Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ประเพณีสงกรานต์

ประเพณีสงกรานต์

Description: ประเพณีสงกรานต์.

Search

Read the Text Version

รายงาน โครงการรวบรวมและจัดเก็บข้อมลู มรดกภูมิปญั ญาทางวฒั นธรรม ประเพณีสงกรานต์ โดย ผศ.ดร.อาพล นววงศเ์ สถยี รและคณะ โครงการนี้ไดร้ ับงบประมาณสนับสนุนจากกรมสง่ เสริมวฒั นธรรม

(๑) บทคัดยอ่ ชอื่ เรื่อง ประเพณีสงกรานต์ ช่อื นกั วิจัย ผศ.ดร.อาพล นววงศ์เสถยี ร ผศ.กรกนก ทิพรส ดร.สมจินตนา คมุ้ ภยั อาจารยน์ เรนทร์ แก้วใหญ่ ไดร้ ับทนุ อุดหนนุ การวจิ ยั จาก อาจารยส์ ิริลกั ษณ์ ศรที อง อาจารยณ์ พสั นนั ท์ บญุ เดช กรมสง่ เสริมวัฒนธรรม การศึกษาเร่ืองนี้มีวัตถุประสงค์ ๑) เพื่อให้ได้มีระบบความรู้ ความเข้าใจประเพณีสงกรานต์ ในขอบเขตของประเทศไทย ๒) เพ่ือรวบรวมและจัดเก็บข้อมูลเกี่ยวกับประเพณีสงกรานต์ และสร้าง ความตระหนักรับรู้ให้ชุมชนเห็นความสาคัญของประเพณีสงกรานต์ และให้เกิดจิตสานึกท่ีจะ เคลื่อนไหวทากิจกรรมในการสงวนรักษาประเพณีสงกรานต์ให้สืบทอดต่อไปในบริบทที่เหมาะสม ๓) เพ่อื นาไปส่กู ารเสนอข้นึ ทะเบยี นประเพณีสงกรานต์เป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติ สาขา แนวปฏิบัติทางสังคม พิธีกรรมและงานเทศกาล และนาเสนอยูเนสโกให้เป็นมรดกภูมิปัญญาทาง วัฒนธรรมของมนุษยชาติเม่ือประเทศไทยเข้าเป็นภาคี convention for the safeguarding of the intangible cultural heritage ในอนาคต โดยใช้ระเบียบวิธีการวิจัยเชิงคุณภาพและระเบียบวิธีการ วิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมของชุมชมพ้ืนท่ี ผู้ร่วมกระบวนการวิจัยได้แก่ ชุมชน ร่วมกันเก็บ ขอ้ มูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ การสนทนากลุ่ม การสังเกตแบบมีส่วนร่วมและแบบไม่มีส่วนร่วม การจัด เวทแี ละกจิ กรรมกลมุ่ ขอ้ มลู เชิงคณุ ภาพ ใช้วธิ ีการวเิ คราะห์เนื้อหา ให้ชุมชนมีส่วนร่วมในกระบวนการ จัดเกบ็ และรวบรวมขอ้ มูลในทกุ ขัน้ ตอน คืนข้อมูลเพื่อร่วมทบทวนตรวจสอบความถูกต้องกับชุมชนใน ขัน้ ตอนสดุ ทา้ ยของการวิจยั ผลการวิจัย การจัดเก็บและรวบรวมข้อมูลมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมประเพณีสงกรานต์ พบว่า ประเพณีสงกรานต์ไม่ปรากฏชัดว่าเกิดขึ้นเมื่อใด ชนชาติไทยรับเอาประเพณีสงกรานต์เป็นวัน ข้ึนปีใหม่มานับพันปีแล้ว แต่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ว่ามีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ดังปรากฏ อยูใ่ นกฎมณเฑียรบาล สมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถซ่ึงเป็นพิธีการเก่ียวกับการตัดจากปีเก่าขึ้นสู่ปี ใหม่ สมัยโบราณ ถือเอาวันข้ึน ๑ ค่าเดือนอ้าย เป็นวันขึ้นปีใหม่ ซึ่งจะตกราวเดือนพฤศจิกายนหรือ ธันวาคม ต่อมาได้เปล่ียนแปลงไปตามคติพราหมณ์ ซึ่งมีรากเหง้ามาจากการสังเกตธรรมชาติและฤดู การผลิต เป็นวันข้ึน ๑ ค่า เดือน ๕ หรือประมาณเดือนเมษายน นอกจากประเทศไทยแล้ว ยังมีมอญ พม่า ลาว และชนชาตไิ ทยเช้ือสายต่าง ๆ อันเป็นชนส่วนน้อยในจีน อินเดีย ก็ถือว่าสงกรานต์เทศกาล ฉลองวันขน้ึ ปใี หม่ดว้ ยเชน่ กนั ประเพณีสงกรานต์สงกรานต์ท่ีสืบทอดในประเทศไทยมี ๒ แบบ คือ ประเพณีสงกรานต์ของ หลวง เรียกว่า การพระราชกุศลสงกรานต์ และประเพณีของราษฎรที่จัดกันในท้องถิ่นต่าง ๆ ทั่วทุก ภาคของประเทศไทย ซึ่งจะจัดในวันท่ี ๑๓-๑๕ เมษายน มีกิจกรรมท่ีปฏิบัติสืบทอดกันมาเป็น ประเพณี คอื ผทู้ ี่นบั ถือพระพทุ ธศาสนาแสดงคารวะต่อพระรัตนตรัย ด้วยการสรงน้าพระพุทธรูป และ ไปทาบุญที่วัด การแสดงความกตัญญู การทาบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่ญาติท่ีล่วงลับไปแล้ว การแสดง

(๒) คารวะตอ่ ผู้ใหญ่และผู้มีพระคุณท่ียังมีชีวิตอยู่ด้วยการไปรดน้าขออโหสิกรรม อาจมีการเล่นสาดน้ากัน พร้อมกับอวยพรให้แก่กัน รวมทั้งกิจกรรมการละเล่นรื่นเริงตามประเพณีท้องถ่ินน้ัน ๆ มีการสืบทอด กันมาอย่างยาวนาน มีความสาคัญทางประวัตศาสตร์อันแสดงให้เห็นถึงอัตลักษณ์ชุมชนและความ หลากหลายทางวัฒนธรรม กระบวนการจัดเก็บและรวบรวมข้อมูลในชุมชน ทาให้ชุมชนเห็นความสาคัญของประเพณี สงกรานต์ และเกิดจิตสานึกที่จะเคลื่อนไหวทากิจกรรมในการปกป้องคุ้มครองและสงวนรักษา ประเพณีสงกรานต์ให้สืบทอดต่อไปในบริบทที่เหมาะสม ชุมชนมีความยินยอมและเต็มใจที่จะนาไปสู่ การเสนอขน้ึ ทะเบียนประเพณีสงกรานต์เป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติ สาขาแนวปฏิบัติ ทางสังคม พิธีกรรมและงานเทศกาล และนาเสนอยูเนสโกให้เป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของ มนุษยชาติเม่ือประเทศไทยเข้าเป็นภาคี convention for the safeguarding of the intangible cultural heritage ในอนาคต สาหรบั ขอ้ เสนอแนะจากงานวิจัยน้ี พบว่าควรมีการจัดประเพณีสงกรานต์อย่างต่อเน่ือง และ ต้องจัดกิจกรรมให้มีความหลากหลายสอดคล้องกับอัตลักษณ์มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของ ท้องถ่ินท่ีบรรพชนมอบไว้ให้แก่ลูกหลาน ควรมีการพัฒนาและสืบทอดให้เหมาะสมกับสภาพการ เปลี่ยนแปลงของสังคมท่ีเกิดข้ึน ควรให้เด็กและเยาวชนรุ่นใหม่ได้ศึกษาเรียนรู้ เพ่ือให้เกิดความรัก ความหวงแหนในคุณค่าของมรดกทางวัฒนธรรมท่ีบรรพชนได้มอบไว้ให้ ทุกภาคส่วนของชุมชนควร เข้ามามีส่วนร่วมในการปกป้องคุ้มครองและสงวนรักษา โดยให้คนในชุมชนและสังคมได้รับรู้ความ เป็นมา อัตลักษณ์และคุณค่าของประเพณีสงกรานต์โดยท่ัวกัน ภาครัฐควรเข้ามาช่วยกันส่งเสริมให้ แพร่หลายไปทุกภาคส่วนของสังคมท้ังในประเทศและนอกประเทศ ซึ่งจะทาให้ทุกฝ่ายเกิดความ ตระหนัก เหน็ คุณคา่ และความสาคญั ของมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมประเพณีสงกรานต์ของตนเอง ซึ่งแสดงถงึ ความศรัทธาที่มตี อ่ พระพทุ ธศาสนา ความกตญั ญตู ่อบรรพชนบุพการีและผู้ท่ีตนนับถือ การ เลน่ สาดน้ากนั พรอ้ มกับอวยพรใหแ้ กก่ นั รวมทง้ั กิจกรรมการละเล่นรื่นเริงตามประเพณีท้องถ่ินท่ีดีงาม สืบทอดกันอย่างตอ่ เนือ่ งยาวนานในฐานะมรดกภมู ิปญั ญาทางวฒั นธรรม

(๓) Title of Research ABSTRACT Researcher The Songkran Festival Allocation Asst. Prof.Dr. Ampol Navavongsathian, Asst.Prof. Kornkanok Thiparos, Dr.Somjitana Kumpai, Naren Kaewyai, Siriruk Srithong, Napasanun Bundej Department of Cultural Promotion The objectives of this study are; 1) to have knowledge system and to understand about Songkran in area of Thailand. 2) to collect and storage data about the Songkran festival and encourage the parties concern about important of the Songkran festival and concern to movement to do activities for the Songkran festival preservation to maintain continuity in optimize its context. 3) to conduce the Songkran festival to take as a candidate for the list of the intangible cultural heritage of Thailand in social practices, rituals and festivals field, and for the list of the intangible cultural heritage of humanity stipulated in the convention for the safeguarding of the intangible cultural heritage. The qualitative methodology and participation action research (PAR) to be used in this study. Data are collected in community districts of Thailand by participating of community by depth interview, focus group, participant observation and non-participant observation, stage argument, and group activities. The qualitative data are analyzed by content analysis with communities’ participating in every data collecting stage. Data are rechecked with the peer communities. The results showed that the Songkran festival had not evidence which showed when it was occurred. The Thai people have been accepted Songkran for the New Year day for more a thousand years. However the history evidences showed that it was occurred in Ayutthaya era, which was appeared in the rule of law in the King Baromatrilokahnaj reign that the ceremonial cutting of old year into the Thai new year. In antiquity, Thailand counted the first lunar month of the lunar New Year which was in the month of November or December. Later it was changed to Brahman apocalypse, which was rooted in the observation of nature and the seasons, was the fifth day of the fifth lunar month. Apart from Thailand, Mon, Myanmar and Laos, with as a minority in China and India, it was a festival to celebrate the Songkran New Year as well. Songkran festival in Thailand were two types, known as the Songkran festival charity, and the traditions of local people

(๔) organized across the country of Thailand. It was held on April 13-15 that Buddhist expressed to respect to the Buddha, whereby scented water was poured over the shoulder and gently down the back of the Buddha images in their homes as well as in the temples. The Thai people to made merit at temples, was grateful to parents and senior people whom they respected, whereby scented water was poured over the hands of them and gently down, and to made merit to relatives who had passed away, including amusement activities in traditional local, such as splashing of water. The Songkran festival has been inherited in Thailand for a long time. This was showed that the Songkran festival has historical significance, which was presented community identity and cultural diversity. The data storages and data collects processing show that the communities understand the important and consciousness to do activities for safeguarding and preservation of the Songkran festival in the suitable context. The communities have consented of the Songkran festival to take as a candidate for the list of the intangible cultural heritage of Thailand in social practices, rituals and festivals field, and for the list of the intangible cultural heritage of humanity stipulated in the convention for the safeguarding of the intangible cultural heritage. This study are suggest that the communities should held the Songkran festival is annual continuing festival, have variety activities that appropriate for the intangible cultural heritage identity of communities, and have activities to educate children and youth for concerning in the love, cherish the value of culture heritage, ancestors have given to them. The every sector in community should have participated in safeguarding and preservation, and the communities should be known identity and the origin of widely. The government should to promote and widespread the Songkran festival to local and global widely which every sector cherish the value of culture heritage and show to kindness, friendship and faith with Buddhism of ancestors, and safeguarding and preservation of cultural heritage over time.

(๕) กติ ตกิ รรมประกาศ รายงานการรวบรวมและจัดเก็บข้อมูลมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมประเพณีสงกรานต์ สาเร็จลุล่วงได้ เน่ืองมาจากผู้วิจัยได้รับความอนุเคราะห์ และความร่วมมืออย่างดีย่ิงจากผู้เชี่ยวชาญ นักประวัติศาสตร์ท้องถิ่น สภาวัฒนธรรม กานัน ผู้ใหญ่บ้าน ประชาชน พระภิกษุสงฆ์ ปราชญ์ชุมชน ชุมชน ผู้นาชุมชน ผู้นาท้องถนิ่ นกั วจิ ยั ชมุ ชนทุกทา่ น ทีก่ รุณาให้ความอนุเคราะห์ข้อมูลและมีส่วนร่วม ในกระบวนการรวบรวมจดั เก็บข้อมลู มรดกภูมิปญั ญาทางวัฒนธรรมประเพณีสงกรานต์ในทกุ ขัน้ ตอน ขอขอบพระคุณ กรมส่งเสริมวฒั นธรรม ในการพิจารณาตัดสินและให้ทุนสนับสนุนในการวิจัย นี้ ขอขอบคุณ คุณรัชดาพร ศรีภิบาล นักวิชาการวัฒนธรรมชานาญการ คุณมณฑิรา สวัสดิรักษา นักวิชาการวัฒนธรรมชานาญการ และเจ้าหน้าท่ีกรมส่งเสริมวัฒนธรรมทุกท่าน ท่ีได้มีส่วนสาคัญใน การพิจารณาให้ทุนสนับสนุนและประสานงานในทุกกระบวนการเป็นอย่างดีย่ิง จนกระท่ังงานวิจัยน้ี สาเร็จลุล่วงไปด้วยดี ขอขอบพระคุณ ดร.สมศักด์ิ รุ่งเรือง อธิการบดีวิทยาลัยเซาธ์อีสท์บางกอก ท่ีได้ ใหก้ าลงั ใจและผลักดันใหผ้ ู้วิจยั ม่งุ ม่นั ในการทางานวจิ ยั นี้ใหเ้ สรจ็ ลุลว่ งและมคี วามสมบูรณ์มากที่สดุ ขอขอบพระคุณ อาจารย์ชูพินิจ เกษมณี รองศาสตราจารย์ ดร.สมศักด์ิ ศรีสันติสุข และคณะ ผ้ทู รงคณุ วฒุ ิทุกท่าน ท่ีได้กรุณาให้คาแนะนาและข้อเสนอท่ีดียิ่ง จนกระท่ังงานวิจัยน้ีสาเร็จบรรลุตาม วัตถุประสงค์ของกรมส่งเสริมวัฒนธรรม และมีคุณค่ายิ่งต่อชุมชน สังคม ประเทศชาติ ตลอดจน มนุษยชาติอย่างถงึ ทีส่ ดุ ผศ.ดร.อาพล นววงศเ์ สถียร ตลุ าคม ๒๕๕๗

(๖) หนา้ (๑) สารบัญ (๓) (๕) บทคดั ย่อภาษาไทย (๖) บทคดั ยอ่ ภาษาอังกฤษ (๘) กิตติกรรมประกาศ (๙) สารบญั สารบัญตาราง ๑ สารบญั ภาพ ๑ ๑ ส่วนที่ ๑ ข้อมูลทเี่ ปน็ เน้อื หาสาระ ๓ ๒๑ บทที่ ๑ บทนา ๒๔ ๑.๑ หลักการและเหตผุ ล/ประวัติความเปน็ มา/นิยามของประเพณสี งกรานต์ ๒๔ ๒๔ ๑.๑.๑ หลักการและเหตุผล ๔๓ ๑.๑.๒ ประวัติความเปน็ มา ๔๔ ๑.๑.๓ นิยามของมรดกภูมปิ ญั ญา ๔๔ ๑.๒ วตั ถุประสงค์ ๑.๓ ขอบเขตในการดาเนินโครงการ ๔๙ ๑.๔ สถานภาพองค์ความรู้/งานวจิ ยั /ทฤษฎีทเี่ กี่ยวข้อง ๔๙ ๑.๕ คาถามในการดาเนินโครงการ ๔๙ ๑.๖ ชมุ ชนทีเ่ ก่ยี วข้อง ๕๒ ๑.๗ การกระจายตัวของสงกรานต์ ๕๒ ๕๙ บทที่ ๒ สาระของประเพณีสงกรานต์ ๖๖ ๒.๑ ช่อื ทป่ี รากฏในท้องถ่นิ หรอื ช่อื เทยี บเคยี ง ๗๒ ๒.๒ ประเภท ๘๔ ๒.๓ สถานท/ี่ แหล่งปฏิบัติ ๒.๔ ระเบียบพิธีกรรม/การประพฤตปิ ฏิบตั ขิ องการแสดงออกนัน้ ๆ ๒.๕ ภมู ธิ รรม ภมู ปิ ัญญา เอกลักษณ์ อัตลกั ษณ์ ๒.๖ ความเชอื่ ๒.๗ คุณคา่ หรือความหมาย ๒.๘ การถา่ ยทอดและการสบื ทอด

