ก คำนำ สถานศึกษาในสังกดั สานกั งาน กศน.จงั หวดั อานาจเจริญ ไดด้ าเนินการจดั ทาคูม่ ือเรียน รายวชิ า ประวตั ิศาสตร์ชาติไทยรหสั วชิ า สค 33104 สาระการพฒั นาสังคม ระดบั มธั ยมศึกษาตอนปลาย เพอื่ ใช้ ประกอบการจดั การเรียนการสอน หลกั สูตรการศึกษานอกระบบระดบั การศึกษาข้นั พ้ืนฐาน พุทธศกั ราช 2551 สาระสาคญั ของรายวชิ าประวตั ิศาสตร์ชาติไทย คือ ยคุ สมยั ทางประวตั ิศาสตร์ไทยการสร้างความรู้ ทางประวตั ิศาสตร์ไทย ประเด็นสาคญั ทางประวตั ิศาสตร์ไทยผลงานบุคคลสาคญั ในการสร้างสรรคช์ าติไทย สามารถนาความรู้ที่ไดไ้ ปปรับใชใ้ นการพฒั นาตนเอง ครอบครัว ชุมชน สังคม ผเู้ รียนสามารถนาคู่มือการ เรียน ไปศึกษาคน้ ควา้ ไดด้ ว้ ยตนเอง ทาความเขา้ ใจในเน้ือหาสาระของบทเรียนแลว้ จดั ทากิจกรรมทา้ ยบท สถานศึกษาในสงั กดั สานกั งาน กศน.จงั หวดั อานาจเจริญ ขอขอบคุณผเู้ รียบเรียงและคณะผจู้ ดั ทา ทุกทา่ น ที่ไดใ้ หค้ วามร่วมมือเป็ นอยา่ งดี และหวงั เป็นอยา่ งยงิ่ วา่ คู่มือการเรียนชุดน้ีจะเป็นประโยชนใ์ นการจดั การ เรียนรู้ของครูและผเู้ รียนต่อไป ศูนยก์ ารศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั อาเภอเมือง อานาจเจริญ มิถุนายน 2560
สารบัญ ข คานา หน้า สารบัญ ก คาอธิบายรายวชิ า ข รายละเอยี ดคาอธิบายรายวชิ า ค ง บทที่ 1 เวลาและยคุ สมยั ทางประวตั ิศาสตร์ไทย 4 เร่ืองท่ี 1 เวลาและยคุ สมยั ทางประวตั ิศาสตร์ไทย 10 31 บทที่ 2 การสร้างองคค์ วามรู้ใหมท่ างประวตั ิศาสตร์ไทย 34 เร่ืองที่ 1 การสร้างองคค์ วามรู้ใหม่ทางประวตั ิศาสตร์ไทย 35 เรื่องที่ 2 ข้นั ตอนของวธิ ีการทางประวตั ิศาสตร์ 35 เรื่องที่ 3 หลกั ฐานทางประวตั ิศาสตร์ 49 49 บทท่ี 3 ประเด็นสาคญั ทางประวตั ิศาสตร์ไทย 53 เร่ืองท่ี 1 แนวคิดเก่ียวกบั ความเป็ นมาของชนชาติไทย 59 เร่ืองที่ 2 ปัจจยั ท่ีมีผลตอ่ การสถาปนาอาณาจกั รไทย 63 เร่ืองท่ี 3 บทบาทของสถาบนั พระมหากษตั ริย์ 77 เรื่องที่ 4 การเปล่ียนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 83 เร่ืองที่ 5 บทบาทของสถาบนั พระมหากษตั ริยใ์ นการพฒั นาชาติไทย 83 155 บทท่ี 4 ผลงานบุคคลสาคญั ในการสร้างสรรคช์ าติไทย 165 เรื่องท่ี 1 พระมหากษตั ริยท์ ่ีมีบทบาทในการสร้างสรรคช์ าติไทย เร่ืองท่ี 2 พระบรมวงศานุวงศท์ ่ีมีบทบาทในการสร้างสรรคช์ าติไทย เร่ืองที่ 3 ขนุ นางและชาวตา่ งชาติท่ีมีบทบาทในการสร้างสรรคช์ าติไทย บรรณานุกรม คณะทางาน
ค คาอธิบายรายวชิ าเลือกเสรี วิชาประวตั ิศาสตร์ชาตไิ ทย รหัส สค 33104 จานวน 2 หน่วยกติ ระดบั มัธยมศึกษาตอนปลาย มาตรฐานการเรียนรู้ระดบั มีความรู้ ความเขา้ ใจ และตระหนกั ถึงความสาคญั เกี่ยวกบั ภูมิศาสตร์ ประวตั ิศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ การเมือง การปกครอง สามารถนามาปรับใชใ้ นการดารงชีวติ ศึกษาและฝึ กทกั ษะเกยี่ วกบั เร่ืองต่อไปนี้ 1. ยคุ สมยั ทางประวตั ิศาสตร์ไทย : ความหมาย ความสาคญั คุณค่า ยคุ สมยั ทางประวตั ิศาสตร์ไทย การแบง่ ยคุ สมยั ทางประวตั ิศาสตร์ไทย 2. การสร้างความรู้ทางประวตั ิศาสตร์ไทย : ความหมาย ความสาคญั คุณค่า หลกั ฐานทาง ประวตั ิศาสตร์ไทยประเด็นสาคญั ทางประวตั ิศาสตร์ไทย : ความหมาย ความสาคญั คุณคา่ แนวคิดเกี่ยวกบั ความเป็นมาของชนชาติไทย ปัจจยั ที่มีผลตอ่ การสถาปนาอาณาจกั รไทย บทบาทของสถาบนั พระมหากษตั ริยใ์ นการพฒั นาชาติไทย 3. ผลงานบุคคลสาคญั ในการสร้างสรรคช์ าติไทย : ความหมาย ความสาคญั คุณค่า พระมหากษตั ริยท์ ี่มีบทบาทในการสร้างสรรคช์ าติไทย พระบรมวงศานุวงศท์ ี่มีบทบาท ในการ สร้างสรรคช์ าติไทย ขนุ นางและชาวตา่ งชาติที่มีบทบาทในการสร้างสรรคช์ าติไทย การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ เนน้ ใหผ้ เู้ รียนไดแ้ ลกเปล่ียนเรียนรู้จากการอภิปรายกลุ่ม ศึกษาจากใบความรู้เอกสารประกอบการ เรียนการสอนและเอกสารท่ีเก่ียวขอ้ ง ศึกษาจากอินเตอร์เน็ตผูร้ ู้/ผูเ้ ช่ียวชาญสื่อวดี ีทศั น์ การทาใบงานการทา แบบทดสอบเรียนรู้ดว้ ยตนเอง การรายงาน การศึกษาจากแหล่งเรียนรู้ ประสบการณ์ตรงโดยใชส้ ถานการณ์ จริงและฝึกปฏิบตั ิเกี่ยวกบั ประวตั ิศาสตร์ชาติไทย การวดั และประเมินผล ประเมินจากแบบทดสอบ จากสภาพจริง จากการสังเกต การอภิปราย การสมั ภาษณ์ ผลการ ปฏิบตั ิงาน การมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้ ความสนใจในกระบวนการเรียนรู้ ความรับผดิ ชอบในการ ปฏิบตั ิงาน
ง รายละเอยี ดคาอธิบายรายวชิ าเลือกเสรี วชิ าประวตั ศิ าสตร์ชาติไทยรหสั สค 33104 จานวน 2 หน่วยกติ ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย มาตรฐานการเรียนรู้ระดบั มีความรู้ ความเขา้ ใจ และตระหนกั ถึงความสาคญั เก่ียวกบั ภูมิศาสตร์ประวตั ิศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ การเมือง การปกครอง สามารถนามาปรับใชใ้ นการดารงชีวติ ที่ หวั เรื่อง ตัวชี้วดั เนื้อหา จานวน 1 ยคุ สมยั ทาง ชั่วโมง ประวตั ิศาสตร์ไทย 1. มีความรู้ความเขา้ ใจความสาคญั เรื่องที่ 1 เวลาและยคุ สมยั ทาง 20 2 การสร้างองคค์ วามรู้ ใหมท่ าง ของยคุ สมยั ทางประวตั ิศาสตร์ไทย ประวตั ิศาสตร์ไทย ประวตั ิศาสตร์ไทย 2. ตระหนกั เห็นคุณคา่ ยคุ สมยั ทาง ประวตั ิศาสตร์ไทย 3. สามารถนาความรู้มาปรับใชใ้ น การดารงชีวติ 1. มีความรู้ความเขา้ ใจความสาคญั เร่ืองที่ 1 การสร้างองคค์ วามรู้ 20 ของการสร้างองคค์ วามรู้ใหม่ทาง ใหม่ทางประวตั ิศาสตร์ไทย ประวตั ิศาสตร์ไทย เรื่องท่ี 2 ข้นั ตอนของวธิ ีการทาง 2. ตระหนกั เห็นคุณค่า การสร้าง ประวตั ิศาสตร์ ความรู้ทางประวตั ิศาสตร์ไทย เร่ืองที่ 3 หลกั ฐานทาง 3. สามารถนาความรู้มาปรับใชใ้ น ประวตั ิศาสตร์ การดารงชีวติ
จ ท่ี หวั เรื่อง ตัวชี้วดั เนื้อหา จานวน ช่ัวโมง 3 ประเดน็ สาคญั ทาง 1. มีความรู้ความเขา้ ใจความสาคญั เร่ืองที่ 1 แนวคิดเก่ียวกบั ความ 20 ประวตั ิศาสตร์ไทย ของประเดน็ สาคญั ทาง เป็ นมาของชนชาติไทย ประวตั ิศาสตร์ไทย เรื่องที่ 2 ปัจจยั ที่มีผลตอ่ การ 2. ตระหนกั เห็นคุณค่า ประเดน็ สถาปนาอาณาจกั รไทย สาคญั ทางประวตั ิศาสตร์ไทย เรื่องที่ 3 บทบาทของสถาบนั 3. สามารถนาความรู้มาปรับใชใ้ น พระมหากษตั ริย์ การดารงชีวติ เรื่องที่ 4 การเปลี่ยนแปลงการ ปกครอง พ.ศ.2475 เรื่องท่ี 5 บทบาทของสถาบนั พระมหากษตั ริยใ์ นการพฒั นา ชาติไทย 4 ผลงานบุคคลสาคญั ใน 1. มีความรู้ความเขา้ ใจความสาคญั เร่ืองท่ี 1 พระมหากษตั ริยท์ ี่มี 20 การสร้างสรรคช์ าติ ของผลงานบุคคลสาคญั ในการ บทบาทในการสร้างสรรคช์ าติ ไทย สร้างสรรคช์ าติไทย ไทย 2 . ตระหนกั เห็นคุณคา่ ผลงาน เร่ืองที่ 2 พระบรมวงศานุวงศท์ ่ีมี บุคคลสาคญั ในการสร้างสรรค์ บทบาทในการสร้างสรรคช์ าติ ชาติไทย ไทย 3. สามารถนาความรู้มาปรับใชใ้ น เรื่องที่ 3 ขนุ นางและชาวต่างชาติ การดารงชีวติ ที่มีบทบาทในการสร้างสรรค์ ชาติไทย
1 คาอธิบายรายวชิ าเลือกเสรี วิชาประวตั ศิ าสตร์ชาตไิ ทย รหัส สค33104 จานวน 2 หน่วยกติ ระดบั มัธยมศึกษาตอนปลาย มาตรฐานการเรียนรู้ระดบั มีความรู้ ความเขา้ ใจ และตระหนกั ถึงความสาํ คญั เกี่ยวกบั ภูมิศาสตร์ ประวตั ิศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ การเมือง การปกครอง สามารถนาํ มาปรับใชใ้ นการดาํ รงชีวติ ศึกษาและฝึ กทกั ษะเกยี่ วกบั เรื่องต่อไปนี้ 1. ยคุ สมยั ทางประวตั ิศาสตร์ไทย : ความหมาย ความสาํ คญั คุณคา่ ยคุ สมยั ทาง ประวตั ิศาสตร์ไทย การแบง่ ยคุ สมยั ทางประวตั ิศาสตร์ไทย 2. การสร้างความรู้ทางประวตั ิศาสตร์ไทย : ความหมาย ความสาํ คญั คุณคา่ หลกั ฐานทาง ประวตั ิศาสตร์ไทยประเด็นสาํ คญั ทางประวตั ิศาสตร์ไทย : ความหมาย ความสาํ คญั คุณคา่ แนวคิดเกี่ยวกบั ความเป็นมาของชนชาติไทย ปัจจยั ท่ีมีผลต่อการสถาปนา อาณาจกั รไทย บทบาทของสถาบนั พระมหากษตั ริยใ์ นการพฒั นาชาติไทย 3. ผลงานบุคคลสาํ คญั ในการสร้างสรรคช์ าติไทย : ความหมาย ความสาํ คญั คุณคา่ พระมหากษตั ริยท์ ่ีมีบทบาทในการสร้างสรรคช์ าติไทย พระบรมวงศานุวงศท์ ่ีมี บทบาท ในการสร้างสรรคช์ าติไทย ขนุ นางและชาวตา่ งชาติที่มีบทบาทในการสร้างสรรคช์ าติไทย การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ เน้นให้ผูเ้ รียนได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้จากการอภิปรายกลุ่ม ศึกษาจากใบความรู้เอกสาร ประกอบการเรียนการสอนและเอกสารท่ีเก่ียวขอ้ ง ศึกษาจากอินเตอร์เน็ตผูร้ ู้/ผเู้ ชี่ยวชาญสื่อวีดีทศั น์ การทาํ ใบงานการทาํ แบบทดสอบเรียนรู้ด้วยตนเอง การรายงาน การศึกษาจากแหล่งเรียนรู้ ประสบการณ์ตรงโดยใชส้ ถานการณ์จริงและฝึกปฏิบตั ิเก่ียวกบั ประวตั ิศาสตร์ชาติไทย การวดั และประเมินผล ประเมินจากแบบทดสอบ จากสภาพจริง จากการสังเกต การอภิปราย การสัมภาษณ์ ผล การปฏิบตั ิงาน การมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้ ความสนใจในกระบวนการเรียนรู้ ความ รับผดิ ชอบในการปฏิบตั ิงาน
2 รายละเอยี ดคาอธิบายรายวชิ าเลือกเสรี วชิ าประวตั ิศาสตร์ชาตไิ ทยรหสั สค 33104 จานวน 2 หน่วยกติ ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย มาตรฐานการเรียนรู้ระดบั มีความรู้ ความเข้าใจ และตระหนักถึงความสําคัญเก่ียวกับภูมิศาสตร์ประวตั ิศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ การเมือง การปกครอง สามารถนาํ มาปรับใชใ้ นการดาํ รงชีวติ ที่ หัวเร่ือง ตวั ชี้วดั เนื้อหา จานวน 1 ยคุ สมยั ทาง ช่ัวโมง 1. มีความรู้ความเขา้ ใจ เรื่องที่ 1 เวลาและยคุ สมยั ทาง ประวตั ิศาสตร์ไทย ความสาํ คญั ของยคุ สมยั ทาง ประวตั ิศาสตร์ไทย 20 ประวตั ิศาสตร์ไทย 2 การสร้างความรู้ทาง 2. ตระหนกั เห็นคุณคา่ ยคุ สมยั เรื่องที่ 1 หลกั ฐานทาง 20 ประวตั ิศาสตร์ไทย ทางประวตั ิศาสตร์ไทย ประวตั ิศาสตร์ไทย 20 3. สามารถนาํ ความรู้มาปรับใช้ เรื่องที่ 2 คุณค่าของประโยชน์ 3 ประเด็นสาํ คญั ทาง ในการดาํ รงชีวติ ของวธิ ีการทางประวตั ิศาสตร์ท่ีมี ประวตั ิศาสตร์ไทย 1. มีความรู้ความเขา้ ใจ ต่อการศึกษาทางประวตั ิศาสตร์ ความสาํ คญั ของการสร้างความรู้ เรื่องท่ี 3 หลกั ฐานทาง ทางประวตั ิศาสตร์ไทย ประวตั ิศาสตร์ 2. ตระหนกั เห็นคุณค่า การสร้าง เรื่องที่ 1 แนวคิดเกี่ยวกบั ความ ความรู้ทางประวตั ิศาสตร์ไทย เป็ นมาของชนชาติไทย 3. สามารถนาํ ความรู้มาปรับใช้ เร่ืองที่ 2 ปัจจยั ที่มีผลต่อการ ในการดาํ รงชีวติ สถาปนาอาณาจกั รไทย 1. มีความรู้ความเขา้ ใจ เรื่องท่ี 3 การปฏิรูปประเทศใน ความสาํ คญั ของประเด็นสาํ คญั สมยั รัชกาลที่ 5 ทางประวตั ิศาสตร์ไทย เรื่องที่ 4 การเปล่ียนแปลงการ 2. ตระหนกั เห็นคุณคา่ ประเดน็ ปกครอง พ.ศ.2475 สาํ คญั ทางประวตั ิศาสตร์ไทย 3. สามารถนาํ ความรู้มาปรับใช้ ในการดาํ รงชีวติ
3 ท่ี หวั เร่ือง ตัวชี้วดั เนื้อหา จานวน ช่ัวโมง เรื่องท่ี 5 บทบาทของสถาบนั พระมหากษตั ริยใ์ นการพฒั นา ชาติไทย 4 ผลงานบุคคลสาํ คญั ใน 1. มีความรู้ความเขา้ ใจ เร่ืองท่ี 1 พระมหากษตั ริยท์ ี่มี 20 การสร้างสรรคช์ าติ ความสาํ คญั ของผลงานบุคคล บทบาทในการสร้างสรรคช์ าติ ไทย สาํ คญั ในการสร้างสรรคช์ าติไทย ไทย 2 . ตระหนกั เห็นคุณคา่ ผลงาน เรื่องที่ 2 พระบรมวงศานุวงศท์ ่ีมี บุคคลสาํ คญั ในการสร้างสรรค์ บทบาทในการสร้างสรรคช์ าติ ชาติไทย ไทย 3. สามารถนาํ ความรู้มาปรับใช้ เร่ืองท่ี 3 ขนุ นางและชาวตา่ งชาติ ในการดาํ รงชีวติ ท่ีมีบทบาทในการสร้างสรรค์ ชาติไทย
4 เวลาและยุคสมยั ทางประวตั ิศาสตร์ไทย สาระสาคัญ ประวตั ิศาสตร์ไทยเป็นการศึกษาเรื่องราวในอดีตของมนุษยน์ กั ประวตั ิศาสตร์ได้ กาํ หนดเวลาและยคุ สมยั ทางประวตั ิศาสตร์ข้ึนมา เช่น กาํ หนดเวลาเป็นปี ศกั ราช หรือกาํ หนดเป็น สหสั วรรษ ศตวรรษ และทศวรรษในการกาํ หนดยคุ สมยั นกั ประวตั ิศาสตร์ไดถ้ ือเอาลกั ษณะเด่น ของเหตุการณ์เป็นเกณฑ์เพ่อื ใหส้ ามารถเขา้ ใจและจดจาํ ยุคสมยั น้นั ๆ ได้ ประวตั ิศาสตร์จึงมี ความสาํ คญั ซ่ึงจะช่วยใหผ้ ศู้ ึกษาเกิดความเขา้ ใจง่ายและตรงกนั ผลการเรียนรู้ทคี่ าดหวงั 1. สามารถบอกเวลาและยคุ สมยั ทางประวตั ิศาสตร์ไทยได้ 2. ตระหนกั ถึงความสาํ คญั ของเวลาและยคุ สมยั ทางประวตั ิ ศาสตร์ท่ีแสดงถึงการ เปลี่ยนแปลงของมนุษยชาติ ขอบข่ายเนื้อหา 1. การนบั เวลา 2. การนบั และการเทียบศกั ราชในประวตั ิศาสตร์ไทย 3. การแบ่งยคุ สมยั ทางประวตั ิศาสตร์ กจิ กรรมการเรียนรู้ 1. ศึกษาเอกสารการเรียนรู้ 2. ปฏิบตั ิกิจกรรมท่ีไดร้ ับมอบหมาย สื่อประกอบการเรียนรู้ 1. คู่มือการเรียนรู้ 2. แบบฝึกหดั ประเมินผล 1. แบบฝึกหดั 2. ประเมินผลจากการทดสอบกลางภาคและปลายภาคเรียน
