Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ม.ต้น สุขศึกษา ทช21002

ม.ต้น สุขศึกษา ทช21002

Published by nutthar.n, 2020-12-14 04:36:01

Description: ม.ต้น สุขศึกษา ทช21002_compressed

Search

Read the Text Version

143 เร่ืองที่ 1 การปองกันอันตรายจากการประกอบอาชีพ สขุ ภาพกบั การประกอบอาชีพมีความสัมพันธกนั อยา งมาก คอื 1. การประกอบอาชีพทําใหเรามีความเปนอยูที่ดีและในขณะเดียวกันการที่เราจะ สามารถประกอบอาชีพไดจ ําเปน ตองมีสขุ ภาพทดี่ ีทง้ั รางกายและจติ ใจ ทง้ั สองสิ่งนี้ตองควบคกู นั ไปจึง จะทํางานไดอยา งมีประสิทธภิ าพ 2. ความสัมพันธในทางลบ คอื การประกอบอาชพี สง ผลเสยี ตอ สขุ ภาพ ทําใหเ กดิ โรค และอนั ตรายได ดงั นัน้ จึงจาํ เปนทตี่ องควบคมุ และปอ งกนั โรค รวมทัง้ อันตรายจากการประกอบอาชีพ นอกจากนคี้ วรใหก ารศึกษาแกประชาชนใหประกอบอาชีพไดอยา งปลอดภัย ปจจยั ทเ่ี ปน สาเหตขุ องการเกิดโรคและอันตรายจากการประกอบอาชีพ ปจจยั ท่ีสาํ คญั ไดแ ก 1. บุคคลผูป ฏบิ ตั งิ านและควบคมุ การทาํ งาน เปนผูควบคุม กําหนด และปฏิบัติการทาํ ส่ิงตา ง ๆ องคป ระกอบตาง ๆ ของบคุ คลท่สี ง ผลใหเกดิ โรคหรอื อนั ตรายจากการทาํ งาน ไดแ ก 1.1 สภาวะทางรางกายและจิตใจ รางกายและจิตใจออนแอทําใหเกิดโรคหรือ อันตรายได 1.2 ลักษณะนิสัยการทํางาน ตองรักการทํางาน ละเอียด รอบคอบ จึงจะไมเกิด โรคหรืออนั ตราย 1.3 การขาดความรูความสามารถในการทาํ งานและประสบการณก็เปนอีกปจจัย หน่งึ ทีท่ ําใหเ กดิ โรค 2. สภาพแวดลอมทางกายภาพ ไดแก สถานทท่ี ํางาน แสง เสียง ฯลฯ 3. สารเคมี เปน ส่ิงทมี่ ีประโยชนแ ละโทษในการประกอบอาชพี 4. เชอื้ โรคและพษิ ของเชอ้ื โรค เมือ่ เขาสรู างกายอาจเกดิ อนั ตรายได 5. เคร่ืองจักร เคร่อื งมอื และในการทาํ งาน หากใชอยา งไมถ ูกตอ ง อาจเกดิ อนั ตรายได

144 สภาพการณที่ไมปลอดภัย (Unsafe Conditions) เครอ่ื งจกั ร : ไมม อี ุปกรณปองกนั สวนทีเ่ คลือ่ นไหว หรือมไี มเพียงพอ เครอ่ื งมอื : อุปกรณช ํารุด เปนอันตราย สิ่งของ : วสั ดุ วางไมเปนระเบยี บ อาคาร : สง่ิ ปลูกสรางไมมัน่ คง สารเคมี : วัตถุมพี ษิ ไมมีทเ่ี กบ็ โดยเฉพาะ สภาพ ความรอน ความเยน็ แสงสวาง เสียงดัง ฝุนละออง ไอระเหย ฯลฯ การกระทําท่ีไมปลอดภยั (Unsafe Acts)  เดนิ เครอ่ื งจกั รหรือทาํ งานที่ไมใ ชหนา ทีข่ องตน หรือไมร ูงาน  เดนิ เครอื่ งเรว็ เกินควร  ถอดอปุ กรณป องกนั อันตรายออก  ใชเ ครอื่ งมอื ไมถูกวิธี ไมเ หมาะสม หรอื ไมปลอดภยั  ทา ปฏิบตั ิงานไมเหมาะสม  ไมใชอ ุปกรณปองกันสวนบุคคล  ประมาท มกั งา ย หรือหยอกลอ กนั ในขณะทํางาน  จงใจฝาฝน กฎระเบยี บ  อืน่ ๆ 1.1 ความปลอดภยั ท่วั ไปในบริเวณโรงงาน ขอพึงปฏบิ ตั ิเพอ่ื ความปลอดภยั ในโรงงาน 1. หามสูบบุหร่ีในบรเิ วณโรงงาน ยกเวนบรเิ วณท่อี นุญาตใหส ูบได 2. หามท้ิงกนบหุ รีล่ งบนพนื้ ตอ งทงิ้ ลงในภาชนะทจ่ี ดั ไวใ หเทาน้ัน 3. หา มนาํ ไมขดี ไฟ หรือไฟแชค็ ชนดิ จงั หวะเดียวเขา ไปในบริเวณท่ีหามสูบบหุ ร่ี 4. หา มหุงตมอาหารในบรเิ วณท่ีหามสูบบุหรี่ 5. หา มนําอาหารหรือเครื่องดืม่ เขา ไปในบริเวณทผ่ี ลิตสารเคมอี ันตรายและคลงั พสั ดุ 6. หามเก็บเสอื้ ผา รองเทา หมวก ถงุ มือ และของใชสว นตัวอื่น ๆ ไวในท่ีตามใจชอบ ใหจ ดั เก็บไวใ นตูทจ่ี ดั ไวใ หเทา น้ัน 7. หามบว นน้ําลายลงบนพื้นโรงงาน หรอื ในบรเิ วณท่ที ํางาน 8. ใหท ้งิ ขยะมลู ฝอยในถังท่จี ดั ไวไหเทานั้น 9. ควรรกั ษาความสะอาดของเคร่ืองใชประจําตัวอยา งสมาํ่ เสมอ

145 10. ตองสวมเสือ้ ผา รองเทา ใหเรยี บรอ ยตลอดเวลาทท่ี ํางานในโรงงาน และสวม หมวกพรอ มทง้ั อุปกรณป อ งกนั อันตรายอน่ื ๆ ท่จี าํ เปน เมื่อทํางานในโรงงาน 11.หากมอี ุบัตเิ หตเุ กิดขึ้น ใหรายงานตอผูบงั คับบัญชาทนั ที 12.หากรูส ึกเจบ็ ปว ยในเวลาทํางานใหร ีบรายงานตอผูบังคบั บัญชาเพอ่ื จะไดทําการ รักษาพยาบาลทันที 13.ใหเดินตามทางทจ่ี ัดไวใ นโรงงาน อยา ว่งิ เมือ่ ไมม ีเหตุจาํ เปน 14.จดั เกบ็ และเรียงสิ่งของใหเ ปน ระเบียบ เพ่ือใหมีทางเดินหรอื ทาํ งานไดสะดวกและ ปลอดภัย 15. หา มเลน เยา แหย หรอื หยอกลอกันในบริเวณท่ที าํ งาน 16. หา มฝกขับขี่ยานพาหนะในบริเวณโรงงาน 17. ตอ งเรียนรูถงึ วธิ ีการดบั เพลิงและการใชอ ปุ กรณด บั เพลงิ ประเภทตา ง ๆ การใชแ ละเกบ็ รกั ษาเครือ่ งมอื อปุ กรณการทาํ งาน 1. ใหเก็บเครอ่ื งมอื และอุปกรณตาง ๆ ใหเ ปน ระเบียบเรียบรอยและเก็บรักษาใหอยู ในสภาพท่ีดี เมอ่ื จะใชห รอื เตรยี มจะใช ตอ งวางไวใ นทีท่ ี่ไมเปนอันตรายแกบุคคลอ่ืน 2. ในขณะปฏิบัตงิ านบนที่สูงหามวางเคร่ืองมือหรืออุปกรณอื่นใดบนนั่งรานแทน บนั ได หรือทสี่ งู เวนแตจะไดม ีทเ่ี กบ็ ไวไ มใหต ก 3. เคร่ืองมือไฟฟาชนิดมือถือหรือชนิดเคลื่อนยายได และไมมีฉนวนหุมสองช้ัน จะตอ งมสี ายไฟฟา ชนิดสามสายและปลกั๊ ทีต่ อไปยังสายดนิ 4. ผูปฏิบตั งิ านทกุ คนเม่อื พบเห็นเครอ่ื งมือเคร่ืองใช หรืออุปกรณซ่ึงถาปลอยท้ิงไว อาจกอ ใหเ กดิ อันตราย หรือพบเหน็ เครื่องมืออปุ กรณที่ใชปองกันอันตรายน้ันไมไดมาตรฐาน ใหแจง ผูบังคบั บัญชาทราบโดยทันที 5. ในการปฏบิ ัตงิ านแตละครงั้ หา มผปู ฏบิ ตั ิงานใชเ ครอ่ื งมอื ทชี่ ํารุดบกพรอง การใชอ ปุ กรณย กยายสิ่งของ 1. อุปกรณยกของจะตอ งไมบ รรทุกน้ําหนักเกินกวามาตรฐานการใชงานท่ีกําหนด ไว 2. ผูป ฏิบตั งิ านทีท่ าํ งานเก่ยี วกบั อปุ กรณยกของจะตองสวมเครื่องปอ งกันอันตรายท่ี เหมาะสมกบั งาน เชน หมวกนิรภัย รองเทานิรภัยและถงุ มือนริ ภยั ฯลฯ 3. การทํางานเกีย่ วกบั อปุ กรณยกของจําเปน ท่ีจะตองมกี ารประสานงานกับเจาหนา ท่ี คนอน่ื ทท่ี าํ งานอยูใ นบริเวณเดียวกนั 4. ผูใชปนจ่ัน กวาน และเครน จะตองเปนผูท่ีมีหนาที่และไดรับอนุญาตจาก ผูบงั คบั บัญชาแลวเทา นนั้

146 5. กอ นทําการใชปนจน่ั กวาน และเครนในแตล ะวัน ผใู ชจ ะตอ งตรวจสอบใหแ นใจ วาปนจัน่ กวาน และเครนอยูในสภาพทเ่ี หมาะสมกับการใชงานและสามารถใชงานไดอยางปลอดภัย เชน ตรวจหารอยราย รอยแตก การหลุดหลวมของนอตระบบไฮดรอลิกส ระบบควบคุมการทํางาน สมอ เกีย่ ว โซ และเชอื ก เปนตน 6. ผูใชป น จน่ั จะตองไมยกของหนกั ขามศีรษะบคุ คลอ่นื นอกจากหัวหนางานจะส่ัง และผูปฏิบัติงานที่ทํางานอยูใกล ๆ หรืออยูใตอุปกรณยกของนั้น จะตองระมัดระวังส่ิงของตกลงมา ตลอดเวลา 7. ในขณะที่ปนจนั่ หรือเคร่อื งยกอ่นื ๆ กาํ ลงั ยกของคา งอยู ผใู ชจ ะตอ งเอาใจใสและ ควบคมุ อยางดี 8. ในการปฏิบัติงาน ผูใชปน จนั่ หรือเครือ่ งยกอ่ืน ๆ ตอ งดูสัญญาณจากพนักงานผูมี ความรูค วามชาํ นาญ และมหี นา ที่ในเรอ่ื งน้ีแตเ พยี งผูเดยี วเทานั้น 9. เม่ือใชปนจั่น กวาน และเครนในบริเวณที่มีสายไฟหรืออุปกรณไฟฟาที่มี กระแสไฟฟาไหลผานอยู ผใู ชจะตอ งไมนาํ สวนหนึ่งสว นใดของปนจัน่ กวาน และเครนซ่ึงไมมีเคร่ือง ปอ งกันเขาใกลส ายไฟหรอื อปุ กรณไฟฟา นอ ยกวา ระยะทีก่ ฎหมายกาํ หนดไว 10. สลิงที่ใชกับเคร่ืองยกตาง ๆ จะตองเปนชนิดที่ทําดวยลวด โซเหล็ก หรือเชือก มะนลิ า 11. สลิงทุกเสนจะตองมีความแข็งแรงพอที่จะรับนํ้าหนักไดไมนอยกวา 8 เทาของ สง่ิ ของทจี่ ะยก 12. กอ นทจ่ี ะใชส ลงิ จะตอ งตรวจดูใหละเอียดถีถ่ ว นวาจะใชไดอ ยางปลอดภยั หรือไม หา มใชสลงิ ทหี่ งกิ งอหรือมเี สนเกลียวขาดจนทาํ ใหค วามแขง็ แรงนอ ยกวาทก่ี าํ หนดไวใ นขอ 11 13. เมื่อจะใชสลิงยกของที่มีขอบแข็งคม จะตองใชไมหรือสิ่งรองรับอื่น ๆ ที่ เหมาะสมรองกันไวไ มใ หส ลงิ ชาํ รดุ เสยี หาย การใชเ ครื่องกลงึ 1. หามวางเคร่อื งมอื หรือวัตถตุ า ง ๆ ไวบ นแทน เลื่อนของเครอื่ งกลึง เวนแตเคร่ืองมือ ทจี่ ําเปน ตอ งใชในงานท่กี าํ ลังทาํ อยเู ทานน้ั 2. จะตอ งจัดหาลงั ถงั หรือภาชนะอน่ื ๆ ท่ีเหมาะสมไวส ําหรับใสเศษวตั ถุ 3. ผูปฏิบัติงานทุกคนท่ีปฏิบัติงานกับเครื่องจักรกลจะตองสวมแวนตานิรภัยเพื่อ ปอ งกันอนั ตรายซงึ อาจเกดิ ขนึ้ กับดวงตา และตองใชแ ผนปดหนาอกท่ีทําดวยผาท่ีมีสวนประกอบของ ใยสังเคราะหนอ ยท่ีสดุ เพื่อปองกนั เศษโลหะท่ีรอ น ซ่งึ อาจจะกระเด็นถูกผิวหนงั หรือเส้อื ผา ทสี่ วมใส 4. หา มวัดขนาดชน้ิ งานขณะท่ีเครอ่ื งกลงึ กําลงั หมุน 5. หา มใชมอื ไปจบั เพ่ือดึงเศษโลหะออกจากชิ้นงาน โดยเฉพาะขณะทกี่ าํ ลงั กลึงอยู

147 การใชเคร่ืองขัดหรือหินเจียร 1. จะตองติดตงั้ เคร่อื งขัดหรอื หินเจียรใหยึดแนนกับพื้นโตะหรือฐานอื่น ๆ ท่ีมั่นคง แข็งแรง 2. จะตองมีฝาครอบเคร่ืองขัดเพื่อปองกันไมใหผูปฏิบัติงานไดรับอันตรายจากเศษ โลหะท่กี ระเด็นออกมา 3. จะตองไมตั้งอัตรารอบหมุนของจานขัดเกินอัตรารอบหมุนเร็วท่ีบริษัทผูผลิต กําหนดไว 4. จะตองปรบั แผนรองขัด (Work Rest) ใหพอเหมาะโดยใหหางจากจานขัดไมเกิน 1/8 นว้ิ 5. จานขัดท่ีสึกมากจนใชการไดไ มด ี จะตอ งเปล่ียนใหมท ันที 6. จานขัดทชี่ าํ รุดจะตอ งท้งิ ไป อยานาํ กลบั มาใชอีก 7. ผูปฏบิ ัติงานทีป่ ฏิบตั ิงานกับเคร่ืองขัดจะตองสวมแวนนิรภัยเพื่อปองกันอันตราย อนั อาจจะเกดิ ขึน้ กบั ดวงตา และสวมเครือ่ งกรองอากาศหายใจปองกันอันตรายจากฝุนที่อาจจะเกิดกับ ระบบหายใจ และสวมถงุ มือปองกันเศษโลหะ การใชเ ครอ่ื งตดั 1. ในการทํางานกับเคร่ืองตัด ผูปฏิบัติงานจะตองสวมเคร่ืองปองกันอันตรายสวน บคุ คล เชน เคร่ืองปองกนั ดวงตา ถงุ มือ รองเทา ผาหรอื หนังกนั เศษโลหะ 2. เครอื่ งตดั จะตองมีเคร่อื งปองกันอันตรายประจําเครื่อง เชน แผนใสนิรภัยปองกัน เศษชนิ้ งานกระเด็นเขาตา หรอื มฝี าครอบวงลอ 3. ในหองปฏิบัติงานจะตองมีระบบระบายอากาศท่ีเพียงพอ เพ่ือกําจัดฝุนโลหะท่ี เกิดขึ้น ถา ไมม รี ะบบระบายอากาศ จะตองใหผูปฏิบัติงานสวมอุปกรณปองกันฝุนตลอดระยะเวลาท่ี ปฏบิ ัติงานกับเคร่อื งตัดดงั กลา ว การใชเ ครือ่ งปม โลหะ 1. ควรใชเ ครอื่ งปม ท่ีอยูในสภาพท่ีปลอดภัยตอการใชงาน หรือมีการติดตั้งอุปกรณ ปองกนั อนั ตรายแลวเทา นัน้ 2. ถา ตอ งปม งานชิน้ เล็กหรืองานท่ีคอนขางยุง ยาก ควรใชเครอ่ื งมือชวยจบั ช้นิ งาน 3. เมื่อตองการตดิ ต้งั เคลือ่ นยาย และปรบั แตงแมพ มิ พ ควรใชบลอ็ กนริ ภยั ทกุ คร้ัง 4. การติดตั้ง เคล่ือนยาย หรือปรับแตงแมพิมพ ตองกระทําโดยบุคคลท่ีไดรับการ ฝกอบรมแลวเทา นัน้

148 การใชเ ครอ่ื งจกั รทวั่ ไป 1. ขจัดสวนที่เปนอันตรายทุกสวนของเครื่องจักรใหหมดไป (อาจใชหุนยนตชวย ทาํ งานในจดุ ที่มีอนั ตราย เปน ตน ) หรอื ทําการปองกันสว นที่มีอนั ตรายน้ัน เชน ตดิ ต้งั ท่ปี อ งกัน หรือฝา ครอบ หรอื ใชเคร่ืองจักรอตั โนมตั ิ 2. ทาํ งานตามระเบียบวธิ ปี ฏบิ ัติงานอยางเครง ครัด 3. สวมใสเสอ้ื ผา ท่รี ดั กมุ อยาสวมเสอื้ ปลอ ยชาย 4. สวมใสเคร่ืองปองกันและใชเคร่ืองมือที่ถูกตองและเหมาะสมกับงานท่ีทํา และ ตอ งระวังในการใชถ งุ มือ เพราะถุงมือบางอยา งอาจจะไมเหมาะกับงานบางอยา ง 5. ในการตรวจสอบ ซอมแซม และทําความสะอาดเครื่องจักรน้ัน จะตองหยุด เคร่อื งจักรใหเ รียบรอ ยและมเี ครื่องหมายช้ีบอกหรอื ตดิ ปายแขวนวา “หา มเดินเครอ่ื ง” 6. ใหตรวจตราเครื่องจักรกอนเดินเครื่องและตรวจสอบเปนระยะ ๆ และระวัง อนั ตรายขณะตรวจตราเครอ่ื งจักรและกอนเริ่มเดนิ เครื่อง 7. เมื่อจะตองทํางานรวมกัน จะตองแนใ จวา ทุกคนเขาใจในสัญญาณเพื่อการสื่อสาร ตา ง ๆ อยา งชัดเจนและถูกตองตรงกนั 8. อยาเขาไปในสวนท่ีเปนอันตรายของเครื่องจักร หรือสวนที่ทํางานเคลื่อนไหว ตลอดเวลาถา จําเปนตองเขา ไปในบรเิ วณน้ัน ตอ งแนใจวาเครอ่ื งจกั รไดหยุดเดินเคร่ืองแลว การใชเ คร่ืองมอื 1. เลือกใชเ คร่อื งมอื ทเี่ หมาะสมกบั งานทที่ ํา 2. รักษาเคร่อื งมือใหอยูในสภาพที่ดีอยูเสมอ โดยตรวจสอบสภาพกอนการใชงานทุก ครงั้ 3. ซอมแซมหรอื หาเครือ่ งมอื ใหมท ดแทนเครอื่ งมอื ท่ชี ํารดุ หรือแตกหักโดยทันที 4. ลา งนา้ํ มนั จากเครอื่ งมอื หรือชิ้นงาน เพือ่ ปองกนั อุบัติเหตจุ าการลื่นไถล 5. ตรวจสอบและปฏบิ ัตติ ามขอ แนะนําการใชเ ครื่องมือ 6. จับหรือถอื เครอื่ งมือใหก ระชบั การจบั แบบหลวม ๆ อาจกอใหเ กิดอุบตั ิเหตไุ ด 7. อยา เรม่ิ งานโดยไมต รวจสอบสภาพตา ง ๆ โดยรอบหรือบรเิ วณพน้ื ทีท่ ่ีทาํ งานกอน การใชส ายพานลาํ เลยี ง 1. สายพานลาํ เลียงตอ งมีสวติ ซห ยุดฉกุ เฉิน และตองตรวจสอบใหรูจุดที่ติดตั้งสวิตซ ฉุกเฉนิ กอนที่จะเริม่ ใชส ายพานลาํ เลียง 2. มีอปุ กรณค รอบหรือบังสวนทีห่ มุนไดของสายพาน เชน ลกู กล้งิ มเู ล ฯลฯ 3. ถาของทีล่ าํ เลียงมีโอกาสตกลงมาได ตอ งมีสวนปดหรือครอบปองกัน