(๗) ๘๘ บทที่ ๓ เงื่อนไขภาวะวิกฤต/ปจั จยั คกุ คามของประเพณีสงกรานต์ ๙๐ ๓.๑ สภาพปัจจบุ นั ๙๙ ๓.๒ ปัจจัยคุกคาม บทท่ี ๔ การสงวนรักษาประเพณีสงกรานต์เปน็ มรดกภมู ปิ ัญญาทางวัฒนธรรมของชาติ/ ๑๐๗ มนุษยชาติ ๔.๑ เหตผุ ล ๑๐๗ ๔.๒ แนวทางการสง่ เสริมใหป้ ระเพณีสงกรานต์เปน็ มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติ/ ๑๐๙ มนุษยช์ าติ สว่ นที่ ๒ กระบวนการมสี ่วนร่วมของ “ชมุ ชน” ๑๑๑ ๑๑๔ ๑. กระบวนการรวบรวมและจดั เกบ็ ข้อมูลแบบมีส่วนรว่ ม ๑๑๗ ๒. ระเบียบวธิ ีการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยกระบวนการมสี ว่ นร่วมของชุมชน ๑๑๗ ๓. คาถามการดาเนินโครงการ ๑๒๑ ๔. นิยามศพั ท์ ๑๒๑ ๕. ขอบเขตการศึกษา ๑๒๑ ๖. ผลการศึกษา ๑๖๐ ๗. การเขียนรายงานผลการศึกษา ๑๖๑ เอกสารอ้างองิ ๑๖๘ ภาคผนวก ๑๘๘ ก.ภาพประเพณีสงกรานตภ์ าคต่าง ๆ ในประเทศไทย ๕๖๒ ข.ใบแสดงความยนิ ยอม (Certificate of Consent) ๖๐๙ ค.แบบบนั ทึกขอ้ มูลรายการมรดกภมู ปิ ญั ญาทางวัฒนธรรมประเพณีสงกรานต์ ๖๑๕ ง.รายช่อื ผใู้ ห้ขอ้ มูล จ.รายชอ่ื ผู้เก็บขอ้ มูล

(๘) สารบัญตาราง ตารางท่ี หนา้ ๑ นิยามศพั ท์ท่ปี รากฏในอนุสนธสิ ญั ญาและความหมายทีแ่ ปลโดยกรมสง่ เสริม ๑๑๘ วัฒนธรรม

(๙) หนา้ ๑๖๘ สารบญั ภาพ ภาพที่ ๑. ภาพประเพณสี งกรานต์ภาคต่าง ๆ ในประเทศไทย

สว่ นท่ี ๑ ข้อมูลที่เปน็ เนอื้ หาสาระ บทที่ ๑ บทนา ๑.๑ หลักการและเหตผุ ล/ประวตั คิ วามเป็นมา/นยิ ามของประเพณีสงกรานต์ ๑.๑.๑ หลกั การและเหตผุ ล ประเพณีสงกรานต์ เป็นประเพณีฉลองการข้ึนปีใหม่ของไทย ซึ่งโดยท่ัวไปจัดข้ึนระหว่างวันที่ ๑๓-๑๕ เมษายน ตรงกบั เดอื นห้าตามจันทรคติ (ในสมัยโบราณคนไทยนับเดือนตามจันทรคติ เดือนที่ ๑ เรยี กว่าเดือนอา้ ย) ตามหลักฐานทางประวัตศิ าสตรไ์ ทยมปี ระเพณีสงกรานตต์ ้ังแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา แล้ว ในกฏมณเฑียรบาล ซึ่งสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถโปรดฯ ให้ตราขึ้น กล่าวถึงการพระราชพิธี เผด็จศกและพระราชพิธีลดแจตร พระราชพิธีเผด็จศกเป็นพิธีการเก่ียวกับการตัดจากปีเก่าขึ้นปีใหม่ ส่วนพระราชพิธีลดแจตรน้ัน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าทรงสันนิษฐานว่าหมายถึงพระราชพิธี รดน้าเดือน ๕ (พระราชพิธี ๑๒ เดือน หน้า ๙๑) แสดงว่าประเพณีสงกรานต์ของหลวงมีมาตั้งแต่สมัย กรุงศรอี ยธุ ยาแลว้ ในสมัยก่อนไทยใชจ้ ุลศกั ราช การข้ึนปีใหม่จึงเป็นการขึ้นจุลศกั ราชใหม่ สงกรานต์ เป็นประเพณีส้าคัญที่ยึดถือปฏิบัติสืบเนื่องกันมาแต่โบราณเป็นวัฒนธรรมประจ้า ชาติท่ีงดงาม โดดเด่น และฝังลึกเข้าไปในชีวิตของคนไทยมาช้านานเป็นขนบธรรมเนียมที่มีความ งดงาม ออ่ นโยน เออ้ื อาทร และเต็มไปดว้ ยบรรยากาศของความกตัญญู การแสดงความเคารพ การให้ เกียรติโดยใช้น้าซึ่งมีคุณูปการต่อการด้ารงชีวิตของมนุษย์เป็นสัญลักษณ์ของความสะอาด ความ บริสุทธิ์ และความเย็นสดชื่นในจิตใจอันเป็นสื่อในการเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างกัน ปัจจุบันจึงน่าจะ ช่วยกันรักษาคุณค่าทางใจ ความมีน้าใจ การมีสัมมาคารวะและกตัญญู การช่วยเหลือเก้ือกูลต่อ ธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม เพื่อเป็นการสร้างเสริมสายใยครอบครัว สังคม และประเทศชาติ (กรม ส่งเสรมิ วฒั นธรรม, ๒๕๕๔, หน้า ๑) ประเพณีสงกรานต์ เปน็ มรดกภมู ปิ ัญญาทางวฒั นธรรมของบรรพชนท่มี คี วามงดงาม อ่อนโยน เอื้ออาทร และเต็มไปด้วยบรรยากาศของความกตัญญู การแสดงความเคารพ การให้เกียรติโดยใช้น้า ซ่ึงมีคุณูปการต่อการด้ารงชีวิตของมนุษย์เป็นสัญญลักษณ์ของความสะอาด ความบริสุทธ์ิ และความ เย็นสดชื่นในจิตใจอันเป็นส่ือในการเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างกัน จึงน่าท่ีจะช่วยกันรักษาคุณค่าทาง ใจ ความมีนา้ ใจ การมีสมั มาคารวะและกตัญญู การช่วยเหลอื เกื้อกูลต่อธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม เพื่อ เป็นการเสริมสร้างสายใยครอบครัว สังคมและประเทศชาติ (นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ, ๒๕๕๓) สมควรท่ี เยาวชนและชุมชนจะร่วมกันอนุรักษ์ สืบสาน ปกป้องและคุ้มครองมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมท่ี บรรพชนได้สืบทอดส่งต่อมายังรุ่นลูกรุ่นหลานสืบต่อไปไม่ขาดสาย ดังน้ัน กล่าวได้ว่าประเพณี สงกรานต์มีความสา้ คัญและมคี ณุ คา่ ดงั น้ี ๑. มรดกทางวัฒนธรรมที่บรรพบุรุษได้มอบไว้ให้ลูกหลานของตน ประเพณีสงกรานต์ เป็น ประเพณีที่งดงาม สมเป็นมรดกอันล้าค่าของไทย เป็นวันแห่งความเอื้ออาทรท่ีมีคุณค่าต่อครอบครัว

๒ ชุมชน สังคมและศาสนา ประเพณีสงกรานต์ท่ีมีความงดงามนี้ แสดงถึงภูมิปัญญาอันละเอียดลึกซ้ึง ของบรรพบุรษุ และยงั เป็นการใช้มิติทางวัฒนธรรมเพื่อสร้างความอบอุ่นในครอบครัว การแสดงออก ถึงความกตัญญู อันเป็นเอกลักษณ์ท่ีส้าคัญของคนไทยท่ีมีมาช้านาน นอกจากน้ียังช่วยสร้างความ สมัครสมานสามัคคี ท้ังคนในครอบครัว สังคมและประเทศชาติอีกด้วย (อภินันท์ โปษยานนท์, ๒๕๔๔) ๒. ความส้าคัญทางประวัติศาสตร์อันแสดงให้เห็นถึงอัตลักษณ์ชุมชนและความหลากหลาย ทางวัฒนธรรม ประเพณีสงกรานต์ เป็นประเพณีฉลองการข้ึนปีใหม่ของไทย ซึ่งโดยท่ัวไปจัดขึ้น ระหวา่ งวนั ท่ี ๑๓-๑๕ เมษายน ตรงกบั เดือนหา้ ตามจันทรคติ๑ ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ไทยมี ประเพณีสงกรานต์ต้ังแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาแล้ว ในกฎมณเฑียรบาล ซ่ึงสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ โปรดฯ ให้ตราขึ้น กลา่ วถึงการพระราชพิธีเผด็จศกและพระราชพิธีลดแจตร พระราชพิธีเผด็จศกเป็น พิธีการเก่ียวกับการตัดจากปีเก่าข้ึนสู่ปีใหม่ ส่วนพระราชพิธีลดแจตรนั้น พระบาทสมเด็จพระ จุลจอมเกล้าทรงสันนิษฐานว่าหมายถึงพระราชพิธีรดน้าเดือน ๕ (พระราชพิธี ๑๒ เดือน หน้า ๙๑ อ้างไว้ในหนังสือประเพณีสงกรานต์, กระทรวงวัฒนธรรม, ๒๕๔๔) แสดงว่าประเพณีสงกรานต์ของ หลวงมีมาตั้งแต่ต้นสมัยกรุงศรีอยุธยาแล้ว ในสมัยก่อนไทยใช้จุลศักราช การข้ึนปีใหม่จึงเป็นการข้ึน จลุ ศกั ราชใหม่ ในชว่ งสงกรานตม์ กี ิจกรรมท่ีปฏบิ ตั ิสืบทอดกันมาเป็นประเพณี คือผู้ที่นับถือพระพุทธศาสนา แสดงคารวะต่อพระรัตนตรัย ด้วยการสรงน้าพระพุทธรูป และไปท้าบุญท่ีวัด ผู้ท่ีนับถือศาสนาอื่นก็ อาจประกอบกิจกรรมตามประเพณีในศาสนาของตนเพ่อื ใหจ้ ิตใจผ่องแผ้ว ใสสะอาด และในการแสดง ความกตญั ญูน้นั มกี ารทา้ บญุ อทุ ศิ สว่ นกศุ ลให้แก่ญาตทิ ่ีลว่ งลบั ไปแล้ว และแสดงคารวะต่อญาติผู้ใหญ่ และผูม้ ีพระคณุ ทีย่ งั มชี วี ติ อยดู่ ว้ ยการไปรดนา้ ขออโหสกิ รรม ฝ่ายผใู้ หญ่ก็แสดงความปรารถนาดีความ เอ้ืออาทร ดว้ ยการใหอ้ โหสิกรรมและใหพ้ รแกล่ กู หลาน ญาติมิตร อาจเล่นสาดน้ากันพร้อมกับอวยพร ให้แก่กัน สงกรานต์จึงเป็นวาระที่สมาชิกในครอบครัวและสังคมได้ใกล้ชิด แสดงความปรารถนาดีต่อ กันและร่วมกันสนุกสนาน รวมท้ังกิจกรรมการละเล่นรื่นเริงตามประเพณีท้องถิ่นน้ันๆ มีการสืบทอด กันมาอย่างยาวนาน มีความส้าคัญทางประวัติศาสตร์อันแสดงให้เห็นถึงอัตลักษณ์ชุมชนและความ หลากหลายทางวัฒนธรรม (อภนิ ันท์ โปษยานนท์, อ้างแล้ว) ๓. ประเพณีสงกรานต์ซึ่งเป็นประเพณีท่ีสืบทอดกันมายาวนานของอาจเส่ียงต่อการถูกฉก ฉวยน้าไปใช้ประโยชน์ในทางที่ไม่ถูกต้องและไม่เหมาะสม และ/หรือถูกเบ่ียงเบนไปจากปูมต้านาน ด้ังเดิมของบรรพบุรุษโดยมิได้สะท้อนถึงอัตลักษณ์ของชมุ ชนอย่างถูกตอ้ งแท้จริง ท่ามกลางกระแสโลกาภิวัตน์ที่แผ่ขยายครอบคลุมไปท่ัวโลก โดยเฉพาะที่ส่งผลกับประเทศ ไทย ก่อให้เกิดภาวะวิกฤตกับวัฒนธรรมไทยเป็นอย่างมาก ประเพณีสงกรานต์ก็ตกอยู่ในวัฏจักรนี้ เชน่ เดียวกนั มีความเปลย่ี นแปลงเกดิ ขึ้นหลายประการที่ยังความเป็นห่วงให้เกิดข้ึนแก่ทุกคนที่รักและ เห็นคุณค่าของประเพณีน้ี จึงมีความพยายามที่จะรณรงค์ทุกรูปแบบเพื่อให้ทุกคนท่ีเป็นคนไทย รวมท้ังชาวต่างชาติได้รับรู้ถึงความหมาย ความส้าคัญ และคุณค่าของประเพณีสงกรานต์ท่ีแท้จริง แนวทางปฏิบัติของประเพณีสงกรานต์ และร่วมมือกันปฏิบัติให้ถูกต้องเพื่อสืบทอด ความหมายและคุณค่า ความเบ่ียงเบน ความรุนแรงต่าง ๆ ท่ีเกิดขึ้นก็จะหมดไป โดยเฉพาะเกี่ยวกับ การเล่นสาดนา้ ที่เกินเหตุ ซึง่ นอกจากจะเตม็ ไปดว้ ยพฤตกิ รรมทีเ่ ส่ยี งอนั ตรายท้ังการใช้น้าสกปรก การ