5 บทท่ี 1 เร่ือง เวลาและยคุ สมัยทางประวตั ศิ าสตร์ ความหมายทางประวตั ิศาสตร์ ประวตั ิศาสตร์ (องั กฤษ: history; รากศพั ทภ์ าษากรีก ἱστορία หมายถึง \"การสอบถาม ความรู้ที่ไดม้ าโดยการสอบสวน\") เป็ นการคน้ พบ รวบรวม จดั ระเบียบและนาํ เสนอขอ้ มูลเก่ียวกบั เหตุการณ์ในอดีต ประวตั ิศาสตร์ยงั อาจหมายถึงช่วงเวลาหลงั มีการประดิษฐต์ วั อกั ษรข้ึน นกั วิชาการ ผูเ้ ขียนเกี่ยวกบั ประวตั ิศาสตร์เรียกนักประวตั ิศาสตร์ ประวตั ิศาสตร์เป็ นสาขาการวิจยั ซ่ึงใช้การ บรรยายเพ่ือพิจารณาและวเิ คราะห์ลาํ ดบั ของเหตุการณ์ และบางคร้ังพยายามสอบสวนรูปแบบของ เหตุและผลซ่ึงมีอิทธิพลต่อเหตุการณ์อยา่ งยุติธรรม นกั ประวตั ิศาสตร์ถกเถียงกนั เร่ืองธรรมชาติของ ประวตั ิศาสตร์และประโยชน์ของมนั ซ่ึงรวมท้งั ถกเถียงการศึกษาสาขาวิชาเป็ นจุดจบในตวั มนั เอง และเป็ นเสมือนวถิ ีการให้ \"มุมมอง\" ต่อปัญหาในปัจจุบนั เร่ืองเล่าซ่ึงเป็ นสิ่งธรรมดาในวฒั นธรรม ใดวฒั นธรรมหน่ึง แต่ไม่มีการสนับสนุนจากแหล่งขอ้ มูลภายนอก (เช่น ตาํ นานเกี่ยวกบั กษตั ริย์ อาเธอร์) มกั จดั เป็ นมรดกทางวฒั นธรรมมากกวา่ \"การสอบสวนอยา่ งไม่นาํ พา\" ท่ีจาํ เป็ นตามสาขา ประวตั ิศาสตร์ เหตุการณ์ในอดีตก่อนมีบนั ทึกลายลกั ษณ์อกั ษรเรียกวา่ ยคุ ก่อนประวตั ิศาสตร์ 1. การนับเวลา ประวตั ิศาสตร์ คือ การศึกษาเร่ืองราวต่างๆ ในอดีตโดยมีความสัมพนั ธ์ก่อใหเ้ กิดความง่าย ต่อการทาํ ความเขา้ ใจในเหตุการณ์ตา่ งๆ โดยมีระยะเวลาเป็นตวั กาํ หนดในการศึกษาเร่ืองราวการนบั เวลาและการเปรียบเทียบศักราชในการศึกษาเร่ืองราวทางประวตั ิศาสตร์ มกั นิยมใช้การระบุ ช่วงเวลาเพื่อให้ทราบถึงเหตุการณ์ต่างๆ ท่ีเกิดข้ึน โดยจะแบ่งเป็ น 2 ลกั ษณะ คือ การนบั เวลาแบบ ไทย และการนบั เวลาแบบสากลการนบั เวลาแบบไทยในประวตั ิศาสตร์ไทย จะมีการบนั ทึกเร่ืองราว ต่างๆ โดยมีการอา้ งอิงถึงการนบั ช่วงเวลาแตกต่างกนั ไปตามแตล่ ะทอ้ งถิ่นมีดงั น้ี 1.1 การนับเวลาแบบไทย มี 4 แบบ 1) การนับการเวลาในรอบวนั (24 ชม.) วธิ ีนบั เวลาตามประเพณี แบง่ เป็น 3 ช่วงหลกั คือ โมง ทุม่ และตี „โมง หมายถึง วิธีนับเวลาตามประเพณีในเวลากลางวนั ถ้าเป็ นเวลาก่อนเท่ียงวนั ต้งั แต่ 7 นาฬิกา ถึง 11 นาฬิกา เรียกวา่ โมงเชา้ ถึง 5 โมงเชา้ ถา้ เป็ น 12 นาฬิกา นิยมเรียกวา่ เท่ียงวนั ถา้ หลงั เท่ียงวนั ต้งั แต่ 13 นาฬิกา ถึง 17 นาฬิกา เรียกวา่ บ่ายโมง ถึง บ่าย 5 โมง ถา้ 18 นาฬิกา นิยม เรียกวา่ 6 โมงเยน็ หรือ ยา่ํ ค่าํ „ ทุม่ หมายถึง วธิ ีนบั เวลาตามประเพณีสาํ หรับ 6 ชวั่ โมงแรกของกลางคืน ต้งั แต่ 19 นาฬิกา ถึง 24 นาฬิกา เรียกวา่ 1 ทุม่ ถึง 6 ทุ่ม แต่ 6 ทุม่ นิยมเรียกวา่ สองยาม
6 „ ตี หมายถึง วิธีนบั เวลาตามประเพณีในเวลากลางคืน หลงั เที่ยงคืน ต้งั แต่ 1 นาฬิกา ถึง 6 นาฬิกา เรียกวา่ ตี 1 ถึง ตี 6 แต่ตี 6 นิยมเรียกวา่ ย่าํ รุ่ง ช่ือเรียกต่างๆ เหล่าน้ีมาจากเสียงของการบอกเวลาแต่โบราณ ซ่ึงใชฆ้ อ้ งในการบอกโมงยาม ในเวลากลางวนั และใช้กลองในเวลากลางคืน คาํ ว่า \"โมง\" อนั เป็ นเสียงเลียนธรรมชาติของเสียง ฆอ้ ง และ \"ทุ่ม\" ซ่ึงเป็ นการเลียนเสียงกลอง ตี เป็ นคาํ กริยาสามารถหมายถึงทาํ ให้เกิดเสียง ส่วน \"เชา้ \" และ \"บ่าย\" เป็นคาํ ช่วยแบง่ คร่ึงช่วงกลางวนั ชวั่ โมงท่ีหกของแตล่ ะส่วนน้นั เรียกโดยใชค้ าํ แตกต่างกนั ชว่ั โมงที่หกที่ตรงกบั รุ่งเชา้ น้นั จะ เรียกวา่ ยา่ํ รุ่ง ชว่ั โมงท่ีหกในช่วงเยน็ น้นั จะเรียกวา่ ย่าํ ค่าํ ซ่ึงท้งั สองคาํ หมายถึงการตีฆอ้ งหรือกลอง เป็ นลาํ ดบั เพ่ือบอกใหท้ ราบถึงการเปล่ียนช่วงเวลา (ย่าํ ) ส่วน รุ่ง และ ค่าํ หมายถึง ช่วงเชา้ และช่วง เยน็ ที่ใชแ้ สดงถึงเวลา ช่วงที่อยกู่ ลางกลางวนั และกลางคืนเรียกวา่ เท่ียงวนั และ เที่ยงคืน ตามลาํ ดบั เที่ยงคืนยงั ถูกเรียกว่า สองยาม ซ่ึงหมายความว่าเป็ นจุดสิ้นสุดของการนบั ยามช่วงท่ีสอง นอกเหนือจากน้ี หกทุ่ม และ ตีหก ยงั อาจใชห้ มายถึงเท่ียงคืนหรือหกโมงเชา้ ส่วนรูปแบบยสี่ ิบสี่ชวั่ โมงตามแบบสากลน้นั ใชใ้ นระดบั เป็นทางการ อยา่ งเช่น ขา่ ว รายงานหรือประกาศ การอ่านใหเ้ ติมคาํ วา่ นาฬิกา หลงั ตวั เลข 0 ถึง 24 เวลา นาฬิกาหกชั่วโมง นาฬิกาหกช่ัวโมง นาฬิกายส่ี ิบส่ีช่ัวโมง (แผลง) 1:00 น. ตีหน่ึง ตีหน่ึง หน่ึงนาฬิกา 2:00 น. ตีสอง ตีสอง สองนาฬิกา 3:00 น. ตีสาม, สามยาม ตีสาม สามนาฬิกา 4:00 น. ตีส่ี ตีส่ี สี่นาฬิกา 5:00 น. ตีหา้ ตีหา้ หา้ นาฬิกา 6:00 น. ตีหก, ยา่ํ รุ่ง หกโมงเชา้ , หกโมง หกนาฬิกา 7:00 น. หน่ึงโมงเชา้ เจด็ โมงเชา้ , เจด็ โมง เจด็ นาฬิกา 8:00 น. สองโมงเชา้ แปดโมงเชา้ , แปดโมง แปดนาฬิกา 9:00 น. สามโมงเชา้ เกา้ โมง เกา้ นาฬิกา 10:00 น. ส่ีโมงเชา้ สิบโมง สิบนาฬิกา 11:00 น. หา้ โมงเชา้ สิบเอด็ โมง สิบเอด็ นาฬิกา 12:00 น. เท่ียงวนั , เที่ยง, ยา่ํ เที่ยง เท่ียงวนั , เที่ยง สิบสองนาฬิกา 13:00 น. บ่ายหน่ึงโมง บา่ ยโมง, บ่ายหน่ึง สิบสามนาฬิกา 14:00 น. บา่ ยสองโมง บ่ายสอง สิบส่ีนาฬิกา 15:00 น. บ่ายสามโมง บา่ ยสาม สิบหา้ นาฬิกา
7 เวลา นาฬิกาหกชั่วโมง นาฬิกาหกชั่วโมง นาฬิกายส่ี ิบส่ีช่ัวโมง 16:00 น. (แผลง) สิบหกนาฬิกา 17:00 น. สิบเจด็ นาฬิกา 18:00 น. บ่ายส่ีโมง บ่ายสี่, สี่โมงเยน็ , ส่ีโมง สิบแปดนาฬิกา 19:00 น. สิบเกา้ นาฬิกา 20:00 น. บ่ายหา้ โมง หา้ โมงเยน็ , หา้ โมง ยส่ี ิบนาฬิกา 21:00 น. ยส่ี ิบเอด็ นาฬิกา 22:00 น. หกโมงเยน็ , ย่าํ ค่าํ หกโมงเยน็ , หกโมง ยส่ี ิบสองนาฬิกา 23:00 น. ยส่ี ิบสามนาฬิกา 24:00 น., 00:00 น. หน่ึงทุม่ หน่ึงทุม่ ยสี่ ิบส่ีนาฬิกา, ศูนยน์ าฬิกา สองทุม่ สองทุม่ สามทุ่ม, ยามหน่ึง สามทุ่ม ส่ีทุ่ม สี่ทุม่ หา้ ทุม่ หา้ ทุ่ม เที่ยงคืน, หกทุม่ , สองยาม เท่ียงคืน, หกทุ่ม 2) การนับยามกลางคืน เป็ นการนับเวลากลางคืนในประเทศไทยสมยั โบราณ ยาม เป็ นคาํ ภาษาบาลีที่เรานาํ มาใช้ในภาษาไทย จนไม่คิดวา่ เป็ นคาํ บาลีแลว้ แต่มกั ก่อใหเ้ กิดความ สับสนในเวลาใชอ้ ยคู่ าํ หน่ึง คือ คาํ วา่ “ยาม” ซ่ึงบาลีออกเสียงวา่ “ยา-มะ” คาํ วา่ “ยาม” ที่เรานบั กนั ตามแบบไทย ๆ กบั “ยาม” ของแขกตามที่ปรากฏในบาลีน้นั แตกต่างกนั ท้งั น้ีเพราะคืนหน่ึงเราแบง่ เป็น 4 ยาม ยามละ 3 ชวั่ โมง * ต้งั แตย่ ่าํ ค่าํ คือ 18 นาฬิกา ถึง 3 ทุ่ม (21 นาฬิกา) เป็นยามท่ี 1 * หลงั จาก 21 นาฬิกา หรือ 3 ทุม่ ไปถึง 24 นาฬิกา หรือ เท่ียงคืน เราเรียกวา่ ยาม 2 หรือ 2 ยาม * หลงั 24 นาฬิกา ไปถึงตี 3 (3 นาฬิกา) เราเรียกวา่ ยาม 3 * หลงั จากตี 3 ไปจนย่าํ รุ่ง หรือ 6 นาฬิกา เราเรียกวา่ ยาม 4 ซ่ึงเป็นยามสุดทา้ ยของคืน 3) การบอก วนั เดือน ขึน้ แรม ใช้เครื่องหมายองั คัน่ เดี่ยว(ฯ) คนั่ 3 ตวั อยา่ ง เช่น วนั 2 ฯ 7 ค่าํ เลขท่ีอยหู่ นา้ เคร่ืองหมาย ฯ หมายถึง วนั ในสปั ดาห์ โดยให้ 1 แทนอาทิตยท์ ่ี 2 แทน วนั จนั ทร์ เร่ือยไปจนถึง 7 แทนวนั เสาร์ เลข 2 ในตวั อยา่ งน้ี หมายถึง จนั ทร์ เลขที่อยหู่ ลงั เครื่องหมาย ฯ หมายถึง เดือนทางจนั ทรคติ ในตวั อยา่ ง คือ เดือน 7 เลขที่อยบู่ นหรือขา้ งล่าง เคร่ืองหมาย ฯ หมายถึง ข้ึนแรมกี่ค่าํ ถา้ อยขู่ า้ งบนเป็นขา้ งข้ึน ในตวั อยา่ งคือ ข้ึน 3 ค่าํ แต่ถา้ อยขู่ า้ งล่างก็เป็นขา้ งแรม
8 การอ่านวนั เดือน ข้ึนแรมแบบน้ี อ่านตามลาํ ดบั ดงั น้ี 3 วนั 2 ฯ 7 อ่านวา่ วนั จนั ทร์ เดือน 7 ข้ึน 3 ค่าํ วนั 7 ฯ 2 อา่ นวา่ วนั เสาร์ เดือนยี่ แรม 11 ค่าํ 11 4) การนับปี นักษัตร หรือ นักขตั เป็ นปี ตามปฏิทินสุริยคติไทยและชาติอื่นในเอเชีย ตะวนั ออก เช่น จีน เวยี ดนาม และญี่ป่ ุน แบ่งเป็ นรอบปี รอบละสิบสองปี แต่ละปี กาํ หนดสัตวเ์ รียก เป็นช่ือเรียงกนั ไป โดยความเชื่อเร่ืองปี นกั ษตั รน้นั มีท่ีมาจากจีน 1.2 การนับศักราช ศักราช หมายถึง อายเุ วลาซ่ึงกาํ หนดต้งั ข้ึนเป็นทางการ เร่ิมแต่จุดใดจุดหน่ึง ซ่ึงถือวา่ เป็นที่หมายเหตุการณ์สาํ คญั เรียงลาํ ดบั กนั เป็นปี ๆ ไป เช่น พทุ ธศกั ราช 1 2 3 .. จุลศกั ราช 1 2 3 ... (ตามความนิยมท่ีใชเ้ ป็ นธรรมเนียมกนั มา คาํ ศกั ราชในคาํ เช่นพทุ ธศกั ราช คริสตศ์ กั ราชจะใชว้ า่ ศก เป็น พทุ ธศก คริสตศ์ ก กไ็ ดแ้ ตค่ าํ เช่น มหาศกั ราช จุลศกั ราช ไม่นิยมใชว้ า่ มหาศก จุลศกส่วน คาํ วา่ รัตนโกสินทรศกไมน่ ิยมใชว้ า่ รัตนโกสินทรศกั ราช) (ปาก) โดยปริยายหมายความวา่ ช่วงใด ช่วงหน่ึงซ่ึงเร่ิมตน้ เหตุการณ์สาํ คญั ในชีวติ บุคคล เช่น เริ่มศกั ราชแห่งชีวติ ใหม่พอเรียนหนงั สือจบก็ เริ่มศกั ราชของการทาํ งาน 1) พุทธศักราช (พ.ศ.) เป็ นศกั ราชทางพระพุทธศาสนา นิยมใชก้ นั ในหลายประเทศ ท่ีนบั ถือพุทธศาสนาสําหรับประเทศไทยเร่ิมใชพ้ ุทธศกั ราชมาต้งั แต่สมยั อยุธยาต้งั แต่สมยั สมเด็จ พระนารายณ์มหาราช และนาํ มาใชอ้ ยา่ งแพร่หลายเป็ นแบบอยา่ งของทางราชการต้งั แต่ พ.ศ. 2455 รั ช ส มั ย พ ร ะ บ า ท ส ม เ ด็ จ พ ร ะ ม ง ก ฎ เ ก ล้ า เ จ้ า อ ยู่ หั ว เ ป็ น ต้ น ม า จ น ถึ ง ปั จ จุ บั น 2) มหาศักราช (ม.ศ.) เป็ นศกั ราชพระเจา้ กนิษกะกษตั ริยข์ องอินเดีย ซ่ึงพอ่ คา้ อินเดีย และพวกพราหมณ์นําเข้ามาเผยแพร่ในเวลาติดต่อการคา้ กบั ไทยในสมยั โบราณ จะมีปรากฏใน ศิลาจารึกไทยรับเอาวิธีการนบั เวลาน้ีมาใชใ้ นสมยั อยุธยา เพ่ือการคาํ นวณทางโหราศาสตร์ใชบ้ อก เวลาในจารึก ตาํ นานพระราชพงศาวดาร จดหมายเหตุ ต่างๆ จนมาถึงสมยั พระบาทสมเด็จพระ จุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั (รัชกาลที่ 5) จึงเลิกใช้ ปี มหาศกั ราชที่ 1 จะตรงกบั ปี พทุ ธศกั ราช 621 3) จุลศักราช ( จ.ศ.) เป็ นศกั ราชที่กษตั ริย์ ของพม่าสมยั อาณาจกั รพุกาม ทรงมี พระราชดาํ ริข้ึนภายหลงั พุทธศกั ราช 1181 โดยไทยรับเอาวิธีการนบั เวลาน้ีมาใช้ในสมยั อยุธยา เพื่อการคาํ นวณทาง โหราศาสตร์ ใช้บอกเวลาในจารึก ตาํ นาน พระราชพงศาวดาร จดหมายเหตุ ต่าง ๆ จนมาถึงสมยั พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั (รัชกาลท่ี 5) จึงเลิกใช้
9 4) รัตนโกสินทร์ศก (ร.ศ) เป็ นศกั ราชท่ีพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยู่หัว (รัชกาลท่ี5)ทรงต้งั ข้ึนในปี พุทธศกั ราช2432โดยกาํ หนดใหน้ บั ปี ที่พระบาทสมเด็จพระพุทะยอดฟ้า จุฬาโลกมหาราช สถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อปี พุทธศกั ราช 2325 เป็ นรัตนโกสินทร์ศกที่ 1 และ ใหเ้ ริ่มใชศ้ กั ราชน้ีในทางราชการต้งั แตว่ นั ที่ 1 เมษายน ร.ศ.108 (พ.ศ.2432) เป็นตน้ มา 5) คริสต์ศักราช ค.ศ. เป็นศกั ราชที่ใชเ้ หตุการณ์สาํ คญั ทางคริสตศ์ าสนาเป็นจุดเริ่มตน้ เริ่มนบั ต้งั แต่ปี ที่พระเยซูประสูติเป็นปี ค.ศ. 1 สาํ หรับช่วงเวลาก่อนพระเยซูประสูติใหเ้ รียกเป็นก่อน คริสตศ์ กั ราช (ก่อน ค.ศ. หรือ B.C = Before Christ) 1.3 การเทยี บศักราช ศกั ราชแบบตา่ งๆดงั ที่กล่าวมาขา้ งตน้ สามาราถนาํ มาเปรียบเทียบใหเ้ ป็น ศกั ราชแบบเดียวกนั โดยสามารถดูจากตาราง ดงั ตอ่ ไปน้ี หลกั เกณฑ์การเทยี บศักราช ม.ศ.+621=พ.ศ พ.ศ.-621=ม.ศ. จ.ศ.+1181=พ.ศ. พ.ศ.-1181=จ.ศ. ร.ศ.+2325=พ.ศ. พ.ศ.-2325=ร.ศ. 1.4 ทศวรรษ ศตวรรษ สหสั วรรษ 1) ทศวรรษ คือ ช่วงเวลาในรอบ 10 ปี เร่ิมนบั ที่ 0 จบดว้ ย 9 ซ่ึงร่วมระยะเวลา 10 ปี จะนิยมบอกศกั ราชเป็ น คริสตศ์ กั ราช ตวั อยา่ ง ทศวรรษท่ี 60 นบั ต้งั แต่ ช่วงระหวา่ ง คริสตศ์ กั ราช 1960 ‟ 1969 2) ศตวรรษ คือ ช่วงเวลาในรอบ 100 ปี เร่ิมนบั ท่ี 1 จบดว้ ย 100 ซ่ึงร่วมระยะเวลา 100 ปี จะบอกศกั ราชไดท้ ้งั พทุ ธศกั ราช และ คริสตศ์ กั ราช ตวั อยา่ ง พทุ ธศตวรรษท่ี 21 นบั ต้งั แต่ ช่วงเวลา พุทธศกั ราช 2001‟2100 คริสตศ์ ตวรรษที่ 21 นบั ต้งั แตช่ ่วงเวลา คริสตศ์ กั ราช 2001 ‟ 2100 3) สหสั วรรษ คือ ช่วงเวลาในรอบ 1000 ปี เร่ิมนบั ท่ี 1 จบดว้ ย 1000 ซ่ึงร่วมระยะเวลา 1000 ปี สหสั วรรษเพิ่งเริ่มใชเ้ มื่อตอนเปล่ียนสหสั วรรษท่ี 2 เป็นสหสั วรรษที่ 3 เพ่งิ เริ่มใชเ้ ม่ือ พุทธศกั ราช 2543และ คริสตศ์ กั ราช 2000 จะบอกศกั ราชไดท้ ้งั พุทธศกั ราช และ คริสตศ์ กั ราช ตวั อยา่ งที่ สหสั วรรษท่ี 2 นบั ต้งั แต่ ช่วงเวลา พทุ ธศกั ราช 1001 - 2000 สหสั วรรษท่ี 2 นบั ต้งั แต่ ช่วงเวลา คริสตศ์ กั ราช 1001 - 2000
10 การแบ่งยุคสมยั ทางประวตั ศิ าสตร์ แบ่งยุคสมยั ทางประวตั ิศาสตร์ เป็ นการแบ่งช่วงเวลาโดยกาํ หนดให้เชื่องโยงกบั เหตุการณ์ ประวตั ิศาสตร์ ซ่ึงแบ่งตามลกั ษณะของนกั ประวตั ิศาสตร์และนกั โบราณคดีที่ได้แบ่งยุคสมยั ทาง ประวตั ิศาสตร์ตามลักษณะหลักฐานออกเป็ น 2 สมัยคือ สมัยก่อนประวตั ิศาสตร์และสมัย ประวตั ิศาสตร์ สมัยก่อนประวตั ิศาสตร์ สมยั ก่อนประวตั ิศาสตร์ คือ สมยั ที่ยงั ไม่มีลายลกั ษณ์อกั ษรเพ่ือใช้ในการส่ือสาร ดงั น้นั การศึกษาเร่ืองราวของมนุษย์ยุคน้ันจึงต้องศึกษาจากเครื่องมือเครื่องใช้ เช่น เคร่ืองมือหิน เคร่ืองป้ันดินเผา รวมท้งั สภาพแวดลอ้ ม เช่น ถ้าํ เพิงผา ท่ีอยูอ่ าศยั และร่องรอยต่างๆ ท่ีมนุษยย์ ุคน้นั ทิ้งไว้ เช่น ภาพเขียนตามผนังถ้ําและเพิงผาโครงกระดูก เมล็ดพืช และซากสัตว์สมัยก่อน ประวตั ิศาสตร์สามารถแบง่ ออกไดด้ งั น้ี 1. ยคุ หนิ คือ ยคุ ที่มนุษยร์ ู้จกั นาํ หินมาทาํ เป็ นเคร่ืองมือเครื่องใช้ ซ่ึงแบง่ ตามลกั ษณะของ เครื่องมือหินออกไดอ้ ีก 3 ยคุ ไดแ้ ก่ ยคุ หินเก่า ยคุ หินกลางและยคุ หินใหม่ 2. ยคุ โลหะ คือ ยคุ ที่มนุษยร์ ู้จกั นาํ โลหะมาทาํ เป็นเคร่ืองมือเครื่องใช้ ซ่ึงสามารถแบ่งออก ไดเ้ ป็น 2 ยคุ ไดแ้ ก่ ยคุ สาํ ริดและยคุ หินเหลก็
