186 ตารางท่ี 4.33 (ตอ่ ) ประเดน็ คาํ ถาม ผลการสัมภาษณ์/ผู้ให้ข้อมูล ข้อมูลจาก การศกึ ษาเอกสาร/ ความเหมาะสมกับ “ในปั จจุบันยังมีความเชื่ อในเร่ื องของความหมายและ สภาพบ้ านเมืองใน ความเป็ นมงคลอยู่ ซ่ึงสงั เกตได้จากลวดลายที่อยู่บนชุด ตาํ รา/ภาพถ่าย ปั จ จุ บั น ท่ี มี ต่ อ พืน้ เมือง ยงั คงมีการใช้ลวดลายต่างๆ อย่เู หมือนดงั อดีต และงานวจิ ัยท่ี วัฒนธรรมการแต่ง แต่สีสันของเสือ้ ผ้าในปัจจุบันจะสดใสมากกว่าในอดีต กายชุดย่าหยาและ และยังมีการแต่งกายชุดพืน้ เมืองบ้างในบางโอกาส เช่น เก่ียวข้อง รองเท้ าปั กขอ งสตรี การไปร่วมงานของทางวัฒนธรรม ทางจังหวดั หรืองาน อําเภอเมือง จังหวัด บวช งานแต่งงาน จากการที่ได้เห็นได้สงั เกต เพราะป้ า ภูเก็ต ในด้ านศิลป ยงั คงแต่งชุดพืน้ เมืองอย่ทู กุ วนั ” (จรูญรัตน์ ตนั ฑวณิช. วฒั นธรรม สมั ภาษณ์, 16 กนั ยายน 2556) “วัฒนธรรมในปัจจุบันแตกต่างจากในอดีตไม่มาก ทาง ภูเก็ตพยายามสืบทอดของเก่าๆ และของเดิมให้กลบั มา เหมือนเดิม แต่สภาพของสภาพแวดล้อม งบประมาณท่ี รัฐบาลส่งมา หรืออาจจะเป็ นจิตสํานึกของคนที่อยู่ใน จังหวัดภูเก็ตว่าจะมีส่วนร่วมในการพัฒนาอย่างไร และ อยากให้วัฒนธรรมการแต่งกายคงอยู่อย่างไร เช่น ชุด ย่าหยา ไมม่ ีใครสวมใสก่ นั ลกู หลานในอนาคตก็จะไม่รู้ว่า ชาวจีนแต่งกายแบบไหน ส่วนใหญ่จะเป็ นการสืบสาน มากกว่า ในปัจจุบันไม่มีการเปล่ียนแปลงไปเยอะเท่าไร แต่เป็ นการสืบสานของเดิมๆ เอาไว้” (สรุ เชษฐ์ เจริญผล. สมั ภาษณ์, 1 กนั ยายน 2556) จากตารางที่ 4.33 ความเหมาะสมกบั สภาพบ้าน เมืองในปัจจุบนั ท่ีมีต่อวฒั นธรรมการ แต่งกายชดุ ย่าหยาและรองเท้าปักของสตรี อําเภอเมือง จงั หวดั ภเู ก็ต ในด้านศิลปวฒั นธรรม จาก การศกึ ษาสรุปได้วา่ ในปัจจบุ นั นีล้ กู หลานคนไทยเชือ้ สายจีนก็ยงั มกี ารสืบทอดวฒั นธรรมของบรรพ บรุ ุษ เช่น วฒั นธรรมอาหารการกิน วฒั นธรรมการแตง่ กายและวฒั นธรรมความเชื่อต่างๆ ปัจจบุ นั ยงั มีความเชื่อในเรื่องของความหมายและความเป็ นมงคลของลวดลายตา่ งๆอยู่ ซง่ึ สงั เกตได้จาก
187 ลวดลายท่ีอยู่บนชุดพืน้ เมือง ยงั คงมีการใช้ลวดลายต่างๆ เหมือนดงั อดีต แต่สีสนั ของเสือ้ ผ้าใน ปัจจบุ นั จะสดใสมากกว่าในอดีต และยงั มีการแต่งกายชุดพืน้ เมืองบ้างในบางโอกาส เช่น การไป ร่วมงานขอทางวฒั นธรรมของทางจังหวดั ท่ีจัดขึน้ หรืองานบวช งานแต่งงาน ทางจังหวดั ภูเก็ต พยายามสืบทอดของเก่าๆ แบบเดิมๆ ให้กลบั มาเหมือนครัง้ อดีต และจากการสงั เกตของผ้ศู กึ ษาที่ ได้พบเห็น ศลิ ปวฒั นธรรมในปัจจบุ นั ของจงั หวดั ภเู ก็ตยงั คงเหมือนเดิมเช่นในอดีต เพราะชาวภเู ก็ต ยงั คงรักษาและมีการอนุรักษ์ไว้ให้คงอยู่สืบไป นอกจากนีว้ ฒั นธรรมการแต่งกายชุดย่าหยาและ รองเท้าปักยงั แสดงถึงศิลปะและวฒั นธรรมของคนในชุมชนเป็ นอย่างดี ซ่ึงลวดลายต่างๆยงั คง เหมือนเดิมไม่มีการเปลี่ยนแปลงและมีหน่วยงานต่างๆเข้ ามาสนับสนุนการอนุรักษ์ ศิลปะและ วฒั นธรรมเหลา่ นีไ้ ว้ การแตง่ กายแบบบา่ บา๋ ในด้านศลิ ปวฒั นธรรมนนั้ มีความเหมาะสมเพราะเป็ น การสืบสานงานทางด้านภูมิปัญญา ในด้านการตดั เสือ้ ผ้า การปักรองเท้า ซึ่งสถาบนั การศึกษา องค์กรตา่ งๆ รวมทงั้ ภาครัฐยงั มีการสนบั สนนุ และสง่ เสริมเกี่ยวกบั ศลิ ปวฒั นธรรมการแตง่ กาย เพ่ือ เป็ นการอนรุ ักษ์และสืบทอด ภมู ปิ ัญญาของบรรพบรุ ุษท่ีได้คดิ และถ่ายทอดมาจากรุ่นสรู่ ุ่นไมใ่ ห้เกิด การสญู หาย 4.2 อภปิ รายผล จากการศึกษา วัฒนธรรมการแต่งกายชุดย่าหยาและรองเท้าปักของสตรี อําเภอเมือง จงั หวดั ภเู ก็ต ปรากฏผล ดงั รายละเอียดตอ่ ไปนี ้ 4.2.1 การศึกษาประวัตศิ าสตร์การตงั้ ถ่นิ ฐานของชาวจนี ในจังหวัดภเู ก็ต ผลการศกึ ษา พบว่า ในสมยั รัชกาลที่ 3–5ชาวจีนได้หนีความแห้งแล้งและความ อดอยากจากภยั ธรรมชาติและภยั จากสงครามและปัญหาการแย่งชิงอํานาจภายในประเทศ โดย เดินทางด้วยเรือสําเภาเข้ามาอาศยั อย่ใู นจงั หวดั ภเู ก็ต ซง่ึ ชาวจีนท่ีอพยพเข้ามาส่วนใหญ่เป็ นชาว ฮกเกีย้ นที่มาจากทางภาคใต้และภาคตะวนั ออกของประเทศจีน โดยเข้ามาเป็ นแรงงานในเหมืองแร่ ดีบกุ ที่บ้านเก็ตโฮ่ อําเภอ กะทู้ เป็ นที่แรก เพราะที่กระท้มู ีการทําเหมืองแร่ดีบกุ เป็ นจํานวนมาก ซงึ่ สอดคล้ องกับแนวคิดของ ฤดี(2550) ท่ีกล่าวว่า เน่ืองจากจังหวัดภูเก็ตเป็ นแหล่ง ทรัพยากรธรรมชาติที่สําคญั จึงเป็ นสิ่งจูงใจให้คนในภูมิภาคต่างๆ อพยพเข้ามาตงั้ ถิ่นฐานใน ดินแดนนีเ้ ป็ นจํานวนมาก หลงั จากนัน้ ก็มีการกระจายตวั ของชาวจีนไปถึงชุมชนเมืองเก่า เมือง ภเู ก็ต สว่ นใหญ่ชาวจีนท่ีได้เข้ามาอยใู่ นยา่ นเมืองเก่า เมืองภเู ก็ต จะประกอบอาชีพค้าขาย และทํา เหมืองแร่ดีบกุ สว่ นคนจีนที่มายคุ หลงั ได้เข้ามาอยตู่ ามหมบู่ ้านบางเหนียว ถนนถลาง อําเภอถลาง และในเมืองภูเก็ตและได้กระจดั กระจายไปทวั่ ทงั้ เกาะภเู ก็ตแล้วค่อยเริ่มขยายถ่ินฐานออกไป วิถี
188 ชีวิตของคนจีนทีภเู ก็ตจะเน้นการทําเหมืองแร่ดีบกุ เป็ นอาชีพหลกั มีบางสว่ นที่ทําการค้า ทําประมง และทําการเกษตร โดยชาวจีนสว่ นใหญ่จะแต่งงานกบั คนท้องถิ่น ทําให้เกิดลกู ผสม ซง่ึ ชาวภเู ก็ตมี คําใช้เรียกกนั ทวั่ ไปว่า “พวกบาบ๋า” โดยจะเรียกรวมทงั้ ผ้หู ญิงและผ้ชู ายไม่แยกเพศ สว่ นใหญ่เด็ก พวกนีพ้ ่อจะปลูกฝังวัฒนธรรมจีนให้กับลูกและครอบครัว เพราะฉะนัน้ กลุ่มคนบาบ๋าจะมี 2 วฒั นธรรมในครอบครัว คอื เดก็ สามารถไปวดั ก็ได้หรือไปศาลเจ้าก็ได้ น่ีคือ วฒั นธรรมที่ผสมผสาน กนั เป็ นอยา่ งดี ด้วยเหตนุ ีจ้ งึ ทําให้จงั หวดั ภเู ก็ตมีวฒั นธรรมท่ีหลากหลาย ชาวจีนท่ีมาตงั้ ถ่ินฐานใน จงั หวดั ภเู ก็ตส่วนใหญ่จะส่งผล ต่อด้านวฒั นธรรมการแต่งกายของคนภูเก็ต เพราะคนภเู ก็ตส่วน ใหญ่จะเป็ น พวกบาบา๋ ซงึ่ มีพอ่ ที่มาจากเมืองจีน แล้วมาแตง่ งานกบั แมท่ ่ีเป็ นคนพืน้ เมือง จึงทําให้ ได้รับอิทธิพลการแต่งกายมาจากทางฝ่ังมลายู สงิ คโปร์ ปี นงั และมะละกาเข้ามา เน่ืองจากชาวจีน ท่ีเข้ามาตงั้ ถ่ินฐานในจงั หวดั ภเู ก็ตมีอยู่ 2 กลมุ่ ด้วยกนั จงึ ทําให้การแตง่ กายของชาวจีนทงั้ 2 กลมุ่ นี ้ มีความแตกตา่ ง โดยกลมุ่ แรกที่เข้ามา จะมาตงั้ ถิ่นฐานที่ มลายู ปี นงั มะละกาก่อน แล้วจึงอพยพ มาภเู ก็ตในภายหลงั จงึ ทําให้ชาวจีนเหลา่ นีน้ ําวฒั นธรรมตา่ งๆมายงั จงั หวดั ภเู ก็ต จงึ ทําให้เกิดการ ผสมผสานของวฒั นธรรม จึงทําให้คนภเู ก็ตแต่งกายแบบย่าหยา คือ สวมใส่เสือ้ ครุยยาว เสือ้ ครุย สนั้ เสอื ้ คอตงั้ แขนจีบ กบั ผ้าปาเต๊ะซง่ึ สอดคล้องกบั แนวคดิ ของ ไชยยทุ ธ (2544) ที่วา่ บทบาทของ ชาวจีนที่มาตงั้ ถ่ินฐานในจังหวดั ภเู ก็ตส่วนใหญ่จะส่งผล ต่อด้านวฒั นธรรมการแต่งกายของคน ภเู ก็ต เพราะคนภเู ก็ตสว่ นใหญ่จะเป็ น พวกบาบา๋ ซง่ึ มีพอ่ ที่มาจากเมืองจีน แล้วมาแตง่ งานกบั แมท่ ี่ เป็ นคนพืน้ เมือง จงึ ทําให้ได้รับอิทธิพลการแตง่ กายมาจากทางฝั่งมลายู สงิ คโปร์ ปี นงั และมะละกา เข้ามา เนื่องจากชาวจีนที่เข้ามาตงั้ ถ่ินฐานในจงั หวดั ภเู ก็ตมีอยู่ 2 กลมุ่ ด้วยกนั จึงทําให้การแตง่ กาย ของชาวจีนทงั้ 2 กล่มุ นีม้ ีความแตกต่าง โดยกล่มุ ที่เข้ามาจะมาตงั้ ถ่ินฐานที่ มลายู ปี นงั มะละกา ก่อน แล้วจึงอพยพมาภเู ก็ตในภายหลงั จึงทําให้ชาวจีนเหลา่ นีไ้ ด้ไปเห็นส่ิงตา่ งๆ จากเมืองท่ีเขาได้ ไปอยมู่ าจงึ ทําให้ได้รับวฒั นธรรมตา่ งๆมายงั จงั หวดั ภเู ก็ต บวกกบั จงั หวดั ภเู ก็ตมีการค้าขายกบั ปี นงั เพราะการเดนิ ทางจากกเู ก็ตไปปี นงั สะดวกกวา่ ท่ีจะขนึ ้ ลงกรุงเทพฯ จึงทําให้เกิดการผสมผสานของ วฒั นธรรม จึงทําให้คนภเู ก็ตแตง่ กายแบบย่าหยา เช่น เสือ้ ครุยยาว เสือ้ ครุยสนั้ เสือ้ คอตงั้ แขนจีบ เสือ้ ย่าหยาแบบตา่ งๆ น่ีคือวฒั นธรรมที่เรารับเขามา จงึ ทําให้เราแต่งตวั แบบหลากหลาย และชาว จีนอีกกลมุ่ ที่เข้ามายงั จงั หวดั ภเู ก็ตจะมีการเดินทางจากเมืองฝเู จีย้ นมายงั จงั หวดั ภเู ก็ตโดยตรงโดย ไม่แวะท่ีไหนเลยชาวจีนเหลา่ นีจ้ ะเข้ามากลมุ่ ใหญ่มากในสมยั รัชกาลท่ี 3–5 เพราะว่าในระยะเวลา นนั้ พระยารัษฎานุประดิษฐ์ สมหุ เทศาภิบาล มณฑลภเู ก็ต มีความคิดที่จะขยายกิจการเหมืองแร่ ดีบกุ จงึ นําชาวจีนเข้าประเทศเพ่ือท่ีจะขยายกิจการเหมืองแร่ดีบกุ ในขณะนนั้ จึงทําให้ชาวจีนกล่มุ นีม้ ีการแตง่ กายแบบจีน คือ นิยมสวมใสก่ างเกงแพรจีน ไว้มวย สวมกําไลหยก ผกู เท้า ภายหลงั ได้
189 มีการประยกุ ต์ชดุ แตง่ กายของชาวจีนทงั้ 2 กลมุ่ ให้มาเป็ นการแตง่ กายแบบของคนภเู ก็ตเอง คือ ชดุ ยา่ หยาแบบลกู ไม้บางคน เรียกวา่ เสอื ้ สนั้ หรือผ้าลกู ไม้ 4.1.2 ศกึ ษาวัฒนธรรมการแต่งกายชุดย่าหยาและรองเท้าปักของสตรี อาํ เภอเมือง จังหวัดภเู กต็ ผลการศึกษา พบว่า วัฒนธรรมการแต่งกายชุดย่าหยาและรองเท้าปักของสตรี อําเภอเมือง จงั หวดั ภเู ก็ต การแตง่ กายในชีวิตประจําวนั ของสตรี อําเภอเมือง จงั หวดั ภเู ก็ต ในอดีต นนั้ มีการแต่งกายด้วย เสือ้ คอตงั้ แขนจีบ การสวมเสือ้ คอตงั้ แขนจีบจะสวมเป็ นเสือ้ ตวั ในก่อนสวม เสือ้ ครุยทบั ถ้าอย่กู บั บ้านนิยมสวมเฉพาะเสือ้ คอตงั้ แขนจีบ แขนยาว ตวั เสือ้ มีกระดมุ 5 เม็ด และ กระดมุ ปลายแขน 2 เม็ด ทําด้วยทอง เรียกว่า กระดมุ กิมต้นู น่งุ โสร่งปาเต๊ะ และการแตง่ กายใน โอกาสพิเศษมีการแต่งกายด้วยเสือ้ คอตงั้ แขนจีบ สวมทบั ด้วยเสือ้ ครุยยาว การสวมเสือ้ ครุยยาว นิยมสวมในโอกาสท่ีเป็ นพิธีการงาน พิธีสําคญั หรือแตง่ เป็ นชุดเจ้าสาวในโอกาสแต่งงาน ทรงผม นิยมทําผมแบบเกล้ามวยสงู หรือเรียกว่า เกล้ามวยชกั อีโบย คือ ดงึ ผมด้านหน้าตงึ เรียบ ด้านข้าง โป่ งออก 2 ข้าง เรียกว่า อีเปง ประดบั ด้วยดอกไม้ไหว ปักด้วยปิ่ นปักผมทองคํา หรือนากปน สว่ น การแต่งกายในชีวิตประจําวนั และในโอกาสพิเศษของสตรีเชือ้ สายจีนในปัจจุบนั นัน้ นิยมสวม ผ้าลกู ไม้ น่งุ ผ้าปาเต๊ะ ซง่ึ มีราคาไม่แพงมาก สว่ นในโอกาสพิเศษมีการแต่งกายโดยสวมเสือ้ ผ้าที่มี เนือ้ ดี มีราคา และสวมใส่เคร่ืองประดบั เต็มยศ ถ้าเป็ นชุดเจ้าสาวต้องเป็ นเสือ้ สีชมพหู รือสีส้มเป็ น สว่ นใหญ่ สว่ นเครื่องประดบั มีมงกฎุ ดอกไม้ไหว มีตา่ งหู มีสร้อยทองประมาณ 8 เส้นตา่ งระดบั ใส่ แหวน 10 นิว้ ใสช่ ดุ กอสงั ในชดุ กอสงั มีเข็มกลดั 8 ชิน้ มีกําไลข้อมือ กําไลข้อเท้า และสวมรองเท้า ปัก แตต่ อ่ มาเสือ้ คอตงั้ แขนจีบก็มีววิ ฒั นาการมาเป็ นชดุ ยา่ หยา เสือ้ ยา่ หยานนั้ แบง่ เป็ น 3 ระดบั รุ่น แรกจะเป็ นคดั เวิร์กริมเป็ นลายหยกั ๆ หรือลายหอย และต่อมาก็มีการฉลลุ ายมากขึน้ ปัจจุบนั นีม้ ี การฉลเุ กือบทงั้ ตวั นี่คือลกั ษณะของเสือ้ ย่าหยา ซงึ่ ในภาษามลายู เรียกว่า เคมายา ซง่ึ สอดคล้อง กบั คณะกรรมการฝ่ ายเอกสารและจดหมายเหตุ (2545) ได้กลา่ วว่า ผ้หู ญิงชาวภเู ก็ตได้รับอิทธิพล การแต่งกายจากชาวจีนที่ปี นงั คือ น่งุ ผ้าปาเต๊ะสวมเสือ้ ครุยยาวเกือบถึงชายกระโปรง เป็ นเสือ้ คอ ตงั้ ตดั ด้วยผ้าป่ านรูเปี ย ฉลุลายหรือผ้าต่วนแพรนิ่มๆ ตอตงั้ เรียกว่า ชุดเสือ้ ครุยประกอบด้วย 3 สว่ น คือเสือ้ ตวั ในเป็ นเสือ้ คอตงั้ แขนยาวปลายแขนจีบตดิ กระดมุ ปลายแขน ตวั เสอื ้ มีกระดมุ 5 เม็ด ทําด้วยทอง เรียกวา่ กระดมุ กิมต้นู สว่ นท่ี 2 คือ โสร่งปาเต๊ะ และสว่ นที่ 3 คือ เสือ้ ครุยยาวคลมุ ทบั ไม่มีกระดมุ ผ้หู ญิงจากครอบครัวชาวจีนนิยมชดุ เสือ้ ครุยที่ตดั ด้วยผ้าแพรจีนใช้เป็ นชุดเจ้าสาวใช้ เข็มกลดั เพชรซีกท่ีเรียกว่า กอสัง กลัดเสือ้ คลุมตัง้ แต่คอยาวมาถึงหน้าอก เมื่อสวมชุดนีผ้ ู้สวม จะต้องเกล้าผมมวย เรียกว่า เกล้ามวยชักอีโบย ชุดนีจ้ ะแต่งเฉพาะงานสําคญั ๆ เท่านนั้ เช่นพิธี
190 แต่งงานถ้าเป็ นชดุ ธรรมดาก็ถอดเสือ้ คลมุ ออกเหลือแต่เสือ้ ใน คือเสือ้ คอตงั้ แขนจีบใช้เป็ นชุดออก นอกบ้านได้ ผ้หู ญิงนิยมสวมกําไลข้อเท้า อีกชดุ หน่ึงคือ ชดุ ครุยท่อนหรือปอตงึ เต้ เป็ นเสือ้ หลวมๆ ผ่าหน้า(ลกั ษณะคล้ายเสือ้ ครุย เพียงตดั สนั้ ขึน้ แค่สะโพก) ค่อนข้างหลวม ด้านหน้าไม่มีกระดมุ ลกั ษณะคล้ายสามเหลีย่ ม ฉลลุ ายตงั้ แตส่ ว่ นคอจากสาบเสอื ้ มาจนถงึ เอว ใช้เข็มกลดั ชดุ ๆ ละ 3 ชิน้ โยงกนั ด้วยสายทองเลก็ ๆ ผ้าน่งุ ยงั คงเป็ นโสร่งปาเต๊ะ สวมรองเท้าแตะ ปักดิน้ หรือลกู ปัด สวมกําไล ข้อเท้า บางคนเรียกวา่ เสอื ้ ทรงยอหย้า จากการสงั เกตของผู้ศึกษาท่ีได้พบเห็นลกั ษณะการแต่งกายในชีวิตประจําวนั ใน ยุคปัจจุบนั ได้มีการเปล่ียนแปลงไปมาก ยงั คงมีการใส่ชุดย่าหยาอยู่ แต่ไม่ค่อยได้รับความนิยม เพราะเกิดจากปัจจัยหลายอย่างท่ีส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากในปัจจุบันทุกคนต้อง ทํางานเพื่อหาเลยี ้ งชีพและต้องรีบแร่งให้ทนั กบั เวลา จงึ มีการดดั แปลงเสอื ้ ผ้าการแตง่ กายให้เข้ากบั ยคุ สมยั แม้แต่ชุดพืน้ เมืองก็ตาม ชุดย่าหยาในปัจจุบนั จะมีการติดกระดมุ เพ่ือให้เกิดความสะดวก และความรวดเร็วในการสวมใส่ เพราะในสมยั ก่อนจะใช้เข็มกลดั 3 ชิน้ ติดแทนกระดมุ ซึง่ เรียกว่า ชดุ กอสงั แต่ชดุ ย่าหยาในปัจจบุ นั นีต้ ้องนําเข้าจากทางปี นงั และทางมะละกา