ฆราวาสธรรม ๔ ธรรมสำหรับฆราวาส ธรรมสำหรับการครองเรอื น หลักการครองชีวิตของคฤหัสถ์ ๔ ประการ ไดแ้ ก่ ๑. สจั จะ คอื ความจรงิ ซ่อื ตรง ซ่ือสตั ย์ จรงิ ใจ พูดจริง ทำจริง ๒. ทมะ คอื การฝึกฝน การข่มใจ ฝึกนิสัย ปรบั ตวั รจู้ ักควบคมุ จติ ใจ ฝึกหัด ดดั นสิ ัย แกไ้ ขข้อบกพร่อง ปรับปรุงตนให้ เจรญิ กา้ วหน้าดว้ ยสตปิ ัญญา ๓. ขนั ติ คือ ความอดทน ตัง้ หนา้ ทำหนา้ ทก่ี ารงานดว้ ยความขยนั หม่ันเพียร เข้มแข็ง ทนทาน ไมห่ วน่ั ไหว ม่นั ในจดุ หมาย ไม่ท้อถอย ๔. จาคะ คือ เสียสละ สละกิเลส สละความสุขสบาย และผลประโยชน์ส่วนตนได้ ใจกวา้ ง พร้อมท่จี ะรับฟังความทุกข์ ความคดิ เหน็ และความต้องการของผูอ้ ่นื พรอ้ มทจี่ ะรว่ มมอื ช่วยเหลือ เออ้ื เฟอ้ื เผ่อื แผ่ ไมค่ บั แคบเห็นแก่ตัวหรือ เอาแต่ใจตวั (พ.ธ. หน้า ๔๓) จติ ธรรมชาตทิ ร่ี ูอ้ ารมณ์ สภาพท่นี ึกคิด ความคิด ใจ ตามหลกั ฝ่ายอภธิ รรม จำแนกจิตเปน็ ๘๙ แบ่งโดยชาติเป็นอกุศล จิต ๑๒ กุศลจิต ๒๑ วปิ ากจิต ๓๖ และกิรยิ าจติ ๘ (พ.ศ. หนา้ ๔๓) เจตสิก ธรรมท่ีประกอบกบั จติ อาการหรือคุณสมบัตติ ่าง ๆ ของจิต เช่น ความโลภ ความโกรธ ความหลง ศรัทธา เมตตา สติ ปญั ญาเป็นต้น มี ๕๒ อย่าง จัดเปน็ อญั ญสมานาเจตสกิ ๑๓ อกุศลเจตสกิ ๑๔ โสภณเจตสกิ ๒๕ (พ.ศ. หน้า ๔๙) ฉันทะ ๑. ความพอใจ ความชอบใจ ความยนิ ดี ความต้องการ ความรักใครใ่ นส่งิ นั้น ๆ ๒. ความยินยอม ความยอมให้ท่ี ประชุมทำกิจน้นั ๆ ในเม่ือตนมิไดร้ ว่ มอยู่ด้วย เปน็ ธรรมเนยี มของภิกษุท่ีอยู่ในวัดซ่งึ มสี ีมารวมกัน มสี ิทธทิ ่ีจะเข้า ประชุมทำกิจของสงฆ์ เว้นแตภ่ ิกษุน้ันอาพาธ จะเขา้ ร่วมประชุมด้วยไมไ่ ด้ ก็มอบฉันทะคือ แสดงความยินยอมให้สงฆ์ ทำกิจนั้น ๆ ได้ (พ.ศ. หน้า ๕๒) ฌาน การเพ่ง การเพง่ พินิจด้วยจิตที่เป็นสมาธิแนว่ แน่ มี ๒ ประเภท คือ ๑. รูปฌาน ๒. อรปู ฌาน (พ.ศ. หนา้ ๖๐) ฌานสมบัติ การบรรลฌุ าน การเข้าฌาน (พทุ ธธรรม หน้า ๙๖๔) ดรุณธรรม ธรรมที่เปน็ หนทางแห่งความสำเร็จ คือ ข้อปฏิบัติทเ่ี ป็นดุจประตูชัยอนั เปิดออกไปสู่ความสุข ความเจริญก้าวหน้า แห่งชีวิต ๖ ประการ คือ ๑. อาโรคยะ คือ รักษาสุขภาพดี มิใหม้ ีโรคทงั้ จิต และกาย ๒. ศีล คือ มีระเบยี บ วนิ ยั ไม่ก่อเวรภัยแก่สงั คม ๓. พุทธานมุ ัติ คอื ได้คนดีเปน็ แบบอยา่ ง ศึกษาเยย่ี งนยิ มแบบอยา่ งของมหาบุรษุ พุทธ ชน ๔. สุตะ คอื ตัง้ เรียนรู้ให้จริง เล่าเรยี นค้นคว้าให้รเู้ ช่ยี วชาญใฝ่สดบั เหตุการณใ์ ห้ร้เู ท่าทนั ๕. ธรรมานวุ ตั ิ คือ ทำแต่สง่ิ ท่ถี ูกต้องดีงาม ดำรงมัน่ ในสุจริต ท้ังชวี ติ และงานดำเนนิ ตามธรรม ๖. อลีนตา คือ มีความขยันหม่ันเพียร มกี ำลังใจแข็งกลา้ ไม่ทอ้ แท้เฉ่อื ยชา เพยี รกา้ วหนา้ เรอ่ื ยไป (ธรรมนูญชวี ิต บทที่ ๑๕ คนสบื ตระกูล ข้อ ก. หน้า๕๕) หมายเหตุ หลักธรรมข้อนี้เรียกชือ่ อีกยา่ งหน่ึงวา่ “วฒั นมขุ ” ตรงคำบาลวี ่า “อัตถทวาร” ประตูแหง่ ประโยชน์ ตณั หา (๑) ความทะยานอยาก ความดินรน ความปรารถนา ความแส่หา มี ๓ คือ ๑. กามตณั หา ความทะยานอยากในกาม อยากได้อารมณ์อันนา่ รกั น่าใคร่ ๒. ภวตัณหา ความทะยานอยากในภพ อยากเปน็ นนั่ เปน็ นี่ ๓. วิภวตณั หา ความ ทะยานอยากในวิภพ อยากไม่เป็นน่ันไม่เปน็ นี่ อยากพรากพน้ ดบั สญู ไปเสีย ตันหา (๒) ธดิ ามารนางหน่ึงใน ๓ นาง ทีอ่ าสาพระยามารผู้เป็นบดิ า เข้าไปประโลมพระพุทธเจ้าด้วยอาการ ตา่ ง ๆ ในสมัยทพ่ี ระองค์ประทับอยทู่ ี่ตน้ อชปาลนิโครธ ภายหลังตรัสร้ใู หม่ ๆ (อีก ๒ นางคือ อรดี กับ ราคา) (พ.ศ. หนา้ ๗๒) ไตรลักษณ์ ลกั ษณะสาม คอื ความไม่เทีย่ ง ความเป็นทกุ ข์ ความไมใ่ ช่ตวั ตน ๑. อนจิ จตา (ความเปน็ ของไมเ่ ท่ียง) ๒. ทกุ ขตา (ความเปน็ ทุกข)์ ๓. อนัตตา (ความเป็นของไมใ่ ชต่ น) (พ.ศ. หนา้ ๑๐๔) ไตรสิกขา สกิ ขาสาม ข้อปฏบิ ัตทิ ่ตี ้องศึกษา ๓ อย่าง คอื ๑. อธศิ ีลสกิ ขา หมายถึง สกิ ขา คอื ศีลอนั ย่ิง ๒. อธิจิตตสกิ ขา หมายถึง สกิ ขา คอื จิตอันยิ่ง ๓. อธิปญั ญาสกิ ขา หมายถงึ สกิ ขา คอื ปญั ญา อันยงิ่ เรียกกันงา่ ย ๆ ว่า ศีล สมาธิ ปญั ญา (พ.ศ. หน้า ๘๗) ทศพธิ ราชธรรม ๑๐ ธรรม สำหรับพระเจา้ แผน่ ดิน คุณสมบัติของนกั ปกครองทดี่ ี สามารถปกครองแผน่ ดนิ โดยธรรม และยงั ประโยชนส์ ขุ ใหเ้ กดิ แก่ประชาชน จนเกดิ ความชื่นชมยนิ ดี มี ๑๐ ประการ คือ
๑. ทาน การให้ทรพั ยส์ ินสิง่ ของ ๒. ศีล ประพฤติดีงาม ๓. ปรจิ จาคะ ความเสยี สละ ๔. อาชชวะ ความซอ่ื ตรง ๕. มัททวะ ความอ่อนโยน ๖. ตบะ ความทรงเดช เผากิเลสตัณหา ไม่หมกม่นุ ในความสขุ สำราญ ๗. อักโกธะ ความไมก่ รวิ้ โกรธ ๘. อวหิ ิงสา ความไมข่ ม่ เหงเบยี ดเบยี น ๙. ขนั ติ ความอดทนเขม้ แข็ง ไม่ทอ้ ถอย ๑๐. อวโิ รธ นะ ความไม่คลาดธรรม (พ.ศ. หน้า ๒๕๐) ทิฏธัมมกิ ตั ถสังวัตตนิกธรรม ๔ ธรรมทเี่ ปน็ ไปเพื่อประโยชน์ในปจั จุบัน คือ ประโยชน์สุขสามญั ท่มี องเห็นกันในชาตินี้ ทีค่ น ท่ัวไปปรารถนา เช่น ทรพั ย์ ยศ เกียรติ ไมตรี เป็นต้น มี ๔ ประการ คอื ๑.อุฏฐานสมั ปทา ถึงพร้อมด้วยความหมน่ั ๒. อารักขสัมปทา ถึงพร้อมด้วยการรกั ษา ๓. กัลยาณมิตตตา ความมีเพือ่ นเปน็ คนดี ๔. สมชีวติ า การเล้ียงชีพตามสมควรแก่กำลงั ทรพั ยท์ ี่หาได้ (พ.ศ. หน้า ๙๕) ทุกข์ ๑. สภาพที่ทนอยู่ได้ยาก สภาพที่คงทนอยู่ไม่ได้ เพราะถูกบีบคนั้ ด้วยความเกิดขึน้ และดับสลาย เนอ่ื งจากต้องไปตามเหตุ ปัจจัยที่ไม่ขึ้นต่อตัวมนั เอง ๒. สภาพที่ทนไดย้ าก ความรู้สกึ ไม่สบาย ได้แก่ ทกุ ขเวทนา (พ.ศ. หน้า ๙๙) ทุกรกริ ิยา กริ ยิ าท่ีทำได้ยาก การทำความเพียรอันยากท่ีใคร ๆ จะทำได้ เชน่ การบำเพญ็ เพียรเพอื่ บรรลุธรรมวิเศษ ดว้ ยวิธี ทรมานตนตา่ ง ๆ เช่น กลั้นลมอัสสาสะ (ลมหายใจเข้า) ปัสสาสะ (ลมหายใจออก) และอดอาหาร เป็นตน้ (พ.ศ. หน้า ๑๐๐) ทุจริต ๓ ความประพฤติไม่ดี ประพฤตชิ ว่ั ๓ ทาง ไดแ้ ก่ ๑. กายทจุ รติ ประพฤติชวั่ ทางกาย ๒. วจีทุจรติ ประพฤตชิ ว่ั ทาง วาจา ๓. มโนทุจริต ประพฤติช่ัวทางใจ (พ.ศ. หนา้ ๑๐๐) เทวทตู ๔ ทูตของยมเทพ ส่ือแจง้ ข่าวของมฤตยู สัญญาณท่ีเตือนให้ระลกึ ถงึ คติธรรมดาของชวี ิต มีให้มคี วามประมาท ได้แก่ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และสมณะ ๓ อย่างแรกเรียกเทวทตู สว่ นสมณะเรียกรวมเป็นเทวทูตไปด้วยโดยปรยิ ายเพราะ มาในหมวดเดียวกนั แต่ในบาลีท่านเรยี กว่านมิ ิต ๔ ไม่ได้เรยี กเทวทูต (พ.ศ. หน้า ๑๐๒) ธาตู ๔ สง่ิ ท่ีทรงภาวะของมน้ั อยเู่ องตามธรรมดาของเหตุปจจัย ไดแ้ ก่ ๑. ปฐวธี าตุ หมายถึง สภาวะที่แผไ่ ปหรือกนิ เน้ือท่ี เรียกช่อื สามญั ว่า ธาตเุ ข้มแขง็ หรือธาตุดิน ๒. อาโปธาตุ หมายถึง สภาวะท่ีเอิบอาบดูดซมึ เรยี กสามัญว่า ธาตุเหลว หรือธาตุน้ำ ๓. เตโชธาตุ หมายถึง สภาวะท่ีทำใหร้ ้อน เรยี กสามญั ว่า ธาตุไฟ ๔. วาโยธาตุ หมายถงึ สภาวะที่ทำให้ เคล่ือนไหว เรยี กสามญั ว่า ธาตุลม (พ.ศ. หน้า ๑๑๓) นาม ธรรมท่รี ู้จกั กนั ด้วยช่ือ กำหนดร้ดู ้วยใจเปน็ เรื่องของจิตใจ สงิ่ ทีไ่ ม่มรี ูปรา่ ง ไมม่ ีรูปแตน่ อ้ มมาเป็นอารมณ์ของจิตได้ (พ.ศ. หนา้ ๑๒๐) นิยาม ๕ กำหนดอันแนน่ อน ความเปน็ ไปอนั มีระเบียบแน่นอนของธรรมชาติ กฎธรรมชาติ ๑. อุตุนิยาม (กฎธรรมชาติ เก่ียวกับอณุ หภูมิ หรือปรากฏการณธ์ รรมชาตติ า่ ง ๆ โดยเฉพาะ ดนิ นำ้ อากาศ และฤดูกาล อันเปน็ ส่งิ แวดล้อมสำหรบั มนษุ ย)์ ๒. พีชนิยาม (กฎธรรมชาติเก่ียวกบั การสืบพนั ธุ์ มีพันธกุ รรมเปน็ ตน้ ) ๓. จิตต นยิ าม (กฎธรรมชาติเก่ียวกบั การทำงานของจิต) ๔. กรรมนิยาม (กฎธรรมชาตเิ กี่ยวกบั พฤตกิ รรมของ มนษุ ย์ คอื กระบวนการให้ผลของการกระทำ) ๕. ธรรมนิยาม (กฎธรรมชาติเกยี่ วกบั ความสัมพันธแ์ ละอาการทเ่ี ปน็ เหตุ เปน็ ผลแก่กนั แหง่ สง่ิ ท้งั หลาย (พ.ธ. หนา้ ๑๙๔) นิวรณ์ ๕ ส่งิ ทก่ี ัน้ จิตไม่ให้ก้าวหน้าในคุณธรรม ธรรมท่กี ัน้ จิตไม่ให้บรรลุคุณความดี อกุศลธรรมทท่ี ำจิตใหเ้ ศรา้ หมองและทำ ปัญญาให้ออ่ นกำลงั ๑. กามฉนั ทะ (ความพอใจในกาม ความตอ้ งการกามคุณ) ๒. พยาบาท (ความคิดร้าย ความขัดเคืองแคน้ ใจ) ๓. ถีนมิทธะ (ความหดหู่และเซื่องซมึ ) ๔. อุทธจั จกุกกุจจะ (คามฟุง้ ซ่านและร้อนใจ ความ กระวนกระวายกลุ้มกงั วล) ๕. วิจกิ จิ ฉา (ความลังเลสงสยั ) (พ.ธ. หน้า ๑๙๕) นโิ รธ ความดับทุกข์ คือดับตัณหาได้สนิ้ เชิง ภาวะปลอดทกุ ข์ เพราะไม่มีทกุ ข์ทจ่ี ะเกิดขึ้นได้ หมายถงึ พระนพิ พาน (พ.ศ. หนา้ ๑๒๗)
บารมี คุณความดที ่ีบำเพ็ญอย่างยิ่งยวด เพื่อบรรลุจดุ หมายอนั สูงยงิ่ มี ๑๐ คือ ทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา วริ ยิ ะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน เมตตา อเุ บกขา (พ.ศ. หนา้ ๑๓๖) บุญกิรยิ าวัตถุ ๓ ที่ตัง้ แหง่ การทำบุญ เร่ืองท่ีจดั เป็นการทำความดี หลักการทำความดี ทางความดมี ี ๓ ประการ คอื ๑. ทาน มัย คือทำบญุ ด้วยการใหป้ นั ส่ิงของ ๒. ศีลมัย คือ ทำบญุ ดว้ ยการรักษาศลี หรอื ประพฤตดิ ีมรี ะเบียบวินัย ๓. ภาวน มัย คือ ทำบญุ ดว้ ยการเจริญภาวนา คือฝึกอบรมจิตใจ (พ.ธ. หน้า ๑๐๙) บญุ กริ ิยาวตั ถุ ๑๐ ทต่ี ้ังแหง่ การทำบญุ ทางความดี ๑. ทานมยั คือทำบุญด้วยการใหป้ นั ส่งิ ของ ๒. สีลมัย คือ ทำบญุ ดว้ ย การรักษาศีล หรอื ประพฤตดิ ี ๓. ภาวนมัย คอื ทำบญุ ดว้ ยการเจรญิ ภาวนา คือฝึกอบรมจติ ใจ ๔. อปจายนมัย คอื ทบญุ ดว้ ยการประพฤตอิ อ่ นนอ้ มถ่อมตน ๕. เวยยาวจั จมยั คือ ทำบุญด้วยการช่วยขวนขวาย รับใช้ ๖. ปตั ติทานมยั คอื ทำบุญดว้ ยการเฉล่ยี ส่วนแหง่ ความดีให้แก่ผ้อู ่ืน ๗. ปัตตานุโมทนามัย คือ ทำบญุ ดว้ ยการยินดใี นความดี ของผอู้ ่นื ๘. ธมั มสั สวนมยั คอื ทำบุญดว้ ยการฟังธรรม ศึกษาหาความรู้ ๙. ธัมมเทสนามัย คือทำบุญด้วยการส่ัง สอนธรรมใหค้ วามรู้ ๑๐. ทฏิ ฐุชกุ รรม คือ ทำบุญด้วยการทำความเห็นให้ตรง (พ.