การสวดมนต์แปลและแผเ่ มตตา กำรสวดมนตแ์ ปล คำบูชำพระรัตนตรัย อะระหงั สัมมำสมั พทุ โธ ภะคะวำ พระผ้มู พี ระภำคเจำ้ เป็นพระอรหนั ต์ ดับเพลิงกเิ ลส เพลงิ ทุกข์ส้นิ เชงิ ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง พทุ ธงั ภะคะวันตงั อภวิ ำเทมิ ขำ้ พเจำ้ อภิวำทพระผ้มู พี ระภำคเจ้ำ ผ้รู ู้ ผตู้ ื่น ผเู้ บิกบำน (กรำบ) สะวำกขำโต ภะคะวะตำ ธัมโม พระธรรม เปน็ ธรรมทพี่ ระผมู้ พี ระภำคเจำ้ ตรัสไว้ดีแล้ว ธมั มัง นะมสั สำมิ ข้ำพเจ้ำนมสั กำรพระธรรม (กรำบ) สปุ ะฏิปนั โน ภะคะวะโต สำวะกะสังโฆ พระสงฆ์สำวกของพระผ้มู ีพระภำคเจ้ำ ปฏิบตั ิดแี ล้ว สังฆัง นะมำมิ ขำ้ พเจำ้ นอบน้อมพระสงฆ์ (กรำบ)
การสวดมนตแ์ ปลและแผเ่ มตตา กำรสวดมนตแ์ ปล คำนมสั กำรพระสัมมำสัมพุทธเจำ้ นะโม ตสั สะ ภะคะวะโต ขอนอบนอ้ มแดพ่ ระผ้มู ีพระภำคเจ้ำพระองค์น้ัน อะระหะโต ซึ่งเป็นผู้ไกลจำกกิเลส สัมมำสมั พทุ ธัสสะ ตรัสรชู้ อบไดโ้ ดยพระองค์เอง (วำ่ ๓ ครง้ั )
การสวดมนต์แปลและแผเ่ มตตา กำรสวดมนต์แปล บทสรรเสริญคณุ พระรตั นตรยั บทสรรเสรญิ พระพทุ ธคุณ (ทานองสรภัญญะ) (นำ) อิติปิ โส ภะคะวำ (รบั ) อะระหงั สมั มำสมั พทุ โธ วิชชำจะระณะสัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสำระถิ สตั ถำ เทวะมะนสุ สำนงั พทุ โธ ภะคะวำติ (นำ) องคใ์ ดพระสัมพุทธ (รบั ) สุวสิ ทุ ธสันดำน ตัดมูลเกลศมำร บ มิหม่นมหิ มองมวั กเ็ บิกบำนคอื ดอกบวั หน่ึงในพระทัยทำ่ น สุวคนธกำจร รำคี บ พนั พัว พระกรุณำดงั สำคร มละโอฆกันดำร องคใ์ ดประกอบด้วย และช้สี ุขเกษมสำนต์ โปรดหมู่ประชำกร อันพ้นโศกวิโยคภยั ษุจรสั วมิ ลใส ชท้ี ำงบรรเทำทุกข์ ก็เจนจบประจกั ษ์จรงิ ชท้ี ำงพระนฤพำน สนั ดำนบำปแห่งชำยหญิง มละบำปบำเพ็ญบญุ พร้อมเบญจพธิ จกั - ศิรเกล้ำบงั คมคณุ เห็นเหตุทใ่ี กลไ้ กล ญภำพนั้นนิรันดร (กรำบ) กำจดั นำ้ ใจหยำบ สตั ว์โลกได้พ่งึ พงิ ข้ำขอประณตนอ้ ม สมั พทุ ธกำรญุ
การสวดมนต์แปลและแผเ่ มตตา กำรสวดมนต์แปล บทสรรเสรญิ พระธรรมคุณ (นำ) สะวำกขำโต (รับ) ภะคะวะตำ ธัมโม สันทิฏฐิโก อะกำลิโก เอหิปัสสิโก โอปะนะยิโก ปัจจัต ตงั เวทิตัพโพ วิญญหู ีติ (นำ) ธรรมะคอื คณุ ำกร (รบั ) ส่วนชอบสำธร ดจุ ดวงประทปี ชชั วำล ส่องสตั วส์ นั ดำน เป็นแปดพึงยล แหง่ องคพ์ ระศำสดำจำรย์ อนั ลึกโอฬำร สว่ำงกระจำ่ งใจมล นำมขนำนขำนไข ใหล้ ่วงลปุ อง ธรรมใดนบั โดยมรรคผล นบธรรมจำนง และเกำ้ นบั ทัง้ นฤพำน สมญำโลกอุดรพสิ ดำร พิสทุ ธพิ์ ิเศษสุกใส อีกธรรมต้นทำงครรไล ปฏิบัตปิ ริยตั ิเป็นสอง คอื ทำงดำเนินดจุ ครอง ยังโลกอดุ รโดยตรง ขำ้ ขอโอนอ่อนอตุ มงค์ ดว้ ยจิตและกำยวำจำฯ (กรำบ)
การสวดมนตแ์ ปลและแผเ่ มตตา กำรสวดมนต์แปล บทสรรเสรญิ พระสังฆคณุ (นำ) สุปะฏปิ นั โน (รบั ) ภะคะวะโต สำวะกะสงั โฆ อชุ ุปะฏปิ นั โน ภะคะวะโต สำวะกะสงั โฆ ญำยะปะฏปิ นั โน ภะคะวะโต สำวะกะสังโฆ สำมีจิปะฏิ ปันโน ภะคะวะโต สำวะกะสงั โฆ ยะทิทงั จตั ตำริ ปุรสิ ะยคุ ำนิ อฏั ฐะ ปรุ ิสะ ปุคคะลำ เอสะ ภะคะวะโต สำวะกะสังโฆ อำหุเนยโย ปำหุเนยโย ทักขิ เณยโย อัญชะลี กะระณโี ย อะนุตตะรงั ปุญญักเขตตัง โลกัสสำติ (นำ) สงฆใ์ ดสำวกศำสดำ (รบั ) รับปฏิบัตมิ ำ แต่องค์สมเด็จภควนั ต์ ลุทำงทีอ่ นั ปญั ญำผอ่ งใส เหน็ แจง้ จตุสัจเสรจ็ บรร- บ มิลำพอง ระงบั และดบั ทุกขภ์ ัย ศำลแดโ่ ลกัย มคี ณุ อนนต์ โดยเสดจ็ พระผู้ตรสั ไตร พกทรงคณุ ำ สะอำดและปรำศมัวหมอง พระไตรรัตน์อัน อนั ตรำยใดใด เหินห่ำงทำงข้ำศกึ ปอง ดว้ ยกำยและวำจำใจ เปน็ เน้อื นำบุญอันไพ- และเกดิ พบิ ูลย์พูนผล สมญำเอำรสทศพล อเนกจะนบั เหลอื ตรำ ข้ำขอนบหมู่พระศรำ- นคุ ุณประดุจรำพนั ด้วยเดชบญุ ขำ้ อภิวันท์ อดุ มดเิ รกนิรัติสัย จงชว่ ยขจัดโพยภยั จงดับและกลบั เสือ่ มสูญ (กรำบ 3 คร้ัง)