ซง่ึ มีราคาแพงมาก สว่ นผ้าปาเต๊ะในปัจจบุ นั ถ้าเป็ นคนพืน้ เมืองยงั คงนิยมสวมผ้าปาเต๊ะเหมือนเดมิ หากได้สวมรองเท้า ปักค่กู บั ผ้าปาเต๊ะจะเกิดความสวยงามมาก แต่ในยุคปัจจุบนั รองเท้าปักไม่ค่อยได้รับความนิยม เพราะรองเท้ามีราคาสงู ต้องนําเข้าจากทางปี นงั และทางฝ่ังมะละกา ซง่ึ สอดคล้องกบั แนวคิดของ ฤดี(2553) ท่ีกลา่ ววา่ จงั หวดั ภเู ก็ตจดั เป็ นพหสุ งั คม มีวฒั นธรรมผสมผสานในหลายรูปแบบ ฉะนนั้ การศกึ ษาถงึ ลกั ษณะการแตง่ กายของชาวภเู ก็ตจะเป็ นไปในรูปแบบใด ท่ีเป็ นเอกลกั ษณ์เฉพาะตน เพียงอย่างเดียวนนั้ คงจะเป็ นการยากท่ีจะเจาะจงลงไป หากกําหนดการแต่งกายของชาวภเู ก็ต จะต้องนําเอาการแตง่ กายของกลมุ่ คนชาวภเู ก็ตมาประยกุ ต์เป็ นแบบใหม่ท่ีเป็ นท่ียอมรับโดยทวั่ กนั ฉนนั้ ในปัจจบุ นั จึงพบเห็นสตรีภเู ก็ตแตง่ กายตามแบบสากลธรรมดา โดยส่วนมากจะแตง่ กายตาม สบายเหมือนกบั สงั คมทว่ั ไปในปัจจบุ นั สว่ นลกั ษณะการแตง่ กายในโอกาสพิเศษยงั มีการแตง่ กาย ชดุ ย่าหยาและรองเท้าปักอยู่ ในส่วนของสตรีวยั รุ่นจะแต่งกายเสือ้ คอตงั้ แขนจีบสวมเสือ้ ครุยทบั และสวมใส่เสือ้ เคบายาแบบต่างๆที่มีสีสนั สดใส ส่วนผ้สู งู อายุจะแต่งกายด้วยเสือ้ คอตงั้ แขนจีบ สวมเสือ้ ครุยสนั้ ทบั และสวมใส่เสือ้ ลกู ไม้แบบต่างๆ แต่ยงั มีการสวมค่กู บั ผ้าปาเต๊ะอย่เู หมือนเดิม สว่ นรองเท้าปักในปัจจบุ นั ยงั มีการสวมใส่อยู่ บางคนหนั มาใสร่ องเท้าคทั ชูหรือรองเท้าแฟชนั่ แทน เน่ืองจากหางา่ ยและเป็ นสมยั นิยมด้วย สาํ หรับลกั ษณะการแตง่ กายในชีวิตประจําวนั และในโอกาสพิเศษของสตรีเชือ้ สาย จีนในอนาคต ผ้ศู ึกษาคาดว่าไม่น่าจะมีการเปลี่ยนแปลงมากเน่ืองจากชดุ ย่าหย่าเป็ นชุดพืน้ เมือง
191 ของคนภเู ก็ตซงึ่ เป็ นชดุ ที่สวยงามและมีความเป็ นเอกลกั ษณ์ที่โดนเด่น ลกั ษณะการแต่งกายแบบ บาบ๋าของคนภูเก็ตต่อไปในอนาคตจะมีการหวนกลบั มาจากอดีตมากขึน้ เพราะต่อไปจะมีกล่มุ ประเทศอาเซียนทงั้ 10 ประเทศเข้ามาและแตล่ ะประเทศก็มีความเป็ นอตั ลกั ษณ์ของตนเอง เราจึง ต้องแสดงความเป็ นตวั ตนของเราให้มากยิ่งขึน้ ซง่ึ สอดคล้องกบั แนวคิดของ ฤดี(2553) ที่กล่าวว่า การแต่งกายชดุ ย่าหยาถือได้ว่าเป็ นการแตง่ กายที่สวยงามอีกชกุ หน่ึงเนื่องจากมีการผสมผสานท่ี หลากหลายของหลายวฒั นธรรมด้วยกนั แฟชนั่ การแต่งกายของกล่มุ คนบาบา๋ เรียกได้ว่าเป็ นการ ประยุกต์ลกั ษณะการแต่งกายของชาวมาเลย์กับวฒั นธรรมการแต่งกายของชาวจีนให้เป็ นหนึ่ง เดียว ชาวบาบา๋ สามารถประยกุ ต์รูปแบบของเสือ้ ผ้าให้กลมกลืนกบั สงั คม และในขณะเดียวกนั ก็มี ความโดดเด่นท่ีเป็ นเอกลกั ษณ์เฉพาะตวั วฒั นธรรมการแต่งกายเหล่านี ้ภเู ก็ตได้รับอิทธิพลจาก ปี นงั 4.1.3 ศึกษารูปแบบและลวดลายของชุดย่าหยาและรองเท้าปักของสตรี อําเภอ เมือง จงั หวัดภเู ก็ต ผลการศกึ ษา พบว่า ความเป็ นมาของรูปแบบและลวดลายชดุ ย่าหยาและรองเท้า ปักของสตรี อําเภอเมือง จงั หวดั ภเู ก็ต รูปแบบลวดลายของชดุ ย่าหยานนั้ เป็ นลวดลายต่างๆที่ได้ เรียนแบบมาจากธรรมชาติ รูปแบบลวดลายไม่จํากดั ขนึ ้ อยกู่ บั ความคดิ ของผ้สู ร้าง สว่ นใหญ่จะหนี ไม่พ้นลายดอกไม้ ลายสตั ว์และลายธรรมชาติ หากเป็ นเสือ้ ผ้าลายท่ีใช้จะเป็ นลาย ดอกไม้ และ ใบไม้ตา่ งๆ จะไมน่ ิยมปักลวดลายสตั ว์บนเสือ้ ผ้าเพราะจะไมเ่ กิดความสวยงามยกเว้นลายนก ลาย ผีเสือ้ และลายค้างคาวจะมีการนํามาปัก โดยเสือ้ ย่าหยาของชาวภเู ก็ตจะมีความยาวอย่ทู ่ีสะโพก บน ถ้าเป็ นของชาวมสุ ลิมจะอยู่ท่ีสะโพกล่าง ส่วนผ้าปาเต๊ะจะมีลายดอกไม้ ใบไม้ สายนกลาย ผีเสือ้ และมีให้เลือกหลายสขี นึ ้ อยกู่ บั ความต้องการของผ้ใู ช้ สว่ นรองเท้าปักลายท่ีใช้โดยมากจะเป็ น ลายดอกไม้ใบไม้ ลายสตั ว์ และลายธรรมชาติ ส่วนใหญ่ลายท่ีนิยมปักมากท่ีสดุ คือลายสตั ว์ตา่ งๆ ซงึ่ สอดคล้องกบั การศกึ ษาของ ปิ ยะนนั ท์(2553) ท่ีกล่าวว่า เคร่ืองแต่งกายและเคร่ืองประดบั และ ลวดลายท่ีปรากฏในเคร่ืองแตง่ กายและเคร่ืองประดบั ของชาวเปอรานากนั ในเขตเมืองเก่า อําเภอ เมือง จงั หวดั ภเู ก็ต พบวา่ รูปแบบของเคร่ืองแตง่ กายนนั้ ได้รับอทิ ธิพลมาจากรูปแบบเครื่องแตง่ กาย ชาวจีนตงั้ แตร่ าชวงศ์หมิงของจีนผสานกบั รูปแบบเครื่องแต่งกายท้องถ่ินของมาเลเซีย โดยพฒั นา รูปแบบของเครื่องแต่งกายให้เข้ากบั สภาพอากาศ วสั ดแุ ละเทคนิคท่ีตนเองมีความถนดั สามารถ นําเข้าวสั ดแุ ละผลิตได้ภายในท้องถิ่น ซงึ่ ในพืน้ ท่ีของภเู ก็ตนนั้ เป็ นพืน้ ที่ของการค้า และถ่ายทอด วฒั นธรรมโดยตรงมาจากปี นงั และมะละกามายงั ภเู ก็ต ซงึ่ ลวดลายทวั่ ไปที่นิยม เช่น เสือ้ คอตงั้ แขน จีบ จะมีลวดลายสตั ว์มงคล เสือ้ เคบายา ลวดลายมีทัง้ การฉลลุ ายริมเสือ้ สาบเสือ้ รอบสะโพก
192 ตอ่ มาสตรีชาวภเู ก็ตได้นําเสือ้ เคบายามาพฒั นาตอ่ กลายเป็ นเสือ้ ผ้าลกู ไม้หรือเสือ้ ลกู ไม้ตอ่ ดอกจน กลายเป็ นเอกลกั ษณ์การแต่งกายของชาวภูเก็ต ชุดแต่งกายเหล่านีจ้ ะต้องสวมคู่กับผ้าปาเต๊ะมี ลวดลายและสีแตกต่างจากส่วนท่ีเป็ นพืน้ รองเท้าเป็ นรองเท้าส้นเตีย้ หัวรองเท้าคล้ายรองเท้า บลั เล่ต์ของยุโรป คือส่วนหวั มีลกั ษณ์เป็ นรูปตวั ยู ส่วนลวดลายท่ีปักมีทงั้ ดอกไม้ สตั ว์มงคล ปลา ค้างคาว ผีเสือ้ ลักษณะชุดและรองเท้าปักของสตรีชาวบาบ๋า คนที่ตัดเย็บจะคิดลวดลายเอง สว่ นตวั พืน้ รองเท้าจะไปจ้างชา่ งรองเท้าทํา ไมว่ า่ จะเป็ นรองเท้าหรือเสือ้ ผ้า คนจีนมกั จะต้องเย็บเอง ยกเว้นเสือ้ ที่มีการฉลลุ าย จะสง่ั นําเข้า รูปแบบจะมีการฉลลุ ายในตาฉลเุ ป็ นลายต่างๆ รองเท้าใน สมยั ก่อนเป็ นรองเท้าส้นเตีย้ ลกั ษณะรองเท้าหวั รองเท้ากลมปักลายดอกไม้และลายต่างๆ รูปแบบ ลวดลายจะปักเป็ นลายผีเสือ้ นก ดอกไม้ และสัตว์มงคล รูปแบบลวดลายไม่จํากัดขึน้ อยู่กับ ความคิดของคนท่ีสร้ าง ส่วนใหญ่ไม่พ้นลายสตั ว์มงคล ผีเสือ้ นก หงส์ และดอกไม้ สิ่งเหล่านีม้ ี ความหมายที่ดแี ละเป็ นมงคล จดุ เดน่ ของชดุ ยา่ หยาและรองเท้าปักอย่ทู ี่ลวดลายการปักและสีสนั ท่ี สดใส ความหมายของลวดลายการปักจะเน้นถึงความโชคดีและความเป็ นมงคล สิ่งเหล่านีจ้ ะบ่ง บอกโดยการแสดงออกมาจากทางเสือ้ ผ้าและรองเท้าปักของสตรีชาวบาบ๋าจังหวัดภูเก็ต ซึ่ง สอดคล้องกบั แนวคดิ ของ พวงผกา (2541) ท่ีกลา่ ววา่ วฒั นธรรมเป็ นสงิ่ ท่ีไมค่ งที่ มนษุ ย์มีการคดิ ค้น สงิ่ ใหมๆ่ หรือปรับปรุงของเดมิ ให้ดีขนึ ้ เหมาะสมกบั สถานการณ์ท่ีเปล่ียนแปลงไปจงึ ทําให้ต้องมีการ ปรับตวั ให้เข้ากบั สภาพของสงั