149 4. อยา กาวหรือกระโดดขา มสายพานลาํ เลียงขณะทํางาน 5. เมอื่ จําเปน ตองซอ มหรือตรวจตราสายพานลาํ เลยี งเพราะมีการทํางานผิดพลาดตอง ปดสวิตซทาํ งานกอนท่จี ะซอมหรอื ตรวจตราสายพานลําเลียงนน้ั การเชื่อมโลหะ 1. ขณะทําการเช่ือมดวยไฟฟาภายในอาคาร จะตองใชฉากกั้นกําบังเพื่อเปนเครื่อง ปอ งกนั อันตรายแกผ ูปฏิบัติงานคนอ่นื หรอื ผูท ีอ่ ยใู กลเ คียง 2. ขณะทาํ การเชื่อมหรือการตัดดวยกาซหรือไฟฟา ผูเชื่อมหรือตัดจะตองใชเครื่อง กําลงั หนา ท่เี หมาะสม มีเลนสป อ งกนั นัยนต าตามประเภทของการเชอ่ื มหรอื การตดั นน้ั และตอ งสวมถุง มอื หนังดว ย 3. จะตองมีเครื่องดับเพลิงประจําพ้ืนท่ี และพรอมท่ีจะใชไดเสมอในกรณีเกิดเพลิง ไหม 4. เมือ่ จะใชเครอื่ งเช่ือมไฟฟา ผูทําการเชอื่ มจะตองมั่นใจวาตนไมไดสัมผัสกับพ้ืนที่ เปย กชืน้ 5. หา มสวมถุงมอื ท่เี ปยกน้ํามันหรือจาระบหี ยิบจับเครือ่ งเช่อื ม 6. ถงั ออกซเิ จนและอะเซทิลีนจะตอ งมกี ารยึดใหแ นน เพอื่ ปองกนั การลม และจะตอง ไมว างทออะเซทลิ ีนนอนราบกบั พื้นเปนอันขาด 7. ใหใชไกบังคับแรงเคลื่อน (Pressure Regulator) บังคับใหออกซิเจนและ อะเซทลิ ีนไหลไปยังไฟเช่ือมอยางสมํา่ เสมอ 8. ในขณะทําการเปดลิ้นถังออกซิเจน หามผูปฏิบัติงานคนหน่ึงคนใดยืนอยูหนา เคร่ืองบงั คับออกซเิ จน 9. หา มทําการเชือ่ ม ตดั หรอื บดั กรใี กลตวั ถงั หรอื ท่ีตัวถงั หรือภาชนะอื่น ที่เคยใสว ตั ถุ ตดิ ไฟหรือวตั ถุที่เกดิ ระเบิดได จนกวาจะไดทําการระบายอากาศ หรือลางถังหรือภาชนะเหลานั้นให สะอาดแลว 10. เม่อื ทาํ การเช่ือมหรือเผาหรือใหความรอนกับตะกั่ว แคดเมียม วัตถุอาบสังกะสี หรือวัตถุอ่ืนใด รวมท้ังสารท่ีใชชวยในการเชื่อม จนทําใหเกิดควันขึ้น จะตองจัดใหมีระบบระบาย อากาศที่ดีพอ เพือ่ ปอ งกนั มิใหผ ปู ฏบิ ตั ิงานสูดควันพิษท่ีเปนอันตรายเขาไป ถาหากไมสามารถทําการ ระบายอากาศได จะตองสวมหนากากหรือเครื่องชวยหายใจที่ไดรับการรับรองแลวตลอดเวลาที่ ปฏิบตั งิ าน 11. เมื่อทําการเช่ือมในสถานท่ีอับอากาศจะตองมีการระบายอากาศออกอยางมี ประสิทธิภาพ

150 คนละแหง 12. การเกบ็ รักษาถังออกซิเจนและถังอะเซทิลีนเปนจํานวนมาก จะตองแยกเก็บไว การเชื่อม 13. การเชอ่ื มดว ยไฟฟาหรอื กา ซใกลกับแบตเตอรี่ ตองยกแบตเตอรใี่ หพน จากบรเิ วณ การพน สี 1. ดวงโคม พัดลมดูดอากาศและสายไฟในหองพนสี จะตองใชชนิดที่มีความ ทนทานตอไอระเหยของสีไดด ี 2. สวติ ซดวงโคม เตาเสยี บ หรอื อุปกรณอ ่นื ๆ ท่อี าจกอใหเ กดิ ประกายไฟ จะตองไม ติดต้งั ไวภายในหองพนสี 3. หามสบู บหุ ร่ี จดุ ไฟหรือทาํ ใหเกิดประกายไฟภายในหองพน สี 4. ในขณะทําการพน สีในหองพนสี ผูปฏิบัติงานทุกคนจะตองสวมหนากาก หมวก เส้อื แขนยาวไมพ บั แขน ถุงมอื กางเกงขายาว และรองเทาหุม สน 5. ขณะท่ีกําลังทําการพนสี ทุกคนที่อยูในหองพนสีจะตองสวมหนากากแบบที่มี เครื่องกรอง หรอื ใชผา ปดปากและจมูก การทํางานเกีย่ วกบั แบตเตอรี่ 1. หามสูบบุหร่ี จุดไฟ หรือทําใหเกิดประกายไฟภายในหองอัดแบตเตอรี่ หรือใน หอ งเกบ็ แบตเตอร่ี เพือ่ ปอ งกันการระเบดิ ของกา ซไฮโดรเจน 2. เมือ่ จะปฏิบตั กิ ารใด ๆ เกี่ยวกบั นํา้ กรด ผูปฏบิ ัติงานจะตองสวมถุงมือยาง แวนตา นริ ภัย และผา กนั เปอ นทําดวยยาง 3. ในกรณที นี่ ้ํากรดหกหรอื กระเดน็ ถกู สวนหน่งึ สวนใดของรางกายใหใชน้ําสะอาด ลางออกทันที แลวรีบไปพบแพทย 4. กอ นทําการตอ หรือปลดสายข้ัวแบตเตอร่ี ตองแนใ จวาไดต ดั วงจรไฟฟา แลว 5. ในการยกหรือเคลอื่ นยา ยแบตเตอรี่หรอื กลอ งบรรจุแบตเตอร่หี า มเอยี งหรือตะแคง แบตเตอร่ี เพอ่ื ปองกันการหกหรอื กระเดน็ ของนํา้ กรด 6. ขว้ั ของแบตเตอรีข่ นาดใหญค วรปด กน้ั ดวยฉนวน เพ่อื ปองกนั การลดั วงจร 7. ในการเคล่อื นยา ยแบตเตอรตี่ อ งระมัดระวังไมใหแบตเตอร่ีกระทบซ่ึงกันและกัน หรือกระแทกกับสงิ่ อน่ื ที่อาจจะทาํ ใหแตกหรอื ราวได และหามวางแบตเตอรีซ่ อนกันโดยเด็ดขาด

151 การใชเคร่อื งปอ งกนั นยั นตาและหู 1. เมอื่ ปฏิบัตงิ านในสถานที่ทีอ่ าจเกิดอันตรายกบั นยั นตา จะตองสวมเครื่องปองกัน นยั นตาชนิดทไ่ี ดม าตรฐาน 2. ผปู ฏบิ ัติงานทท่ี าํ งานเกย่ี วกับการติดตั้งหรือซอมบํารุง และลักษณะงานเปนงานที่ กอใหเกดิ ประกายไฟฟา เศษวัตถุกระจาย จะตอ งสวมแวน นิรภัยปอ งกันนยั นตา 3. การปฏิบัติงานในที่ท่ีมีเสียงดังมาก ๆ จนเปนอันตรายตอระบบการไดยินของ ผูป ฏิบตั ิงาน จะตอ งกําหนดใหผ ปู ฏิบัติงานทุกคนใชเคร่ืองปองกันอันตรายตอหูชนิดเสียบหรือชนิด ครอบดวย 1.2 ความปลอดภยั ในการทํางานเกีย่ วกับไฟฟา กฎขอบังคับทัว่ ไป 1. พนกั งานที่ทาํ งานเกี่ยวกบั การซอ ม ตอเติม ติดตัง้ อปุ กรณไ ฟฟาตองสวมเส้ือผาที่ แหงและสวมรองเทาพื้นยาง พรอมท้ังตัดกระแสไฟฟาท่ีมายังจุดท่ีทํางานตลอดระยะเวลาท่ีทํางาน เกี่ยวกบั ไฟฟา 2. เครื่องมอื ทใี่ ชก ับงานไฟฟา ชนิดใชมือจบั ตอ งมฉี นวนซง่ึ อยใู นสภาพดหี มุ ทด่ี า มจับ 3. ในกรณีทีม่ กี ารปฏิบัตงิ าน ตรวจสอบ ซอ มแซม หรอื ติดต้งั ไฟฟา ที่เก่ียวกับการผลิต ตอ งตัดสวิตซต ัวทเ่ี ก่ียวขอ ง พรอมลอ็ กกญุ แจปองกันการสบั สวิตซ อุปกรณแ ละเคร่ืองจกั รไฟฟา 1. มอเตอรทใ่ี ชใ นบริเวณทม่ี ีวัตถไุ วไฟตองเปนชนิดกันระเบดิ 2. หลอดไฟฟา หรอื โคมไฟ ซ่ึงใชใ นบริเวณทมี่ ีวัตถุไวไฟ ตอ งเปนชนิดทม่ี ีฝาครอบ มิดชิด และมตี ะแกรงโลหะหมุ รอบนอกอกี ชนั้ หนึง่ 3. สวติ ซไ ฟฟา ในบริเวณท่ีมีวัตถุไวไฟตองเปนชนิดที่มีกลองโลหะหุมมิดชิด และ เตาเสียบที่ใชตอ งเปนชนดิ ที่มีฝาปด 4. การติดตง้ั สวติ ซทกุ ตัวตอ งเลือกชนิดท่ีมีอัตราทนกระแสสูงพอที่จะใชกับกระแส สูงสุดในวงจรที่ใชน ้ันได 5. การติดตงั้ แผงสวิตซตองมีตูปดมิดชิด และตองต้ังหางจากเครื่องจักรพอสมควร สว นทีเ่ ปน โลหะของแผงสวติ ซตอ งตอ ลงดนิ 6. เมอ่ื ใชอ ุปกรณไ ฟฟา ท้ังหมดพรอมกนั ในวงจรแตล ะวงจร จะตองมีกระแสไฟฟา ไมเ กนิ ขนาดของกระแสไฟฟาสงู สุดทย่ี อมใหใชก บั ไฟฟาของวงจรน้ัน

152 7. การติดต้ังซอมแซม หรือแกไขดัดแปลงหมอแปลงไฟฟา ซึ่งแปลงไฟจาก ไฟฟาแรงสูงต้งั แต 12,000 โวลตขึน้ ไป ตอ งตดิ ตอขอความชวยเหลือหรือขอคําแนะนําจากเจาหนาท่ี ของการไฟฟา เสยี กอ น 8. ตองมีการตรวจสอบ และทดสอบเคร่ืองกําเนิดไฟฟาฉุกเฉิน ใหอยูในสภาพท่ี พรอ มจะใชงานไดอ ยา งปลอดภัยอยูเสมอ 9. หา มพนักงานทํางานเกยี่ วกบั หมอแปลงไฟฟาทมี่ คี วามดันต้ังแต 380 โวลตขึ้นไป กอ นไดร บั อนญุ าตจากหัวหนาฝายซอมบาํ รุง 10. การซอมแซม ดดั แปลง หรอื แกไ ขอุปกรณและเคร่ืองจักรไฟฟาเปนหนาที่ของ พนักงานหนวยซอ มบาํ รุงเทานั้น วธิ ปี อ งกนั อันตรายจากไฟฟาช็อต 1. ผปู ฏบิ ตั ิงานที่เกย่ี วขอ งกบั ไฟฟา ตอ งมคี วามรูเ กี่ยวกับไฟฟา 2. เม่อื พบสงิ่ ผิดปกติตาง ๆ เกดิ ข้ึนกบั สายไฟ ตองแจงใหผ บู งั คับบัญชาทราบทันที 3. ในการปฏิบตั งิ านท่ีเกย่ี วของกบั ไฟฟา ตองใชผูชํานาญงานเทานัน้ 4. ตองปดตูสวติ ซไฟฟา เสมอ และจะตอ งไมม สี ิง่ กดี ขวางวางอยูบรเิ วณตไู ฟฟา 5. ตอ งติดตงั้ สายดนิ เสมอ 6. ตรวจสอบอุปกรณป องกันไฟฟา ดดู ไฟฟารวั่ กอนใชอุปกรณไฟฟานนั้ ๆ เสมอ 7. การเปดหรอื ปดระบบไฟฟา ตอ งแนใ จกอนวาปลอดภัยแลว 8. เมื่อเลิกใชอ ปุ กรณไฟฟา แลว ใหเ ก็บเขา ท่ีเสมอ 9. ถา ตอ งทาํ งานอยใู กลระบบไฟฟา เชน มสี ายไฟฟาอยเู หนือศรี ษะตอ งระมดั ระวัง อยาไปสมั ผสั ถูกสายไฟฟาดงั กลาว 10. หา มทํางานโดยไมส วมชดุ ปอ งกันไฟฟาดูดโดยเดด็ ขาด 1.3 ความปลอดภยั ในการทํางานกับวัตถอุ ันตราย วัตถอุ ันตราย วัตถุอันตราย หมายถึง วัตถุท่ีสามารถลุกไหมได ติดไฟได และระเบิดได วัตถุ อันตรายตาง ๆ เหลานี้ มักจะมีกฎหมายควบคุมเปนพิเศษ และมีขอบังคับเพ่ือใหทํางานไดโดย ปราศจากอบุ ตั เิ หตุ

153 วตั ถอุ ันตราย แบง ออกไดเปน 1. สารระเบดิ ได สารเหลา น้จี ะลกุ ติดไฟไดงา ยและระเบิดขึ้นเม่อื มคี วามรอน มีการกระแทกหรือ มีการเสียดสี สารระเบิดไดมีช่ือเรียกแตกตางกันไป ผูที่ทํางานกับสารเหลานี้ควรจะจดจําช่ือสาร เหลา น้ใี หไ ดแ ละมกี ารตดิ ปา ยวา เปนสารอนั ตราย หรือวัตถุอันตราย นอกจากน้ียังควรรูถึงวิธีการใช สารเหลา นีอ้ ยางถูกตอ งดวย 2. สารลุกไหมไ ด สารลกุ ไหมไ ด เชน สารฟอสฟอรัสแดงและสารฟอสฟอรัสเหลืองสามารถลุก ติดไฟไดเองเมอ่ื สมั ผสั กบั อากาศ ตัวอยางสารลุกไหมไ ด เชน พวกคารไบด และสารประกอบโลหะ ของโซเดยี ม ซึง่ จะลุกตดิ ไฟไดเม่อื สมั ผสั กบั น้ํา 3. สารไวไฟ กา ซไวไฟ เชน กาซถานหิน กาซอะเซทิลีน กาซโพรเพน ฯลฯ กาซเหลาน้ีมี คุณสมบัติไวไฟและยังสามารถระเบิดไดอีกดวยหากกาซเหลานี้ผสมอยูในอากาศในสัดสวนที่ พอเหมาะ นอกจากนี้สารละลายไวไฟตาง ๆ เชน น้ํามัน ทินเนอร ก็ยังมีคุณสมบัติไวไฟและยัง สามารถระเบิดอยา งรุนแรงไดอ ีกดว ย สารเหลานจ้ี ะกอใหเ กดิ อุบัตเิ หตไุ ดง ายถา มีการเคล่อื นยา ยผิดวิธี ดงั นนั้ ผทู ที่ ําการ ขนยา ยจะตอ งรูว ธิ ีขนยา ยทถี่ ูกตองดว ย อันตรายของวตั ถอุ นั ตราย 1. กา ซคารบอนมอนอกไซด (Carbon Monoxide) กาซคารบอนมอนอกไซดเกิดจากการเผาไหมท่ีไมสมบูรณ เกิดขึ้นไดทั้งใน โรงงานและในสถานทที่ ํางาน กา ซคารบอนมอนอกไซดเ ปนกาซท่ีเบากวากา ซออกซิเจนเล็กนอย เปน กา ซที่ไมมสี ี ไมม กี ล่ินและไมม ีการกระตนุ เตอื นใด ๆ จงึ เปนกาซทีอ่ ันตรายตอ รา งกาย เพราะกาซน้จี ะ ทาํ ใหเ ม็ดเลือดขนถายออกซิเจนนอ ยลง เปนเหตุใหเกิดอาการขาดออกซเิ จน (Suffocation) ได เมอ่ื ตอ งทํางานในสถานท่ที ม่ี ีกา ซคารบ อนมอนนอกไซด ควรปฏบิ ตั ิดงั น้ี 1. กอนเริ่มงาน ตองตรวจดูความหนาแนนของกาซคารบอนไดออกไซดดวย เคร่ืองตรวจวัดกาซกอน 2. ใหร ะบายอากาศออกจนกวาความหนาแนนของกาซคารบอนไดออกไซดจะ ตํา่ กวา 50 ppm (0.005%) 3. ตอ งสวมใสห นากากกรองที่เหมาะสม 4. ถาความหนาแนนของกาซคารบอนมอนอกไซดสูง หรือความเขมขนของ ออกซิเจนตา่ํ ใหใชเครื่องชวยหายใจ หรอื หนา กากแบบมอี ากาศเสรมิ

154 2. สารละลายอินทรยี  (Organic Solvents) มีสารละลายอินทรียเปนจํานวนมากที่ใชในสถานที่ทํางานและบานพักอาศัย สารละลายอนิ ทรยี เ หลา นีส้ ามารถแทรกซึมเขาสรู า งกายไดห ลายทางท้ังทางระบบหายใจในรูปของไอ ระเหย เพราะเปนสารที่สามารถระเหยไดในอุณหภูมิปกติ และแพรผานผิวหนังไดเพราะเปนตัวทํา ละลายไขมันนอกจากนี้ยังอาจทําใหหมดสติได เพราะจะไปรบกวนการทํางานของระบบประสาท สวนกลาง ดังนั้นจึงจําเปนอยางยิ่งท่ีจะตองรูคุณสมบัติของสารละลายอินทรียที่จะใชเหลาน้ัน และ จะตองใชอยา งถกู ตอ งเพอื่ ใหเ กดิ อนั ตรายนอ ยทีส่ ดุ ระบายอากาศ วิธปี ฏิบตั ิงานกบั สารละลายอินทรียอ ยางปลอดภยั ประกายไฟ 1. ระวงั อยาใหสารละลายอินทรียห ก 2. ปดฝาภาชนะบรรจุสารละลายอนิ ทรยี เสมอ ทําได 3. ไมลางมอื ดว ยสารละลายอินทรยี  4. ตรวจตราระบบระบายอากาศอยูเสมอ อยาใหมสี ่งิ ใดไปขดั ขวางทาง 5. หามใชส ารละลายอนิ ทรยี ใ กลบริเวณท่ีมไี ฟหรอื บรเิ วณทอ่ี าจเกดิ 6. สวมใสอ ุปกรณปอ งกนั ทีเ่ หมาะสมเสมอขณะใชสารละลายอนิ ทรีย 7. ตอ งใชระบบระบายอากาศเสมอในขณะใชสารละลายอนิ ทรีย 8. หลกี เล่ียงการสมั ผัสไอระเหยของสารละลายอนิ ทรยี ใหมากท่ีสดุ เทา ที่จะ 3. ฝนุ ปกติโรคปอดท่เี กดิ จากฝนุ ที่หายใจเขาไปจะมชี ื่อเรยี กวา โรคปอดฝุนหรือนิวโม โคนิซิส (Pneumoconiosis) ฝุนที่สูดดมเขามาจะฝงตัวอยูในปอดและปอดไมสามารถขจัดสิ่ง แปลกปลอมเหลานไี้ ด เมอื่ มกี ารสะสมมากขึ้น ปอดจะรูสกึ แนน อดึ อดั ทาํ ใหหายใจไมออก วิธีแกไขท่ี ดีท่สี ุด คอื การปอ งกันโรคนี้ไวกอน โดยปรับปรุงสภาพแวดลอมในบริเวณท่ีทํางานและปรับเปลี่ยน วธิ ีการทาํ งาน เชน การขจดั ฝนุ ในสถานท่ีทํางาน หรอื การสวมใสห นากากปอ งกันฝุน