๓ ใช้น้าแข็งขว้างปา การใช้อุปกรณ์ฉีดน้าที่มีแรงดันสูงจนก่อให้เกิดอันตราย การใช้แป้งใช้สีทาตาม หน้าตาและเน้ือตัว ฯลฯ ตลอดจนกระท่ังการขยายความหมายของการเล่นสาดน้าให้เป็นจุดขายของ ประเพณีสงกรานต์จนเกินจริง ทั้ง ๆ ท่ีการเล่นรดน้าเป็นหน่ึงในกิจกรรมท่ีแสดงถึงความเอาใจใส่ ความเอื้ออาทร และความหวงั ดีซ่ึงกันและกันเทา่ นัน้ ส่ิงท่ีควรท้าอย่างยิ่งก็คือ การเผยแพร่ให้ความรู้แก่เยาวชน ตลอดจนนักท่องเที่ยวต่างชาติ เข้าใจในสาระความหมายอย่างชัดเจน พร้อมทั้งแนะแนวทางที่ควรประพฤติปฏิบัติในประเพณี สงกรานต์ การเผยแพร่ให้ความรู้เช่นนี้ ควรท้าอย่างต่อเนื่องและสม้่าเสมอ การรักษาและสืบทอด ความงดงามของสาระสา้ คัญของประเพณีสงกรานต์น้ัน น่าจะเป็นหน้าที่ของคนไทยทุกระดับในสังคม เรมิ่ ตั้งแตค่ รอบครวั โรงเรียน ชุมชน องคก์ รต่างๆของรัฐและเอกชน ตลอดจนส่ือมวลชนทกุ แขนง จากทีก่ ล่าวมาข้างตน้ คณะผู้รวบรวมและจัดเกบ็ ขอ้ มูลมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมเห็นถึง ความส้าคัญในการรวบรวมและจัดเก็บข้อมูลมรดกปัญญาทางวัฒนธรรมประเพณีสงกรานต์อันเป็น มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของคนไทย ท่ีนับวันจะเลือนหายและคลาดเคล่ือนในความหมายใน ขนบธรรมเนียมประเพณีและธรรมเนียมปฏิบัติอันลึกซึ้ง จิตวิญญาณบรรพบุรุษในการแสดงความ ปรารถนาต่อกัน เพ่ือมิให้ปุถุชนคนรุ่นหลังได้เข้าใจในเนื้อหาสาระ และความหมายของประเพณีได้ อย่างถกู ต้องและดา้ รงสืบต่อไป ๑.๑.๒ ประวตั ิความเปน็ มา ค้าว่า \"สงกรานต์\" มาจากภาษาสันสกฤตว่า ส้-กรานต แปลว่า ก้าวข้ีน ย่างข้ึน หรือก้าวขึ้น การย้ายท่ี เคล่ือนท่ี คือพระอาทิตย์ย่างขึ้นสู่ราศีใหม่ ซ่ึงหมายถึงวันที่พระอาทิตย์เคล่ือนย้ายจากราศี หน่ึงไปสูอ่ กี ราศรหี นึ่ง เรยี กว่า วนั สงกรานต์ แตเ่ ฉพาะวนั เวลาทีพ่ ระอาทติ ย์เคลื่อนย้ายจากราศีมีนเข้า ไปสู่ราศีเมษ ถือเป็นกรณีพิเศษ เรียกว่า วันมหาสงกรานต์ ในสมัยโบราณถือเอาวันนี้เป็นวันข้ึนปีใหม่ การกา้ หนดนบั เวลาที่ดวงอาทิตยโ์ คจรเขา้ สรู่ าศเี มษเป็นวันเร่ิมต้นรอบปีใหม่ หรือวันข้ึนปีใหม่ดังกล่าว ข้างต้นนั้น มีก้าเนิดมาจากอินเดีย ต่อมาไทย รวมทั้งชนชาติอ่ืน ๆ ในแถบภูมิภาคเอเชีย ตะวันออก เฉียงใต้ รวมท้ังชนชาติอื่น ๆ ในแถบภูมิภาคเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ พม่า มอญ ลาว เขมร ต่างรับเอกแนวความคิดน้ีมาใช้เป็นวันขึ้นปีใหม่ประจ้าชาติของตน ซึ่งอาจก้าหนดขึ้นไม่ตรงกัน แต่ก็ ถือว่าเปน็ ประเพณสี ้าคัญของบา้ นเมอื ง (กอ่ งแกว้ วรี ะประจักษ์, ๒๕๕๒) มณี พยอมยงค์ ปราชญ์แห่งล้านนาได้ประมวลความจากต้านานต่างๆ โดยได้สรุปไว้ว่า ชน ชาตไิ ทยรบั เอาประเพณีวันสงกรานต์เปน็ วนั ขึ้นปีใหม่นมี้ านับพันปแี ลว้ (มณี พยอมยงค์, ๒๕๔๙) ประเพณีสงกรานต์ เป็นประเพณีฉลองการข้ึนปีใหม่ของไทย ซึ่งโดยทั่วไปจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๑๓-๑๕ เมษายน ตรงกับเดือนห้าตามจันทรคติ ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ไทยมีประเพณี สงกรานต์ต้ังแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาแล้ว ในกฎมณเฑียรบาล ซึ่งสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถโปรดฯให้ ตราขึ้น กล่าวถึงการพระราชพิธีเผด็จศกและพระราชพิธีลดแจตร พระราชพิธีเผด็จศกเป็นพิธีการ เก่ียวกับการตัดจากปีเก่าขึ้นสู่ปีใหม่ ส่วนพระราชพิธีลดแจตรน้ัน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ทรงสันนิษฐานว่าหมายถึงพระราชพิธีรดน้าเดือน ๕ (พระราชพิธี ๑๒ เดือน หน้า ๙๑ อ้างไว้ใน หนังสือประเพณีสงกรานต์, กระทรวงวัฒนธรรม, ๒๕๔๔) ซ่ึงแสดงว่าประเพณีสงกรานต์ของหลวงมี มาต้งั แตต่ น้ สมยั กรุงศรอี ยธุ ยาแล้ว (ประคอง นมิ มานเหมนิ ท์, ๒๕๔๔)

๔ ทัศนี อุทการ (๒๕๕๖) ได้กล่าวถึงความเป็นมาสงกรานต์ของไทย ไว้ว่า ค้าว่า \"สงกรานต์\" มาจากภาษาสนั สกฤตวา่ ส้-กรานต แปลวา่ ก้าวขีน้ ย่างขึ้น หรือก้าวขึ้น การย้ายที่ เคล่ือนที่ คือพระ อาทิตย์ย่างขึ้นสู่ราศีใหม่ หมายถึงวันข้ึนปีใหม่ ซ่ึงตกอยู่ในวันท่ี ๑๓, ๑๔, ๑๕ เมษายนทุกปี แต่วัน สงกรานต์น้ันคือ วันท่ี ๑๓ เมษายน เรียกว่า วันมหาสงกรานต์ วันที่ ๑๔ เป็นวันเนา วันท่ี ๑๕ เป็น วนั เถลงิ ศก กจิ กรรมส่วนใหญท่ ่ที า้ ในเทศกาลนกี้ ม็ ี การท้าความสะอาดบ้านเรือน ท้าบุญท้าทาน สรง น้าพระ รดน้าขอพรผู้ใหญ่ และเล่นสาดน้ากัน เป็นต้น อย่างไรก็ดี นอกจากกิจกรรมดังกล่าวแล้ว ประเพณีสงกรานต์ยังมีเรื่องราวที่น่าสนใจอีกหลายอย่าง ส้าหรับเร่ืองน่ารู้เก่ียวกับความเป็นมา ประเพณีสงกรานต์ อาจกลา่ วสรปุ สาระส้าคญั ได้ ดงั นี้ ๑. ก่อนที่เราจะถือวันสงกรานต์เป็นปีใหม่แบบไทยนั้น สมัยโบราณ เราถือเอาวันขึ้น ๑ ค้่า เดือนอ้าย เป็นวันขึ้นปีใหม่ เพราะถือว่าฤดูหนาว เป็นการเร่ิมต้นปี ซ่ึงจะตกราวเดือนพฤศจิกายน หรือธันวาคม ต่อมาได้มีการเปลี่ยนแปลงไปตามคติพราหมณ์ ซ่ึงมีรากเหง้ามาจากการสังเกต ธรรมชาติและฤดูการผลิต เป็น วันขึ้น ๑ ค่้า เดือน ๕ หรือประมาณเดือนเมษายน คร้ันในปีพ.ศ. ๒๔๓๒ สมัยรชั กาลท่ี ๕ ได้เปลย่ี นวนั ขึ้นปีใหม่เปน็ วันท่ี ๑ เมษายน และต่อมาในปีพ.ศ. ๒๔๘๓ จอม พลป.พิบูลสงครามก็ได้ประกาศให้วันท่ี ๑ มกราคม เป็นวันขึ้นปีใหม่จนปัจจุบัน อันเป็นการนับแบบ สากล อย่างไรก็ดี คนไทยในหลายภูมิภาคก็ยังยึดถือเอาวันสงกรานต์เป็นเทศกาลเฉลิมฉลองปีใหม่ ซง่ึ แตเ่ ดิมแมจ้ ะอยใู่ นชว่ งเดอื นเมษายน กไ็ มไ่ ดต้ รงกับวนั ที่ ๑๓ เมษายน ดังเชน่ ปัจจบุ นั จนเมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๔ เป็นต้นมา จึงได้ก้าหนดเปน็ วันท่ี ๑๓ เมษายน ตามปฏทิ นิ เกรกอรี่ ๒. นอกจากประเทศไทยแล้ว ยังมีมอญ พม่า ลาว และชนชาติไทยเชื้อสายต่างๆอันเป็นชน สว่ นน้อยในจนี อนิ เดยี กถ็ ือวา่ สงกรานตเ์ ปน็ เทศกาลฉลองวนั ขน้ึ ปใี หมข่ องเขาด้วยเชน่ กัน ๓. ภาคกลางเรยี กวันท่ี ๑๓ เมษายน ว่าวันมหาสงกรานต์ ซึ่งวันนี้ทางการได้ประกาศให้เป็น วันผู้สูงอายุแห่งชาติ วันท่ี ๑๔ เมษายน เรียก วันเนา และรัฐบาลสมัยพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณได้ ประกาศให้เปน็ วันครอบครวั ส่วนวนั ท่ี ๑๕ เมษายน เรยี ก วนั เถลงิ ศก คอื วันเร่มิ จลุ ศักราช ๔. ทางล้านนาเรียกวันท่ี ๑๓ เมษายนว่า วันสังขารล่อง ซ่ึงบางท่านให้ความหมายว่า หมายถงึ อายสุ น้ิ ไปอีกปี วันท่ี ๑๔ เมษายน เรยี กวนั เน่า เปน็ วนั หา้ มพดู จาหยาบคาย เพราะเช่ือว่าจะ ท้าใหป้ ากเนา่ และไม่เจริญ สว่ นวันที่ ๑๕ เมษายนเรียก วนั พญาวนั คอื วนั เปลีย่ นศกใหม่ ๕. ภาคใต้ เรียกวันที่ ๑๓ เมษายนว่า วันเจ้าเมืองเก่าหรือวันส่งเจ้าเมืองเก่า เพราะเชื่อว่า เทวดารักษาบ้านเมืองกลับไปชุมนุมกันบนสวรรค์ ส่วนวันท่ี ๑๔ เมษายน เรียกว่า วันว่าง คือวันท่ี ปราศจากเทวดาท่ีรักษาเมือง ดังน้ัน ชาวบ้านก็จะงดงานอาชีพต่างๆ แล้วไปท้าบุญที่วัด ส่วนวันที่ ๑๕ เมษายน เรียกว่า วันรับเจ้าเมืองใหม่ คือวันรับเทวดาองค์ใหม่ท่ีได้รับมอบหมายให้มาดูแลเมือง แทนองคเ์ ดิมท่ยี า้ ยไปประจา้ เมืองอนื่ แลว้ ๖. ตา้ นานสงกรานต์ ซึ่งเป็นเรื่องเล่าเกี่ยวกับสงกรานต์และนางสงกรานต์ท่ีเรารู้จักกันดีเป็น ตา้ นานท่ีรชั กาลที่ ๓ โปรดให้จารกึ ไวใ้ นแผ่นศลิ า ๗ แผ่น ติดไว้ทีศ่ าลารอบพระมณฑปทิศเหนือในวัด พระเชตุพนฯ หรอื วดั โพธิ์ ๗. นางสงกรานต์เป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา ซึ่งเป็นสวรรค์ชั้นต้่าสุด มีด้วยกัน ๗ องค์เป็นพี่น้องกัน และต่างก็เป็นบาทบริจาริกา แปลว่า นางบ้าเรอแทบเท้า หรือเรียกง่ายๆว่า เปน็ เมียน้อยของพระอนิ ทร์ จอมเทวราช และเปน็ ธดิ าของทา้ วกบลิ พรหมในตา้ นาน

๕ ๘. นางสงกรานต์ มีช่ือตามแต่ละวันในสัปดาห์คือ วันอาทิตย์ ชื่อ นางทุงษะ วันจันทร์ ช่ือ นางโคราคะ วันอังคาร ชอ่ื นางรากษส วันพธุ ชอื่ นางมณฑา วันพฤหัสบดี ชื่อ นางกิริณี วันศุกร์ ชื่อ นางกมิ ิทา วนั เสารช์ ือ่ นางมโหทร ๙. นางสงกรานต์แต่ละองคจ์ ะมีพาหนะทรงต่างกัน ตามล้าดับแต่ละวัน คือ นางทุงษะขี่ครุฑ นางโคราคะขเ่ี สอื นางรากษสขีห่ มู นางมณฑาข่ีลา นางกิริณีข่ีช้าง นางกิมิทาขี่ควาย และนางมโหทร ขน่ี กยงู ซงึ่ สัตว์ที่เปน็ พาหนะทรงจะมิใช่ปีนักษัตรของปีนั้นๆ ตามทีห่ ลายคนเข้าใจผดิ ๑๐. ค้าว่า ด้าหัว ปกติแปลว่า สระผม แต่ในประเพณีสงกรานต์ล้านนา จะหมายถึง การไป แสดงความเคารพ ขออโหสิกรรมทอี่ าจไดล้ ว่ งเกนิ ในเวลาท่ผี ่านมา รวมทั้งการไปขอพรจากผู้ใหญ่ ซ่ึง หมายถึงญาตผิ ูใ้ หญ่ ผู้อาวโุ สในหมบู่ ้าน ในเมืองหรือครูบาอาจารย์ ผู้บังคับบัญชา โดยส่วนมากจะใช้ น้าขมนิ้ ส้มปอ่ ยไปไหว้ท่าน และทา่ นกจ็ ะจมุ่ แลว้ เอานา้ แปะบนศีรษะเป็นเสร็จพธิ ี ๑๑. ในสมัยก่อนเม่ือใกล้สงกรานต์หรือวันสงกรานต์ จะมีสัตว์ชนิดหนึ่งท่ีคนแต่ก่อนเรียกว่า ตัวสงกรานต์ เป็นสิง่ มชี ีวติ ลกั ษณะคลา้ ยไสเ้ ดอื น แตเ่ ล็กขนาดเส้นด้าย ยาวประมาณ ๒ น้ิว มีสีเลื่อม พราย เป็นสีเขียว เหลือง แดง ม่วง เปลี่ยนสีไปได้เรื่อยๆ จะอยู่กันเป็นฝูงในแม่น้าล้าคลอง เมื่อ กระดิกตัวว่ายน้าจะท้าให้เกิดประกายสีต่างๆ สวยงามแปลกตา ถ้าจับพ้นน้า สีจะจางหายไป ตัวจะ ขาดเป็นทอ่ นเล็กๆและเหลวละลาย ปัจจุบันเข้าใจวา่ น่าจะสญู พนั ธุไ์ ปแล้ว ๑๒. มลู เหตขุ องการก่อเจดียท์ ราย มีเรอื่ งเลา่ วา่ พระเจ้าปเสนทิโกศลได้เสด็จไปยังเมืองสาวัต ถีพร้อมบริวาร ได้เห็นหาดทรายขาวบริสุทธ์ิก็เกิดจิตศรัทธาก่อทรายเป็นเจดีย์ ๘ หมื่น ๔ พันองค์ แล้วอุทิศเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา และสังฆบูชา เมื่อพระองค์ไปเฝ้าพระพุทธเจ้าก็ได้ทูลถามถึง อานสิ งส์การกอ่ เจดยี ์ทรายดงั กลา่ ว พระพุทธเจ้าตรัสวา่ การท่มี ีจิตเลอื่ มใสศรทั ธาก่อเจดีย์ทรายถึง ๘ หมื่น ๔ พันองค์หรือเพียงองค์เดียวก็ได้อานิสงส์มาก คือ จะไม่ตกนรกหลายร้อยชาติ ถ้าเกิดเป็น มนุษย์ก็จะเพียบพร้อมไปด้วยยศถาบรรดาศักดิ์ มีบริวารและเกียรติยศช่ือเสียง หากตายก็จะได้ขึ้น สวรรค์ พรั่งพร้อมด้วยสมบัติและมีนางฟ้าเป็นบริวาร ด้วยอานิสงส์ดังกล่าวจึงท้าให้คนโบราณนิยม กอ่ เจดีย์ทรายเปน็ ประเพณีมาจนทุกวันนี้ ในสมยั รัชกาลท่ี ๓ ความส้าคัญของวนั สงกรานต์ จะเป็นวันที่โหรหลวงจะฎีกาถวายพยากรณ์ สงกรานต์ในพระราชพิธีเพ่ือท้านายดวงชะตาของบ้านเมือง ดังปรากฏส่วนหน่ึงของฎีกาถวาย พยากรณ์สงกรานตอ์ ยา่ งโบราณ สา้ หรบั ปีจอ พ.ศ. ๒๓๙๓ ในรัชกาลที่ ๓ ไวต้ อนหน่ึงว่า “ขอพระราชทานค้าณวนเผด็จเถลิงศก ปีจอนักษัตรโทศก ท้านายคุณและโทษร้ายดีตาม คัมภีร์โหราศาสตรทูลเกล้าถวาย ซึ่งครุวารเปนวันมหาสงกรานต์ทรงนามช่ือมณฑากิณี ทรงอาภรณ์ แกว้ มรกต ทรงทดั ดอกมณฑา ภกั ษาหารถัว่ งา พระหัตถ์ขวาทรงปืน พระหัตถ์ซ้ายทรงขอ ไสยาสน์ต่ืน ไปเหนือหลังคเชนทรพาหนะ ท้านายว่ามหาชนจะเกิดความไข้ภัยพิบัติ สมณชีพราหมณ์จะได้ความ เดือดร้อน...” (กรมหลวงพรหมวารนรุ ักษ์, พระเจ้าบรมวงศ์เธอ, ๒๔๖๖) พระยาอนุมานราชธน (๒๔๙๗) ไดใ้ หค้ วามหมายของสงกรานต์ ไว้ดังนี้ “เม่ือพระอาทิตย์แรก ผ่านเข้าไปในจุดของหมู่ดาวอะไรและเม่ือไร ภาษาโหรใช้ว่า “ยกข้ึนสู่” เช่น พระอาทิตย์แรกผ่านหมู่ ดาวแกะกใ็ ชว้ า่ “ยกขึน้ สู่ราศีเมษ” เมษแปลว่าแกะ เมอื่ ผา่ นหมู่ดาวแกะไปเข้าหมู่ดาวงัวซ่ึงอยู่ถัดไป ก็ ใช้ว่า “แล้วยกไปสู่ราศีพฤษภ” พฤษภแปลว่างัว เวลาท่ีพระอาทิตย์แรกผ่านเข้าไปในหมู่ดาวใด เรียกว่าสงกรานต์เดือน สงกรานต์แปลว่าผ่านหรือเคล่ือนย้ายเข้าไป เพราะระยะเวลาตั้งแต่พระ

