตใชเ้ ทคโนโลยหี รือ วิธีการผลติ ที่ใหผ้ ลกระทบต่อวสิ่งแวดลอ้ ม รูปที่ 2.13 เครอื่ งหมายการรบั รองฉลากเขยี ว
6. เคร่อื งหมายมาตรฐานผลิตภณั ฑช์ มุ ชน (มผช.) รูปที่ 2.14 เคร่อื งหมายมาตรฐานผลติ ภณั ฑช์ มุ ชน 2. เครอ่ื งหมายมาตรฐานสินคา้ เกษตรและอาหาร หรอื Q สืบเน่อื งจาก คณะกรรมการมาตรฐานสนิ คา้ เกษตรและอาหารแห่งชาติ ไดม้ ี มตใิ นการประชมุ ครงั้ ท่ี ๓ - ๒๕๔๖ วนั ที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๔๖ ใหห้ นว่ ยงานใน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ใชเ้ ครือ่ งหมายรบั รองมาตรฐานสนิ คา้ เกษตรและอาหาร ใหเ้ ป็นเคร่ืองหมายเดียวกนั คอื เคร่ืองหมาย \"Q\" เพื่อลดความซา้ ซอ้ นในการใช้ เคร่ืองหมายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซง่ึ เคร่อื งหมายนแี้ สดงใหเ้ หน็ วา่ สนิ คา้ เกษตรและอาหารมคี ณุ ภาพและความ ปลอดภยั พรอ้ มทงั้ ยังส่อื ไปถึงผบู้ รโิ ภค ภายในประเทศและประเทศค่คู า้ ใหเ้ กิด ความเชือ่ ม่นั ในระบบการผลติ และผลติ ภัณฑ์ สินคา้ เกษตรและอาหารใหเ้ ป็นไปตาม มาตรฐานและเป็นที่ยอมรบั ของนานาประเทศ หนว่ ยงานในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ไดม้ ีการจดั ทาบนั ทกึ ขอ้ ตกลงความ รว่ มมอื (MOU) เร่ือง การใชเ้ ครอ่ื งหมายรบั รองมาตรฐานสนิ คา้ เกษตรและอาหาร โดยมีการลงนามวนั ที่ ๒๖ กนั ยายน ๒๕๔๖ รว่ มกัน ๘ หน่วยงาน ไดแ้ ก่ กรมวชิ าการ เกษตร กรมประมง กรมปศสุ ตั ว์ กรมสง่ เสริมการเกษตร กรมส่งเสริมสหกรณ์ กรม
พฒั นาท่ีดนิ องคก์ ารตลาดเพื่อเกษตรกร และสานกั งานมาตรฐานสนิ คา้ เกษตรและ อาหารแหง่ ชาติ เพอื่ เป็นขอ้ ผกู พนั ใหม้ กี ารนาเคร่ืองหมายรบั รอง \"Q\" ไปใชใ้ นแนวทาง เดียวกนั และมีการดาเนนิ การตามวิธีการและแนวทางท่กี าหนดไวใ้ น MOU โดยหนว่ ย รบั รองใหก้ ารรบั รอง ตงั้ แต่ระดบั ไรน่ าจนถึงผบู้ ริโภค (From Farm To Table) เพอ่ื ให้ ผบู้ รโิ ภคไดร้ บั สินคา้ ท่ีมคี ณุ ภาพและมคี วามปลอดภยั รวมถงึ เป็นการสง่ เสริมใหเ้ ป็น ผผู้ ลติ ผปู้ ระกอบการสินคา้ เกษตรและอาหารของไทย ไดต้ ระหนกั ถึงคณุ คา่ ความสาคญั ของเคร่ืองหมายรบั รอง \"Q\" ท่แี สดงถึงความมีคณุ ภาพและปลอดภยั ดงั นน้ั จาเป็นตอ้ งมีระบบการควบคมุ กากบั ดแู ลการนาเคร่อื งหมายรบั รอง \"Q\" ไปใช้ อย่างถกู ตอ้ งและมีประสทิ ธิภาพ นอกจากนนั้ ยงั มีระบบการจดั รหสั ประกอบการแสดง เครือ่ งหมาย เพ่ือใหส้ ามารถตรวจสอบยอ้ นกลบั ไดก้ รณีท่มี กี ารปลอมแปลงเอกสาร ใบรบั รองหรอื กรณีตรวจพบสินคา้ มปี ัญหาดา้ นคณุ ภาพทีไ่ มเ่ ป็นไปตามมาตรฐาน รูปท่ี 2.15 เครอื่ งหมาย Q
3. เคร่ืองหมาย อย. อย. คอื อกั ษรยอ่ ของ “สานกั งานคณะกรรมการอาหารและยา” (Food and Drug Administration)เป็นส่วนราชการในระดบั กรม ของประเทศไทย สงั กดั กระทรวง สาธารณสขุ มหี นา้ ที่ในการดาเนนิ งานดา้ นการคมุ้ ครองผบู้ รโิ ภค ปกป้องและคมุ้ ครอง สขุ ภาพประชาชนจากการบริโภคผลติ ภณั ฑส์ ขุ ภาพ (ซ่ึงผลิตภณั ฑส์ ขุ ภาพ ส่วนใหญ่ มกั จะหมายถงึ อาหาร ยา เวชภณั ฑ์ และเครือ่ งสาอางค)์ โดยผลติ ภณั ฑส์ ขุ ภาพ เหล่านน้ั ตอ้ งมีคณุ ภาพมาตรฐานและปลอดภยั มีการสง่ เสริมพฤตกิ รรมการบริโภคที่ ถกู ตอ้ งดว้ ยขอ้ มลู วชิ าการท่มี หี ลกั ฐาน เช่ือถอื ไดแ้ ละมีความเหมาะสม เพื่อให้ ประชาชนไดบ้ ริโภคผลิตภณั ฑส์ ขุ ภาพทีปลอดภยั และสมประโยชนเ์ ครอื่ งหมาย อย. ที่ อยบู่ นฉลากผลิตภณั ฑอ์ าหารแปรรูปนน้ั ไม่ใชว่ า่ จะไดม้ างา่ ยๆ อาหารท่ีจะไดร้ บั อย. นนั้ สว่ นใหญ่ตอ้ งผ่านขนั้ ตอนการตรวจสอบความเหมาะสมของสถานทต่ี งั้ และอาคาร ผลติ เครื่องมือ เคร่อื งจกั ร และอปุ กรณใ์ นการผลติ การควบคมุ กระบวนการผลติ การ สขุ าภิบาลโรงงานการบารุงรกั ษาและทาความสะอาด และบคุ ลากรการผลติ น่นั คือ เป็นไปตามเกณฑว์ ธิ ีการท่ดี ีในการผลิตอาหาร หรอื จี.ด.ี พี. (Good Manufacturing Practice) น่นั เอง นอกจากนนั้ ตอ้ งผ่านในเรอื่ งของคณุ ภาพมาตรฐานของผลติ ภณั ฑ์ ภาชนะบรรจแุ ละการแสดงขอ้ มลู บนฉลากว่าครบถว้ นไมโ่ ออ้ วด หลอกลวง หรอื ทาให้ เขา้ ใจผิด อาหารนนั้ จึงจะไดร้ บั เคร่อื งหมาย อย. เป็นสญั ลกั ษณใ์ หก้ บั ผลิตภณั ฑ์ อาหารแปรรูป ท่ีมีภาชนะบรรจสุ นิท รบั ผิดชอบโดย สานกั งานคณะกรรมการอาหาร และยา กระทรวงสาธารณสขุ