155 วิธีใชห นากากปอ งกนั ฝนุ อยา งถกู วธิ ี 1. หนา กากควรกระชบั กบั ใบหนา ซ่งึ ฝุนจะไมสามารถแทรกเขา ไประหวางรอง ของหนา กากกบั ใบหนา ได 2. แมสภาพของสถานท่ที ํางานโดยท่ัวไปจะสะอาด แตอ าจจะมีฝุนขนาดเล็กอยู ได จงึ ควรสวมหนากากปองกนั ฝุนไว ถาบริเวณน้นั มฝี นุ ขนาดเล็กอยไู ด จงึ ควรสวมหนา กากปอ งกัน ฝุนไว ถาบรเิ วณนั้นมฝี นุ อยู 3. หามสวมหนากากกรองฝนุ ในบรเิ วณทอี่ บั อากาศ หรอื บริเวณท่ีมกี าซพิษ 4. ควรเก็บรักษาหนากากไวในที่ท่ีอากาศถายเทดี และเก็บอยางถูกหลักวิธี รวมทั้งควรเปลี่ยนไสกรองเมือ่ จําเปน 5. หนา กากกันฝนุ โดยทว่ั ไปจะใชสําหรับงานชว่ั คราวเทาน้นั 4. สารเคมีจาํ เพาะ สารเคมีจําเพาะจะถูกจัดเปนสารเคมีอันตราย เพราะจะกอใหเกิดอันตรายตอ สุขภาพรางกาย เชน กอใหเกิดโรคมะเร็งจากการทํางาน โรงผิวหนัง ระบบประสาทเสื่อม ฯลฯ ปจ จุบนั มีการใชสารเคมีอยูอยา งกวา งขวางในงานอุตสาหกรรมจงึ ตอ งระมัดระวงั เปนอยางยิง่ การปอ งกันอันตรายจากการใชส ารเคมีจาํ เพาะ 1. อยา ทาํ หกหรอื กระเด็นลงบนพนื้ 2. กอ นเรม่ิ ทาํ งานตองสวมอุปกรณป องกันอันตรายสวนบุคคลหรือติดตั้งระบบ ระบายอากาศทว่ั ไปในทีท่ าํ งาน 3. จัดการปฏิบตั งิ านใหเ ปน ไปตามระเบียบขอ บังคับของกฎหมาย 4. เม่ือตองการขนยายหรอื เกบ็ สารเคมีเหลา นนั้ จะตองบรรจุลงภาชนะที่เหมาะสม ใหเ รียบรอ ย 5. หามสูบบหุ ร่ี รบั ประทานอาหาร หรอื ด่ืมนาํ้ ในขณะทก่ี าํ ลงั ทาํ งานกบั สารเคมี 6. หามสมั ผสั เส้ือผาที่เปอ นสารเคมี 7. จัดใหม ีการสวมชดุ ปอ งกนั หรืออุปกรณปอ งกันอนั ตรายจากสารเคมี 8. หามนําสารเคมนี อ้ี อกไปหรอื เขา ไปยงั หนว ยงานอนื่ โดยไมไ ดรบั อนุญาต 9. เส้ือผาที่สวมใสขณะทํางานยอมมีสารเคมีปนเปอนจึงควรท่ีจะชําระลาง รา งกายเปลย่ี นเสือ้ ผาใหม กอนที่จะรบั ประทานอาหารหรือกอนกลับบาน และนําเสื้อผาท่ีใสทํางาน น้นั ไปซักหรือทําความสะอาดทันที

156 5. สภาพไรอากาศหรืออบั อากาศ อบุ ัตเิ หตุจากการขาดอากาศหายใจมกั เกดิ ขน้ึ ไดในบรเิ วณท่เี ปน ใตถุนอาคาร ถัง หรือบริเวณอุโมงคขดุ เจาะ ฯลฯ อาการขาดอากาศมีผลโดยตรงตอการทํางานของสมอง และบอยคร้ังท่ีนําไปสู ความสูญเสยี อยา งใหญห ลวง ทั้งนเ้ี พราะการอยใู นท่แี คบหรืออับอากาศซ่ึงมักไมคอยมีคนไดเขาไปบอย นกั กย็ ากท่จี ะพบหรอื ชว ยชวี ติ ไดทนั หากมอี บุ ัตเิ หตเุ กดิ ขน้ึ วธิ ีปองกนั การขาดอากาศหายใจมีดงั น้ี 1. ตรวจสอบความหนาแนน ของออกซิเจนกอ นลงมือปฏิบตั ิงาน 2. จัดระบบระบายอากาศทีเ่ หมาะสม 3. มกี ารปฐมพยาบาลอยา งถูกตอ งและเหมาะสม ขอพึงปฏบิ ตั เิ ม่ือตอ งทํางานในบริเวณทีม่ สี ภาพไรอากาศหรืออบั อากาศ 1. กอ นเขา บริเวณอนั ตรายที่มีออกซเิ จนนอ ยหรือออกซิเจนใกลหมด เชน ในบอหรอื ถงั จาํ เปนตองจดั ใหมีระบบระบายอากาศท่ดี ี (อยา งไรกต็ ามกเ็ ปน อันตรายมากเชน กัน ถา ใชออกซเิ จนบรสิ ุทธ์อิ ยางเดียว) ความหนาแนน ของออกซเิ จนทเี่ หมาะสมคอื ไมนอ ยกวา 18% 2. หา มเขา ไปในบริเวณทม่ี สี ภาพขาดออกซเิ จน ยกเวนผูมีหนาที่เก่ยี วขอ งเทานน้ั 3. ผูจะเขาไปในบริเวณอับอากาศ ตองมีการเฝาดูและติดตามโดยหัวหนางาน หรือเพื่อนรว มงาน และระบบระบายอากาศจะตองจดั ใหม ีออกซเิ จนอยางนอ ย 18% ดว ย 4. ถา ลักษณะงานไมสามารถจดั ระบบระบายอากาศไดใหใชอุปกรณชวยหายใจ ที่เหมาะสม เชน เคร่ืองกรองอากาศ หรอื ระบบสายลม 5. ถาสภาพที่ทํางานน้ันขาดอากาศมาก ๆ ใหสวมใสอุปกรณนิรภัย เชน หนากาก เข็มขัดนริ ภยั หรือสายสงอากาศในขณะท่ปี ฏิบัติงานอยใู นบรเิ วณนนั้ 6. ตรวจสอบอุปกรณป อ งกันทุกคร้งั กอ นเริม่ ทาํ งาน 7. ถาไดรับอุบัติเหตุจะขาดอากาศหายใจ ผูทําการชวยเหลือจะตองสวมใส อุปกรณชวยหายใจท่ีมีระบบระบายอากาศท่ีดี ดังอธิบายไวในขอ 4 ขางตน (หนากากปองกันกาซ ไมไ ดจ ัดไวส ําหรบั กรณีขาดอากาศ ควรขนยา ยผปู ว ยออกไปสทู โี่ ลงโดยเร็วท่ีสุด และชวยหายใจดวย การเปา ปาก ฯลฯ ) การจดั ใหม ีระบบระบายอากาศ เพื่อสขุ ภาพทีด่ ีควรจัดใหมีระบบระบายอากาศทเี่ หมาะสมในสถานประกอบการ จําเปนอยางย่ิงที่จะตองจัดระบบระบายอากาศในสถานประกอบการที่มีอุณหภูมิและความรอนสูง

157 หรือมีกาซหรือไอท่ีเกิดข้ึนจากตัวทําละลายอินทรียหรือสารอ่ืน ๆ การปลอยปละละเลยท่ีจะจัดทํา ระบบระบายอากาศจะเปน สาเหตุท่ีกอใหเกิดอาการปวดศีรษะและวิงเวียนศีรษะได และปญหาที่จะ ตามมาก็คอื ความเจ็บปวยตา ง ๆ ที่มสี าเหตจุ ากสารเคมอี นั ตราย การเปดหนาตางหรือประตูนั้นเปนการถายเทอากาศทั่วไปตามปกติ การติดตั้ง ระบบระบายอากาศเฉพาะที่หรือในตําแหนงที่จําเปนนั้น ควรติดต้ังใหเหมาะสมกับลักษณะของ สารเคมีอนั ตรายทจ่ี ะตอ งใช แตค วรตระหนักไววา ในบางครั้งการเปดหนาตางอาจใหผลที่ตรงขาม กนั ก็ได 1.4 ความปลอดภยั ในการทํางานกับผลิตภณั ฑเ คมี ขอพงึ ปฏบิ ตั ทิ ่วั ไปในการทํางานกับผลติ ภณั ฑเ คมี 1. กอนปฏิบัติงานตองทราบถึงชนิดของผลิตภัณฑและอันตรายที่อาจเกิดข้ึน ถา สงสยั ใหปรึกษาผบู งั คบั บญั ชาท่เี กีย่ วของ 2. กอนขนยายผลิตภัณฑตองสังเกตวาหีบหอไมแตกหรือบุบสลายซ่ึงอาจจะทําให ตกหลน สภู ายนอกได 3. หลีกเล่ยี งการสมั ผสั กบั ผลิตภณั ฑโดยตรง ใหสวมเครื่องปอ งกัน เชน ถงุ มือ เสอ้ื คลมุ เครอื่ งกรองอากาศ หมวก แวน ตา ฯลฯ 4. หามรับประทานอาหาร เครอื่ งดมื่ หรอื สูบบุหร่ีในขณะปฏิบตั งิ าน 5. ขณะปฏิบัติงานหามใชมือขย้ีตา หรือใชมือสัมผัสกับปากจนกวาจะลางมือให สะอาดเสียกอน 6. กอนรับประทานอาหาร สูบบุหรี่ หรือเขาหองสุขา ตองถอดอุปกรณปองกัน อันตรายและลางมือใหสะอาดเสยี กอน 7. หา มผทู ี่ไมม ีหนา ท่ีเก่ียวขอ งปฏิบตั งิ านเกย่ี วกับผลติ ภณั ฑเ คมี 8. หากเกิดอุบัติเหตุ ภาชนะบรรจุผลิตภัณฑแตกเสียหาย ตองรีบรายงาน ผบู งั คับบัญชาทีร่ บั ผดิ ชอบทนั ที หรือจดั การเกบ็ กวาด เชด็ ถบู ริเวณใหสะอาดตามวิธีที่กําหนด ไมควร ปลอยทงิ้ ไว 9. ในขณะปฏบิ ตั ิงานหากพบวา มีการเจบ็ ปว ย หรอื วิงเวียนศีรษะใหหยุดปฏิบัติงาน ทนั ที พรอมทงั้ รายงานใหผบู ังคับบญั ชาผรู ับผดิ ชอบทราบ หรือทําการปฐมพยาบาลอยางถูกตองแลว รบี นาํ ไปพบแพทยพ รอ มนําฉลากหรอื ผลติ ภณั ฑไปดว ย 10. อุปกรณปองกันอันตรายท่ีใชแลวตองทําความสะอาดหรือทําลายท้ิงตาม คําแนะนําทไ่ี ดกาํ หนดไว

158 11. เมื่อเสร็จสิ้นการปฏิบัติงานแตละครั้ง ตองลางมือ อาบน้ํา และผลัดเปล่ียน เสอ้ื ผา ทสี่ ะอาด ความปลอดภัยในการใชผลิตภณั ฑเคมีในการผลิต 1. พนักงานตอ งอานคําแนะนาํ ขา งกลองบรรจผุ ลติ ภัณฑเ คมีทกุ ชนิดใหละเอยี ดกอ น ทจ่ี ะนาํ เขาโรงงานผลิต 2. กลองผลติ ภัณฑเ คมที ุกกลองทนี่ าํ เขา โรงงานผลิตตอ งอยูในสภาพดีไมแตกรว่ั 3. พนกั งานตองสวมถุงมือ เสื้อคลุมแขนยาว หนากาก รองเทาหุมสน กอนเปด กลอ งสารเคมที จ่ี ะนํามาใชในการผลติ 4. ตองระมัดระวังเปน พิเศษในการบรรจผุ ลิตภัณฑเคมี พยายามใหฝุนหรือละออง ของสารเคมปี ลิวกระจายนอ ยท่สี ดุ 5. กลอ งเปลา ของผลิตภณั ฑเคมี หลังจากใชแลวตองนําไปเก็บรวมกันในท่ีมิดชิด (หากจําเปนตองมีกุญแจปด ) กอ นนําไปทาํ ลาย เผาทิ้งหรือฝงดิน 6. หลังจากท่ีพนักงานทํางานเรียบรอยแลว ใหลางมือ ลางหนาหรืออาบนํ้า และ เปลยี่ นเสือ้ ผาใหมก อ นรับประทานอาหารหรอื สูบบหุ รี่ 7. หา มสบู บุหรีข่ ณะปฏิบัตงิ าน 8. หามรับประทานอาหารหรือเครือ่ งดม่ื ในบรเิ วณโรงงานผลิตหรอื โรงงานบรรจุ ความปลอดภยั ในการเก็บผลติ ภัณฑเ คมใี นคลงั พสั ดุ 1. พนกั งานตองอานฉลากผลติ ภณั ฑเ คมที กุ ครงั้ กอ นทาํ การเกบ็ เขา คลงั พัสดุ 2. ผลติ ภณั ฑเ คมีบางอยา งตองเกบ็ ในทแ่ี หง สะอาด มีอากาศถายเทดี และ มี อุณหภูมิไมเ กนิ 46 C 3. ผลติ ภัณฑเ คมตี องเก็บใหห างจากอาหารและภาชนะบรรจุอาหาร 4. ไมค วรเกบ็ ผลติ ภณั ฑเ คมวี างซอนกันสงู เกินกวา 5 เมตร 5. หามสูบบุหรใี่ นคลังพัสดุ ยกเวนบรเิ วณทกี่ าํ หนดให 6. พนักงานตองสวมถุงมือ หนากาก รองเทาและเสื้อแขนยาวขณะปฏิบัติงานซ่ึง สมั ผัสกบั สารเคมีโดยตรง 7. ผลิตภัณฑเคมีที่ตกหลนตามพื้นใหกวาดเก็บใสถังอยางระมัดระวังเพ่ือนําไป ทาํ ลายหรอื ฝงดนิ ในบริเวณทีก่ าํ หนด ถา เปน ผลิตภัณฑช นดิ เหลวใหใ ชท รายแหง กลบแลวกวาดเก็บไป ฝงดิน หามลา งดวยนาํ้ 8. ผลติ ภัณฑเ คมที ุกชนดิ ตอ งปด ฉลากทกุ กลอ งกอ นนําเขาเก็บในคลังพัสดุ 9. คลังเกบ็ ผลติ ภัณฑเ คมี ตองปดกุญแจหลังจากเลิกงาน

159 การเกดิ ไอเคมีไวไฟ การเกดิ ไอเคมีไวไฟในโรงงาน หมายถึง การปลอ ยไอเคมไี วไฟจํานวนมาก ซ่ึงอาจ ลกุ ตดิ ไฟ หรือระเบดิ เมื่อมีแหลงทกี่ อใหเกดิ ประกายไฟ หรืออาจเกดิ จากการลุกไหมข องสารเคมีหรือ กา ซท่ีมีจดุ วาบไฟ (Flash Point) ตํา่ และมีชว งไวไฟกวาง จุดวาบไฟ (Flash Point) ของสารเคมเี หลว คือ อุณหภมู ิตํา่ สดุ ทีส่ ารเคมนี ั้นจะใหไอ เคมที ่ีสามารถผสมกบั อากาศเปน สวนผสมท่พี รอมจะลุกไหมเม่ือมีแหลง เกิดประกายไฟ ชวงไวไฟ (Flammability Limit) คือ ชว งระหวา งความเขมขนตาํ่ สุด และสูงสดุ ของ ไอเคมใี นอากาศซ่งึ จะเกิดการลุกไหมไดเม่ือมีแหลง เกิดประกายไฟ สว นผสมของไอเคมีและอากาศที่ ตา่ํ กวาชว งไวไฟนี้จะเจือจางเกินไปท่ีจะลกุ ไหมได และในทาํ นองเดียวกนั สว นผสมทีส่ ูงกวา ชวงไวไฟ นจ้ี ะเขมขน เกินไปที่จะติดไฟ เมอ่ื เกดิ กลุมไอเคมจี าํ นวนมาก หามพนักงานเขาไปในบริเวณท่ีเกิดไอเคมีนั้น ควร รบั แจง หนว ยดบั เพลิงประจาํ โรงงานเตรียมพรอ มเพื่อทาํ การชวยเหลอื ทันที วิธปี ฏิบัตเิ มือ่ เกดิ กลุมไอเคมี 1. ปลอดภัยไวกอน เมื่อพบไอเคมีจํานวนมากไมวาจะเกิดจากการหกราดบนพ้ืน หรือเกิดจากการรั่วจากทอสงเคมีหรือจากถังเคมีตาง ๆ หากมีขอสงสัยใหสมมุติไวกอนวากําลังเกิด กลมุ ไอเคมีไวไฟ อยาเสียเวลาไปหาเครอ่ื งวัดประมาณไอเคมี เพราะกวา จะรู ประมาณไอและอากาศ ก็มมี ากเพียงพอทจ่ี ะลุกไหมหรือระเบดิ ได และก็เปนเวลาท่ีทานไดเขาไปอยูในกลุมไอเคมีไวไฟเสีย แลว 2. ออกไปใหพ น จากบริเวณทเ่ี กิดกลมุ ไอเคมีไวไฟทันที และรับแจงใหหัวหนางาน หรอื ผูจดั การทราบ 3. ใหใชนํ้าฉีดเปนฝอยเพื่อไลไอเคมี โดยใชหัวฉีดนํ้าจากตูดับเพลิงในกรณีที่เกิด กลมุ ไอเคมีไวไฟบริเวณรีแอกเตอร ใหเ ปดวาลวน้าํ ปลอยนา้ํ จากหัวฝกบวั ซึ่งติดตงั้ อยูเหนือรีแอกเตอร เพอ่ื ไลไ อเคมี 4. หากกลุมไอเคมีไวไฟกาํ ลังลกุ ติดไฟใหฉีดนาํ้ หลอเครอ่ื งมอื เคร่อื งใชห รือถงั ตาง ๆ ที่อยูรอบ ๆ บริเวณนั้น เพือ่ ปอ งกนั การลุกลามขยายตัวของไฟและการระเบิด อยาพยายามเขาไปดับ ไฟที่จุดลุกไหม แตใหหาแหลงทมี่ าของไอเคมีและจัดการกําจัดตนตอของการเกิดไอเสียกอนโดยไม ตอ ง เขาไปในกลุมไอเคมี แลวจงึ เขาทาํ การดับไฟ

160 1.4 ความปลอดภัยเกีย่ วกับอัคคภี ยั การปองกนั อคั คีภยั ในบรเิ วณโรงงาน พนักงานทุกคนจะตองปฏบิ ตั ดิ ังน้ี 1. รูจักคุณสมบัติเครื่องดับเพลิงทุกชนิดท่ีใชอยูในโรงงาน และสามารถนํามาใช งานไดทนั ที และเหมาะสมกับลกั ษณะของไฟเมือ่ ตองการ 2. หามนําเครื่องดับเพลงิ มาฉีดเลน หรือหยอกลอกัน 3. ใหความสนใจกับเครื่องมอื ดบั เพลิงในแผนก และจะตองมีการตรวจสอบสภาพ ของเคร่อื งดบั เพลงิ อยเู สมอ เมือ่ พบหรือสงสยั วาเครื่องดบั เพลิงเครื่องใดอยใู นสภาพชาํ รดุ หรอื น้าํ หนัก พรอ งไป ใหรายงานผูบังคบั บัญชาตามลาํ ดบั ชั้นทนั ที 4. จะตองไมตดิ ตั้งหรอื วางเครื่องจักรหรือส่ิงของใด ๆ เอาไวในตําแหนงซ่ึงจะเปน อปุ สรรคหรือกดี ขวางการนาํ เครื่องดับเพลิงมาใชโดยสะดวก 5. วัตถุซึ่งไวไฟหรือนาํ้ มันเชอ้ื เพลิงชนดิ บรรจุถัง เมอ่ื นํามาใชแลวจะตองปดฝาให สนทิ และทภ่ี าชนะบรรจคุ วรจะมีเครอ่ื งหมายแสดงวาเปนสารไวไฟ 6. หา มนาํ นา้ํ มนั เช้อื เพลิง หรอื เคมีภณั ฑไวไฟใด ๆ ไปใชในการซกั ลา งเสื้อผา 7. พนกั งานทกุ คนจะตองทําความเขาใจกับวิธีปฏิบัติเม่ือเกิดเพลิงไหม พนักงานทุก คนจะตอ งใหความรว มมือในการซอ มภาคปฏิบตั โิ ดยพรอ มเพรยี งกัน 8. ไมวาเพลิงจะเกิดจากอะไรก็ตาม หากเกิดขึ้นใกลกับสายไฟฟา เครื่องมือ เคร่ืองใชห รือแผงสวติ ซไ ฟฟา ใหปลดสะพานไฟตัดวงจรไฟฟาทนั ที เม่อื เกดิ เพลงิ ไหม 1. เมอ่ื เกดิ เพลงิ ไหมข ึน้ ในบริเวณท่ที ํางาน จงอยา ต่นื ตระหนกจนเสียขวญั พยายาม รักษาขวญั และกาํ ลังใจไวใหม ่นั การตน่ื ตระหนกจนเสยี ขวญั อาจทาํ ใหเหตกุ ารณเลวรา ยลงอกี 2. รีบแจง ใหเพอ่ื นรวมงานทุกคนในบริเวณเพลิงไหมและหนวยดบั เพลิงทราบ เพ่ือ ดาํ เนินการดบั เพลิงและแจงเหตเุ พลงิ ไหมไปยงั หนว ยดบั เพลงิ ของราชการ 3. พนกั งานผูไ มม ีหนา ที่เก่ียวของกับการดับเพลิงตองรีบออกจากตัวอาคารโดยเร็ว ตามแผนอพยพหนีไฟ และไปรวมกันท่ีบริเวณหนาประตูทางเขาโรงงาน เพ่ือรอคําสั่งจากผู ประสานงานดบั เพลิงตอไป 4. พนักงานทไี่ ดรบั มอบหมายใหเปนหนวยดับเพลิงโรงงาน จะตองเตรียมหัวฉีด สายดับเพลิง เพอื่ ตอ เขากับขอตอ ทอ นาํ้ ดบั เพลิงและอยูในสภาพเตรียมพรอมโดยเร็วท่ีสุด ในกรณีที่ เพลงิ อยใู นตําแหนงที่หัวฉดี ใหญจ ะฉีดมาถงึ อาจไมจําเปนตองใชทอดับเพลิงและหัวเล็กฉีดตอ ท้ังน้ี ใหข ้ึนอยกู บั ดลุ ยพินิจของหนวยดบั เพลิงโรงงาน