คมนนั้ ให้ได้เพื่อความอยรู่ อดและสงบสขุ การแตง่ กายของผ้หู ญิงบาบา๋ ในภเู ก็ตนนั้ มีวิวฒั นาการการแตง่ กาย ดงั นี ้ในสมยั เริ่มแรก ผ้หู ญิงบาบา๋ นิยมแตง่ กายด้วยชดุ ครุย ภาษามาลายู เรียกว่า บาจู บนั จงั (Bajaj panjang) เป็ นเสือ้ คลมุ ยาวคร่ึงน่อง ทําด้วยผ้าป่ านรูเปี ย ผ้าฝ้ าย หรือผ้าต่วนน่ิมๆมีสีสนั ที่หลากหลาย สวม ทบั เสือ้ สนั คอตงั้ สีขาว แขนยาว ตวั เสือ้ มีกระดมุ 5 เม็ด และกระดมุ ปลายแขน 2 เม็ด ทําด้วยทอง เรียกว่า กระดมุ กิมต้นู น่งุ โสร่งปาเต๊ะ ซง่ึ สอดคล้องกบั การศกึ ษาของ ปิ ยะนนั ท์(2553) ที่กลา่ วว่า วิวฒั นาการของเครื่องแตง่ กายของสตรีชาวบาบา๋ เริ่มจากชดุ ครุย ภาษามลายเู รียกว่า ปันจกั เป็ น เสือ้ ครุยยาวครึ่งน่องยาวแขนยาว ทําด้วยผ้าป่ านรูเปี ย ผ้าฝ้ ายหรือผ้าต่วนสีสนั สวยงาม สวมทบั เสือ้ คอตงั้ สีขาว ติดกระดุมทอง (กิมตู้น) 5 เม็ด นุ่งโสร่งปาเต๊ะ ซ่ึงเป็ นเคร่ืองแต่งกายในโอกาส พิเศษต่อมาเปลี่ยนเป็ นเสือ้ ผ้าลูกไม้สนั้ ประมานสะโพก ไม่มีเสือ้ ตวั ในเรียกว่า (ป่ัวตึงเต้) มลายู เรียกว่า (เคมายา) แล้วเปล่ียนมาเป็ นผ้าลายฉลทุ รงรัดรูปแทนผ้าลกู ไม้ ตอ่ มาได้ประยกุ ต์เป็ นเสือ้ ครุยสนั้ สวมคกู่ บั เสือ้ คอตงั้ แขนจีบ ยงั เป็ นการสวมเสือ้ สองชนั้ อยู่ หลงั จากนนั้ มามีการดดั แปลงให้ เป็ นเสอื ้ ชนั้ เดยี ว และภายหลงั ได้มีการประยกุ ต์มาเป็ นเสือ้ เคบายา ซงึ่ มี 3 แบบ ได้แก่ เคบายาลนิ ดา เคบายาบีกู เคบายาซแู ลม และตอ่ สตรีชาวภเู ก็ตได้มาประยกุ ต์และเลือกใช้วสั ดนุ ําเข้าที่ตวั เอง
193 ช่ืนชอบและเหมาะกับสภาพอากาศสําหรับชาวภูเก็ต เสือ้ ผ้าลูกไม้ได้รับความนิยมมากกว่าเสือ้ ย่าหยาเพราะเป็ นเสือ้ ท่ีหาได้ง่ายราคาไม่แพง หาร้ านตดั เย็บสะดวก จนกลายเป็ นเอกลกั ษณ์ที่ เดน่ ชดั ในการแตง่ กายท่ีบง่ บอกถงึ ความเป็ นชาวภเู ก็ตมากกวา่ เสือ้ ยา่ หยา ตอ่ มาเปล่ียนเป็ นเสือ้ ผ้า ลกู ไม้สนั้ ประมานสะโพก ไมม่ ีเสือ้ ตวั ในเรียกวา่ (ปั่วตงึ เต้) มลายเู รียกว่า (เคมายา) แล้วเปลี่ยนมา เป็ นผ้าลายฉลุทรงรัดรูปแทนผ้าลูกไม้ ส่วนวิวัฒนาการของรูปแบบลวดลายของรองเท้าปัก ใน ระยะแรกท่ีกลมุ่ ผ้หู ญิงจีนอพยพเข้ามาในภเู ก็ตนนั้ เป็ นรองเท้าค่เู ล็ก เพราะค่านิยมที่ถือว่าผ้หู ญิง เท้าเล็กเป็ นผ้หู ญิงสวย ตอ่ มาคา่ นิยมการมดั เท้าได้หมดไป รองเท้าที่เป็ นนิยมคือรองเท้าแตะ เป็ น รองเท้าส้นเตีย้ หวั รองเท้าคล้ายรองเท้าบลั เล่ต์ของยุโรป คือ ส่วนหวั มีลกั ษณะเป็ นรูปตวั ยู พืน้ ที่ บริเวณส่วนหวั ใช้ผ้าแพรปักลวดลายด้วยเส้นไหมสีต่างๆ ลวดลายท่ีปักมีทัง้ ดอกไม้ สตั ว์มงคล “รองเท้ารุ่นแรกจะมีโลหะปน เช่น เส้นโลหะเงินเส้นโลหะทอง เป็ นเส้นด้ายคล้ายเส้นลวดสีเงินและ สีทอง จากเส้นลวดเปล่ียนมาเป็ นลกู ปัด และมีการปักเส้นลวดผสมกบั ลกู ปัด และต่อมามีแตก่ าร ปักลกู ปัดเพียงอย่างเดียว ส่วนลวดลายที่เก่าท่ีสุดเป็ นลวดลายนามปี รูปดอกไม้มงคล ส่วนใน ปัจจบุ นั จะเป็ นรูปแบบลวดลายแล้วแตจ่ ะคดิ ขนึ ้ มา สําหรับ กรรมวิธีเฉพาะการตกแตง่ ลวดลายชดุ ย่าหยาและรองเท้าปักของสตรี อําเภอเมือง จังหวัดภูเก็ตนัน้ การตกแต่งชุดย่าหยามีกรรมวิธี เฉพาะ คอื ตวั เสอื ้ ไมม่ ีกระดมุ ใช้ชดุ เคร่ืองประดบั กอสงั หรือเคร่ืองประดบั ท่ีมีลกั ษณะเป็ นเข็มกลดั 3 ชิน้ กลดั ติดแทนกระดมุ ประดบั ตกแต่งตวั เสือ้ โดยใช้เทคโนโลยีที่มีความทนั สมยั ฉลลุ ายท่ีริม สาบเสือ้ ด้านหน้า และรอบสะโพก คล้ายคตั เวิร์ก หรือประกนั ตกแต่งด้วยลกู ไม้จากยโุ รป ส่วนเสือ้ ฉลยุ ่าหยาจะมีการเขียนลายใส่สะดึงและนําไปปักกบั จกั ร หรือปักด้วยมือ ถ้าเป็ นการปักมือจะมี ราคาแพง ส่วนรองเท้า ในสมยั ก่อนการปักรองเท้าจะปักด้วยมือขึน้ ด้วยสะดงึ วาดเป็ นรูปโครงให้ เป็ นหวั รองเท้าแล้วออกแบบเขียนลายปักด้วยวสั ดทุ ่ีเราต้องการ การปักรองเท้าจะปักหน้าเดียวใช้ ผ้ามาปักเป็ นพืน้ รองเท้า เม่ือปักเสร็จแล้วจึงนํามาขึน้ รูปเป็ นรองเท้า การปักรองเท้าใช้การปัก เหมือนปักผ้า ปักเสร็จจะมีผ้าอีกชิน้ หนึ่งทาด้วยแป้ งเปี ยกมาทับติดเพ่ือป้ องกันด้วย รองเท้าใน ระยะแรกที่กลมุ่ ผ้หู ญิงจีนอพยพเข้ามาในภเู ก็ตนนั้ เป็ นรองเท้าคเู่ ลก็ ๆ เพราะผ้หู ญิงเหลา่ นนั้ มดั เท้า ให้เล็ก ด้วยค่านิยมทางวฒั นธรรมท่ีถือว่าผ้หู ญิงเท้าเล็ก เป็ นผ้หู ญิงสวย รองเท้าแบบนีน้ ิยมเย็บ ด้วยผ้าสดี าํ หรือนํา้ เงินเข้ม ปักลายดอกไม้ ลายสตั ว์ ด้วยสีแดง มีสนท่ีทําด้วยไม้ หลงั จากประเพณี มัดเท้าหมดไป รองเท้าท่ีเป็ นท่ีนิยม คือ รองเท้าแตะ ลักษณะเป็ นรองเท้าส้นเตีย้ ลกั ษณะหัว รองเท้าคล้ายรองเท้าบลั เลต่ ์ของยโุ รป คือ สว่ นหวั มีลกั ษณะเป็ นรูปตวั ยู พืน้ ท่ีบริเวณสว่ นหวั ใช้ผ้า แพรปักลวดลายด้วยเส้นไหมสตี า่ งๆ ลวดลายที่ปักมีทงั้ ดอกไม้ สตั ว์มงคล ปลา ค้างคาว ผีเสือ้ เป็ ด กวาง รองเท้าเหลา่ นีน้ ิยมสวมกบั ชดุ ครุย ในภาษามลายู เรียกว่า Kasut Kodok (รองเท้าคางคก)
194 และวิวฒั นาการมาเป็ นรองเท้าแตะ ชนิดที่ส้นเตีย้ ๆ ปักด้วยเส้นโลหะสีเงิน ทอง ในภาษามลายู เรียกวา่ Kasut Seret (รองเท้าลาก) รองเท้าที่นิยมของสาวชาวบาบา๋ ในปัจจบุ นั คือ รองเท้าแตะที่ ปักลวดลายด้วยลกู ปัด นิยมสวมกับเสือ้ ปั่วตึ่งเต้ (เสือ้ เคมายาหรือชุดย่าหยา) รองเท้าชนิดนีใ้ ช้ ลูกปัดหลากสีปักลวดลายที่ต้องการ รูปร่างของรองเท้าเหมือนกับรองเท้าท่ีปักด้วยเส้นไหม เพียงแต่ใช้ลกู ปัดปักแทนการปักด้วยเส้นด้ายเท่านนั้ ในภาษามลายเู รียกรองเท้าชนิดนีว้ ่า Kasut Manik (Manik หมายถึง ลกู ปัด) รองเท้าชนิดนีม้ ีทงั้ ชนิดห้มุ ด้านหน้า หรือเรียกว่าปิ ดด้านหน้า และ ชนิดเปิ ดด้านหน้า 4.1.4 การวิเคราะห์ข้อมูลความเหมาะสมของสภาพบ้านเมืองกับการแต่งกาย ผลการวิเคราะห์ความเหมาะสมของสภาพบ้านเมืองกับการแต่งกาย พบว่า ชุด ย่าหยาเป็ นชุดท่ีมีความสวยงามและมีความเป็ นเอกลกั ษณ์ แต่ถ้าใส่ในชีวิตประจําวนั ถือว่าไม่ เหมาะสม เพราะเสือ้ ยา่ หยาเป็ นเสือ้ ท่ีคอ่ นข้างบางทํางานหนกั ไม่ได้ ชดุ อาจจะฉีกขาดได้ง่ายจึงไม่ เหมาะสมกบั การทํางานท่ีเร่งรีบในปัจจบุ นั ส่วนรองเท้าปักในปัจจุบนั คนภเู ก็ตไม่สามารถปักรอง เป้ าเองได้แล้ว ต้องสง่ั ซือ้ รองเท้ามาจากปี นงั และมะละกาซ่ึงมีราคาสงู มาก ทําให้ไม่ได้รับความ นิยมเชน่ กนั เพราะสตรีสว่ นใหญ่หนั มาสวมใสร่ องเท้าส้นสงู ตามสมยั นิยมแทน แตใ่ นปัจจบุ นั มีการ อนรุ ักษ์และฟื น้ ฟูวฒั นธรรมการแตง่ กายขนึ ้ มาใหม่เพื่อแสดงความเป็ นเอกลกั ษณ์และเป็ นจดุ ขาย เชิงท่องเที่ยวของจังหวัด ทําได้รับความสนใจจากเด็กรุ่นใหม่จึงทําให้การแต่งกายในแบบสมยั โบราณกลบั มาอีกครัง้ โดยการประยกุ ต์การแต่งกายให้คล่องตวั ขึน้ เหมาะสมกลมกลืนกบั สงั คม วฒั นธรรมและสงิ่ แวดล้อมรอบตวั ในปัจจบุ นั มากขนึ ้ สําหรับอิทธิพลท่ีทําให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปจากในอดีตที่ผ่านมา เกิดจากความ เป็ นอยแู่ ละสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป เน่ืองจากวิถีชีวิตของคนในปัจจบุ นั รีบเร่งให้ทนั กบั เวลาและ มีการแข่งขนั กนั สงู มาก จึงต้องประยกุ ต์การแต่งกายให้คล่องตวั เพื่อให้เกิดความสะดวกสบายใน การใช้งานถึงแม้จะเป็ นชุดพืน้ เมืองก็ตาม หรืออาจจะไม่สะดวกต่อการทํางานจึงทําให้ต้อง เปลี่ยนแปลงการแตง่ กาย ซง่ึ สอดคล้องกบั แนวคดิ ของ ฤดี (2553) ท่ีกลา่ ววา่ เนื่องจากจงั หวดั ภเู ก็ต เป็ นแหล่งทรัพยากรธรรมชาติท่ีสําคญั จึงเป็ นสิ่งจูงใจให้คนในภมู ิภาคต่างๆ อพยพเข้ามาตงั้ ถ่ิน ฐานในดนิ แดนนีเ้ป็ นจํานวนมาก ซง่ึ แตล่ ะกลมุ่ ตา่ งมีขนบธรรมเนียมประเพณีเป็ นของตนเอง ฉะนนั้ จงั หวดั ภูเก็ตจึงจดั เป็ นพหุสงั คม มีวฒั นธรรมผสมผสานในหลายรูปแบบ แต่สามารถอย่รู ่วมกัน อย่างสงบสุข ไม่มีปัญหาระหว่างกลุ่มชนทุกคนต่างก็ร่วมแรงร่วมใจในการพัฒนาภูเก็ตให้ เจริญก้าวหน้า และพฒั นาอยา่ งตอ่ เนื่องจนถงึ ปัจจบุ นั นอกจากนีย้ งั สอดคล้องกบั ณรงค์ (2539) ท่ี กล่าวว่าเนื่องจากการทะนุบํารุงส่งเสริมวฒั นธรรม เพ่ือปรุงแต่งวฒั นธรรมสงั คมของตนให้เจริญ
195 งอกงามขนึ ้ มีการคิดค้นวฒั นธรรมใหม่ มีการปรับปรุงดดั แปลงวฒั นธรรมเดิมให้เหมาะกบั สงั คม ปัจจบุ นั การแตง่ กายชดุ ยา่ หยาและรองเท้าปักเป็ นการแตง่ กายท่ีสวยงาม มีคณุ คา่ ทางวฒั นธรรม ที่น่าหวงแหน ควรค่าท่ีจะรักษาไว้ ถ้าในด้านลกั ษณะความสวยงามมีความสวยงามมากสวมใส่ แล้วดภู าคภมู ิ แตถ่ ้าใช้ในวิถีชีวิตในปัจจบุ นั ถือว่าไมเ่ หมาะสมเพราะเสือ้ ยา่ หยาเป็ นเสือ้ ท่ีคอ่ นข้าง บางทํางานหนกั ไมไ่ ด้ชดุ อาจจะฉีกขาดได้ง่าย จงึ ไมเ่ หมาะกบั การทํางานท่ีเร่งรีบในปัจจบุ นั ถ้าเป็ น เสือ้ ย่าหยาชนั้ ดีต้องนําเข้าจากปี นงั ราคาคอ่ นข้างแพงจึงต้องประยกุ ต์ให้เข้ากบั วฒั นธรรมท้องถิ่น และวสั ดทุ ่ีมีอย่ใู นท้องถิ่น ส่วนรองเท้าปักมีลกั ษณะสวยงามตามรูปแบบของรองเท้าแตม่ ีราคาสงู เพราะรองเท้าปักเป็ นงานฝี มือ แต้ถ้าแตง่ ในโอกาสพิเศษตา่ งๆจะเหมาะสมท่ีสดุ เพราะจะเป็ นการ แสดงความเป็ นเอกลกั ษณ์ของการแต่งกายได้เป็ นอย่างดีแนวทางการอนรุ ักษ์วฒั นธรรมการแต่ง กายชุดย่าหยาและรองเท้าปักของสตรี อําเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต จากการศึกษาสรุปได้ว่า ใน ปัจจบุ นั นีม้ ีการรณรงค์อนรุ ักษ์ให้นําเอาหลกั สตู รท้องถ่ินบรรจไุ ว้ในหลกั สตู รการเรียนการสอนของ โรงเรียนในจงั หวดั ภเู ก็ต ซ่งึ เนือ้ หาจะเก่ียวกบั ประเพณี วฒั นธรรมการแต่งกาย อาหาร ซ่งึ จะเป็ น การปลกู ฝังให้เดก็ เรียนรู้วฒั นธรรมของตนเอง ในปัจจบุ นั ทงั้ ภาครัฐและเอกชนตา่ งให้การสนบั สนนุ ในเร่ืองของการแต่งกายไทยผสมผสานวฒั นธรรมของจีนไว้ เพื่อนําเสนอต่อการท่องเท่ียว และท่ี สําคญั ท่ีสุด คือ เพื่อให้เยาวชนได้ตระหนกั ถึง ความสําคญั ของภูมิปัญญาไทย ซ่ึงบรรพบุรุษได้ สร้ างสรรค์ไว้ให้ลกู หลานได้สืบทอดวฒั นธรรมที่ดีเหล่านีไ้ ว้ เช่น การจดั งานถนนคนเดิน ซ่ึงทาง เทศบาลนครภเู ก็ตเป็ นผ้กู ําหนดและเปิ ดโอกาสให้ลกู หลานชาวภเู ก็ตได้สวมใสเ่ คร่ืองแตง่ กายแบบ โบราณให้ยงั คงอย่ตู ่อไป และทกุ ๆวนั พฤหสั เจ้าหน้าท่ีเทศบาลจะแตง่ กายแบบพืน้ เมือง ผ้หู ญิงใส่ ชดุ ย่าหยา ผ้ชู ายใสบ่ าติก เพื่อเป็ นการอนุรักษ์ในเรื่องการแต่งกาย เป็ นการฟื น้ ฟวู ฒั นธรรมขึน้ มา เพ่ือให้คนรุ่นหลงั หรือนักท่องเที่ยวได้เห็นบรรยากาศแต่งกายชุดเก่าๆ ที่เป็ นเอกลกั ษณ์ของคน ภเู ก็ตให้ดาํ รงอยตู่ อ่ ไป
บทท่ี 5 สรุปผล และข้อเสนอแนะ การศกึ ษาวิทยานิพนธ์ครัง้ นี ้เป็ นการวิจยั เชิงคณุ ภาพ (Qualitative Research) โดยศกึ ษา วฒั นธรรมการแตง่ กายชดุ ย่าหยาและรองเท้าปักของสตรี อําเภอเมือง จงั หวดั ภเู ก็ต มีวตั ถปุ ระสงค์ เพื่อศกึ ษาถึงประวตั ศิ าสตร์การตงั้ ถิ่นฐานของชาวจีนในจงั หวดั ภเู ก็ต ศกึ ษาวฒั นธรรมการแตง่ กาย และลวดลายชุดย่าหยาและรองเท้าปัก และวิเคราะห์ความเหมาะสมของสภาพบ้านเมืองกบั การ แต่งกาย ผู้ศึกษาใช้วิธีการศึกษาจากเอกสาร ภาพถ่าย จากการเก็บรวบรวมข้อมูลท่ีได้จากการ สงั เกตแบบไมม่ ีสว่ นร่วม (Non-Participant Observation) ของผ้ศู กึ ษาที่สงั เกตและเฝ้ าดพู ฤตกิ รรม การแต่งกายด้วยชุดย่าหยาและการสวมใส่รองเท้าปักของสตรีท่ีอาศยั อยู่ในอําเภอเมือง จงั หวดั ภเู ก็ต และจากการสมั ภาษณ์เชิงลกึ จากผ้ชู ํานาญการภาคสนาม จํานวน 8 ท่าน ใช้วิธีการคดั เลือก ผ้ใู ห้ข้อมลู หลกั (Key Informant) โดยวิธีการเลือกตวั อย่างแบบบอกตอ่ (Snowball Sampling) จากนนั้ ผ้ศู กึ ษาทําการวิเคราะห์ข้อมลู แบบพรรณนาวิเคราะห์ (Analytical Descriptive) สามารถ สรุปผลการศกึ ษาและข้อเสนอแนะ ดงั นี ้ 5.1 สรุปผล จากการวิเคราะห์ข้อมลู วฒั นธรรมการแต่งกายชดุ ย่าหยาและรองเท้าปักของสตรี อําเภอ เมือง จงั หวดั ภเู ก็ต ปรากฏผล ดงั นี ้ 5.1.1 ประวัตศิ าสตร์การตงั้ ถ่นิ ฐานของชาวจนี ในจังหวัดภเู กต็ พบวา่ ในสมยั รัชกาลที่ 3-5 ชาวจีนได้หนีความแห้งแล้งและความอดอยากจากภยั ธรรมชาติและภยั จากสงครามและปัญหาการแย่งชิงอํานาจภายในประเทศ โดยเดินทางด้วยเรือ สําเภาเข้ามาอาศยั อย่ใู นจงั หวดั ภเู ก็ต ซง่ึ ชาวจีนท่ีอพยพเข้ามาสว่ นใหญ่เป็ นชาวฮกเกีย้ นท่ีมาจาก ทางภาคใต้และภาคตะวนั ออกของประเทศจีน วิถีชีวิตของคนจีนท่ีภูเก็ตจะเน้นการทําเหมืองแร่ ดีบุกเป็ นอาชีพหลกั มีบางส่วนที่ทําการค้า ทําประมงและทําการเกษตร โดยชาวจีนส่วนใหญ่จะ แตง่ งานกบั คนท้องถิ่น ทําให้เกิดลกู ผสม ซง่ึ ชาวภเู ก็ตมีคําใช้เรียกกนั ทว่ั ไปวา่ “พวกบาบา๋ ” โดยจะ เรียกรวมทงั้ ผ้หู ญิงและผ้ชู ายไม่แยกเพศ ส่วนใหญ่เด็กพวกนีพ้ ่อจะปลกู ฝังวฒั นธรรมจีนให้กบั ลกู
