ใบงานท่ี 3.2 โครงสร้างและหน้าทขี่ องเซลล์ คำชี้แจง ใหน้ ักเรียนบอกสว่ นประกอบของเซลล์ และบอกหน้าท่ขี องส่วนประกอบภายในเซลล์ เซลลส์ ตั ว์ เซลลพ์ ชื ส่วนประกอบของเซลล์ หน้าที่
ใบงานที่ 3.2 โครงสร้างและหนา้ ทขี่ องเซลล์ คำชีแ้ จง ให้นักเรียนบอกสว่ นประกอบของเซลล์ และบอกหน้าที่ของส่วนประกอบภายในเซลล์ นิวเคลยี ส เยื่อห้มุ เซลล์ ไซโทพลาซึม คลอโรพลาสต์ แวควิ โอล ผนังเซลล์ เซลลส์ ัตว์ เซลล์พืช สว่ นประกอบของเซลล์ หนา้ ที่ ผนังเซลล์ หอ่ หมุ้ เซลล์ ให้ความแขง็ แรงแกเ่ ซลล์ และช่วยให้เซลล์คงรูปอยู่ได้ เยือ่ หุ้มเซลล์ เย่อื บางๆ ท่ีห่อหมุ้ เซลล์ ถัดจากผนงั เซลล์ ไซโทพลาซมึ ประกอบด้วยสารเคมแี ละโครงสร้างต่างๆ ที่ทำหนา้ ทเี่ กี่ยวกับกจิ กรรม ภายในเซลล์ คลอโรพลาสต์ เกย่ี วขอ้ งกบั การสังเคราะหด์ ว้ ยแสง แวคิวโอล แหลง่ สะสมนำ้ และสารสีท่ีทำใหพ้ ืชมีสีสนั สวยงาม นิวเคลียส ศนู ยก์ ลางควบคมุ การทำงานของเซลล์ มบี ทบาทเกยี่ วกบั การแบ่งเซลล์
แผนการจัดการเรยี นรทู้ ่ี 20 เรื่อง การแพร่ รายวิชา วิทยาศาสตร์ รหสั วชิ า ว21101 เวลา 1 คาบ หน่วยการเรียนรทู้ ี่ 3 ช่ือหน่วยการเรยี นรู้ หนว่ ยพืน้ ฐานของสิง่ มชี ีวิต รวม 12 คาบ กลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ช้นั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 1 ภาคเรียนท่ี 1 สาระที่ 1 ช่อื สาระ วิทยาศาสตรช์ ีวภาพ มาตรฐาน ว 1.2 1. มาตรฐานการเรียนร้/ู ตัวช้วี ดั มาตรฐานการเรยี นรู้ - ว 1.2 เข้าใจสมบัติของส่ิงมีชีวิต หน่วยพ้ืนฐานของส่ิงมีชีวิต การลําเลียงสารเข้าและออกจาก เซลล์ ความสัมพันธ์ของโครงสร้าง และหน้าท่ีของระบบต่างๆ ของสัตว์และมนุษย์ที่ทํางานสัมพันธ์กัน ความสัมพันธ์ของโครงสร้าง และหน้าท่ีของอวัยวะต่าง ๆ ของพืชท่ีทํางานสัมพันธ์กัน รวมทั้งนำความรู้ไปใช้ ประโยชน์ ตวั ช้วี ดั - ม 1/5 อธิบายกระบวนการแพร่และออสโมซิสจากหลักฐานเชิง ประจักษแ์ ละยกตัวอย่างการแพรแ่ ละออสโมซิสในชวี ิตประจําวนั 2. สาระสำคัญ/ความคดิ รวบยอด สาระสาํ คญั เซลล์มีการนําสารเข้าสู่เซลล์เพ่ือใช้ในกระบวนการต่าง ๆ ของเซลล์และมีการขจัดสาร บางอย่างที่เซลล์ไม่ต้องการออกนอกเซลล์การนําสารเข้าและออกจากเซลล์มีหลายวิธีเช่น การแพร่เป็นการ เคลอื่ นที่ของสารจากบริเวณที่มีความเขม้ ข้นของสารสูงไปสู่บริเวณท่ีมีความเข้มข้นของสารตำ่ ส่วนออสโมซิส เป็น การแพร่ของน้ำผ่านเย่ือหุ้มเซลล์จากด้านท่ีมีความเข้มข้นของสารละลายต่ำไปยังด้านท่ีมีความเข้มข้นของ สารละลายสงู กว่า 3. จุดประสงค์การเรียนรู้ 1) ด้านความรู้ (K) นกั เรียนจะสามารถอธิบายกระบวนการแพร วา่ เปน็ วิธีการนำสารเขา้ และออก จากเซลลไ์ ด้ 2) ดา้ นกระบวนการ (P) นกั เรียนสามารถทดลองการแพร่ของสารได้ 3) ด้านเจตคติ (A) นกั เรียนตงั้ ใจเรียนและเมอื่ ปฏบิ ัติกจิ กรรมเสร็จแล้วนักเรยี นเกบ็ อุปกรณเ์ ข้าที่
4. คุณลักษณะผเู้ รียน อยู่อย่างพอเพียง ซื่อสัตย์สุจริต มุ่งม่ันในการทำงาน 4.1 คุณลักษณะทพ่ี ึงประสงค์ รกั ความเปน็ ไทย ใฝเ่ รียนรู้ มจี ิตสาธารณะ รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ มวี ินยั 5. ด้านสมรรถนะสำคัญของผ้เู รยี น ความสามารถในการคิด : นักเรียนจะสามารถอธิบายกระบวนการแพร่ ว่าเปน็ วิธีการนำสารเขา้ และ ออก จากเซลลไ์ ด้ 6. สาระการเรยี นรู้ การแพร่ เป็นการกระจายตัวของโมเลกุลของสสารจากจุดท่ีมีความเข้มข้นสูงกว่า ไปยังจุดที่มีความ เข้มข้นต่ำกว่าด้วยการเคล่ือนท่ีเชิงสุ่มของโมเลกุล การแพร่จะทำให้ เกิดการผสมของวัสดุอย่างช้าๆ สำหรับเฟส หน่ึงๆของวัสดุใดๆก็ตามท่ีมีอุณหภูมิสม่ำเสมอ และไม่มีแรงภายนอกมากระทำกับอนุภาค กระบวนการแพร่ก็จะ ยังคงเกิดถึงแมว้ ่า สสารจะผสมกันโดยสมบูรณ์หรอื เข้าสูภ่ าวะสมดลุ แล้ว โดยพื้นฐานแล้ว การเคล่ือนท่ีของโมเลกุล จากพื้นท่ีที่มีความเข้มข้นสูงไปสู่ความเข้มข้นที่ต่ำกว่าเรียกว่าการแพร่ท้ังสิ้น ตัวอย่างการแพร่ เช่น การแพรข่ อง เกล็ดด่างทับทิมในน้ำ การแพรข่ องน้ำหวานในน้ำ การแพร่ของสีน้ำในน้ำ การแพร่ของแก๊สคาร์บอนไดออกไซดใ์ น อากาศ 7. กิจกรรมการเรยี นรู้ ใช้รูปแบบการจัดการเรียนการสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ (Inquiry Cycles: 5Es) (60 นาที) ขัน้ ที่ 1 กระตนุ้ ความสนใจ (Engagement) (10 นาที) 1) ครูทบทวนความรู้ในคาบท่ีแล้ว เร่ือง เซลล์ส่ิงมีชีวิต กล่าวคือ เซลล์ (Cell) หมายถึง หน่วย พื้นฐานท่ีเล็กที่สุดของส่ิงมีชีวิต มีรูปร่างลักษณะและขนาดแตกต่างกันข้ึนอยู่กับชนิดของส่ิงมีชีวิตและหน้าที่ของ เซลลเ์ หลา่ นัน้ 2) ครูถามนักเรียนว่า เซลล์พืชกับเซลล์สัตว์แตกต่างหันอย่างไรบ้าง ( แนวการตอบ เซลล์พืชมี ผนังเซลล์แต่เซลล์สตั ว์ไม่มผี นังเซลล์ เซลล์พชื มคี ลอโรพลาสต์แตเ่ ซลล์สัตว์ไมม่ ีคลอโรพลาสต์ เซลล์สัตว์มีผนังไลโซ โซมแตเ่ ซลล์พชื ไมม่ ไี ลโซโซม เซลลส์ ัตวม์ เี ซนทรโิ อลแต่เซลล์พืชไมม่ ีเซนทริโอล ) 3) จากนั้นครูนำเข้าสู่บทเรียนโดยครูเตรียมขวดน้ำหอมมาแล้วครูเปิดขวดน้ำหอม แล้วให้ นักเรียนเขียนขอ้ ความหรือวาดภาพ เพอื่ อธิบายวา่ อนุภาคน้ำหอม ฟ้งุ กระจายไปได้อย่างไร โดยครูไม่บอกคำตอบ นักเรียน
4) ครูให้นักเรียนเปดิ หนังสือเรียนหนา้ 108 ใหน้ ักเรียนดูภาพการชงน้ำกระเจี๊ยบ อ่านเน้ือหานํา บท จากน้นั อภปิ รายโดยอาจใชค้ ําถามนาํ ดังนี้ - สแี ดงมาจากไหน ( แนวการตอบ สารสแี ดงมาจากกลบี เล้ียงกระเจี๊ยบ ) - ทําไมน้ำในแก้วจึงมีสีแดง ( แนวการตอบ เพราะสารสีแดงจากกลีบเล้ียงกระเจ๊ียบละลาย ออกมาผสมกับน้ำในแกว้ ) - น้ำกระเจี๊ยบเม่ือต้ังทิ้งไว้สักพักทําไมน้ำท้ังแก้วจึงมีสีแดง ( แนวการตอบ นักเรียนสามารถตอบ ไดต้ ามความเข้าใจของตนเอง ) ข้ันท่ี 2 ขั้นสำรวจและคน้ หา (Exploration) (30 นาที) 1) ครูให้นักเรยี นน่ังเปน็ กล่มุ ตามท่ีไดจ้ ัดไว้ โดยจะมสี มาชิกกล่มุ อยู่ประมาณ 4- 5 คนตอ่ กลมุ่ 2) ครใู หน้ ักเรยี นทำกจิ กรรมท่ี 3.4 อนุภาคของสารมีการเคลื่อนที่อยา่ งไร โดยแจ้งวา่ นักเรียนจะ ได้เรียนรู้เกย่ี วกับการแพร่ โดยครใู ห้นักเรยี นดำเนินตามกิจกรรม 3) ย้ำใหน้ ักเรียนหลีกเลี่ยงไม่ให้ด่างทับทิมสัมผัสกับร่างกายโดยเฉพาะดวงตา และระวังไม่ใช้ดา่ ง ทับทิมในการทำกิจกรรมมากเกินไป ให้นกั เรยี นทำนายผลที่คาดว่าจะเกิด เม่ือหย่อนเกลด็ ด่างทับทมิ ลงในบีกเกอร์ จากน้นั ให้สังเกตการเปล่ียนแปลงที่เกิดขน้ึ 4) เมื่อแต่ละกลุ่มปฏิบัติกิจกรรมเสร็จแล้วครูให้ตัวแทนกลุ่มออกมานำเสนอผลงานเพ่ือ แลกเปล่ยี นเรยี นรกู้ บั เพื่อนๆในหอ้ งเรยี น ขั้นท่ี 3 ข้ันอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation) (10 นาที) 1) ครแู ละนักเรียนร่วมกันสรุปและอภิปรายจากการดำเนินกิจกรรมดังนี้ หลักจากทำกจิ กรรม ให้ นักเรยี นร่วมกันอภิปรายผลโดยใช้คำถามเป็นแนวทาง นักเรียนควรสรุปวา่ อนภุ าคของสารมีการกระจายจากท่ีซ่ึง ความเขม้ ขน้ ของอนุภาคของสารมากไปสู่ทซี่ ่ึงมีความเข้มขน้ ของอนุภาคน้อยกว่า เรียกปรากฏการณ์นี้วา่ การแพร่ โดยครูถามนักเรียน กล่าวคือ หลักจากหย่อยเกล็ดด่างทับทิมลงน้ำ เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไร และนักเรียน อธิบายได้อย่างไร ( แนวการตอบ เมื่อหย่อนเกล็ดด่างทับทิมลงไปในน้ำ จะเห็นสีม่วงเป็นทางกระจายออกจาก เกล็ดด่างทับทิม เมอ่ื เกล็ดด่างทับทิมตกลงไปในกน้ บีกเกอร์ น้ำบรเิ วณน้ันเป็นสมี ่วงเขม้ ท้งิ ไว้สักครจู่ ะสงั เกตเห็นสี กระจายออกไปโดยรอบ จนในที่สุดน้ำมีสีม่วงสม่ำเสมอกันท่ัวบีกเกอร์ เนื่องจากมีการเคล่ือนท่ีของอนุภาคด่าง ทับทิมจากบริเวรที่มีอนุภาคหนาแน่นมากไปยังบรเิ วณท่ีมีความหนาแน่นมากไปยังบรเิ วณท่ีมีความหนาแน่นน้อย กวา่ จนในที่สดุ ทุก จดุ ทวั่ ท้ังบีกเกอร์มคี วามหนาแน่นเทา่ กนั หมด ) 2) ครูสร้างความเข้าใจให้นักเรียนว่า อนุภาคของสารแต่ละอนุภาคเคล่ือนที่โดยอิสระ ไม่มี ทิศทางแน่นอน แต่ละอนุภาคไม่ได้เคลื่อนท่ีจากบริเวณสารมากไปสู่ที่มีสารมากกว่า แต่โดยรวมแล้วการเคล่ือนที่ โดยอิสระของอนภุ าคแตล่ ะอนุภาค มผี ลทำใหส้ ารแพรจ่ ากบริเวณทมี่ ีอนภุ าคมมากไปส่บู รเิ วณท่มี ีอนภุ าคน้อย
3) ครูเชื่อมโยงสถานการณ์ต่างๆ ที่มีการแพร่ ซ่ึงเกิดข้ึนภายนอกร่างกาย กับการแพร่ท่ีเกิดข้ึน ภายในร่างกายทั้งการแพร่เข้าสู่เซลลก์ ารแพร่ในเซลล์ แล้วอภิปรายว่า การแพร่ก็เกิดข้ึนภายในร่างกายเราเช่นกัน โดยจะเกิดขึ้นในที่ท่ีมีความเขม้ ขน้ ของสารต่างกัน ท้ังภายในเซลล์ ภายนอกเซลล์ และระหว่างภายในและภายนอก เซลล์ ตวั อย่างเชน่ ท่ถี ุงลมปอด ด้านหน่ึงของถุงลมปอดมีความเขม้ ข้นของออกซเิ จนสงู กวา่ อีกด้านหน่ึงที่ทางเดิน อาหาร ดา้ นในของทางเดนิ อาหารมคี วามเขม้ ข้นสูงกวา่ ดา้ นนอก 4) ดังน้ันสามารถสรุปได้ว่า การแพร่ เป็นการกระจายตัวของโมเลกุลของสสารจากจุดท่ีมีความ เข้มข้นสูงกว่า ไปยังจุดทีม่ ีความเข้มข้นตำ่ กว่าด้วยการเคลอื่ นท่ีเชงิ สุ่มของโมเลกุล การแพร่จะทำให้ เกิดการผสม ของวัสดุอย่างช้าๆ สำหรบั เฟสหนึ่งๆของวัสดใุ ดๆก็ตามที่มีอุณหภูมิสม่ำเสมอ และไม่มีแรงภายนอกมากระทำกับ อนุภาค กระบวนการแพร่ก็จะยังคงเกิดถึงแม้ว่า สสารจะผสมกันโดยสมบูรณ์หรือเข้าสู่ภาวะสมดุลแล้ว โดย พ้นื ฐานแล้ว การเคลอื่ นที่ของโมเลกุล จากพื้นท่ีท่มี ีความเข้มข้นสูงไปสู่ความเขม้ ข้นท่ีต่ำกว่าเรยี กว่าการแพรท่ ้ังสิ้น ตัวอย่างการแพร่ เช่น การแพร่ของเกล็ดด่างทบั ทิมในน้ำ การแพร่ของนำ้ หวานในนำ้ การแพร่ของสนี ้ำในนำ้ การ แพร่ของแก๊สคารบ์ อนไดออกไซดใ์ นอากาศ ข้ันท่ี 4 ข้นั ขยายความรู้ (Elaboration) (5 นาที) 1) ครเู ปดิ โอกาสให้นักเรยี นต้ังคำถาม โดยใหแ้ ต่ละกลุ่มตัง้ คำถามมา 1 ข้อ 2) ครยู กตัวอย่างเพ่ือสร้างความเข้าใจวา่ สารบางชนิดสามารถแพร่ผา่ นเย่ือหุ้มเซลล์ได้ เช่นแก๊ส ต่างๆ แต่ก็ยังมีสารอีกหลายชนิดท่ีไม่สามารถผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ได้โดยตรง เช่น สารท่ีไม่ละลายในไขมัน สารท่ีมี อนุภาคใหญ่ การที่เย่ือหุ้มเซลล์ยอมให้สารบางชนิดน้ันผ่านได้ จึงกล่าวว่าเยื่อหุ้มเซลล์เป็นเย่ือเลือกผ่าน โดย สามารถขยายความรู้ว่า ไขมันหรือไม่ผสมกับน้ำ เยื่อหุ้มเซลล์มีไขมันเป็นส่วนประกอบหลัก จึงทำให้สารท่ีไม่ ละลายในไขมันผ่านไปได้ อย่างไรก็ตามสารบางอย่างเช่น น้ำ น้ำตาล กรดอะมิโน ไอออนของธาตุต่างๆ ก็ยัง สามารถผ่านเย่ือหุ้มเซลล์ได้ ทางโครงสร้างโปรตีนที่อยู่ตามเยื่อหุ้มเซลล์ ซ่ึงยอมให้สารบางอย่างผ่านได้ สำหรับ สารท่มี ีโมเลกลุ ขนาดใหญ่ เกินกวา่ ช่องในโปรตีนจะไม่สามารถผ่านเย่อื หมุ้ เซลลไ์ ด้ และจะลำเลยี งเข้าและออกจาก เซลล์โดยกลไกอนื่ ๆ ขัน้ ที่ 5 ข้ันประเมนิ (Evaluation) (5 นาที) 1) การตอบคำถามในช้ันเรยี น 2) การทำกิจกรรมที่ 3.4 อนุภาคของสารมกี ารเคลื่อนทอ่ี ยา่ งไร 8. ส่ือการเรยี นรู้ / แหล่งเรียนรู้ 8.1 กิจกรรมที่ 3.4 อนภุ าคของสารมีการเคลื่อนที่อยา่ งไร 8.2 ส่อื ออนไลน์ 8.3 หนงั สือเรยี นวิทยาศาสตรพ์ ื้นฐาน ม.1