161 การปอ งกนั อัคคีภยั ในสํานักงาน 1. พนักงานทุกคนจะตองทราบขอ บังคับเกย่ี วกบั ความปลอดภัยในสํานกั งานเปน อยา งดี 2. พนักงานทกุ คนควรฝก ใชเ คร่ืองดับเพลงิ ใหเ ปน 3. พนักงานทุกคนตองปฏิบัติตามกฎขอบังคับความปลอดภัยในสํานักงานโดย เครง ครดั เชน หามสบู บุหรใี่ นบริเวณหามสูบ 4. บริษัทอาจจัดใหมีการซอมดับเพลิงเมื่อเกิดเพลิงไหมหรือกรณีฉุกเฉิน ณ สาํ นักงานรว มกบั เจาหนา ท่ีของทางราชการ พนักงานทุกคนจะตองใหความรวมมือในการซอมโดย พรอ มเพรยี งกัน 5. หามวางส่ิงของกีดขวางทางออกฉุกเฉนิ เมอื่ เกดิ เพลงิ ไหม 1. ใหพนักงานที่พบเพลิงไหมรีบดับเพลิงตามความสามารถทันทีหากเห็นวาไม สามารถดับเพลิงดว ยตนเองได ใหรบี แจงผปู ระสานงานดับเพลิงทราบทนั ที 2. ผปู ระสานงานจะแจง ใหเจา หนา ที่บรหิ ารของบริษทั ทราบ และเปด สัญญาณเพลิงไหม 3. เมื่อมีสัญญาณเพลิงไหมใหพนักงานทุกคนหยุดปฏิบัติงานทันทีและจัดเก็บ เอกสารท่สี าํ คัญพรอ มทงั้ ของมคี า ไวในท่ีปลอดภยั แลวรบี ออกจากบรเิ วณท่ีทาํ งานในทิศทางตรงขาม กับบรเิ วณเกดิ เพลงิ ไหม 4. การออกจากอาคาร หา มวิ่งและหา มใชล ฟิ ตโดยเดด็ ขาด 5. ใหพ นกั งานที่ออกจากอาคารแลว ทกุ คนไปรวมกันในบริเวณท่ีจอดรถอาคารเพ่ือ ตรวจสอบจํานวนและรอรับคาํ สงั่ จากผปู ระสานงานตอ ไป 1.5 ความปลอดภยั ในสํานกั งาน พนื้ สํานกั งาน - ทางเดิน - ประตู 1. ควรใหพ ืน้ สาํ นกั งานมคี วามสะอาดอยเู สมอ 2. พื้นสํานักงานควรอยูในแนวระดับราบไมลาดเอียงหรืออยูตางระดับกัน หากไม สามารถหลกี เลี่ยงได ใหใ ชส ีสันแสดงใหเ ห็นชดั เจน 3. ใหใชวัสดุกันล่นื ปูทบั บนกระเบื้องหรือพ้นื ขดั มันที่ล่ืน 4. ในขณะปฏบิ ตั ิงาน หามว่งิ หรอื ทําการลื่นไถลแทนการเดนิ 5. ในขณะท่ีมีการขัดหรือทําความสะอาดพื้น ผูปฏิบัติงานควรสังเกตปายคําเตือน และเดินหรอื ปฏิบตั ิงานดว ยความระมัดระวังมากยิ่งขึน้ 6. ในกรณีที่มีนํ้า น้ํามัน หรือสิ่งที่ทําใหเกิดการล่ืนบนพ้ืนสํานักงานใหแจง เจาหนาทท่ี รี่ บั ผิดชอบโดยทนั ที โดยกอนแจงใหแ สดงเครือ่ งหมายเตอื นไวดว ย

162 7. ในกรณีที่พบเห็นวัสดุหรือเครื่องใชสํานักงาน เชน ดินสอ ที่หนีบกระดาษ ยางลบ หรอื ส่ิงอ่ืนใดตกหลน อยูบ นพ้นื ใหเก็บโดยทนั ทีเพราะอาจเปนสาเหตใุ หล่นื หกลมได 8. ในขณะเดินถึงมุมตึกใหเดินทางดานขวาของทางเดิน และเดินอยางชา ๆ ดวย ความระมัดระวงั เพื่อหลกี เลย่ี งการชนกับผอู ื่นซง่ึ กาํ ลงั เดนิ มาจากอกี มมุ หนง่ึ 9. ควรติดตัง้ กระจกเงาทํามุมในบรเิ วณมมุ อบั ทอ่ี าจเกดิ อุบัตเิ หตไุ ดงา ย 10. สายโทรศัพท สายเคร่ืองคิดเลข หรือสายไฟฟา ควรติดต้ังใหเรียบรอย เพ่ือ ไมใหก ดี ขวางทางเดิน 11. อยายืนหรือเดินใกลบริเวณประตูท่ีปดอยู เพราะบุคคลอ่ืนอาจจะเปดประตูมา กระแทกได 12. เม่ือจะผานเขา ออกบังตา หรือเปดปดประตูบานกระจก ควรเขาออกหรือเปดปด ดวยความระมดั ระวงั อยางชา ๆ และในการใชบ งั ตาหรือประตูทเี่ ปด ปด สองบาน ใหใ ชบ ังตาหรือบาน ประตูทางดานขวา 13. บังตาหรือประตูบานกระจกท่ีเปดปดสองทาง ใหติดเครื่องหมาย “ดึง” หรือ “ผลัก” ใหช ัดเจน 14. ไมควรจัดเก็บวัสดุอุปกรณส่ิงของตาง ๆ หรือปลอยใหมีส่ิงกีดขวางบริเวณ ทางเดนิ หรอื ชอ งประตู การใชบนั ได การใชบ นั ไดอยางปลอดภัย 1. กอนข้นึ หรือลงบนั ได ควรสังเกตส่งิ ที่อาจกอใหเกิดอนั ตรายขึน้ ได 2. ถาบริเวณบันไดมแี สงสวา งไมเพียงพอ หรือราวบันไดหรือขั้นบันไดชํารุด ให แจงเจาหนาทเ่ี พ่ือทาํ การแกไ ขใหเรยี บรอ ย 3. อยา ปลอยใหม ีเศษวัสดชุ น้ิ เล็กชิ้นนอ ยตกอยูตามข้ันบันได เชน เศษกรวด เศษ แกว ฯลฯ 4. ไมควรติดตั้งสิ่งท่ีดึงดูดความสนใจ เชน กระจกเงา ภาพโปสเตอร เครื่องประดบั ตกแตง ตาง ๆ ไวบ ริเวณบันได 5. ควรจัดใหมีพรมหรอื ทเี่ ชด็ เทา บริเวณเชงิ บันได เพอื่ ความปลอดภัย 6. อยา ว่งิ ข้นึ หรอื ลงบนั ได ควรข้นึ ลงดวยความระมดั ระวัง 7. หามเลนหรอื หยอกลอกนั ในขณะข้นึ หรือลงบนั ได 8. การข้ึนลงบนั ได ใหข ึน้ ลงทางดา นขวาและจบั ราวบันไดทุกครั้ง 9. อยา ปลอ ยราวบนั ไดจนกวาจะมกี ารข้ึนหรอื ลงบนั ไดเปน ท่ีเรียบรอยแลว

163 10. ในขณะขึ้นหรือลงบันได ใหใชสายตามองข้ันบันไดที่จะกาวตอไปและหาม กระทําสง่ิ ใด ๆ ในลักษณะทีจ่ ะกอใหเกดิ อันตราย เชน การอา นหนังสอื หรือคนสง่ิ ของในกระเปา ถอื เปนตน 11. อยา ขึน้ หรอื ลงบันไดเปน กลมุ ใหญในเวลาเดียวกัน การใชบ นั ไดพาดและบนั ไดยืนอยางปลอดภัย 1. กอนใชบันไดพาดหรือบันไดยืน ตองตรวจสอบความแข็งแรงโดยท่ัวไป ตอง แนใ จวา ไมมรี อยหกั รอยราว และมียางกนั ล่ืน 2. เมอื่ ใชบ นั ไดพาดกับผนงั ตอ งพาดใหไ ดประมาณ 70 องศาและควรสงู กวาจดุ ทีจ่ ะ ทาํ งานอยางนอย 60 เซนตเิ มตร 3. ถา เปน ไปได ควรยึดหวั และทายของบันไดดวยเชอื ก แตถา ทาํ ไมไ ดค วรใหคนอน่ื ชว ยใชม อื จับยึดให 4. พ้ืนวางบันไดตอ งเรยี บ และปราศจากหลุม บอ หรอื โหนกนนู 5. ขณะปน บนั ไดข้ึนหรือลงใหม องไปขา งหนาและไมท าํ งานบนบันไดดวยทาทางท่ี ไมเ หมาะสม 6. กรณีมแี ผนรองยืนบนบันไดยืน ขาของบันไดตองหางกันไมเกิน 1.8 เมตร และ แผนรองยืนตองสงู ไมเกิน 2 เมตร 7. บนั ไดยนื ตอ งมีตัวล็อกขาท่กี างไวด วย 8. ถาใชบันไดยนื ในจดุ ทีไ่ มแ นใ จวาจะมีความปลอดภัยเพียงพอตองมีผูชวยคอยยึด จับบนั ไดน้ันไว 9. อยายืนบนแผน รองยืน เมอ่ื ตอ งอยสู งู เกิน 1.2 เมตร โตะ ทํางาน - เกาอ้ี - ตู 1. ตลอดเวลาการทํางานไมควรเปดลนิ้ ชกั โตะ ล้นิ ชกั ตเู อกสาร หรอื ตอู นื่ ใดคางไว ใหป ดทุกคร้งั ทีไ่ มใชง าน 2. หา มวางพัสดุ สง่ิ ของ หรอื กลอ งใตโตะ ทํางาน 3. หามเอนหรือพิงพนกั เกา อี้ โดยใหรับนํา้ หนักเพยี งขางใดขางหนงึ่ 4. ใหมพี นื้ ทเ่ี คล่อื นยา ยเกา อ้ี สาํ หรบั การเขา ออกทส่ี ะดวก 5. หา มวางพัสดุ สงิ่ ของตา ง ๆ บนหลังตเู พราะอาจตกหลน ลงมาเปนอนั ตราย 6. อยา เปดลน้ิ ชักตูเ อกสารในเวลาเดียวกนั เกนิ กวา หนึง่ ล้ินชัก 7. การจดั เอกสารใสในลิน้ ชกั ตู ควรจดั ใสเ อกสารจากช้ันลางสุดข้ึนไป เพ่ือเปนการ ถวงดุลนา้ํ หนัก และใหหลีกเลยี่ งการใสเ อกสารในล้นิ ชกั มากเกนิ ไป 8. ใหใ ชห ูจบั ลิ้นชักทุกครั้งเม่ือจะเปด ปดลิน้ ชกั เพ่อื ปอ งกันนิว้ ถกู หนีบ 9. การจดั วางตูลนิ้ ชกั ตตู อ งไมเ กะกะชองทางเดนิ ในขณะที่ปดใชงาน

164 สายไฟฟา และเตาเสียบ 1. สายไฟฟา ท่มี รี อยฉกี ขาด หรอื ปล๊ักไฟฟาท่ีแตกราว ตองทําการเปล่ียนทันที หาม พันดว ยเทปพนั สายไฟหรือดดั แปลงซอ มแซมอยา งใดอยา งหนึง่ 2. เตาเสียบท่ีชํารุดจะตองทําการซอมแซมโดยทันที ในระหวางรอการซอมแซม จะตองปดหรือครอบ เพ่อื ปอ งกนั ไมใหผูอื่นมาใชง าน 3. เครื่องมือหรืออุปกรณไ ฟฟาตาง ๆ ที่ใชภ ายในสาํ นักงาน ใหว างในตําแหนงท่ีใกล เตาเสยี บมากที่สุด เพ่อื หลีกเล่ียงสายไฟฟาท่ีทอดยาวไปตามพ้ืน หรอื หลีกเลย่ี งการใชส ายตอ ในกรณีที่ ไมอาจวางในตําแหนงใกลเตาเสียบได ใหแสดงเคร่ืองหมายใหชัดเจนเพื่อปองกันการเดินสะดุด สายไฟฟา 4. ในการใชอุปกรณไฟฟาใหแนใจวาแรงดันไฟฟาเหมาะสมกับความตองการ แรงดนั ไฟฟา ของอุปกรณนั้น ๆ 5. การวางหรือเคลือ่ นยา ยเคร่อื งใชส าํ นักงาน ตองระวงั อยา ใหมีการวางหรือเคล่ือนยาย ไปทบั ถกู สายไฟฟา การใชเครือ่ งใชส าํ นกั งาน 1. ในขณะขนยายกระดาษควรระมดั ระวังกระดาษบาดมอื 2. ใหเกบ็ ปากกาหรอื ดินสอ โดยการเอาปลายชลี้ ง หรอื วางราบในชิน้ ชัก 3. ใหทาํ การหบุ ขากรรไกรที่เปดซองจดหมาย ใบมดี คัดเตอร หรอื ของมีคมอื่น ๆ ให เขา ที่กอ นทําการเก็บ 4. การใชเ ครื่องตดั กระดาษ ตองระวงั น้วิ มอื ใหอ ยูหางจากใบมีด ขณะที่กําลังทําการ ตดั กระดาษ และหลีกเลี่ยงการตัดกระดาษจํานวนมากเกินไปพรอมกันทีเดียว ถาไมไดใชงานใหลด ใบมดี ลงใหต ่าํ ท่สี ดุ อยายกใบมดี คา งเอาไว 5. การแกะลวดเยบ็ กระดาษไมควรใชมือหรอื เลบ็ ใหใ ชท่ดี ึงลวดเย็บกระดาษทกุ ครงั้ 6. เฟอรน ิเจอรทเ่ี ปน โลหะใหท าํ การลบมมุ ทกุ แหงเพ่อื ความปลอดภัย 7. ควรใชบันไดหรือช้ันเหยียบ เมื่อตองการหยิบของในที่สูง ไมควรยืนบนกลอง โตะ หรอื เกา อตี้ ิดลอ 8. หลังเลกิ งานทกุ วัน ใหป ด ไฟฟาทุกดวงและตัดวงจรอุปกรณไฟฟาภายในหอ งทํางาน ท้งั หมด 9. เครอ่ื งใชส ํานกั งานท่อี าจกอใหเกดิ อันตราย เชน สายพาน ลูกกลิ้ง เกียร เฟอง ลอ ฯลฯ ถาไมมกี ารติดต้งั อุปกรณปอ งกันอนั ตรายเอาไว ใหตดิ ตัง้ อุปกรณป อ งกนั อนั ตรายน้ันใหเ รียบรอ ย กอ นที่จะใชงาน

165 10. หามทําความสะอาด ปรับ แตง หรือเปลี่ยนแปลงสวนประกอบใด ๆ ของ เคร่ืองใชสํานักงานที่อาจกอ ใหเกิดอันตรายในขณะที่เครอ่ื งกาํ ลังทํางาน 11. ตองทําการศกึ ษาวิธีใชและขอ ควรระวงั ของเคร่อื งใชสํานักงานที่มีอันตรายใหดี กอ นปรบั แตง 12. ถามีผูปฏิบัติงานสองคน หรือมากกวาสองคนข้ึนไปทํางานกับเคร่ืองใช สาํ นักงานทม่ี ีอันตรายเครอื่ งเดียวกัน ผูปฏบิ ตั งิ านแตละคนจะตองระมัดระวังซงึ่ กนั และกนั 13. อยาถอดอุปกรณปองกันอันตรายหรือเปดแผงเครื่องใชสํานักงานที่มีอันตราย โดยเด็ดขาด กรณเี ครื่องขดั ขอ งใหต ิดตอชางเพอื่ มาทาํ การซอ มแซม 14. เคร่ืองใชสํานักงานท่ีใชกําลังไฟฟาและมิไดเปนชนิดที่มีฉนวนหุมสองชั้น จะตองมรี ะบบสายดนิ ตดิ อยูที่ครอบโลหะผานปลั๊ก และหามมีการดัดแปลงปล๊ักเพ่ือตัดวงจรสายดิน ออก 15. ใหต ัดกระแสไฟฟาของเครอื่ งใชสํานกั งานที่ใชไ ฟฟาทุกครั้งที่ไมใชหรือเมื่อจะ ปรับแตงเครื่อง การใชลิฟต 1. ในขณะเกิดเพลงิ ไหม หามทกุ คนใชล ิฟต ใหใชบ นั ไดหนีไฟเทานั้น 2. กอนใชลิฟตทุกครั้งใหสังเกตวาตัวลิฟตเล่ือนมาอยูในระดับเดียวกับพื้นแลว หรือไม ถาตัวลิฟตอ ยูตางระดับกบั พ้นื ใหร ะมดั ระวังการสะดุดขณะเดินเขาลิฟต สําหรับสุภาพสตรีท่ี สวมรองเทา สน สงู หรือสน เล็กตอ งกาวขา ม เพ่อื ปองกนั การลื่นและหกลม 3. ในการใชล ฟิ ต ใหเขา ลิฟตอ ยางรวดเรว็ และระมดั ระวัง อยาลงั เลใจ 4. หา มสบู บหุ ร่ีในลฟิ ต 5. เม่ือลิฟตเล่ือนถึงชั้นที่ตองการ ใหรอประตูลิฟตเปดเต็มท่ีแลวกาวออกจากลิฟต อยา งรวดเรว็

166 6. หา มใชมอื จับหรือดันประตูลิฟตเพื่อใหลิฟตรอบุคคลอื่น ใหใชปุมควบคุมประตู ลฟิ ตท ี่ตดิ ตัง้ อยูภายในลฟิ ต 7. ในกรณเี กิดเหตฉุ กุ เฉนิ ขณะอยูในลิฟต ใหปฏิบัติตามขอแนะนํา ซ่ึงติดอยูภายใน ลิฟต พยายามควบคุมสติใหได อยาตกใจเปนอันขาด กิจกรรม 5 ส สูความปลอดภยั สถานทีท่ ํางานจะปลอดภัยดว ยการปฏบิ ัติ 5 ส สถานทดี่ าํ เนินกิจกรรม 5 ส จะปลอดภัยกวา ถูกสุขอนามัยกวา และมีการผลิตดีกวา ในการทาํ ใหส ถานที่ทาํ งานนา อยู นาดู สะดวกสบายและปลอดภยั นน้ั จะตอ งกําจัดส่ิงที่ไมตองใชแลว ออกไปใหหมด และจดั ส่งิ ทจ่ี ะเก็บใหเปนหมวดหมู เพอ่ื ความสะดวก สะอาด และสวยงาม กิจกรรม 5 ส สะสาง : แยกรายการสิง่ ของทจี่ ําเปนและไมจ ําเปน ทง้ิ สิ่งของทไ่ี มจ าํ เปน ออกไปใหม ากที่สดุ เทา ทีจ่ ะทาํ ได สะดวก : เก็บเครื่องมืออุปกรณไวในที่ท่ีใชไดสะดวกและเก็บในสภาพที่ ปลอดภยั สะอาด : จดั ระเบียบการดูแลความสะอาดของสถานที่ทํางาน เชน การกําจัด ฝนุ ละออง สุขลกั ษณะ : ดูแลเส้ือผาและรักษาสภาพสถานท่ีทํางานใหสะอาดเรียบรอย อยา ปลอยใหสกปรกรกรุงรังเปนเดด็ ขาด สรางนิสัย : ปฏิบัติ 4 ส ขา งตน จนเปนนิสัย 1.6 ความปลอดภยั ในการประกอบอาชีพเกษตรกรรม ปจ จบุ นั การประกอบอาชพี เกษตรกรรม มีการนําเคร่อื งจักรกล เชน รถแทรกเตอร