ธ. หน้า ๑๑๐) บพุ นมิ ติ ของมชั ฌิมาปฏิปทา บพุ นมิ ิต แปลวา่ สงิ่ ท่เี ปน็ เครอื่ งหมายหรือสงิ่ บง่ บอกลว่ งหน้า พระพทุ ธองคต์ รัสเปรยี บเทยี บวา่ กอ่ นทดี่ วงอาทิตย์จะขึ้น ยอ่ มมีแสงเงนิ แสงทองปรากฏให้เหน็ กอ่ นฉันใด กอ่ นที่อริยมรรคซ่ึงเปน็ ขอ้ ปฏิบตั ิสำคญั ใน พระพุทธศาสนาจะเกดิ ขน้ึ ก็มีธรรมบางประการปรากฏขนึ้ กอ่ น เหมอื นแสงเงินแสงทองฉันนั้น องคป์ ระกอบของ ธรรมดงั กลา่ ว หรือบพุ นิมติ แห่งมัชฌมิ าปฏิปทา ได้แก่ ๑. กลั ปย์ าณมติ ตตา ความมกี ลั ยาณมติ ร ๒. สีลสมั ปทา ถงึ พรอ้ มด้วยศลี มวี ินัย มคี วามเป็นระเบยี บในชีวิตของตนและในการอยรู่ ว่ มในสังคม ๓. ฉนั ทสมั ปทา ถึงพร้อมดว้ ย ฉนั ทะ พอใจใฝ่รักในปัญญา สัจธรรม ในจริยธรรม ใฝ่รู้ในความจรงิ และใฝท่ ำความดี ๔. อตั ตสมั ปทา ความถึงพรอ้ ม ดว้ ยการทจ่ี ะฝกึ ฝน พฒั นาตนเอง เหน็ ความสำคัญของการทจี่ ะต้องฝึกตน ๕. ทฏิ ฐิสัปทา ความถึงพร้อมดว้ ยทฏิ ฐิ ยึดถอื เชื่อถอื ในหลกั การ และมคี วามเห็นความเข้าใจพืน้ ฐานท่ีมองส่งิ ทงั้ หลายตามเหตปุ จั จยั ๖. อัปปมาทสัมปทา ถึงพร้อมดว้ ยความไม่ประมาท มคี วามกระตือรอื รน้ อยู่เสมอ เห็นคุณค่าของกาลเวลา เห็นความ เปล่ยี นแปลงเป็นสงิ่ กระตุ้นเตือนใหเ้ ร่งรัดการคน้ หาให้เขาถงึ ความจรงิ หรือในการทำชีวิตที่ดีงามให้สำเรจ็ ๗. โยนโิ ส มนสกิ าร รจู้ ดั คดิ พิจารณา มองส่งิ ท้ังหลายให้ได้ความรู้และได้ประโยชน์ทีจ่ ะเอามาใชพ้ ัฒนาตนเองยิ่ง ๆ ขึ้นไป (แสง เงินแสงทองของชวี ิตท่ี ดงี าม: พระธรรมปิฎก) (ป.อ. ปยุตโฺ ต) เบญจธรรม ธรรม ๕ ประการ ความดี ๕ อยา่ ง ทคี่ วรประพฤตคิ ูก่ นั ไปกบั การรักษาเบญจศลี ตามลำดับข้อ ดงั น้ี ๑. เมตตา กรุณา ๒. สัมมาอาชวี ะ ๓. กามสงั วร (สำรวมในกาม) ๔. สัจจะ ๕. สติสัมปชญั ญะ (พ.ศ. หน้า ๑๔๐ – ๑๔๑) เบญจศีล ศลี ๕ เว้นฆา่ สตั ว์ เวน้ ลกั ทรพั ย์ เว้นประพฤติผดิ ในกาม เว้นพูดปด เวน้ ของเมา (พ.ศ. หน้า ๑๔๑) ปฐมเทศนา เทศนาครงั้ แรก หมายถึง ธมั มจักรกปั ปวัตตนสูตรทพี่ ระพทุ ธเจา้ ทรงแสดงแกพ่ ระปญั จวคั คียใ์ นวันขึน้ ๑๕ ค่ำ เดอื น ๘ หลงั จากวันตรสั รสู้ องเดือน ที่ปา่ อิสิปตนมฤคทายวัน เมืองพาราณสี (พ.ศ. หนา้ ๑๔๗) ปฏิจจสมปุ บาท สภาพอาศยั ปจั จัยเกิดขนึ้ การท่ีสง่ิ ทั้งหลายอาศัยกันจงึ มขี ้นึ การท่ีทุกข์เกดิ ขึ้นเพราะอาศัยปัจจัยตอ่ เนื่องกนั มา (พ.ศ. หนา้ ๑๔๓) ปริยตั ิ พุทธพจน์อนั จะพึงเล่าเรยี น ส่งิ ทค่ี วรเล่าเรยี น การเล่าเรยี นพระธรรมวนิ ัย (พ.ศ. หน้า ๑๔๕) ปธาน ๔ ความเพียร ๔ อยา่ ง ได้แก่ ๑. สงั วรปธาน คือ การเพยี รระวงั หรือเพยี รปดิ กัน้ (ยบั ย้ังบาปอกศุ ลธรรมทย่ี งั ไมเ่ กิด ไม่ให้ เกิดขึน้ ) ๒. ปหานปธาน คอื เพียรละบาปอกศุ ลท่เี กิดขน้ึ แล้ว ๓. ภาวนาปธาน คือ เพียรเจริญ หรอื ทำกุศลธรรม ทีย่ ังไม่เกดิ ให้เกดิ ข้นึ ๔. อนุรักขนาปธาน คอื เพียรรกั ษากศุ ลธรรมที่เกดิ ขึน้ แล้วไมใ่ หเ้ ส่ือมไปและทำใหเ้ พ่มิ ไพบลู ย์ (พ.ศ. หน้า ๑๔๙) ปปญั จธรรม ๓ กเิ ลสเครื่องเน่ินช้า กเิ ลสทเ่ี ปน็ ตวั การทำให้คดิ ปรุงแตง่ ยดึ เยอ้ื พสิ ดาร ทำใหเ้ ขาห่างออกไปจากความเปน็ จรงิ งา่ ย ๆ เปิดเผย กอ่ ให้เกิดปัญหาต่าง ๆ และขดั ขวางไม่ใหเ้ ข้าถึงความจรงิ หรือทำให้ ไมอ่ าจแก้ปญั หาอย่างถกู ทาง ตรงไปตรงมา มี ๓ อย่าง คือ ๑. ตัณหา (ความทะยานอยาก ความปรารถนาท่ีจะบำรุงบำเรอ ปรนเปรอตน ความยาก
ไดอ้ ยากเอา) ๒. ทฏิ ฐิ (ความคิดเหน็ ความเชอื่ ถอื ลักธิ ทฤษฎี อดุ มการณต์ า่ ง ๆ ท่ยี ึดถอื ไว้โดยงมงายหรือโดยอาการ เชดิ ชูวา่ อย่างนเี้ ทา่ นนั้ จริงอยา่ งอ่นื เทจ็ ทงั้ นัน้ เป็นต้น ทำให้ปิดตวั แคบ ไมย่ อมรับฟังใคร ตดั โอกาสที่จะเจริญปัญญา หรอื คิดเตลดิ ไปข้างเดยี ว ตลอดจนเป็นเหตุแหง่ การเบยี ดเบียนบีบค้ันผู้อน่ื ทไ่ี ม่ถืออย่างตน ความยึดติดในทฤษฎี ฯลฯ คอื ความคิดเหน็ เปน็ ความจรงิ ) ๓. มานะ (ความถอื ตวั ความสำคญั ตนวา่ เป็นนัน่ เปน็ น่ี ถอื สงู ถือตำ่ ย่งิ ใหญ่ เทา่ เทยี มหรอื ดอ้ ยกว่าผูอ้ ่นื ความอยากเด่นอยากยกชูตนใหย้ ิง่ ใหญ่) (พ.ธ. หนา้ ๑๑๑) ปฏเิ วธ เขา้ ใจตลอด แทงตลอด ตรสั รู้ รู้ทะลปุ รโุ ปร่ง ลลุ ่วงด้วยการปฏิบตั ิ (พ.ศ. หน้า ๑๔๕) ปฏเิ วธสัทธรรม สัทธรรม คอื ผลอันจะพงึ เขา้ ถึงหรอื บรรลุด้วยการปฏิบตั ิได้แก่ มรรค ผล และนิพพาน (พ.ธ. หน้า ๑๒๕) ปัญญา ๓ ความรอบรู้ เขา้ ใจ ร้ซู ึ้ง มี ๓ อยา่ ง คอื ๑. สุตมยปัญญา (ปญั ญาเกดิ แต่การสดับการเลา่ เรื่อง) ๒. จินตามนปญั ญา (ปญั ญาเกดิ แต่การคิด การพิจารณาหาเหตุผล) ๓. ภาวนามยปญั ญา (ปัญญาเกดิ แต่การฝึกอบรมลงมือปฏิบัติ) (พ.ธ. หน้า ๑๑๓) ปญั ญาวฒุ ิธรรม ธรรมเปน็ เครอื่ งเจรญิ ปญั ญา คุณธรรมที่ก่อให้เกิดความเจรญิ งอกงามแห่งปญั ญา ๑. สปั ปรุ สิ สงั เสวะ คบหาสัตบรุ ุษ เสวนาท่านผู้ทรง ๒. สทั ธัมมัสสวนะ ฟงั สทั ธรรม เอาใจใส่ เล่าเรยี นหาความรู้จรงิ ๓. โยนิโสมนสกิ าร ทำในใจโดยแยบคาย คิดหาเหตุผลโดยถกู วิธี ๔. ธมั มานุธมั มปฏิบัติ ปฏิบตั ิธรรมถกู ต้องตามหลัก คอื ให้สอดคลอ้ งพอดี ขอบเขตความหมาย และวตั ถปุ ระสงคท์ ่ีสัมพนั ธ์กบั ธรรมข้ออื่น ๆ นำสง่ิ ทไี่ ด้เล่าเรียนและตรติ รอง เห็นแล้วไปใช้ปฏบิ ัตใิ ห้ถกู ตอ้ งตามความมุ่งหมายของสิ่งนน้ั ๆ (พ.ธ. หนา้ ๑๖๒ – ๑๖๓) ปาปณิกธรรม ๓ หลกั พ่อคา้ องค์คณุ ของพ่อค้ามี ๓ อยา่ ง คอื ๑ จกั ขมุ า ตาดี (รู้จักสนิ ค้า) ดขู องเป็น สามารถคำนวณราคา กะทนุ เก็งกำไร แมน่ ยำ ๒. วธิ ูโร จัดเจนธุรกจิ (ร้แู หล่งซือ้ ขาย รคู้ วามเคลอื่ นไหวความต้องการของตลาด สามารถใน การจดั ซอ้ื จดั จำหนา่ ย รูใ้ จและรู้จักเอาใจลกู ค้า) ๓. นสิ สยสมั ปันโน พรอ้ มด้วยแหล่งทนุ อาศยั (เปน็ ท่เี ชื่อถือไวว้ างในใน หมแู่ หลง่ ทุนใหญ่ ๆ หาเงนิ มาลงทุนหรือดำเนนิ กจิ การโดยง่าย ๆ) (พ.ธ. หนา้ ๑๑๔) ผัสสะ หรือ สมั ผัส การถูกต้อง การกระทบ ความประจวบกันแห่งอายตนะภายใน อายตนะภายนอก และวญิ ญาณ มี ๖ คอื ๑. จกั ขสุ มั ผัส (ความกระทบทางตา คือ ตา + รปู + จักขุ - วญิ ญาณ) ๒. โสตสัมผัส (ความกระทบทางหู คือ หู + เสียง + โสตวิญญาณ) ๓. ฆานสมั ผัส (ความกระทบทางจมูก คอื จมูก + กลิน่ + ฆานวญิ ญาณ) ๔. ชิวหาสมั ผัส (ความกระทบ ทางลิน้ คือ ล้นิ + รส + ชวิ หาวิญญาณ) ๕. กายสัมผสั (ความกระทบทางกาย คอื กาย + โผฏฐัพพะ + กายวญิ ญาณ) ๖. มโนสัมผสั (ความกระทบทางใจ คอื ใจ + ธรรมารมณ์ + มโนวิญญาณ) (พ.ธ. หนา้ ๒๓๓) ผวู้ เิ ศษ หมายถึง ผู้สำเร็จ ผูม้ วี ิทยากร (พจนานุกรมฉบบั ราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕) พระธรรม คำส่ังสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลกั ความจริงและหลกั ความประพฤติ (พ.ศ. หน้า ๑๘๓) พระอนุพทุ ธะ ผูต้ รสั รู้ตาม คอื ตรัสรดู้ ว้ ยไดส้ ดับเล่าเรยี นและปฏบิ ตั ิตามท่ีพระสมั มาสัมพุทธเจา้ ทรงสอน (พ.ศ. หนา้ ๓๗๔) พระปจั เจกพทุ ธะ พระพทุ ธเจา้ ประเภทหนงึ่ ซง่ึ ตรสั รเู้ ฉพาะตัว มไิ ดส้ ั่งสอนผ้อู ื่น (พ.ศ. หนา้ ๑๖๒) พระพุทธคณุ ๙ คณุ ของพระพุทธเจ้า ๙ ประการ ไดแ้ ก่ อรหํ เป็นผู้ไกลจากกเิ ลส ๒. สมฺมาสัมพฺ ทุ โฺ ธ เปน็ ผู้ตรัสรู้ ชอบได้โดยพระองคเ์ อง ๓. วชิ ฺชาจรณสมปฺ นโฺ น เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและ จรณะ ๔. สุคโต เปน็ ผู้เสด็จไป แล้วด้วยดี ๕. โลกวทิ ู เป็นผรู้ โู้ ลกอย่างแจ่มแจ้ง ๖. อนุตฺตโร ปุรสิ ทมฺมสารถิ เปน็ ผ้สู ามารถฝกึ บรุ ษุ ทส่ี มควรฝกึ ได้ อยา่ งไมม่ ใี ครยิ่งกว่า ๗. สตฺถา เทวมนุสฺสานํ เปน็ ครูผูส้ อนเทวดาและมนษุ ยท์ ัง้ หลาย ๘. พทุ โฺ ธ เปน็ ผ้รู ู้ ผตู้ ืน่ ผู้เบกิ บาน ๙. ภควา เปน็ ผมู้ โี ชค มีความเจริญ จำแนกธรรมส่ังสอนสัตว์ (พ.ศ. หน้า ๑๙๑) พระพทุ ธเจา้ ผ้ตู รัสรโู้ ดยชอบแลว้ สอนผอู้ ่ืนให้รตู้ าม ท่านผู้รู้ดี รู้ชอบด้วยตนเองกอ่ นแลว้ สอนประชมุ ชนให้ประพฤตชิ อบดว้ ย กาย วาจา ใจ (พ.ศ. หน้า ๑๘๓) พระภกิ ษุ ชายผู้ไดอ้ ปุ สมบทแลว้ ชายท่ีบวชเปน็ พระ พระผู้ชาย แปลตามรูปศัพทว์ ่า ผู้ขอหรอื ผ้มู องเหน็ ภัยในสงั ขารหรือผู้ ทำลายกิเลส ดูบรษิ ัท ๔ สหธรรมิก บรรพชติ อปุ สัมบัน ภกิ ษุสาวกรูปแรก ได้แก่ พระอญั ญาโกณฑญั ญะ (พ.ศ. หนา้ ๒๐๔)
พระรัตนตรยั รตั นะ ๓ แก้วอันประเสรฐิ หรือส่ิงลำ้ คา่ ๓ ประการ หลกั ทเี่ คารพบชู าสงู สดุ ของพทุ ธศาสนกิ ชน ๓ อยา่ ง คอื ๑ พระพุทธเจ้า (พระผ้ตู รสั รู้เอง และสอนใหผ้ ู้อ่ืนรู้ตาม) ๒.พระธรรม (คำส่ังสอนของพระพทุ ธเจ้า ทั้ง หลักความจรงิ และหลักความประพฤต)ิ ๓. พระสงฆ์ (หม่สู าวกผปู้ ฏิบัติตามคำสงั่ สอนของพระพุทธเจ้า) (พ.ธ.หนา้ ๑๑๖) พระสงฆ์ หมู่ชนที่ฟงั คำสง่ั สอนของพระพุทธเจ้าแลว้ ปฏบิ ัติชอบตามพระธรรมวนิ ัย หมูส่ าวกของพระพุทธเจ้า (พ.ศ. หนา้ ๑๘๕) พระสัมมาสมั พุทธเจา้ หมายถงึ ท่านผู้ตรัสรเู้ อง และสอนผู้อ่ืนให้รูต้ าม (พ.ศ. หนา้ ๑๘๙) พระอนุพุทธะ หมายถึง ผู้ตรัสรู้ตาม คือ ตรัสรูด้วยไดส้ ดับเล่าเรียนและปฏิบตั ิตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงสอน ไดแ้ ก่ พระอรหันตส์ าวกทั้งหลาย (พ.ศ. หน้า ๓๗๔) พระอริยบคุ คล หมายถึง บคุ คลผู้เปน็ อริยะ ทา่ นผู้บรรลธุ รรมวเิ ศษ มีโสดาปตั ติผล เปน็ ตน้ มี ๔ คือ ๑. พระโสดาบัน ๒. พระสกทาคามี (หรอื สกิทาคามี) ๓. พระอนาคามี ๔. พระอรหันต์ แบง่ พิสดารเปน็ ๘ คือ พระผตู้ ั้งอยูใ่ นโสดาปัตติมรรค และพระผตู้ ้งั อยู่ในโสดาปัตตผิ ลคู่ ๑ พระผูต้ งั้ อยใู่ นสกทาคามมิ รรค และพระผ้ตู ัง้ อยูใ่ นสกทาคามผี ลคู่ ๑ พระผ้ตู ั้งอยใู่ นอนาคามมิ รรค และพระผ้ตู ง้ั อย่ใู นอนาคามผิ ลคู่ ๑ พระผตู้ งั้ อยู่ในอรหัตตมรรค และพระผ้ตู ัง้ อยู่ในอรหัตตผลคู่ ๑ (พ.ศ. หนา้ ๓๘๖) พราหมณ์ หมายถงึ คนวรรณะหน่งึ ใน ๔ วรรณะ คือ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร ; พราหมณเ์ ป็นวรรณะนกั บวชและเป็น เจา้ พิธี ถอื ตนวา่ เปน็ วรรณะสูงสุด เกดิ จากปากพระพรหม (พ.ศ. หนา้ ๑๘๕) พละ ๔ กำลงั พละ ๔ คือ ธรรมอนั เปน็ พลงั ทำให้ดำเนินชวี ติ ด้วยความม่นั ใจ ไม่ต้องหวาดหวนั่ ภยั ตา่ ง ๆ ได้แก่ ๑. ปญั ญา พละ กำลงั คือปญั ญา ๒. วริ ยิ พละ กำลังคอื ความเพยี ร ๓. อนวัชชพละ กำลังคือการกระทำท่ีไมม่ ีโทษ ๔. สงั คหพละ กำลงั การสังเคราะห์ คือ เกอื้ กูลอยรู่ ว่ มกับผู้อน่ื ได้ดี (พ.ศ. หน้า ๑๘๕ – ๑๘๖) พละ ๕ พละ กำลัง พละ ๕ คอื ธรรมอันเปน็ กำลัง ซึ่งเป็นเครื่องเก้ือหนุนแก่อริยมรรค จดั อยูใ่ นจำพวก โพธิปกั ขยิ ธรรม มี ๕ คือ สัทธา วริ ยิ ะ สติ สมาธิ ปัญญา (พ.ศ. หน้า ๑๘๕ – ๑๘๖) พุทธกจิ ๕ พระพุทธองค์ทรงบำเพญ็ พุทธกิจ ๕ ประการ คือ ๑. ปุพฺพณเฺ ห ปิณฺฑปาตญจฺ ตอนเช้าเสดจ็ ออกบิณฑบาต เพ่อื โปรดสัตว์ โดยการสนทนาธรรมหรือการแสดงหลักธรรมใหเ้ ขา้ ใจ ๒. สายณเฺ ห ธมมฺ เทสนํ ตอนเยน็ แสดงธรรมแก่ ประชาชนท่มี าเฝา้ บริเวณทปี่ ระทับ ๓. ปโทเส ภกิ ฺขุโอวาทํ ตอนคำ่ แสดงโอวาทแก่พระสงฆ์ ๔. อฑฺฒรตฺ เต เทวปญฺหนํ ตอนเท่ียงคนื ทรงตอบปัญหาแก่พวกเทวดา ๕. ปจฺจูเสว คเต กาเล ภพฺพาภพฺเพ วิโลกนํ ตอนเช้ามดื จวนสว่าง ทรงตรวจพจิ ารณาสัตว์โลกว่าผู้ใดมอี ุปนิสัยท่ีจะบรรลุธรรมได้ (พ.ศ. หนา้ ๑๘๙ - ๑๙๐) พทุ ธคุณ คณุ ของพระพุทธเจา้ คือ ๑. ปํญญาคณุ (พระคณุ คือ ปญั ญา) ๒. วิสุทธคิ ุณ (พระคุณ คอื ความบริสุทธ์ิ) ๓. กรณุ า คณุ (พระคุณ คอื พระมหากรณุ า) (พ.ศ. หนา้ ๑๙๑) ภพ โลกเป็นที่อยขู่ องสตั ว์ ภาวะชวี ิตของสตั ว์ มี ๓ คือ ๑. กามภพ ภพของผู้ยังเสวยกามคุณ ๒. รูปภพ ภพของผู้ เข้าถงึ รปู ฌาน ๓. อรปู ภพ ภพของผเู้ ข้าถงึ อรปู ฌาน (พ.ศ. หนา้ ๑๙๘) ภาวนา ๔ การเจริญ การทำให้มขี ้ึน การฝึกอบรม การพัฒนา แบ่งออกเปน็ ๔ ประเภท ไดแ้ ก่ ๑. กายภาวนา ๒. สีล ภาวนา ๓. จติ ตภาวนา ๔. ปัญญาภาวนา (พ.ธ. หน้า ๘๑ – ๘๒) ภมู ิ ๓๑ ๑.พนื้ เพ พื้น ช้นั ทดี่ ิน แผ่นดนิ ๒. ชั้นแห่งจิต ระดับจติ ใจ ระดับชีวิต มี ๓๑ ภูมิ ได้แก่ อบายภมู ิ ๔ (ภมู ิทป่ี ราศจากความเจรญิ ) - นิรยะ (นรก) – ตริ ัจฉานโยนิ (กำเนิดดริ จั ฉาน) – ปิตตวิ ิสยั (แดน