197 และครอบครัว เพราะฉะนนั้ กลมุ่ คนบาบา๋ จะมี 2 วฒั นธรรมในครอบครัว คือเดก็ สามารถไปวดั ก็ได้ หรือไปศาลเจ้าก็ได้ น่ีคือ วฒั นธรรมท่ีผสมผสานกันเป็ นอย่างดีด้วยเหตนุ ีจ้ ึงทําให้จงั หวดั ภูเก็ตมี วฒั นธรรมท่ีหลากหลาย 5.1.2 วัฒนธรรมการแต่งกายชุดย่าหยาและรองเท้าปั กของสตรีอําเภอเมือง จงั หวัดภเู กต็ พบว่า วัฒนธรรมการแต่งกายชุดย่าหยาและรองเท้าปักของสตรี อําเภอเมือง จงั หวดั ภเู ก็ต ในอดีตการแต่งกายในชีวิตประจําวนั ของสตรีจะมีลกั ษณะเป็ นเสือ้ คอตงั้ แขนจีบ ใส่ กบั ผ้าปาเต๊ะ แต่ถ้าในโอกาสพิเศษจะสวมใส่ชุดครุยยาวเกล้าผมมวยสงู ต่อมามีการดดั แปลงมา เป็ นเสือ้ ครุยสนั้ เพ่ือให้เหมาะสมกบั สภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม และเพ่ือให้คล่องตวั ในการ ทํางานจงึ ลดลงมาใสเ่ พียงชนั้ เดียวจงึ กลายมาเป็ นเสือ้ ยา่ หยา เพราะระบายลมได้ดี 5.1.3 รูปแบบลวดลายของชุดย่าหยาและรองเท้าปักของสตรี อาํ เภอเมืองจังหวัด ภเู กต็ พบว่า รูปแบบลวดลายของชุดย่าหยาและรองเท้าปักของสตรี ผู้ตัดเย็บจะคิด ลวดลายเองส่วนใหญ่จะเป็ นลายสตั ว์ ลายพันธ์ุพฤกษา ลายธรรมชาติ ส่วนรองเท้าปักเป็ นการ นําเอารองเท้ามาปักด้วยดิน้ เงินดิน้ ทองหรือลกู ปัด โดยความหมายของลวดลายการปักจะเน้นถึง ความโชคดี และความเป็ นมงคล ซง่ึ ผ้ตู ดั เย็บจะตดั เย็บเพื่อสวมใส่เอง โดยการสืบทอดวฒั นธรรม จากรุ่นสรู่ ุ่น 5.1.4 วเิ คราะห์ความเหมาะสมของสภาพบ้านเมืองกับการแต่งกาย ผลการวิเคราะห์ความเหมาะสมของสภาพบ้านเมืองกบั การแต่งกาย พบว่า ชุดย่าหยาเป็ นชุดที่มี ความสวยงามและมีความเป็ นเอกลกั ษณ์ แต่ถ้าใส่ในชีวิตประจําวนั ถือว่าไม่เหมาะสม เพราะเสือ้ ย่าหยาเป็ นเสือ้ ที่ค่อนข้างบางทํางานหนักไม่ได้ ชุดอาจจะฉีกขาดได้ง่าย จึงไม่เหมาะสมกบั การ ทํางานท่ีเร่งรีบในปัจจบุ นั สว่ นรองเท้าปักในปัจจบุ นั คนภเู ก็ตไม่สามารถปักรองเป้ าเองได้แล้ว ต้อง สง่ั ซือ้ รองเท้ามาจากปี นงั และมะละกาซงึ่ มีราคาสงู มาก ทําให้ไม่ได้รับความนิยมเช่นกนั เพราะสตรี ส่วนใหญ่หันมาสวมใส่รองเท้าส้นสูงตามสมัยนิยมแทน แต่ในปัจจุบันมีการอนุรักษ์และฟื ้นฟู วฒั นธรรมการแตง่ กายขึน้ มาใหม่ เพื่อแสดงความเป็ นเอกลกั ษณ์และเป็ นจดุ ขายเชิงท่องเท่ียวของ จงั หวดั ทําได้รับความสนใจจากเดก็ รุ่นใหมจ่ งึ ทําให้การแตง่ กายในแบบสมยั โบราณกลบั มาอีกครัง้
198 5.2 ข้อเสนอแนะ จากการศึกษาครัง้ นี ้ พบว่า วัฒนธรรมการแต่งกายชุดย่าหยาและรองเท้าปักของสตรี อําเภอเมือง จงั หวดั ภเู ก็ต ผลการศกึ ษาสามารถนํามาเป็ นข้อเสนอแนะ ดงั นี ้ 5.2.1 ข้อเสนอแนะสาํ หรับการนําผลไปใช้ 5.2.1.1 1. หน่วยงานทงั้ ภาครัฐและเอกชน โดยเฉพาะหน่วยงานระดบั การศกึ ษา ควรเข้ามามีบทบาทเร่ืองศลิ ปวฒั นธรรมประจําท้องถ่ิน โดยเฉพาะเรื่องวฒั นธรรมการแตง่ กายแบบ บาบา๋ ของชาวไทยเชือ้ สายจีน ซง่ึ เยาวชนในระดบั การศกึ ษาควรได้รับการเสริมสร้างความเข้าใจใน รูปแบบวฒั นธรรม ดงั กลา่ ว 5.2.1.2 คนในชมุ ชนควรให้ความสําคญั กบั วิถีชีวิตของตวั เองไว้ให้ได้ คือ ปรับตวั แต่อย่าเปลี่ยนชีวิตไป เพื่อวฒั นธรรมการแตง่ กายชุดย่าหยาและรองเท้าปักของสตรี จงั หวดั ภเู ก็ต รองรับการทอ่ งเท่ียวโดยเฉพาะ ควรรักษาวฒั นธรรมและรากเหง้าเอาไว้ให้คนรุ่นตอ่ ไปได้เห็น 5.2.1.3 หนว่ ยงานที่เกี่ยวข้องควรเห็นความสาํ คญั ของวฒั นธรรมกบั การทอ่ งเท่ียว เชิงวฒั นธรรมให้มาก หากวฒั นธรรมเปลีย่ นแปลงไปกบั การทอ่ งเท่ียวจะถือเป็ นเร่ืองที่นา่ กลวั จะทํา ให้คนรุ่นหลงั ไมเ่ ห็นความเก่าแก่และเสน่ห์ของวฒั นธรรมดงั้ เดมิ 5.2.2 ข้อเสนอแนะในการวิจัยครัง้ ต่อไป 5.2.2.1 ในการศกึ ษาครัง้ นี ้ผ้ศู กึ ษาได้ทําการศกึ ษาเฉพาะท่ีอําเภอเมือง จงั หวดั ภเู ก็ตเทา่ นนั้ ควรมีการศกึ ษาเปรียบเทียบในหลายๆพืน้ ที่ เพ่ือให้ทราบถึงวฒั นธรรมการแตง่ กายชดุ ย่าหยาและรองเท้าปักอย่างเด่นชดั เพ่ือเป็ นแนวทางในการจดั การอนุรักษ์และสืบสานวฒั นธรรม ท้องถ่ินให้ยงั คงแพร่หลายตอ่ ๆไป 5.2.2.2 สถาบนั การศกึ ษาและชมุ ชนควรมีสว่ นร่วมในการเก็บรวบรวมข้อมลู ด้าน ประวตั ศิ าสตร์ความเป็ นมาของวฒั นธรรมการแตง่ กายชดุ ย่าหยาและรองเท้าปัก เพ่ือให้คนรุ่นหลงั เกิดความตระหนกั และหนั มาใส่ใจต่อวิถีชีวิตและวฒั นธรรมดงั้ เดิมของท้องถ่ิน เพื่อประโยชน์ต่อ การศกึ ษาและเผยแพร่ตอ่ ไป
199 เอกสารอ้างองิ กระทรวงวฒั นธรรม. 2547. มารยาทในการแต่งกายท่ีพึงประสงค์. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.m-culture.go.th/09/.,28 สงิ หาคม 2556. กรมส่งเสริม คณุ ภาพสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. 2552. บันไดสู่ ดาว ก้าวสู่เทศบาลน่าอย่อู ย่างย่ังยืน [ออนไลน์]. เข้าถงึ ได้จาก: http://elibrary. deqp.go.th/uploads/magazine/2012/10/0MVcAjlmXwz5/full/index.html#/1/., 29 มิถนุ ายน 2558. คณะกรรมการฝ่ ายประมวลเอกสารและจดหมายเหตุ ในคณะกรรมการอํานวยการจดั งานเฉลมิ พระ เกียรตพิ ระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยหู่ วั ฯ. 2544. วัฒนธรรม พฒั นาการทางประวัตศิ าสตร์ เอกลักษณ์และภูมิปัญญา จังหวัดภูเก็ต. กระทรวงมหาดไทย : กระทรวงศึกษาธิการ : กรม ศลิ ปากร. กรุงเทพมหานคร. จตุพร อุสาหะ และคณะ. 2557. ภูมิปัญญาท้องถ่ินจังหวัดภูเก็ต. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.Phuket-Knowledge-freevar.com/aboutus/html.,29 มถิ นุ ายน 2558. จารุภา ศริ ิธุวานนท์. 2551. “การเปล่ียนแปลงทางสังคมและวฒั นธรรมชุมชนมอญเกาะเกร็ด จังหวัดนนทบุรี.” วทิ ยานิพนธ์ปริญญาโท. มหาวิทยาลยั ราชภฎั พระนคร. เจษฎ์ศิริ เถื่อนมลู ละ. 2553. “การศึกษาองค์ประกอบทางภูมิทัศน์วัฒนธรรม กรณีศึกษา : ชุมชนภูไทบ้ านโคกโก่ ง จังหวัดกาฬสินธ์ุ”. การค้ นคว้ าอิสระ.(สาขาวิชาภูมิ สถาปัตยกรรม). บณั ฑิตวทิ ยาลยั . มหาวทิ ยาลยั ศลิ ปากร. ไชยยทุ ธ ป่ิ นประดบั . 2545. ชาวจนี และคนไทยเชือ้ สายจีนในภเู กต็ . ม.ป.ท., ภเู ก็ต. ณรงค์ เสง็ ประชา. 2539. พืน้ ฐานวัฒนธรรมไทย. พิมพ์ครัง้ ท่ี 3. โอ เอสพริน้ ตงิ ้ เฮ้าส์. กรุงเทพมหานคร. ดอกแก้ว ขอบใจกลาง. 2557. วัฒนธรรมการแต่งกาย. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.kaewtopten 10. Wordpress.com, 29 มิถนุ ายน 2558. ธานินทร์ ศลิ ป์ จารุ. 2551. การวจิ ัยและการวิเคราะห์ข้อมูลทางสถติ ดิ ้วย SPSS. พิมพ์ครัง้ ที่ 9. บริษัท เอส. อาร์. พริน้ ตงิ ้ แมสโปรดกั ส์ จํากดั , นนทบรุ ี. นิคม จารุมณี. 2548. ย่าหยาเอกลักษณ์สตรีภูเก็ตท่ีแสนจะงดงามและมีเสน่ห์อันลํา้ ลึก. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.inspec10.moe.go.th/yayar.htm, 9 มิถนุ ายน 2557.