167 รถไถนา เครื่องเก็บเก่ียว เครื่องผอนแรง เปนตน และสารเคมี เชน ปุยเคมี สารกําจัดศัตรูพืช สารฆา แมลง เขา มาใชอยา งมากมาย เพ่อื ชว ยเพ่มิ ผลผลติ ซึ่งสิ่งเหลานี้หากนาํ ไปใชอยางไมถูกตองจะมีผลเสีย ตอสุขภาพและชวี ติ อันตรายจากการประกอบอาชีพเกษตรกรรม มี 5 ประการ ดงั น้ี ประการท่ี 1 สารเคมี เชน ปุย สารกําจัดศัตรูพืช สารฆาแมลง สารพิษปราบวัชพืช สารกําจดั เช้อื รา สารกําจดั สตั ว สารพษิ กําจัดสาหราย ไสเ ดอื นฝอย หอยทาก สารเคมีเหลาน้ีหากใชถูก วธิ กี ็มปี ระโยชน หากใชผ ดิ วิธีเปน โทษอยา งมากเชน กนั เกษตรกรจาํ เปนตองทราบสิง่ เหลานี้  วธิ เี กบ็ การใช โดยอา นจากฉลากขา งภาชนะบรรจุ  เมอ่ื ใชห มดแลว ตองทําลายภาชนะบรรจุโดยการเผาหรอื ฝง  ไมควรสูบบหุ รขี่ ณะทําการฉดี พน  ระวังการสัมผสั สารเคมีทผ่ี ิวหนงั เนอื่ งจากสามารถดูดซมึ ทางผวิ หนังได  ระวังการสดู ดมหายใจเขาสทู างเดนิ หายใจ  ไมยืนใตลมขณะฉดี พนสารเคมี  เครอ่ื งใชตา ง ๆ สาํ หรบั การฉดี พน ตอ งดูแลไมใหเสอ่ื มสภาพ รว่ั ซมึ  เวลาผสมยาหามใชมอื กวน ประการที่ 2 อันตรายจากฝุนท่ีเกิดจากเกษตรกรรม ฝุนเกิดข้ึนจํานวนมากใน กิจกรรมนวดขาว และกิจกรรมอน่ื ๆ ในนา ปญหาที่เกิดขึ้นคือ ฝุนจะเปนสวนที่รับเอาเช้ือรา ละออง เกสรดอกไม และพวกสเปอรปะปนอยู และจะนําโรคสูคนได ทําใหผูสัมผัสเกิดเช้ือรา โรคปอดฝุนฝาย โรคปอดชานออ ย โรคปอดชาวนา วธิ ีปองกัน คอื  เกษตรควรสวมหนา กากปอ งกันฝุน  รักษาความสะอาดของผิวหนงั หลงั เสรจ็ งานแลว  ใชวิธีพน นํา้ เพ่ือลดการฟุง กระจายของฝุน  หาความรูเพื่อปองกันตัวเอง รวมท้ังเพ่ือใหทราบถึงภัยตาง ๆ ที่อาจเกิดขึ้น เชน อาการเกิดโรค จะไดส ามารถปองกันตัวเองไมใหเ กดิ โรคลุกลามตอไป ประการท่ี 3 อนั ตรายจากการเปนโรคติดเชอ้ื จากสัตว ทส่ี าํ คญั คอื มา วัว ควาย แกะ แพะ สกุ ร สนุ ขั สตั วปา ทก่ี ินเนอ้ื นก เปด ไก เปน ตน โรคติดเชื้อท่ีสําคัญ ไดแก โรคแอนแทรกซ โรค กลวั นาํ้ บาดทะยัก เลพโตสไปโรซสี กลากเกลอ้ื น ของเช้ือรา วธิ ปี องกนั คอื

168  เกษตรกรควรทราบแหลง โรค วธิ ีการแพรโรค  เมือ่ สัตวปว ยตอ งเผาหรือฝง ทําลายเช้ือ ฉดี วัคซนี ปองกนั โรคแกสัตว  รักษาความสะอาดของผิวหนัง ระวังมิใหสัมผัสกับผิวหนังของสัตวที่เปน โรค  ทําความสะอาดแผลทันทเี มื่อมีบาดแผลเกดิ ข้นึ ประการที่ 4 อนั ตรายจากความรอน แสง เสยี ง ความสั่นสะเทอื น เกษตรกรอาจเปน ตะครวิ ออนเพลีย หรอื เปนลม อนั เนอ่ื งมาจากการไดรบั ความรอนทีม่ าจากแสงอาทติ ย หรือไดร บั เสียง ดงั จากเครื่องจักรกล ซึ่งมีผลตอสุขภาพจิตดวย รวมท้ังเกิดอาการหูตึง หรือหูหนวกได อันตรายจาก แสงจา ซ่ึงพบมากทําใหเ กิดตอ สูญเสียการมองเห็น และในการใชเคร่อื งจักรกม็ ปี ญ หา การสน่ั สะเทือน จากเคร่ืองจักร เชน รถแทรกเตอร เครอ่ื งเกีย่ วขา ว เคร่อื งไถ เคร่อื งเจาะ เล่ือยไฟฟา ความส่ันสะเทือนมี อันตรายตอมอื และแขน ทําใหเ กดิ อาการปวดขอตอ เม่ือยลา ระบบยอยอาหารผิดปกติ กระดูกอักเสบ วิธปี องกนั อนั ตรายเหลา นไี้ ดแก  การสวมใสอ ปุ กรณปองกนั อันตรายสวนบคุ คล เชน ถงุ มือ อุดหู  การปอ งกนั เก่ียวกบั ความรอน ทาํ ไดโ ดยใหส วมเสอื้ ผาหนา แขนยาว แตเปน ผาท่รี ะบายอากาศไดด ี  ดม่ื น้ําผสมเกลอื ใหเขม ขน ประมาณ 0.1%  หยดุ พักระหวา งงานบอยขนึ้ หากอากาศรอนจัดมาก ประการที่ 5 อุบัติเหตุในงานเกษตรกรรม เชน การถูกของมีคมบาด ไดแก มีด ขวาน เคยี ว เมื่อเกิดบาดแผลเกษตรกรไมมีเวลาที่จะทําความสะอาดแผลหรือปฐมพยาบาลโดยทันที โอกาสที่จะไดรับเชื้อโรค เชน โรคบาดทะยัก จึงพบบอย และเปนสาเหตุการตายท่ีสําคัญหรือการใช เครื่องยนตท่ีใชไฟฟาก็อาจเกิดไฟฟา ดูด หรือเกิดการไหมต ามผวิ หนงั ข้ึนได ซึ่งควรตอ งเรยี นรูเ รอื่ งการ ใชไ ฟฟา ใหถ ูกตองดวย นอกจากน้ียงั มีอันตรายจากการใชเครอ่ื งยนต เชน เชอื ก โซ สายพาน หนีบหรอื บีบอัด ทาํ ใหม อี บุ ตั เิ หตุเกดิ ขึ้นที่นวิ้ มอื เปนสว นใหญ โรคจากการทํางานท่ีสําคัญและพบบอยที่สุดในเกษตรกรคือ การปวดหลังจากการ ทํางานอันเนอ่ื งมาจากทา ทางการทาํ งานทีฝ่ น ธรรมชาติ ทําใหเกิดอาการปวดเม่ือยกลามเน้ือ การปวด เมือ่ ยกลามเนื้อท่เี กดิ ขน้ึ ซ้ํา ๆ ทกุ วนั เรียกวา โรคบาดเจ็บซํ้าซาก หรือโรคบาดเจ็บซํ้าบอย สามารถแกไข ได ควรจะไดเรียนรวู ิธีการหาเครอ่ื งทุนแรงหรือประยุกตวิธีการทํางานเพื่อบรรเทาอาการเหลานั้นให ลดนอ ยลง ตัวอยางเชน การใชเครือ่ งหวานเมลด็ พชื แทนการกม เงยในการหวานโดยคนก็จะทําใหการ ทาํ งานเปน สุขขน้ึ ได

169 เร่ืองที่ 2 การปฐมพยาบาลเบือ้ งตน การปฐมพยาบาล คือ การใหก ารชวยเหลือเบ้ืองตน ตอผปู ระสบอันตราย หรือเจบ็ ปว ย ณ สถานทเี่ กดิ เหตกุ อนทีจ่ ะถงึ มอื แพทย หรอื โรงพยาบาล เพ่อื ปอ งกนั มิใหเ กดิ อนั ตรายแกชีวติ หรือ เกดิ ความพิการโดยไมส มควร วัตถุประสงคข องการปฐมพยาบาล 1. เพอ่ื ใหมชี วี ติ อยู 2. เพอื่ ไมใหไ ดร บั อันตรายเพมิ่ ขึ้น 3. เพอ่ื ใหกลับคืนสูส ภาพเดิมไดโดยเรว็ หลักท่ัวไปในการปฐมพยาบาล 1. อยาตืน่ เตน ตกใจ และอยา ใหคนมงุ เพราะจะแยง ผบู าดเจบ็ หายใจ 2. ตรวจดวู าผูบาดเจ็บยงั รสู ึกตวั หรือหมดสติ 3. อยา กรอกยา หรอื นา้ํ ใหแกผ ูบาดเจบ็ ในขณะทไ่ี มรูสกึ ตวั 4. รีบใหการปฐมพยาบาลตอ การบาดเจ็บทอี่ าจทาํ ใหเ กดิ อันตรายถงึ แกช ีวติ โดยเร็ว กอ น สว นการบาดเจบ็ อืน่ ๆ ทไี่ มรนุ แรงมากนักใหด าํ เนนิ การปฐมพยาบาลในลําดบั ถดั มา การบาดเจ็บที่ตอ งไดร บั การชว ยเหลือโดยเร็ว คอื 1. การขาดอากาศหายใจ 2. การตกเลือด และมอี าการชอ็ ก 3. การสมั ผัส หรอื ไดรับสง่ิ มพี ิษทรี่ นุ แรง การปฐมพยาบาลเม่อื เกดิ อาการบาดเจบ็ ขอเคล็ด สาเหตุ เกดิ จากการฉกี ขาด หรือการยดึ ตวั ของเน้อื เย่ือ กลา มเน้ือ หรอื เสนเอน็ รอบขอตอ อาการ - เวลาเคลือ่ นไหวจะรูสกึ ปวดบริเวณขอ ตอ ท่ีไดรับอนั ตราย - บวมแดงบริเวณรอบ ๆ ขอ ตอ

170 การปฐมพยาบาล - อยาใหขอ ตอ บรเิ วณทีเ่ จบ็ เคลอื่ นไหว - อยาใหของหนกั กดทบั บริเวณขอทเี่ จบ็ - ควรประคบดว ยความเย็นไวกอน - ถา มีอาการปวดรนุ แรง ใหรีบนาํ ไปพบแพทย ขดั ยอก สาเหตุ เกิดจากการทก่ี ลา มเน้ือยึดตวั มากเกินไป ซึง่ เกดิ ขนึ้ เพราะการเคล่ือนไหวอยางรนุ แรง และรวดเรว็ มากเกนิ ไป อาการ เจบ็ ปวดบริเวณท่ไี ดรบั บาดเจบ็ ตอมามีอาการบวม การปฐมพยาบาล - ใหผ ูบาดเจบ็ นงั่ หรือนอนในทาที่สบาย และปลอดภัย - ถาปวดมากอาจบรรเทาอาการโดยการประคบความเย็นกอ น แลวตอดวยประคบ ความรอน ตาบาดเจบ็ การปฐมพยาบาลเกยี่ วกับตานนั้ ควรใหการปฐมพยาบาลเฉพาะตาท่บี าดเจ็บเลก็ นอ ย เทานนั้ ถาบาดเจ็บรนุ แรงใหหาผา ปดแผลสะอาดปด ตาหลวม ๆ แลว นาํ ผูบาดเจ็บสง โรงพยาบาล โดยเร็ว ผงเขาตา สาเหตุ - มีสิง่ แปลกปลอมเขาตา - ระคายเคอื งตา คัน หรือปวดตา การปฐมพยาบาล - ใชน า้ํ สะอาดลางตาใหทั่ว - ถา ผงไมอ อกใหห าผา สะอาดปดตาหลวม ๆ แลวนาํ ผบู าดเจบ็ ไปพบแพทย

171 สารเคมีเขาตา สาเหตุ กรด หรือดา งเขา ตา อาการ - ระคายเคอื งตา - เจบ็ ปวด และแสบตามาก การปฐมพยาบาล - ใหลางตาดว ยนา้ํ ทส่ี ะอาดโดยวิธกี ารใหน ํ้าไหลผา นลกู ตา จนกวาสารเคมี จะออกมา - ใชผา ปดแผลทีส่ ะอาดปดตาหลวม ๆ แลวนําผูบาดเจ็บไปพบแพทย โดยเร็วทส่ี ุด ไฟไหม หรอื นาํ้ รอ นลวก สาเหตุ บาดแผลอาจจะเกดิ จากถูกไฟโดยตรง ประกายไฟ ไฟฟา วตั ถุที่รอ นจดั นาํ้ เดือด สารเคมี เชน กรด หรอื ดา งทีม่ คี วามเขมขน อาการ แบงเปน 3 ลักษณะ - ลกั ษณะที่ 1 ผิวหนังแดง - ลกั ษณะท่ี 2 เกดิ แผลพอง - ลักษณะที่ 3 ทําลายชน้ั ผิวหนงั เขา ไปเปน อนั ตรายถงึ เนือ้ เยือ่ ทีอ่ ยใู ตผิวหนงั บางครง้ั ผูบ าดเจ็บจะมีอาการชอ็ ก การปฐมพยาบาล บาดแผลในลกั ษณะที่ 1 และ 2 ซงึ่ ไมส าหสั ใหปฐมพยาบาลดงั น้ี - ประคบดว ยความเย็นทนั ที - ใชน้าํ มนั ทาแผลได และปด แผลดวยผาทส่ี ะอาด ใชผ า พนั แผลพันแตอยา ใหแนน มาก บาดแผลในลักษณะที่ 3 ใหปฐมพยาบาลดงั นี้ - ถาผบู าดเจ็บมอี าการช็อก รีบใหก ารปฐมพยาบาลอาการชอ็ กกอ น

172 - หามดึงเศษผาทถ่ี ูกไฟไหมซึ่งตดิ อยูกับรา งกายออก - นาํ ผูบาดเจบ็ สงโรงพยาบาลโดยเร็วที่สดุ เทาที่จะทาํ ได กระดูกเคลือ่ น สาเหตุ กระดกู เคลื่อนเกดิ ขึน้ เพราะปลายกระดูกขางหนง่ึ ซ่ึงประกอบกันเขาเปน ขอ ตอ เคลือ่ นทห่ี ลุดออกจากเสน เอ็นท่หี ุม หอ บรเิ วณขอ ตอไว อาการ - ตึงและปวดมากบรเิ วณขอตอทหี่ ลุด - ขอตอ จะมรี ปู รา ง และตาํ แหนง ผิดไปจากเดมิ การปฐมพยาบาล - จดั ใหผบู าดเจ็บอยใู นทาทีส่ บายท่ีสุด - หามกด หรอื ทําใหขอตอน้ันเคลอื่ นไหวเปนอนั ขาด - นําผบู าดเจบ็ สง แพทยใ หเรว็ ท่ีสุด - การเคลอื่ นยายผูบาดเจบ็ ควรใชเปลหาม กระดูกหกั กระดกู หกั มีอยู 2 แบบ คือ 1. กระดกู หกั ชนดิ ธรรมดา หรือชนดิ ปด ไดแ ก การมกี ระดกู หกั เพยี งอยา งเดยี ว ไมแทงทะลผุ ิวหนังออกมา 2. กระดกู หักชนิดมีบาดแผล หรอื ชนิดเปด ไดแก การมกี ระดกู หักแลว แทงทะลุ ผิวหนงั ออกมา หรอื วตั ถจุ ากภายนอกแทงทะลุผวิ หนงั เขาไปกระทบกบั กระดูก ทําใหก ระดกู หัก อาการ - บวม - เวลาเคลื่อนไหวจะเจ็บบรเิ วณทไ่ี ดร บั อนั ตราย - ถา จบั บริเวณที่ไดรบั อันตรายจะรสู ึกนุมนิ่ม และอาจมเี สยี งปลายกระดกู ทห่ี กั เสียด สีกัน - อวัยวะเบ้ยี วบดิ ผดิ รปู

173 การปฐมพยาบาล - อยา เคล่อื นยา ยผปู ระสบอันตราย นอกจากจะจําเปน จรงิ ๆ การเคลือ่ นยาย อาจทาํ ใหบ าดเจ็บมากขน้ึ ไปอกี - คอยระวงั ใหป ลายกระดกู ทีแ่ ตกอยนู ิง่ ๆ - ปองกันอยา ใหเ กดิ อาการช็อก - ถากระดกู ทห่ี กั แทงทะลุผวิ หนังออกมาขางนอก ใหหา มเลือดโดยใชนว้ิ กด หรือใชสายสาํ หรับรัดหามเลือด - ใชผา ปดแผลทสี่ ะอาด ปดปากแผล หรอื กระดกู ทโ่ี ผลอ อกมา - ถามคี วามจาํ เปน ทจี่ ะตอ งเคลือ่ นยา ยผูบาดเจบ็ ควรใชเ ฝอกช่ัวคราว สายคลอ งแขน หมอน และเปลเฝอ กช่ัวคราวอาจทาํ ดวยวตั ถใุ ด ๆ ก็ไดท ่อี ยใู กลม อื เชน กระดาน มวน หนงั สอื พิมพ มวนฟาง หรอื รม ใหผกู เฝอกกับแขน หรอื ขาตรงท่ีหักทั้งขางลาง และขา งบน และถา สามารถทําไดใหผ กู มดั จากท่ี ๆ แตกไปทง้ั สองขา ง จะทําใหเฝอ กชว่ั คราวแขง็ แรงขนึ้ ใชก ระดาษ ผา สําลี หรือวตั ถอุ น่ื ๆ ทคี่ ลายกันรองเฝอก เพือ่ ใหบรเิ วณที่ไดรบั อนั ตรายอยใู นระดบั เดยี วกัน ซง่ึ การทาํ วธิ ีนี้เฝอกจะพอดี ไมก ดกระดกู บางแหง มากเกินไป สําหรบั การใสเ ฝอกทแ่ี ขนหรอื ขานนั้ ควรใสให รอบทกุ ดา นดีกวาใสเ ฉพาะดานใดดา นหน่ึง และใหใ ชผ าเปนชน้ิ ๆ หรอื เชือกทีเ่ หนยี ว ๆ ผกู เฝอ ก แต ผาสาํ หรบั ผูกในยามฉกุ เฉินทีด่ ที สี่ ุดก็คือ ผา พนั แถบยาว ๆ - บางครงั้ กอนจะเขา เฝอกจําเปนตองเคล่อื นยายผบู าดเจบ็ บา งเล็กนอย ควรจะใหใคร คนหนึ่งจับแขน หรอื ขาสว นท่อี ยเู หนอื และสวนทอี่ ยตู าํ่ กวาบรเิ วณทกี่ ระดกู นั้นหักใหอยูนงิ่ ๆ สวนคน อื่น ๆ ใหชว ยกนั รบั นาํ้ หนักของรา งกายไว วิธที ่ีดที ่ีสดุ กค็ อื ใชเ ปลหาม - กระดูกสันหลัง หรือคอหัก หรือสงสัยวาจะหัก จะตองใชความระมัดระวังเปน พิเศษ ถาคนเจ็บหมดสติอาจจะไมรูวากระดกู คอ หรอื กระดกู สนั หลังหัก นอกจากผทู ําการปฐมพยาบาล นั้นจะมีความรใู นเรอื่ งน้เี ปน พิเศษ กระดูกหักธรรมดาอาจจะกลายเปน กระดกู หกั ชนิดมีบาดแผลไดถา หากไมร ะมดั ระวงั ในการเคล่อื นยา ยผูบาดเจบ็ ดังนั้น หากสามารถทาํ ไดค วรงดเวนการเคล่ือนยา ยใด ๆ จนกวาแพทยจะมาทาํ การชว ยเหลอื การเคลอ่ื นยายผทู กี่ ระดูกคอหกั - เม่ือจะทําการเคลื่อนยายผูบาดเจ็บท่ีกระดูกคอหัก ใหเอาบานประตู หรือแผน กระดานกวา ง ๆ มาวางลงขางคนเจ็บ ใหปลายกระดานเลยศีรษะคนเจ็บไปประมาณ 4 นิ้ว เปนอยาง นอ ย - ถาผบู าดเจ็บนอนหงาย ใหใ ครคนหนึ่งคกุ เขาลงเหนือศรี ษะ ใชมือทั้งสองจับศีรษะ ไวใ หน ่ิง ๆ เพอื่ ใหศรี ษะ และหัวไหลเ คลอื่ นไหวเปน จังหวะเดียวกันกับรางกาย สวนคนอ่ืน ๆ จะเปน คนเดียว หรอื หลายคนก็ไดชว ยกนั จับเส้อื ผาของผบู าดเจ็บตรงหวั ไหล และตะโพก แลว