๖ อาทิตย์แรกยกขึ้นสู่ราศีหรือหมู่ดาวใดกว่าจะผ่านพ้นแล้วเข้าสู่อีกราศีหนึ่ง ก็เป็นเวลาเดือนหน่ึง เม่ือ ผ่านไปตามจกั รราศรีโดยล้าดับจนครบ ๑๒ ราศี กเ็ ป็นเวลาไดป้ ีหนึ่ง...” นอกจากน้ี พระยาอนุมานราชธน (อ้างแล้ว) ยังได้อธิบายกิจกรรมในประเพณีสงกรานต์แต่ โบราณไว้วา่ “ ...ฤดวู สันต์หรอื ฤดใู บไมผ้ ลทิ างเมอื งเราไม่มี แต่ว่าพอพตี กในระยะเวลาท่ีเราขาวไทยซ่ึง ส่วนใหญ่ประกอบกสกิ รรม ก้าลงั ว่างจากทา้ ไร่ไถนาและเกบ็ เกย่ี วขา้ ว (ยกเว้นปกั ษ์ใต้) เราจึงถือเอาวัน สงกรานต์เปน็ วันท้าบญุ ใหญ่วันหน่ึงในขวบปี และเล่นสนุกรื่นเริงกันเป็นเวลาต่อไปอีก ๒ วันหรือมาก ไปน้นั ก็เคยมี ถา้ ฝนยงั ไมต่ กลงมาก็มกั เลน่ สนุกกันต่อไป นี่กล่าวเฉพาะผู้มีอาชีพท้านา ในหมู่พวกหนุ่ม ๆ สาว ๆ การเล่นสนุนรื่นเริงในวันสงกรานต์เรียกว่าเล่นนักขัตฤกษ์สงกรานต์ ตามปรกติเทศกาล สงกรานต์มี ๓ วัน ลางปีก็มี ๔ วัน ถ้าปีน้ันนางสงกรานต์นอนหลับตามาบนหลังสัตว์พาหนะทรง คือ มาภายหลังเท่ียงคืนไปแล้ว แต่เดี๋ยวนี้วางก้าหนดเป็น ๓ วันเสมอไป วันมหาสงกรานต์ในปีน้ี นาง สงกรานต์ไม่ต้องนอนหลับตามาเพราะพระอาทิตย์ยกข้ึนสู่ราศีเมษเวลาบ่ายโมงเศษ จึงเป็นแต่นั่งมา บนหลังเสือเท่าน้ัน...” ซึ่งท้าให้มองเห็นกิจกรรมในวันสงกรานต์ซ่ึงถือเป็นวันท้าบุญใหญ่ในรอบปีซึ่ง เกี่ยวโยงกับศาสนาและการละเล่นสนุกสนานในช่วงเวลาท่ีเว้นว่างจากการท้านาท้าไร่และเก็บเกี่ยว ข้าว และสงกรานต์เปน็ ช่วงเวลา ๓ วัน ยกเว้นบางปีมี ๔ วัน ในหนงั สือ “ตรุษสงกรานต์” ของ เสถียรโกเศศ ตอนวิจารณ์เรื่องตรุษและสงกรานต์ กล่าวไว้ ตอนหน่ึงว่า “ตรุษหรือสงกรานต์เป็นเดือนข้ึนปีใหม่กันที่ตรงไหน ในพระนิพนธ์พระราชกริยานุกรณ์ (หน้า ๘) กล่าวว่า ในการที่เกี่ยวอยู่ในเดือนห้าค่้าหน่ึงน้ันไม่เป็นการพระราชพิธีมาแต่โบราณ เกิดขึ้น ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว น่ีแสดงว่าตรุษไทยเห็นจะเกิดข้ึนในเร็วๆ น้ีเอง ดี ร้ายจะไดค้ ตมิ าจากลังกา มีเคา้ ใหเ้ ห็นอยู่ในประกาศพิธีตรษุ ” น่แี สดงให้เห็นว่า พิธีสงกรานต์นั้นเรารับ กอ่ นพิธตี รษุ แต่น่นั แหละตอนน้ีค่อนข้างจะสับสน ในหนังสือนางนพมาศนน้ั กลา่ วถงึ พิธตี รุษแล้ว ส่วน พิธีสงกรานต์ไม่กล่าวถึง และยิ่งกว่านั้นในหนังสือพระราชพิธีสิบสองเดือน มีความอยู่สองต อน “กาลานุกาลพธิ ีตรษุ ” ทรงอรรถาธิบายว่า “พระราชกุศลกาลานุกาลที่เรียบเรียงลงในเรื่องพิธีสิบสอง เดือน แต่ก่อนว่าเกิดข้ึนในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทั้งส้ิน ยกเว้นแต่สงกรานต์ น้ันเป็นผิดไป บัดน้ีได้ความมาว่ากาลานุกาลท้ายพระราชพิธีตรุษ พระราชพิธีสารท เข้าพรรษา ออก พรรษาและท้ายฉลองไตรปีนี้เป็นของมีมาแต่เดิม” และตอนการสังเวยเทวดาสมโภชเคร่ืองเลี้ยงโต๊ะปี ใหม่ ทรงอธิบายว่า “การสมโภชในท้ายพระราชพิธีสัมมัจฉรฉินท์ เป็นธรรมเนียมมีมาแต่เดิม แต่ครั้น ถงึ แผน่ ดนิ พระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจา้ อยูห่ ัว ทรงพระราชด้าริ เสาะหาแบบอย่างการพระราชพิธี ต่างๆ ซึ่งมีในกฎมณเฑียรบาลมาประกอบธรรมเนียมใหม่ๆ แล้วต้ังขึ้นเป็นแบบอย่างย่อๆ ต่อมามี หลายอย่าง” พระราชาธิบายนี้ แสดงว่าพิธีตรุษเป็นของเดิม ไม่ใช่เร่ิมจะมีในรัชกาลที่ ๔ จึงเป็นการ ยากท่ีจะวนิ จิ ฉยั ว่าเรารบั คตไิ หนกอ่ นกนั (ออ้ มใจ วงษม์ ณฑา, ๒๕๕๒ ) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงกล่าวถึงก้าหนดเวลาการจัดพระราชพิธี สงกรานต์ไว้ในหนังสือพระราชพิธีสิบสองเดือนว่า “...เวลาพระอาทิตย์กลับมาตรงศีรษะเป็นเวลา สงกรานต์ เพราะฉะน้ันสงกรานต์จึงได้เล่ือนเข้ามาอยู่ในเดือนห้าหรือเดือนหก ไม่เร็วกว่าเดือน ๕ ขึ้น ๔ ค้่า ไม่เกินกว่าเดือน ๖ ขึ้น ๔ ค่้า ออกไป สงกรานต์คงอยู่ในระหว่างเดือนหนึ่งน้ัน..” (วิมล ด้าศรี, ๒๕๔๙)

๗ สงกรานต์ เป็นวันท่ีพระอาทิตย์ย่างขึ้นสู่ราศีใหม่ หมายถึงวันขึ้นปีใหม่ ซึ่งตกอยู่ในวันท่ี ๑๓, ๑๔, ๑๕ เมษายนทุกปี แต่วันสงกรานต์นั้นคอื วนั ที่ ๑๓ เมษายน เรยี กว่า วันมหาสงกรานต์ วันที่ ๑๔ เป็นวันเนา วันท่ี ๑๕ เป็นวันเถลิงศก กิจกรรมส่วนใหญ่ที่ท้าในเทศกาลนี้ก็มีการท้าความสะอาด บ้านเรือน ท้าบุญท้าทาน สรงน้าพระ รดน้าขอพรผู้ใหญ่ และเล่นสาดน้ากันวันข้ึนปีใหม่ ซ่ึงตกอยู่ใน วันท่ี ๑๓, ๑๔, ๑๕ เมษายนทุกปี แต่วันสงกรานต์น้ันคือ วันที่ ๑๓ เมษายน เรียกว่า วัน มหาสงกรานต์ วันท่ี ๑๔ เป็นวันเนา วันท่ี ๑๕ เป็นวันเถลิงศก กิจกรรมส่วนใหญ่ที่ท้าในเทศกาลน้ีก็มี การท้าความสะอาดบ้านเรือน ท้าบุญท้าทาน สรงน้าพระ รดน้าขอพรผู้ใหญ่ และเล่นสาดน้ากัน เป็น ต้น สมัยโบราณถือเอาวันขึ้น ๑ ค้่า เดือนอ้าย เป็นวันขึ้นปีใหม่ เพราะถือว่าฤดูหนาว เป็นการ เร่ิมต้นปี ซ่ึงจะตกราวเดือนพฤศจิกายนหรือธันวาคม ต่อมาได้มีการเปล่ียนแปลงไปตามคติพราหมณ์ ซ่ึงมีรากเหง้ามาจากการสังเกตธรรมชาติและฤดูการผลิต เป็นวันขึ้น ๑ ค่้า เดือน ๕ หรือประมาณ เดอื นเมษายน ครัน้ ในปพี .ศ. ๒๔๓๒ สมยั รัชกาลท่ี ๕ ได้เปลี่ยนวันข้ึนปีใหม่เป็นวันท่ี ๑ เมษายน และ ต่อมาในปีพ.ศ. ๒๔๘๓ จอมพลป.พิบูลสงครามก็ได้ประกาศให้วันที่ ๑ มกราคม เป็นวันข้ึนปีใหม่จน ปจั จบุ ัน อันเปน็ การนับแบบสากล อย่างไรก็ดี คนไทยในหลายภูมิภาคก็ยังยึดถือเอาวันสงกรานต์เป็น เทศกาลเฉลิมฉลองปีใหม่ ซึ่งแต่เดิมแม้จะอยู่ในช่วงเดือนเมษายน ก็ไม่ได้ตรงกับวันท่ี ๑๓ เมษายน ดังเช่นปัจจบุ นั จนเมอ่ื พ.ศ. ๒๔๔๔ เปน็ ต้นมา จึงได้กา้ หนดเปน็ วนั ที่ ๑๓ เมษายน ตามปฏิทนิ เกรกอรี่ ประเพณีสงกรานต์ที่สืบทอดมาในประเทศไทยมี ๒ แบบ คือ ประเพณีสงกรานต์ของหลวง ซ่งึ จดั เป็นการพระราชพิธเี รียกวา่ “การพระราชกศุ ลสงกรานต์” และ ประเพณีของราษฎรที่จัดกันใน ท้องถ่ินต่างๆ การท้าบุญในวันสงกรานต์มีทั้งพิธีหลวงและพิธีราษฎร์ (ทัศนี อุทการ, ๒๕๕๖) อาจ กล่าวโดยสรปุ ได้ ดงั น้ี ๑. พิธีหลวง พระราชพิธสี งกรานต์ (คัดจากปี ๒๕๓๑) วันที่ ๑๕ เมษายน ในเวลาเช้า ๑๐.๓๐ น. พระสงฆ์ท่ีรับอาราธนามาเจริญพระพุทธมนต์ท่ี พระที่นั่งอัมรินทร์วินิจฉัย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เสด็จสรงน้าพระบรมสารีริกธาตุ พระพุทธรูปส้าคัญตา่ งๆ ท่ีหอพระสุราลยั พมิ าน แลว้ เสด็จหอพระบรมอัฐิท่ีหอพระธาตุมณเฑียร สรง น้าพระ พระบรมอัฐิและพระอัฐิ ถวายสักการะพระสยามเทวาธิราชท่ีพระที่น่ังไพศาลทักษิณ เสด็จ ออกพระท่ีน่ังอัมรินทร์วินิจฉัย ทรงจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย ทรงศีล พระสงฆ์จ้านวน ๖๗ รูป เท่าจ้านวนพระบรมอัฐิ และพระอัฐิที่อาราธนาจากวัดท่ีเกี่ยวข้องกับพระบรมอัฐิและพระอัฐิ เจริญ พระพุทธมนต์ ฉนั ภตั ตาหารเพล เสร็จแล้วอัญเชิญพระบรมอัฐิ จากหอพระธาตุมณเฑียรเป็นกระบวนแห่ มีประโคมสังข์ แตร กลองชนะ ต้ังแต่เวลาเชิญออก จนกระท่ังถึงบนราชบัลลังก์นพปฏลมหาเศวตฉัตร ในพระท่ีน่ังอัมริ นทร์วินิจฉัย ทรงจุดธูปเทียนราชสักการะ พระพุทธรูปประจ้าพระชนมวารของพระบรมอัฐิ ทรงจุด ธูปเทียน ถวายสักการะพระบรมอัฐิและพระอัฐิ ทรงทอดผ้าคู่ (ถือผ้าขาว ๒ ผืน นุ่งผืน ๑ ห่มผืน ๑) มีขวดน้าหอม ๑ ขวด พระสงฆน์ ่งั สดบั ปกรณ์ตามล้าดับวดั ประจ้าพระบรมอัฐิ เวลา ๑๖.๓๐ น. เสด็จสรงนา้ พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรพระพุทธสัมพรรณี พระชัยหลัง ช้าง พระพุทธรูปฉลองพระองค์รัชกาลท่ี ๑ รัชกาลที่ ๒ เสด็จสรงน้าพระคันธราษฎร์ สรงน้า พระ

๘ โพธิ์ พระนิโครธ พระพทุ ธเจดยี ์ทอง พระไตรปิฎกฉบับทองทึบ พระนาคที่วิหารขาวสดับปกรณ์ พระ บรมอัฐิกรมพระราชวังบวรสถานมงคล และพระอัฐิเจ้านายต้นราชสกุลต่างๆ เปิดปราสาทพระเทพ บิดรวันท่ี ๑๓ ๑๔ ๑๕ ๑๖ เมษายน เพือ่ ใหป้ ระชาชนถวายสักการะ พระบรมรูปบูรพมหากษัตริยาธิ ราช เมื่อก่อนการบ้าเพ็ญพระราชกุศลในพระบรมมหาราชวังมี ๔ วัน คือวันที่ ๑๓ - ๑๖ เมษายน ปัจจุบนั มเี ฉพาะวนั ท่ี ๑๕ เมษายน วนั เดยี ว ซึ่งในเช้าวนั ที่ ๑๕ เมษายน โปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพนักงาน นิมนต์พระ ๑๕๐ รปู เขา้ ไปรบั อาหารบณิ ฑบาตท่ใี นพระบรมมหาราชวงั เวลา ๑๐.๓๐ น. พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยหู่ วั ฯ และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชด้าเนินโดยรถยนต์พระที่นั่ง จากพระต้าหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิตไปยัง พระมหามณเฑียรในพระบรมมหาราชวัง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระนางเจ้า พระบรมราชนิ นี าถ สรงนา้ พระพุทธรูปส้าคัญท่ีหอพระสุลาลัยพิมาน ทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการ แล้วเสด็จฯ ไปทรงจุดธูปเทียนบูชาพระสยามเทวาธิราช ท่ีพระที่น่ังไพศาลทักษิณ เสด็จฯ ไปยังหอ พระธาตุมณเฑียร ทรงจุดธูปเทียนเครื่องราชสักการะและสรงน้าพระบรมอัฐิพระอัฐิ แล้วเสด็จออก พระท่ีนั่งอัมรินทร์วินิจฉัยทางพระทวารเทวราชมเหศวร์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงจุดธูป เทียน เครือ่ งนมสั การบชู าพระรัตนตรัย พระสงฆ์ทรงสมณศักด์ิ ๗๑ รูปเจริญพระพุทธมนต์การ พระ ราชพิธีสงกรานต์ จบแล้วทรงประเคนภัตตาหาร เมื่อพระสงฆ์รับพระราชทานฉันเสร็จ เจ้าพนักงาน เชิญพระบรมอัฐิและพระอัฐิออกประดิษฐานบนพระราชบัลลังก์ ภายใต้นพปฏลมหาเศวตฉัตรและ บนท่ีนั่งกงภายใต้ฉัตรขาวลายทอง ๕ ช้ัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระนางเจ้า พระบรมราชินีนาถ ทรงจุดธูปเทียนเครื่องราชสักการะถวายบังคมพระอัฐิ แล้วพระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัวฯ ทรงทอดผ้าคู่ พระสงฆ์สดับปกรณ์ พระบรมอัฐิและพระอัฐิ แล้วถวายอนุโมทนาถวาย อดิเรก ถวายพระพรลา เสด็จพระราชด้าเนินประทับรถยนต์พระท่ีน่ัง ที่พระท่ีนั่งทวารเทเวศรรักษา เสด็จพระราชดา้ เนินกลับ เวลา ๑๖.๓๐ น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ พระทรงกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระ บรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ์ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชด้าเนิน ไปทรงปฏิบัติ พระราชกรณียกิจแทนพระองค์ ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เจ้าพนักงานกราบบังคมทูล รายงาน เครอื่ งราชสักการะที่ทรงพระราชอุทศิ พระราชทานให้กระทรวงมหาดไทยเชิญไปถวายเป็นพุทธบูชา เจดียสถานต่างๆ แล้วเสด็จพระราชด้าเนินเข้าสู่พระอุโบสถ ทรงพระสุหร่ายสรงพระพุทธมหามณี รัตนปฏิมากร พระสัมพุทธพรรณี พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก พระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงจุดธูป เทียนถวายนมัสการ แล้วเสด็จพระราชด้าเนิน ไปสรงน้าปูชนียวัตถุตามเจดียสถานในพระอารามน้ี แล้วเสด็จพระราชด้าเนินเข้าสู่หอพระนาก ทรงจุดธูปเทียน ถวายสักการะพระอัฐิ ๕ รูปสดับปกรณ์ แลว้ ทรงทอดผา้ พระสงฆ์อีก ๕๐ รูป สดับปกรณ์พระอัฐิพระราชวงศ์ พระสงฆ์ถวายอนุโมทนา ถวาย ดิเรก เปน็ เสร็จการ ๒. พิธรี าษฎร์ การท้าบุญในวันสงกรานต์ อาจจะท้าการตักบาตรท้าบุญได้ ๒ แห่งคือ ท่ีวัดหรือในบริเวณ งานท่ีจัดไว้แล้ว วิธีตักบาตร ใช้วิธีเรียงแถว และนิมนต์พระเดินตามล้าดับ โดยชายตักบาตรด้วยข้าว หญงิ ตักบาตรดว้ ยของคาวหวาน ถา้ เตม็ บาตรก็ถ่ายใส่ภาชนะอ่ืน และนิมนต์ท่านรับจนท่ัว เสร็จแล้ว

