เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงาน ในงานการประชุมวชิ าการมหาวิทยาลัยมหาสารคามวจิ ัย คร้งั ที่ ๑๓ จากทอ้ งถิน่ สสู่ ากล ในบริบทประเทศไทย ๔.๐ From Local to Globol in the Context of Thailand 4.0 วันที่ ๗ - ๘ กันยายน พ.ศ.๒๕๖๐ ณ คณะมนษุ ยศาสตรแ์ ละสงั คมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม “สาขาการบริการวชิ าการ” กองสง่ เสรมิ การวจิ ัยและบรกิ ารวชิ าการ มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม
เจ้าของ: กองสง่ เสรมิ การวิจัยและบรกิ ารวชิ าการ มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม ท่ปี รึกษา: ศาสตราจารย์ ดร.สมั พันธ์ ฤทธเิ ดช รองศาสตราจารย์ ดร.ประยุกต์ ศรีวไิ ล รองศาสตราจารย์ ดร.ไพโรจน์ ประมวล รองศาสตราจารย์วีณา วสี เพ็ญ รองศาสตราจารย์ ดร.ศุภชัย สงิ ห์ยะบุศย์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ราชันย์ นลิ วรรณาภา ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร.ปราโมทย์ ด่านประดษิ ฐ์ ผูช้ ว่ ยศาสตราจารยส์ มชาย นลิ อาธิ อาจารยว์ ิวฒั น์ วอทอง นางพรพิมล มโนชัย นางฉวีวรรณ อรรคะเศรษฐัง เรียบเรยี ง: นางวชั ญา อ่อนนางใย นายสถาพร กนิ ณรินทร์ นายบรรจง บุรินประโคน นายปรีชา ศรบี ญุ เศษ คณะทำ�งาน: คณะกรรมการบรหิ ารงานบรกิ ารวิชาการ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม กองส่งเสริมการวิจัยและบริการวชิ าการ
คำ�นำ� เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงานฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของงานประชุมวิชาการมหาวิทยาลัย มหาสารคามวิจัย คร้งั ท่ี ๑๓ “From Local to Globol in the Context of Thailand 4.0” “จากท้องถิน่ สู่สากล ในบริบทประเทศไทย ๔.๐” ของ “สาขาบริการวิชาการ” จัดทำ�ขึ้นเพื่อเป็นเอกสารประกอบ การนำ�เสนอผลงานและเผยแพร่ผลงานโครงการที่ได้รับทุนสนับสนุนจากมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ และเพ่ือเปน็ การแลกเปลี่ยนเรยี นรคู้ วามคิดเห็น ประเดน็ ปัญหา และหา วธิ กี ารพฒั นาปรบั ปรงุ แกไ้ ขการท�ำ นบุ �ำ รงุ ศลิ ปวฒั นธรรม ของมหาวทิ ยาลยั มหาสารคามใหม้ ปี ระสทิ ธภิ าพ เพม่ิ มากขนึ้ ทง้ั นี้ หากมขี อ้ ผดิ พลาดประการใด ทางกองสง่ เสรมิ การวจิ ยั และบรกิ ารวชิ าการ มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม พร้อมทจ่ี ะน้อมรบั ขอ้ เสนอแนะดงั กล่าวทกุ ประการ กองสง่ เสริมการวิจัยและบริการวิชาการ มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม กนั ยายน ๒๕๖๐
สารบญั พ่อฮักแมฮ่ ักรกั ษส์ ขุ ภาพ โครงการหน่งึ หลักสูตรหน่งึ ชุมชน ปีงบประมาณ พ.ศ.2560 คณะเภสชั ศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม กฤษณี สระมุณี และคณะ 7 การผลติ ปยุ๋ อนิ ทรีย์ชีวภาพเพื่อเกษตรพืน้ ท่ดี ินเคม็ 15 หลักสูตร วิทยาศาสตรบณั ฑติ สาขาเทคโนโลยชี วี ภาพ 15 เกศสคุ นธ์ มณีวรรณ และคณะ 15 ภมู ิปัญญาในกลอนลำ�หนงั บักตือ้ บ้านเชยี งเหียน อ.เมอื ง จ.มหาสารคาม 1 21 Wisdom in the poem of the dog lust in Chiang Hiean city, Muang District, Maha Sarakham 21 ณัฐกฤตา นามมนตร,ี โสภี อุน่ ทะยา, กรี ติ ธนะไชย 2 21 Nutkritta Nammontree, Sopee Unthaya, Keerati Dhanachai 21 การบรหิ ารจัดการวสิ าหกิจปลาแปรรปู ต�ำ บลเขวาใหญ่ อ�ำ เภอกันทรวชิ ยั จังหวัดมหาสารคาม 33 ดร.นวลละออง อรรถรังสรรค ์ 33 โครงการพฒั นาสมรรถนะอาสาสมัครสาธารณสขุ ฉกุ เฉินชมุ ชนในกลุ่มนกั เรียนมัธยมศกึ ษา จังหวดั มหาสารคาม 39 สาขาปฏบิ ตั ิการฉกุ เฉนิ การแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ 39 นันทวรรณ ทพิ ยเนตร 39 การเพม่ิ ศกั ยภาพการจดั การขยะของชมุ ชนโดยรอบและโรงเรียนขยายโอกาสทางการศกึ ษา : โรงเรียนบ้านหนองเม็ก ต.หนองเม็ก อ.นาเชอื ก จ.มหาสารคาม 45 นิพนธ์ ตันไพบูลยก์ ลุ 45 โครงการการบรกิ ารวชิ าการมุ่งเป้า ประจำ�ปีงบประมาณ พ.ศ.2560 51 “การส่งเสรมิ การเพาะเห็ดตามหลกั เศรษฐกิจพอเพยี ง” 51 อาจารย์บษุ บา ธระเสนา 51 โครงการสรา้ งสรรค์ภาพถ่ายเซรามคิ แสดงภาพประวัตศิ าสตร์ และวถิ ีชีวติ ชุมชนพระยืน หลกั สตู รศิลปกรรมศาสตรบณั ฑิต สาขาวิชาทัศนศิลป์ คณะศลิ ปกรรมศาสตร ์ 55 ผู้ช่วยศาสตราจารยป์ ระทีป สธุ าทองไทย 55 ผู้รบั ผดิ ชอบโครงการ 55 นสิ ิตจติ อาสาพัฒนาพัฒนาสอื่ การเรียนรู้สำ�หรบั หอ้ งเรียนออสทิสติก โรงเรยี นกาฬสินธ์ุปัญญานุกลู 59 ดร.ประสงค์ สายหงษ ์ 1 ผศ.ดร.สาคร อัฒจักร 2 อาจารย์เหมมญิ ช ์ ธนปทั มม์ ีมณี 3 และอาจารย์วิทยา อรรถโยโค 4 59 โครงการเผยแพร่เพื่ออนุรกั ษ์ร�ำ โทนกนั ทรวชิ ยั 77 ยสพรรณ พนั ธะศรี 77 โฮมสเตย์ตน้ แบบบา้ นหนองโนใต้ อ.นาดนู จ.มหาสารคาม 81 หลกั สูตรสถาปัตยกรรม คณะสถาปตั ยกรรมศาสตร์ ผงั เมอื งและนฤมติ ศลิ ป์ มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม 81 ผรู้ ับผิดชอบโครงการ อ.รัชนูพรรณ คำ�สิงห์ศรี 81 ผู้รว่ มเขยี นบทสรุปโครงการ อ.รชั นพู รรณ คำ�สิงหศ์ รี อ.เปรมยดุ า ชมพูค�ำ และ อ.ณัฐวัฒน์ จติ ศีล 81 บทสรปุ โครงการ ETC for all : การบูรณาการข้ามศาสตรเ์ พอ่ื พัฒนา สือ่ การเรียนรู้ด้านสุขภาพสำ�หรับผรู้ ับบรกิ ารในโรงพยาบาลมหาสารคาม 91 ผ้ชู ่วยศาสตราจารย์ ดร.รชั นีวรรณ ต้งั ภกั ดี, ผชู้ ่วยศาสตราจารยก์ อ่ เกยี รติ ขวัญสกลุ , อาจารย์ชนยุตฏษ์ ช้างเพชร 91
สารบญั “โครงการแลกเปลีย่ นเรยี นรู้การเพาะเลย้ี งกบตามหลักปฏิบตั ทิ ่ดี ใี นการเพาะเลี้ยงสตั วน์ ้ำ� แกเ่ กษตรกร อ�ำ เภอพยคั ฆภมู พิ สิ ยั จังหวัดมหาสารคาม ปที ี ่ 2” 97 วภิ าวี ไทเมืองพล วฒั นะ ลลี าภทั ร ภัททริ า เกษมศริ ิ เมธาวี รอตมงคลดี และสุปราณี วิกรัยบูรณ ์ 97 สาขาวชิ าประมง ภาควิชาเทคโนโลยีการเกษตร คณะเทคโนโลยี มหาวิทยาลยั มหาสารคาม 97 โครงการเรียนร้แู ละถา่ ยทอดระบบผลิตและจ่ายแก๊สชีวภาพจากฟารม์ สุกรระดบั ชุมชน 99 วุฒศฺ าสตร์ โชคเก้ือ 99 โครงการสำ�รวจ ปรวิ รรตและสังคายนาภมู ปิ ญั ญาพ้นื บ้านจากเอกสารโบราณ 105 ชมุ ชนบา้ นเชียงเหยี น ตำ�บลเขวา อำ�เภอเมอื ง จงั หวดั มหาสารคาม 105 ดร.สมยั วรรณอุดร 105 หลักสูตรภาษาและวัฒนธรรมอาเซียน คณะมนุษยศาสตร์และสงั คมศาสตร์ 105 โครงการหนึง่ หลักสูตรหนึ่งชุมชน ประจ�ำ ปงี บประมาณ พ.ศ.2560 105 โครงการให้ความร้เู รือ่ งโรคและยาแก่ผู้สงู อายุและคน้ หาอาสาสมัครดแู ลผ้ปู ว่ ยด้านยาในครอบครวั 113 ปปปปปปปปป 113 บทสรปุ โครงการโครงการหนงึ่ หลักสูตรหน่ึงชมุ ชน เร่อื ง “การจดั ท�ำ ฐานข้อมลู ภาวะโภชนาการและเมนอู าหารสุขภาพของชมุ ชนบ้านนาสนี วน” ประจ�ำ ปงี บประมาณ พ.ศ.2560 119 สริ พิ ร ลาวัลย ์ 119 โครงการ “การบรหิ ารจดั การวันฮปู แตม้ เพ่อื การพฒั นาทอ้ งถิน่ ท่ยี ่งั ยืน : 131 ชุมชนดงบงั อ�ำ เภอนาดนู จังหวดั มหาสารคาม” 131 “โครงการหนง่ึ หลักสูตรหน่งึ ชุมชน” ประจ�ำ ปงี บประมาณ พ.ศ.2560 131 วทิ ยาลัยการเมอื งการปกครอง มหาวิทยาลัยมหาสารคาม 131 โครงการศนู ย์เรยี นรู้เครือขา่ ยเกษตรอินทรีย์ตลาดโรงเรยี นความยงั่ ยืนส่ชู ุมชน 137 อาจารยอ์ งอาจ ญาตินิยม 137 โรงเรยี นสาธติ มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม 137 การจดั ท�ำ รปู แบบการจัดการขยะและของเสียอันตรายโดยให้ประชาชนมสี ่วนรว่ ม 151 อภิพงษ์ พฒุ ค�ำ 1*, ยุวดี ไชยเชษฐ์ 1, นพิ นธ์ ตนั ไพบลู ยก์ ลุ 1, กนกวรรณ ศกุ รนันทน ์ 1, 151 ธรพร บศุ ยน์ ้�ำ เพชร 1, วรากร สุจริต 2, นำ�้ ทิพย์ คำ�แร่ 3 151 การพัฒนาหลักสตู รการเรยี นรูแ้ บบมสี ว่ นรว่ มเพ่อื เสริมสรา้ งพลังทางสังคมโรงเรยี นผู้สงู อายุตำ�บลเหล่าดอกไม้ อำ�เภอชื่นชมจังหวัดมหาสารคาม 159 ผศ.ดร.อมร สวุ รรณนิมิตร 1 และ ตะวัน เขตปัญญา 2 159 Amorn Suwannimitr 1 and Tawan khetpanya 2 159 “การใหค้ วามรู้ เก่ียวกบั การเขา้ ถงึ สิทธิในกระบวนการยตุ ธิ รรม ในชมุ ชนบ้านดอนกลอย ตำ�บลหัวขวาง อ�ำ เภอโกสมุ พสิ ยั จงั หวดั มหาสารคาม” 167 อมรเทพ เมืองแสน 1 167 โครงการพัฒนากลุ่มเกษตรกรผเู้ ลี้ยงไกง่ วง บา้ นกดุ ใสจ้ ่อ ต.กดุ ใสจ้ อ่ อ.กันทรวชิ ัย จ.มหาสารคาม (ปีท่ ี 2) 171 อาณัติ จนั ทรถ์ ริ ะติกุล และคณะ 171 หลกั สตู รวิทยาศาสตรบณั ฑิต สาขาวิชาสัตวศาสตร์ คณะเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยมหาสารคาม 171
พอ่ ฮกั แมฮ่ กั รกั ษ์สขุ ภาพ โครงการหนงึ่ หลกั สูตรหนึง่ ชุมชน ปงี บประมาณ พ.ศ.2560 คณะเภสชั ศาสตร์ มหาวิทยาลยั มหาสารคาม กฤษณี สระมณุ ี และคณะ ความเป็นมาของปัญหา จากนโยบายของรัฐบาลท่ีต้องการให้ประเทศไทยก้าวสู่ยุค Thailand 4.0 ท่ีมุ่งเน้นการ ขับเคล่ือนเศรษฐกิจด้วยด้วยนวัตกรรม กระทรวงสาธารณสุขจึงได้กำ�หนดแผนยุทธศาสตร์ชาติด้าน สาธารณสขุ ระยะ 20 ปขี อง โดยตง้ั เปา้ หมายไวว้ า่ “ประชาชนสขุ ภาพดี เจา้ หนา้ ทม่ี คี วามสขุ ระบบสขุ ภาพ ย่ังยืน” ทางหน่ึงท่ีจะนำ�ไปสู่เป้าหมายดังกล่าวได้คือการที่ประชาชนสามารถดูแลสุขภาพด้วยตนเองได้ และใชย้ าและผลิตภัณฑส์ ุขภาพอื่นๆ ไดอ้ ยา่ งสมเหตุผล คณะเภสชั ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม มพี นั ธกจิ หลกั คอื การผลติ เภสชั กรเพอ่ื ดแู ลดา้ นยา และสง่ เสรมิ สขุ ภาพใหแ้ กป่ ระชาชนในชมุ ชน กระบวนการการเรยี นการสอนทบี่ รู ณาการเขา้ กบั การบรกิ าร วิชาการในชุมชนเป็นกลไกอย่างหนึ่งท่ีสำ�คัญที่จะช่วยให้นิสิตเภสัชศาสตร์ชั้นปีที่ 5 ได้มีโอกาสเข้าไป เรียนร้วู ิถชี วี ิตชุมชนเพื่อทำ�ความเข้าใจกับปัจจยั ทางเศรษฐกจิ และสงั คมท่ผี ลต่อสุขภาพ และน�ำ ไปสกู่ าร สรา้ งสรรคว์ ธิ กี ารใหมเ่ พอ่ื สง่ เสรมิ สขุ ภาพและการใชย้ าทเ่ี หมาะสมทเ่ี ขา้ กบั วถิ ชี วี ติ ชมุ ชน ซงึ่ กระบวนการ นถี้ กู ใชใ้ นการเรยี นการสอนในหลกั สตู รเภสชั ศาสตรบณั ฑติ มาโดยตลอดและเชอ่ื วา่ เปน็ กลวธิ ที เี่ หมาะสม ทจ่ี ะช่วยผลิตเภสชั กรทีม่ คี ุณภาพสอดรับกบั ความต้องการของยุทธศาสตรช์ าติได้ ส�ำ หรบั ปกี ารศกึ ษา 2559 นี้ ชมุ ชนทนี่ สิ ติ ไปเรยี นรู้ คอื บา้ นนาแพง-นาอดุ ม ต.นาอดุ ม อ.โพนทอง จ.รอ้ ยเอด็ ประชากรทอี่ ยูใ่ นหมบู่ า้ นส่วนใหญ่เปน็ วัยชราและเดก็ เจบ็ ปว่ ยดว้ ยโรคเรื้อรงั หลายโรค อกี ท้ัง มกี ารใชย้ าและผลติ ภณั ฑส์ ขุ ภาพทไ่ี มเ่ หมาะสม โครงการพอ่ ฮกั แมฮ่ กั รกั ษสขุ ภาพไดอ้ อกแบบกจิ กรรมให้ นิสติ เขา้ ไปเรียนรแู้ ละฝกึ กระบวนการทำ�งานในชุมชน เริม่ ต้นจากค้นหาปญั หาสุขภาพและการใชย้ าหรอื ผลติ ภณั ฑส์ ขุ ภาพในครอบครวั ใชก้ ระบวนการคดิ วเิ คราะหพ์ รอ้ มทงั้ บรู ณาการองคค์ วามรดู้ า้ นเภสชั ศาสตร์ เพ่ือสร้างสรรคน์ วัตกรรมในการดแู ลสขุ ภาพรว่ มกบั ชมุ ชน วัตถุประสงค์โครงการ • เพื่อสำ�รวจปัญหาสุขภาพและการใช้ยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพของคนในชุมชนผ่านครอบครัว พ่อฮักแมฮ่ กั • เพื่อส่งเสริมการจัดการปัญหาสุขภาพและการใช้ยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพท่ีเหมาะสมให้แก่ คนในชุมชน
8 เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงานการประชุมวิชาการ มหาวิทยาลัยมหาสารคามวิจัย ครั้งที่ ๑๓ : สาขาบริการวิชาการ กระบวนการดำ�เนินการ ปีท่ี 5 โดยนิสิตท้ังช้ันปีและอาจารย์ได้ลงชุมชน บ้านนาแพง-นาอุดมและพักอยู่ในชุมชนเป็นระยะ โครงการฯมีจุดมุ่งหวังเพ่ือส่งเสริมการ เวลา 7 วัน (19-25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559) จัดการปัญหาสุขภาพและการใช้ยาและผลิตภัณฑ์ ใชช้ วี ติ ประจ�ำ วนั ตามวถิ ชี มุ ชนรว่ มกบั พอ่ ฮกั แมฮ่ กั สขุ ภาพที่เหมาะสมให้แกค่ นในชมุ ชน คณะทำ�งาน เชน่ ต่ืนเช้านึ่งข้าว เตรียมอาหารตกั บาตร ไปนา ได้ใช้กระบวนการ PDCA และดำ�เนินงานแบบ เกยี่ วข้าว เปน็ ต้น มีส่วนร่วมร่วมกับชุมชน ขั้นตอนหลักของการ ทำ�งานมี 3 อย่าง ได้แก่ การเตรียมการสำ�รวจ ให้ความรู้สุขภาพโดยใช้นวัตกรรมที่ ปญั หาสุขภาพทสี่ ำ�คญั การด�ำ เนนิ การตามแผนท่ี สรา้ งสรรคข์ นึ้ ในวนั แรกของการลงชมุ ชน นอกจาก วางไว้ และการติดตามและประเมนิ ผล โดยมีราย นี้ยงั มกี ิจกรรมอน่ื ๆ เพ่ือส่งเสริมสุขภาพและการ ละเอียดดงั น้ี ใช้ยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพท่ีเหมาะสมแก่พ่อฮัก แม่ฮกั และชุมชนอีกดว้ ย เช่น การเยย่ี มบา้ น การ การเตรยี มการ ดแู ลและใหค้ �ำ ปรกึ ษาผปู้ ว่ ยโรคเรอ้ื รงั ในชมุ ชนแบบ อาจารย์ ตัวแทนนสิ ิต และแกนน�ำ ชมุ ชน เฉพาะราย การบรกิ ารคดั กรองโรคเรอื้ รงั กจิ กรรม ประชุมหารือเพื่อกำ�หนดประเด็นปัญหาสุขภาพ สานสมั พนั ธ์ (พาแลง) เป็นตน้ การใชย้ าและผลติ ภณั ฑส์ ขุ ภาพเพอ่ื ใหค้ ณะท�ำ งาน ไดท้ ราบข้อมลู สำ�คัญในเบอ้ื งตน้ หลังจากนน้ั แบง่ การตดิ ตามผลและประเมินผล นิสิตออกเป็น 6 โซนเพื่อเพ่ือสำ�รวจชุมชน ทำ� การติดตามและประเมินผลเน้นในส่วน แผนทเ่ี ดินดนิ และส�ำ รวจปญั หาดา้ นสขุ ภาพ การ ท่ีเกิดจากการใช้นวัตกรรมสุขภาพที่สร้างสรรค์ ใชย้ าและผลติ ภณั ฑ์สขุ ภาพของครวั เรือนในชมุ ชน ข้ึน วัดครั้งแรกในวันแรกของการลงชุมชน (19 นิสิตวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการประชุม พฤศจิกายน พ.ศ. 2559) โดยวัดผลลัพธ์ครั้งที่ ร่วมกับผลการสำ�รวจเพ่ือคัดเลือกปัญหาท่ีสำ�คัญ สองในการลงชุมชนวันท่ีเจ็ด (25 พฤศจิกายน แลว้ สรา้ งสรรคน์ วตั กรรมทเ่ี ปน็ ไปไดส้ �ำ หรบั การน�ำ พ.ศ. 2559) และติดตามความต่อเนื่องย่ังยืนใน ไปใช้จริง หลังจากน้ันจึงนำ�นวัตกรรมที่ได้ไปนำ� อีก 3 เดือนหลังจากการลงชุมชน (3 มีนาคม เสนอต่อชุมชนและหน่วยงานท่ีรับผิดชอบในพื้นท่ี พ.ศ. 2560) เพื่อปรับปรุงอีกครั้งให้เข้ากับบริบทก่อนนำ�ไป ใช้จริง การบูรณาการกับภารกิจหลักด้านอื่นๆ เม่ือได้นวัตกรรมที่ผ่านความเห็นชอบ ของชุมชนแล้ว นิสิตจึงร่วมกันวางแผนการการใช้ บรู ณาการกบั การเรยี นการสอน นวัตกรรม เตรียมการในการลงพ้นื ท่ี และกำ�หนด โครงการฯนเี้ ปน็ การบรู ณาการ 2 พนั ธกจิ วธิ ีการวัดและประเมินผล หลักอย่างลงตวั ของคณะเภสัชศาสตร์ ได้แก่ การ เรยี นการสอน และการบรกิ ารวชิ าการ การดำ�เนิน ข้นั ดำ�เนินการ โครงการฯน้ันเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนการสอน การใช้นวัตกรรมน้ันเกิดข้ึนในช่วงการ ของรายวิชาการสร้างเสริมสุขภาพของนิสิตช้ัน ดำ�เนินโครงการป้ันกาวน์ให้เข้าใจดินของนิสิตชั้น ปีท่ี 5 โดยมีอีก 4 รายวิชาท่ีมาบูรณาการร่วม ด้วย ไดแ้ ก่ เภสชั เศรษฐศาสตร์ เภสัชจลนศาสตร์
เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงานการประชุมวิชาการ มหาวิทยาลัยมหาสารคามวิจัย ครั้งที่ ๑๓ : สาขาบริการวิชาการ 9 เภสัชกรรมชุมชน และเภสัชกรรมบำ�บัด 5 ซ่ึงใน เค็มจำ�นวน 51 คน และชอบรับประทานอาหาร แต่ละรายวิชามีงานมอบหมายท่ีเป็นกลไกทำ�ให้ รสหวาน 33 คน นิสิตได้ฝึกเชื่อมโยงเนื้อหาวิชาการที่เรียนใน ห้องเรยี นกบั สถานการณ์จรงิ ในชมุ ชน ผลการคัดเลือกประเด็นสขุ ภาพ จากข้อมูลดังกล่าวข้างต้น คณะทำ�งาน โครงการฯน้ีออกแบบข้ึนเพ่ือให้นิสิตเป็น ไดม้ ีมติว่าโครงการฯจะมุ่งเนน้ สรา้ งนวตั กรรมเพือ่ ผดู้ �ำ เนนิ การหลกั ท�ำ ใหน้ สิ ติ ไดเ้ รยี นรกู้ ระบวนการ ส่งเสริมการลดพฤติกรรมการรับประทานอาหาร ทำ�งานในหลายมิติ ท้ังการทำ�งานของตนเอง การ รสเค็ม เน่ืองจากเป็นพฤติกรรมท่ีสอดคล้องกับ ทำ�งานกับเพ่ือน การทำ�งานกับชุมชน และการ ปญั หาสขุ ภาพทพ่ี บ คอื โรคความดนั โลหติ สงู และ ทำ�งานกับหนว่ ยงานในชุมชน ซึง่ นำ�ไปสู่การสรา้ ง ไดส้ รา้ งสรรคน์ วตั กรรมท่มี ีช่อื วา่ “ซมิ เบง่ิ อย่าเพ่ิง สมรรถนะให้แก่นิสิตสามารถปรับตัวที่จะทำ�งาน จว้ ด” นวตั กรรมชนิ้ นป้ี ระกอบดว้ ย แผนภาพแสดง ร่วมกบั ผ้อู ืน่ ได้ ปริมาณเกลือ (และนำ้�ตาล) ต่อวันสำ�หรับติดไว้ ประจ�ำ บา้ นพอ่ ฮกั แมฮ่ กั สตกิ๊ เกอรค์ �ำ ขวญั “ซมิ เบงิ่ กิ จ ก ร ร ม ใ น โ ค ร ง ก า ร ฯ ส่ ว น ใ ห ญ่ เ ป็ น อย่าเพิ่งจ้วด” ติดไว้ประจำ�บ้านพ่อฮักแม่ฮักและ กิจกรรมบริการวิชาการด้านวิชาชีพเภสัชศาสตร์ที่ ตามรา้ นค้าในชุมชน และเพลงลดเค็ม (ซึ่งนิสิตได้ นิสติ สามารถทำ�ได้ เช่น การใหค้ วามรู้ การจัดการ แตง่ เนอื้ รอ้ งเอง โดยใชท้ �ำ นองเพลงลกู ทงุ่ เพลงหนงึ่ ปญั หาเร่ืองยาและสขุ ภาพ การคัดกรองโรคเร้อื รงั ท่ีคุน้ หแู ละมจี งั หวะคึกคัก) จากน้ันได้นำ�เสนอต่อ เป็นต้น ซ่ึงเป็นพันธกิจสำ�คัญที่คณะเภสัชศาสตร์ องค์การบริหารสว่ นตำ�บลแล้วพบว่า ทางองค์การ ได้ดำ�เนินการอยู่เป็นประจำ� อันจะช่วยเพิ่มความ บรหิ ารสว่ นต�ำ บลเหน็ วา่ การเปดิ เพลงลดเคม็ นนั้ ยงั ชำ�นาญใหก้ บั นิสติ ในเชงิ วชิ าชีพได้ ไมเ่ หมาะสมกบั สถาณการณ์ เนอื่ งจากคนในชมุ ชน ยังมีความเศร้าโศกเสียใจจากการสวรรคตของ ผลลัพธ์จากการดำ�เนินงานโครงการ พระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหาภมู พิ ลอดลุ ยเดช ดงั นน้ั นวตั กรรม “ซมิ เบงิ่ อยา่ เพงิ่ จว้ ด” จงึ ประกอบ ข้อค้นพบตามวัตถปุ ระสงค์ ดว้ ย 2 สว่ น คอื แผนภาพแสดงปรมิ าณเกลอื (และ ผลการส�ำ รวจปญั หาสขุ ภาพและการใชย้ า นำ�้ ตาล) และสต๊กิ เกอร์ (รปู ท่ี 1) และผลติ ภณั ฑ์สุขภาพของคนในชุมชน จากการเก็บข้อมูลด้านต่างๆ ได้แก่ การวดั และประเมนิ ผล พฤตกิ รรมสขุ ภาพความเจบ็ ปว่ ยการใชย้ าและอนื่ ๆ ประเมนิ ผลของการใช้นวตั กรรม 3 ดา้ น ท่ีเก่ียวข้อง สำ�รวจคนในชุมชนทั้งหมด 123 คน ได้แก่ ความรู้เก่ียวกับปริมาณเกลือและน้ำ�ตาล พบวา่ คนในชมุ ชนมโี รคประจ�ำ ตวั คอื โรคความดนั ในอาหาร/เคร่ืองปรุง พฤติกรรมการรับประทาน โลหติ สูง 59 คน และโรคเบาหวาน 46 คน นอก อาหารรสเค็ม/รสหวาน ความตงั้ ใจในการลดการ น้นั มโี รคประจ�ำ ตวั อ่ืนๆ เชน่ โรคไตวายเรือ้ รัง โรค รับประทานเค็ม/หวาน และการใช้ประโยชน์จาก เกาต์ เปน็ ตน้ คนในชมุ ชนสว่ นใหญส่ บู บหุ รหี่ รอื ดม่ื นวัตกรรม สรุ าเปน็ ครงั้ คราวหรอื นานๆ ครงั้ คนในชมุ ชนสว่ น ใหญอ่ อกก�ำ ลงั กายทกุ วนั ๆ ละอยา่ งนอ้ ย 30 นาที ส�ำ หรบั พฤตกิ รรมการรบั ประทานอาหารนนั้ พบวา่ คนในชุมชนให้ข้อมูลว่าชอบรับประทานอาหารรส
10 เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงานการประชุมวิชาการ มหาวิทยาลัยมหาสารคามวิจัย ครั้งที่ ๑๓ : สาขาบริการวิชาการ ความรเู้ กย่ี วกบั ปรมิ าณเกลอื และน�ำ้ ตาล ในอาหาร/เครื่อง ผลการประเมินพบว่า สดั ส่วนของพอ่ ฮัก รปู ที่ 2 ความรเู้ ก่ียวกับปรมิ าณเกลอื และนา้ ตาลในอาหาร/เครอื่ งปรุง แม่ฮักที่ตอบถูกต่อคำ�ถามความรู้เกี่ยวกับปริมาณ เกลือและนำ้�ตาลในอาหาร/เคร่ืองปรุงมีแนวโน้ม เพ่ิมข้ึน โดยก่อนการจัดกิจกรรมสัดส่วนดังกล่าว มคี ่าไมเ่ กินรอ้ ยละ 25 แต่เมื่อตดิ ตามผลที่ 7 วัน และ 3 เดือนพบว่ามีสัดส่วนของพ่อฮักแม่ฮักที่ ตอบถกู เพ่มิ ข้ึน (รปู ที่ 2) พฤตกิ รรมการรับประทานเค็ม/หวาน นวัตกรรมส่งผลให้พ่อฮักแม่ฮักให้ข้อมูล ว่ามีพฤติกรรมการรับประทานเค็ม/หวานลดลง เมอ่ื เทียบกบั ก่อนการดำ�เนนิ กจิ กรรม (รปู ท่ี 3) ผคลวากมาตรป้งั ใรหจะใเวนมกินาากนร่อลนดกกาารรรจรูปัับดรกปปูทิจรทกะ่ีี่ทร33รามพนพเฤคตบพม็ ิกว/รฤ่าหรวมมตาีพกนิก่าอรฮรรักับรแปมมร่ฮะกักทอาายนรู่ปเครรม็ะับ/มหปาวณารหนะน่ึงทในาสนี่ที่มเีคคว็มาม/ตั้งใจมากในการลด รบั ประทานเค็ม (ร้อยละ 25.8) แคละวหวาานม(ตรอ้ ั้งยลใะจ3ใ3.น3) กแตา่หลรังลจาดกกการจาัดรกิจรกับรรปมพรบวะ่าสทัดสา่วนนของพ่อฮักแม่ฮักท่ีมี เค็ม/หวานความต้ังใจมากนั้นมีเพ่ิมข้ึน โดยผลการการติดตามท่ี 3 เดือนถัดมามีสัดส่วนมากถึงร้อยละ 74.3 และ 61.5 ตามลาดับ และจากการส อบถามห ลังการจัดกิจกรรมพบ ว่าพ่ อฮัก แม่ฮักได้ ระบุว่า มีวิธีการลด การรับป ระท าน เค็ม /ห วานได้ หลากหลายมากข้ึน เช่น ชิมก่อนปผรลุง หกลาีกเรลี่ยปงกราะรกเินมขอินงเกค็ม่อไนม่ใสก่เคารรื่องจปัดรุงเกยอิจะกลรดปรลมารพ้า/นบ้าปลา กินผลไม้ เป็น ต้น กจาากรใกชา้ปรสรตวะารโ่ายงั้วชจใในจนมจ์ อมาีพีกกาน3่อกวเัตดฮใกือนักรนรกหแมลามังรเส่ฮลร็จักดสอิ้นรโบัยครู่ปปงกรราระะฯทพมบาาวน่าณพเคห่อฮม็นักแ่ึงม(ร่ฮใักนอ้ ไดยส้นลี่ทาแะ่ีมผน2ีคภา5วพา.แ8สมด)งปริมาณเกลือและ น้าตาลไปใช้ประโยแชนล์ ระ้อยหละว9า4น.9 (เป(้ารห้อมายยลร้อะยละ3503) โ.ด3ย)ไดร้ ะแบตุวา่ ่หนวลัตกังรรจมาท่ีนกสิ กติ มาอบรใจห้นัดัน้ มีประโยชน์ เชน่ ดู น�ำ้ ตาลในรอปู ราทูปหท่ี่ี 22าครวคา/มเรวเู้คกาย่ี รวมกือ่ บั รปง้เูรมิปกาณ่ยีรเกงุวลือกแลับะนป้าตราลิมในอาาณหาร/เเกคร่อืลงขตปือออ้รุงนคแทน้ ลาพอบะาอห่ืนารๆใชทก้ ตก่นี ะอปิ้ัจงกรใเกิมหจานรณมอื รตจอามานกกพทวัตานอบถา้ันปุ หวรามะ่ารสีเสงชพคว่ ัด์ย(ิ่มสIสmรข้า่วpงึ้นคaนcวาtข)มโตอดรงะยหพนผกั่อใลนฮกกัากราทแรามนกอ่ฮาาหักราตรทรสิด่ีมเคตีคม็ -าวหมวาานทมเี่ ปน็ ตน้ 3 เดือนถัดมามีสดั ส่วนมากถึงร้อยละ 74.3 และ 61.5 ตามล�ำ ดบั และจากการสอบถามหลงั การจดั รูปที่ 3 พฤตกิ รรมการรับประทานเคม็ /หวาน
เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงานการประชุมวิชาการ มหาวิทยาลัยมหาสารคามวิจัย ครั้งที่ ๑๓ : สาขาบริการวิชาการ 11 กิจกรรมพบว่าพ่อฮักแม่ฮักได้ระบุว่ามีวิธีการลด ใ ห้ บ ริ ก า ร คั ด ก ร อ ง ส ม ร ร ถ ภ า พ ป อ ด การรับประทานเค็ม/หวานได้หลากหลายมากขึ้น ทง้ั หมด 94 คน มเี คสเลกิ บหุ รี่ 16 คน แตเ่ นอ่ื งจาก เช่น ชิมก่อนปรุง หลีกเล่ียงการกินของเค็ม ในวันคัดกรองโรคคณะทำ�งานไม่ได้จัดเตรียมยา ไมใ่ สเ่ ครอ่ื งปรงุ เยอะ ลดปลารา้ /น�้ำ ปลา กนิ ผลไม้ สำ�หรับช่วยเลิกบุหร่ีไว้ จึงได้มีการติดตามอาการ เป็นตน้ และนำ�ยาชว่ ยเลกิ บุหรี่ไปให้ผปู้ ่วยทบ่ี ้าน การใชป้ ระโยชน์จากนวตั กรรม ใหค้ วามรเู้ รอื่ งการใชย้ าทไี่ มเ่ หมาะสมมี 3 จากการสำ�รวจในอีก 3 เดือนหลังเสร็จ ประเด็น คอื การใช้ยาปฏชิ ีวนะ-ยาแกอ้ ักเสบ ส้ินโครงการฯพบว่า พ่อฮักแม่ฮักได้นำ�แผนภาพ ยาสเตียรอยด์-ยาชุด และยาล้างไต การให้ความ แสดงปรมิ าณเกลอื และน�้ำ ตาลไปใชป้ ระโยชน์ รอ้ ย รู้ด้วยบอร์ดความรู้อาจไม่ได้เป็นวิธีการที่แปลก ละ 94.9 (เป้าหมาย รอ้ ยละ 50) โดยได้ระบุว่าน ใหม่หรือน่าสนใจมากนัก แต่ก็พบว่ามีผู้เข้าร่วม วัตกรรมทีน่ สิ ติ มอบให้นน้ั มปี ระโยชน์ เชน่ ดูตอน ฟังและให้ความสนใจเป็นอย่างดี พ่อฮักแม่ฮัก ท�ำ อาหาร ใชก้ ะปรมิ าณตอนท�ำ อาหาร ช่วยสรา้ ง แวะเวียนเข้ามาแลกเปล่ียนเรียนรู้เร่ืองของการใช้ ความตระหนักในการทานอาหารรสเค็ม-หวาน ยาตามหัวข้อต่างๆ อยู่ไม่ขาดสาย จากการพูด เปน็ ตน้ คุยพบว่า ส่วนใหญ่ยังสับสนว่ายาฆ่าเช้ือเป็นยา แก้อักเสบอยู่เป็นจำ�นวนมาก หลายรายที่หยุดยา ขอ้ คน้ พบอืน่ ๆ ทีน่ อกเหนอื จากวตั ถปุ ระสงค์ ก่อนเมื่อรู้สึกว่าหายแล้ว บางรายเก็บยาฆ่าเชื้อไว้ (Impact) ใช้ต่อ ในเรื่องของยาชุดพบว่ายังมีผู้ใช้ยาชุดท่ีหา ซื้อได้จากร้านชำ�ในหมู่บ้าน สาเหตุหลักที่ใช้คือ นอกจากการให้ความรู้โดยใช้นวัตกรรม เพ่ือรักษาอาการปวด เนื่องจากรับประทานยา “ซิมเบ่ิง อย่าเพ่ิงจ้วด” แล้วยังมีการให้บริการ พาราเซตามอลแล้วไม่รู้สึกดึข้ึนจึงยังคงพ่ึงยาชุด วชิ าการโดยนสิ ติ ในนามคณะเภสชั ศาสตร์ ผา่ นกจิ และยาป๊อก (piroxicam) อยู่ สว่ นในเรอื่ งของยา กรรมอนื่ ๆ อกี ซงึ่ กอ่ ใหเ้ กดิ ประโยชนต์ อ่ ชมุ ชนดงั นี้ ล้างไตนั้นไม่พบผู้ใช้ยาล้างไตท่ีขายตามรถเร่แล้ว มีเพียงผู้ท่ีเคยใช้เท่านั้น กิจกรรมนี้ทำ�ให้นิสิตได้ ใหบ้ รกิ ารคดั กรองโรคเรอื้ รงั 150 คน พบ เรียนรู้ว่าหมู่บ้านมีสถานการณ์การใช้ยาไม่เหมาะ ผู้ที่มีความสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวานและความ สมอย่างไรบ้าง ส่วนพ่อฮักแม่ฮักได้รู้ถึงอันตราย ดันโลหิตสงู (ยงั ไม่ไดร้ บั การวนิ ิจฉัย) จ�ำ นวน 33 จากใช้ยาเหล่านี้ไม่เหมาะสม นอกจากนี้ยังมีผู้ท่ี คน กลุ่มเสีย่ งเบาหวาน (FBS ≥ 100, RBS ≥ น�ำ ตวั อยา่ งผลติ ภณั ฑส์ ขุ ภาพทตี่ อ้ งสงสยั มาท�ำ การ 200) 23 คน กลุ่มเสี่ยงความดันโลหิตสูง ( BP ตรวจหาสารสเตียรอยด์เบื้องต้นอีกด้วย ผลการ ≥ 140/90 ) 12 คน ซึ่งในกลุ่มผ้ทู ี่มคี วามสีย่ งนี้ ตรวจตวั อยา่ งจำ�นวนทั้งหมด 8 ชนดิ พบผลบวก มีการให้ความรู้เรื่องโรคและคำ�แนะนำ�ในการปรับ (อาจมสี ารสเตยี รอยดผ์ สมอย)ู่ จ�ำ นวน 2 ตวั อยา่ ง เปลี่ยนพฤติกรรม รวมไปถึงการส่งต่อการรักษา ได้แก่ ยาประดงตรานก-เป็ด (นำ้�) และยาจาก หากผู้ป่วยมีความเส่ียงมากไปยังสถานบริการ พรทพิ าคลนิ กิ ของรัฐ ส่วนกลุ่มผู้ท่ีได้รับวินิจฉัยว่าเป็นโรค แล้วน้ันมีการให้คำ�แนะนำ�และทบทวนการใช้ยา กิจกรรมส่งเสริมการใช้สมุนไพร โดยมี พร้อมท้ังให้คำ�แนะนำ�เกี่ยวกับการปฏิบัติตัว การสาธติ การท�ำ ลกู ประคบและวธิ กี ารใช้ ผเู้ ขา้ รว่ ม ผลการทำ�กิจกรรมพบว่าได้ผลเปน็ ท่นี า่ พอใจมาก 80 คน ผลการตอบรับคือ ผเู้ ข้ารว่ มพงึ พอใจ และ ยนิ ดจี ะใช้การประคบเปน็ ทางเลอื กในการแกป้ วด
12 เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงานการประชุมวิชาการ มหาวิทยาลัยมหาสารคามวิจัย ครั้งที่ ๑๓ : สาขาบริการวิชาการ บทสรุป นวัตกรรมแผนภาพแสดงปริมาณเกลือ (และนำ้�ตาล) และสต๊ิกเกอร์ส่งผลกระทบด้านบวกแก่ ชมุ ชนโดยเฉพาะในดา้ นการสรา้ งความตระหนกั ตอ่ การรบั ประทานอาหารรสเคม็ /หวาน จากการประเมนิ ผลทพี่ บวา่ พอ่ ฮกั แมฮ่ กั มคี วามรใู้ นเรอื่ งของปรมิ าณเกลอื และน้ำ�ตาลทค่ี วรบรโิ ภคตอ่ วนั ทด่ี ขี น้ึ มพี ฤตกิ รรม การบรโิ ภคเกลอื และน�้ำ ตาลทดี่ ขี น้ึ และมคี วามตงั้ ใจทจี่ ะลดการบรโิ ภคเกลอื และน�ำ้ ตาล แสดงใหเ้ หน็ วา่ น วัตกรรมทีส่ ่งมอบแกช่ มุ ชนนั้นมีประโยชน์อยา่ งชดั เจน ท้งั นี้อาจเน่อื งจากนวตั กรรมทส่ี ร้างสรรคข์ น้ึ น้ันมี ลกั ษณะทจี่ บั ตอ้ งไดแ้ ละถกู ใชใ้ นหอ้ งครวั ซง่ึ ท�ำ ใหช้ ว่ ยเตอื นใจพอ่ ฮกั แมฮ่ กั ในเวลาปรงุ อาหาร ดงั นนั้ ในการ ด�ำ เนนิ โครงการฯครงั้ ถดั ไปอาจตอ้ งใช้แนวคดิ เดียวกนั นใ้ี นการพัฒนานวัตกรรมเพื่อความย่งั ยืน
เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงานการประชุมวิชาการ มหาวิทยาลัยมหาสารคามวิจัย ครั้งที่ ๑๓ : สาขาบริการวิชาการ 13
การผลติ ปยุ๋ อินทรียช์ วี ภาพเพอ่ื เกษตรพนื้ ที่ดินเคม็ หลกั สูตร วิทยาศาสตรบณั ฑิต สาขาเทคโนโลยชี ีวภาพ เกศสุคนธ์ มณีวรรณ และคณะ 1. ความเป็นมาของปัญหา ปัจจุบันเกษตรกรส่วนมากจะมีการใช้ปุ๋ยเคมีในการทำ�การเกษตร เมื่อใช้ปุ๋ยเคมีอย่างต่อเนื่อง อาจมีการตกค้างในดนิ และสิ่งแวดลอ้ ม สง่ ผลทำ�ใหด้ ินเสอื่ มโทรม เนอื่ งจากคุณสมบตั ขิ องดนิ ไม่เหมาะ สมต่อการเจริญเติบโตของพืช เช่น เป็นกรดจัดหรือเค็มจัด ดินอัดตัวแน่นขาดความโปร่งพรุน ปริมาณ ธาตุอาหารพชื ลดลงขาดความอุดมสมบูรณ์ มกี ิจกรรมและจ�ำ นวนของจลุ นิ ทรยี ท์ ่ีมปี ระโยชน์ในดนิ ลดลง ในการจัดโครงการบริการวิชาการหน่ึงหลักสูตรหน่ึงชุมชนของภาควิชาเทคโนโลยีชีวภาพ ปี 2558 ให้ แกโ่ รงเรยี นบา้ นนาสนี วน ต.นาสนี วน อ.กันทรวิชยั จ. มหาสารคาม ได้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกบั ผนู้ �ำ ชมุ ชนของต�ำ บลนาสนี วน และจากการศกึ ษาบรบิ ทชมุ ชนเบอ้ื งตน้ พบวา่ ชาวบา้ นสว่ นใหญป่ ระกอบ อาชพี เกษตรกรรม มปี ญั หาท่ีส�ำ คัญคอื มีตน้ ทุนทางการเกษตรค่อนข้างสงู ซึ่งเกดิ จากการซอ้ื ปุย๋ เคมีและ สารเคมกี ำ�จดั ศัตรพู ืชที่มีราคาสงู ดังน้ันเกษตรกรในชุมชนจงึ มคี วามตอ้ งการผลติ ปยุ๋ อนิ ทรยี ช์ วี ภาพเพ่อื ใช้แก้ปัญหาการทำ�เกษตรกรรม แต่เกษตรกรส่วนใหญ่ยังขาดความรู้เรื่องวิธีการผลิตปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพ รวมทง้ั ไมม่ วี ตั ถดุ บิ ทใ่ี ชใ้ นการผลติ ท�ำ ใหไ้ มส่ ามารถผลติ ปยุ๋ อนิ ทรยี ช์ วี ภาพได้ นอกจากนน้ั ยงั พบวา่ พน้ื ที่ ท�ำ การเกษตรบางส่วนของ ต.นาสนี วน ประสบปญั หาดินเค็มขาดความอดุ มสมบูรณ์ ไมส่ ามารถทำ�การ เกษตรไดห้ รือทำ�ไดแ้ ตม่ ผี ลผลติ ต่ำ�ไม่คมุ้ กบั การลงทนุ ดังนั้น ภาควิชาเทคโนโลยีชีวภาพจึงได้จัดโครงการหน่ึงหลักสูตรหน่ึงชุมชน ภายใต้หัวข้อ “โครงการผลติ ปยุ๋ อนิ ทรยี ช์ วี ภาพเพอื่ เกษตรพน้ื ทดี่ นิ เคม็ ” เพอ่ื น�ำ มาใชแ้ กป้ ญั หาการเกษตรในพนื้ ทด่ี นิ เคม็ หรอื ดินขาดความอดุ มสมบรู ณ์ เนอ่ื งจากปยุ๋ อนิ ทรีย์ชีวภาพมจี ุลนิ ทรียช์ ว่ ยยอ่ ยสลายวสั ดุอนิ ทรยี ์ ทำ�ให้ มกี ารปลดปล่อยธาตุอาหารสำ�หรับพืชสู่ดนิ มากขึ้นเพ่มิ ความอดุ มสมบรู ณใ์ หแ้ ก่ดิน ภาควชิ าฯ ยังน�ำ ผล จากการวิจัยมาพฒั นากระบวนการผลิตป๋ยุ ใหม้ ปี ระสิทธิภาพดีขน้ึ และจัดโครงการถา่ ยทอดความรเู้ รื่อง การผลติ ปยุ๋ อนิ ทรยี ช์ ีวภาพให้แก่เกษตรกร ใหส้ ามารถผลิตปยุ๋ ใชเ้ องและผลติ จ�ำ หน่ายได้ ช่วยลดต้นทุน การเกษตรและเพม่ิ รายไดใ้ หแ้ กค่ รอบครวั ในการจดั ท�ำ โครงการนี้ นอกจากเปน็ ประโยชนแ์ กเ่ กษตรกรแลว้ คณาจารย์และนิสิตท่ีเข้าร่วมโครงการยังมีโอกาสได้สัมผัสสภาพความเป็นอยู่ของคนในชุมชน ได้เรียน รู้การมีส่วนร่วมในการบริการแก่ชุมชนและสังคม ซึ่งเป็นการส่งเสริมและปลูกฝังให้นิสิตมีความมุ่งม่ัน มีคุณธรรม และมีจิตอาสาช่วยเหลือชุมชนและสังคม ช่วยหล่อหลอมนิสิตหลักสูตรเทคโนโลยีชีวภาพ ให้มีคุณลักษณะท่ีดีตามกำ�หนดกรอบมาตรฐานคุณวุฒิอุดมศึกษา เตรียมพร้อมท่ีจะเป็นประชากรของ ประเทศอย่างมคี ณุ ภาพตอ่ ไป