174 คอ ย ๆ เลอื่ นผูบ าดเจบ็ นั้นวางลงบนแผน กระดาน หรือบานประตู ใหผูบาดเจ็บนอนหงายอยายกศีรษะ ขึน้ และอยา ใหคอบิดไปมา - ถาผูบาดเจ็บนอนคว่ําหนา ควรจะวางบานประตู หรือกระดานลงขาง ๆ ตัว ผบู าดเจบ็ นนั้ เอาแขนเหยียดไปทางศีรษะ คกุ เขาลงเอามือจับขางศีรษะของผูบาดเจ็บ โดยใหมือปดหู และมมุ ขากรรไกร แลวคอยพลิกคนเจ็บใหนอนหงายบนกระดาน เวลาพลิกใหนอนหงายจะตองให ศรี ษะอยูน ิง่ ๆ และใหอยูระดบั เดยี วกับลําตวั ทัง้ ศีรษะ และลาํ ตัวจะตอ งพลิกใหพ รอ ม ๆ กนั - ระหวา งท่ที ําการเคลอ่ื นยาย ควรจะใชหนังรัด หรือผาพันแผลก็ไดหลาย ๆ อัน รัด รอบตวั ของผบู าดเจ็บใหตดิ แนน กับแผนกระดาษ หรอื ถา มีเปลกใ็ หใ ชเ ปลหาม การเคลอ่ื นยา ยผูท ก่ี ระดูกสนั หลงั หกั - อยารีบยกผูบาดเจ็บท่ีสงสัยวากระดูกสันหลังจะหัก ตองถามกอนวาสามารถ เคล่อื นไหว ไดห รือไม ถาผบู าดเจ็บไมไดส ติ และสงสัยวา จะไดร ับอันตรายที่กระดูกสนั หลัง ใหปฏิบัติ เชน เดยี วกบั ผทู กี่ ระดูกคอหกั - ถาพบคนท่สี งสัยวากระดกู สันหลังหักนอนควํ่าหนาอยู คอย ๆ พลิกใหนอนหงาย ลงบนแผน กระดาน หรือเปล แลว หาอะไรมารองสันหลงั ตอนลา ง - ถา ผูบาดเจ็บนอนหงาย คอย ๆ เล่ือนใหนอนบนกระดาน โดยปฏบิ ัตเิ ชนเดยี วกับผูที่ กระดูกคอหัก - ผูบาดเจ็บที่สงสยั วากระดูกสนั หลงั หัก หามยกในทานง่ั โดยเดด็ ขาด กะโหลกศรี ษะแตก สมองไดรับความกระทบกระเทอื น ผทู ป่ี ระสบอนั ตรายจนกะโหลกศรี ษะแตก หรือสะเทือน จะมีอาการเลือดออกทางหู ตา และจมกู อาจมีของเหลวสีขาวไหลออกมาจากหู ตาดาํ อาจจะมีขนาดไมเทากัน หนาแดง หรือซีดก็ ได การปฐมพยาบาล - ถาหนามีสปี กติ หรอื สีแดง ควรวางผูบาดเจ็บนอนลง แลวหนนุ ศรี ษะใหส ูงเล็กนอย ถาหนาซดี ควรวางศีรษะในแนวราบ - พลกิ ศีรษะใหอ ยูในลักษณะทไ่ี มถูกทบั บริเวณท่ีสงสัยวากระดูกจะแตก - ถามีบาดแผลปรากฏใหหามเลือด และปดบาดแผลดวยผาปดแผลท่ีสะอาด ผูก ผา พนั แผลดานตรงขามกบั บาดแผล - ใหความอบอุน แกผ ูบาดเจ็บอยเู สมอ และอยาใหส ารกระตุน ใด ๆ แกผบู าดเจบ็

175 การหา มเลอื ดเมอื่ เกดิ อนั ตรายจากของมคี ม วธิ หี ามเลอื ดมีหลายวธิ ี ไดแ ก 1. การกดดว ยนิว้ มือ มีวธิ ปี ฏบิ ตั ดิ งั น้ี - ในกรณีทบ่ี าดแผลเลือดออกไมม าก จะหา มเลอื ดโดยใชผาสะอาดปดท่บี าดแผลแลว พนั ใหแนน ถายังมีเลอื ดไหลซึม ใหใ ชนิ้วมอื กดตรงบาดแผลดว ยกไ็ ด - ในกรณีที่เสน โลหิตแดงใหญขาด หรือไดร บั อนั ตรายอยา งรุนแรงเปนบาดแผลใหญ ควรใชนว้ิ มือกดเพ่อื หา มเลอื ดไมใ หไ หลออกมา และใหก ดลงบรเิ วณระหวางบาดแผลกบั หัวใจ เชน - เลอื ดไหลออกจากหนังศีรษะ และสว นบนของศรี ษะ ใหกดทีเ่ สนเลือดบริเวณขมับ ดา นที่มีบาดแผล - เลอื ดไหลออกจากใบหนา ใหกดทีเ่ สน เลือดใตข ากรรไกรลา งดา นทม่ี ีบาดแผลหาง จากมุมขากรรไกรไปขา งหนา ประมาณ 1 นวิ้ - เลือดไหลออกมาจากคอ ใหกดลงไปบริเวณตนคอขาง ๆ หลอดลมดานท่ีมี บาดแผล แตก ารกดตาํ แหนงนนี้ านๆ อาจจะทาํ ใหผูถกู กดหมดสติได ฉะนั้นควรใชว ิธีนี้ตอเมอ่ื ใชว ธิ อี น่ื ๆ ไมไดผลแลว เทา นัน้ - เลอื ดไหลออกมาจากแขนทอ นบน ใหก ดลงไปท่ไี หปลาราตอนบนสดุ ใกลหัวไหล ของแขนดา นท่มี บี าดแผล - เลือดไหลออกมาจากแขนทอนลาง ใหกดที่เสนเลือดบริเวณแขนทอนบนดานใน กึง่ กลางระหวางหัวไหลก ับขอ ศอก - เลือดออกทข่ี า ใหกดเสนเลอื ดบริเวณขาหนบี ดา นที่มบี าดแผล 2. การใชสายรดั หามเลอื ด ในกรณีทเ่ี ลือดไหลออกจากเสน โลหติ แดงทแ่ี ขน หรอื ขา ใชนิ้วมือกดแลว เลือด ไมห ยดุ ควรใชสายสําหรับหามเลือดโดยเฉพาะ - สายรัดสําหรับแขน ใหใชรัดเสนโลหิตที่ตนแขน สายรัดสําหรับขาใหใชรัดเสน โลหิตท่ีโคนขา - อยา ใชส ายรัดผกู รัดใหแนนเกินไป และควรจะคลายออกเปนเวลา 3 วินาที ทุก ๆ 10 นาที จนกวาเลือดจะหยดุ - ถาไมม ีสายรัดแบบมาตรฐาน อาจใชวัตถุท่ีแบน ๆ เชน เข็มขัด หนังรัด ผาเช็ดตัว เนคไท หรอื เศษผา ทําเปน สายรัดได แตอยา ใชเ ชอื กเสน ลวด หรอื ดา ยทาํ เปนสายรัด เพราะอาจจะบาด หรอื เปนอันตรายแกผ วิ หนงั บริเวณทีผ่ ูกได

176 3. การยกบรเิ วณทม่ี ีบาดแผลใหสงู กวาหัวใจ ในกรณที ่ีมบี าดแผลเลอื ดออกทีเ่ ทา จดั ใหผบู าดเจ็บนอนลงแลวยกเทาขน้ึ กิจกรรม ใหผ เู รยี นรวบรวมขอมูลการไดรบั อนั ตรายจากการทํางานของตนเอง สมาชกิ ใน ครอบครวั และเพอ่ื นรว มงาน ดังน้ี 1. ขา พเจา เคยไดรบั อนั ตรายจากการทาํ งาน ดังน้ี  งาน / หนาท่ที ี่ปฏิบตั ิ หรอื เคยปฏิบตั .ิ ..................................................................................... ...........................................................................................................................................  อันตรายที่เคยไดรบั 1. .................................................................................................................................... 2. .................................................................................................................................... 3. ....................................................................................................................................  การปองกนั และแกไ ข 1. .................................................................................................................................... 2. .................................................................................................................................... 3. .................................................................................................................................... 2. สมาชกิ ในครอบครวั เคยไดรับอนั ตรายจาการทาํ งาน คอื .........................................................  งาน / หนาท่ที ป่ี ฏิบัติ หรือเคยปฏบิ ัต.ิ ................................................................................. .................................................................................................... ......................................  อันตรายท่เี คยไดรับ 1. .................................................................................................................................... 2. ..................................................................................................................................... 3. ....................................................................................................................................  การปอ งกนั และแกไ ข 1. ..................................................................................................................................... 2. .................................................................................................................................... 3. .....................................................................................................................................

177 3. เพื่อนรวมงานท่ีเคยไดร ับอนั ตรายจากการทาํ งาน ดังนี้  งาน / หนา ท่ีทปี่ ฏิบัติ หรอื เคยปฏิบัต.ิ ................................................................................. .................................................................................................... ......................................  อนั ตรายท่เี คยไดรับ 1. ..................................................................................................................................... 2. .................................................................................................................................... 3. .....................................................................................................................................  การปอ งกนั และแกไข 4. .................................................................................................................................... 5. .................................................................................................................................... 6. ....................................................................................................................................

178 บทท่ี 9 ทักษะชวี ิตเพอื่ การส่อื สาร สาระสําคญั การมคี วามรคู วามเขาใจเกี่ยวกบั ทักษะท่ีจําเปนสําหรับชีวิตมนุษย โดยเฉพาะทักษะ การส่อื สาร ทักษะการสรางสัมพันธภาพระหวา งบคุ คล ทกั ษะการเขาใจผูอื่น จะชวยใหบ ุคคลดํารงชวี ติ อยใู นครอบครวั ชมุ ชน และสงั คมอยางมคี วามสุข ผลการเรยี นรทู ี่คาดหวงั เพอ่ื ใหผูเรยี น 1. มีความรูความเขาใจเก่ียวกับทักษะชีวิตที่จําเปน 3 ประการ ไดแก ทักษะการ ส่ือสาร ทักษะการสรางสมั พนั ธภาพระหวางบคุ คล และทกั ษะการเขา ใจผอู น่ื 2. ประยกุ ตใชท กั ษะชวี ติ ในการดาํ เนนิ ชีวิต และในการทํางานอยา งมีประสทิ ธิภาพ ขอบขา ยเนอื้ หา เรอื่ งที่ 1 ความหมายของทักษะชีวิต เรอ่ื งท่ี 2 ทกั ษะชวี ิตท่จี าํ เปน 3 ประการ

179 เรื่องท่ี 1 ความหมายของทกั ษะชวี ิต คําวา ทักษะ (Skill) หมายถงึ ความชดั เจน และความชํานาญในเรอ่ื งใดเร่อื งหนง่ึ ซึ่ง บคุ คลสามารถสรางขนึ้ ไดจากการเรยี นรู ไดแ ก ทักษะการอาชีพ การกฬี า การทํางานรวมกับผูอ่ืน การ อาน การสอน การจัดการ ทักษะทางคณติ ศาสตร ทกั ษะทางภาษา ทักษะทางการใชเทคโนโลยี ฯลฯ ซ่ึง เปน ทกั ษะภายนอกทส่ี ามารถมองเห็นไดชัดเจนจากการกระทํา หรือจากการปฏิบัติ ซึ่งทักษะดังกลาว นั้นเปนทกั ษะท่ีจําเปนตอการดํารงชวี ิต ทีจ่ ะทาํ ใหผ ูมที ักษะเหลานั้นมีชีวิตที่ดี สามารถดํารงชีพอยูใน สังคมได โดยมโี อกาสที่ดีกวาผไู มมีทักษะดังกลาว ซึ่งทักษะประเภทนี้เรียกวา Livelihood skill หรือ Skill for living ซึ่งเปนคนละอยางกับทักษะชีวิต ที่เรียกวา Life skill (ประเสริฐ ตันสกุล) ดังนั้น ทกั ษะชีวิต หรอื Life skill จงึ หมายถงึ คุณลกั ษณะ หรอื ความสามารถเชงิ สงั คม จิตวทิ ยา (Psychosocial competence) ท่ีเปนทักษะภายในท่ีจะชวยใหบุคคลสามารถเผชิญสถานการณตาง ๆ ที่เกิดข้ึนใน ชีวิตประจาํ วนั ไดอ ยางมีประสิทธภิ าพ และเตรียมพรอ มสําหรบั การปรบั ตวั ในอนาคต ไมวา จะเปนเรอ่ื ง การดแู ลสุขภาพ เอดส ยาเสพตดิ ความปลอดภัย ส่ิงแวดลอม คุณธรรมจริยธรรม ฯลฯ เพอ่ื ใหส ามารถมี ชีวิตอยใู นสังคมไดอ ยา งมีความสุข หรือจะกลาวงา ย ๆ ทักษะชีวิต ก็คือ ความสามารถในการแกปญหา ทีต่ อ งเผชิญในชีวติ ประจําวัน เพ่ือใหอ ยรู อดปลอดภยั และสามารถอยูร วมกับผอู น่ื ไดอยา งมีความสขุ 1.1 องคป ระกอบของทกั ษะชวี ิต องคป ระกอบของทักษะชีวิต จะมีความแตกตางกันตามวัฒนธรรม และสถานที่ แต ทกั ษะชีวิตทจ่ี าํ เปนท่ีสุดที่ทุกคนควรมี ซ่ึงองคการอนามัยโลกไดสรุปไว และถือเปนหัวใจสําคัญใน การดาํ รงชวี ิต คอื 1. ทักษะการตัดสินใจ (Decision making) เปนความสามารถในการตัดสินใจ เกี่ยวกับเรือ่ งราวตาง ๆ ในชีวติ ไดอ ยางมีระบบ เชน ถา บคุ คลสามารถตัดสนิ ใจเกี่ยวกับการกระทําของ ตนเองทเ่ี กย่ี วกับพฤติกรรมดา นสุขภาพ หรอื ความปลอดภยั ในชวี ติ โดยประเมินทางเลือก และผลที่ได จากการตดั สินใจเลือกทางที่ถูกตองเหมาะสม ก็จะมีผลตอ การมีสุขภาพที่ดีท้งั รา งกาย และจิตใจ 2. ทักษะการแกปญหา (Problem Solving) เปนความสามารถในการจัดการกับ ปญหาที่เกิดขึ้นในชวี ติ ไดอ ยางมีระบบ ไมเกิดความเครยี ดทางกาย และจิตใจ จนอาจลกุ ลามเปน ปญหา ใหญโ ตเกินแกไข 3. ทักษะการคิดสรางสรรค (Creative thinking) เปนความสามารถในการคิดที่จะ เปนสวนชวยในการตัดสินใจ และแกไขปญหาโดยการคิดสรางสรรค เพ่ือคนหาทางเลือกตาง ๆ รวมท้ังผลทจี่ ะเกิดขน้ึ ในแตล ะทางเลอื ก และสามารถนําประสบการณมาปรับใชในชีวิตประจําวันได อยา งเหมาะสม

180 4. ทกั ษะการคิดอยางมวี จิ ารณญาณ (Critical thinking) เปนความสามารถใน การ คดิ วเิ คราะหขอ มลู ตาง ๆ และประเมินปญ หา หรอื สถานการณท่ีอยูรอบตัวเรา ที่มีผลตอการ ดําเนิน ชีวิต 5. ทักษะการส่ือสารอยางมีประสิทธิภาพ (Effective communication) เปน ความสามารถในการใชคําพูด และทาทาง เพื่อแสดงออกถึงความรูสึกนึกคิดของตนเองไดอยาง เหมาะสมกบั วฒั นธรรม และสถานการณต า ง ๆ ไมวาจะเปน การแสดงความคิดเห็น การแสดง ความ ตองการ การแสดงความช่ืนชม การขอรอง การเจรจาตอรอง การตักเตือน การชวยเหลือการปฏิเสธ ฯลฯ 6. ทักษะการสรางสัมพันธภาพระหวางบุคคล (Interpersonal relationship) เปน ความสามารถในการสรางความสัมพันธที่ดีระหวางกันและกัน และสามารถรักษาสัมพันธภาพไวได ยนื ยาว 7. ทักษะการตระหนักรูในตน (Self awareness) เปนความสามารถในการคน หารจู กั และเขา ใจตนเอง เชน รขู อ ดี ขอเสียของตนเอง รูความตองการ และส่ิงท่ีไมตองการของตนเอง ซึ่งจะ ชว ยใหเรารูตวั เองเวลาเผชญิ กับความเครยี ด หรือสถานการณตา ง ๆ และทักษะน้ียงั เปนพืน้ ฐานของการ พัฒนาทักษะอน่ื ๆ เชน การสอื่ สาร การสรางสมั พันธภาพ การตัดสนิ ใจ ความเห็นใจผอู ่ืน 8. ทักษะการเขาใจผูอื่น (Empathy) เปนความสามารถในการเขาใจความเหมือน หรอื ความแตกตางระหวา งบุคคล ในดานความสามารถ เพศ วยั ระดับการศึกษา ศาสนา ความเช่ือ สี ผิว อาชีพ ฯลฯ ชวยใหสามารถยอมรับบุคคลอื่นที่ตางจากเรา เกิดการชวยเหลือบุคคลอ่ืนท่ีดอยกวา หรอื ไดร บั ความเดือดรอ น เชน ผตู ดิ ยาเสพตดิ ผตู ิดเชื้อเอดส 9. ทักษะการจัดการกับอารมณ (Coping with emotion) เปนความสามารถในการ รบั รูอารมณข องตนเอง และผูอ่ืน รูวาอารมณมีผลตอการแสดงพฤติกรรมอยางไร รูวิธีการจัดการกับ อารมณโ กรธ และความเศรา โศก ทีส่ ง ผลทางลบตอรา งกาย และจิตใจไดอยา งเหมาะสม 10. ทักษะการจดั การกบั ความเครยี ด (Coping with stress) เปน ความสามารถในการ รับรูถึงสาเหตุของความเครียด รูวิธีผอนคลายความเครียด และแนวทางในการควบคุมระดับ ความเครยี ด เพื่อใหเกิดการเบ่ียงเบนพฤติกรรมไปในทางท่ีถูกตอง เหมาะสม และไมเกิดปญหาดาน สขุ ภาพ 1.2 กลวธิ ีในการสรางทกั ษะชวี ิต จากองคป ระกอบของทักษะชีวติ 10 ประการ เมอ่ื จะนาํ ไปใชพ ัฒนาทักษะชีวติ สามารถแบงไดเปน 2 สวน ดงั น้ี

181 1. ทักษะชีวิตทั่วไป คือ ความสามารถพื้นฐานท่ีใชเผชิญปญหาปกติใน ชีวิตประจําวัน เชน ความเครียด สุขภาพ การคบเพ่ือน การปรับตัว ครอบครัวแตกแยก การบริโภค อาหาร ฯลฯ 2. ทักษะชวี ิตเฉพาะ คอื ความสามารถท่จี ําเปน ในการเผชญิ ปญหาเฉพาะ เชน ยาเสพ ตดิ โรคเอดส ไฟไหม นา้ํ ทว ม การถูกลวงละเมิดทางเพศ ฯลฯ เร่อื งท่ี 2 ทกั ษะชีวติ ทีจ่ ําเปน 3 ประการ  ทักษะการส่ือสารอยา งมีประสทิ ธิภาพ (Effective communication)  ทกั ษะการสรา งสัมพนั ธภาพระหวางบุคคล (Interpersonal relationship)  ทักษะการเขาใจผูอ ่นื (Empathy) 2.1 ทักษะการส่ือสารอยางมีประสิทธภิ าพ การสื่อสาร เปนกระบวนการสรางความเขาใจกันระหวางบุคคล โดยอาจเปนการ สอ่ื สารทางเดียว (one-way communication) คอื การสอ่ื ขาวสารจากผูสงสาร ไปยังผูรับสาร โดยไมมี การสอื่ สารกลบั หรือสะทอ นความรสู ึกกลับไปยังผสู งสารอกี ครัง้ สวนการสอื่ สารสองทาง (Two-way Communication) เปน การสือ่ ขา วสารจากผูสง สารไปยังผูรับสาร และมีการส่ือสารกลับ หรือสะทอน ความรสู ึกกลับจากผูรับสาร ไปยังผสู งสารอกี คร้งั จงึ เรียกวา เปนการสอ่ื สารสองทาง การสื่อสารระหวางบุคคล นับวาเปนความจําเปนอยางย่ิง เพราะในการดําเนินชีวิต ปกตใิ นปจจบุ ัน การสื่อสารเขามามบี ทบาทอยา งยิ่งในทุกกิจกรรม ไมวาจะเปนการสื่อสารดวย การ พดู การเขียน การแสดงกริ ิยาทาทาง หรือการใชเคร่ืองมือสื่อสารที่เปนเทคโนโลยีสมัยใหม ตาง ๆ เชน โทรศพั ท Internet e-mail ฯลฯ ทง้ั นี้ การสือ่ สารดวยวธิ ใี ด ๆ กต็ าม ควรทาํ ใหผูสง สาร และผูรับ สารเกดิ ความเขาใจอนั ดตี อ กนั และเกิดสมั พันธภาพทดี่ ีตามมา ซึ่งทกั ษะท่ีจําเปนในการสื่อสาร ไดแก การรจู ักแสดงความคดิ เหน็ หรอื ความตองการใหถกู กาลเทศะ และการรูจกั แสดงความชื่นชมผูอ ่ืน การ รจู กั ขอรอ ง การเจรจาตอ รองในสถานการณคับขันจําเปน การตักเตือนดวยความจริงใจ และใชวาจา สภุ าพ การรูจกั ปฏิเสธเมื่อถูกชักชวนใหปฏิบัติในส่ิงที่ผิดขนบธรรมเนียมประเพณี หรือผิดกฎหมาย เปน ตน การส่ือสารดวยการปฏเิ สธ หลาย ๆ คนไมกลาปฏิเสธคาํ ชกั ชวนของเพ่ือน หรือคนรัก เม่ือไปทําในส่ิงทตี่ นเองไม เหน็ ดว ย เชน การมเี พศสมั พันธที่ไมปลอดภัย การเที่ยวซองโสเภณี การเสพยาเสพติด ฯลฯ อันท่ีจริง การปฏเิ สธเปนสทิ ธิของทุกคน การปฏเิ สธคําชกั ชวนของเพอ่ื น หรอื คนรกั เม่อื ทาํ ในส่งิ ท่ตี นเองไมเ ห็น