การสวดมนต์แปลและแผ่เมตตา กำรสวดมนตแ์ ปล กำรแผ่เมตตำ • การแผเ่ มตตา คือ กำรสง่ ควำมปรำรถนำดีไปยงั เพื่อนมนุษยแ์ ละสรรพสัตวท์ ัง้ หลำยให้มีแต่ควำมสุข เป็นกำรคิดดี กับคนอ่ืน ไม่โกรธไม่เกลียดใคร กำรแผ่เมตตำโดยปกติจะเร่ิมจำกตนเอง เพรำะทุกคนมีควำมรักตนเองเป็น พ้ืนฐำนอยู่แล้ว เมื่อแผ่ให้ตนเองแล้วก็แผ่ไปให้บุคคลอ่ืนๆ โดยเริ่มจำกคนในครอบครัว เพื่อน และเจ้ำกรรมนำย เวรของเรำ ประโยชน์ของกำรแผเ่ มตตำ • กำรแผ่เมตตำจะทำให้มีจิติใจอ่อนโยน สงบ เยือกเย็น ไม่ใจร้อน ทำให้โลกเกิดสันติสุข เม่ือเรำแผ่เมตตำไปยัง เพ่ือนมนุษย์ ก็ทำให้มนุษย์และสัตว์สำมำรถอยู่ด้วยกันอย่ำงมีน้ำใจท่ีดีต่อกัน และปรำศจำกควำมระแวงต่อกัน และกนั ทำใหไ้ ม่เบยี ดเบยี นกัน
การสวดมนต์แปลและแผ่เมตตา กำรสวดมนตแ์ ปล บทแผเ่ มตตำแกต่ นเอง อะหัง สุขิโต โหมิ ขอให้ขำ้ พเจ้ำมคี วำมสุข อะหัง นิททุกโข โหมิ ขอให้ข้ำพเจำ้ ปรำศจำกทกุ ข์ อะหงั อะเวโร โหมิ ขอใหข้ ำ้ พเจำ้ ปรำศจำกเวร อะหงั อัพยำปชั โฌ โหมิ ขอใหข้ ้ำพเจำ้ ปรำศจำกอปุ สรรคอันตรำยท้งั ปวง อะหงั อะนโี ฆ โหมิ ขอให้ขำ้ พเจ้ำปรำศจำกควำมทกุ ข์กำยทกุ ข์ใจ สขุ ี อัตตำนงั ปะริหะรำมิ ขอใหข้ ำ้ พเจ้ำมคี วำมสขุ กำยสขุ ใจ รักษำตนของตน ให้พน้ จำกทกุ ขภ์ ยั ท้งั สิ้น…เทอญ
การสวดมนต์แปลและแผ่เมตตา กำรสวดมนตแ์ ปล บทแผเ่ มตตำแก่สรรพสัตว์ สพั เพ สตั ตำ สตั วท์ งั้ หลำย ทเี่ ป็นเพอื่ นทุกข์ เกิดแก่ เจบ็ ตำย ด้วยกันทงั้ หมดทง้ั สน้ิ อะเวรำ โหนตุ อพั ยำปัชฌำ โหนตุ เป็นสุขเป็นสุขเถดิ อย่ำได้มเี วรแก่กนั และกนั เลย อะนีฆำ โหนตุ สขุ ี อัตตำนงั ปะรหิ ะรันตุ จงเปน็ สุขเป็นสุขเถดิ อย่ำไดเ้ บยี ดเบยี นซึง่ กนั และกนั เลย จงเป็นสขุ เป็นสุขเถิด อยำ่ ไดม้ ีควำมทุกขก์ ำยทกุ ข์ใจเลย จงมคี วำมสุขกำยสุขใจ รักษำตนใหพ้ ้นจำกทกุ ข์ภัยทง้ั สิ้นเถิด ท่ำนทง้ั หลำยที่ไดท้ กุ ข์ ขอให้ทำ่ นมคี วำมสุข ท่ำนทั้งหลำย ที่ไดส้ ุข ขอใหท้ ำ่ นสุขยิ่งๆ ขึ้นไป…เทอญ
การบริหารจิต • สมำธิ จะเกิดขึ้นด้วยจิตของเรำ เป็นกำรบริหำรจิตที่ทำให้เรำสำมำรถทำกิจกำรต่ำงๆ ใน ชวี ติ ประจำวนั ใหส้ ำเรจ็ ลลุ ่วงไปได้ • สมำธิ ช่วยในกำรไตร่ตรองส่ิงต่ำงๆ ได้อย่ำงมีประสิทธิภำพ เม่ือเรำมีสติมำกขึ้น จิตใจม่ันคง แน่วแน่ ทำให้กำรคดิ เร่ืองต่ำงๆ มคี วำมรอบคอบ • สมำธิ อำจเกิดได้เพียงชั่วครำว หำกเรำต้องกำรให้จิตของเรำแน่วแน่มีสมำธิ จำเป็นต้องมีกำร ฝึกสมำธิสมำ่ เสมอ เพื่อเป็นกำรบรหิ ำรจติ ให้มปี ระสิทธิภำพยิง่ ขึ้น
การบรหิ ารจิต ขอ้ ควรปฏบิ ัติในกำรฝึกกำรบริหำรจติ กำรเลอื กสถำนที่ • เลือกสถำนทท่ี ส่ี งบปรำศจำกเสียงอึกทกึ เพื่อใหจ้ ติ เป็นสมำธิเรว็ • รำลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้ำ พระธรรม และพระสงฆ์ เพ่ือสร้ำงศรัทธำ ต้งั พระรัตนตรยั เป็นท่ีพง่ึ และกำลังใจ ตั้งใจรักษำศลี • ตัง้ ใจละเวน้ จำกอกศุ ลทัง้ หลำย และคอยระวงั รักษำใจไมใ่ ห้เกิดอกศุ ล ตงั้ ใจไว้ทตี่ วั ของเรำเอง • ทต่ี ั้งของใจอยทู่ ตี่ ัวเรำ ใหเ้ ลือกต้งั ใจท่สี ว่ นใดส่วนหนงึ่ ยดึ หลกั ๔ ขอ้ • ใหต้ ้งั ใจว่ำจะตอ้ งทำจรงิ ตำมเวลำทก่ี ำหนด ไม่เหลำะแหละ ย่อท้อ (ควำมเพยี ร) • ใหม้ คี วำมรู้ตัว ตนื่ อยเู่ สมอ ไมเ่ ผลอหลบั (สมั ปชญั ญะ) • ใหค้ ุมใจระลึกอยู่ท่ีทีต่ ้งั ของใจทก่ี ำหนดไวอ้ ย่ำงแนว่ แน่ ถำ้ เผลอหรือเลอื่ นลอยออกไป ให้รบี กลับมำทีต่ งั้ เสมอ (สติ) • ใหต้ ดั ควำมยินดยี ินร้ำยในอำรมณ์ต่ำงๆ ออกไป เพรำะไม่ใช่ของจริง ให้คอยกลบั เขำ้ มำอยใู่ นทีต่ ้ังของใจทต่ี ง้ั ไวแ้ ลว้ เสมอ
การบริหารจิต ประโยชน์ของกำรบริหำรจติ • ทำใหจ้ ติ ใจสบำย โปรง่ เบำ ไมเ่ ครียด ไม่โกรธ ไม่ทกุ ข์ ผอ่ งใส คุณธรรมงอกงำมง่ำย • หำยหวำดกลัว หำยกระวนกระวำย หำยประหมำ่ ตื่นเต้น • หลับง่ำย ไม่ฝันรำ้ ย และส่ังตวั เองได้ เช่น สง่ั ให้หลับ ใหต้ ืน่ ตำมเวลำที่กำหนดได้ • กระฉบั กระเฉง วอ่ งไว รู้จกั เลือกและตดั สินใจได้เหมำะสมแก่สถำนกำรณ์ • มคี วำมอดทน เพยี รพยำยำมแน่วแนใ่ นจุดหมำย มีควำมใฝ่สัมฤทธิ์สงู • มสี ติสัมปชญั ญะดี รู้เทำ่ รู้ทนั ปรำกฏกำรณ์ และรจู้ ักยบั ย้ังใจไดด้ ี • มปี ระสทิ ธภิ ำพในกำรทำงำน ทำกจิ กรรมตำ่ งๆ สำเร็จด้วยดี รอบคอบ ไมผ่ ดิ พลำด • ส่งเสรมิ สมรรถภำพของสมอง ควำมคดิ ปลอดโปร่ง ควำมจำดี เรยี นหนังสือเกง่ • ช่วยเหลอื เก้ือกูลสขุ ภำพทำงกำย ชะลอควำมแก่ ทำให้ดูออ่ นกว่ำวัย • รักษำโรคบำงอย่ำงได้ เช่น โรคเครียด โรคกระเพำะ โรคท้องผูก โรคควำมดันโลหิต โรคหืด หรือโรค ชอบคดิ เองว่ำตวั เป็นโน่นเปน็ น่ที ั้งทีไ่ มไ่ ด้เป็น