16 เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงานการประชุมวิชาการ มหาวิทยาลัยมหาสารคามวิจัย ครั้งที่ ๑๓ : สาขาบริการวิชาการ 2. วัตถุประสงค์ของโครงการ ทดสอบปยุ๋ อินทรยี ์ชีวภาพ โดยน�ำ ปุ๋ยไป หวา่ นในนาขา้ วของเกษตรกรบา้ นหนองอมุ่ เปรยี บ 2.1 เพอ่ื ใหน้ สิ ติ ไดเ้ รยี นรู้ มปี ระสบการณ์ เทียบกับชุด ในการช่วยเหลือ และแก้ปัญหาของชุมชนและ สงั คม ค ว บ คุ ม ท่ี ไ ม่ มี ก า ร ห ว่ า น ปุ๋ ย อิ น ท รี ย์ ชีวภาพในนาข้าว มีการติดตามและสังเกตการ 2.2 เพ่ือบูรณาการความรู้ทางด้าน เจรญิ เติบโตของข้าวในแปลงนา วชิ าการในการแกป้ ญั หาให้ชมุ ชนและสงั คมได้ จดั โครงการถา่ ยทอดความรเู้ รอ่ื งการผลติ 2.3 เพอ่ื ใหอ้ าจารย์ นสิ ติ และเกษตรกรใน ปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพให้แก่เกษตรกรบ้านหนองอุ่ม ชุมชนมีส่วนร่วมแบบบูรณาการ ท้ังด้านการเรียน โดยให้นสิ ิตมี การสอน การวิจัย ส่วนร่วมในกิจกรรม และมีหัวหน้ากลุ่ม และการบรกิ ารวชิ าการ ในการพฒั นาการ เกษตรกรผู้ผลิตปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพบ้านเขวาน้อย ผลิตปยุ๋ อินทรีย์ชีวภาพ มารว่ มแลกเปลยี่ นประสบการณ์ 3. กระบวนการดำ�เนินการ 3.7 ทำ�การประเมินผลการจัดโครงการ ถ่ายทอดความร้เู รอื่ งการผลติ ป๋ยุ อินทรีย์ชีวภาพ 3.1 นิสิตและอาจารย์ร่วมกันออกแบบ แบบสอบถามเพอ่ื ใชใ้ นการศกึ ษาและส�ำ รวจบรบิ ท 4. การบูรณาการกับภารกิจหลักด้านอื่นๆ ชมุ ชน 4.1 การบรู ณาการโครงการบรกิ ารวชิ าการ 3.2 นิสติ และอาจารยล์ งพืน้ ที่ เกบ็ ขอ้ มลู กับเรียนการสอนของหลัก สูตร วท.บ.เทคโนโลยี บริบทชุมชน สำ�รวจทรัพยากรในท้องถิ่น ปัญหา ชีวภาพซ่ึงได้ระบุใน มคอ 3. เพื่อให้นิสิตได้ร่วม ตา่ งๆ และความตอ้ งการบรกิ ารวชิ าการของชมุ ชน กิจกรรมในโครงการ ไดแ้ ก่ วชิ า 0035 001 หน่งึ 2 ชุมชน คือ ชุมชนบ้านหนองอุ่ม ต.นาสีนวน หลักสูตรหนึ่งชุมชน 0804 212 Principles of อ.กันทรวิชัย จ.มหาสารคาม Biotechnology และ 0804 281 Introduction to Biotechnology ซึ่งเป็นวชิ าทีม่ ีเนือ้ หาเกีย่ วกับ ซึง่ เป็นชุมชนเปา้ หมาย และชุมชนบา้ นเข การใช้ความรู้เทคโนโลยีชีวภาพให้เกิดประโยชน์ วานอ้ ย ต.เขวาไร่ อ.กันทรวชิ ัย จ.มหาสารคาม ซงึ่ ทางการเกษตร เช่น การใช้ปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพ เป็นชุมชนต้นแบบที่มีการผลิตปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพ นอกจากนั้น นิสิตยังได้เรียนรู้และฝึกฝนการ น�ำ ขอ้ มลู ท่ไี ดม้ าวิเคราะห์เพอ่ื ด�ำ เนินการต่อไป ลงพื้นท่ีเพ่อื เกบ็ ข้อมูล การส�ำ รวจชมุ ชน ไดฝ้ ึกคดิ วเิ คราะหป์ ญั หาและวิธกี ารแก้ปญั หาของชมุ ชน 3.3 นิสิตเรียนรู้และแลกเปลี่ยน ประสบการณ์การผลิตปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพร่วม 4.2 การบูรณาการกับการวิจัย โดยนำ� กับกลุ่มเกษตรกรผู้ผลิตปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพบ้าน ผลการวจิ ยั จลุ นิ ทรีย์ที่สามารถละลายฟอสเฟตให้ เขวานอ้ ย อยู่ในรูปที่พืชนำ�มาใช้ประโยชน์ได้ มาพัฒนาปุ๋ย อินทรีย์ชีวภาพโดยการเติมจุลินทรีย์ท่ีคัดเลือกได้ 3.4 พัฒนากระบวนการผลิตปุ๋ยอินทรีย์ ลงในข้ันตอนการหมักปุ๋ย แล้วนำ�ปุ๋ยที่ผลิตได้ไป ชีวภาพ โดยการเติมหัวเช้ือจุลินทรีย์เพ่ือเพ่ิม ทดสอบกับนาข้าวของเกษตรกรในกลุ่มเป้าหมาย ประสิทธิภาพการหมักปุ๋ย ทำ�ให้ใช้ระยะเวลาในการหมักปุ๋ยสั้นลง เป็นการลดตน้ ทุนการผลติ ปุ๋ยหมักอินทรยี ์ชีวภาพ
เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงานการประชุมวิชาการ มหาวิทยาลัยมหาสารคามวิจัย ครั้งที่ ๑๓ : สาขาบริการวิชาการ 17 เป็นการต่อยอดงานวิจัยเพ่ือนำ�มาประยุกต์ใช้ 5.3 ผลทไ่ี ด้จากการจัดโครงการสามารถ ต่อไป ขยายผลไปสกู่ ลมุ่ ชุมชนอน่ื ๆ ท่ีมบี รบิ ทของชมุ ชน ใกล้เคียงกนั 4.3 การบรู ณาการกบั ดา้ นท�ำ นบุ �ำ รงุ ศลิ ป วัฒนธรรม จากการที่นิสิตได้ลงพื้นที่เพ่ือศึกษา 6. บทสรุป บริบทของชุมชน ได้สัมภาษณ์คนในชุมชน ทำ�ให้ นิสติ ได้เหน็ วิถีชีวิตของคนในท้องถิ่น ไดร้ ับฟงั การ ในการถ่ายทอดความรู้ให้แก่เกษตรกร บอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่ซ่ึงเป็นภูมิปัญญาชาวบ้าน บ้านหนองอุม่ ไดบ้ รรยายถงึ ผลเสยี ทเ่ี กดิ จากการ ที่สืบทอดกันมา ได้รู้จักการทำ�การเกษตรแบบดั่ง ใช้ปุ๋ยเคมี และผลดีจากการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพ เดิมและแบบใหม่ จากการบอกเล่าของเกษตรกร ทั้งในด้านสภาพแวดล้อม เช่น การตกค้างของ ยุคใหม่ในชุมชน ทำ�ให้เกิดความเข้าใจในวิถีการ สารเคมีในดนิ และพชื ด้านสาธารณสุข เชน่ คนใน ด�ำ เนนิ ชีวิตและวฒั นธรรมของยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ชุมชนได้บริโภคพืชผักที่ไม่มีสารเคมีตกค้าง ด้าน เศรษฐกิจช่วยลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มรายได้ในครัว 5. ผลลัพธ์จากการดำ�เนินงานโครงการ เรอื น นอกจากนั้น การผลติ ปุย๋ อนิ ทรียช์ ีวภาพยัง สามารถดดั แปลงน�ำ วสั ดเุ หลอื ทง้ิ ทางการเกษตรท่ี ผลการลงพ้ืนที่สำ�รวจและเก็บข้อมูล มใี นทอ้ งถน่ิ มาใชไ้ ด้ นอกจากจะเปน็ การเพม่ิ มลู คา่ ชุมชุน พบว่า พ้ืนที่ทำ�การเกษตรของบ้านหน วัสดุเหลือท้ิงแล้วยังเป็นการลดต้นทุนวัสดุที่ใช้ใน องอุ่มไม่มีปัญหาดินเค็ม แต่ดินขาดความอุดม การผลติ ปุ๋ยอีกด้วย สมบูรณ์ เกษตรกรจึงใช้ปุ๋ยเคมีในการเกษตร ขณะท่ีเกษตรกรบ้านเขวาน้อยมีการเปลี่ยนมาใช้ ปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพถึง 80 % โดยพบว่า การใช้ ปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพช่วยฟื้นสภาพดินเส่ือมโทรม คืนความอุดมสมบูรณ์ให้แก่ดินได้ ดังนั้นทาง ภาควิชา ฯ จึงนำ�นิสิตเข้าร่วมเรียนรู้แลกเปล่ียน ประสบการณ์กับเกษตรกรผ้ผู ลิตป๋ยุ ซึ่งเปน็ การบู รณาการกบั การเรยี นการสอน 5.1 จากการดำ�เนนิ การโครงการน้ี นสิ ติ ได้เรียนรู้ปัญหาท่ีเกิดในชุมชน และมีการนำ�มา วิเคราะห์ร่วมกันเพ่ือหาวิธีการแก้ไขปัญหาให้แก่ ชุมชน 5.2 ข้อค้นพบอ่ืนๆ ท่ีพบจากการทำ� โครงการน้ีคือ ถ้าเกษตรกรมีการร่วมแรงร่วมใจ กันทำ�งาน และมีผู้นำ�ชุมชนท่ีเข้มแข็งจะทำ�ให้ เกิดความยั่งยืนของชุมชนนั้นๆ เห็นได้จากกลุ่ม เกษตรกรผู้ผลิตปยุ๋ อนิ ทรียช์ ีวภาพบา้ นเขวานอ้ ย
18 เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงานการประชุมวิชาการ มหาวิทยาลัยมหาสารคามวิจัย ครั้งที่ ๑๓ : สาขาบริการวิชาการ ภาพกิจกรรมของโครงการ ภาพท่ี 1 การลงพื้นท่ีชุมชนบ้านหนองอุ่ม ต.นาสีนวน อ.กันทรวิชัย จ.มหาสารคาม ซึ่งเป็นชุมชนเป้าหมายเพ่ือเก็บข้อมูลบริบทชุมชน สำ�รวจทรัพยากรในท้องถิ่น ปัญหาต่างๆ และความ ต้องการบริการวชิ าการของชมุ ชน ภาพที่ 2 การลงพื้นที่ชุมชนบ้านเขวาน้อย ต.เขวาใหญ่ อ.กันทรวิชัย จ.มหาสารคาม ซ่ึงเป็น ชุมชนต้นแบบเพื่อเก็บข้อมูลบริบทชุมชน สำ�รวจทรัพยากรในท้องถิ่น ปัญหาต่างๆ และความต้องการ บริการวชิ าการของชมุ ชน
เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงานการประชุมวิชาการ มหาวิทยาลัยมหาสารคามวิจัย ครั้งที่ ๑๓ : สาขาบริการวิชาการ 19 ภาพท่ี 3 นิสิตเรียนรู้และแลกเปล่ียนประสบการณ์การผลิตปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพ ร่วมกับกลุ่ม เกษตรกรผ้ผู ลติ ปยุ๋ อินทรีย์ชวี ภาพบ้านเขวาน้อย ภาพท่ี 4 การพัฒนากระบวนการผลติ ปุ๋ยอินทรียช์ ีวภาพและการทดสอบปยุ๋ อินทรีย์ชวี ภาพโดย นำ�ปุย๋ ไปหวา่ นในนาข้าวของเกษตรกรบ้านหนองอุม่ ภาพที่ 5 การจัดโครงการถา่ ยทอดความรูเ้ รอ่ื งการผลิตปุย๋ อินทรยี ช์ ีวภาพใหแ้ ก่เกษตรกรชมุ ชน บ้านหนองอมุ่
ภูมิปัญญาในกลอนล�ำ หนังบักตื้อบ้านเชียงเหยี น อ.เมอื ง จ.มหาสารคาม 1 Wisdom in the poem of the dog lust in Chiang Hiean city, Muang District, Maha Sarakham ณัฐกฤตา นามมนตรี, โสภี อุ่นทะยา, กรี ติ ธนะไชย 2 Nutkritta Nammontree, Sopee Unthaya, Keerati Dhanachai บทคัดย่อ บทความน้ีมีวัตถุประสงค์เพ่ือต้องการศึกษาภูมิปัญญาในกลอนลำ�หนังบักต้ือบ้านเชียงเหียน อำ�เภอเมอื ง จังหวดั มหาสารคาม โดยการเกบ็ รวบรวมข้อมลู จากหนังบกั ตื้อ เอกสาร และภาคสนามโดย การสงั เกต สัมภาษณ์ และเขา้ รว่ มกจิ กรรมหนังบักต้อื ท่ีพิพธิ ภณั ฑ์บา้ นเชียงเหยี น ต�ำ บลเขวา อำ�เภอ เมือง จังหวดั มหาสารคาม โดยใชแ้ นวคิดเร่ืองภูมิปญั ญา ผลการศึกษาพบว่าภูมิปัญญาในกลอนลำ�หนังบักต้ือบ้านเชียงเหียน อำ�เภอเมือง จังหวัด มหาสารคาม มี 4 ลักษณะ ดังนี้ 1. ภูมิปญั ญาด้านการสอนหลักธรรมในพระพุทธศาสนา ไดแ้ ก่ 1.1 ภูมิปัญญาด้านการใช้คำ� 1.2. ภูมิปัญญาด้านการใช้ภาพพจน์ 1.3. ภูมิปัญญาด้านการบันทึกลักษณะ สภาพความเปน็ อยขู่ องผู้คน และสภาพแวดลอ้ มตา่ งๆ และ1.4 ภมู ิปัญญาดา้ นการบันทึกวฒั นธรรม 2. ภูมิปญั ญาด้านการนำ�กลอนล�ำ ในหนังบักตอื้ บา้ นเชียงเหยี นมาสร้างภูมิทัศน์วฒั นธรรมของชมุ ชน คำ�สำ�คัญ : ภูมิปัญญา, กลอนลำ�หนังบกั ตื้อ, อ.เมือง จ.มหาสารคาม Abstract This article is intended to be a study of wisdom in Lam Ban Chiang Hiean, Muang District, Maha Sarakham province. By collecting information from the film, pap smear, docu- ments and the field by observing interviews and participate in the event. At Ban Chiang Liang Museum, Khwae District, Muang District, Maha Sarakham Province Using the concept of wisdom 1 บทความนเ้ี ปน็ สว่ นหนง่ึ ในงานวจิ ยั เรอ่ื ง ภมู ปิ ญั ญาในกลอนลำ�หนงั บกั ตอ้ื บ้านเชยี งเหยี น อำ�เภอเมอื ง จงั หวดั มหาสารคาม 2 อาจารย์ประจำ�สาขาวิชาภาษาไทย คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม และผู้ทำ�โครงการ “ภมู ิปญั ญาในกลอนลำ�หนังบักต้ือบา้ นเชียงเหียน อ�ำ เภอเมอื ง จังหวดั มหาสารคาม”
22 เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงานการประชุมวิชาการ มหาวิทยาลัยมหาสารคามวิจัย ครั้งที่ ๑๓ : สาขาบริการวิชาการ The results of the study found that ดังต่อไปนี้ the wisdom in the verse of Ban Khuan Lam, 1. ภมู ปิ ัญญาจากกลอนลำ�ในหนงั บักต้ือ Muang District, Mahasarakam Province has four characteristics as follows: 1. Wisdom บ้านเชยี งเหยี น อ. เมือง จ.มหาสารคาม teaching principles of Buddhism: 1.1 Wisdom การศกึ ษาภมู ปิ ญั ญาจากกลอนล�ำ ใน of using words 1.2 Wisdom of using the im- age 1.3. The wisdom of recording the living หนงั บกั ต้ือบา้ นเชียงเหยี น อ.เมอื ง จ.มหาสารคาม conditions of people. And 1.4. The wisdom จากหนังบักต้ือ เอกสาร และภาคสนามโดยการ of recording culture. สังเกต สัมภาษณ์ และเข้าร่วมกิจกรรมหนงั บกั ตอ้ื ที่พิพิธภัณฑ์บ้านเชียงเหียน ตำ�บลเขวา อำ�เภอ Keyword : wisdom, poem of the เมอื ง จงั หวดั มหาสารคาม ซึง่ มีรายละเอียดดังน้ี dog lust in Chiang Hiean city, Muang District Maha Sarakham 1.1 ภูมิปัญญาด้านการสอนหลักธรรม ในพระพทุ ธศาสนา บทนำ� 1.1.1 ภูมิปญั ญาดา้ นการใชค้ �ำ การดำ�เนินงานในโครงการหน่ึงหลักสูตร 1.1.2. ภมู ปิ ญั ญาดา้ นการใชภ้ าพพจน์ หนง่ึ ชมุ ชนเรอื่ ง “ภมู ปิ ญั ญาในกลอนล�ำ หนงั บกั ตอื้ 1.1.3. ภูมิปัญญาด้านการบันทึก บ้านเชยี งเหยี น อ.เมอื ง จ.มหาสารคาม” สาขาวชิ า ลักษณะสภาพความเป็นอยู่ของผู้คน และสภาพ ภาษาไทยได้ดำ�เนินงานศึกษาค้นคว้าจากเอกสาร แวดล้อมตา่ งๆ และงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้อง และศึกษาข้อมูลภาค 4.1.1.4 ภูมิปัญญาด้านการบันทึก สนาม ด้วยการเข้าร่วมกิจกรรมหนังบักตื้อบ้าน วฒั นธรรม เชยี งเหยี น ทพ่ี พิ ธิ ภณั ฑบ์ า้ น เชยี งเหยี น ต�ำ บลเขวา 1.2 ภูมิปัญญาด้านการนำ�กลอนลำ� อำ�เภอเมอื ง จงั หวดั มหาสารคาม จากการเขา้ รว่ ม ในหนังบักต้ือบ้านเชียงเหียนมาสร้างภูมิทัศน์ กิจกรรม สังเกต สัมภาษณ์ รวบรวมข้อมูลตาม วัฒนธรรมของชมุ ชน วตั ถปุ ระสงค์ของโครงการคือ แต่ละลักษณะมรี ายละเอียด ดังต่อไปนี้ 1) เพ่ือศึกษาภูมิปัญญาจากกลอนลำ�ใน 1.1 ภูมิปัญญาด้านการสอนหลักธรรม หนงั บกั ตอ้ื บา้ นเชยี งเหยี น อ. เมอื ง จ.มหาสารคาม ในพระพุทธศาสนา 2) เพอ่ื สรา้ งสอื่ การเรยี นการสอนหนงั บกั การศึกษาภูมิปัญญาด้านการสอน ตื้อ บ้านเชียงเหียน อ.เมือง จ. มหาสารคาม หลักธรรมในพระพทุ ธศาสนาท่ปี รากฏในกลอน 3) เพอื่ เปน็ การท�ำ นบุ �ำ รงุ ศลิ ปวฒั นธรรม ลำ�หนังบักต้ือเรื่องผาแดงนางไอ่ของนาย ไทยใหค้ งอยู่ และเผยแพร่ต่อไป บุรี ขัตติยวงศ์ พอจะสรุปไดว้ ่าภูมปิ ัญญาด้านการ สอนหลกั ธรรมในพระพทุ ธศาสนา คือ กลวิธีการ จ า ก ก า ร ศึ ก ษ า แ ล ะ ดำ � เ นิ น ง า น ต า ม สอนหลกั ธรรมในพระพุทธศาสนามี 4 วิธี ได้แก่ วตั ถปุ ระสงคข์ องโครงการหนงึ่ หลกั สตู รหนง่ึ ชมุ ชน 1.1 ภมู ปิ ญั ญาด้านการใช้ค�ำ 1.2 ภูมิปัญญาดา้ น เร่ือง “ภูมิปัญญาในกลอนลำ�หนังบักต้ือบ้านเชียง การใช้ภาพพจน์ 1.3 ภูมิปัญญาด้านการบันทึก เหียน อ.เมือง จ.มหาสารคาม” มีผลการศึกษา
เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงานการประชุมวิชาการ มหาวิทยาลัยมหาสารคามวิจัย ครั้งที่ ๑๓ : สาขาบริการวิชาการ 23 ลักษณะสภาพความเป็นอยู่ของผู้คนและสภาพ บไ่ ด้ แก้วไอใ่ จถวลิ สไิ ดไ้ ปหาพระอีพ่อคิงของน้อง แวดล้อมต่างๆ 1.4 ภูมิปัญญาด้านการบันทึก มองเห็นตาวันข้นึ สายตาแดดมนั แก่มอื้ นี้แนมนาง วัฒนธรรม ซ่ึงมรี ายละเอียดดังนี้ สไิ ปเทีย่ วคา้ งคาวนอ้ ยให้สว่างใจ” 1.1 ภมู ปิ ัญญาด้านการใชค้ ำ� และ “ว่าแล้วศรีแจ่มเจ้ายัวะระยาดลง ในท่ีน้ีความหมายของคำ�ว่า “การใช้คำ�” ปางลลี าลงจากปางทองกว้าง ควงสมรนางล่าก็ลง นนั้ หมายถงึ การคดั สรรหรอื การเลอื กเฟน้ ค�ำ ของผู้ นางเอ้ืนอยากไปหาพระพ่อไท้สิวันน้ีแม่นส่ังลาฯ” ตอ้ งการสอื่ สารไปถงึ ผอู้ า่ นไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ (บรุ ี ขัตตยิ วงศ์ : 14) สูงสุด ในกลอนล�ำ เรอื่ งผาแดงนางไอ่ ของนายบรุ ี การใชค้ ำ�ภาษาไทยถน่ิ อสี าน ขัตติยวงศ์ ได้เลือกใช้คำ�อันทำ�ให้การส่งสารมี ค�ำ ภาษาถ่ินไทยอีสาน หมายถงึ ประสทิ ธภิ าพขึน้ หลายลกั ษณะ ดงั น้ี ค�ำ ภาษาไทยทช่ี าวบา้ นในภาคตะวนั ออก การใชค้ �ำ สมั ผสั เฉียงเหนือใช้พูดจาส่ือสารกัน อันมีลักษณะแตก การใชค้ ำ�สมั ผัสท�ำ ให้กลอนลำ� ต่างไปจากภาษาไทยภาคกลางอันเป็นภาษาไทย มีความไพเราะมากย่ิงข้ึน ในกลอนลำ� มาตรฐาน หนังบักต้ือเร่ืองผาแดงนางไอ่ ของนายบุรี ขัตติย การใชค้ �ำ ภาษาไทยถนิ่ อสี าน นอกจากจะ วงศ์ มกี ารใชค้ �ำ สมั ผสั คลอ้ งจองกนั ทำ�ใหเ้ กดิ ความ ทำ�ให้การสื่อสารระหว่างคนภาคตะวันออกเฉียง ไพเราะมากยงิ่ ขน้ึ ดังตวั อยา่ งเชน่ เหนือ หรอื ภาคอีสานมีประสทิ ธภิ าพแล้ว ยังสรา้ ง “โอนอพ่อเอยแม่เคยสอนนางไอ่ว่ามีผัว ความสนทิ สนม ความเป็นกนั เอง และบรรยากาศ แลว้ กูมึง” ท้องถิ่นใหเ้ กดิ ขึน้ ด้วย การหลากค�ำ ในบทกลอนลำ�ของหนังบักต้ือบ้านเชียง การหลากค�ำ คอื การไม่ใช้คำ�ซ�้ำ แต่ไป เหยี น ของคุณตาบรุ ี ขตั ตยิ วงศ์ มีการใชค้ �ำ ภาษา ใช้คำ�ที่มีความหมายเดียวกันแทน ทำ�ให้ ไทยถน่ิ อสี านทที่ �ำ ใหก้ ารสอ่ื สารมปี ระสทิ ธภิ าพขน้ึ เกิดความไพเราะ ไม่น่าเบ่ือ อีกท้ังยังแสดงออก หลายค�ำ ดงั ตวั อยา่ งเช่น ถงึ ความรอบรเู้ รอ่ื งค�ำ ของผใู้ ชใ้ นระดบั หนง่ึ (เกษม กลา่ วถึงอดีตชาตของภังคแี ละนางไอ่ ทัง้ ขาบแกว้ , 2544 : 31) สองเคยเปน็ สามภี รรยากนั มากอ่ น แตเ่ นอื่ งจากใน ในบทกลอนลำ�หนังบักตื้อของนาย อดีตชาติภงั คไี มค่ อ่ ยเอาใจใส่ดแู ลนางไอ่ จึงท�ำ ให้ บรุ ี ขตั ติยวงศ์ มกี ารหลากค�ำ ปรากฏอย่บู ้าง โดย นางไอ่น้อยใจและสาปแช่งให้ภังคีตายบนต้นไม้ เฉพาะการหลากคำ�ท่ีมีความหมายถึงหญิงงาม และไมข่ อเปน็ สามภี รรยากบั ภงั คอี กี ตอ่ ไป ความวา่ นางอนั เป็นที่รัก ดงั ตวั อยา่ ง “โอยสองกพ็ ากนั กนิ ผลตน้ หมากเดอื่ ทา้ ว “กล่าวถึงนงนางหล่าเสน่หาอยู่นำ� กก็ นิ อมิ่ แลว้ กจ็ อ้ ยโลดบค่ อยหยงั แตน่ างออ่ นนอ้ ย พ่อกห็ ากสขุ อยเู่ มืองฟ้ากไ็ มป่ านทกุ วนั เคยไปเฝา้ กนิ อมิ่ ลนุ หลงั มวั แตห่ าผาลางา่ เนนิ ซนั เบง้ิ พอนาง ราชาพระญาพ่อไปชมดอกไม้พอให้ชื่นใจม้ือน้ีช้า กนิ อมิ่ แลว้ กนิ ดหี ายอยากลงจากตน้ ไมม้ าแลว้ ฮอด ขด้ี นิ เลยบเ่ หน็ กง่ิ แกว้ ตนมงิ่ ผวั ขวญั นางตามหาหา่ พงดงไม้ เลยบเ่ หน็ ฮอยทา้ วทางไดเทยี วไตน่ างกฮ็ อ้ งฮำ่�ไยย่อยค่อยหา เอิ้นท่อได๋ก้จ้อยคอยหามิดส่ีลิ
24 เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงานการประชุมวิชาการ มหาวิทยาลัยมหาสารคามวิจัย ครั้งที่ ๑๓ : สาขาบริการวิชาการ มแี ต่เสยี งเกา่ ทอ้ นคืนแทด้ ัง่ หลงั โอยพีเ่ อยสง่ั สิละ เหมือนระหว่างส่ิงหนึ่งกับส่ิงหนึ่ง โดยใช้คำ�เชื่อม นอ้ งไวค้ อื บอกกางแซงสงั สลิ ะนอ้ งไวค้ อื แตงกางไฮ่ เชน่ เหมอื น ดจุ ดัง คลา้ ย เปรียบ หรอื ค�ำ เชื่อมท่ี กนิ หนว่ ยแลว้ สไิ รถม่ิ แตเ่ คอื สงั สลิ ะนอ้ งไวก้ ลางไฮ่ มีความหมายทำ�นองเดียวกันนี้ (กอบกุล อิงคทา กลางหมกู่ า สงั ลลิ ะนอ้ งไวใ้ นดา้ วแมน่ ผเู้ ดยี วพเี่ อย นนท์. 2545 : 129) โอยนางจงึ พอ้ แมน่ �ำ้ ใสชอ่ งล�ำ คลองศรบี ญุ กองโกรธ เคืองผัวแก้วบัดน้ีข้าจักจรว่ายเถิงอินเทวราชา ข้า ในบทกลอนลำ�หนังบักตื้อผา สขิ อขอดไวเวลฮา้ ยไสผวั ” (บุรี ขตั ติยวงศ์ : 10) แดงนางไอบ่ า้ นเชยี งเหยี น ของนายบรุ ี ขตั ตยิ วงศ์ มี การใชส้ �ำ นวนในลกั ษณะนป้ี รากฏบา้ ง ดงั ตวั อยา่ ง ต่อไปน้ี ภาพที่ 1 นายบรุ ี ขตั ตยิ วงศ์ ผู้แตง่ กลอนลำ�ผาแดงนาง พรรณนาความงามของนางไอ่ ไอ่บ้านเชียงเหียน ไว้ใช้สำ�หรบั การแสดงหนังบักตือ้ ให้ ยังมีเมอื งใหญก่ ว้างกรงุ เอกชะทีตามีพระยาขอมทรงหม่ันปอง ขอ้ มลู แกผ่ วู้ ิจยั และนิสติ นกั ศึกษาทีม่ ีความสนใจ เป็นเจ้า มีมเหสีชื่อว่าจันทราเทียมพ่าง พระก็มี ลกู นอ้ ยแนวเชอื้ ชาตญิ งิ คงิ กลมปอ้ งตางามคอื เขยี น 1.2 ภมู ิปญั ญาดา้ นการใชภ้ าพพจน์ คิ้วก่องค้อมเขียนไวก็ไปปาน ยามเม่ือภิเกแย้ม ภาพพจน์ (Figure of Speech) คอื การใช้ เยาวราช ฮมุ หวั ธรรมใหข้ วญั คนโฮมเฮยี กตอมเตม็ ค�ำ ใหเ้ กดิ ภาพ เพอื่ ใหผ้ อู้ า่ นไดเ้ กดิ จนิ ตนาการเหน็ เนื้อหลังดูทันตา แม้มหานันเงาเงียง ชองชุ่มเก็ก ภาพขนึ้ อย่างชัดเจน นอกจากนี้ยังช่วยขยายความ ใบหนา้ ดง่ั เขยี น กห็ ากตง้ั ชอื่ ไวว้ า่ นางไอใ่ จเมอื งเปน็ สง่ิ ทเี่ ปน็ นามธรรม โดยเปรยี บเทยี บกบั สงิ่ ทเ่ี ปน็ รปู เนืองนนั หหู มู่คนมาร (บรุ ี ขตั ตยิ วงศ์ : 12) ธรรม อนั ท�ำ ใหเ้ ขา้ ใจงา่ ยขน้ึ การใชภ้ าพพจนท์ �ำ ให้ ผ้อู ่านได้รสค�ำ ความ อารมณ์ ความรู้สกึ และรสใน เปรียบเทยี บความเป็น ภาพนน้ั ๆ กลวิธแี ห่งภาพพจน์มีมากมาย ทใ่ี ช้กัน กุลสตรีของนางไอ่คำ�ว่าเปรียบเสมือน บอ่ ยๆ คอื อปุ มา อปุ ลกั ษณ์ บคุ ลาธษิ ฐาน สทั พจน์ ผ้าแพรวาขาว หากมีผงมีแปดเป้ือนจะทำ�ให้ อธิพจน์ และอธินามนัย (กอบกุล อิงคทานนท์. หมน่ หมอง สูญเสียคา่ ความเปน็ กลุ สตรไี ป 2545 : 60) ในกลอนลำ�หนังบักตื้อผาแดงนางไอ่ “เออ จนั ทาเอยบอกบอกลกู ซะ บ้านเชียงเหียน ของนายบุรี ขัตติยวงศ์ มีการใช้ แล้วพ่ีก็สิเข้าพัก ขาเจ้าพี่นี้ละไอ่เอ๋ยเจ้า ภาพพจน์ทีท่ �ำ ใหผ้ ูอ้ ่านไดร้ สคำ� รสความ อารมณ์ นะเป็นลูกแม่คนเดียว พ่อและแม่มอบหัวใจไว้ ความรู้สึก และรสในภาพนั้นๆ มีหลายลักษณะ กับเจ้าหวังฝากผีฝากไขไว้กับเจ้ลูกเอ๋ยเจ้าต้อง ทีเ่ ด่นๆ คือ ประพฤติตัวให้มันดีสมกับเป็นกุลสตรีสมกับคำ� 1.) การใช้อุปมา โบราณเพ่ินว่าโอยเพิ่นว่าเป็นญิงนี้ธรรมเนียมคือ อุปมา (Simile) คือ การเปรยี บความ นกเมือบินผ่านผ่ายขาวแจ้งจ่ังค่อยเห็น เพ่ินว่า เป็นหญิงน้ีประเภณีฮีตมันครองไผก็มองยามย้าย
เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงานการประชุมวิชาการ มหาวิทยาลัยมหาสารคามวิจัย ครั้งที่ ๑๓ : สาขาบริการวิชาการ 25 ย่างเดินทุกบาทเบ้ืองคนล่ำ� การเป็นหญิงอาภัพ (บทเจราจา) โอเ้ จา้ พค่ี ดิ เป็น กว่าชายหลายช้ัน หญิงเพ่ินเปรียบเหมือนผ้า อกศุ ลไปเองตง้ั 4-5 เดอื นมาแลว้ ถา้ บเ่ ปน็ แพรวาขาว ผงมาติดเล็กน้อยก็ปนเปื้อนแต่งศรี” ลกู เมยี สเิ ฮด็ จ่งั ไดไ๋ ปล่ะเจ้าพี่ (บุรี ขตั ติยวงศ์ : 18) (บทเจราจา) เออมลทาเอยเอ้นิ ลูกออกมาถามเบิ่งกะนาเว้ย ถ้าถามได้ 1 . 3 . ภู มิ ปั ญ ญ า ด้ า น ก า ร บั น ทึ ก ความแล้วแตง่ ให้เขาไปยาม อยา่ น�ำ กันเพราะฮอด วฒั นธรรม ยามบญุ ข้าวสาก เกษม ขาบแกว้ (2544 : 66) เสนอ การบันทกึ วฒั นธรรมความ ว่า การบันทึกวรรณกรรม หมายถึง แบบอย่าง เช่ือเรื่องความเป็นกุลสตรีสะท้อนให้เห็น การดำ�เนินชีวิตของมนุษย์และสังคมเป็นภารกิจที่ ภูมิปัญญาในดา้ นความเปน็ กุลสตรี ดังตัวอย่าง ส�ำ คญั ยงิ่ ประการหนง่ึ ของวรรณกรรม วรรณกรรม “เออ จันทาเอยบอกบอกลูกซะแล้วพี่ก็ ของสงั คมใดยอ่ มบนั ทกึ วรรณกรรมของสงั คมนน้ั ๆ สเิ ขา้ พกั เสมอ ขาเจ้าพ่ีนี้ละไอ่เอ๋ยเจ้านะเป็นลูกแม่คน เดยี ว พอ่ และแมม่ อบหวั ใจไวก้ บั เจา้ หวงั ฝากผฝี าก ในกลอนล�ำ หนงั บกั ตอ้ื เรอื่ งผาแดงนางไอ่ ไขไวก้ บั เจล้ กู เอย๋ เจา้ ตอ้ งประพฤตติ วั ใหม้ นั ดสี มกบั บา้ นเชยี งเหยี น อ.เมอื ง จ.มหาสารคาม ไดก้ ลา่ วถงึ เปน็ กลุ สตรสี มกบั ค�ำ โบราณเพนิ่ วา่ โอยเพน่ิ วา่ เปน็ วัฒนธรรมของชาวบ้านภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ญิงน้ีธรรมเนียมคือนกเมือบินผ่านผ่ายขาวแจ้งจ่ัง ไว้หลายด้าน อันเป็นการบันทึกวัฒนธรรมแต่ละ ค่อยเห็น เพิ่นว่าเป็นหญิงนี้ประเภณีฮีตมันครอง ดา้ นดังกล่าวได้เปน็ อย่างดี ดงั ตอ่ ไปน้ี ไผก็มองยามย้ายย่างเดินทุกบาทเบ้ืองคนล่ำ� การ เปน็ หญิงอาภพั กวา่ ชายหลายชน้ั หญงิ เพน่ิ เปรียบ การบนั ทกึ วัฒนธรรมความ เหมอื นผา้ แพรวาขาว ผงมาตดิ เลก็ นอ้ ยกป็ นเปอ้ื น เ ช่ื อ เ รื่ อ ง ง า น บุ ญ ป ร ะ เ พ ณี ง า น บุ ญ แตง่ ศร”ี (บุรี ขตั ตยิ วงศ์ : 18) ประเพณีท่ีปรากฏในกลอนลำ�หนังบักตื้อเรื่องผา 4.) การบันทึกวฒั นธรรมเรอื่ งพืชพนั ธวุ์ ถิ ี แดงนางไอบ่ ้านเชียงเหียน อ.เมือง จ.มหาสารคาม ชวี ิตทางการเกษตร คอื บุญขา้ วสาก ดังตวั อย่าง ส�ำ นวนเปรยี บเทยี บทภ่ี งั คใี นอดตี ชาตเิ คย (บทเจรจา) เจา้ พมี่ กี ารฮอ้ นอนั ใดเอนิ้ เฮยี เปน็ สามขี องนางไอล่ ะนางไวค้ อื แตงถกู ทง้ิ ไวก้ ลาง ก มีเหตุฮอ้ นประการใดล่ะเจา้ พี่ว่ามากะนา ไรก่ ลางนา ไม่สนใจดูแลเอาใจใสน่ าง ดังตัวอยา่ ง (บทเจราจา) เออมลทาเอยนับแต่เฮายก (พใ่ี บ)้ เอนิ้ ทอ่ ไดก๋ จ็ อ้ ยคอยหามดิ สล่ี มี แี ต่ ลกู สาวเฮาใหอ้ ้ายใหเ้ ป็นเมียมันก็ซือ่ ๆ อยู่บป่ าก เสียงเก่าท้อนคืนแท้ดั่งหลัง โอยพ่ีเอยสังสิละน้อง (บทเจราจา) โอกะเจา้ พ่ี คนถกื ไว้คือบอกกางแซงสังลิสะน้องไว้คือแตงกางไฮ่กิน เนาะมันสิเว้าจ่ังได๋ได้เจ้าพ่ีกะดายหึเว้า หนว่ ยแล้วสิไรถ่มิ แต่เคือ สังสิละน้องกางไฮ่แกมา ไปท่ัว หมกู่ า สงั สลิ ะนอ้ งไวก้ างนาแกวหมไู่ ก่ สงั สลิ ะนอ้ ง (บทเจราจา) เออลมื ไปแตว่ า่ เขาสองคนสิเป็นผัวเมียกันบ่ล่ะหึมลทา เจา้ คดิ วา่ จังได๋
26 เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงานการประชุมวิชาการ มหาวิทยาลัยมหาสารคามวิจัย ครั้งที่ ๑๓ : สาขาบริการวิชาการ ไวใ้ นดา้ วแม่นผ้เู ดียวพี่เอย (บุรี ขตั ตยิ วงศ์ : 10) จากตำ�นานท่ีกล่าวมาเป็นการ พยายามอธบิ ายประวตั ศิ าสตรใ์ นชมุ ชนถงึ ทม่ี าของ 1.4. ภูมปิ ญั ญาดา้ นการบนั ทกึ ลักษณะ เมืองเชียงเหียนว่ามีประวัติความเป็นมาอย่างไร สภาพความเป็นอยู่ของผู้คนและสภาพแวดล้อม เป็นการสะท้อนให้เห็นความยิ่งใหญ่ของบริเวณ ต่างๆ พื้นท่ีที่เคยเป็นดินแดนท่ีอยู่ภายใต้การปกครอง ของขอม แมว้ า่ ปจั จบุ นั “เมอื งเชยี งเหยี น” จะกลาย นอกจากการบันทึกวัฒนธรรมของสังคม สภาพเป็นหมู่บ้านแห่งหนึ่งของเมืองมหาสารคาม ชาวไทยในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หรือภาค หากแต่เป็นเสมือนการสร้างความทรงจำ�ร่วมให้ อีสานแลว้ ยังบันทกึ ลกั ษณะและสภาพความเป็น ผู้คนท่ีอยู่อาศัยท่ีอาคารและท่ีดินในหมู่บ้านเชียง อยู่ของผู้คนแลสภาพแวดล้อมต่างๆ ของชาบ้าน เหียนสำ�นึกอยู่เสมอว่าได้เข้ามาอยู่อาศัยบนที่ดิน ชาวภาคอีสาน ดังเชน่ ของผู้น่าเคารพ ศรัทธา เลื่อมใส ดังน้ันการกระ ท�ำ สงิ่ ใดกต็ ามสมควรทจี่ ะตอ้ งระลกึ อยเู่ สมอวา่ ทง้ั 1.) ลูกมะเดื่อ อาคาร บ้านเรอื นและท่ีดนิ ของหมบู่ ้านเชยี งเหยี น พี่พาน้องเซาพักก่อนเถถาะเฮามาไกล นีเ้ ป็นสถานทศี่ ักด์สิ ทิ ธิ์ ควรคา่ แก่การเคารพ และ บ้านทั้งเม่ือย โอ้พอดีอ้ายนั้นต้นหมากเดื่อ โอย ไม่ควร ลบหลู่ดูหมิ่น สอดคล้องกับแนวคิดของ สุกเต็มต้นเลยอ้ายขึ้นกินเองสาให้น้องนำ�เดออ้าย Halbwachs (1992:28) กล่าวว่า ความทรงจำ� ไป (บุรี ขัตตยิ วงศ์ : 10) ร่วมนี้มีลักษณะท่ีคงทนและสามารถดึงเอาสิ่งที่มี 2.) ดอกจกิ ลักษณะพ้ืนฐานเพ่ือท่ีจะใช้เชื่อมโยงปัจเจกชนท่ี ดนปานไดส๋ พิ อ้ บา้ นยา่ อยทู่ างไดไ๋ กลไหม เป็นสมาชิกในสังคมเข้าไว้ด้วยกัน โดยปัจเจกชน หนอคณุ ขา ยา่ สมิ าคอยนอ้ งบน่ อ้ ดอกจกิ มาหวง่ั ๆ เหล่าน้ีทำ�หน้าท่ีจดจำ�เร่ืองราวของสังคมร่วมกัน หอมหงั มาสาวง้ั ๆคาละดอกคางอยคู่ มขา้ งวา่ งสไิ ป โดยความทรงจำ�ร่วมเหล่าน้ีจะถูกประกอบสร้าง หอมดอกไม้เดือน 4 ข้ึนมาในชว่ งหนึ่งๆ โดยแยกออกจากความทรงจำ� 1.2 ภูมิปัญญาด้านการนำ�กลอนลำ� ซ่ึงการสร้างความทรงจำ�น้ีอาจเป็นอดีตท่ีถูกทำ� ในหนังบักต้ือบ้านเชียงเหียนมาสร้างภูมิทัศน์ ขึ้นใหม่ ไม่ใช่อดีต(ท่ีเกดิ ขนึ้ จริง) กไ็ ด้และทส่ี �ำ คัญ วฒั นธรรมของชุมชน ความทรงจ�ำ รว่ มทเ่ี กิดขึ้นเหล่าน้ีจะกลายเป็นสิ่งที่ สมาชิกในสังคมจดจำ�ได้ โดยปราศจากข้อจำ�กัด การใช้ตำ�นานผาแดงนาง เรื่องเวลา และสถานท่ี ไอก่ ับการสรา้ งภูมิทศั น์เมอื งเชียงเหียน การใช้ตำ�นานผาแดงนาง เมอื งเชียงเหียน ปจั จุบันเปน็ ชอ่ื หมู่บ้าน ไอก่ ับการสรา้ งภมู ทิ ัศนเ์ กี่ยวกบั แหลง่ นำ�้ แห่งหน่ึง ตั้งอยู่ในเขตตำ�บลเขวา อำ�เภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม ตามวรรณกรรมอีสานเรื่อง ในวัฒนธรรมของชาวเอเชียตะวันออก ผาแดงนางไอ่ เมืองเชียงเหียนนี้เป็นเมืองหน่ึงท่ี เฉยี งใตแ้ หลง่ น�ำ้ หรอื สายน�้ำ เปน็ สว่ นหนง่ึ ของชวี ติ พระยาขอมส่งน้องชายคนโตไปปกครองพร้อม ในการด�ำ รงชวี ติ ความเชอื่ และภมู ทิ ศั นว์ ฒั นธรรม ท้ังแบ่งไพร่พลจำ�นวนหนึ่งหมื่นคนให้ (ปรีชา อันเน่ืองมาจากส่ิงมีชีวิต ได้แก่ คน สัตว์ พืช พิณทอง. 2524 : 124) ล้วนต้องอาศัยน้ำ�ในการดำ�รงชีวิต สอดคล้องกับ
เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงานการประชุมวิชาการ มหาวิทยาลัยมหาสารคามวิจัย ครั้งที่ ๑๓ : สาขาบริการวิชาการ 27 ประคอง นมิ มานเหมนิ ทร์ (2554 : 4) กล่าวว่า จ า กตำ � น า น ดั ง ก ล่ า ว จ ะ เ ห็ น ไ ด้ ว่ า คนไทยและคนไทมีชีวิตอยู่ในสังคมเกษตร ล้วน หนองหานเป็นการสร้างความทรงจำ�ร่วมในการ รบั ประทานขา้ วเปน็ อาหารหลกั คนไทยและคนไท แสดงให้เห็นว่า หนองนำ้�แห่งน้ีเคยเป็นอดีตเมือง ส่วนใหญ่จึงมักตั้งถ่ินฐานอยู่บริเวณที่ ราบลุ่ม เก่าในตำ�นานผาแดงนางไอ่ คือ เมืองเอกชทีตา แม่นำ้� ซึ่งถูกพญานาคทำ�ลายจนจมเป็นหนองนำ้�ผ่าน เรื่องราวสัญลักษณ์และประสบการณ์ ซ่ึงมีความ ในหนังสือประวัติศาสตร์อีสาน หลัง สำ�คัญต่อประวัติ หรือแหล่งท่ีมาของชื่อสถานท่ี สงครามโลกครั้งท่ีสองถึงปัจจุบัน ดังท่ี สุวิทย์ สอดคลอ้ งกบั Ing-Britt Trankell (2003) (นชิ ธมิ า ธรี ศาศวตั และ ดารารตั น์ เมตตารกิ านนท์ (2541 บุญเฉลียว, 2551 : 18; อา้ งองิ มาจาก Ing-Britt : 2 -3) กล่าวว่ารูปร่างของภาคอีสานเป็นรูป Trankell. 2003) กลา่ ววา่ ความหมายของช่ือหรือ สี่เหลี่ยมจัตุรัสโดยมีศูนย์กลางอยู่บริเวณเมือง สถานทน่ี น้ั ๆอาจเปลย่ี นตามไปภายใตเ้ งอ่ื นไขทาง มหาสารคาม มีทิวเขาภูพานแบ่งภาคตะวันออก ประวัติศาสตร์ การรับรู้เก่ียวกับสถานที่เหล่านั้น เฉียงเหนอื เปน็ 2 แอง่ คอื แอ่งสกลนคร และแอ่ง กลับสวนทางต่อวิถีการรับรู้สัมผัสของผู้คนที่ต้อง โคราช ทิวเขาสำ�คัญท้ัง 6 เป็นต้นกำ�เนิดแม่นำ้� ถูกทำ�ให้เป็นนามธรรมมากยิ่งข้ึน ดังปรากฏเป็น สำ�คัญ 3 สายของภาคอีสาน คือ แม่นำ้�มูล มี แผนท่ีหรือ วาทกรรม (Discourse) ท้ายท่ีสุดได้ ความยาว 641 กม. ไหลลงแม่น้ำ�โขงท่ีอำ�เภอ กลายมาเป็นประวตั ิศาสตรข์ องสถานทนี่ นั้ ๆ โขงเจียม แม่นำ้�ชี เป็นแม่นำ้�สายหลักของดีสาน ตอนกลาง มคี วามยาว 741 กม. ไหลลงแมน่ �ำ้ มลู ท่ี การใช้ตำ�นานผาแดงนาง จงั หวดั อุบลราชธานี และแม่น�ำ้ สงครามเป็นแมน่ ้ำ� ไอก่ ับการสรา้ งภมู ทิ ศั น์เกยี่ วกบั ท่ดี ิน สายหลกั ของอสี านเหนอื ไหลลงแมน่ �้ำ โขงทอ่ี �ำ เภอ ทา่ อเุ ทน จงั หวัดนครพนม มคี วามยาว 420 กม. ในเร่ืองที่ดินกับมนุษย์น้ีเม่ือมีการต้ัง ถิ่นฐานจากชุมชนเร่ร่อนท่ีมีขนาดเล็กมาสู่ชุมชนท่ี จากผลการศึกษาพบว่า ตำ�นานผาแดง มกี ารตงั้ ถน่ิ ฐานทม่ี นั่ คงและมขี นาดใหญข่ น้ึ สง่ ผล นางไอ่มีการสร้างภูมิทัศน์เก่ียวกับแหล่งนำ้� 4 ท�ำ ใหม้ นษุ ยม์ กี ารปรบั ตวั ใหเ้ ขา้ กบั สงิ่ แวดลอ้ ม เพอื่ ลักษณะ เช่น บ่อน้ำ� ได้แก่ บ่อนำ้�ศักดิ์สิทธิ์ท่ีวัง ก่อให้เกิดวัฒนธรรม ประเพณี อาชีพ และความ ค�ำ ชะโนด หนองน้ำ� ได้แก่ หนองหารน้อย สระนำ้� สามารถในการดัดแปลงสภาพแวดล้อมให้มีความ และแม่น�้ำ ลำ�คลอง เหมาะสมกับมนุษย์ อันเป็นผลก่อให้เกิดการรูป แบบการตงั้ ถน่ิ ฐานทมี่ คี วามแตกตา่ งกนั ตามสภาพ ตวั อยา่ ง ภมู นิ ิเวศและวฒั นธรรมของชมุ ชน หนองหาน จากผลการศึกษาพบว่า ตำ�นานผาแดง หนองหานปัจจุบันเป็นชื่อแหล่งนำ้�ขนาด นางไอม่ กี ารสรา้ งภมู ทิ ศั นเ์ กยี่ วกบั ทด่ี นิ 3 ลกั ษณะ ใหญ่ มีอาณาเขตกวา้ งกว่า 1 แสนไร่ ตง้ั อยู่ในเขต ได้แก่ ทีด่ ินเช่น โนนแม่ฮา้ ง อำ�เภอ กุมวาปี จังหวัดอุดรธานี หางของหนอง มีเนื้อท่ีไปถึงเขตอำ�เภอเมือง อำ�เภอหนองหาน จงั หวดั อดุ รธานี (ปรชี า พณิ ทอง. 2524 : 131)
28 เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงานการประชุมวิชาการ มหาวิทยาลัยมหาสารคามวิจัย ครั้งที่ ๑๓ : สาขาบริการวิชาการ ตวั อย่าง จากข้างต้น จะเห็นได้ว่านางไอ่ถูก โนนแม่ฮา้ ง (ดอนแม่ม่าย) พญานาคจับตัวลงไปใต้เมืองบาดาล ประชาชน ส่วนใหญ่กินเน้ือกระรอกเผือกทำ�ให้ล้มตายและ มีตำ�นานเก่ียวกับประวัติความเป็นมา บ้านเมืองจมนำ้�กลายเป็นหนองหาน คงยังเหลือ ของโนนแม่ฮ้างอันมีความสัมพันธ์กับตำ�นานผา แต่แม่ฮ้าง (แม่ม่าย) ท่ีไม่ได้กินเน้ือกระรอกด่อน แดงนางไอ่ว่า เม่ือคราวท่ีผาแดงและนางไอ่ได้ข่ี จึงท�ำ ใหร้ อดพน้ จากการถูกพญานาคฆ่าตายไปได้ ม้าบักสามออกจากเมืองเอกชทีตา เพื่อหลบหนี ที่ดินของบ้านแม่ม่ายจึงกลายเป็น “โนนแม่ฮ้าง” พญานาคทต่ี ดิ ตามนางไอ่ มา้ บกั สามกห็ มดแรงลง หรอื “โนนแมม่ ่าย” ท�ำ ใหพ้ ญานาคตามมาทนั แลว้ เอาหางเกย่ี วตวั นาง ไอล่ งมาจากหลงั มา้ สว่ นทา้ วผาแดงกค็ วบมา้ หลบ จะเห็นได้ว่าความเช่ือในเร่ืองท่ีดินที่มี หนตี อ่ ไปพญานาคกต็ ามมาอกี เพราะทา้ วผาแดงมี ความศักด์ิสิทธิ์ ดังเช่น โนนแม่ฮ้าง หรือโนนแม่ แหวนนางไอต่ ดิ ตัวไปดว้ ย ท้าวผาแดงจึงทิ้งแหวน มา่ ย นยี้ อ่ มน�ำ โลกทศั นด์ งั กลา่ วมาปรบั ปรนกบั ภมู ิ เสียตนเองจึงปลอดภัย พญานาคจงึ อุ้มเอานางไอ่ ทศั นว์ ฒั นธรรมแหง่ ใหม่ เพ่ือให้มคี วามคล้ายคลงึ ลงไปในเมอื งบาดาล บา้ นใครทกี่ นิ เนอื้ ของกระรอก กับแผ่นดินมาตุภูมิซึ่งมีลักษณะทางกายภาพเช่น ดอ่ น (กระรอกเผอื ก) กไ็ ดก้ ลายเปน็ น�้ำ หมด เหลอื เดียวกัน โดยนำ�เร่ืองเล่าเพื่ออธิบายความเป็นมา แต่บ้านของแม่ม่ายท่ีไม่ได้กิน จึงกลายเป็นโนน ของธรรมชาตโิ ดยอาจจะน�ำ ทดี่ นิ ทกี่ วา้ งใหญเ่ ชอื่ ม แมฮ่ ้าง (โนนแม่มา่ ย) แต่ตอนหลังเรยี กว่า “ดอน โยงกบั เรอ่ื งราวทางต�ำ นาน แสดงใหเ้ หน็ ถงึ บทบาท แกว้ ” ของต�ำ นานตอ่ ภมู ทิ ศั นท์ างกายภาพของชมุ ชนชาว ไทยโคราช สอดคล้องกับ อานันท์ กาญจนพันธ์ “อนั ว่าบญุ ของน้องกินรีนางไอ่ (2542 : 130-136) กล่าวว่าคนไทยมองวา่ พื้นท่ี นาคกไ็ ด้อ่อนน้อยลงพ้นื แผ่นดิน ตา่ งๆ มผี ี มเี จา้ ท่ี มสี ง่ิ ศกั ดส์ิ ทิ ธคิ์ รอบครอบอยู่ สงิ่ เอกชะทตี าหล่มหลุบเป็นหนองหล่ม ทอี่ ยู่ในพื้นที่ตา่ งๆ จึงมเี จา้ ของ การจะท�ำ ส่งิ ใดใน คนกม็ ุดมอดเมย้ี นเฮือนเหยา้ พ่ายพัง พ้ืนทเี่ หลา่ นัน้ จะต้องมกี ารบอกกลา่ วเจ้าของ เชน่ บ่มยี ังเหลือค้างจกั หลังหลหู ลม่ เจ้าท่ี เจ้าป่า เจ้าเขา อารักษ์บ้าน อารักษ์เมือง ก็หากจมสพู่ ้นื ภายใต้แผ่นดนิ เป็นต้น ทำ�ให้คนไทยอยู่บนพ้ืนฐานของศีลธรรม ยงั แตเ่ ฮอื นหม้ายฮ้างค้างอย่เู ปน็ ดอน การท่ีคนไทยมองว่าพ้ืนท่ีต่างๆ มีสิ่งศักด์ิสิทธิ์อยู่ หมหู มาเปด็ ไก่ตายเหมดิ เส้ยี ง จึงเป็นวิธีการสร้างระเบียบทางศีลธรรม เพ่ือให้ งัวควายพรอ้ มจมลงพ้ืนแผ่นดิน คนในท้องถ่ินได้ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ ดังเช่น ใน บอ่ าจนับอ่านไดต้ ายเสย้ี งท่วั เมอื ง” สงั คมหมบู่ า้ นในอ�ำ เภอตา่ งๆ ในจงั หวดั ตา่ งๆทาง (ปรชี า พิณทอง, 2524 : 143) ภาคตะวันออกเฉียงเหนือถือว่าทุกๆ พ้ืนที่มีส่ิง ศักด์สิ ทิ ธิ์ มีพญานาคครอบครองอยู่ นอกจากน้นั ยงั มผี ลท�ำ ใหท้ กุ คนตอ้ งเคารพระเบยี บวธิ ใี นการใช้ พน้ื ที่รว่ มกันอกี ดว้ ย 4.) การใช้ตำ�นานผาแดงนางไอ่กับการ สรา้ งภูมิทศั นเ์ กีย่ วกบั รปู ปั้น อนุสาวรีย์ มีนักวิชาการให้ความหมายคำ�ว่า
เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงานการประชุมวิชาการ มหาวิทยาลัยมหาสารคามวิจัย ครั้งที่ ๑๓ : สาขาบริการวิชาการ 29 อนสุ าวรยี ์ ดงั นี้ นธิ ิ เอยี วศรวี งศ์ (2547 : 83–86) รูปปั้น อนุสรณ์กระรอกด่อน (กระรอก กล่าวว่า อนุสาวรีย์คือส่ิงท่ีสร้างข้ึนเพ่ือระลึกถึง เผอื ก) ตง้ั อยทู่ อี่ มุ่ ปตู่ า หรอื ดอนปตู่ า อยทู่ ห่ี มบู่ า้ น บุคคลหรอื เหตุการณห์ รอื อุดมการณ์ นิธิ เอยี วศรี เชยี งเหยี น ต. เขวา อ. เมอื ง จ. มหาสารคาม มเี รอื่ ง วงศ์ กล่าวเสรมิ วา่ การก่อตง้ั อนสุ าวรยี ์นนั้ จะต้อง เล่าเก่ียวกับประวัติของอนุสาวรีย์กระรอกด่อน ต้ังอยู่ในท่ีสาธารณะ เพื่อให้ใครๆ เข้าไปถึงหรือ (กระรอกเผือก) ว่าชาวบ้านเชยี งเหยี นมีความเช่อื ไปเห็นได้ เพราะฉะน้ันทุกคนจึงถือว่าอนุสาวรีย์ ว่ากระรอกด่อน (กระรอกเผือก) เป็นบรรพบุรุษ เปน็ สมบตั ริ ว่ มกนั อกี ทง้ั อนสุ าวรยี ม์ ลี กั ษณะคลา้ ย ของชาวบ้านเชยี งเหียน จึงไมป่ รากฏว่ามีชาวบา้ น ดั่งรูปเคารพทางศาสนา ส่วนคำ�ว่า ศาสนสถาน เชยี งเหยี นคนใดท�ำ รา้ ยกระรอกดอ่ นแตป่ ระการใด น้ัน ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาวัฒนธรรม จังหวัด (สันติภาพ คำ�สะอาด : สัมภาษณ์) อีกทั้งต้ังแต่ นครราชสีมา (2523 : 105) กล่าวว่า ศาสน อดตี จวบจนถงึ ปจั จบุ นั จะสามารถพบเหน็ กระรอก สถานหรือวัดนั้นเป็นศูนย์รวมของพุทธศาสนิกชน ด่อน (กระรอกเผือก) อยู่รายล้อมท่ัวไปบริเวณ ทง้ั ภิกษุ สามเณร อบุ าสก อุบาสกิ า ประชาชนที่ หมู่บ้านเชียงเหียน กระรอกด่อนเหล่านี้ต่างก็คุ้น เลอ่ื มใสในพระพทุ ธศาสนาทกุ ระดบั นบั ตงั้ แตไ่ ทย เคยกันเปน็ อย่างดีกับชาวบ้าน ชาวบ้านเชียงเหยี น รับเอาศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำ�ชาติเป็นต้น จงึ รว่ มมอื รว่ มใจกนั สรา้ งอนสุ าวรยี ก์ ระรอกดอ่ นไว้ มา วัดเป็นสิ่งหน่ึงที่ชี้ให้เห็นว่าพุทธศาสนิกชนมี ที่บริเวณท้ายหมู่บ้าน เพ่ือเป็นเครื่องเตือนใจและ อทิ ธิพลต่อความเปน็ อยู่ของคนไทยเป็นอยา่ งมาก เป็นที่ระลึกถึงส่ิงที่ชาวบ้านเช่ือว่าเป็นบรรพบุรุษ ท้ังในด้านวัฒนธรรม จารีตประเพณี การศึกษา ของตนเอง และศิลปกรรม ดังนั้นหากต้องการทราบว่าชุมชน ใดมีความเจริญทางด้านวัฒนธรรมสามารถท่ีจะ อุม่ ปู่ตา หรอื ศาลปตู่ านัน้ สภาพบริเวณ ศึกษาได้จากศาสนสถานหรอื วัด โดยรอบอุ่มปู่ตาในสมัยก่อนจะมีต้นไม้ใหญ่เป็น จ�ำ นวนมาก ต้นไมห้ นา เขยี วขจตี ลอดปี มหี นอง จากท่ีกล่าวถึงความหมายคำ�ว่า นำ้�ตามธรรมชาติ บริเวณอุ่มปู่ตาจะมีศาลปู่ตา “อนุสาวรยี ”์ และ “ศาสนสถาน” ดงั ขา้ งต้นจะเห็น ต้ังอยู่ ตามความเช่ือ “ศาลปู่ตา” ก็คือศาลเจ้า ได้ว่า อนุสาวรีย์และศาสนสถานท่ีน่าสนใจศึกษา อารักษ์ ทป่ี กป้องหม่บู า้ น ถือเปน็ เทวาอารกั ษข์ อง อย่างมากมาย หมบู่ า้ นเชยี งเหยี นและทกุ ปชี าวบา้ นเชยี งเหยี นจะมี ประเพณี การไปสักการะปูต่ าเรยี กวา่ “เอาบุญอ่มุ จากขอ้ มลู ทศี่ กึ ษาพบวา่ ในต�ำ นานผาแดง ปตู่ า” การไปเอาบญุ อมุ่ ปตู่ า คอื การไปท�ำ การบชู า นางไอม่ กี ารสรา้ งภมู ทิ ศั นเ์ กย่ี วกบั รปู ปนั้ อนสุ าวรยี ์ ซง่ึ อารกั ษข์ องหมบู่ า้ นมกี ารแหด่ อกไม้ สรงน�ำ้ ศาล ดังเช่น รูปป้ัน อนุสาวรีย์กระรอกด่อน (กระรอก ปตู่ า เพ่ือใหเ้ ป็นศิริมงคล กับผคู้ นในหมูบ่ า้ นตาม เผือก) เปน็ ต้น ความเชือ่ มาจากบรรพบุรษุ โบราณ มีการจดุ บ้ังไฟ เพื่อเป็นการบูชาและเสี่ยงทายด้วย ปัจจุบันมีรูป ตัวอยา่ ง ปั้นกระรอกด่อน (กระรอกเผือก) อยู่ ณ บริเวณ อนุสาวรีย์กระรอกด่อน (กระรอก แห่งน้ี เผอื ก)
30 เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงานการประชุมวิชาการ มหาวิทยาลัยมหาสารคามวิจัย ครั้งที่ ๑๓ : สาขาบริการวิชาการ ภาพประกอบที่ 2 ภาพรูปป้นั กระรอกด่อน (เผอื ก) 292; อา้ งองิ มาจาก Tanabe and Keyes. 2002) บริเวณศาลปูต่ าศรีสงครามเมืองเชยี งเหียน ความว่าการสร้างความทรงจำ�เป็นการสร้างความ เป็นสังคม โดยสร้างขึ้นจากความทรงจำ�ของกลุ่ม จากเร่ืองเล่ากล่าวถึงประวัติ และ คนในสังคมท่ีแตกต่าง เช่น ครอบครัว ศาสนา วัตถุประสงค์ในการก่อสร้างอนุสาวรีย์กระรอก ระดบั ชนั้ ทางสงั คม ซงึ่ ถกู เกบ็ รกั ษาไวใ้ นความทรง ด่อน (กระรอกเผือก)จะเห็นได้ว่าเป็นการสร้าง จำ� และผลิตซ้�ำ ออกมาในรูปแบบต่างๆ เพอ่ื ระลกึ ความทรงจำ�ทางสังคม (Collective Memories) ถงึ เจ้าของของสังคมแตล่ ะกล่มุ กลา่ วคอื สงั คมจะท�ำ หนา้ ทตี่ ดั สนิ ใจในการคดั เลอื ก ความทรงจำ�ทางสังคมที่เห็นควรว่าคนในสังคม สรุป ควรมคี วามทรงจ�ำ รว่ มกนั ในทนี่ ค้ี อื สอดคลอ้ งกบั Tanabe and Keyes (ศภุ ชยั สงิ หย์ ะบศุ ย,์ 2551 : จากการศกึ ษาวเิ คราะหท์ �ำ ใหผ้ วู้ จิ ยั พบวา่ ภูมิปัญญาในกลอนลำ�หนังบักตื้อบ้านเชียงเหียน อำ�เภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม มี 4 ลักษณะ ดังน้ี 1. ภูมิปัญญาด้านการสอนหลักธรรมใน พระพุทธศาสนา ได้แก่ 1.1 ภูมิปัญญาด้านการ ใช้คำ� 1.2. ภูมิปัญญาด้านการใช้ภาพพจน์ 1.3. ภมู ปิ ญั ญาดา้ นการบนั ทกึ ลกั ษณะสภาพความเปน็ อยู่ของผู้คน และสภาพแวดล้อมต่างๆ และ1.4 ภูมิปญั ญาดา้ นการบันทึกวฒั นธรรม เอกสารอ้างอิง เกษม ขาบแกว้ . ภมู ปิ ญั ญาการสอนหลกั ธรรมในพระพทุ ธศาสนาทป่ี รากฏในบทหนงั ตะลงุ ของหนงั ฉนิ้ อรมุต : การศึกษาเชิงวิเคราะห์. ฝ่ายวิจัยและเผยแพร่สำ�นักศิลปะและวัฒนธรรม สถาบันราชภัฏสงขลา, 2544.ส�ำ นกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาแหง่ ชาติ. ภมู ิปญั ญา ไทย. กรุงเทพฯ. สำ�นักนายกรัฐมนตรี, ม.ป.ป.แนวทางส่งเสริมภูมิปัญญาไทยในการ จดั การการศกึ ษา. กรงุ เทพฯ. พิมพ์ดี,2541. ธวัช ปุณโณทก. “ภูมิปัญญาชาวบ้านอีสานของอาจารย์ปรีชา พิณทอง” ในทิศทางหมู่บ้านไทย. กรงุ เทพฯ, ส�ำ นกั พิมพ์หมูบ่ า้ นไทย. 2531. ศริ ิกลุ สันตชิ าต.ิ 2536. “วิเคราะหภ์ มู ปิ ญั ญาชาวบ้านจากวรรณคดสี มัยต้นรตั นโกสนิ ทร์ (รัชกาลที่ 1- รัชกาลที่ 4). ปรญิ ญานิพนธ์ กศ.ม. วิชาเอกภาษาไทย บัณฑติ วทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลัย ศรีนครนิ ทรวิโรฒประสานมติ ร. สุวิทย์ ธีรศาศวตั และ ดารารตั น์ เมตตารกิ านนท์. (2541). ประวตั ศิ าสตรอ์ ีสานหลังสงครามโลกครั้งที่ สองถงึ ปัจจุบัน. พิมพค์ ร้ังที่ 2. ขอนแกน่ : ส�ำ นักส่งเสรมิ ศิลปวฒั นธรรม มหาวทิ ยาลัย ขอนแก่น.
เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงานการประชุมวิชาการ มหาวิทยาลัยมหาสารคามวิจัย ครั้งที่ ๑๓ : สาขาบริการวิชาการ 31 ปราณี ตันตยานบุ ตุ ร. ภมู ิปัญญาไทย. พมิ พ์คร้งั ท่ี 3. กรงุ เทพฯ : มหาวทิ ยาลยั ธรุ กิจบณั ฑิตย์, 2551. ปรานี อนุอัน. 2545. ภมู ปิ ัญญาไทยอสี านทป่ี รากฏในงานของคำ�พนู บญุ ทว.ี วทิ ยานิพนธ์ ศศ.ม. ไทย ศึกษา. มหาวทิ ยาลยั รามคำ�แหง. ปรชี า พณิ ทอง. (2524). ผาแดงนางไอ่. อบุ ลราชธานี : ศิรธิ รรม. ศรีศักดร วัลลิโภดม. (2551). คู่มือฉุกคิด ความหมายของภูมิวัฒนธรรม การศึกษาจากภายในและ ส�ำ นึกของท้องถิ่น. กรุงเทพฯ : มูลนธิ ิเลก็ – ประไพ วริ ยิ พนั ธ์. ชุมเดช เดชภมิ ล. การศึกษาเรอื่ ง หนังประโมทัย จงั หวัดร้อยเอด็ . ปริญญานิพนธ์ ศศ.ม. มหาสารคาม : มหาวิทยาลยั ศรีนครินทรวิโรฒ มหาสารคาม, 2531. Halbwachs, Maurice. (1992). On Collective memory. Chicago : University of Chicago Press. ข้อมูลสัมภาษณ์ สนั ตภิ าพ ค�ำ สะอาด. (2560). ผใู้ หส้ มั ภาษณ์ ณ พพิ ธิ ภณั ฑบ์ า้ นเชยี งเหยี น อ.เมอื ง จ.มหาสารคาม ณฐั กฤตา นามมนตรี เป็นผูส้ ัมภาษณ์ เมอื่ วันที่ 16 เมษายน 2560.