182 ดวยอยา งเหมาะสม และไดผลจะชวยปองกันการมีพฤติกรรมเสี่ยงได คนสวนใหญไมกลาปฏิเสธคํา ชกั ชวนของเพอื่ น หรือคนรัก เพราะกลวั วาเพ่ือน หรือคนรักจะโกรธ แตถาสามารถปฏิเสธไดถูกตอง ตามข้นั ตอนจะไมทาํ ใหเสียเพ่อื น การปฏิเสธท่ดี ี จะตองปฏิเสธอยางจริงจัง ท้ังทาทาง คําพูด และน้ําเสียง เพื่อแสดงความต้ังใจอยาง ชดั เจนท่จี ะขอปฏิเสธ การปฏเิ สธมี 3 ขั้นตอน คอื 1. บอกความรสู กึ เปน ขออางประกอบเหตุผล เพราะการบอกความรูสึกจะโตแยง ยาก กวาการบอกเหตุผลอยางเดยี ว 2. การขอปฏิเสธเปนการบอกปฏเิ สธชัดเจนดว ยคําพูด 3. การถามความเห็นชอบเพ่ือรักษานํ้าใจของผูชวน และความขอบคุณเมื่อผูชวน ยอมรับการปฏเิ สธ ตัวอยางการปฏเิ สธเมื่อถกู ชวนไปเสพยาเสพตดิ แดงเปน ผชู วน และแอมเปน ผปู ฏิเสธ แดง : คนื น้ีมีปารต ที้ ่ีหอ ง แอม ไปใหไดน ะ มขี องดอี ยางวาใหม ๆ มาใหลอง แอม : ของอยา งวา นั้นไมด ีตอสุขภาพ ขอไมล อง แดงคงไมว า นะ ขอบคณุ มากที่ชวน แดง : .................................... การหาทางออกเมื่อถูกเซาซี้ หรือสบประมาท บางครั้งผูชวนพูดเซาซี้เพื่อชวนให สาํ เรจ็ ผูถ ูกชวนไมควรหวน่ั ไหวกบั คําพดู เพราะจะทาํ ใหข าดสมาธิในการหาทางออก ควรยืนยันการ ปฏิเสธดว ยทา ทมี ั่นคง และหาทางออกโดยวธิ ีตอ ไปนี้ ปฏเิ สธซ้าํ โดยไมต อ งใชขอ อา ง พรอมท้ังบอกลา แลว เดนิ จากไปทันที การตอ รอง โดยการชวนไปทํากจิ กรรมอืน่ ท่ีดกี วา การผดั ผอน โดยการยดื ระยะเวลาออกไปเพอ่ื ใหผูชวนเปลยี่ นความตัง้ ใจ เชน

183 ขั้นตอน ตัวอยา งคาํ พดู 1. อางความรูสกึ ประกอบเหตผุ ล “ฉนั ไมชอบ มนั ไมดตี อสขุ ภาพ” 2. ขอปฏิเสธ “ขอไมไปนะเพื่อน” 3. การขอความเห็นชอบ “เธอคงเขาใจนะ” 4. ถูกเซา ซี้ หรือถกู สบประมาท “ไมล องดีกวา เราขอกลบั กอนนะ” “ฉันคิดวา เรากลบั บานกันเลยดกี วา ” 4.1 การปฏิเสธซํา้ “แดงคิดวา เราควรรอไปอีกสักระยะหนึ่ง เมือ่ เราทงั้ สอง 4.2 การตอรอง พรอ มท่จี ะรับผดิ ชอบครอบครวั คอยคิดเรือ่ งน”้ี 4.3 การผดั ผอ น สถานการณท่ีชวนไปเท่ยี วซอง ชัยเปนผชู วน ยุทธเปน ผูปฏิเสธ ชัย : วันนกี้ นิ ขาวเย็นแลว ไปเทยี่ วอยา งวากนั นะ ยทุ ธ : เราไมช อบสถานทอี่ ยา งน้ัน กลัวติดโรคดว ย ขอไมไ ปนะเพอื่ น ชยั : เราไปหลายหนไมเหน็ เปนอะไรเลย ชกั สงสัยแลว วา นายเปนผชู าย เตม็ รอยหรือเปลา ชวนท่ีไรไมไ ปสกั ที ยทุ ธ : ไมละ เอาไวค ราวหลงั พวกนายไปเท่ยี วทีอ่ น่ื เราจะไปดว ย คร้ังน้ีขอตวั กอนนะ ขอบใจมากทช่ี วน ในเรอ่ื งความรัก ผูหญิงเมื่อมีความรัก จะมีความรูสึกชอบ หรือรัก ตองการความรัก ความอบอุน ความใกลชิดผูกพันทางใจ ไมคาดคิดวาฝายชายตองการอะไรจากความใกลชิด จึงขาด ความระมดั ระวงั อาจเผลอตัวเผลอใจไปตามท่ีฝายชายตองการ เปนคานิยมของชาย โดยถือเปนเร่ือง ปกติท่ีจะมีเพศสัมพันธกับหญิงบริการ หรือคนรักเพื่อปลดเปลื้องความใคร เพราะเมื่อผูชายรัก หรือ ชอบผูหญิงมักจะตองการผกู พันทางกาย คือ ความรัก ความใคร เมื่อผูชายตองการผูกพันทางกายก็จะ คดิ หาวธิ กี ารตาง ๆ เพอ่ื ทาํ ใหเกิดพฤติกรรมที่จะนาํ ไปสูส ิ่งทต่ี นตองการ โดยคิดวาฝายหญิงก็ตองการ เชนกนั การมีเพศสัมพันธครั้งแรก ฝายหญิงไมไดมีความสุขทางเพศอยางที่ฝายชายเขาใจ ตรงกนั ขามจะมีความวิตกกังวล กลัวต้ังครรภ กลัวแฟนจะทอดทิ้ง หรือดูถูก กลัวเพื่อนรู กลัวพอแม เสยี ใจ แตฝ ายชายจะมคี วามสขุ ทางเพศ และภูมิใจท่ีไดเปนเจาของ การมีเพศสัมพันธในคร้ังตอ ๆ มา ฝายหญงิ มักจะยนิ ยอมเพราะความรกั ความผูกพัน ความกังวล กลัวถูกทอดท้ิงหากไมยอม แตฝายชาย

184 ถอื เปนเรอ่ื งปกติ เปนการหาความสุขรวมกัน ปญหาท่ีตามมาคือ การตั้งครรภ หรือโรคตาง ๆ ฉะน้ัน การคบเพือ่ นตางเพศ ผูหญิงควรปฏิบตั ิตนอยา งไรบา ง เชน - ไมควรอยูดว ยกนั ตามลาํ พังสองตอ สองในท่ลี บั ตา เพราะความใกลชดิ สามารถไปสู การมีเพศสัมพนั ธไ ด - ผูหญงิ ควรแตงกายมดิ ชดิ ไมแตงกายลอ แหลม - ผูหญิงควรระมัดระวังตัวขณะอยูใกลชิดกับเพ่ือนตางเพศ ควรรักนวลสงวนตัว ระวังการสัมผัส หรอื ถูกเนอ้ื ตองตัว สําหรับผูช าย เมอื่ มีโอกาสอยกู ันตามลําพังสองตอสองควรยับยั้งชั่งใจ และไมคิดหา วธิ ีตาง ๆ ที่จะทาํ ใหเกดิ พฤตกิ รรมท่จี ะนําไปสสู ง่ิ ทต่ี นตอ งการ โดยคาดคดิ เอาเองวา ฝา ยหญิงกต็ อ งการ เชนเดียวกับตน ตวั อยางการสื่อสารดวยการปฏเิ สธ ปจจุบนั ปญหาการมเี พศสมั พันธกอ นวยั อันควร ลกุ ลาม รุนแรงถึงข้ันเปนปญหาการ ตงั้ ครรภทไ่ี มพ งึ ประสงคเ พิ่มสูงขึ้นในกลุมวัยรนุ วยั เรยี น ทาํ ใหต องออกกลางคัน หรือแอบไปทําแทง จนทําใหเกิดอันตรายถงึ แกช วี ติ เปนจํานวนมาก ดังน้นั เรือ่ งทพ่ี อ แมไ มอ ยากใหเ กดิ เร่ืองหนึ่งคือ ไมอยากใหลูกมี “เซ็กส” กอนวัยอัน ควร อยากใหเรยี นหนงั สอื จบ ใหเปน ผูใหญท รี่ ับผิดชอบตัวเองไดม ากกวานี้ แตข าวเดก็ วัยรนุ ตอนนก้ี ็ออกมามากเหลอื เกนิ วา เหน็ เร่ือง “เซ็กส” เปนเรื่องธรรมดา ไมเ ห็นจะเสียหายตรงไหน บางคนเปลย่ี นคูเปนวา เลน บางคกู ็เชา หอพักอยดู ว ยกัน เชาไปเรียนดวยกัน เย็นกลบั มานอนดวยกัน พอ แมอ ยูต า งจงั หวดั ไมร ูเรอื่ ง คิดวาลกู คงตง้ั ใจเรยี นอยา งเดียว ท่ีไหนได เร่ืองน้ีพอแมจะทําเฉยไมไดแมลูกเราจะเปนเด็กเรยี บรอย ยังไมมีทีทาวาจะสนใจเพศ ตรงขา มก็ตาม พอ แมก็ตองชวนคุยเม่ือมีโอกาส หากพอแมลูกดูโทรทัศนดวยกัน จะมีฉากอยางวาใน ละครไทยอยูหลายเรื่อง เชน พระเอกเสียทีนางราย หรือนางเอกใจออนยอมพระเอกกอน แตสุดทาย ไมไดแตงงานกัน พอแมก็ถือโอกาสน้ีชวนลูกคุยเสียเลย ไมวาจะเปนลูกชาย หรือลูกสาวก็ตองระวัง เรอ่ื งน้ดี ว ยกนั ทง้ั น้ัน ซึ่งอาจแนะนาํ ลูกดงั นี้ อยาอยูก ันตามลําพงั สองตอ สองในท่ีลับตาคน แมอีกฝายจะชวนก็ไมตองตามใจ ให รจู กั ปฏิเสธ  ถา ดูแลว อกี ฝายจะผกู มดั โดยอา งวา “รกั จริงหวังแตง” หรืออะไรกแ็ ลว แต ทจี่ ะสรรหามาพราํ่ พรรณนา ตอ งใหลูกเราพดู กับอีกฝายแบบเปดใจ เปด เผย ดวยทาทีที่ม่ันใจวา “ไม ตองการใหม ีอะไรกนั เกนิ เลยกวา น้ี เพราะเรายังเด็กยังไมสมควร” หรือ “ยังไมพรอม” แมวาเราจะรัก เขามากก็ควรคบกันแคเปน แฟนกอน เวลายังมีอกี ยาวนาน ใครจะรูวาคนน้ใี ชคูแ ทห รอื ไม  ตองรจู ักหลีกเลยี่ ง หรอื กลา ปฏิเสธทจ่ี ะมเี พศสัมพนั ธ ถา อกี ฝา ยยงั ต้อื

185 ตอ งใหร จู กั เอาตวั รอดใหได  ใหเ บยี่ งเบนความสนใจของอีกฝา ยไปยงั เรือ่ งอื่น เชน อาจชวนไปเลน กีฬา หรอื ชวนคยุ ในเรอื่ งท่คี ดิ วา อีกฝา ยจะหยดุ ฟง  ถา อกี ฝายยงั ไมย อมฟง เหตผุ ล โดยอาจจะมีขอ อางวา “ถา ไมยอม แสดงวา ไมรกั จรงิ ” หากถงึ ขน้ั นลี้ ะกอ ตองใหลกู คิดใหมแ ลววา ควรจะคบกนั เปนแฟนตอไปอกี ไหม เพราะอีก ฝา ยคงตองพยายามหาโอกาสอีกเรือ่ ย ๆ แลว แนใ จไหมวา ลกู จะไมใจออ นเขาสกั วัน  ท่ีสาํ คัญ พอแมตองชวนลกู คยุ ถงึ ผลเสียของการมีเพศสมั พนั ธก อนวยั อันควรดว ย 2.2 ทกั ษะการสรางสัมพันธภาพระหวา งบคุ คล คงไดยินคาํ พูดนี้บอย ๆ วา “คนเราอยูคนเดียวในโลกไมได” เราตองพ่ึงพาอาศัยกัน ซ่ึงจะตอ งมีสัมพันธภาพทด่ี ตี อ กนั การที่จะสรา งสัมพนั ธภาพใหเกิดข้นึ ระหวางกนั นัน้ เปน เรือ่ งไมยาก แรกเริม่ คอื 1. มีการติดตอ พบปะกนั เราจะตอ งมีการติดตอพบปะพูดคยุ กบั คนทตี่ องการมีสัมพันธภาพกับเขา ใหเวลากับ เขา ทาํ งานรว มกัน ทํากิจกรรมรวมกนั เลน กีฬาดว ยกนั และในที่สดุ เราก็มโี อกาสสรางมิตรภาพท่ีดีตอ กนั 2. มคี วามสนใจและประสบการณร วมกัน ประสบการณเปนส่ิงท่ีนําคนสองคนใหมารวมมือกัน การชวยเหลือกันในระหวาง การเลาเรียน หรือการทํางานดวยกัน มีความสนใจในเรื่องเดียวกัน การรวมประสบการณ และ แลกเปล่ียนประสบการณระหวา งกนั เปนการสรา งมติ รภาพที่ดใี หเกิดข้นึ ได 3. มีทศั นคติและความเชอื่ ที่คลา ยคลงึ กัน ชวงวัยรุนเปนชวงท่ีความคิด ทัศนคติ และความรูสึกอาจมีการเปล่ียนแปลงอยาง รวดเรว็ ถา คนไหนมคี วามคิดเหน็ คลา ยคลงึ กับเรา เราจะรูส ึกพอใจ แตถาคนไหนมคี วามคดิ แตกตางกบั เรา เราจะรสู กึ ไมพอใจ แตในความเปนจริงตองเขา ใจวา คนสวนใหญไมไดมีความเห็นเหมือนกันทุก เรอ่ื ง แมในคนทเี่ ปน มิตรตอ กนั เพยี งใดก็ตาม จะสรา งสมั พันธภาพท่ีดีไดอ ยางไร การเรียนรูวิธีการสรางสัมพนั ธภาพท่ีดีเปน สาํ คัญ และทุกคนควรจะคนหาเพ่ือใหเกิด มิตรภาพ ดงั นี้ 1. ความใสใจ เอาใจใสซ่ึงกันและกัน ดูแลกันทั้งยามสขุ ยามทกุ ข

186 2. ความไวเน้อื เช่อื ใจ การอยูก บั ผอู น่ื อยา งมคี วามสขุ เราตองไววางใจในตัวเขา และตอ งใหเขาไวว างใจในตวั เราดว ย 3. การยอมรับ เราจะตอ งรจู กั ใหก ารยอมรับ และนับถอื คนอืน่ รูจ กั แสดงความ ช่นื ชม และยนิ ดีกบั ความสําเรจ็ ของผอู ื่น 4. การมสี ว นรวม และการแบงปน สัมพนั ธภาพทด่ี ีคอื การไดมีสวนรวมแบงปนใน ประสบการณ รูจ ักรับฟง ความคิด และยอมรบั ความจริงจากคนสว นมาก 5. การมคี วามยืดหยนุ คนทม่ี คี วามยืดหยุนจะเปนคนท่ีสามารถมีความสุข แมจะอยู กับคนท่ีมีความเหน็ ตา งกนั 6. ความเห็นอกเห็นใจผูอ่ืน การแสดงความเห็นอกเห็นใจ จะทําไดงายถามี สัมพนั ธภาพท่ีดีตอกัน เพราะจะไมเ กิดความเขาใจผิดตอกนั จากการทคี่ นเราตอ งมสี มั พันธภาพที่ดกี ับผอู นื่ น้ัน ก็เพ่ือท่ีจะสามารถอยูรวมกับผูอ่ืน ได โดยท่ีไดรับการชวยเหลือจากผูอ่ืนตามสมควร ไมวาจะเปนเพื่อน พอแม พ่ีนอง หรือคน อื่น ๆ โดยเฉพาะการมสี ัมพนั ธภาพที่ดรี ะหวางพอแมกับลูกวัยรนุ เปนสิ่งทีส่ าํ คญั มาก เพอ่ื ลูกจะไดเติบโตเปน ผูใหญทดี่ ี และประสบความสําเรจ็ ในชีวติ ตอไป การสรางสมั พันธภาพดว ยการให  การฝกใหเ ปน ผูเสียสละ หรอื เปนผใู หนน้ั พอแมจะตองสอนลูก หรือเปน ตวั อยางในการเปน ผใู หเสมอ  การใหโดยทัว่ ไปนน้ั เรามกั จะนึกถึงแตการใหส่งิ ของ หรอื เงนิ ทอง แตค วาม จริงยงั มีส่ิงสําคญั ท่ที กุ คนควรใหแกก นั ไดแก การใหรอยย้ิม ใหค วามจริงใจ ใหการชวยเหลือ ให คาํ ชมเชย ใหความเมตตา ใหอภยั ฯลฯ ซ่ึงการใหส ิง่ เหลานไ้ี มต องเสียเงนิ ทองซอื้ หา แตตอ งเปนการให ท่ีออกมาจากใจจรงิ จะเปนการสรา งมติ รภาพท่ดี ตี อ กนั  ใหน ึกเสมอวา จงเปน ผใู หเถิด ใหผ ูอ ่ืนใหม ากข้นึ รับใหน อยลง จึงจะเปน การ ทาํ ใหค รอบครวั เรามคี วามสุข และสงั คมจะอบอุน เพือ่ ลูกไดซึมซับ และนาํ ไปใชในการเปนผูใหเสมอ กับเพื่อน ๆ พี่ นอง และคนอนื่ ๆ ท่อี ยรู ว มกัน การฝก ใหเ ปน คนนา รกั นา คบหา เคยไดย นิ อาจารยท านหนึ่งพูดในรายการโทรทศั นน านมาแลววา “ลูกเราไมวาจะเปน อยางไร มันก็ดนู า รักไปหมดในสายตาพอแม แตเ ราจะตอ งสอนลกู เราใหเ ปน คนนา รกั เพื่อท่ีคนอ่ืนเขา จะไดรกั ลกู เราดว ย”