9. การวดั และการประเมิน ตวั ช้วี ัด/ผลการเรยี นรู้ วิธกี ารวัด เครื่องมอื วัด เกณฑท์ ่ใี ชใ้ นการประเมิน - แบบประเมินการตอบ ผ่านเกณฑร์ ะดับคุณภาพ 2 1 ด้านความรู้ :นักเรยี นจะ - การตอบคำถามในช้นั คำถาม ผ่านเกณฑร์ ะดบั คุณภาพ 2 สามารถอธิบาย เรยี น - แบบประเมินการทำงาน ผ่านเกณฑร์ ะดบั คุณภาพ 2 กลุม่ กระบวนการแพร วา่ เปน็ - แบบประเมินการสงั เกต วิธีการนำสารเข้าและออก พฤติกรรม จากเซลลไ์ ด้ 2. ด้านกระบวนการ : - การตรวจกิจกรรมที่ 3.4 นักเรยี นสามารถทดลอง อนภุ าคของสารมกี าร การแพร่ของสารได้ เคลื่อนท่ีอยา่ งไร 3. ดา้ นเจตคติ : นักเรียน - การสังเกตพฤตกิ รรมใน ตงั้ ใจเรียนและเม่ือปฏบิ ัติ ชน้ั เรยี น กิจกรรมเสร็จแล้วนกั เรียน เก็บอุปกรณเ์ ขา้ ที่ 10. กิจกรรมเสนอแนะ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………. ลงชอ่ื ผู้สอน (นางสาวจิรนนั ท์ เกตทุ หาร) 11. ข้อคิดเห็นของหวั หนา้ กลมุ่ สาระการเรียนรู้ .............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................... ลงชอื่ ............................................................... (นายนนั ท์ ก้อคำ) หัวหนา้ กล่มุ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
12. ข้อคดิ เห็น/ข้อเสนอแนะผชู้ ว่ ยผู้อำนวยการกลุ่มงานบรหิ ารวิชาการ .............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................... ลงชื่อ............................................................... (....................................................) ผชู้ ว่ ยผอู้ ำนวยการกลมุ่ งานบรหิ ารวิชาการ การอนุมตั กิ ารใช้แผนการจัดการเรยี นรจู้ ากฝา่ ยบรหิ าร ความคดิ เหน็ ของรองผู้อำนวยการฝา่ ยวชิ าการ .............................................................................................................................................................. เหน็ สมควรอนมุ ัตใิ หใ้ ช้ในการจดั การเรียนการสอน เหน็ สมควรไมอ่ นมุ ตั ิใหใ้ ช้ในการจัดการเรียนการสอน เพราะ.......................................... ............................................................................................................................................................. ลงช่อื ............................................................ (นายนพดล ธรรมใจอดุ ) รองผู้อำนวยการโรงเรียนฝา่ ยบริหารวิชาการ การอนุมัติจากผู้อำนวยการโรงเรยี น อนมุ ัตใิ ห้ใช้ในการจัดการเรยี นการสอน ไมอ่ นุมัติให้ใช้ในการจดั การเรียนการสอน เพราะ.............................................................. .............................................................................................................................................................. ลงชอื่ ....................................................................................... (นางวิลาวัลย์ ปาลี) ผูอ้ ำนวยการโรงเรยี นราชประชานเุ คราะห์ ๒๔ จงั หวดั พะเยา
ใบกจิ กรรมท่ี กลุม่ ที่......... 3.4 อนภุ าคของสารมกี ารเคลื่อนที่อยา่ งไร คำชี้แจง ใหน้ ักเรยี นทำการทดลองตามข้ันตอนทีก่ ำหนด แล้วบันทึกผล อปุ กรณ์และสารเคมี วิธกี ารทดลอง 1. ใส่น้ำสะอาด 200 ลกู บาศกเ์ ซนตเิ มตร ในบกี เกอร์ • บีกเกอร์ 2. จากนน้ั นำชอ้ นตกั สารตักด่างทบั ทมิ ( ตกั เล็กน้อย ) แล้วนำดา่ งทับทิมใส่ในบีกเกอร์ • น้ำ แลว้ สงั เกตและบันทกึ ผล • ช้อนตกั สาร • ด่างทบั ทมิ ภาพประกอบการทดลอง บนั ทกึ ผลการทดลอง ผลการสังเกต การแพรข่ องสาร เริ่มตน้ เวลาผ่านไป 10 นาที เวลาผ่านไป 20 นาที สรปุ ผลการทดลอง
แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี 21 เรอื่ ง การออสโมซิส รายวชิ า วทิ ยาศาสตร์ รหสั วชิ า ว21101 เวลา 1 คาบ หน่วยการเรียนรู้ท่ี 3 ช่อื หนว่ ยการเรียนรู้ หนว่ ยพื้นฐานของส่ิงมีชวี ติ รวม 12 คาบ กลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชนั้ มัธยมศึกษาปีท่ี 1 ภาคเรียนที่ 1 สาระท่ี 1 ชอื่ สาระ วทิ ยาศาสตร์ชีวภาพ มาตรฐาน ว 1.2 1. มาตรฐานการเรยี นร/ู้ ตวั ช้วี ัด มาตรฐานการเรียนรู้ - ว 1.2 เข้าใจสมบัติของสิ่งมีชีวิต หน่วยพ้ืนฐานของสิ่งมีชีวิต การลําเลียงสารเข้าและออกจาก เซลล์ ความสัมพันธ์ของโครงสร้าง และหน้าท่ีของระบบต่างๆ ของสัตว์และมนุษย์ท่ีทํางานสัมพันธ์กัน ความสัมพันธ์ของโครงสร้าง และหน้าท่ีของอวัยวะต่าง ๆ ของพืชที่ทํางานสัมพันธ์กัน รวมท้ังนำความรู้ไปใช้ ประโยชน์ ตัวชวี้ ดั - ม 1/5 อธบิ ายกระบวนการแพร่และออสโมซสิ จากหลกั ฐานเชิงประจกั ษแ์ ละยกตวั อย่างการแพร่ และออสโมซิสในชีวติ ประจาํ วนั 2. สาระสำคัญ/ความคิดรวบยอด สาระสําคญั เซลล์มีการนําสารเข้าสู่เซลล์เพ่ือใช้ในกระบวนการต่าง ๆ ของเซลล์และมีการขจัดสาร บางอย่างท่ีเซลล์ไม่ต้องการออกนอกเซลล์การนําสารเข้าและออกจากเซลล์มีหลายวิธีเช่น การแพร่เป็นการ เคล่ือนที่ของสารจากบริเวณท่ีมีความเข้มข้นของสารสูงไปสู่บริเวณท่ีมีความเข้มข้นของสารตำ่ ส่วนออสโมซิส เป็น การแพร่ของน้ำผ่านเย่ือหุ้มเซลล์จากด้านที่มีความเข้มข้นของสารละลายต่ำไปยังด้านท่ีมีความเข้มข้นของ สารละลายสูงกว่า 3. จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ 1) ด้านความรู้ (K) นกั เรยี นสามารถอธบิ ายกระบวนการออสโมซสิ ได้ 2) ดา้ นกระบวนการ (P) นักเรยี นสามารถทดลองการออสโมซิสได้ 3) ดา้ นเจตคติ (A) นักเรียนตงั้ ใจเรียนและเมอื่ ปฏิบัติกจิ กรรมเสร็จแลว้ นกั เรยี นเกบ็ อปุ กรณเ์ ข้าที่
4. คุณลักษณะผเู้ รยี น อยู่อย่างพอเพียง ซอ่ื สตั ยส์ ุจรติ มุ่งมนั่ ในการทำงาน 4.1 คุณลักษณะทีพ่ งึ ประสงค์ รักความเปน็ ไทย ใฝเ่ รยี นรู้ มีจิตสาธารณะ รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ มวี ินัย 5. ดา้ นสมรรถนะสำคัญของผเู้ รยี น ความสามารถในการคดิ : นักเรยี นจะสามารถอธบิ ายกระบวนการออสโมซสิ ได้ 6. สาระการเรยี นรู้ ออสโมซิส (osmosis) เป็นกระบวนการแพร่โมเลกุลของเหลวหรอื น้ำผ่านเยื่อเลือกผ่านจากบรเิ วณท่ีมี ความเข้มข้นของน้ำมาก (สารละลายความเข้มข้นต่ำ) ไปยงั บริเวณท่ีมีความเข้มข้นของน้ำน้อย (สารละลายความ เข้มขน้ สูง) กระจายจนกว่าโมเลกุลของน้ำจะเท่ากัน เป็นกระบวนการทางกายภาพที่ตัวทำละลายจะเคล่ือนที่โดย อาศัยพลังงานความร้อน ผ่านเย่ือเลือกผ่าน (ซึ่งตวั ทำละลายจะผ่านเยื่อเลือกผ่านได้ แต่สารละลายจะไม่สามารถ ผา่ นเย่ือเลือกผา่ นได้ออสโมซสิ กอ่ ให้เกดิ พลงั งานและสามารถสร้างแรงได้ 7. กจิ กรรมการเรยี นรู้ ใช้รูปแบบการจัดการเรียนการสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ (Inquiry Cycles: 5Es) (60 นาที) ข้นั ท่ี 1 กระต้นุ ความสนใจ (Engagement) (5 นาที) 1) ครทู บทวนความร้ใู นคาบที่แลว้ เรื่องการแพร่ โดยครูสมุ่ ถามนักเรียนว่าการแพร่คอื อะไร ( แนวการตอบ เป็นการกระจายตัวของโมเลกุลของสสารจากจุดท่ีมีความเข้มข้นสูงกว่า ไปยงั จุดที่มีความเข้มข้นต่ำ กว่าด้วยการเคล่ือนที่เชิงสุ่มของโมเลกุล การแพร่จะทำให้ เกิดการผสมของวัสดุอย่างช้าๆ สำหรับเฟสหนึ่งๆของ วัสดุใดๆก็ตามท่ีมีอุณหภูมิสม่ำเสมอ และไม่มีแรงภายนอกมากระทำกับอนุภาค กระบวนการแพร่ก็จะยังคงเกิด ถึงแม้ว่า สสารจะผสมกันโดยสมบูรณ์หรือเข้าสู่ภาวะสมดุลแล้ว โดยพื้นฐานแล้ว การเคลื่อนที่ของโมเลกุล จาก พนื้ ทที่ ม่ี คี วามเขม้ ขน้ สงู ไปสู่ความเขม้ ข้นที่ตำ่ กว่าเรยี กวา่ การแพร่ทง้ั ส้นิ ) 2) ตวั อยา่ งการแพร่ในชีวิตประจำวนั เชน่ อะไรบา้ ง ( แนวการตอบ การแพรข่ องเกลด็ ด่างทบั ทิม ในน้ำ การแพร่ของน้ำหวานในนำ้ การแพร่ของสนี ้ำในน้ำ การแพรข่ องแกส๊ คารบ์ อนไดออกไซดใ์ นอากาศ ข้ัน ท่ี 2 ข้ันสำรวจและคน้ หา (Exploration) (35 นาที) 1) ครใู ห้นกั เรียนนั่งเปน็ กลมุ่ ตามท่ีได้จดั ไว้ โดยจะมสี มาชกิ กลมุ่ อยู่ประมาณ 4- 5 คนตอ่ กล่มุ 2) ครูใหน้ กั เรยี นทำกจิ กรรมท่ี 3.5 น้ำเคล่ือนที่ผ่านเยื่อเลือกผ่านได้อย่างไร โดยแจ้งว่านักเรียน จะไดเ้ รยี นรูเ้ กย่ี วกบั การออสโมซิส โดยครใู หน้ ักเรยี นดำเนนิ ตามกจิ กรรม 3) ยำ้ ใหน้ ักเรยี นหลกี เลย่ี งไมใ่ ห้เลน่ กนั ในขณะทำกจิ กรรม
4) เมื่อแต่ละกลุ่มปฏิบัติกิจกรรมเสร็จแล้วครูให้ตัวแทนกลุ่มออกมานำเสนอผลงานเพ่ือ แลกเปล่ยี นเรยี นร้กู ับเพอื่ นๆในหอ้ งเรยี น ขั้นที่ 3 ขนั้ อธิบายและลงข้อสรุป (Explanation) (10 นาที) 1) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปและอภิปรายจากการดำเนินกิจกรรมดังนี้ กิจกรรมน้ีเรียนรู้ เก่ียวกบั เรื่องอะไร ( แนวการตอบ ออสโมซิส ) 2) กจิ กรรมน้ีมีจดุ ประสงคอ์ ะไร ( แนวการตอบ นักเรียนตอบตามความคดิ ของตนเอง) 3) วิธีการดําเนินกิจกรรม มีขั้นตอนโดยสรุปอย่างไร ( แนวการตอบ ใส่สารละลายน้ำตาลลงใน เซลโลเฟนท่ีบุอยู่ในบีกเกอร์จุ่มหลอดแก้วในสารละลายน้ำตาล มัดเซลโลเฟนท่ีบรรจุสารละลายน้ำตาลให้เป็นถุง โดยมีหลอดแก้วจุ่มอยู่ภายใน จากนั้นยึดหลอดแก้วกับขาตั้ง ทำเครื่องหมายแสดงระดับของเหลวในหลอดแก้ว จากนั้นรินน้ำลงในบีกเกอร์โดยให้ระดับน้ำอยู่ต่ำกว่ายางท่ีรัดปากถุงเซลโลเฟน บันทึกผลการเปล่ียนแปลงของ ระดบั ของเหลวในหลอดแกว้ ทกุ ๆ 5 นาทเี ป็นเวลา 30 นาที ) 4) เพราะเหตุใดจึงต้องใส่น้ำในบีกเกอร์ให้อยใู่ นระดบั ต่ำกว่าบริเวณยางทร่ี ัดปากถุงเซลโลเฟน ( แนวการตอบ ป้องกนั สารละลายนำ้ ตาลรัว่ ออกมาปะปนกับน้ำทอ่ี ยใู่ นบกี เกอร์ ) 5) ข้อควรระวังในการทํากิจกรรมมีอะไรบา้ ง ( แนวการตอบ ระวงั ไมใ่ ห้เซลโลเฟนขาดหรือเป็นรู, ระวังไม่ให้ระดับน้ำในบีกเกอร์สูงกว่าบรเิ วณปากถุงเซลโลเฟนที่บรรจุสารละลายน้ำตาล, ระวังไม่ให้มีฟองอากาศ ในถงุ เซลโลเฟนทบ่ี รรจุสารละลายนำ้ ตาล) 6) ครแู ละนกั เรียนร่วมกันสรุปบทเรยี นว่า ความแตกตา่ งระหว่างคำว่า การแพร่กับการออสโมซิส กล่าวคือ การแพร่ เป็นการกระจายตัวของโมเลกุลของสสารจากจุดท่ีมีความเข้มข้นสูงกว่า ไปยังจุดที่มีความ เข้มข้นต่ำกว่าด้วยการเคล่ือนที่เชิงสุ่มของโมเลกุล การแพร่จะทำให้ เกิดการผสมของวัสดุอย่างช้าๆ สำหรับเฟส หน่ึงๆของวัสดุใดๆก็ตามที่มีอุณหภูมิสม่ำเสมอ และไม่มีแรงภายนอกมากระทำกับอนุภาคส่วน ออสโมซิส (osmosis) เป็นกระบวนการแพรโ่ มเลกลุ ของเหลวหรอื นำ้ ผ่านเยื่อเลือกผา่ นจากบรเิ วณทีม่ ีความเข้มขน้ ของนำ้ มาก (สารละลายความเข้มข้นต่ำ) ไปยงั บรเิ วณท่มี ีความเข้มข้นของนำ้ นอ้ ย (สารละลายความเข้มขน้ สูง) กระจายจนกว่า โมเลกลุ ของน้ำจะเทา่ กัน ขัน้ ที่ 4 ขน้ั ขยายความรู้ (Elaboration) (5 นาที) 1) ครูเปดิ โอกาสให้นกั เรียนต้งั คำถาม โดยให้แต่ละกลุม่ ตงั้ คำถามมา 1 ขอ้ 2) ครยู กตวั อย่างเพื่อสร้างความเข้าใจวา่ สารบางชนิดสามารถแพร่ผา่ นเยื่อหุ้มเซลล์ได้ เชน่ แก๊ส ต่างๆ แต่ก็ยังมีสารอีกหลายชนิดท่ีไม่สามารถผ่านเย่ือหุ้มเซลล์ได้โดยตรง เช่น สารท่ีไม่ละลายในไขมัน สารท่ีมี อนุภาคใหญ่ การท่ีเยื่อหุ้มเซลล์ยอมให้สารบางชนิดนั้นผ่านได้ จึงกล่าวว่าเย่ือหุ้มเซลล์เป็นเยื่อเลือกผ่าน โดย สามารถขยายความรู้ว่า ไขมันหรือไม่ผสมกับน้ำ เย่ือหุ้มเซลล์มีไขมันเป็นส่วนประกอบหลัก จึงทำให้สารที่ไม่ ละลายในไขมันผ่านไปได้ อย่างไรก็ตามสารบางอย่างเช่น น้ำ น้ำตาล กรดอะมิโน ไอออนของธาตุต่างๆ ก็ยัง
สามารถผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ได้ ทางโครงสร้างโปรตีนท่ีอยู่ตามเย่ือหุ้มเซลล์ ซ่ึงยอมให้สารบางอย่างผ่านได้ สำหรับ สารทมี่ ีโมเลกุลขนาดใหญ่ เกินกวา่ ช่องในโปรตีนจะไม่สามารถผ่านเยอื่ หมุ้ เซลลไ์ ด้ และจะลำเลยี งเข้าและออกจาก เซลลโ์ ดยกลไกอ่นื ๆ 3) ให้นักเรียนตอบคําถามท้ายกิจกรรม และร่วมกันอภิปรายคำตอบเพ่ือให้ได้ข้อสรุปว่า น้ำ เคลอื่ นท่ีผ่านเซลโลเฟนเข้าไปภายในถุงท่ีบรรจุสารละลายน้ำตาลได้แต่สารละลายน้ำตาลไม่สามารถเคลื่อนที่ผ่าน เซลโลเฟนออกมานอกถุงท่บี รรจุอยูไ่ ดโ้ ดยอาจใช้คำถามดังต่อไปนี้ - ระดบั ของเหลวในหลอดแก้วมีการเปลี่ยนแปลงอยา่ งไร (แนวการตอบ ระดับของเหลว ในหลอดแก้วสูงข้นึ ) - เพราะเหตใุ ดระดับของเหลวในหลอดแก้วจึงสูงข้ึน ( แนวการตอบ ระดบั ของเหลวใน หลอดแก้วสูงขึ้นเพราะน้ำเคล่ือนที่เข้าไปในถุงเซลโลเฟน ผสมกับสารละลายน้ำตาล ทําให้มีปริมาณสารละลาย มากขึน้ ของเหลวในหลอดแกว้ จงึ สูงขึน้ ) ขนั้ ท่ี 5 ข้ันประเมนิ (Evaluation) (5 นาที) 1) การตอบคำถามในชนั้ เรียน 2) การทำกจิ กรรมท่ี 3.5 นำ้ เคล่ือนทผ่ี า่ นเยอ่ื เลอื กผ่านได้อยา่ งไร 8. ส่ือการเรยี นรู้ / แหลง่ เรยี นรู้ 8.1 กิจกรรมที่ 3.5 น้ำเคลอื่ นที่ผ่านเยือ่ เลือกผา่ นไดอ้ ยา่ งไร 8.2 สื่อออนไลน์ 8.3 หนังสือเรียนวทิ ยาศาสตรพ์ นื้ ฐาน ม.1 9. การวัดและการประเมิน ตัวชว้ี ัด/ผลการเรียนรู้ วิธีการวัด เคร่อื งมือวดั เกณฑท์ ีใ่ ช้ในการประเมนิ ผ่านเกณฑร์ ะดับคุณภาพ 2 1 ดา้ นความรู้ :นักเรยี นจะสามารถ - การตอบคำถามในช้นั - แบบประเมินการ ผา่ นเกณฑ์ระดับคุณภาพ 2 อธบิ ายกระบวนการออสโมซสิ ได้ เรยี น ตอบคำถาม ผา่ นเกณฑ์ระดับคุณภาพ 2 2. ด้านกระบวนการ :นกั เรยี น - การตรวจกิจกรรมที่ - แบบประเมินการ สามารถทดลองการออสโมซิสได้ 3.5 นำ้ เคลือ่ นท่ีผ่าน ทำงานกลุ่ม เยือ่ เลือกผ่านได้ อยา่ งไร 3. ด้านเจตคติ : นกั เรียนตงั้ ใจเรียน - การสงั เกตพฤตกิ รรม - แบบประเมินการ และเมือ่ ปฏบิ ัติกจิ กรรมเสรจ็ แลว้ ในชัน้ เรยี น สงั เกตพฤติกรรม นกั เรียนเก็บอุปกรณ์เข้าท่ี
10. กิจกรรมเสนอแนะ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………. ลงชือ่ ผู้สอน (นางสาวจริ นันท์ เกตุทหาร) 11. ขอ้ คิดเห็นของหัวหน้ากลุ่มสาระการเรยี นรู้ .............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................... ลงชือ่ ............................................................... (นายนนั ท์ ก้อคำ) หวั หนา้ กลุม่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี 12. ขอ้ คดิ เห็น/ข้อเสนอแนะผูช้ ่วยผู้อำนวยการกลุม่ งานบริหารวิชาการ .............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................... ลงชอ่ื ............................................................... (....................................................) ผู้ชว่ ยผอู้ ำนวยการกล่มุ งานบริหารวิชาการ การอนมุ ตั กิ ารใช้แผนการจัดการเรยี นรจู้ ากฝา่ ยบริหาร ความคิดเหน็ ของรองผอู้ ำนวยการฝา่ ยวชิ าการ .............................................................................................................................................................. เหน็ สมควรอนมุ ตั ใิ หใ้ ช้ในการจัดการเรียนการสอน เหน็ สมควรไม่อนมุ ตั ใิ ห้ใช้ในการจัดการเรยี นการสอน เพราะ.......................................... ............................................................................................................................................................. ลงชอื่ ............................................................ (นายนพดล ธรรมใจอดุ ) รองผูอ้ ำนวยการโรงเรียนฝ่ายบริหารวชิ าการ
การอนมุ ัติจากผูอ้ ำนวยการโรงเรียน อนุมตั ใิ ห้ใชใ้ นการจัดการเรยี นการสอน ไมอ่ นุมัตใิ ห้ใช้ในการจดั การเรยี นการสอน เพราะ.............................................................. .............................................................................................................................................................. ลงชือ่ ....................................................................................... (นางวลิ าวัลย์ ปาลี) ผอู้ ำนวยการโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๒๔ จงั หวดั พะเยา
ใบกจิ กรรมที่ กล่มุ ท่.ี ........ 3.5 นำ้ เคลือ่ นทผ่ี า่ นเยือ่ เลอื กผ่านได้อย่างไร คำชแ้ี จง ใหน้ ักเรยี นทำการทดลองตามขนั้ ตอนที่กำหนด แลว้ บันทึกผล อุปกรณแ์ ละสารเคมี วธิ กี ารทดลอง ภาพประกอบการทดลอง • บีกเกอร์ 1. เทสารละลายนำ้ ตาลเข้มข้น 10% โดย • หลอดแก้ว ปลายเปิด ปรมิ าตร ใส่ถุงทท่ี ำด้วยกระดาษเซลโลเฟน • ขาตง้ั • กระดาษเซลโลเฟน 2. เสยี บหลอดแกว้ ปลายเปิดเข้าทีป่ ากถงุ สารละลาย หลอดแกว้ • น้ำ 3. สแาชรถ่ ลงุ ะสลาารยลนะ้ำลตาายลน้ำตาลลงในนำ้ ทใ่ี ส่ไว้ในบีกกนร้ำะตดาาลษแ10ก%ว้ ปลายเปดิ • สารละลายน้ำตาล เกอร์ ระวงั อยา่ ใหร้ ะดบั นำ้ ท่วมถงึ ปากถุง น้ำ 4. จัดอุปกรณ์ดังภาพ สงั เกตระดับนำ้ ทอ่ี ยู่ใน หลอดแกว้ ปลายเปิดทุกๆ 2 นาที เปน็ เวลา 10 นาที สงั เกตและบนั ทึกผล (ท่มี าของภาพ : biology expression p.18) บันทึกผลการทดลอง ระดบั น้ำในหลอดทดลองนำแกส๊ เวลา (นาท)ี 2 4 6 8 10 สรุปผลการทดลอง
แผนการจดั การเรยี นรู้ที่ 22 เร่ือง การสบื พนั ธแ์ุ บบอาศัยเพศในพชื ดอก รายวชิ า วิทยาศาสตร์ รหัสวชิ า ว21101 เวลา 2 คาบ หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 4 ชื่อหนว่ ยการเรียนรู้ การดำรงชีวิตของพืช รวม 20 คาบ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชั้นมธั ยมศึกษาปีท่ี 1 ภาคเรียนท่ี 1 สาระที่ 1 ชือ่ สาระ วทิ ยาศาสตร์ชวี ภาพ มาตรฐาน ว 1.2 1. มาตรฐานการเรียนรู้/ตวั ช้วี ัด มาตรฐานการเรยี นรู้ - ว 1.2 เข้าใจสมบัติของส่ิงมีชีวิต หน่วยพ้ืนฐานของส่ิงมีชีวิต การลําเลียงสารเข้าและออกจาก เซลล์ ความสัมพันธ์ของโครงสร้าง และหน้าท่ีของระบบต่างๆ ของสัตว์และมนุษย์ที่ทํางานสัมพันธ์กัน ความสัมพันธ์ของโครงสร้าง และหน้าที่ของอวัยวะต่าง ๆ ของพืชท่ีทํางานสัมพันธ์กัน รวมท้ังนำความรู้ไปใช้ ประโยชน์ ตัวช้ีวัด - ม 1/11 อธบิ ายการสบื พันธ์แุ บบอาศัยเพศ และไม่อาศัยเพศของพชื ดอก - ม 1/12 อธิบายลักษณะโครงสร้างของดอกที่มีส่วนทําให้เกิดการถ่ายเรณูรวมท้ังบรรยายการ ปฏสิ นธิของพชื ดอก การเกิดผลและเมลด็ การกระจายเมลด็ และการงอกของเมล็ด 2. สาระสำคญั /ความคดิ รวบยอด สาระสาํ คญั พชื ดอกทุกชนิดสามารถสืบพันธ์ุแบบอาศัยเพศได้และบางชนิดสามารถสืบพันธแ์ุ บบไม่อาศัย เพศได้ การสืบพันธ์ุแบบอาศัยเพศเปน็ การสืบพนั ธุท์ ี่มีการผสมกันของสเปิรม์ กับเซลลไ์ ข่การสบื พนั ธุ์แบบอาศัยเพศ ของพชื ดอกเกิดข้นึ ท่ดี อกโดยภายในอับเรณูของส่วนเกสรเพศผู้มเี รณซู ่ึงทําหน้าท่ีสรา้ งสเปริ ์ม ภายในออวลุ ของส่วน เกสรเพศเมียมีถุงเอ็มบริโอ ทําหน้าที่สร้างเซลล์ไข่การสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศเป็นการสืบพันธ์ุที่พืชต้นใหม่ไม่ได้ เกิดจากการปฏิสนธริ ะหวา่ งสเปริ ์มกับเซลล์ไขแ่ ต่เกิดจากสว่ นต่าง ๆ ของพืช เช่นราก ลําต้น ใบ มีการเจรญิ เติบโต และพฒั นาข้ึนมาเปน็ ต้นใหม่ได้ 3. จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ 1) ด้านความรู้ (K) นกั เรียนสามารถอธิบายการสบื พนั ธุแ์ บบอาศยั เพศในพชื ดอกได้ 2) ดา้ นกระบวนการ (P) นกั เรียนสามารถเขียนแผนผังการสบื พันธ์แุ บบอาศัยเพศในพืชดอกตามหัวข้อที่ ครูกำหนดใหไ้ ด้
3) ดา้ นเจตคติ (A) นักเรยี นตงั้ ใจเรียนและมีวนิ ัยในการเรียน 4. คุณลักษณะผ้เู รียน อยู่อย่างพอเพียง ซื่อสตั ยส์ จุ รติ มุ่งมน่ั ในการทำงาน 4.1 คุณลกั ษณะท่ีพงึ ประสงค์ รักความเปน็ ไทย ใฝเ่ รยี นรู้ มีจิตสาธารณะ รกั ชาติ ศาสน์ กษตั รยิ ์ มวี นิ ัย 5. ดา้ นสมรรถนะสำคญั ของผเู้ รียน ความสามารถในการคดิ : นกั เรียนสามารถอธบิ ายการสบื พนั ธ์ุแบบอาศยั เพศในพืชดอกได้ 6. สาระการเรยี นรู้ พชื ดอกทกุ ชนิดสามารถสบื พนั ธแุ์ บบอาศัยเพศได้ นอกจากนั้นบางชนดิ ยังพบการสบื พนั ธแ์ุ บบไม ่อาศัย เพศด้วยการสืบพันธ์ุแบบอาศัยเพศของพืชดอกเกิดขึ้นท่ีดอก โดยท่ัวไปดอกประกอบด้วย กลีบเล้ียง กลีบดอก เกสรเพศผู้และเกสรเพศเมีย ภายในอับเรณูของเกสรเพศผู้มีเรณูทําหน้าที่สร้างสเปิรม์ ภายในออวุลของเกสรเพศ เมียมีถุงเอ็มบริโอทํา หน้าท่ีสร้างเซลล์ไข่ซึ่งต้องมีการถ่ายเรณูจากอับเรณูไปยังยอดเกสรเพศเมียนําไปสู่การ ปฏิสนธิระหว่างสเปิร์มกับเซลล์ไข่ และระหว่างสเปิร์มกับโพลาร์นิวคลีไอในถุงเอ็มบริโอ หลังการปฏิสนธิจะได้ไซ โกตและเอนโดสเปิร์ม ไซโกตจะพัฒนาต่อไปเป็นเอ็มบริโอ โดยมีเอนโดสเปิร์มเป็นอาหารสะสมสําหรับเล้ียง เอ็มบริโอ ส่วนออวุลพัฒนาไปเป็นเมล็ดและรังไข่พัฒนาไปเป็นผลผลและเมล็ดเม่ือเจริญเติบโตเต็มท่ีจะกระจาย ออกจากต้นโดยวิธีการต่างๆเมอ่ื เมล็ดไปตกในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมจะงอกเป็นต้นใหม่ ส่วนการสืบพันธ์ุแบบ ไม่อาศัยเพศ เปน็ การสืบพันธ์ุท่พี ชื ต้นใหม่พัฒนาและเจริญเตบิ โตมาจากเนอื้ เย่ือสว่ นตา่ ง ๆ ของพืช ตน้ เดิม7. กิจกรรมการเรียนรู้ ใช้รูปแบบการจดั การเรยี นการสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ (Inquiry Cycles: 5Es) (120 นาที) ขัน้ ที่ 1 กระต้นุ ความสนใจ (Engagement) (20 นาที) 1)ให้นักเรียนสังเกตภาพและอ่านเน้ือหานําหน่วยท่ี 4 ในหนังสอื เรียน ร่วมกนั อภิปรายและตอบ คําถามดังตอ่ ไปนี้ - นักเรียนสังเกตเห็นอะไรบ้างจากภาพในหนังสือเรียน ( แนวการตอบ สังเกตเห็น อโุ มงคท์ ี่มดื มหี ลอดไฟให้แสงสว่าง มีชน้ั วางและมีพืชอยู่บนช้ัน ) - นกั เรียนคดิ วา่ การปลูกพืชในอุโมงค์ดังภาพ พืชจะเจริญเติบโตได้หรือไม่ เพราะเหตุใด ( แนวการตอบ นักเรียนตอบตามความเข้าใจ เช่น พืชเจริญเติบโตไม่ได้เพราะไม่มีดิน ไม่มีแสงอาทิตย์ หรือพืช เจรญิ เติบโตได้เพราะสามารถปลูกพชื แบบไมใ่ ชด้ ินได้และสามารถใช้แสงไฟฟ้าแทนแสงอาทติ ยไ์ ด้ )
- นกั เรยี นคิดวา่ ต้องทําอย่างไรบ้าง ให้อุโมงค์ใต้ดนิ มีสภาพแวดลอ้ มท่ีสามารถปลูกพืชได้ ( แนวการตอบ ต้องศึกษาความต้องการของพืช ปรับพื้นท่ี วางระบบนำระบบไฟ และระบบระบายอากาศให้ เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของพชื ) - สภาพของอุโมงค์ใต้ดิน หลังมีการปรับสภาพแวดล้อมแล้ว มีความเหมาะสมกับการ ปลูกพืชหรือไม่อย่างไร ( แนวการตอบ นักเรียนตอบได้ตามความเข้าใจเช่น เหมาะสมต่อพืช เพราะมีการให้น้ำ สำหรบั พชื นำไปใช้ในการเจริญเตบิ โต มีแสงไฟสำหรบั ใหพ้ ืชใชใ้ นการสังเคราะห์ด้วยแสง ) 2) ครูใหน้ กั เรียนสังเกตภาพดงั ต่อไปนี้ ทีม่ า https://news.kapook.com/topics ครูให้นักเรียน สังเกตภาพดังกล่าว ก็คือผกั ตบชวา ทเ่ี ก่ยี วกับปัญหาการเพ่ิมจํานวนของผักตบชวาในแหลง่ น้ำของ ประเทศไทย จากนั้นให้นักเรียนอ่านเนอื้ หานําบท และรว่ มกันอภิปรายเกี่ยวกับการเพิ่มจํานวนของผักตบชวา โดย อาจใช้คาํ ถามดงั น้ี - นักเรยี นคิดว่าผกั ตบชวาทแี่ พร ่พันธเุ์ ตม็ ผืนน้ำส่งผลกระทบต่อส่ิงใดบ้างอย่างไร ( แนวการตอบ นักเรียนตอบตามความเข้าใจเช่น กอ่ ใหเ้ กิดปัญหาการจราจรทางนำ้ ทําให้น้ำเน่าเสียซ่ึงส่งผลต่อการ ดํารงชวี ติ ของสตั ว์นำ้ ) - ผกั ตบชวาเพ่มิ จํานวนได้อย่างไรบ้าง ( แนวการตอบนักเรียนตอบตามความเข้าใจ เช่น เพมิ่ โดยการสบื พันธ์แุ บบอาศัยเพศและแบบไมอ่ าศัยเพศ) - พืชชนิดใดบ้าง ที่สามารถเพ่ิมจํานวนได้แบบเดียวกับผักตบชวา และเพ่ิมจํานวน อยา่ งไร ( แนวการตอบนักเรยี นตอบตามความเข้าใจ เช่น บวั สาย) 3) ให้นักเรียนอ่านจุดประสงค์การเรียนรู้ของบทเรียน และอภิปรายรว่ มกนั เพื่อใหน้ กั เรียนทราบ ขอบเขตเนื้อหาเป้าหมายการเรียนรู้และแนวทางการประเมินที่นักเรียนจะได้เรียนรู้ในบทเรียนนี้ ( แนวการตอบ นักเรียนจะได้สังเกตและอธิบายวิธีการและผลของการสืบพันธ์ุแบบอาศัยเพศของพืชดอก ตระหนักถึงความสําคัญ