๙ อาจนมิ นต์ทา่ นฉัน ณ สถานทีจ่ ัดงาน หรือให้ท่านน้าไปฉันที่วัดก็ได้ ในเวลาตักบาตรพระสงฆ์จะสวด ถวายพรพระคือ พาหุง พอเสร็จ ก็ช่วยกันยกอาหารคาวหวานไปถวายพระ ขณะพระฉัน จะมีการ อ่านประกาศสงกรานต์กันในตอนน้ี บางคนก็อาจจะอยู่ฟังอนุโมทนา เป็นอันเสร็จพิธี การก่อเจดีย์ ทราย จะท้าในวันใดวันหนง่ึ ของวันที่ ๑๓ - ๑๕ เมษายนก็ได้ ผ้ทู า้ บญุ จะช่วยกันขนทราย มาก่อเป็น เจดีย์ขนาดต่างๆ ในบริเวณวัด ซ่ึงจะเป็นประโยชน์ ให้ใช้ก่อสร้าง หรือถมพ้ืนที่ เป็นเรื่องท่ีถือว่าได้ บุญและสนุกสนาน แต่ไม่มีข้อจ้ากัดว่าต้องท้าทุกวัด การปล่อยนกปล่อยปลา เป็นการท้าบุญเพ่ือ แสดงความกรุณาต่อสัตว์ นิยมท้าในวันสงกรานต์และไม่จ้ากัดว่าจะท้าในวัดเท่าน้ัน การสรงน้าพระ มีทั้งสรงน้าพระพุทธรูปและภิกษุ สามเณร เพ่ือความเป็นสิริมงคลในโอกาสข้ึนปีใหม่อันเป็นเวลาที่ อากาศร้อน การรดน้าผู้ใหญ่ เป็นเรอื่ งของการแสดงคารวะตอ่ ผใู้ หญท่ ่ีเคารพนับถือ ผู้ร่วมพิธีควรน้าผ้า ๑ ส้ารับ คือ ผ้านุ่ง ๑ ผืน ผ้าห่ม ๑ ผืน ไปมอบให้ท่านพร้อมกับดอกไม้ธูปเทียน การรดน้าผู้ใหญ่ ดังกล่าวมานี้ มักจะรดหรืออาบท่านจริง ๆ จึงต้องมีผ้าไปมอบให้ ปัจจุบันบางแห่งรดเฉพาะที่ฝ่ามือ โดยจะเอาน้าหอมเจือในน้าด้วย แต่ก็ยังคงมีผ้านุ่งห่ม ๑ ส้ารับและดอกไม้ธูปเทียนไปแสดงคารวะ และขอพรท่านก็จะให้ศีลใหพ้ รใหม้ คี วามสุขปใี หม่ คอื ตง้ั แตว่ ันสงกรานต์เป็นตน้ ไป การทา้ บญุ อฐั ิ เปน็ เร่ืองทีน่ ิยมทา้ แบบนมิ นต์พระ ชักบังสุกุลอัฐิของญาติที่ล่วงลับไปแล้ว แล้ว อุทิศส่วนกุศลให้ โดยนิมนต์พระไปยังสถานท่ีเก็บหรือบรรจุอัฐิ หรือถ้าไม่มีอัฐิจะเขียนชื่อผู้ท่ีล่วงลับ ไปแล้วก็ได้ เมอ่ื บงั สุกุลแล้วก็เผากระดาษแผ่นน้ันเสีย เหมือนเผาศพ การท้าบุญอัฐิจะท้าในวันไหนก็ ได้สุดแต่จะนัดหมายกัน การรื่นเริง จัดขึ้นเพื่อเช่ือมความสามัคคีในหมู่คณะ เป็นการอนุรักษ์ ประเพณีต่างๆ ในท้องถิ่นไว้ด้วยการสาดน้า เป็นการสนุกสนานร่ืนเริงอีกอย่างหน่ึง ซ่ึงถือว่าเป็น สัญลักษณ์ของสงกรานต์ คือ สาดน้ากันโดยมากจะเริ่มต้นในวันสรงน้าพระ แต่บางแห่งพอเร่ิม สงกรานต์ กเ็ ริม่ สาดนา้ กนั ทเี ดยี ว สว่ นใหญ่แล้วใช้น้าสะอาดมีน้าอบน้าหอม หรือแป้งหอมผสมบ้างก็ ได้ และไมถ่ ือเปน็ เรื่องเสยี หาย การแห่นางแมว บางแห่งอาจมีการแห่นางแมวเพ่ือขอฝนด้วย ซ่ึงเป็นเร่ืองสนุกสนานรื่นเริง เหมือนกัน แต่ก็หวังผลในท้าเกษตรกรรมด้วย กล่าวคือ ถ้าเกิดฝนแล้งก็แห่นางแมวกันในช่วงวัน ทา้ บญุ สงกรานต์ เช่นเดียวกนั ตานานสงกรานต์ล้านนา ตา้ นานปีใหมเ่ มอื งจากคัมภีร์เทศนาธรรมเร่ือง อานิสงส์ปีใหม่เมืองและค้าเวนทานปีใหม่ (ทวี เข่ือนแก้ว, ๒๕๔๑, หน้า ๗๐) กล่าวถึงต้านานปีใหม่เมืองไว้ว่า ธรรมบาลกุมาร บุตรของมหาเศรษฐี อายุเพียง ๗ ขวบ เป็นผู้ฉลาดหลักแหลม เรียนรู้ภาษาสรรพสัตว์ จนเป็นท่ีเร่ืองลือไปทั่ว ท้าวกบิล พรหมผอู้ ยบู่ นสรวงสวรรค์จึงลงมาถามปญั หา ๓ ข้อ ว่า \"ตอนเช้า กลางวัน และกลางคืนศรีของคนอยู่ ทไี่ หน\" โดยใหเ้ วลา ๗ วนั ท้าวกบิลพรหมจะลงมาเอาค้าตอบ ถ้าหากธรรมบาลกุมารตอบปัญหาไม่ได้ จะต้องถูกตัดหัว และถ้าหากตอบถูกท้าวกบิลพรหมจะยอมถูกตัดเศียร เวลาล่วงมาได้เกือบ ๗ วัน ธรรมบาลกุมารยังไม่ได้ค้าตอบ แต่เผอิญไปน่ังอยู่ไต้ต้นไม้ต้นหนึ่งได้ยินเสียงนกคุยกันว่า \"ตอนเช้าศรี อยูท่ ีใ่ บหนา้ กลางวนั อยู่ทห่ี น้าอก และกลางคนื อยทู่ ่ีเท้า\" ครบวันท่ี ๗ จึงน้าค้าตอบนี้ตอบแก่ท้าวกบิล พรหม และเป็นค้าตอบที่ถูกต้อง ท้าวกบิลพรหมจึงยอมถูกตัดเศียร แต่เศียรของท้าวกบิลพรหมน้ันมี อานุภาพร้ายนัก หากตกใส่แผ่นดินก็จะเกิดอัคคีไหม้ท่ัวทั้งแผ่นดิน หากตกลงในน้า น้าก็จะแห้งขอด

๑๐ หากตกในอากาศ ฟา้ ฝนก็จะไม่ตกเกิดความแห้งแล้ง ท้าวกบิลพรหมจึงให้ลูกสาวท้ัง ๗ นางน้าเศียรใส่ พานไปไวใ้ นถ้าคณั ธธุลใี นเขาไกรลาศ และเมื่อครบปใี หธ้ ิดา ๗ นาง ผเู้ ปน็ ลูกผลดั กันอญั เชิญออกมาแห่ ในช่วงสงกรานต์ เพื่อให้ผู้คนในโลกมนุษย์รับรู้ถึงการเปล่ียนผ่านเข้าสู่ปีใหม่เรื่องธรรมบาลกุมารน้ี เขา้ ใจว่าล้านนารบั อทิ ธพิ ลมาจากไทยภาคกลาง ผลจากการศึกษาการช้าระปฏิทินล้านนาโดยนักวิชาการร่วมกับปราชญ์ท้องถิ่น (ยุทธนา นาค สุข, ๒๕๔๖, หน้า ๔๔) พบว่า อดีตคติของชาวล้านนาให้ความส้าคัญต่อขุนสังขานต์ ในลักษณะ บคุ ลาธิษฐาน หมายถึงพระอาทิตย์ เป็นสุริยะเทพ และจากคัมภีร์สุริยยาตร์ได้กล่าวถึงการล่องของสัง ขานต์ในแต่ละปีน้ัน มีขุนสังขานต์เป็นตัวเอก และมีนางเทวดามารอรับขุนต์สังขานต์ การล่องของ ขุนสังขานต์มีความย่ิงใหญ่อลังการ และมีบุคลิกลักษณะที่แตกต่างกันไป ตามวันท่ีสังขานต์ล่องในแต่ ละปี เช่น สีเคร่ืองนุ่งทรง เครื่องประดับ การถือส่ิงของในแต่ละมือ อิริยาบถ พาหนะ ทิศการเสด็จ ฯลฯ และค้าท้านายมีอิทธิพลต่อความเปล่ียนแปลงของโลกมนุษย์ เช่น เหตุการณ์ส้าคัญ ศึกสงคราม ของถูกของแพง ปริมาณน้าฝน พืชพรรณธัญญาหาร เป็นต้น จากการศึกษาดังกล่าว พบว่าไม่มีการ กล่าวถึงหรือใหค้ วามส้าคญั ต่อท้าวกบิลพรหมและนางสงกรานต์เลย ต้านานเก่ียวกับการก้าเนิดปีใหม่เมือง ปรากฏในธรรมพื้นเมืองเรื่อง \"อานิสงส์ปีใหม่เมือง\"ซึ่งมี หลายส้านวน สา้ นวนทรี่ า้ นภิญโญ ตลาดหนองดอก อ้าเภอเมือง จงั หวัดลา้ พูน จัดพิมพ์เผยแพร่เพื่อใช้ ในการเทศนาเนื่องในประเพณีปีใหม่เมือง กล่าวถึงการก้าเนิดของปีใหม่เมืองไว้ว่าท่ีนี่จักกล่าวยัง ต้านานปีใหมก่ อ่ นแล ผูม้ ีผญาพงึ จักรู้ดงั นเี้ ทอะ อตเี ต กาเล ในอตีตาล่วงแล้วมาก่อนน้ัน ยังมีเศรษฐีสองผัวเมียมีข้าวของสัมปัตติมากนัก เท่าว่า บ่มีลกู เต้าบตุ ตาบุตรีไว้สืบตระกูลแล ที่ใกล้บ้านเศรษฐีนั้นยังมีผัวเมียแถมคู่หนึ่ง ทุกข์ยากไร้อนาถาหา เช้ากนิ ค้่า อันว่าสองผัวเมียนี้เล่า ยังมีลูกเต้าไว้สองคนพ่ีน้อง ชายผู้เป็นพ่อนั้นมักจักถงเหล้าบ่ขาดท้ัง วนั กม็ ีแล ยงั มีในวันหน่ึงชายผูน้ ั้นมนั ไดถ้ งเหลา้ มากนกั มันก็กล่าวซงึ่ เศรษฐนี ้ันวา่ ดรู าท่านเศรษฐีเหย ท่านนน้ี ามัง่ มีขา้ วของเงินค้าสัมปัตติมากเท้า หากว่าบ่มีประโยชน์เล่าอันใด ส่วนว่าตัวเราน้ีนา ถึงจักทุกข์ไร้ก็ยังดีกว่าท่านมากนัก เหตุว่าเราน้ีมีลูกไว้สืบแทนตระกูลแล ส่วนอัน ว่าเศรษฐีน้ันกล่าวว่า ถึงเราบ่มีลูกเต้าหญิงชาย เราก็มีข้าวของหลายไว้จ่ายใช้ บ่หันว่าจักได้เคืองขีแล นาทา่ นเฮย ส่วนว่าชายข้ีเหล้าน้ัน มันก็จาค้าไปว่า ดูราท่านเศรษฐี หากว่าท่านได้ตายหนีไปหน้า อันว่าข้าว ของเงนิ ค้าท้ังหลาย กจ็ ักเปน็ ของสาธารณ์ดายปางเปล่าแลนาท่านเฮย เม่ือน้ันชายเศรษฐีไดย้ นิ ค้าชายผู้น้ันกล่าวดั่งนั้น ก็มีใจใคร่ได้ยังลูกไว้สืบแทนตระกูล ก็พากันไป กระท้ายังพลีกรรมกราบไหว้ ใต้ต้นไม้โพธิ์ไทร วิงวอนขอลูกเต้า ต่อรุกขเทวดาเจ้าก็มีแล ส่วนว่ารุกข เทวดาอันรักษาอยู่ต้นไม้ รู้ว่าเศรษฐีมีศีลมีธรรมบ่ขาดด่ังอ้ัน ก็ไปจาบอกเล่าต่อตนอินทราเจ้าได้รู้ชุ ประการ ส่วนว่าพญาอินทรารู้แล้วก็บ่ช้า รีบเสด็จไปกราบไหว้ ขอเทวบุตรเจ้าตนมีบุญลงมาเกิด เอา ก้าเนิดในทอ้ งนางเศรษฐี ครั้นวา่ สิบเดอื นมีมารอดแล้วเลา่ นางก็ประสูติลูกเต้าเป็นชาย พ่อแม่จึงใส่ชื่อ หมายไวว้ ่าธรรมปาละ อาจารย์เจา้ ทั้งหลายกลา่ วไวว้ ่า นามน้เี ป็นผู้รกั ษาธรรมกเ็ พื่ออั้นแล ในกาลไปภายหนา้ เจา้ ธรรมปาละนั้นก็ได้เรยี นยงั สรรพสิปปา อันว่าเจ้าธรรมปาละน้ันมีผญาอง อาจ จบฉลาดไตรเพททง้ั มวลแล สมตั ถะร้ยู ังเสียงสตั ว์ตา่ งๆ นานาไดช้ ะแล