รูปที่ 2.16 เครื่องหมาย อย. 4. เครอ่ื งหมายอาหารปลอดภยั (Food Safely) กระทรวงสาธารณสขุ เป็นองคก์ รที่ใหก้ ารรบั รองเครื่องหมายสขุ ภาพดีเร่ิมท่ี อาหารปลอดภยั โดยเป็นสญั ลกั ษณใ์ หก้ บั รา้ นคา้ แผงจาหนา่ ยอาหารสด ตลาดสด และซูเปอรม์ ารเ์ กต็ เพือ่ รบั รองคณุ ภาพอาหาร ไดแ้ ก่ อาหารสด อาหารแปรรูป อาหาร ปรุงจาหนา่ ย พรอ้ มตรวจสอบสารเคมปี นเปือ้ นที่เป็นอนั ตรายกบั สขุ ภาพ เชน่ บอร์ แรกซ์ สารพิษตกคา้ งจากสารเคมี สารฟอกขาว สารเรง่ เนอื้ แดง เป็นตน้ รูปท่ี 2.17 เครื่องหมายอาหารปลอดภยั (Food Safely)
สรุปสาระสาคญั มาตรฐานอาชีพ หมายถงึ ขอ้ กาหนดที่เป็นเกณฑเ์ ก่ยี วกบั ความรู้ ความสามารถ และทศั นคตทิ คี่ นสามารถใชใ้ นการทางานอาชพี ตา่ งๆได้ มีองคป์ ระกอบทีส่ าคญั 3 สว่ น ไดแ้ ก่ ความรู้ ทกั ษะ ทศั นคติ นอกจากนี้ มาตรฐานอาชีพ แบ่งเป็น 4 ประเภท คือ มาตรฐานอาชพี เฉพาะ มาตรฐานอาชีพแหง่ ชาติ มาตรฐานอาชพี ของอาเซียน และมาตรฐานอาชีพนาๆชาติ โดยมปี ระโยชนท์ งั้ ต่อภาคเอกชน/สถานประกอบการ ต่อภาครฐั รวมถงึ ประชาชน อยา่ งไรกต็ ามมาตรฐานอาชพี มี 3 ระดบั คอื ระดบั 1 ระดบั 2 และสงู สดุ คอื ระดบั 3 ซ่ึงแต่ละระดบั จะมีการกาหนดอตั ราค่าจา้ งตาม มาตรฐานแตกต่างกนั หน่วยท่ี 3 การบริหาร ความหมายของการบริหาร ความหมายของการบริหาร (Administration) ในการใหค้ วามหมายของคา วา่ การบรหิ าร ไดม้ นี กั วชิ าการหลายคนใหค้ านอยามไวห้ ลากหลายดงั นี้ ปีเตอร์ ดรกั เกอร์ (Peter Drucker : 1954) กล่าววา่ ศิลปะในการทางานให้ บรรลเุ ปา้ หมายรว่ มกบั ผอู้ น่ื เกรก (Gregg : 1957) กล่าววา่ การะบวนการทงั้ หมดของการใชท้ รพั ยากรท่ี เตรยี มไวอ้ ย่างเหมาะสม คอื คน เงนิ และวสั ดอุ ปุ กรณ์ เบลิเซลิ อละซาเจนต์ (Belisle and sergeant : 1957) กล่าววา่ การสรา้ ง มนษุ ยสมั พนั ธภ์ ายในองคก์ ารใหผ้ ปู้ ฏบิ ตั กิ ารทางานดว้ ยความพึงพอใจ
ปีเตอรส์ นั โฟวแ์ มน และ ติคเกตต์ (Peterson, Plowman and Trickett, 1962) ใหค้ วามหมายของการบรหิ ารไวว้ ่า เป็นเทคนคิ การทางาน คือ การตดั สนิ ใจ ของกลมุ่ โดยมคี วามมงุ่ หมายและจดุ ประสงค์ The Reader's Digest Encyclopedia Dictionary (1964) เขียนว่า การ บรหิ าร หมายถงึ การบริหารของธุรกิจหรือการเขา้ ทางานของสว่ นราชการ เบนซ์ (Brench,1967) กลา่ ววา่ การบริหาร หมายถึง เป็นกระบานการทท่ี า หนา้ ท่ีรบั ผดิ ชอบกบั การดาเนนิ การขององคก์ ารธุรกิจใหบ้ รรลเุ ป้าหมายที่กาหนดไว้ เลน และคณะ (Lane and Otters, 1967) ใหค้ วามหมายวา่ การบรหิ ารเป็น ศลิ ปะผบู้ ริหารที่มีศลิ ปะเท่านนั้ จงึ จะประสบความสาเรจ็ ในการทางาน แฮรโ์ รลด์ คนู ต์ (Harold Koontz, 1972) กล่าววา่ การบริหาร หมายถงึ การ ดาเนินงานใหบ้ รรลวุ ตั ถปุ ระสงคท์ ่ตี งั้ ไว้ เออรเ์ นสต์ เดล (Ernest Dale, 1973) บอกวา่ การบริหาร คือ กระบวนการการ จกั องคก์ ารและการใชท้ รพั ยากรตา่ งๆใหบ้ รรลวุ ตั ถปุ ระสงคท์ ่กี าหนดไวล้ ่วงหนา้ สมคดิ บางโม (2552 : 61) การบรหิ าร คือ ศลิ ปะในการใชค้ น เงนิ วสั ดอุ ปุ กรณ์ ขององคก์ ารและนอกองคก์ าร เพ่ือใหบ้ รรลวุ ตั ถปุ ระสงคข์ ององคก์ ารอยา่ งมี ประสทิ ธิภาพ วริ ชั สวนวงศว์ าน (2554 : 2) การบริหาร คือ สง่ิ ทผี่ จู้ ดั การหรือผบู้ ริหารตอ้ ง ปฏิบตั ซิ ึ่งเก่ยี วขอ้ งกบั การประสานงานและการดแู ละงานและกจิ กรรมตา่ งๆของผอู้ ่นื สรุป การบรหิ าร หมายถึง กระบวนการการดาเนินงานอยา่ งมศี ิลปะในการใชค้ น และทรพั ยากรต่างๆเพอ่ื ใหง้ านบรรลวุ ตั ถปุ ระสงคท์ ี่กาหนดไว้