การบริหารจิต กำรบรหิ ำรจิตตำมหลักอำนำปำนสติ • วิธีฝึกสมำธิมีหลำยวิธี แต่วิธีที่เห็นว่ำเหมำะสมและสะดวกท่ีจะฝึกได้ทุกเพศ ทุกวัย และทุกโอกำส ก็คือ แบบ อำนำปำนสตหิ รอื วธิ ีกำหนดลมหำยใจ โดยมีเหตผุ ลทีค่ วรฝึก ดงั น้ี • ไม่ต้องหำอุปกรณ์อ่ืนใดมำฝึก เพรำะทุกคนมีลมหำยใจ ๑ • ไม่ซับซ้อน เข้ำใจง่ำย ทำได้ง่ำย พอลงมือทำก็ได้รับ คือ กำรหำยใจเข้ำกำรหำยใจออกทกุ เวลำอย่แู ล้ว ๒ ผลทนั ที ตัง้ แตต่ ้นเรื่อยไป ๓ • เป็นหลักฝึกจิตอย่ำงหน่ึงในจำนวนไม่ก่ีอย่ำงที่ ๔ • ไม่กระทบต่อสุขภำพ กำยก็ไม่เหน่ือย ตำก็ไม่เม่ือย สำมำรถปฏิบัติได้ต่อเนื่องต้ังแต่ต้นไปจนสำเร็จข้ัน เพรำะไม่ต้องเพ่งหรือเดินกลับไปกลับมำเหมือนวิธีอ่ืน สูงสุด ไม่ต้องพะวงท่ีจะหำวิธีอื่นมำสับเปล่ียนใน ช่วยให้ร่ำงกำยพักผ่อนได้ดี ระหว่ำงปฏิบัติ • พระพุทธเจ้ำทรงใช้เวลำในกำรปฏิบัติวิธีน้ีเป็นส่วนใหญ่ ๕ และทรงแนะนำใหส้ ำวกปฏบิ ตั ิมำกกว่ำวธิ ีอน่ื
การบรหิ ารจิต กำรบรหิ ำรจติ ตำมหลกั อำนำปำนสติ ขัน้ ตอนการฝึกสมาธิตามหลักอานาปานสติ • น่งั ขัดบัลลงั ก์ ท่เี รยี กวำ่ “ขดั สมำธริ ำบ” โดยเอำขำขวำทับขำซ้ำย มือขวำทับมือซ้ำย ตวั ตัง้ ตรง • น่ังขัดสมำธิเพชร คือ นั่งเอำขำซ้ำยทับขำขวำ ขำขวำทับขำซ้ำย มือขวำทับมือซ้ำย ตัวตง้ั ตรง
การบรหิ ารจิต กำรบรหิ ำรจติ ตำมหลกั อำนำปำนสติ ขัน้ ตอนการฝึกสมาธติ ามหลกั อานาปานสติ ๑. ให้นบั ลมหำยใจเขำ้ ออก กำรนับอำจทำเป็นขั้นตอนตำมลำดับ คือ นับเป็นคู่ๆ ไป เช่น หำยใจเข้ำนับ ๑ หำยใจ ออกนับ ๑ โดยกำหนดเปน็ ชดุ ๆ
การบริหารจิต กำรบรหิ ำรจติ ตำมหลักอำนำปำนสติ ขัน้ ตอนการฝกึ สมาธติ ามหลักอานาปานสติ ๒. ให้กำหนดเฉยๆ ไม่ต้องนับ เช่น เวลำหำยใจเข้ำ หำยใจออก ไม่ว่ำยำวหรือสั้น ให้กำหนดรู้ว่ำหำยใจเข้ำหำยใจ ออกยำวหรือสนั้ ๓. ใหส้ ังเกตอำกำรพองและยบุ ของท้อง ขณะหำยใจเขำ้ หำยใจออก และภำวนำในใจวำ่ “ยุบหนอพองหนอ” ๔. ให้ภำวนำในใจว่ำ “พุท-โธ” ขณะหำยใจเข้ำออก คือ ขณะหำยใจเข้ำภำวนำว่ำ “พุท” ขณะหำยใจออกภำวนำ วำ่ “โธ” หรอื หำยใจเขำ้ วำ่ “พุทโธ” หำยใจออกวำ่ “พทุ โธ”
การเจรญิ ปัญญาโดยการคดิ แบบโยนโิ สมนสิการ • โยนโิ สมนสิกำร คือ กำรศึกษำที่เกิดจำกมนุษย์รู้จักคิดวิเครำะห์ วิจำรณ์อย่ำงรอบคอบรอบด้ำน ทำให้เกิด ปัญญำแตกฉำน กำรคิดแบบโยนโิ สมนสกิ ำร มี ๑๐ วธิ ี ๑. คิดแบบแยกแยะส่วนประกอบ ๖. คิดแบบรเู้ ทำ่ ทันธรรมดำ ๒. คิดแบบคณุ -โทษ และทำงออก ๗. คิดแบบคณุ ค่ำแท้ คณุ คำ่ เทียม ๓. คดิ แบบสืบสำวเหตุปจั จยั ๘. คดิ แบบปลกุ เรำ้ คุณธรรม ๔. คิดแบบอรรถสมั พนั ธ์ ๙. คิดแบบเป็นอยใู่ นปัจจุบัน ๕. คิดแบบแกป้ ัญหำ ๑๐. คิดแบบแยกประเด็น
การเจรญิ ปญั ญาโดยการคิดแบบโยนิโสมนสิการ คดิ แบบสืบสำวเหตปุ จั จยั เหตุ เหตใุ หญ่ เหตุสำคญั ปจั จยั เงื่อนไขอ่นื ๆ ทเ่ี กย่ี วขอ้ ง • พระพุทธองค์สอนใหม้ องวำ่ ปรำกฏกำรณ์บำงอย่ำงที่เกิดข้ึนมิใช่เกิดเพรำะเหตุเพียงอย่ำงเดียว ดูให้ดีแล้วจะเห็น ว่ำปจั จยั หรอื เงอ่ื นไขอน่ื ๆ ก็มสี ่วนด้วย เช่น “ถ้ำถำมว่ำต้นไม้เจริญเติบโตเพรำะอะไร ถ้ำตอบว่ำต้นไม้ต้นนี้เจริญเติบโตก็เพรำะเมล็ด ต้นไม้ต้นนี้มำจำกเมล็ด เพรำะฉะนนั้ เมล็ดจงึ เปน็ สำเหตทุ ำให้มีต้นไมต้ ้นน้ี ตอบแบบนี้ก็ถูก แต่ถูกส่วนเดียว ถ้ำจะให้ถูกครบถ้วนต้องตอบว่ำเมล็ดเป็น เพียงเง่ือนไขหนึ่ง แต่ยังมีปัจจัยอ่ืนอีกท่ีช่วยให้ต้นไม้ต้นนี้เจริญงอกงำมได้ เช่น ดิน ปุ๋ย น้ำ อุณหภูมิ กำรดูแลเอำใจใส่ของคน เปน็ ต้น”