เปรต) - อสุรกาย (พวกอสูร) กามสคุ ตภิ มู ิ ๗ (กามาวจรภมู ทิ ีเ่ ป็นสุคติ ภมู ิทีเ่ ป็นสุคตซิ ง่ึ ยังเก่ียวขอ้ งกบั กาม) - มนษุ ย์ (ชาวมนุษย)์ – จาตมุ หาราชิกา (สวรรค์ชัน้ ทีท่ ้าวมหาราช ๔ ปกครอง) - ดาวดึงส์ (แดนแหง่ เทพ ๓๓ มีท้าว สักกะเปน็ ใหญ่) -ยามา (แดนแหง่ เทพผ้ปู ราศจากความทุกข)์ - ดุสิต (แดนแห่งผู้เอิบอ่ิมดว้ ยสิริสมบัตขิ องตน) - นมิ มานรดี (แดนแหง่ เทพผู้ยนิ ดใี นการเนรมติ ) - ปรนิมมิตว สวตั ตี (แดนแหง่ เทพผูย้ ังอำนาจให้เป็นไปในสมบัติท่ีผูอ้ ื่นนริ มติ ให)้ (พ.ธ. หนา้ ๓๑๖-๓๑๗) โภคอาทยิ ะ ๕ ประโยชนท์ ี่ควรถอื เอาจากโภคทรัพย์ ในการทจ่ี ะมีหรอื เหตุผลในการที่จะมหี รอื ครอบครองโภคทรัพย์ ๑. เล้ยี ง ตัว มารดา บิดา บตุ ร ภรรยา และคนในปกครองทั้งหลายให้เปน็ สขุ ๒. บำรุงมติ รสหายและร่วมกิจกรรมการงานใหเ้ ปน็ สขุ ๓. ใช้ปอ้ งกนั ภยันตราย ๔. ทำพลี คอื ญาตพิ ลี สงเคราะหญ์ าติ อติถพิ ลี ตอ้ นรับแขก ปพุ พเปตพลี ทำบุญอทุ ิศให้ผู้ ลว่ งลับ ราชพลี บำรุงราชการ เสยี ภาษี เทวตาพลี สักการะบำรุงส่ิงทเี่ ช่อื ถือ ๕. อุปถมั ภบ์ ำรงุ สมณพราหมณ์ ผู้ ประพฤตชิ อบ (พ.ธ. หน้า ๒๐๒ -๒๐๓) มงคล สงิ่ ท่ที ำให้มโี ชคดีตามหลักพระพทุ ธศาสนา หมายถึง ธรรมทน่ี ำมาซ่งึ ความสขุ ความเจรญิ มงคล ๓๘ ประการ หรอื เรยี กเต็มว่า อดุ มมงคล (มงคลอนั สูงสุด) ๓๘ ประการ (ดรู ายละเอียดมงคลสตู ร) (พ.ศ. หนา้ ๒๑๑) มจิ ฉาวณิชชา ๕ การค้าขายท่ีผิดศีลธรรมไมช่ อบธรรม มี ๕ ประการ คือ ๑. สัตถวณชิ ชา คา้ อาวุธ ๒. สตั ตวณิชชา คา้ มนุษย์ ๓. มงั สวณชิ ชา เล้ยี งสัตว์ไวข้ ายเนือ้ ๔. มชั ชวณิชชา คา้ ขายน้ำเมา ๕. วสิ วณชิ ชา คา้ ขายยาพษิ (พ.ศ. หนา้ ๒๓๓) มรรคมีองค์ ๘ ข้อปฏบิ ตั ิให้ถึงความดับทุกข์ เรียกเตม็ ว่า “อริยอฏั ฐงั คกิ มรรค” ไดแ้ ก่ ๑. สมั มาทฎิ ฐิ เหน็ ชอบ ๒. สมั มา สังกปั ปะ ดำรชิ อบ ๓. สัมมาวาจา เจรจาชอบ ๔. สัมมากัมมนั ตะ ทำการชอบ ๕. สมั มาอาชีวะ เล้ียงชีพชอบ ๖. สมั มาวายามะ เพียรชอบ ๗.สมั มาสติ ระลึกชอบ ๘. สัมมาสมาธิ ตงั้ จติ ม่ันชอบ (พ.ศ. หนา้ ๒๑๕) มจิ ฉัตตะ ๑๐ ภาวะท่ผี ดิ ความเปน็ สิง่ ทผ่ี ดิ ไดแ้ ก่ ๑. มจิ ฉทฏิ ฐิ (เหน็ ผิด ได้แก่ ความเห็นผิดจากคลองธรรมตามหลกั กุศล กรรมบถ และความเหน็ ทไ่ี มน่ ำไปสคู่ วามพ้นทุกข)์ ๒. มจิ ฉาสังกัปปะ (ดำริผิด ไดแ้ ก่ ความดำรทิ ่ีเป็นอกุศลทั้งหลาย ตรงข้ามจากสัมมาสังกัปปะ) ๓. มิจฉาวาจา (วาจาผิด ไดแ้ ก่ วจที ุจรติ ๔) ๔. มิจฉากัมมันตะ (กระทำผดิ ได้แก่ กาย ทจุ รติ ๓) ๕. มิจฉาอาชวี ะ (เลย้ี งชพี ผดิ ไดแ้ ก่ เลีย้ งชพี ในทางทจุ รติ ) ๖. มจิ ฉาวายามะ (พยายามผดิ ไดแ้ ก่ ความ เพยี รตรงข้ามกับสัมมาวายามะ) ๗. มจิ ฉาสติ (ระลึกผิด ได้แก่ ความระลกึ ถึงเรือ่ งราวทล่ี ว่ งแลว้ เชน่ ระลึกถงึ การได้ทรัพย์ การไดย้ ศ เปน็ ต้น ในทางอกศุ ล อนั จัดเปน็ สตเิ ทียม) เป็นเหตุชกั นำใจให้เกิดกิเลส มีโลภะ มานะ อสสา มัจฉรยิ ะ เปน็ ตน้ ๘. มจิ ฉาสมาธิ (ตง้ั ใจผิด ไดแ้ ก่ ตัง้ จติ เพง่ เลง็ จดจอ่ ปกั ใจแน่วแนใ่ นกามราคะ พยาบาท เป็นตน้ หรอื เจริญสมาธิแล้ว หลงเพลนิ ติดหมกมนุ่ ตลอดจนนำไปใชผ้ ิดทาง ไม่เปน็ ไปเพือ่ ญาณทสั สนะ และความหลุดพ้น) ๙. มจิ ฉาญาณ (รู้ผิด ไดแ้ ก่ ความหลงผดิ ท่ีแสดงออกในการคิดอุบายทำความช่ัวและในการ พิจารณาทบทวน วา่ ความชัว่ นั้น ๆ ตนกระทำไดอ้ ยา่ งดแี ล้ว เป็นตน้ ) ๑๐. มิจฉาวมิ ุตติ (พน้ ผดิ ได้แก่ ยงั ไมถ่ ึงวมิ ตุ ติ สำคัญวา่ ถงึ วิมตุ ติ หรือสำคัญผิดในสิง่ ทมี่ ใิ ชว่ มิ ตุ ต)ิ (พ.ธ. หน้า ๓๒๒) มติ รปฏิรูป คนเทยี มมิตร มิตรเทียม มิใช่มติ รแท้ มี ๔ พวก ได้แก่ ๑. คนปอกลอก มีลกั ษณะ ๔ คือ ๑.๑ คิดเอาได้ฝา่ ยเดียว ๑.๒ ยอมเสียแตน่ อ้ ย โดยหวงั จะเอาให้มาก ๑.๓ ตวั เองมีภัย จึงมาทำกจิ ของเพอ่ื น ๑.๔ คบเพ่อื นเพราะ เห็นแก่ประโยชนข์ องตวั ๒. คนดีแต่พดู มีลกั ษณะ ๔ คือ ๒.๑ ดีแตย่ กเรอื่ งท่ผี ่านมาแล้วมาปราศรัย ๒.๒ ดแี ต่ อ้างส่งิ ทีย่ งั มดี ี แตอ่ า้ งส่ิงท่ียงั ไม่มีมาปราศรัย ๒.๓ สงเคราะหด์ ้วยสิ่งที่ไรป้ ระโยชน์ ๒.๔ เมื่อเพอื่ นมีกจิ อา้ งแต่เหตขุ ัดข้อง
๓. คนหวั ประจบมลี ักษณะ ๔ คอื ๓.๑ จะทำชว่ั ก็คล้อยตาม ๓.๒ จะทำดกี ็คล้อยตาม ๓.๓ ต่อหนา้ สรรเสรญิ ๓.๔ ลับหลังนินทา ๔. คนชวนฉิบหายมลี กั ษณะ ๔ ๔.๑ คอยเป็นเพ่อื นด่ืมน้ำเมา ๔.๒ คอยเปน็ เพอื่ นเท่ียวกลางคืน ๔.๓ คอยเป็นเพื่อนเท่ียวดูการเลน่ ๔.๔ คอยเปน็ เพอื่ นไปเล่นการพนัน (พ.ธ. หน้า ๑๕๔ – ๑๕๕) มิตรนำ้ ใจ ๑. เพ่ือนมีทุกขพ์ ลอยทุกขด์ ้วย ๒. เพื่อนมสี ขุ พลอยดใี จ ๓. เขาติเตียนเพ่ือน ช่วยยับยั้ง แก้ไขให้ ๔. เขา สรรเสรญิ เพอ่ื น ช่วยพูดเสรมิ สนับสนุน (พ.ศ. หน้า ๒๓๔) รปู ๑. สงิ่ ท่ตี ้องสลายไปเพราะปจั จัยต่าง ๆ อันขัดแยง้ สิง่ ที่เป็นรูปรา่ งพร้อมท้ังลักษณะอาการของมนั สว่ นร่างกาย จำแนก เปน็ ๒๘ คอื มหาภูตรูป หรอื ธาตุ ๔ และอปุ าทายรปู ๒. อารมณ์ที่รไู้ ด้ด้วยจักษุ สิ่งทีป่ รากฏแกต่ า ข้อ ๑ ในอารมณ์ ๖ หรอื อายตนะภายนอก ๓. ลักษณนามใชเ้ รยี กพระภกิ ษุสามเณร เช่น ภิกษุรูปหนง่ึ (พ.ศ. หนา้ ๒๕๓) วัฏฏะ ๓ หรือไตรวฎั ฎ์ การวนเวยี น การเวยี นเกิด เวียนตาย การเวยี นวา่ ยตายเกิด ความเวยี นเกดิ หรอื วนเวยี นดว้ ยอำนาจ กิเลส กรรม และวิบาก เชน่ กิเลสเกดิ ข้ึนแลว้ ให้ทำกรรม เมอ่ื ทำกรรมแลว้ ย่อมได้ผลของกรรม เมื่อไดร้ ับผลของ กรรมแลว้ กิเลสกเ็ กิดอกี แล้ว ทำกรรมแล้วเสวยผลกรรมหมุนเวยี นตอ่ ไป (พ.ธ. หน้า ๒๖๖) วาสนา อาการกายวาจา ทีเ่ ปน็ ลกั ษณะพิเศษของบุคคล ซงึ่ เกดิ จากกเิ ลสบางอยา่ ง และได้สัง่ สมอบรมมาเปน็ เวลานานจน เคยชนิ ตดิ เปน็ พน้ื ประจำตวั แม้จะละกิเลสนน้ั ไดแ้ ล้ว แต่กอ็ าจจะละอาการกายวาจาท่เี คยชนิ ไม่ได้ เช่น คำพดู ติด ปาก อาการเดินท่ีเร็วหรือเดินต้วมเตีย้ ม เป็นตน้ ท่านขยายความว่า วาสนา ที่เปน็ กุศลก็มี เปน็ อกุศลก็มี เป็นอพั ยากฤต คือ เป็นกลาง ๆ ไม่ดไี ม่ชวั่ ก็มี ท่ีเปน็ กุศลกับอัพยากฤตน้ันไม่ตอ้ งละ แต่ทีเ่ ป็นอกุศลซงึ่ ควรจะละนัน้ แบ่งเปน็ ๒ สว่ น คอื ส่วนทจ่ี ะเป็นเหตุใหเ้ ข้าถึงอบายกับส่วนทเี่ ปน็ เหตุให้เกดิ อาการแสดงออกทางกายวาจาแปลก ๆ ต่าง ๆ สว่ นแรก พระอรหนั ต์ทกุ องค์ละได้ แตส่ ว่ นหลงั พระพุทธเจ้าเทา่ นัน้ ละได้ พระอรหนั ตอ์ ่ืนละไมไ่ ด้ จงึ มีคำกลา่ ว วา่ พระพทุ ธเจา้ เทา่ นน้ั ละกิเลสทง้ั หมดได้ พร้อมทง้ั วาสนา; ในภาษาไทย คำวา่ วาสนามีความหมายเพ้ียนไป กลายเปน็ อำนาจบญุ เกา่ หรอื กศุ ลทีท่ ำให้ได้รบั ลาภยศ (ไม่มใี น พ.ศ. ฉบบั ที่พมิ พ์เป็นเลม่ แตค่ น้ ไดจ้ ากแผน่ ซีดีรอม พ.ศ. ของสมาคม ศิษย์เกา่ มหาจฬุ าฯ) วติ ก ความตรกึ ตริ กายยกจติ ขน้ึ ส่อู ารมณ์ การคิด ความดำริ “ไทยใชว้ ่าเป็นห่วงกงั วล” แบ่งออกเปน็ กุศลวิตก ๓ และอกศุ ล วิตก ๓ (พ.ศ. หนา้ ๒๗๓) วิบัติ ๔ ความบกพรอ่ งแห่งองคป์ ระกอบต่าง ๆ ซง่ึ ไม่อำนวยแกก่ ารที่กรรมดีจะปรากฏผล แตก่ ลบั เปดิ ชอ่ งให้กรรมชวั่ แสดงผล พูดสนั้ ๆ ว่าส่วนประกอบบกพรอ่ ง เปิดช่องให้กรรมชัว่ วบิ ัติมี ๔ คอื ๑. คติวบิ ตั ิ วิบัตแิ ห่งคติ หรือคตเิ สีย คือเกดิ อยูใ่ นภพ ภมู ิ ถ่นิ ประเทศ สภาพแวดลอ้ มท่ีไมเ่ หมาะ ไมเ่ กือ้ กลู ทางดำเนินชีวติ ถิ่นทไี่ ปไมอ่ ำนวย ๒. อปุ ธิ วบิ ัติ วิบตั ิแหง่ ร่างกาย หรอื รปู กายเสีย เชน่ ร่างกายพกิ ลพิการ อ่อนแอ ไม่สวยงาม กิรยิ าท่าทางน่าเกลยี ด ไมช่ วนชม ตลอดจนสุขภาพท่ีไม่ดี เจ็บป่วย มโี รคมาก ๓. กาลวิบัติ วบิ ตั แิ ห่งกาลหรอื หรอื กาลเสีย คือเกิดอยใู่ นยุคสมยั ที่ บ้านเมืองมีภัยพิบตั ิไมส่ งบเรยี บรอ้ ย ผ้ปู กครองไม่ดี สงั คมเสือ่ มจากศลี ธรรม มากดว้ ยการเบยี ดเบียน ยกย่องคนช่วั บีบคนั้ คนดี ตลอดจนทำอะไรไม่ถกู าลเวลา ไม่ถูกจังหวะ ๔. ปโยควบิ ัติ วิบตั ิแห่งการประกอบ หรอื กจิ การเสยี เชน่ ฝกั ใฝ่ในกจิ การหรือเรือ่ งราวทีผ่ ิด ทำการไม่ตรงตามความถนัด ความสามารถ ใช้ความเพียร ไม่ถกู ต้อง ทำการครึ่ง ๆ กลาง ๆ เป็นตน้ (พ.ธ. หน้า ๑๖๐- ๑๖๑) วปิ สั สนาญาณ ๙ ญาณในวปิ สั สนา ญาณที่นบั เข้าในวปิ สั สนา เปน็ ความรู้ท่ีทำให้เกดิ ความเหน็ แจง้ เข้าใจสภาวะของสิ่ง ทั้งหลายตามเปน็ จรงิ ได้แก่ ๑. อุทยพั พยานปุ สั สนาณาณ คือ ญาณอันตามเห็นความเกิดและดบั ของเบญจ ขันธ์ ๒. ภงั คานปุ ัสสนาญาณ คอื ญาณอนั ตามเห็นความสลาย เมือ่ เกิดดับกค็ ำนึงเด่นชดั ในส่วนดับของสังขาร ทง้ั หลาย ตอ้ งแตกสลายทง้ั หมด ๓. ภยตูปัฏฐานญาณ คอื ณาณอนั มองเห็นสงั ขาร ปรากฏเป็นของนา่ กลัว ๔. อา ทีนวานุปัสสนาญาณ คือ ญาณอนั คำนึงเห็นโทษของสงั ขารท้ังหลาย วา่ เป็นโทษบกพรอ่ งเป็นทกุ ข์ ๕. นพิ พิทา นปุ สั สนาญาณ คือ ญาณอันคำนงึ เหน็ ความหน่ายของสงั ขาร ไม่เพลินเพลนิ ติดใจ ๖. มุญจิตกุ ัมยตาญาณ คือ