200 เอกสารอ้างองิ (ต่อ) นวลศรี พงศ์ภทั รวตั . 2543. “บทบาทผู้นําชาวจีนฮกเกีย้ นในเกาะภเู ก็ต ระหว่าง พ.ศ. 2396- 2475.” วิทยานิพนธ์ปริญญาโท. มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒประสานมิตร. กรุงเทพมหานคร. บรรเจิด ตนั ติวิท. 2549. ผมเป็ นบาบ๋าคนหน่ึง เป็ นบาบ๋าภูเก็ต. บริษัท ท วัฒนาการพิมพ์ จํากดั . กรุงเทพมหานคร.ประชิด สกณุ ะพฒั น์. 2546. วฒั นธรรมพืน้ บ้านและประเพณี.ภมู ิ ปัญญา. กรุงเทพมหานคร. ประชิด สกณุ ะพฒั น์. 2546. วัฒนธรรมพืน้ บ้านและประเพณี. ภมู ปิ ัญญา, กรุงเทพมหานคร. ประทีป วัฒนสิทธ์ิ. 2555. สร้ างค่ านิยมการแต่ งกาย. [ออนไลน์]. เข้ าถึงได้ จาก: http://www.kroobannok.com/blog/48009., 27 ม.ค. 2555. ปิ ยะนนั ท์ ลานยศ. 2553. “การแต่งกายและเคร่ืองประดับของชาวเปอรานากันในเขตเมือง เก่า อําเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต”. ปริญญานิพนธ์. คณะวิจิตรศิลป์ . บณั ฑิตวิทยาลยั . มหาวิทยาลยั เชียงใหม.่ พรรณี วงศ์จําปาศรี. 2536. “ศกึ ษาเร่ืองการแต่งการของชาวผู้ไทยบ้านกุดหว้า ตาํ บลกุดหว้า อําเภอกุฉินารายณ์ จังหวัดกาฬสินธ์ุ”. ปริญญานิพนธ์. (สาขาวิชามนุษย์ศาสตร์). บณั ฑิตวทิ ยาลยั . มหาวทิ ยาลยั ศรีนครินทรวโิ รฒ. พรโสภา ศริ ิชยั . 2557. สัญลักษณ์สิริมงคลจนี . [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.sereechai.com/demo/news.php?no=10229, 26 มิถนุ ายน 2557. พวงผกา คโุ รวาท. 2540. ประวัตเิ คร่ืองแต่งกาย. พมิ พ์ครัง้ ที่ 5. อกั ษรพิทยา. กรุงเทพมหานคร. พวงผกา ประเสริฐศิลป์ . 2541. พืน้ ฐานวัฒนธรรมไทย. พิมพ์ครัง้ ท่ี 1. ฝ่ ายเอกสารและตํารา, มหาวิทยาลยั ราชภฏั สวนดสุ ติ . กรุงเทพมหานคร. ฟ้ า เจริญรัมย์. 2552. “การพัฒนาลวดลายผ้าไหมหางกระรอก : กรณีศึกษากลุ่มสตรีทอผ้า ไหมอําเภอห้วยราช จังหวัดบุรีรัมย์”. วิทยานิพนธ์ปริญญาโท. (สาขาวิชาคหกรรม ศาสตร์). บณั ฑิตศกึ ษา. มหาวิทยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลพระนคร. เรวตั ิ สหชั ปรีชา. 2545. “ศึกษาเร่ืองทัศนคตขิ องสตรีมุสลิมต่อการแต่งกายตามบทบัญญัติ ของศาสนาอิสลาม กรณีกรุงเทพมหานคร”. ปริญญานิพนธ์. (สาขาวิชาบริหารทวั่ ไป). บณั ฑิตวิทยาลยั . มหาวทิ ยาลยั บรู พา.
201 เอกสารอ้างองิ (ต่อ) ฤดี ภมู ภิ ถู าวร. 2550.ย้อนเร่ืองเคร่ืองแต่งกาย. ภเู ก็ตภมู ิ. ภเู ก็ต. ฤดี ภูมิภูถาวร. 2553. วิวาห์ บาบ๋ าภูเก็ต. บริษัท เวิลด์ออฟเซ็ทพริน้ ติง้ จํากัด. ภูเก็ต. วรัญญา มณีศรี. 2555. “จนิ ตนาการและความรงจาํ .” วิทยานิพนธ์ปริญญาโท.(สาขาวิชาทศั น ศลิ ปศกึ ษา). บณั ฑิตวทิ ยาลยั . มหาวทิ ยาลยั ศลิ ปากร. วมิ ล จิโรจพนั ธ์ุ และ คณะ. 2548. ศลิ ปะ และวัฒนธรรมไทย. พิมพ์ครัง้ ท่ี 1. แสงดาว. กรุงเทพมหานคร. สาวิตร พงศ์วชั ร์. 2551. “การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการสืบเน่ืองและการเปล่ียนแปลง ของวัฒนธรรมการแต่งกายชาวไทยเชือ้ สายจนี ท่สี ่งผลสู่งานสร้างสรรค์กรณีศึกษา: พิธีวิวาห์บาบ๋าเพอรานากัน จังหวัดภูเก็ต”. สํานกั ศิลปะและวฒั นธรรม. มหาวิทยาลยั ราชภฏั ภเู ก็ต. สกุ ญั ญา พ่วงภกั ดี และ คณะ. 2543. วิถีไทย. พิมพ์ครัง้ ท่ี 1. บริษัท เธิร์ดเวฟ เอ็ดดเู คชนั่ จํากดั . กรุงเทพมหานคร. สทุ ธิวงศ์ พงศ์ไพบลู ย์ และ คณะ. 2544. จีนทักษะวิถีและพลัง. สํานกั งานกองทุนสนบั สนนุ การ วิจยั . กรุงเทพมหานคร. สวุ ิมล เวชวิโรจน์. 2552. “ส่ือสารอัตลักษณ์กับการแต่งกายของชาวไทยโซ่งอําเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ ธานี”. วิทยานิพนธ์ปริญญาโท. (ภาควิชาสื่อสารมวลชน).บัณฑิต วิทยาลยั มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์. สมหมาย ป่ิ นพุทธศิลป์ . 2540. หนังสือท่ีระลึกเน่ืองในโอกาสเปิ ดท่ีว่าการอําเภอถลาง. ภเู ก็ต. สํานกั งานจงั หวดั ภเู ก็ต. 2535. จังหวัดภูเก็ต อดีต ปัจจุบัน และอนาคต. เอกสารประกอบการ บรรยายข้าราชการ จงั หวดั ภเู ก็ต ประจําปี พ.ศ. 2535. ภเู ก็ต สํานกั พมิ พ์สารคด.ี 2535. ภเู กต็ . ดา่ นสทุ ธาการพิมพ์. กรุงเทพมหานคร. เสาวพร ศรีม่วง. 2547. “ศึกษาเร่ืองการพัฒนารูปแบบเสือ้ ผ้าเคร่ืองแต่งกายของชาวเขา เพ่ือให้มีความทันสมัย”. ปริญญานิพนธ์. (คณะคหกรรมศาสตร์). มหาวิทยาลัย เทคโนโลยีราชมงคลธญั บรุ ี.
202 เอกสารอ้างองิ (ต่อ) หทยั รัตน์ ปัทมาววิ ฒั น์. 2547. “ความรู้เก่ียวกับผ้าไทยและการแต่งกายด้วยผ้าไทยของ อาจารย์สถาบนั เทคโนโลยีราชมงคลวทิ ยาเขตส่วนกลาง”. ปริญญานิพนธ์. (คณะคหกรรมศาสตร์).บณั ฑิตวทิ ยาลยั . มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์. อรพรรณ ฐานะศิริพงศ์. 2555. “กระแสวัฒนธรรมจีนบาบ๋า ในบริบทการท่องเท่ียวเชิง วัฒนธรรม: ศึกษาเฉพาะกรณี ถนนถลาง อาํ เภอเมือง จังหวัดภูเก็ต”. วิทยานิพนธ์ ปริญญาโท. จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั . NGUYEN THI THUY CHAU. 2549. “วัฒนธรรมการแต่งกายของคนไทดาํ ในสาธารณรัฐ สังคมนิยมเวียดนาม กรณีศึกษาหมู่บ้านป๊ าย ตาํ บลเจ่ียงลี อาํ เภอถ่วนเจวิ จังหวัดเซินลา”. วิทยานิพนธ์ปริญญาโท. (ภาควิชาสงั คมสาสตร์เพื่อการพฒั นา).บณั ฑิต วิทยาลยั . มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั พระนคร.