ประโยชนข์ องการบรหิ าร การบริหารเป็นเคร่อื งมือที่สาคญั ของผบู้ ริหารท่จี ะนามาใชเ้ ป็นแนวทางใน การดาเนินงาน หากนามาใชใ้ หเ้ หมาะสมกบั สภาพของพนื้ ที่จะทาใหเ้ กดิ ประโยชนต์ อ่ หน่วยงานหลายประการดงั นี้ 1. ประหยัด ประหยดั หมายถึง มีการใชท้ รพั ยากรทน่ี อ้ ยทสี่ ดุ แต่ไดผ้ ลงานมากทส่ี ดุ ไม่ว่าจะ เป็นการใชเ้ งินลงทนุ ใชค้ น หรอื ใชว้ สั ดอุ ปุ กรณต์ า่ งๆ 2. ประสิทธิผล ประสิทธิผล หมายถงึ ไดผ้ ลตามวตั ถปุ ระสงคท์ ี่ตงั้ ไว้ 3. ประสทิ ธิภาพ ประสทิ ธิภาพ หมายถงึ เป็นการเปรียบเทียบกนั ระหวา่ งตน้ ทนุ หรอื ทรพั ยากรทใี่ ช้ กบั ผลงานทอี่ อกมา ถา้ ทรยั ากรท่ีใชซ้ ึ่งเรยี กว่า ตน้ ทนุ (Cost) นอ้ ย แตผ่ ลงานที่ได้ ออกมา (Benefit) มีมากกเ็ รยี กวา่ การทางานหรือการบริหารมีประสิทธิภาวะ 4. ความเป็ นธรรมตอ่ ทุกคนในองคก์ าร ไม่วา่ จะเป็นผรู้ ว่ มงานหรือผรู้ ว่ มทนุ หากกิจกรรมที่รว่ มทนุ มจี านวนมากกจ็ ะไดร้ บั ผลตอบแทนมากขนึ้ 5. มีเกยี รติชื่อเสียง หากบรหิ ารงานดจี าทาใหอ้ งคก์ ารเจรญิ กา้ วหนา้ และไดร้ บั การยกย่องจากสงั คม
ระดบั และหน้าทข่ี องผู้บรหิ าร ระดบั และหนา้ ท่ขี องผบู้ รหิ าร โดยท่วั ไปแบง่ ออกเป็น 3 ระดบั ดงั นี้ 1. ผูบ้ ริหารระดบั สงู (Top Manager) เป็นผบู้ รหิ ารทอี่ ยใู่ นตาแหน่งบรหิ ารสงู สดุ ขององคก์ าร ไดแ้ ก่ ประธาน รองประธาน หวั หนา้ สานกั งานบริหาร กรรมการผจู้ ดั การใหญ่ กรรมการอานวยการ ผจู้ ดั การ อาวโุ ส -หน้าที่ผูบ้ ริหารระดับสงู มีหนา้ ท่บี ริหารงานโดยตลอดทงั้ องคก์ ารใชเ้ งลาส่วน ใหญืไปในการกาหนดวตั ถปุ ระสงคข์ ององคก์ าร กาหนดกลยทุ ธ์ กาหนดนโยบาย และ วางแผนระยะยาว รวมถึงการตดั สินใจแกไ้ ขปัญหาต่างๆทม่ี ีความสาคญั เช่น การ ผลติ สนิ คา้ ใหม่ การลดหรอื เพม่ิ ราคาสนิ คา้ การดาเนนิ งานในตา่ งประเทศ ผบู้ รหิ าร ระดบั สงู จะตอ้ งใหค้ วามสนใจสภาพแวดลอ้ มภายนอกองคก์ ารมากกวา่ สภาพ สงิ่ แวดลอ้ มภายในองคก์ าร รูปที่ 3.1 ก่อศกั ดิ์ ไชยรศั มีศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าท่ีบรหิ าร บรษิ ัท ซี พี ออลล์ จากดั (มหาชน) 2. ผบู้ ริหารระดับกลาง (Middle Manager)
เป็นผบู้ รหิ ารทีอ่ ยรู่ ะหว่างผบู้ รหิ ารระดบั สงู และผบู้ ริหารระดบั ตน้ ไดแ้ ก่ ผจู้ ดั การ โรงงาน ผจู้ ดั การฝ่ายตา่ งๆ หรือหวั หนา้ งานตา่ งๆ -หน้าที่ผู้บริหารระดับกลาง มีหนา้ ท่รี บั นโยบายจากผบู ริหารระดบั สงู ไปปฏบิ ตั ิรบั ผิดชอบในฝ่ายของตนเอง วางแผนและจดั ระเบยี บวธิ ีปฏิบตั งิ านเฉพาะอย่างเพอ่ื ใหง้ านในความรบั ผิดชอบ ประสบความสาเร็จตามนโยบายของผบู้ รหิ ารระดบั สงู 3. ผบู้ ริหารระดบั ตน้ (First – Level Manager) เป็นผบู้ รหิ ารทอี่ ย่สู ่วนลส่ งขององคก์ ารและทางานเก่ยี วขอ้ งโดยตรงกบั ผปู้ ฏบิ ตั งาน ไดแ้ ก่ ผคู้ วบคมุ หวั หนา้ งาน หวั หนา้ แผนก - หน้าที่ผบู้ ริหารระดับต้น มหี นา้ ทก่ี ากบั ดแู ลและส่งั การโดยตรงตอ่ พนกั งาน ผปู้ ฏิบตั ิงานตดั สนิ ใจในระยะ สนั้ วนั ต่อวนั หรอื สปั ดาหต์ อ่ สปั ดาห์ ตอ้ งรบั รายงานโดยตรงจากพนกั งานและเสนอ รายงานตอ่ ผบู้ รหิ ารระดบั กลางและสงู ต่อไป บทบาทของผู้บรหิ าร บทบาทของผบู้ ริหาร (Management Rotes) นกั วิชาการดา้ นการจดั การ ชื่อ Henry Monterey ได้ ศึกษาการทางานของผบู้ ริหารแตล่ ะวนั พบวา่ บทบาทของผบู้ รหิ าร มี 3 ดา้ น ดงั นี้ 1. ดา้ นผูป้ ระชาสัมพันธ์ มบี ทบาทดงั นี้ 1. เป็นผแู้ ถลงขา่ ว โดยประกาศประชาสมั พนั ธ์ หรือใหเ้ นอื้ หาเก่ยี วกบั นโยบาย แผนงาน และผลการดาเนนิ งานไปยงั องคก์ ารอน่ื ๆ