ของสัตว์ท่ีช่วยในการถ่ายเรณูรวมถึงอธิบายการสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศของพืชดอก สามารถเลือกวิธีการ ขยายพันธุ์พืชให้เหมาะสมกับชนิดของพืชและความต้องการของตนเอง รวมทั้งอธิบายความสําคัญของการนํา เทคโนโลยีการเพาะเลีย้ งเนื้อเยือ่ พชื มาใชป้ ระโยชน์ในดา้ นต่าง ๆ) ขั้นที่ 2 ขัน้ สำรวจและคน้ หา (Exploration) (60 นาที) 1) ครูใหน้ กั เรียนนั่งเปน็ กลุ่มตามท่ีได้จัดไว้ โดยจะมีสมาชกิ กลมุ่ อยู่ประมาณ 4- 5 คนตอ่ กลุ่ม 2) ครูนำดอกชบามาแล้วฉายภาพส่วนประกอบของดอกไม้ แล้วให้นักเรียนบอกส่วนประกอบ ต่างๆ ของดอก การจัดเรียงของส่วนประกอบของดดอกจากด้านนอกสุดเข้าหาด้านใน ครูให้นักเรียนแต่ละกลุ่ม ศกึ ษาดอกไม้กลมุ่ ละไมต่ ่ำกว่า 5 ชนดิ ซึง่ ดอกไม้ทีน่ ำมาศึกษา ควรมีทั้งดอกที่ประกอบทุกส่วนครบ (ดอกสมบูรณ์) และดอกทข่ี าดสว่ นประกอบไป (ดอกไม่สมบูรณ์) 3) ครูให้นักเรียนอธบิ ายลกั ษณะของส่วนประกอบแตล่ ะส่วนของพชื แล้วบนั ทึกลงตาราง ตวั อย่างตารางบันทกึ ผลการทำกิจกรรม ชนิดดอกไม้ ลักษณะของกลบี ลกั ษณะของกลีบดอก ลักษณะของเกสร ลักษณะของ เลย้ี ง เพศผู้ เกสรเพศเมยี ดอกมะเขือ กลีบเลย้ี งสีเขียว กลีบดอกสีมว่ งโคนกลบี เกสร เพศผู้ 5 อนั เกสรเพศเมยี 1 โคนกลบี เช่อื กัน เช่ือมกันปลายแผอ่ อก ตดิ กลบั กลีบดอก อัน ยอดเกสรมี โดยส่วนปลาย แยกเปน็ 5 แฉก ก้านเกสรเพศผู้สัน้ รอยแยก 2 แฉก ของกลีบแยกเป็น อับเรณูสี รงั ไขม่ ี 1 อัน 5 แฉก เหลอื ง ดอกชบา กลบี เลย้ี งสีเขยี ว 5 กลีบดอกแดงจำนวน5กลี เกสร เพศผู้มเี ปน็ กา้ นเกสรเพศ กลีบเชอ่ื มติดกนั โคน จำนวนมาก กา้ นชู เมีย 1 อันส่วน หลายรปู หลอด กลบี เช่อื มติดกนั เล็กน้อย อับเรณูเชอ่ื มติดกนั ปลายแยกเป็น 5 ปลายกลีบเล้ียง ส่วนปลายกลีบดอกแยก เปน็ หลอดและหุ้ม แฉก ยอดเกสร แยก เปน็ 4-5แฉก ออกจากกนั ล้อมรอบรงั ไข่ เพศเมยี 5 อัน โคนกลีบเลีย้ งมีริว้ รูปรา่ งกลมหรือรี ประดบั มขี น ดอกผักบุง้ กลีบเลี้ยงสีเขยี ว 5 กลีบดอก 5 กลีบ เช่อื ม เกสรเพศผู้เพศผู้ 5 เกสรเพศเมยี สี กลีบโคนกลีบ กันเป็นหลอดปลายกลบี อันยาวไม่เทา่ กัน ขาว 1อนั ยอด ติดกัน ปลายกลีบ ผายออกเป็นรูปแตร ตดิ กนั กลบี ดอก เกสรลักษณะตมุ้ แหลม ปลายกลีบดอกสีขาว ฐานก้านชู อบั เรณมู ี เปน็ รอยแยกต้ืน กลางกลีบโคนสีชมพู ขนปกคลุม
ชนดิ ดอกไม้ ลักษณะของกลีบ ลักษณะของกลบี ดอก ลักษณะของเกสร ลกั ษณะของ ดอกตำลงึ เลย้ี ง เพศผู้ เกสรเพศเมยี - ดอกเพศผู้ กลบี ดอกสขี าว ส่วนโคน กลีบเลยี้ งสีเขียว 5 กลีบเป็นรปู กรวย แยก เกสรเพศผู้ 3 อนั เกสรเพสเมีย 1 - ดอกเพศเมีย กลบี แยกกัน เช่ือมกนั เปน็ กระจุก อนั ยอกเกสรเป็น ออกเปน็ 5 แฉก อยู่กลางดอก อับ 3 แฉกรงั ไข่สี กลบี เล้ียงสีเขยี ว 5 กลบี แยกกัน กลบี ดอกสขี าว สว่ นโคน เรณูสเี หลือง เขยี วออ่ น กลบี เปน็ รปู กรวย แยก ออกเปน็ 5 แฉก 4) ครูทำสลากให้นักเรยี นแต่ละกลุ่มได้มาจับ โดยให้สง่ ตัวแทนกลุ่มมาจับ โดยมีทงั้ หมด 4 หัวข้อ ที่จะตอ้ งศกึ ษา - หวั ข้อท่ี 1 ศกึ ษาความร้เู รอ่ื ง การถา่ ยเรณู - หัวข้อท่ี 2 ศึกษาความรเู้ รื่อง การปฏสิ นธิ - หวั ข้อที่ 3 ศกึ ษาความร้เู รอื่ ง การแพร่พนั ธข์ุ องเมล็ด - หวั ขอ้ ที่ 4 ศกึ ษาความรเู้ รือ่ ง การงอกของเมล็ด 5) ให้แต่ละกลุม่ ช่วยกันศึกษาหาความรู้ในแต่ละหวั ข้อที่ตนเองได้รับไป โดยให้ทำลงในกระดาษบ รูฟเพื่อสรา้ งแผนผังความคดิ 6) สมาชิกแต่ละหัวข้อผลัดกันอธิบายความรู้ที่ได้จากการศึกษาให้สมาชิกคนอื่นๆ ในกลุ่มฟัง เรียงตามลำดบั หัวข้อที่ 1, 2, 3 และ 4 ขน้ั ที่ 3 ข้ันอธิบายและลงขอ้ สรปุ (Explanation) (20 นาที) 1) ครูและนักเรียนรว่ มกันสรุปและอภิปรายจากการดำเนินกจิ กรรมดงั น้ี การสบื พันธ์ุแบบอาศัย เพศของพืชมีการทำงานคล้ายกับสัตว์ กล่าวคือ ต้องมีการรวมตัวกันของเซลล์สืบพันธุ์เพศเมียและเพศผู้ซ่ึงเกิดขึ้น ในดอก ดอกน้ันจึงจะพร้อมและเริ่มกระบวนการต่อไปเพื่อขยายพันธุ์ และแม้วา่ ดอกไม้แต่ละสายพันธ์ุจะมีรูปร่าง หน้าตาที่แตกตา่ งกัน แตโ่ ครงสร้างหลกั ๆ ของดอกมอี ยู่ 4 ส่วนได้แก่ - กลีบเล้ียง (Sepals) มักเจริญมาจากใบ มีหน้าที่ป้องกันดอกจากอันตรายภายนอก ส่วนใหญ่มกั มสี ีเขียว แตส่ ำหรบั พืชบางสายพนั ธุอ์ าจมีการเปลี่ยนสหี รือรปู ร่างท่ีแปลกตาออกไปเพ่ือล่อแมลงให้มา ผสมเกสร
- กลีบดอก (Petals) เป็นกลีบของดอกไม้ทแ่ี ท้จรงิ โดยจะอยถู่ ัดจากกลีบเลยี้ งเข้าไปดา้ น ในของดอก มสี ีสนั สดใสสะดุดตา มีหนา้ ทีส่ ำคัญในการสร้างความโดดเด่นสะดุดตาแมลง และลอ่ ให้แมลงมาชว่ ยใน การผสมพันธ์ใุ ห้ได้มากทส่ี ดุ - เกสรตัวผู้ (Stamen) ทำหน้าที่สร้างเซลล์สืบพันธ์ุเพศผู้ สำหรับพืชบางชนิดอาจจะ วิวัฒนาการให้เกสรตัวผู้มีการผลิตน้ำหวานออกมาเพื่อช่วยล่อแมลงได้เช่นกนั เกสรตัวผู้มักมีหลายอันในหนึ่งดอก และในแต่ละอันก็จะมโี ครงสร้างทเี่ รยี กว่า ก้านเกสรตัวผู้ (Filament) อบั เรณู (Anther) ซง่ึ เปน็ ส่วนท่มี ลี ะอองเรณู (Pollen grain) อยู่ภายในเปน็ จำนวนมาก เพอ่ื ให้ม่ันใจว่าเซลลส์ ืบพนั ธุ์จะตดิ ไปกบั ตวั แมลงให้ไดม้ ากที่สุด - เกสรตัวเมีย (Pistil) มักจะอยู่ด้านในสุดของดอก ส่วนของยอดเกสรตัวเมีย (Stigma) มักมีสารเหนียว เพ่ือใชด้ ักจบั ละอองเรณู บริเวณแกนกลางของดอก หรือสว่ นทีต่ ่ำทสี่ ุดของเกสรตัวเมยี จะมีโครงสร้างเป็นกระเปาะ ซึง่ เรียกวา่ รังไข่ (Ovary) เปน็ ทีอ่ ยขู่ องเซลล์สืบพนั ธ์ุเพศเมีย โดยอาจจะมเี พียงเซลลเ์ ดยี ว หรืออาจจะแบ่งเป็นห้อง เล็ก ๆ ยอ่ ย ๆ โดยแต่ละหอ้ งก็มีเซลลส์ บื พันธเ์ุ พศเมียอยู่ ซง่ึ ในแต่ละหวั ข้อท่ีครูให้นกั เรยี นศกึ ษาไปนนั้ ล้วนเกดิ จากการท่ีพชื นั้นสืบพนั ธ์ุแบบอาศยั เพศ 2) ครูอธิบายเพ่ิมเติมว่าพืชที่มีโครงสร้างดอกครบท้ัง 4 ส่วนเรียกว่า ดอกสมบูรณ์ (Complete flower) หากมีไม่ครบ 4 ส่วนเรียกว่า ดอกไม่สมบูรณ์ (Incomplete flower) และหากพิจารณาที่โครงสร้าง สืบพันธ์ุ ในดอกท่ีมีครบทั้งสองเพศจะเรียกว่า ดอกสมบูรณ์เพศ (Perfect flower) และดอกที่มีเพียงเพศใดเพศ หน่งึ จะเรียกว่า ดอกไมส่ มบูรณ์เพศ (Imperfect flower) 3) ครูให้นักเรียนชมวิดิทัศนเ์ กี่ยวกับการสบื พันธ์ุแบบอาศยั เพศในพืชดอก เพื่อให้นักเรียนเข้าใจ มากยิ่งข้ึน ที่มา https://www.youtube.com/watch?v=ETODm3bGw8w
ขัน้ ท่ี 4 ข้ันขยายความรู้ (Elaboration) (10 นาที) 1) ครูเปิดโอกาสใหน้ ักเรยี นตงั้ คำถาม โดยใหแ้ ตล่ ะกลุ่มตง้ั คำถามมา 1 ขอ้ 2) ครูให้นักเรียนศึกษาแผนผงั ความรู้เพ่ิมเตมิ ดังน้ี ยอดเกสรเพศเมยี (stigma) กา้ นเกสรเพศเมยี (style) เกสรเพศผู้ (stamen) กลบี ดอก (petal) เป็นอวยั วะสืบพันธุ์เพศผู้ ทำหนา้ ทส่ี ร้างละอองเรณู การถา่ ยเรณู ละอองเรณูจาก เกสรตวั ผ้ไู ปตกบนยอด รังไข่ (ovary) เป็นอวัยวะสืบพนั ธ์ุ เกสรตวั เมีย เพศเมีย การงอก เมล็ดจะเริม่ เจรญิ เติบโต ทำหน้าท่ีสรา้ งรังไข่ ไปเปน็ พชื ตน้ ใหม่ เมลด็ (seeds) การแพร่กระจายของเมลด็ ออวุล (ovule) จะพฒั นาและเปลีย่ นแปลงไป เป็นเมลด็ ท่สี มบรู ณ์แล้วเมลด็ จะ การปฏิสนธิ เซลล์สบื พันธ์เุ พศผใู้ น แพรก่ ระจายไป ละอองเรณูจะรวมตัวกบั ไข่เพ่อื สรา้ ง เป็นตน้ อ่อน แผนภาพแสดงการสบื พันธขุ์ องพืชดอก 3) ครูให้นักเรียนทบทวนความรูเ้ กี่ยวกับส่วนประกอบของดอกและหนา้ ทข่ี องแต่ละสว่ นประกอบ โดยอาจนําดอกพชื มาให้ดูและสังเกตส่วนประกอบแต่ละสว่ น เพือ่ ให้เหน็ อยา่ งชัดเจนวา่ เรณูกับถุงเอม็ บรโิ ออยู่คน ละสว่ นกนั ครูใช้คําถามเพ่อื ใหน้ ักเรียนคิดวิเคราะห์ดังน้ี - ส่วนใดของดอกที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการสืบพันธ์ุแบบอาศัยเพศของพืชดอก เพราะ เหตุใด ( แนวการตอบ สว่ นเกสรเพศผู้และเกสรเพศเมียเพราะวา่ เกสรเพศผู้เปน็ สว่ นทส่ี รา้ งเซลลส์ ืบพันธ์เุ พศผู้และ เกสรเพศเมยี เป็นส่วนทส่ี ร้างเซลลส์ ืบพนั ธ์ุเพศเมยี )
- การสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศของพืชมีข้ันตอนอย่างไร (แนวการตอบ การถ่ายเรณูและ การผสมกันของเซลล์สืบพนั ธ์ุเพศผูแ้ ละเซลล์สืบพันธเุ์ พศเมยี ) ขน้ั ที่ 5 ข้นั ประเมนิ (Evaluation) (10 นาที) 1) การตอบคำถามในชัน้ เรยี น 2) การทำกิจกรรมในชน้ั เรียน 8. ส่ือการเรียนรู้ / แหล่งเรยี นรู้ 8.1 สื่อของจรงิ ได้แก่ ดอกไม้ชนดิ ต่างๆ ดอกมะเขอื ดอกชบา เปน็ ตน้ 8.2 สื่อออนไลน์ 8.3 หนงั สือเรยี นวทิ ยาศาสตรพ์ ้นื ฐาน ม.1 9. การวดั และการประเมิน ตวั ชี้วัด/ผลการเรียนรู้ วิธกี ารวดั เคร่ืองมือวัด เกณฑ์ทใ่ี ช้ในการประเมนิ 1 ดา้ นความรู้ :นกั เรียน - การตอบคำถามในชัน้ - แบบประเมนิ การตอบ ผ่านเกณฑร์ ะดับคุณภาพ 2 สามารถอธิบายการ เรียน คำถาม สบื พันธ์แุ บบอาศยั เพศใน ผ่านเกณฑร์ ะดบั คุณภาพ 2 พชื ดอกได้ - การตรวจแผนผัง - แบบประเมนิ การทำงาน 2. ด้านกระบวนการ : ความคิด กลมุ่ ผ่านเกณฑร์ ะดบั คุณภาพ 2 นกั เรยี นสามารถเขยี น แผนผงั การสบื พนั ธแุ์ บบ - การสังเกตพฤติกรรมใน - แบบประเมินการสังเกต อาศยั เพศในพชื ดอกตาม ชั้นเรยี น พฤติกรรม หัวข้อท่ีครูกำหนดใหไ้ ด้ 3. ดา้ นเจตคติ : นกั เรียน ต้ังใจเรยี นและมวี ินัยใน การเรยี น
10. กิจกรรมเสนอแนะ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………. ลงชอ่ื ผู้สอน (นางสาวจิรนันท์ เกตทุ หาร) 11. ขอ้ คิดเห็นของหวั หนา้ กลุม่ สาระการเรียนรู้ .............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................... ลงชอ่ื ............................................................... (นายนนั ท์ กอ้ คำ) หวั หน้ากลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 12. ขอ้ คดิ เห็น/ข้อเสนอแนะผชู้ ว่ ยผอู้ ำนวยการกลุ่มงานบรหิ ารวชิ าการ .............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................... ลงช่ือ............................................................... (....................................................) ผชู้ ว่ ยผอู้ ำนวยการกลุม่ งานบรหิ ารวชิ าการ การอนมุ ัตกิ ารใชแ้ ผนการจัดการเรยี นรู้จากฝ่ายบริหาร ความคิดเหน็ ของรองผ้อู ำนวยการฝา่ ยวชิ าการ .............................................................................................................................................................. เห็นสมควรอนุมัตใิ ห้ใช้ในการจัดการเรียนการสอน เห็นสมควรไม่อนุมตั ใิ ห้ใช้ในการจัดการเรียนการสอน เพราะ.......................................... ............................................................................................................................................................. ลงช่อื ............................................................ (นายนพดล ธรรมใจอุด) รองผอู้ ำนวยการโรงเรียนฝ่ายบริหารวชิ าการ
การอนมุ ัติจากผูอ้ ำนวยการโรงเรียน อนุมตั ใิ ห้ใชใ้ นการจัดการเรยี นการสอน ไมอ่ นุมัตใิ ห้ใช้ในการจดั การเรยี นการสอน เพราะ.............................................................. .............................................................................................................................................................. ลงชือ่ ....................................................................................... (นางวลิ าวัลย์ ปาลี) ผอู้ ำนวยการโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๒๔ จงั หวดั พะเยา
แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี 23 เรอื่ ง การสบื พันธแุ์ บบไม่อาศยั เพศในพืชดอก รายวิชา วิทยาศาสตร์ รหสั วชิ า ว21101 เวลา 1 คาบ หน่วยการเรียนรูท้ ่ี 4 ช่ือหนว่ ยการเรยี นรู้ การดำรงชวี ติ ของพชื รวม 20 คาบ กลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 1 ภาคเรียนที่ 1 สาระที่ 1 ช่ือสาระ วทิ ยาศาสตร์ชีวภาพ มาตรฐาน ว 1.2 1. มาตรฐานการเรยี นรู้/ตวั ช้วี ัด มาตรฐานการเรยี นรู้ - ว 1.2 เข้าใจสมบัติของส่ิงมีชีวิต หน่วยพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต การลําเลียงสารเข้าและออกจาก เซลล์ ความสัมพันธ์ของโครงสร้าง และหน้าที่ของระบบต่างๆ ของสัตว์และมนุษย์ที่ทํางานสัมพันธ์กัน ความสัมพันธ์ของโครงสร้าง และหน้าท่ีของอวัยวะต่าง ๆ ของพืชที่ทํางานสัมพันธ์กัน รวมทั้งนำความรู้ไปใช้ ประโยชน์ ตัวชวี้ ัด - ม 1/11 อธิบายการสืบพันธ์ุแบบอาศัยเพศ และไม่อาศัยเพศของพืช ดอก - ม 1/12 อธิบายลักษณะโครงสร้างของดอกท่ีมีส่วนทําให้เกิดการถ่ายเรณูรวมท้ังบรรยายการ ปฏิสนธิของพืชดอก การเกดิ ผลและเมลด็ การกระจายเมล็ด และการงอกของเมล็ด 2. สาระสำคัญ/ความคิดรวบยอด สาระสําคัญ พืชดอกทุกชนิดสามารถสืบพันธ์ุแบบอาศัยเพศได้และบางชนิดสามารถสบื พันธ์ุแบบไม่อาศัย เพศได้ การสืบพันธ์ุแบบอาศัยเพศเปน็ การสบื พันธุท์ ม่ี ีการผสมกันของสเปิรม์ กับเซลลไ์ ข่การสบื พันธ์แุ บบอาศัยเพศ ของพืชดอกเกิดขน้ึ ทด่ี อกโดยภายในอับเรณูของสว่ นเกสรเพศผมู้ ีเรณูซึง่ ทาํ หน้าที่สร้างสเปิร์ม ภายในออวุลของส่วน เกสรเพศเมียมีถุงเอ็มบริโอ ทําหน้าที่สร้างเซลล์ไข่การสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศเป็นการสืบพันธุ์ที่พืชตน้ ใหม่ไม่ได้ เกดิ จากการปฏิสนธริ ะหว่างสเปิร์มกับเซลลไ์ ข่แต่เกิดจากส่วนต่าง ๆ ของพืช เชน่ ราก ลําต้น ใบ มีการเจริญเติบโต และพัฒนาขึ้นมาเปน็ ตน้ ใหมไ่ ด้ 3. จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ 1) ด้านความรู้ (K) นกั เรยี นสามารถอธบิ ายการสบื พันธแ์ุ บบไม่อาศัยเพศในพืชดอกได้
2) ดา้ นกระบวนการ (P) นักเรียนสามารถเขียนความแตกต่างระหว่างการสืบพันธ์ุแบบอาศัยเพศในพืช ดอกกับการสบื พนั ธุแ์ บบไม่อาศยั เพศในพชื ดอกได้ 3) ดา้ นเจตคติ (A) นกั เรยี นต้ังใจเรียนและมีวินัยในการเรียน 4. คณุ ลกั ษณะผู้เรียน อยู่อย่างพอเพียง ซื่อสตั ยส์ ุจรติ มงุ่ ม่ันในการทำงาน 4.1 คุณลักษณะทพ่ี ึงประสงค์ รักความเปน็ ไทย ใฝ่เรียนรู้ มจี ิตสาธารณะ รกั ชาติ ศาสน์ กษัตรยิ ์ มีวินยั 5. ด้านสมรรถนะสำคญั ของผูเ้ รียน ความสามารถในการคดิ : นักเรยี นสามารถอธบิ ายการสบื พันธ์แุ บบอาศยั เพศในพืชดอกได้ 6. สาระการเรียนรู้ พชื ดอกทกุ ชนดิ สามารถสืบพนั ธแุ์ บบอาศัยเพศได้ นอกจากนั้นบางชนดิ ยังพบการสบื พันธุแ์ บบไม ่อาศัย เพศด้วยการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศของพืชดอกเกิดขึ้นท่ีดอก โดยทั่วไปดอกประกอบด้วย กลีบเลี้ยง กลีบดอก เกสรเพศผู้และเกสรเพศเมีย ภายในอับเรณูของเกสรเพศผู้มีเรณูทําหน้าที่สร้างสเปิรม์ ภายในออวุลของเกสรเพศ เมียมีถุงเอ็มบริโอทํา หน้าที่สร้างเซลล์ไข่ซ่ึงต้องมีการถ่ายเรณูจากอับเรณูไปยังยอดเกสรเพศเมียนําไปสู่การ ปฏิสนธิระหว่างสเปิร์มกับเซลล์ไข่ และระหว่างสเปิร์มกับโพลาร์นิวคลีไอในถุงเอ็มบริโอ หลังการปฏิสนธจิ ะได้ไซ โกตและเอนโดสเปิร์ม ไซโกตจะพัฒนาต่อไปเป็นเอ็มบริโอ โดยมีเอนโดสเปิร์มเป็นอาหารสะสมสําหรับเลี้ยง เอ็มบริโอ ส่วนออวุลพัฒนาไปเป็นเมล็ดและรังไข่พัฒนาไปเป็นผลผลและเมล็ดเมื่อเจริญเติบโตเต็มที่จะกระจาย ออกจากต้นโดยวิธกี ารต่างๆเม่อื เมล็ดไปตกในสภาพแวดล้อมท่ีเหมาะสมจะงอกเป็นต้นใหม่ ส่วนการสืบพันธ์ุแบบ ไมอ่ าศัยเพศ เป็นการสืบพนั ธท์ุ พ่ี ชื ตน้ ใหม่พัฒนาและเจรญิ เติบโตมาจากเนือ้ เยื่อส่วนต่าง ๆ ของพชื ตน้ เดมิ 7. กจิ กรรมการเรียนรู้ ใช้รปู แบบการจัดการเรียนการสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ (Inquiry Cycles: 5Es) (60 นาที) ข้นั ที่ 1 กระต้นุ ความสนใจ (Engagement) (10 นาที) 1) ครูทบทวนความรู้เดิมของนักเรียนเชื่อมโยงความรู้ของนักเรียนที่ได้จากเรื่องวิธีการถ่ายเรณู ของพชื ดอกและตรวจสอบความรเู้ ดมิ ในเรอื่ งการปฏสิ นธิของพชื ดอก โดยอาจใช้คําถามดงั นี้ - การถา่ ยเรณเู รณจู ะไปตกทส่ี ่วนใดของเกสรเพศเมีย ( แนวการตอบ ยอดเกสรเพศเมีย)
- หลังจากถ่ายเรณูแลว้ เซลลส์ ืบพนั ธ์ุเพศผ้ทู ี่อยใู่ นเรณูจะเขา้ ไปผสมกับเซลล์สืบพันธ์ุเพศ เมยี ได้อย่างไร ( แนวการตอบ นกั เรียนตอบตามความเขา้ ใจ) 2) ครูให้นักเรียนอ่านจับใจความและสรุปเน้ือหาจากหนังสือเรียนเกี่ยวกับการปฏิสนธิของพืช ดอกจากนนั้ ซกั ถาม โดยอาจใช้คาํ ถามดงั ต่อไปน้ี - ไซโกตเกิดขึ้นได้อย่างไร ( แนวการตอบ ไซโกต เกิดจากการปฏิสนธิของสเปิร์มกับ เซลลไ์ ข)่ - ไซโกตมีความสําคัญอย่างไร ( แนวการตอบ ไซโกตเป็นเซลล์ที่จะพัฒนาไปเป็น เอม็ บรโิ อซึ่งเปน็ สว่ นท่มี ีลกั ษณะคล้ายต้นออ่ นอยูใ่ นเมลด็ ) - เอนโดสเปิร์มเกิดข้ึนได้อย่างไร และสําคัญอย่างไร (แนวการตอบ เอนโดสเปิร์มเกิด จากการปฏิสนธขิ องสเปริ ม์ กบั โพลาร์นวิ คลไี อมคี วามสาํ คัญเพราะเปน็ แหล่งสะสมอาหารในเมล็ด) - ผล และเมล็ดพัฒนามาจากส่วนใด (แนวการตอบ ผลพัฒนามาจากรังไข่ เมลด็ พัฒนา มาจากออวุล) ขั้นท่ี 2 ขั้นสำรวจและค้นหา (Exploration) (30 นาที) 1) ครูใหน้ ักเรียนน่งั เปน็ กลมุ่ ตามทไ่ี ดจ้ ัดไว้ โดยจะมีสมาชกิ กลุม่ อยูป่ ระมาณ 4- 5 คนต่อกลมุ่ 2) ครูแจกใบงานท่ี 4.1 การสืบพันธแ์ุ บบไม่อาศัยเพศของพืชดอก โดยให้แตล่ ะคนทำใบงานและ ใหส้ มาชกิ ในกล่มุ ช่วยกันศกึ ษาหาความรู้ โดยในแต่ละกลุ่มหา้ มศึกษาเหมอื นกัน โดยใหม้ ีความแตกตา่ งกัน 3) เมื่อแต่ละคนทำใบงานเรียบร้อยแล้ว ครูให้แต่ละคนนำเสนอผลงานของตัวเอง จากใบงาน ท่ี 4.1 การสืบพันธุแ์ บบไม่อาศยั เพศของพืชดอก ขั้นที่ 3 ขน้ั อธิบายและลงขอ้ สรปุ (Explanation) (10 นาที) 1) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปและอภิปรายจากการดำเนินกิจกรรมดังนี้ การสืบพันธ์ุแบบไม่ อาศัยเพศของพืช กล่าวคือ การสืบพันธ์ุแบบอาศัยไม่อาศัยเพศของพืชดอกและการขยายพันธ์ุพืชพืชนอกจาก ขยายพันธ์ุด้วยเมล็ดซึ่งเป็นการสืบพันธ์ุแบบอาศัยเพศแล้วยังสามารถสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ (asexual reproduction) เชน่ - การขยายพันธุ์ด้วยลำต้น เช่นพืชที่มีลำต้นใต้ดนิ ทำหน้าที่สะสมอาหาร ได้แก่ ขิง ข่า ขม้ิน แหว้ เผือก หอม กระเทียม มนั ฝรงั่ วา่ นสท่ี ิศ - การขยายพันธุ์ด้วยก่ิง โดยการปักชำ ตอน ติดตา ทาบก่ิง หรือเสียบยอด เช่น ชบา พ่รู ะหง มะละ โกสน กุหลาบ พุทรา มะมว่ ง ดาวเรอื ง ฤาษผี สม - การขยายพันธด์ุ ว้ ยราก มักเปน็ รากชนดิ ทส่ี ะสมอาหาร เชน่ มันเทศ - การขยายพันธุ์ด้วยใบ เช่นใบคว่ำตายหงายเป็น ใบต้นทองสามย่าน ใบของต้นโคม ญี่ป่นุ
2) ครูให้นักเรียนชมวิดิทัศน์เกี่ยวกับการสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศในพืชดอก เพ่ือให้นักเรียน เข้าใจมากยิง่ ขึน้ ทมี่ า https://www.youtube. com/watch?v=ETOD m3bGw8w ขน้ั ท่ี 4 ขน้ั ขยายความรู้ (Elaboration) (10 นาที) 1) ครูเปิดโอกาสใหน้ ักเรยี นตง้ั คำถาม โดยใหแ้ ตล่ ะกลุม่ ตัง้ คำถามมา 1 ขอ้ 2) ครูให้นักเรียนเขียนความแตกต่างระหว่างการสืบพันธ์ุแบบอาศัยเพศในพืชดอกกับการ สืบพันธแ์ุ บบไม่อาศัยเพศในพชื ดอกลงในสมุดของตนเอง ขั้นที่ 5 ข้นั ประเมิน (Evaluation) (10 นาที) 1) การตอบคำถามในชั้นเรียน 2) การทำกิจกรรมในชั้นเรยี น 3) การตรวจสมุด 8. ส่ือการเรยี นรู้ / แหล่งเรยี นรู้ 8.1 ใบงานที่ 4.1 การสืบพนั ธแุ์ บบไม่อาศัยเพศของพืชดอก 8.2 ส่อื ออนไลน์ 8.3 หนังสอื เรียนวทิ ยาศาสตรพ์ ้ืนฐาน ม.1
9. การวัดและการประเมิน ตัวช้ีวัด/ผลการเรียนรู้ วิธีการวัด เครื่องมือวดั เกณฑท์ ่ีใชใ้ นการประเมนิ - แบบประเมินการตอบ ผ่านเกณฑร์ ะดับคุณภาพ 2 1 ด้านความรู้ :นกั เรียน - การตอบคำถามในช้นั คำถาม ผ่านเกณฑร์ ะดับคุณภาพ 2 สามารถอธบิ ายการ เรยี น - แบบประเมนิ การทำงาน ผ่านเกณฑร์ ะดับคุณภาพ 2 รายบคุ คล สบื พนั ธุ์แบบไมอ่ าศยั เพศ - แบบประเมินการสังเกต ในพืชดอกได้ พฤตกิ รรม 2. ดา้ นกระบวนการ : - การตรวจเขียนความ นกั เรยี นสามารถเขียน แตกตา่ งระหวา่ งการ ความแตกต่างระหว่างการ สืบพันธ์ุแบบอาศยั เพศใน สบื พนั ธ์แุ บบอาศัยเพศใน พชื ดอกกบั การสบื พันธุ์ พืชดอกกบั การสบื พันธ์ุ แบบไมอ่ าศยั เพศในพชื แบบไม่อาศยั เพศในพืช ดอกได้ ดอกได้ 3. ด้านเจตคติ : นักเรยี น - การสังเกตพฤตกิ รรมใน ต้ังใจเรียนและมีวนิ ยั ใน ชัน้ เรยี น การเรียน 10. กิจกรรมเสนอแนะ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………. ลงชื่อ ผู้สอน (นางสาวจริ นันท์ เกตทุ หาร) 11. ขอ้ คิดเห็นของหัวหน้ากล่มุ สาระการเรียนรู้ .............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................... ลงช่ือ............................................................... (นายนันท์ ก้อคำ)
หวั หนา้ กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 12. ข้อคดิ เหน็ /ขอ้ เสนอแนะผูช้ ว่ ยผู้อำนวยการกลุ่มงานบรหิ ารวชิ าการ .............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................... ลงชอ่ื ............................................................... (....................................................) ผู้ช่วยผู้อำนวยการกลุ่มงานบรหิ ารวิชาการ การอนมุ ตั ิการใชแ้ ผนการจัดการเรียนรจู้ ากฝา่ ยบรหิ าร ความคดิ เหน็ ของรองผู้อำนวยการฝา่ ยวชิ าการ .............................................................................................................................................................. เหน็ สมควรอนมุ ตั ิให้ใช้ในการจดั การเรียนการสอน เห็นสมควรไมอ่ นมุ ัติใหใ้ ชใ้ นการจัดการเรยี นการสอน เพราะ.......................................... ............................................................................................................................................................. ลงชอื่ ............................................................ (นายนพดล ธรรมใจอุด) รองผอู้ ำนวยการโรงเรียนฝ่ายบริหารวชิ าการ การอนมุ ัติจากผ้อู ำนวยการโรงเรียน อนุมัตใิ ห้ใชใ้ นการจดั การเรียนการสอน ไม่อนมุ ัติใหใ้ ช้ในการจดั การเรยี นการสอน เพราะ.............................................................. .............................................................................................................................................................. ลงชอื่ ....................................................................................... (นางวลิ าวัลย์ ปาลี) ผ้อู ำนวยการโรงเรยี นราชประชานเุ คราะห์ ๒๔ จังหวดั พะเยา