164 ภาคผนวก ก ภาคผนวก ภาคผนวก ข รายนามผู้เช่ียวชาญในการพจิ ารณาเคร่ืองมือ หนังสือขอเชญิ เป็ นผู้เช่ียวชาญในการพจิ ารณาเคร่ืองมือ หนังสือขอความอนุเคราะห์เก็บเคร่ืองมือการทา วทิ ยานิพนธ์ เคร่ืองมือท่ใี ช้ในการเกบ็ ข้อมูล
204 ภาคผนวก ก รายนามผู้เช่ียวชาญในการพจิ ารณาเคร่ืองมือ หนังสือขอเชิญเป็ นผู้เช่ียวชาญในการพจิ ารณาเคร่ืองมือ
205 รายนามผู้เช่ียวชาญในการพจิ ารณาเคร่ืองมือ 1. ผ้ชู ว่ ยศาสตราจารย์ .ดร.สาวติ ร พงศ์วชั ร์ ตาํ แหน่งทางวชิ าการ: ผ้ชู ่วยศาสตราจารย์ ตาํ แหนง่ อ่ืนๆ: ประธานสาขาวิชาศลิ ปะการจดั การแสดงคณะมนษุ ย์ศาสตร์และสงั คมศาสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฎั ภเู ก็ต 2. ผ้ชู ว่ ยศาสตราจารย์ .อภิรัติ โสฬส ตําแหนง่ ทางวิชาการ: ผ้ชู ่วยศาสตราจารย์ ตาํ แหน่งอ่ืนๆ : คณบดีฝ่ ายบริหาร คณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลพระ นคร 3. ผ้ชู ว่ ยศาสตราจารย์ ลกั ขณา จาตกานนท์ ตําแหนง่ ทางวชิ าการ: ผ้ชู ว่ ยศาสตราจารย์ ตําแหนง่ อ่ืนๆ: ผ้อู ํานวยการกองประชาสมั พนั ธ์ มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลพระนคร 4. ผ้ชู ว่ ยศาสตราจารย์ เจทญา กิจเกิดแสง ตําแหน่งทางวชิ าการ: ผ้ชู ่วยศาสตราจารย์ ตําแหน่งอื่นๆ: ผ้อู ํานวยการกองศลิ ปวฒั นธรรม มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลพระนคร 5. คณุ สกุ ญั ญา พฤฒพิ นั ธ์ ตําแหนง่ อ่ืนๆ: ประธานกรรมการพฒั นาสตรีจงั หวดั ภเู ก็ตและอปุ นายกสมาคมเพรานากนั จงั หวดั ภเู ก็ต
206
207
208
209
210
211 ภาคผนวก ข หนังสือขอความอนุเคราะห์เกบ็ เคร่ืองมือการทาํ วทิ ยานิพนธ์ เคร่ืองมือท่ใี ช้ในการเกบ็ ข้อมูล
212
213
214
215
216
217
218
219
220 แบบสัมภาษณ์เพ่อื การวจิ ยั เร่ือง “วัฒนธรรมกานแตงกายชุดย่าหยาและรองเท้าปักของสตรี อําเภอเมือง จังหวัด ภเู กต็ ” ........................................................................................................................................ เรียน ผ้ตู อบแบบสมั ภาษณ์ แบบสมั ภาษณ์ชุดนีเ้ ป็ นส่วนหน่ึงของการทําวิทยานิพนธ์ในระดบั ปริญญาโท สาขาวิชาคหกรรม ศาสตร์ หลักสูตรคหกรรมศาสตรมหาบัณฑิต คณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัย เทคโนโลยีราชมงคลพระนคร โดยมีคําชีแ้ จงในแบบสมั ภาษณ์ ดงั นี ้ 1. แบบสมั ภาษณ์ชดุ นีม้ ีจดุ มงุ่ หมายเพ่ือการศกึ ษาเทา่ นนั้ ผ้วู จิ ยั ขอความร่วมมือทา่ นโปรด ตอบแบบสมั ภาษณ์ตามความเป็ นจริงหรือตามความคดิ เห็นของท่าน 2. ข้อมลู ต่าง ๆ ที่ได้รับจากการสมั ภาษณ์ ผู้วิจยั จะนําเสนอข้อมลู เชิงพรรณนา เพ่ือเป็ น แนวทางให้แก่ผ้ทู ่ีศกึ ษาหรือผ้สู นใจตอ่ ไป 3. โปรดอ่านคําชีแ้ จงในการตอบแบบสมั ภาษณ์แตล่ ะข้อเพ่ือให้เข้าใจก่อนตอบโดยแบบ สมั ภาษณ์ชดุ นี ้แบง่ ออกเป็ น 3 ตอน คือ ตอนท่ี 1 ข้อมลู สว่ นบคุ คล ตอนท่ี 2 วฒั นธรรมกานแตงกายชุดย่าหยาและรองเท้าปักของสตรีอําเภอเมือง จงั หวดั ภเู ก็ต ตอนที่ 3 ข้อเสนอแนะ ผ้วู จิ ยั ขอขอบคณุ ทกุ ท่านที่ให้ความร่วมมือในการตอบแบบสมั ภาษณ์เพื่อการวจิ ยั ในครัง้ นี ้ นายอตชิ าติ สมบตั ิ นกั ศกึ ษาระดบั ปริญญาโท หลกั สตู รคหกรรมศาสตรมหาบณั ฑิต คณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลพระนคร
221 แบบสัมภาษณ์ แบบมีโครงสร้ าง สาํ หรับผู้ตอบแบบสัมภาษณ์ ตอนท่ี 1 ข้อมลู สว่ นบคุ คล 1. ช่ือ – นามสกลุ .......................................................................................... 2. อาย.ุ ........................ปี 3. ระดบั การศกึ ษา........................................................................................ 4. ตําแหนง่ งานปัจจบุ นั ................................................................................. ตอนท่ี 2 วฒั นธรรมกานแตงกายชดุ ยา่ หยาและรองเท้าปักของสตรีอําเภอเมืองจงั หวดั ภเู ก็ต วัตถุประสงค์ข้อ 1 ศกึ ษาประวตั ศิ าสตร์การตงั้ ถ่ินฐานของชาวจีนในจงั หวดั ภเู ก็ต 1.1 การตงั้ ถิ่นฐานของชาวจีนในจงั หวดั ภเู ก็ตมีความเป็ นมาอยา่ งไร 1.2 เหตผุ ลที่ชาวจีนมาตงั้ ถ่ินฐานในจงั หวดั ภเู ก็ตคืออะไร 1.3 ชาวจีนท่ีตงั้ ถ่ินฐานในจงั หวดั ภเู ก็ตสว่ นใหญ่เป็ นชาวจีนกลมุ่ ใด 1.4 ชาวจีนมีการเดนิ ทางเข้าสจู่ งั หวดั ภเู ก็ต มีการเดนิ ทางอยา่ งไร 1.5 ชาวจีนที่มาตงั้ ถ่ินฐานในจงั หวดั ภเู ก็ตสว่ นใหญ่ได้เข้ามาอยใู่ นบริเวณชมุ ชนใด 1.6 เม่ือมาตงั้ ถิ่นฐานในจงั หวดั ภเู ก็ตแล้วพวกเขามีวถิ ีชีวิตอยา่ งไร เชน่ การประกอบอาชีพ การดํารงชีพ วฒั นธรรม หรือ ประเพณี 1.7 การสร้างครอบครัวของคนจีนที่มาตงั้ ถ่ินฐานในจงั หวดั ภเู ก็ตมีลกั ษณะอยา่ งไร 1.8 บทบาทของชาวจีนที่มาตงั้ ถ่ินฐานในจงั หวดั ภูเก็ต ส่งผลอย่างไรต่อด้านวฒั นธรรม การแตง่ กายของ คนภเู ก็ต 1.9 การตัง้ ถิ่นฐานของชาวจีนในจังหวัดภูเก็ตทําให้วิถีชีวิตของ คนภูเก็ต มีความ เปล่ยี นแปลงอยา่ งไร 1.10 จากอดตี จนถงึ ปัจจบุ นั มีการเปลยี่ นแปลงอยา่ งไร
222 วัตถุประสงค์ข้อ 2 ศกึ ษาวฒั นธรรมการแตง่ กายชดุ ยา่ หยาและรองเท้าปักของสตรีจงั หวดั ภเู ก็ต 2.1 ลกั ษณะการแตง่ กายในชีวติ ประจําวนั และในโอกาสพิเศษของสตรีเชือ้ สายจีนในอดีต เป็ นอยา่ งไร 2.2 ลกั ษณะการแต่งกายในชีวิตประจําวนั และในโอกาสพิเศษของสตรีเชือ้ สายจีนใน ปัจจบุ นั เป็ นอยา่ งไร 2.3 ลกั ษณะการแต่งกายในชีวิตประจําวนั และในโอกาสพิเศษของสตรีเชือ้ สายจีนใน อนาคตเป็ นอยา่ งไร 2.4 ท่านคิดว่าการแตง่ กายของสตรีจงั หวดั ภเู ก็ตมีความแตกตา่ งหรือมีการแปลี่ยนแปลง ไปจากเดมิ หรือในอดีต ท่ีผา่ นมาอยา่ งไร และทา่ นคดิ วา่ การเปลยี่ นแปลงนีเ้กิดจากอทิ ธิพลใด 2.5 ท่านคิดอย่างไรเกี่ยวกบั วฒั นธรรมการแต่งกาย ชดุ ย่าหยาและรองเท้าปัก ของสตรี อําเภอเมืองจงั หวดั ภเู ก็ต 2.6 จดุ เดน่ ของวฒั นธรรมการแต่งกาย ชุดย่าหยาและรองเท้าปัก ของสตรี(อําเภอเมือง) จงั หวดั ภเู ก็ตเป็ นอยา่ งไร 2.7 ท่านคดิ อย่างไรเกี่ยวกบั การเปลี่ยนแปลงด้านวฒั นธรรมการแตง่ กายของสตรีจงั หวดั ภเู ก็ต 2.8 ท่านมีแนวทางอยา่ งไรท่ีจะอนรุ ักษ์วฒั นธรรมการแต่งกาย ชดุ ย่าหยาและรองเท้าปัก ของสตรี (อําเภอเมือง) จงั หวดั ภเู ก็ต วัตถุประสงค์ข้อ 3 .ศกึ ษารูปแบบลวดลายของชดุ ยา่ หยาและรองเท้าปักของสตรีจงั หวดั ภเู ก็ต 3.1 รูปแบบลวดลายของชุดย่าหยาและรองเท้าปักของสตรีจงั หวดั ภเู ก็ตมีความเป็ นมา อยา่ งไร 3.2 รูปแบบลวดลายของชุดย่าหยาและรองเท้าปักของสตรีจังหวดั ภูเก็ตมีวิวฒั นาการ อยา่ งไร 3.3 ลกั ษณะรูปแบบของชดุ ยา่ หยาเป็ นอยา่ งไร 3.4 ลกั ษณะลวดลายของชดุ ยา่ หยาเป็ นอยา่ งไร 3.5 ลกั ษณะรูปแบบของรองเท้าปักเป็ นอยา่ งไร 3.6 ลกั ษณะลวดลายของรองเท้าปักเป็ นอยา่ งไร 3.7 ลกั ษณะจดุ เดน่ ของชดุ ยา่ หยาเป็ นอยา่ งไร 3.8 ลกั ษณะจดุ เดน่ ของรองเท้าปักเป็ นอยา่ งไร
223 3.9 การตกแตง่ ลวดลายของชดุ ยา่ หยาและรองเท้าปักมีกรรมวธิ ีเฉพาะอยา่ งไร วัตถุประสงค์ข้อ 4 .วิเคราะห์ความเหมาะสมของสภาพบ้านเมืองกบั การแตง่ กาย 4.1 วฒั นธรรมการแตง่ กายชดุ ยา่ หยาและรองเท้าปักของสตรีอําเภอเมืองจงั หวดั ภเู ก็ต มี ความเหมาะสมกบั สภาพบ้านเมืองในอดตี อยา่ งไร 4.1.1 ในด้านภมู ิประเทศ 4.1.2 ในด้านสภาพดนิ ฟ้ าอากาศ 4.1.3 ในด้านเศรษฐกิจ 4.4.1 ในด้านสงั คม 4.1.5 ในด้านการปกครองและการเมือง 4.1.6 ในด้านศลิ ปวฒั นธรรม 4.2 วฒั นธรรมการแตง่ กายชดุ ยา่ หยาและรองเท้าปักของสตรีอําเภอเมืองจงั หวดั ภเู ก็ต มี ความเหมาะสมกบั สภาพบ้านเมืองในปัจจบุ นั อยา่ งไร 4.2.1 ในด้านภมู ิประเทศ 4.2.2 ในด้านสภาพดนิ ฟ้ าอากาศ 4.2.3 ในด้านเศรษฐกิจ 4.2.4 ในด้านสงั คม 4.2.5 ในด้านการปกครองและการเมือง 4.2.6 ในด้านศลิ ปวฒั นธรรม ตอนท่ี 3 ข้อเสนอแนะ ............................................................................................................................................... ............................................................................................................................................... ............................................................................................................................................... ............................................................................................................................................... วนั / เดือน / ปี ที่สมั ภาษณ์ ............................................................................................................................................... สถานที่สมั ภาษณ์ ...........................................................................................................................................
ประวตั กิ ารศกึ ษาและการทางาน ช่ือ นามสกุล นายอตชิ าติ สมบตั ิ วัน เดอื น ปี เกิด 04 มีนาคม 2530 ภมู ิลาเนา อาเภอถลาง จงั หวดั ภเู ก็ต ประวัตกิ ารศกึ ษา วุฒกิ ารศกึ ษา ช่ือสถาบนั ปี ท่สี าเร็จการศกึ ษา ปริญญาตรี มหาวิทยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลพระนคร 2553 (คหกรรมศาสตรบณั ฑิต)
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239