การเจริญปัญญาโดยการคดิ แบบโยนโิ สมนสกิ าร คดิ แบบอรยิ สจั หรอื แบบแก้ปญั หำ • อริยสัจ คือ หลักคำสอนที่สอนให้รู้ว่ำสภำพปัญหำคืออะไร สำเหตุของปัญหำอยู่ท่ีไหน อะไรบ้ำง ปัญหำนี้มีทำงแก้ หรือไม่ ถ้ำมีมีกี่วิธี และวิธีไหนดีท่ีสุด กำรแก้ปัญหำจะต้องรู้สภำพปัญหำ รู้สำเหตุของปัญหำ รู้ว่ำปัญหำต่ำงๆ นัน้ หมดไปได้ และต้องลงมอื ทำหรือแกป้ ญั หำนน้ั อย่ำงตอ่ เนือ่ ง เชน่ • เมือ่ คร้งั พระพุทธเจ้ำยังทรงเป็นเจ้ำชำยสิทธัตถะ ทรงคิดว่ำกำรทรมำนตนเองเป็นทำงท่ีจะพ้นจำกกำร เวยี นว่ำยตำยเกดิ ในสังสำรวฏั แต่เมื่อพระองค์ทรำบว่ำกำรกระทำเช่นน้ันไม่ใช่ทำงแก้ปัญหำ จึงทรงใช้ ทำงสำยกลำง หรือ “มัชฌิมำปฏิปทำ” ในกำรแก้ปัญหำ จนในที่สุดก็แก้ปัญหำเร่ืองกำรเวียนว่ำยตำย เกดิ ได้ หรอื เรียกวำ่ “บรรลนุ พิ พำน”
การนาวิธกี ารบรหิ ารจติ และเจรญิ ปญั ญาไปใช้ในชวี ติ ประจาวัน การบริหารจิต • กำรฝึกจิตใจให้มีสมำธิเป็นส่ิงจำเป็นท่ีต้องมีในกำรทำกิจกำรทุกอย่ำงของชีวิต ไม่ว่ำจะเป็นกำรเล่ำเรียนหรือ กำรทำงำน ดงั เชน่ • นักเรียนจะอำ่ นหนังสอื ก็ต้องมีสมำธิในกำรอำ่ น ไม่เช่นน้นั กอ็ ่ำนหนงั สือไมร่ ู้เร่ือง ตำอยู่ท่ีตวั หนงั สือ แตใ่ จไปอยู่ ที่อ่ืน • นักเรียนจะฟังครูสอนก็ต้องมีสมำธิในกำรฟังไม่เช่นน้ันก็จะได้ยินแต่เสียงครูกระทบหูแล้วก็ผ่ำนไปใจไม่รับรู้ว่ำ ครพู ดู ว่ำอะไร ก็ไม่เข้ำใจสงิ่ ทคี่ รูสอน • ดังน้ัน เม่ือจะอ่ำนหนังสือ ใจกต็ ้องอ่ำนไปดว้ ย เม่อื จะฟังครูสอน ใจกต็ ้องฟงั ไปดว้ ย หรอื เมือ่ จะทำงำนใดที่ได้รับ มอบหมำยใจกต็ อ้ งทำไปด้วย นัน้ ก็คือ ใจตอ้ งมีสมำธิ
การนาวธิ กี ารบรหิ ารจติ และเจรญิ ปัญญาไปใช้ในชีวติ ประจาวัน การเจริญปญั ญา • จติ ท่มี ีควำมสงบมสี ติ มีสมำธิ จะรู้จกั พิจำรณำสิ่งตำ่ งๆ ตำมควำมเป็นจรงิ อย่ำงมีเหตุผล รู้เท่ำทันโลกและชีวิต ใช้ปัญญำแก้ไขปัญหำได้ เช่น ในกำรฝึกสร้ำงสมำธิในกำรอ่ำนหนังสือ จะเห็นว่ำจิตของผู้ฝึกจะสงบแล้วก็ไม่ สงบ แลว้ กก็ ลบั มำสงบอกี สลับกันไป จงึ เปน็ โอกำสทจี่ ะฝกึ เจรญิ ปญั ญำได้ คือ ปัญญำจะทำให้เรำเร่ิมมองเห็น ควำมจรงิ เกยี่ วกับควำมเป็นไปของจิตหรอื ของสิง่ ทั้งหลำยในโลก • ถำ้ เรำรู้จกั นำมำใช้ในชีวติ ประจำวนั จะช่วยให้เรำเข้ำใจโลกและชวี ติ เข้ำใจควำมรู้สึก อำรมณ์ และกำรกระทำทงั้ ของตนเองและผอู้ ่ืนได้
๘หน่วยการเรียนรู้ท่ี พระพุทธศาสนากับการแก้ปญั หา และการพัฒนา จุดประสงค์การเรยี นรู้ • อภปิ รำยควำมสำคญั ของพระพทุ ธศำสนำหรอื ศำสนำท่ีตนนับถอื กบั ปรชั ญำของเศรษฐกิจพอเพยี งและกำรพัฒนำอย่ำงยั่งยืนได้
พระพทุ ธศาสนากบั เศรษฐกจิ พอเพยี ง ควำมหมำยของเศรษฐกจิ พอเพียง • เศรษฐกิจพอเพียง คือ เศรษฐกิจท่ีเลี้ยงตัวเองได้พึ่งพำตนเองได้ ในสมัยโบรำณเรำอยู่แบบพอเพียง ในแต่ ละครอบครัวปลูกข้ำวกินเอง จับปลำและเล้ียงสัตว์กินเอง ทอผ้ำเอง สำนตะกร้ำและภำชนะอ่ืนๆ ไว้ใช้เอง ถงึ แม้จะไม่ติดต่อแลกเปลย่ี นส่ิงของกับคนภำยนอกก็ยังพออยู่ได้ • ปัจจุบันเรำอยู่ในโลกท่ำมกลำงกระแส “โลกำภิวัตน์” คือ เรำผลิตของเพ่ือขำย เม่ือได้เงินมำก็นำเงินไปซื้อ ส่ิงของที่คนอื่นผลิต กำรท่ีจะได้ส่ิงจำเป็น รวมทั้งส่ิงฟุ่มเฟือย มำกินมำใช้ต้องพึ่งพำผู้อื่น แต่เศรษฐกิจ พอเพยี งมีกำรพ่งึ ตนเองมำกทส่ี ุดเท่ำท่จี ะเป็นไปได้ หำกผลิตมำกจนเหลือกนิ เหลอื ใชก้ น็ ำไปขำย
พระพุทธศาสนากับเศรษฐกจิ พอเพยี ง ลกั ษณะของเศรษฐกิจพอเพยี ง ลกั ษณะกำรพงึ่ ตนเอง • เศรษฐกิจพอเพียง คือ เศรษฐกิจที่เลี้ยงตัวเองได้หรือพึ่งตัวเองได้ โดยผลิตเพื่อ พอกินพอใช้ในครัวเรือนหรือในชุมชน ท่ีเหลือก็เอำออกขำยหรือแลกเปล่ียนกับ สินคำ้ อยำ่ งอนื่ ท่ตี นผลิตไมไ่ ด้ ลักษณะกำรเดนิ สำยกลำง • เศรษฐกิจพอเพียงนั้นเดินสำยกลำง คือ ควำมพอประมำณเป็นสำคัญ ควำม เปน็ อยทู่ ำงเศรษฐกิจเป็นสิ่งสำคัญและเป็นควำมจำเป็นพื้นฐำน แต่ชีวิตจะต้องมี สมดุล มีสิ่งต่ำงๆ อีกหลำยอย่ำงที่มีค่ำไม่น้อยกว่ำกำรบริโภค เช่น ควำมสงบสุข ศิลปะ กีฬำ กำรไม่เน้นกำรแขง่ ขัน • เศรษฐศำสตร์กระแสหลักเป็นกำรผลิตและกำรบริโภคทำงวัตถุ แต่เศรษฐกิจ พอเพยี งจะเนน้ กำรแข่งขันกบั ตนเอง เพอ่ื ให้ชีวิตเกิดควำมมนั่ คง ใชท้ รพั ยำกรทมี่ ี ให้เกิดประโยชน์ ไม่ฟุ่มเฟือย พึ่งพำตนเอง กำรร่วมมือกันจะช่วยให้คนในชุมชน สำมำรถพง่ึ ตนเองและเดนิ สำยกลำงได้