11 สมัยประวตั ศิ าสตร์ สมยั ประวตั ิศาสตร์ คือ สมยั ท่ีมีการใชล้ ายลกั ษณ์อกั ษรในการสื่อสาร ปัจจุบนั การแบ่งช่วง สมยั ประวตั ิศาสตร์ไทย มีหลายแนวคิดแบ่งตามการแบ่งช่วงสมยั ประวตั ิศาสตร์เอเชียตะวนั ออก เฉียงใต้ คือ พ.ศ. 800 ดงั น้นั การแบ่งช่วงสมยั ประวตั ิศาสตร์ไทยจึงถือวา่ ต้งั แต่ประมาณพ.ศ. 800 ลงมา เป็นสมยั ประวตั ิศาสตร์ การเบ่งยุคสมยั ทางประวตั ิศาสตร์ไทย แบ่งตามระยะเวลาของเมืองหลวง ดงั น้ี 1. สมัยก่อนสุโขทัย เร่ิมตน้ เมื่อประมาณ พ.ศ. 800 เนื่องจากประมาณเวลาช่วงดงั กล่าวมี บนั ทึกของพ่อคา้ นกั เดินทางสํารวจชาวโรมนั หรืออียิปตโ์ บราณ กล่าวถึง ดินแดนแหลมทอง หรือ สุวรรณภูมิโดยเรียกวา่ ไครเช (Chryse) หรือ โกลเดนเคอร์ซอนเนส (Golden Khersones ) ซ่ึงแปลวา่ แหลมทอง ดงั น้นั จึงถือวา่ ประวตั ิศาสตร์ไทยเริ่มตน้ ประมาณ พ.ศ. 800 ตน้ มา
12 1. สมัยสุโขทยั ดินแดนประเทศไทยในปัจจุบนั ปรากฏช่ือมาเน่ินนานจากคาํ เรียกขานของชาว อินเดียและ ชาวตะวนั ตก วา่ สุวรรณภูมิ ดินแดนแห่งทองและความมงั่ คง่ั สาํ หรับคนไทยทวั่ ไปแลว้ เมื่อต้งั คาํ ถามวา่ ใครอยทู่ ่ีสุวรรณภูมิมาก่อน และคนไทยมา จากไหนจึงมาต้งั รกรากอยทู่ ่ีสุวรรณภูมิน้ีได้ เรามกั นึกถึงผคู้ นที่สร้างบา้ นแปลง เมืองข้ึนมาในยคุ สุโขทยั เป็นอนั ดบั แรก และเรากม็ กั ลืมนึกถึง ผคู้ นที่อพยพลงมา จากทางเทือกเขาอนั ไต ผา่ นทะเลทรายโกบีอนั ร้อนแรงและเหน็บหนาวอยา่ ง ท่ีสุดในฤดูหนาว ผา่ นลงมาถึงน่านเจา้ หยดุ พกั สร้างอาณาจกั รข้ึนท่ีนน่ั แต่กต็ อ้ ง ถูกตีจนถอยร่นลง มาต้งั อาณาจกั รสุโขทยั ข้ึนและเรากอ็ าจนึกถึงบทเพลงปลุกใจ ท่ีเคยร้องกนั วา่ ...เราถอยไปไม่ได้อีก แล้ว ผืนดินสิ้นแนวทะเลกว้างใหญ่... แต่ปัจจุบนั ความคิดดงั กล่าวน้ี กาํ ลงั ถูกส่ันคลอนอยา่ งหนกั จากวงวชิ าการวา่ คน ไทยมิไดอ้ พยพมาจากเทือกกเขาอนั ไต และราชธานีสุโขทยั กม็ ิไดเ้ ป็น อาณาจกั ร อิสระแห่งแรกของคนไทย เพราะก่อนหนา้ ท่ีสุโขทยั จะเกิดข้ึนน้นั มีอาณาจกั รอ่ืน ต้งั เป็น แวน่ แควน้ ข้ึนมาก่อนแลว้ ความพยายามท่ีจะคน้ ควา้ คาํ ตอบวา่ คนไทยมาจากไหน ทาํ ใหช้ ่วง 2-3 ทศวรรษที่ผา่ นมามี การตื่นตวั ถกเถียงและเสนอความคิดเกี่ยว กบั ถ่ินกาํ เนิดของคนไทยอยา่ งกวา้ งขวาง กลุ่มหน่ึงเชื่อวา่ ไทยมีตน้ กาํ เนิดอยู่ บริเวณมณฑลเสฉวน แลว้ ค่อยๆอพยพลงสู่ยนู านและแหลมอินโดจีนเพราะถูก รุกรานความเช่ือน้ีสอดคลอ้ งกบั กลุ่มที่เชื่อวา่ คนไทยอพยพลงมาจากเทือกเขาอลั ไตทาํ ใหเ้ กิด เส้นทางอพยพอลั ไต-เสฉวน-น่านเจา้ และสุโขทยั ข้ึน อีกกลุ่มหน่ึงเชื่อวา่ คนไทยมีถิ่นกาํ เนิดกระจายอยทู่ ว่ั ไปในบริเวณทางตอนใตข้ องจีน และ ทางตอนเหนือของเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ รวมถึงบริเวณรัฐอสั สัมของอินเดีย ขณะท่ีอีกกลุ่มหน่ึง เช่ือวา่ ถิ่นเดิมของคนไทยอยบู่ ริเวณเน้ือท่ีประเทศไทยปัจจุบนั กลุ่มสุดทา้ ยเชื่อวา่ ถิ่นกาํ เนิดของคน ไทยอาจจะอยใู่ นคาบสมุทรมาลายู เนื่องจาก พบวา่ ความถี่ของยนี และหมู่เลือดของคนไทยคลา้ ยคลึง กบั ชาวชวามากกวา่ จีน ถึงวนั น้ีทฤษฎีอลั ไต-เสฉวน-น่านเจา้ จะดูน่าเช่ือถือ นอ้ ยที่สุด เพราะเหตุที่วา่ เทือกเขาอลั ไตอยใู่ นเขตหนาวจดั ไม่ เหมาะแก่การอยอู่ าศยั ทะเลทรายโกบีกร็ ้อนและ หนาวจดั เกิน
13 กวา่ จะอพยพผา่ นเส้นทางทุรกนั ดารลงมาได้ รวมท้งั หลกั ฐานหลาย อยา่ งที่ช้ีวา่ อาณาจกั รน่านเจา้ มิไดเ้ ป็นหลกั ฐานเดิมของกลุ่มคนท่ีพูดภาษาตระกลู ไท ขณะท่ีทฤษฎีอลั ไตเป็นไปไดน้ อ้ ยที่สุดแนวคิดที่วา่ คนไทยอยทู่ ี่น่ีรวมท้งั กระจายตวั อยู่ เป็นวง กวา้ งในเอเชียตะวนั ออกเฉียงใตก้ ลบั มีความเป็นไปไดม้ ากท่ีสุด หลกั ฐาน สาํ คญั ที่สนบั สนุนทฤษฎี น้ีกค็ ือการคน้ พบแหล่งโบราณคดีท่ีบา้ นเชียงจงั หวดั อุดรธานีใน ปี พ.ศ. 2510 โดยขดุ คน้ หลายช้นั ดิน พบโครงกระดูกมนุษยโ์ บราณปนอยกู่ บั โลหะสาํ ริดในช้นั ดิน แรกประมาณว่ามีอายุเก่าแก่ถึง 6000 ปี ช้ันดินถัดมาพบโครงกระดูกมนุษย์ฝังปนกบั เครื่องป้ันดินเผาลูกปัด ประมาณวา่ มีอายุระหวา่ ง 2000-4000 ปี และในช้นั ดินส่วนบนสุดก็ยงั พบ โบราณวตั ถุมีลูกปัดหินลูกปัดแกว้ สี รวมท้งั เสมาหิน สมยั ทวารวดีและลพบุรีปะปนอยดู่ ว้ ยหลกั ฐาน ต่างๆที่ขดุ พบน้ีแสดงให้เห็นวา่ ภาคอีสาน ของไทยมีมนุษยอ์ ยูเ่ ป็ นเวลานานมาแลว้ และยงั อยูอ่ าศยั หลายยคุ อยา่ งต่อเนื่องอีกดว้ ย แตเ่ รากม็ ิอาจสรุปไดว้ า่ กลุ่มคนท่ีใชว้ ฒั นธรรม บา้ นเชียงเหล่าน้ีคือคน ไทย \"พวกเขา\" อาจเป็ นคนกลุ่มเดียวกนั ที่พฒั นาต่อเนื่องกนั มา หรืออาจเป็ นคนต่างกลุ่มท่ีเขา้ มาอยู่ อาศยั ในเวลาที่ต่างกนั ก็ได้ อีกท้งั คนกลุ่มน้ีจะเก่ียวขอ้ งกบั คนไทยในปัจจุบนั หรือไม่? ก็ยงั ไม่มีใคร หาขอ้ สรุปได้ หากในช่วง 2-3 ทศวรรษท่ีผ่านมาความต่ืนตวั ที่จะคน้ หาคาํ ตอบวา่ คนไทยมาจาก ไหนกนั แน่ ทาํ ให้นักวิชาการออกเดินทางไปในที่ต่างๆ และได้คน้ พบหลกั ฐานขอ้ มูล ใหม่ๆ มากมาย ที่ลว้ นแต่สนบั สนุนทฤษฎีคนไทยอยู่ที่น่ีและกระจายตวั อยู่ในแถบอุษาอาคเนย์ น้ีเองมิได้ อ พ ย พ ม า จ า ก ดิ น แ ด น อั น ไ ก ล โ พ้ น ที่ ใ ด เ ล ย ราวปี พ.ศ. 800-1400 ความเจริญรุ่งเรืองของชุมชนต่างๆและการติดต่อคา้ ขายระหวา่ งกนั ไดท้ าํ ใหเ้ กิดแวน่ แควน้ ต่างข้ึนตามเส้นทางคมนาคมท่ีสาํ คญั หลายร้อยปี ก่อนท่ีอาณาจกั รสุโขทยั จะ เกิดข้ึนดินแดนประเทศไทยในปัจจุบนั ประกอบ ไปดว้ ยแวน่ แควน้ ใหญ่นอ้ ยจาํ นวนหน่ึง ทางใตม้ ี แควน้ ศรีวชิ ยั ซ่ึงเกิดข้ึนก่อนปี พ.ศ. 1500 มีบทบาทสําคญั ในฐานะเส้นทาง การคา้ ทางทะเลระหวา่ ง จีนกบั อินเดีย แต่ในทุกวนั น้ีกย็ งั ไมม่ ีขอ้ สรุปวา่ ศูนยก์ ลางของ อาณาจกั รศรีวิชยั ต้งั อยูท่ ่ีใดแน่หลงั ศรี วิชยั เสื่อมลง ตามพรลิงค์ซ่ึงอยู่บริเวณนครศรีธรรมราชได้ก้าวเข้ามามีบทบาท ควบคุมเส้นทาง การคา้ แทน ตามพรลิงค์รุ่งเรืองอยูใ่ นช่วง พ.ศ.1500-1800 เฟ่ื องฟู ท้งั ทางการคา้ และวฒั นธรรม ประเพณี จนสมยั พ่อขนุ รามคาํ แหงถึงกบั อาราธนาพระสงฆ์ จากที่นี่ข้ึนไปต้งั สังฆมณฑลท่ีสุโขทยั เหนือ ต้งั แตร่ าว พ.ศ.1000 เป็นตน้ มา มีการรวมตวั กนั เป็ นแควน้ หริภุญชยั โยนก- เชียงแสนและเงิน ยางเชียงแสนซ่ึงต่อมาได้พัฒนาข้ึนเป็ นล้านนารุ่ งเรื องร่ วมสมัยกับสุ โขทัยและอยุธยา ภาคกลางบริเวณลุ่มแม่น้าํ เจา้ พระยา-ท่าจีน มีแวน่ แควน้ ทวารวดีที่เติบโตข้ึนมาในช่วง พ.ศ. 1100-1500 มีศูนยก์ ลางอยู่ท่ีเมืองนครปฐมหรือนครชยั ศรีเมืองต่างๆท่ีเขา้ มารวม เป็ นแควน้ ไดแ้ ก่ เมืองอู่ทอง(สุพรรณบุรี) เมืองคูบวั (ราชบุรี) เมืองจนั เสน(นครสวรรค)์ เมืองฟ้าแดดสงยาง(กาฬสินธุ์) และเมืองศรีเทพ(เพชรบูรณ์) ทวารวดีสิ้นสุดการเป็ นรัฐ ลงด้วยเหตุผล 2 อย่างคือ การเปล่ียน ทางเดินของลําน้ําและอิทธิพลขอมท่ีแผ่ขยายเข้ามาต้ังเมืองละโว้ข้ึนเป็ นศูนย์กลางแทน
14 ละโวร้ ุ่งเรืองข้ึนมาหลงั ปี พ.ศ.1500 แทนท่ีรัฐเดิมของทวารวดีอยา่ งนครชยั ศรีและศรีเทพ โดยมีศูนยก์ ลางอยทู่ ่ีลุ่มแม่น้าํ ลพบุรีเม่ือขอมเส่ือมอาํ นาจลงในพุทธศตวรรษที่ 18 พร้อมกบั การเกิด ของสุโขทยั ละโวก้ ็ลดบทบาทลงไปดว้ ย แต่ก็มิไดเ้ ส่ือมสลายไปทีเดียว หากยงั คงรักษารูปแบบ ความเจริญทางด้านศิลปะวิทยาการไว้ และพฒั นาต่อเน่ืองข้ึนมา เป็ นกรุงศรีอยุธยาในภายหลงั ช่ือของเมืองที่แปลวา่ \"รุ่งอรุณแห่งความสุข\" และคาํ กล่าวที่รู้จกั กนั ดีวา่ เมืองสุโขทยั น้ีดี ในน้าํ มีปลาในนามีขา้ ว ทาํ ใหภ้ าพของสุโขทยั เป็ นดงั่ เมือง แห่งความฝัน นครแห่งความสุขและอดีต ที่มิอาจหวนคืน สุโขทยั ถือกาํ เนิดข้ึนอยา่ งเรียบง่ายจากการพฒั นาของหมู่บา้ นเล็กๆ ที่เติบโตข้ึนเป็นเมือง กระจายตวั อยตู่ ามแนวลุ่มน้าํ ยมและน่านคร้ันก่อน พ.ศ. 1700 การคมนาคมและการคา้ ต่างๆได้ ขยายตวั มากข้ึนเมืองที่อยู่ ตามลุ่มน้าํ ยมและน่านที่เป็นเส้นทางผา่ นการคา้ ระหวา่ งรัฐต่างๆกเ็ ร่ิมรวม ตวั กนั มากข้ึน สุโขทยั เริ่มมีฐานะเป็นแวน่ แควน้ ข้ึนมาเป็ นคร้ังแรกโดยมี พอ่ ขนุ ศรีนาวถมเป็น พอ่ เมือง และเป็นช่วงที่อิทธิพลขอมเริ่มเสื่อมลงดว้ ย ทาํ ใหส้ ุโขทยั เป็นปึ กแผน่ มากข้ึน หลงั จากน้นั ไม่นานกเ็ กิดเหตุวุน่ วายข้ึน โดยมีขอมพวกหน่ึงช่ือวา่ \"ขอมสบาดโขลงลาํ พง\" ไดเ้ ขา้ ยดึ เมืองและ เป็นไปไดว้ า่ พอ่ ขุนศรีนาวถมไดเ้ สียชีวติ ไปแลว้ ในช่วงน้ี พอ่ ขนุ ผาเมือง ซ่ึงครองเมืองราดอยูจ่ ึง ร่วมกบั พอ่ ขนุ บางกลางหาวรวมกาํ ลงั ไปชิง เมืองสุโขทยั คืนมาไดส้ าํ เร็จ พอ่ ขนุ ผาเมืองจึงยกเมืองให้ พอ่ ขนุ บาง กลางหาวพร้อมท้งั มอบนาม \"ศรีอินทราบดินทราทิตย\"์ ใหด้ ว้ ย อนั เป็ น ช่วง พ.ศ.1778 หลงั จากน้นั การขยายอาณาเขตของสุโขทยั กเ็ ร่ิมข้ึนถือเป็นช่วงเวลาของ การกวาดตอ้ นผคู้ น และรวมบา้ นรวมเมืองใหเ้ ขา้ มาเป็นส่วนหน่ึงของอาณาจกั ร หลงั จากพอ่ ขุนศรีอิทราทิตย์ สิ้นพระชนม์ พอ่ ขนุ บานเมืองซ่ึงเป็นพระราชโอรส ไดป้ กครองตอ่ แต่กน็ บั เป็ นช่วงสมยั ที่ส้นั มาก เพยี ง 44 ปี นบั ต้งั แต่พอ่ ขนุ ศรีอินทราทิตย์ ซ่ึงถือเป็นช่วงเวลาของการรวมแวน่ แควน้ ใหเ้ ป็นปึ กแผน่ กษตั ริยผ์ มู้ ีช่ือเสียงมากท่ีสุดของกรุงสุโขทยั คือโอรสองคท์ ี่ 2 ของพอ่ ขนุ ศรีอินทราทิตย์ พระองคม์ ีชื่อเสียงในฐานะผสู้ ร้างกรุงสุโขทยั ใหเ้ จริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด เป็นผคู้ ิดคน้ ประดิษฐ์ อกั ษรไทยและสร้างศิลาจารึกในยคุ น้ีขอบเขตของอาณาจกั รสุโขทยั ไดแ้ ผข่ ยายออกไปมากที่สุด โดยในเรื่องของระบบเศรษฐกิจน้นั ก็เป็นระบบแบบเปิ ดเสรี คือ ไมม่ ีการเก็บภาษีทาํ ให้สุโขทยั เติบโตข้ึนเป็นศูนยก์ ลางการคา้ ที่สาํ คญั และเป็นแหล่งรวมวฒั นธรรมอนั หลากหลายแห่งแวน่ แควน้ น้ี เม่ือสิ้นแผน่ ดินพ่อขนุ รามคาํ แหง กรุงสุโขทยั เริ่มออ่ นกาํ ลงั ลง พระมหาธรรมราชาที่ 1 หรือพระยาลิไทย ผปู้ กครองสุโขทยั อยใู่ นช่วงประมาณปี พ.ศ.1890-1913 จึงไดน้ าํ พระพทุ ธศาสนา เขา้ มาฟ้ื นฟูการปกครอง และทรงขยายอาํ นาจดว้ ยการทาํ สงครามพร้อมๆ กบั การเผยแพร่ศาสนา แตห่ ลงั จากสิ้นสมยั ของพระองคแ์ ลว้ อาณาจกั รสุโขทยั ก็เร่ิมอ่อน แอลงอยา่ งแทจ้ ริง พร้อมๆกบั ที่ แวน่ แควน้ อ่ืนเขม้ แขง็ ข้ึน ลา้ นนาขยายอาํ นาจลงมาจนถึง ลุ่มแม่น้าํ ยม-น่าน แควน้ ละโว-้ อยธุ ยา เขม้ แขง็ ข้ึนจากการรวมตวั กบั สุพรรณบุรีท่ีครอง อาํ นาจอยเู่ หนือลุ่มแม่น้าํ ทา่ จีน จนในที่สุดก็ก่อต้งั
15 กรุงศรีอยธุ ยาข้ึนไดส้ าํ เร็จในปี พ.ศ.1893 หลงั จากน้นั ไมน่ านอาณาจกั รสุโขทยั ก็ถูกผนวกเขา้ เป็น ส่วนหน่ึงของกรุงศรีอยธุ ยา 1. สมยั อยธุ ยา กรุงศรีอยธุ ยาก่อกาํ เนิดข้ึนเป็ น ราชธานีในปี พ.ศ.1893 แต่มีขอ้ ถกเถียงกนั มากวา่ การถือ กาํ เนิดของกรุง ศรีอยธุ ยาน้นั มิไดเ้ กิดข้ึนอยา่ งปัจจุบนั ทนั ด่วนเสียทีเดียว มีหลกั ฐานวา่ ก่อนที่พระ เจา้ อูท่ องจะสร้างเมืองข้ึนท่ีตาํ บลหนองโสน บริเวณน้ีเคยมีผคู้ นอาศยั มาก่อนแลว้ วดั สาํ คญั อยา่ งวดั มเหยงค์ วดั อโยธยา และวดั ใหญช่ ยั มงคล ลว้ นเป็นวดั เก่าท่ีมีมาก่อนสร้างกรุงศรี อยธุ ยาท้งั สิ้น โดยเฉพาะท่ีวดั พนญั เชิง วดั ท่ี ประดิษฐาน หลวงพอ่ โต พระ พทุ ธรูปปูนป้ัน ขนาดใหญ่แบบอูท่ อง พงศาวดารเก่าระบุวา่ สร้างข้ึนก่อน การสร้างพระนครศรีอยธุ ยาถึง 26 ปี วดั เหล่าน้ี ต้งั อยตู่ ามแนวฝั่งตะวนั ออกของแมน่ ้าํ ป่ าสัก นอก เกาะเมืองอยธุ ยาที่มีการขดุ พบ คูเมืองเก่า ทาํ ใหเ้ ช่ือกนั วา่ บริเวณน้ีน่า จะเป็นเมืองเก่าที่มีช่ืออยใู่ นศิลาจารึกกรุงสุโขทยั วา่ อโยธยา ศรีรามเทพ นครอโยธยาศรีรามเทพนคร ปรากฏช่ือเป็ นเมืองแฝดละโวอ้ โยธยา มาต้งั แต่ช่วงราวปี พ.ศ.1700 เป็นตน้ มา คร้ันก่อนปี พ.ศ.1900 พระเจา้ อู่ ทองซ่ึงครองเมืองอโยธยาอยกู่ ท็ รงอภิเษก สมรสกบั พระราชธิดาของ กษตั ริยท์ างฝ่ ายสุพรรณภูมิ ซ่ึงครองความเป็นใหญ่อยูอ่ ีกฟากหน่ึงของ แม่ น้าํ เจา้ พระยา อโยธยาและสุพรรณภูมิจึงรวมตวั กนั ข้ึน โดยอาศยั ความสัมพนั ธ์ทางเครือ ญาติ คร้ันเม่ือเกิดโรคระบาด พระเจา้ อูท่ องจึงอพยพผคู้ นจากเมืองอโยธยาเดิม ขา้ มแม่น้าํ ป่ าสัก มาต้งั เมืองใหม่ที่ตาํ บลหนองโสน หรือท่ีรู้จกั กนั วา่ บึงพระราม ในปัจจุบนั กรุงศรีอยธุ ยาจึงก่อเกิด เป็นราชธานีข้ึนใน ปี พ.ศ.1893 พระเจา้ อู่ทองเสด็จฯ เสวยราชยเ์ ป็นสมเด็จพระรามาธิบดี ที่ 1 ปฐม กษตั ริยแ์ ห่งกรุงศรีอยธุ ยา รัชสมยั ของพระองคน์ บั ไดว้ า่ เป็ นยคุ ของการก่อร่างสร้างเมือง
16 และวางรูปแบบการปกครองข้ึนมาใหม่ ออก เป็น 4 กรม ประกอบดว้ ย เวยี ง วงั คลงั และ นา หรือที่เรียกกนั วา่ จตุสดมภ์ สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 ครองราชยอ์ ยไู่ ดเ้ พียง 19 ปี กเ็ สดจ็ สวรรคต หลงั จากรัชสมยั ของ พระองค์ ผไู้ ดส้ ร้างราชธานีแห่งน้ีข้ึนจาก ความสัมพนั ธ์ของสองแวน่ แควน้ กรุงศรีอยธุ ยาได้ กลายเป็นเวทีแห่งการ แก่งแยง่ ชิงอาํ นาจระหวา่ งสองราชวงศค์ ือ ละโว-้ อโยธยา และราชวงศ์ สุพรรณภูมิ สมเดจ็ พระราเมศวร โอรสของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 ข้ึนครองราชยต์ ่อจากพระราชบิดา ไดไ้ ม่ทนั ไร ขนุ หลวงพะงวั่ จากราชวงศส์ ุพรรณภูมิ ผมู้ ีศกั ด์ิเป็นอากแ็ ยง่ ชิงอาํ นาจไดส้ าํ เร็จ ข้ึน ครองราชยเ์ ป็นสมเดจ็ พระบรมราชาธิราช เมื่อสิ้นรัชกาลของสมเดจ็ พระบรมราชาธิราช สมเด็จ พระราเมศวรก็กลบั มาชิงราชสมบตั ิกลบั คืน มีการแยง่ ชิงอาํ นาจผลดั กนั ข้ึนเป็นใหญร่ ะหวา่ งสองราชวงศน์ ้ีอยู่ ถึง 40 ปี จนสมเด็จพระ นครอินทร์ ซ่ึงเป็นใหญอ่ ยทู่ างสุพรรณภูมิและ สัมพนั ธ์แน่นแฟ้นอยกู่ บั สุโขทยั แยง่ ชิงอาํ นาจ กลบั คืนมาไดส้ าํ เร็จ พระองคส์ ามารถรวมท้งั สองฝ่ ายใหเ้ ป็ นอนั หน่ึงอนั เดียวกนั ไดอ้ ยา่ งแทจ้ ริง ในช่วงของการแก่งแยง่ อาํ นาจกนั เองน้นั กรุงศรีอยธุ ยาก็พยายามแผอ่ าํ นาจไปตีแดนเขมรอยู่ บอ่ ยคร้ัง จนกระทงั่ ปี พ.ศ.1974 หลงั สถาปนากรุงศรีอยธุ ยาไดแ้ ลว้ ราว 80 ปี สมเดจ็ เจา้ สาม พระองค์ พระโอรสของสมเด็จพระนครอินทร์ ก็ตีเขมรไดส้ าํ เร็จ เขมรสูญเสียอาํ นาจจน ตอ้ งยา้ ย เมืองหลวงจากเมืองพระนครไปอยเู่ มืองละแวกและพนมเปญในท่ีสุด ผลของชยั ชนะคร้ังน้ี ทาํ ใหม้ ี การกวาดตอ้ นเชลยศึกกลบั มา จาํ นวนมาก และทาํ ใหอ้ ิทธิพลของเขมรในอยธุ ยาเพม่ิ มากข้ึน ซ่ึงถือ เป็น เร่ืองปกติท่ีผชู้ นะมกั รับเอาวฒั นธรรมของผแู้ พม้ าใช้ กรุงศรีอยธุ ยาหลงั สถาปนามาไดก้ วา่ คร่ึงศตวรรษกเ็ ริ่มเป็ นศูนย์ กลางของราชอาณาจกั ร อยา่ งแทจ้ ริง มีอาณาเขตอนั กวา้ งขวางดว้ ยการ ผนวกเอาสุโขทยั และสุพรรณภูมิเขา้ ไว้ มีการติดตอ่ คา้ ขายกบั ตา่ งประเทศ โดยเฉพาะกบั จีนและวดั วาอารามต่าง ๆ ไดร้ ับการบูรณะข้ึนมาใหมจ่ น งดงาม หลงั รัชกาลสมเดจ็ เจา้ สามพระยา แลว้ กรุงศรีอยธุ ยาก็ เขา้ สู่ยคุ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ซ่ึงเป็นช่วง เวลาที่อาณา เขตไดแ้ ผข่ ยายออกไปอยา่ งกวา้ งขวาง มีการติดต่อคา้ ขาย กบั บา้ นเมืองภายนอก รวมท้งั มีการปฏิรูปการปกครองบา้ นเมือง ข้ึน พระองคท์ รงยกเลิกการปกครองที่กระจายอาํ นาจให้เมือง ลูก หลวงปกครองอยา่ งเป็ นอิสระ มาเป็นการรวบอาํ นาจไวท้ ่ี พระมหากษตั ริย์ แลว้ ทรงแบ่งเมืองต่าง ๆ รอบนอกออกเป็ น หวั เมืองช้นั ใน หวั เมืองช้นั นอก ซ่ึงเมืองเหล่าน้ีดูแลโดยขุน นางที่พระมหากษตั ริยท์ รงแต่งต้งั
17 นอกจากน้ีกย็ งั ไดท้ รงสร้างระบบศกั ดินาข้ึน อนั เป็นการให้ กรรมสิทธ์ิถือท่ีนาไดม้ ากนอ้ ย ตามยศ พระมหากษตั ริยม์ ีสิทธ์ิที่จะ เพ่มิ หรือ ลด ศกั ดินาแก่ใครกไ็ ด้ และหากใครทาํ ผดิ ก็ตอ้ งถูก ปรับไหมตาม ศกั ดินาน้นั ในเวลาน้นั เอง กรุงศรีอยธุ ยาท่ีเจริญมาไดถ้ ึงร้อยปี ก็กลายเป็น เมืองท่ี งดงามและมีระเบียบแบบแผน วดั ตา่ ง ๆ ที่ไดก้ ่อสร้างข้ึนอยา่ ง วจิ ิตรบรรจงเกิดข้ึนนบั ร้อย พระราชวงั ใหมไ่ ดก้ ่อสร้างข้ึนอยา่ งใหญ่โตกวา้ งขวาง ส่วนที่เป็นพระราชวงั ไมเ้ ดิมไดก้ ลายเป็นวดั พระศรีสรรเพชญ์ วดั คู่เมืองท่ีสาํ คญั รูปภาพ วดั พระศรีสรรเพชญ์ กรุงศรีอยธุ ยากาํ ลงั จะเติบโตเป็นนครแห่งพอ่ คา้ วาณิชอนั รุ่งเรือง เพราะเส้นทางคมนาคม อนั สะดวก ที่เรือสินคา้ นอ้ ยใหญจ่ ะเขา้ มาจอด เทียบทา่ ได้ แต่พร้อม ๆ กบั ความรุ่งเรืองและความ เปล่ียนแปลง สงครามก็ เกิดข้ึน ช่วงเวลาน้นั ลา้ นนา ท่ีมีพระมหากษตั ริยค์ ือราชวงศเ์ มง็ ราย ครอง สืบตอ่ กนั มา กาํ ลงั เจริญรุ่งเรืองข้ึนมาเป็ นคู่แข่งสาํ คญั ของกรุงศรี อยธุ ยา พระเจา้ ติโลกราชซ่ึงได้ ขยายอาณาเขตลงมาจนไดเ้ มืองแพร่และ น่านก็ทรงดาํ ริท่ีจะขยายอาณาเขตลงมาอีก เวลาน้นั เจา้ นาย ทางแควน้ สุโขทยั ที่ถูกลดอาํ นาจดว้ ยการปฏิรูปการปกครองของสมเดจ็ พระบรมไตร โลกนาถเกิด ความไม่พอใจอยธุ ยา จึงไดช้ กั นาํ ใหพ้ ระเจา้ ติโลกราชยกทพั มายดึ เมืองศรีสชั นาลยั ซ่ึงอยใู่ นอาํ นาจ ของกรุงศรีอยธุ ยา สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถตอ้ งเสด็จกลบั ไปประทบั อยูท่ ี่เมืองสระหลวงพรือพษิ ณุโลก เพ่อื ทาํ สงครามกบั เชียงใหมว่ งครามยดื เย้อื ยาว นานอยถู่ ึง 7 ปี ในท่ีสุดอยธุ ยาก็ยดึ เมืองศรีสัชนาลยั กลบั คืนมาได้ ตลอดรัชกาลอนั ยาวนานของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ และ สมเดจ็ พระรามาธิบดี ท่ี 2 กรุงศรีอยธุ ยาไดเ้ จริญอยา่ งต่อเน่ืองอยนู่ านถึง 81 ปี การคา้ กบั ต่างประเทศกเ็ จริญกา้ วหนา้ ไป อยา่ งกวา้ งขวาง วฒั นธรรมก็เฟ่ื องฟูท้งั ทางศาสนาและประเพณีต่าง ๆ แต่หลงั รัชกาลสมเด็จพระ รามาธิบดีท่ี 2การแยง่ ชิงอาํ นาจภายใน ก็ทาํ ใหก้ รุงศรีอยธุ ยาอ่อนแอลง ขณะเดียวกนั ท่ีพม่ากลบั เขม้ แขง็ ข้ึน ความเปลี่ยนแปลงท้งั ภายในและภายนอกราชอาณาจกั รไดท้ าํ ใหเ้ กิด สงครามคร้ังใหญ่ อยา่ งหลีกเล่ียงไมไ่ ด้
18 ประวตั ิศาสตร์หนา้ ใหม่ อนั อาจจะเรียก ไดว้ า่ ยคุ แห่งความคบั เขญ็ ยงุ่ เหยงิ น้ี เริ่มตน้ ดว้ ยการ มาถึงของชาวตะวนั ตกพร้อม ๆ กบั การรุกรานจากพมา่ เม่ือวาสโก ตากามา ชาวโปรตุเกสเดินเรือ ผา่ นแหลมกดู โฮปได้ สาํ เร็จในราว พ.ศ.2000 กองเรือของโปรตุเกสก็ทยอยกนั มายงั ดินแดนฝั่ง ทวปี เอเชีย ในปี พ.ศ.2054 อลั ฟองโซ เดออลั บูเควกิ ชาวโปรตุเกสก็ยดึ มะละกาไดส้ าํ เร็จ ส่งคณะ ฑูตของเขามายงั สยาม คือ ดูอารตเ์ ฟอร์นนั เดซ ซ่ึงถือเป็นชาวตะวนั ตกคนแรกท่ีมาถึงแผน่ ดินสยาม ชาวโปรตุเกสมาพร้อมกบั วทิ ยาการสมยั ใหม่ ความรู้เกี่ยวกบั การ สร้างป้อมปราการ อาวธุ ปื น ทาํ ให้ สมยั ต่อมาพระเจา้ ไชยราชาธิราชกย็ ก ทพั ไปตีลา้ นนาไดส้ าํ เร็จ กรุงศรีอยธุ ยาเป็นใหญ่ข้ึน ในขณะท่ี พมา่ เองในยคุ ของ พระเจา้ ตะเบง็ ชะเวต้ี ก็กาํ ลงั แผอ่ ิทธิพลลงมาจนยดึ เมืองมอญท่ีหงสาวดีได้ สาํ เร็จ อยธุ ยากบั พม่ากเ็ กิดการเผชิญหนา้ กนั ข้ึน เมื่อพวกมอญจากเชียง กรานที่ไมย่ อมอยใู่ ตอ้ าํ นาจ พม่าหนีมาพ่ึงฝ่ังไทย พระเจา้ ไชยราชาธิราช ยกกองทพั ไปขบั ไล่พมา่ ยดึ เมืองเชียงกรานคืนมาได้ สาํ เร็จ ความขดั แยง้ ระหวา่ งไทยกบั พม่ากเ็ ปิ ดฉากข้ึน หลงั พระเจา้ ไชยราชาธิราชเสดจ็ สวรรคตเพราะถูกปลงพระชนม์ แผน่ ดินอยธุ ยาก็ออ่ นแอ ลงดว้ ยการแยง่ ชิงอาํ นาจ พระยอดฟ้าซ่ึงมีพระ ชนมเ์ พยี ง 11 พรรษาข้ึนครองราชยไ์ ดไ้ ม่ทนั ไรกถ็ ูก ปลงพระชนมอ์ ีก ในที่ สุดก็ถึงแผน่ ดินสมเด็จพระมหาจกั รพรรดิ พมา่ สบโอกาสยกทพั ผา่ นด่าน เจดีย์ 3 องค์ เขา้ มาปิ ดลอ้ มกรุงศรี อยธุ ยา สมเดจ็ พระมหาจกั รพรรดินาํ กองทพั ออกรับสู้ ในช่วงน้ีเอง ที่หนา้ ประวตั ิศาสตร์ไดบ้ นั ทึกวรี กรรมของวีรสตรีพระองคห์ น่ึง คือ สมเดจ็ พระศรี สุริโยทยั ที่ ปลอมพระองคอ์ อกรบดว้ ย และไดไ้ สชา้ งเขา้ ขวางสมเด็จพระ มหาจกั รพรรดิท่ีกาํ ลงั เพลี่ยงพล้าํ จนถูกฟันสิ้นพระชนมข์ าดคอชา้ ง ทุกวนั น้ีอนุสาวรียเ์ ชิดชูวรี กรรมของพระองคย์ งั คงต้งั เด่นเป็น สง่า อยใู่ จกลาง เมืองพระนครศรีอยธุ ยา คร้ังน้นั เมื่อพมา่ ยดึ พระนครไม่สาํ เร็จ เพราะไมช่ าํ นาญภูมิ ประเทศ กองทพั พระเจา้ ตะเบง็ ชะเวต้ีตอ้ งยกทพั กลบั ไปในท่ีสุด ฝ่ ายไทยก็ตระเตรียมการป้องกนั พระนครเพื่อต้งั รับการรุกราน ของพมา่ ท่ีจะมีมาอีก การเตรียมกาํ ลงั ผคู้ น การคลอ้ งชา้ งเพอื่ จดั หาชา้ งไว้ เป็นพาหนะสาํ คญั ในการ ทาํ ศึกคร้ังน้ี ทาํ ใหม้ ีการพบชา้ งเผอื กถึง 7 เชือก อนั เป็นบุญบารมีสูงสุดของพระมหากษตั ริย์ แต่นนั่ กลบั นาํ มาซ่ึงสงคราม ยดื เย้อื ยาวนานอยนู่ บั สิบปี
19 พระเจา้ บุเรงนอง ผนู้ าํ พมา่ คนใหม่อา้ งเหตุการณ์ตอ้ งการชา้ งเผอื กท่ีสมเด็จพระมหา จกั รพรรดิมีอยถู่ ึง 7 เชือก ยกทพั มาทาํ สงครามกบั กรุงศรีอยธุ ยาอีกคร้ัง แลว้ ไทยกเ็ สียกรุงแก่พมา่ เป็นคร้ังแรกใน พ.ศ.2112 ชา้ งเผอื กอนั เป็ นสาเหตุของสงครามกถ็ ูกกวาดตอ้ นไปพร้อมกบั ผคู้ น จาํ นวนมาก พระ นเรศวรและพระเอกาทศรถ พระโอรสของพระมหาธรรมราชาท่ีพมา่ ต้งั ให้ เป็น กษตั ริยป์ กครองอยธุ ยาต่อไปในฐานะเมืองประเทศราชกท็ รงถูกบงั คบั ใหต้ อ้ งไปดว้ ย กรุงศรีอยธุ ยาเป็นเมืองข้ึนของพมา่ ในคร้ังน้ีอยถู่ ึง 15 ปี พระ นเรศวรกป็ ระกาศอิสรภาพ เมื่อสมเด็จพระนเรศวรประกาศอิสรภาพแลว้ กองทพั พมา่ นาํ โดย พระมหาอุปราชก็คุมทพั ลงมา ปราบ สมเด็จพระนเรศวรยกทพั ไปต้งั ท่ี ตาํ บลหนองสาหร่าย จงั หวดั สุพรรณบุรี แลว้ การรบคร้ัง ยง่ิ ใหญ่กอ็ ุบตั ิข้ึน สมเดจ็ พระนเรศวรทรงทาํ ยทุ ธหตั ถีจนไดช้ ยั ชนะ พระมหาอุปราชถูกฟัน สิ้นพระชนมข์ าดคอชา้ ง เป็นผลใหก้ องทพั พมา่ ตอ้ งแตกพา่ ยกลบั ไป ยคุ สมยั ของสมเด็จพระนเรศวร กรุงศรีอยธุ ยาเป็นปึ กแผน่ มนั่ คง ศตั รูทางพมา่ ออ่ นแอลง ขณะเดียวกนั เขมรกถ็ ูกปราบปรามจนสงบ ความ มน่ั คงทางเศรษฐกิจจึงเกิดข้ึนตามมา อนั ส่งผลให้ กรุงศรีอยธุ ยากลายเป็น อาณาจกั รที่รุ่งเรืองถึงขีดสุด ตามคาํ กล่าวของชาวยโุ รปที่หลง่ั ไหลเขา้ มา ติดต่อคา้ ขายในช่วงเวลาดงั กล่าว ต้งั แต่สมยั พระนเรศวรเป็ นตน้ มา กรุงศรี อยธุ ยาก็กลายเป็นศูนยก์ ลางการคา้ ท้งั ในและนอก ประเทศ มีผคู้ นเดินทาง เขา้ มาติดต่อคา้ ขายเป็นจาํ นวนมากตา่ งก็ช่ืนชมเมืองท่ีโอบลอ้ มไปดว้ ยแมน่ ้าํ ลาํ คลอง ผคู้ นสญั จรไปมาโดยใชเ้ รือเป็ นพาหนะ จึงพากนั เรียกพระ นครแห่งน้ีวา่ เวนิสตะวนั ออก หลงั จากโปรตุเกสเขา้ มาติดต่อคา้ ขายเป็นชาติแรกแลว้ ฮอลนั ดา ญี่ป่ ุนและองั กฤษก็ตามเขา้ มา ท้งั น้ีไมน่ บั จีนซ่ึงคา้ ขายกบั กรุงศรีอยธุ ยา อยกู่ ่อนแลว้ ชนชาติต่าง ๆ เหล่าน้ีไดร้ ับการจดั สรร ท่ีดินใหอ้ ยเู่ ป็ นยา่ น เฉพาะ ดงั ปรากฏชื่อบา้ นโปรตุเกส บา้ นญี่ป่ ุนและบา้ นฮอลนั ดามาจน ปัจจุบนั บนั ทึกของชาวฝร่ังเศสคนหน่ึงซ่ึงบาทหลวงปาลเลอกวั ซ์ไดค้ ดั ลอกมาเล่าถึง พระนครศรีอยธุ ยาในสมยั น้นั ไวว้ า่ เป็นพระนครท่ีมีผคู้ นต่างชาติตา่ งภาษารวมกนั อยดู่ ูเหมือนเป็น ศูนยก์ ลางการคา้ ขายในโลก ไดย้ นิ ผคู้ นพูดภาษาต่าง ๆ ทุกภาษาในบรรดาชาวต่างชาติท่ีมาคา้ ขายกบั อยธุ ยาในยคุ แรกน้นั ญี่ป่ ุน กลบั เป็นชาติท่ีมีอิทธิพลมากที่สุด ยามาดะ นางามาซะ ชาวญี่ป่ ุนไดร้ ับ
20 ความไวว้ างใจถึงข้นั ไดด้ าํ รงตาํ แหน่งขุนนางในราชสาํ นกั ของพระเอกาทศรถ มียศเรียกวา่ ออกญา เสนาภิมุข ต่อมาไดก้ ่อความยุง่ ยากข้ึนจนหมดอิทธิพลไปในท่ีสุด แมจ้ ะมีชนชาติต่าง ๆ เขา้ มาคา้ ขาย ดว้ ยมากมาย แตก่ รุงศรีอยธุ ยากด็ ูเหมือนจะผกู พนั การคา้ กบั จีนไวอ้ ยา่ งเหนียวแน่น จีนเองกส็ ่งเสริม ใหอ้ ยธุ ยาผลิตเคร่ืองป้ันดินเผาโดยเฉพาะเครื่องสงั คโลกเพอ่ื ส่งออกไปยงั ตะวนั ออกกลางและ หมู่เกาะในแถบเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ การคา้ ขายต่างๆ เหล่าน้ีทาํ ใหก้ รุงศรีอยธุ ยามีการเกบ็ ภาษี ที่เรียกวา่ ขนอน มีด่านขนอนซ่ึงเป็นด่านเกบ็ ภาษีอยตู่ ามลาํ น้าํ ใหญ่ท้งั 4 ทิศ และยงั มีขนอนบกคอย เก็บภาษีที่มาทางบกอีกต่างหาก นอกเหนือจากความเป็นเมืองทา่ แลว้ อยธุ ยายงั เป็นชุมทางการ คา้ ภายในอีกดว้ ย ตลาดกวา่ 60 แห่งในพระนคร มีท้งั ตลาดน้าํ ตลาดบก และยงั มียา่ นต่าง ๆ ท่ีผลิต สินคา้ ดว้ ยความชาํ นาญเฉพาะดา้ น มียา่ นท่ี ผลิตน้าํ มนั งา ยา่ นทาํ มีด ยา่ นป้ันหมอ้ ยา่ นทาํ แป้งหอม ธูปกระแจะ ฯลฯ คูคลองตา่ ง ๆ ในอยธุ ยาไดส้ ร้างสงั คมชาวน้าํ ข้ึนพร้อมไปกบั วถิ ี ชีวติ แบบเกษตรกรรม เม่ือถึงหนา้ น้าํ กม็ ีการเล่นเพลงเรือเป็นท่ีสนุกสนาน เม่ือเสร็จหนา้ นากม็ ีการทอดกฐิน ลอยกระทง งานรื่นเริงต่าง ๆ ของชาว บา้ นมกั ทาํ ควบคู่ไปกบั พธิ ีการของชาววงั เช่น พระราชพธิ ีจองเปรียญตาม พระประทีป ซ่ึงต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นลอยกระทงทรงประทีป พระราชพิธี สงกรานต์ พระราชพิธีแรก นาขวญั พิธีกรรมเหล่าน้ีสะทอ้ นวถิ ีชีวติ ของชาว อยธุ ยาท่ีผกู พนั อยกู่ บั ธรรมชาติแม่น้าํ ลาํ คลองอยา่ ง เหนียวแน่น อยธุ ยาเจริญข้ึนมาโดยตลอด การคา้ สร้างความมงั่ คง่ั ใหพ้ ระคลงั ท่ีมีสิทธ์ิซ้ือสินคา้ จากเรือ สินคา้ ต่างประเทศทุกลาํ ไดก้ ่อนโดยไม่เสียภาษี ความมง่ั คง่ั ของราชสาํ นกั นาํ ไปสู่การสร้างวดั วา อารามต่าง ๆ การทาํ นุ บาํ รุงศาสนาและการก่อสร้างพระราชวงั ใหใ้ หญ่โตสง่างามในสายตาของชาว ตา่ งประเทศแลว้ กรุงศรีอยธุ ยาเป็นมหานคร อนั ยงิ่ ใหญ่ ท่ีมีพระราชวงั เป็ นศูนยก์ ลาง โยสเซาเตน็ พอ่ คา้ ชาวฮอลนั ดาท่ี เขา้ มายงั กรุงศรีอยธุ ยาในสมยั สมเดจ็ พระเจา้ ปราสาททองไดบ้ นั ทึกไวว้ า่ กรุงศรีอยธุ ยาเป็นนครที่ใหญ่โตโอ่อา่ วจิ ิตรพิสดาร และพระมหากษตั ริย์ สยามเป็นบุคคลท่ีร่าํ รวย ที่สุดในภาคตะวนั ออกน้ี พระนครแห่งน้ี ภายนอกอาจดูสงบงดงามและร่มเยน็ จากสายตา ของคนภายนอก แต่แทจ้ ริง แลว้ บลั ลงั กแ์ ห่งอาํ นาจภายในของกรุงศรี อยธุ ยาไมเ่ คยสงบ เมื่อสมเด็จพระเอกาทศรถเสด็จ สวรรคต การแยง่ ชิงอาํ นาจได้ ดาํ เนินมาอยา่ งต่อเนื่อง จนถึงปี พ.ศ.2172 ราชวงศส์ ุโขทยั ท่ี ครองราชย์ สืบต่อกนั มาต้งั แตส่ มยั ของพระมหาธรรมราชากถ็ ูกโคน่ ลม้ พระเจา้ ปราสาททองเสด็จ ข้ึนครองราชย์ และสถาปนาราชวงศป์ ราสาททองข้ึนใหม่