๑๑ ตทา ในกาลน้ันเล่า ยังมีมหาพรหมเจ้าชื่อกปิลตนองอาจ รู้ว่าเจ้าน้อยนาฏธรรมปาลกุมาร มีผญาเชยี งคราญจบฉลาด ท้าวตนองอาจก็มาอิจฉาขอยมากนัก ก็รีบเสด็จมาสู่ ยังท่ีอยู่ธรรมปาลบ่ช้า แล้วกเ็ อ่ยถามยงั ปรศิ นา วา่ ดูรากุมารเหยหนมุ่ เหนา้ เรารู้ว่าเจ้านีม้ ามีผญาฉลาด เหตุน้ันเราใคร่ถามยังปริศนา ครั้นว่าเจ้าน้ี เล่าสมัตถะแก้ได้ เราน้ีไซร้จักตัดหัวเราห้ือขาด คร้ันว่าเจ้านี้บ่อาจแก้ได้ยังปริศนา รอดเจ็ดวันมาครบ ไคว่แล้วดังอ้ัน คอแห่งเจ้านั้นเท่ียงว่าจักขาดตายเป็นผี อันว่าปริศนามีดังน้ีเล่า คือยามเช้าสิริหรือราศี คนเราอยู่ท่ีไหน บทถัดไปว่ายามกลางวันสิริหรือราศีคนเราอยู่ที่ไหน บทถ้วนสามถัดไป ว่ายามค่้านั่น เล่า สริ ิหรือราศีแหง่ คนหนุ่มเฒ่าอยู่ทไี่ หนนน้ั ชา ครั้นวา่ ท้าวกปิลมหาพรหมจากลา่ วแล้ว ก็รีบคลาดแคล้วหายไปก็มีแลนา ท่ีนั้นธรรมปาลกุมาร นน้ั เล่า ได้ฟังปริศนาแห่งพรหมเจ้าไขปัน ก็มีใจตันกีดช้อม เหตุบ่อาจแก้ยังปริศนานั้นได้ ตราบต่อเท่า รอดเจ็ดวันไควเ่ ทิงมา ธรรมปาลนั้นนาคิดฉันใดก็บ่ออก เป็นด่ังมีหนามมายอกหัวใจ เจ้ารีบคลาไคลไป ยง้ั อยู่ ทไี่ ต้ตน้ ไม้โพธ์ิไทรค่ใู หญ่กวา้ ง อนั เป็นท่อี ยู่สร้างแหง่ สกณุ าทง้ั หลายก็มแี ล ที่น้ันยังมีนกหัสดิลิงค์สองตัวผู้แม่ ตัวใหญ่แท้มีงวงงาดังช้าง ก็มาอยู่สร้างในรังมัน ที่น้ันนกตัว แม่กจ็ าคา้ ไปว่า ดูราสูเหย วันพรูกน้ีก็หากเป็นวันศีล เราจักไปหากินที่ใดกันน้ีชา ที่น้ันนานกตัวผู้ ก็กล่าวอู้ว่า วันพรูกน้ีมารอด สองเรานี้บ่ต้องจักไปสอดแดนไกล เหตุว่าเราจักได้กินชิ้นมนุสสา ด้วยเหตุว่าเจ้าบุญ หนาธรรมปาลกุมารนัน้ ไซร้ บ่อาจแก้ปรศิ นาได้ อนั ทา้ วกปลิ มหาพรหมพนั ธนันไวแ้ ตห่ วั ทนี ัน้ แล ท่ีนนั่ นกตัวแม่นั้นกย็ ้อนถามนกตัวผู้ ว่าปริศนาน้ันมีอยู่ฉันใดชา จงกล่าวจาบอกชี้ หื้อได้รู้แจ้งถี่ เทอะราแด่เทอะ ส่วนนกตัวผู้ก็กล่าวว่า ปริศนาน้ันมีสามข้อ จักย่อๆ พอเข้าใจ บทแรกเค้าหัวท่ีว่า ยามเช้าสิริหรือราศีคนเราน้ีอยู่ท่ีไหน มีค้าแก้ไขไว้ว่า ยามเม่ือเช้าสิริหรือราศีคนเรานั้นอยู่ที่หน้า เหตุ นน้ั คนโลกหล้าหญิงชาย คร้นั ต่นื เชา้ มา จึงเอานา้ ลา้ งหนา้ เพอ่ื อน้ั แล ปรศิ นาบทถ้วนสองนั้นเล่า ว่ายามเมื่อกลางวัน สิริหรือราศีคนเรา อยู่ไหน หากมีค้าไขกล่าวแก้ วา่ สิริหรอื ราศที ่แี ท้หากอยทู่ ่ีหนา้ อก เหตนุ ัน้ เลา่ คนหน่มุ เฒ่าหญงิ ชาย ครน้ั กาลยามสายเท่ียงแล้วดังอั้น จึงเอาน้าเย็นใสสะอาด มาลูบลาดยังอกตน ก็เพื่ออ้ันแลนา อันว่าปริศนาบทถ้วนสามนั้นเล่า ถามว่า ยามแลงคา้่ น้นั สริ ิหรอื ราศีคนเราอยู่ที่ไหน มีค้าไขวา่ เวลาค่้านั้น สิริหรือราศีของคนเราน้ันอยู่ที่ตีน เหตุ นน้ั คนหญงิ ชายทั้งหลายนนั้ เล่า คร้ันจกั เจา้ นอนพกั ผอ่ นกายา จึงเอาน้ามาซ่วยล้างตีนกเ็ พื่ออัน้ แล] นกหัสดลี งิ ค์สองตัวแมผ่ ู้ อันจากล่าวอยู่บนต้นไม้ อันว่าเจ้าหน่อไท้ธรรมปาลนั้นเล่า อันนอนอยู่ พ้ืนเคา้ โพธ์ไิ ทร ครั้นได้ยนิ ค้าไขกลา่ อู้ แหง่ นกสองตัวผู้แม่ ก็รู้แจ้งแก่ยงั ปริศนาน้นั ชุอันๆ กม็ ีแล คร้ันว่าวันถ้วนเจ็ดมารอดแล้ว ท้าวต้นแก้วกปิลมหาพรหมก็เสด็จมาสู่ ไปที่อยู่ธรรมปาลกุมาร เพ่ือจักขอฟังยังค้ากล่าวแก้ปริศนา อันได้สัญญาว่าไว้ ส่วนเจ้าหน่อไท้ธรรมปาลกุมาร ก็ไขยังปริศนา นั้นไดช้ ปุ ระการ ยามนนั้ ท้าวกปลิ มหาพรหมตนองอาจ รู้ว่าหัวตนจักขาดไปจากบ่า ก็เรียกยังลูกหล้าทั้งเจ็ดนาง มาหา แล้วก็สง่ั จาว่าไว้ ห้ือรู้เส้ยี งไคว่ตามมี ว่าครั้นหัวพ่อน้ีขาดแล้ว ห้ือลูกแก้วเอาขันมาใส่ไว้ อย่าห้ือ ไดต้ กลงไปภายใด ครั้นว่าหัวพอ่ นี้ตกลงใส่ปฐวี จักเป็นอัคคีไฟลุกไหม้ ครั้นว่าตกลงใส่สาคร น้าจักแห้ง เขินเป็นเกาะดอนบ่ช้า คร้ันว่าเอาโยนขึ้นฟ้าภายบน ฟ้าฝนจักบ่ตกแถ้ง บ้านเมืองจักแห้งแล้งบ่มี

๑๒ ประมาณ เหตุด่ังอั้นห้ือนงคราญลูกพ่อไท้ ห้ือผลัดเปลี่ยนกันเอาขันใส่ไปไว้ท่ีในถ้าใหญ่เขาไกรลาส อย่าหือ้ ขาดชปุ ีแด่เทอะ ครัน้ ว่าท้าวกปลิ พรหมจาบอกเล่าลูกทั้งเจ็ดนางแล้ว ก็เอาดาบแก้วตัดยังคอตนบ่ช้า แล้วย่ืนยัง หวั หอื้ นางหน่อหล้าธิดา อันมีนามาชื่อสร้อย ว่านางอ่อนน้อยทุงสเทวี อันทรงรูปงามดีผู้เค้า เอาขันใส่ ยังหัวพอ่ เจา้ แห่แหนกนั ไป ส่ดู งไพรเขาไกรลาส บไ่ ดข้ าดชุวันปใี หมก่ ็มหี น้ั แล อันว่าราชธิดาแห่งท้าวกปิลพรหมทั้งเจ็ดนั้นเล่า นางผู้เป็นเค้าชื่อทุงสเทวี นางผู้ถ้วนสองช่ือ นามมีว่าโคราสัสสา นางผู้ถ้วนสามน้ันนาช่ือราคะสัสสะ นางผู้ถ้วนสี่ช่ือมณฑาเทวีหน่อเหน้า นางผู้ ถ้วนห้านั้นเล่าชื่อสิริณียอดสร้อย นางผู้ถ้วนหกช่ือนางอ่อนน้อยกิมินทาหน่อไท้ นางผู้ถ้วนเจ็ดน้ันไซร้ ชอื่ มโหตระบุญหนา ครั้นว่าสังขารมาไคว่รอด นางแก้วยอดทั้งหลาย ก็ผลัดเปลี่ยนกันเอาขันใส่ ยังหัว พรหมพ่อไท้แล้วแห่แหนกันไปบ่ขาดชุปี ก็มีแลนา (ธรรมพ้ืนเมืองเร่ือง \"อานิสงส์ปีใหม่เมือง\" ร้าน ภญิ โญ ตลาดหนองดอก อ้าเภอเมอื ง จงั หวดั ล้าพูน) ตานานสงกรานตภ์ าคอีสาน สงกรานต์ภาคอสี าน นิยมจัดกนั อย่างเรยี บง่าย แตว่ ่ามากไปดว้ ยความอบอุ่น โดยคนอีสานจะ เรียกประเพณีสงกรานต์ว่า \"บุญเดือนห้า\" หรือ \"ตรุษสงกรานต์\" และจะถือฤกษ์ในวันข้ึน ๑๕ ค่้า เดือน ๕ โดยจะมีพิธีการท้าบุญตักบาตร ท้าบุญสรงน้าพระ และรดน้าผู้ใหญ่ ด้วยการน้าเอาน้าอบ น้าหอมไปสรงพระพุทธรูป พระภิกษุสงฆ์ มูลเหตุท่ีท้าเพ่ือขอให้มีความเป็นอยู่ร่มเย็นเป็นสุข จะ ปรารถนาส่ิงใดขอให้ได้สมหวัง เช่น ขอน้าขอฝน ขอให้ตกต้องตามฤดูกาล และให้ข้าว น้า ปลา อุดม สมบูรณ์ และในเดอื นน้ีถือว่าเป็นวนั ขน้ึ ปใี หม่ของ ชาวอีสาน โดยถือเอาวนั ข้ึน ๑๕ ค้่า เดือน ๕ เป็น วนั เร่ิมต้นท้าบญุ ตานานสงกรานตภ์ าคใต้ ประเพณีสงกรานตแ์ บบดัง้ เดิมชาวใต้เชอื่ ว่าสงกรานต์เป็นช่วงเวลาผลัดเปล่ียนเทวดาผู้รักษา ดวงชะตาบ้านเมือง จึงถือเอาวันแรกของสงกรานต์ คือ วันที่ ๑๓ เมษายน เป็น \"วันส่งเจ้าเมืองเก่า\" หรือ \"วันเจ้าเมืองเก่า\" โดยเชื่อกันว่าในวันนี้ เจ้าเมืองหรือเทพยดาประจ้าปีผู้ท้าหน้าที่รักษาดวง ชะตาของบา้ นเมือง จ้าเป็นตอ้ งละท้งิ บา้ นเมอื งทตี่ นรักษาไปชมุ นุมกนั บนสวรรค์ ชาวบ้านจึงท้าความ สะอาดบา้ นเรอื น เคร่อื งใช้ เครอื่ งแตง่ กาย เครอื่ งประดบั และรา่ งกาย บางคนกท็ ้าพิธีสะเดาะเคราะห์ โดยท้าพิธีลอยเคราะห์ลงในแม่น้า เพ่ือฝากเคราะห์กรรมซึ่งตนประสบไปกับเจ้าเมืองเก่าและ อธิษฐานขอให้ประสบโชคดีตลอดปีใหม่ ส่วนวันที่ ๑๔ เมษายน ชาวใต้เรียกว่า \"วันว่าง\" จะไปท้าบุญตักบาตรท่ีวัด และสรงน้า พระพุทธรูป ที่เรียกว่า \"วันว่าง\" เพราะเช่ือกันว่าวันน้ีเจ้าเมืองก็ยังสถิตอยู่บนสวรรค์ ในเมืองจึงไม่มี เจา้ เมอื งประจา้ อยู่ ชาวบ้านจึงตอ้ งหยดุ กจิ การงานอาชีพทกุ อยา่ ง เพราะเกรงว่าหากประกอบกิจการ จะกอ่ ให้เกดิ ความเสียหายขนึ้ เน่ืองจากไม่มีเจ้าเมืองคุ้มครองรักษา ส่ิงของเคร่ืองใช้ต่าง ๆ จึงถูกเก็บ ไว้ มไิ ดน้ า้ มาใชเ้ ป็นการชว่ั คราวประมาณสามวัน ประชาชนส่วนใหญ่พากันไปท้าบุญ เมื่อท้าบุญแล้ว ก็น้าอาหารและเครื่องบูชา ไปเคารพผู้อาวุโส และพระสงฆ์ที่เคารพ โดยถือโอกาสขอพรรดน้า เพ่ือ แสดงออกถงึ ความเคารพความกตญั ญดู ้วย

๑๓ เมื่อท้าบุญท่ีวัดและรดน้าผู้อาวุโสแล้ว ต่างก็มาชุมนุมกัน โดยจัดการละเล่นต่าง ๆ อย่าง สนุกสนาน เรียกว่า \"เล่นว่าง\" ซึ่งมหรสพและการละเล่นที่นิยมกันมากคือ มะโนห์รา หนังตะลุง มอญซ่อนผา้ อบุ ลกู ไก่ ชักเย่อ สะบ้า จระเข้ฟากหาง (หรือบางแห่งเรียกว่าฟาดทิง) ยับสาก เตย ปิดตา ลักซ่อน ววั ชนและเชื้อยาหงส์ เป็นตน้ และวนั สดุ ทา้ ย คือ วนั ที่ ๑๕ เมษายน เปน็ วนั \"เจา้ เมอื งใหม\"่ หรือ \"วันรับเจ้าเมืองใหม่\" เชื่อ ว่าวนั นเ้ี จ้าเมือง ซ่งึ ไดร้ ับมอบหมายใหเ้ ปน็ ผู้คมุ้ ครองเมืองต่าง ๆ อันอาจจะไมใ่ ช่เมืองที่ตนเคยประจ้า อยู่แต่เดิมในปีที่แล้ว จะลงมาประจ้าเมือง ซ่ึงต้องท้าหน้าท่ีคุ้มครองตลอดปีใหม่ ชาวเมืองจึง เตรียมการต้อนรับเทวดาเจ้าเมืองคนใหม่ด้วยความยินดี โดยผู้คนก็จะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าชุดใหม่ เพ่ือน้าอาหารไปถวายพระที่วัด จากน้ันก็ไปรดน้าผู้อาวุโสที่ยังตกค้างไม่ได้ไปรดน้าใน \"วันว่าง\" ส้าหรบั ในบางตระกลู ท่มี ีวงศาคณาญาตมิ ากมาย ก็จะจดั พิธีเบญจาในวันน้ดี ้วย \"พิธีเบญจา\" หรือ \"พิธีบิญจา\" เป็นประเพณีรดน้าผู้อาวุโส โดยจัดโรงพิธีแบบจตุรมุข คือ เรอื นที่มีมขุ ๔ ด้าน ตรงกลางมยี อดแหลม ซ่ึงนับยอดกลางแล้วรวมเป็น ๕ ด้าน มีฐานชั้นเดียว ต้ัง แทน่ กลางโรงพธิ ี คร้ันถึงเวลารดน้าก็เชิญผู้อาวุโสนั่งบนแท่น ลูกหลานก็เข้ามารดน้าพระพุทธมนต์ที่ ผสมกับเครือ่ งหอมหลายชนิด ขณะเดยี วกันพระสงฆ์กจ็ ะสวดชยันโตใหพ้ รไปดว้ ย รดน้าแล้วประพรม เครอ่ื งหอม และเปล่ียนเครอ่ื งแตง่ กายใหแ้ กผ่ ู้อาวโุ ส เปน็ เสรจ็ พธิ ขี นึ้ เบญจา หากปีใดเป็นปีที่มีเดือนแปด ๒ คร้ัง ให้ถือว่าวันว่าง (วันเนา) มีสองวัน ดังน้ัน วันที่ ๑๓ เมษายน จึงเป็นวันมหาสงกรานต์หรือวันส่งเจ้าเมืองเก่า วันท่ี ๑๔ – ๑๕ เมษายน เป็นวันว่าง และ วนั ที่ ๑๖ เมษายน เปน็ วนั เถลงิ ศกหรอื วนั รับเจ้าเมอื งใหม่ จังหวัดนครศรีธรรมราชมีประเพณีสงกรานต์ท่ีเป็นเอกลักษณ์นอกเหนือจากประเพณี สงกรานตใ์ นจงั หวัดอน่ื ๆ ในภาคใต้ ดงั น้ี ๑. ประเพณีแห่และสรงน้าพระพุทธสิหิงค์ เม่ือถึงก้าหนดวันสงกรานต์ของทุกปี ทางการจะ อัญเชญิ พระพุทธสิหิงค์ ออกมาประดิษฐานชั่วคราวท่ีสาลาประดู่หก ถนนราชด้าเนินฝั่งตรงข้าม สนามหน้าเมือง เพือ่ ให้พุทธศาสนิกชนและประชาชนท่ัวไปสรงน้า เพื่อเป็นสิริมงคลเน่ืองในวาระข้ึน ปีใหมข่ องไทย เพราะพระพุทธสหิ งิ คเ์ ปน็ พระพทุ ธรูปสา้ คญั คูเ่ มอื งนครศรธี รรมราช ไพโรจน์ เสรีรักษ์ (๒๕๔๗: ๒๖) กล่าวประวัติพระพุทธสิหิงค์ว่า สร้างขึ้นในประเทศศรีลังกา เม่ือ พ.ศ. ๗๐๐ ด้วยกิตติศัพท์เล่ืองลือว่าเป็นพระพุทธรูปศักด์ิสิทธิ์และมีความงดงาม พ่อขุน รามค้าแหงมหาราช จึงขอให้พระเจ้าศรีธรรมโศกราชจัดส่งราชฑูตไปยังประเทศศรีลังกา เพ่ือขอ พระพุทธรูปนี้มาบูชา ซึ่งก็ได้ตามพระราชประสงค์ จากนั้นจึงอัญเชิญลงเรือมาประดิษฐานท่ีเมือง นครศรธี รรมราช และจัดงานสมโภชเปน็ เวลา ๗ วัน แล้วจึงอัญเชิญตอ่ ไปยงั กรุงสุโขทัย ในระหว่างพระพทุ ธสิหงิ คป์ ระดิษฐานทเ่ี มืองนครศรีธรรมราชน้ัน พระเจ้าศรีธรรมโศกราชได้ ให้ช่างของราชส้านัก (ช่างท้องถิ่น) หล่อจ้าลองเพื่อบูชา ๑ องค์ ที่เมืองนครศรีธรรมราช พระพุทธ สิหิงค์องค์นี้จึงเป็นพระพุทธรูปในตระกูลช่างนครศรีธรรมราช หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า “แบบขนม ตม้ ” คือมพี ระพกั ตรก์ ลม อวบอมย้ิม ทรวดทรงคล้ายขนมตม้ (ไพโรจน์ เสรรี ักษ,์ ๒๕๔๗ : ๒๔)