พระพทุ ธศาสนากับการพัฒนาที่ยั่งยืน ควำมหมำยของพัฒนำทยี่ ่งั ยนื • การพัฒนาที่ย่ังยืน หมำยถึง กำรตอบสนองควำมต้องกำรของคนรุ่นปัจจุบัน โดยไม่มีผลกระทบในทำงลบต่อ ควำมตอ้ งกำรของคนรนุ่ ต่อไปในอนำคต เป็นกำรพฒั นำท่ีดำเนนิ ไปไดโ้ ดยตลอด • กำรพัฒนำน้ันต้องใช้หรือทำลำยทรัพยำกรที่มีอยู่ ถ้ำเรำซ่ึงเป็นคนรุ่นปัจจุบันไม่ดูแลทรัพยำกรท่ีมีอยู่ก็จะร่อย หรอหมดไป ทรัพยำกรท่ีใช้ไปแล้วอำจเส่ือมโทรมลงจนฟ้ืนฟูไม่ได้ กำรพัฒนำก็ต้องยุติลง แต่ถ้ำเรำดูแลรักษำ ทรัพยำกรให้เหมำะสม กำรพัฒนำก็สำมำรถดำเนินไปได้ตลอด กำรพัฒนำอย่ำงน้ีเรำเรียกว่ำ “กำรพัฒนำที่ ยงั่ ยืน”
พระพุทธศาสนากบั การพัฒนาทย่ี ่งั ยืน หลกั ธรรมท่ีสอดคลอ้ งกับกำรพฒั นำท่ียั่งยนื • กำรพัฒนำท่ียั่งยืนตำมแนวทำงของพระพุทธศำสนำเป็นกำรพัฒนำมนุษย์ ทำให้มนุษย์รู้จักส่ิงต่ำงๆ และ สำมำรถปฏิบัติตอ่ ส่งิ นน้ั ได้อย่ำงไร ไตรสกิ ขำ อทิ ธิบำท ๔ ทิฏฐธัมมกิ ตั ถประโยชน์ ๔ อริยสัจ ๔ หลักธรรมท่ีสอดคลอ้ งกับการพฒั นาทยี่ ่งั ยืน
พระพุทธศาสนากบั การพัฒนาทยี่ ั่งยืน หลกั ธรรมที่สอดคล้องกับกำรพฒั นำทีย่ ง่ั ยืน ไตรสกิ ขา • ไตรสกิ ขำ เป็นหลักในกำรพัฒนำชีวติ โดยพฒั นำในดำ้ นศีล สมำธิ ปญั ญำ ซึ่งไตรสิกขำเปน็ ข้อปฏบิ ัติ ทค่ี วรศึกษำ ๓ ประกำร ศลี • เป็นกำรพัฒนำด้ำนพฤติกรรมหรือวิธีกำรใช้ชีวิต เพ่ือพัฒนำให้คนมีวินัยในตนเอง มีระเบียบ สมำธิ ปฏิบตั ติ นตำมศีล เป็นกำรจัดระเบียบของชีวติ • เป็นกำรพัฒนำด้ำนจิตใจ เพ่ือให้เรำมีจิตใจที่ม่ันคง เข้มแข็ง และมีควำมสุข เพรำะเมื่อสมำธิเกิด ปญั ญำกจ็ ะเกิดขนึ้ ทำใหเ้ รำมีสติในกำรคิดพิจำรณำสง่ิ ต่ำงๆ ปญั ญำ • เป็นกำรพัฒนำด้ำนปัญญำ เพื่อให้เกิดควำมรู้ควำมเข้ำใจต่ำงๆ รวมทั้งกำรฝึกฝนหรือพัฒนำด้ำน ควำมรู้ ควำมเข้ำใจ โดยมกี ำรวินจิ ฉัยไตร่ตรองโดยใชเ้ หตผุ ล
พระพทุ ธศาสนากับการพัฒนาท่ยี ัง่ ยืน หลกั ธรรมท่สี อดคลอ้ งกับกำรพัฒนำท่ยี ั่งยนื อรยิ สจั ๔ ควำมจริงท่วี ำ่ ดว้ ย ควำมจรงิ ท่วี ่ำดว้ ยเหตุ ควำมทุกข์ แหง่ ทกุ ข์ ทกุ ข์ สมุทยั อริยสัจ ๔ ควำมจริงอันประเสริฐ ๔ ประกำร มรรค นโิ รธ ควำมจรงิ ทว่ี ำ่ ดว้ ย ควำมจริงที่ว่ำด้วยกำร วิถที ำงแหง่ กำรดับทุกข์ ดบั ทุกข์
พระพทุ ธศาสนากบั การพัฒนาทีย่ ัง่ ยืน หลกั ธรรมที่สอดคล้องกบั กำรพฒั นำที่ยัง่ ยืน อทิ ธบิ าท ๔ • อทิ ธบิ ำท ๔ เป็นหลกั ธรรมเพื่อใหเ้ กิดควำมสำเร็จตำมที่ตนประสงค์ไว้ มี ๔ ประกำร ฉนั ทะ วิรยิ ะ จติ ตะ วมิ งั สา ควำมพึงพอใจ ควำมมีใจฝกั ใฝ่ ควำมพำกเพยี ร ควำมมเี หตุผล
พระพุทธศาสนากบั การพัฒนาทีย่ ัง่ ยนื หลกั ธรรมทส่ี อดคล้องกับกำรพฒั นำทย่ี ั่งยืน ทิฏฐธมั มิกตั ถประโยชน์ ๔ • ทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ ๔ คือ ประโยชน์อันพึงได้รับจำกกำรประกอบกิจกำร หรือมีอำชีพที่สุจริต ถูกต้องตำม กฎหมำยและศีลธรรม กำรจะได้มำซึ่งประโยชน์นั้นต้องแสวงหำอย่ำงมีหลักกำรและมีแผนกำร เรียกว่ำ ธรรมที่ เปน็ ไปเพอ่ื ใหไ้ ด้มำซง่ึ ประโยชน์ในปัจจบุ ัน มีอยู่ ๔ ประกำร อุฏฐานสมั ปทา ควำมขยนั หมน่ั เพียร อารักขสัมปทา กำรรู้จกั รกั ษำทรพั ย์และประหยดั กลั ยาณมติ ตตา กำรคบคนดีเปน็ มติ ร สมชีวติ า กำรเลย้ี งชพี ตำมสมควรแก่กำลังทรัพยท์ ่หี ำได้
พทุ ธธรรมกับเศรษฐกจิ พอเพียง ควำมสำคญั ของพุทธธรรมกบั เศรษฐกิจพอเพยี ง แนวความคดิ ของเศรษฐกิจพอเพียงท่สี อดคล้องกับหลักคาสอนของพระพทุ ธศาสนา • พุทธธรรมสอนใหพ้ ึง่ ตัวเองให้มำกท่ีสดุ ไม่พึง่ สิ่งศักด์ิสิทธ์ใิ ดๆ • พระพทุ ธศำสนำสอนใหเ้ รำเดินทำงสำยกลำง และเรียกหลกั น้ีว่ำ “มชั ฌมิ ำปฏปิ ทำ” • พระพทุ ธศำสนำมไิ ดป้ ฏเิ สธควำมมง่ั คงั่ หำกไดม้ ำจำกกำรไม่เบยี ดเบยี นตนเองและผอู้ ืน่ • พระพทุ ธศำสนำไม่ได้เชิดชคู วำมยำกจน แต่กำรทีจ่ ะพน้ จำกควำมจนตอ้ งเป็นไปโดยชอบ • พระพุทธศำสนำสอนเร่อื งสันโดษ ยินดใี นส่ิงทตี่ นหำได้และเป็นคนอยำ่ งชอบธรรม • พระพทุ ธศำสนำสอนใหค้ นแขง่ ขนั กันในเรือ่ งของกำรทำควำมดี เอ้ือเฟ้ือตอ่ ผู้อืน่ • พระพทุ ธศำสนำสอนให้ระงับและลดควำมโลภเพ่อื ควำมเปน็ ศัตรใู นหมมู่ นษุ ย์จะไดน้ ้อยลง
พทุ ธธรรมกับเศรษฐกิจพอเพยี ง หลักธรรมทส่ี อดคลอ้ งกับเศรษฐกจิ พอเพยี ง ความสนั โดษ • ควำมสันโดษ คอื กำรรูจ้ ักยบั ยง้ั ควำมปรำรถนำของตนให้อยู่ในขอบเขตทเ่ี หมำะสม สมเด็จพระพุทธโฆษำจำรย์ (ประยทุ ธ์ ปยุตโฺ ต) ได้ให้คำจำกัดควำมของสันโดษไวว้ ำ่ “ควำมเอิบอิ่มพึงพอใจในผลสำเร็จที่ได้สร้ำงขึ้น หรือใน ปัจจัยลำภทแ่ี สวงหำมำไดด้ ้วยเรยี่ วแรงควำมเพียรพยำยำมของตนเองโดยทำงชอบธรรม” • ควำมสันโดษมิได้หมำยถึงกำรอยู่เฉย ไม่ขวนขวำย ไม่กระตือรือร้นที่จะสร้ำงชีวิตให้ก้ำวหน้ำขึ้นไปเรื่อยๆ แต่หมำยถึงควำมยินดีในสิ่งท่ีตนมีอยู่และไม่ด้ินรนเกินไป เพ่ือแสวงหำส่ิงต่ำงๆ โดยถูกต้องตำมทำนอง คลองธรรม
พทุ ธธรรมกับเศรษฐกจิ พอเพยี ง หลักธรรมทสี่ อดคล้องกับเศรษฐกิจพอเพียง สนั โดษ มี ๓ อย่าง ยถาลาภสนั โดษ ยถาพลสนั โดษ ยถาสารปุ ปสันโดษ ควำมยินดตี ำมที่ได้มำโดยชอบธรรม ควำมยินดตี ำมกำลงั ทต่ี นมีอยู่ ควำมยนิ ดีตำมสมควรแก่ภำวะควำม เปน็ อย่ขู องตน
พุทธธรรมกบั เศรษฐกิจพอเพียง หลกั ธรรมทสี่ อดคล้องกบั เศรษฐกจิ พอเพียง คณุ ค่าของความสนั โดษ • ควำมสันโดษเป็นจุดเริ่มต้นให้คนเรำทำประโยชน์ให้แก่เพื่อนมนุษย์ คนสันโดษ คือ คนท่ีรู้จักยับยั้งควำมอยำก และแสวงหำสิ่งต่ำงๆ มำให้ตนเองในขอบเขตท่ีเหมำะสม กำรนึกถึงตัวเองน้อยย่อมเป็นจุดเริ่มต้นให้นึกถึงผู้อ่ืน ดงั นัน้ คนสันโดษจงึ มกั จะเอื้อเฟ้ือเห็นอกเหน็ ใจเพอื่ นมนุษย์ สว่ นคนทไ่ี ม่รจู้ กั พอนนั้ มักนึกถึงตัวเองก่อน การพฒั นาของความสันโดษ • เร่ิมจำกกำรใช้เหตุผลพิจำรณำควำมเป็นจริงของชีวิตว่ำ มนุษย์ไม่สำมำรถสนองควำมอยำกของตนได้เสมอไป พยำยำมหำควำมสุขประเภทที่ไม่ข้ึนอยู่กับวัตถุส่ิงของ เช่น กำรอ่ำนหนังสือ กำรสนทนำ กำรฟังดนตรี เป็นต้น พยำยำมฝกึ ฝนให้มคี วำมพอใจกับตนเอง มำกกวำ่ ทีจ่ ะพอใจกบั สิ่งที่อยู่นอกกำย เชน่ เล่นกีฬำ วำดรูป เล่นดนตรี
พุทธธรรมกบั เศรษฐกจิ พอเพยี ง หลักธรรมทสี่ อดคล้องกบั เศรษฐกจิ พอเพยี ง ความมกั น้อย • มศี พั ทท์ ำงพระพุทธศำสนำคำหนึ่งคือ “อปั ปิจฉกถำ” แปลว่ำ ควำมต้องกำรน้อยหรือควำมมักน้อย ธรรมข้อ น้ีพระพุทธเจ้ำทรงบัญญัติให้พระภิกษุสงฆ์ยึดถือ พระสงฆ์นั้นจำต้อง “มักน้อย” มิฉะนั้นจะไม่มีเวลำศึกษำพระ ธรรมคำสอนและเผยแผพ่ ระพทุ ธศำสนำ คฤหัสถ์จงึ ไมจ่ ำเปน็ ตอ้ งมกั นอ้ ย คนท่วั ไปสำมำรถแสวงหำเงิน แสวงหำ เกียรติได้ หำกได้มำโดยวิธีกำรที่ชอบ พระพุทธศำสนำมิได้สอนให้คนทั่วไป “มักน้อย” และก็มิได้สอนให้ “มกั มำก” จนตอ้ งทุจรติ หรอื ทำเกนิ วิสัยของตน แตส่ อนใหอ้ ยำกได้ในส่งิ ที่ควรไดค้ อื สนั โดษนั่นเอง
๙หน่วยการเรียนรู้ที่ ศาสนากบั การอยู่รว่ มกันในประเทศไทย จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ • วิเครำะหค์ วำมแตกตำ่ งและยอมรบั วถิ กี ำรดำเนนิ ชวี ติ ของศำสนกิ ชนในศำสนำอื่นๆ ได้
วถิ กี ารดาเนินชีวิตของพทุ ธศาสนิกชน • พระพุทธเจำ้ ไดต้ รัสไวว้ ่ำ “บุคคลผู้ใฝป่ ระโยชน์ ควรศกึ ษำบญุ เพรำะบญุ จะเออื้ อำนวยใหเ้ กิดควำมสุขข้ึนในโลก ทำใหโ้ ลกปรำศจำกกำรเบียดเบียน กำรศึกษำบุญจึงเป็นหลักทีพ่ ุทธศำสนกิ ชนยึดถอื เปน็ วถิ กี ำรดำเนินชีวติ ” • กำรศึกษำบุญ หรือ “ปุญญสิกขำ” คือ กำรฝึกฝน กำรฝึกหัด กำรหม่ันทำควำมดีให้เจริญงอกงำมในจิตใจ มี ๓ ประกำร คอื ทำน ศลี และภำวนำ เปน็ เรือ่ งของกำรปฏบิ ตั ิ เรียกว่ำ “บญุ กริ ยิ ำวตั ถุ ๓” • ทำน ศีล สมำธิ เป็นหลักปฏิบัติท่ีช่วยให้เอำชนะใจตัวเอง ชนะกิเลสในจิตใจ กำรให้ทำนเป็นกำรเอำชนะ ควำมโลภหรือโลภะ กำรมีศีลเป็นกำรเอำชนะควำมโกรธหรือโทสะ และกำรภำวนำเป็นกำรเอำชนะควำม หลงไม่รู้จริงหรอื โมหะ ท้งั หมดจึงถือวำ่ เป็นกำรกระทำบุญ
วถิ ีการดาเนนิ ชวี ติ ของพุทธศาสนิกชน กำรทำบญุ ดว้ ยกำรให้ทำน • ทาน หมำยถึง กำรเอื้อเฟ้ือเผื่อแผ่แบ่งปันกัน ควำมตั้งใจท่ีจะสละหรือบริจำค กำรมีเจตนำที่จะไม่เบียดเบียน กำรต้ังใจจะบรจิ ำคสงิ่ ของใหผ้ ู้อน่ื เพอื่ ช่วยเหลือเผือ่ แผ่กนั แบ่งเป็น ๒ ประเภท คือ อำมสิ ทำน • เป็นกำรให้สิ่งของ คือ ปัจจัย ๔ ได้แก่ เครื่องนุ่งห่ม อำหำร ที่อยู่อำศัย และยำรักษำโรค กำรให้ทำนนอี้ ำจใหเ้ จำะจงตัวบุคคลใดบคุ คลหนง่ึ หรือไม่เจำะจงกไ็ ด้ ธรรมทำน • เป็นกำรให้ควำมรู้ ให้คำส่ังสอนแนะนำเก่ียวกับธรรมะ กำรตักเตือนให้ประพฤติดีประพฤติ ชอบ ร้จู กั บำปบญุ คณุ โทษ กำรใหธ้ รรมถอื ว่ำเปน็ ทำนท่ีสงู กว่ำกำรใหส้ ิ่งของ
วิถีการดาเนนิ ชวี ติ ของพุทธศาสนกิ ชน กำรตงั้ มนั่ และรักษำศีล • ศีล คอื กำรประพฤติแตส่ ิ่งท่ดี ีงำม ไม่เบยี ดเบียนหรือทำให้ผูอ้ น่ื เดอื ดรอ้ น เป็นควำมดีทส่ี ูงกว่ำทำนขนึ้ มำข้ันหน่ึง • ควำมหมำยโดยรวมของศีล คือกำรไมเ่ บยี ดเบยี นกันให้เดอื ดร้อน อำจเรยี กวำ่ อภยั ทำน • อภัยทำน แปลว่ำ ให้ควำมไม่มีภยั หรือให้อภัย • ศลี อยู่ที่ตวั ของเรำเอง สำมำรถแสดงออกมำให้เห็นไดท้ งั้ ทำงกำยและทำงวำจำ • ศีล ถอื วำ่ เปน็ พน้ื ฐำนหรือหลกั กำรในกำรอย่รู ่วมกนั กับผู้อ่ืนในสังคมด้วยควำมสงบสุข เพรำะศีลคือกำรตั้งใจละเว้นจำก กำรทำชั่ว และไม่เบยี ดเบียนกัน คนทีจ่ ะมีศีลตอ้ งเป็นคนทม่ี หี ริ ิโอตัปปะ คอื ควำมละอำยและควำมเกรงกลัวตอ่ บำป
วถิ กี ารดาเนินชีวติ ของพุทธศาสนกิ ชน กำรตั้งมน่ั และรักษำศลี ๑. งดเว้นจำกกำรฆ่ำสตั ว์มชี วี ติ ๑. กำรมเี มตตำ กรุณำ ๒. กำรประกอบอำชีพสจุ รติ ๒. งดเว้นจำกกำรถือเอำส่ิงของท่ีเจ้ำของ ๓. กำรสำรวมในกำม ไม่ไดใ้ ห้อนุญำต ๔. กำรพดู ควำมจรงิ ๕. กำรมสี ติสำรวม ๓. งดเว้นจำกกำรประพฤตผิ ดิ ในกำม เบญจศีล เบญจธรรม ๔. งดเวน้ จำกกำรพูดเทจ็ ๕. งดเวน้ จำกกำรฆ่ำดม่ื น้ำเมำ
วิถีการดาเนนิ ชีวิตของพทุ ธศาสนิกชน กำรเจริญสตภิ ำวนำ • ภำวนำเป็นกำรฝึกอบรมจิตให้บริสุทธิ์จำกกิเลส และเป็นกำรปฏิบัติข้ำงใน แบ่งเป็น ๒ อย่ำง คือ กำรฝึกอบรม จิตให้ตง้ั มัน่ และกำรฝึกจิตอบรมใหใ้ ชป้ ญั ญำพิจำรณำสิง่ ตำ่ งๆ ตำมควำมเป็นจริง จิตภำวนำหรอื สมำธิ • กำรฝึกอบรมจิตให้ตง้ั ม่ัน เพอ่ื ทำให้เกดิ ควำมสงบ ท้งั ทำงกำย วำจำ และจติ ใจ ปญั ญำภำวนำหรอื วปิ สั สนำ • กำรฝึกจิตอบรมให้ใช้ปัญญำพิจำรณำส่ิงต่ำงๆ ตำมควำมเป็นจริง เพ่ือให้เกิดควำมรู้ควำมเห็นที่ถูกต้อง จนหลุด พ้นจำกกเิ ลสและควำมทกุ ข์
วถิ กี ารดาเนนิ ชวี ติ ของพทุ ธศาสนิกชน กำรเจริญสตภิ ำวนำ กำรภำวนำขน้ั พน้ื ฐำนในชวี ติ ประจำวนั กำรไหวพ้ ระสวดมนต์ • เปน็ กำรภำวนำข้ันพ้ืนฐำน เป็นกำรฝึกจิตให้สงบ กิเลสเบำบำงลง ช่วย ใหจ้ ิตใจปลอดโปรง่ นอนหลบั สบำย กำรแผ่เมตตำ • เปน็ กำรทำควำมดี เป็นกำรคิดปรำรถนำให้ผู้อ่ืนเป็นสุข กำรให้อภัยไม่ถือ โทษกนั เปน็ อภยั ทำน
วถิ ีการดาเนนิ ชีวิตของพทุ ธศาสนกิ ชน กำรเจรญิ สติภำวนำ ประโยชนท์ ี่ได้จำกกำรภำวนำในชวี ติ ประจำวนั • ช่วยในกำรส่งเสริมสุขภำพจิต ทำให้จิตใจผ่องใส มีควำมหนักแน่นมั่นคง รู้จักจิตใจของ ตัวเองดีขึน้ • ช่วยในกำรทำงำนให้ดีขึ้น เพรำะมีสมำธิที่จะคิดหรือทำอะไรโดยไม่วอกแวกไปหำเร่ืองอ่ืน ทำให้กำรงำนสำเร็จไปได้ดว้ ยดี • ช่วยให้หลุดพ้นจำกกิเลสตัณหำท้ังหลำย ท่ีหมำยถึง มีควำมอยำกเกินพอดี มีควำม ทะเยอทะยำนอนั ไม่รจู้ บ
วิถกี ารดาเนนิ ชวี ิตของพทุ ธศาสนิกชน กำรเจริญสติภำวนำ กำรทำบุญในวนั พระหรอื วนั สำคัญทำงประเพณี • โดยท่ัวไปเมอ่ื ถงึ วันพระ วนั สำคัญทำงศำสนำ หรอื วันสำคัญทำงประเพณี ชำวพุทธจะนิยมทำบุญพร้อมกัน ๓ ด้ำน คือ ทำน ศีล และ ภำวนำ ด้วยกำรตักบำตรถวำยอำหำร รักษำศีล ฟังเทศน์ฟังธรรม น่ังสมำธิ เวียนเทียน หรือปฏิบัติธรรมเป็นโอกำสพิเศษในช่วงเวลำ ส้ันๆ เช่น ๓-๗ วัน • ในอดตี มปี ระเพณีที่ทกุ ครัวเรือนนิยมให้ลูกหลำนผู้ชำยที่มีอำยุครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์ข้ึนไปปฏิบัติ คือ ประเพณีกำรอุปสมบท (กำรบวช) เพื่อรับกำรถ่ำยทอดควำมรู้เกี่ยวกับควำมจริงของโลกและชีวิต จะได้เป็นผู้มีสติสัมปชัญญะ เป็นท่ีพ่ึงของครอบครัวต่อไปได้ และถือ เปน็ กำรตอบแทนคณุ บดิ ำมำรดำด้วย
วิถกี ารดาเนินชีวติ ของพทุ ธศาสนกิ ชน กำรเจริญสตภิ ำวนำ วิธีกำรดำเนินชีวิตของพทุ ธศำสนกิ ชนสอดคลอ้ งกับหลกั กำรทเ่ี ป็นหัวใจของพระพทุ ธศำสนำ คือ โอวำทปำฏิโมกข์ โอวาทปาฏิโมกข์ ๓ ประการ ทำควำมดีให้ถงึ พร้อม ไมท่ ำควำมชว่ั ทั้งปวง ทำจิตใจใหบ้ ริสทุ ธ์ิผอ่ งแผว้
วถิ กี ารดาเนนิ ชีวิตของคริสตศ์ าสนกิ ชน • คริสต์ศาสนา มีหลักควำมเช่ือประกำรแรก คือ ควำมเชื่อในพระเป็นเจ้ำ ผู้ทรงเป็นพระเป็นเจ้ำ สงู สุด เป็นผ้สู ร้ำงสรรพสงิ่ • พระองค์ได้ทรงเผยแสดงพระองค์ให้มนุษย์ได้รู้จักในฐำนะ พระบิดำ พระบุตร และพระจิต ซ่ึงเรียกว่ำ “พระตรีเอกภำพ” ทรงประทำนพระบัญญัติ ๑๐ ประกำร และทรงสญั ญำว่ำจะสง่ พระผ้ไู ถม่ ำกอบก้มู นษุ ยใ์ ห้พน้ จำกบำป • พระเยซู เป็นพระบุตรท่ีพระเป็นเจ้ำทรงส่งมำเพื่อไถ่บำปมนุษย์ โดยกำรเสียสละพระองค์เองรับทุกข์ทรมำนและส้ินพระชนม์ บนไมก้ ำงเขน อันแสดงให้เหน็ ถงึ ควำมรกั อนั บริสุทธิ์ • คริสตศ์ าสนกิ ชน ดำเนินชีวิตโดยอำศัยพระคัมภีร์เป็นแนวทำง มีควำมเชื่อควำมศรัทธำในพระ เปน็ เจ้ำ โดยกำรรว่ มพธิ ีบูชำมสิ ซำเพอื่ นมสั กำร โมทนำคณุ ขอบพระคุณพระเป็นเจ้ำในทุกๆ วัน โดยเฉพำะวันอำทิตย์
วถิ ีการดาเนินชวี ติ ของคริสต์ศาสนกิ ชน หนำ้ ทข่ี องคริสต์ศำสนกิ ชน นิกำยโรมนั คำทอลิก • เป็นนิกำยเก่ำแก่ที่สุดในศำสนำคริสต์ ประมุขสูงสุด คือ พระสันตะปำปำ มศี นู ย์กลำงอยู่ท่สี ำนกั วำตกิ ัน ใช้ภำษำละตนิ เป็นภำษำกลำงทำงศำสนำ คริสตศ์ าสนาในประเทศไทย มี ๒ นกิ ายหลกั • เป็นนิกำยที่แยกตัวออกมำจำกคริสตจักรโรมันคำทอลิก โดยมี มำร์ติน นิกำยโปรเตสแตนต์ ลูเทอร์และผู้สนับสนุน ในช่วงที่คริสตจักรคำทอลิกเกิดปัญหำข้ึน มำกมำย
วถิ ีการดาเนนิ ชีวิตของคริสตศ์ าสนิกชน หน้ำที่ของครสิ ตศ์ ำสนิกชน นิกำยโรมันคำทอลิก • มีพธิ ีกรรมท่ีเรียกว่ำ “พธิ ีมิสซำบูชำขอบพระคุณ” ซ่ึงมีเป็นประจำทุกวัน แต่จะ เน้นกำรร่วมบูชำมิสซำในวันอำทิตย์ เนื่องจำกเป็นวันหยุดท่ีคริสต์ศำสนิกชน ส่วนใหญ่จะวำ่ งจำกกำรประกอบกิจกำรงำน กำรแสดงออกถึงควำมเชอ่ื ควำมศรัทธำในพระเป็นเจำ้ ชำวครสิ ต์นิกำยโรมนั คำทอลกิ และนกิ ำยโปรเตสแตนต์จะแสดง ควำมเชอ่ื ควำมศรทั ธำน้โี ดยกำรประกอบพธิ กี รรม • มีพิธีที่เรียกว่ำ “พิธีนมัสกำร” และยึดมั่นในพระวจนะจำกคัมภีร์ไบเบิลเป็น นิกำยโปรเตสแตนต์ แนวทำงในกำรดำเนนิ ชวี ติ
วิถกี ารดาเนินชีวติ ของคริสต์ศาสนิกชน หน้ำทขี่ องครสิ ต์ศำสนกิ ชน กำรรับศลี ศักดส์ิ ิทธ์ิ • พระศำสนจกั รนกิ ำยโรมันคำทอลกิ กำหนดศีลศกั ดส์ิ ิทธิ์ไว้ ๗ ประกำร ศีลล้ำงบำป • เป็นพิธีกรรมแรกสำหรบั ผู้ทีจ่ ะเข้ำถอื คริสตศ์ ำสนำ ชำระลำ้ งบำปมลทนิ ตำ่ งๆ ศีลกำลัง • เปน็ พธิ ีเจิมหนำ้ ผำกด้วยน้ำมันเป็นเคร่ืองหมำยรปู กำงเขน ศีลมหำสนิท • เปน็ ศลี ทีส่ ำคัญที่สุด เปน็ กำรแสดงว่ำผู้รบั ศลี “ร่วมสนทิ ” เป็นหน่ึงเดียวกับพระเจำ้ ศลี อภัยบำป • หรอื เรียกว่ำ ศีลสำรภำพบำป เม่ือไดก้ ระทำบำปแลว้ สำนึกผดิ และรู้สึกเสียใจ ศลี เจมิ คนไข้ • เปน็ พิธกี ำรเจิมด้วยนำ้ มันแกผ่ ปู้ ว่ ยหนักหรือผู้ท่ีกำลงั จะส้ินใจ ศลี บวช • เป็นพธิ กี รรมท่ีพระสังฆรำชโปรดใหแ้ กผ่ ชู้ ำยท่สี มัครมำบวช ท่ีไดผ้ ำ่ นกำรคัดเลอื กแลว้ ศีลสมรส • เป็นกำรประกำศว่ำชำยหญิงคู่หนึ่งได้ให้คำม่ันสญั ญำว่ำจะใช้ชวี ติ รว่ มชวี ิตกัน
วิถีการดาเนินชีวติ ของคริสตศ์ าสนิกชน หนำ้ ท่ขี องครสิ ตศ์ ำสนกิ ชน กำรบำรงุ ศำสนจกั ร • กำรบำรุงศำสนจักร คือ กำรช่วยเหลือกิจกำรของคริสตจักร โดยกำรบริจำค ทรัพย์ตำมกำลังควำมสำมำรถของคริสต์ศำสนิกชน เพ่ือบำรุงและเผยแผ่ ศำสนำ
วิถกี ารดาเนนิ ชวี ติ ของครสิ ตศ์ าสนิกชน วนั สำคญั ของคริสต์ศำสนกิ ชน • คริสต์ศำสนำทุกนิกำยมีวันสำคัญทำงศำสนำที่เหมือนกันและแตกต่ำงกันบ้ำง ในบำงคร้ังอำจเรียกช่ือต่ำงกัน เทำ่ นน้ั แตแ่ กน่ แท้ควำมสำคญั นั้นมีควำมคลำ้ ยคลงึ กัน วันสาคญั ทางคริสต์ศาสนา วันวอนั ีสอีสเตเตออรร์์ ((EEaastsetre) r) ววนัันออำสี ทเติตยอข์ รอ์ง(ทEุกaสsัปtดeำrห)์ ววนั ันคอรสิีสตเตม์ ำอสร(์ C(hEraissttmears))
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226