ช่อื -สกลุ ..............................................เลขท่ี........หอ้ ง........ ใบงานท่ี 4.1 การสบื พนั ธุแ์ บบไม่อาศัยเพศของพืช คำชีแ้ จง ใหน้ กั เรียนวาดภาพหรอื ติดภาพการขยายพนั ธุพ์ ชื แบบไม่อาศัยเพศที่สนใจมา 1 วิธี แล้วบันทกึ ข้อมูล (วาดภาพหรอื ติดภาพ) • เปน็ การขยายพนั ธ์พุ ืช โดยวิธี ของพืชมาใช้ในการ • เปน็ การนำส่วน ขยายพนั ธุ์ • มขี นั้ ตอน ดงั นี้
ใบงานท่ี 4.1 การสบื พนั ธแุ์ บบไม่อาศยั เพศของพชื คำชี้แจง ให้นักเรยี นวาดภาพหรอื ติดภาพการขยายพันธ์พุ ชื แบบไม่อาศัยเพศท่ีสนใจมา 1 วิธี แลว้ บนั ทึกข้อมูล (ตัวอย่าง) • เปน็ การขยายพนั ธพุ์ ชื โดยวิธี การเสียบยอด • เปน็ การนำสว่ น ยอดของต้นพันธุท์ ด่ี ี ของพืชมาใช้ในการ ขยายพนั ธุ์ • มขี น้ั ตอน ดงั นี้ 1) ตัดยอดตน้ ตอ่ ให้สงู จากพ้ืนดนิ ประมาณ 10 เซนตเิ มตร แล้วผ่ากลางลำตน้ ของตน้ ตอให้ลกึ ประมาณ 3-4 เซนตเิ มตร 2) เฉือนยอดพันธด์ุ ีเป็นรูปล่ิมยาวประมาณ 3-4 เซนติเมตร 3) เสียบยอดพนั ธดุ์ ีลงในแผลตน้ ตอใหร้ อยแผลตรงกัน แล้วใช้เชือกมดั ด้านบนและดา้ นล่างของรอยแผล ตน้ ตอให้แนน่ 4) ทิง้ เอาไว้ประมาณ 5-8 สัปดาห์ รอยแผลจะประสานกนั ดี แลว้ นำออกมาพักไว้ในโรงเรอื นเพื่อรอการ ปลูกตอ่ ไป
(พจิ ารณาตามคำตอบของนักเรยี น โดยใหอ้ ยู่ในดุลยพนิ ิจของครผู ูส้ อน) แผนการจัดการเรยี นรู้ที่ 24 เรื่อง เมล็ดงอกไดอ้ ย่างไร รายวิชา วิทยาศาสตร์ รหัสวิชา ว21101 เวลา 1 คาบ หนว่ ยการเรียนรูท้ ่ี 4 ชอื่ หน่วยการเรียนรู้ การดำรงชีวิตของพชื รวม 20 คาบ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชน้ั มธั ยมศึกษาปที ่ี 1 ภาคเรียนที่ 1 สาระท่ี 1 ชื่อสาระ วทิ ยาศาสตร์ชวี ภาพ มาตรฐาน ว 1.2 1. มาตรฐานการเรยี นร/ู้ ตัวช้วี ัด มาตรฐานการเรียนรู้ - ว 1.2 เข้าใจสมบัติของสิ่งมีชีวิต หน่วยพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต การลําเลียงสารเข้าและออกจาก เซลล์ ความสัมพันธ์ของโครงสร้าง และหน้าท่ีของระบบต่างๆ ของสัตว์และมนุษย์ท่ีทํางานสัมพันธ์กัน ความสัมพันธ์ของโครงสร้าง และหน้าท่ีของอวัยวะต่าง ๆ ของพืชที่ทํางานสัมพันธ์กัน รวมท้ังนำความรู้ไปใช้ ประโยชน์ ตวั ชวี้ ัด - ม 1/12 อธิบายลักษณะโครงสร้างของดอกที่มีส่วนทําให้เกิดการถ่ายเรณูรวมทั้ง บรรยายการปฏิสนธิของพชื ดอก การเกดิ ผลและเมล็ดการกระจายเมลด็ และการงอกของเมล็ด 2. สาระสำคญั /ความคดิ รวบยอด สาระสาํ คัญ ผลและเมล็ดมีการกระจายออกจากต้นเดิม โดยวิธีการต่าง ๆ เม่ือเมล็ดไปตกใน สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมจะเกิดการงอกของเมล็ด โดยเอ็มบริโอภายในเมล็ดจะเจริญออกมา โดยระยะแรกจะ อาศัยอาหารทส่ี ะสมภายในเมลด็ จนกระทงั่ ใบแท้พัฒนา จนสามารถสงั เคราะหด์ ว้ ยแสงไดเ้ ตม็ ท่ีและสรา้ งอาหารได้ เองตามปกติ 3. จดุ ประสงค์การเรียนรู้ 1) ด้านความรู้ (K) นักเรยี นสามารถอธิบายการงอกของเมล็ดพืชใบเลีย้ งเด่ยี วและเมลด็ พืชใบเลี้ยงคู่ ได้ 2) ดา้ นกระบวนการ (P) นักเรยี นสามารถปฏิบตั กิ จิ กรรมท่ี 4.1 เมลด็ งอกได้อยา่ งไรได้
3) ด้านเจตคติ (A) นกั เรยี นตง้ั ใจเรียนและเกบ็ อุปกรณเ์ ขา้ ทีเ่ มอ่ื ปฏิบตั ิกจิ กรรมเสรจ็ 4. คณุ ลกั ษณะผู้เรียน อยู่อย่างพอเพียง ซือ่ สตั ย์สุจรติ มุ่งมน่ั ในการทำงาน 4.1 คุณลักษณะที่พึงประสงค์ รักความเป็นไทย ใฝเ่ รียนรู้ มีจติ สาธารณะ รกั ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ มีวินยั 5. ดา้ นสมรรถนะสำคัญของผ้เู รียน ความสามารถในการคิด : นักเรยี นสามารถอธิบายการการงอกของเมลด็ พืชใบเลยี้ งเดยี่ วและเมล็ดพืช ใบเลี้ยงคู่ได้ 6. สาระการเรยี นรู้ เมล็ดพืชมีส่วนประกอบแตกต่างกัน ส่วนประกอบต่างๆ ของเมล็ดทําหน้าท่ีแตกต่างกัน หรืออาจ เหมือนกัน ซึ่งโดยทั่วไปเมล็ดพืชประกอบด้วยเปลือกหุ้มเมล็ดที่เป็นส่วนห่อหุ้มส่วนประกอบอ่ืนๆของเมล็ด เอ็มบริโอทีเ่ ป็นตน้ อ่อนภายในเมลด็ และเอนโดสเปิร์มเป็นอาหารสะสมภายในเมล็ดตน้ เดิม 7. กจิ กรรมการเรยี นรู้ ใช้รปู แบบการจดั การเรียนการสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ (Inquiry Cycles: 5Es) (120 นาที) ข้ันท่ี 1 กระตนุ้ ความสนใจ (Engagement) (15 นาที) 1) ครูทบทวนความรู้เดิมของนักเรียนเช่ือมโยงความรู้ของนักเรียนท่ีได้จากเรื่องวิธีการถ่ายเรณู ของพชื ดอกและตรวจสอบความรเู้ ดมิ ในเรื่องการปฏิสนธขิ องพืชดอก โดยอาจใชค้ าํ ถามดังนี้ - การถา่ ยเรณเู รณจู ะไปตกทีส่ ว่ นใดของเกสรเพศเมยี ( แนวการตอบ ยอดเกสรเพศเมีย) - หลังจากถ่ายเรณูแลว้ เซลล์สืบพนั ธ์เุ พศผู้ท่ีอยู่ในเรณูจะเขา้ ไปผสมกบั เซลล์สืบพนั ธ์ุเพศ เมยี ไดอ้ ยา่ งไร ( แนวการตอบ นกั เรียนตอบตามความเขา้ ใจ) 2) ครูให้นักเรียนอ่านจับใจความและสรุปเนื้อหาจากหนังสือเรียนเกี่ยวกับการปฏิสนธิของพืช ดอกจากน้ันซักถาม โดยอาจใช้คําถามดังตอ่ ไปนี้ - ไซโกตเกิดขึ้นได้อย่างไร ( แนวการตอบ ไซโกต เกิดจากการปฏิสนธิของสเปิร์มกับ เซลลไ์ ข)่ - ไซโกตมีความสําคัญอย่างไร ( แนวการตอบ ไซโกตเป็นเซลล์ท่ีจะพัฒนาไปเป็น เอ็มบรโิ อซง่ึ เป็นสว่ นท่ีมีลักษณะคล้ายต้นออ่ นอยู่ในเมลด็ )
- เอนโดสเปิร์มเกิดขึ้นได้อย่างไร และสําคัญอย่างไร (แนวการตอบ เอนโดสเปิร์มเกิด จากการปฏิสนธขิ องสเปิรม์ กับโพลารน์ วิ คลีไอมีความสาํ คัญเพราะเป็นแหล่งสะสมอาหารในเมลด็ ) - ผล และเมล็ดพัฒนามาจากส่วนใด (แนวการตอบ ผลพัฒนามาจากรังไข่ เมลด็ พัฒนา มาจากออวุล) ขนั้ ท่ี 2 ขน้ั สำรวจและคน้ หา (Exploration) (60 นาที) 1) ครูใหน้ ักเรยี นน่งั เปน็ กลุม่ ตามที่ไดจ้ ัดไว้ โดยจะมีสมาชิกกลุ่มอย่ปู ระมาณ 4- 5 คนตอ่ กลมุ่ 2) ครูให้นักเรียนดำเนินกิจกรรมที่ 4.1 เมล็ดดงอกได้อย่างไร โดยครูได้เตรียมอุปกรณ์ไว้ให้ นักเรียนเรยี บร้อยแล้ว และใหน้ กั เรยี นดำเนนิ กจิ กรรมตามที่ใบกิจกรรมที่ 4.1 เมลด็ ดงอกไดอ้ ย่างไร 3) เม่ือแต่ละกลุ่มดำเนินกิจกรรมเรียบร้อยแล้ว ครูให้แต่ละกลุ่มออกมานำเสนอผลงานของ นักเรียน ขน้ั ท่ี 3 ข้ันอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation) (20 นาที) 1) ครูและนักเรียนร่วมกนั อภิปรายในประเดน็ ดังตอ่ ไปน้ี - กิจกรรมน้ีเกี่ยวกับเร่ืองอะไร ( แนวการตอบส่วนประกอบและหน้าท่ีของแต่ละ ส่วนประกอบของเมลด็ ) - กจิ กรรมนีม้ จี ุดประสงค์อะไร ( แนวการตอบ นักเรยี นตอบตามความคดิ ของตนเอง ) - วิธีการดําเนินกิจกรรมโดยสรุปเป็นอย่างไร ( แนวการตอบ สังเกตลักษณะภายนอก และภายในของเมล็ดถ่ัวแดงและเมล็ดขา้ วโพดสืบค้นและรวบรวมขอ้ มูลเพ่ือระบุส่วนประกอบและหน้าที่ของแต่ละ ส่วนประกอบของเมลด็ ) - ข้อควรระวังในกิจกรรมน้ีมีหรือไม่อย่างไร ( แนวการตอบ มีต้องใช้ใบมีดโกนอย่าง ระมดั ระวงั เพราะใบมีดโกนคม อาจบาดได้) 2) จากกิจกรรมสรุปได้ว่าเมล็ดถั่วแดงและเมล็ดข้าวโพดมีส่วนประกอบแตกต่างกัน ส่วนประกอบต่างๆ ของเมล็ดทําหน้าท่ีแตกต่างกัน หรืออาจเหมือนกัน ซ่ึงโดยทั่วไปเมล็ดพืชประกอบดว้ ยเปลือก หุ้มเมล็ดที่เป็นส่วนห่อหุ้มส่วนประกอบอื่นๆของเมล็ดเอ็มบริโอที่เป็นต้นอ่อนภายในเมล็ด และเอนโดสเปิร์มเป็น อาหารสะสมภายในเมล็ด ขั้นที่ 4 ขัน้ ขยายความรู้ (Elaboration) (15 นาที) 1) ครูเปดิ โอกาสใหน้ ักเรยี นตง้ั คำถาม โดยให้แตล่ ะกลมุ่ ตงั้ คำถามมา 1 ขอ้ 2) ครูตงั้ คำถามว่า การงอกของเมล็ดพืชใบเลีย้ งเด่ียวและเมล็ดพืชใบเลี้ยงคู่ เหมือนและแตกต่าง กันอย่างไร ( แนวคาํ ตอบ การงอกของเมล็ดพชื ใบเลี้ยงเดี่ยวและเมล็ดพืชใบเล้ียงคู่ มสี ่วนท่ีเหมอื นกันคอื มีรากงอก ออกมาจากเมล็ดก่อนส่วนอืน่ ๆ แตแ่ ตกต่างกันท่ีการงอกของเมล็ดพืชใบเลี้ยงเดี่ยว เช่น ข้าวโพดใบเลยี้ งจะไม่โพล่
พ้นออกจากเมล็ด มแี ต่ใบแทเ้ จริญออกมา ส่วนการงอกของเมล็ดพืชใบเล้ียงคู่เช่น ถวั่ แดง ใบเล้ยี งจะเจริญงอกจาก เมล็ดพร้อมกบั ต้นอ่อน และเม่ือใบเลี้ยงขยายขนาดใหญ่ขน้ึ ก็จะกางออกทาํ ให้เหน็ ใบแท้) 3) ครูถามนกั เรยี นวา่ - การสกุ ของผลมีผลตอ่ การกระจายของผลและเมล็ดหรือไม่อย่างไร ( แนวคําตอบ การ สกุ ของผลมีผลต่อการกระจายของเมล็ด โดยเฉพาะพืชที่มีผลเป็นอาหารของสัตว์ เมื่อผลสกุ จะมีกล่ินในการดึงดูด สัตว์ให้เข้ามากิน และนําผลติดตัวออกไปดว้ ย หรือเมื่อสัตว์กนิ และจดจํารสชาติได้ก็จะกลับมากนิ ผลหรอื เมล็ดของ พืชชนดิ นน้ั อกี ) - ความสูงของลําต้นมีผลต่อการกระจายของผลและเมล็ดโดยลมหรือไม่อย่างไร (แนว คำตอบ ความสูงของลําต้นพืชมีผลต่อการกระจายของผลและเมล็ดเพราะเก่ียวข้องกับแรงโน้มถ่วงทีท่ ําให้ผลท่ีตก ลงมานน้ั อาจจะแตกหรอื กระจายออกไปไดไ้ กลหรอื ใกล้กบั ต้นเดิม) 4) ครูให้นักเรียนไปสืบค้นและรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับส่วนประกอบและหน้าท่ีของแต่ละ ส่วนประกอบของเมล็ดถัว่ แดงและเมล็ดขา้ วโพดเพมิ่ เติม ขั้นท่ี 5 ขัน้ ประเมิน (Evaluation) (10 นาที) 1) การตอบคำถามในชน้ั เรยี น 2) การทำกิจกรรมในชั้นเรยี น 3) การตรวจสมุด 8. ส่ือการเรียนรู้ / แหลง่ เรยี นรู้ 8.1 ใบงานที่ 4.1 การสืบพนั ธ์แุ บบไม่อาศัยเพศของพืชดอก 8.2 ส่ือออนไลน์ 8.3 หนังสอื เรียนวทิ ยาศาสตรพ์ ้นื ฐาน ม.1 9. การวดั และการประเมนิ ตวั ชี้วัด/ผลการเรยี นรู้ วธิ ีการวดั เคร่อื งมือวดั เกณฑท์ ใ่ี ชใ้ นการ ประเมิน 1 ด้านความรู้ :นักเรยี นสามารถอธิบายการ - การตอบคำถามในช้ัน - แบบประเมนิ การ งอกของเมล็ดพชื ใบเลี้ยงเด่ียวและเมล็ดพชื เรียน ตอบคำถาม ผ่านเกณฑร์ ะดบั ใบเล้ียงคไู่ ด้ คุณภาพ 2 2. ดา้ นกระบวนการ :นักเรยี นสามารถ - การตรวจใบกิจกรรม - แบบประเมินการ ปฏิบตั ิกจิ กรรมท่ี 4.1 เมลด็ งอกไดอ้ ย่างไร ท4่ี .1 เมล็ดงอกได้ ทำงานกลมุ่ ผ่านเกณฑร์ ะดับ คุณภาพ 2
ได้ อยา่ งไรได้ 3. ดา้ นเจตคติ : นกั เรียนต้งั ใจเรยี นและเกบ็ - การสังเกตพฤตกิ รรม - แบบประเมินการ ผ่านเกณฑร์ ะดับ อุปกรณ์เขา้ ท่ีเมือ่ ปฏิบตั กิ ิจกรรมเสรจ็ ในชนั้ เรยี น สังเกตพฤติกรรม คุณภาพ 2 10. กิจกรรมเสนอแนะ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………. ลงชื่อ ผู้สอน (นางสาวจริ นันท์ เกตทุ หาร) 11. ข้อคดิ เห็นของหวั หน้ากลมุ่ สาระการเรยี นรู้ .............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................... ลงชื่อ............................................................... (นายนนั ท์ กอ้ คำ) หัวหนา้ กลุ่มสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 12. ขอ้ คิดเห็น/ขอ้ เสนอแนะผู้ชว่ ยผ้อู ำนวยการกล่มุ งานบรหิ ารวิชาการ .............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................... ลงชอื่ ............................................................... (....................................................) ผชู้ ่วยผอู้ ำนวยการกลุ่มงานบรหิ ารวชิ าการ การอนมุ ัตกิ ารใชแ้ ผนการจัดการเรียนรจู้ ากฝ่ายบริหาร ความคิดเห็นของรองผอู้ ำนวยการฝา่ ยวชิ าการ .............................................................................................................................................................. เหน็ สมควรอนุมัตใิ หใ้ ช้ในการจดั การเรียนการสอน เหน็ สมควรไม่อนุมัตใิ ห้ใช้ในการจดั การเรยี นการสอน เพราะ.......................................... .............................................................................................................................................................