2. เป็นผเู้ ผยแพรข่ อ้ มลู โดยใหข้ อ้ มลู ขอ้ เทจ็ จริงต่างๆ ใหก้ บั พนักงานและ หนว่ ยงานต่างๆในองคก์ าร 3. เป็นผรู้ บั ขอ้ มลู ติดตาม เกบ็ ขอ้ มลู ทงั้ ภายในและภายนอกองคก์ าร 2. ด้านความสัมพันธร์ ะหว่างบคุ คล 1. เป็นผนู้ า ใหก้ ารส่งเสริม พฒั นา หรอื จงู ใจใหก้ บั ผใู้ ตบ้ งั คบั บญั ชา 2. เป็นหวั โขน ทาหนา้ ที่เป็นตวั แทนหน่วยงาน เชน่ เป็นประธานเปิดงาน ปิดงาน รว่ มงานตา่ งๆ เป็นตน้ 3. ผปู้ ระสานงาน ทงั้ ภายในและภายนอก 3. ดา้ นการตัดสินใจ 1. ผจู้ ดั ทรพั ยากร ใหแ้ ก่งานตา่ งๆภายในองคก์ ารอย่างเหมาะสมและมี ประสิทธิภาพ 2. ผเู้ จรจาต่อรอง กบั พนกงาน หรอื กบั องคฺการอน่ื ๆ 3. ผปู้ ระกอบการ เริม่ งาน หรือแสวงหาโอกาสใหมๆ่ ทกั ษะของผบู้ รหิ าร Robert L. Katz นกั วชิ าการดา้ นการบริหารไดก้ ล่าวว่าทกั ษะของผบู้ ริหารว่า ผบู้ ริหารจะตอ้ งมีทกั ษะ ดงั นี้ 1.ทักษะดา้ นการทางาน (Technical Skills) ทกั ษะดา้ นการทางาน หมายถงึ ความสามารถในการปฏบิ ตั ิ ความชานาญในการ ใชอ้ ปุ กรณเ์ คร่อื งมอื วิธีการ และเทคนิคต่างๆ สาหรบั ปฏิบตั งิ านประเภทใดประเภท หนึ่งโดยเฉพาะ ผบู้ ริหารระดบั ตน้ จะตอ้ งมีทกั ษะดา้ นเทคนิคมากกวา่ ผบู้ รหิ าร
ระดบั กลางและระดบั สงู เพราะผบู้ ริหารระดบั ตน้ มกั จะตอ้ งใหค้ าแนะนาหรอื ฝึกอบรม ผปู้ ฏบิ ตั งิ านตา่ งๆ อยเู่ สมอ 2. ทักษะด้านมนุษยส์ ัมพนั ธ์ (Human Skill) ทกั ษะดา้ นมนษุ ยส์ มั พนั ธ์ หมายถงึ ความสามารถในการติดต่อกบั ผอู้ ่ืน มคี วาม ชานาญในการสรา้ งความสมั พนั ธท์ ดี่ ี สามารถจงู ใจผอู้ น่ื สรา้ งความรูส้ กึ ท่ดี ี และสรา้ ง ความจงรกั ภกั ดตี ่อองคก์ ารใหเ้ กดิ ขนึ้ กบั คนงาน 3. ทักษะด้านความคิด (Conceptual Skill) หรือความคดิ รวบยอด มคี วามสามารถในการเขา้ ใจสิ่งตา่ งๆ ไดร้ วดเร็วฉับไว เขา้ ใจขอบข่ายของงานอย่าง แทจ้ รงิ เมื่อพบปัญหาสามารถแกไ้ ขและตดั สนิ ใจอยา่ งรวดเร็วถูกตอ้ ง มีความชานาญ ในการวางแผน ส่งั การ ควบคมุ และสามารถสรา้ งสรรคง์ านใหมๆ่ ผบู้ ริหารระดบั สงู มี ความจาเป็นตอ้ งมที กั ษะดา้ นนมี้ าก ทรพั ยากรในการบรหิ าร การบรหิ ารกจิ การตา่ งๆ ตอ้ งใชท้ รพั ยากรอนั เป็นปัจจยั ทจ่ี าเป็นซงึ่ ในปัจจุบนั ทรพั ยากร องการบรหิ ารยคุ ใหม่ประกอบดว้ ยสิ่งที่สาคญั 8 ประการ คือ 8M ไดแ้ ก่ 1. คน (Man) เจา้ หนา้ ท่ีผปู้ ฏบิ ตั ิงาน 2. เงนิ (Money) สาหรบั เป็นคา่ จา้ งและค่าใชจ้ า่ ยในการดาเนินการ 3. วสั ดสุ ่งิ ของ (Material) ไดแ้ ก่ อปุ กรณ์ เครอื่ งใช้ และอาคารสถานที่ 4. การจดั การ (Management) หมายถงึ ความรูเ้ ก่ยี วกบั การจดั การ 5. ตลาด (Market) เป็นท่ีจาหนา่ ยสนิ คา้ และบรกิ าร 6. เคร่ืองจกั ร (Machine) ใชส้ าหรบั ผลติ สนิ คา้ และบรกิ าร
7. วิธีการทางาน (Method) หมายถึง วิธีหรอื ขนั้ ตอนในการทางาน 8. เวลา (Minute) หมายถงึ เวลาในการดาเนินงาน หน้าทก่ี ารบรหิ าร เป็นการแสดงใหเ้ หน็ วา่ ผบู้ รหิ าร มีหนา้ ทรี่ บั ผดิ ชอบอะไรบา้ ง มีงาน อะไรบา้ ง จะตอ้ งทาและควรจะทาอะไรกอ่ นหลงั นบั เป็นสิ่งสาคญั ยิ่งสาหรบั ผบู้ ริหาร ทจี่ ะไดย้ ดึ เป็นหลกั ในการปฏบิ ตั ิงานเพือ่ บรรลเุ ปา้ หมายทต่ี งั้ ไวอ้ ย่างมี ประสทิ ธิภาพ อยา่ งไรก็ตามมนี กั วชิ าการดา้ นบริหารไดเ้ สนอแนวคิดเก่ยี วกบั หนา้ ท่ี การบรหิ าร ซ่ึงเป็นที่ยอมรบั กนั โดยท่วั ไปดงั นี้ 1.