ญาณอนั คำนงึ ดว้ ย ใครพ่ ้นไปเสยี คอื หน่ายสงั ขารทั้งหลาย ปรารถนาท่จี ะพ้นไปเสีย ๗. ปฏิสงั ขานปุ สั สนา ญาณ คอื ญาณอนั คำนงึ พจิ ารณาหาทาง เม่อื ตอ้ งการจะพน้ ไปเสีย เพื่อมองหาอบุ ายจะปลดเปล้ืองออกไป ๘. สังขารุเปกขาณาณ คอื ญาณอนั เป็นไปโดยความเปน็ กลางต่อสังขาร คือ พจิ ารณาสงั ขารไม่ยนิ ดียินร้ายในสังขาร ท้ังหลาย ๙. สจั จานโุ ลมิกญาณ หรอื อนโุ ลมญาณ คอื ณาณอนั เป็นไปโดยอนุโลกแก่การหยัง่ ร้อู รยิ สจั แลว้ แลว้ มรรค ญาณใหส้ ำเรจ็ ความเปน็ อริยบุคคลตอ่ ไป (พ.ศ. หนา้ ๒๗๖ – ๒๗๗) วิมตุ ติ ๕ ความหลุดพน้ ภาวะไร้กเิ ลส และไม่มีทุกข์ มี ๕ ประการ คอื ๑. วิกขมั ภนวมิ ุตติ ดับโดยขม่ ไว้ คอื ดับกเิ ลส ๒. ตทังควมิ ุตติ ดับกเิ ลสดว้ ยธรรมทเ่ี ปน็ คปู่ รบั ธรรมที่ตรงกันขา้ ม ๓. สมจุ เฉทวิมตุ ติ ดบั ด้วยตดั ขาด ดับกิเลส เสรจ็ สิน้ เด็ดขาด ๔. ปฏิปัสสัทธิวิมตุ ติ ดับดว้ ยสงบระงบั โดยอาศยั โลกตุ ตรมรรคดับกเิ ลส ๕. นิสรณวมิ ตุ ติ ดบั ดว้ ยสงบระงับ คอื อาศยั โลกตุ ตรธรรมดบั กเิ ลสเดด็ ขาดเสรจ็ สน้ิ (พ.ธ. หน้า ๑๙๔) โลกบาลธรรม ธรรมคุ้มครองโลก ไดแ้ ก่ ปกครองควบคุมใจมนษุ ยไ์ ว้ให้อยูใ่ นความดี มิใหล้ ะเมดิ ศีลธรรม และให้อยูก่ ันดว้ ย ความเรยี บรอ้ ยสงบสุข ไม่เดอื ดร้อนสบั สนวุ่นวาย มี ๒ อยา่ งไดแ้ ก่ ๑. หิริ ความอายบาป ละอายใจตอ่ การทำความชั่ว ๒. โอตตปั ปะ ความกลัวบาปเกรงกลวั ตอ่ ความช่ัว และผลของกรรมชั่ว (พ.ศ. หน้า ๒๖๐) ฤาษี หมายถงึ ผ้แู สวงธรรม ไดแ้ ก่ นกั บวชนอกพระศาสนาซง่ึ อยู่ในป่า ชไี พร ผู้แต่งคัมภรี พ์ ระเวท (พ.ศ. หน้า ๒๕๖) สติปัฏฐาน ๔ ทีต่ ัง้ ของสติ การตัง้ สตกิ ำหนดพจิ ารณาสิ่งทง้ั หลายใหร้ ูเ้ ห็นตามความเปน็ จรงิ คอื ตามสงิ่ นนั้ ๆ มันเป็นของมัน เอง มี ๔ ประการ คอื ๑. กายานปุ ัสสนาสติปัฏฐาน (การตัง้ สตกิ ำหนดพิจารณากายใหร้ เู้ ห็นตามเป็นจรงิ วา่ เป็นแตเ่ พยี งกาย ไม่ใชส่ ัตว์ บุคคล ตวั ตนเราเขา) ทา่ นจำแนกวธิ ปี ฏบิ ัตไิ ดห้ ลายอยา่ ง คือ อานาปานสติ กำหนดลมหายใจ ๑ อริ ิยาบถ กำหนดรู้ทันอิริยาบถ ๑) สัมปชัญญะ สรา้ งสัมปชัญญะในการกระทำความเคล่ือนไหวทุกอย่าง ๑) ปฏกิ ลู มนสิการ พจิ ารณาส่วนประกอบอันไม่สะอาดทั้งหลายที่ประชุมเขา้ เปน็ รา่ งกายน้ี ๑) ธาตุมนสกิ าร พิจารณาเห็นร่างกายของ ตน โดยสักว่าเป็นธาตุแต่ละอย่างๆ ๒. เวทนานุปสั สาสติปฏั ฐาน (การตั้งสติกำหนดพิจารณาเวทนาให้รู้เหน็ ตามเปน็ จริงว่า เปน็ แต่เพยี งเวทนา ไม่ใช่ สตั วบ์ คุ คลตวั ตนเราเขา) คอื มีสติรู้ชดั เวทนาอันเป็นสขุ ก็ดี ทกุ ข์กด็ ี เฉย ๆ ก็ดี ท้งั ท่เี ปน็ สามิสและเป็นนิรามสิ ตามท่ี เป็นไปอยขู่ ณะนั้น ๆ ๓. จิตตานุปัสสนาสติปฏั ฐาน (การตง้ั สตกิ ำหนดพจิ ารณาจิต ใหร้ ูเ้ ห็นตามเป็นจรงิ ว่าเปน็ แตเ่ พยี งจติ ไม่ใช่สตั ว์ บุคคลตัวตนเราเขา) คือ มสี ติรู้ชดั จิตของตนทีม่ ีราคะ ไม่มรี าคะ มโี ทสะ ไม่มีโทสะ มีโมหะ ไม่มีโมหะ เศร้าหมองหรือผ่องแผว้ ฟงุ้ ซา่ นหรอื เปน็ สมาธิ ฯลฯ อย่างไร ๆ ตามท่เี ป็นไปอยู่ในขณะน้นั ๆ ๔. ธมั มานุปสั สนาสตปิ ัฏฐาน (การตั้งสตกิ ำหนดพิจารณาธรรม ให้รูเ้ หน็ ตามเปน็ จรงิ ว่า เปน็ แต่เพียงธรรม ไม่ใช่ สัตว์บคุ คลตัวตนของเรา) คอื มีสติร้ชู ัดธรรมทั้งหลาย ไดแ้ ก่ นวิ รณ์ ๕ ขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ โพชฌงค์ ๗ อริยสัจ ๔ วา่ คืออะไร เปน็ อย่างไร มใี นตนหรือไม่ เกดิ ข้นึ เจรญิ บริบรู ณ์และดบั ได้อย่างไร เป็นต้น ตามทเ่ี ป็นจริงของมันอยา่ งน้ัน ๆ (พ.ธ. หน้า ๑๖๕) สมณะ หมายถงึ ผสู้ งบ หมายถึงนกั บวชทว่ั ไป แตใ่ นพระพุทธศาสนา ทา่ นให้ความหมายจำเพาะ หมายถงึ ผรู้ ะดับ บาป ได้แก่ พระอริยบุคคล และผปู้ ฏิบตั ิเพือ่ ระงบั บาป ได้แก่ ผ้ปู ฏิบัติธรรมเพอื่ เป็น พระอริยบุคคล (พ.ศ. หน้า ๒๙๙) สมบัติ ๔ คอื ความเพียบพรอ้ มสมบูรณ์แหง่ องค์ประกอบตา่ ง ๆ ซ่ึงช่วยเสรมิ สง่ อำนวยโอกาสใหก้ รรมดปี รากฏผล และไม่ เปิดชอ่ งใหก้ รรมชั่วแสดงผล มี ๔ อย่าง คอื ๑. คติสมบัติ สมบัติแหง่ คติ ถึงพรอ้ มดว้ ยคติ หรือคติให้ คือ เกิดอยูใ่ น ภพ ภูมิ ถ่ิน ประเทศท่ีเจริญ เหมาะหรือเก้ือกลู ตลอดจนในระยะสน้ั คือ ดำเนินชวี ิตหรอื ไปในถ่ินที่อำนวย ๒. อุปธิ สมบัติ สมบัตแิ ห่งร่างกาย ถึงพร้อมด้วยรา่ งกาย คือมรี ปู ร่างสวย ร่างกายสงา่ งาม หนา้ ตาท่าทางดี น่ารกั น่านิยม เลื่อมใส สุขภาพดี แขง็ แรง ๓. กาลสมบัติ สมบัติแห่งกาล ถึงพร้อมดว้ ยกาลหรอื กาลให้ คอื เกดิ อย่ใู นสมยั ท่ี
บ้านเมอื งมคี วามสงบสุข ผู้ปกครองดี ผู้คนมีคุณธรรมยกย่องคนดี ไมส่ ่งเสรมิ คนชั่ว ตลอดจนในระยะเวลาสน้ั คือ ทำอะไรถูกกาลเวลา ถกู จงั หวะ ๔. ปโยคสมบตั ิ สมบัตแิ ห่งการประกอบ ถงึ พรอ้ มดว้ ยการประกอบกจิ หรือกิจการ ให้ เช่น ทำเรอื่ งตรงกบั ท่เี ขาต้องการ ทำกิจตรงกับความถนดั ความสามารถของตน ทำการถงึ ขนาดถกู หลกั ครบถว้ น ตามเกณฑ์หรอื เตม็ อัตรา ไม่ใช่ทำคร่งึ ๆ กลาง ๆ หรอื เหยาะแหยะ หรอื ไมถ่ กู เรือ่ งกนั รูจ้ กั จัดทำ รูจ้ ักดำเนนิ การ (พ.ธ. หน้า ๑๖๑ – ๑๖๒) สมาบตั ิ ภาวะสงบประณตี ซงึ่ พ่งึ เขา้ ถงึ ; สมาบตั ิมีหลายอย่าง เช่น ณานสมบัติ ผลสมาบัติ อนุปพุ พวิหารสมาบตั ิ (พ.ศ. หน้า ๓๐๓) สติ ความระลกึ ได้ นกึ ได้ ความไม่เผลอ การคมุ ใจไดก้ ับกิจ หรือคุมจติ ใจไวก้ ับสิง่ ทเ่ี กย่ี วข้อง จำการทีทำและคำพูดแม้ นานได้ (พ.ศ. หน้า ๓๒๗) สังฆคุณ ๙ คุณของพระสงฆ์ ๑. พระสงฆ์สาวกของพระผมู้ ีพระภาคเป็นผปู้ ฏบิ ัตดิ ี ๒. เปน็ ผปู้ ฏบิ ัติตรง ๓. เปน็ ผู้ ปฏบิ ตั ถิ ูกทาง ๔. เป็นผู้ปฏิบตั ิสมควร ๕. เปน็ ผู้ควรแกก่ ารคำนับ คอื ควรกับของท่เี ขานำมาถวาย ๖. เป็นผู้ควร แกก่ ารตอนรับ ๗. เปน็ ผู้ควรแกท่ กั ษณิ า ควรแก่ของทำบุญ ๘. เปน็ ผู้ควรแก่การกระทำอัญชลี ควรแกก่ ารกราบ ไหว้ ๙. เปน็ นาบญุ อนั ยอดเย่ียมของโลก เปน็ แหล่งปลกู ฝังและเผยแพรค่ วามดที ยี่ อดเยย่ี มของโลก(พ.ธ. หน้า ๒๖๕- ๒๖๖) สังเวชนียสถาน สถานทตี่ ั้งแหง่ ความสังเวช ที่ที่ใหเ้ กดิ ความสังเวช มี ๔ คอื ๑. ที่พระพทุ ธเจ้าประสตู ิ คอื อทุ ยานลุมพนิ ี ปัจจบุ ันเรียกลุมพินีหรอื รุมมินเด (Lumbini หรอื Rummindei) ๒. ท่ีพระพทุ ธเจา้ ตรัสรู้ คือ ควงโพธิ์ ทต่ี ำบลพุทธคยา (Buddha Gaya หรอื Bodh – Gaya) ๓. ทพี่ ระพทุ ธเจา้ แสดงปฐมเทศนา คอื ป่าอสิ ิปตนมฤคทายวนั แขวงเมืองพาราณสี ปัจจุบันเรียกสารนาถ ๔. ท่ีพระพทุ ธเจา้ ปรนิ ิพพาน คอื ท่ีสาลวโน ทยาน เมอื งกสุ ินารา หรือกสุ ินคร บัดน้ีเรยี กกาเซยี (Kasia หรอื Kusinagara) (พ.ศ. หนา้ ๓๑๗) สันโดษ ความยินดี ความพอใจ ยินดีดว้ ยปัจจัย ๔ คือ ผ้านงุ่ ห่ม อาหารทนี่ อนทนี่ ่งั และยาตามมีตามได้ ยนิ ดขี องของตน การมคี วามสขุ ความพอใจดว้ ยเคร่อื งเล้ยี งชีพทห่ี ามาไดด้ ว้ ยเพียรพยายามอันชอบธรรมของตน ไม่โลภ ไมร่ ิษยาใคร (พ.ศ. หน้า ๓๒๔) สันโดษ ๓ ๑. ยถาลาภสันโดษ ยนิ ดีตามท่ไี ด้ คอื ไดส้ ่งิ ใดมาดว้ ยความเพยี รของตน กพ็ อใจด้วยส่ิงนนั้ ไม่ไดเ้ ดอื ดรอ้ น เพราะของท่ีไมไ่ ด้ ไม่เพง่ เล็งอยากได้ของคนอ่ืนไมร่ ษิ ยาเขา ๒. ยถาพลสันโดษ คือ ยินดตี ามกำลัง คอื พอใจเพยี ง แคพ่ อแกก่ ำลงั รา่ งกาย สุขภาพ และขอบเขตการใช้สอยของตน ของท่ีเกินกำลังกไ็ มห่ วงแหนเสียดายไม่เก็บไว้ให้ เสียเปลา่ หรือฝนื ใช้ให้เป็นโทษแก่ตน ๓. ยถาสารุปปสนั โดษ ยินดตี ามสมควร คอื พอใจตามท่ีสมควร คือ พอใจ ตามทสี่ มควรแกภ่ าวะฐานะแนวทางชีวิต และจุดหมายแห่งการบำเพญ็ กจิ ของตน เชน่ ภกิ ษุพอใจแต่องอันเหมาะ กบั สมณภาวะ หรือได้ของใช้ท่ีไมเ่ หมาะสมกับตนแต่จะมีประโยชนแ์ ก่ผอู้ นื่ กน็ ำไปมอบใหแ้ ก่เขา เป็นตน้ (พ.ศ. หนา้ ๓๒๔) สทั ธรรม ๓ ธรรมอนั ดี ธรรมที่แท้ ธรรมของสัตบุรษุ หลักหรือแก่นศาสนา มี ๓ ประการ ได้แก่ ๑. ปริยัตสิ ัทธรรม (สัทธรรมคือคำสั่งสอนอนั จะตอ้ งเล่าเรียน ได้แก่ พทุ ธพจน์) ๒. ปฏบิ ัตสิ ัทธรรม (สทั ธรรมคอื สง่ิ พึงปฏบิ ัติ ได้แก่ ไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปญั ญา) ๓. ปฏเิ วธสัทธรรม (สัทธรรมคือผลอนั จะพึงเข้าถึง หรอื บรรลุด้วยการปฏิบตั ิ ได้แก่ มรรค ผล และนิพพาน (พ.ธ. หน้า ๑๒๕) สปั ปรุ ิสธรรม ๗ ธรรมของสัตบรุ ุษ ธรรมทท่ี ำให้เป็นสตั บรุ ุษ คุณสมบตั ิของคนดี ธรรมของผดู้ ี ๑. ธัมมัญญตุ า คือ ความรู้จักเหตุ คอื รู้หลักความจรงิ ๒. อัตถัญญุตา คือ ความรจู้ กั ผล คอื รู้ความ มงุ่ หมาย ๓. อัตตัญญุตา คือ ความร้จู กั ตน คอื รู้ว่าเรานัน้ ว่าโดยฐานะ ภาวะ เพศ กำลงั ความรู้ ความสามารถ ความถนัด และคณุ ธรรม เปน็ ต้น ๔. มัตตัญญตุ า คอื ความรู้จักประมาณ คือ ความพอดี ๕. กาลัญญตุ า คอื ความรู้จักกาล คือ รู้จักกาลเวลาอันเหมาะสม ๖. ปริสญั ญุตา คือ ความรูจ้ ักบรษิ ทั คือรจู้ กั ชุมชนและรู้จกั ท่ปี ระชมุ ๗. ปุคคลญั ญุตา หรือ ปุคคลปโรปรญั ญุตา คือ ความรู้จักบคุ คล คอื ความแตกต่างแห่งบุคคล (พ.ธ. หนา้ ๒๔๔)
สมั ปชัญญะ ความรู้ตวั ทว่ั พร้อม ความรตู้ ระหนัก ความรู้ชัดเขา้ ใจชัด ซ่ึงส่ิงนกึ ได้ มักมาคู่กับสติ (พ.ศ.หน้า๒๔๔) สาราณียธรรม ๖ ธรรมเปน็ ทตี่ ั้งแห่งความใหร้ ะลึกถงึ ธรรมเปน็ เหตใุ ห้ระลกึ ถงึ กนั หลกั การอยรู่ ว่ มกนั เรยี กอีกอย่างวา่ “สาราณียธรรม” ๑. เมตตากายกรรม มีเมตตากายกรรมท้ังต่อหน้าและลับหลงั ๒. เมตตาวจกี รรม มเี มตตาวจกี รรมท้งั ตอ่ หน้าและลบั หลัง ๓. เมตตา มโนกรรม มีเมตตามโนกรรมทั้งต่อหน้าและ ลับหลัง ๔. สาธารณโภคี แบ่งปันส่ิงของที่ไดม้ าไมห่ วง แหน ใช้ผู้เดียว ๕. สลี สามญั ญตา มีความประพฤตริ ว่ มกนั ในข้อท่ีเปน็ หลกั การสำคญั ที่จะนำไปส่คู วามหลุดพ้นส้ินทุกขห์ รือขจัดปัญหา ๖.ทฏิ ฐิสามญั ญตา มีความเหน็ ชอบดี งาม เช่นเดียวกับหมู่คณะ (พ.ธ. หน้า ๒๓๓-๒๓๕) สขุ ๒ ความสบาย ความสำราญ มี ๒ อย่าง ไดแ้ ก่ ๑. กายิกสขุ สุขทางกาย ๒. เจตสิกสขุ สขุ ทางใจ อกี หมวดหนึ่งมี ๒ คอื ๑. สามสิ สขุ สขุ อิงอามิส คอื อาศยั กามคณุ ๒. นริ ามสิ สุข สุขไม่อิงอามสิ คอื องิ เนกขัมมะ (พ.ศ. หน้า ๓๔๓) ศรัทธา ความเชอ่ื ความเชอื่ ถือ ความเช่อื มัน่ ในสิ่งทด่ี งี าม (พ.ศ. หนา้ ๒๙๐) ศรัทธา ๔ ความเชอื่ ทีป่ ระกอบดว้ ยเหตุผล ๔ ประการคอื ๑. กัมมสัทธา (เชื่อกรรม เชอ่ื วา่ กรรมมอี ยู่จรงิ คอื เชื่อว่าเม่ือทำ อะไรโดยมีเจตนา คอื จงใจทำท้ังทีร่ ู้ ยอ่ มเป็นกรรม คือ เปน็ ความชว่ั ความดี มีขึ้น ในตน เป็นเหตุปจั จัย ก่อให้เกิดผลดผี ลร้ายสืบเนือ่ งต่อไป การกระทำไม่ว่างเปล่า และเชอ่ื วา่ ผลท่ีต้องการจะสำเรจ็ ได้ดว้ ยการกระทำ มิใช่ ดว้ ยออ้ นวอนหรอื นอนคอยโชค เป็นต้น ๒. วิปากสัทธา (เชอื่ วิบาก เชือ่ ผลของกรรม เชอ่ื วา่ ผลของกรรมมจี รงิ คอื เช่อื ว่ากรรมท่ีสำเร็จตอ้ งมีผล และผลตอ้ ง มีเหตุ ผลดเี กิดจากกรรมดี และผลชั่วเกดิ จากกรรมชัว่ ๓. กัมมสั สกตา สัทธา (ความเช่ือทีส่ ัตว์มีกรรมเป็นของตน เชือ่ วา่ แตล่ ะคนเปน็ เจา้ ของจะตอ้ งรับผดิ ชอบเสวยวบิ ากเป็นไปตามกรรม ของตน ๔. ตถาคตโพธิสัทธา (เชื่อความตรัสรขู้ องพระพุทธเจ้า ม่ันใจในองคพ์ ระตถาคตว่าทรงเปน็ พระสัมมา สมั พทุ ธะ ทรงพระคณุ ทงั้ ๙ ประการ ตรสั ธรรม บญั ญัติวนิ ยั ไวด้ ้วยดี ทรงเป็นผ้นู ำทางท่ีแสดงให้เหน็ วา่ มนษุ ย์ คือ เราทกุ คนนี้ หากฝึกตนด้วยดีก็สามารถเขา้ ถึงภมู ธิ รรมสงู สุด บรสิ ุทธ์หิ ลดุ พน้ ไดด้ ังทพี่ ระองค์ได้ทรงบำเพ็ญไว้ (พ.ธ. หนา้ ๑๖๔) สงเคราะห์ การชว่ ยเหลือ การเอือ้ เฟอ้ื เกือ้ กลู (พ.ศ. หน้า ๒๒๘) สังคหวตั ถุ ๔ เรื่องสงเคราะหก์ ัน คณุ ธรรมเป็นเครือ่ งยึดเหนย่ี วใจของผู้อนื่ ไว้ได้ หลักการสงเคราะห์ คือ ช่วยเหลอื กันยึด เหนีย่ วใจกันไว้ และเปน็ เครือ่ งเกาะกมุ ประสานโลก ไดแ้ ก่ สังคมแหง่ หมสู่ ตั ว์ไว้ ดจุ สลักเกาะยดึ รถทก่ี ำลงั แลน่ ไป ให้คงเป็นรถ และวิ่งแลน่ ไปได้มี ๔ อยา่ งคอื ๑. ทาน การแบง่ ปนั เอือ้ เฟอื้ เผ่ือแผ่กัน ๒. ปยิ วาจา พดู จานา่ รกั น่า นิยมนบั ถอื ๓. อัตถจริยา บำเพญ็ ประโยชน์ ๔.สมานัตตนา ความมตี นเสมอ คือ ทำตัวใหเ้ ข้ากันได้ เชน่ ไมถ่ อื ตัว ร่วมสุข ร่วมทุกข์กัน เป็นต้น (พ.ศ. หน้า ๓๑๐) สมั มตั ตะ ความเป็นถกู ภาวะท่ีถูก มี ๑๐ อย่าง ๘ ข้อตน้ ตรงกับองคม์ รรคท้งั ๘ ข้อ เพิ่ม ๒ ข้อท้าย คือ ๙. สัมมา ญาณ รูช้ อบไดแ้ กผ่ ลญาณ และปจั จเวกขณญาณ ๑๐. สมั มาวิมตุ ติ พน้ ชอบได้แก่ อรหัตตผลวมิ ุตต;ิ เรียก อกี อยา่ ง อเสขธรรม ๑๐ (พ.ศ. หน้า ๓๒๙) สุจริต ๓ ความประพฤติดี ประพฤติชอบตามคลองธรรม มี ๓ คอื ๑. กายสุจริต ประพฤตชิ อบทางกาย ๒. วจี สุจริต ประพฤตชิ อบทางวาจา ๓. มโนสุจริต ประพฤติชอบทางใจ (พ.ศ. หน้า ๓๔๕) หริ ิ ความละอายตอ่ การทำชวั่ (พ.ศ. หนา้ ๓๕๕) อกุศลกรรมบถ ๑๐ ทางแห่งอกศุ ลกรรม ทางความชวั่ กรรมชั่วอนั เป็นทางนำไปสูค่ วามเส่ือม ความทกุ ข์ หรือทุคติ ๑. ปาณาติบาต การทำชวี ติ ให้ตกลว่ ง ๒. อทนิ นาทาน การถอื เอาของทเ่ี ขามไิ ด้ให้ โดยอาการขโมย ลักทรัพย์ ๓. กาเมสมุ จิ ฉาจาร ความประพฤตผิ ิดทางกาม ๔. มุสาวาท การพดู เท็จ ๕. ปสิ ุณวาจา วาจาส่อเสยี ด ๖. ผรุสวาจา วาจาหยาบ ๗. สัมผปั ปลาปะ พดู เพ้อเจ้อ ๘. อภิชฌา เพง่ เล็งอยากไดข้ องเขา ๙. พยาบาท คิดรา้ ยผอู้ ่นื ๑๐. มิจฉาทฏิ ฐิ เหน็ ผิดจากคลองธรรม (พ.ธ. หน้า๒๗๙,๓๐๙)
อกศุ ลมูล ๓ รากเหง้าของอกุศล ต้นตอของความชั่ว มี ๓ คอื ๑. โลภะ (ความอยากได้) ๒. โทสะ (ความคดิ ประทษุ ร้าย) ๓. โมหะ (ความหลง) ๘ (พ.ธ. หนา้ ๘๙) อคติ ๔ ฐานะอันไมพ่ งึ ถงึ ทางความประพฤติทผี่ ิด ความไมเ่ ที่ยงธรรม ความลำเอยี ง มี ๔ อย่างคือ ๑. ฉนั ทาคติ (ลำเอยี งเพราะชอบ) ๒. โทสาคติ (ลำเอยี งเพราะชงั ) ๓. โมหาคติ (ลำเอียงเพราะหลง พลาดผดิ เพราะเขลา) ๔. ภยาคติ (ลำเอียงเพราะกลัว) (พ.ธ. หน้า ๑๗๔) อนตั ตา ไม่ใชอ่ ตั ตา ไม่ใชต่ วั ตน (พ.ศ. หน้า ๓๖๖) อบายมขุ ชอ่ งทางของความเสอ่ื ม เหตุเครอ่ื งฉิบหาย เหตยุ อ่ ยยับแหง่ โภคทรัพย์ ทางแหง่ ความพนิ าศ (พ.ศ. หน้า ๓๗๗) อบายมุข ๔ ๑. อิตถีธุตตะ (เปน็ นักเลงหญิง นักเทย่ี วผู้หญงิ ) ๒. สรุ าธุตตะ (เป็นนักเลงสรุ า นกั ด่ืม) ๓. อักข ธุตตะ (เป็นนักการพนัน) ๔. ปาปมติ ตะ (คบคนชั่ว) (พ.ศ. หนา้ ๓๗๗) อบายมขุ ๖ ๑. ตดิ สรุ าและของมึนเมา ๑.๑ ทรัพย์หมดไป ๆ เหน็ ชดั ๆ ๑.๒ ก่อการทะเลาะวิวาท ๑.๓ เป็นบ่อเกดิ แหง่ โรค ๑.๔ เสียเกยี รติ เสียชือ่ เสยี ง ๑.๕ ทำใหไ้ มร่ อู้ าย ๑.๖ ทอนกำลงั ปญั ญา ๒. ชอบเที่ยว กลางคืน มโี ทษ ๖ อย่างคือ ๒.๑ ชื่อว่าไม่รกั ษาตน ๒.๒ ชอ่ื วา่ ไม่รักษาลูกเมีย ๒.๓ ชื่อวา่ ไม่รักษาทรัพย์ สมบตั ิ ๒.๔ เปน็ ทร่ี ะแวงสงสัย ๒.๕ เปน็ เป้าให้เขาใส่ความหรอื ขา่ วลอื ๒.๖ เป็นท่มี าของเร่อื งเดือดร้อนเปน็ อัน มาก ๓. ชอบเทยี่ วดกู ารละเลน่ มโี ทษ โดยการงานเสอื่ มเสยี เพราะมีใจกังวลคอยคดิ จอ้ ง กับเสยี เวลาเม่อื ไปดูสิ่งนน้ั ๆ ทง้ั ๖ กรณี คอื ๓.๑ รำท่ไี หนไปทน่ี ัน่ ๓.๒ – ๓.๓ ขบั ร้อง ดนตรี เสภา เพลงเถดิ เทงิ ทีไ่ หนไปทน่ี ่ัน ๔. ติดการ พนนั มโี ทษ ๖ คือ ๔.๑ เม่ือชนะยอ่ มก่อเวร ๔.๒ เมื่อแพ้ก็เสยี ดายทรัพย์ทเ่ี สียไป ๔.๓ ทรพั ยห์ มดไป ๆ เหน็ ชดั ๆ ๔.๔ เข้าทป่ี ระชมุ เขาไม่เช่อื ถอื ถ้อยคำ ๔.๕ เป็นที่หมนิ่ ประมาทของเพื่อนฝงู ๔.๖ ไมเ่ ป็นท่ี พงึ ประสงค์ของผู้ท่จี ะหาคูค่ รองให้ลกู ของเขา เพราะเห็นว่าจะเล้ียงลกู เมยี ไมไ่ ด้ ๕. คบคนชวั่ มโี ทษโดย นำให้กลายเปน็ คนชว่ั อยา่ งทีต่ นคบทั้ง ๖ ประเภท คอื ได้เพือ่ นท่ีจะนำให้กลายเป็น ๕.๑ นกั การพนนั ๕.๒ นักเลงหญิง ๕.๓ นกั เลงเหลา้ ๕.๔ นักลวงของปลอม ๕.๕ นกั หลอกลวง ๕.๖ นกั เลงหัวไม้ ๖. เกียจ คร้านการงาน มโี ทษโดยทำให้ยกเหตตุ ่าง ๆ เป็นข้ออา้ งผิดเพย้ี น ไม่ทำการงานโภคะใหมก่ ไ็ ม่เกดิ โภคะทมี่ อี ยู่กห็ มด ส้นิ ไป คือ ใหอ้ ้างไปทงั้ ๖ กรณวี ่า ๖.๑ – ๖.๖ หนาวนกั รอ้ นนัก เย็นไปแลว้ ยังเชา้ นัก หิวนัก อม่ิ นกั แลว้ ไม่ทำการงาน (พ.ธ. หน้า ๑๗๖ – ๑๗๘) อปรหิ านิยธรรม ๗ ธรรมอนั ไม่เปน็ ที่ต้งั แหง่ ความเสือ่ ม เป็นไปเพ่อื ความเจรญิ ฝ่ายเดียวมี ๗ ประการ ได้แก่ ๑. หม่นั ประชุมกันเนอื งนิตย์ ๒. พร้อมเพรยี งกนั ประชุม พร้อมเพรียงกนั เลิกประชมุ พร้อมเพรยี งกนั ทำกิจกรรมท่พี ึงทำ ๓. ไม่บญั ญัตสิ ิง่ ที่มิไดบ้ ัญญตั ิไว้ (อนั ขดั ตอ่ หลกั การเดิม) ๔. ทา่ นเหล่าใดเปน็ ผู้ใหญ่ ควรเคารพนบั ถือท่านเหลา่ น้นั ๕. บรรดากุลสตรี กุลกุมารที ้ังหลาย ให้อย่ดู ีโดยมิถกู ข่มเหง หรือฉุดคร่า ขนื ใจ ๖. เคารพสักการบูชา เจดยี ์ หรอื อนสุ าวรีย์ประจำชาติ ๗. จัดใหค้ วามอารักขา คุม้ ครอง ป้องกนั อนั ชอบธรรมแกพ่ ระอรหนั ต์ทัง้ หลาย (รวมถึง พระภกิ ษุ ผู้ปฏิบัตดิ ี ปฏิบตั ชิ อบดว้ ย) (พ.ธ. หน้า ๒๔๖ – ๒๔๗) อธิปไตย ๓ ความเปน็ ใหญ่ มี ๓ อย่าง คอื ๑. อัตตาธปิ ไตย ความมีตนเป็นใหญ่ ถอื ตนเป็นใหญ่ กระทำการดว้ ยปรารภ ตนเป็นประมาณ ๒. โลกาธปิ ไตย ความมีโลกเป็นใหญ่ ถือโลกเปน็ ใหญ่ กระทำการด้วยปรารภนยิ มของโลกเป็น ประมาณ ๓. ธมั มาธิปไตย ความมธี รรมเปน็ ใหญ่ ถอื ธรรมเป็นใหญ่, กระทำการด้วยปรารภความถกู ตอ้ ง เปน็ จรงิ สมควรตามธรรมเป็นประมาณ (พ.ธ. หน้า ๑๒๗-๑๒๘) อรยิ สจั ๔ ความจริงอนั ประเสริฐ ความจริงของพระอริยะ ความจรงิ ท่ีทำให้ผู้เข้าถงึ กลายเป็นอริยะมี ๔ คือ ๑. ทุกข์ (ความทุกข์ สภาพทที่ นได้ยาก สภาวะทบี่ ีบคน้ั ขัดแยง้ บกพรอ่ ง ขาดแกน่ สารและความเที่ยงแท้ ไมใ่ ห้
ความพึงพอใจแทจ้ ริง ได้แก่ ชาติ ชรา มรณะ การประจวบกับสิ่งอันไม่เป็นทีร่ ัก การพลัดพรากจากส่งิ ทรี่ ัก ความ ปรารถนาไม่สมหวัง โดยยอ่ วา่ อุปาทานขนั ธ์ ๕ เปน็ ทกุ ข์ ๒. ทุกขสมุทัย (เหตุเกดิ แหง่ ทกุ ข์ สาเหตุให้ทกุ ข์เกิด ไดแ้ ก่ ตณั หา ๓ คอื กามตณั หา ภวตณั หา และ วิภวตัณหา) กำจัดอวิชชา สำรอกตณั หา สนิ้ แลว้ ไมถ่ กู ย้อม ไม่ติดขดั หลุดพน้ สงบ ปลอดโปรง่ เป็นอิสระ คอื นิพพาน) ๓. ทกุ ขนโิ รธ (ความดับทุกข์ ได้แก่ ภาวะทต่ี ัณหาดับสิน้ ไป ภาวะทีเ่ ข้าถงึ เมื่อกำจัดอวิชชา สำรอกตัณหาสนิ้ แลว้ ไมถ่ กู ย้อม ไมต่ ดิ ข้อง หลดุ พ้น สงบ เป็นอิสระ คือ นิพพาน) ๔. ทุกขนโิ รธคามนิ ปี ฏิปทา (ปฏิปทาทนี่ ำไปสู่ความดับแหง่ ทกุ ข์ ข้อปฏบิ ตั ใิ ห้ถงึ ความดับทกุ ข์ ไดแ้ ก่ อรยิ อฏั ฐงั คกิ มรรค หรอื เรยี กอีกอย่างหน่งึ วา่ มชั ฌมิ ปฏปิ ทา แปลว่า ทางสายกลาง มรรคมอี งค์ ๘ น้ี สรปุ ลงใน ไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปญั ญา) (พ.ธ. หน้า ๑๘๑) อรยิ อัฏฐคิกมรรค ทางสายกลาง มรรคมอี งค์ ๘ (ศลี สมาธิ ปัญญา) (พ.ธ. หนา้ ๑๖๕) อญั ญาณุเบกขา เป็นอเุ บกขาฝ่ายวบิ ัติ หมายถึง ความไม่รเู้ รือ่ ง เฉยไมร่ เู้ รอื่ ง เฉยโง่ เฉยเมย (พ.ธ. หน้า ๑๒๖) อัตตา ตัวตน อาตมนั ปุถุชนย่อมยึดมัน่ มองเห็นขนั ธ์ ๕ อยา่ งใดอยา่ งหน่ึง หรือทงั้ หมดเป็นอัตตา หรือยดึ ถือว่ามอี ตั ตา เนื่องดว้ ยขนั ธ์ (พ.ศ. หน้า ๓๙๘) อตั ถะ เรื่องราว ความหมาย ความมงุ่ หมาย ประโยชน์ มี ๒ ระดับ คือ ๑. ทิฏฐธิ ัมมกิ ัตถะ ประโยชน์ในชวี ิตนหี้ รอื ประโยชน์ ในปัจจบุ ัน เปน็ ท่ีมุ่งหมายกนั ในโลกน้ี ไดแ้ ก่ ลาภ ยศ สุข สรรเสริญ รวมถงึ การแสวงหาสงิ่ เหล่านม้ี าโดยทางทช่ี อบ ธรรม ๒. สมั ปรายิกัตถะ ประโยชนเ์ บือ้ งหน้า หรือประโยชนท์ ลี่ ำ้ ลกึ กวา่ ที่จะมองเห็นกันเฉพาะหน้า เป็นจุดหมาย ขั้นสูงขึน้ ไป เปน็ หลกั ประกนั ชวี ติ เมือ่ ละจากโลกนี้ไป ๓. ปรมัตถะ ประโยชน์สูงสดุ หรอื ประโยชน์ที่เป็นสาระ แทจ้ ริงของชีวติ เปน็ จดุ หมายสงู สุดหรอื ท่ีหมายขน้ั สดุ ท้าย คือ พระนิพพาน อีกประการหนงึ่ หมายถงึ ๑. อตั ตัตถะ ประโยชนต์ น ๒. ปรัตถะ ประโยชนผ์ อู้ ่นื ๓. อภุ ยตั ถะ ประโยชนท์ ัง้ สองฝ่าย (พ.ธ. หนา้ ๑๓๑ – ๑๓๒) อายตนะ ท่ตี ่อ เครือ่ งตดิ ตอ่ แดนตอ่ ความรู้ เครือ่ งรู้ และส่ิงท่ีถูกรู้ เช่น ตาเปน็ เครอื่ งรู้ รปู เป็น สงิ่ ทรี่ ู้ หูเปน็ เครือ่ งรู้ เสียงเปน็ สง่ ที่รู้ เป็นตน้ จดั เปน็ ๒ ประเภท ไดแ้ ก่ ๑. อาตนะภายใน ๖ อายตนะภายนอก ๖ ๒. อายตนะภายนอก หมายถงึ เครอ่ื งตอ่ ภายนอก สิง่ ท่ถี กู รู้ มี ๖ คือ ๒.๑ รปู คอื รปู ๒.๒ สัททะ คอื เสียง ๒.๓ คนั ธะ คอื กลิ่น ๒.๔ รส คอื รส ๒.๕ โผฏฐัพพะ คือ สงิ่ ตอ้ งกาย ๒.๖ ธัมมะ หมายถงึ ธรรมารมย์ คอื อารมณ์ทเ่ี กิดกับใจ หรือสงิ่ ทใ่ี จรู้ อารมณ์ ๖ กเ็ รยี ก (พ.ศ. หน้า ๔๑๑) อายตนะภายใน เครอ่ื งต่อภายใน เคร่ืองรบั รู้ มี ๖ คือ ๑. จักขุ คือ ตา ๒. โสตะ คอื หู ๓. ฆานะ คือ จมูก ๔. ชิวหา คือ ล้นิ ๕. กาย คือ กาย ๖. มโน คอื อินทรยี ์ ๖ ก็เรียก (พ.ศ.หน้า ๔๑๑) อรยิ วฑั ฒิ ๕ ความเจรญิ อย่างประเสรฐิ หลักความเจริญของอารยชน มี ๕ คอื ๑. ศรทั ธา ความเชื่อ ความมน่ั ใจในพระ รัตนตรัย ในหลกั แหง่ ความจรงิ ความดอี ันมเี หตุผล ๒.ศีลความประพฤตดิ ี มวี ินยั เลี้ยงชพี สุจริต ๓. สุตะ การเล่า เรียน สดับฟัง ศกึ ษาหาความรู้ ๔. จาคะ การเผ่ือแผ่เสยี สละ เอ้อื เฟอ้ื มนี ำ้ ใจชว่ ยเหลือ ใจกว้าง พร้อมท่จี ะรบั ฟงั และร่วมมือ ไมค่ บั แคบ เอาแตต่ วั ๕. ปญั ญา ความรอบรู้ รู้คิด รพู้ ิจารณา เข้าใจเหตุผล รู้จักโลกและชีวติ ตามความเป็นจริง (พ.ธ. หน้า ๒๑๓) อิทธบิ าท ๔ คุณเครอื่ งใหถ้ งึ ความสำเรจ็ คุณธรรมทีน่ ำไปสูค่ วามสำเรจ็ แหง่ ผลทม่ี งุ่ หมาย มี ๔ ประการ คือ ๑. ฉนั ทะ ความพอใจ คือ ความต้องการที่จะทำใฝใ่ จรักจะทำสิง่ นัน้ อย่เู สมอแลว้ ปรารถนาจะทำ ให้ได้ผลดียิง่ ๆ ข้นึ ไป ๒. วริ ิยะ ความเพียร คือ ขยนั หม่ันประกอบสิง่ นัน้ ดว้ ยความพยายาม เขม้ แข็ง อดทน เอาธุระไม่ท้อถอย ๓. จิตตะ ความคดิ คือ ต้ังจิตรบั ร้ใู นสง่ิ ที่ทำและทำสง่ิ นนั้ ดว้ ยความคดิ เอาจิตฝักใฝ่ไม่ปลอ่ ยใจใหฟ้ ้งุ ซา่ นเลอ่ื นลอย
๔. วิมังสา ความไตร่ตรอง หรอื ทดลอง คือ หมน่ั ใชป้ ัญญาพิจารณา ใคร่ครวญ ตรวจตราหาเหตุผล และตรวจสอบ ขอ้ ยงิ่ หยอ่ นในสง่ิ ทีท่ ำนั้น มกี ารวางแผน วัดผลคิดค้นวธิ แี ก้ไขปรับปรุง ตวั อย่างเชน่ ผูท้ ำงานทัว่ ๆ ไปอาจจำสั้น ๆ วา่ รกั งาน สงู้ าน ใสใ่ จงาน และทำงานด้วยปญั ญา เป็นตน้ (พ.ธ. หน้า ๑๘๖-๑๘๗) อุบาสกธรรม ๗ ธรรมทีเ่ ป็นไปเพ่ือความเจรญิ ของอบุ าสก ๑. ไม่ขาดการเยย่ี มเยอื นพบปะพระภิกษุ ๒. ไม่ ละเลยการฟงั ธรรม ๓. ศึกษาในอธิศีล ๔. มคี วามเลือ่ มใสอยา่ งมากในพระภิกษทุ ุกระดับ ๕. ไม่ฟงั ธรรม ด้วยต้งั ใจจะคอยเพง่ โทษติเตยี น ๖. ไม่แสวงหาบุญนอกหลกั คำสอนในพระพุทธศาสนา ๗. กระทำการสนบั สนนุ คอื ขวนขวายในการอุปถัมภบ์ ำรงุ พระพุทธศาสนา (พ.ธ. หน้า ๒๑๙ – ๒๒๐) อุบาสกธรรม ๕ สมบัตขิ องอบุ าสก ๕ คอื ๑. มีศรทั ธรา ๒. มีศีลบรสิ ุทธิ์ ๓. ไมถ่ ือมงคลตนื่ ข่าว เช่ือกรรม ไมเ่ ชื่อมงคล คือมงุ่ หวงั ผลจากการกระทำ และการงานมิใชจ่ ากโชคลาภ และสงิ่ ทต่ี ืน่ กันว่าขลงั ศักดส์ิ ิทธิ์ ๔. ไมแ่ สวงหาเขตบุญ นอกหลักพระพุทธศาสนา ๕. ขวนขวายในการอุปถมั ภบ์ ำรุงพระพุทธศาสนา (พ.ศ. หน้า ๓๐๐) อุบาสกธรรม ๗ ผู้ใกล้ชิดพระศาสนาอย่างแท้จริง ควรต้ังตนอยู่ในธรรมท่เี ป็นไปเพือ่ ความเจริญของอุบาสก มี ๗ ประการ ได้แก่ ๑. ไม่ขาดการเยี่ยมเยือนพบปะพระภกิ ษุ ๒. ไมล่ ะเลยการฟงั ธรรม ๓. ศึกษาในอธิศีล คือ ฝึกอบรมตนให้ กา้ วหน้าในการปฏิบัตริ ักษาศีลขั้นสูงข้นึ ไป ๔. พร่ังพรอ้ มด้วยความเลอื่ มใส ในพระภิกษุทัง้ หลายทัง้ ทเี่ ป็นเถระ นวกะ และปนู กลาง ๕. ฟงั ธรรมโดยความต้งั ใจ มใิ ช่ มาจบั ผิด ๖. ไมแ่ สวงหาทกั ขิไณยภายนอก หลักคำสอนนี้ คือ ไม่แสวงหาเขตบุญนอกหลักพระพุทธศาสนา ๗. กระทำความสนบั สนนุ ในพระพุทธศาสนานี้ คือ เอาใจใสท่ ำนบุ ำรุง และช่วยกิจกรรม (ธรรมนญู ชวี ิต, หน้า ๗๐ – ๗๐) อุเบกขา มี ๒ ความหมายคอื ๑. ความวางใจเป็นกลาง ไมเ่ องเอียงด้วยชอบหรือชัง ความวางใจเฉยได้ ไม่ยนิ ดียิน ร้าย เม่ือใช้ปญั ญาพิจารณาเห็นผลอนั เกดิ ขึ้นโดยสมควรแก่เหตแุ ละรูว้ ่าพึงปฏิบัติต่อไปตามธรรม หรือตามควรแก่ เหตนุ ั้น ๒. ความรู้สกึ เฉย ๆ ไมส่ ขุ ไมท่ กุ ข์ เรยี กเต็มวา่ อเุ บกขาเวทนา (อทกุ ขมสุข) (พ.ศ. หนา้ ๔๒๖ – ๔๒๗) อุปาทาน ๔ ความยดึ มน่ั ความถอื ม่นั ด้วยอำนาจกเิ ลส ความยึดติดอันเน่อื งมาแตต่ ณั หา ผูกพันเอาตวั ตนเปน็ ที่ตง้ั ๑. กามุ ปาทาน ความยดึ มัน่ ในกาม คือ รปู เสยี ง กลน่ิ รส โผฏฐพั พะทีน่ า่ ใคร่ นา่ พอใจ ๒. ทิฏฐุปาทาน ความ ยึดมน่ั ในทฏิ ฐหิ รือทฤษฎี คอื ความเหน็ ลัทธิ หรือหลกั คำสอนตา่ ง ๆ ๓. สลี พั พตุปาทาน ความยึดมน่ั ในศลี และพรต คือ หลักความประพฤติ ข้อปฏิบตั ิ แบบแผน ระเบยี บวธิ ี ขนบธรรมเนียมประเพณี ลัทธพิ ธิ ีต่าง ๆ กนั ไปอย่างงมงายหรือโดยนยิ มวา่ ขลงั วา่ ศักดิ์สทิ ธ์ิ มิไดเ้ ปน็ ไปด้วยความรู้ ความเข้าใจตามหลกั ความสัมพันธ์แหง่ เหตุและผล ๔. อัตตาวาทปุ าทาน ความยึดมัน่ ในวาทะว่าตัวตน คือ ความถือหรือสำคญั หมายอย่ใู นภายในวา่ มี ตัวตน ท่ีจะได้ จะมี จะเป็น จะสญู สลาย ถูกบบี ค้นั ทำลายหรือเป็นเจา้ ของ เป็นนายบังคบั บญั ชาสิง่ ตา่ ง ๆ ได้ ไมม่ องเห็นสภาวะของส่ิงทงั้ ปวง อนั รวมทง้ั ตัวตนวา่ เปน็ แตเ่ พียงสง่ิ ท่ีประชุมประกอบกันเข้า เป็นไปตามเหตุปัจจยั ทั้งหลายท่ีมาสมั พันธ์กันล้วน ๆ (พ.ธ. หน้า ๑๘๗) อปุ นิสัย ๔ ธรรมท่พี ง่ึ พิง หรอื ธรรมช่วยอดุ หนุน ๑. สงฺขาเยกํ ปฏิเสวติ พิจารณาแลว้ จงึ ใช้สอยปัจจัย ๔ คือ จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ คลิ านเภสชั เปน็ ตน้ ที่จำเปน็ จะตอ้ งเกี่ยวขอ้ งและมปี ระโยชน์ ๒. สงขฺ าเยกํ อธวิ าเสติ พจิ ารณาแลว้ อดกล้ันไดแ้ ก่ อนิฏฐารมณ์ ตา่ ง ๆ มีหนาวรอ้ น และทกุ ขเวทนา เป็นตน้ ๓. สงฺขาเยกํ ปรวิ ชเฺ ชติ พจิ ารณาสง่ิ ท่ีเป็นโทษ ก่ออันตรายแกร่ ่างกาย และจติ ใจแล้ว หลกี เว้น ๔. สงขฺ าเยกํ ปฏิวิโนเทติ พิจารณาสง่ิ ท่เี ปน็ โทษ กอ่ อันตรายเกดิ ขนึ้ แล้ว เช่น อกุศลวิตก มีกามวิตก พยาบาทวิตก และวิหงิ สาวิตก และความชัว่ รา้ ยท้งั หลายแล้วพิจารณาแกไ้ ข บำบดั หรือขจดั ให้ส้ินไป (พ.ธ. หน้า ๑๗๙) โอตตัปปะ ความเกรงกลวั ต่อความช่ัว (พ.ศ. หนา้ ๔๓๙)
โอวาท คำกล่าวสอน คำแนะนำ คำตักเตอื น โอวาทของพระพุทธเจ้า ๓ คอื ๑. เวน้ จากทุจริต คือ ประพฤติชว่ั ด้วยกาย วาจา ใจ (ไม่ทำชวั่ ทงั้ ปวง) ๒.ประกอบสุจริต คือ ประพฤตชิ อบดว้ ยกาย วาจา ใจ (ทำแต่ความด)ี ๓. ทำใจของตน ใหห้ มดจดจากเคร่อื งเศรา้ หมอง โลภ โกรธ หลง เปน็ ตน้ (ทำจิตของตนใหส้ ะอาดบริสุทธ์ิ) (พ.ศ. หนา้ ๔๔๐) สงั คมศาสตร์ การศกึ ษาความสมั พันธ์ของมนษุ ย์ โดยใชก้ ระบวนการวิทยาศาสตร์ สงั คมศึกษา การเรียนร้เู พื่อพฒั นาตนใหอ้ ยู่ร่วมในสงั คมไดอ้ ยา่ งมคี ุณภาพ คุณธรรม(virtue) และจรยิ ธรรรม(moral or morality or ethics) คุณธรรม หมายถงึ สภาพคุณงามความดี จริยธรรมมีความหมายเชน่ เดยี วกับศลี ธรรม หมายถึง ธรรมทเ่ี ปน็ ขอ้ ประพฤตกิ รรมปฏบิ ตั ิความประพฤตหิ รือ หน้าทีท่ ช่ี อบ ที่ควรปฏิบตั ิในการครองชวี ติ ดงั นน้ั คุณธรรมจริยธรรม จึงหมายถึง สภาพคณุ งามความดีท่ปี ระพฤติ ปฏบิ ตั ิหรอื หน้าทีท่ ่ีควรปฏิบัติในการครองชวี ิต หรือคุณธรรมตามกรอบจริยธรรม สว่ นศลี ธรรมและจรยิ ธรรม มี ความหมายใกล้เคียงกนั คุณธรรมจะมีความหมายทเี่ น้นสภาพ ลักษณะ หรอื คณุ สมบตั ิที่แสดงออกถึงความดงี าม สว่ นจริยธรรม มีความหมายเน้นที่ ความประพฤตหิ รือการปฏบิ ัตทิ ี่ดงี าม เป็นทย่ี อมรบั ของสังคม นักวชิ าการมักใช้ คำท้งั สองคำนีใ้ นความหมายนัยเดยี วกันและมกั ใช้คำสองคำดังกลา่ วควบคู่กนั ไป เปน็ คำวา่ คุณธรรมจรยิ ธรรม ซ่ึงรวมความหมายของคณุ ธรรมและจรยิ ธรรม น่ันคอื มีความหมายเนน้ ทงั้ สภาพ ลกั ษณะหรือคุณสมบัติ และความ ประพฤตอิ นั ดงี าม เปน็ ท่ียอมรบั ของสงั คม (โครงการเร่งสร้างคณุ ลักษณะที่ดีของเดก็ และเยาวชนไทย ศูนย์คณุ ธรรม หน้า ๑๑ -๑๒) การเมือง ความรเู้ กีย่ วกบั ความสัมพันธ์ระหวา่ งอำนาจในการจัดระเบยี บสังคมเพือ่ ประโยชนแ์ ละความสงบสขุ ของสังคม มี ความสมั พันธ์ตอ่ กนั โดยรวมทั้งหมดในสว่ นหนง่ึ ของชีวิตในพืน้ ทีห่ นง่ึ ท่เี ก่ยี วขอ้ งกบั อำนาจ อำนาจชอบธรรม หรือ อทิ ธพิ ล และมีความสามารถในการดำเนนิ การได้ ขอ้ มูล สง่ิ ที่ได้รับรู้และยังไมม่ กี ารจดั ประมวลใหเ้ ปน็ ระบบ เมื่อจัดระบบแล้วเรยี กว่า สารสนเทศ คา่ นิยม การกำหนดคณุ ค่าและพฒั นาจนเปน็ บคุ ลกิ ภาพประจำตวั คุณค่า ลักษณะท่พี ึงประสงค์ เช่น ความดี ความงาม ความดีเป็นคุณคา่ ของจรยิ ธรรม ความงามเป็นคณุ ค่าทาง สนุ ทรยี ศาสตร์ ส่ิงทต่ี อบสนองความต้องการได้เป็นสิ่งท่มี คี ณุ ค่า คุณคา่ เป็นสิง่ เปล่ยี นแปลงได้ คุณค่าเปลีย่ นไปได้ ตามเวลา และคุณค่ามกั เปลยี่ นแปลงไปตามววิ ัฒนาการของความเจริญ บทบาท การกระทำทสี่ งั คมคาดหวังตามสถานภาพที่บคุ คลครองอยู่ หนา้ ท่ี เป็นความรบั ผดิ ชอบทางศลี ธรรมของปจั เจกชนซง่ึ สังคมยอมรบั สถานภาพ ตำแหนง่ ทีแ่ ตล่ ะคนครองอยใู่ นสถานทีห่ นงึ่ ในช่วงเวลาหนึ่ง บรรทดั ฐาน ขอ้ ตกลงของสงั คมท่ีกำหนดให้สมาชิกประพฤติ ปฏิบัติ บางทเี รียกปทัสถาน สามารถใช้บรรทัดฐานของสงั คม (social norms) เปน็ มาตรฐานความประพฤติในทางจรยิ ธรรมได้ ซ่งึ แยกออกเปน็ ก. วิถีประชา (folkways) ไดแ้ ก่ แบบแผนพฤติกรรมในชีวิตประจำวันทีส่ ังคมยอมรับ และ ไดป้ ระพฤตปิ ฏิบตั สิ บื ตอ่ กนั มา มกั เกี่ยวขอ้ งกับเรอื่ งการดำเนนิ ชวี ติ และในส่วนที่เกย่ี วขอ้ งกับจรยิ ธรรมจะไมม่ ี กฎเกณฑ์เครง่ ครดั แน่นอนตายตัว ข. กฎศีลธรรมหรอื จารตี (mores) เปน็ มาตรฐานความประพฤติของสังคมทม่ี กี ารกำหนดเกย่ี วกบั จรยิ ธรรมท่ี เขม้ ข้นึ ในกรณีมผี ู้ฝ่าฝืนอาจมีการลงโทษ แมว้ ่าในบางคร้งั จะไมม่ ีการเขียนไวเ้ ปน็ ลายลกั ษณ์อักษรก็ตาม เชน่ การ ลวนลามสตรีในชนบท ต้องลงโทษด้วยการเสยี ผี ค. กฎหมาย (law) เปน็ มาตรฐานความประพฤติท่รี ัฐกำหนดใหส้ มาชิกของรฐั พึงปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติ และกำหนดวิธกี ารปฏิบัตกิ ารลงโทษสำหรับผู้ฝ่าฝืน สทิ ธิ ขอ้ เรยี กรอ้ งของปัจเจกชนซงึ่ สงั คมยอมรบั สิทธิทางศีลธรรม เป็นข้อเรยี กร้องทางศีลธรรมของปัจเจกชนซ่ึงสังคมยอมรบั
ประเพณี เป็นความประพฤติของคนหมูห่ น่ึง อยใู่ นที่แห่งหนึง่ ถือเป็นแบบแผนกนั มาอย่างเดียวกันและ สบื กนั มานาน ประเพณี คือ กจิ กรรมที่มรี ูปแบบของชมุ ชนหรอื สังคมหน่ึงทจ่ี ัดขึ้นมาดว้ ยจุดประสงค์ใด จุดประสงค์หน่งึ และ กำหนดการจัดกจิ กรรมในชว่ งเวลาแน่นอนสม่ำเสมอ กจิ กรรที่เปน็ ประเพณอี าจมองได้อีกประการหน่ึงวา่ เปน็ แบบ แผนการปฏิบัติของกล่มุ เฉพาะหรอื ทางศาสนา ปฏิญญาสากลวา่ ด้วยสทิ ธมิ นษุ ยชน (Universal Declaration of Human Rights sinv UDHR) คอื การประกาศ เจตนารมณ์ ในการร่วมมือระหวา่ งประเทศท่ีมีความสำคญั ในการวางกรอบเบ้อื งต้นเก่ยี วกบั สิทธมิ นษุ ยชนและเปน็ เอกสารหลักด้านสทิ ธิมนุษยชนฉบับแรก ซึง่ ทีป่ ระชมุ สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ ใหก้ ารรบั รองตามข้อมติท่ี ๒๑๗ A (III) เมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๔๙๑ โดยประเทศไทยออกเสียงสนนั สนุน วฒั นธรรม และภมู ปิ ัญญาไทย เปน็ การศึกษา วเิ คราะหเ์ กยี่ วกับวัฒนธรรมและภมู ปิ ญั ญาในเรอ่ื งเกยี่ วกับความเป็นมา ปัจจยั พื้นฐานและผลกระทบจากภายนอกทีม่ ีอิทธพิ ลต่อการสรา้ งสรรค์วฒั นธรรมไทย วฒั นธรรมท้องถิน่ ภูมิปญั ญา ไทย รวมทั้งวฒั นธรรมและภูมปิ ญั ญาของมนษุ ยชาตโิ ลก ความสำคญั และผลกระทบทีม่ ีอทิ ธิพลต่อการดำเนนิ ชวี ติ ของคนไทยและมนุษยชาติ ตงั้ แตอ่ ดีตถงึ ปัจจุบนั สมั มาชีพ การประกอบอาชีพสุจริตและเหมาะสมในสงั คม ประสทิ ธภิ าพ ความสามารถในการทำงานจนสำเรจ็ หรือผลการกระทำทไ่ี ด้ผลออกมาดกี ว่าเดมิ รวมทั้ง การใช้ทรพั ยากรตา่ งๆ อย่างค้มุ ค่า โดยไม่ใหเ้ กิดความสญู เปลา่ หรอื ความสูญเสยี ทรพั ยาการต่างๆ พจิ ารณาได้จาก เวลา แรงงาน วตั ถุดบิ เครอื่ งจักร ปรมิ าณและคณุ ภาพ ฯลฯ ประสทิ ธิผล ระดับความสำเร็จของวัตถปุ ระสงค์ หรือ ผลสำเรจ็ ของงาน สินค้า หมายความวา่ สิ่งของท่ีสามารถซ้ือขาย แลกเปลีย่ น หรือโอนกนั ได้ ไม่ว่าจะเกดิ โดยธรรมชาติหรือเป็นผลติ ผลทาง การเกษตร รวมตลอดถงึ ผลติ ภณั ฑ์ทางหตั ถกรรมและอุตสาหกรรม ภูมปิ ญั ญา ส่วนหนง่ึ ของประเพณี หรือเปน็ กจิ กรรมเฉพาะตัวกไ็ ด้ เช่น พธิ ถี วายสงั ฆทาน พธิ ีบวชนาค พธิ บี วชลูกแก้ว พิธขี อฝน พธิ ีไหว้ครู พธิ ีแตง่ งาน มนษุ ยชาติ การเกิดเป็นมนุษย์มาจาก มนษุ ย์ = ผูม้ จี ิตใจสูง กับชาติ = เกดิ โดยปกติหมายถงึ มนุษยท์ ่วั ๆ ไป มรรยาท พฤติกรรมที่สงั คมกำหนดว่าควรประพฤติเปน็ วัฒนธรรม วัดจากความเหมาะสมและไม่เหมาะสม ระบบ การนำส่วนต่าง ๆ มาปรบั เรยี งตอ่ ให้ทำงานประสานตอ่ เน่อื งกนั จนดเู ปน็ สิ่งเดียวกัน กระบวนการ กรรมวธิ ีหรอื ลำดับการกระทำซงึ่ ดำเนินการตอ่ เน่ืองกันไปจนสำเรจ็ ลง ณ ระดบั หนึง่ วเิ คราะห์ การแยกแยะใหเ้ หน็ คุณลกั ษณะของแต่ละองค์ประกอบ เศรษฐกจิ ความรูเ้ กย่ี วกบั การกนิ การอยขู่ องมนษุ ยใ์ นสังคม ว่าดว้ ยทรัพยากรทมี่ ีจำกัดการผลติ การกระจายผลผลติ และการบรโิ ภค สหกรณ์ แปลว่าการทำงานรว่ มกัน การทำงานร่วมกันนล้ี กึ ซึ้งมาก เพราะว่าต้องรว่ มมือกนั ในทุกดา้ น ทั้งในดา้ นงานท่ที ำ ด้วยร่างกาย ทงั้ ในด้านงานท่ีทำดว้ ยสมอง และงานการที่ทำด้วยใจ ทกุ อยา่ งนข้ี าดไมไ่ ด้ตอ้ งพรอ้ ม (พระราชดำรสั พระราชทานแก่ผนู้ ำสหกรณก์ ารเกษตร สหกรณน์ คิ มและสหกรณป์ ระมงทวั่ ประเทศ ณ ศาลาดสุ ิตดาลัย ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๒๖) ทรพั ย์สินทางปัญญา หมายถงึ ผลงานอันเกดิ จากการประดษิ ฐค์ ิดคน้ หรือสรา้ งสรรคข์ องมนุษย์ ซ่ึงเน้นทีผ่ ลผลิตของ สตปิ ญั ญาและความชำนาญ โดยไม่คำนงึ ถึงชนิด ของการสร้างสรรค์หรอื วิธีในการแสดงออก ทรัพย์สนิ ทางปญั ญา อาจเปน็ สง่ิ ทีจ่ ับต้องได้ เชน่ สินค้า ต่าง ๆ หรือ เป็นสง่ิ ท่ีจบั ต้องไม่ได้ เชน่ บรกิ าร แนวความคิด กรรมวิธแี ละทฤษฎี ต่าง ๆ เป็นต้น ทรพั ย์สนิ ทางปัญญามี ๒ ประเภท ทรพั ยส์ ินทางอตุ สาหกรรม (Industrial property) และลิขสิทธิ์ (Copyright)
๑. ทรพั ยส์ นิ ทางอุตสาหกรรม มีสทิ ธิบัตร แบบผังภมู ิของวงจรรวม เคร่ืองหมายการค้า ความลบั ทางการคา้ ชื่อ ทางการค้า สงิ่ บง่ ช้ที างภมู ิศาสตร์ ส่งิ บง่ ชท้ี างภมู ิศาสตร์ หมายความวา่ ชื่อ สญั ลกั ษณ์ หรอื ส่ิงอ่ืนใดที่ใชเ้ รยี กหรอื ใชแ้ ทนแหลง่ ภูมศิ าสตร์ และทีสามารถบ่งบอกว่าสนิ ค้าท่ีเกดิ จากแหลง่ ภูมศิ าสตรน์ น้ั เป็น สนิ คา้ ที่มีคณุ ภาพ ชือ่ เสียง หรอื คณุ ลักษณะเฉพาะของแหลง่ ภมู ิศาสตร์ดงั กลา่ ว ๒. ลขิ สิทธิ์ คือ งานหรือความคิดสรา้ งสรรค์ในสาขาวรรณกรรม ศิลปกรรม ดนตรีกรรม งานภาพยนตร์ หรอื งานอน่ื ใดในแผนกวรณคดี หรือแผนกศลิ ปะ แผนกวิทยาศาสตร์ ลิขสิทธิ์ยังรวมทง้ั สทิ ธิข้างเคยี ง (Neighbouring Right) เหตุ ภาวะเงอ่ื นไขท่จี ำเปน็ ท่ีทำใหส้ งิ่ หน่งึ เกดิ ข้ึนตามมา เรียกว่า ผล เหตุการณ์ ปรากฏการณ์ท่ีเกดิ ขน้ึ อำนาจ ความสามารถในการบบี บังคบั ให้สงิ่ หนงึ่ (คนหนึ่ง...) กระทำตามทป่ี รารถนา อทิ ธพิ ล อำนาจบังคบั ทก่ี อ่ ให้เกิดความสำเร็จในสิง่ ใดสิง่ หน่งึ เอกลกั ษณ์ ลักษณะท่ีมีความเปน็ หนึ่งเดยี ว ไม่มที ี่ใดเหมือน ตำนาน เปน็ เรือ่ งเลา่ ตอ่ กันมาและถกู บนั ทึกข้ึนภายหลัง พงศาวดาร คอื การบันทกึ เหตกุ ารณท์ ่ีเกดิ ขนึ้ ตามลำดับเวลา ซึ่งสว่ นใหญจ่ ะเปน็ เรือ่ งราวที่กบั พระมหากษตั ริย์ และราช สำนัก อดีต คอื เวลาท่ีลว่ งมาแล้ว ความสำคัญของอดีต คอื อดตี จะครอบงำความคิดและความรู้ของเราอยา่ งกวา้ งขวางลกึ ซ้ึง อดีตทเี่ ก่ยี วขอ้ งกับกล่มุ คน/ความสำคญั ท่มี ีต่อเหตุการณแ์ ละกลมุ่ คนจะถูกนำมาเชอื่ มโยงเขา้ ดว้ ยกัน นกั ประวัตศิ าสตร์ เป็นผู้บันทึกเหตุการณ์ท่เี กิดข้ึน ผู้สร้างประวตั ิศาสตร์ขึน้ จากหลักฐานประเภทตา่ ง ๆ ตามจุดมุ่งหมาย และวธิ ีการคดิ ซ่ึงงานเขยี นอาจนำไปส่กู ารเป็นวชิ าประวัตศิ าสตรไ์ ด้ในที่สุด ความมุ่งหมายในการเขียนประวตั ิศาสตร์ - นกั ประวัติศาสตรร์ ่นุ เก่า มุง่ สู่การรวมชาติ/รบั ใชก้ ารเมือง - นักประวตั ศิ าสตรร์ ุ่นใหม่ ม่งุ ทจี่ ะหาความจริง (truth) จากอดีตและตีความโดยปราศจากอคติ (bias) หลักฐานประเภท ต่าง ๆ จะใหข้ ้อเทจ็ จรงิ บางประการ ซ่งึ จะนำไปสคู่ วามจรงิ ในท่สี ดุ โดยมีวธิ กี ารแบ่งประเภทของ หลักฐานหลายแบบ เชน่ หลกั ฐานสมยั กอ่ นประวตั ิศาสตร์และหลักฐานสมยั ประวัตศิ าสตรแ์ บบหน่งึ หลักฐาน ประเภทลายลักษณ์อกั ษรและหลกั ฐานท่ีไม่ใช่ลายลักษณ์แบบหน่ึง หรือหลกั ฐานชั้นต้นและหลักฐานช้นั รอง (หรอื หลักฐานชน้ั ที่หนงึ่ ช้นั ทีส่ อง ช้ันทส่ี าม) อีกแบบหนึ่ง หลักฐานที่จะถกู ประเมนิ ว่านา่ เชอ่ื ถือทีส่ ุด คอื หลกั ฐานที่ เกิดร่วมสมยั หรอื เกดิ โดยผู้ทร่ี ู้เห็นเหตกุ ารณ์นน้ั ๆ แต่กระนัน้ นกั ประวตั ิศาสตร์ก็จะต้องวเิ คราะห์ทงั้ ภายในและ ภายนอกกอ่ นดว้ ยเชน่ กนั เนื่องจากผู้ท่อี ยรู่ ว่ มสมัยกย็ ่อมมจี ุดมุ่งหมายส่วนตวั ในการบันทึก ซ่งึ อาจทำให้เลือกบนั ทกึ เฉพาะเร่อื งบางเรอื่ งเทา่ นน้ั อคติ คอื ความลำเอียง ไมต่ รงตามความเปน็ จรงิ เป็นธรรมชาติของมนุษยท์ ุกคน ซง่ึ ผ้ทู เ่ี ป็นนักประวตั ิศาสตร์จะต้อง ตระหนกั และควบคมุ ให้ได้ ความเปน็ กลาง คือ การมองด้วยปราศจากความรู้สึกอคตจิ ะเกดิ ข้นึ ไดห้ ากเขา้ ใจธรรมชาติของหลักฐานแต่ละประเภท เขา้ ใจปรชั ญาและวิธีการทางประวตั ศิ าสตร์ เข้าใจจดุ มุ่งหมายของผู้เรียน ผู้บนั ทกึ ประวัติศาสตร์ (นน่ั คอื เข้าใจวา่ บนั ทกึ เพ่อื อะไร เพราะเหตใุ ด) ความจริงแท้ (real truth) คอื ความจรงิ ท่ีคงอยแู่ นน่ อนนริ นั ดร์ เปน็ จุดหมายสงู สุดทีน่ กั ประวัติศาสตร์ มุ่งแสวงหาซึ่งจะตอ้ งอาศยั ความเข้าใจและความจรงิ ทอ่ี ยู่เบือ้ งหลังการเกดิ พฤติกรรมและเหตุการณ์ต่าง ๆ (ท่ีมนุษย์
เปน็ ผู้สรา้ ง) ซึง่ การแสวงหาความจรงิ แท้ ต้องอาศัยความสมบรู ณ์ของหลักฐานและกระบวนการทางประวัตศิ าสตรท์ ี่ ละเอยี ด ถ่ีถ้วน กนิ เวลายาวนาน แต่นคี้ อื ภาระหนา้ ทข่ี องนกั ประวตั ิศาสตร์ ผู้สอนวิชาประวัติศาสตร์ คือ ผู้นำความรู้ทางประวัตศิ าสตรม์ าพัฒนาให้ผู้เรยี นเกดิ ความรู้ เจตคตแิ ละทกั ษะในการใช้ กระบวนการวิทยาศาสตรใ์ นการแสวงหาความจริงและความจรงิ แท้จะต้องศกึ ษาผลงานของนักประวตั ิศาสตรแ์ ละ เลือกเนื้อหาประวตั ศิ าสตรท์ เี่ หมาะสมกบั วัยของผู้เรียน โดยต้องเป็นไปตามจดุ ประสงค์ของหลักสตู รและสอดคล้อง ธรรมชาติของประวัติศาสตร์ เวลาและยุคสมัยทางประวตั ศิ าสตร์ เปน็ การศึกษาเรอื่ งการนับเวลา และการแบง่ ช่วงเวลาตามระบบตา่ ง ๆ ทัง้ แบบไทย สากล ศกั ราชท่ีสำคัญ ๆ ในภูมภิ าคต่าง ๆ ของโลก และการแบ่งยุคสมยั ทางประวัติศาสตร์ ทง้ั นเ้ี พือ่ ให้ผเู้ รยี นมี ทักษะพน้ื ฐานสำหรับการศึกษาหลกั ฐานทางประวตั ิศาสตร์ สามารถเข้าเหตุการณท์ างประวัตศิ าสตร์ที่สัมพนั ธก์ บั อดีต ปจั จบุ ัน และอนาคต ตระหนกั ถงึ ความสำคัญในความตอ่ เน่ืองของเวลา อทิ ธพิ ลและความสำคญั ของเวลาที่มี ตอ่ วถิ กี ารดำเนนิ ชวี ิตของมนุษย์ วธิ กี ารทางประวตั ิศาสตร์ หมายถึงกระบวนการในการแสวงหาข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ ซงึ่ เกิดจากวิธวี ิจัยเอกสารและ หลักฐานประกอบอ่นื ๆ เพื่อให้ได้มาซึง่ องคค์ วามรู้ใหมท่ างประวตั ศิ าสตร์บนพืน้ ฐานของความเปน็ เหตุเปน็ ผล และ การวเิ คราะห์เหตุการณต์ ่าง ๆ อย่างเป็นระบบ ประกอบดว้ ยข้ันตอนตอ่ ไปนี้ หนึง่ การกำหนดเปา้ หมายหรือประเดน็ คำถามท่ีตอ้ งการศึกษา แสวงหาคำตอบด้วยเหตุ และผล (ศึกษาอะไร ช่วงเวลาไหน สมัยใด และเพราะเหตุใด) สอง การค้นหาและรวบรวมหลกั ฐานประเภทตา่ ง ๆ ทัง้ ทเ่ี ป็นลายลกั ษณ์อกั ษร และไมเ่ ปน็ ลายลักษณอ์ ักษร ซ่ึง ได้แก่ วัตถุโบราณ รอ่ งรอยถ่นิ ท่อี ยู่อาศยั หรอื การดำเนินชีวิต สาม การวิเคราะห์หลักฐาน (การตรวจสอบ การประเมินความน่าเชื่อถอื การประเมนิ คุณคา่ ของหลักฐาน) การ ตีความหลักฐานอยา่ งเป็นเหตุเป็นผล มีความเป็นกลาง และปราศจากอคติ สี่ การสรุปขอ้ เท็จจริงเพ่อื ตอบคำถาม ดว้ ยการเลือกสรรข้อเท็จจรงิ จากหลกั ฐานอยา่ งเครง่ ครัดโดยไมใ่ ชค้ า่ นยิ ม ของตนเองไปตัดสินพฤตกิ รรมของคนในอดีต โดยพยายามเข้าใจความคดิ ของคนในยุคน้นั หรือนำตัวเขา้ ไปอยใู่ นยคุ สมัยทีต่ นศกึ ษา หา้ การนำเสนอเรอ่ื งทศ่ี ึกษาและอธิบายไดอ้ ยา่ งสมเหตุสมผล โดยใชภ้ าษาท่ีเขา้ ใจงา่ ย มีความต่อเนือ่ ง น่าสนใจ ตลอดจนมีการอ้างอิงขอ้ เท็จจริง เพอ่ื ใหไ้ ดง้ านทางประวตั ศิ าสตรท์ ี่มคี ุณค่าและมีความหมาย พฒั นาการของมนุษยชาติจากอดตี ถงึ ปัจจุบัน เป็นการศึกษาเรือ่ งราวของสังคม มนุษยใ์ นบรบิ ทของเวลาและสถานท่ี โดยทว่ั ไปจะแยกเรอ่ื งศกึ ษาออกเปน็ ดา้ นตา่ ง ๆ ได้แก่ การเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม เทคโนโลยี และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยกำหนดขอบเขตการศึกษาในกลุ่มสังคม มนุษย์กลุ่มใดกลุ่มหน่ึง เชน่ ในท้องถ่นิ /ประเทศ/ภมู ิภาค/โลก โดยมุง่ ศึกษาว่าสังคมนัน้ ๆ ได้เปลยี่ นแปลงหรอื พัฒนาตามลำดับเวลาได้ อยา่ งไร เพราะเหตใุ ด จงึ เกดิ ความเปล่ียนแปลงมีปัจจัยใดบ้าง ทั้งทางดา้ นภมู ศิ าสตร์และปจั จัยแวดลอ้ มทางสงั คม ท่ีมีผลตอ่ พัฒนาการหรอื การสรา้ งสรรคว์ ฒั นธรรม และผลกระทบของการสร้างสรรคข์ องมนุษย์ในด้านตา่ ง ๆ เปน็ อยา่ งไร ทงั้ นเ้ี พื่อใหเ้ ขา้ ใจอดีตของสังคมมนษุ ยใ์ นมติ ิของเวลาและความตอ่ เนื่อง ภูมศิ าสตร์ เป็นคำท่ีมาจากภาษากรีก (Geography) หมายถงึ การพรรณนาลกั ษณะของโลกเป็นศาสตร์ทางพ้ืนท่ี เป็น ความรู้ท่วี า่ ด้วยปฏิสมั พันธ์ของส่ิงต่าง ๆ ในขอบเขตหนึ่ง ลกั ษณะทางกายภาพ ของภูมิศาสตร์ หมายถงึ ลักษณะท่ีมองเห็นเปน็ รปู รา่ ง รูปทรง โดยสามารถมองเห็นและวเิ คราะห์ ไปถงึ กระบวนการเปลยี่ นแปลงตา่ ง ๆ ที่เกิดข้ึนในสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ซึง่ เกย่ี วขอ้ งกบั ลักษณะของธรณีสัณฐาน วทิ ยาภมู ิอากาศวิทยา ภมู ิศาสตร์ดนิ ชวี ภมู ศิ าสตร์พืช ภูมศิ าสตรส์ ัตว์ ภมู ิศาสตร์สิ่งแวดลอ้ มต่าง ๆ เป็นตน้