ลงช่ือ............................................................ (นายนพดล ธรรมใจอดุ ) รองผูอ้ ำนวยการโรงเรียนฝ่ายบรหิ ารวิชาการ การอนุมัติจากผูอ้ ำนวยการโรงเรียน อนมุ ตั ใิ ห้ใช้ในการจดั การเรยี นการสอน ไม่อนมุ ัตใิ หใ้ ช้ในการจดั การเรยี นการสอน เพราะ.............................................................. .............................................................................................................................................................. ลงชอื่ ....................................................................................... (นางวลิ าวลั ย์ ปาลี) ผอู้ ำนวยการโรงเรยี นราชประชานุเคราะห์ ๒๔ จังหวัดพะเยา
กิจกรรมที่ กลมุ่ ท.่ี ....... 4.1 เมลด็ งอกได้อย่างไร นักเรียนจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับส่วนประกอบของเมล็ด ปัจจัยในการงอกของเมล็ด การเปลี่ยนแปลงของ ส่วนประกอบของเมล็ดขณะงอก จากน้ันนาํ ผลท่ีได้จากการสังเกตและรวบรวมขอ้ มูลมาลงข้อสรุปเกี่ยวกับการงอก ของเมล็ด จุดประสงค์ 1. สงั เกต รวบรวมข้อมลู และระบสุ ่วนประกอบและหน้าที่ของสว่ นประกอบของเมล็ดพืช 2. รวบรวมขอ้ มูล และระบุปจั จัยในการงอกของเมล็ด 3. อภปิ ราย ลงมอื ปฏิบตั ิเพ่อื สงั เกตการเปลย่ี นแปลงของเมล็ดขณะงอก วัสดอุ ปุ กรณ์ทใ่ี ชต้ ่อกลุ่ม วัสดุและอปุ กรณ์ รายการ ปริมาณ/กลุม่ 1. เมล็ดถว่ั แดง 10 - 15 เมลด็ 2. เมล็ดข้าวโพด 10 - 15 เมล็ด 3. ใบมดี โกน เทา่ จํานวนคนในกลมุ่ 4. แว่นขยาย 2 อัน วธิ ีการดำเนินกิจกรรม 1. ครูแจกอุปกรณ์และตวั อย่างในการทดลอง ( เมลด็ ถวั่ และเมล็ดข้าวโพด ซง่ึ ครนู ำไปแช่นำ้ ประมาณ 4 ชั่วโมง ก่อนการทดลอง ) 2. ให้นกั เรียนผ่ากึ่งกลางของเมลด็ แล้วสงั เกตบนั ทึกผลลงในตารางบนั ทกึ ผล พร้อมวาดภาพและอธิบาย ตารางบันทกึ ผล เมลด็ พชื ลักษณะภายนอก ลักษณะภายใน
แผนการจัดการเรยี นรู้ท่ี 25 เรือ่ ง การขยายพันธพุ์ ืช รายวชิ า วทิ ยาศาสตร์ รหัสวชิ า ว21101 เวลา 2 คาบ หน่วยการเรยี นรู้ที่ 4 ชอ่ื หน่วยการเรยี นรู้ การดำรงชวี ิตของพืช รวม 20 คาบ กลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ ชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ี่ 1 ภาคเรียนท่ี 1 สาระที่ 1 ชื่อสาระ วทิ ยาศาสตร์ชวี ภาพ มาตรฐาน ว 1.2 1. มาตรฐานการเรยี นรู้/ตัวชว้ี ดั มาตรฐานการเรียนรู้ - ว 1.2 เข้าใจสมบัติของส่ิงมีชีวิต หน่วยพื้นฐานของส่ิงมีชีวิต การลําเลียงสารเข้าและออกจาก เซลล์ ความสัมพันธ์ของโครงสร้าง และหน้าท่ีของระบบต่างๆ ของสัตว์และมนุษย์ท่ีทํางานสัมพันธ์กัน ความสัมพันธ์ของโครงสร้าง และหน้าที่ของอวัยวะต่าง ๆ ของพืชท่ีทํางานสัมพันธ์กัน รวมท้ังนำความรู้ไปใช้ ประโยชน์ ตัวชวี้ ัด - ม 1/16 เลือกวิธีการขยายพันธ์ุพืชให้เหมาะสมกับความต้องการของมนุษย์โดยใช้ความรู้เก่ียวกับการ สืบพันธุ์ของพืช - ม 1/17 อธบิ ายความสาํ คัญของเทคโนโลยกี ารเพาะเลีย้ งเน้ือเยอื่ พืชในการใชป้ ระโยชนด์ ้านตา่ ง ๆ 2. สาระสำคญั /ความคดิ รวบยอด สาระสาํ คญั ผลและเมล็ดมีการกระจายออกจากต้นเดิม โดยวิธีการต่าง ๆ เมื่อเมล็ดไปตกใน สภาพแวดล้อมท่ีเหมาะสมจะเกิดการงอกของเมล็ด โดยเอ็มบริโอภายในเมล็ดจะเจริญออกมา โดยระยะแรกจะ อาศยั อาหารทีส่ ะสมภายในเมลด็ จนกระทัง่ ใบแทพ้ ัฒนา จนสามารถสังเคราะห์ดว้ ยแสงได้เตม็ ท่ีและสร้างอาหารได้ เองตามปกติ 3. จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ 1) ดา้ นความรู้ (K) นักเรียนสามารถเลอื กวิธกี ารขยายพนั ธพ์ุ ืชไดอ้ ยา่ งเหมาะสม
2) ดา้ นกระบวนการ (P) นักเรยี นสามารถขยายพันธพ์ุ ชื ตวั อยา่ งได้อย่างถกู วธิ ี 3) ดา้ นเจตคติ (A) นกั เรียนตระหนกั ถงึ พชื หายากและตอ้ งการขยายพันธุเ์ พือ่ อนรุ ักษ์ 4. คณุ ลกั ษณะผู้เรียน อยู่อย่างพอเพียง ซอื่ สตั ย์สจุ รติ มุง่ ม่ันในการทำงาน 4.1 คุณลกั ษณะท่พี งึ ประสงค์ รักความเปน็ ไทย ใฝ่เรียนรู้ มจี ิตสาธารณะ รักชาติ ศาสน์ กษัตรยิ ์ มวี นิ ัย 5. ด้านสมรรถนะสำคัญของผ้เู รยี น ความสามารถในการคดิ : นกั เรยี นสามารถเลือกวธิ กี ารขยายพันธุ์พืชได้อยา่ งเหมาะสม 6. สาระการเรียนรู้ การขยายพันธุ์พืชแบ่งออกเป็น 2 แบบคือ การขยายพันธ์ุแบบอาศัยเพศ ได้แก่ การขยายพันธุ์โดยการ ใช้เมลด็ และการขยายพันธ์ุแบบไมอ่ าศัยเพศ ได้แก่ การขยายพนั ธ์ุโดยการใช้ส่วนต่างๆ ของตน้ พชื เช่น การปกั ชำ การตอนก่ิง การติดตา การตอ่ ก่ิง รวมถึงการเพาะเลย้ี งเนือ้ เยอ่ื 7. กิจกรรมการเรียนรู้ ใชร้ ปู แบบการจัดการเรียนการสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ (Inquiry Cycles: 5Es) (120 นาที) ขนั้ ที่ 1 กระต้นุ ความสนใจ (Engagement) (20 นาที) 1) ครทู บทวนความรู้เดิมของนกั เรียนเช่ือมโยงความรขู้ องนักเรียนที่ได้จากเรื่องการงอกของเมล็ด โดยครูถามนักเรียนว่า การงอกของเมล็ดพืชใบเลี้ยงเด่ียวและเมล็ดพืชใบเลี้ยงคู่ เหมือนและแตกต่างกันอย่างไร ( แนวคําตอบ การงอกของเมล็ดพืชใบเลี้ยงเด่ียวและเมล็ดพืชใบเลี้ยงคู่ มีสว่ นท่ีเหมือนกันคือมีรากงอกออกมาจาก เมล็ดก่อนส่วนอื่นๆ แต่แตกต่างกันท่ีการงอกของเมลด็ พืชใบเลี้ยงเด่ียว เช่น ข้าวโพดใบเล้ยี งจะไม่โพล่พ้นออกจาก เมล็ด มีแต่ใบแท้เจริญออกมา ส่วนการงอกของเมล็ดพืชใบเลยี้ งคเู่ ชน่ ถ่ัวแดง ใบเล้ยี งจะเจริญงอกจากเมล็ดพร้อม กับต้นออ่ น และเมื่อใบเล้ียงขยายขนาดใหญข่ น้ึ กจ็ ะกางออกทาํ ใหเ้ ห็นใบแท้) 2) ครูให้นกั เรยี นไดช้ มวดิ ทิ ัศนเ์ กย่ี วกบั การขยายพันธพ์ุ ืชจากส่ือออนไลน์
ขั้นท่ี 2 ขั้นสำรวจแทลีม่ ะาคhน้ tหtpาs:(/E/xwpwlowr.aytoiountu)b(e6.0coนmาท/wี) atch?v=yv2tXR35y70 1) ครูให้นักเรียนน่งั เปน็ กลมุ่ ตามทไ่ี ด้จัดไว้ โดยจะมีสมาชิกกลุ่มอยู่ประมาณ 4- 5 คนตอ่ กลมุ่ 2) ครูให้นักเรียนดำเนนิ กจิ กรรมท่ี 4.2 เลอื กวิธีการขยายพันธุ์พืชอยา่ งไรให้เหมาะสม โดยให้วาง แผนการนำตัวอย่างพืชที่นกั เรียนจะไปขยายพันธุ์จากที่บ้าน นักเรียนควรใชว้ ิธีไหนดีในการขยายพันธ์ุให้เหมาะสม ซ่ึงนักเรียนจะต้องวางแผนได้แก่ ศึกษาชนิดพืชนั้นๆ 1 ชนิด โดยสมาชิกในกลุ่มห้ามใช้พืชเหมือนกัน และศึกษา วิธีการขยายพันธุ์ เป็นต้น โดยครูสังเกตการทํางานร่วมกัน และให้นักเรียนสามารถสืบค้นข้อมูลจากแหล่งท่ี น่าเช่ือถือ หรือในส่ืออินเทอรเ์ น็ต ในกรณีท่นี ักเรียนไม่รู้จักพืชที่จะเลอื กมาขยายพนั ธค์ุ รคู วรแนะนําท้ังนกี้ ิจกรรมน้ี ครใู หน้ ักเรยี นเขยี นลงในกระดาษรายงาน ซ่งึ รายงานในรปู แบบใดกไ็ ด้ 3) เมื่อแต่ละคนดำเนินกิจกรรมเรียบร้อยแล้ว ครูให้แต่ละคนนำเสนอผลงานของตัวเองภายใน กล่มุ ขณะเดยี วกันสมาชิกในกลุ่มก็จดบนั ทกึ ความรลู้ งไปในสมดุ ของตวั เอง 4) ครใู ห้นกั เรียนกลับไปขยายพนั ธพุ์ ชื ตามที่นักเรียนได้เขียนเอาไว้แล้วนำมาสง่ ในคาบถัดไป ขัน้ ที่ 3 ข้นั อธิบายและลงขอ้ สรปุ (Explanation) (15 นาที) 1) ครแู ละนกั เรยี นร่วมกันอภิปรายและสรุปจากกิจกรรม โดยครตู ัง้ คำถามดงั น้ี - กิจกรรมนเี้ กย่ี วกบั เรือ่ งอะไร ( แนวการตอบ การขยายพนั ธุ์พืช ) - กจิ กรรมน้มี ีจุดประสงค์อะไร ( แนวการตอบ นกั เรยี นตอบตามความคิดของตนเอง) - วิธีการดําเนินกิจกรรมโดยสรุปเป็นอย่างไร ( แนวการตอบ รวบรวมข้อมูลวิธี ขยายพันธุ์พืชเปรียบเทียบข้อดีข้อจํากัดของแต่ละวิธีเลือกพืชดอกที่สนใจและเลือกวิธีการท่ีเหมาะสมในการ ขยายพันธุ์พชื ดอกชนิดนั้น แล้วจัดทําเปน็ แผนภาพเพ่ืออธิบายขอ้ มลู เหลา่ นน้ั ) - วิธีการขยายพันธุ์พืชมีอะไรบ้าง ( แนวการตอบ การเพาะเมล็ด ติดตา ปักชํา ต่อกิ่ง ทาบกิ่ง ตอนกิ่ง และเพาะเล้ียงเนือ้ เย่อื ) 2) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเน้ือหา กล่าวคือ การขยายพันธุ์พืชทำได้หลายรูปแบบข้ึนอยู่กับ ชนดิ ของพืชนนั้ ๆ ซึง่ ได้แก่ การเพาะเมล็ด ติดตา ปักชํา ตอ่ กง่ิ ทาบก่งิ ตอนก่ิง และเพาะเล้ยี งเน้อื เยอ่ื
ขน้ั ที่ 4 ข้ันขยายความรู้ (Elaboration) (20 นาที) 1) ครเู ปดิ โอกาสให้นักเรียนตงั้ คำถาม โดยให้แต่ละกลมุ่ ตง้ั คำถามมา 1 ขอ้ 2) ครูให้นักเรียนดูวิดิทัศน์เก่ียวกับการขยายพันธุ์พืชแบบใหม่ นั่นคือการเพาะเล้ียงเนื้อเย่ือ ซึ่ง เป็นวิธีการท่ีช่วยเพ่ิมผลผลิตได้ดีและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และยังสามารถเพาะเล้ียงเนื้อเย่ือพืชท่ีกำลังจะสูญ พันธไ์ุ ป 3) ครูถามนกั เรียนว่า ขอ้ ดแี ละข้อเสียของการเพาะเล้ียงเนื้อเยื่อมอี ะไรบา้ ง ( แนวการตอบ ขอ้ ดี – ทำใหส้ ามารถเพ่มิ จำนวนตน้ พันธ์พุ ชื ททม่ี ีต่ า้องการในปริมาณอนั มากในเวลาอันรวดเร็วได้ – ทำใหส้ ามาhรtถtpผsล:ติ//ตw้นwพwชื ท.yม่ี oลี uกั tuษbณeะ.cทoาmงพ/ันwธaกุ tรcรhม?vเห=มbือ5น-Mตน้eทV4ี่เปrz็นต้นแบบได้ – ทำใหส้ ามารถผลิตตน้ พชื จำนวนหลาmยๆgต้นที่มีขนาดสม่ำเสมอกนั ได้ – ทำใหส้ ามารถผลิตตน้ พืชทปี่ ราศจากโรคได้ – ทำให้สามารถเก็บรักษาพันธ์ุพืชพื้นเมืองท่ีมีอยู่เดิม พันธ์ุพืชหายาก พันธ์ุพืชท่ีใกล้สูญพันธุ์ พนั ธ์ุพืชทีม่ ลี กั ษณะทดี่ ี พันธพ์ุ ชื ท่ีมีลกั ษณะท่ตี ้องการ หรือพนั ธพ์ุ ืชท่แี ลกเปลีย่ นระหว่างประเทศได้ – ทำใหส้ ามารถใช้ปรับปรุงพันธุ์พชื ได้ – ทำใหส้ ามารถผลิตยาหรอื สารเคมีท่ไี ดจ้ ากพืชได้ – สามารถใชป้ ระโยชน์เพ่อื การสกัดสารจากตน้ พืชเพ่ือนำมาใชป้ ระโยชนใ์ นดา้ นตา่ งๆได้ – ทำใหส้ ามารถผลิตพันธ์ุพืชที่มีความต้านทานหรือทนทานได้ เช่น พันธ์ุพืชที่ทนต่อดนิ เค็ม หรือ ดินเปร้ียว, พันธุ์พืชที่ทนต่อสภาพอากาศร้อนหรือหนาว, พันธ์ุพืชท่ีทนต่อสารเคมีกำจัดศัตรูพืช, พันธ์ุพืชท่ีทนต่อ โรคตา่ งๆและสารพษิ ตา่ งๆทเ่ี กิดจากพวก เชื้อรา แบคทเี รยี และไวรัส – ทำใหส้ ามารถผลิตโปรโตพลาสหรอื โพรโทพลาส(Protoplasts)ได้ – ทำให้สามารถผลติ พชื ทม่ี ีโครโมโซม(Chromosome)หลายชุด(Polyploids)ได้ ขอ้ เสีย - ลงทุนสงู ค่าใช้จา่ ยสงู - ทำได้ยาก ต้องอาศยั ความชำนาญและประสบการณ์ 4) ครูให้นักเรียนเขียนลงในสมุดของนักเรียน โดยนักเรียนตระหนักถึงพืชหายากและต้องการ ขยายพนั ธุ์เพือ่ อนรุ กั ษ์ไดอ้ ยา่ งไรบา้ ง ขน้ั ที่ 5 ขน้ั ประเมนิ (Evaluation) (5 นาที)