หน้าทก่ี ารบริหารเฮนรี่ ฟาโยล์ (Henri Fayol) เฮนร่ี ฟาโยล์ เป็นบคุ คลแรกทว่ี ิเคราะหถ์ งึ องคป์ ระกอบมลู ฐานของการ บรหิ ารว่ามี 5 ประการดงั นี้ 1. p= การวางแผน (planning) คือการศึกษาขอ้ มลู ในปัจจบุ นั และคาดการณ์ เป็นอนาคต แลว้ วางเปา้ หมายและแนวทางปฏบิ ตั ิไว้ 2. o= การจดั องคก์ าร (organizing) คือ การจดั โครงสรา้ งของหนว่ ยงานหรือ องคก์ ารออกแบบเป็นหน่วยงานยอ่ ยๆ กาหนดหนา้ หนา้ ทคี่ วามของหนว่ ยงาน การ จดั สรรคนเขา้ ทางานในตาแหนง่ ต่างๆ 3. c= การส่งั การบงั คบั บัญชา (commanding) คอื การส่งั ใหค้ นทางาน ตามทีห่ มอบหมายใหท้ าบงั คบั บญั ชาพนกั งานใหท้ างานตามภารกจิ ของหนว่ ยงาน 4. c= การประสานงาน (coordinating) คือ การจดั ทะเบียนการทางานไม่ให้ กา้ วกา่ ยกนั ตดิ ตอ่ ประสานงานใหห้ น่วยงานยอ่ ยต่างๆ ขององคก์ ารและประสานคนให้ ทางานโดยราบรน่ื ไม่ใหข้ ดั แยง้ กนั
5. c= การควบคมุ (controlling)คอื กรควบคมุ ใหพ้ นกั งานปฏบิ ตั งิ านตาม หนา้ ท่ีทีไ่ ดร้ บั มอบหมาย ตรวจสอบใหผ้ ลการปฏิบตั งิ านเป็นไปตามมาตรฐานที่ กาหนดไวห้ รอื ควบคมุ ใหท้ างานตามระเบียบขอ้ บงั คบั ท่ีวางไว้ 2. หน้าที่การบรหิ ารของกูลกิ และเออรว์ กิ ลเู ทอร์ กลู ิก และลนิ ดอลล์ เออรว์ ิก (Luther Gulick and Lyndall Urwick) ไดน้ าหลกั การจดั การ ของฟาโยลม์ าปรบั ปรุงประยกุ ตก์ บั การบริหารราชการ เขาไดเ้ สนอแนะการจดั หน่วยงานในทาเนยี บแก่ประธานาธิบดีสหฐั อเมริกา เพื่อใหต้ อบคาถามที่ว่า อะไรคอื งานของประธานาธิบดีหรฐั อเมริกา ในทสี่ ดุ ได้ คาตอบสนั้ ๆ คอื POSDCOR ซง่ึ หมายถึงหนา้ ทก่ี ารบริหาร 7 ประการ 1. P = Planning หมายถงึ การจดั วางโครงการและแผนงานปฏบิ ตั งิ านไว้ ลว่ งหนา้ ว่าจะตอ้ งทาอะไรบา้ ง เพอื่ ใหง้ านบรรลเุ ป้าหมาย 2. O = Organizing หมายถงึ การจดั องคก์ าร กาหนดเปา้ หมายโครงสรา้ งของ หนว่ ยงาน การแบง่ สว่ นงาน การจดั สายงายตาแหนง่ ตา่ งๆ 3. S = Staffing หมายถึง การจดั ตวั บคุ คล เป็นการบริหารงานดา้ นบคุ ลากร อนั ไดแ้ ก่ การจดั อตั รากาลงั การสรรหา เป็นตน้ 4. D = Directing หมายถงึ การอานวยการ เป็นภาระกจิ ในการใชศ้ ิลปะในการ บรหิ ารงาน เชน่ ภาวะผนู้ า (Leadership) มนุษยสมั พนั ธ์ (Human Relations) การจงู ใจ (Motivation) และการตดั สนิ ใจใจ (Decision making) เป็นตน้
5. Co = Coordinating หมายถงึ การประสานงาน เป็นการประสานใหส้ ่วนตา่ ง ๆ ของกระบวนการทางานมีความต่อเนื่องกนั เพอ่ื ใหก้ ารดาเนินงานเป็นไปดว้ ยความ เรียบรอ้ ย และราบรน่ื 6. R = Reporting หมายถึง การรายงานเป็นกระบวนการและเทคนิคของการ แจง้ ใหผ้ บู้ งั คบั บญั ชาตามชนั้ ไดท้ ราบถึงผลการปฏบิ ตั ิงาน โดยที่มีีความสมั พนั ธก์ บั การตดิ ต่อส่ือสาร (Communication) ในองคก์ ารอยดู่ ว้ ย 7. B = Budgeting หมายถึง การงบประมาณเป็นภารกจิ ทเี่ ก่ยี วกบั การวาง แผนการทาบญั ชีการควบคมุ เก่ียวกบั การเงนิ และการคลงั รูปที่ 3.2 การนาเสนอข้อมูล 3. หน้าทก่ี ารบริหารของเออรเ์ นสต์ เดล (Ernest Dale) เออรเ์ นสต์ เดล ไดจ้ าแนกหนา้ ทีข่ องผบู้ รหิ ารไว้ 7 ขนั้ ตอน คอื POSDCIR เห็นพอ้ ง กบั คนู ต์ 5ขนั้ ตอนแรก และไดเ้ พ่ิมเขา้ มาอีก 2 ขนั้ ตอน ดงั นี้ 1. Planning การวางแผน
2. Organizing การจดั องคก์ าร 3. Staffing การจดั ตวั บคุ คล 4. Directing การอานวยการ 5. Coordinating การประสานงาน 6. Reporting การรายงาน 7. Budgeting การงบประมาณ 4. หน้าที่การบรหิ ารของ George R. Terry เขากลา่ วถงึ หนา้ ทกี่ ารบริหารคือ POAC ไดแ้ ก่ 1. Planning การวางแผน 2. Organizing การจดั องคก์ าร 3. Actuating การอานวยการ 4. Controlling การควบคมุ การทางาน 5. ในปัจจุบันเอกสารด้านการบริหารสว่ นใหญ่เห็นตรงกันวา่ หน้าที่ของ ผู้บริหารมี 4 ประการ คือ POLC 1. P = Planning การวางแผน คือ การกาหนดเปา้ หมาย กาหนดกลยทุ ธ์ รวมถึงการรวบรวมและประสานการดาเนินงานเพื่อใหบ้ รรลเุ ปา้ หมาย 2. O = Organizing การจดั องคก์ าร คอื การกาหนดหนา้ ท่ี จดั โครงสรา้ ง องคก์ าร รวมถึงจดั กล่มุ งานและกาหนดสายการบงั คบั บญั ชา