187  พวกเราที่เปน ผใู หญคงเคยเหน็ เด็กประเภทน้ีบา ง เชน - เหน็ ผใู หญแลวไมไ หว ทําเปน มองไมเหน็ - พูดจาไมเ พราะ หนา บ้งึ ตึง - ไมรูจ กั กาลเทศะ - เอาแตใ จตวั เอง - ทําทา อวดดี เด็กท่เี ปน อยางน้ี ผูใหญก จ็ ะมองวา ไมน า รกั เลย บางทีทําใหอดคิดไมไ ดว า พอ แมค งไมม ีเวลาสัง่ สอน  สวนในกลุมของเด็กวัยรุนดวยกัน ไดลองถามวาเพื่อนแบบไหนที่ไมอยากคบ ดว ย ก็ไดคาํ ตอบวา - ประเภทท่ีชอบดถู ูกเพ่ือน - เอาเปรียบไมชวยงานกลมุ - ขี้อิจฉาเพื่อน เหน็ เพ่อื นมดี ีไมไ ด - ชอบพดู ใหค นอืน่ หนา แตก หมอไมร บั เยบ็ - คยุ โมโ ออ วดตนเอง และวา คนอ่นื - ชอบแกลงเพอื่ น ถา เปน อยางน้ีเพ่ือนก็ไมอยากคบหาสมาคม และไมอ ยากใหเ ขา รวมกลมุ เพราะเขา ทีไ่ หนก็วงแตกกระเจงิ ทกุ ที จนเพื่อน ๆ เออื มระอา  คนเปน พอแมค งเศรา ใจมาก ถาลูกเรากลายเปนคนนา รงั เกียจที่ไมม ใี คร อยากคบ ดงั นัน้ พอ แมต อ งพยายามพดู คยุ ยกตวั อยางคนท่ีทําตัวนารัก และคนที่ทําตัวไมนารักให ลูก เห็น เพ่ือเปรียบเทียบ และเอาเปนตัวอยาง ซ่ึงลักษณะของคนนารักน้ัน พระเทพวิสุทธิกวี แหง วัด โสมนสั วิหาร กรงุ เทพมหานคร ไดกลา ววา คนท่นี า รักยอ มมคี ณุ สมบตั ิ 9 ประการ คอื 1. ไมเ ปน คนอวดดี 2. ไมพดู มากจนเขาเบอื่ 3. เปนคนออ นนอ มถอมตน 4. รจู ักผอ นสั้นผอนยาว 5. พดู จาออ นหวาน 6. เปนคนเสยี สละ ไมเ อาเปรียบผูอนื่ 7. เปนคนกตญั กู ตเวที 8. เปน คนไมม นี สิ ยั ริษยา เสยี ดสีผอู ่นื 9. เปนคนมีนิสยั สขุ ุมรอบคอบ ไมย กตนขมทาน

188 “พอ แมท ห่ี วังใหลกู เปนทร่ี ักของผใู หญ และเพื่อนฝงู ตองพยายามเพาะนสิ ัย ดังกลา วใหก บั ลูก กจ็ ะทําใหการอยูรวมกับผูอ่ืนในสังคมเกิดเปนสัมพันธภาพท่ีดีระหวางกันและกัน ทกุ คนกจ็ ะมแี ตความสขุ ” 2.3 ทกั ษะการเขา ใจผูอืน่ การที่บุคคลจะอยูในครอบครัว อยูในสังคมอยางมีความสุข จําเปนตองรูจักตนเอง และรจู ักผูทต่ี นเกยี่ วขอ งสัมพันธด ว ย ดงั ภาษิตจนี ที่วา “รูเ ขา รูเรา รบรอ ยครงั้ ชนะรอยครั้ง” ดงั นนั้ การทเี่ ราจะทําความรูจักผูอ่นื ซงึ่ เราจะตอ งเกย่ี วขอ งสัมพันธดวย ไมวาจะเปน ภายในครอบครัวของเราเอง หรอื ในสถานศกึ ษา ในสถานทีท่ าํ งาน เพราะเราไมสามารถอยูคนเดียวได ในทกุ ที ทกุ สถานการณ หลกั ในการเขาใจผูอ ืน่ มีดังนี้ 1. ตอ งคาํ นงึ วาคนทกุ คนมศี กั ดศ์ิ รีความเปนมนุษยเชนเดียวกับเรา จึงควรปฏิบัติกับ เพือ่ นมนุษยทุกคนดว ยความเคารพในศกั ดิศ์ รขี องความเปน มนษุ ยเทา เทียมกนั ไมวาจะเปน คนจน คนรวย คนแก เดก็ คนพิการ ฯลฯ 2. บุคคลทุกคนมีความแตกตางกัน ท้ังพื้นฐานความรู ฐานะทางเศรษฐกิจ สภาพ ความเปน อยู ระดับการศึกษา การปลูกฝงคณุ ธรรม คา นยิ ม ระเบยี บ วินยั ความรับผิดชอบ ฯลฯ ดังนั้น หากเรายอมรับความแตกตา งระหวา งบุคคลดงั กลาว จะทําใหเ ราพยายามทาํ ความเขา ใจเขา และส่ือสาร กับเขาดว ยกิรยิ าวาจาสุภาพ ซึ่งหากยังไมเขาใจเรากจ็ ําเปน ตองอดทน และอธิบายดวยภาษาท่ีเขาใจงาย ไมแ สดงอาการดูถูกดแู คลน หรือแสดงอาการหงุดหงดิ รําคาญ เปน ตน 3. การเอาใจเขามาใสใจเรา บุคคลท่ัวไปมักชอบใหคนอื่นเขาใจตนเอง ยอมรับ ใน ความตองการ ควรเปน ตัวตนของตนเอง ดงั นั้นจึงมักมคี ําพูดตดิ ปากเสมอ เชน ฉันอยา งน้นั ฉันอยาง นี้ ทาํ ไมเธอไมท าํ อยา งนน้ั ทําไมเธอไมทาํ อยางนี้ ทาํ ไมเธอถงึ ไมเ ขาใจฉัน ฯลฯ ซึ่งเปนการเอาใจเรา ไปยดั เยียดใสใจเขา และมกั ไมพ ึงพอใจในทุกเรือ่ ง ทกุ ฝา ย ท้ังนใี้ นดา นกลบั กัน หากเราคดิ ใหม ปฏิบัติ ใหม โดยพยายามทาํ ความเขาใจผอู ืน่ ไมวาจะเปน พอ แมเขา ใจลูก หรือลูกเขา ใจ พอแม เพือ่ นเขาใจ เพอื่ น โดยการทําความเขาใจวา เขาหรือเธอมเี หตผุ ลอะไร ทาํ ไมจึงแสดงพฤติกรรมเชนนั้น เขามีความ ตองการอะไร เขาชอบอะไร ฯลฯ เมื่อเราพยายามเขาใจเขา และปฏิบัติใหสอดคลองกับความชอบ ความตอ งการของเขาแลว ก็จะทําใหการอยูรวมกัน หรือการทํางานรวมกันเปนไปดวยความราบร่ืน และแสดงความสงบสนั ติสุขในครอบครัว ชุมชน และสงั คม 4. การรับฟงผูอ่ืน การท่ีเราจะเขาใจผูอื่นไดดีหรือไม ขึ้นอยูกับวาเรารับฟงความ คิดเหน็ ความตองการของเขามากนอ ยเพียงใด บคุ คลท่ัวไปในปจจุบันไมชอบฟงคนอ่ืนพูด แตชอบที่ จะพดู ใหค นอนื่ ฟง และปฏบิ ัติตาม ดงั น้นั สิง่ สาํ คญั ท่ีเปน พ้ืนฐานที่จะทําใหเราเขาใจผูอื่นก็คือ ทักษะ การฟง ซงึ่ จะตอ งเปนการฟงอยา งต้งั ใจ ไมขดั จงั หวะ หรือแสดงอาการเบ่ือหนาย และควรแสดงกิริยา

189 ตอบรบั เชน สบตา ผงกศรี ษะ ทั้งน้ี การฟงอยางตง้ั ใจ จะทําใหเรารับทราบความคดิ ความตองการ หรอื ปญหาของผูท่ีเราเกี่ยวของดวย ไมวาจะเปนในฐานะลูกกับพอแม พอแมกับลูก นายจางกับลูกจาง หวั หนา กบั ลูกนอ ง ฯลฯ ซึง่ จะทําใหเ ราเกดิ อาการเขา ใจ และสามารถแกป ญ หาไดอ ยา งถูกตองในทส่ี ุด กจิ กรรม 1 ใหผ เู รยี นยกตัวอยาง วธิ กี ารสือ่ สารกบั พอแม และหัวหนางาน หรอื ลูกนอ ง ดังนี้ 1. การสอ่ื สารกบั พอ แม กรณขี อไปเท่ยี วคา งคืนตา งจงั หวดั .................................................................................................... ................................................. .................................................................................................... ................................................. ...................................................................................................................................................... 2. การสอื่ สารกบั หัวหนา งาน หรือลกู นอ ง กรณขี อข้นึ เงินเดือน หรือลดโบนสั .................................................................................................... ................................................. .................................................................................................... ................................................. ..................................................................................................................................................... กจิ กรรม 2 ถา ทานมีลูกวัยรุนท่กี ําลังมีปญหาอกหัก ถูกแฟนบอกเลกิ ทานจะมีแนวทางชวยเหลือ ลูกอยา งไร โดยใชท ักษะการสื่อสาร การสรา งสมั พันธภาพ และทักษะการเขา ใจผอู นื่ .................................................................................................... ................................................. ...................................................................................................................................................... .................................................................................................... ................................................. ....................................................................................................................... .............................. .................................................................................................... ................................................. .................................................................................................... .................................................

190 บทท่ี 10 อาชพี แปรรูปสมุนไพร สมุนไพรกบั บทบาททางเศรษฐกจิ สมุนไพร หมายถึง พืชท่ีมีสรรพคุณในการรักษาโรค หรืออาการเจ็บปวยตาง ๆ การใช สมุนไพรสาํ หรบั รกั ษาโรค หรืออาการเจ็บปว ยตา งๆ นี้ จะตองนําเอาสมนุ ไพรตง้ั แตสองชนดิ ขนึ้ ไปมา ผสมรวมกันซง่ึ จะเรยี กวา ยา ในตํารบั ยา นอกจากพชื สมุนไพรแลว ยังอาจประกอบดว ยสตั วและแรธ าตุ อีกดวย เราเรียกพืช สัตว หรือแรธาตุท่ีเปนสวนประกอบของยานี้วา เภสัชวัตถุ สมุนไพรเปนสวน หนึง่ ในแผนพฒั นาเศรษฐกิจและสงั คมแหงชาติ กระทรวงสาธารณสุขไดดําเนิน โครงการ สมุนไพร กับสาธารณสขุ มลู ฐาน โดยเนน การนาํ สมนุ ไพรมาใชบาํ บัดรักษาโรคใน สถานบรกิ ารสาธารณสขุ ของ รฐั มากขึน้ และ สง เสรมิ ใหป ลูกสมุนไพรเพ่ือใชภ ายในหมูบ านเปนการสนบั สนุนใหม กี ารใชสมนุ ไพร มากยิ่งขึ้น อันเปนวิธีหน่ึงที่จะชวยประเทศชาติประหยัดเงินตราในการส่ังซ้ือยาสําเร็จรูปจาก ตางประเทศไดปล ะเปนจาํ นวนมาก การผลิตสมนุ ไพรในรปู แบบการประกอบอาชีพ ปจจุบันมีผูพยายามศึกษาคนควาเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑสมุนไพรใหสามารถนํามาใชใน รูปแบบท่ีสะดวกย่งิ ขน้ึ เชน นาํ มาบดเปนผงบรรจุแคปซูล ตอกเปนยาเม็ด เตรียมเปนครีมหรือยาขี้ผึ้ง เพือ่ ใชทาภายนอก เปนตน ในการศึกษาวจิ ัยเพ่ือนําสมนุ ไพรมาใชเ ปน ยาแผนปจจบุ ันนั้น ไดมีการวิจัย อยางกวางขวาง โดยพยายามสกัดสารสําคัญจากสมุนไพรเพื่อใหไดสารท่ีบริสุทธ์ิ ศึกษาคุณสมบัติ ทางดานเคมี ฟสิกสของสารเพ่ือใหทราบวาเปนสารชนิดใด ตรวจสอบฤทธ์ิดานเภสัชวิทยาใน สัตวท ดลองเพ่ือดใู หไ ดผ ลดีในการรกั ษาโรคหรือไมเพียงใด ศึกษาความเปนพิษและผลขางเคียง เม่ือ พบวาสารชนิดใดใหผ ลในการรกั ษาที่ดี โดยไมม พี ิษหรอื มพี ิษขางเคียงนอยจงึ นําสารนน้ั มาเตรียมเปน ยารปู แบบท่เี หมาะสมเพื่อทดลองใชต อไป การแปรรปู สมุนไพรเพอื่ การจาํ หนา ย สมุนไพรถูกนาํ มาใชสารพดั ประโยชน และถูกแปรรูปออกมาในแบบตาง ๆ เพอื่ การจําหนา ย ซ่ึงสามารถนํามาใชประกอบอาชีพ ทั่งอาชีพหลัก ละอาชีพเสริมได สิ่งสําคัญที่สุดของการแปรรูป สมนุ ไพร คอื การปรงุ สมุนไพร การปรุงสมุนไพร หมายถึง การสกัดเอาตัวยาออกมาจากเนื้อไมยา สารที่ใชสกัดเอาตัวยา ออกมาทน่ี ิยมใชก ัน ไดแ ก นาํ้ และเหลา สมนุ ไพรที่นํามาปรงุ ตามภมู ปิ ญ ญาด้ังเดมิ มี 7 รปู แบบ คือ

191 1.การตม เปน การสกดั ตัวยาออกมาจากไมยาดวยน้ํารอน เปนวิธีที่นิยมใชมากที่สุด ใชกับ สวนของเน้ือไมทแี่ นนและแข็ง เชน ลาํ ตนและราก ซง่ึ จะตองใชการตมจึงจะไดตัวยาที่เปนสารสําคัญ ออกมา ขอดีของการตม คือ สะอาด ปลอดจากเชือ้ โรค มี 3 ลักษณะ การตมกินตางนํ้า คือการตมใหเดือดกอนแลวตมดวยไฟออน ๆอีก 10 นาที หลังจากนั้น นํามากินแทนนาํ้ การตม เคีย่ วคอื การตม ใหเดือดออ น ๆ ใชเวลาตม 20-30 นาที การตม 3 เอา 1 คอื การตม จากนํ้า 3 สวน ใหเ หลือเพียง 1 สว น ใชเ วลาตม 30-45 นาที 2.การชง เปน การสกดั ตัวยาสมุนไพรดว ยนํ้ารอน ใชกับสวนท่ีบอบบาง เชน ใบ ดอก ท่ีไม ตองการโดนนํ้าเดอื ดนาน ๆ ตวั ยากอ็ อกมาได วิธกี ารชง คือ ใหนํายาใสแกวเติมนํ้ารอนจัดลงไป ปด ฝาแกว ทงิ้ ไวจ นเยน็ ลักษณะนีเ้ ปน การปลอยตัวยาออกมาเต็มท่ี 3. การใชน้ํามัน ตัวยาบางชนิดไมยอยละลายน้ํา แมวาจะตมเคี่ยวแลวก็ตาม สวนใหญยาที่ ละลายน้ําจะไมละลายในนํ้ามันเชนกัน จึงใชน้ํามันสกัดยาแทน แตเน่ืองจากยานํ้ามันทาแลวเหนียว เหนอะหนะ เปอ นเส้อื ผา จงึ ไมนิยมปรุงใชกัน 4.การดองเหลา เปน การใชก บั ตวั ยาของสมุนไพรทไ่ี มล ะลายน้ํา แตละลายไดดีในเหลาหรือ แอลกอฮอล การดองเหลามักมกี ล่ินแรงกวายาตม เน่ืองจากเหลามีกล่ินฉุน และหากกินบอย ๆอาจทํา ใหตดิ ได จงึ ไมน ิยมกนิ กนั จะใชตอ เมื่อกินยาเมด็ หรอื ยาตม แลวไมไดผ ล 5.การตม ค้ันเอานํา้ เปนการนําเอาสวนของตนไมท่ีมีนํ้ามาก ๆ ออนนุม ตําแหลกงาย เชน ใบ หัว หรือเหงา นํามาตําใหละเอียด และค้ันเอาแตนํ้าออกมา สมุนไพรที่ใชวิธีการน้ีกินมากไมได เชนกัน เพราะน้ํายาที่ไดจะมีกลิ่นและรสชาติที่รุนแรง ตัวยาเขมขนมาก ยากท่ีจะกลืนเขาไปท่ีเดียว ฉะน้ันกินครงั้ ละหนึ่งถวยชากพ็ อแลว 6.การบดเปน ผง เปนการนําสมุนไพรไปอบหรือตากแหงแลวบดใหเปนผง สมุนไพรท่ีเปน ผงละเอยี ดมากย่งิ มสี รรพคณุ ดี เพราะจะถูกดูดซึมสูลําไสงาย จึงเขาสูรางกายไดรวดเร็ว สมุนไพรผง ชนิดใดท่กี นิ ยากก็จะใชปนเปนเม็ดท่ีเรียกวา \"ยาลูกกลอน\" โดยใชน้ําเชื่อมน้ําขาวหรือนํ้าผ้ึง เพื่อให ติดกนั เปน เมด็ สวนใหญนยิ มใชนํ้าผึ้งเพราะสามารถเกบ็ ไวไ ดน านโดย ไมข ึ้นรา 7.การฝน เปนวิธีการที่หมอพื้นบานนิยมกันมาก วิธีการฝน คือ หาภาชนะใสน้ําสะอาด ประมาณครง่ึ หน่งึ แลว นําหินลับมดี เล็ก ๆ จมุ ลงไปในหินโผลเหนือน้ําเล็กนอย นําสมุนไพรมาฝนจน ไดน้ําสขี ุนเลก็ นอย กนิ ครั้งละ 1 แกว

192 อยางไรกต็ าม การแปรรปู ผลติ ภณั ฑส มนุ ไพร ควรแปรรปู ในลักษณะอาหารหรือเครื่องใชท่ี ไมจัดอยใู นประเภทยารกั ษา คือไมมสี รรพคุณในการรักษาหรือปองกัน บรรเทา บําบัดโรค เน่ืองจาก ผลิตภณั ฑประเภทยาจะตองผา นการตรวจสอบท่ีมมี าตรฐานสูงและถกู ตอง มผี ชู าํ นาญการทม่ี คี ณุ วฒุ ใิ น การดําเนินการดวย ลกั ษณะของผูท จี่ ะประกอบอาชพี ผลิตภณั ฑสมุนไพรในการปรุงผลิตภัณฑจากสมุนไพร ผู ปรงุ จาํ เปน ตองรหู ลกั การปรงุ ผลติ ภัณฑจากสมนุ ไพร 4 ประการคอื 1. เภสัชวัตถุ ผูปรุงตองรูจักชื่อ และลักษณะของเภสัชวัตถุท้ัง 3 จําพวก คือ พืชวัตถุ สัตว วัตถุ และธาตวุ ตั ถุ รวมทง้ั รปู สี กลิ่นและรสของเภสชั วตั ถุนั้นๆ ตัวอยางเชน กะเพราเปนไมพุมขนาด เล็ก มี 2 ชนิด คือ กะเพราแดงและกะเพราขาว ใบมีกลิ่นหอม รสเผ็ดรอน หลักของการปรุงยาขอน้ี จาํ เปน ตองเรียนรูจากของจริง 2. สรรพคุณเภสัช ผูปรุงตองรูจักสรรพคุณของยา ซึ่งสัมพันธกับรสของสมุนไพรเรียกวา รสประธาน แบงออกเปน 2.1 สมนุ ไพรรสเยน็ ไดแ ก ยาที่ประกอบดวยใบไมที่รสไมเผ็ดรอนเชน เกสรดอกไม สัตว เขา (เขาสตั ว 7 ชนิด) เนาวเขย้ี ว (เข้ยี วสตั ว 9 ชนิด) และของที่เผาเปนถาน ตัวอยางเชน ยามหานิล ยา มหากาฬ เปนตน ยากลุมนใี้ ชสําหรับรกั ษาโรคหรอื อาการผิดปกติทางเตโชธาตุ (ธาตุไฟ) 2.2 สมุนไพรรสรอน ไดแก ยาท่ีนําเอาเบญจกูล ตรีกฎก หัสคุณ ขิง และขามาปรุง ตัวอยางเชน ยาแผนโบราณท่ีเรียกวายาเหลืองทั้งหลาย ยากลุมน้ีใชสําหรับรักษาโรคและอาการ ผดิ ปรกตทิ างวาโยธาตุ (ธาตลุ ม) 2.3 สมนุ ไพรรสสุขมุ ไดแ ก ยาที่ผสมดว ย โกฐ เทยี น กฤษณา กระลําพกั ชะลดู อบเชย ขอนดอก และแกนจันทนเ ทศ เปน ตน ตัวอยา งเชน ยาหอมทั้งหลาย ยากลมุ นใี้ ชร กั ษาความผดิ ปรกติ ทางโลหิต นอกจากรสประธานของสมนุ ไพรดงั ท่ีกลาวน้ีเภสัชวัตถยุ งั มรี สตา งๆ อีก 9 รสคอื รสฝาด รส หวาน รสเบ่ือเมา รสขม รสมนั รสหอมเย็น รสเค็ม รสเปรี้ยว และรสเผ็ดรอน ในตําราสมุนไพรแผน โบราณบางตาํ ราไดเพม่ิ รสจืดอีกรสหน่งึ ดว ย 3. คณาเภสัช ผูปรุงสมุนไพรตองรูจักเครื่องสมุนไพรที่ประกอบดวยเภสัชวัตถุมากกวา 1 ชนิด ท่ีนํามารวมกนั แลว เรยี กเปนช่อื เดียว ตวั อยา งเชน ทเวคนั ธา หมายถึงเคร่อื งสมุนไพรท่ีประกอบดว ยเภสัชวตั ถุ 2 ชนิด คอื รากบนุ นาค และ รากมะซาง


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook