รายงาน ของ คณะกรรมาธกิ ารวสิ ามญั พจิ ารณาศกึ ษาหาแนวทางการแกไ้ ขปญั หาเกีย่ วกบั การใชก้ ัญชา กญั ชง และกระท่อมอย่างเปน็ ระบบ สภาผแู้ ทนราษฎร กลุ่มงานคณะกรรมาธิการการสาธารณสขุ สาํ นักกรรมาธิการ ๓ สํานกั งานเลขาธกิ ารสภาผู้แทนราษฎร
(สําเนา) ท่ี สผ ๐๐๑๙.๑๐/๙๒๘๖ คณะกรรมาธิการวสิ ามัญพจิ ารณาศกึ ษา หาแนวทางการแก้ไขปญั หาเกยี่ วกบั การใช้ กญั ชา กญั ชง และกระท่อมอย่างเปน็ ระบบ สภาผแู้ ทนราษฎร ถนนสามเสน เขตดุสติ กทม. ๑๐๓๐๐ ๒๑ กนั ยายน ๒๕๖๓ เร่อื ง รายงานการพิจารณาศึกษาหาแนวทางการแกไ้ ขปัญหาเกยี่ วกบั การใชก้ ญั ชา กญั ชง และกระทอ่ ม อยา่ งเป็นระบบ กราบเรียน ประธานสภาผูแ้ ทนราษฎร สิ่งท่ีสง่ มาดว้ ย รายงานของคณะกรรมาธกิ ารวสิ ามัญพิจารณาศกึ ษาหาแนวทางการแกไ้ ขปัญหา เก่ียวกบั การใชก้ ญั ชา กญั ชง และกระทอ่ มอยา่ งเป็นระบบ จํานวน ๑ ชดุ ตามที่ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ปีที่ ๑ ครั้งท่ี ๑๕ (สมัยสามัญประจําปีคร้ังท่ีสอง) วนั พุธที่ ๒๕ ธนั วาคม ๒๕๖๒ และครั้งท่ี ๑๖ (สมัยสามญั ประจาํ ปีคร้ังทีส่ อง) วนั พฤหัสบดีท่ี ๒๖ ธนั วาคม ๒๕๖๒ ท่ีประชุมได้พิจารณาญัตติด่วน เรื่อง ขอให้สภาผู้แทนราษฎรต้ังคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษา ความเป็นไปได้และตรวจสอบผลกระทบของการใช้กัญชาในรูปแบบต่าง ๆ ในประเทศไทย (นายเท่าพิภพ ล้ิมจิตรกร กับคณะ เป็นผู้เสนอ) ญัตติด่วน เร่ือง ขอให้สภาผู้แทนราษฎรตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญ พิจารณาศึกษาและตรวจสอบ การนํากัญชา กัญชง ไปใช้ในรูปแบบต่าง ๆ ในประเทศไทย (นายสุรวิทย์ คนสมบูรณ์ เป็นผู้เสนอ) ญัตติด่วน เรื่อง ขอให้สภาผู้แทนราษฎรตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศกึ ษา แนวทางการแก้ไขปัญหาเรื่องใบกระท่อมอย่างเป็นระบบ (นายเทพไท เสนพงศ์ เป็นผู้เสนอ) ญัตติด่วน เร่ือง ขอให้สภาผู้แทนราษฎรต้ังคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแก้ปัญหาการใช้กัญชา กัญชง กระท่อม อย่างเป็นระบบครบวงจร (นายจาตุรงค์ เพ็งนรพัฒน์ กับคณะ เป็นผู้เสนอ) ญัตติด่วน เรื่อง ขอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหา เรื่องใบกระท่อมอย่างเป็นระบบ (นายณัฏฐ์ชนน ศรีก่อเกื้อ และนายสฤษฏ์พงษ์ เก่ียวข้อง เป็นผู้เสนอ) และญตั ตดิ ่วน เร่อื ง ขอใหส้ ภาผแู้ ทนราษฎรตัง้ คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศกึ ษาปญั หาการปรงุ ตํารบั ยา โดยมีส่วนผสมของกัญชาในสถานพยาบาลและคลินิกกัญชาทางการแพทย์แผนไทยในสถานบริการสุขภาพ (นายประสงค์ บูรณ์พงศ์ เป็นผู้เสนอ) และลงมติตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญข้ึนคณะหน่ึงเพื่อพิจารณา ศึกษาหาแนวทางการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการใช้กัญชา กัญชง และกระท่อมอย่างเป็นระบบ ตามข้อบังคับ การประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๖๒ ข้อ ๔๙ และข้อ ๕๐ นั้น ซึ่งคณะกรรมาธิการวิสามัญคณะนี้ ประกอบดว้ ย ๑. นายกฤต เลศิ เศรษฐการ ๒. นายคมสัณห์ ฐานะโชตพิ ันธ์ุ ๓. นายจักรัตน์ พ้วั ชว่ ย ๔. นายจิรพงษ์ ทรงวชั ราภรณ์ ๕. นายชัยชนะ เดชเดโช ๖. นางชชู วี ี ชีพชล ๗. นายชศู ักด์ิ ครี มี าศทอง ๘. นายเชิดชัย ตนั ติศริ นิ ทร์ ๙. นายณฏั ฐพล จรัสรพีพงษ์ ๑๐. นายณฐั พล สืบศักดิ์วงศ์ ๑๑. นางสาวตรนี ชุ เทียนทอง ๑๒. นายเทพไท เสนพงศ์ ๑๓. นายเทา่ พภิ พ ลมิ้ จิตรกร ๑๔. นายธนยศ ทิมสุวรรณ ๑๕. นายธเนศ ดสุ ติ สุนทรกลุ ๑๖. นายธรี ภัทร พริ้งศลุ กะ ๑๗. นายธีระยุทธ วานิชชัง ๑๘. นางสาวธีรรตั น์ สําเรจ็ วาณชิ ย์ ๑๙. ศาสตราจารย์ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ๒๐. นายนิยม ววิ รรธนดฐิ กุล ๒๑. นายบญั ญตั ิ เจตนจนั ทร์ ๒๒. นายประพัฒน์ ปัญญาชาตริ กั ษ์ ๒๓. นายประสทิ ธิ์ มะหะหมดั ๒๔. นายประเสริฐ บุญเรือง
-๒- ๒๕. นายปิยวัฒน พนั ธส์ ายเชือ้ ๒๖. นายพรชัย อาํ นวยทรพั ย์ ๒๗. นางพรรณสิริ กุลนาถศิริ ๒๘. นายพัศพงศ์ พงศเ์ รอื งรอง ๒๙. นางสาวพมิ พพ์ ร พรพฤฒพิ นั ธุ์ ๓๐. นายมณฑล โพธ์คิ าย ๓๑. นายมานะ ศิรพิ ทิ ยาวฒั น์ ๓๒. นายมารตุ มสั ยวาณิช ๓๓. นายรณเทพ อนวุ ัฒน์ ๓๔. นายระวี มาศฉมาดล ๓๕. นายรัฐชทรพั ย์ นิชิดา้ ๓๖. นายรัฐพล แสนรักษ์ ๓๗. นายวชิ ยั ไชยมงคล ๓๘. นายวิสทุ ธ์ิ ไชยณรุณ ๓๙. นายวีระพล จติ สมั ฤทธ์ิ ๔๐. นายศาสตรา ศรีปาน ๔๑. นายสนธิญา หนูจนี เส้ง ๔๒. พลเอก สมชาย วษิ ณวุ งศ์ ๔๓. นายสาคร เกย่ี วข้อง ๔๔. นายสชุ าติ ภญิ โญ ๔๕. นายสชุ าติ อุสาหะ ๔๖. นางสาวสุภทั รา บุญเสรมิ ๔๗. นายสรุ วฒุ ิ อนิ นะใจ ๔๘. นายอนุรักษ์ ตั้งปณธิ านนท์ ๔๙. นายเอกชัย ทรงอํานาจเจริญ บัดนี้ คณะกรรมาธกิ ารวิสามัญไดพ้ ิจารณาญัตติดงั กล่าวเสร็จเรียบร้อยแลว้ จึงกราบเรียนมา เพ่ือโปรดนําเสนอที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณารายงานและข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการ วสิ ามญั ตอ่ ไป ขอแสดงความนับถอื อย่างยง่ิ ลงชือ่ สมชาย วษิ ณวุ งศ์ (พลเอก สมชาย วิษณวุ งศ์) ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญ พจิ ารณาศึกษาหาแนวทางการแกไ้ ขปญั หาเกี่ยวกับ การใชก้ ญั ชา กัญชง และกระทอ่ มอย่างเป็นระบบ สาํ นกั กรรมาธกิ าร ๓ กล่มุ งานคณะกรรมาธิการการสาธารณสขุ โทร. ๐ ๒๒๔๒ ๕๙๐๐ ตอ่ ๗๒๓๑ [email protected] สําเนาถกู ตอ้ ง (นางสาวปรียาภรณ์ แก้วโยน) ผู้อํานวยการสาํ นักกรรมาธกิ าร ๓ นายธรี พงษ์ คาํ อนุ่ /รา่ ง นายเพรียว ศรีรัตนพรพงษ์ /พมิ พ์ นางพรรณพร สินสวสั ด์ิ /ตรวจ ตรวจทาน คร้งั ที่ ๑ นายธีรพงษ์ คําอนุ่ ครง้ั ที่ ๒ นางสาวปุณยพ์ ิชชา บณุ ยรัตพนั ธุ์ คร้ังที่ ๓ นางพรรณพร สินสวัสด์ิ
ก รายนามคณะกรรมาธิการวิสามญั พิจารณาศึกษาหาแนวทางการแก้ไขปญั หา เกีย่ วกับการใชก้ ญั ชา กญั ชง และกระท่อมอยา่ งเป็นระบบ สภาผู้แทนราษฎร (ชดุ ท่ี ๒๕) พลเอก สมชาย วษิ ณุวงศ์ ประธานคณะกรรมาธกิ าร นายสชุ าติ อุสาหะ นายอนรุ ักษ์ ตง้ั ปณิธานนท์ นายรณเทพ อนวุ ัฒน์ รองประธานคณะกรรมาธกิ าร รองประธานคณะกรรมาธิการ รองประธานคณะกรรมาธิการ คนท่ีหนึง่ คนที่สอง คนท่ีสาม นายเท่าพิภพ ลม้ิ จติ รกร นายเทพไท เสนพงศ์ นายมารุต มัสยวาณิช รองประธานคณะกรรมาธิการ รองประธานคณะกรรมาธิการ รองประธานคณะกรรมาธิการ คนที่สี่ คนทห่ี ้า คนท่ีหก นายระวี มาศฉมาดล นายประพัฒน์ ปญั ญาชาตริ กั ษ์ นายเชิดชยั ตนั ตศิ ิรนิ ทร์ รองประธานคณะกรรมาธิการ รองประธานคณะกรรมาธิการ รองประธานคณะกรรมาธิการ คนที่เจ็ด คนทแี่ ปด คนทเ่ี ก้า
ข นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ นายณฏั ฐพล จรัสรพีพงษ์ นายณฐั พล สบื ศกั ดวิ์ งศ์ ที่ปรกึ ษาคณะกรรมาธกิ าร ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการ ที่ปรกึ ษาคณะกรรมาธกิ าร นายบญั ญตั ิ เจตนจนั ทร์ ศาสตราจารยธ์ ีระวัฒน์ เหมะจฑุ า นายศาสตรา ศรีปาน ที่ปรึกษาคณะกรรมาธกิ าร ทป่ี รึกษาคณะกรรมาธิการ ท่ปี รกึ ษาคณะกรรมาธกิ าร นายจกั รตั น์ พ้ัวช่วย นายวิชัย ไชยมงคล นายพรชยั อํานวยทรัพย์ ทปี่ รึกษาคณะกรรมาธกิ าร ท่ปี รกึ ษาคณะกรรมาธิการ เลขานุการคณะกรรมาธกิ าร นางสาวธรี รตั น์ สําเรจ็ วาณชิ ย์ นายประสิทธ์ิ มะหะหมดั นางชชู ีวี ชีพชล เลขานุการคณะกรรมาธกิ าร เลขานกุ ารคณะกรรมาธกิ าร เลขานุการคณะกรรมาธิการ นายสาคร เก่ยี วขอ้ ง นางพรรณสริ ิ กลุ นาถศริ ิ นายธนยศ ทมิ สวุ รรณ โฆษกคณะกรรมาธิการ เลขานกุ ารคณะกรรมาธิการ โฆษกคณะกรรมาธิการ
ค นายรัฐพล แสนรกั ษ์ นางสาวพมิ พ์พร พรพฤฒิพันธุ์ นายชัยชนะ เดชเดโช โฆษกคณะกรรมาธิการ โฆษกคณะกรรมาธิการ โฆษกคณะกรรมาธกิ าร นายเอกชัย ทรงอาํ นาจเจรญิ นายคมสณั ห์ ฐานะโชตพิ ันธุ์ นายกฤต เลิศเศรษฐการ โฆษกคณะกรรมาธกิ าร โฆษกคณะกรรมาธิการ กรรมาธกิ าร นายจริ พงษ์ ทรงวชั ราภรณ์ นายชศู ักด์ิ คีรมี าศทอง นางสาวตรีนุช เทยี นทอง กรรมาธิการ กรรมาธกิ าร กรรมาธกิ าร นายธเนศ ดุสิตสนุ ทรกุล นายธรี ภัทร พริ้งศุลกะ นายธรี ะยทุ ธ วานิชชัง กรรมาธกิ าร กรรมาธกิ าร กรรมาธกิ าร นายนิยม วิวรรธนดฐิ กุล นายประเสริฐ บุญเรือง นายปยิ วฒั น พันธ์สายเชอ้ื กรรมาธกิ าร กรรมาธิการ กรรมาธิการ
ง นายพัศพงศ์ พงศ์เรอื งรอง นายมณฑล โพธค์ิ าย นายมานะ ศริ พิ ทิ ยาวัฒน์ กรรมาธกิ าร กรรมาธกิ าร กรรมาธกิ าร นายรัฐชทรัพย์ นิชิด้า นายวีระพล จติ สัมฤทธ์ิ นายสนธิญา หนูจีนเสง้ กรรมาธิการ กรรมาธิการ กรรมาธิการ นายสุชาติ ภญิ โญ นางสาวสภุ ัทรา บญุ เสรมิ นายสรุ วุฒิ อนิ นะใจ กรรมาธิการ กรรมาธกิ าร กรรมาธิการ
จ รายงานของคณะกรรมาธิการวสิ ามญั พจิ ารณาศึกษาหาแนวทางการแกไ้ ขปญั หา เกย่ี วกบั การใช้กัญชา กญั ชง และกระทอ่ มอย่างเปน็ ระบบ สภาผู้แทนราษฎร ตามท่ีท่ีประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดท่ี ๒๕ ปีท่ี ๑ ครั้งท่ี ๑๕ (สมัยสามัญประจาํ ปีครงั้ ทส่ี อง) วันพุธท่ี ๒๕ ธันวาคม ๒๕๖๒ และคร้ังที่ ๑๖ (สมัยสามัญประจําปีคร้ังท่ีสอง) วันพฤหัสบดีที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๖๒ ท่ีประชุมได้พิจารณาญัตติด่วน เร่ือง ขอให้สภาผู้แทนราษฎรต้ังคณะกรรมาธิการ วิสามัญพิจารณาศึกษาความเป็นไปได้และตรวจสอบผลกระทบของการใช้กัญชาในรูปแบบต่าง ๆ ในประเทศไทย (นายเท่าพภิ พ ลม้ิ จติ รกร กบั คณะ เปน็ ผ้เู สนอ) ญัตตดิ ว่ น เร่ือง ขอใหส้ ภาผแู้ ทนราษฎร ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาและตรวจสอบ การนํากัญชา กัญชง ไปใช้ในรูปแบบต่าง ๆ ในประเทศไทย (นายสุรวิทย์ คนสมบูรณ์ เป็นผู้เสนอ) ญัตติด่วน เรื่อง ขอให้สภาผู้แทนราษฎรตั้ง คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหาเร่ืองใบกระท่อมอย่างเป็นระบบ (นายเทพไท เสนพงศ์ เป็นผู้เสนอ) ญัตติด่วน เรื่อง ขอให้สภาผู้แทนราษฎรต้ังคณะกรรมาธิการ วิสามัญพิจารณาศึกษาแก้ปัญหาการใช้กัญชา กัญชง กระท่อม อย่างเป็นระบบครบวงจร (นายจาตุรงค์ เพ็งนรพัฒน์ กับคณะ เป็นผู้เสนอ) ญัตติด่วน เร่ือง ขอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหาเรื่องใบกระท่อมอย่างเป็นระบบ (นายณัฏฐ์ชนน ศรีก่อเก้ือ และนายสฤษฏ์พงษ์ เก่ียวข้อง เป็นผู้เสนอ) และญัตติด่วน เร่ือง ขอให้ สภาผู้แทนราษฎรต้ังคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาปัญหาการปรุงตํารับยาโดยมีส่วนผสม ของกัญชาในสถานพยาบาลและคลินิกกัญชาทางการแพทย์แผนไทยในสถานบริการสุขภาพ (นายประสงค์ บูรณ์พงศ์ เป็นผู้เสนอ) และลงมติตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญข้ึนคณะหน่ึง เพือ่ พจิ ารณาศกึ ษาหาแนวทางการแกไ้ ขปญั หาเกีย่ วกับการใช้กัญชา กัญชง และกระท่อมอยา่ งเป็นระบบ โดยได้กําหนดระยะเวลาพิจารณาศึกษาไว้ ๖๐ วัน ต่อมาคณะกรรมาธิการวิสามัญได้มีมติขยาย ระยะเวลาในการดําเนินการออกไปอีกส่ีครั้ง คือ คร้ังท่ีหนึ่ง ๙๐ วัน ครั้งที่สอง ๖๐ วัน คร้ังที่สาม ๓๐ วนั และครั้งท่สี ี่ ๓๐ วัน โดยส้ินสดุ ในวนั ท่ี ๒๒ กนั ยายน ๒๕๖๓ นน้ั บัดนี้ คณะกรรมาธิการวิสามัญ ได้ดําเนินการพิจารณาศึกษาหาแนวทางการแก้ไขปัญหา เกย่ี วกบั การใช้กญั ชา กญั ชง และกระทอ่ มอย่างเป็นระบบ เสรจ็ เรียบรอ้ ยแล้ว ซ่ึงปรากฏผล ดงั นี้ ๑. คณะกรรมาธิการวสิ ามญั ไดม้ มี ตเิ ลือกตัง้ (๑) พลเอก สมชาย วิษณวุ งศ์ ประธานคณะกรรมาธิการ (๒) นายสุชาติ อุสาหะ รองประธานคณะกรรมาธกิ าร คนทห่ี น่งึ (๓) นายอนุรกั ษ์ ตัง้ ปณิธานนท์ รองประธานคณะกรรมาธกิ าร คนท่สี อง (๔) นายรณเทพ อนวุ ฒั น์ รองประธานคณะกรรมาธิการ คนทสี่ าม (๕) นายเทา่ พิภพ ลิ้มจติ รกร รองประธานคณะกรรมาธกิ าร คนทีส่ ่ี (๖) นายเทพไท เสนพงศ์ รองประธานคณะกรรมาธกิ าร คนท่ีหา้ (๗) นายมารตุ มัสยวาณิช รองประธานคณะกรรมาธกิ าร คนทหี่ ก
ฉ (๘) นายระวี มาศฉมาดล รองประธานคณะกรรมาธิการ คนทีเ่ จด็ (๙) นายประพฒั น์ ปัญญาชาตริ ักษ์ รองประธานคณะกรรมาธิการ คนที่แปด (๑๐) นายเชิดชยั ตันติศริ นิ ทร์ รองประธานคณะกรรมาธิการ คนที่เก้า (๑๑) นายพรชยั อาํ นวยทรพั ย์ เลขานกุ ารคณะกรรมาธิการ (๑๒) นางสาวธรี รัตน์ สาํ เรจ็ วาณชิ ย์ เลขานุการคณะกรรมาธกิ าร (๑๓) นายประสิทธิ์ มะหะหมัด เลขานุการคณะกรรมาธกิ าร (๑๔) นางชชู ีวี ชีพชล เลขานุการคณะกรรมาธิการ (๑๕) นายสาคร เกีย่ วขอ้ ง เลขานกุ ารคณะกรรมาธิการ (๑๖) นางพรรณสิริ กลุ นาถศริ ิ โฆษกคณะกรรมาธกิ าร (๑๗) นายธนยศ ทมิ สุวรรณ โฆษกคณะกรรมาธกิ าร (๑๘) นายรฐั พล แสนรกั ษ์ โฆษกคณะกรรมาธกิ าร (๑๙) นางสาวพิมพ์พร พรพฤฒิพันธ์ุ โฆษกคณะกรรมาธิการ (๒๐) นายชยั ชนะ เดชเดโช โฆษกคณะกรรมาธิการ (๒๑) นายเอกชัย ทรงอํานาจเจรญิ โฆษกคณะกรรมาธิการ (๒๒) นายคมสณั ห์ ฐานะโชติพนั ธ์ุ โฆษกคณะกรรมาธิการ (๒๓) นายวิสุทธ์ิ ไชยณรณุ ทป่ี รกึ ษาคณะกรรมาธกิ าร (๒๔) นายณฏั ฐพล จรัสรพพี งษ์ ท่ปี รกึ ษาคณะกรรมาธกิ าร (๒๕) นายณฐั พล สืบศักดิว์ งศ์ ท่ปี รกึ ษาคณะกรรมาธกิ าร (๒๖) นายบญั ญัติ เจตนจันทร์ ท่ปี รึกษาคณะกรรมาธิการ (๒๗) ศาสตราจารย์ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ท่ีปรกึ ษาคณะกรรมาธิการ (๒๘) นายศาสตรา ศรปี าน ท่ีปรึกษาคณะกรรมาธิการ (๒๙) นายจกั รัตน์ พั้วช่วย ทปี่ รกึ ษาคณะกรรมาธิการ (๓๐) นายวชิ ัย ไชยมงคล ทป่ี รกึ ษาคณะกรรมาธกิ าร ๒. คณะกรรมาธกิ ารวสิ ามัญได้มมี ติตงั้ ทีป่ รึกษาคณะกรรมาธิการวสิ ามญั คือ (๑) นายวชิ ัย ไชยมงคล ทีป่ รึกษาประจําคณะกรรมาธกิ าร (๒) นายสกล กติ ติน์ ิธิ ที่ปรึกษาประจําคณะกรรมาธิการ (๓) นายอํานาจ สนุ ทรธรรม ท่ีปรกึ ษาประจําคณะกรรมาธิการ (๔) นายไพศาล การถาง ท่ปี รึกษาประจาํ คณะกรรมาธกิ าร (๕) นายธีระศักดิ์ แสนวรางกุล ทปี่ รึกษาประจําคณะกรรมาธกิ าร (๖) นางสาวภิญญาพัชญ์ ศนั สนยี ชีวนิ ท่ปี รกึ ษาประจําคณะกรรมาธิการ (๗) ผชู้ ว่ ยศาสตรจารย์ชาญยุทธ พวงกาํ หยาด ทป่ี รึกษาประจําคณะกรรมาธิการ (๘) นางสาวอุไรวรรณ์ สิริวัฒนาถาวรชยั ทีป่ รกึ ษาประจําคณะกรรมาธกิ าร (๙) นายชนสิ ร์ คลา้ ยสังข์ ทีป่ รึกษาประจาํ คณะกรรมาธิการ (๑๐) นายพรประสทิ ธ์ิ สบี ญุ เรอื ง ทปี่ รึกษาประธานคณะกรรมาธิการ
ช ๓. คณะกรรมาธิการวิสามัญได้มีมติแต่งตั้ง นายธีรพงษ์ คําอุ่น ปฏิบัติหน้าที่เป็น ผู้ช่วยเลขานุการในคณะกรรมาธิการ ตามข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๖๒ ข้อ ๙๓ วรรคส่ี ๔. ผู้ซงึ่ คณะรฐั มนตรีไดม้ อบหมายให้มาช้ีแจงแสดงความคิดเหน็ คือ ๔.๑ กระทรวงพัฒนาสงั คมและความมนั่ คงของมนุษย์ (๑) นางกติ ติยา ใสสะอาด ผู้อํานวยการกลมุ่ นโยบายและแผน (๒) นายวงศต์ ระกูล มาเกตุ นักสงั คมสงเคราะห์ชํานาญการ ๔.๒ กระทรวงยุติธรรม - นางสาวพรรณพไิ ล ไอยวรรณ นิตกิ รชํานาญการ กองกฎหมาย สํานักงานคณะกรรมการปอ้ งกัน และปราบปรามยาเสพติด ๔.๓ สํานกั งานตาํ รวจแห่งชาติ - พันตํารวจโท สิทธิชัย ไชยเหมวงศ์ สารวัตร กองบญั ชาการ ตาํ รวจปราบปรามยาเสพติด ๕. ผูซ้ ง่ึ คณะกรรมาธกิ ารวิสามญั ไดเ้ ชิญมาชี้แจงแสดงความคดิ เห็น คอื ๕.๑ สาํ นกั งานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (๑) นายวิชัย ไชยมงคล ที่ปรึกษาการปอ้ งกนั และปราบปราม ยาเสพติด (๒) นางสาวพรรณพไิ ล ไอยวรรณ นติ กิ รชํานาญการ กองกฎหมาย ๕.๒ สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา (๑) นางขนษิ ฐา ตนั ตศิ ิรนิ ทร์ ผู้อาํ นวยการกองควบคมุ วตั ถุเสพตดิ (๒) นางสาวกรพนิ ธุ์ ณ ระนอง รองผอู้ ํานวยการกองควบคมุ วัตถุเสพตดิ (๓) นางสาวกมลชนก สุริยกลุ ณ อยุธยา เภสชั กรชาํ นาญการ ๕.๓ กรมวชิ าการเกษตร - นางสาวธดิ ากุญ แสนอุดม ผูอ้ าํ นวยการกลุ่มวจิ ัยคมุ้ ครองพันธ์ุพืช ๕.๔ กรมการแพทย์ (๑) นายอรรถสิทธิ์ ศรสี บุ ัติ ทีป่ รึกษากรมการแพทย์ (๒) นายสมชาย ธนะสิทธิชัย ผู้อํานวยการสถาบันวิจยั ๕.๕ องคก์ ารเภสชั กรรม - นางนันทกาญจน์ สุวรรณปิฏกกุล ผู้อาํ นวยการสถาบันวจิ ัยและพัฒนา ๕.๖ สาํ นักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (๑) นางชนนนั ท์ ศรีทองสุข ศรีพันธ์ ผู้อํานวยการฝ่ายอาเซยี นและกจิ การ ต่างประเทศ (๒) นางสาวปาจรีย์ จาํ เนียรกลุ นกั กฎหมายกฤษฎกี าชํานาญการ
ซ (๓) นางสาวณฎั ฐก์ านต์ ธนนั กิตตพิ งศ์ นกั กฎหมายกฤษฎกี าชาํ นาญการ (๔) นางสาวอัสมา เพ็ชรทองคาํ นกั กฎหมายชํานาญการ ๕.๗ สถาบันการแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตรช์ ะลอวยั มหาวิทยาลัยรงั สิต - นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดสี ถาบนั การแพทย์แผนบรู ณาการ และเวชศาสตร์ชะลอวัย ๕.๘ ศูนย์วิจยั และนวตั กรรมพชื กญั ชาและพชื เสพติด สมนุ ไพรทางการแพทย์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตเฉลมิ พระเกียรติ จงั หวัดสกลนคร - นายณธกร ทศั นสั ผู้อาํ นวยการศูนย์วิจัยและนวตั กรรม พชื กัญชาและพืชเสพตดิ สมนุ ไพร ทางการแพทย์ ๕.๙ สถาบนั วิจัยวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลัยเชยี งใหม่ - ผ้ชู ่วยศาสตราจารยณ์ พศิษฏ์ จักรพทิ กั ษ์ คณบดวี ิทยาลัยนานาชาตนิ วัตกรรม ดิจิทลั ๕.๑๐ คณะวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลพระนคร - นายจริ ะศกั ด์ิ ธาระจักร คณบดคี ณะวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ๕.๑๑ โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร - นางสาวผกากรอง ขวัญขา้ ว เภสัชกรชาํ นาญการ ๕.๑๒ โรงพยาบาลพระอาจารย์ฝนั้ อาจาโร - นายศศิพงศ์ ทิพยร์ ชั ดาภร เภสัชกรชํานาญการ ๕.๑๓ สภาเกษตรกรแหง่ ชาติ - นายประพฒั น์ ปญั ญาชาตริ ักษ์ ประธานสภาเกษตรกรแห่งชาติ ๕.๑๔ กรมสนธสิ ญั ญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ (๑) นายศิระ สว่างศิลป์ รองอธิบดี (๒) นายพลพงศ์ วงั แพน ผูอ้ ํานวยการกองสงั คม กรมองคก์ ารระหวา่ งประเทศ (๓) นายวราโรจน์ เองสมบญุ นกั การทตู ชาํ นาญการ (๔) นางสาวณัฏฐา วสนั ตสิงห์ นกั การทูตชาํ นาญการ ๕.๑๕ กรมทรพั ย์สนิ ทางปญั ญา กระทรวงพาณิชย์ (๑) นายดิเรก บุญแท้ รองอธบิ ดี (๒) นางสาวทักษอร สมบรู ณท์ รพั ย์ นกั วิชาการพาณิชยช์ ํานาญการพิเศษ (๓) นายวรุณ ปุจฉากาญจน์ นักวิชาการพาณิชยช์ ํานาญการพิเศษ (๔) นางนฐมณฑ์ แสงวราชยั ลักษณ์ นกั วิชาการตรวจสอบสทิ ธิบัตร ชํานาญการพเิ ศษ (๕) นางสาวอารยา สทิ ธิประทปี นกั วิชาการตรวจสอบสิทธบิ ตั ร ชาํ นาญการ
ฌ ๕.๑๖ ผูม้ าชีแ้ จงภาคประชาชน (๑) นายเดชา ศิริภัทร (๒) นายชนิ วุฒิ ปิดทองคํา (๓) นางสาวจริ าวรรณ เอย่ี มละออ (๔) นายบัณฑรู นยิ มาภา (๕) รองศาสตราจารย์ พันตํารวจโทหญิง ฐชิ าลกั ษณ์ ณรงค์วทิ ย์ (๖) ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์พิพัฒน์ นนทนาธรณ์ (๗) นายประทปี ต้งั สหไมตรี (๘) นางศริ กิ านต์ เตชอภิโชค (๙) นางสาวนวลฉวี จุลสวสั ดิ์ ๖. การพิจารณาของคณะกรรมาธกิ ารวสิ ามัญ คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาหาแนวทางการแก้ไขปัญหาเก่ียวกับการใช้กัญชา กัญชง และกระท่อมอย่างเป็นระบบ ได้มีการประชุมพิจารณาศึกษาเรื่องนี้แล้ว ซึ่งสรุปสาระสําคัญได้ ดงั นี้ ๖.๑ กรอบแนวทางการพิจารณาของคณะกรรมาธกิ าร คณะกรรมาธิการวสิ ามัญ ได้มีการประชมุ และมกี รอบแนวทางการดาํ เนินงาน ดงั น้ี จากการศึกษาของคณะกรรมาธิการสามารถกําหนดกรอบแนวทางการพิจารณา หรือปรับใช้ในการดําเนินงานของคณะกรรมาธิการ ประกอบด้วย การแบ่งเป็นประเภทของพืช ได้แก่ กัญชา กัญชง และกระท่อม เป็นต้น และการแยกตามการใช้ประโยชน์ประกอบด้วย ๑) การแพทย์ และ ๒) เศรษฐกจิ ท้ังน้ี คณะกรรมาธิการทําการศึกษาโดยเชิญหน่วยงาน องค์กร และบุคคล ท่ีเกี่ยวข้องมาให้ข้อมูลข้อเท็จจริงที่เป็นประโยชน์ต่อการศึกษา รวมท้ังศึกษาจากเอกสารท่ีหน่วยงาน ส่งมายังคณะกรรมาธิการ ตลอดจนการเดินทางไปศึกษาดูงาน ณ พ้ืนที่ที่เป็นแม่แบบในการผลิต จําหนา่ ย และครอบครอง กัญชา กัญชง เพ่อื ศกึ ษาวจิ ยั และใช้ประโยชนท์ างการแพทย์ ๖.๒ การตั้งคณะอนุกรรมาธกิ าร คณะกรรมาธิการวิสามัญได้ต้ังคณะอนุกรรมาธิการ ๓ คณะ ประกอบด้วย ๑) คณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาหาแนวทางการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการใช้กัญชาอย่าง เป็นระบบ ๒) คณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาหาแนวทางการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการใช้กัญชง อย่างเป็นระบบ และ ๓) คณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาหาแนวทางการแก้ไขปัญหาเก่ียวกับ การใช้กระท่อมอยา่ งเป็นระบบ โดยมีรายชื่อแตล่ ะคณะอนกุ รรมาธิการ ดงั น้ี (๑) คณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาหาแนวทางการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการใช้ กัญชาอย่างเปน็ ระบบ ๑) นายอนรุ กั ษ์ ต้ังปณธิ านนท์ ประธานคณะอนกุ รรมาธกิ าร ๒) นายสุชาติ อุสาหะ รองประธานคณะอนกุ รรมาธิการ คนที่หน่งึ ๓) นายศาสตรา ศรีปาน รองประธานคณะอนุกรรมาธกิ าร คนท่สี อง
ญ ๔) นายรณเทพ อนวุ ฒั น์ รองประธานคณะอนกุ รรมาธิการ คนทสี่ าม ๕) นายรัฐพล แสนรักษ์ รองประธานคณะอนุกรรมาธิการ คนที่ส่ี ๖) นายเทวัญ ธานีรตั น์ เลขานุการคณะอนุกรรมาธกิ าร ๗) นางชชู ีวี ชีพชล อนกุ รรมาธิการ ๘) นายชนะ รตั นภักดี อนุกรรมาธิการ ๙) นายมานติ นพอมรบดี อนกุ รรมาธกิ าร ๑๐) นายธีระศักดิ์ แสนวรางกุล อนุกรรมาธกิ าร (๒) คณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาหาแนวทางการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการใช้ กญั ชงอย่างเปน็ ระบบ ๑) นางพรรณสริ ิ กุลนาถศิริ ประธานคณะอนกุ รรมาธกิ าร ๒) นายณัฐพล สบื ศักด์วิ งศ์ รองประธานคณะอนุกรรมาธกิ าร คนทห่ี นงึ่ ๓) นายสาคร เกยี่ วข้อง รองประธานคณะอนกุ รรมาธกิ าร คนทสี่ อง ๔) นายคมสัณห์ ฐานะโชติพันธ์ุ รองประธานคณะอนกุ รรมาธกิ าร คนท่ีสาม ๕) นายมารตุ มัสยวาณชิ ที่ปรึกษาคณะอนุกรรมาธิการ ๖) นายธีระยุทธ วานิชชัง ทป่ี รึกษาคณะอนุกรรมาธิการ ๗) นายลอย ชุนพงษ์ทอง ท่ีปรกึ ษาคณะอนุกรรมาธกิ าร ๘) นายวีระชยั ณ นคร อนกุ รรมาธกิ าร ๙) นายวิฑูร เนตวิ ิวฒั น์ อนุกรรมาธิการ ๑๐) นายนิติ สันแสนดี เลขานกุ ารคณะอนุกรรมาธกิ าร (๓) คณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาหาแนวทางการแก้ไขปัญหาเก่ียวกับการใช้ กระทอ่ มอย่างเปน็ ระบบ ๑) นายเทพไท เสนพงศ์ ประธานคณะอนุกรรมาธกิ าร ๒) นายชศู ักด์ิ ครี มี าศทอง รองประธานคณะอนุกรรมาธกิ าร ๓) นายสุนทร รักษ์รงค์ อนกุ รรมาธิการ ๔) นายวชิ ัย ไชยมงคล อนกุ รรมาธิการ ๕) นายสามารถ หวานหู อนุกรรมาธิการ ๖) นายกติ ติ สัตรตั น์ อนกุ รรมาธกิ าร ๗) นายสกล กติ ตน์ิ ิธิ อนุกรรมาธกิ าร ๘) นายโกเมศ เกดิ สมบตั ิ อนุกรรมาธกิ าร ๙) นายศิลปวิชญ์ น้อยสมมติ ร อนกุ รรมาธิการ ๑๐) นายชัยชนะ เดชเดโช เลขานุการคณะกรรมาธิการ นอกจากน้ี คณะกรรมาธิการได้ตั้งคณะทํางานจัดทํารายงานด้านกฎหมาย เพ่ือการ รวบรวมข้อมูลและจัดทํารายงานของคณะกรรมาธิการ โดยมรี ายชื่อ ดังนี้ ๑) นายมารุต มสั ยวานิช ประธานคณะทาํ งาน ๒) นายอนรุ ักษ์ ต้ังปณธิ านนท์ รองหัวหนา้ คณะทํางาน ๓) นางพรรณสิริ กลุ นาถศิริ รองหวั หนา้ คณะทํางาน
ฎ ๔) นายเทพไท เสนพงศ์ รองหัวหน้าคณะทาํ งาน ๕) นายศภุ ชยั ใจสมุทร ทปี่ รึกษาคณะทาํ งาน ๖) นายประพฒั น์ ปญั ญาชาตริ ักษ์ ทป่ี รึกษาคณะทํางาน ๗) นางสาวสุภทั รา บุญเสรมิ คณะทาํ งาน ๘) รศ. พ.ต.ท. หญิง ทชิ าลักษณ์ ณรงค์วิทย์ คณะทาํ งาน ๙) นายสรชน บญุ สอง คณะทาํ งาน ๑๐) นายวิทูรย์ เนตวิ วิ ัฒน์ คณะทาํ งาน ๑๑) นายธีรเดช เลศิ สัฒนนนท์ คณะทํางาน ๑๒) พนั เอก ชาตวิ ัฒน์ คงอทุ ยั สกลุ คณะทํางาน ๖.๓ คณะกรรมาธิการได้มีการประชุมและเชิญหน่วยงาน องค์กร และบุคคลมาให้ข้อมูล จาํ นวน ๑๗ ครงั้ ดงั น้ี คร้ังที่ ๑ วันพุธที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๖๓ คร้ังที่ ๒ วันพุธท่ี ๒๒ มกราคม ๒๕๖๓ คร้งั ที่ ๓ วนั พุธท่ี ๒๙ มกราคม ๒๕๖๓ คร้งั ท่ี ๔ วนั พุธที่ ๕ กุมภาพนั ธ์ ๒๕๖๓ ครั้งท่ี ๕ วนั พธุ ท่ี ๑๒ กมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๖๓ ครัง้ ที่ ๖ วนั พธุ ท่ี ๑๙ กมุ ภาพันธ์ ๒๕๖๓ คร้งั ที่ ๗ วนั พธุ ที่ ๔ มีนาคม ๒๕๖๓ ครัง้ ท่ี ๘ วนั พธุ ท่ี ๘ กรกฎาคม ๒๕๖๓ คร้งั ที่ ๙ วันพธุ ที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๖๓ คร้ังท่ี ๑๐ วันพุธที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๖๓ ครั้งที่ ๑๑ วันพุธท่ี ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๖๓ ครัง้ ที่ ๑๒ วันพธุ ที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๖๓ คร้ังที่ ๑๓ วันพุธที่ ๑๙ สงิ หาคม ๒๕๖๓ ครง้ั ท่ี ๑๔ วันพุธที่ ๒๖ สงิ หาคม ๒๕๖๓ คร้ังท่ี ๑๕ วนั อังคารท่ี ๘ กันยายน ๒๕๖๓ คร้งั ที่ ๑๖ วนั จนั ทรท์ ี่ ๑๔ กนั ยายน ๒๕๖๓ ครั้งที่ ๑๗ วนั ศุกร์ที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๖๓ ๖.๔ คณะกรรมาธิการวิสามัญได้พิจารณาศึกษาข้อมูลจากเอกสารวิชาการ งานวิจัย และกฎหมายท่ีเก่ียวข้อง อาทิ กฎหมายว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ ประกาศกระทรวงสาธารณสุข ท่ีเก่ียวข้องกับกัญชา กัญชง และกระท่อม งานวิจัยที่เก่ียวข้องกับกัญชา กัญชง และกระท่อม รวมท้ัง เอกสารประกอบการประชมุ ท่หี นว่ ยงานจดั ทาํ ขนึ้ ๖.๕ คณะกรรมาธิการวสิ ามญั ได้มีมตเิ ดนิ ทางไปศึกษาดูงาน จาํ นวน ๓ ครัง้ ดงั น้ี (๑) ศึกษาดูงาน ณ อําเภอพังโคน จังหวัดสกลนคร ระหว่างวันพุธที่ ๑๘ ถงึ วนั พฤหสั บดีท่ี ๑๙ มนี าคม ๒๕๖๓
ฏ (๒) ศึกษาดูงาน ณ กระทรวงอุตสาหกรรม กรุงเทพมหานคร วันอังคารที่ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๖๓ (๓) ศึกษาดงู าน ณ อําเภอนาสาร จงั หวัดสุราษฎร์ธานี วันศกุ ร์ท่ี ๗ สงิ หาคม ๒๕๖๓ ๖.๖ คณะกรรมาธิการวสิ ามญั ไดจ้ ดั สมั มนา จาํ นวน ๑ คร้งั ดงั น้ี - จัดสัมมนาเร่ือง การรับฟังความคิดเห็นของประชาชนผู้ใช้ประโยชน์ จากพืชกระท่อม ณ จังหวัดนครศรีธรรมราช ระหว่างวันเสาร์ที่ ๘ ถึงวันจันทร์ท่ี ๑๐ สิงหาคม ๒๕๖๓ ๗. ผลการพิจารณาศกึ ษาของคณะกรรมาธกิ ารวสิ ามญั คณะกรรมาธิการวิสามัญได้จัดทํารายงานผลการพิจารณาศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหา การใช้กัญชา กัญชง และกระท่อมอย่างเป็นระบบ โดยนําข้อมูลท่ีได้มาสรุปและรวบรวมเอกสาร เป็นรูปเล่ม ปรากฏผลการดําเนินการตามที่แนบมาพร้อมนี้ โดยแบ่งเนื้อหารายงานออกเป็น ๕ บท ประกอบด้วย บทที่ ๑ บทนํา บทที่ ๒ การรวบรวมและการทบทวนข้อมลู พืน้ ฐานทเี่ กยี่ วข้อง บทท่ี ๓ ปัญหาในการนํากญั ชา กัญชง และกระท่อมไปใช้ประโยชน์ บทที่ ๔ ผลการพจิ ารณา บทท่ี ๕ บทสรุป ข้อเสนอแนะ และข้อสังเกตของคณะกรรมาธกิ ารวิสามัญ ๘. ขอ้ สังเกตของคณะกรรมาธกิ ารวิสามัญ ๘.๑ ขอ้ สังเกตในภาพรวมของคณะกรรมาธิการวสิ ามญั (๑) ให้ยกเลิกพืชเสพติด ได้แก่ กัญชา กัญชงและกระท่อมออกจากการเป็นยาเสพติด ในพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ และพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับท่ี ๗) พ.ศ. ๒๕๖๒ และกฎหมายอ่ืน ๆ ทเ่ี ก่ียวขอ้ ง (๒) ถ้าจะมีการส่งออกกัญชา กัญชง และกระท่อมภายหลังท่ีกฎหมายในประเทศ อนุญาต หรืออนุสัญญาของสหประชาชาติว่าด้วยยาเสพติด ได้เปิดช่องให้ทําได้ท้ังในทางการแพทย์ และเศรษฐกิจจะต้องมีการประมาณการ ปริมาณการผลิต ความต้องการของตลาด ผลตอบแทน และมรี ะบบตดิ ตามตรวจสอบที่ดี (๓) การอนุวัติการ (Implementation) กฎหมายภายในประเทศ เพ่ือส่งเสริมให้มี การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาของนักปรับปรุงพันธุ์พืชและบริษัทเมล็ดพันธ์ุท่ีผลักดัน หน่วยงาน ทีเ่ ก่ยี วข้องจาํ เป็นจะตอ้ งพิจารณาศึกษาอยา่ งรอบคอบ โดยคาํ นึงถึงประโยชนข์ องประเทศเปน็ หลัก (๔) อนุสัญญาของสหประชาชาติว่าด้วยยาเสพติดได้กําหนดให้การควบคุมกัญชาให้ เทียบเคียงกับการควบคุมฝิ่น ตามข้อบทที่ ๒๘ ข้อ ๒ ซึ่งไม่รวมถึงอุตสาหกรรมเส้นใยและเมล็ด แต่กฎหมายว่าด้วยยาเสพติดภายในประเทศระบุว่า กัญชงเป็นยาเสพติด ซ่ึงเป็นวัตถุดิบสําคัญใน อุตสาหกรรมของเสน้ ใยและเมลด็ จึงถกู ตีความวา่ เป็นยาเสพตดิ ไปด้วย
ฐ ๘.๒ ขอ้ สังเกตของคณะกรรมาธกิ ารวสิ ามัญเก่ยี วกับกญั ชา (๑) คณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษ ควรแต่งต้ังอนุกรรมการในระดับจังหวัด ตามมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.๒๕๒๒ ทําหน้าท่ีให้ความเห็นชอบในการ อนุญาตแทนคณะกรรมการตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการกําหนด และเลขาธิการคณะกรรมการ อาหารและยาควรมอบอํานาจในการอนุญาตให้กับผู้ว่าราชการจังหวัด ในเร่ืองการเพาะปลูกกัญชา และการครอบครองให้เป็นไปตามเงื่อนไขของคณะกรรมการอาหารและยา เฉพาะในพื้นที่จังหวัด ที่รับผดิ ชอบ (๒) กระทรวงสาธารณสุขควรจัดการฝึกอบรมและสอบวดั ความรผู้ ่านระบบออนไลน์ ให้กับผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม ผู้ประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทย ผู้ประกอบวิชาชีพการแพทย์ แผนไทยประยุกต์ ทันตแพทย์ เภสัชกร และหมอพ้ืนบ้านให้สามารถส่ังจ่ายยากัญชาได้ โดยให้ได้รับ การขึ้นทะเบยี นจากสาํ นกั งานคณะกรรมการอาหารและยาหลงั สําเรจ็ การฝึกอบรม (๓) รัฐบาลควรดําเนินการให้มีกฎหมายขึ้นมาใหม่เป็นการเฉพาะ คือ กฎหมาย ว่าด้วยพืชควบคุมเพ่ือประโยชน์ทางการแพทย์ โดยศึกษาแนวทางตามรายงานในภาคผนวก ของกรรมาธิการ ๘.๓ ข้อสังเกตของคณะกรรมาธกิ ารวสิ ามัญเกยี่ วกับกัญชง (๑) เสนอให้เพิกถอนกัญชง (Hemp) ออกจากบัญชียาเสพติดให้โทษประเภท ๕ ท่ีระบุไว้ในพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ และพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบบั ท่ี ๗) พ.ศ. ๒๕๖๒ และกฎหมายอ่ืน ๆ ทเี่ กี่ยวขอ้ ง สกู่ ารเป็นพชื เศรษฐกิจใหม่ของไทย (๒) เสนอให้แก้ไข (ร่าง) กฎกระทรวง การขออนุญาตและการอนุญาตผลิต นําเข้า ส่งออก จําหน่ายหรือมีไว้ในครอบครอง ซึ่งยาเสพติดให้โทษประเภท ๕ เฉพาะกัญชง (Hemp) พ.ศ. .... ดังน้ี ๑) ให้เพ่ิมเติม คํานิยามพืชกัญชง (Hemp) ในพฤกษศาสตร์ (Botany) ด้วยวิธี จําแนกทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Classification) ว่า Cannabis sativa L., และในกฎหมาย (Law) ดว้ ยวิธีกาํ หนดค่าทางชวี เคมี (Biochemistry) ของสาร Tetrahydrocannabinol (THC) ในช่อ ดอกแหง้ ไมเ่ กินรอ้ ยละ ๑.๐๐ โดยน้าํ หนกั แหง้ เพื่อจําแนกกัญชงออกจากกัญชาอย่างชัดเจน ๒) ให้แก้ไข คํานิยามในบททั่วไป คําว่า “ประโยชน์ครัวเรือน” หมายความว่า การใช้ประโยชน์จากเส้นใย แก้ไขเป็น การใช้ประโยชน์จากทุกส่วนของพืช ตามประเพณี วัฒนธรรม ตามวิถีชีวิต และใช้ในครอบครัว และ “กําหนดจํานวนพื้นท่ีให้สามารถปลูกได้ ครัวเรือนละไม่เกิน ๑ ไร่” แก้ไขเป็น ครัวเรือนละไม่เกิน ๒๐ ไร่ แต่การอนุญาตให้ผู้ปลูกเอาช่อดอก ดอก ให้เป็นไปตาม ใบอนุญาตปลูกเท่านั้น (๓) เสนอให้แก้ไข ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุช่ือยาเสพติดให้โทษ ในประเภท ๕ (ฉบบั ท่ี ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒ ในการกําหนดปริมาณสารสาํ คัญในพชื กญั ชง (Hemp) ดังน้ี ๑) จากสารสกัดหรอื ผลติ ภัณฑ์จากสารสกัด ทม่ี สี ารแคนนาบไิ ดออล (cannabidiol, CBD) เป็นส่วนประกอบหลัก และมีสารเตตราไฮโดรแคนนาบินอล (tetrahydrocannabinol, THC) ไม่เกินรอ้ ยละ ๐.๒ โดยน้ําหนัก แก้ไขเป็น สารสกัดหรือผลิตภัณฑ์จากสารสกดั ทีม่ สี ารแคนนาบิไดออล (Cannabidiol, CBD) รวมทั้งสารสกัดอื่น ๆ เช่น CBC CBN CBG Terpene หรือสารอื่น ๆ
ฑ ที่เกี่ยวข้องและมีสารเตตราไฮโดรแคนนาบินอล (Tetrahydracannabinol, THC) ไม่เกินร้อยละ ๐.๓ โดยนํ้าหนกั ๒) ให้พิจารณาระบุตามกฎหมายประกอบการใช้ประโยชน์ของสารแคนนาบิไดออล (Cannabidiol CBD) รวมท้ังสารสกัดอ่ืน ๆ เช่น CBC CBN CBG Terpene หรือสารอ่ืน ๆ ที่เก่ียวข้อง เป็นต้น ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์สมุนไพร หรืออาหาร หรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและเคร่ืองด่ืม หรือเครื่องสําอาง ตามกฎหมายว่าด้วยผลิตภัณฑ์สมุนไพร หรืออาหาร หรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และเคร่ืองดม่ื หรือเครือ่ งสําอาง (๔) เสนอให้กรมวิชาการเกษตรและหน่วยงานท่ีเก่ียวข้อง ดําเนินการนํากัญชงพันธุ์ พ้ืนเมืองหรือพันธุ์พื้นบ้านดั้งเดิมมาขึ้นทะเบียนพันธุ์พืชตามพระราชบัญญัติพันธ์ุพืช พ.ศ. ๒๕๑๘ และที่แก้ไขเพ่ิมเติม และส่งเสริมให้มีการพัฒนาสายพันธุ์ใหม่ที่ให้ผลผลิตเส้นใย เปลือก แกนลําต้น เมล็ดพันธุ์ ช่อดอกที่มีสาร CBD สูง มีสาร THC ตํ่า และให้ผลผลิตเมล็ดที่มีคุณค่าสูงทางโภชนาการ และส่งเสริมให้มีการจดทะเบียนคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่ ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองพันธุ์พืช พ.ศ. ๒๕๔๒ ทั้งนี้ สายพันธ์ุพื้นเมืองหรือสายพันธ์ุพ้ืนบ้านด้ังเดิม ที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตอัต ลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ม้งในประเทศไทย ขอให้เร่งดําเนินการขึ้นทะเบียนและจดทะเบียนให้เป็น สิ่งบ่งชท้ี างภมู ิศาสตร์ (GI) รวมท้งั ให้ได้รับการคุ้มครองทางกฎหมายดา้ นตา่ ง ๆ โดยเร็ว (๕) เสนอให้สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ลดข้ันตอนการขออนุญาตผลิต จําหน่าย หรือมีไว้ในครอบครอง กัญชง (Hemp) รวมท้ังปรับปรุงแกไ้ ข ประกาศ กฎกระทรวงฯ ประกาศคณะกรรมการฯ และคําส่ังอนื่ ๆ ทางกฎหมายทเี่ ก่ียวขอ้ ง (๖) เสนอให้สํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สร้างทัศนคติท่ีดีต่อพืชกัญชง (Hemp) อย่างกว้างขวางในการเป็น พืชเศรษฐกิจมูลค่าสูง ตลอดจนสร้างความรู้ความเข้าใจในกฎระเบียบ แนวปฏิบัติ อย่างครอบคลุม และทวั่ ถึงทุกกลมุ่ เป้าหมาย (๗) เสนอให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ระบุพืชกัญชง (Hemp) เป็นพืชเศรษฐกิจใหม่ของไทย ให้มีการส่งเสริมและสนับสนุน ภาคเกษตรกรรม อุตสาหกรรม และพาณิชยกรรม ในด้านองค์ความรู้ ปัจจัยการผลิต และการแปรรูป กญั ชง (Hemp) การรบั รองมาตรฐานผลติ ภัณฑ์ การผลักดนั การจัดตั้งสมาคม วสิ าหกิจชุมชน สหกรณ์ องค์กรอื่น ๆ ตลอดจนสนับสนุนด้านนวัตกรรม และการเข้าถึงแหล่งเงินทุนต่าง ๆ รวมทั้ง รับการส่งเสรมิ และสนับสนุนจาก BOI ในระดับสูงสุด ๘.๔ ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามญั เกี่ยวกบั กระทอ่ ม (๑) ควรแก้ไขเพ่ิมเติมกฎหมายยาเสพติดโดยยกเลิกพืชกระท่อมออกจากการเป็น ยาเสพติด เพ่ือให้สามารถศึกษาวิจัยพืชกระท่อมเพ่ือใช้ประโยชน์ด้านการแพทย์และพัฒนาเป็น พืชเศรษฐกิจของประเทศ และลดปัญหาคดีอาญาเกี่ยวกับพืชกระท่อมในกระบวนการยุติธรรมเพ่ือให้ การพิจารณาคดีอ่ืนรวดเร็วข้ึน รวมทั้งเพ่ือให้สอดคล้องกับหลักกฎหมายระหว่างประเทศซ่ึงมิได้ กาํ หนดใหพ้ ชื กระท่อมเปน็ ยาเสพติด
ฒ (๒) ควรแก้ไขเพ่ิมเติมกฎกระทรวงฉบับที่ ๔ พ.ศ. ๒๕๒๒ ออกตามความ ในพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ เร่ืองใบอนุญาตผลิต นําเข้า ส่งออกหรือครอบครอง พืชกระท่อมและการต่อใบอนุญาตให้มีหลักเกณฑ์ท่ีแน่นอนและชัดเจน ไม่ควรให้อยู่ในดุลพินิจ ของกลุ่มบุคคลใดบุคคลหน่ึง และควรอนุญาตตามระยะเวลาที่สมควร ท้ังโดยคํานึงถึงความต่อเนื่อง ในการศกึ ษาวิจัยพชื กระท่อม (๓) ควรบัญญัติในร่างพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับท่ี ..) พ.ศ. .... ให้ยกเลิกพืชกระท่อมจากการเป็นยาเสพติดอย่างชัดเจน เพ่ือป้องกันมิให้เกิดปัญหาในทางปฏิบัติหรือ การออกกฎ ระเบียบหรอื ประกาศกําหนดใหพ้ ชื กระทอ่ มเป็นยาเสพติดในภายหลงั (๔) กฎหมายยาเสพติดของประเทศไทยอาจจะมีการตีความเกินขอบข่าย ของอนุสัญญาของสหประชาชาติว่าด้วยยาเสพติด เน่ืองจากอนุสัญญาดังกล่าวไม่ได้ระบุว่ากระท่อม เปน็ ยาเสพตดิ (๕) สํานักงานตํารวจแห่งชาติควรกําหนดนโยบายผ่อนผันการจับกุมประชาชน ผู้บริโภคหรือครอบครองพืชกระท่อมในปริมาณสมควรที่ใช้ในครัวเรือน ซ่ึงสามารถทําได้สะดวกกว่า การออกประกาศกําหนดท้องที่ที่ตามความในพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ ๗) พ.ศ. ๒๕๖๒ มาตรา ๕๘/๒ ซ่งึ มขี ้ันตอนยุ่งยากและตอ้ งใช้ระยะเวลาในการดําเนนิ การ
หนา้ วา่ ง
ด บทสรุปผบู้ รหิ าร ตามที่สภาผู้แทนราษฎรได้มีการพิจารณาญัตติด่วน เรื่อง “ขอให้สภาผู้แทนราษฎรตั้ง คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาความเป็นไปได้และตรวจสอบผลกระทบของการใช้กัญชา ในรูปแบบต่าง ๆ ในประเทศไทย” ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ปีที่ ๑ คร้ังท่ี ๑๕ (สมัยสามัญประจําปีคร้ังท่ีสอง) วันพุธที่ ๒๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๒ และครั้งที่ ๑๖ (สมัยสามัญประจําปี ครั้งท่ีสอง) วันพฤหัสบดีท่ี ๒๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๒ และได้ต้ังคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณา ศึกษาหาแนวทางการแก้ไขปัญหาเก่ียวกับการใช้กัญชา กัญชง และกระท่อมอย่างเป็นระบบ ซ่ึงคณะกรรมาธิการวิสามัญมีการประชุมและพิจารณากําหนดกรอบการศึกษา รวมท้ังคณะกรรมาธิการ วิสามัญได้กําหนดกรอบการศึกษา โดยแบ่งเป็นประเภทของพืช ได้แก่ กัญชา กัญชง และกระท่อม และแยกตามการใช้ประโยชน์ประกอบด้วย ๑) การแพทย์ และ ๒) เศรษฐกิจ เพ่ือการนําไปใช้ ประโยชนใ์ นทางการแพทย์ และการสร้างมูลคา่ ทางเศรษฐกิจ ตลอดจนคณะกรรมาธิการวสิ ามัญได้ตง้ั คณะอนุกรรมาธิการขึ้น ๓ คณะ ประกอบด้วย ๑) คณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาหาแนวทาง การแก้ไขปัญหาการใช้กัญชาอย่างเป็นระบบ ๒) คณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาหาแนวทาง การแก้ไขปัญหาการใช้กัญชงอย่างเป็นระบบ และ ๓) คณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาหาแนวทาง การแก้ไขปัญหาการใช้กระท่อมอย่างเป็นระบบ นอกจากนี้ เพื่อให้ผลการพิจารณา ของคณะกรรมาธิการวิสามัญและคณะอนุกรรมาธิการได้มีการรวบรวมและนําไปสังเคราะห์อย่างเป็น ระบบ และนํามาจัดทํารายงานผลการศึกษาของคณะกรรมาธิการวิสามัญอย่างเป็นรูปธรรม คณะกรรมาธิการวิสามัญจึงได้ตั้งคณะทํางานจัดทํารายงานด้านกฎหมาย ในคณะกรรมาธิการวิสามัญ ขึ้น โดยเม่ือคณะอนุกรรมาธิการแต่ละคณะพิจารณาแล้วเสร็จ คณะทํางานจัดทํารายงานฯ จึงจัดทํา รายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญ สรุปได้ดงั น้ี คณะกรรมาธิการวิสามัญมีวัตถุประสงค์ในการศึกษาเพื่อวิเคราะห์ผลกระทบจากการนํา กัญชา กัญชง และกระท่อมไปใช้ประโยชน์อย่างเป็นระบบ และเพ่ือเสนอแนะแนวทางต่อการกําหนด นโยบายและการดําเนินงานของรัฐบาลเกี่ยวกับกัญชา กัญชง และกระท่อมไปใช้ประโยชน์ได้อย่าง เหมาะสม ซึ่งมีเนื้อหาท่ีศึกษาเก่ียวกับกัญชา กัญชง และกระท่อมในมิติการนําไปใช้ประโยชน์ในทาง การแพทย์ รวมทั้งมิติการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ โดยคณะกรรมาธิการวิสามัญได้เชิญหน่วยงาน องค์กร บุคคล มาให้ข้อมูลข้อเท็จจริงต่าง ๆ เม่ือมีการศึกษาแล้วปัญหาต่าง ๆ ประกอบด้วย ๑) ปัญหา ผลกระทบต่อประชาชน อาทิ ข้อกังวลเก่ียวกับอันตรายต่อร่างกายจากการใช้ และการก่อให้เกิดการ เสพติด ๒) ปัญหาในทางปฏิบัติ อาทิ ปัญหาการจัดหาแหล่งเมล็ดพันธ์ุท่ีจํากัดโดยเฉพาะเมล็ดพันธุ์ ของประเทศไทยค่อนข้างมีน้อย และกัญชาสามารถสร้างโครโมโซมเองได้จึงเป็นสาเหตุให้เกิดยีนด้อย และเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาพันธุ์ รวมท้ังการยื่นขออนุญาตเก่ียวกับกัญชา กัญชง และกระท่อม ต่อหนว่ ยงานทเ่ี กย่ี วขอ้ งมขี ั้นตอนจาํ นวนมากและล่าชา้ และ ๓) ปญั หาในทางกฎหมาย อาทิ กฎหมาย ว่าด้วยยาเสพติดของประเทศไทยมีการควบคุมตั้งแต่ การปลูก การผลิต การนําเข้า การส่งออก การครอบครอง กัญชา กัญชง และกระท่อม ตั้งแต่ต้นนํ้า กลางนํ้า และปลายนํ้า เพราะกฎหมาย อนุญาตอย่างแคบเพียงให้ใช้ประโยชน์ในทางการแพทย์และการศึกษาวิจัยเท่าน้ัน และต้องได้รับ อนุญาตจากเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยาโดยความเห็นชอบจากคณะกรรมการควบคุม
ต ยาเสพติด รวมท้ังกฎหมายภายในประเทศไทยอาจจะมีการตีความเกินขอบข่ายของอนุสัญญา ของสหประชาชาติว่าด้วยยาเสพติด เนื่องจากอนุสัญญาไม่ได้ระบุว่ากระท่อมเป็นยาเสพติด ตลอดจน กฎกระทรวงสาธารณสุขที่อนุญาตให้นํากัญชงไปใช้ประโยชน์ได้บางกรณี เช่น การนําไปผลิตเป็น เครื่องอุปโภค และบริโภค เป็นต้น ซึ่งเป็นการอนุญาตให้นําไปใช้ในบริบทอย่างแคบ จึงไม่สามารถ นําไปใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มศักยภาพ เน่ืองจากกัญชงสามารถนําไปใช้ประโยชน์อื่น ๆ ได้มาก เช่น ใบและช่อดอกผลิตเป็นยา ผลิตภัณฑ์สมุนไพร เครื่องสําอาง ส่วนเปลือก ลําต้น เส้นใยใช้ผลิตส่ิงทอ และเส้ือเกราะกันกระสุน และแกนลําต้นผลิตพลังงานชีวมวล วัสดุก่อสร้าง เฟอร์นิเจอร์ ส่วนเมล็ด และนํ้ามันจากเมล็ดใช้เป็นอาหาร เคร่ืองสําอาง ตลอดจนเน้ือลําต้นผลิตเป็นกระดาษและฉนวน กันความร้อน นอกจากน้ี ข้อจํากัดทางกฎหมายอ่ืน เช่น การเคลื่อนย้ายกัญชาเพื่อไปใช้ประโยชน์ จากจุดหน่ึงไปยังจุดหนึ่งมีขั้นตอนและการขออนุญาตท่ียุ่งยาก และการจดทะเบียนการคุ้มครอง พันธ์ุพืชและคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาของผลิตภัณฑ์เกี่ยวข้องกับกัญชา กัญชง และกระท่อม มีข้อจาํ กัด เป็นต้น ดังน้ัน แนวทางการแก้ไขปัญหาของคณะกรรมาธิการวิสามัญ คือ การยกเลิกกัญชา กัญชง และกระท่อมออกจากกฎหมายยาเสพติดให้โทษ แต่เพื่อให้สอดคลอ้ งกับอนุสญั ญาเด่ียวว่าด้วยยาเสพติด ใหโ้ ทษ ค.ศ. 1961 และพธิ สี ารแก้ไขฯ ค.ศ. 1972 (Single Convention on Narcotic Drugs, 1961, as Amended by The 1972 Protocol Amending The Single Convention on Narcotic Drugs, 1961) อนสุ ญั ญาว่าดว้ ยวัตถทุ ่อี อกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ค.ศ. 1971 (Convention on Psychotropic Substances, 1971) และอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการลักลอบค้ายาเสพติด และวัตถุท่ีออกฤทธ์ิต่อจิตและประสาท ค.ศ. 1988 (United Nations Convention against Illicit Trafficking in Narcotic Drugs and Psychotropic Substances, 1 9 8 8 ) ท่ี ป ร ะ เ ท ศ ไ ท ย เ ป็น ภาคีของอนุสัญญาดังกล่าว ยังคงมีการควบคุมการใช้กัญชา กัญชง และกระท่อมอยู่ในระดับหนึ่ง แต่การควบคุมน้ันจะไม่ได้ควบคุมในระดับพระราชบัญญัติอาจจะควบคุมในกฎหมายลําดับรอง เช่น ประกาศหรอื ระเบยี บของกระทรวงสาธารณสขุ แทน เปน็ ต้น คณะกรรมาธกิ ารวิสามัญจงึ มขี ้อเสนอแนะ และข้อสังเกต ดังนี้ ข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธกิ ารวิสามญั ๑. การยกร่างกฎหมายท่ีเกี่ยวข้องกับกัญชา กัญชง จะต้องระบุไว้ในกฎหมายว่า ต้องชะลอ การขอจดทะเบียนคุ้มครองพันธ์ุภายในประเทศออกไปก่อน เพ่ือเป็นประโยชน์ในการศึกษาและวิจัย ทเี่ กี่ยวข้อง ๒. จัดต้ังสถาบันพืชควบคุมเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์แห่งชาติเข้ามาบริหารจัดการ และกระจายอาํ นาจการตดั สนิ ใจและควบคุมในท้องถนิ่ แทนการรวมศนู ย์จากสว่ นกลาง ๓. ให้ยกเลิกมาตรา ๒๑ ของพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ ๗) พ.ศ. ๒๕๖๒ เพือ่ ลดการผกู ขาดโดยรัฐ รวมท้งั ควรมีการทบทวนบทเฉพาะกาลของพระราชบัญญตั ิยาเสพติดให้โทษ (ฉบับท่ี ๗) พ.ศ. ๒๕๖๒ ท่ีกําหนดให้ผลิตสาร CBD เฉพาะภายในประเทศเท่านั้น เพื่อเพิ่มโอกาส ในการสง่ ออกและอุตสาหกรรม
ถ ๔. ควรเปิดโอกาสให้มีการนิรโทษกรรมสําหรับผู้ครอบครองกัญชาเพื่อใช้รักษาโรครอบใหม่ เพ่ือการตรวจสอบคัดกรอง วิจัย และเก็บข้อมูล เพ่ือคุ้มครองผู้บริโภคและเปิดโอกาสพัฒนาความรู้ ในการรกั ษาตนเอง ๕. เสนอให้มีการเปิดกว้างในการศึกษาวิจัยสายพันธุ์พืชเสพติดเพื่อการแพทย์และอ่ืน ๆ เพือ่ การพฒั นาสายพันธ์ุและองคค์ วามรู้ทีเ่ ก่ียวเน่ือง ข้อสงั เกตในภาพรวมของคณะกรรมาธกิ ารวิสามัญ ๑. ให้ยกเลิกพืชเสพติด ได้แก่ กัญชา กัญชงและกระท่อมออกจากการเป็นยาเสพติด ในพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ และพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ ๗) พ.ศ. ๒๕๖๒ และกฎหมายอนื่ ๆ ทีเ่ กยี่ วข้อง ๒. ถ้าจะมีการส่งออกกัญชา กัญชง และกระท่อมภายหลังที่กฎหมายในประเทศอนุญาต หรืออนุสัญญาของสหประชาชาติว่าด้วยยาเสพติด ได้เปิดช่องให้ทําได้ท้ังในทางการแพทย์ และเศรษฐกิจจะต้องมีการประมาณการ ปริมาณการผลิต ความต้องการของตลาด ผลตอบแทน และมี ระบบตดิ ตามตรวจสอบทด่ี ี ๓. การอนุวัติการ (Implementation) กฎหมายภายในประเทศ เพื่อส่งเสริมให้มี การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาของนักปรับปรุงพันธุ์พืชและบริษัทเมล็ดพันธ์ุท่ีผลักดัน หน่วยงาน ที่เก่ียวข้องจําเป็นจะตอ้ งพิจารณาศึกษาอย่างรอบคอบ โดยคํานึงถงึ ประโยชน์ของประเทศเปน็ หลัก ๔. อนุสัญญาของสหประชาชาติว่าด้วยยาเสพติดได้กาํ หนดใหก้ ารควบคมุ กัญชาให้เทียบเคยี ง กับการควบคุมฝิ่น ตามข้อบทท่ี ๒๘ ข้อ ๒ ซ่ึงไม่รวมถึงอุตสาหกรรมเส้นใยและเมล็ด แต่กฎหมาย ว่าด้วยยาเสพติดภายในประเทศระบุว่า กัญชงเป็นยาเสพติด ซึ่งเป็นวัตถุดิบสําคัญในอุตสาหกรรม ของเสน้ ใยและเมล็ดจงึ ถกู ตคี วามวา่ เปน็ ยาเสพติดไปดว้ ย ขอ้ สังเกตของคณะกรรมาธิการวสิ ามัญเก่ียวกบั กัญชา ๑. คณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษ ควรตั้งคณะอนุกรรมการในระดับจังหวัด ตามมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.๒๕๒๒ ทําหน้าท่ีให้ความเห็นชอบในการ อนุญาตแทนคณะกรรมการตามหลักเกณฑ์ท่ีคณะกรรมการกําหนด และเลขาธิการคณะกรรมการ อาหารและยาควรมอบอํานาจในการอนุญาตให้กับผู้ว่าราชการจังหวัด ในเร่ืองการเพาะปลูกกัญชา และการครอบครองให้เป็นไปตามเงื่อนไขของคณะกรรมการอาหารและยา เฉพาะในพื้นที่จังหวัด ท่ีรับผิดชอบ ๒. กระทรวงสาธารณสุขควรจัดการฝึกอบรมและสอบวัดความรู้ผ่านระบบออนไลน์ให้กับ ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม ผู้ประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทย ผู้ประกอบวิชาชีพการแพทย์ แผนไทยประยุกต์ ทันตแพทย์ เภสัชกร และหมอพื้นบ้านให้สามารถส่ังจ่ายยากัญชาได้ โดยให้ได้รับ การขึน้ ทะเบียนจากสํานักงานคณะกรรมการอาหารและยาหลังสําเร็จการฝกึ อบรม ๓. รัฐบาลควรดําเนินการให้มีกฎหมายขึ้นมาใหม่เป็นการเฉพาะ คือ กฎหมายว่าด้วย พชื ควบคมุ เพ่อื ประโยชนท์ างการแพทย์ โดยศกึ ษาแนวทางตามรายงานในภาคผนวกของกรรมาธิการ
ท ขอ้ สังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามญั เกย่ี วกับกญั ชง ๑. เสนอให้เพิกถอนกัญชง (Hemp) ออกจากบัญชียาเสพติดให้โทษประเภท ๕ ท่ีระบุไว้ใน พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ และพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ ๗) พ.ศ. ๒๕๖๒ และกฎหมายอ่ืน ๆ ทเี่ กยี่ วขอ้ ง สู่การเปน็ พืชเศรษฐกิจใหมข่ องไทย ๒. เสนอให้แก้ไข (ร่าง) กฎกระทรวง การขออนุญาตและการอนุญาตผลิต นําเข้าส่งออก จําหนา่ ยหรือมไี ว้ในครอบครอง ซึง่ ยาเสพติดใหโ้ ทษประเภท ๕ เฉพาะกญั ชง (Hemp) พ.ศ. .... ดงั น้ี (๑) ให้เพิ่มเติม คํานิยามพืชกัญชง (Hemp) ในพฤกษศาสตร์ (Botany) ด้วยวิธีจําแนก ทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Classification) ว่า Cannabis sativa L., และในกฎหมาย (Law) ด้วยวิธีกําหนดค่าทางชีวเคมี (Biochemistry) ของสาร Tetrahydrocannabinol (THC) ในช่อดอกแห้ง ไมเ่ กนิ รอ้ ยละ ๑.๐๐ โดยนํา้ หนกั แห้ง เพอ่ื จําแนกกญั ชงออกจากกัญชาอยา่ งชัดเจน (๒) ให้แก้ไข คํานิยามในบททั่วไป คําว่า “ประโยชน์ครัวเรือน” หมายความว่า การใช้ ประโยชน์จากเส้นใย แก้ไขเป็น การใช้ประโยชน์จากทุกส่วนของพืช ตามประเพณี วัฒนธรรม ตามวิถีชีวิต และใช้ในครอบครัว และ “กําหนดจํานวนพื้นที่ให้สามารถปลูกได้ ครัวเรือนละไม่เกิน ๑ ไร่” แก้ไขเป็น ครัวเรือนละไม่เกิน ๒๐ ไร่ แต่การอนุญาตให้ผู้ปลูกเอาช่อดอก ดอก ให้เป็นไปตาม ใบอนุญาตปลกู เท่านนั้ ๓. เสนอให้แก้ไข ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุชื่อยาเสพติดให้โทษในประเภท ๕ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒ ในการกาํ หนดปรมิ าณสารสาํ คัญในพืชกัญชง (Hemp) ดงั นี้ (๑) จากสารสกัดหรือผลิตภัณฑ์จากสารสกัด ที่มีสารแคนนาบิไดออล (cannabidiol, CBD) เป็นส่วนประกอบหลัก และมีสารเตตราไฮโดรแคนนาบินอล (tetrahydrocannabinol, THC) ไม่เกินรอ้ ยละ ๐.๒ โดยน้ําหนกั แกไ้ ขเป็น สารสกดั หรอื ผลิตภัณฑจ์ ากสารสกดั ทม่ี สี ารแคนนาบไิ ดออล (Cannabidiol, CBD) รวมท้ังสารสกัดอ่ืน ๆ เช่น CBC CBN CBG Terpene หรือสารอื่น ๆ ท่ีเก่ียวข้องและมีสารเตตราไฮโดรแคนนาบินอล (Tetrahydracannabinol, THC) ไม่เกินร้อยละ ๐.๓ โดยนา้ํ หนกั (๒) ให้พิจารณาระบุตามกฎหมายประกอบการใช้ประโยชน์ของสารแคนนาบิไดออล (Cannabidiol CBD) รวมทั้งสารสกัดอ่ืน ๆ เช่น CBC CBN CBG Terpene หรือสารอ่ืน ๆ ท่ีเก่ียวข้อง เป็นต้น ซ่ึงเป็นผลิตภัณฑ์สมุนไพร หรืออาหาร หรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและเครื่องดื่ม หรือเครื่องสําอาง ตามกฎหมายว่าด้วยผลิตภัณฑ์สมุนไพร หรืออาหาร หรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และเครือ่ งดม่ื หรอื เครือ่ งสาํ อาง ๔. เสนอให้กรมวิชาการเกษตรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดําเนินการนํากัญชงพันธ์ุพ้ืนเมือง หรือพันธ์ุพื้นบ้านดั้งเดิมมาข้ึนทะเบียนพันธ์ุพืชตามพระราชบัญญัติพันธ์ุพืช พ.ศ. ๒๕๑๘ และที่แก้ไข เพ่ิมเติม และส่งเสริมให้มีการพัฒนาสายพันธ์ุใหม่ที่ให้ผลผลิตเส้นใย เปลือก แกนลําต้น เมล็ดพันธุ์ ช่อดอกท่ีมีสาร CBD สูง มีสาร THC ต่ํา และให้ผลผลิตเมล็ดที่มีคุณค่าสูงทางโภชนาการ และส่งเสริม ให้มกี ารจดทะเบียนคมุ้ ครองพันธุพ์ ชื ใหม่ ตามพระราชบัญญตั ิคมุ้ ครองพันธุพ์ ชื พ.ศ. ๒๕๔๒ ทั้งนี้ สายพันธุ์พื้นเมืองหรือสายพันธ์ุพ้ืนบ้านด้ังเดิม ที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตอัตลักษณ์ ของกลุ่มชาติพนั ธุม์ ้งในประเทศไทย ขอให้เรง่ ดาํ เนนิ การข้นึ ทะเบียนและจดทะเบียนใหเ้ ป็นสิ่งบ่งชี้ทาง ภมู ศิ าสตร์ (GI) รวมท้ังให้ไดร้ บั การคุม้ ครองทางกฎหมายดา้ นตา่ ง ๆ โดยเร็ว
ธ ๕. เสนอให้สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา และหน่วยงานท่ีเกี่ยวข้อง ลดขั้นตอน การขออนุญาตผลิต จําหน่าย หรือมีไว้ในครอบครอง กัญชง (Hemp) รวมทั้งปรับปรุงแก้ไขประกาศ กฎกระทรวงฯ ประกาศคณะกรรมการฯ และคาํ สั่งอน่ื ๆ ทางกฎหมายท่ีเกย่ี วข้อง ๖. เสนอให้สํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สร้างทัศนคติท่ีดีต่อพืชกัญชง (Hemp) อย่างกว้างขวางในการเป็น พืชเศรษฐกิจมูลค่าสูง ตลอดจนสร้างความรู้ความเข้าใจในกฎระเบียบ แนวปฏิบัติ อย่างครอบคลุม และท่วั ถึงทกุ กลุ่มเปา้ หมาย ๗. เสนอให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม ระบุพืชกัญชง (Hemp) เป็นพืชเศรษฐกิจใหม่ของไทย ให้มีการส่งเสริมและสนับสนุนภาคเกษตรกรรม อุตสาหกรรม และพาณิชยกรรม ในด้านองค์ความรู้ ปัจจัยการผลิต และการแปรรูปกัญชง (Hemp) การรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ การผลักดันการจัดต้ังสมาคม วิสาหกิจชุมชน สหกรณ์ องค์กรอ่ืน ๆ ตลอดจนสนับสนุนด้านนวัตกรรม และการเข้าถึงแหล่งเงินทุนต่าง ๆ รวมทั้งรับการส่งเสริม และสนบั สนนุ จาก BOI ในระดบั สงู สดุ ข้อสังเกตของคณะกรรมาธกิ ารวสิ ามัญเกย่ี วกบั กระท่อม ๑. ควรแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายยาเสพติดโดยยกเลิกพืชกระท่อมออกจากการเป็นยาเสพติด เพื่อให้สามารถศึกษาวิจัยพืชกระท่อมเพ่ือใช้ประโยชน์ด้านการแพทย์และพัฒนาเป็นพืชเศรษฐกิจ ของประเทศ และลดปัญหาคดีอาญาเก่ียวกับพืชกระท่อมในกระบวนการยุติธรรมเพ่ือให้การพิจารณา คดีอ่ืนรวดเร็วขึ้น รวมทั้งเพื่อให้สอดคล้องกับหลักกฎหมายระหว่างประเทศซ่ึงมิได้กําหนดให้ พืชกระทอ่ มเปน็ ยาเสพติด ๒. ควรแก้ไขเพ่ิมเติมกฎกระทรวงฉบับท่ี ๔ พ.ศ. ๒๕๒๒ ออกตามความในพระราชบัญญัตยิ า เสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ เรื่องใบอนุญาตผลิต นําเข้า ส่งออกหรือครอบครองพืชกระท่อมและการ ตอ่ ใบอนญุ าตให้มหี ลกั เกณฑ์ที่แน่นอนและชัดเจน ไม่ควรให้อย่ใู นดุลพนิ จิ ของกล่มุ บคุ คลใดบุคคลหน่ึง และควรอนญุ าตตามระยะเวลาท่สี มควร ท้งั โดยคาํ นึงถงึ ความต่อเน่อื งในการศึกษาวิจยั พชื กระทอ่ ม ๓. ควรบัญญัติในร่างพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับท่ี ..) พ.ศ. .... ให้ยกเลิก พืชกระทอ่ มจากการเป็นยาเสพติดอย่างชัดเจน เพอ่ื ปอ้ งกนั มใิ หเ้ กิดปัญหาในทางปฏิบัตหิ รือการออกกฎ ระเบยี บหรือประกาศกําหนดให้พืชกระท่อมเปน็ ยาเสพติดในภายหลงั ๔. กฎหมายยาเสพติดของประเทศไทยอาจจะมีการตีความเกินขอบข่ายของอนุสัญญาของ สหประชาชาติวา่ ด้วยยาเสพติด เน่อื งจากอนุสญั ญาดงั กล่าวไม่ไดร้ ะบุวา่ กระท่อมเปน็ ยาเสพตดิ ๕. สํานักงานตํารวจแห่งชาติควรกําหนดนโยบายผ่อนผันการจับกุมประชาชนผู้บริโภค หรือครอบครองพืชกระท่อมในปริมาณสมควรท่ีใช้ในครัวเรือน ซ่ึงสามารถทําได้สะดวกกว่า การออกประกาศกําหนดท้องท่ีที่ตามความในพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ ๗) พ.ศ. ๒๕๖๒ มาตรา ๕๘/๒ ซึง่ มขี น้ั ตอนยงุ่ ยากและต้องใชร้ ะยะเวลาในการดําเนนิ การ
หนา้ วา่ ง
บ สารบญั หน้า รายนามคณะกรรมาธกิ ารวสิ ามัญพิจารณาศกึ ษาหาแนวทางการแก้ไขปัญหา ก เกยี่ วกบั การใชก้ ญั ชา กัญชง และกระทอ่ มอยา่ งเปน็ ระบบ สภาผ้แู ทนราษฎร (ชุดท่ี ๒๕).................................................................................... จ ด รายงานของคณะกรรมาธกิ ารวสิ ามญั พจิ ารณาศกึ ษาหาแนวทางการแกไ้ ขปัญหา บ เกีย่ วกบั การใช้กญั ชา กญั ชง และกระทอ่ มอยา่ งเปน็ ระบบ สภาผู้แทนราษฎร............ ๑ ๑ บทสรปุ ผบู้ ริหาร ........................................................................................................ ๒ ๒ สารบัญ ..................................................................................................................... ๒ ๒ บทที่ ๑ บทนาํ ........................................................................................................... ๓ ๑.๑ ความเปน็ มาและความสาํ คญั ของปญั หา ..................................................... ๓ ๑.๒ วตั ถุประสงค์ของการศึกษา ......................................................................... ๑๒ ๑.๓ ขอบเขตของการศกึ ษา................................................................................ ๑๗ ๑.๔ วธิ กี ารศึกษา................................................................................................ ๒๓ ๑.๕ ประโยชนท์ คี่ าดวา่ จะไดร้ ับ.......................................................................... ๒๕ ๔๓ บทท่ี ๒ การรวบรวมและการทบทวนข้อมลู พน้ื ฐานทีเ่ กยี่ วขอ้ ง.................................. ๔๓ ๒.๑ ขอ้ มลู จากหนว่ ยงานหรอื บคุ คลต่าง ๆ นาํ เสนอต่อคณะกรรมาธกิ าร .......... ๔๓ ๒.๒ สรปุ ผลการดาํ เนินงานของคณะอนุกรรมาธกิ าร.......................................... ๔๔ ๒.๓ ข้อมูลดา้ นกฎหมาย..................................................................................... บทท่ี ๓ ปญั หาในการนาํ กญั ชา กัญชง และกระท่อมไปใช้ประโยชน์ .......................... บทท่ี ๔ ผลการพิจารณา ........................................................................................... บทท่ี ๕ บทสรปุ ข้อเสนอแนะ และข้อสงั เกตของคณะกรรมาธกิ ารวสิ ามญั ................ ๕.๑ บทสรปุ ........................................................................................................ ๕.๒ ข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธกิ ารวสิ ามญั .................................................. ๕.๓ ขอ้ สังเกตของคณะกรรมาธิการวสิ ามัญ.......................................................
ป สารบญั (ตอ่ ) หน้า ๔๙ ภาคผนวก ................................................................................................................. ผนวก ก รายงานของคณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศกึ ษาหาแนวทาง การแก้ไขปญั หาเกยี่ วกับการใชก้ ญั ชาอย่างเป็นระบบ ในคณะกรรมาธกิ ารวสิ ามัญพิจารณาศึกษาหาแนวทางการแก้ไข ปัญหาเกี่ยวกับการใชก้ ัญชา กัญชง และกระทอ่ มอย่างเป็นระบบ สภาผู้แทนราษฎร ผนวก ข รายงานของคณะอนุกรรมาธกิ ารพจิ ารณาศกึ ษาหาแนวทาง การแก้ไขปญั หาเก่ยี วกับการใชก้ ัญชงอย่างเปน็ ระบบ ในคณะกรรมาธิการวสิ ามญั พิจารณาศกึ ษาหาแนวทางการแก้ไข ปัญหาเกยี่ วกบั การใช้กญั ชา กญั ชง และกระทอ่ มอยา่ งเป็นระบบ สภาผ้แู ทนราษฎร ผนวก ค รายงานของคณะอนุกรรมาธกิ ารพจิ ารณาศึกษาหาแนวทาง การแก้ไขปญั หาเกี่ยวกับการใชก้ ระทอ่ มอยา่ งเปน็ ระบบ ในคณะกรรมาธิการวสิ ามัญพจิ ารณาศกึ ษาหาแนวทางการแกไ้ ข ปญั หาเกยี่ วกับการใชก้ ญั ชา กญั ชง และกระทอ่ มอย่างเป็นระบบ สภาผแู้ ทนราษฎร ผนวก ง ญตั ตทิ เี่ ก่ยี วขอ้ ง ผนวก จ การขอขยายระยะเวลาการพิจารณาของคณะกรรมาธกิ ารวิสามัญฯ ผนวก ฉ ความเห็นสว่ นบุคคลของกรรมาธกิ าร
บทที่ ๑ บทนาํ ๑.๑ ความเป็นมาและความสําคัญของปัญหา ตามท่ีสภาผู้แทนราษฎรได้มีการพิจารณาญัตติด่วน เรื่อง “ขอให้สภาผู้แทนราษฎร ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาความเป็นไปได้และตรวจสอบผลกระทบของการใช้กัญชา ในรูปแบบต่าง ๆ ในประเทศไทย” ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดท่ี ๒๕ ปีที่ ๑ คร้ังที่ ๑๕ (สมัยสามัญประจําปีคร้ังท่ีสอง) วันพุธท่ี ๒๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๒ และคร้ังท่ี ๑๖ (สมัยสามัญประจําปี คร้ังที่สอง) วันพฤหัสบดีท่ี ๒๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๒ และได้ต้ังคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณา ศึกษาหาแนวทางการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการใช้กัญชา กัญชง และกระท่อมอย่างเป็นระบบ ตามข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๖๒ ข้อ ๔๙ และ ข้อ ๕๐ ซึ่งองค์คณะดังกล่าว ได้ทําการพิจารณาศึกษาตามที่สภาผู้แทนราษฎรมอบหมายมา โดยมีการประชุมเชิญหน่วยงาน องค์กร และบุคคลท่ีเก่ียวข้องมาให้ข้อมูลข้อเท็จจริง รวมท้ังพิจารณาศึกษาจากเอกสารท่ีเก่ียวข้อง เพ่ือวิเคราะห์สภาพปัญหาและอุปสรรคในการนํากัญชา กัญชง และกระท่อมไปใช้ประโยชน์ และเพื่อ การแกป้ ญั หาอย่างเปน็ ระบบและยง่ั ยนื ดังนน้ั การพิจารณาศึกษาน้ีเป็นการทบทวน วเิ คราะห์ สงั เคราะห์หาแนวทางการแก้ไขปัญหา การนํากัญชา กัญชง และกระท่อมไปใช้ประโยชน์ในมิติการนําไปใช้ประโยชน์ในทางการแพทย์ การสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ รวมทั้งการใช้ประโยชน์ท่ีคํานึงถึงมิติทางสังคมและวัฒนธรรมพ้ืนถิ่น ของประเทศไทยอย่างเหมาะสม อีกทั้งเป็นการศึกษาของฝ่ายนิติบัญญัติท่ีคู่ขนานไปกับแนวนโยบาย ของรัฐบาลที่จะนําพืชเสพติดไปใช้ทางการแพทย์เข้ามามีบทบาทในวิถีชีวิต เพื่อการสร้างศักยภาพ ในการแขง่ ขันของประเทศ ตลอดจนลดการพงึ่ พายาและเวชภัณฑ์ หรือผลติ ภัณฑท์ ่สี บื เน่ืองจากกัญชา กญั ชง และกระท่อม จากต่างประเทศเพอ่ื ประโยชนท์ างเศรษฐกจิ และสังคม นอกจากน้ี การพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการวิสามัญนี้ เป็นการสร้างความตระหนักรู้ และเพ่ือให้เกิดความรอบคอบ รัดกุมเชิงนโยบายมากยิ่งข้ึน หากรัฐบาลจะกําหนดทิศทางในการนําพืช เสพติดดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ รวมท้ังเป็นการสร้างความรู้ ความเข้าใจ และส่งเสริมบทบาท การดําเนินงานของฝ่ายนิติบัญญัติ เน่ืองด้วยคณะกรรมาธิการวิสามัญนี้ มีองค์คณะท่ีมีที่มาอย่าง หลากหลาย ประกอบด้วย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ผู้แทนหน่วยงานท่ีเก่ียวข้อง นักวิชาการ และบุคคลท่ีมีความรู้ความสามารถ ซ่ึงมีความสนใจ ทําการศึกษา วิจัย เกี่ยวกับการนํากัญชา กัญชง และกระท่อมไปใช้ประโยชน์ภายใต้กรอบของกฎหมายท่ีเกี่ยวข้องท้ังกฎหมายภายในประเทศ และระหวา่ งประเทศ อย่างไรก็ดี ที่ผ่านมาเป็นที่รับรู้ท่ัวไปว่า กัญชา กัญชง และกระท่อมเป็นยาเสพติด ตามกฎหมายว่าด้วยยาเสพติดของประเทศไทย แต่ในอีกมิติหนึ่ง กัญชา กัญชง และกระท่อมเข้ามา มีบทบาทในชีวิตประจําวัน และท่ีมาของกฎหมายว่าด้วยยาเสพติดของประเทศไทยเป็นการตรา กฎหมายให้สอดคล้องกับพันธกรณีที่ประเทศไทยเป็นภาคีภายใต้อนุสัญญาเด่ียวว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ ค.ศ. 1961 และพิธีสารแก้ไขฯ ค.ศ. 1972 (Single Convention on Narcotic Drugs, 1961, as Amended by The 1972 Protocol Amending The Single Convention on Narcotic Drugs, 1961)
-๒- อนุสัญญาว่าด้วยวัตถุที่ออกฤทธ์ิต่อจิตและประสาท ค.ศ. 1971 (Convention on Psychotropic Substances, 1971) อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการลักลอบค้ายาเสพติดและวัตถุ ที่ออกฤทธ์ิต่อจิตและประสาท ค.ศ. 1988 (United Nations Convention against Illicit Trafficking in Narcotic Drugs and Psychotropic Substances, 1988) สําหรับการเก่ียวข้องกับยาเสพติด ในทุกรูปแบบ (criminalization) ซึ่งเป็นอิทธิพลภายนอกที่มีผลต่อการตรากฎหมายและการกําหนด นโยบายด้านควบคุมยาเสพตดิ ของประเทศไทย ๑.๒ วตั ถุประสงคข์ องการศึกษา ๑. เพอื่ ศึกษา วเิ คราะห์ผลกระทบจากการนาํ กญั ชา กัญชง และกระท่อมไปใช้ประโยชน์อย่าง เปน็ ระบบ ๒. เพื่อเสนอแนะแนวทางต่อการกําหนดนโยบายและการดําเนินงานของรัฐบาลเก่ียวกับ กัญชา กญั ชง และกระทอ่ มไปใชป้ ระโยชน์ไดอ้ ยา่ งเหมาะสม ๑.๓ ขอบเขตของการศึกษา ๑. ขอบเขตด้านเน้ือหา การศึกษาน้ีมีเนื้อหาที่ศึกษาเก่ียวกับกัญชา กัญชง และกระท่อม ในมติ ิการนําไปใช้ประโยชน์ในทางการแพทย์ การศึกษาวจิ ัย รวมท้ังในมิติการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ ตลอดจนในกรณขี องกญั ชงมีการศึกษาในมติ ิของวฒั นธรรมและชนเผา่ ๒. ขอบเขตด้านเวลา การศึกษาน้ีมีระยะเวลาในการศึกษาต้ังแต่วันท่ี ๑๕ มกราคม ๒๕๖๓ - ๒๒ กนั ยายน ๒๕๖๓ ๑.๔ วธิ กี ารศกึ ษา การศึกษาของคณะกรรมาธิการใช้วิธีการศึกษาจากเอกสาร และการรับฟังข้อมูลข้อเท็จจริง จากหน่วยงาน องค์กร และบุคคลของภาครัฐและเอกชน โดยการรวบรวมข้อมูลทั้งสองด้านนํามา วเิ คราะห์ เปรียบเทยี บ ซ่งึ ยดึ โยงกบั บรบิ ทภายในประเทศและกฎเกณฑ์ระหว่างประเทศทเ่ี กีย่ วข้อง ๑.๕ ประโยชนท์ ่คี าดวา่ จะไดร้ บั ๑. เป็นข้อมูลข้อเท็จจริงเก่ียวกับผลกระทบที่เกิดข้ึนจากการนํากัญชา กัญชง และกระท่อม ไปใชป้ ระโยชน์ในมติ ทิ างการแพทย์ และการสร้างมลู คา่ ทางเศรษฐกจิ ๒. เปน็ เอกสารเสนอแนะด้านนโยบายและการดําเนินการเกย่ี วกับกัญชา กญั ชง และกระท่อม
บทท่ี ๒ การรวบรวมและการทบทวนข้อมูลพน้ื ฐานทเี่ ก่ยี วขอ้ ง ๒.๑ ขอ้ มลู จากหนว่ ยงาน องค์กร และบุคคลต่าง ๆ นาํ เสนอต่อคณะกรรมาธิการ คณะกรรมาธกิ ารวิสามญั ไดเ้ ชญิ หน่วยงาน องค์กร บคุ คล มาใหข้ ้อมูลข้อเทจ็ จรงิ ซ่ึงสามารถ รวบรวมและสรุปไดด้ ังน้ี ๑. สาํ นกั งานคณะกรรมการอาหารและยา ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ จาํ แนกตามประเภทยาเสพติด ได้ดังน้ี (๑) ยาเสพติดประเภท ๑ การผลิต นําเข้า ส่งออก จําหน่าย หรือมีไว้ครอบครอง จะกระทําได้เฉพาะที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขอนุญาต ไม่สามารถนําไปใช้ในทางการแพทย์ แตส่ ามารถใชท้ างวิทยาศาสตรไ์ ด้ ไม่อนญุ าตให้เสพ แต่สามารถใช้ในการศึกษาวิจยั ได้ (๒) ยาเสพติดประเภท ๒ การผลิต นําเข้า ส่งออก จําหน่าย หรือมีไว้ครอบครองจะ กระทําได้เฉพาะที่เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยาอนุญาต สามารถนําไปใช้ในทางการแพทย์ และวิทยาศาสตร์ อนุญาตให้เสพได้ตามคําสั่งแพทย์ภายใต้หลักเกณฑ์ท่ีกฎหมายกําหนด ตลอดจน สามารถใชใ้ นการศึกษาวิจัยได้ (๓) ยาเสพติดประเภท ๓ การผลิต นําเข้า ส่งออก จําหน่าย หรือมีไว้ครอบครอง จะกระทําได้เฉพาะที่เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยาอนุญาต สามารถนําไปใช้ในทางการแพทย์ และวิทยาศาสตร์ อนุญาตให้เสพได้ตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกําหนด ตลอดจนสามารถใช้ ในการศกึ ษาวจิ ัยได้ (๔) ยาเสพติดประเภท ๔ การผลิต นําเข้า ส่งออก จําหน่าย หรือมีไว้ครอบครอง จะกระทําได้เฉพาะท่ีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขอนุญาตโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ ควบคมุ ยาเสพตดิ ใหโ้ ทษเปน็ ราย ๆ ไป ทง้ั น้ี สามารถนาํ ไปใชใ้ นทางการแพทย์ วทิ ยาศาสตร์ อุตสาหกรรม และใชใ้ นการศึกษาวจิ ยั ได้ (๕) ยาเสพติดประเภท ๕ การผลิต นําเข้า และส่งออกจะกระทําได้เฉพาะที่เลขาธิการ คณะกรรมการอาหารและยาอนุญาตภายใต้ความเห็นชอบของคณะกรรมการควบคุมยาเสพตดิ ให้โทษ ส่วนการจําหน่ายหรือมีไว้ครอบครองจะกระทําได้เฉพาะที่เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา อนุญาต สามารถนําไปใช้ในทางการแพทย์ วทิ ยาศาสตร์ และอุตสาหกรรม อนุญาตให้เสพได้ตามคําส่งั แพทย์ภายใตห้ ลักเกณฑ์ท่กี ฎหมายกาํ หนด ตลอดจนสามารถใช้ในการศึกษาวจิ ัยได้ โดยกัญชา กัญชง และกระท่อมจัดเป็นยาเสพติดประเภท ๕ ตามคํานิยามในพระราชบญั ญัติ ยาเสพติดใหโ้ ทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ ซ่ึงกรณี “กัญชา” เป็นยาเสพติดใหโ้ ทษประเภท ๕ ตามพระราชบญั ญัติ ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ น้ัน พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับท่ี ๗) พ.ศ. ๒๕๖๒ ได้กําหนดเกี่ยวกับการควบคุมกัญชาไว้ ๔ มาตรา ได้แก่ ๑) มาตรา ๒๖/๒ กําหนดห้ามมิให้ผู้ใดผลิต นําเข้า ส่งออก เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา โดยความเห็นชอบ ของคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษ ๒) มาตรา ๒๖/๓ กําหนดห้ามมิให้ผู้ใดจําหน่าย หรือครอบครอง เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา ๓) มาตรา ๒๖/๒ (๑)
-๔- กําหนดให้สามารถนํากัญชามาใช้ประโยชน์ได้ตามวัตถุประสงค์เพ่ือประโยชน์ทางการแพทย์ และการศึกษาวิจัย และ ๔) มาตรา ๕๘ วรรคสอง กําหนดห้ามมิให้ผู้ใดเสพยาเสพติดประเภท ๕ เว้นแต่เสพเพื่อรักษาโรค ตามคําส่ังของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม หรือเป็นการเสพเพ่ือศึกษาวิจัย ทัง้ นี้ ตํารับยาที่เสพไดใ้ ห้เปน็ ตามทรี่ ฐั มนตรีวา่ การกระทรวงสาธารณสุขประกาศกาํ หนด มาตรการควบคุมทางการแพทย์และการศึกษาวิจัยที่หน่วยงานรับผดิ ชอบดําเนนิ การ อาทิ ๑) การออกกฎหมายลําดับรอง ๒) กระบวนการพิจารณาอนุญาต ๓) การตรวจสถานที่ก่อนอนุญาต ให้ปลูก และ ๔) ระบบการรายงาน ซึ่งเป็นการติดตามตรวจสอบภายหลังที่ได้มีการอนุญาต โดยพิจารณาจากการรายงานต่าง ๆ ได้แก่ ๔.๑) บัญชีรายงานรับจ่าย ๔.๒) รายงานประสิทธิผล ๔.๓) รายงานอาการไม่พึงประสงค์ตามหลักเกณฑ์ SAS กับ AUR และ ๔.๔) ระบบติดตามและ ตรวจสอบ (Track & Trace) ท้ังน้ี ปัญหาและอุปสรรคในการดําเนินการเกี่ยวกับกัญชา ได้แก่ ๑) การคัดเลือกและพัฒนา สายพันธุ์กัญชายังไม่เพียงพอต่อการนําไปใช้ ๒) คลินิกท่ีให้บริการกัญชายังไม่เพียงพอ จึงมีผลต่อ การเข้าถึงยาของผู้ป่วย ๓) ตํารับผลิตภัณฑ์ไม่มีความหลากหลาย อาทิ สูตรส่วนประกอบ ยังไม่หลากหลายและสูตรท่ียังมีสาร CBD เด่นไม่เพียงพอ ตลอดจนห้องปฏิบัติการที่มีมาตรฐาน ยังไม่เพียงพอต่อการวิเคราะห์และค่าตรวจวิเคราะห์มรี าคาแพง และ ๔) ผู้ป่วยไม่มีความรู้และความเข้าใจ ในการใช้กญั ชาทถ่ี ูกต้อง การควบคุมกัญชงเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับท่ี ๗) พ.ศ. ๒๕๖๒ ปรากฏรายละเอียดใน ๓ มาตรา ได้แก่ ๑) มาตรา ๒๖/๒ (๒) ได้กําหนดว่า กัญชง เป็นพืชที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Cannabis sativa L. subsp. sativa มีลักษณะตามที่คณะกรรมการ ควบคุมยาเสพติดให้โทษกําหนดประกาศในราชกิจจานุเบกษา ท้ังนี้ ให้นําไปใช้ประโยชน์ได้ตามที่ กําหนดในกฎกระทรวง ๒) มาตรา ๒๖/๒ กําหนดห้ามมิให้ผู้ใดผลิต นําเข้า ส่งออก เว้นแต่ได้รับ อนุญาตจากเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการควบคุม ยาเสพติดให้โทษ และ ๓) มาตรา ๒๖/๓ กําหนดห้ามมิให้ผู้ใดจําหน่ายหรือมีไว้ในครอบครอง เว้นแต่ ไดร้ บั อนญุ าตจากเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา ข้อมูลเก่ียวกับการอนุญาตกัญชง โดยการออกหนังสือสําคัญการแสดงการอนุญาตผลิต จําหน่าย และครอบครองกัญชง ปี พ.ศ. ๒๕๖๒ จําแนกตามจังหวัดที่ตั้งของสถานท่ีที่มีการปลูก จําหน่ายหรือครอบครอง ได้แก่ ๑) จังหวัดแม่ฮ่องสอนใช้ประโยชน์ในครัวเรือนเพื่อการศึกษาวิจัย เป็นพนื้ ทจ่ี ํานวน ๑๐ ไร่ ๒) จงั หวดั เชียงใหม่ มีการผลิตเมล็ดพันธุ์รับรองและใช้ประโยชน์ในครวั เรือน และเพ่ือศึกษาวิจัย เป็นพ้ืนที่ จํานวน ๔๙ ไร่ ๓) จังหวัดตาก ใช้ประโยชน์ในครัวเรือนและเพื่อ ศึกษาวิจัย เป็นพื้นท่ี จํานวน ๒๓๗ ไร่ ๒ งาน ๔) จังหวัดเชียงราย มีการปลูกเพื่อผลิตเมล็ดพันธ์ุ รับรอง เป็นพ้ืนท่ี จํานวน ๑๑๘ ไร่ ๕) จังหวัดพิษณุโลก มีการปลูกเพ่ือศึกษาวิจัย เป็นพ้ืนท่ี จํานวน ๒๕๘ ตารางเมตร ๖) จังหวัดปทุมธานี มีการปลูกเพ่ือศึกษาวิจัย เป็นพื้นท่ี จํานวน ๑๕๓.๖ ตารางเมตร และ ๗) กรุงเทพมหานคร มีการปลูกเพอื่ ศกึ ษาวจิ ยั เปน็ พืน้ ที่ จาํ นวน ๒๕ ตารางเมตร นอกจากน้ี หน่วยงานได้ดําเนินงานเก่ียวกับกัญชงในหลายประการ ได้แก่ ๑) เม่ือวันท่ี ๓๑ สิงหาคม ๒๕๖๒ ได้ออกประกาศกระทรวงสาธารณสุข เร่ือง ระบุช่ือยาเสพติดให้โทษประเภท ๕ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒ เพ่ือให้สามารถนํากญั ชงและสารสกัดจากกัญชงมาใช้ในผลิตภัณฑ์อ่ืนได้ อาทิ
-๕- ยา อาหาร เคร่ืองสําอาง และผลิตภัณฑ์สมุนไพร ๒) เมื่อวันท่ี ๒๕ ตุลาคม ๒๕๖๒ ได้ออกประกาศ คณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษ เร่ือง กําหนดลักษณะกัญชง (Hemp) พ.ศ. ๒๕๖๒ กําหนด ต้นกัญชงและเมล็ดพันธุ์รับรองท่ีมีปริมาณสาร Tetrahydrocannabinol (THC) ท่ีใบและช่อดอก ไม่เกินร้อยละหน่ึง และ ๓) ปรับปรุงกฎกระทรวงเกี่ยวกับกัญชง เพ่ือเปิดกว้างให้สามารถพัฒนาการ ปลูกกัญชงไปใช้ในอุตสาหกรรมอ่ืน นอกเหนือจากการใช้ประโยชน์จากเส้นใยเท่าน้ัน ซ่ึงในวันท่ี ๒๘ มกราคม ๒๕๖๓ จะได้เสนอเรื่องดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี ท้ังน้ี จะได้ ดําเนินการออกกฎระเบียบสําหรับผลิตภัณฑ์ท่ีเก่ียวข้อง ได้แก่ ยา ผลิตภัณฑ์สมุนไพร อาหาร เครือ่ งสาํ อาง เพ่อื รองรับการนาํ กญั ชงไปใช้ในผลิตภัณฑต์ ่อไป ๒. สาํ นักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด กัญชา กัญชง และกระท่อมถูกกําหนดเป็นยาเสพติดประเภท ๕ ตามพระราชบัญญัติ ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ สํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดมีหน้าที่ ดําเนินการเกี่ยวกับการป้องกัน การปราบปราม การบําบัดและรักษา ตลอดจนให้ข้อเสนอแนะต่อ การบังคับใช้กฎหมายและบังคับกฎหมายท่ีเก่ียวข้อง ซึ่งได้มีการสํารวจของกลางกัญชายาเสพติด ท่ัวประเทศและขออนุญาตจากกระทรวงสาธารณสุขเพ่ือใช้ประโยชน์ รวมท้ังสิ้น ๑๗,๙๓๗ กิโลกรัม และเมื่อนําไปวิเคราะห์หาสารปนเป้ือน ปรากฏผลการตรวจวิเคราะห์จําแนกได้ ๔ กลุ่ม ได้แก่ ๑) กลุ่มที่มีการปนเปื้อนท้ังสารเคมีป้องกันกําจัดศัตรูพืชและโลหะหนักปนเป้ือนไม่เกินค่ามาตรฐาน จํานวน ๗ กิโลกรัม ๒) กลุ่มท่ีมีการปนเป้ือนสารเคมีป้องกันกําจัดศัตรูพืชไม่เกินค่ามาตรฐาน แต่มี การปนเป้ือนโลหะหนักเกินค่ามาตรฐาน จํานวน ๒,๐๙๗ กิโลกรัม ๓) กลุ่มที่มีการปนเป้ือนสารเคมี ปอ้ งกันกําจดั ศัตรพู ืชเกนิ ค่ามาตรฐาน แต่มีการปนเปอ้ื นโลหะหนักไม่เกินค่ามาตรฐาน จํานวน ๓,๑๒๔ กิโลกรัม และ ๔) กลุ่มที่มีการปนเปื้อนสารเคมีป้องกันกําจัดศัตรูพืชและโลหะหนักเกินค่ามาตรฐาน จํานวน ๑๒,๗๐๙ กิโลกรัม ทง้ั น้ี กัญชา กญั ชง และกระท่อมถูกกาํ หนดเป็นยาเสพติดประเภท ๕ ตามพระราชบัญญัติ ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ น้ัน หน่วยงานมีหน้าที่ดําเนินการเกี่ยวกับการป้องกัน การปราบปราม การบําบัดและรักษา ตลอดจนเสนอกฎหมายท่ีเก่ียวข้อง เพ่ือเป็นการง่ายต่อการบังคับใช้กฎหมาย เก่ียวกับยาเสพติดท่ีกระจัดกระจายหลายฉบับ หน่วยงานจึงได้เสนอและยกร่างประมวลกฎหมาย ยาเสพติด ปัจจุบันยังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาในรายละเอียด และได้นําเสนอคณะรัฐมนตรีพจิ ารณา โดยคณะรฐั มนตรใี ห้ความเห็นชอบในหลกั การแลว้ สว่ นการดําเนินการเกยี่ วกบั พชื กระทอ่ มนน้ั สํานักงานฯ อยู่ระหวา่ งการเสนอร่างกฎหมาย เพ่ือยกเลิกพืชกระท่อมจากการเป็นยาเสพติดประเภท ๕ แต่การควบคุมพืชกระท่อมตามกฎหมาย ระหว่างประเทศ จากการศึกษาในรายละเอียดพบว่า อนุสัญญาของสหประชาชาติเกี่ยวกับยาเสพติด ไม่ได้มีการประกาศควบคุมพืชกระท่อมในบัญชีรายชื่อยาเสพติดหรือวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทไว้ แต่อย่างใด ซ่ึงประเทศไทยเป็นประเทศท่ีมีกฎหมายภายในควบคุมพืชกระท่อม และในอาเซียนพบว่า ประเทศที่ไม่ได้ควบคุมพืชกระท่อม หรือกําหนดให้พืชดังกล่าวเป็นยาเสพติด ได้แก่ ประเทศ อินโดนีเซีย ประเทศกัมพูชา ประเทศฟิลิปปินส์ ประเทศลาว และประเทศเวียดนาม จึงเห็นควรให้มี
-๖- การแก้ไขหรือปรับปรุงกฎหมาย ตลอดจนเสนอให้มีการตราพระราชบัญญัติเป็นการเฉพาะสําหรับ พชื กระท่อมขึ้น ในการเสนอร่างกฎหมายเพื่อยกเลิกพืชกระท่อมจากการเป็นยาเสพติดประเภท ๕ จึงได้ ยกร่างพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และรับฟังความคิดเห็นผ่านเว็บไซต์ของ สํานักงานฯ ระหว่างวันท่ี ๓ - ๑๗ มกราคม ๒๕๖๓ และจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นจากผู้ทรงคุณวุฒิ หน่วยงานรัฐ เอกชน และประชาชนท่ัวไป เม่ือวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๖๓ ณ โรงแรมเซ็นจูรี่ พาร์ค กรุงเทพมหานคร ซึ่งผลจากการรับฟังความคิดเห็นได้ข้อสรุปว่า มีผู้แสดงความคิดเห็นทง้ั หมด ๓,๑๘๓ คน มีผู้เห็นด้วย ร้อยละ ๙๕ และผู้ไม่เห็นด้วย ร้อยละ ๕ ซ่ึงผู้ไม่เห็นด้วยมีข้อห่วงใย ๓ ประการ ได้แก่ ๑) เห็นว่าควรกําหนดให้พืชกระท่อมเป็นยาเสพติดเช่นเดิม เน่ืองจากมีฤทธ์ิต่อจิตและประสาท ๒) มีความเป็นห่วงและวติ กกังวลต่อการใช้พชื กระทอ่ มของเด็กและเยาวชน รวมถงึ การใชพ้ ชื กระท่อม ในลักษณะผสมกับสิ่งอื่นในลักษณะสี่คูณร้อยท่ีอาจเป็นผลให้เกิดการมึนเมานําไปสู่การก่อ อาชญากรรมอื่น และ ๓) มาตรการอืน่ ในการควบคมุ เพอื่ มิให้มีการนาํ พชื กระทอ่ มไปใช้ในทางที่ผดิ จากข้อมูลทางสถิติภาพรวมการควบคุมพืชกระท่อมในต่างประเทศ จํานวน ๓๓ ประเทศ พบว่า ประเทศท่ีมีกฎหมายภายในควบคุมพืชกระท่อมมี ๑๘ ประเทศ คิดเป็นร้อยละ ๕๔ จําแนกได้ เป็น ๓ กลุ่ม ประกอบด้วย ๑) ควบคุมโดยกฎหมายว่าด้วยยาเสพติด ได้แก่ ประเทศไทย ประเทศ เมียนมาร์ ประเทศเกาหลีใต้ ประเทศอินเดีย ๒) ควบคุมโดยกฎหมายอื่น ได้แก่ ๒.๑) กฎหมายเก่ียวกับ ยาและการรักษาพยาบาล จํานวน ๔ ประเทศ ๒.๒) กฎหมายว่าด้วยสารพิษหรือสารออกฤทธ์ิต่อ ระบบประสาท จํานวน ๒ ประเทศ ๒.๓) กฎหมายว่าด้วยการใช้ยาในทางท่ีผิด จํานวน ๒ ประเทศ และ ๓) ควบคุมโดยไม่ระบุกฎหมาย จํานวน ๖ ประเทศ ส่วนประเทศท่ีไม่ได้ควบคุมพืชกระท่อม โดยไม่มีกฎหมายกําหนดว่าเป็นยาเสพติดมี ๑๕ ประเทศ คิดเป็นร้อยละ ๔๖ หากพิจารณาเฉพาะ ภูมิภาคอาเซียนกับทวีปเอเชีย พบว่า ประเทศท่ีไม่ได้ควบคุมพืชกระท่อมหรือกําหนดให้พืชดังกล่าว เป็นยาเสพติด ได้แก่ ประเทศอินโดนีเซีย ประเทศกัมพูชา ประเทศฟิลิปปินส์ ประเทศลาว และประเทศเวียดนาม อย่างไรก็ดี ประเทศไทยและประเทศอินโดนีเซียเคยหารือร่วมกันในการนําเสนอ ใหพ้ ชื กระทอ่ มเปน็ พืชเศรษฐกจิ ๓. กรมวิชาการเกษตร กรมวิชาการเกษตรมีหน้าท่ีกํากับมาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี (Good Agricultural Practices : GAP) มีกฎหมายอยู่ในความรับผิดชอบจํานวน ๖ ฉบับ เช่น กฎหมาย ว่าด้วยการกักพืช และกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองพันธุ์พืช เป็นต้น ส่วนหน้าที่และอํานาจของ หนว่ ยงานที่เก่ียวข้องกับกญั ชา กัญชง และกระทอ่ ม ซ่ึงจาํ แนกได้เปน็ ๒ ส่วน ดงั นี้ (๑) ภาคบังคับ ต้องดําเนินการพืชท้ังสามชนิดตามหลักเกณฑ์ของกฎหมาย ๒ ฉบับ ได้แก่ ๑.๑) พระราชบญั ญัติกักพืช พ.ศ. ๒๕๐๗ และ ๑.๒) พระราชบญั ญตั ิคุ้มครองพันธุ์พชื พ.ศ. ๒๕๔๒ (๒) ภาคสมัครใจ เป็นการเปดิ โอกาสให้สามารถนําพันธ์พุ ืชมาขอใหห้ นว่ ยงานรับรองพนั ธพ์ุ ชื โดยการขึ้นทะเบียนและทําบัตรประจําตัวพันธ์พุ ืชของประเทศไทย เปน็ การค้มุ ครองเชิงปกป้องและให้มี มาตรฐานการผลิต โดยปัจจุบนั มกี ารนาํ รอ่ งแล้ว ๑ สายพนั ธ์ุ คอื กัญชาอิสระ ๐๑
-๗- ๔. กรมการแพทย์ กรมการแพทย์มีหน้าท่ีในการศึกษาและพัฒนาองค์ความรู้ทางการแพทย์ ภายหลัง พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับท่ี ๗) พ.ศ. ๒๕๖๒ มีผลใช้บังคับ ซ่ึงมีการเปิดใหน้ ํากัญชาไปใช้ ประโยชน์ทางการแพทย์และการวิจัย สังคมบางส่วนยังเกิดความสับสนว่ากัญชานั้นเป็นคุณหรือเป็นโทษ อย่างไรก็ตาม หลังจากกฎหมายฉบับดังกล่าวมีผลใช้บังคับมาเป็นระยะเวลา ๑ ปี มีประชาชนป่วย จากพิษของกัญชาแล้ว ประมาณ ๑,๐๐๐ คน โดย ๓ เดือนแรกมีอัตราการป่วยเพิ่ม ๕ เท่า ดังนั้น กรมการแพทย์จึงจัดฝึกอบรมบคุ ลากรทางการแพทย์ ส่งผลใหอ้ ัตราการนาํ กัญชาไปใช้จนเกิดพิษลดลง และประชาชนมีความเขา้ ใจมากข้นึ (๑) สารสกัดกัญชาซึ่งนํามาใช้ประโยชน์ในการรักษา ซ่ึงมีข้อมูลทางวิชาการที่สนับสนุน ชัดเจน อาทิ ภาวะคลื่นไส้อาเจยี นในผปู้ ่วยที่ได้รับยาเคมบี ําบัด ภาวะกล้ามเน้ือหดเกร็งในผู้ป่วยปลอก ประสาทเส่ือมแข็ง ภาวการณ์ปวดประสาทท่ีใช้วิธีการรักษาอ่ืนแล้วไม่ได้ผล รวมถึงโรคลมชักที่รักษา ยากในเด็กและโรคลมชักท่ีดื้อยา ทั้งน้ี มีข้อมูลทางสถิติพบว่า ผู้ป่วยลมชัก ๑๓ คน มีคนอาการชัก ดีขึ้น ๑๐ คน และที่เหลือมีคนอาการดขี นึ้ จนเกือบหยุดชัก (๒) สารสกัดกัญชาได้ประโยชน์ในการรักษา ซึ่งมีข้อมูลทางวิชาการท้ังสนับสนุน และไมส่ นบั สนนุ ใหใ้ ช้รกั ษาอาการป่วย อาทิ โรคพากนิ สนั และโรคอลั ไซเมอร์ (๓) สารสกัดกัญชานํามาใช้ประโยชน์ในการรักษาแบบประคับประคอง ได้แก่ ผู้ป่วยมะเร็ง ระยะสุดท้ายที่มีอาการเบื่ออาหารน้ัน ให้มีความอยากอาหารมากข้ึน และช่วยผ่อนคลาย สามารถ หลบั พกั ผอ่ นได้ดีขึ้น นอกจากน้ี ปัจจุบันมีการวิจัยเก่ียวกับการนําสารสกัดกัญชามาใช้รักษามะเร็ง จํานวน ๘ ชนิด เพอื่ หาปริมาณขนาดยาท่ีเหมาะสมและไม่เป็นพิษ รวมท้งั เกิดผลลัพธ์ในการรกั ษาโรคไดจ้ ริง ซึ่งคาดว่า จะวิจัยแลว้ เสร็จ ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๓ อย่างไรก็ตาม พบปัญหาและข้อจํากัดในบางกรณี คือ การผลติ ยากญั ชาทีม่ ีสาร Cannabidiol (CBD) สูงทํายาได้จํานวนไม่มาก จึงไม่เพียงพอต่อการนําไปรักษาผู้ป่วย โดยเฉพาะผู้ป่วยอาการลมชัก ในวงกว้าง เนอื่ งจากผ้ปู ่วยลมชัก เมอื่ รับยากัญชาแล้ว จะไม่สามารถหยดุ รับยาดังกล่าวได้ ดังนน้ั จึงมี ความเห็นว่า หากใช้กัญชาสายพันธ์ุไทยมากกว่าสายพันธ์ุนําเข้าในการผลิตน่าจะเป็นผลดีกว่า เพราะสามารถผลติ ได้เปน็ จาํ นวนมากซ่งึ เพียงพอต่อความต้องการ ๕. องคก์ ารเภสัชกรรม จากการศึกษาดูงานในต่างประเทศได้รับทราบข้อมูลว่า ประเทศแคนาดามีการปลกู กญั ชา ในอาคาร (Indoor) มีการควบคุมสารอาหาร เน่ืองจากกัญชาเป็นพืชอ่อนไหว เน้นการปลูกตัวเมีย เพื่อให้ได้ดอก มีการผ่ึงแห้ง นิยมการผลิตและจําหน่ายดอกแห้ง โดยสารสําคัญในพืชกัญชามีสาร Tetrahydrocannabinolic Acid (THCA) ซ่ึงในแคนาดามีร้านขายยากัญชาที่มีคู่มือการใช้งาน มีมาตรฐานด้านความปลอดภัยและม่ันคง และสารสําคัญมีความแปรปรวนน้อย ส่วนประเทศอิสราเอล มีการดําเนินการเกี่ยวกับกัญชาทางการแพทย์อย่างจริงจัง ผลจากการศึกษาดูงาน จึงมีข้อเสนอหลาย ประการ ได้แก่ ๑) ควรดําเนินงานกัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์เท่าน้ัน ๒) ควรมีการจัดตั้ง หน่วยงานเฉพาะ เพื่อดูแลการใช้กัญชาทางการแพทย์ท้ังระบบ ๓) ควรมีการกําหนดแนวทาง
-๘- เป้าหมาย และการดําเนินการที่ชัดเจน ๔) ควรมีการกําหนดมาตรฐานทุกขั้นตอน (Medical Grade Cannabis) ๕) ควรมีการให้ความรู้กับสังคมและบุคลากรทางการแพทย์เพ่ือผลักดันและมีส่วนร่วม ในการใชก้ ัญชาทางการแพทยอ์ ย่างเหมาะสม ๖) ควรมีระบบจัดเก็บและสอบกลบั ข้อมูลการใช้กญั ชา ทางการแพทย์ ๗) ควรมีการวิจัยและพัฒนาด้านสายพันธุ์ เทคโนโลยีการปลูก การสกัด และ การศึกษาวจิ ยั ทางคลินกิ และ ๘) ควรสง่ เสรมิ นวัตกรรมทงั้ ด้านสายพนั ธุแ์ ละรปู แบบการนําสง่ ยา องค์การเภสัชกรรมมีโครงการวิจัยและพัฒนาสารต้นแบบกัญชาทางการแพทย์ โดยมี วัตถุประสงค์ เพ่ือให้ได้สายพันธ์ุกัญชาไทยที่สมบูรณ์ แข็งแรง มีปริมาณสารสําคัญที่ใช้เป็นยาสูง เน้นการผลิตยาจากกัญชาเพ่ือทดแทนการนําเข้ายาแผนปัจจุบัน และเพ่ือใช้ในการรักษาโรคท่ียาแผน ปัจจุบันรักษาไม่ได้ผล โดยแผนการดําเนินงานจําแนกเป็น ๓ ระยะ ได้แก่ ๑) ระยะที่ ๑ การวิจัย และพัฒนา โดยได้ของกลางกัญชา ๑๐๐ กิโลกรัม เพื่อใช้ฝึกสกัดและส่งกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ หาสารปนเป้ือน เน่ืองจากหากมีการปนเป้ือนของยาฆ่าแมลงและโลหะหนักจะไม่สามารถนําไปทํายา ได้ ดังน้ัน จึงมีการดําเนินงานเร่งด่วนในการปลูกกัญชาในพื้นท่ีอาคารผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ โดยปลูกใน ระบบปิด (Indoor) พ้ืนท่ี จํานวน ๑๐๐ ตารางเมตร เพ่ือใช้เมล็ดจากสายพันธ์ุลูกผสมท่ีมีคุณภาพสูง ตามมาตรฐานทางการแพทย์ (Medical Grade Cannabis) เพ่ือใช้ในการศึกษาและวิจัยทางคลินิก ต่อไป ๒) ระยะที่ ๒ ขยายการผลิตเป็นระดับกึ่งอตุ สาหกรรม (Pilot Phase) มีการขยายพื้นท่สี ําหรบั การเพาะปลูก จํานวน ๑,๐๐๐ ตารางเมตร ปลูกในอาคาร (Indoor) และโรงเรือนปลูกพืช (Greenhouse) เพื่อลดต้นทุน วิจัยและพัฒนาสายพันธุ์ท่ีให้สารสําคัญสูง การขยายกําลังการผลิต และสกัด รวมถึงการศึกษาด้านคลินิกในผู้ป่วยจํานวนมากข้ึน ๓) ระยะท่ี ๓ ขยายการผลิตในระดับ อุตสาหกรรม (Industrial Phase) โดยขยายพื้นที่สําหรับการเพาะปลูกในพ้ืนท่ี ๑,๕๐๐ ไร่ ซ่ึงต้องมี การคัดเลือกสายพันธ์ุ การขยายกําลังการผลิตและสกัด เน้นการผลิตและจําหน่ายสารสกัดต้นแบบ กัญชาทางการแพทยแ์ ละผลิตภัณฑย์ า ท้ังน้ี องค์การเภสัชกรรมได้มีการผลิตและจําหน่ายผลิตภัณฑ์น้ํามันกัญชา ซึ่งผลิตภัณฑ์ ต้นแบบของ Sublingual drop จํานวน ๑๐,๐๐๐ ขวดแรกมาจากการปลูกกัญชาของหน่วยงาน เพื่อใช้ในการศึกษาจําแนกเป็นประเด็น ได้แก่ ๑) ความคงสภาพของผลิตภัณฑ์ และ ๒) การศึกษา ทางคลนิ ิกนํารอ่ งในผปู้ ่วยซึง่ เปน็ โรคบางชนดิ ๖. สํานักงานคณะกรรมการกฤษฎกี า มตคิ ณะรฐั มนตรีเมอ่ื วันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๖๓ ไดอ้ นมุ ตั ิหลกั การที่จะอนุญาตผลติ นาํ เขา้ ส่งออก จําหน่ายหรือมีไว้ครอบครองซ่ึงยาเสพติดให้โทษประเภทท่ี ๕ เฉพาะกัญชง (Hemp) โดยให้มี ลักษณะเปิดกว้างมากขึ้น เดิมทีกฎกระทรวงว่าด้วยกัญชงผู้ท่ีจะสามารถขออนุญาตตามกฎหมายได้ คือ หน่วยงานของรัฐเท่าน้ัน แต่ร่างกฎกระทรวงฯ ฉบับใหม่จะให้นิติบุคคลสามารถดําเนินการได้ และมีการกําหนดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการขออนุญาตและวิธีการต่างๆ ให้สอดคล้องกับกฎหมายว่าด้วย ยาเสพติดฉบับท่ี ๗ ซึ่งกระบวนการต่าง ๆ ต้ังแต่ต้นนํ้าจนถึงปลายน้ําต้องได้รับการอนุญาตจาก คณะกรรมการอาหารและยา และไดร้ บั ทราบขอ้ มูลเกย่ี วกบั นโยบายจากรัฐบาลระดบั หน่ึง
-๙- ๗. สถาบนั การศกึ ษาท่วี จิ ยั เกีย่ วกับกญั ชา กัญชง และกระทอ่ ม สถาบันการแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต ผู้แทนคณะ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร ผู้แทนผู้อํานวยการสถาบันวิจัย วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี มหาวิทยาลยั เชียงใหม่ และผอู้ าํ นวยการศนู ยว์ จิ ยั และนวตั กรรมพืชกัญชา และพืชเสพติด สมุนไพรทางการแพทย์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดสกลนครให้ข้อมูลว่า ในทางการแพทย์ท่ัวโลก กัญชายับยั้งมะเร็งแต่ไม่ได้รักษาโรคโดยตรง ในมหาวิทยาลัยรังสิต ทดลองใช้สาร THC ในหลอดทดลองฆ่ามะเร็งนํ้าดีได้ มหาวิทยาลัยทําการวิจัย ทั้งท่ีเป็นยาเสพติดอยู่ ซ่ึงระหว่างการวิจัยพบว่า CBN เป็นสารท่ีกลายสภาพจาก THC ทําให้ไม่เมาได้ และสามารถยังยั้งเซลล์มะเร็งปอดในหนูทดลองได้ ใช้ THC CBD CBN จะพบว่า THC CBN ยังย้ัง เซลลม์ ะเร็งปอดในหนูทดลองได้ มสี ารอย่างอ่ืนที่ไม่เมาและใช้ได้จํานวนมากขึ้น แต่มหาวทิ ยาลัยรงั สติ ยังไม่ได้มีการทดลองในมนุษย์และมีการศึกษาในมนุษย์อยา่ งเพียงพอ แต่ที่ผ่านมามกี ารต่อต้านการจด สิทธิบัตรจากต่างชาติในระดับหนึ่งโดยเฉพาะบริษัทข้ามชาติท่ีจดสิทธิบัตรยารักษามะเร็งจากกัญชา และถา้ ใชว้ ิธแี บบ SAS แพทย์ผรู้ ักษาท่ใี ช้ยาดงั กลา่ วต้องรบั ผดิ ชอบเอง ในรายงานการใช้ CBD ในระยะ ๑๑ เดือน พบว่า มะเร็งมีจํานวนลดลง และมีการเก็บข้อมลู ท่ีอิสราเอลในผู้ป่วยประมาณ ๒,๐๐๐ คน พบว่า แม้ว่ากัญชาไม่ได้รักษามะเร็งโดยตรงแต่ทําให้ คุณภาพชีวิตผู้ป่วยดีข้ึน ลดการอาเจียน เบ่ืออาหารและลดการใช้ยาแก้ปวดลง และการวิจัย โรคพาร์กนิ สัน ในสหรฐั ฯ กรณีการหยอดกัญชาแล้วสามารถลดอาการของโรคได้ ในการแพทย์แผนไทยควรจะต้องปลูกกัญชาสายพันธ์ุไทย โดยเฉพาะท่ีสกลนครสามารถ ให้ผลผลิตที่ค่อนข้างดีนับว่าเป็นโอกาส ซึ่งต้นหนึ่งเฉล่ียให้ผลผลิตประมาณ ๑.๒ - ๓ กิโลกรัมต่อดอก ถ้าจะรอแบบสารสกัดเป็นยาก็ต้องทดลองและใช้เวลานาน แต่ถ้ารัฐบาลจะลดข้ันตอนต้องปล่อยเสรี ทางการแพทย์เพราะจะเกิดเสรีสําหรับผู้ใช้ โดยเฉพาะแพทย์แผนไทย แพทย์แผนไทยประยุกต์ และหมอพื้นบา้ น ในระยะยาว ใช้สมุนไพรให้ฤทธ์ิร้อน เช่น พริกไทย ดีปลี ขิงแห้ง เป็นต้น ผสมในตัวยา เพื่อถ่วงข้อเสียของกัญชา เพ่ือการแก้เมากัญชาหรือลดการออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทตามตํารา เภสัชกรรมไทย ส่วนพิษโลหิตใช้นํ้ามันมะพร้าวผสมกับกัญชาเป็นสูตรครีมใช้ทารักษาโรคสะเก็ดเงิน และมีกรณีศึกษาใช้กัญชาในโรคลูคีเมียในระยะสองสัปดาห์ค่ามะเร็งลูคีเมียลดลงแต่ให้ผลข้างเคียงได้ อาจกล่าวได้ว่า การใช้กัญชาระยะยาวท่ีเป็นสารเด่ียวอาจมีผลต่อระบบทางเดินอาหารได้ และมีรายงานว่า หลายคนใช้กัญชาแลว้ ทอ้ งอดื แตช่ ว่ ยลดการอักเสบได้ นอกจากน้ี การใช้กัญชาในระยะยาว จะลดคุณภาพอสุจิ ซ่ึงพบว่าในกลุ่มผู้สูงวัยและเด็ก ถ้าใช้กัญชาแล้วฮอร์โมนเพศจะลดลง โดยเฉพาะกลุ่มอายุ ๓๐ ปีขึ้นไป แต่การแพทย์แผนไทยปรุงยา เป็นเฉพาะรายบุคคล โดยใช้พริกไทย ดีปลี ขิงแห้ง สามารถเพ่ิมความสามารถในการดูดซึมยา และองค์ความรู้ใหม่ พบว่า สารประกอบในกัญชาหลายชนิดทํางานร่วมกันทําให้การรักษา มีผลตอบสนองที่ดขี ้นึ การสกัดเต็มส่วนหรือเหมาะกับการผสมยาสมัยใหม่อย่างไร รวมท้ังกัญชาจะพบสารหอม ที่อยู่ในใบด้วย ทั้งนี้ แพทย์แผนไทยจะใช้วิธีท่ีเรียกว่า ธาตุวินิจฉัย ดูตามถ่ินอาศัย จนสามารถระบุได้ว่า คนคนนั้นธาตุอะไร ดูสถานท่ีท่ีเกิด ฤดูกาลปัจจุบัน อายุ เวลาใช้ และมีการเก็บข้อมูล เพื่อแก้ปัญหา
- ๑๐ - หลายเร่ืองท่ีแพทย์แผนปัจจุบันไม่ทราบ โดยใช้มาตรฐานของวิชาชีพการประกอบโรคศิลปะ กล่าวได้ว่า ภูมิปัญญาไทยมีอะไรหลายอย่างที่น่าสนใจ และอาจจะมาจากอายุรเวทของอินเดีย อาจจะไม่ใช่ การแพทย์แบบตํารับแต่เป็นการปรุงยาเฉพาะรายแต่ละคนไม่เหมือนกัน จึงไม่สามารถใช้กรอบ ความคิดแบบเภสัชยคุ ใหม่มาใชว้ ิเคราะห์ได้โดยเบ็ดเสรจ็ ๘. คณะวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลพระนคร คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร ได้เสนอว่า คณะวิทยาศาสตร์ ดําเนินการตามโครงการเก่ียวกับกัญชา โดยร่วมกับวิสาหกิจชุมชน และดําเนินการ ท่ีโรงพยาบาลสูงเนิน เน้นไปท่ีการวิจัยเกี่ยวกับส่ิงแวดล้อมที่ส่งผลต่อกัญชา และการปลูกอย่างไร ให้สารสําคัญในปริมาณสูง เพ่ือเป็นฐานข้อมูลในการใช้ประโยชน์จากกัญชาในอนาคต แต่การดําเนินการ พบปัญหาจัดแหล่งเมล็ดพันธุ์ โดยเฉพาะเมล็ดพันธ์ุของประเทศไทยเองค่อนข้างน้อย รวมท้ังการยื่น ขออนุญาตมีข้ันตอนจํานวนมาก ซ่ึงต้องอ้างอิงข้อมูลจากต่างประเทศเป็นหลักจึงมีข้อจํากัดต่อการ ขออนุญาตจากหน่วยงานอนุญาต จากประเด็นน้ี กรรมาธิการท่านหนึ่งให้ข้อมูลเพ่ิมว่า กัญชามีการ ผสมพันธุ์ค่อนข้างมากจึงยากท่ีจะเป็นสายพันธ์ุของไทยแท้ และต้องพิจารณาว่าการปลูกฤดูกาลไหน ทีเ่ หมาะสม และตอ้ งใช้ช่วงแสง และวธิ ีการให้แสงที่เหมาะสมถึงจะไดผ้ ลผลิตที่ดี ๙. สถาบนั วจิ ยั วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลยั เชียงใหม่ การวิจัยกัญชงได้ดําเนนิ การต้ังแต่ปี ๒๕๕๗ เป็นพันธ์ุที่ให้ไฟเบอร์และใช้ทําผลติ ภัณฑ์ตา่ ง ๆ ให้กับโครงการหลวง และร่วมมือกับบริษัทเอกชนด้วย ที่ผ่านมาอําเภอแม่แจ่มสามารถปลูกกัญชงได้ เพ่ือการใช้เส้นใย แต่ยังไม่สามารถดําเนินการได้ และบริษัท ออโรล่า มีการปลูกเพื่อการพัฒนาสายพันธุ์ ใหม้ หาวิทยาลัยเป็นผูน้ ําเขา้ และพัฒนาให้มมี าตรฐานสงู และสถาบันวจิ ยั ทํา MOU กับแอตแลนตา เมดกิ แคร์ ท่ีจะวิจยั เพอ่ื การผลิตยากัญชาออกจําหน่ายในอนาคต และมหาวทิ ยาลัยรว่ มกบั หนว่ ยงานภาครัฐ ท่ีให้การสนับสนุนการวิจัย อาทิ สํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ฯลฯ ท่ีจะวิจัยเพื่อการทําเป็นผลิตภัณฑ์เคร่ืองสําอางของภาคเหนือ และวิธีการสกัดสาร CBD ทําตามแบบ เทคโนโลยีขององค์การเภสัชกรรมและสกัดแบบได้มาตรฐาน โดยมีแอตแลนตา เมดิก แคร์ เป็นผู้ดําเนินการและแบ่งผลประโยชน์ร่วมกัน และใช้วิธีสกัดโดยใช้เอทานอล ส่วนเมล็ดพันธุ์กัญชง เป็นเมล็ดพันธ์ุท่ีมีการจดทะเบียนคุ้มครองภายในประเทศ และมีพันธ์ุกัญชงด้ังเดิมอยู่ในข้ันตอน ขอจดทะเบยี น ๑๐. ศนู ยว์ ิจัยและนวตั กรรมพชื กญั ชาและพชื เสพติด สมุนไพรทางการแพทย์ มหาวทิ ยาลัย เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตเฉลมิ พระเกยี รติ จังหวัดสกลนคร ศูนย์วิจัยและนวัตกรรมพืชกัญชาและพืชเสพติด สมุนไพรทางการแพทย์ มหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดสกลนคร เสนอว่า การวิจัย จะมีการร่วมมือกัน ระหว่างอาจารย์ทุกศาสตร์ทั้งด้านเกษตรวิทยาศาสตร์ และนักเศรษฐศาสตร์สังคม รวมทั้งเภสัชกร โดยได้งบประมาณจากมหาวิทยาลัย และได้ใบอนุญาต เมื่อวันท่ี ๖ สิงหาคม ๒๕๖๒ และจะส่ง ผลิตภัณฑ์ให้กรมการแพทย์แผนไทยฯ โดยมีเป้าหมายในการผลิตท่ีมคี ุณภาพ และจะต้องเป็นต้นแบบ
- ๑๑ - ในการเกษตรและการเก็บเกี่ยว โดยจัดทําเป็นคู่มือให้กับเกษตรกร รวมท้ังให้ความรู้กับผู้ท่ีสนใจด้วย ทัง้ น้ี การปลูกจะตอ้ งมมี าตรฐานทง้ั ในเรื่องโรงเรือนและมาตรฐานความปลอดภัยต่อผู้บริโภค กัญชาท่ีดีจะต้องมีความต่อเนื่องของผลผลิตท่ีให้สาร THC และ CBD ตามที่กําหนด และใหเ้ มล็ดพนั ธุ์ทดี่ ี ซึง่ มาจากการออกแบบโรงเรอื นและวิธกี ารปลูกทม่ี มี าตรการควบคุม ขนาดโรงเรือน มีพื้นท่ีปลูกประมาณ ๒๔๐ ตารางเมตร การปลูกแบบกระถางใช้สายพันธุ์ไทย เนื่องจากเป็นตํารับยา แผนไทย คือ ใช้กัญชาสายพันธ์ุหางกระรอก รวมท้ังมีการใหแ้ สงหลอกดว้ ยหลอดแอลอีดีเพื่อให้กัญชา ออกดอกตามท่ีกําหนด มีระบบควบคุมอากาศและน้ําเพื่อจะได้โตเร็ว คาดว่าใช้ระยะเวลาประมาณ ๑๒๓ วัน จึงสามารถเก็บเกี่ยวได้หมด หรือใช้ระยะเวลาประมาณ ๔ เดือน กล่าวได้ว่า กัญชาสามารถ ปลูกได้ดีในสภาพอากาศของประเทศไทย การเก็บเกี่ยวในช่วงแรกได้ ๓๐.๘๕ กิโลกรัม และเก็บเกี่ยว รอบท่สี อง รอบท่ีสามตามท่กี ําหนดเพื่อนาํ ไปผลิตเป็นยา เช่น ยาศขุ ไสยาศน์ ยาแกโ้ รคผวิ หนงั เปน็ ตน้ การสังเกตไตรโคมว่าจะสามารถเก็บเก่ียวได้ตามหลักตํารับแพทย์แผนไทย และนําไป ตรวจหาสารสําคัญ เช่น ตรวจหาสาร THC เป็นต้น และผลผลิตเฉล่ีย ๑ ต้น ได้นํ้าหนักดอกประมาณ ๓ กิโลกรัม และถ้าพิจารณาจากสัณฐานวิทยาแบ่งออกเป็นสองสายพันธุ์คือ พันธุ์หางเสือและพันธ์ุ หางกระรอก มีพ้นื ทีเ่ พาะปลกู ประมาณ ๔๘๐ ตารางเมตร หรือประมาณ ๔๐๐ ตน้ รวมทง้ั คดั แยกเปน็ ต้นตัวเมียร้อยละ ๕๒ สามารถผลิตได้ประมาณ ๔๘๐ กรัมต่อตารางเมตร โดยเป้าหมายสูงสุดคือ ให้ จังหวัดสกลนครเป็นเมืองสมุนไพร นอกจากน้ี มีข้อเสนอแนะว่า ควรมีหน่วยงานควบคุมกัญชา กัญชงให้ได้คุณภาพให้มีมาตรฐานและปลอดภัยต่อผู้บริโภค และควรมีหน่วยงานกลางในการขับเคล่ือน การวิจยั ต้ังแตต่ น้ น้ําจนถึงปลายนา้ํ โดยช่วงเหมาะสมในการปลกู ประมาณเดือนมถิ นุ ายน ถงึ กรกฎาคม และค่าหลอดไฟแอลอีดีประมาณ ๔๐,๐๐๐ บาท แต่ถ้าปลูกกลางแจ้งจะมีปัญหาศัตรูและโรคพืช ส่วนการสกัดเอาสารสําคัญนั้นใช้กัญชาแห้งประมาณ ๑ กิโลกรัม มาผ่านกระบวนการต่าง ๆ จะได้ สารสําคัญประมาณ ๙๓ ซ.ี ซี. ๑๑. ข้อมูลจากบคุ คลอ่ืนทเี่ ก่ยี วข้อง (๑) นายเดชา ศิริภัทร (หมอเดชา) นายเดชา ศิริภัทร มีอาชีพเป็นเกษตรกรและเป็นผู้ก่อต้ังมูลนิธิข้าวขวัญสุพรรณบุรี ส่วนเรื่องกัญชาเป็นการดําเนินการส่วนตัว โดยเริ่มจากใช้ทดลองรักษาตนเอง ญาติ และเพ่ือน จนขยายต่อไปยังกลุ่มลูกศิษย์ ซ่ึงมีการปรับปรุงและค้นคว้ามาตลอด โดยเริ่มมาจากการทดลอง ตามแนวทางของริก ซิมสัน (Rick Simpson) และได้นําหลักน้ันมารักษาผู้ป่วย ในระยะแรกทําให้เกิด อาการเมา จึงมีการปรับเปล่ียนสูตร โดยใช้วิธีแบบไทย ๆ แทน ท้ังน้ี ผู้ท่ีใช้กัญชาในการรกั ษาจะต้องมี ข้อปฏิบัติ คือ จะต้องไม่กินของแสลงตามท่ีกําหนด กล่าวได้ว่า การใช้น้ํามันกัญชาเพ่ือการรักษาโรค เกิดจากการทดลองใช้จริงและปรับปรุงให้เหมาะสมด้วยการผสมกับนํ้ามันมะพร้าวสกัดเย็น และใช้ รักษาโรคหลายชนิดท่ีแพทยแ์ ผนปจั จบุ นั ยงั ไม่พบวธิ ีการรักษาท่แี น่ชัด ซึง่ เปน็ การรกั ษาแบบกึง่ ทดลอง จนได้รับการยอมรับในเวลาต่อมา และได้รับการฝึกอบรมจนเป็นหมอพ้ืนบ้านท่ีรักษาได้ตามท่ีกฎหมาย กําหนด ซึ่งที่ผ่านมามีปัญหาด้านการรักษาเพราะไม่ใช่แพทย์จึงขัดกับกฎหมายว่าด้วยวิชาชีพ ต่อมา ได้บริจาคสูตรนํ้ามันกัญชาให้กับกระทรวงสาธารณสุขเพื่อนําไปใช้ในสถานพยาบาลของรัฐทั่วประเทศ
- ๑๒ - กว่า ๒๒ แห่ง และเม่ือครบจํานวนในการทดลองนําไปใช้แล้วกว่าหน่ึงหมื่นราย ก็จะสามารถนําเข้าสู่ บัญชยี าหลกั แห่งชาติ ซ่ึงจะอยู่ในระบบการเบกิ จ่ายคา่ รักษาพยาบาลของรัฐตามกฎหมาย นอกจากน้ี ในการใช้นํ้ามนั กญั ชาดงั กล่าวจะต้องมีลักษณะ ๔ ขอ ประกอบด้วย ขอทห่ี น่ึง ไม่เหม็นเขียว ขอท่ีสองไม่ขม/ไม่ขุ่น ขอท่ีสามไม่ขาย และขอท่ีส่ีเก็บข้อมูลโดยละเอียด ส่วนราคา จะไม่สงู มาก โดยเฉลีย่ ๑ ซีซี ราคา ๑ บาท หรอื ๑ ขวด ราคาประมาณ ๑๐ บาท ทั้งนีส้ ูตรยากญั ชาน้ี เปน็ สูตรของพระและมีการกลา่ วอา้ งถงึ หลกั อจินไตย (๒) นายบณั ฑูร นิยมาภา (หมอต)ู้ การใช้กัญชารักษาโรคมีข้อโต้แย้งและข้อถกเถียงจํานวนมาก และมีมานานเก่ียวกับ ผลกระทบของการใช้กัญชา แต่พบว่ามนุษย์มีการใช้กัญชามานานแล้ว เน่ืองจากกัญชาอยู่ในวัฒนธรรม หลายประเทศ แต่กัญชามีผลกระทบอยู่ ๓ อย่าง คือ ๑) หัวใจเต้นดีไม่เป็นอันตรายแบบรวดเร็ว แตจ่ ะค่อย ๆ หายไปเมื่อสรา่ งเมา ๒) นํา้ ตาลในเลือดจะลดลง และ ๓) ลดความดนั ท้งั ความดนั โลหิต และความดนั ตา การใช้กัญชารักษาโรคจึงมีการหยดใต้ลิ้น ผลกระทบเหล่าน้ีอาจจะลดลงซ่ึงเป็นเหตุผล ทางวิทยาศาสตร์ เนื่องจากส่วนประกอบของต้นกัญชาในแต่ละส่วนจะให้สรรพคุณ ประโยชน์ ที่แตกต่างกัน กล่าวคือ จะให้สารออกฤทธ์ิทางเคมีท่ีต่างกัน โดยเฉพาะในดอกจะพบสารที่ทําให้เมา อยา่ งไรกด็ ีพบวา่ คนตดิ กญั ชามีจํานวนนอ้ ยกวา่ คนตดิ สุราหรือบุหร่ี และยํ้าว่ากญั ชามอี ย่ใู นวฒั นธรรมไทย นานมาแล้ว แต่เกิดปัญหาทางกฎหมายจึงไม่สามารถนํามาใช้ประโยชน์ได้เต็มท่ี ซ่ึงในทางวิทยาศาสตร์ สามารถแยกสารออกฤทธจ์ิ ากกัญชาไดค้ ือ สาร THC CBN และสาร CBD ซงึ่ จะสง่ ผลตอ่ ร่างกายมนุษย์ เนื่องจากมนุษย์จะมีรีเซฟเตอร์คานาบินอยด์และสามารถระงับความเจ็บป่วยได้ นอกจากนี้ กัญชา ยังให้ผลผลิตต่างกันได้ถ้ามีการปลูกในระดับความสูง สภาพอากาศ ระยะเวลาที่ต่างกันก็ให้สารออก ฤทธิ์ตา่ งกนั อนั จะสง่ ผลต่อสาร THC และ CBD ในตน้ กัญชา นอกจากน้ี ได้ร่วมมือกับภาคีเครือข่ายกัญชาเพื่อประชาชนพร้อมแนวร่วม ได้รวบรวม รายช่ือประชาชน ๑๐,๐๐๐ กว่ารายชื่อ เพื่อเสนอร่างพระราชบัญญัติพืชยาเสพติดให้คุณทาง การแพทย์ พ.ศ. … โดยมีวัตถุประสงค์ให้ใช้พืชยาเสพติดบางประเภท เช่น กัญชา กัญชง ใช้ประโยชน์ เพื่อการรักษา การบริการด้านสุขภาพ การปรับใช้ในครัวเรือน ทําอาหาร เป็นส่วนผสมของเครื่อง อุปโภคบริโภค ตลอดจนเป็นพืชเศรษฐกิจ โดยเสนอให้มีองค์กรระดับชาติข้ึนมากํากับดูแล ตั้งแต่การ เลอื กพ้นื ท่ี การคดั เมล็ดพนั ธ์ุ และการสนับสนนุ ระหว่างภาครฐั กับประชาชนก่อให้เกิดประโยชน์ ท้ังนี้ ร่างกฎหมายฉบับน้ีได้มีการบรรจุการแพทย์แบบบูรณาการ รวมท้ังมีการศึกษาจากงานวิจัยของ ตา่ งประเทศเข้ามาเสริมเปน็ ขอ้ มลู วชิ าการกอ่ นที่จะเขยี นเป็นรา่ งกฎหมาย ๒.๒ สรุปผลการดําเนินงานของคณะอนุกรรมาธิการ ในคราวประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาหาแนวทางการแก้ไขปัญหาการใช้ กัญชา กัญชง และกระท่อมอย่างเป็นระบบ ครั้งที่ ๓ วันพุธท่ี ๒๙ มกราคม ๒๕๖๓ ท่ีประชุม คณะกรรมาธิการได้มีมติตั้งคณะอนุกรรมาธิการ ๓ คณะ ประกอบด้วย ๑) คณะอนุกรรมาธิการ พิจารณาศึกษาหาแนวทางการแก้ไขปัญหาเก่ียวกับการใช้กัญชาอย่างเป็นระบบ ๒) คณะอนุ กรรมาธิการพิจารณาศึกษาหาแนวทางการแก้ไขปัญหาเก่ียวกับการใช้กัญชงอย่างเป็นระบบ
- ๑๓ - และ ๓) คณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาหาแนวทางการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการใช้กระท่อมอย่าง เปน็ ระบบ ซึ่งผลการดําเนินงานทีผ่ า่ นมาของคณะอนกุ รรมาธิการสรปุ ได้ ดงั นี้ ๑. คณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาหาแนวทางการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการใช้กัญชา อย่างเปน็ ระบบ จากการศึกษาของคณะอนุกรรมาธิการ มีข้อเสนอในการแกไ้ ขปัญหากญั ชาทางการแพทย์ อยา่ งเปน็ ระบบ ดังน้ี ระยะเร่งด่วน (๑) ขอให้คณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษ แต่งต้ังอนุกรรมการในระดับจังหวัด ตามมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ ทําหน้าท่ีให้ความเห็นชอบในการ อนญุ าตแทน คณะกรรมการตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการกําหนด และขอให้เลขาธิการ คณะกรรมการอาหารและยามอบอํานาจในการอนุญาตให้กับผู้ว่าราชการจังหวัด ในเร่ืองการ เพาะปลูกกัญชาและการครอบครองให้เป็นไปตามเงื่อนไขของคณะกรรมการอาหารและยา เฉพาะใน พื้นทีจ่ ังหวัดท่รี บั ผิดชอบ เหตผุ ล เพื่อลดปัญหา ระยะเวลาในการรอคอย ลดค่าใช้จ่าย ของผู้ขออนุญาต ซ่ึงส่วนใหญ่ใน ระยะเวลาภายใน ๕ ปี นับแต่พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับท่ี ๗) พ.ศ.๒๕๖๒ บังคับใช้เป็น หน่วยงานภาครัฐแต่เพียงอย่างเดียว หรือวิสาหกิจชุมชนร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐที่เก่ียวข้อง และเป็นการลดภาระงานและงบประมาณของหน่วยงานที่รับผิดชอบ คือ สํานักงานคณะกรรมการ อาหารและยาจะสามารถไปทําหน้าที่อื่นในการดูแลประชาชนได้เพิ่มข้ึนตามอํานาจหน้าท่ีในกฎหมาย เพราะตามแนวทางของสํานักงานคณะกรรมการ อาหารและยาในกรณีพื้นท่ีเพาะปลูกอยู่ในต่างจังหวัด ต้องผ่านการพิจารณาจากผู้ว่าราชการจังหวัด โดยความเห็นจากคณะกรรมการที่ผู้ว่าราชการจังหวัด แต่งตั้งหรือมอบหมายให้พิจารณา หรือคณะทํางาน จากศูนย์อํานวยการป้องกันและปราบปราม ยาเสพติดระดบั จังหวัด (ศอ. ปส. (จ)) (๒) ขอให้กระทรวงสาธารณสุขจัดการฝึกอบรมและสอบวัดความรู้ผ่านระบบออนไลน์ ให้กับผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม ผู้ประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทย ผู้ประกอบวิชาชีพการแพทย์ แผนไทยประยุกต์ ทันตแพทย์ เภสัชกร และหมอพ้ืนบ้านให้สามารถสั่งจ่ายยากัญชาได้ โดยให้ได้รับ การขนึ้ ทะเบยี นจากสาํ นักงานคณะกรรมการอาหารและยาหลังสาํ เรจ็ การฝกึ อบรม เหตผุ ล ผู้มีสิทธิสั่งจ่ายยากัญชามีจํานวนน้อยไม่เพียงพอกับความต้องการของผู้ป่วยท่ีมีความ ประสงคจ์ ะใชย้ ากัญชาท่มี ีอยูท่ ่ัวประเทศ เพราะกญั ชาสามารถใช้ในทางการแพทยไ์ ด้อยา่ งหลากหลาย และสามารถใช้ทดแทนยาบางประเภทท่ีนําเข้าจากต่างประเทศได้ หากมีใช้ทางการแพทย์ได้อย่าง แพร่หลายจะส่งผลให้ เกิดการสร้างงานสร้างรายได้แก่ประชาชนอีกจํานวนหน่ึงได้ หรือช่วยลดปัญหา ทางสังคมจากยาเสพติดชนิดอ่ืนได้ เน่ืองจากกัญชานั้นมีสารเสพติดท่ีมีอันตรายน้อยกว่ากาแฟเมื่อ
- ๑๔ - เทียบกันแล้ว หรือน้อยกว่าสุราหลายเท่า และสามารถนํามาใช้ในการบําบัดผู้ติดยาเสพติดให้โทษอีก ดว้ ย ระยะยาว - เสนอให้มีกฎหมายเฉพาะ คือ ร่างพระราชบัญญัติพืชควบคุมเพ่ือประโยชน์ทาง การแพทย์ พ.ศ. .... โดยเสนอให้สภาผู้แทนราษฎรต้ังคณะกรรมาธิการวิสามัญข้ึนมาคณะหนึ่ง เพอื่ พิจารณาร่างพระราชบัญญัติดงั กลา่ ว เหตผุ ล เน่ืองจากกัญชา มีสารเสพติดคือสาร THC เพียงชนิดเดียว ที่หากเลิกใช้ยาแล้วจะมี อาการถอนพิษยาหรือลงแดงที่รุนแรงน้อยกว่ายาเสพติดชนิดอ่ืน คือมีอาการนอนไม่หลับ ปวดเม่ือย ตามตัวหรือปวดศีรษะเล็กน้อย และมีอันตรายต่อสุขภาพน้อยกว่าสุรา บุหร่ี หรือกาแฟ ที่กฎหมายให้ สามารถจําหน่ายได้อย่างเสรี และพบว่าส่วนอื่น หรือแม้กระท่ังสารชนิดอ่ืนในกัญชาอีกมากมาย มี ประโยชน์สามารถใช้ในการ ผลิต อาหารเสริม เครื่องสําอาง หรือยารักษาโรค ใบสดยังสามารถใช้ปรุง เปน็ ยาแผนไทย สาํ หรบั รกั ษาผปู้ ว่ ยได้ หรอื ปรงุ อาหารใหอ้ ร่อยได้ แต่ประเทศไทยเป็นภาคีประเทศของอนุสัญญาเดี่ยวว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ ค.ศ. 1961 และพิธีแก้ไขอนุสัญญาเดี่ยวว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ ค.ศ. 1961, ค.ศ. 1972 ซ่ึงมีผลบังคับใช้หาก ประเทศไทยจะให้มีการปลูกพืชกัญชา จะต้องดําเนินการเง่ือนไขของกฎหมายระหว่างประเทศฉบับนี้ ซึ่งกําหนดให้มีหน่วยงานระดับชาติข้ึนมาดําเนินการผูกขาดการรับซ้ือผลิตภัณฑ์กัญชาทั้งประเทศ และให้มีการกําหนดพื้นที่เพาะปลูกท่ีชัดเจน และรายงานผลการผลิตไปยังหน่วยงานท่ีรับผิดชอบของ องค์การสหประชาชาติเป็นประจําทุกปี และกฎหมายว่าด้วยยาเสพติดให้โทษของประเทศไทย กําหนดให้สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา เป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบ ซึ่งมีภาระงานจํานวน มากไม่มีประสบการณ์และความรู้ความสามารถที่เพียงพอในด้านการเกษตรที่จะดูแลควบคุมได้อย่าง ทั่วถึง จําเป็นต้องมีหน่วยงานเฉพาะมาควบคุม กํากับดูแล ศึกษา วิจัยและพัฒนา และรับซื้อผลผลิต ท้ังประเทศ ถือเป็นภารกิจที่สําคัญท่ีมปี ริมาณงานมาก และมีความสลบั ซับซอ้ นและยากลาํ บากในการ ปฏิบัติงาน หน่วยงานเดิมที่มีอยู่ไม่อาจสามารถดําเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากประเทศไทย จะใช้พืชกัญชาอีกชนิดหนึ่ง ในการสร้างเศรษฐกิจ สร้างงานสร้างรายได้ให้กับประชาชนภายในประเทศ เช่นเดียวกับ ข้าว อ้อยหรือยางพารา จึงจําเป็นต้องมีกฎหมายว่าด้วยพืชกัญชาและพืชอ่ืนที่มีสารเสพติด ขึ้นมาเปน็ การเฉพาะ โดยกาํ หนดให้มีชือ่ วา่ กฎหมายว่าดว้ ยพชื ควบคุมเพือ่ ประโยชนท์ างการแพทย์ ๒. คณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาหาแนวทางการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการใช้กัญชง อย่างเปน็ ระบบ ทั้งนี้คณะอนุกรรมาธิการฯ ได้พิจารณาศึกษาหาแนวทางการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการใช้ กัญชงอย่างเป็นระบบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพ่ือนําไปสู่การเพิกถอนกัญชงจากบัญชียาเสพติดให้โทษ ประเภท ๕ สู่การเปน็ พืชเศรษฐกิจมลู คา่ สูงของไทยในอนาคตต่อไป จงึ ได้สรุปข้อคิดเหน็ และขอ้ เสนอแนะ ดังน้ี
- ๑๕ - (๑) เสนอให้เพิกถอนกัญชง (Hemp) ออกจากบัญชียาเสพติดให้โทษประเภท ๕ ที่ระบุไว้ในพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ และพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบบั ท่ี ๗) พ.ศ. ๒๕๖๒ และกฎหมายอ่ืน ๆ ท่เี ก่ียวขอ้ ง สู่การเปน็ พืชเศรษฐกจิ ใหม่ของไทย (๒) เสนอให้แก้ไข (ร่าง) กฎกระทรวง การขออนุญาตและการอนุญาตผลิต นําเข้าส่งออก จาํ หนา่ ยหรอื มีไว้ในครอบครอง ซึง่ ยาเสพตดิ ให้โทษประเภท ๕ เฉพาะกัญชง (Hemp) พ.ศ. .... ดังนี้ ๑) ให้เพ่ิมเตมิ คํานยิ ามพชื กญั ชง (Hemp) ในพฤกษศาสตร์ (Botany) ดว้ ยวธิ จี ําแนก ทางวทิ ยาศาสตร์ (Scientific Classification) ว่า Cannabis sativa L., และในกฎหมาย (Law) ด้วยวิธี กําหนดค่าทางชีวเคมี (Biochemistry) ของสาร Tetrahydrocannabinol (THC) ในช่อดอกแห้ง ไม่เกินร้อยละ ๑.๐๐ โดยน้าํ หนกั แห้ง เพื่อจําแนกกญั ชงออกจากกญั ชาอยา่ งชัดเจน ๒) ให้แก้ไข คํานิยามในบททั่วไป คําว่า “ประโยชน์ครัวเรือน” หมายความว่า การใช้ ประโยชน์จากเส้นใย แก้ไขเป็น การใช้ประโยชน์จากทุกส่วนของพืช ตามประเพณี วัฒนธรรม ตามวิถีชีวิต และใช้ในครอบครัว และ “กําหนดจํานวนพ้ืนท่ีให้สามารถปลูกได้ ครัวเรือนละไม่เกิน ๑ ไร่” แก้ไขเป็น ครัวเรือนละไม่เกิน ๒๐ ไร่ แต่การอนุญาตให้ผู้ปลูกเอาช่อดอก ดอก ให้เป็นไปตาม ใบอนญุ าตปลูกเท่าน้นั (๓) เสนอให้แก้ไข ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุช่ือยาเสพติดให้โทษ ในประเภท ๕ (ฉบับท่ี ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒ ในการกาํ หนดปรมิ าณสารสําคญั ในพืชกัญชง (Hemp) ดงั น้ี ๑) จากสารสกัดหรือผลิตภัณฑ์จากสารสกัด ที่มีสารแคนนาบิไดออล (cannabidiol, CBD) เป็นส่วนประกอบหลัก และมีสารเตตราไฮโดรแคนนาบินอล (tetrahydrocannabinol, THC) ไม่เกินรอ้ ยละ ๐.๒ โดยนาํ้ หนกั แกไ้ ขเปน็ สารสกดั หรือผลติ ภณั ฑ์จากสารสกัดทีม่ ีสารแคนนาบไิ ดออล (Cannabidiol, CBD) รวมทั้งสารสกัดอ่ืน ๆ เช่น CBC CBN CBG Terpene หรือสารอ่ืน ๆ ที่เก่ียวข้องและมีสารเตตราไฮโดรแคนนาบินอล (Tetrahydracannabinol, THC) ไม่เกินร้อยละ ๐.๓ โดยนา้ํ หนัก ๒) ให้พิจารณาระบุตามกฎหมายประกอบการใช้ประโยชน์ของสารแคนนาบิไดออล (Cannabidiol CBD) รวมทั้งสารสกัดอื่น ๆ เช่น CBC CBN CBG Terpene หรือสารอ่ืน ๆ ที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น ซ่ึงเป็นผลิตภัณฑ์สมุนไพร หรืออาหาร หรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและเคร่ืองดื่ม หรือเครื่องสําอาง ตามกฎหมายว่าด้วยผลิตภัณฑ์สมุนไพร หรืออาหาร หรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และเคร่อื งดมื่ หรือเครือ่ งสําอาง (๔) เสนอให้กรมวิชาการเกษตรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดําเนินการนํากัญชง พันธ์ุพ้ืนเมืองหรือพันธ์ุพื้นบ้านด้ังเดิมมาข้ึนทะเบียนพันธ์ุพืชตามพระราชบัญญัติพันธุ์พืช พ.ศ. ๒๕๑๘ และท่ีแก้ไขเพิ่มเติม และส่งเสริมให้มีการพัฒนาสายพันธุ์ใหม่ที่ให้ผลผลิตเส้นใย เปลือก แกนลําต้น เมล็ดพันธุ์ ช่อดอกท่ีมีสาร CBD สูง มีสาร THC ตํ่า และให้ผลผลิตเมล็ดที่มีคุณค่าสูงทางโภชนาการ และส่งเสริมให้มีการจดทะเบียนคมุ้ ครองพนั ธุ์พืชใหม่ ตามพระราชบัญญตั ิคุม้ ครองพนั ธพ์ุ ชื พ.ศ. ๒๕๔๒ ท้ังนี้ สายพันธุ์พ้ืนเมืองหรือสายพันธ์ุพ้ืนบ้านด้ังเดิม ที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตอัตลักษณ์ ของกลุ่มชาติพันธ์ุม้งในประเทศไทย ขอให้เร่งดําเนินการขึ้นทะเบียนและจดทะเบียนให้เป็น สิง่ บ่งชที้ างภูมิศาสตร์ (GI) รวมท้ังให้ได้รบั การค้มุ ครองทางกฎหมายดา้ นตา่ ง ๆ โดยเรว็
- ๑๖ - (๕) เสนอให้สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา และหน่วยงานที่เก่ียวข้อง ลดข้ันตอนการขออนุญาตผลติ จําหน่าย หรือมีไว้ในครอบครอง กัญชง (Hemp) รวมท้ังปรับปรุงแก้ไข ประกาศ กฎกระทรวงฯ ประกาศคณะกรรมการฯ และคําส่งั อนื่ ๆ ทางกฎหมายทเี่ กีย่ วขอ้ ง (๖) เสนอให้สํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) และ หน่วยงานท่ีเกี่ยวข้อง สร้างทัศนคติที่ดีต่อพืชกัญชง (Hemp) อย่างกว้างขวางในการเป็นพืชเศรษฐกิจ มูลค่าสูง ตลอดจนสร้างความรู้ความเข้าใจในกฎระเบียบ แนวปฏิบัติ อย่างครอบคลุมและทั่วถึง ทุกกล่มุ เปา้ หมาย (๗) เสนอให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ระบุพืชกัญชง (Hemp) เป็นพืชเศรษฐกิจใหม่ของไทย ให้มีการส่งเสริมและสนับสนุนภาคเกษตรกรรม อุตสาหกรรม และพาณิชยกรรม ในด้านองค์ความรู้ ปัจจัยการผลิต และการแปรรูปกัญชง (Hemp) การรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ การผลักดันการจัดต้ังสมาคม วิสาหกิจชุมชน สหกรณ์ องค์กรอื่น ๆ ตลอดจนสนับสนุนด้านนวัตกรรม และการเข้าถึงแหล่งเงินทุนต่าง ๆ รวมท้ังรับการส่งเสริมและ สนับสนนุ จาก BOI ในระดับสงู สุด ๓. คณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาหาแนวทางการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการใช้ กระท่อมอย่างเปน็ ระบบ ในประเทศไทยกระท่อมมีสถานะทางกฎหมายเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท ๕ ตามพระราชบญั ญตั ยิ าเสพตดิ ใหโ้ ทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๗ (๕) และมาตรา ๗๕ ได้กาํ หนดบทลงโทษ ทางอาญาไว้ชัดเจนสําหรับผู้ที่ผลิต นําเข้า ส่งออกกระท่อม ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินห้าปี และปรับ ไม่เกินห้าแสนบาท ส่วนกรณีจําหน่ายกระท่อมต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่หน่ึงปีถึงสิบห้าปี และปรับ ต้ังแต่หน่ึงแสนบาทถึงหนึ่งล้านห้าแสนบาท ซึ่งการที่พระราชบัญญัติฉบับดังกล่าวบัญญัติให้ พืชกระท่อมเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท ๕ ส่งผลให้เกิดข้อจํากัดในการศึกษาและวิจัยพัฒนา พืชกระท่อม เพ่ือนําไปใช้ประโยชน์ท้ังด้านการสาธารณสุขและส่งเสริมเป็นพืชเศรษฐกิจของประเทศ เน่ืองจากการครอบครองกระท่อมเป็นความผิดตามกฎหมายและมีการกําหนดบทลงโทษทางอาญาไว้ อยา่ งชดั เจน ดังน้ัน คณะอนุกรรมาธิการจึงมีความเห็นว่าเพื่อให้ปัญหาดังกล่าวได้รับการแก้ไขอย่างมี ประสิทธิภาพจึงควรแก้ไขพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.๒๕๒๒ และกฎหมายท่ีเกี่ยวข้องโดย ยกเลกิ พืชกระทอ่ มจากการเป็นยาเสพตดิ ให้โทษประเภท ๕ เพือ่ ให้สามารถศึกษาและวจิ ัยพืชกระทอ่ ม ได้อย่างเป็นระบบ เพ่ือนําไปใช้ประโยชน์ด้านการแพทย์และอุตสาหกรรมยา รวมทั้งพัฒนาให้เป็น พืชเศรษฐกิจของประเทศตอ่ ไป และเพื่อให้การแกไ้ ขปญั หาดังกล่าวได้รับการแก้ไขอย่างมีประสทิ ธิภาพ คณะอนกุ รรมาธิการมีขอ้ แสนอเสนอแนะ ดังนี้ (๑) ควรแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.๒๕๒๒ และกฎหมายท่ี เกี่ยวข้องโดยระบุให้ชัดเจนว่าพืชกระท่อมไม่ใช่ยาเสพติดเพ่ือป้องกันการออกกฎ ระเบียบ คําสั่งหรือ ประกาศกําหนดให้พืชกระท่อมเป็นยาเสพติดในภายหลัง ซ่ึงจะเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาและวิจัย พืชกระท่อมเพ่ือใช้ประโยชน์ด้านการแพทย์และพัฒนาเป็นพืชเศรษฐกิจของประเทศ และลดปัญหา
- ๑๗ - คดีอาญาเกี่ยวกับพืชกระท่อมในกระบวนการยุติธรรมซ่ึงมีเป็นจํานวนมากเพื่อให้การพิจารณาคดีอ่ืน รวดเรว็ ข้ึน (๒) ควรแก้ไขเพิม่ เตมิ กฎกระทรวงฉบบั ท่ี ๔ พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งออกตามความในพระราชบญั ญัติ ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ เรื่องใบอนุญาตผลิต นําเข้า ส่งออกหรือครอบครองพืชกระท่อม และการต่อใบอนุญาตให้มีหลักเกณฑ์ท่ีแน่นอนและชัดเจน ไม่ควรให้อยู่ในดุลพินิจของกลุ่มบุคคลใด บุคคลหนึ่ง และควรอนุญาตตามระยะเวลาที่สมควร ทั้งนี้ โดยคํานึงถึงความต่อเนื่องในการศึกษา และวิจยั พชื กระทอ่ ม (๓) สํานักงานตํารวจแห่งชาติควรกําหนดนโยบายผ่อนผันการจับกุมประชาชนผู้บริโภค หรือครอบครองพืชกระท่อมในปริมาณท่ีเหมาะสมใช้ในครัวเรือน ซ่ึงสามารถทําได้สะดวกกว่า การออกประกาศกําหนดท้องท่ี ตามความในพระราชบัญญตั ิยาเสพติดให้โทษ (ฉบับท่ี ๗) พ.ศ. ๒๕๖๒ มาตรา ๕๘/๒ ซ่ึงมีขัน้ ตอนยุง่ ยากและตอ้ งใชร้ ะยะเวลาในการดาํ เนินการ นอกจากน้ี คณะอนกุ รรมาธิการมีข้อสงั เกต ดงั น้ี (๑) การใช้คําว่า “การใช้พืชกระท่อมอย่างถกู ต้องตามกฎหมาย” ในกฎหมายด้านยาเสพตดิ มีความเหมาะสมมากกว่า การใช้คําว่า “การเสพพืชกระท่อม” ซึ่งมีความหมายไม่เหมาะสมเน่ืองจาก ประชาชนท่ัวไปอาจจะเข้าใจวา่ พืชกระท่อมเปน็ ยาเสพตดิ (๒) การยกเลิกพืชกระท่อมจากการเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท ๕ ย่อมส่งผลให้ ประชาชนเขา้ ถงึ พืชกระท่อมได้สะดวกมากขึ้น ดังนั้น หนว่ ยงานทมี่ หี นา้ ท่แี ละอาํ นาจเกย่ี วขอ้ งกบั เรื่อง ดังกล่าวจึงต้องกําหนดมาตรการป้องกันมิให้เด็กและเยาวชนนําพืชกระท่อมไปใช้ในในทางท่ี ไม่เหมาะสม มาตรการควบคุมการนําพืชกระท่อมมาใช้ผลิตยาหรือเครื่องสําอางและมาตรการป้องกัน อุบัติเหตุอันเกดิ จากการบรโิ ภคพืชกระทอ่ ม (๓) การกําหนดพื้นที่ซึ่งสามารถครอบครองและใช้ประโยชน์จากพืชกระท่อมได้โดยไม่ เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ ๗) พ.ศ. ๒๕๖๒ มาตรา ๕๘/๒ ต้องมี หลักเกณฑ์การตรวจสอบพ้ืนท่ีท่ีมีประสิทธิภาพสามารถสํารวจได้ครอบคลุมทุกพ้ืนที่ที่มีประชาชน บริโภคพืชกระทอ่ มเพอื่ มใิ หพ้ ืน้ ทใ่ี ดตกสํารวจ (๔) การแก้ไขกฎหมายด้านยาเสพติดต้องบัญญัติข้อกําหนดท้ายกฎหมายเก่ียวกับการใช้ พืชกระท่อม เช่น อนุญาตให้แต่ละครอบครัวครอบครองพืชกระท่อมได้ไม่เกิน ๑ ต้นและจะต้องติด QR CODE ทุกต้นเพื่อตรวจสอบและติดตาม การนําพืชกระท่อมมาใช้ในเชิงธุรกิจต้องทําในลักษณะ วิสาหกิจชุมชนและการปลูกเป็นพืชเศรษฐกิจ เพ่ือประกอบเป็นยารักษาโรค หรือเคร่ืองด่ืมบํารุงกําลัง ต้องขออนุญาตต่อหน่วยงานของรัฐ การนําพืชกระท่อมมาบริโภคใบสดไม่เป็นความผิดตามกฎหมาย เวน้ แตก่ ารนําพืชกระทอ่ มมาแปรรูปผสมกับยาเสพติดในลกั ษณะ ๔ คูณ ๑๐๐ ๒.๓ ข้อมลู ดา้ นกฎหมาย การใช้ประโยชน์จากกัญชา กัญชง และกระท่อม ท้ังในมิติของการแพทย์ เศรษฐกิจ มกี ระบวนการควบคุมที่เหมาะสม โดยการใช้กฎหมายว่าด้วยยาเสพติดระหว่างประเทศ และกฎหมาย ภายในประเทศ รวมทัง้ กฎหมายลาํ ดับรองทีเ่ กีย่ วขอ้ ง มรี ายละเอียด ดังนี้
- ๑๘ - ๑. ขอ้ มูลกฎหมายเกีย่ วกับกัญชา ตามข้อกฎหมายในประเทศไทย กัญชาถูกระบุในกฎหมายให้เป็นยาเสพติดให้โทษ ประเภท ๕ ตามมาตรา ๗ (๕) แห่งพระราชบัญญัติยาเสพตดิ ให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ ถือเป็นยาเสพติดให้ โทษท่ีมิได้เข้าข่ายอยู่ในประเภท ๑ ถึงประเภท ๔ การอนุญาตให้มีการผลิต นําเข้าหรือส่งออกของ กัญชา จะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการยาเสพติดให้โทษตามมาตรา ๖/๒ ก่อน เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยาจึงจะสามารถอนุญาตได้ สําหรับการอนุญาตครอบครอง และจาํ หนา่ ยน้ันเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยาหรือผไู้ ด้รบั มอบหมายสามารถอนญุ าตได้ กัญชาสามารถใช้เสพเพ่ือการรักษาโรคตามคําสั่งของแพทย์ ทันตแพทย์ แพทย์แผนไทย แพทย์แผนไทยประยุกต์และหมอพ้ืนบ้าน ท่ีได้รับใบอนุญาต หรือใช้เสพเพื่อการศึกษาวิจัยได้เท่านั้น ตามมาตรา ๕๘ วรรคสองแห่งพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับท่ี ๗) พ.ศ.๒๕๖๒ โดยตํารับท่ีเสพได้ต้องเป็นไปตามท่ีรัฐมนตรีประกาศกําหนด ไว้ดังน้ี ๑) ยาท่ีได้รับการรับรองจาก สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา ๒) ตํารับยาแผนไทยที่มีกัญชาปรุงผสมอยู่ จํานวน ๑๖ ตํารับ ๓) ตํารับที่ได้รับอนุญาตให้ผลิตในประเทศ ภายใต้การรักษาโรคกรณีจําเป็นสําหรับผู้ป่วยเฉพาะราย ๔) ตํารับท่ีได้รับอนุญาตภายใต้โครงการศึกษาวิจัยท่ีได้รับอนุญาตจากสํานักงานคณะกรรมการอาหาร และยา ๕) ตํารับยาท่ีหมอพ้ืนบ้านปรุงขึ้นจากองค์ความรู้และภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยท่ีชัดเจน ที่ได้รับรองจากกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก โดยที่วัตถุดิบต้องไม่สามารถแยกเป็น ชอ่ ดอก ใบ เพือ่ นําไปใช้ในทางทีผ่ ิดได้ ในระยะ ๕ ปแี รก ตั้งแต่ ๑๙ กมุ ภาพันธ์ ๒๕๖๒ จนถึง ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗ อนุญาตให้ เฉพาะหน่วยงานรัฐ ผลิต นําเข้า หรือส่งออกได้ หรือหน่วยงานรัฐที่มีหน้าที่เก่ียวข้องตามกฎหมาย ร่วมมือกับแพทย์ เภสัชกร ทันตแพทย์ สัตวแพทย์ แพทย์แผนไทย แพทย์แผนไทยประยุกต์ หรือหมอ พ้ืนบ้านตามกฎหมายหน่วยงานรัฐร่วมกับ สถาบันอุดมศึกษาเอกชนท่ีมีหน้าที่ศึกษาวิจัยและจัดการ เรียนทางการแพทย์หรือเภสัชศาสตร์ หรือหน่วยงานรัฐร่วมมือกับวิสาหกิจชุมชนหรือสหกรณ์ การเกษตรตามมาตรา ๒๑ แห่งพระราชบญั ญัตยิ าเสพติดให้โทษ (ฉบับท่ี ๗) พ.ศ. ๒๕๖๒ ซ่งึ ภาคเอกชน ไมส่ ามารถดาํ เนนิ การไดต้ ามลาํ พงั กล่าวได้ว่า กัญชาเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท ๕ ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ และพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับท่ี ๗) พ.ศ. ๒๕๖๒ ได้กําหนดเก่ียวกับ การควบคุมกัญชาไว้ ๔ มาตรา ได้แก่ ๑) มาตรา ๒๖/๒ กําหนดห้ามมิให้ผู้ใดผลติ นําเข้า ส่งออก เว้นแต่ ได้รับอนุญาตจากเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ ควบคุมยาเสพติดให้โทษ ๒) มาตรา ๒๖/๓ กําหนดห้ามมิให้ผู้ใดจําหน่าย หรือครอบครอง เว้นแต่ ได้รับอนุญาตจากเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา ๓) มาตรา ๒๖/๒ (๑) กําหนดให้สามารถ นํากัญชามาใช้ประโยชน์ได้ตามวัตถุประสงค์เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์และการศึกษาวิจัย ๔) มาตรา ๕๘ วรรคสอง กําหนดห้ามมิให้ผู้ใดเสพยาเสพติดประเภท ๕ เว้นแต่เสพเพ่ือรักษาโรค ตามคําส่ังของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม หรือเป็นการเสพเพ่ือศึกษาวิจัย ทั้งน้ี ตํารับยาท่ีเสพได้ ใหเ้ ปน็ ตามทีร่ ฐั มนตรีวา่ การกระทรวงสาธารณสขุ ประกาศกําหนด
- ๑๙ - ๒. ขอ้ มูลกฎหมายเกย่ี วกับกัญชง กฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาต ผลิต จําหน่าย หรือมีไว้ครอบครอง ซ่ึงยาเสพติด ใหโ้ ทษในประเภท ๕ เฉพาะเฮมพ์ พ.ศ. ๒๕๕๙ กําหนดอนญุ าตใหน้ าํ กัญชงไปใชป้ ระโยชน์ได้บางกรณี ได้แก่ การใช้เส้นใยหรือแกนทําเสื้อผ้าและเฟอร์นิเจอร์ ซ่ึงเป็นการอนุญาตให้ใช้ได้ในบริบทอย่างแคบ ท้ังท่ีกัญชงสามารถนําไปใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย ได้แก่ ๑) ใบและช่อดอกผลิตเป็นยา ผลิตภัณฑ์ สมุนไพร และเคร่ืองสําอาง ๒) เปลือก ลําต้น เส้นใย ใช้ผลิตส่ิงทอและเสื้อเกราะกันกระสุน ๓) แกนลํา ต้นผลิตพลังงานชีวมวล วัสดุก่อสร้าง เฟอร์นิเจอร์ ๔) เมล็ดและนํ้ามันจากเมล็ดใช้เป็นอาหาร เคร่ืองสาํ อาง และ ๕) เนือ้ ลําต้นผลติ เปน็ กระดาษและฉนวนกนั ความรอ้ น ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เร่ือง ระบุช่ือยาเสพติดให้โทษประเภท ๕ (ฉบับท่ี ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒ ระบุเพื่อให้สามารถนํากัญชงและสารสกัดจากกัญชงมาใช้ในผลิตภัณฑ์อ่ืนได้ อาทิ ยา อาหาร เคร่ืองสําอาง และผลิตภัณฑ์สมุนไพร ๒) เม่ือวันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๖๒ ได้ออกประกาศ คณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษ เร่ือง กําหนดลักษณะกัญชง (Hemp) พ.ศ. ๒๕๖๒ กําหนด ต้นกัญชงและเมล็ดพันธุ์รับรองที่มีปริมาณสาร Tetrahydrocannabinol (THC) ท่ีใบและช่อดอก ไมเ่ กนิ ร้อยละ ๑ ๓. ข้อมูลดา้ นกฎหมายเกี่ยวกับพืชกระท่อม (๑) พระราชบญั ญตั ยิ าเสพตดิ ใหโ้ ทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ “มาตรา ๗ ยาเสพติดให้โทษแบ่งออกเป็น ๕ ประเภท คือ ประเภท ๑ ยาเสพติดให้ โทษชนิดร้ายแรง เชน่ เฮโรอีน (Heroin) ประเภท ๒ ยาเสพตดิ ให้โทษทวั่ ไป เช่น มอรฟ์ ีน (Morphine) โคคาอีน (Cocaine) โคเดอีน (Codeine) ฝิ่นยา (Medicinal Opium) ประเภท ๓ ยาเสพติดให้โทษ ท่ีมีลักษณะเป็นต้นตํารับยาและมียาเสพติดให้โทษ ในประเภท ๒ ผสมอยู่ด้วย ตามหลักเกณฑ์ที่รฐั มนตรี ประกาศกําหนดในราชกิจจานุเบกษา ประเภท ๔ สารเคมีที่ใช้ในการผลิตยาเสพติดให้โทษประเภท ๑ หรอื ประเภท ๒ เช่น อาเซติค แอนไฮไดรด์ (Acetic Anhydride) อาเซตลิ คลอไรด์ (Acetyl Chloride) ประเภท ๕ ยาเสพตดิ ใหโ้ ทษท่มี ิได้เขา้ อยูใ่ นประเภท ๑ ถึงประเภท ๔ เชน่ กัญชา พชื กระทอ่ ม ทง้ั นี้ ตามทรี่ ฐั มนตรปี ระกาศระบชุ อ่ื ยาเสพตดิ ให้โทษตามมาตรา ๘ (๑) เพอ่ื ประโยชน์ แห่งมาตรานี้ คําว่า ฝ่ินยา (Medicinal Opium) หมายถึง ฝ่ินท่ีได้ผ่านกรรมวิธีปรุงแต่งโดยมี ความมุ่งหมายเพอ่ื ใช้ในทางยา” สรุปสาระสําคญั บทบัญญัติมาตรา ๗ (๕) ได้กําหนดให้พืชกระท่อมเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท ๕ ซ่ึงการครอบครองและการบริโภคเป็นความผิดตามกฎหมาย เจ้าพนักงานซ่ึงมีหน้าที่และอํานาจตาม กฎหมายต้องดําเนินการจับกุมผู้ครอบครองและบริโภคพืชกระท่อม หากเจ้าพนักงานไม่ดําเนินการ จับกุมจะมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ ฐานเจ้าพนักงานละเว้นการปฏิบัติ หน้าทโี่ ดยมิชอบ “มาตรา ๗๕ ผู้ใดผลิต นําเข้า หรือส่งออกซ่ึงยาเสพติดให้โทษในประเภท ๕ อันเป็น การฝ่าฝนื มาตรา ๒๖/๒ ต้องระวางโทษจาํ คกุ ไม่เกนิ ห้าปี และปรับไม่เกินห้าแสนบาท
- ๒๐ - ถ้าการกระทําความผิดตามวรรคหน่ึงเป็นการกระทําเพ่ือจําหน่ายต้องระวางโทษ จําคกุ ตง้ั แต่หนงึ่ ปีถงึ สิบห้าปี และปรบั ตัง้ แต่หนึ่งแสนบาทถงึ หนงึ่ ลา้ นห้าแสนบาท ถ้ายาเสพติดให้โทษซึ่งเป็นวัตถุแห่งการกระทําความผิดตามวรรคหน่ึงหรือวรรคสอง นั้นเป็นพืชกระท่อม ผนู้ นั้ ต้องระวางโทษจําคกุ ไมเ่ กินสองปี และปรับไมเ่ กินสองแสนบาท” สรุปสาระสําคญั บทบัญญัติมาตรา ๗๕ ได้กําหนดบทลงโทษทางอาญาไว้อย่างชัดเจนสําหรับผู้ท่ีผลิต นําเข้า ส่งออกพืชกระท่อม ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน ๕ ปี และปรับไม่เกิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท กรณี จําหน่ายพืชกระท่อมต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่ ๑ ปีถึง ๑๕ ปี และปรับตั้งแต่ ๑๐๐,๐๐๐ บาท ถงึ ๑,๕๐๐,๐๐๐ บาท (๒) พระราชบญั ญัตยิ าเสพติดใหโ้ ทษ (ฉบบั ที่ ๗) พ.ศ. ๒๕๖๒ “มาตรา ๒๖/๓ ห้ามมิให้ผู้ใดจําหน่ายหรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษ ในประเภท ๕ เว้นแต่ได้รับใบอนุญาตจากผู้อนุญาต ซึ่งการมียาเสพติดให้โทษในประเภท ๕ ไว้ ในครอบครองมีปรมิ าณตงั้ แต่สิบกิโลกรมั ข้ึนไป ให้สนั นษิ ฐานวา่ มีไวใ้ นครอบครองเพ่อื จําหน่าย การขอรับใบอนุญาตและการออกใบอนุญาต ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเง่อื นไขที่กําหนดในกฎกระทรวง” สรุปสาระสําคญั บทบัญญัติมาตรา ๒๖/๓ กําหนดห้ามมิให้ผู้ใดจําหน่ายหรือมีไว้ในครอบครองซึ่ง ยาเสพตดิ ใหโ้ ทษในประเภท ๕ เช่น กญั ชา พืชกระท่อม เปน็ ตน้ เวน้ แต่ไดร้ ับใบอนุญาตจากเลขาธิการ คณะกรรมการอาหารและยาหรือผู้ซึ่งเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยามอบหมาย ซ่ึงหากผู้ใด มียาเสพติดให้โทษประเภท ๕ ปริมาณตั้งแต่ ๑๐ กิโลกรัมขึ้นไป กฎหมายให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่ามีไว้ ในครอบครองเพื่อจําหน่าย ท้ังน้ี การขอรับใบอนุญาตและการออกใบอนุญาต ให้เป็นไปตาม หลกั เกณฑ์ วิธีการ และเง่อื นไขท่ี กาํ หนดในกฎกระทรวง “มาตรา ๕๘/๒ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดตามกฎหมายว่าด้วย การป้องกันและปราบปรามยาเสพติด อาจมีมติให้รัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ ประกาศให้ท้องที่ใดเป็นท้องท่ีท่ีทําการเสพพืชกระท่อมได้โดยไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติน้ี การเสพและการครอบครองพืชกระท่อมที่กระทําตามวรรคหน่ึง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงอ่ื นไขทก่ี ําหนดในกฎกระทรวง” สรปุ สาระสําคัญ บทบัญญัติมาตรา ๕๘/๒ กําหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข โดยความ เห็นชอบของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดมีอํานาจออกประกาศกําหนดท้องท่ี ที่สามารถครอบครองและบริโภคพืชกระท่อมได้ไม่เป็นความผิดตามกฎหมาย ปัจจุบันมีการประกาศ ให้พื้นที่ในเขตตําบลนํ้าพุ อําเภอบ้านนาสาร จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นพื้นที่ที่สามารถครอบครอง และบริโภคพืชกระท่อมได้โดยไม่เป็นความผิดตามกฎหมายซ่ึงการควบคุมพืชกระท่อมเป็นไปตาม ธรรมนูญชุมชนที่ได้กําหนดให้แต่ละครัวเรือนสามารถครอบครองพืชกระท่อมได้ไม่เกิน ๓ ต้น นอกจากนี้ยังมีการกําหนดแผนเฝ้าระวังด้านสุขภาพโดยให้ผู้ใช้พืชกระท่อมเข้ารับการตรวจสุขภาพ เพื่อเก็บขอ้ มูลดา้ นสขุ ภาวะตามระยะเวลาท่กี าํ หนด
- ๒๑ - (๓) กฎกระทรวงฉบับท่ี ๔ พ.ศ. ๒๕๒๒ ออกตามความในพระราชบัญญัติยาเสพติด ให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ “ข้อ ๑ ผู้ใดประสงค์จะขออนุญาตผลติ จําหน่าย นําเข้า ส่งออก หรือมีไว้ในครอบครอง ซ่ึงยาเสพติดให้โทษในประเภท ๔ หรือในประเภท ๕ ให้ย่ืนคําขอตามแบบ ย.ส. ๒๑ ท้ายกฎกระทรวงน้ี พร้อมด้วยหลกั ฐานตามทร่ี ะบไุ ว้ในแบบ ย.ส. ๒๑ ข้อ ๒ ใบอนุญาตผลิต จําหน่าย นําเข้า ส่งออก หรือมีไว้ในครอบครองซ่ึงยาเสพติด ใหโ้ ทษในประเภท ๔ หรอื ในประเภท ๕ ให้เป็นไปตามแบบ ย.ส. ๒๒ ทา้ ยกฎกระทรวงนี้ การอนุญาตตามวรรคหน่ึง ให้เป็นอํานาจของรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบ ของคณะกรรมการเปน็ ราย ๆ ไป” สรปุ สาระสาํ คัญ กฎกระทรวงฉบับดังกล่าวได้กําหนดเก่ียวกับเรื่องใบอนุญาตผลิต นําเข้า ส่งออกหรือ ครอบครองพืชกระท่อมซึ่งในทางปฏิบัติจะอนุญาตเพียงครั้งละ ๑ ปีและเมื่อใบอนุญาตสิ้นสุดลง จะต้องย่ืนขอต่อใบอนุญาตต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ ควบคุมยาเสพติดให้โทษพิจารณาทุกกรณีแม้ว่าจะเคยได้รับอนุญาตมาแล้ว ซ่ึงการขอต่อใบอนุญาต ดังกล่าวข้ึนอยู่กับดุลพินิจของคณะกรรมการฯ ทําให้การขอต่อใบอนุญาตขาดหลักเกณฑ์ที่มีความ แน่นอนและชัดเจน ส่งผลให้การศึกษาวิจัยพืชกระท่อมขาดความต่อเน่ืองเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนา พืชกระท่อมเพ่ือนาํ ไปใชป้ ระโยชน์ดา้ นการแพทยแ์ ละด้านอ่นื ๆ
หนา้ วา่ ง
บทที่ ๓ ปัญหาในการนํากญั ชา กัญชง และกระทอ่ มไปใช้ประโยชน์ จากการศึกษาของคณะกรรมาธิการเกี่ยวกับปัญหาและอุปสรรคในการนํากัญชา กัญชง และกระทอ่ มไปใชป้ ระโยชน์ คณะกรรมาธกิ ารพบปัญหาและอปุ สรรค ดงั นี้ ๓.๑ ปญั หาผลกระทบต่อประชาชน ๑. มีข้อกังวลเกี่ยวกับผลกระทบต่อร่างกายของผู้ใช้กัญชาในการรักษาโรคบ้าง แม้ว่าจะมี หลักฐานว่ามีการใช้กัญชามานาน แต่ยังมีข้อกังวลเกี่ยวกับอันตรายต่อร่างกายจากการใช้ และการก่อใหเ้ กดิ การเสพติด เช่น อาการปากแหง้ คอแห้ง ท้องอืด ปวดแสบทางเดินอาหาร บ้านหมุน ปวดทา้ ยทอย และงว่ ง เป็นต้น ๒. ระยะเวลาการออกฤทธ์ิและผลการรักษาท่ีไม่แน่ชัด เน่ืองจากการใช้กัญชารักษาโรค มปี ัจจยั หลายอย่างเขา้ มาเกี่ยวข้อง รวมทัง้ ขน้ึ อย่กู บั ความสนใจของผู้ประกอบวชิ าชพี ประกอบกนั ๓. การรักษาโรคโดยกัญชายงั มคี ําถามว่า ถา้ การดําเนินการแบบ SAS ของแพทยม์ คี วามเสย่ี ง สําหรบั ผู้ประกอบวิชาชพี และตํารบั ยาโบราณนั้นมีท้ังผลกระทบเชงิ บวกและเชิงลบผสมกนั ๓.๒ ปญั หาในทางปฏิบตั ิ ๑. การดําเนินการเพ่ือปลูกกัญชาและกัญชงในการศึกษาวิจัยพบปัญหาการจัดหาแหล่ง เมล็ดพันธม์ุ ีจํากัด โดยเฉพาะเมลด็ พนั ธ์ขุ องประเทศไทยเองคอ่ นข้างมีน้อย ๒. การย่ืนขออนุญาตเก่ียวกับกัญชา กัญชง และกระท่อมต่อหน่วยงานท่ีเกี่ยวข้องมีข้ันตอน จํานวนมาก ซึ่งต้องอ้างอิงข้อมูลจากต่างประเทศเป็นหลัก จึงเป็นข้อจํากัดต่อการศึกษา วิจัย พัฒนา เพ่ือการนํามาใชป้ ระโยชน์ รวมทั้งใช้ระยะเวลาในการพิจารณาคอ่ นขา้ งนาน ๓. กัญชาสามารถสร้างโครโมโซมเองได้ จึงเป็นสาเหตุให้เกิดยีนด้อยและเป็นอุปสรรคต่อ การพฒั นาพันธุ์ จงึ จําเป็นจะต้องไปคน้ หาต้นพนั ธ์ุท่ยี งั ไมม่ ีการผสมข้ามสายพันธ์อุ นื่ ๆ ๓.๓ ปญั หาในทางกฎหมาย ๑. กฎหมายว่าด้วยยาเสพติดของประเทศไทยมีการควบคุม การปลูก การผลิต การนําเข้า การส่งออก การครอบครอง กัญชา กัญชง และกระท่อม ต้ังแต่ต้นน้ํา กลางน้ํา และปลายนํ้า ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ จึงยากต่อการนําไปใช้ประโยชน์ เพราะกฎหมาย อนุญาตอย่างแคบ เพียงใช้ประโยชน์ในทางการแพทย์และการศึกษาวิจัยเท่าน้ัน รวมท้ัง พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับท่ี ๗) พ.ศ. ๒๕๖๒ ได้กําหนดการควบคุมกัญชาไว้ ๔ มาตรา ได้แก่ ๑) มาตรา ๒๖/๒ กําหนดห้ามมิให้ผู้ใดผลิต นําเข้า ส่งออก เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากเลขาธิการ คณะกรรมการอาหารและยา โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษ ๒) มาตรา ๒๖/๓ กําหนดห้ามมิให้ผู้ใดจําหน่าย หรือครอบครอง เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากเลขาธิการ คณะกรรมการอาหารและยา ๓) มาตรา ๒๖/๒ กําหนดให้สามารถนํากัญชามาใช้ประโยชน์ได้ ตามวัตถุประสงค์เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์และการศึกษาวิจัย และ ๔) มาตรา ๕๘ วรรคสอง
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330