1) การตอบคำถามในชัน้ เรียน 2) การทำกิจกรรมในชั้นเรยี น 3) การตรวจสมดุ 4) การตรวจชนิ้ งานการขยายพันธ์พุ ชื 8. ส่ือการเรียนรู้ / แหลง่ เรยี นรู้ 8.1 กิจกรรมที่ 4.2 เลือกวธิ ีการขยายพันธุ์พชื อยา่ งไรใหเ้ หมาะสม 8.2 ส่ือออนไลน์ 8.3 หนังสอื เรียนวทิ ยาศาสตร์พ้ืนฐาน ม.1 8.4 ช้ินงานการขยายพันธ์ุพืชของนักเรยี น 9. การวดั และการประเมิน ตัวช้ีวัด/ผลการเรยี นรู้ วิธีการวัด เครอ่ื งมอื วดั เกณฑ์ท่ีใช้ในการประเมิน 1 ดา้ นความรู้ :นกั เรยี น - กิจกรรมท่ี 4.2 เลือก - แบบประเมนิ การทำงาน ผ่านเกณฑร์ ะดับคุณภาพ 2 สามารถเลอื กวิธกี าร วิธกี ารขยายพันธ์ุพชื รายบุคคล ขยายพันธพ์ุ ืชไดอ้ ยา่ ง อยา่ งไรใหเ้ หมาะสม เหมาะสม 2. ด้านกระบวนการ : - การตรวจชน้ิ งานการ - แบบประเมนิ การทำงาน ผา่ นเกณฑ์ระดบั คุณภาพ 2 นักเรียนสามารถ ขยายพันธุ์พชื ของนกั เรียน รายบุคคล ขยายพนั ธพุ์ ชื ตัวอยา่ งได้ อยา่ งถกู วธิ ี 3. ด้านเจตคติ : นกั เรยี น - การตรวจสมุดนักเรียน - แบบประเมนิ การทำงาน ผา่ นเกณฑ์ระดับคุณภาพ 2 ตระหนักถงึ พืชหายากและ รายบคุ คล ตอ้ งการขยายพนั ธุ์เพื่อ อนุรักษ์ 10. กิจกรรมเสนอแนะ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………. ลงชอื่ ผู้สอน (นางสาวจิรนันท์ เกตุทหาร)
11. ข้อคดิ เห็นของหวั หนา้ กล่มุ สาระการเรียนรู้ .............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................... ลงชือ่ ............................................................... (นายนันท์ ก้อคำ) หวั หน้ากลมุ่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 12. ข้อคิดเหน็ /ข้อเสนอแนะผู้ชว่ ยผ้อู ำนวยการกลมุ่ งานบรหิ ารวชิ าการ .............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................... ลงชือ่ ............................................................... (....................................................) ผชู้ ่วยผอู้ ำนวยการกลมุ่ งานบรหิ ารวชิ าการ การอนมุ ตั กิ ารใช้แผนการจดั การเรยี นรู้จากฝ่ายบริหาร ความคดิ เห็นของรองผ้อู ำนวยการฝา่ ยวิชาการ .............................................................................................................................................................. เห็นสมควรอนุมัตใิ หใ้ ช้ในการจดั การเรียนการสอน เห็นสมควรไม่อนมุ ัติใหใ้ ช้ในการจดั การเรียนการสอน เพราะ.......................................... ............................................................................................................................................................. ลงช่อื ............................................................ (นายนพดล ธรรมใจอุด) รองผู้อำนวยการโรงเรยี นฝา่ ยบรหิ ารวิชาการ การอนุมตั ิจากผู้อำนวยการโรงเรียน อนมุ ัติให้ใชใ้ นการจัดการเรียนการสอน ไมอ่ นมุ ัตใิ หใ้ ช้ในการจัดการเรียนการสอน เพราะ..............................................................
.............................................................................................................................................................. ลงชอื่ ....................................................................................... (นางวลิ าวลั ย์ ปาลี) ผอู้ ำนวยการโรงเรียนราชประชานเุ คราะห์ ๒๔ จงั หวดั พะเยา แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี 26 เรือ่ ง ปจั จยั ทีจ่ ําเป็นในการสังเคราะห์ดว้ ยแสง รายวิชา วทิ ยาศาสตร์ รหัสวิชา ว21101 เวลา 2 คาบ หน่วยการเรียนรทู้ ่ี 4 ชอ่ื หน่วยการเรยี นรู้ การดำรงชวี ติ ของพืช รวม 20 คาบ กลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ช้ันมัธยมศกึ ษาปที ี่ 1 ภาคเรยี นที่ 1 สาระที่ 1 ชอื่ สาระ วิทยาศาสตรช์ วี ภาพ มาตรฐาน ว 1.2 1. มาตรฐานการเรยี นรู้/ตัวชว้ี ัด มาตรฐานการเรียนรู้ - ว 1.2 เข้าใจสมบัติของส่ิงมีชีวิต หน่วยพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต การลําเลียงสารเข้าและออกจาก เซลล์ ความสัมพันธ์ของโครงสร้าง และหน้าที่ของระบบต่างๆ ของสัตว์และมนุษย์ที่ทํางานสัมพันธ์กัน ความสัมพันธ์ของโครงสร้าง และหน้าท่ีของอวัยวะต่างๆ ของพืชที่ทํางานสัมพันธ์กัน รวมทั้งนำความรู้ไปใช้ ประโยชน์ ตัวช้ีวดั - ม 1/6 ระบุปัจจัยที่จําเป็นในการสังเคราะห์ด้วยแสงและผลผลิตที่ เกิดข้นึ จากการสงั เคราะห์ด้วยแสงโดยใชห้ ลกั ฐานเชงิ ประจักษ์ 2. สาระสำคัญ/ความคิดรวบยอด สาระสาํ คัญ กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืชเกิดข้ึนในคลอโรพลาสต์ เป็นกระบวนการที่นํา พลังงานแสงมาเปล่ียนแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์และน้ำให้เป็นน้ำตาล พืชจะเปลี่ยนน้ำตาลเป็นสารประกอบ อินทรีย์อื่นๆและเก็บสะสมในโครงสร้างต่างๆ ของพืช พืชจึงเป็นแหล่งอาหารและพลังงานที่สําคัญของส่ิงมีชีวิต ชนิดอื่น นอกจากนี้การสังเคราะห์ด้วยแสงยังเป็นกระบวนการผลิตแก๊สออกซิเจนออกสู่บรรยากาศ เพื่อให้ ส่งิ มีชีวติ ชนิดอื่นนาํ ไปใชใ้ นกระบวนการหายใจ
3. จุดประสงค์การเรียนรู้ 1) ด้านความรู้ (K) นักเรียนสามารถอธิบายความสำคัญของปัจจัยท่ีมีผลต่อกระบวนการสงั เคราะห์ ดว้ ยแสงของพืชได้ 2) ดา้ นกระบวนการ (P) นักเรยี นสามารถเขยี นแผนผังปัจจัยท่มี ผี ลตอ่ การสังเคราะหด์ ว้ ยแสงได้ 3) ดา้ นเจตคติ (A) นักเรยี นมีวินยั และตั้งใจเรยี น 4. คุณลักษณะผู้เรียน อยู่อย่างพอเพียง ซอ่ื สัตยส์ ุจรติ มุ่งมนั่ ในการทำงาน 4.1 คณุ ลักษณะทีพ่ งึ ประสงค์ รักความเปน็ ไทย ใฝ่เรยี นรู้ มจี ติ สาธารณะ รกั ชาติ ศาสน์ กษัตรยิ ์ มวี ินยั 5. ด้านสมรรถนะสำคัญของผเู้ รยี น ความสามารถในการคิด : นักเรียนสามารถอธิบายความสำคัญของปัจจัยที่มีผลต่อกระบวนการ สงั เคราะหด์ ้วยแสงของพืชได้ 6. สาระการเรยี นรู้ กระบวนการสร้างอาหารของพืช เรียกว่า กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง ซึ่งมีน้ำและก๊าซ คาร์บอนไดออกไซด์เป็นวตั ถุดิบ มีแสงและคลอโรฟิลล์ ชว่ ยทำให้ได้ผลิตภัณฑ์คือนำ้ ตาล น้ำ และก๊าซออกซิเจน พืชต้องการแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์และน้ำเป็นวัตถุดิบในการสังเคราะห์ด้วยแสง โดยมีคลอโรฟิลล์ แสง และแร่ ธาตุเป็นตวั กระตนุ้ ทำใหเ้ กิดนำ้ ตาลกลโู คสและก๊าซออกซิเจน ปจั จัยท่ีใช้ในกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืชคือ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และน้ำ ผลผลิตท่ีได้ จากกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช คอื นำ้ ตาล ออกซิเจน โดยกระบวนการดังกล่าวเกิดข้ึนที่คลอโรฟิลล์ ในชว่ งเวลาทมี่ ีแสงหรอื ช่วงเวลากลางวนั 7. กจิ กรรมการเรยี นรู้ ใช้รูปแบบการจัดการเรียนการสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ (Inquiry Cycles: 5Es) (120 นาที) ขัน้ ที่ 1 กระตุ้นความสนใจ (Engagement) (20 นาที) 1) ครูเชื่อมโยงเนื้อหาจากเร่ืองการสืบพันธ์ุและการขยายพันธ์ุพืชดอก เข้าสู่บทเรียนนี้ โดยอาจ ใช้คําถามวา่ หลงั จากงอกออกจากเมลด็ แล้วพืชใชอ้ าหารจากแหล่งใดในการเจริญเตบิ โต 2) ให้นักเรยี นสังเกตภาพนําบทท่ี 2 ในหนังสอื เรยี นหรือภาพ วีดิทัศน์ หรอื ส่อื อ่ืน ๆ ท่เี กีย่ วกับ
การงอกของเมล็ดพืชตั้งแต่เริ่มงอก จนใบแท้เจริญเต็มท่ี จากนั้นตรวจสอบความเขา้ ใจของนกั เรยี นเกี่ยวกับอาหาร ของพชื โดยให้อ่านเน้ือหานําบท และรว่ มกนั อภปิ รายเกย่ี วกับอาหารของพชื โดยอาจใช้คาํ ถามดังน้ี - ส่วนใดของเมล็ดที่เป็นอาหารสําหรบั ใชใ้ นการงอกของเมล็ด ( แนวการตอบ เอนโดสเปิร์มหรือ ใบเลีย้ ง) - ถ้าอาหารในเอนโดสเปิร์มหรอื ใบเลี้ยงหมดไป พชื จะนําอาหารจากท่ใี ดมาใช้ในการเจริญเติบโต ( แนวการตอบ นกั เรียนตอบตามความเขา้ ใจเชน่ สรา้ งอาหารขึน้ มาใหมไ่ ด้เอง) 3) ครใู ห้นักเรียนสงั เกตภาพถั่วเขยี วทมี่ ีการเจรญิ เติบโตทีต่ า่ งกนั ดงั ภาพ ท่มี า https://sites.google.com/site/sciencekids02/home/chiwit-phuch 4) ครูถามนักเรยี นว่าทำไมต้นถ่ัวเขียวจึงมีการเจริญเตบิ โตต่างกัน ( แนวการตอบ อายุของต้นถ่ัว ระยะฟกั ตัว แรธ่ าตอุ าหาร และครพู ยายามตะลอ่ มไปจนถงึ นักเรียนตอบวา่ แสง น้ำและ แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ) 5) ครูให้นักเรียนทํากิจกรรมทบทวนความรู้ก่อนเรียน แล้วนําเสนอผลการทำกิจกรรมถ้าครู พบว่านักเรียนยังทำกิจกรรมทบทวนความรู้ก่อนเรียนไม่ถูกต้อง ครูควรทบทวนหรือแก้ไขความเข้าใจผิดของ นกั เรยี น เพือ่ ใหน้ ักเรียนมีความรพู้ น้ื ฐานทีถ่ กู ต้องและเพียงพอที่จะเรยี นเร่ืองการสังเคราะหด์ ว้ ยแสงของพชื ตอ่ ไป ขนั้ ท่ี 2 ขน้ั สำรวจและคน้ หา (Exploration) (60 นาที) 1) ครใู ห้นักเรยี นน่ังเปน็ กลมุ่ ตามทไ่ี ดจ้ ัดไว้ โดยจะมสี มาชกิ กลุม่ อยปู่ ระมาณ 4- 5 คนตอ่ กลมุ่ 2) ครูให้นักเรียนเขียนแผนผังปัจจัยท่ีมีผลต่อการสังเคราะห์ด้วยแสงโดยให้แต่ละกลุ่มช่วยกัน โดยใหท้ ำลงในกระดาษบรู๊ฟ ตกแต่งใหส้ วยงามพร้อมนำเสนอ 3) เมื่อแต่ละกล่มุ ดำเนินกิจกรรมของกลุ่มตัวเองเรียบร้อยแล้ว ครูให้แต่ละกลุม่ นำเสนอ โดยจัด ให้แต่ละกลุ่มจะต้องมีผู้ที่ทำหน้าท่ีในการนำเสนอ 1 คน และคนอ่ืนๆ ที่เหลือให้เวียนไปตามกลุ่มต่างๆ โดยครูจะ จับเวลาในการหมุนเวยี นกลุม่ กลมุ่ ละ 3 นาที และเม่อื ครบทกุ กลุ่มแล้วครูจะให้แต่ละคนที่ไปเยีย่ มชมกลุ่มอ่ืนๆมา แลกเปลย่ี นเพือ่ ให้สมาชิกผทู้ ่ีทำหนา้ ท่นี ำเสนอภายในกลมุ่ นัน้ ได้เรยี นรูไ้ ปด้วย ข้ันที่ 3 ขั้นอธิบายและลงขอ้ สรปุ (Explanation) (15 นาที)
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249