21 แมจ้ ะครองบลั ลงั ก์จากการโค่นลม้ ราชวงศ์อ่ืนลง ยุคสมยั ของพระองค์และสมเด็จพระ นารายณ์มหาราชที่ยาวนานถึง 60 ปี น้นั กลบั เรียกไดว้ า่ เป็ นช่วงเวลาที่กรุงศรีอยุธยาเจริญรุ่งเรืองถึง ขีดสุด พระเจา้ ปราสาททองทรงมุ่งพฒั นาบา้ นเมืองท้งั ทางดา้ นศิลปกรรมและการคา้ กบั ต่างประเทศ ทรงโปรดให้สร้างวดั ไชยวฒั นารามริมฝั่ง แม่น้าํ เจา้ พระยาข้ึนดว้ ยคติเขาพระสุเมรุจาํ ลองอนั เป็ น แบบอยา่ งที่ไดร้ ับอิทธิพลมาจากปราสาทขอม พร้อมกนั น้ีก็ไดม้ ีการคิดคน้ รูปแบบทางศิลปกรรม ใหม่ๆ ข้ึน เช่นพระเจดียย์ อ่ มุมไมส้ ิบสอง พระพุทธรูปทรงเครื่องแบบ อยธุ ยาอนั งดงามก็ไดร้ ับการ ฟ้ื นฟูข้ึนมาในสมยั น้ี ทางดา้ นการคา้ กบั ตา่ งประเทศ หลงั จากที่โปรตุเกสเขา้ มาคา้ ขายกบั กรุงศรีอยธุ ยาจนทาํ ให้ เมืองลิสบอนของโปรตุเกสกลายเป็นศูนยก์ ลางการคา้ เคร่ืองเทศและพริกไทยในยโุ รปนานเกือบ ศตวรรษแลว้ ฮอลนั ดาจึงเร่ิมเขา้ มาสร้างอิทธิพลแขง่ กรุงศรีอยธุ ยาสร้างไมตรีดว้ ยการใหส้ ิทธิพิเศษ บางอยา่ งแก่พวก ดตั ช์ เพื่อถ่วงดุลกบั ชาวโปรตุเกสที่เร่ิมกา้ วร้าวและเรียกร้องสิทธิพิเศษเพม่ิ ข้ึน ทุกขณะ พอถึงสมยั พระเจา้ ปราสาททอง การค้าของฮอลันดาเจริญรุ่งเรือง ข้ึนมาก จึงเร่ิมแสดง อิทธิพลบีบค้นั ไทย ประกอบกบั พระคลงั ในสมยั น้นั ได้ ดาํ เนินการผูกขาดสินคา้ หลายชนิด รวมท้งั หนงั สัตวท์ ี่เป็นสินคา้ หลกั ของ ชาวดตั ช์ ทาํ ใหเ้ กิดความไมพ่ อใจถึงข้นั จะใชก้ าํ ลงั กนั ข้ึน ถึงสมยั ของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ฮอลนั ดาก็คุกคามหนกั ข้ึน ในท่ีสุดก็เขา้ ยดึ เรือ สินคา้ ของพระนารายณ์ท่ีชกั ธงโปรตุเกสในอา่ วตงั เก๋ีย ตอ่ มาไม่นานก็นาํ เรือ 2 ลาํ เขา้ มาปิ ดอ่าวไทย เรียกร้องไมใ่ หจ้ า้ งชาว จีน ญี่ป่ ุน และญวนในเรือสินคา้ ของอยธุ ยา เพือ่ ปิ ดทางไม่ใหอ้ ยุธยาคา้ ขาย แข่งดว้ ย มีการเจรจากนั ในทา้ ยที่สุด ซ่ึงผลจากการเจรจาน้ีทาํ ให้ ฮอลนั ดาไดส้ ิทธ์ิผกู ขาดหนงั สัตว์ อยา่ งเดิมเพ่ือถ่วงดุลอาํ นาจกบั ฮอลนั ดที่นบั วนั จะเพิม่ ข้ึนทุกขณะ สมเดจ็ พระนารายณ์จึงหนั ไปเอา ใจองั กฤษกบั ฝร่ังเศสแทน ในช่วงน้ีเองความสัมพนั ธ์ระหวา่ งกรุงสยามกบั ฝรั่งเศสเจริญรุ่งเรือง อยา่ งที่สุด บุคคลผหู้ น่ึงที่กา้ วเขา้ มาในช่วงน้ีและต่อไปจะไดม้ ี บทบาทอยา่ งมากในราชสาํ นกั สยาม กค็ ือ คอนแสตนตินฟอลคอน ฟอลคอนเป็ นชาวกรีกท่ีเขา้ มารับราชการในแผน่ ดินสมเดจ็ พระนารายณ์ราวกลางรัชสมยั และเจริญกา้ วหนา้ จนข้ึนเป็นพระยาวชิ าเยนทร์ในเวลาอนั รวดเร็ว เวลาเดียวกนั กบั ท่ีฟอลคอน กา้ วข้ึนมามีอาํ นาจในราชสาํ นกั ไทย ฝร่ังเศสในราชสาํ นกั ของ พระเจา้ หลุยส์ท่ี 14 ท่ีเขา้ มาติดต่อ
22 การคา้ และเผยแพร่ศาสนากพ็ ยายามเกล้ียกล่อม ใหส้ มเด็จพระนารายณ์หนั มาเขา้ รีตนิกาย โรมนั คาทอลิกตามอยา่ งประเทศฝรั่งเศส ในช่วงเวลาน้ีไดม้ ีการส่งคณะทูตสยามเดินทางไปฝรั่งเศสเพื่อเจริญสมั พนั ธไมตรี ทางฝร่ังเศสเองกส็ ่งคณะทูตเขา้ มาในสยามบ่อยคร้ัง โดยมีจุดประสงคห์ ลกั คือชกั ชวนให้ พระนารายณ์ทรงเขา้ รีตฟอลคอนเองซ่ึงเปล่ียนมานบั ถือนิกาย โรมนั คาทอลิกตามภรรยา ไดส้ มคบกบั ฝรั่งเศสคิดจะเปลี่ยนแผน่ ดินสยามใหเ้ ป็น เมืองข้ึนของฝร่ังเศส ดงั เช่นใน พ.ศ. 2228 โดยราชทูตเชอวาเลีย เดอโชมองต์ ปี พ.ศ. 2230 โดยลาลูแบร์ กก็ ลบั ไม่ประสบความสาํ เร็จในการ เปล่ียนใหพ้ ระเจา้ แผน่ ดินสยามหนั มาเขา้ รีต ไมน่ านชาวสยามกเ็ ริ่มชิงชงั ฟอลคอนมากข้ึน อิทธิพล ของฟอลคอนที่มีต่อราช สาํ นกั สยามก็เพิม่ มากข้ึนทุกวนั ปี พ.ศ. 2231 สมเดจ็ พระนารายณ์ทรงประ ชวน หนกั ไม่สามารถวา่ ราชกาลได้ มีรับส่งั ใหฟ้ อลคอนรีบลาออกจากราชการและไป เสียจาก เมืองไทย แตก่ ช็ า้ ไปดว้ ยเกิดความวนุ่ วายข้ึนเสียก่อน พระเพทราชาและคณะผไู้ มพ่ อใจฝร่ังเศสจบั ฟอลคอนไปประหารชีวติ เมื่อสมเดจ็ พระนารายณ์เสด็จ สวรรคตในเดือนต่อมาพระเพทราชาก็เสด็จ ข้ึนเถลิงราชสมบตั ิแทนการเขา้ มาของยโุ รปจาํ นวนมากในสมยั ของสมเดจ็ พระเจา้ ปราสาททองและ สมเดจ็ พระนารายณ์ นอกจากจะทาํ ใหบ้ า้ นเมืองมีความมง่ั คง่ั แลว้ ยงั กา้ วหนา้ ไปดว้ ยวทิ ยาการ สมยั ใหมท่ ้งั ทางดา้ นสถาปัตยกรรม การแพทย์ ดาราศาสตร์ การทหาร มีการ ก่อสร้างอาคาร ป้อม ปราการ พระท่ีนง่ั ในพระราชวงั เพมิ่ เติมดว้ ยเทคโนโลยแี บบ ตะวนั ตก นอกจากน้ีภาพวาดของ ชาวตะวนั ตกยงั แสดงให้เห็นวา่ มีการส่องกลอ้ งดู ดาวในสมยั สมเดจ็ พระนารายณ์ดว้ ย เม่ือสิ้นรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์ ความขดั แยง้ ภายในเนื่องจากการแยง่ ชิงราช สมบตั ิเกิด ข้ึนอยตู่ ลอดเวลา ทาํ ใหก้ ารติดตอ่ กบั ตา่ งประเทศซบเซาลงไป ต้งั แต่รัช สมยั สมเด็จพระเพทราชา จนถึงพระเจา้ ทา้ ยสระ มีการก่อสร้างส่ิงใหม่ๆเพยี งไมก่ ี่อยา่ ง คร้ันถึงสมยั พระเจา้ บรมโกศ บา้ นเมือง ก็กลบั เจริญรุ่งเรืองข้ึนมาอีกคร้ังในช่วง ระยะเวลาหน่ึง จนกล่าวไดว้ า่ ยคุ สมยั ของพระองคน์ บั เป็น ยคุ ทองของศิลปวทิ ยา การอยา่ งแทจ้ ริงก่อนท่ีกรุงศรีอยธุ ยาจะตกต่าํ ไปจนถึงกาลล่มสลายในรัชกาล น้ีไดม้ ีการบูรณปฏิสงั ขรณ์พระราชวงั และวดั วาอารามตา่ งๆ ศิลปกรรม เฟ่ื องฟูข้ึนมาอยา่ งมากท้งั ใน ดา้ นลวดลายปูนป้ัน การลงรักปิ ดทอง การช่างประดบั มุก การแกะสลกั ประตูไม้ ทางดา้ นวรรณคดีก็ มีกวเี กิดข้ึนหลายคน ที่โดเด่นและ เป็นที่รู้จกั คือ เจา้ ฟ้าธรรมาธิเบศร ผนู้ ิพนธ์กาพยเ์ ห่เรือ ส่วยการ มหรสพกม็ ีการฟ้ื นฟูบทละครนอกละครในข้ึนมาเล่นกนั อยา่ งกวา้ งขวาง กรุงศรีอยธุ ยาถูกขบั กล่อม ดว้ ยเสียงดนตรีและความร่ืนเริงอยตู่ ลอดเวลา แตท่ า่ มกลางความสงบสุขและรุ่งเรืองทาง ศิลปวฒั นธรรม ความขดั แยง้ คอ่ ยๆ ก่อตวั ข้ึน การแยง่ อาํ นาจท้งั ในหมูพ่ ระราชวงศ์ ขนุ นาง ทาํ ใหอ้ ีก ไม่ถึง 10 ปี ตอ่ มากรุงศรีอยธุ ยาก็เสียแก่พม่าในสมยั ของพระเจา้ เอกทศั น์ เมื่อ พ.ศ.2310 กรุงศรีอยธุ ยาในสมยั ของพระเจา้ บรมโกศจนถึงสมยั ของพระเจา้ เอกทศั น์น้นั คลา้ ยกบั พลุที่ จุดข้ึนสวา่ งโร่บนทอ้ งฟ้าชว่ั เวลาเพียงไมน่ านแลว้ ก็ดบั วบู ลงทนั ที วนั กรุงแตกเมื่อ 7 เมษายน พ.ศ. 2310 เล่ากนั วา่ ในกาํ แพงเมืองมีผคู้ นหนีพมา่ มาแออดั อยูน่ บั แสนคน ปรากฏวา่ ไดถ้ ูกพม่าฆา่ ตายไป
23 เสียกวา่ คร่ึง ท่ีเหลือก็หนี ไปอยตู่ ามป่ าตามเขา พม่าไดป้ ลน้ สะดม เผาบา้ นเรือน พระราชวงั และวดั วาอาราม ต่างๆจนหมดสิ้น นอกจากน้ียงั หลอมเอาทองท่ีองคพ์ ระและกวาดตอ้ นผคู้ นกลบั ไปจาํ นวน มาก อารยธรรมท่ีสง่ั สมมากวา่ 400 ปี ของกรุงศรีอยธุ ยาก็ถูกทาํ ลาย ลงอยา่ งราบคาบเม่ือสิ้น สงกรานตป์ ี น้นั หลงั จากกรุงแตกแลว้ พมา่ ก็มิไดเ้ ขา้ มาปกครองสยามอยา่ งเตม็ ตวั คงทิ้งใหส้ ุก้ี พระ นายกองต้งั อยทู่ ี่ค่ายโพธ์ิสามตน้ เพื่อดูแลความสงบเรียบร้อย สภาพบา้ น เมืองหลงั จากเสียแก่พม่า แลว้ กม็ ีชุมนุมเกิดข้ึนตามหวั เมืองตา่ ง ไดแ้ ก่ ชุมนุม เจา้ ฝาง ชุมนุมเจา้ ตาก ชุมนุมเจา้ พษิ ณุโลก ชุมนุมเจา้ นครศรีธรรมราช ที่ต่างกซ็ ่องสุมผคู้ นเพอื่ เตรียมแผนการใหญ่ ในบรรดาชุมนุมใหญน่ อ้ ย เหล่าน้ี ชุมนุมพระเจา้ ตากไดเ้ ติบโตเขม้ แขง็ ข้ึนเมื่อยดึ ไดเ้ มืองจนั ทบุรี กองทพั พระเจา้ ตากใชเ้ วลา หลายเดือนในการรวบรวมผู้ คนตระเตรียมเรือรบ แลว้ จึงเดินทพั ทางทะเลข้ึนมาจนถึงเมืองธนบุรี เขา้ ยดึ เมืองธนบุรีไดแ้ ลว้ ไม่นานก็ตีค่ายพมา่ ที่โพธ์ิสามตน้ แตกในวนั ท่ี 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2310 นบั รวมเวลาในการกอบกูเ้ อกราชไม่ถึงหน่ึงปี สมดงั คาํ ที่วา่ \"กรุง ศรีอยธุ ยาไมส่ ิ้นคนดี\" 2. สมัยธนบุรี หลงั จากไดก้ อบกูก้ รุงศรีอยธุ ยากลบั คืนจากพม่าไดแ้ ลว้ พระเจา้ ตากสินทรงเห็นวา่ กรุงศรี อยธุ ยาถูกพม่าเผาผลาญเสียหายมาก ยากท่ีจะฟ้ื นฟูใหเ้ หมือนเดิม พระองคจ์ ึงยา้ ยเมืองหลวง มาอยทู่ ่ี กรุงธนบุรี แลว้ ปราบดาภิเษกข้ึนเป็นกษตั ริยท์ รงพระนามวา่ “ พระบรมราชาธิราชที่ 4 \" (แต่ ประชาชนนิยมเรียกวา่ สมเด็จพระเจา้ ตากสินมหาราชหรือสมเดจ็ พระเจา้ กรุงธนบุรี) ครองกรุง ธนบุรีอยู่ 15 ปี นบั วา่ เป็นพระมหากษตั ริยพ์ ระองคเ์ ดียวที่ปกครองกรุงธนบุรี การต้งั กรุงธนบุรีเป็น ราชธานี
24 สมเด็จพระเจา้ ตากสินทรงยา้ ยเมืองหลวงมาอยทู่ ี่กรุงธนบุรี เน่ืองจากสาเหตุดงั ตอ่ ไปน้ี ศรีอยธุ ยาชาํ รุดเสียหายมากจนไม่สามารถจะบูรณปฏิสังขรณ์ใหด้ ีเหมือนเดิมได้ กาํ ลงั ร้ีพลของพระองคม์ ีนอ้ ยจึงไม่สามารถรักษากรุงศรีอยธุ ยาเป็นเมืองใหญ่ได้ ทาํ เลที่ต้งั ของกรุงศรีอยธุ ยาทาํ ใหข้ า้ ศึกโจมตีไดง้ ่าย ขา้ ศึกรู้เส้นทางการเขา้ ตีกรุงศรี อยธุ ยาดี ส่วนสาเหตุทพ่ี ระเจ้าตากสินทรงเลือกกรุงธนบุรีเป็ นเมืองหลวงเน่ืองจาก ทาํ เลท่ีต้งั กรุงธนบุรีอยใู่ กลท้ ะเล ถา้ เกิดมีศึกมาแลว้ ต้งั รับไม่ไหวกส็ ามารถหลบหนี ไปต้งั มน่ั ทางเรือได้ กรุงธนบุรีเป็ นเมืองเล็ก จึงเหมาะกบั กาํ ลงั คนที่มีอยพู่ อจะรักษาเมืองได้ กรุงธนบุรีมีป้อมปราการท่ีสร้างไวต้ ้งั แตส่ มยั กรุงศรีอยธุ ยาหลงเหลืออยู่ ซ่ึงพอจะ ใชเ้ ป็นเครื่องป้องกนั เมืองไดใ้ นระยะแรก
25 ด้านการปกครอง หลงั จากกรุงศรีอยุธยาเสียให้แก่พม่า เม่ือ พ.ศ. 2310 บา้ นเมืองอยู่ใน สภาพไม่เรียบร้อย มีการปลน้ สะดมกนั บ่อย ผูค้ นจึงหาผูค้ ุม้ ครองโดยรวมตวั กนั เป็ นกลุ่มเรียกว่า ชุมนุม ชุมนุมใหญ่ ๆ ไดแ้ ก่ ชุมนุมเจา้ พระยาพิษณุโลก ชุนนุมเจา้ พระฝาง ชุมนุมเจา้ พิมายชุมนุมเจา้ นครศรีธรรมราช เป็ นตน้ สมเด็จพระเจา้ ตากสิน ทรงใช้เวลาภายใน 3 ปี ยกกองทพั ไปปราบ ชุมนุมต่าง ๆ ท่ีต้ังตนเป็ นอิสระจนหมดสิ้น สําหรับระเบียบการปกครองน้ัน พระองค์ทรง ยืดถือและปฏิบตั ิตามระเบียบการปกครองแบบ สมยั กรุงศรีอยธุ ยาตอนปลายตามทท่ีสมเด็จพระ บรมไตรโลกนาถทรงวางระเบียบไว้ แต่รัดกุม และมีความเด็ดขาดกว่า คนไทยในสมัยน้ันจึงนิยมรับราชการทหาร เพราะถ้าผู้ใดมีความดี ความชอบ ก็จะไดร้ ับการปูนบาํ เหน็จอยา่ งรวดเร็ว ในขณะที่สมเด็จพระเจา้ ตากสินมหาราชข้ึน ครองราชยส์ มบตั ิน้นั บา้ นเมืองกาํ ลงั ประสบ ความตกต่าํ ทางเศรษฐกิจอยา่ งที่สุด เกิดการขาด แคลนขา้ วปลาอาหาร และเกิดความอดอยาก ยากแคน้ จึงมีการปลน้ สะดมแยง่ วงิ อาหาร มิหนาํ ซ้าํ ยงั เกิดภยั ธรรมชาติข้ึนอีก ทาํ ใหภ้ าวะ เศรษฐกิจที่เลวร้ายอยแู่ ลว้ กลบั ทรุดหนกั ลงไป อีกถึงกบั มีผคู้ นลม้ ตายเป็นจาํ นวนมากสมเด็จพระเจา้ ตากสินมหาราชทรงแกไ้ ขวกิ ฤตการณ์ดว้ ย วธิ ีการต่างๆ เช่น ทรงสละทรัพยส์ ่วนพระองค์ ช้ือขา้ วสารมาแจกจ่ายแก่ราษฎรหรือขายในราคาถูก พร้อมกบั มีการส่งเสริมใหม้ ีการทาํ นาปี ละ2 คร้ัง เพื่อเพมิ่ ผลผลิตใหเ้ พียงพอ ในตอนปลายรัชกาลสมเด็จพระเจา้ ตากสินมหาราช เน่ืองจากพระองคท์ รงตรากตราํ ทาํ งาน หนกั ในการสร้างความเป็นปึ กแผน่ แก่ชาติบา้ นเมือง พระราชพงศาวดารฉบบั ต่าง ๆ ได้ บนั ทึกไวว้ า่ สมเดจ็ พระเจา้ ตากสินทรงมีพระสติฟั่นเฟื อน ทาํ ใหบ้ า้ นเมืองเกิดความระส่าํ ระสายและไดเ้ กิดกบฏ ข้ึนท่ีกรุงเก่า พวกกบฏไดท้ าํ การปลน้ จวนพระยาอินทรอภยั ผรู้ ักษากรุงเก่าจนตอ้ งหลบหนีมายงั กรุง ธนบุรี สมเดจ็ พระเจา้ ตากสินมหาราชโปรดใหพ้ ระยาสรรคไ์ ปสืบสวนเอาตวั ผกู้ ระทาํ ผิดมาลงโทษ แตพ่ ระยาสรรคก์ ลบั ไปเขา้ ดว้ ยกบั พวกกบฏ และคุมกาํ ลงั มาตีกรุงธนบุรี แลว้ จบั ตวั สมเด็จพระเจา้ ตากสินมหาราชมาคุมขงั เอาไว้ การจราจลในกรุงธนบุรี ทาํ ใหส้ มเดจ็ เจา้ พระยามหากษตั ริยศ์ ึกตอ้ ง รีบยกทพั กลบั จากเขมร เพ่ือเขา้ แกไ้ ขสถานการณ์ในกรุงธนบุรี และจบั กมุ ผกู้ ่อการกบฏมาลงโทษ รวมทง่ั ใหข้ า้ ราชการปรึกษาพิจารณา ความที่มีผฟู้ ้องร้องกล่าวโทษ สมเด็จพระเจา้ ตากสินมหาราช