ปฏิสัมพนั ธร์ ะหวา่ งกนั หมายถงึ วธิ กี ารศึกษา หรอื วธิ ีการวเิ คราะห์ พจิ ารณาสำหรับศาสตร์ทางภูมิศาสตรไ์ ดใ้ ชส้ ำหรบั การศึกษาพจิ ารณา คิดวเิ คราะห์ สังเคราะห์ถงึ สงิ่ ต่าง ๆ ทมี่ ีผลตอ่ กันระหว่างส่ิงแวดล้อมกับมนุษย์ (Environment) ทางกายภาพ ดว้ ยวธิ ีการศึกษา พิจารณาถึง ความแตกต่าง ความเหมือนระหว่างพ้ืนท่ีหนึง่ ๆ กบั อีกพนื้ ทห่ี นึ่ง หรอื ระหว่างภมู ิภาคหน่งึ กับภมู ิภาคหนง่ึ โดย พยายามอธิบายถงึ ความแตกต่าง ความเหมือน รูปแบบของภูมภิ าค และพยายามขีดเส้นสมมุติ แบ่งภมู ิภาคเพ่อื พิจารณาวเิ คราะห์ ดูสมั พันธภาพของภมู ิภาคเหล่าน้นั ว่าเป็นอยา่ งไร ภมู ิศาสตร์ คอื ภาพปฏิสมั พันธ์ของธรรมชาติ มนษุ ย์ และวัฒนธรรม รปู แบบต่าง ๆ ถา้ พจิ ารณาเฉพาะปัจจยั ทางธรรมชาติ จะเป็นภูมิศาสตร์กายภาพ (Physical Geography) ถา้ พจิ ารณาเฉพาะปัจจยั ทีเ่ กย่ี วขอ้ งกบั มนษุ ย์ เชน่ ประชากร วถิ ีชีวิต ศาสนา ความเช่ือ การเดนิ ทาง การอพยพจะ เปน็ ภูมิศาสตร์มนษุ ย์ (Human Geography) ถา้ พิจารณาเฉพาะปจั จัยท่ีเปน็ สิง่ ท่ีมนษุ ย์สรา้ งขึ้น เช่น การตั้งถ่นิ ฐาน การคมนามคม การคา้ การเมือง จะเปน็ ภูมศิ าสตร์วัฒนธรรม (Cultural Geography) ภมู ิอากาศ คือ ภาพปฏิสัมพันธ์ขององคป์ ระกอบอตุ นุ ยิ มวิทยา รูปแบบตา่ ง ๆ เชน่ ภูมิอากาศ แบบรอ้ นช้นื ภมู ิอากาศแบบ อบอุ่นช้ืน ภมู ิอากาศแบบรอ้ นแห้งแลง้ ฯลฯ ภมู ิประเทศ คือ ภาพปฏิสมั พันธ์ขององค์ประกอบแผน่ ดนิ เชน่ หนิ ดิน ความตา่ งระดบั ทำให้เกิดภาพลกั ษณะรูปแบบ ตา่ ง ๆ เช่น พน้ื ท่แี บบภูเขา พนื้ ท่รี ะบบลาด เชงิ เขา พน้ื ทร่ี าบ พนื้ ท่ีลุ่ม ฯลฯ ภมู พิ ฤกษ์ คอื ภาพปฏิสัมพันธข์ องพืชพรรณ อากาศ ภมู ิประเทศ ดิน สัตวป์ ่า ในรปู แบบต่าง ๆ เชน่ ป่าดิบ ปา่ เต็งรัง ป่า เบญจพรรณ ป่าทุ่งหญา้ ฯลฯ ภมู ิธรณี คอื ภาพปฏสิ มั พนั ธ์ของแร่ หนิ โครงสรา้ งทางธรณี ทำให้เกดิ รปู แบบทางธรณชี นิดตา่ ง ๆ เชน่ ภเู ขาแบบทบตัว ภเู ขาแบบยกตัว ท่รี าบน้ำท่วมถึง ชายฝ่งั แบบยุบตัว ฯลฯ ภูมปิ ฐพี คือ ภาพปฏิสัมพันธข์ องแร่ หิน ภมู ิประเทศลักษณะอากาศ พชื พรรณ ทำให้เกดิ ดนิ รปู แบบ ต่าง ๆ เชน่ แดนดินดำ มอดนิ แดง ดินทรายจดั ดินกรด ดนิ เคม็ ดนิ พรุ ฯลฯ ภูมิอุทก คอื ภาพปฏิสัมพันธข์ องแผ่นดนิ ภมู ปิ ระเทศ ภูมิอากาศ ภูมิธรณี พชื พรรณ ทำใหเ้ กดิ รปู แบบแหล่งนำ้ ชนิดต่าง ๆ เช่น แม่นำ้ ลำคลอง หว้ ย หนอง บงึ ทะเล ทะเลสาบ มหาสมุทร นำ้ ใตด้ นิ น้ำบาดาล ฯลฯ ภมู ิดารา คอื ภาพปฏิสมั พนั ธ์ของดวงดาว กลุ่มดาว เวลา การเคลื่อนการโคจรของ ดาวฤกษ์ ดาวเคราะห์ ทำให้เกดิ รูปแบบปรากฏการณ์ตา่ ง ๆ เช่น การเกดิ กลางวนั กลางคนื ข้างขึ้น-ขา้ งแรม สุรยิ ปุ ราคา ตะวนั อ้อมเหนือ ตะวันอ้อมใต้ ฯลฯ ภัยพิบัติ เหตกุ ารณท์ ีก่ ่อให้เกดิ ความเสยี หายและสญู เสยี อยา่ งรุนแรง เกดิ ข้ึนจากภัยธรรมชาติและกระทำของมนษุ ย์ จน ชุมชนหรอื สังคมทเี่ ผชญิ ปญั หาไม่อาจรบั มอื เช่นดินถล่ม สึนามิ ไฟปา่ ฯลฯ แหล่งภูมศิ าสตร์ หมายความวา่ พ้นื ทข่ี องประเทศ เขต ภมู ภิ าคและท้องถ่นิ และให้หมายความรวมถึงทะเล ทะเลสาบ แมน่ ำ้ ลำนำ้ เกาะ ภูเขา หรือพื้นทอี่ ่ืนทำนองเดียวกันดว้ ย เทคนคิ ทางภูมิศาสตร์ หมายถึง แผนที่ แผนภมู ิ แผนภาพ และกราฟ ภายถ่ายทางอากาศ และภาพถ่ายจากดาวเทียม เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ ส่อื ท่ีสามารถค้นขอ้ มูลทางภูมศิ าสตร์ได้ มิตทิ างพ้นื ที่ หมายถงึ การวิเคราะห์ พิจารณาในเร่อื งขององค์ประกอบทางภูมศิ าสตรท์ ่ีเก่ยี วข้องกบั เวลา สถานที่ ปัจจยั แวดล้อม และการกระจายของพืน้ ที่ในรปู แบบต่าง ๆ ท้งั ความกว้าง ยาว สงู ตามขอบเขตทก่ี ำหนด หรอื สมมุตพิ นื้ ที่ข้นึ มาพิจารณา
การศึกษารูปแบบทางพ้ืนที่ หมายถึง การศกึ ษาเรือ่ งราวเกยี่ วกบั พน้ื ท่ีหรือมิตทิ างพนื้ ท่ขี อง สังคมมนษุ ย์ ทีต่ ้งั ถ่นิ ฐาน อยู่ มกี ารใช้และกำหนดหนว่ ยเชิงพ้ืนที่ ทชี่ ัดเจน มกี ารอาศัยเส้นท่ีเราสมมุตขิ ้นึ อาศัยหนว่ ยต่าง ๆ ข้ึนมากำหนด ขอบเขต ซึ่งมอี งคป์ ระกอบลักษณะทางกายภาพ ทางเศรษฐกจิ สังคม วฒั นธรรม การเมือง และลักษณะทาง พฒั นาการของมนุษยท์ ่เี ดน่ ชดั สอดคลอ้ งกันเป็นพนื้ ฐานในการศกึ ษา แสวงหาขอ้ มูล ภูมศิ าสตร์กายภาพ หมายถึง ศาสตรท์ ีศ่ กึ ษาเรื่องเกย่ี วกบั ระบบธรรมชาติ ถึงความเปน็ มา ความเปลีย่ นแปลง และ พัฒนาการไปตามยคุ สมยั โดยมีขอบเขตทก่ี ล่าวถงึ ลกั ษณะภูมิประเทศ ลักษณะภมู ิอากาศ ภมู ิปฐพี (ดนิ ) ภมู อิ ากาศ (ลมฟา้ อากาศ บรรยากาศ) และภมู พิ ฤกษ์ (พชื พรรณ ป่าไม้ ธรรมชาต)ิ รวมทงั้ ทรัพยากรธรรมชาติและสง่ิ แวดลอ้ มตามธรรมชาติ การเปล่ยี นแปลงของธรรมชาติทีม่ ผี ลต่อชวี ติ และความเปน็ อยู่ ของมนุษย์ สิง่ แวดล้อม สิ่งท่อี ยรู่ อบ ๆ ส่ิงใดส่งิ หนึง่ และมีอิทธพิ ลตอ่ สิ่งนน้ั อาทิ อากาศ น้ำ ดิน ตน้ ไม้ สัตว์ ซ่งึ สามารถถกู ทำลายได้ โดยการขาดความระมดั ระวัง สง่ิ แวดลอ้ มทางภายภาพ หมายถึง ทุกสิง่ ทกุ อย่าง ยกเวน้ ตัวมนุษยแ์ ละผลงาน และมนุษย์ ส่ิงแวดลอ้ มทางกายภาพ ไดแ้ ก่ ภมู อิ ากาศ ดิน พืชพรรณ สัตวป์ ่า ธรณีสัณฐาน (ภูเขาและทีร่ าบ) บรรยากาศ มหาสมุทร แรธ่ าตุ และนำ้ อนุรักษ์ การรักษา จัดการ ดูแลทรัพยากรธรรมชาติและวัฒนธรรม หรือการรักษาป้องกันบางสิง่ ไม่ให้ เปลยี่ นแปลง สูญ หายหรือถกู ทำลาย ภูมศิ าสตรม์ นุษย์ และสง่ิ แวดล้อม หมายถึง ศาสตร์ท่ศี ึกษาเรอ่ื งราวเกยี่ วกบั มนษุ ย์ วถิ ีชีวติ และ ความเป็นอยู่ กิจกรรมทางเศรษฐกจิ และสังคม สิง่ แวดล้อมด้านสงั คมทง้ั ในเมืองและท้องถิน่ การเปลีย่ นแปลงทางสิง่ แวดล้อม สาเหตุและผลกระทบที่มตี ่อมนษุ ย์ ปัญหาและแนวทางแก้ปัญหาทางสงั คม กรอบทางพ้ืนที่ (Spatial Framework) หมายถึง การวางขอ้ กำหนดหรือขอบเขตของพืน้ ที่ในการศึกษาเร่อื งใด เรื่องหนง่ึ หรือแบบรูปแบบกระจายของสิ่งต่าง ๆ บนผวิ โลกส่วนใดสว่ นหน่งึ เพือ่ ให้เราเขา้ ใจลักษณะ โลกของมนษุ ย์ดขี นึ้ เช่น การกำหนดให้มนษุ ย์ และวัฒนธรรมของมนุษยด์ ขี ้ึน เช่น การกำหนดใหม้ นุษยแ์ ละวฒั นธรรมของ มนษุ ย์กรอบพื้นทข่ี องโลกท่ีมลี กั ษณะเป็นภมู ภิ าค ประเทศ จงั หวัด เมอื ง ชุมชน ทอ้ งถ่ิน ฯลฯ สำหรับการวเิ คราะห์ หรือศึกษาองค์ประกอบใดองคป์ ระกอบหนึง่ เฉพาะเร่อื ง รูปแบบทางพนื้ ท่ี (Spatial Form) หมายถงึ ข้อเทจ็ จรงิ เคร่อื งมือ หรอื วธิ ีการ โดยเฉพาะกลุ่มของขอ้ มูลทไ่ี ด้มา เป็นต้น วา่ ความสัมพนั ธ์ทางพ้ืนท่ีแบบรปู แบบของการกระจาย การกระทำระหว่างกนั เครอ่ื งมือท่ีใช้ ได้แก่ แผนท่ี ภาพถ่าย ฯลฯ พืน้ ทห่ี รอื ระวางท่ี(Space) หมายถงึ ขอบเขตทางพ้นื ทีใ่ นการวเิ คราะห์ทางภูมิศาสตร์ เป็นการศึกษาพ้นื ทีใ่ นมิตติ า่ ง ๆ ตามระวางท่ี (Spatiak study) ที่กำหนดขน้ึ มีขอบเขตชดั เจน อาจจะมกี ารกำหนดเปน็ เขตบรเิ วณ สถานท่ี นำมติ ิ ของความกว้าง ความลกึ ความสงู ความยาว รวมท้งั มิติทางเวลา ในเขตพื้นท่ีต่าง ๆ ตามท่ีเรากำหนด ขอบเขต ระหว่างที่ ดว้ ยเคร่อื งมือ เสน้ สมมติและเทคนิคทางภูมิศาสตรต์ า่ ง ๆ เช่น แผนท่ี ภาพถา่ ย ฯลฯ อาจจะจำแนกเป็น เขต ภูมภิ าค ประเทศ จงั หวัด เมอื ง ชมุ ชน ท้องถ่ิน ฯลฯ ทีเ่ ฉพาะเจาะจงไป มกี ารพจิ ารณา วเิ คราะหถ์ ึงการ กระจายและสมั พันธภาพของมนษุ ย์บนผิวโลก และลักษณะทางพนื้ ทข่ี องการตั้งถนิ่ ฐานของมนุษย์ และการที่ใช้ ประโยชนจ์ ากพื้นโลก สมั พนั ธ์จากถ่ินฐานของมนุษย์ และการทใ่ี ช้ประโยชน์จากพื้นโลก สมั พนั ธภาพระหว่างสงั คม มนษุ ยก์ ับสง่ิ แวดล้อมทางกายภาพ ซึ่งถอื วา่ เปน็ ส่วนหน่ึงในการศกึ ษาความแตกตา่ งเชิงพื้นที่ (Area difference) มิตสิ ัมพันธเ์ ชงิ ทำเลท่ตี ้ัง หมายถงึ การศกึ ษาความแตกตา่ งหรือความเหมอื นกันของสังคมมนษุ ยใ์ นแตล่ ะสถานท่ี ใน ฐานะท่คี วามแตกต่างและเหมอื นกันนั้นอาจมคี วามเกี่ยวเนอื่ งกับความแตกต่างและความเหมือนกนั ในสงิ่ แวดล้อม ทางกายภาพ ทางเศรษฐกิจ ทางสังคม ทางวฒั นธรรม ทางการเมอื ง และการศกึ ษาภูมทิ ัศนท์ แี่ ตกต่างกนั ในเร่อื ง
องค์ประกอบ ปัจจัย ตลอดจนแบบรปู การกระจายของมนษุ ย์บนพนื้ โลก และการท่ีมนุษยใ์ ชป้ ระโยชน์จากพืน้ โลก เหตุไรมนุษยจ์ งึ ใชป้ ระโยชนจ์ ากพืน้ โลก แตกตา่ งกนั ในสถานท่ตี ่างกนั และในเวลาที่ต่างกนั มีผลกระทบอย่างไร ภาวะประชากร รายละเอียดข้อเท็จจรงิ เกยี่ วกบั ประชากรในเร่อื งสำคญั 3 ดา้ น คอื ขนาดประชากร การกระจายตัวเชิงพน้ื ที่ และองค์ประกอบของประชากร ขนาดของประชากร จำนวนประชากรท้งั หมดของเขตพนื้ ทหี่ นงึ่ พืน้ ท่ี ณ เวลาท่กี ลา่ วถงึ การกระจายตวั เชิงพ้ืนท่ี การทีป่ ระชากรกระจายตวั กันอย่ใู นส่วนต่างๆ ของพืน้ ทหี่ นงึ่ พน้ื ที่ ณ เวลาที่กล่าวถึง องค์ประกอบของประชากร ลักษณะตา่ ง ๆ ทมี่ ีส่วนผลกั ดันใหเ้ กดิ การเปล่ียนแปลงขนาดหรือจำนวนประชากร องคป์ ระกอบของประชากรเป็นดชั นอี ย่างหนง่ึ ทีช่ ใ้ี หเ้ ห็นถึงคุณภาพของประชากร องค์ประกอบประชากรทีส่ ำคญั ได้แก่ เพศ อายุ การศึกษา อาชพี การสมรส การเปล่ียนแปลงประชากร องคป์ ระกอบสำคัญทที่ ำให้เกิดกรเปล่ยี นแปลงประชากร คอื การเกิด การตาย และการยา้ ย ถ่ิน
คณะผจู้ ดั ทำ กลมุ่ สาระการเรยี นรู้สงั คมศกึ ษา ศาสนา และวฒั นธรรม ทป่ี รึกษา เวยี งจันทร์ รองผู้อำนวยการ รกั ษาการในตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียน น้อยวรรณะ รองผอู้ ำนวยการ 1. นางวรี วัลย์ อดทน รองผูอ้ ำนวยการ 2. นางสมุ นา ยอดเชยี งคำ หัวหน้างานวิชาการ 3. นางสาวจนั ทิมา 4. นางเนตรชนก คณะทำงาน การสมวรรณ์ ประธาน 1. นางสาวทิพวรรณ พรชบุ รองประธาน 2. นางสาวปัญสริ ภิ ัทร ทบั ทมิ ใส กรรมการ 3. นางสุพนิดา ธนทรัพยท์ วี กรรมการ 4. นายอจั ฉริยะ เมืองนก กรรมการ 5. นายพงษน์ รนิ ทร์ อยู่เชือ้ กรรมการ 6. นางสาววิภาภรณ์ ดินรัมย์ กรรมการ 7. นายศักด์ิรนิ ทร์ ม่นั จติ กรรมการ 8. นายภาณุเดช ไชยมงคล กรรมการและเลขานุการ 9. นางสาวจิระประภา
บรรณานกุ รม (๒๕๕๒). หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์ การเกษตรแห่งประเทศไทย จำกัด. (๒๕๕๒). แนวทางการจัดการเรียนรู้ ตามหลักสูตร แกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณก์ ารเกษตรแห่งประเทศไทย จำกัด. (๒๕๕๒). แนวทางการพัฒนา การวัดและประเมิน คุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ัน พ้ืนฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑. กรุงเทพมหานคร: โรงพมิ พ์ชมุ นุมสหกรณ์การเกษตรแหง่ ประเทศไทย จำกัด. (๒๕๕๒). ตัวชีว้ ัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้สงั คมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม. กรุงเทพมหานคร: กระทรวงศกึ ษาธกิ าร (๒๕๕๗). แนวทางการจัดการเรยี นรู้ รายวิชาเพม่ิ เติมหน้าที่พลเมือง. กรงุ เทพมหานคร: สำนักงานคณะกรรมการ การศึกษาข้ันพ้ืนฐาน. (๒๕๖๐).หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 และมาตรฐานการเรียนร้แู ละตวั ชี้วัดฯ (ฉบับ ปรับปรงุ พ.ศ. 2560). กรุงเทพมหานคร: กระทรวงศึกษาธิการ (๒๕๖๐).ตัวชี้วัดและสาระการเรยี นรู้แกนกลางสาระภูมิศาสตร์ฯ (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ. 2560) ตามหลักสูตร แกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 และแนวการจัดกิจกรรมการเรียนร.ู้ กรุงเทพมหานคร: กระทรวงศึกษาธิการ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222