๑๔ การแห่พระพุทธสิหิงค์ พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองจังหวัดนครศรีธรรมราช สันนิษฐานว่า เกิดขึ้นพร้อม ๆ กับการแห่สงกรานต์ตามลัทธิศาสนาพราหมณ์ ซ่ึงเป็นวันท่ีดวงอาทิตย์เคล่ือนจาก ราศีมนี เขา้ ส่รู าศเี มษ ตาม สุริยคติ คือ วันที่ ๑๓ เมษายน ของทุกปี เชื่อกันว่าพิธีน้ีเป็นประเพณีท่ีสืบทอดมาต้ังแต่ ประมาณ พ.ศ. ๑๗๗๐ – ๑๘๐๐ สมัยพญาศรีธรรมโศกราช พญาจันทรภานุ และพญาพงษาสุระ เปน็ ผ้คู รองเมืองนครศรีธรรมราช (ไพโรจน์ เสรีรักษ์, ๒๕๔๗ : ๒๗) ขบวนแห่สงกรานต์ของพราหมณ์ไปหยุดท้าพิธีตามลัทธิพราหมณ์ที่โบสถ์พราหมณ์ข้างวัด เสมาเมือง ส่วยขบวนแห่พระพุทธสิหิงค์ไปส้ินสุดท่ีพุทธาวาสวัดพระมหาธาตุ โดยจัดสร้างมณฑป ประดิษฐานพระพุทธสิหิงค์และเรือนยอด เรียกว่า “เบญจา” พร้อมท้ังปะร้าพิธีกลางลานวัด นิมนต์ พระสงฆม์ าส่ปู ะรา้ พธิ ีเพอื่ รอรบั ขบวนแห่ เม่อื ขบวนแห่ถึงวัดซ่ึงก้าหนดเวลาไว้ก่อนเพล (๑๑.๐๐ น.) เสมอ จึงอัญเชิญพระพุทธสิหิงค์ข้ึนประดิษฐานบนมณฑป แล้วถวายเพลพระสงฆ์และผู้ร่วมงาน รบั ประทานอาหาร หลังจากนั้นจัดเตรียมขัน อ่างใส่น้า โยงสายสิญจน์ให้พระสงฆ์สวดเจ็ดต้านานเสกน้าพระ พุทธมนต์ หลังจากนั้นก็สรงน้าพระพุทธสิหิงค์ แล้วนิมนต์พระภิกษุอาวุโสข้ึนเบญจาเพื่อให้ ประชาชนสรงนา้ พร้อมทั้งประพรมนา้ พระพุทธมนตแ์ ก่พุทธศาสนิกชนทีม่ าชมุ นมุ อย่างท่วั ถงึ เม่ือเสร็จกิจของสงฆ์ก็จะเชิญขุนนาง ข้าราชการผู้ใหญ่ และผู้เฒ่าผู้แก่ที่ชาวเมืองเคารพข้ึน เบญจารดนา้ ซ่ึงการรดนา้ นีพ้ ระสงฆ์จะได้รับการถวายสบงจีวรใหม่ส้าหรับผลัดเปล่ียน ส่วนฆราวาส กไ็ ดร้ บั เครื่องนงุ่ ห่มสา้ รบั ใหม่เปน็ ของก้านัลดว้ ย ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวหรือรัชกาลที่ ๕ แห่งกรุง รัตนโกสินทร์ สมเด็จฯกรมพระยาด้ารงราชานุภาพ ขณะด้ารงอิสริยยศเป็นกรมหมื่นและด้ารง ตา้ แหนง่ เสนาบดีกระทรวงธรรมการหรือกระทรวงศึกษาธิการในปัจจุบัน และด้ารงต้าแหน่งเสนาบดี กระทรวงมหาดไทย กับสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมหลวงลพบุรีราเมศวร์ ขณะยังเป็นกรมขุน ข้าหลวง เทศาภิบาลมณฑลนครศรีธรรมราชและอุปราชมณฑลปักษ์ใต้ ได้ร่วมกันด้าเนินวิเทโศบายทาง การเมือง ให้พุทธาวาสวัดพระมหาธาตุ เป็นสังฆวาสวัดพระมหาธาตุ โดยจัดพระสงฆ์เข้าจ้าพรรษา และให้แห่พระพุทธสิหิงค์ไปประดิษฐานให้พุทธศาสนิกชนสรงน้าทีสนามหน้าเมือง นับแต่นั้นมาพิธี สงฆ์และการรดน้าพระภิกษุอาวุโส ขุนนางผู้ใหญ่ และผู้เฒ่าผู้แก่ประจ้าเมืองจึงเลิกล้มกันไป ประมาณปี ๒๔๘๐ พิธีสงกรานต์โลช้ ิงช้าของพราหมณ์ตามสุรยิ คตกิ เ็ ลิกไป คงเหลอื เพียงแห่พระพุทธ สิหงิ คต์ ามพธิ พี ระพุทธศาสนาในวันสงกรานต์เท่านน้ั (ไพโรจน์ เสรีรักษ,์ ๒๕๔๗ : ๒๙ – ๓๐) ๒. พิธีแห่นางดาน เป็นประเพณีของศาสนาพราหมณ์ ซึ่งปฏิบัติกันมาต้ังแต่ครั้งมีชุมชน พราหมณ์เกิดขึ้นในนครศรีธรรมราช ราว พ.ศ. ๑๒๐๐ ค้าว่านางดานหรือนางกระดาน หมายถึง แผ่นไม้กระดานขนาดกว้างหนึ่งศอกสูงสี่ศอก ซ่ึงวาดหรือแกะสลักรูปเทพบริวารในคติพราหมณ์ จ้านวน ๓ องค์ แผ่นแรก คือ พระอาทิตย์และพระจันทร์ แผ่นท่ีสองคือแม่พระธรณี แผ่นที่สามคือ พระแม่คงคา เพ่อื ใชใ้ นขบวนแหเ่ พ่อื รอรับเสดจ็ พระอศิ วรทเี่ สดจ็ มาเยยี่ มมนษุ ยโ์ ลก ณ เสาชิงช้า นางกระดาน แผ่นที่ ๑ นามว่า พระอาทิตย์และพระจันทร์ พระอาทิตย์ ต้านานนพเคราะห์ กล่าวว่า เทพองค์น้ีพระอิศวรทรงสร้างข้ึนด้วยการเอาราชสีห์ ๖ ตัว มาป่นเป็นผงแล้วห่อด้วยผ้าสี แดง ประพรมด้วยน้าอมฤต จงึ เกิดเปน็ เทพบุตรร่างเลก็ ขน้ึ นามว่า “พระอาทิตย”์ หรือ “พระสุริยา”

๑๕ มีผิวกายสีแดง รัศมีกายเรืองโรจน์รอบตัว เส้ือทรงสีเหลืองอ่อน มีส่ีกร กรหนึ่งใช้ห้ามอุปัทวันตราย กรสองไวพ้ ระทานพร และอกี สองกรถือดอกบัว พระอาทติ ย์เปน็ เทพผสู้ ร้างกลางวัน ให้แสงสว่างและ ความร้อนแก่โลกมนุษยแ์ ละดาวพระเคราะห์ดวงอ่ืน ๆ โดยชักรถม้าเคลื่อนไปในจักรวาลไม่มีวันหยุด ก้าลังแสงของพระอาทติ ยม์ พี ลังดนู ้าได้ถึง ๑,๐๐๐ สว่ น ดดู ฝน ๔๐๐ สว่ น ดูดหิมะ ๓๐๐ สว่ น ดูดลม อากาศ ๓๐๐ ส่วน ให้พลังงานแก่สรรพสิ่งมีชีวิตทั้งปวง ก่อให้เกิดวัฎจักรแห่งดินฟ้าอากาศเป็น ฤดูกาล ถอื เป็นเทพผมู้ คี ุณูปการตอ่ การด้ารงชวี ติ ของมนษุ ย์ สัตว์และพืชพันธุ์ต่างๆ พระจันทร์ ต้านานนพเคราะห์กล่าว่า เทพองค์น้ีพระอิศวรทรงสร้างขึ้นจากนางฟ้า ๑๕ นาง โดยร่ายพระเวทให้นางฟ้าท้ัง ๑๕ นางนั้นป่นเป็นผงละเอียดลงแล้วห่อด้วยผ้าสีนวล ประพรหมด้วย น้าอมฤต แล้วเกิดเป็นเทพบุตรข้ึน มีนามว่า “พระจันทร์” ผิวกายเป็นสีนวล ร่างเล็กสะโอดสะอง ประทบั ในวิมานสีแก้วมุกดา ทรงม้าสีขาวดอกมะลิเป็นพาหนะ มีชายา ๒๗ องค์ พระจันทร์เป็นเทพ ผู้สร้างกลางคืน เป็นสัญลักษณ์แห่งความอุดมสมบูรณ์และงดงามอ่อนละมุน เพราะเป็นเทพผู้สร้าง กลางคืน จึงมีอีกสมญาหน่ึงว่า “รัชนีกร” ถือเป็นเทพผู้อ้านวยให้ส่ิงมีชีวิตท้ังหลายได้พักผ่อนและ ผสมพันธ์สุ บื มาจนปจั จุบนั นางกระดานแผ่นที่ ๒ นามว่าพระธรณี ต้านานนพเคราะห์กล่าวว่า เทพองค์น้ีมีหน้าท่ี รองรับน้าหนักของสรรพส่ิงและพยุงสิ่งทั้งหลายท่ีพระอิศวรทรงสร้างไว้ในจักรวาลให้ด้ารงอยู่ พระ ธรณี เปรยี บเสมอื นพ่อแมข่ องเทพท้งั หลาย เปน็ ผู้รับและส่ังสมส่ิงท่ีมีค่า อาหารและความม่ังค่ัง ยอม สละแมเ้ กียรติและอ้านาจ จึงได้ช่ือว่า “วสุธา” หรือพ้ืนดิน มีผิวกายสีขาวนวล พระเกศายาวเหยียด ตรงเป็นโมฬี สามารถอุ้มซับอุทกธาราหรือสายน้าไว้มหาศาล เป็นเทพผู้เก็บสะสมคุณความดีท้ังปวง และรักความมีคุณธรรม เป็นหูเป็นตาแทนผู้อื่นได้ ดังส้านวนที่ว่า “ใครไม่รู้ แต่ฟ้าดินรู้” เมื่อคร้ังท่ี พระพรหมสร้างโลกและขอให้พระอิศวรไปรักษาโลก พระอิศวรทรงห่วงใยว่าโลกไม่แข็งแรง ถ้าหย่ัง ลงมาทัง้ สองพระบาทกเ็ กรงว่าโลกจะแตก จึงหยัง่ พระบาทลงมาเพียงข้างเดียว พระธรณีจึงเข้ามาท้า หน้าที่รองรับพระบาทพระอิศวรไว้ พุทธประวัติกล่าวถึงเกียรติคุณพระธรณีอยู่ตอนหนึ่ง คือ ในวัน เพ็ญเดือนหกก่อนพุทธกาล พระยาวัตดีมารยกพลมาขัดขวางมิให้พระสิทธัตถะตรัสรู้พระสัมโพธิ ญาณ แต่การไม่ส้าเร็จดังใจหวัง เพราะพระสิทธัตถะไม่ยอมละโพธิบัลลังก์จนกว่าจะตรัสรู้ มีการ โต้เถียงทวงสิทธ์ิโพธิบัลลังก์กัน พระยามารกรรโชกว่า “บัลลังก์นี้ไม่สมควรแก่ท่าน เราน้ีมีสติพอจะ สามารถชนะครอบงา้ กระท้าให้โลกท้ังหลายพ่ายแพ้ และบัลลังก์น้ีบังเกิดเพ่ือบุญของเราโดยแท้ หา ใช่ของท่านไม่” พระสิทธัตถะจึงตรังถามว่าผู้ใดรู้เห็นเป็นพยานบ้าง พระยามารก็อ้างเอาเหล่าเสนา มารเป็นพยาน เมื่อเห็นพระสิทธัตถะก็มิหวั่นพระทัย ยังคงวางพระองค์สงบนิ่งอยู่ พญามารจึง บรรหารให้ร้พี ลสกลไกร ย่้ายบี ฑี าพระสทิ ธัตถะโดยพลัน หวังจะให้พระสิทธัตถะลุกหนีหรือม้วยมรณ์ พฤติการณ์ทั้งปวงน้ีพระธรณีได้สดับอยู่ เห็นจริงว่าพระสิทธัตถะประทับแล้วก็บิดน้าในโมฬีแห่งตน กระแสชลก็หล่ังไหลออกจากเกศาแห่งพระธรณี เป็นท่อธารมหรรณพ นองท่วมไปประดุจห้วง มหาสมุทร ในท่ีสุดเสนามารก็ตาย พญามารก็พ่ายหนี พระสิทธัตถะจึงส้าเร็จอนุตรสัมโพธิญาณใน เพลารงุ่ สางแหง่ ราตรีน้นั ความส้าเรจ็ ครงั้ นี้พระธรณไี ดม้ สี ่วนช่วยเหลืออยไู่ ม่น้อย นางกระดาน แผน่ ท่ี ๓ นามวา่ พระคงคา ตามตา้ นานนพเคราะห์ พระคงคาเป็นธิดาองค์แรก ของพระหิมวัตกับนางเมนา พระสวามีของพระคงคาคือพระอิศวร ฉะนั้นพระคงคากับพระอุมา นอกจากจะรว่ มพระชนกชนนีกนั แล้ว ยังมีสวามีองค์เดียวกันด้วย มีผิวกายสีม่วงแกมน้าตาล พระคง