3. L = Leading การทา หมายถงึ การจงู ใจและส่งั การใหบ้ คุ คลทกุ คนทาง่ นรว่ มกนั อย่างเต็มความสามารถ 4. C = Controlling การควบคมุ การ การตรวจสอบการดาเนนิ งานถึงถึง ประเมนิ ผลงานที่ปฏบิ ตั ิ เพ่ือใหเ้ ป็นไปตามแผนท่ีกาหนด รูปท่ี 3.3 การประชมุ การวางแผน สรุปสาระสาคัญ การบรหิ าร หมายถึง กระบวนการดาเนนิ งานอยา่ งมศี ลิ ปะในการใชค้ นและ ทรพั ยากรตา่ งๆเพ่ือใหง้ านบรรลวุ ตั ถปุ ระสงคท์ ่ีกาหนดไว้ ประโยชนข์ องการบรหิ าร ทาใหป้ ระหยดั มปี ระสิทธิผล ประสิทธิภาพ เกิดความ เป็นธรรมตอ่ ทกุ คนและมเี กียรติยศชอื่ เสียง ระดบั และหนา้ ที่ของผบู้ ริหาร มี 3 ระดบั ดงั นี้ ผบู้ รหิ ารระดบั สงู มีหนา้ ทก่ี าหนด นโยบายและตดั สินใจแกป้ ัญหาท่ีสาคญั สว่ นผบู้ ริหารระดบั กลางมหี นา้ ที่รบั นโยบาย จากผบู้ ริหารระดบั สงู มาปฎิบตั ใิ นฝ่ายทร่ี บั ผิดชอบ และผบู้ ริหารระดบั ตน้ มหี นา้ ท่ี กากบั ดแู ลและส่งั การโดยตรงต่อพนกั งาน
บทบาทของผบู้ รหิ ารท่ีสาคญั ไดแ้ ก่ ดา้ นขอ้ มลู ขา่ วสาร ดา้ นความสมั พนั ธ์ ระหว่างบคุ คน และดา้ นการตดั สนิ ใจ ทกั ษะของผบู้ รหิ ารมี 3 อยา่ ง คือ ทกั ษะดา้ นการทางาน ดา้ นมนษุ ยส์ มั พนั ธ์ และทกั ษะดา้ นความคดิ ทรพั ยากรในการบรหิ าร ประกอบดว้ ย 8 ประการ หรือ 8M ไดแ้ ก่ คน เงิน วสั ดุ สิ่งของ การจดั การ ตลาด เคร่ืองจกั รกล วิธีการทางาน และเวลา หนา้ ที่การบริหารมีแนวทางหลายประการ เช่น POCCC POSDCORB POSDCIR POAC และ POLC เป็นตน้ หน่วยท่ี 4 องคก์ าร ความหมายขององคก์ าร มนี กั วชิ าการไดใ้ หค้ วามหมายขององคก์ ารไว้ ดงั นี้ แมกซ์ เวเบอร์ (Max Weber) กลา่ ววา่ องคก์ าร หมายถึง หน่วยสงั คมหรือ หน่วยงานซง่ึ มกี ล่มุ บคุ คลกลมุ่ หนงึ่ รว่ มมอื กนั ดาเนนิ กิจกรรมต่างๆ เพ่อื ใหบ้ รรลุ เปา้ หมายอย่างใดอย่างหน่ึง เชสเตอร์ บารน์ ารด์ กล่าวว่า องคก์ าร หมายถึง ความรว่ มมอื กนั ระหวา่ ง บคุ คลหลายคนซง่ึ มีความตงั้ ใจจรงิ ทีจ่ ะรว่ มกันดาเนนิ กจิ กรรมใหบ้ รรลวุ ตั ถปุ ระสงค์ แทลคอตต์ พารส์ ัน กลา่ ววา่ องคก์ าร หมายถึง บรรดาระบบประสานสมั พนั ธ์ รว่ มมือกนั ทางานทกุ ชวี ิตของมนษุ ย์ เอมิไท เอตชิโอนิ (Amitav Etzioni) กล่าววา่ องคก์ าร หมายถงึ สงั คมหรือ หนว่ ยคนที่ตงั้ ขนึ้ อย่างจงใจ เพอ่ื ทางานใหบ้ รรลเุ ป้าหมายท่แี นน่ อนอย่างใดอย่างหนงึ่
ธงชัย สนั ติวงษ์ กล่าวว่า องคก์ ารคอื การจดั ระเบียบกิจกรรมใหเ้ ป็นกล่มุ กอ้ น เขา้ รูปและการมอบหมายงายใหค้ นปฏิบตั ิ เพื่อใหบ้ รรลผุ ลสาเรจ็ ตามวตั ถปุ ระสงค์ ของงานท่ตี งั้ ไว้ ศริ วิ รรณ เสรีรัตน์ และคณะ กลา่ วว่า องคก์ ารคือ กระบานการทกี่ าหนดกฎ ระเบยี บ แบบแผนในการปฏิบตั ิงานขององคก์ ารซึ่งรวมถงึ วิธีการทางานรวมกนั เป็น กล่มุ สมบูรณ์ ศรีสพุ รรณดษิ ฐ์ ไดเ้ สนอความหมายขององคก์ ารไวว้ า่ เป็นระบบ ประสานกจิ การของกลมุ่ คนซึ่งรว่ มงานกนั เพื่อใหบ้ รรลเุ ปา้ หมายรวมภายใตก้ ารส่งั การและความเป็นผนู้ า สมคิด บางโม กล่าววา่ องคก์ าร หมายถึง กล่มุ บคุ คลหลายๆคนรวมกลมุ่ กนั อย่างถาวร มกี ารจดั ระเบียบภายในกล่มุ เก่ียวกบั อานาจหนา้ ท่ขี องแต่ละคน จากความหมายขององคก์ ารระดบั ตา่ งๆ ท่ีกล่าวทงั้ หมดอาจสรุปไดว้ ่า องคก์ าร คือ กลมุ่ บคุ คลทีม่ าปฏิบตั งิ านรว่ มกนั เพ่อื ใหง้ านดาเนินไปส่คู วามสาเรจ็ ตาม วตั ถปุ ระสงค์ โดยมรี ะบบของการประสานงานอย่างเหมาะสม ลกั ษณะขององคก์ าร 1. เป็ นโครงสร้างของความสัมพันธ์ โดยมลี กั ษณะสาคญั ดงั นี้ 1. กาหนดงานใหช้ ดั เจน มกี ารแบ่งงานกนั ทา สมาชิกในองคก์ ารจะไดร้ บั มอบหมายงานใหท้ างานตามความรู้ ความสามารถและความถนดั ของแต่ละบคุ คล 2. มสี ายบงั คบั บัญชาเป็นชน้ั ๆ ลดหล่นั กนั ลงมา มสี ายการบงั คบั บญั ชาเป็นชนั้ ๆ ตงั้ แตร่ ะดบั ระดบั สงู สดุ ลงมาถงึ ระดบั ลา่ งสดุ ขององคก์ าร