การบริหารจัดการวิสาหกิจปลาแปรรูป ตำ�บลเขวาใหญ่ อำ�เภอกันทรวิชัย จงั หวัดมหาสารคาม ดร.นวลละออง อรรถรงั สรรค์ บทนำ� การบริหารจดั การวิสาหกจิ ปลาแปรรปู ตำ�บลเขวาใหญ่ อำ�เภอกันทรวชิ ยั จังหวัดมหาสารคาม มวี ตั ถปุ ระสงคใ์ นการด�ำ เนนิ การ เพอ่ื จดั ตง้ั วสิ าหกจิ ปลาแปรรปู ต�ำ บลเขวาใหญ่ อ�ำ เภอกนั ทรวชิ ยั จงั หวดั มหาสารคาม และเพื่อสร้างหลักการการจัดการธุรกิจขนาดย่อมที่มีความสอดคล้องกับบริบทชุมชนของ ชุมชนตำ�บลเขวาใหญ่ โดยทำ�การศึกษาในพื้นที่ตำ�บลเขวาใหญ่ อำ�เภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม ประกอบดว้ ยผู้เข้ารว่ ม คอื อาจารย์ นสิ ิตคณะการบัญชีและการจดั การ และสมาชิกต�ำ บลเขวาใหญ่ มขี นั้ ตอนการดำ�เนนิ งาน ประกอบด้วย กิจกรรมและวธิ ีดำ�เนินงาน ขนั้ ด�ำ เนนิ การ และขัน้ ติดตามและสรุปผล ซ่ึงผลจากการดำ�เนินการได้มีการจัดตั้งเป็นวิสาหกิจชุมชนกลุ่มแปรรูปปลา มีการประสานงานสร้างการ มีสว่ นรว่ มในชมุ ชน มีการจัดโครงการสรา้ งการทำ�งาน โดยมนี างค�ำ ชดิ ศรีทรัพย์ เป็นประธานวสิ าหกิจ ปลาแปรรูป โดยมีการแปรรูป คือ ปลาดุกหอม และมีการจัดจำ�หน่ายปลาดุกหอมท้ังในชุมชน และมี การจ�ำ หนา่ ยตามงานโอท็อป หรอื งานประจ�ำ จังหวัด มกี ารจัดจ�ำ หน่ายในราคา กโิ ลกรมั ละ 250 บาท และมกี ารบรรจใุ สถ่ งุ สญู ญากาศ นำ้�หนกั 250 กรัม จ�ำ หนา่ ยในราคา แพ็คละ 70 บาท โดยในอนาคต กลุ่มแม่บ้านตั้งเป้าหมายพัฒนาคุณภาพให้ปลาสามารถของ อย. (เคร่ืองหมายอาหารและยา) เพ่ือยก ระดบั มูลคา่ สนิ คา้ ใหส้ ามารถกระจายสินค้าได้มากขึ้น หลักการและเหตุผล อาชพี หลกั ของประชาชนในภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื คอื การเพาะปลกู ขา้ ว ซง่ึ ในชว่ งเวลา 2-3 ปี ทผ่ี ่านมา เกษตรกรประสบปญั หาขาดแคลนนำ�้ เนอ่ื งจากภัยแล้ง ส่งผลให้การเพาะปลูกข้าวสามารถ เพาะปลกู ได้ปีละ 1 คร้งั คอื ขา้ วนาปี ซึ่งส่งผลต่อรายได้ในครัวเรอื นท่ีลดลง ดังน้นั เพ่ือเปน็ การช่วย เหลอื เกษตรกร อาจารยภ์ าควชิ าการจดั การ คณะการบญั ชแี ละการจดั การ มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม ได้ ท�ำ การส�ำ รวจความคดิ เหน็ และความตอ้ งการของผนู้ �ำ ชมุ ชน โดยการประสานความรว่ มมอื กบั ผใู้ หญบ่ า้ น นายสงกรานต์ สงคศ์ รี หมบู่ า้ นเขวาใหญ่ ไดล้ งพน้ื ทแ่ี ลกเปลยี่ นความคดิ เหน็ กบั กลมุ่ ผนู้ �ำ ชมุ ชน ประกอบ ดว้ ย ก�ำ นนั ต�ำ บลเขวาใหญ่ สารวตั รต�ำ บล และผใู้ หญบ่ า้ นหมตู่ า่ ง ๆ ณ ศาลาประชาคม หมเู่ ขวาใหญ่ โดย ในครงั้ แรกทแี่ ลกเปลยี่ นไดม้ คี วามคดิ เหน็ หลากหลาย ทงั้ ตอ้ งการปลกู ผกั แตม่ ปี ญั หาเรอื่ งน�้ำ ชว่ งหนา้ แลง้ การเลย้ี งเปด็ เปน็ ตน้ โดยความประสงคส์ ว่ นใหญข่ องผนู้ �ำ ชมุ ชนประสงคอ์ ยากมอี าชพี เสรมิ แตย่ งั ไมท่ ราบ วา่ จะท�ำ อะไร ทางอาจารย์ภาควิชาการจดั การ จึงไดใ้ ห้ทางผนู้ ำ�ไดป้ รกึ ษาหารอื กนั จากการแลกเปลี่ยน ความคิดเห็นกบั กลมุ่ ผูน้ ำ�ชมุ ชน ครั้งที่สอง ได้สรปุ ความคิดเหน็ ว่า ผู้น�ำ ชุมชนมีความสนใจรวมกลุม่ กัน เพอื่ ท�ำ ปลาแปรรปู เนอื่ งดว้ ยพน้ื ทข่ี องชมุ ชนบางสว่ นตดิ กบั แมน่ �ำ้ ชี ซง่ึ สมาชกิ สามารถเลยี้ งปลากระชงั ใน
34 เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงานการประชุมวิชาการ มหาวิทยาลัยมหาสารคามวิจัย ครั้งที่ ๑๓ : สาขาบริการวิชาการ แหล่งนำ้�ธรรมชาติ และสามารถทำ�การประมงใน ประกอบดว้ ย อาจารย์ นสิ ติ คณะการบญั ชแี ละการ แมน่ ้ำ�ชี ซ่งึ ข้อดขี องการเล้ยี งปลากระชังธรรมชาติ จัดการ และสมาชกิ ตำ�บลเขวาใหญ่ คอื คณุ ภาพปลา เนอ้ื ปลาทเ่ี ลย้ี งแหลง่ น�ำ้ ธรรมชาติ จะคาวนอ้ ยกวา่ การเลย้ี งในบอ่ คณุ ภาพเนอ้ื ทแ่ี นน่ วิธีดำ�เนินงาน กวา่ (สมั ภาษณ์ นายค�ำ พอง ศรีสอน เกษตรกร ผู้ เลยี้ งปลากระชงั สมั ภาษณ์โดย นวลละออง อรรถ มีขน้ั ตอนการด�ำ เนินงาน ประกอบด้วย รังสรรค์) ดงั นนั้ สมาชิกชมุ ชน โดยตอ้ งการให้ทาง 4.1 กิจกรรมและวธิ ีด�ำ เนนิ งาน อาจารยใ์ ห้บรกิ ารวิชาการ เพื่อการจัดตง้ั วิสาหกิจ เบื้องต้นมีการลงพื้นที่เพ่ือสำ�รวจความ ท�ำ ปลาแปรรปู อาทิ ปลาร้า ปลาสม้ ปลาดกุ หอม ต้องการของชาวบ้านในชุมชนตำ�บลเขวาใหญ่ ได้ เป็นต้น เป็นอาชีพเสริมสร้างรายได้ให้ครัวเรือน มีการประสานความร่วมมือไปยังผู้นำ�ชุมชนเพ่ือ อีกทางหนงึ่ นอกจากน้ี อีกเหตุผลทีอ่ ยากท�ำ ปลา นัดประชุมแลกเปลยี่ นความคดิ เหน็ ซงึ่ ในเวทแี ลก แปรรูป เพื่อเพ่ิมมูลค่าให้สินค้าทางการเกษตร เปล่ียนชาวบา้ นไดเ้ สนออาชีพเสรมิ ท่จี ะชว่ ยเสริม มีมูลค่าสูงข้ึน โดยทางผู้นำ�ชุมชนต้องการจัดต้ัง สรา้ งรายไดใ้ หแ้ กช่ าวบา้ น คอื การแปรรปู ปลา โดย เป็นวิสาหกจิ ชุมชน โดยรวมกลุ่มผทู้ ีส่ นใจเข้าเปน็ มีกลุ่มแม่บ้านหินปูน มีการแปรรูปปลาดุกหอม สมาชิกดำ�เนินการโครงการ นอกจากน้ี สมาชิก พร้อมที่จะเผยแพร่ความรู้แก่ชาวบ้านในตำ�บลเข ชมุ ชนตอ้ งการใหอ้ าจารยไ์ ดใ้ หค้ วามรใู้ นการจดั การ วาใหญท่ สี่ นใจเขา้ รว่ มเปน็ สมาชกิ ของกลมุ่ และได้ ความรทู้ างการบญั ชี การจดั การดา้ นการตลาดให้ มีการวางแผนเพ่ือนำ�นิสิตเข้าไปมีส่วนร่วมในการ กบั สนิ คา้ ปลาแปรรปู เปน็ ตน้ ดงั นน้ั คณะอาจารย์ ท�ำ กจิ กรรมใน เชน่ การเรยี นรกู้ ารเกบ็ ขอ้ มลู บรบิ ท ภาควชิ าการจดั การ คณะการบญั ชแี ละการจดั การ ชุมชน อีกทั้งนำ�องค์ความรู้ด้านการจัดการ ด้าน จึงเสนอโครงการ การบริหารจดั การวิสาหกิจปลา การตลาด ประยกุ ตใ์ ห้เขา้ กับกิจกรรมของชุมชน แปรรูป ต�ำ บลเขวาใหญ่ อ�ำ เภอกันทรวิชัย จงั หวัด 4.2 ข้ันด�ำ เนินการ มหาสารคาม ขึ้นเพ่ือเป็นการให้บริการวิชาการ การดำ�เนินกิจกรรมในโครงการวิสาหกิจ และเป็นการชว่ ยเหลอื ชุมชนท่ีประสบปัญหา ปลาแปรรูป ตำ�บลเขวาใหญ่ อำ�เภอกันทรวิชัย จงั หวดั มหาสารคาม ประกอบด้วย วัตถุประสงค์ 4.2.1 การจัดการประชุมเพื่อช้ีแจง วัตถุประสงค์โครงการฯ แก่ผู้นำ�ชุมชน ประกอบ 1. เพื่อจัดต้ังวิสาหกิจปลาแปรรูป ด้วย กำ�นันตำ�บล เขวาใหญ่ ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วย ตำ�บลเขวาใหญ่ อำ�เภอกันทรวิชัย จังหวัด ผู้ใหญ่บ้าน สารวัตรตำ�บลเขวาใหญ่ และสมาชิก มหาสารคาม ของชุมชนได้รับรู้รับทราบ และเพ่ือเชิญชวนชาว บา้ นทส่ี นใจแปรรปู ปลา เพอื่ สรา้ งรายไดเ้ สรมิ หรอื 2. เพ่ือสร้างหลักการการจัดการ ถนอมอาหารไวร้ ับประทานในครวั เรอื น ธุรกิจขนาดย่อมที่มีความสอดคล้องกับบริบท 4.2.2 ทีมอาจารย์ผู้รับผิดชอบโค ชุมชนของชมุ ชนตำ�บลเขวาใหญ่ รงการฯ ได้ดำ�เนินการวางแผนกิจกรรมต่างๆ ประกอบดว้ ย กจิ กรรมการบรู ณาการการเรยี นการ 3. พนื้ ทีด่ ำ�เนนิ การ/บริบทชมุ ชน สอน ในรายวิชา หน่ึงหลกั สตู รหนึ่งชุมชน ร่วมกับ พื้นที่ตำ�บลเขวาใหญ่ อำ�เภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม โดยมีผู้เข้าร่วมโครงการ
เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงานการประชุมวิชาการ มหาวิทยาลัยมหาสารคามวิจัย ครั้งที่ ๑๓ : สาขาบริการวิชาการ 35 โครงการบริการวิชาการหนึ่งหลักสูตรหนึ่งชุมชน นิสิตได้มีส่วนช่วยเหลือชาวบ้าน เกี่ยวกับการ โดยให้นิสิตได้เรียนรู้การเก็บข้อมูลบริบทชุมชน ออกแบบบรรจภุ ณั ฑ์ และการออกแบบตราสนิ ค้า เชน่ ความเป็นมาของหมบู่ า้ น รายรบั รายจ่ายของ และนสิ ติ ไดส้ บื คน้ ขอ้ มลู คา่ ใชจ้ า่ ยในการผลติ บรรจุ ชมุ ชน เปน็ ตน้ โดยการเครอ่ื งมอื ทน่ี สิ ติ ศกึ ษาในชน้ั ภณั ฑ์ ประกอบดว้ ย ถงุ พลาสตกิ บรรจแุ บบสญู ญา เรยี น เชน่ แผนทีเ่ ดนิ ดิน โอง่ ชีวิต และ Time line กาศ ขนาด 8x12 น้ิว ราคาใบละ 3 บาท การส่งั เปน็ ตน้ พมิ พข์ อ้ มลู บนถงุ ตอ้ งสงั่ พมิ พค์ รง้ั ละ 50,000 ใบ และคา่ บล็อกสี สีละ 5,000 บาท ใช้จำ�นวน 5 สี การเกบ็ ข้อมูลรายรับรายจ่ายของสมาชิก รวมค่าใช้จ่ายบรรจุภัณฑ์ใส่ปลาเพื่อจัดจำ�หน่าย ในชุมชน โดยใช้เคร่ืองมือ คือ โอ่งชีวิต และใช้ เป็นเงิน 175,000 บาท ดังน้ัน ต้นทุนบรรจุ Time line ในการเกบ็ ประวตั คิ วามเป็นมาของทาง ภัณฑ์ตอ่ ใบในการผลติ คร้งั แรก จะอยทู่ ใี่ บละ 3.5 ชุมชน ต้ังแต่อดีตถึงปัจจุบัน เป็นต้น นอกจากนี้
36 เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงานการประชุมวิชาการ มหาวิทยาลัยมหาสารคามวิจัย ครั้งที่ ๑๓ : สาขาบริการวิชาการ บาท และในช่วงภาคการศึกษาท่ี 3/2559 ได้มี หากตดิ สตก๊ิ เกอรแ์ ทนการพมิ พถ์ งุ สตกิ๊ เกอรร์ าคา นิสิตท่ีเรียนในภาคการศึกษานี้เข้าร่วมกิจกรรม แผ่นละ 3 บาท ต้นทุนถงุ อยทู่ ่ี 6 บาท ต้นทุนปลา โดยนิสิตลงพื้นเพื่อบูรณาการการเรียน ในการ ขนาด 250 กรัม อยู่ท่ี 54.25 บาท รวมค่าถุง อบรมการแปรรปู ปลา โดยใหน้ สิ ติ วเิ คราะหข์ นั้ ตอน จะเป็นตน้ ทุนที่ 60.25 บาท กำ�ไรต่อหน่วยอยูท่ ี่ การผลิตปลาแปรรูปตั้งแต่การคัดเลือกวัตถุดิบ 9.75 บาท ซง่ึ ถา้ ขายได้ 1 กโิ ลกรัมหรือส่ถี ุงจะมี กระบวนการผลิต จนกระทั่งได้ผลิตภัณฑ์ ซ่ึงผล กำ�ไรรวม 39 บาท จากการวิเคราะห์กระบวนการผลิต พบว่า ปัญหา ทพี่ บ คอื ในกระบวนการผลติ ผผู้ ลติ บางคน ไมไ่ ด้ 4.2.4 การอบรมการแปรรูปปลา มี สวมถงุ มอื และหมวกคลมุ ผม ซง่ึ หากสวมใสท่ กุ คน วิทยากรในการบรรยาย คือ นางคำ�ชิด ศรีทรัพย์ จะท�ำ ใหค้ วบคมุ ความสะอาดมากขน้ึ ขาดเครอื่ งมอื และมกี ลมุ่ แมบ่ า้ นจาก บา้ นขเี้ หลก็ และบา้ นบงุ่ เบา อปุ กรณท์ ใ่ี ชใ้ นการทบั ปลาเวลาหมกั ในปจั จบุ นั ได้ เข้าร่วมกิจกรรมในครั้งน้ี พร้อมมีนิสิตที่สนใจเข้า ใชเ้ ขยี งไมใ้ นการทบั ซง่ึ นสิ ติ ตงั้ ขอ้ สงั เกตวา่ เมอ่ื ใช้ รว่ มอบรม ซง่ึ วทิ ยากรไดแ้ นะน�ำ ตงั้ แตก่ ระบวนการ นานไปวัสดไุ มอ้ าจข้ึนเชื้อราได้ อาจมผี ลต่อสนิ คา้ แรกจนถึงกระบวนการสุดท้าย พร้อมแนะนำ� ดงั นน้ั นิสติ ไดเ้ สนอแนะใหห้ าวสั ดอุ ื่นมาใช้ในการ เทคนคิ ในการท�ำ ปลาดกุ หอม ทบั เช่น ครกหนิ เป็นตน้ ปญั หาแมลงวนั มาตอม ซ่ึงควรจะมีโรงเรือนการผลิตที่ปิดป้องกันแมลง 4.2.5 การด�ำ เนนิ การจดทะเบยี นวสิ าหกจิ เพอ่ื ใหถ้ ูกสขุ ลกั ษณะอนามัย ปลาแปรรปู 4.2.3 การอบรมตน้ ทนุ ในการผลติ การ ในส่วนของการจดทะเบียนเป็นวิสาหกิจ อบรมตน้ ทนุ ในการผลติ จะชว่ ยใหช้ าวบา้ นสามารถ ทางชมุ ชนได้จดทะเบียนต้งั แต่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. การคำ�นวณต้นทุนการผลิตสินค้าได้ ซ่ึงกลุ่มแม่ 2558 ซ่ึงหมดอายุแล้วโดยทางชุมชนไม่ต่ออายุ บ้านได้คำ�นวณต้นทุนของปลาแปรรูป ได้ผลดังนี้ เอกสาร ซึ่งทางทีมอาจารย์ได้พูดคุยกับผู้นำ�กลุ่ม ในการผลิตถ้าใชป้ ลาดุกสด จ�ำ นวน 30 กิโลกรัม ใหด้ �ำ เนนิ งานกลมุ่ ปลาแปรรปู ตอ่ และใหผ้ นู้ �ำ กลมุ่ จะแปรรปู ปลาไดจ้ ำ�นวน 10 กิโลกรัม เมือ่ คำ�นวน คอื นางค�ำ ชดิ ศรที รพั ย์ ด�ำ เนนิ การตอ่ อายเุ อกสาร ตน้ ทนุ ปลาดกุ สด ราคา 65 บาท/กโิ ลกรมั น�้ำ ตาล การจดทะเบียนวิสาหกิจชุมชน เน่ืองด้วยหากใน ทรายแดงราคา 25 บาท/กโิ ลกรมั และเกลอื ราคา อนาคตชมุ ชนจะด�ำ เนนิ การขอเครอื่ งหมายอาหาร 10 บาท/กิโลกรัม เม่อื คำ�นวณต้นทุน ราคาปลา และยา (อย.) จะตอ้ งมเี อกสารการจดทะเบยี นเปน็ 65 x 30 = 1,950 บาท น้ำ�ตาลทรายแดง 25 x วสิ าหกิจชุมชนประกอบการยื่นขอ 2 = 50 บาท เกลือ 10 x 2 = 20 บาท ค่าแรง ครึง่ วนั = 150 บาท รวมตน้ ทนุ 2,170 บาทเมื่อ 4.2.6 การจดั เวทปี ระชาคมหมบู่ า้ น เพอ่ื เฉล่ียเป็นราคาต่อกิโลกรัม จะตกเฉลี่ย กิโลกรัม คนื ขอ้ มูลในการดำ�เนนิ การโครงการฯ คืนสูช่ ุมชน ละ 217 บาท โดยตง้ั ราคาขาย กิโลกรัมละ 250 บาท โดยใสถ่ งุ ใสตดิ สตกิ๊ เกอร์ ถงุ ละ 3 บาท เพราะ จากการถอดบทเรียนถึงการดำ�เนิน ฉะนั้น ต่อหนึ่งกโิ ลกรัม จะมตี ้นทุนตอ่ กโิ ลกรมั ละ โครงการ สามารถสรุปข้อมูล ได้ดังนี้ 1) ชุมชน 220 บาท จะมีก�ำ ไรเฉลี่ยต่อกโิ ลกรมั ละ 30 บาท เกิดความรู้ในการแปรรูปปลา และไดน้ �ำ ความร้มู า ในส่วนต้นทุนถุงสูญญากาศ อยู่ที่ถุงละ 3 บาท พฒั นาสนิ คา้ ใหเ้ หมาะสมกบั ลกู คา้ 2) กระบวนการ จัดการความรู้ พบว่า กลุ่มแม่บ้านหินปูนมีความ ม่ันใจ สามารถถ่ายทอดความรู้ที่มีให้แก่ สมาชิก
เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงานการประชุมวิชาการ มหาวิทยาลัยมหาสารคามวิจัย ครั้งที่ ๑๓ : สาขาบริการวิชาการ 37 ชุมชนที่อยู่ใกล้เคียง เช่น บ้านบุ่งเบา และบ้านขี้ ปัจจัยแห่งความล้มเหลวของโครงการฯ เหล็ก และบุคคลท่ีสนใจที่เข้ามาศึกษาดูงานใน เปน็ การคาดการณ์ในอนาคต เนื่องดว้ ยสมาชกิ ใน ชุมชน 3) การแปรรูปปลาดุกหอม จะช่วยให้ลด ชุมชนมีแต่ผู้สูงอายุ ขณะที่วัยทำ�งาน ไปทำ�งาน ต้นทนุ ลดค่าใช้จ่ายในครัวเรือน ส่งผลให้สมาชิก ในพืน้ ท่อี ืน่ ๆ ดังนนั้ กจิ กรรมโครงการต่างๆ ของ ของชุมชนมาความเป็นอยู่ท่ีดีขึ้น และสามารถท่ี สมาชิกชุมชน หากไม่มีการประสานต่อโดยลูก จะยืนหยัดด้วยชุมชนเองได้ และ 4) ในประเด็น หลานของชุมชน อาจจะทำ�ให้การทำ�งานไม่ต่อ ปัญหาชุมชน พบว่า มีปัญหาด้านการตลาด ซึ่ง เนอื่ ง และลม้ เหลวในทสี่ ดุ กลุ่มแม่บ้านพยายามทจ่ี ะสรา้ งเครือข่าย โดยดึงส มาชิกจากชุมชนข้างเคียงรวมกลุ่มเพื่อช่วยในการ ตลาด และอีกปัญหาท่ีกลุ่มคาดว่าอาจจะเกิดขึ้น ในอนาคต คอื คนทจี่ ะมาสบื ทอดกจิ การ เนอื่ งดว้ ย ปจั จบุ นั กลมุ่ แมบ่ า้ นทท่ี �ำ งาน เปน็ ผสู้ งู วยั ในชมุ ชน ซงึ่ หากไมก่ ลมุ่ ลกู หลานมาสบื ตอ่ อาจท�ำ ใหว้ นั หนง่ึ วิสาหกจิ ต้องหยุดด�ำ เนนิ งานในท่ีสดุ 4.3 ขั้นติดตามและสรุปผล หลังจาก การจดั เวทปี ระชาคมคนื ความรสู้ ชู่ มุ ชน และจดั ท�ำ รายงานสรุปผลการด�ำ เนนิ งาน ปัจจัยที่แห่งความสำ�เร็จ ปัจจัยแห่งความ ล้มเหลว ปัจจัยท่ีแห่งความสำ�เร็จของโครงการฯ ประกอบด้วย ปัจจัยความร่วมมอื ของทกุ ฝ่ายท่ีได้ ชว่ ยเหลือกันและกัน ทง้ั ทีมอาจารย์ นสิ ติ สมาชกิ ชุมชน ความสมานสามัคคีของสมาชิกชุมชนท่ีได้ ช่วยกันทุ่มเทแรงกายแรงใจในการทำ�งานกลุ่มใน ชุมชน การมีผู้นำ�ชุมชนมีความเข้มแข็ง เป็นผู้นำ� ชมุ ชนทน่ี �ำ พาสมาชกิ ในชมุ ชนท�ำ กจิ กรรมในทกุ ขนั้ ตอน เป็นแบบอย่างที่ดีแก่สมาชิกชุมชน สมาชิก ชุมชนมีการเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา ทำ�ให้เกิดเป็น ความรู้ ความเข้าใจในการทำ�งาน มีความม่นั ใจใน ตนเอง และมั่นใจในถ่ายทอดความรู้สู่สมาชิกชุม ชนอ่ืนๆ และนิสิตมีความเข้าใจในการทำ�งาน มี ความตั้งใจในการทำ�งาน มีจิตอาสา ทำ�ใหเ้ มอ่ื ไป น�ำ เสนอขอ้ มลู กบั ชมุ ชน ชุมชนให้ความสนใจและ พอใจทน่ี สิ ติ ลงพื้นทีท่ ำ�กิจกรรม
โครงการพฒั นาสมรรถนะอาสาสมคั รสาธารณสขุ ฉกุ เฉนิ ชมุ ชนในกลมุ่ นกั เรยี น มธั ยมศกึ ษา จงั หวดั มหาสารคาม สาขาปฏิบตั กิ ารฉกุ เฉนิ การแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ นนั ทวรรณ ทิพยเนตร 1. ความเป็นมาของปัญหา ภาวะหวั ใจหยดุ เตน้ นอกโรงพยาบาล(out of hospital cardiac arrest) เปน็ ปญั หาสขุ ภาพชมุ ชน ทสี่ �ำ คญั มาก ในประเทศองั กฤษพบวา่ มผี ทู้ เี่ กดิ ภาวะหวั ใจหยดุ เตน้ นอกโรงพยาบาลถงึ 300,000 คน ตอ่ ป(ี Sassion C, Rogers MA, Dahl J, Kellerman AL.,2010) และในกลมุ่ ประเทศยโุ รปและอเมรกิ าเหนอื รวม 700,000 คนตอ่ ปี (Mozaffarian D, Benjamin EJ, Go AS, et al. ,2015) การช่วยฟน้ื คนื ชีพโดย การกดนวดหวั ใจเปน็ ภารกจิ เพยี งอยา่ งเดยี วทก่ี ระท�ำ โดยผพู้ บเหน็ เหตกุ ารณ์ (Chest compression-only bystander CPR) ทม่ี ปี ระสทิ ธผิ ลทสี่ ดุ ในการชว่ ยฟนื้ คนื ชพี นอกโรงพยาบาล (Bobrow BJ Spaite DW, Berg RA, et al., 2010) เปน็ ท่ีทราบกนั ดวี ่าการชว่ ยฟนื้ คืนชพี นอกโรงพยาบาลของผู้พบเห็นเหตุการณ์ จะสามารถช่วยเพ่ิมอัตราการรอดชีวิตได้ พบว่าอัตราการช่วยฟ้ืนคืนชีพนอกโรงพยาบาลมีเพียงร้อย ละ30ของผทู้ เี่ กดิ ภาวะหัวใจหยุดเตน้ นอกโรงพยาบาลทง้ั หมด (Bobrow BJ.et al.,2010.;Sasson C, Rogers MA, Dahl J, et al.,2010) ซึง่ มีอัตรารอดชวี ิตนอ้ ยกว่ารอ้ ยละ 10 (Mozaffarian D, Benjamin EJ, Go AS, et al.,2015) ดังน้ันการพัฒนาสมรรถนะประชาชนผู้พบเหน็ เหตุการณเ์ พอ่ื เปน็ ผอู้ าจช่วย ได้ จึงเปน็ ปจั จยั ท่ีสำ�คัญในการช่วยให้รอดชวี ิตได้ ในการนี้ สาขาปฏิบัติการฉุกเฉินการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ซ่ึงมีหน้าที่ผลิตบุคลากรทางการแพทย์ท่ีต้องมีความรู้ ทักษะในการช่วยฟื้นคืนชีพ และสามารถนิเทศผู้ ชว่ ยเวชกรรมระดับตำ่�กวา่ เพื่อท�ำ การช่วยฟ้นื คืนชพี ขนั้ พื้นฐานไดอ้ ย่างถูกต้อง จงึ เล็งเหน็ ถึงความสำ�คัญ ในการจดั อบรมพฒั นาทกั ษะการชว่ ยฟนื้ คนื ชพี ขน้ั พนื้ ฐานในกลมุ่ อาสาสมคั รสาธารณสขุ นกั เรยี นซง่ึ เปน็ ตัวแทนดา้ นสุขภาพของนักเรยี นในโรงเรียน (นันทวรรณ ทพิ ยเนตร.2559) ให้มคี วามรคู้ วามเขา้ ใจ ใน หลกั การและทกั ษะในการชว่ ยฟน้ื คนื ชพี ขน้ั พน้ื ฐานในกลมุ่ ผปู้ ว่ ยฉกุ เฉนิ ใหท้ นั ทว่ งทโี ดยการนวดปม้ั หวั ใจ หรอื เรยี กวา่ Cardiopulmonary resuscitation (CPR) ซง่ึ ประชาชนทกุ คนควรรแู้ ละสามารถลงมอื ปฏบิ ตั ิ ได้ ตลอดจนการชว่ ยชวี ติ ผปู้ ว่ ยเบอ้ื งตน้ จากภาวะหลอดลมอดุ ตนั เพราะเมอื่ เกดิ การอดุ กนั้ ทางเดนิ หายใจ แบบถาวรแมเ้ พยี งไมก่ วี่ นิ าที อาจส่งผลใหห้ ัวใจหยดุ เตน้ ได้
40 เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงานการประชุมวิชาการ มหาวิทยาลัยมหาสารคามวิจัย ครั้งที่ ๑๓ : สาขาบริการวิชาการ 2. วัตถุประสงค์ของโครงการ กลุ่มนักเรียนมัธยม จากผลการนำ�เสนอผลงาน วิชาการครั้งนี้ ไดม้ ีผ้นู �ำ ผลการวิจัยไปพฒั นาตอ่ ใน 1. เพื่อพัฒนาสมรรถนะด้านการชว่ ยฟ้นื พน้ื ทกี่ ารศกึ ษาภาคเหนอื โดยทุนวจิ ัย สถาบนั การ คนื ชพี แก่นักเรยี นมธั ยม แพทยฉ์ กุ เฉนิ และ ตอ่ ยอดพฒั นาเปน็ หลกั สตู รและ การสอนในนกั เรยี นมธั ยมในงานวจิ ยั ระดบั ปรญิ ญา 2. เพอ่ื พัฒนา ผ้อู าจชว่ ยได้ (bystander โท คณะพยาบาลม.ขอนแกน่ และในปลายป2ี 558 CPR) ในชุมชน ทางคณาจารย์ของสาขาฯได้จัดบริการวิชาการ โดยอบรมลักษณะเดียวกันในกลุ่มอาสาสมัคร 3. กระบวนการด�ำ เนินงาน สาธารณสขุ หมู่บา้ น(อสม.) ในเขตพนื้ ทร่ี บั ผิดชอบ เน่ืองจากผู้อาจช่วยได้เป็นตัวแปรสำ�คัญ ของโรงพยาบาลสุทธาเวช พบว่า อสม.สว่ นใหญ่มี ในการช่วยฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐานและเพ่ิมอัตรา ความรเู้ รอื่ งอนามยั สงิ่ แวดลอ้ มเปน็ อยา่ งดี แตข่ าด รอดชีวิตถึง 4 เท่าในกลุ่มหัวใจหยุดเต้นนอกโรง ความรเู้ รอื่ งระบบการบรกิ ารการแพทยฉ์ กุ เฉนิ การ พยาบาล คณาจารย์สาขาปฏิบัติการฉุกเฉินการ ปฐมพยาบาลและการชว่ ยฟน้ื คนื ชพี ขนั้ พน้ื ฐาน จงึ แพทย์และนิสิตประจำ�สาขาฯจึงมีการดำ�เนินการ ให้ความรู้ในสามส่วนน้ี โดยงบประมาณโครงการ โครงการพัฒนาสมรรถนะการช่วยฟื้นคืนชีพขั้น หนึง่ หลกั สตู รหน่ึงชมุ ชนในปี 2559 พื้นฐานในกลุ่มนักเรียนมัธยม มาตั้งแต่ปี 2558 โดยคณาจารย์เปน็ วิทยากรภาคทฤษฎี และนสิ ิตฯ นอกจากน้ี ในปี 2559 ยังคงมโี ครงการ เป็นวิทยากรกลุ่มในการสาธิตการช่วยฟื้นคืนชีพ บรกิ ารวชิ าการมงุ่ เปา้ เพอ่ื พฒั นาสมรรถนะการชว่ ย ขนั้ พน้ื ฐานและชว่ ยประเมนิ ทกั ษะการท�ำ ทถี่ กู ตอ้ ง ฟื้นคืนชีพนี้ในกลุ่มนิสิตมหาวิทยาลัย จำ�นวน 4 ท้ังน้ีในปี 2558 ได้รับทุนโครงการหน่ึงหลักสูตร สาขา จากสายวทิ ยาศาสตรส์ ขุ ภาพ ม.มหาสารคาม หนึ่งชุมชน ในการอบรมพัฒนาสมรรถนะฯใน ดว้ ยงบบรกิ ารวชิ าการมงุ่ เปา้ ปงี บประมาณ 2559 กลุ่มนักเรียนมัธยมในโรงเรียน ซึ่งเป็นตัวแทน โดยวิทยากรกลุ่มเดิม คือทั้งคณาจารย์และนิสิต จาก 5 โรงเรียนในแต่ละอำ�เภอๆ ละ 5 คนจาก สาขาปฏบิ ัตกิ ารฉุกเฉนิ การแพทย์ โดยมีสิง่ ทแี่ ตก 4 อำ�เภอในจังหวัดมหาสารคาม ได้แก่ อ.เมือง ต่างคือ กลุ่มเป้าหมาย และแนวทางวิเคราะห์ อ.โกสุมพิสัย อ.บรบือ อ.กันทรวิชัย แต่เนื่องจาก ผล โดยใช้นัยสำ�คัญทางสถิติซึ่งพบว่า นิสิตสาขา ปัญหาที่พบในงานบริการวิชาการคร้ังนี้ คือ การ วิทยาศาสตร์การกีฬาได้เคยรับประสบการณ์การ ตดิ ตามประเมนิ ประสบการณท์ ไี่ ดร้ บั เปน็ ไปไดย้ าก เรียนมาก่อน แต่หลังจากอบรมในครั้งนี้ทำ�ให้ เพราะตัวแทนมาจากแตล่ ะโรงเรียนมีเพยี ง 5 คน ม่ันใจมากข้ึนในทักษะการปฏิบัติการเน่ืองจาก อย่างไรก็ตามจากผลการบริการวิชาการคร้ังน้ัน มีการสาธิตและสาธิตย้อนกลับด้วย นิสิตสาขา พบว่าเพม่ิ จ�ำ นวนผอู้ าจชว่ ยไดป้ ระมาณ 150 คน แพทยศาสตร์ แพทยแ์ ผนไทยประยกุ ต์ และปฏบิ ตั ิ โดยมีความรู้เพ่ิมข้ึน และสามารถทำ�ทักษะการ การฉกุ เฉนิ การแพทยช์ น้ั ปที ี่ 1 ภายหลงั อบรม พบ ช่วยฟ้ืนคืนชีพข้ันพื้นฐานหลังการทดสอบ และ วา่ มคี วามรเู้ พม่ิ ขน้ึ ผา่ นเกณฑอ์ ยา่ งมนี ยั ส�ำ คญั ทาง สาธิตให้เป็นตัวอย่างได้ ร้อยละ 100 ภายหลัง สถติ ิ และสามารถปฏิบัติการชว่ ยฟนื้ คืนชพี ได้เกิน การส่งเล่มรายงาน ได้นำ�เสนอผลงานวิชาการใน ร้อยละ 60 คิดเปน็ รอ้ ยละ 100 งานประชมุ วชิ าการสถาบนั การแพทยฉ์ กุ เฉนิ ม.แม่ ฟ้าหลวง และ งานสัมมนาวิชาการเพ่ือสุขภาพ ต่อมาในปี 2560 ได้จัดบริการวิชาการ ชมุ ชนทสี่ งิ คโปร์ พบวา่ ในหลายประเทศทเี่ จรญิ แลว้ อกี ครงั้ โดยการพฒั นาสมรรถนะการชว่ ยฟน้ื คนื ชพี แม้สิงคโปร์ ยังไม่มีการอบรมพัฒนาสมรรถนะใน
เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงานการประชุมวิชาการ มหาวิทยาลัยมหาสารคามวิจัย ครั้งที่ ๑๓ : สาขาบริการวิชาการ 41 ขั้นพื้นฐานในกลุ่มนักเรียนมัธยมที่ต่างอำ�เภอจาก ระดบั ต�่ำ กวา่ ได้ นอกจากนยี้ งั บรู ณาการกบั รายวชิ า กลุ่มปี 2558 คือ อ�ำ เภอนาดูน อ�ำ เภอแกด�ำ และ หนง่ึ หลกั สตู ร หนงึ่ ชมุ ชน ยงั ไดน้ �ำ นสิ ติ จ�ำ นวน 89 อ�ำ เภอเมอื ง โดยกล่มุ เปา้ หมายเปลีย่ นจากเดิมคอื คน ลงชุมชนเพ่อื เรียนรชู้ มุ ชน และบรกิ ารวชิ าการ เปน็ นกั เรยี นกลมุ่ ใหญ่ 100-150 คน จากโรงเรยี น ดงั กล่าวไปพร้อมกนั เดียวกัน เพ่ือลดปัญหาการเดินทางจากแต่ละ โรงเรียน และเพื่อเพมิ่ จำ�นวนผ้อู าจช่วยได้ในกลมุ่ 4.2 บรู ณาการกบั การวจิ ยั ในปี 2560 ได้ พืน้ ทเี่ ดียวกัน นอกจากนย้ี ังบูรณาการร่วมกบั งาน บูรณาการกบั งานวจิ ัย 2 งาน คือ 1. เปรียบเทียบ วิจัยซึ่งเป็นงบประมาณปี 2560 เร่ือง “เปรียบ ผลการอบรมการช่วยฟื้นคืนชีพข้ันพ้ืนฐานโดยใช้ เทียบผลการอบรมการช่วยฟ้ืนคืนชีพขั้นพื้นฐาน วดิ โิ อแสดงการชว่ ยฟน้ื คนื ชพี ขน้ั พนื้ ฐานและอบรม โดยใชว้ ดิ โิ อแสดงการชว่ ยฟนื้ คนื ชพี ขนั้ พนื้ ฐานและ แบบด้ังเดิม เพ่ือทราบประสิทธิผลของแนวทาง อบรมแบบดั้งเดิม” สืบเนื่องจากการเพ่ิมจำ�นวน การอบรมโดยใช้วิดีโอเปรียบเทียบกับแบบดั้งเดิม ผู้อาจช่วยได้ในชุมชนเป็นภารกิจเร่งรัด เพื่อลด ซ่ึงใช้งบประมาณและเวลามากกว่า และ2. การ อตั ราตายนอกโรงพยาบาลได้ ดงั นน้ั จะท�ำ อยา่ งไร ประเมินความถูกต้องในการช่วยฟื้นคืนชีพขั้นพ้ืน ให้สามารถใช้วิดีโอมาช่วยในการเพ่ิมจำ�นวนผู้ ฐานในประชาชนท่ัวไป ตามคำ�แนะนำ�ของผู้จ่าย อาจช่วยได้ ดังนั้นงานวิจัยน้ี เพ่ือต้องการทราบ งานปฏบิ ตั กิ ารฉกุ เฉนิ (EMD)ทางโทรศพั ท์ ส�ำ หรบั ประสิทธิผลของการอบรมแบบวิดีโอซึ่งต้นทุนตำ่� ผปู้ ว่ ยทมี่ ภี าวะหวั ใจหยดุ เตน้ นอกโรงพยาบาล เพอื่ กว่า และใช้เวลาน้อยกว่าแนวทางการอบรมแบบ ประเมินความรู้และทักษะการช่วยฟ้ืนคืนชีพของ ดั้งเดิม ซึ่งจากผลการวิจัยครั้งน้ี ทำ�ให้ทราบว่า ประชาชนท่ีเป็นผู้อาจช่วยได้ในขณะรับโทรศัพท์ ภายหลงั การอบรมทง้ั สองกจิ กรรม มผี ลเพม่ิ ระดบั ว่าสามารถปฏิบัติการได้ถูกต้องมากน้อยเพียงใด ความรเู้ รอื่ งการชว่ ยฟนื้ คนื ชพี ขนั้ พน้ื ฐานอยา่ งมนี ยั และควรปรับปรุงแนวทางการให้คำ�แนะนำ�ทาง สำ�คัญ แต่การใช้วิดีโอเพียงอย่างเดียวไม่สามารถ โทรศพั ท์อย่างไร ช่วยให้มีทักษะการช่วยฟ้ืนคืนชีพขั้นพ้ืนฐานอย่าง มีประสิทธิผล จึงยังคงมีความจำ�เป็นอย่างย่ิงท่ี 4.3 บูรณาการกับการทำ�นุบำ�รุงศิลป ต้องมีการสาธิตและสาธิตย้อนกลับภายหลังการ วัฒนธรรม เน่ืองจากในการนำ�นิสิตจำ�นวน 89 ให้ความรู้ เพ่ือให้อาสาสมัครสามารถปฏิบัติการ คน ลงพน้ื ท่ี ในรายวิชาหน่งึ หลักสตู ร หน่ึงชุมชน ชว่ ยฟน้ื คนื ชีพขนั้ พ้นื ฐานไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง โดยมีกิจกรรมการลงพ้ืนท่ีเพ่ือสำ�รวจชุมชนและ สอบถามความเชื่อเรื่องการเรียกขวัญ ในกรณีที่ 4. การบูรณาการกับภารกิจด้านอื่นๆ เกิดอุบัติเหตุรุนแรงแก่คนในครอบครัว ว่ามีผล ตอ่ ความเชือ่ และคุณภาพชวี ิตอยา่ งไร จากผลการ 4.1 บูรณาการกับการเรียนการสอน ศึกษาตรงนี้ พบว่ามีผลต่อระดับคุณภาพชวี ติ มาก โดยบูรณาการกับรายวิชา Basic life support ขึ้นอย่างมีนัยสำ�คญั ทางสถิติ (1504304) เน่ืองจากตามสมรรถนะวิชาชีพ ภายใต้ พรบ.การแพทย์ฉุกเฉินแลว้ นิสติ ทีจ่ บการ 5. ผลลัพธ์จากการดำ�เนินการโครงการ ศกึ ษาเรยี กวา่ นกั ปฏบิ ตั กิ ารฉกุ เฉนิ การแพทยต์ อ้ งมี สมรรถนะในการชว่ ยฟน้ื คืนชพี ขน้ั พืน้ ฐานได้ และ 5.1 ขอ้ ค้นพบตามวตั ถปุ ระสงค์ คอื ตอ้ งสามารถนเิ ทศและใหค้ วามรผู้ ชู้ ว่ ยเวชกรรมใน - เพิ่มจำ�นวนนักเรียนท่ีมีการพัฒนา สมรรถนะการช่วยฟื้นคนื ชีพขนั้ พน้ื ฐาน 390 คน
42 เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงานการประชุมวิชาการ มหาวิทยาลัยมหาสารคามวิจัย ครั้งที่ ๑๓ : สาขาบริการวิชาการ - เพม่ิ จ�ำ นวนผอู้ าจชว่ ยไดท้ ผี่ า่ นการอบรม หน่วยบริการสาธารสุข เนื่องจากเข้าใจระบบ มากขึ้น บริการและการดูแลผปู้ ว่ ยฉุกเฉนิ มากข้ึน 5 . 2 ข้ อ ค้ น พ บ อื่ น ๆ ที่ น อ ก เ ห นื อ 6. บทสรปุ (กระบวนการหรอื องคค์ วามรใู้ หม่ วตั ถปุ ระสงค์ (impact) ในแตล่ ะระดบั เช่นระดบั ที่ควรพัฒนา หรือต่อยอดเพื่อให้เกิดความ กลุ่มเป้าหมายตามโครงการ กลุ่มองคก์ รในชุมชน ยั่งยืนในชุมชน) ระดบั กลุ่มเปา้ หมาย จากผลของการบริการวิชาการ - ได้เพิ่มเครือข่ายผู้ใช้บริการในระบบ เพื่อพัฒนาชุมชนให้มีสมรรถนะในการช่วยฟื้น บรกิ ารการแพทย์ฉุกเฉนิ ในการ รับรแู้ ละการเรียก คืนชีพข้ันพ้ืนฐาน เพิ่มจำ�นวนผู้อาจช่วยได้ที่มี ใชบ้ ริการฯไดอ้ ย่างถูกตอ้ ง ประสิทธิภาพในชุมชน ด้วยงบประมาณโครงการ ระดบั ชมุ ชน หนึ่งหลักสูตรหนึ่งชุมชน โครงการบริการมุ่งเป้า - เกิดการพัฒนาชุมชนท่ีเข้มแข็งขึ้น ของมหาวิทยาลัยมหาสารคามและงบฯโครงการ เนื่องจากมีสมาชิกชุมชนท่ีเป็นนักเรียนท่ีเป็นผู้ วจิ ยั ของคณะแพทยศาสตร์ มขี อ้ เสนอแนะว่า เพื่อ อาจช่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพมากข้ึน หากเกิด ความยง่ั ยนื ในการเพม่ิ จ�ำ นวนผอู้ าจชว่ ยไดใ้ นชมุ ชน เหตุหัวใจหยุดเต้นในท่ีสาธารณะ น่าจะมีความ ควรมกี ารพัฒนาครกู . ประจำ�ทกุ โรงเรยี น โดยควร มั่นใจและสามารถช่วยได้ในขณะรอติดต่อหน่วย เปน็ ครผู รู้ บั ผดิ ชอบหอ้ งปฐมพยาบาล เพอื่ สามารถ บริการการแพทย์ฉุกเฉิน กอ่ นไปถงึ จดั การเรยี นการสอนในรายวชิ าสขุ ศกึ ษา เรอื่ งการ - การลงชมุ ชน เปน็ การเขา้ ถงึ ลกู คา้ ทอ่ี าจ ชว่ ยฟน้ื คนื ชพี ขนั้ พน้ื ฐานได้ อยา่ งไรกต็ าม หากยงั จะเป็นนิสิตมหาวิทยาลัยมหาสารคามในอนาคต ไม่สามารถผลิตครูก.ได้อย่างครอบคลุมทุกพ้ืนท่ี เนื่องจาก เกิดการประชาสัมพันธ์หลักสูตรและ โรงเรยี น ควรใช้วดิ โี อสอนการช่วยฟ้ืนคนื ชพี เพ่ือ มหาวิทยาลยั ในขณะเดยี วกนั พัฒนาความรู้แก่นักเรียน ในประเด็นท่ีเกี่ยวข้อง - กลุ่มนิสิตท่ีลงชุมชน เกิดความเข้าใจ แลว้ ควรเพม่ิ การสาธติ ทกั ษะการชว่ ยฟน้ื คนื ชพี ขนั้ วฒั นธรรมของคนในชมุ ชนมากขนึ้ ในขณะเดยี วกนั พน้ื ฐาน และจดั ใหม้ กี ารสาธติ ยอ้ นกลบั เพอ่ื ใหเ้ กดิ ได้ฝึกการทำ�งานในชุมชน การใช้คำ�พูดและการ ความม่ันใจและสามารถปฏิบัติทักษะการช่วยฟ้ืน ปรบั ตัวกบั ส่ิงแวดลอ้ ม คนื ชีพไดอ้ ย่างถกู ต้อง ในขณะเดยี วกัน 5.3 การขยายผลไปยังหน่วยงานอื่นท่ี เกยี่ วข้อง กจิ กรรมบรกิ ารวชิ าการน้ี ถอื เปน็ กจิ กรรม ท่ีช่วยในการลดความรุนแรงการบาดเจ็บ กล่าว คือหากเกิดการเจ็บป่วยรุนแรงจนเกิดภาวะหยุด เต้น ยังมีผู้อาจช่วยได้ในชุมชนที่สามารถให้การ ชว่ ยเหลอื ไดก้ อ่ นทท่ี มี บรกิ ารสขุ ภาพจะมาถงึ ชว่ ย ลดอัตราการเสียชีวิต อัตราการพิการ ลดโอกาส การฟ้องร้องต่อระบบสาธารณสุขจากระยะเวลา รอคอย เกิดสัมพันธภาพที่ดีของคนในชุมชนและ
เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงานการประชุมวิชาการ มหาวิทยาลัยมหาสารคามวิจัย ครั้งที่ ๑๓ : สาขาบริการวิชาการ 43 7. บรรณานุกรม นนั ทวรรณ ทพิ ยเนตร.2559. การพัฒนาสมรรถนะอาสาสมัครสาธารณสุขนกั เรยี นมัธยม (อสนม.) ใน การชว่ ยฟน้ื คืนชีพข้นั พ้ืนฐานในกลุ่มนกั เรยี นมัธยมศกึ ษา จงั หวดั มหาสารคาม.การประชุม วิชาการระดับชาติ ฉลองครบรอบทศวรรษสำ�นักวิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพ ประจำ�ปี 2559 มหาวิทยาลยั แมฟ่ า้ หลวงเชียงราย, 30-38. Bobrow BJ., Spaite, D. W., Berg, R. A.2010. Chest compression-only CPR by lay rescu- ers and survival from out-of-hospital cardiac arrest. JAMA, 304 (13). 1447-54. Mozaffarian D, Benjamin EJ, Go AS, et al. 2015. Heart disease and stroke statistics 2015 update : a report from the American Heart Association. Circulation.131:e29-322. Sasson C, Rogers MA,Dahl J,et al. 2010. Predictors of survival from out of hospital car- diac arrest : a systematic review and meta – analysis. Circ Cardiovasc Quality outcomes. 3:63-81.
การเพมิ่ ศกั ยภาพการจดั การขยะของชมุ ชนโดยรอบและโรงเรยี นขยายโอกาส ทางการศกึ ษา:โรงเรยี นบา้ นหนองเมก็ ต.หนองเมก็ อ.นาเชอื ก จ.มหาสารคาม นิพนธ์ ตันไพบลู ยก์ ลุ 1. ความเป็นมาของปัญหา ตามท่มี หาวทิ ยาลยั มหาสารคามได้สนบั สนนุ งานบริการวิชาการ 1 หลักสูตร 1 ชมุ ชน ประจ�ำ ปีงบประมาณ 2559 นน้ั หลักสูตร วท.บ.เทคโนโนโลยีสิง่ แวดล้อม และ วท.ม.เทคโนโลยีส่ิงแวดลอ้ ม คณะสง่ิ แวดลอ้ มและทรพั ยากรศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม มคี วามคาดหวงั ทจี่ ะเปน็ สว่ นหนงึ่ ใน การรว่ มพัฒนาและสง่ เสรมิ ให้ประชาชนเหน็ คณุ คา่ และรว่ มกนั อนรุ ักษส์ ่ิงแวดลอ้ มและมีความคาดหวงั ท่ี จะท�ำ ประโยชนแ์ กส่ งั คมผา่ นการบรู ณาการงานดา้ นบรกิ ารวชิ าการ การเรยี นการสอน และสรา้ งจติ สำ�นกึ ใหแ้ กบ่ คุ ลากร นสิ ติ และชมุ ชนทเี่ กย่ี วขอ้ ง ไดต้ ระหนกั ถงึ ความส�ำ คญั ของการอนรุ กั ษท์ รพั ยากรธรรมชาติ และสง่ิ แวดลอ้ ม ดงั นนั้ หลกั สตู รจงึ มคี วามประสงคส์ ง่ ขอ้ เสนอเพอื่ จดั ท�ำ โครงการ “การเพม่ิ ศกั ยภาพการ จัดการขยะของชุมชนโดยรอบโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา: โรงเรียนบ้านหนองเม็ก ต.หนองเม็ก อ.นาเชอื ก จ.มหาสารคาม” เพอ่ื น�ำ ทนุ สนบั สนนุ ดงั กลา่ วมาพฒั นาศกั ยภาพใหก้ บั โรงเรยี นและชมุ ชนใกล้ โรงเรยี นไดต้ ระหนกั ถงึ วกิ ฤตปิ ญั หาทางดา้ นสงิ่ แวดลอ้ มทใ่ี กลต้ วั โดยขอ้ เสนอโครงการดงั กลา่ วมหี ลกั การ และเหตุผลทสี่ �ำ คญั ดงั นี้ เน่ืองจากหัวหน้าโครงการฯ ได้มีโอกาสพบกลุ่มอาจารย์โรงเรียนบ้านหนองเม็ก ต.หนองเม็ก อ.นาเชอื ก จ. มหาสารคาม ซงึ่ เปน็ โรงเรยี นขยายโอกาสระดบั ประถมศกึ ษา มนี กั เรยี นรวมทง้ั หมด 50 คน โดยประมาณ รับทราบข้อมลู วา่ โรงเรยี นดงั กล่าวมีความประสงคต์ อ้ งการท�ำ กิจกรรมให้กบั กล่มุ นักเรยี น ภายในโรงเรยี นโดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ กจิ กรรมธนาคารขยะ เนอื่ งจากขยะสว่ นใหญเ่ ปน็ ขยะจ�ำ พวกพลาสตกิ และหากมโี ครงการดงั กลา่ วเกดิ ขน้ึ จรงิ จะชว่ ยใหน้ กั เรยี นไดม้ โี อกาสน�ำ ขยะมาแลกเปน็ จ�ำ นวนเงนิ ได้ พรอ้ ม กับเป็นการสร้างจิตสำ�นึกที่ให้แก่เด็กในชุมชนต่ออย่างยั่งยืน จากเหตุผลดังกล่าวเพ่ือเป็นการขยายองค์ ความรู้ใหแ้ ก่ชุมชน ทำ�ให้หัวหน้าโครงการมแี นวคิดใหเ้ กดิ กิจกรรมร่วมกนั ทงั้ นักเรียนและผปู้ กครองด้วย ซึ่งผู้ปกครองนักเรียนจะมีความหลากหลายของระดับอายุจะทำ�ให้กลุ่มเป้าหมายทั้งสองได้ตะหนักและ เห็นคุณค่าของการจัดการขยะภายในครัวเรืยนหรือชุมชนและเกิดความต่อเนื่องได้ โดยกิจกรรมที่คาด หวังให้เกิดขึ้นกับกลุ่มผู้ปกครองคือกิจกรรมการคัดแยกขยะอย่างถูกต้องและสอนวิธีการแปรรูปขยะ เพื่อนำ�ไปใชป้ ระโยชนใ์ นรปู แบบต่างๆ โดยชาวบา้ นในพน้ื ทม่ี คี วามต้องการความรู้เพือ่ นำ�ไปประยกุ ต์ให้ สอดคล้องกับนโยบายการจัดการขยะในชุมชน เช่น การจัดการขยะชุมชนอย่างถูกวิธีและความรู้ในการ คัดแยกขยะอันตรายเพ่ือนำ�ไปกำ�จัดได้อย่างถูกต้องต่อไป ทั้งนี้รูปแบบการจัดกิจกรรมท้ังหมดน้ัน ทั้ง หลักสูตร วท.บ.เทคโนโลยสี ่ิงแวดล้อม และ วท.ม. เทคโนโลยสี ่ิงแวดล้อม มคี วามเชี่ยวชาญเปน็ อย่างมาก ประกอบกบั ความคาดหวงั เมอื่ จดั กจิ กรรมนแี้ ลว้ ผลลพั ทท์ ไี่ ดส้ ามารถจดั ท�ำ เปน็ รปู แบบการฝกึ อบรมทนี่ �ำ
46 เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงานการประชุมวิชาการ มหาวิทยาลัยมหาสารคามวิจัย ครั้งที่ ๑๓ : สาขาบริการวิชาการ ไปใช้ถ่ายทอดสู่แหล่งชุมชนอื่นๆ ท่ีมีความสนใจ 3. กระบวนการดำ�เนินการ ไดเ้ ปน็ อย่างดี 3.1 ขั้นเตรยี มการ ดังน้ัน หลักสูตร วท.บ เทคโนโลยีส่ิง 1) คณะผดู้ ำ�เนินโครงการฯ ประชมุ แวดล้อม และหลักสูตร วท.ม. เทคโนโลยีสิ่ง วางแผนการด�ำ เนนิ งานและแตง่ ตงั้ คณะท�ำ งาน แวดล้อม ท่ีมีความเช่ียวชาญและมีผลงานใน 2) ติดต่อประสานงานกับพื้นท่ีโครง โครงการ 1 หลักสตู ร 1 ชมุ ชน มาอยา่ งตอ่ เนอื่ ง การฯ เบ้ืองต้น โดยเขา้ พน้ื ทเี่ พ่ือหารอื แนวทางกบั ในประเดน็ สง่ิ แวดลอ้ มตา่ งๆ อกี ทงั้ มอี งคค์ วามรทู้ ่ี พน้ื ทเ่ี ป้าหมาย พร้อมท่ีจะนำ�ไปเสริมสร้างศักยภาพดังกล่าวร่วม 3) ประชุมคณะกรรมการดำ�เนนิ งาน กับนิสิตในหลักสูตรทุกคนท่ีได้รับการฝึกฝนจาก และกำ�หนดกจิ กรรมของโครงการฯ รายวชิ าทลี่ งเรยี นและปฏบิ ตั กิ ารทไี่ ดล้ งมอื ทำ�รวม 4) ประชุมวางแผนการดำ�เนินกับ ถึงการไปศึกษาดูงานนอกสถานที่เป็นประจำ�อยู่ นิสติ หลกั สตู ร วท.บ. เทคโนโลยสี ง่ิ แวดล้อม และ แล้วหลักสูตรฯจึงมีความประสงค์ส่งข้อเสนอเพ่ือ หลกั สตู ร วท.ม.เทคโนโลยีสงิ่ แวดล้อม ขอรับทุนจากโครงการฯนี้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อ การวางแผนเพอื่ จดั กจิ กรรม เรม่ิ จากการ ชุมชนโดยเฉพาะกลุ่มนักเรียนและผู้ปกครองจะ ประประชมุ วางแผนงานและแบง่ สว่ นงานรบั ผดิ ตอ่ เกิดความตะหนักต่อการจัดการขยะภายในครัว คณะทำ�งานเพื่อนำ�ไปสู้การแบ่งส่วนงานกับนิสิต เรือนได้เป็นอย่างดีและจุดเด่นของโครงการน้ีคือ ในขณะเดียวกันคณะทำ�งานได้ลงพื้นท่ีเป้าหมาย การสรา้ งความรกั และสามคั คภี ายในครอบครวั ตอ่ เพื่อนำ�เสนอข้อมูลและรับข้อมูลย้อนกลับเพ่ือนำ� การจดั การสงิ่ แวดลอ้ มและกอ่ ใหเ้ กดิ วฒั นธรรมทดี่ ี ไปสู่การวางแผนการทำ�งานในวนั ที่ 13 มถิ ยุ ายน ในการจดั การขยะต่อไปอกี ดว้ ย 2560 ต่อไป 3.2 ข้นั ดำ�เนินการ 2. วัตถุประสงค์โครงการ การลงพน้ื ทเี่ ปา้ หมาย กิจกรรมท่ี 1 การทำ�โครงการธนาคาร 2.1 เพือ่ ศกึ ษาปญั หาและบริบทของ ขยะ กบั กลมุ่ นกั เรยี นโรงเรยี นบา้ นหนองเมก็ ระยะ ชมุ ชนในพน้ื ทเ่ี ปา้ หมาย ทีเ่ กีย่ วข้องกบั การจดั การ เวลา 3 ชม ขยะมูลฝอย กิจกรรมละลายพฤติกรรม โดยนิสิตใน หลกั สตู ร วท.บ.เทคโนโลยีสงิ่ แวดลอ้ ม 2.2 เพื่อจัดกิจกรรมในการส่งเสริม การจัดกิจกรรมธนาคารขยะ โดย ให้ชุมชนเป้าหมายได้รับความร้คู วามเขา้ ใจ โดยใช้ ดร.วิจิตรา สิงห์หิรัญนุสรณ์ และนิสิตฯ โดยมีรูป องค์ความร้ขู องหลกั สูตรทมี่ ีได้อย่างถูกตอ้ ง แบบการแสดงละครสั้น การจัดทำ�คู่มือเกี่ยวกับ ธนาคารขยะ การจัดกิจกรรมจำ�ลองและการมี 2.3 เพ่ือเสริมสร้างความตะหนักใน ส่วนร่วมของเด็กนักเรียน การฝึกให้เด็กคัดแยก การรกั ษาสง่ิ แวดลอ้ มใหแ้ กช่ มุ ชนในพนื้ ทเ่ี ปา้ หมาย ขยะโดยนสิ ติ ฯ
เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงานการประชุมวิชาการ มหาวิทยาลัยมหาสารคามวิจัย ครั้งที่ ๑๓ : สาขาบริการวิชาการ 47 กิจกรรมที 2 การท�ำ กจิ กรรม การจัดการ วันท่ี 13 มิถุนายน 2560 มีการจัดกลุ่มนักเรีย ขยะในครัวเรือนให้กับกลุ่มผู้ปกครอง ระยะเวลา แยกออกไปทำ�กิจกรรมธนาคารขยะ ณ อากคาร 3 ชม หอประชมุ ของโรงเรียน เปน็ ระยะเวลา 3 ชวั่ โมง ซง่ึ กระบวนการนเี้ กดิ ความรว่ มมอื กนั ของนกั เรยี น ให้ความรู้เก่ียวกับการจัดการขยะใน นิสิตและผู้ปกครองที่ได้มาชมกระบวนการจัด ครัวเรอื น กิจกรรมได้เปน็ อยา่ งดี กิจกรรมละลายพฤติกรรม โดยนิสิตใน หลงั จากแยกนกั เรยี นเพอื่ จดั กจิ กรรมและ หลักสตู ร วท.บ.เทคโนโลยีส่ิงแวดลอ้ ม ผู้ปกครองนักเรียนท่ีได้เชิญเข้ามาร่วมได้ถูกแบ่ง ออกเป็น 4 กลุ่ม เพื่อเข้าร่วมกิจกรรมในแต่ละ แบ่งกจิ กรรมเป็นฐานทั้งหมดเปน็ 4 ฐาน ฐานท้ังหมด 4 ฐาน โดยมชี าวบ้านอยใู่ นกลุ่มกลุ ได้แก่ มละประมา 15-20 คนโดยประมาณ ในแตล่ ะฐาน มีการจัดกิจกรรมใช้เวลา 30 นาทีโดยประมาณ 3.1 ฐานมูลไส้เดือน ก่อนเปล่ียนฐานจนครบถ้วน ซึ่งกิจกรรมน้ีนิสิต โดย ผ้ชู ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.ปานใจ ส่ือ ประจำ�กลุ่มเป็นผู้ดำ�เนินกิจกรรมและให้ชาวบ้าน ประเสรฐิ สิทธ์ิ และคณะฯ เข้าร่วมเล่นเกมส์ ฟังบรรยายและทดลองการทำ� ฐานน้ำ�หมักชีวภาพ โดย อาจารย์กนก ด้วยตนเอง และในตอนท้ายจะมีบทสรุปการทำ� วรรณ ศกุ รนันทน์ และคณะฯ กจิ กรรมจากอาจารยผื รู้ บั ผดิ ชอบประจำ�กลมุ่ เพอื่ ฐานปุ๋ยหมัก โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ให้ข้อมูลทถี่ ูกต้องต่อไป ดร.อภิพงษ์ พุฒค�ำ และคณะฯ ฐานขยะอนั ตราย โดย ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ 3.3 ขั้นตดิ ตามและสรุปผล ดร.นพิ นธ์ ตนั ไพบูลย์กลุ และคณะฯ ส รุ ป ผ ล ท่ี ไ ด้ จ า ก โ ค ร ง ก า ร โ ด ย ใ ช้ ทุกฐานจะมีกิจกรรมจากนิสิตและมีการ แบบสอบถาม ซ่ึงมีท้ังส่วนก่อนและหลังดำ�เนิน ฝึกให้ผู้ร่วมอบรมได้ทำ�และได้ซักถามถึงวิธีการ กิจกรรม เพ่ือนำ�ข้อมมูลไปใช้รายงานผล โดยมี ท�ำ เพอ่ื น�ำ ไปใชต้ อ่ ไป ในระหวา่ งจดั ท�ำ กจิ กรรมนนั้ กลุ่มเป้าหมายในการประเมินได้แก่ นิสิต ชุมชน จะมกี ารด�ำ เนนิ งานใหค้ วามรจู้ ากคณาจารยน์ หลกั ซึ่งประกอบไปด้วยผู้ปกครองและนักเรียน ผู้จัด สูตรฯ แก่ผู้เข้าร่วมอบรม ประกอบไปด้วยข้อมูล โครงการ เพอื่ น�ำ ขอ้ มลู ทไี่ ดไ้ ปปรบั ปรงุ แกไ้ ขปญั หา เชงิ วิชาการ และการสนั ทนาการ รวมถงึ กิจกรรม ที่เกิดขึ้นเพื่อให้เกิดความสำ�เร็จเพิ่มมากขึ้นเพ่ือ ทีส่ ง่ เสรมิ ให้เกดิ ความสามัคคกี นั ระหว่างเด็กและ นำ�ไปใช้ต่อไปในปีต่อไป นอกจากนี้มีการติดตาม ผู้สงู วยั ด้วย การนำ�องค์ความรู้ไปถ่ายทอดต่อเนื่องจากผู้ร่วม จากการวางแผนและเข้าสู่กระบวนการ โครงการ และสรุปผลจัดทำ�เล่มรายงานโครงการ ดำ�เนินงาน ผู้รับผิดชอบในส่วนงานต่างๆได้จัด และจากข้อมูลในการจัดกิจกรรมนั้นพบว่า มีชาว ประชุมร่วมกับนิสิตในหลักสูตร กำ�หนดกิจกรรม บ้านมีความสนใจกิจกรรมการทำ�ปุ๋ยมูลไส้เดือน เป้าหมาย และข้อมูลท่ีต้องการเก็บรวบรวมเพื่อ เป็นพิเศษเนื่องจากสามารถเพ่ิมรายได้ของครัว นำ�ไปใช้ในการสรุปโครงการ การวางแผนใช้งบ เรือนได้ ประมาณของแตล่ ะกิจกรรม เพื่อความสอดคลอ้ ง กับงบประมาณที่มี จากน้ันเม่ือเข้าสู่การลงพ้ืนท่ี
48 เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงานการประชุมวิชาการ มหาวิทยาลัยมหาสารคามวิจัย ครั้งที่ ๑๓ : สาขาบริการวิชาการ 4. การบูรณาการกับภารกิจหลักด้านอื่นๆ 5. ผลลัพธ์จากการดำ�เนินงานโครงการ 4.1 บูรณาการกับการเรียนการสอน 5.1 ขอ้ ค้นพบตามวัตถุประสงค์ ได้แกร่ ายวิชา 1705361 เทคโนโลยกี ารจดั การ บรบิ ทของชุมชน นกั เรียนและผ้ปู กครอง ขยะมลู ฝอยแบบบรู ณาการ 1705463 เทคโนโลยี โรงเรียนบา้ นหนองเม็ก มคี วามต้องการองค์ความ การแปรรปู และการใชป้ ระโยชน์ และ 1705161 รู้ในด้านการจัดการขยะมูลฝอยชุมชน โดยออก เทคโนโลยีสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น โดยเป็นรายวิชา มาในรูปแบบกิจกรรมธนาคารขยะแก่นักเรียนใน ที่มีบทปฏิบัติการที่เก่ียวข้องและนิสิตสามารถนำ� โรงเรียนและกิจกรรมการใช้ประโยชน์จากขยะ ทักษะท่ีได้จากบทปฏิบัติการไปใช้ในกิจกรรมการ มูลฝอยได้แก่ การทำ�ปุ๋ยมูลไส้เดือนดิน การทำ� ทำ�ปุ๋ยหมัก การทำ�มูลไส้เดือน การคัดแยกขยะ ปุ๋ยหมัก การทำ�น้ำ�หมักชีวภาพและการจัดการ อันตรายและการทำ�น้ำ�หมักชีวภาพ ทำ�ให้นิสิตมี ขยะอันตรายในชมุ ชน นอกจากน้นี ิสิตในหลกั สูตร ทักษะและความชำ�นาญพร้อมที่นำ�มาถ่ายทอดสู่ สามารถนำ�องค์ความรู้ด้านการจัดขยะมูลฝอย กลุ่มเป้าหมาย ชุมชนมาถ่ายทอดได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม ตามหลักวิชาการ รวมถึงผู้ท่ีเข้าร่วมรับการอบรม 4.2 บูรณาการกบั การวจิ ยั มคี วามตระหนกั ต่อปญั หาขยะชมุ ชนไดม้ ากข้นึ ฐานการท�ำ ปยุ๋ จากมลู ไสเ้ ดอื นดนิ รปู แบบ 5.2 ข้อค้นพบอ่ืนๆ ที่นอกเหนือจาก กิจกรรมเป็นการนำ�องค์ความรู้ที่ได้จากงานวิจัย วัตถปุ ระสงค์ (Impact) ในแตล่ ะระดบั เช่น ระดบั ของวิทยากร ผศ.ดร.ปานใจ สอื่ ประเสรฐิ สิทธ์ิ มา กลมุ่ เปา้ หมายตามโครงการ กลมุ่ องคก์ รในชมุ ชน - เป็นส่วนหน่ึงของการให้ความรู้ โดยงานวิจัยนั้น 5.3 การขยายผลไปสู่หน่วยงานอ่ืนๆ เปน็ ผลมาจากการจดั ทำ�ปญั หาพิเศษ ของนิสติ ใน ทเี่ กี่ยวขอ้ ง หลกั สูตร วท.บ.เทคโนโลยสี ิง่ แวดลอ้ ม นอกจากนี้ จากที่มีการติดตามพบว่าส่ิงได้ได้เพิ่ม มกี ารเกบ็ ขอ้ มลู จากแบบสอบถามเพอ่ื น�ำ ไปใชเ้ ปน็ เติมหลังจากทำ�กิจกรรมแล้ว หลักสูตรการเล้ียง ข้อมลู เผยแพร่ด้วย ไส้เดือนเพ่ือทำ�ปุ๋ยมูลไส้เดือน แลการทำ�นำ้�หมัก 4.3 บูรณาการกับการทำ�นุบำ�รุงศิลป ชวี ภาพ ไดถ้ กู น�ำ ไปถา่ ยทอดออกไปแก้ อาสาสมคั ร วฒั นธรรม หมู่บ้าน โดยครูวภิ าดา วาปีสา ครูของโรงเรียนที่ การบูรณาการด้านการทำ�นุบำ�รุงศิลป เข้าร่วมโครงการฯได้รับเชิญเป็นวิทยากรบรรยาย วฒั นธรรมโดยกจิ กรรมดงั กลา่ วมสี ว่ นรว่ มระหวา่ ง เมอื่ วนั ที่ 13 กรกฎาคม 2560 ในโครงการ การขบั นักเรียนและผู้ปกครอง ทำ�ให้มีการเสริมสร้าง เคลือ่ นกระบวนการ PLC (Professional Learn- ความรกั ใครป่ รองดองในครอบครวั เปน็ การสร้าง ing Community) ชุมชนการเรยี นรูท้ างวชิ าชีพ สู่ กิจกรรมร่วมกันทำ�ให้เกิดความรักใคร่ความผูก สถานศึกษาท่ี อ นาเชือก จังหวัดมหาสารคาม พันธ์ต่อไปอนาคต โดยผู้ปกครองได้มีโอกาสเห็น และวนั ที่ 21 กรกฎาคม 2560 ออกบูทแสดงงาน บตุ รหลานรว่ มกิจกรรม ขณะเดยี วกันบตุ รหลานก็ เกษตรอินทรีย์ ณ บ้านเหล่าอีหมัน ต.หนองเม็ก ได้เห้นผปู้ กครองร่วมกิจกรรมเชน่ เดยี วกนั อ.นาเชอื ก จ.มหาสารคาม
โครงการ กลมุ่ องคก์ รในชุมชน - 5.3 การขยายผลไปสู่หนว่ ยงานอื่นๆ ท่เี กี่ยวขอ้ ง จากท่ีมีการติดตามพบว่าสิ่งได้ได้เพิ่มเติมหลังจากทากิจกรรมแล้ว หลักสูตรการเลี้ยงไส้เดือนเพื่อทาปุ๋ยมูล ไส้เดือน แลการทาน้าหมักชีวภาพ ได้ถูกนาไปถ่ายทอดออกไปแก้ อาสาสมัครหมู่บ้าน โดยครูวิภาดา วาปีสา ครูของ โรงเรียนที่เข้าเรอ่วกมสโาครปรรงกะกาอรบฯกไาดร้รนับำ�เเสชนิญอผเปล็นงาวนิทกยาราปกรระบชรุมรวยิชาากยารเมมื่อหวาันวทิทยี่ 1าล3ัยกมหรากสฎาราคคามมว2ิจ5ัย60ครใั้นงทโคี่ ๑ร๓งก:ารสากขาาบรรขิกับาเรควลิช่ือากนาร 49 กระบวนการ PLC (Professional Learning Community) ชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ สู่สถานศึกษาท่ี อ นาเชือก จังหวัดมหาสารคาม และวันที่ 21 กรกฎาคม 2560 ออกบูทแสดงงานเกษตรอินทรีย์ ณ บ้านเหล่าอีหมัน ต.หนองเม็ก 6. บทสรุปอ.นาเชือก จ.มหาสารคาม 6. บทสรุป (กระบวนการหรอื องค์ความร้ใู หม่ท่คี วรพฒั นาหรอื ต่อยอดเพื่อให้เกิดความย่ังยืนในชมุ ชน) องคอ์คงคว์คาวมามรรู้ท่ีไ่ีไดด้จ้จากาหกลหักสลูตักรสสาูตมรารสถานมาไาปรถถ่ายนทำ�อไดปสู่ชถุม่าชยนทกอ่ ใดหส้เกู่ชิดุมควชานมรู้ใกหม่อ่ภใาหย้เใกนชิดุมคชวนแาลมะรชู้ใุมหชนม่ภายใน ชุมชนและสชาุมาชรนถนสาาองมคา์ครวาถมนรู้ทำ�ี่ไอด้รงับคไป์คปวราับมใชร้หู้ทรือี่ไนดา้รไปับถไ่ายปทปอดรสับู่ผใู้ทช่ีส้หนใรจือผนู้นาำ�ชไุมปชถนอ่าื่นยๆทไอด้ตด่อสไปู่ผซู้ท่ึงเ่ีสปน็ กใาจรขยผาู้นยผำ�ลชอุมงคช์ นอื่นๆ ไดต้ อ่ ไป ซคง่ึ วเาปมร็นไู้ ดกอ้ ายรา่ งขกยว้าางยขวผาลงไอด้งคค์ วามรู้ได้อยา่ งกวา้ งขวางได้ 7. บรรณานุกรม (ถ้ามี) - ภาพที่ 1 พธิ เี ปดิ โครงการ ภาพท่ี 2 การทาน้าหมักชวี ภาพ ภาพที่ 3 การทาป๋ยุ หมกั ภาพท่ี 4 การคดั แยกขยะอนั ตราย ภาพที่ 5 การเล้ียงไสเ้ ดือน ภาพที่ 6 การถา่ ยทอดต่อยอดโครงการ ภาพท่ี 7 การต่อยอดการทาน้าหมักชีวภาพ ภาพที่ 8 การต่อยอดการเล้ยี งไสเ้ ดอื น
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176