26 ในฐานะที่ทรงเป็นตน้ เหตุแห่งความยงุ่ ยากใน กรุงธนบุรี และมีความเห็นใหส้ าํ เร็จโทษพระองคเ์ พื่อ มิใหเ้ กิดปัญหายงุ่ ยากอีกตอ่ ไป สมเดจ็ พระเจา้ ตากสินมหาราชจึงถูกสาํ เร็จโทษและเสด็จสวรรคตใน พ.ศ. 2325 พระชนมายไุ ด้ 45 พรรษา 3. สมยั รัตนโกสินทร์ กรุงรัตนโกสินทร์ หรือ “กรุงเทพมหานคร” เป็นราชธานีของไทย ต้งั อยทู่ างตะวนั ออกของ แม่น้าํ เจา้ พระยา ตรงขา้ มกบั ที่ต้งั ของกรุงธนบุรี โดยพระบาทสมเดจ็ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ได้ เสด็จข้ึนครองราชสมบตั ิ เม่ือ วนั ท่ี 6 เมษายน พ.ศ. 2325 และ ทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ ให้ สถาปนาพระนครข้ึน โดยทาํ พิธี ต้งั เสาหลกั เมืองของพระนคร ใหม่ เม่ือวนั อาทิตย์ เดือน 6 ข้ึน 10 ค่าํ เวลาย่าํ รุ่งแลว้ 45 นาที ตรงกบั วนั ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2325 ท้งั น้ี ไดพ้ ระราชทานของ พระนครวา่ “กรุงเทพมหานคร รูปภาพ พระบรมมหาราชวงั บวรรัตนโกสินทร์มหินทรายทุ ธ ยามหาดิลก ภพนพรัตน์ ราชธานีบุรีรมย์ อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน อมรพมิ ารอวตารสถิต สกั กะทตั ติยะ วษิ ณุกรรม ประสิทธ์ิ” แปลวา่ พระนครอนั กวา้ งใหญด่ ุจเทพนคร เป็ นที่สถิตยข์ องพระแกว้ มรกต เป็นพระมหา นครที่ไมม่ ีใครรบชนะ มีความงามอนั มน่ั คงและเจริญยงิ่ เป็นเมืองหลวงท่ีบริบูรณ์ไปดว้ ยแกว้ เปราะ น่ารื่นรมยย์ ง่ิ พระราชนิเวศน์ใหญโ่ ตมากมาย เป็นวมิ านของเทพผอู้ วตารลงมา ซ่ึงทา้ วสกั กเทวราช พระราชทานใหพ้ ระวษิ ณุกรรมลงมาเนรมิตไว้ เรียกส้ันๆ วา่ “กรุงเทพฯ” “กรุงเทพมหานคร” หรือ “กรุงรัตนโกสินทร์” ซ่ึงคาํ วา่ กรุงเทพในตอนตน้ ช่ือน้นั สันนิษฐานวา่ มากจากชื่อหนา้ ของอยธุ ยา วา่ กรุงเทพทวาราวดีศรีอยธุ ยา (ในรัชสมยั พระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงแปลงสร้อย พระนามพระนครจาก “บวรรัตนโกสินทร์” เป็น “อมรรัตนโกสินทร์”)
27 ราชธานีใหมข่ องพระบาทสมเดจ็ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชต้งั อยบู่ นฝั่งตะวนั ออก ของแมน่ ้าํ เจา้ พระยาในสมยั อยธุ ยา แมแ้ มน่ ้าํ เจา้ พระยาจะคดเค้ียวแตก่ ็เป็นเส้นทางเดินเรือในการ ติดต่อกบั โลกภายนอกทาํ ให้เส้นทางสัญจรสายน้ีคบั คงั่ ไปดว้ ยเรือสินคา้ เขา้ ออกและก่อใหเ้ กิด ชุมชนริมแม่น้าํ ข้ึน ชุมชนริมน้าํ เหล่าน้ีไดข้ ยายตวั ข้ึนตามลาํ ดบั เดิมเป็นยา่ นเล็กๆริมแมน่ ้าํ เจา้ พระยา ที่เก่าแก่มีมาอยา่ งนอ้ ยต้งั แต่สมยั ตน้ อยธุ ยาจน กระทงั่ มีการขดุ คลองลดั บางกอกต้งั แต่หนา้ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ไปถึงวดั อรุณราชวรารามในสมยั สมเดจ็ พระไชยราชาธิราชแห่งกรุงศรี อยธุ ยา (พ.ศ.2077-2089) ซ่ึงทาํ ใหเ้ ส้นทางเดิมของแมน่ ้าํ เจา้ พระยาที่ไหลออ้ มคดเค้ียวกินพ้นื ท่ีเขา้ ไปในฝ่ังธนบุรีแคบลงและต้ืนเขินกลายเป็นคลอง\"บางกอกนอ้ ย\" และ \"บางกอกใหญ่\" ในปัจจุบนั ส่วนคลองลดั ที่ขดุ ข้ึนใหม่เพื่อยน่ ระยะทางขยายกลายเป็นแมน่ ้าํ เจา้ พระยา การสัญจรหลกั ที่ใชข้ ้ึน ล่องระหวา่ งกรุงศรีอยธุ ยากบั ทะเลจึงหนั มาใชเ้ ส้นทางสายใหม่พร้อมๆกบั การขยายตวั ของชุมชน มายงั ริมแมน่ ้าํ สายใหม่ซ่ึงต่อมาพฒั นาข้ึนในช่ือ ยา่ น \"บางกอก\" และพฒั นาตอ่ มากลายเป็น \"เมืองธนบุรี\" ซ่ึงมีสถานะเป็ นเมืองการคา้ และการคมนาคมแห่งหน่ึงของกรุงศรีอยธุ ยา หลงั จากกรุงศรีอยธุ ยาแตกและสมเด็จพระเจา้ ตากสินไดก้ อบกูบ้ า้ นเมืองข้ึนแลว้ ทรงเลือก เมืองธนบุรีเป็นราชธานีแห่งใหม่ซ่ึงเป็นเมืองอกแตกเพราะมีแมน่ ้าํ เจา้ พระยาไหลผา่ นกลางเมือง ก่อสร้างพระราชวงั อยูร่ ิมฝ่ังตะวนั ตกของแม่น้าํ แต่ตอ่ มาเมื่อมีการเปล่ียนแปลงทางการเมืองส่งผล ใหพ้ ระบาท สมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟ้าจุฬาโลกเสดจ็ ข้ึนครองราชยเ์ ป็นปฐมกษตั ริยแ์ ห่งราชวงศจ์ กั รี พระองคโ์ ปรดเกลา้ ฯ ใหป้ รับเปลี่ยนผงั เมืองเสียใหม่ดว้ ยการยา้ ยมาสร้างเมืองทางฝั่งตะวนั ออกเพยี ง ฝ่ังเดียวโดยใชพ้ ้นื ท่ีส่วนหน่ึงของเมืองธนบุรีฝั่งตะวนั ออกพร้อมกบั ขยายกาํ แพงเมือง และขดุ คู เมืองใหม่ใหใ้ หญ่ข้ึน ส่วนพ้ืนที่ฝ่ังตะวนั ตกหรือท่ีปัจจุบนั เรียกวา่ \"ฝั่งธนบุรี\" ก็ยงั เป็ นแหล่งท่ีอยู่ อาศยั และชุมชนชาวสวนเช่นเดิม พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดใหส้ ร้างพระราชวงั ข้ึนทางฝ่ัง ตะวนั ออกของแม่น้าํ เจา้ พระยาในบริเวณกาํ แพงพระนครเดิมสมยั กรุงธนบุรี บริเวณที่สร้าง พระราชวงั น้นั เดิมเป็นที่อยอู่ าศยั ของพระยาราชเศรษฐีและชาวจีน ซ่ึงไดโ้ ปรดใหย้ า้ ยไปอยทู่ ่ีสาํ เพง็ ในการก่อสร้างพระราชวงั โปรดใหพ้ ระยาธรรมาธิบดี กบั พระยาวจิ ิตรนาวเี ป็ นแมก่ องคุมการ
28 ก่อสร้างพระราชนิเวศนม์ ณเฑียรใหมใ่ หม้ ีลกั ษณะคลา้ ยกรุงศรีอยธุ ยา เม่ือทรงประกอบพระราชพธิ ี ยกหลกั เมืองแลว้ จึงเร่ิมก่อสร้างพระราชวงั หลวงในวนั ที่ 6 พฤษภาคม 2325 การสร้างพระนครใหม่เริ่มในปี พ.ศ.2326 สามารถแบ่งเป็นสองระยะในรัชสมยั เดียวกนั น้ี ระยะแรกเป็นการยา้ ยพระราชวงั และสถานท่ีสาํ คญั มาต้งั ท่ีพระนครฝ่ังตะวนั ออกของแม่น้าํ เจา้ พระยา ใชก้ าํ แพงเมืองธนบุรีท่ีเลียบตามแนวคูท่ีขดุ ข้ึนในสมยั ธนบุรีต้งั แต่ปากคลองตลาดจน ออกสู่แม่น้าํ เจา้ พระยาบริเวณสะพานปิ่ นเกลา้ (คลองหลอด หรือ คลองคูเมืองเดิม) ซ่ึงเป็ นบริเวณท่ี เรียกกนั วา่ เกาะรัตนโกสินทร์ มีพ้ืนที่ประมาณ 1.8 ตร.กม. เป็นปราการดา้ นทิศตะวนั ออก ระยะที่ สอง โปรดใหร้ ้ือกาํ แพงเมืองธนบุรีดา้ นตะวนั ออกเพื่อขยายกาํ แพงและคูพระนครออกโดยใหข้ ดุ ขนานกบั แนวคูเมืองเดิมสมยั ธนบุรี โดยขดุ แยกจากแมน่ ้าํ เจา้ พระยาที่บางลาํ พูมาออกแม่น้าํ เจา้ พระยาทางดา้ นทิศใตใ้ กลส้ ะพานพทุ ธยอดฟ้าฯ เรียกวา่ คลองบางลาํ พู และคลองโอ่งอ่าง ส่วน ดา้ นตะวนั ตก ใชแ้ มน่ ้าํ เจา้ พระยาเป็นคูเมือง มิไดส้ ร้างกาํ แพงเมืองเหมือนดา้ นตะวนั ออก มีป้อมอยู่ 14 ป้อม มีประตูเมืองขนาดใหญ่ 16 ประตู ประตูเมืองขนาดเลก็ ท่ีเรียกวา่ ช่องกุดอีก 47 ประตู เน้ือท่ี ในคร้ังน้นั มีเพยี ง 2,163 ไร่ พ้ืนที่นอกกาํ แพงเมืองเป็ นทุ่งนาปลูกขา้ ว \"ราชธานีแห่งใหม่ไดม้ ีการ พฒั นา และเจริญข้ึนเป็นลาํ ดบั จนกระทงั่ กลายเป็น กรุงเทพมหานครในทุกวนั น้ี\" ป้อมรอบกาํ แพงพระนครท้งั 14 ป้อมส่วนใหญไ่ ดถ้ ูกร้ือออกไปหมดแลว้ คงเหลือเพียง 2 ป้อม คือ ป้อมพระสุเมรุ และป้อมมหากาฬ ป้อมท้งั 14 ป้อม มีชื่อและท่ีต้งั ดงั ต่อไปน้ี 1. ป้อมพระสุเมรุ ต้งั อยทู่ ี่มุมกาํ แพงเมือง ดา้ นตะวนั ตกเฉียงเหนือ ใตป้ ากคลองบางลาํ ภู ป้อมน้ียงั อยใู่ นสภาพท่ีสมบูรณ์ 2. ป้อมยคุ นธร ต้งั อยบู่ นกาํ แพงเมืองดา้ นเหนือ บริเวณเหนือวดั บวรนิเวศ ฯ 3. ป้อมมหาปราบ ต้งั อยบู่ นกาํ แพงเมืองดา้ นเหนือ 4. ป้อมมหากาฬ ต้งั อยบู่ นกาํ แพงดา้ นตะวนั ออก ใตป้ ระตูพฤฒิมาศ บริเวณสะพานผา่ นฟ้า ป้อมน้ีอยใู่ นสภาพ สมบูรณ์ 5. ป้อมหมูทลวง ต้งั อยบู่ นกาํ แพงดา้ นตะวนั ออก ตรงหนา้ เรือนจาํ พระนครเก่า 6. ป้อมเสือทะยาน ต้งั อยบู่ นกาํ แพงเมืองดา้ นตะวนั ออก เหนือประตูสามยอด บริเวณ สะพานเหลก็ บนป้อมมหากาฬ 7. ป้อมมหาไชย ต้งั อยบู่ นกาํ แพงเมืองดา้ นตะวนั ออก บริเวณหนา้ วงั บูรพาภิรมย์ 8. ป้อมจกั รเพชร ต้งั อยทู่ างดา้ นใต้ เหนือปากคลองโอง่ อ่าง ใตว้ ดั ราษฎร์บูรณะ (วดั เลียบ) เป็นป้อมสาํ คญั ทางดา้ นใต้ 9. ป้อมผเี ส้ือ ต้งั อยทู่ างดา้ นใต้ ตรงปากคลองตลาด 10. ป้อมมหาฤกษ์ ต้งั อยทู่ างดา้ นใต้ เหนือปากคลองตลาดข้ึนไป บริเวณโรงเรียนราชินีล่าง 11. ป้อมมหายกั ษ์ ต้งั อยทู่ างดา้ นตะวนั ตก ตรงวดั พระเชตุพนฯ
29 12. ป้อมพระจนั ทร์ ต้งั อยทู่ างดา้ นตะวนั ตก ริมท่าพระจนั ทร์ ตรงมุมวดั มหาธาตุดา้ น ตะวนั ตกเฉียงเหนือ 13. ป้อมพระอาทิตย์ ต้งั อยทู่ างดา้ นตะวนั ตก มุมพระราชวงั บวร ฯ ตรงพิพิธภณั ฑส์ ถาน แห่งชาติ พระนคร 14. ป้อมอิสินธร ต้งั อยทู่ างดา้ นตะวนั ตก นอกจากน้นั ยงั มีป้อมท่ีอยนู่ อกกาํ แพงเมืองสร้างข้ึนภายหลงั เมื่อไดข้ ุดคลองผดุงกรุงเกษม แลว้ บางแห่งต้งั อยทู่ างฝ่ังตะวนั ตกของแม่น้าํ เจา้ พระยา มีอยู่ 7 ป้อมดว้ ยกนั ไดแ้ ก่ 1. ป้อมปราบปัจจามิตร อยทู่ างฝ่ังตะวนั ตกของ แม่น้าํ เจา้ พระยา ริมปากคลองสาน 2. ป้อมปิ ดปัจจานึก อยูร่ ิมปากคลองผดุงกรุงเกษม ทางดา้ นใต้ 3. ป้อมผลาญศตั รูราบ อยใู่ ตว้ ดั เทพศิรินทร์ ฯ ริมถนนพลบั พลาไชย 4. ป้อมปราบศตั รูพา่ ย อยใู่ ตต้ ลาดนางเลิ้ง ตรงหมู่บา้ นญวน ขา้ งบริเวณวดั สมณานมั บริหาร 5. ป้อมทาํ ลายแรงปรปักษ์ อยเู่ หนือวดั โสมนสั วหิ าร 6. ป้อมหกั กาํ ลงั ดสั กร อยปู่ ากคลองผดุงกรุงเกษม ดา้ นทิศเหนือ 7. ป้อมวชิ ยั ประสิทธ์ิ อยทู่ างฝั่งตะวนั ตกของแม่น้าํ เจา้ พระยา ปากคลองบางกอกใหญ่ หรือคลองบางหลวง สถานท่ีสาํ คญั ในเขตพ้นื ที่เกาะรัตนโกสินทร์ช้นั ใน ไดแ้ ก่ พระบรมมหาราชวงั วดั พระศรีรัตนศาสดาราม วดั มหาธาตุยวุ ราชรังสฤษฏ์ เสาหลกั เมือง
30 „ วงั หนา้ ปัจจุบนั เป็นท่ีต้งั ของ พิพิธภณั ฑสถานแห่งชาติ โรงละครแห่งชาติ และ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ „ วดั พระเชตุพนวมิ ลมงั คลารามราชวรมหาวิหาร (วดั โพธ์ิ)เม่ือ พ.ศ.2554 จารึกวดั โพธ์ิจาํ นวน 1,444 ชิ้น ซ่ึงไดม้ ีการจารึกองคค์ วามรู้ด้งั เดิมในศาสตร์ตา่ งๆ ของไทยและถูก ยดึ ติดอยกู่ บั ส่วนตา่ งๆของ อาคารท้งั หลายภายในวดั ไดร้ ับการข้ึนทะเบียนเป็ นมรดกความ ทรงจาํ แห่งโลกในระดบั นานาชาติ จากองคก์ ารยเู นสโก „ ทอ้ งสนามหลวง อยทู่ างดา้ นเหนือของพระบรมมหาราชวงั เป็นสถานท่ีสาํ คญั มาแตเ่ ดิมของกรุงเทพ ฯ บริเวณน้ีเดิมเรียกวา่ ทุง่ พระเมรุเพราะเคยเป็นสถานที่ต้งั พระเมรุ พระราชทานเพลิงศพเจา้ นายพระองค์ ต่าง ๆ จนถึงสมยั รัชกาลที่ 4 ทรงมีพระราชดาํ ริวา่ ช่ือทุ่งพระ เมรุน้ีฟังไมเ่ ป็ นมงคล จึงทรงพระกรุณา โปรด เกลา้ ฯ ใหเ้ ปล่ียนชื่อเสียใหม่วา่ ทอ้ ง สนามหลวงสืบมาจนถึงทุกวนั น้ี ทอ้ งสนามหลวงเป็น สถานที่สาํ หรับชาวพระนครไดพ้ กั ผอ่ น โดยตลอดรอบ สนามหลวงจะปลูกตน้ มะขาม ไวโ้ ดยรอบ และเป็น สถานท่ี จดั งานพระราชพธิ ีต่าง ๆ เช่น พระราชพิธีจรด พระนงั คลั แรกนาขวญั เป็นสถานท่ีเล่นวา่ วปักเป้าและ วา่ วจุฬาในฤดูร้อน พ้ืนท่ีรอบบริเวณ สนามหลวงเป็นที่ต้งั ของสถานท่ีสาํ คญั คู่กรุงเทพฯ เช่น ศาลหลกั เมือง กระทรวงกลาโหม วดั พระศรี รัตนศาสดาราม พระบรมมหาราชวงั วดั มหาธาตุยุวราชรังสฤษด์ิ อนุสาวรีย์ ทหารอาสา (สงครามโลกคร้ังที่ 1) ศาลแม่พระธรณี และกระทรวงยุติธรรม นอกจากน้นั สนามหลวงยงั เป็ น จุดเร่ิมตน้ ของถนนราชดาํ เนิน และเช่ือมต่อดว้ ยถนนราชดาํ เนินกลาง ซ่ึงทอดผ่านดา้ นตะวนั ออก ของท้อง สนามหลวงไปยงั พ้ืนที่เกาะรัตนโกสินทร์ช้ันกลางและช้ันนอกเพื่อเชื่อมโยงไปยงั พระราชวงั ดุสิต
31 แบบทดสอบ คาชี้แจง ใหผ้ เู้ รียนเลือกขอ้ ท่ีถูกตอ้ งที่สุดเพียงขอ้ เดียว 1) เมืองที่มีความเจริญรุ่งเรืองในดินแดนแถบน้ี 6) อยธุ ยามีความสัมพนั ธ์ทางการคา้ แบบ มาก่อนกรุงศรีอยธุ ยา คือ เมืองใด รัฐบรรณาการกบั ชาติใด ก. สุโขทยั ก. จีน ข. ลพบุรี ข. พมา่ ค. สุพรรณบุรี ค. โปรตุเกส ง. อโยธยา ง. ฝรั่งเศส 2) ปฐมกษตั ริยพ์ ระองคแ์ รกของอยธุ ยาคือใคร 7) ใครเป็ นผแู้ ตง่ หนงั สือจินดามณี ก. สมเดจ็ พระมหาธรรมราชา ก. พระโหราธิบดี ข. สมเด็จพระเจา้ ปราสาททอง ข. ศรีปราชญ์ ค. สมเด็จพระเจา้ ทองลนั ค. สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ง. สมเดจ็ พระเจา้ อูท่ อง ง. เจา้ ฟ้ากงุ้ 3) พระโอรสของพระเจา้ อูท่ องที่ไดข้ ้ึน 8) กรุงเสียอยธุ ยาเสียแก่พม่าคร้ังท่ี 2 เมื่อปี ใด ครองราชย์ ก. 2310 ตอ่ จากพระองคค์ ือใคร ข. 2112 ก. สมเดจ็ พระรามราชา ค. 2230 ข. สมเด็จพระราเมศวร ง. 2309 ค. ขนุ หลวงพะงว่ั 9) กรุงศรีอยธุ ยาล่มสลายลงเพราะเหตุใดสาํ คญั ง. พระเจา้ ทองลนั ท่ีสุด 4) สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 ทรงมีพระ ก. การขาดความสามคั คีของคนในชาติ นามเดิมวา่ อะไร ข. ไส้ศึกพม่าแฝงตวั เขา้ มา ก. ขนุ หลวงพะงวั่ ค. การขาดการฝึกซอ้ มรบ ข. ขนุ หลวงหาวดั ง. การขาดกาํ ลงั ทหารสนบั สนุนจาก ค. ขนุ หลวงข้ีเร้ือน เมืองตา่ งๆ ง. เจา้ ฟ้าไชย 10) ผกู้ อบกูอ้ ิสรภาพใหไ้ ทยในการเสียกรุง 5) สงครามคร้ังแรกของไทยกบั พมา่ คืออะไร คร้ังแรกคือใคร ก. สงครามคราวเสียกรุงคร้ังที่ 1 ก. พระองคข์ าว ข. สงครามกลางเมือง ข. เจา้ ฟ้าไชย ค. สงครามยทุ ธหตั ถี ค. พระองคด์ าํ ง. สงครามเมืองเชียงกราน ง. เจา้ ทองลนั
32 กจิ กรรมท้ายบท คาชี้แจง ใหผ้ เู้ รียนตอบคาํ ถามต่อไปน้ีมาพอสังเขป 1. เวลาท่ีปรากฏในศิลาจารึกวา่ “1205 ศก ปี มะแม พอ่ ขนุ รามคาํ แหง หาใคร่ใจในใจแลใส่รายสือ ไทยน้นั ” เป็นศกั ราชใด......................................... เทียบเป็นพทุ ธศกั ราชใด........................................ 2. การแบง่ ยคุ สมยั ทางประวตั ิศาสตร์ แบง่ ออกเป็น............................................................................. ไดแ้ ก่.................................................................................................................................. ................ ............................................................................................................................................................. 3. ยคุ หิน แบ่งออกเป็น 3 ยคุ ยอ่ ย ไดแ้ ก่ .......................................................................................... ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................
33 การสร้างองค์ความรู้ใหม่ทางประวตั ศิ าสตร์ไทย สาระสาคัญ ประวตั ิศาสตร์เป็นวชิ าที่ศึกษาเรื่องราวในอดีตที่ผา่ นพน้ ไปแลว้ โดยอาศยั หลกั ฐานที่ยงั คง หลงเหลืออยใู่ นปัจจุบนั ท้งั น้ีนกั ประวตั ิศาสตร์จะมีกระบวนการเขียนประวตั ิศาสตร์ที่เรียกวา่ “วธิ ีการทางประวตั ิศาสตร์” อยา่ งเป็นระบบ ซ่ึงอาศยั การลืบคน้ หลกั ฐานการตรวจสอบความถูกตอ้ ง ของหลกั ฐานขอ้ มูล ทาํ ใหส้ ามารถสร้างองคค์ วามรู้ใหมไ่ ดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ มีความช่ือถือและมี เหตุผล ซ่ึงการเรียนรู้วธิ ีการทางประวตั ิศาสตร์จะช่วยใหผ้ ศู้ ึกษารู้จกั สืบคน้ ขอ้ มูลอยา่ งเป็นระบบใน การแสวงหาคาํ ตอบ ผลการเรียนรู้ทค่ี าดหวงั 1. มีความรู้ความเขา้ ใจความสาํ คญั ของการสร้างองคค์ วามรู้ใหมท่ างประวตั ิศาสตร์ไทย 2 . ตระหนกั เห็นคุณคา่ การสร้างองคค์ วามรู้ใหมท่ างประวตั ิศาสตร์ไทย 3. สามารถนาํ ความรู้มาปรับใชใ้ นการดาํ รงชีวติ ขอบข่ายเนื้อหา 1. หลกั ฐานทางประวตั ิศาสตร์ไทย 2. คุณค่าประโยชน์ของวธิ ีการทางประวตั ิศาสตร์ท่ีมีต่อการศึกษาทางประวตั ิศาสตร์ 3. หลกั ฐานทางประวตั ิศาสตร์ กจิ กรรมการเรียนรู้ 1. ศึกษาเอกสารการเรียนรู้ 2. ปฏิบตั ิกิจกรรมตามที่ไดร้ ับมอบหมายในเอกสารการเรียนรู้ สื่อประกอบการเรียนรู้ 1. คูม่ ือการเรียนรู้ 2. แบบฝึกหดั ประเมินผล 1. แบบฝึกหดั 2. ประเมินผลจากการทดสอบกลางภาคและปลายภาคเรียน
34 บทท่ี 2 การสร้างองค์ความรู้ใหม่ทางประวตั ิศาสตร์ไทย การสร้างองค์ความรู้ใหม่ทางประวตั ิศาสตร์ไทย ประวตั ิศาสตร์เป็นวชิ าท่ีศึกษาเร่ืองราว ในอดีตที่ผา่ นพน้ ไปแลว้ โดยอาศยั หลกั ฐานท่ียงั คง หลงเหลืออยู่ในปัจจุบนั ท้งั น้ีนกั ประวตั ิศาสตร์ จะมีกระบวนการเขียนประวตั ิศาสตร์ท่ีเรียกว่า “วิธีการทางประวตั ิศาสตร์” อย่างเป็ นระบบ ซ่ึงอาศยั การสืบค้นหลกั ฐาน การตรวจสอบความ ถูกตอ้ งของหลกั ฐานขอ้ มูล ทาํ ให้สามารถสร้าง องค์ความรู้ใหม่ไดอ้ ย่างมีประสิทธิภาพ มีความ น่าเชื่อถือและมีเหตุผล ซ่ึงการเรียนรู้วิธีการทาง ประวตั ิศาสตร์จะช่วยให้ผูศ้ ึกษารู้จกั สืบคน้ ขอ้ มูล อยา่ งเป็นระบบในการแสวงหาคาํ ตอบ 1. ความสาคัญและประโยชน์ ของวธิ ีการทางประวตั ศิ าสตร์ วิธีการทางประวตั ิศาสตร์เป็ นวธิ ีการหรือ ข้นั ตอนท่ีใชศ้ ึกษาคน้ ควา้ วิจยั เกี่ยวกบั เร่ืองราว ทางประวตั ิศาสตร์ โดยอาศยั จากหลกั ฐานที่เป็ น ลายลกั ษณ์อกั ษรเป็ นสําคญั ประกอบกบั หลกั ฐาน ท่ีไม่เป็ นลายลกั ษณ์อกั ษรเพื่อฟ้ื นเรื่องราวใน อดีตไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ งสมบูรณ์และน่าเชื่อถือ ปัญหา สาํ คญั ประการหน่ึงในการศึกษา ประวตั ิศาสตร์คือ เร่ืองราวทางประวตั ิศาสตร์ ที่ไดม้ ีการศึกษาและ เขียนข้ึนใหม่และหลกั ฐาน ที่นาํ มาใช้เป็ นขอ้ มูลน้ันมีความถูกตอ้ ง น่าเชื่อถือ เพียงใด เพราะ เหตุการณ์ทางประวตั ิศาสตร์มีอยู่ มากมาย และหลกั ฐานที่เป็ นลายลกั ษณ์อกั ษร บางประเภทอาจให้ ขอ้ มูลไมร่ อบดา้ น หากนักประวตั ิศาสตร์ใช้หลกั ฐานท่ีอาจให้ขอ้ มูลเพียงบางส่วน ก็จะทาํ ให้เร่ืองราวทาง ประวตั ิศาสตร์ที่ตนเขียนข้ึนขาดความถูกตอ้ ง ไม่น่าเชื่อถือ ดงั น้นั การคน้ ควา้ และการใช้หลกั ฐาน ขอ้ มูลท่ีหลากหลายจึงมีความสาํ คญั ตอ้ การคน้ ควา้ และการเขียนประวตั ิศาสตร์ นอกจากน้ียงั มีปัจจยั อ่ืนๆ อีกที่มีผลตอ่ การศึกษาและการเขียนประวตั ิศาสตร์ เช่น ภูมิหลงั ของผูศ้ ึกษาประวตั ิศาสตร์ ท้งั ในด้านการศึกษา อุดมการณ์ทางการเมือง โลกทัศน์สภาพแวดล้อม อคติส่วนบุคคล นัก ประวตั ิศาสตร์บางคนอาจเขียนงานทางประวตั ิศาสตร์โดยมีจุดประสงค์ทาง การเมืองแอบแฝง ทาํ ให้เลือกนาํ เสนอเรื่องราวหรือตีความหลกั ฐานขอ้ มูลเพ่ือให้เป็ นประโยชน์ต่อ ฝ่ ายใดฝายหน่ึงและ โจมตีอีกฝ่ ายหน่ึง เป็ นต้น ดังน้ัน วิธีการทางประวตั ิศาสตร์จึงมีคุณค่าต่อการเขียนงานทาง ประวตั ิศาสตร์ช่วยให้ผูศ้ ึกษา สามารถศึกษาประวตั ิศาสตร์ไดอ้ ย่างถูกตอ้ งสมบูรณ์น่าเช่ือถือมาก ที่สุด โดยอาศยั หลกั ฐานขอ้ มูล ที่น่าเช่ือถือและการวเิ คราะห์ตีความอยา่ งละเอียดรอบคอบ และมี ประโยชนใ์ นการใชเ้ ป็นแนวทาง สาํ หรับผศู้ ึกษาประวตั ิศาสตร์หรือผูฝ้ ึ กฝนทางประวตั ิศาสตร์จะได้ นาํ ไปใชใ้ นการแสวงหาความจริงท่ีเกิดข้ึนในอดีตดว้ ยความรอบคอบ ระมดั ระวงั และไม่ลาํ เอียง
35 2. ข้นั ตอนของวธิ ีการทางประวตั ศิ าสตร์ วิธีการทางประวตั ิศาสตร์เป็ นกระบวนการในการศึกษาค้นควา้ เรื่องราวทางประวตั ิศาสตร์ โดยอาศยั การรวบรวมและวเิ คราะห์ตีความขอ้ มูลหลกั ฐานอยา่ งมีเหตุผล ซ่ึงสามารถแบ่งออกไดเ้ ป็ น 5 ข้นั ตอน ดงั น้ี การกาํ หนดหวั เร่ือง การวเิ คราะห์และสงั เคราะห์ วธิ ีการทางประวตั ิศาสตร์ การรวบรวมหลกั ฐาน ขอ้ มูล การประเมินคุณค่า การจดั หมวดหมู่ และตีความ ของหลกั ฐาน 1) การกาํ หนดหัวเรื่อง เป็ นข้นั ตอนแรกของวิธีการทางประวตั ิศาสตร์ ในการกาํ หนด ประเดน็ ที่จะศึกษา ผศู้ ึกษาอาจกาํ หนดไวก้ วา้ งๆ ก่อนในตอนแรก แลว้ จึงกาํ หนดประเด็นให้แคบลง ในภายหลงั เพ่ือให้เกิดความชดั เจนมากข้ึน เช่น หากตอ้ งการศึกษาประวตั ิศาสตร์สมยั อยุธยา อาจ กาํ หนดหวั ขอ้ กวา้ งๆ เป็ นประวตั ิศาสตร์การเมืองการปกครอง สมยั อยุธยา พฒั นาการทางเศรษฐกิจ สมยั อยุธยา ความสัมพนั ธ์ระหว่างประเทศสมยั อยุธยา บทบาทของชาวต่างชาติใน สมยั อยุธยา จากน้นั จึงกาํ หนดหวั ขอ้ ให้แคบลง เช่น การปฏิรูปการบริหารราชการแผน่ ดินสมยั สมเด็จพระบรม ไตรโลกนาถ การปกครองหัวเมืองในสมยั อยุธยาตอนปลาย บทบาทและหน้าท่ีของสมุหนายก ความขดั แยง้ ทางการเมืองในปลายสมยั สมเดจ็ พระนารายณ์มหาราช สาํ หรับประเด็นท่ี ควรพิจารณาในการกาํ หนดหวั เรื่อง คือ เป็ นเร่ืองเก่ียวกบั บุคคลสาํ คญั เป็นเหตุการณ์สาํ คญั ท่ีเกิดข้ึนในช่วงเวลาใดเวลาหน่ึง เป็ นเรื่องเก่ียวกบั สภาพชีวติ และสังคมในอดีต เป็นผลกระทบของวิกฤติการณ์ต่างๆ เช่น อิทธิพลของศาสนา ผลกระทบของการปฏิวตั ิรัฐประหาร วิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจที่มีต่อสังคม ผลกระทบ ของสงคราม เป็ นตน้ หวั เร่ืองที่กาํ หนดควรมี ความชดั เจน มีช่วงเวลาท่ีไม่กวา้ งเกินไป เพ่ือความสะดวกในการศึกษา คน้ ควา้ และตอบคาํ ถามใน ประเด็นท่ีผศู้ ึกษาสนใจ 2) การรวบรวมหลกั ฐาน คือ การรวบรวมหลกั ฐานที่เก่ียวขอ้ งกบั หวั ขอ้ ท่ีจะศึกษา ท้งั หลกั ฐานท่ีเป็นลายลกั ษณ์อกั ษรและหลกั ฐานท่ีไม่เป็นลายลกั ษณ์อกั ษร ในการรวบรวมหลกั ฐาน ผศู้ ึกษาตอ้ งทราบวา่ หลกั ฐานแต่ละประเภทมีความสําคญั แตกต่าง กนั กล่าวคือ หลกั ฐานช้นั ตน้ มีความสาํ คญั และความน่าเช่ือถือมากกวา่ หลกั ฐานช้นั รอง แต่หลกั ฐาน
36 ช้นั รองช่วยอธิบายเร่ืองราว ใหเ้ ขา้ ใจง่ายกวา่ หลกั ฐานช้นั ตน้ ดงั น้นั การรวบรวมหลกั ฐานจึงควรเริ่ม จากหลกั ฐานช้นั รอง แลว้ จึงศึกษาจากหลกั ฐานช้นั ตน้ ถา้ เป็ นหลกั ฐานที่ไม่เป็ นลายลกั ษณ์อกั ษรก็ ควรเร่ิมจากการศึกษาผลงานของนกั วชิ าการท่ีเชี่ยวชาญก่อนที่จะไปศึกษาจากสถานท่ีจริงหรือของ จริง นอกจากน้ี ในการรวบรวมหลกั ฐานและการคน้ ควา้ ขอ้ มูล ผูศ้ ึกษาตอ้ งรู้ว่าควรรวบรวม หลกั ฐานขอ้ มูล จากแหล่งใดดว้ ย แหล่งรวบรวมหลกั ฐานที่สาํ คญั เช่น ห้องสมุด หอจดหมายเหตุ พพิ ธิ ภณั ฑสถาน แหล่งโบราณคดี เวบ็ ไซตท์ ี่นาํ ขอ้ มูลหลกั ฐานช้นั ตน้ มาเผยแพร 3) การประเมินคุณค่าของหลกั ฐาน หลกั ฐานทางประวตั ิศาสตร์ท่ีจะนาํ มาใช้ในการศึกษา คน้ ควา้ น้นั จะตอ้ ง ผา่ นการประเมินคุณค่าก่อนวา่ มีความน่าเช่ือถือและมีคุณค่ามากนอ้ ยเพียงใด ซ่ึง เรียกอีกอยา่ งหน่ึงวา่ “วพิ ากษว์ ธิ ีทาง ประวตั ิศาสตร์” มี 2 วธิ ีไดแ้ ก่ 3.1) การประเมินคุณค่าภายนอกหรือการวิพากษ์ภายนอก โดยประเมินหรือวิพากษ์จาก ลกั ษณะทว่ั ไป ของหลกั ฐานน้นั วา่ เป็นของจริงหรือของปลอม ขอ้ ควรพิจารณา เช่น 1. ผทู้ าํ หรือเขียนหลกั ฐานน้นั เป็นใคร ทาํ หรือเขียนข้ึนเม่ือใด เขียนข้ึนทาํ ไม เขียนท่ี ไหน 2. พิจารณาจากลกั ษณะภายนอกของหลกั ฐาน เช่น ความเก่าของเน้ือกระดาษ หมึก หรือลกั ษณะ ของเน้ือกระดาษ เช่น กระดาษของไทยแต่เดิมมีเน้ือหยาบ แผน่ หนา ส่วนกระดาษฝรั่ง มีเน้ือบางและเร่ิมเขา้ มาในรัชสมยั พระบาทสมเด็จพระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ดงั น้นั หลกั ฐานของไทย ก่อนหนา้ รัชสมยั น้ีจึงยงั ไม่ไดบ้ นั ทึกลงในกระดาษฝร่ัง 3.2) การประเมินคุณค่าภายในหรือการวพิ ากษ์ภายใน โดยประเมินหรือวิพากษ์ขอ้ มูลใน หลกั ฐานว่า มีความน่าเช่ือถือมากน้อยเพียงใด มีขอ้ มูลใดท่ีน่าสงสัยว่ากล่าวไม่ถูกตอ้ ง ในการ ประเมินคุณค่าของหลกั ฐานน้นั สามารถทาํ พร้อมกนั ไดท้ ้งั สองวธิ ีซ่ึงจะช่วยให้ประหยดั เวลาใน การศึกษา 4) การจดั หมวดหมู่และตีความ ในข้นั ตอนน้ีผูศ้ ึกษาตอ้ งศึกษาขอ้ มูลจากหลกั ฐานที่ถูก ประเมินคุณค่า แลว้ วา่ เป็ นของแทแ้ ละมีความน่าเช่ือถือ โดยทราบอยา่ งชดั เจนแล้ววา่ หลกั ฐานน้นั ให้ขอ้ มูลทางประวตั ิศาสตร์อะไรบา้ ง แล้วนาํ ขอ้ มูลท่ีได้มาจดั หมวดหมู่ เช่น ความเป็ นมาของ เหตุการณ์สาเหตุของเหตุการณ์ รายละเอียดของเหตุการณ์ และผลของเหตุการณ์ท้งั ผลดีและผลเสีย จากน้นั ผูศ้ ึกษาตอ้ งหาความสัมพนั ธ์ของประเด็นต่างๆ และตีความขอ้ มูลว่ามี ขอ้ เท็จจริงใดท่ียงั ไม่ไดก้ ล่าวถึงหรือกล่าวเกินความจริงมากเกินไป ในการตีความขอ้ มูล ผูศ้ ึกษาควรศึกษาขอ้ มูลอยา่ ง กวา้ งขวาง โดยนาํ หลกั ฐานอื่นๆ ในเร่ืองเดียวกนั หรือมีความสัมพนั ธ์กนั มาประกอบการศึกษา ซ่ึง จะช่วยใหผ้ ศู้ ึกษา สามารถตีความหลกั ฐานไดด้ ียง่ิ ข้ึน และควรนาํ หลกั ฐานช้นั รองที่มีผูศ้ ึกษาไวแ้ ลว้ มาวเิ คราะห์เปรียบเทียบดว้ ย
37 5) การวเิ คราะห์และสงั เคราะห์ขอ้ มูล เป็ นข้นั ตอนสุดทา้ ยท่ีผูศ้ ึกษาตอ้ งนาํ ขอ้ มูลท้งั หมดมา วิเคราะห์ สังเคราะห์คือ แยกแยะและรวมข้อมูล โดยจดั ขอ้ มูลเรื่องเดียวกนั หรือเก่ียวขอ้ งกนั ไว้ ดว้ ยกนั จากน้นั จึงนาํ เร่ือง ท้งั หมดมาสังเคราะห์หรือเรียบเรียงเขา้ ดว้ ยกนั ให้เป็ นเร่ืองราวตามที่ผู้ ศึกษากาํ หนดหัวเร่ืองไวร้ วมท้งั ให้ความรู้ใหม่หรือ คาํ อธิบายใหม่ในเร่ืองที่ศึกษาโดยมีข้อมูล หลกั ฐานสนบั สนุนและสรุปผลการศึกษา รวมท้งั ขอ้ เสนอแนะสาํ หรับผทู้ ี่จะศึกษาตอ่ ไป 3. หลกั ฐานทางประวตั ิศาสตร์ไทย 3.1 ประเภทของหลกั ฐานทางประวตั ศิ าสตร์ หลกั ฐานทางประวตั ิศาสตร์ไทยสามารถแบ่งออกไดเ้ ป็ น 2 ประเภท ดงั น้ี 1) หลักฐานช้ันต้น (Primary Sources) เป็ นหลกั ฐานร่วมสมยั กบั บุคคลหรือเหตุการณ์ ที่ เกิดข้ึน บนั ทึกโดยผรู้ ู้เห็นเกี่ยวขอ้ งกบั เหตุการณ์น้นั ๆ เช่น หลกั ฐานทางราชการท้งั ที่เป็ นเอกสารลบั และเอกสารที่เปิ ดเผยซ่ึงเก็บไวท้ ่ีสํานักหอจดหมายเหตุแห่งชาติสํานักราชเลขาธิการ รัฐสภา กระทรวง และหน่วยงานราชการ จารึก เช่น จารึกสมยั สุโขทยั จารึกลา้ นนา พระราชพงศาวดารสมยั อยธุ ยาพระราชพงศาวดารสมยั รัตนโกสินทร์กฎหมาย เช่น กฎหมายตราสามดวง กฏหมายหวั เมือง กฎหมายอาญาสนธิสัญญา เช่น สนธิสัญญา เบาว์ริง ประกาศ เช่นประชุมประกาศรัชกาล ท่ี 4 ประกาศห้ามสูบ กิน ซ้ือ ขายฝิ่ น สมยั รัชกาล ที่ 3 ราชกิจจานุเบกษา สุนทร พจน์ คาํ พิพากษา จดหมายเหตุ รายงานการประชุม รายงานประจาํ ปี บนั ทึกประจาํ วนั ของผู้ท่ีเก่ียวข้องใน เหตุการณ์ อัตชีวประวัติและข่าวจากหนังสื อพิมพ์ เป็ นตน้ ในการตรวจสอบหาอายขุ องหลกั ฐาน สนธสิ ัญญาเบอร์นีย์ เป็ นหลกั ฐานช้ันต้นทใี่ ห้ความรู้ ทาง โบราณคดเี ช่น โบราณสถาน โบราณวตั ถุ เกยี่ วกบั การต่างประเทศของไทยสมยั รัชกาลที่ 3 ส่วนหลกั ฐานช้นั ตน้ ที่ไมใ่ ช่หลกั ฐานท่ีเป็ นลายลกั ษณ์ โครงกระดูก มนุษย์และสัตว์ นอกจากกาหนด อายุโดยการเทยี บเคยี ง จากวตั ถุทขี่ ุดพบในช้ัน อกั ษร เช่น สถาปัตยกรรม ประติมากรรม เคร่ืองมือเคร่ืองใช้ ดนิ เดยี วกนั แล้ว ยงั อาศัยจาก เครื่องมือทาง โครงกระดูกโบราณสถาน โบราณวตั ถุ รูปภาพ วดี ิทศั น์ เป็นตน้ วทิ ยาศาสตร์ได้แก่ การวดั รังสีกมั มนั ตภาพ การใชห้ ลกั ฐานช้นั ตน้ ในการศึกษาคน้ ควา้ ทาง (Radio-Activity) ของ คาร์บอนทห่ี ลงเหลือ ประวตั ิศาสตร์จะทาํ ใหง้ านวจิ ยั มีความน่าเชื่อถือมากข้ึนแต่ผศู้ ึกษา อยู่ในอนิ ทรียวตั ถุโบราณ หรือเป็ นทร่ี ู้จกั กนั ควรรู้จกั ใชห้ ลกั ฐานอยา่ งระมดั ระวงั เพราะหลกั ฐานบางอยา่ งจะ โดย ทวั่ ไปว่า “วธิ ีตรวจสอบ ด้วยคาร์บอน” กล่าวถึงเพยี งดา้ นเดียว เช่น หาก เป็นบนั ทึกส่วนตวั ก็อาจเขียน จากมุมมองของผบู้ นั ทึกหรือเขียนแต่เร่ืองท่ีดีของฝ่ ายตน การนาํ หลกั ฐานช้นั ตน้ มาใชจ้ ึงตอ้ งมีการประเมินคุณค่าของหลกั ฐานอยา่ ง รอบคอบเสียก่อน
38 2) หลกั ฐานช้ันรอง (Secondary Sources) เป็ นหลกั ฐานท่ีเขียนข้ึนภายหลงั เหตุการณ์ ท่ี เกิดข้ึน โดยใช้ขอ้ มูลจากหลกั ฐานช้ันต้น เช่น หนังสือ งานวิจยั วิทยานิพนธ์บทความ เอกสาร สัมมนา หนงั สือท่ีระลึกงานศพ ชีวประวตั ิส่วนหลกั ฐานช้นั รองท่ีไม่ใช่หลกั ฐานท่ีเป็ นลายลกั ษณ์ อกั ษร เช่น ภาพยนตร์แผน่ ซีดี หลกั ฐานทางประวตั ิศาสตร์ที่สมบูรณ์และหลากหลายทาํ ใหก้ ารสืบคน้ ทางประวตั ิศาสตร์ มี ความสมบูรณ์ผศู้ ึกษาควรใชท้ ้งั หลกั ฐานช้นั ตน้ และหลกั ฐานช้นั รองประกอบการศึกษา 3.2 ลกั ษณะของหลกั ฐานทางประวตั ศิ าสตร์ 1) หลักฐานที่เป็ นลายลักษณ์อักษร จดั เป็ นหลกั ฐานท่ีมีการบนั ทึกเป็ นตวั อกั ษรลงบน วสั ดุ เช่น แผน่ หิน ใบลาน กระดาษ ลกั ษณะของหลกั ฐานที่เป็ นลายลกั ษณ์อกั ษรทางประวตั ิศาสตร์ ไทย เช่น ตาํ นาน จารึก พระราชพงศาวดาร หนงั สือราชการ เอกสารส่วนบุคคล จดหมายเหตุ บนั ทึก ของชาวต่างชาติที่เดินทางเขา้ มา 1.1) ตานาน คือ เร่ืองท่ีเล่าต่อๆ กนั มา และถูกจดเป็ นลายลกั ษณ์อกั ษรไวภ้ ายหลงั ทาํ ให้ เร่ืองราวในตาํ นานไม่มีวนั เวลาท่ี แน่นอน หรือไม่คาํ นึงถึงเร่ืองเวลา ตาํ นานอาจแยกได้เป็ น ตาํ นาน ฝ่ ายวดั คือ เป็ นเร่ืองราวเก่ียวกบั พระพุทธศาสนา เช่น ตาํ นานมูลศาสนา ตาํ นานพระพุทธ สิหิงค์ ตาํ นานพระแกว้ มรกต และตาํ นานฝ่ ายเมือง เป็ นเร่ืองราวเกี่ยวกบั กษตั ริยว์ รี บุรุษ บา้ นเมือง ชื่อสถานท่ี โบราณสถาน โบราณวตั ถุ เช่น ตาํ นานพระยากงพระยาพาน ตาํ นานสิงหนวตั ิกุมาร ตาํ นานขนุ บรม ตาํ นานเมืองสุวรรณโคมคาํ ตาํ นานเร่ืองพระร่วง เป็นตน้ แมว้ า่ ตาํ นานจะมีเคา้ ความจริงทางประวตั ิศาสตร์แทรกอยู่ แต่ตาํ นานก็จดั เป็ นหลกั ฐาน ท่ีมี คุณค่าทางประวตั ิศาสตร์น้อย เพราะไม่ปรากฏช่ือของผูแ้ ต่ง ไม่ระบุเวลาท่ีแต่ง เวลาของเหตุการณ์ ไม่มีหลกั ฐานอา้ งอิง ไม่มีความชดั เจนในเร่ืองบุคคล เวลา และสถานที่ในตาํ นาน นอกจากน้ีการเล่า ต่อๆ กนั มา ทาํ ใหต้ าํ นานเรื่องเดียวกนั ในแตล่ ะพ้ืนท่ีมีรายละเอียดต่างกนั 1.2) จารึก คือ การสลกั ตวั อกั ษรลงบนวสั ดุและเรียกชื่อตามวสั ดุที่นาํ มาจารึก เช่น จารึก ลงบนแผน่ หิน เรียกวา่ “ศิลาจารึก” เช่น ศิลาจารึกสุโขทยั จารึกลงบนแผน่ ทอง เรียกวา่ “จารึก ลานทอง” จารึกลงบนแผน่ เงิน เรียกวา่ “จารึกลานเงิน” จารึกลงบนใบลาน เรียกวา่ “จารึกใบลาน” ในบรรดาจารึกลักษณะต่าง ๆ ศิลาจารึกมีความสําคัญมากท่ีสุด เพราะสามารถให้ รายละเอียดขอ้ มูลไดม้ ากกวา่ การจารึกลงบนวสั ดุอ่ืน ๆ รวมท้งั มีความคงทนมากกวา่ 1.3) พระราชพงศาวดาร เป็ นการบนั ทึกเร่ืองราวเกี่ยวกบั พระมหากษตั ริยเ์ ร่ิมต้งั แต่ สมยั อยธุ ยามาจนถึงสมยั รัชกาลที่ 5 เน้ือหาในพระราชพงศาวดารเกี่ยวกบั พระมหากษตั ริยเ์ ป็ นหลกั ไม่มีเร่ืองราวของราษฎร และเนน้ เร่ืองการเชิดชูพระเกียรติยศ ดงั น้นั การใชพ้ ระราชพงศาวดาร ใน การศึกษาประวตั ิศาสตร์จึงตอ้ งตรวจสอบจากหลกั ฐานอ่ืนดว้ ย เช่น พระราชพงศาวดารของประเทศ เพ่ือนบ้าน เอกสารของชาวต่างชาติในสมัยน้ันๆ พระราชพงศาวดารท่ีสําคัญ เช่น พระราช พงศาวดาร กรุงศรีอยธุ ยาฉบบั หลวงประเสริฐฯ ถือเป็ นพระราชพงศาวดารที่เก่าแก่ท่ีสุดท่ีเหลืออยู่