3. มีวตั ถปุ ระสงค์ องคก์ ารตอ้ งมวี ตั ถปุ ระสงคท์ แ่ี น่นอน เพ่ือสมาชกิ ขององคก์ าร จะไดย้ ดึ ถอื เป็นแนวทางในการทางาน 2. เป็ นกลุม่ บุคคล กลมุ่ บคุ คล เกิดจากการรวมกลมุ่ ท่ถี าวรเพือ่ ทากิจกรรมต่างๆ ใหบ้ รรลเุ ป้าหมาย รว่ มกนั ขนาดของกลมุ่ เทา่ ใดขนึ้ อย่กู บั ลกั ษณะของกิจการทที่ า 3. เป็ นสว่ นหนึง่ ของการจัดการ เนอื่ งจากองคก์ ารจะมปี ัจจยั ตา่ งๆ ทีจ่ ะตอ้ งใชใ้ นการจดั การ เชน่ เงิน วสั ดุ อปุ กรณ์ รวมถงึ คนดว้ ย ดงั นน้ั เพ่ือใหม้ ีการใชป้ ัจจยั ต่างๆ ดงั กล่าวใหม้ ีประสทิ ธิภาพ จงึ ตอ้ งมีความชดั เจนในการจดั องคก์ าร 4. เป็ นกระบวนการ เนื่องจากองคก์ ารมงี านหรอื กรรมวธิ ีตา่ งๆ ซ่ึงดาเนินตอ่ เนอื่ งกนั ไปจนสาเร็จลง ณ ระดบั หน่งึ 5. เป็ นระบบ ระบบเป็นการรวมสง่ิ ตา่ งๆ ในองคก์ ารที่มลี กั ษณะซบซอ้ นใหเ้ ขา้ ลาดบั ประสานกนั เป็นอนั เดียว ประกอบดว้ ย 3 ระบบใหญ่ๆ คือ ทรพั ยากรท่ีใช้ (Resource Input) กระบวนการแปรรูป (Transformation Process) และผลผลติ (Product Output) ประเภทขององคก์ าร 1. ยดึ ตามวัตถุประสงคเ์ ป็ นเกณฑ์ แบง่ ได้ 4 ประเภท ดงั นี้ 1. เพ่อื ประโยชนข์ องสมาชิก ตงั้ ขนึ้ เพ่ือประโยชนข์ องสมาชกิ โดยตรง เชน่ พรรค การเมือง สหกรณส์ โมสร สมาคบวิชาชีพ (ครู แพทย์ พยาบาล) เป็นตน้ 2. เพอ่ื องคก์ ารธรุ กจิ ตงั้ ขนึ้ เพ่ือกาไร เช่น หา้ งรา้ น บริษัท ธนาคาร งาน อสุ าหกรรม เป็นตน้
3. เพอ่ื บรกิ าร เป็นองคก์ ารทตี่ งั้ ขนึ้ เพ่ือสรา้ งประโยชนแ์ ก่สาธารณท่งั ไป เชน่ โรง บาล โรงเรียน สมาคบสงเคราะห์ เป็นตน้ 4. เพ่ือสวสั ดภิ าพของประชาชน เป็นองคก์ ารทตี่ งั้ ขนึ้ เพื่อประโยชนส์ ว่ นรวมของ ประชาชน เช่น กระทรวง ทบวง กรม กอง เป็นตน้ 2. ยดึ โครงสรา้ งเป็ นเกณฑ์ ในการแบ่ง มี 2 ประเภท คอื 1. แบบเป็นทางการ (Formal Organization) หรอื เรียกวา่ องคก์ ารรูปใน เพราะว่ามีโครงสรา้ งอย่างเป็นระบบ มีระเบยี บแบบแผนแนน่ อน มีกฎหมายรองรบั เช่น บริษทั มลู นธิ ิ หน่วยราชการ กรม โรงพยาบาล โรงเรียน เป็นตน้ 2. แบบไม่เป็นทางการ (informal Organization) หรือเรยี กว่า องคก์ ารรูปนยั เนือ่ งจากองคก์ ารแบบนีต้ งั้ ขนึ้ ดว้ ยความพงึ ใจ และมคี วามสมั พนั ธส์ ว่ นตวั ไม่มีการจกั โครงการภายใน มีการรวมกนั อย่างง่าย ๆ และเลิกลม้ ไดง้ ่าย เช่น ครบครวั ศาสนา เป็นตน้ 3. ยึดการกาหนดเป็ นเกณฑ์ มี 2 ประเภท ดงั้ นคี้ อื 1. องคก์ ารขนั้ ปฐมภมู ิ (Primary Organization) หมายถงึ องคก์ ารทเ่ี กิดขนึ้ เอง โดยธรรมชาติสมาชิกทกุ คนตอ้ งเก่ยี วขอ้ งกนั มาแต่กาเนิด มีกจิ กรรมรวมเฉพาะกล่มุ ติดต่อดว้ ยการสว่ นตวั เชน่ ครบครวั ศาสนา หมบู่ า้ น เป็นตน้ 2. องคก์ ารขนั้ ทตุ ยิ ภมู ิ (Secondary Organization) หมายถงึ องคก์ ารท่ีมนษุ ย์ ตงั้ ขนั้ สมาชิกมคี วามสมั พนั ธก์ นั ดว้ นเหตผุ ล และความรูส้ กึ สานึกอย่างเป็นทางการ ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งสมาชิกในองคก์ ารไมเ่ ป็นแบบสว่ นตวั เชน่ หนว่ ยงานราชการ หา้ งหนุ้ ส่วน บรษิ ทั สมาคม โรงเรียน สโมสร โรงพยาบาล เป็นตน้ วัตถุประสงคข์ ององคก์ าร
1. เพอ่ื สรา้ งคณุ ค่าที่สงั คมปรารถนาโดยเฉพาะหน่วยงานราชการเพื่อบรกิ าร ประชาชนสรา้ งสรรคค์ วามอยดู่ ีกนิ ดใี หแ้ ก่ประชาชน ตลอดจนคมุ้ ครองความปลอดภยั ตา่ ง ๆ และพฒั นาประเทศ 2. เพอื่ ตอบสนองความตอ้ งการของสมาชิกแต่ละคน และกลมุ่ ตา่ ง ๆ ในองคก์ าร เพราะความตอ้ งการของสมาชกิ ในกล่มุ มีความแตกตา่ งกนั เช่น (1) บางคนตอ้ งการเงิน (2) บางคนตอ้ งเกียรตยิ ศชือ่ เสียง (3) บางคนตอ้ งการผลประโยชน์ 3. เพื่อความดารงอย่แู ละความเจรญิ ขององคก์ าร สมาชกิ ทกุ คนตอ้ งทาหนา้ ทใ่ี หด้ ี ทส่ี ดุ เพ่อื ใหอ้ งคก์ ารบรรลเุ ปา้ หมาย เช่น งานราชการ ตอ้ งทาหนา้ ที่บรกิ ารประชาชน งานธรุ กิจเอกชน ตอ้ งทาหนา้ ท่ใี หไ้ ดก้ าไรมากทส่ี ดุ ทา้ ยสดุ องคก์ ารก็เจรญิ รุง่ เรือง กา้ วหนา้ ต่อไป สรุปแลว้ วตั ถปุ ระสงคข์ ององคก์ าร มดี งั นี้ (1) สรา้ งสรรคส์ นิ คา้ และบรกิ าร (2) สนองตอบความตอ้ งการของสมาชิกและสงั คม (3) ความดารงอย่ตู ลอดไป ประโยชนข์ องการจัดองคก์ าร องคก์ าร เป็นทร่ี วมของคนและงานตา่ ง ๆ เพื่อใหพ้ นักงานขององคก์ าร ปฎิบตั งิ านไดอ้ ย่างเต็มท่แี ละเตม็ ความสามารถ จึงจาเป็นตอ้ งจดั แบง่ หนา้ ทก่ี ารงาน กนั ทาและมอบอานาจใหร้ บั ผิดชอบตามความสามารถและความถนดั ถา้ เป็นองคก์ าร ขนาดใหญ่และมคี นมากตลอดจนงานทที่ ามีมาก กจ็ ะตอ้ งจดั หมวดหมู่ของงานทที่ า เป็นอยา่ งเดีย่ วกนั หรอื มีลกั ษณะใกลเ้ คียงกนั มารวมเขา้ ดว้ ยกนั เรยี กวา่ ฝ่ายหรือ
แผนงาน แลว้ จดั ใหค้ นทม่ี คี วามสามารถในงานนนั้ ๆ มาปฎิบตั ิงานรวมกนั ในแผนก นน้ั และตงั้ หวั หนา้ งานขนึ้ รบั ผิดชอบครบคมุ ดงั นนั้ จะเหน็ วา่ การจดั องคก์ ารมคี วาม จาเป็นและก่อประโยชนห์ ลายดา้ น ดงั นี้ 1. ประโยชนต์ ่อองคก์ าร 1. การจดั โครงสรา้ งขององคก์ ารที่ดีและเหมาะสม จะทาใหอ้ งคก์ ารบรรลุ วตั ถปุ ระสงคแ์ ละเจรญิ กา้ วหนา้ ขนึ้ ไปเรอ่ื ย ๆ 2. ทาใหง้ านไมซ่ า้ ซอ้ น ไมม่ แี ผนมากเกินไป เป็นการประหยดั ตน้ ทนุ ไปดว้ ย 3. องคก์ ารสามารถปรบั ตวั เขากบั สภาพแวดลอ้ มทเ่ี ปล่ียนไปไดง้ า่ ยตามความ จาเป็น 2. ประโยชนต์ ่อผูบ้ รกิ าร 1. ทาใหร้ ูอ้ านาจหนา้ ทแ่ี ละขอบขา่ ยการทางานของตนวา่ มเี พียงใด 2. แกป้ ัญหาการทางานซา้ ซอ้ นไดง้ า่ ย 3.หากมงี านค่งั คา้ ง จดุ ใด สามารถติดตามแกไ้ ขไดง้ ่าย 4. การมอบอานาจทาไดง้ า่ ย ขจดั ปัญหาการเก่ยี วกนั ทางานหรอื ปัดความ รบั ผิดชอบ 3. ประโยชนต์ ่อผู้ปฎิบัติงาน 1. ทาใหร้ ูห้ นา้ ทีแ่ ละขอบข่ายการทางานของตนว่ามีเพยี งใด 2. การแบ่งงานใหพ้ นกั งานอย่างเหมาะสม ช่วยใหพ้ นกั งานมีความพอใจ ไมเ่ กิด ความรูส้ กึ วา่ งานไมม่ ากไปหรือนอ้ ยไป 3. เมื่อพนกั งานรูอ้ านาจหนา้ ที่และขอบเขตงานของตน ย่อมกอ่ ใหเ้ กิดความคิด ริเริ่มในการทางาน 4. พนกั งานเขา้ ใจความสมั พนั ธข์ องตนต่อฝ่ายอืน่ ๆ ทาใหส้ ามารถติดต่อกนั ไดด้ ี ยง่ิ ขนึ้
รูปท่ี 4.1 พนกั งานในองคก์ าร หลักการจัดองคก์ าร 1. กาหนดหน้าทก่ี ารงาน (Function) กาหนดหนา้ ทก่ี ารงาน เป็นกาหนดกล่มุ ของ กจิ กรรมทตี่ อ้ งปฎิบตั เิ พื่อบรรลวุ ตั ถปุ ระสงคข์ ององคก์ าร นอกจากนีก้ ารกาหนดหนา้ ท่ี การงานยงั ตอ้ งพจิ ารณาขององคก์ ารและขนาดขององคก์ ารดว้ ย 2. การแบ่งงาน (Division of Work) การแบง่ งาน เป็นการแยกงานหรอื รวมหนา้ ท่ี การงานท่ีมลี กั ษณะเดี่ยวกนั หรือใกลเ้ คยี งกนั ไวด้ ว้ ยกนั แลว้ มอบหมายใหบ้ คุ คลตาม ความสามารถมาปฎบิ ตั ิ 3. กาหนดหน่วยงานสาคญั ขององคก์ าร กาหนดหนอ่ ยงานสาคญั ขององคก์ าร เป็นการกาหนดหนว่ ยงานทตี่ อ้ งรบั ผิดชอบงานต่าง ๆ จะปฎิบตั ิประกอบดว้ ย 1. หนว่ ยงานหลกั (Line) หมายถงึ หน่วยงานทท่ี าหนา้ ท่โี ดยตรงกบั วตั ถปุ ระสงค์ ขององคก์ ารเพ่ือผลประโยชนโ์ ดยตรงต่อความสาเรจ็ ขององคก์ าร (1) บรษิ ทั ทาหนา้ ที่มีผลิตสินคา้ งานหลกั คอื ฝ่ายผลติ (2) บรษิ ทั รา้ นสรรพสนิ คา้ งานหลกั คือฝ่ายขาย (3) วทิ ยาลยั เกษตร งานหลกั ฝ่ายเก่ียวการสอน 2. หนว่ ยงานทีป่ รกึ ษา(Staff) หมายถึง หน่วยงานท่ชี ่วยใหห้ นว่ ยงานหลกั
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153