39 ในปัจจุบนั ซ่ึงใหข้ อ้ มูลเกี่ยวกบั เรื่องศกั ราชต่างๆไดถ้ ูกตอ้ ง ต้งั ตามชื่อหลวงประเสริฐอกั ษรนิต์ิผูไ้ ป สํารวจพบ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบบั บริติชมิวเซียม ต้งั ตามช่ือสถานที่ที่พบพระราช พงศาวดาร พระราชพงศาวดารฉบบั พระราชหตั ถเลขา เพราะมีลายพระราชหตั ถเลขาของรัชกาลท่ี 4 ท่ีทรงร่วม ชาํ ระปรากฏอยู่ ส่วนพระราชพงศาวดารในสมยั รัตนโกสินทร์มีต้งั แต่สมยั รัชกาลที่ 1 ถึง รัชกาลที่ 5 พระราชพงศาวดารเป็ นหลกั ฐานช้นั ตน้ ท่ีบนั ทึกเรื่องราวเก่ียวกบั พระมหากษตั ริย์ 1.4) หนังสือราชการ เช่น หมายรับส่ัง หนงั สือส่ังราชการ เอกสารการประชุม เช่น รายงานการประชุมเสนาบดีสภาในสมยั รัชกาลท่ี 5 รายงานการประชุมอภิรัฐมนตรีสภาสมยั รัชกาล ท่ี 7 หนงั สือราชการท่ี ตกทอดมาถึงปัจจุบนั เป็ นของสมยั รัตนโกสินทร์ โดยเฉพาะต้งั แต่สมยั รัชกาล ที่ 5 เป็ นต้นมา ซ่ึงเก็บรักษาไวท้ ่ีสํานักหอจดหมายเหตุแห่งชาติสํานักราชเลขาธิการ สํานัก นายกรัฐมนตรี เป็ นตน้ ส่วนเอกสารท่ีเป็ นสมุดไทยต้งั แต่สมยั รัชกาลท่ี 4 ข้ึนไป เก็บรักษาไวท้ ี่ หอสมุดแห่งชาติและ หอวชิรญาณในหอสมุดแห่งชาติ ในปัจจุบนั ได้มีการตีพิมพ์หนังสือราชการออกมา เช่น ประชุมหมายรับส่ังสมยั ธนบุรี รายงานการประชุมเสนาบดีสภารัชสมยั พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เรื่องสภาทิ่ ปรึกษา ราชการแผน่ ดิน ซ่ึงช่วยใหก้ ารคน้ ควา้ ทางประวตั ิศาสตร์สะดวกมากข้ึน 1.5) เอกสารส่วนบุคคล เป็ นบนั ทึกหรือจดหมายของผูท้ ี่เกี่ยวขอ้ งหรือรู้เห็นเหตุการณ์ จึงถือเป็ นเอกสารช้นั ตน้ ที่มีคุณค่ามาก ตวั อย่างเอกสารส่วนบุคคล เช่น จดหมายเหตุพระราชกิจ รายวนั รัชกาลท่ี 5 จดหมายเหตุความทรงจาํ กรมหลวงนรินทรเทวี พระราชหตั ถเลขาในรัชกาลที่ 5 เรืองเสด็จประพาสแหลมมลายู รวม 4 คราว ร.ศ. 108, 109, 117, 120 ประชุมพระราชหตั ถเลขาใน พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั บนั ทึกของบุคคลในคณะราษฎรที่เปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 1.6) บันทกึ ของชาวต่างชาติ ซ่ึงบนั ทึกหรือเขียนเร่ืองราวเกี่ยวกบั เมืองไทยไวน้ บั เป็ น หลกั ฐานทางประวตั ิศาสตร์ที่มีคุณคา่ มาก เพราะใหข้ อ้ มูลหลากหลาย เช่น เรื่องเกี่ยวกบั สภาพสังคม
40 ชีวติ อาชีพ อาหารการกิน ประเพณีการดาํ รงชีวติ ของคนไทยสมยั ต่างๆ บางเร่ืองอาจให้ขอ้ มูลเสริม ในส่ิงที่หลกั ฐานไทยมีอยแู่ ลว้ ขณะที่บางเรื่องอาจใหข้ อ้ มูลท่ีหลกั ฐานไทยไม่ไดก้ ล่าวถึง บนั ทึกของชาวต่างชาติมีมาก ท้งั บนั ทึกของทางการ จีนบนั ทึกของคณะทูตฝร่ังเศสและเปอร์เซียในสมยั อยธุ ยา บนั ทึกของพอ่ คา้ และบาทหลวงที่เขา้ มาสมยั อยธุ ยาและ สมยั รัตนโกสินทร์ เช่น จดหมายเหตุลาลูแบร์ ของเดอ ลาลูแบร์ ราชทูตฝรั่งเศสที่เขา้ มาสมยั สมเดจ็ พระนารายณ์ บนั ทึกรายวนั ของเทาเซนดแ์ ฮรีส ทูตอเมริกนั ท่ีเขา้ มา ในสมยั รัชกาลที่ 4 หนงั สือเล่าเรื่องกรุงสยามของ ปาลเลอกวั ซ์บาทหลวงชาวฝรั่งเศสท่ีอยใู่ นสยาม สมยั รัชกาลท่ี 3 และรัชกาลที่ 4 ราชอาณาจกั รและ ราษฎรสยามของเซอร์ จอห์น เบาวร์ ิง ราชทูตองั กฤษท่ีเขา้ มาในสมยั ตน้ รัชกาลที่ 4 2) หลักฐานที่ไม่เป็ นลายลักษณ์อักษร ส่วนมากเป็ นหลกั ฐานทางโบราณคดีเช่น โบราณ สถาน โบราณวตั ถุ โครงกระดูกมนุษยภ์ าชนะดินเผา วดั เจดียพ์ ระพุทธรูป เทวรูป ธรรมจกั ร รูปป้ัน ภาพจิตรกรรมฝาผนงั รูปภาพ แถบบนั ทึกเสียง แผน่ เสียง เทปบนั ทึกภาพ เป็ นตน้ 3.3 แหล่งรวบรวมหลักฐานทางประวัติศาสตร์ แหล่งรวบรวมหลักฐานทาง ประวตั ิศาสตร์ไทยที่ผู้ ศึกษาสามารถไปคน้ ควา้ ได้ในประเทศไทย ท่ีสําคญั คือ สํานกั หอสมุด แห่งชาติสํานกั หอจดหมายเหตุแห่งชาติ หอจดหมายเหตุมหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์สยามสมาคม พิพธิ ภณั ฑสถานในภูมิภาคต่างๆ หน่วยงานของราชการ เช่น กระทรวงการต่างประเทศ สาํ นกั ราช เลขาธิการ สาํ นกั นายกรัฐมนตรีรัฐสภา สาํ นกั งานสถิติแห่งชาติ หอ้ งสมุดประจาํ มหาวทิ ยาลยั แหล่งโบราณคดี ฐานขอ้ มูล หรือเวบ็ ไซตท์ ่ีเก่ียวขอ้ ง ส่วนแหล่งที่เกบ็ รวบรวมท้งั หลกั ฐานช้นั ตน้ และหลกั ฐาน ช้นั รองเกี่ยวกบั เมืองไทยในต่างประเทศ เช่น หอสมุดแห่งชาติของตา่ งประเทศ หอจดหมายเหตุแห่งชาติ เช่น หอสมุด หอจดหมายเหตแุ ห่งชาติเป็นสถานท่ีเกบ็ รวบรวม หลกั ฐาน แห่งชาติปารีส ประเทศฝรั่งเศส ซ่ึงมีหลกั ฐาน ทางประวตั ิศาสตร์ไทยท่ีสาํ คญั แห่งหน่ึงใน ประเทศไทย ของไทยสมยั อยธุ ยา สถานทูตไทยในต่าง ประเทศ
41 เช่น สถานทูตองั กฤษ มีแฟ้มเอกสารของเซอร์จอห์น เบาวร์ ิง ซ่ึงเป็นผแู้ ทนรัฐบาลไทยที่ประเทศ องั กฤษในสมยั รัชกาลท่ี 4 หอสมุด รัฐสภาสหรัฐอเมริกา สถาบนั วจิ ยั เก่ียวกบั เอเชียที่ประเทศ สิงคโปร์ ประเทศญี่ป่ ุน เป็นตน้ ย้อนเวลาหาอดีต พพิ ธิ ภัณฑสถานแห่งชาตพิ ระนคร พพิ ธิ ภณั ฑสถานแห่งชาติพระนคร เป็ นพพิ ิธภณั ฑ สถานแห่งชาติแห่งแรกของประเทศไทยมีประวตั ิ การจดั ต้งั สืบเน่ืองมาจากพพิ ิธภณั ฑสถานสาํ หรับ ประชาชน ซ่ึงรัชกาลที่ 5 โปรดเกลา้ ฯ ใหจ้ ดั ต้งั ข้ึน ในพระบรมมหาราชวงั เมื่อ พ.ศ. 2417 ต่อมาใน พ.ศ. 2430 ไดย้ า้ ยมาท่ีพระราชวงั บวรสถานมงคลหรือวงั หนา้ ใน พ.ศ. 2469 รัชกาลที่ 6 โปรดเกลา้ ฯ พระราชทานให้เป็น พพิ ิธภณั ฑสถานแห่งชาติสาํ หรับพระนคร ต่อมาไดเ้ ปล่ียนชื่อเป็ น “พพิ ธิ ภณั ฑสถานแห่งชาติ พระนคร” และไดม้ ีการปรับปรุงเปล่ียนแปลงหลายคร้ังเพ่ือใหเ้ ป็น สถาบนั ท่ีใหค้ วามรู้เกี่ยวกบั ศิลปวฒั นธรรมของชาติไทย 4. ตวั อย่างการนาวธิ ีการทางประวตั ิศาสตร์มาใช้ในการศึกษา ประวตั ศิ าสตร์ไทย จากข้นั ตอนของวธิ ีการทางประวตั ิศาสตร์ดงั กล่าวขา้ งตน้ ต่อไปน้ีจะเป็นการนาํ เสนอ ตวั อยา่ ง ของการใชว้ ธิ ีการทางประวตั ิศาสตร์ในการสร้างองคค์ วามรู้ใหม่ 1) การกาํ หนดหวั เร่ือง ในข้นั ตน้ นกั เรียนอาจกาํ หนดหวั ขอ้ กวา้ งๆ เช่น เมืองไทยสมยั รัชกาลท่ี 6 พระราชกรณียกิจในรัชกาลที่ 6 หรือกาํ หนดหวั ขอ้ ใหแ้ คบลงมา เช่น นกั เรียนทราบวา่ รัชกาลที่ 6 ทรงเนน้ นโยบายสร้างชาตินิยม สร้างวฒั นธรรม และสร้างเอกลกั ษณ์ของชาติหลายอยา่ ง เช่น การใชธ้ งไตรรงคก์ ารใชค้ าํ นาํ หนา้ ชื่อ การใชน้ ามสกุล นกั เรียนอาจเริ่มต้งั คาํ ถามเพอื่ เป็น ประเด็น ในการศึกษาวา่ รัชกาลท่ี 6 ทรงมีจุดประสงคอ์ ะไรในการเปลี่ยนแปลงหรือสร้างวฒั นธรรม ใหม่ๆ ข้ึนและมีพระราชกรณียกิจใดบา้ งท่ีเก่ียวขอ้ ง ช่ือหวั ขอ้ ที่นกั เรียนจะศึกษาอาจกาํ หนดวา่ “การสร้างชาตินิยม และเอกลกั ษณ์ทางวฒั นธรรมของรัชกาลท่ี 6” 2) การรวบรวมหลกั ฐาน เม่ือเลือกประเด็นที่ จะศึกษาไดแ้ ลว้ นกั เรียนควรรวบรวม หลกั ฐาน ช้นั รองก่อน เพ่ือดูวา่ มีการศึกษาเร่ืองเหล่าน้ี มากนอ้ ยเพยี งใด ผศู้ ึกษามาก่อนมีขอ้ เสนอ อยา่ งไรบา้ ง หลกั ฐานช้นั รองที่เก่ียวกบั ประเดน็ น้ีเช่น หนงั สือเรื่อง รัชกาลท่ี 6 กบั การส่งเสริม เอกลกั ษณ์ของชาติ โดยสมพร เทพสิทธา และประภา ภกั ด์ิโพธ์ิ เร่ืองเหตุท่ีพระบาทสมเด็จพระ มงกุฎเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงเปลี่ยนธงชาติไทย; ลน้ เกลา้ รัชกาลท่ี 6 สาํ รวจคอคอดกระ โดยจมื่นอมร ดรุณารักษ์ (แจ่ม สุนทรเวช) วทิ ยานิพนธ์เรื่อง รัชกาลท่ี 6 กบั การสร้างชาติโดยกรรภิรมยส์ ุวรรณา นนทน์ อกจากน้ียงั มีหนงั สือ ภาษาองั กฤษที่ศึกษาเกี่ยวกบั ชาตินิยมสมยั รัชกาลท่ี 6 ท่ีมีช่ือเสียง คือ Chaiyo! King Vajiravudh and the Development of Thai Nationalism โดยวอลเตอร์เอฟ เวลลา
42 (Walter F. Vella) เป็นตน้ หลกั ฐานช้นั รองจะทาํ ใหม้ ีความเขา้ ใจเร่ืองที่ จะศึกษาดีข้ึนและยงั ช่วยให้ นกั เรียนทราบวา่ ผูเ้ ขียนใชห้ ลกั ฐานอะไรบา้ ง ในการศึกษา โดยเฉพาะขอ้ มูลเก่ียวกบั หลกั ฐาน ช้นั ตน้ ประเภทพระราชหตั ถเลขา พระราชดาํ รัส พระบรมราโชวาทในรัชกาลที่ 6 เพอ่ื ศึกษา แนวคิด ชาตินิยมของรัชกาลที่ 6 หรือศึกษาวา่ เพราะเหตุใดรัชกาลท่ี 6 จึงทรงเปลี่ยนแปลงหรือกาํ หนด วฒั นธรรมใหม่ ๆ ข้ึนมาซ่ึงนกั เรียนควรอา่ นหลกั ฐานช้นั ตน้ เหล่าน้ีดว้ ย แมว้ า่ ผเู้ ขียนหลกั ฐานช้นั รองไดน้ าํ มาวเิ คราะห์แลว้ ก็ตาม หลกั ฐานช้นั ตน้ ในประเด็นน้ี เช่น พระราชดาํ รัสของ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั รวม 100 คร้ัง พระราชนิพนธ์ เช่น ปลุกใจเสือป่ า พระราชนิพนธ์บทละคร พดู เรื่อง พระร่วงพระราชนิพนธ์เร่ืองยวิ แห่ง บูรพาทิศ เรื่องเมืองไทยจงตื่นเถิด : คาํ เตือนสติคนไทย จดหมายเหตุพระราชกิจ รายวนั ในรัชกาลท่ี 6 พระราช- นิพนธ์ประวตั ิตน้ รัชกาลท่ี 6 นอกจากน้ีนกั เรียนสามารถศึกษา หลกั ฐานช้นั ตน้ ประเภทพระราชหตั ถเลขาท่ีทรงมีถึงหรือทรงไดร้ ับจากบุคคลต่าง ๆ ซ่ึงมีเกบ็ ไวท้ ี่ สาํ นกั หอจดหมายเหตุแห่งชาติ 3) การประเมินคุณค่าของหลกั ฐาน เมื่อนกั เรียนรวบรวมหลกั ฐานช้นั ตน้ ประเภท พระ ราชหตั ถเลขาหรือหนงั สือราชการท่ีสาํ นกั หอจดหมายเหตุแห่งชาติมาแลว้ นกั เรียนควรพิจารณาว่า หลกั ฐานน้นั เกี่ยวขอ้ งกบั เร่ืองอะไร ใครเป็ นผูเ้ ขียน เป็ นจดหมายส่วนตวั หรือหนงั สือราชการ เป็ น หนังสือท่ีมีถึงคนไทยหรือคนต่างชาติเพราะจดหมายส่วนตวั ย่อมมีรายละเอียดเน้ือหาต่างจาก หนงั สือราชการ เช่น อาจกล่าวพาดพงิ ถึงบุคคลอ่ืน กล่าวถึงเรื่องส่วนตวั การคาดคะเนต่างๆ เป็นตน้ ส่วนหนงั สือราชการมกั มีข้อความท่ีเป็ นทางการ เป็ นคาํ สั่ง นโยบาย หรือแผนการทาํ งาน หากเป็ นจดหมายที่ส่งถึงชาวต่างชาติอาจบอกความคาดหวงั ต่างๆ และการสร้างทศั นคติท่ีดีให้ เกิดข้ึน แก่ประเทศไทยในหมู่ชาวต่างประเทศ เป็นตน้ สาํ หรับประเด็นผูเ้ ขียนหลกั ฐานน้นั นกั เรียนตอ้ งมีความรู้พ้ืนฐานวา่ ในสมยั รัชกาลที่ 6 มี คนรุ่นใหมแ่ ละทหารท่ีไดร้ ับการศึกษาแบบตะวนั ตกพยายามเรียกร้องการปกครองแบบรัฐสภาและ มีความขัดแยง้ กันในรัฐบาลและในหมู่เช้ือพระวงศ์ซ่ึงทาํ ให้หลักฐานช้ันต้นประเภทจดหมาย ส่วนตวั ท่ีนกั เรียนใช้ศึกษาอาจเขียนข้ึนท่ามกลางสภาพทางการเมืองและความคิดแบบหน่ึง และ บุคคลที่มีความแตกต่างกนั ในดา้ นชาติกาํ เนิด การศึกษา อาชีพ ย่อมมีมุมมองแนวคิดต่างกนั ดงั น้นั เอกสารประเภทจดหมายส่วนตวั บทความในหนงั สือพิมพห์ รือหนงั สืออตั ชีวประวตั ิย่อมให้ขอ้ มูล และมุมมองแตกต่างกนั หากนกั เรียนไม่เขา้ ใจสภาพแวดลอ้ มก่อนๆอาจทาํ ใหไ้ ดข้ อ้ สรุปท่ีไม่ถูกตอ้ ง คลาดเคลื่อนจากความเป็ นจริ ง
43 4) การจัดหมวดหมู่และตีความ ในข้นั ตอนน้ีนกั เรียนสามารถทาํ ได้ เช่น กลุ่มแรกเป็ น หลกั ฐานประเภทพระราชหตั ถเลขา พระราชดาํ รัส พระราชนิพนธ์ในรัชกาลท่ี 6 กลุ่มท่ีสองเป็ น หลกั ฐานช้นั ตน้ ประเภทจดหมาย หนงั สือราชการ ท้งั ที่เป็นของรัชกาลที่ 6 และของบุคคลอื่น กลุ่มท่ี สามเป็ นหลกั ฐานช้นั ตน้ ประเภทหนงั สือพิมพ์ร่วมสมยั กลุ่มท่ีส่ีเป็ นหลกั ฐานช้นั รอง เป็ นตน้ หรือ จดั หมวดหมู่ หลกั ฐานตามประเด็น เช่น หลกั ฐานเกี่ยวกบั การสร้างชาตินิยม ท้งั พระราชดาํ รัส พระ ราชนิพนธ์ต่างๆ และหลกั ฐานช้นั รองท่ีเก่ียวขอ้ งหลกั ฐานเก่ียวกบั การสร้างเอกลกั ษณ์ของชาติเช่น การใชธ้ งไตรรงค์ การใชน้ ามสกุล การใชค้ าํ นาํ หนา้ ช่ือ เป็นตน้ จากน้นั ควรหาความสมั พนั ธ์ของเหตุการณ์ เช่น อะไรเกิดก่อนหลงั อะไรเป็ นปัจจยั ให้ทรง มีประกาศหรือการกาํ หนดต่าง ๆ ผลของการสร้างชาตินิยม การตอบรับของประชาชน รวมท้งั ควรมี ความรู้เก่ียวกบั สภาพเหตุการณ์ท้งั ดา้ นการเมือง เศรษฐกิจ สงั คม ในสมยั ที่ศึกษาเพ่อื ใหก้ ารตีความ หลกั ฐานขอ้ มูลมีความถูกตอ้ งมากที่สุด 5) การวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูล นกั เรียนตอ้ งนาํ การตีความท่ีไดม้ าเรียบเรียงอยา่ ง เป็ นระบบ เช่น มีการลาํ ดบั หัวขอ้ การอธิบายถึงความรู้หรือความคิดใหม่ที่ไดจ้ ากการศึกษา โดยมี หลกั ฐานประกอบการอา้ งอิงอยา่ งมีเหตุมีผล และอธิบายว่าความรู้ท่ีนกั เรียนศึกษาเหมือนหรือต่าง จาก งานท่ีมีผูศ้ ึกษามาแลวอย่างไร รวมท้งั สรุปว่านกั เรียนเขา้ ใจประเด็นท่ีไดศ้ ึกษาคน้ ควา้ ดีข้ึน เพียงใด เป็นตน้ กล่าวโดยสรุป วธิ ีการทางประวตั ิศาสตร์มีกระบวนการคล้ายกบั วิธีการทางวิทยาศาสตร์ที่ ใชก้ ารสืบคน้ หลกั ฐาน การประเมินคุณค่าหลกั ฐาน การตีความ การวิเคราะห์และสังเคราะห์ขอ้ มูล การนาํ เสนอเร่ืองราวอยา่ งมีเหตุมีผล มีความเป็ นกลาง และมีหลกั ฐานอา้ งอิงได้ เพื่อให้ไดเ้ รื่องราว ทาง ประวตั ิศาสตร์ท่ีมีความถูกตอ้ งและสมบูรณ์ท่ีสุด นอกจากน้นั ในแต่ละทอ้ งถ่ินต่างมีเรื่องราวท่ีน่าสนใจของตนเอง เราจึงสามารถนาํ วิธีการ ทาง ประวตั ิศาสตร์มาใชศ้ ึกษาประวตั ิศาสตร์ทอ้ งถ่ินได้ หวั ขอ้ เกี่ยวกบั ประวตั ิศาสตร์ทอ้ งถิ่น เช่น สถานที่สาํ คญั บุคคลสําคญั เหตุการณ์ในประวตั ิศาสตร์ของทอ้ งถ่ินในการรวบรวมหลกั ฐานขอ้ มูล แต่ละท้องถ่ินอาจมีหลกั ฐานข้อมูล ท้งั ท่ีเป็ นประเภทเดียวกันและต่างกนั เช่น บางท้องถ่ินมี หลกั ฐานทาง โบราณคดีเหมือนกนั แต่บางทอ้ งถ่ินอาจไม่มีแหล่งโบราณคดีบางทอ้ งถ่ินมีปูชนีย สถาน ปูชนียวตั ถุสาํ คญั ท่ีมีประวตั ิความเป็ นมายาวนาน เช่น มีวดั เก่าแก่ มีพระพุทธรูป มีอนุสาวรีย์ ผูก้ ่อต้งั เมือง หรือผูท้ าํ คุณความดีแก่ทอ้ งถิ่น แต่การใช้ขอ้ มูลจากตาํ นานก็ควรใช้อย่างระมดั ระวงั บางทอ้ งถ่ินมี หนงั สือที่เขียนโดยคนในทอ้ งถิ่น ซ่ึงเราสามารถรวบรวมขอ้ มูลจากหลกั ฐานประเภท ต่างๆ เหล่าน้ีมาใช้ ค้นคว้าเรื่องราวทางประวตั ิศาสตร์ของท้องถิ่นได้ดังน้ัน วิธีการทาง ประวตั ิศาสตร์จึงเป็ นการศึกษา ประวตั ิศาสตร์อยา่ งเป็ นระบบ มีการคน้ ควา้ ขอ้ มูลจากหลกั ฐานที่ น่าเช่ือถือ ผลงานทางประวตั ิศาสตร์ ท่ีดีควรใหค้ วามรู้ใหมห่ รือยนื ยนั ความรู้เดิม
44 กจิ กรรมท้ายบท ให้นักเรียนอธิบายข้นั ตอนของวธิ ีการทางประวตั ศิ าสตร์แต่ละข้นั ตอนมาพอสังเขป วธิ ีการ ทางประวตั ิศาสตร์ ข้นั ท่ี 1 ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ข้นั ท่ี 2 ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ข้นั ท่ี 3 ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188