๑๖ คาแต่เดิมอยู่บนสวรรค์ เพิ่งจะลงมาสู่โลกมนุษย์ในครั้งท่ีท้าวภคีรถส้าเร็จการพิธีอัญเชิญให้ลงมา ช้าระอัฐิโอรสท้าวสัคระ ท่ีถูกพระกบิลบันดาลด้วยฤทธิ์เป็นเพลิงไหม้ตาย จ้าเป็นต้องใช้น้าจากพระ คงคาบนสวรรคม์ าช้าระอัฐิ จึงจะหมดบาปไปบังเกิดในสวรรคไ์ ด้อีก พระคงคาจึงบันดาลน้าให้ไหลไป ทางสระวินทุ แยกออกเป็นเจ็ดสาย ไหลไปทางตะวันออกสามสาย กลายเป็นแม่น้าอีกสามสายคือ แมน่ ้าจักษุ สีดาและสินธุ ส่วนอกี สายหนง่ึ ไหลตามรอยรถทา้ วภครี ถ เรยี กกนั วา่ “พระคงคามหานที” แม่นา้ สายน้นี ับเป็นแมน่ ้าศักดิ์สิทธ์ใิ ช้ล้างบาปได้ ไหลผา่ นทใ่ี ดผคู้ นกช็ ้าระล้างบาปที่นั่น ความสกปรก ของบาปไดต้ กตะกอนท้าให้กลายเปน็ สันดอนสมบรู ณ์พนู พอก มีพืชพรรณงามงอกข้ึนตามฝั่งน้า ส่วน ในล้าวารีก็เป็นท่ีอาศัยขอสัตว์น้าท้ังหลาย พระคงคาจึงเป็นเทพผู้อ้านวยความชุ่มฉ่้าสมบูรณ์ให้แก่ สรรพส่ิงในมนุษยโลกไดย้ นื ชพี มาตราบปจั จุบนั ประเพณีแห่นางกระดานหรือแห่นางดานเป็นสว่ นหนึ่งของประเพณีตรียัมปวายหรือประเพณี โล้ชิงช้า ที่พราหมณ์ในนครศรีธรรมราชสมัยโบราณที่นับถือพระอิศวรเป็นเจ้าปฏิบัติกันมาในช่วง เดือนยหี่ รือเดือนบุษยมาสของทุกปี ซงึ่ ยกเลกิ ไปเมอ่ื พ.ศ. ๒๕๐๓ แก่นแท้หรือหัวใจของประเพณีแห่ นางกระดาน คือ การอัญเชิญเทพช้ันรองสามองค์มารอรับเสด็จพระอิศวรท่ีจะเสด็จลงมาเย่ียม มนษุ ยโลกในชว่ งวันข้ึน ๗ ค่า้ ถึงวนั แรมคา้่ เดือนย่ี รวมเวลาเสดจ็ มาเย่ียม ๑๐ ราตรี เทพช้ันรองสาม องค์ที่พราหมณ์ในนครศรีธรรมราชอัญเชิญมารับเสด็จน้ี คือ พระอาทิตย์ พระจันทร์ พระธรณี และ พระคงคา เทพดังกล่าวนี้จารึกหรือแกะสลักลงบนแผ่นไม้ขนาดกว้างหน่ึงศอก สูงสี่ศอก ชาวนคร เรียกไม้แกะสลักดังกล่าวน้ีว่า “นางกระดาน” เมื่อถึงวันพิธีการพราหมณ์ก็อัญเชิญนางกระดานท้ัง สามนมี้ ายังเสาชิงชา้ ในหอพระอศิ วร เพอ่ื รอรบั พระอศิ วรท่ีจะเสด็จเยีย่ มโลกมาท่เี สาชิงช้าดงั กล่าว พิธีการแห่นางกระดานแต่เดิม พราหมณ์ในนครศรีธรรมราชจะอัญเชิญเทพนางกระดานท้ัง สามไปประดษิ ฐานบนเสลย่ี ง หามกันมายงั จดุ นัดหมายท่สี ะดวกแกก่ ารชุมนุม ส่วนมากนิยมจัดขบวน กันท่ีฐานพระสยมบริเวณตลาดท่าชีปัจจุบัน ในเวลาโพล้เพล้ ขบวนแห่ประกอบด้วยเคร่ืองประโคม ดนตรีอันมีป่ีนอก กลองแขกหรือกลองสองหน้าและฆ้อง ถัดมาเป็นเครื่องสูง ซ่ึงประกอบด้วยฉัตร พดั โบก บงั แทรก บงั สรู ย์ มีพระราชครแู ละปลัดหลวงเดินนา้ หน้าเสลยี่ งละคน มพี ราหมณ์ถือสังข์เดิน ตาม ปิดทา้ ยดว้ ยนางละครหรอื นางอัปสรและ ผถู้ ือโคมบวั เมือ่ ถึงหอพระอิศวร ขบวนก็เคลื่อนเข้ามาต้ังแต่ที่บริเวณทิศใต้ของหอแล้วจึงเวียนรอบเสา ชิงช้า สามรอบ จากนั้นพระราชครูจะอ่านโองการเชิญเทพ เริ่มต้นด้วยบทสัคเด... จบด้วยบท บวงสรวงเทพยดา แล้วจงึ อัญเชญิ นางดานทั้งสามมาประจา้ ในมณฑลพิธีที่จัดไว้ทางด้านทิศเหนือของ เสาชิงช้า รอเวลาท่ีพระอิศวรจะเสด็จลงมาทางเสาชิงช้าในช่วงไม่ก่ีนาทีข้างหน้า ก่อนถึงเวลาท่ีพระ อิศวรเสด็จลงมา นางอัปสร ๑๒ นางจะร้าบชู าพระอิศวร เรียกว่า “ร้าบูชิตอิศรา” จบแล้วพระยายืน ชิงช้าซึ่งรับสมมุติเป็นพระอิศวรก็จะเดินเข้ามาประจ้าที่ชมรมหรือปะร้าพิธี ถือกันว่าพระอิศวรได้ เสดจ็ ลงมาเยยี่ มโลกแลว้ พระยายืนชิงช้าท่ีรับสมมุติเป็นพระอิศวรน้ีแต่ก่อนหมายเอาพระยาพลเทพ ซ่ึง เป็นเกษตราธิการหรือเจ้ากรมนาเป็นหลัก แต่งตัวนุ่งผ้าเยียรบับ (แต่วิธีนุ่งน้ันเรียกว่าบ่าวขุน) มี ชายห้อยอยู่เบื้องหน้า สวมเสื้อเยียรบับ คาดเข็มขัด แล้วสวมเสื้อครุยลอมพอกทับลงบนเก้ียวตาม บรรดาศักดิ์ต่อมาภายหลังได้อนุโลมให้เจ้าเมืองหรือผู้ว่าราชการจังหวัดรับสมมุติแทน จนกระทั่งถึง พ.ศ. ๒๔๗๖ จงึ ยกเลกิ พธิ นี ไ้ี ป

๑๗ เม่ือพระอิศวรเสด็จมาถึงก็จะโล้ชิงช้าถวาย การพิธีช่วงนี้จะมีพระยายืนชิงช้าซึ่งรับสมบัติ เป็นพระอิศวรเข้ามาประจ้าท่ีโรงปะร้าพิธี พระยาน่ังยกเท้าขวาพาดเข่าซ้าย เท้าซ้ายยันพ้ืน ท้า เสมือนพระอิศวรหย่อนพระบาทลงมายังโลกมนุษย์ จากน้ันนาลิวัน ๑๒ คน ซ่ึงแต่งกายด้วยสนับ เพลาและผา้ น่งุ โจมทบั สวมเสื้อขาว คาดผ้าเกี้ยว ศีรษะสวมหัวนาค มือถือเสนง (เขาควาย) ก็จะข้ึน น่งั ท่ไี ม้กระดานชงิ ช้าคราวละ ๔ ตน (เรยี กวา่ 'หน่ึงกระดาน') ผลัดกันไกวชิงช้าให้ข้ึนสูงที่สุดเท่าที่จะ ทา้ ได้ เป็นเสมอื นการทดสอบความแข็งแรงของแผ่นดินและภูเขาว่ายังม่ันคงอยู่ดีหรือไม่ ระยะหลังมี การโล้และเอื้อมไปหยิบถุงเงินท่ีแขวนไว้ท่ีปลายไม้ไผ่ ซึ่งเป็นเงินรางวัลแก่นาลิวันด้วย เม่ือโล้ชิงช้า ครบท้ังสามกระดานแล้ว นาลิวันท้ัง ๑๒ คนก็พากันออกมาร้าเสนงและวักน้าเทพมนต์จากขันสาคร ซง่ึ สมมตเิ ปน็ น้าจากห้วงมหรรณพ ถือเป็นการประสาทพร และเป็นการเล่นสนุกสนาน ก่อนจะเสร็จ พิธีการแต่ละวัน การอัญเชิญพระอิศวรให้เสด็จมาเช่ือกันว่าเพื่อประสารพรให้มีความสุขสบาย คุ้มครอง บา้ นเมอื งใหป้ ลอดภัย โดยเฉพาะอยา่ งย่ิงในฐานะเป็นเมอื งเกษตรกรรม ยอ่ มต้องการท่ีจะให้พระองค์ บันดาลความอุดมสมบูรณ์แก่พืชพันธ์ุธัญญาหาร เช่น ให้น้าท่าบริบูรณ์ ฝนตกต้องตามฤดูกาล เมื่อ บวงสรวงแล้วก็จะประสาทพรโดยให้เทพบริวารท้ังหลาย มีพระอาทิตย์ พระจันทร์ พระธรณี และ พระคงคง เป็นต้น ในเมืองนครสมัยท่ีมีพธิ นี ้ี ผู้ท่มี าเปน็ พระยายืนชงิ ช้าซงึ่ รับท่ีสมมุติว่าเป็นพระอิศวร นั้น ตอ้ งเปน็ ขา้ ราชการเก่ียวกบั การเกษตรโดยตรง ชาวเมอื งเช่ือกันว่าพระอศิ วรเสดจ็ มาเย่ียมมนุษย์โลกเพื่อประสาทพรให้เกิดความสงบสุข ท้า ให้เกิดน้าท่าอุดมสมบูรณ์ และช่วยคุ้มครองมนุษย์โลกให้ปลอดภัย ซึ่งตามความเช่ือการเสด็จลงมา ของพระอศิ วรจะต้องเสดจ็ ลงมาในเดอื นอา้ ย ซ่งึ เป็นปใี หม่ของชาวพราหมณ์ฮินดู เพื่อให้ประเพณีแห่ นางดานเป็นที่รู้จักและคงไว้ซ่ึงประเพณีเก่าแก่ของเมืองนครศรีธรรมราชและก้าเนิดข้ึนเป็นแห่งแรก ในเมืองไทย ปัจจบุ ัน ประเพณแี ห่นางดาน จัดขึ้นในวันท่ี ๑๔ เมษายน ของทุกปี โดยมีขบวนแห่นางดาน จากสนามหน้าเมืองมายังหอพระอิศวร การแสดงแสง สี เสียง ต้านานนางดานและเทพเจ้าที่ เก่ียวข้อง การจ้าลองพิธีแห่นางดาน และการโล้ชิงช้า ซ่ึงเป็นการโล้ชิงช้านอกเขตเมืองหลวงแห่ง เดียวของไทยในปัจจุบัน โดยเทศบาลนครนครศรีธรรมราชเป็นผู้รับผิดชอบ และถือเป็นกิจกรรม สา้ คญั ในปฏิทินการทอ่ งเทย่ี วเทศกาลสงกรานตข์ องการท่องเท่ยี วแหง่ ประเทศไทยอีกด้วย โดยจัดขึ้น ณ สวนศรีธรรมาโศกราช สนามหน้าเมือง หอพระอิศวร จังหวัดนครศรีธรรมราช จะมี \"สงกรานต์ นางดาน\" หรือ \"เทศกาลมหาสงกรานต์เมืองนครศรีธรรมราช\" จัดขึ้นทุกปี ส้าหรับกิจกรรมภายใน เทศกาลสงกรานต์เมอื งนครน้ี จะมีมหกรรมขนมพน้ื บ้าน อาหารพื้นเมือง กิจกรรมน่ังรถชมเมือง เล่า เรอ่ื งลกิ อร์ นง่ั สามล้อโบราณชมเมืองเกา่ พธิ พี ทุ ธาภิเษกน้าศกั ดส์ิ ิทธิ์จาก ๖ แหล่ง เป็นตน้ ๓. ประเพณีอาบน้าคนแก่ เป็นประเพณีเกี่ยวเน่ืองมาจากประเพณีสงกรานต์ชาว นครศรีธรรมราชท่ีเช่ือว่าในวันที่ ๑๔ เมษายน เทวดาที่เฝ้ารักษาเมืองท้ังหลายจะพากันขึ้นไปเมือง สวรรค์กันหมด ท้งั เมอื งจงึ ปราศจากเทวดา วันน้ีจึงเรียกว่า “วันว่าง” คือเป็นวันท่ีทุกส่ิงทุกอย่างว่าง เทวดาคุ้มครอง ชาวบา้ นจะหยดุ ทา้ กจิ การงานทกุ อยา่ งเกบ็ สง่ิ ของเครื่องใช้ต่าง ๆ หมด ครกและสาก ต้าข้าวก็จะแช่เอาไว้สามวันในวันว่าง ชาวบ้านจะน้าภัตตาหารและเครื่องนมัสการต่าง ๆไปท้าบุญที่

๑๘ วดั ใกล้บา้ น เสรจ็ แลว้ จงึ ไปสักการะและสรงน้าพระพุทธสิหิงค์ ที่สนามหน้าเมือง และนิยมรองรับน้า จากการสรงน้าพระพทุ ธสหิ ิงค์ เพื่อนา้ ไปไว้ใช้ในงานมงคลทบี่ า้ นของตนอกี ดว้ ย เมอ่ื สรงนา้ พระพุทธสหิ งิ คเ์ สร็จแล้ว ชาวนครศรีธรรมราชจะนา้ อาหาร เคร่ืองนุ่งห่ม เครื่องใช้ ไปให้ญาติคนแก่ที่ตนเคารพนับถือแล้วขออาบน้าให้ท่านด้วย เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ตนเองและ ครอบครัวประเพณีอาบน้าคนแก่ อยู่ในช่วงระยะเวลาของวันท่ี ๑๓ - ๑๕ เดือนห้า (เมษายน) ของ ทกุ ปี ซึ่งจะเลอื กเอาวนั ไหนก็ได้ สาระสา้ คญั ของประเพณีการอาบน้าคนแก่ ได้แก่ ๑. เป็นการควบคุมคนในสังคมให้วางตน ใหเ้ หมาะสมตามฐานะของตน คอื เมือ่ เปน็ ผใู้ หญ่ก็ตอ้ งเป็นผ้ใู หญท่ ่ีดี ให้คนเคารพนับถือ ส่วนผู้น้อยก็ ตอ้ งแสดงความเคารพและกตัญญูต่อผู้ใหญ่และผู้มีพระคุณ ๒. เป็นการแสดงถึงความกตัญญูกตเวที ต่อผู้มีพระคุณ อันได้แก่ คนแก่ในตระกูล บิดา มารดา ตลอดจนผู้ที่ตนเคารพนับถือ ๓. เป็นการ พบปะกันในระหว่างญาติพ่ีน้อง ซ่ึงก่อให้เกิดความผูกพันกันในเครือญาติ สร้างความสนิทสนมกลม เกลยี วรกั ใครก่ นั ในตระกูลมากย่ิงขึ้น ๔. สร้างความอบอุ่นปลาบปล้ืมใจให้กับคนแก่ของตระกูล ที่ได้ เหน็ ความเป็นปกึ แผ่นของลูกหลาน และ ๕.ท้าใหเ้ กิดความสุขความอ่ิมเอิบใจ แก่ผู้ที่ได้ร่วมพิธีท้าบุญ ตามประเพณีอาบนา้ คนแก่ วิมล ด้าศรี (๒๕๔๙) ได้กล่าวถึงประเพณีสงกรานต์ภาคใต้ ไว้ว่า โดยองค์รวมประเพณี สงกรานต์ เป็นประเพณีส้าคัญของชาติไทยประเพณีหนึ่ง ซึ่งมีมาช้านาน พระบาทสมเด็จพระ จลุ จอมเกล้าเจ้าอยหู่ วั ได้ทรงกลา่ วถึงก้าหนดเวลาการจัดพระราชพิธสี งกรานต์ไว้ในหนังสือพระราชพิธี สิบสองเดือนว่า “...เวลาพระอาทิตย์กลับมาตรงศีรษะเป็นเวลาสงกรานต์ เพราะฉะน้ันสงกรานต์จึงได้เลื่อน เข้ามาอยูใ่ นเดอื นห้าหรือเดือนหก ไม่เร็วกว่าเดือน ๕ ขึ้น ๔ ค่้า ไม่เกินกว่าเดือน ๖ ข้ึน ๔ ค้่า ออกไป สงกรานต์คงอยใู่ นระหว่างเดือนหนึง่ น้นั ..” แต่ปัจจุบันนี้ได้ก้าหนดวันสงกรานต์ขึ้นเป็นการตายตัวลงไปคือถือเอาวันที่ ๑๓ – ๑๔ – ๑๕ เมษายน ของทุกปเี ปน็ วันสงกรานต์ การณ์ส้าคัญในประเพณีน้ี คือ กรรมวิธีที่หลากหลาย ซ่ึงบรรพชนและลูกหลานไทยได้ สร้างสรรค์สิ่งเสริม เพ่ือเฉลิมฉลองปีใหม่ไทยให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตของปวงชนชาวไทยต่างยุคต่าง สมัย ต่างเขตภูมิศาสตร์ ธรรมชาติ และวัฒนธรรมตลอดมา ต้ังแต่อดีตกระทั่งปัจจุบัน การณ์ท่ีเป็น แกนกลางส้าคัญซ่ึงปรากฏให้เห็นเป็นรูปธรรมอยู่ท่ัวทุกภูมิภาค ก็คือ กิจกรรมของชุมชนและสังคมท่ี ทุกเพศ ทกุ วยั และต่างฐานะสามารถสมคั รสมานในงานเทศกาลนี้ แสดงออกด้วยความพร้อมเพรียงใน การตระเตรียมท้าความสะอาดบ้านเรือน วัด ความพร้อมใจในการท้าบุญให้ทาน เพื่ออุทิศส่วนกุศล ใหแ้ ก่ผ้ทู ่ลี ว่ งลบั ไปแลว้ เปน็ การแสดงความกตัญญูกตเวทิตาตอ่ บรรพบรุ ุษและบุพการี การสรงน้าพระ รดน้าขอพรผ้ใู หญ่ การเลน่ ร่นื เรงิ เช่น การเล่นพื้นบ้านพ้ืนเมอื งตา่ งๆ และสิ่งที่เป็นการเล่น ซึ่งแสดงถึง เอกลักษณ์ของเทศกาลนี้คือ การเล่นสาดน้าของหนุ่มสาวและเด็ก ด้วยน้าใจไมตรีสภาพการณ์ ดังกล่าวน้นี า้ ไปสูค่ วามเกื้อกูลผกู พนั ด้วยสายใยของวฒั นธรรมทเ่ี ป็นมรดกเก่าแกข่ องไทยเรา อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาถึงการณ์ต่างๆ โดยจ้าเพาะเจาะจงในแต่ละเขตภูมิศาสตร์ของ ประเทศไทยแล้วย่อมมองเห็นอัตลักษณ์ของการปฏิบัติได้ระดับหนึ่ง ในท่ีน้ีจะได้น้าเสนอแนวปฏิบัติ ประเพณสี งกรานต์ในเขตภูมศิ าสตรภ์ าคใต้ของประเทศไทย

๑๙ รูปลักษณ์ของการปฏิบัติประเพณีสงกรานต์ ภาคใต้ ภาพรวมโดยท่ัวไป การปฏิบัติประเพณี สงกรานต์ ภาคใต้ ในวนั ที่ ๑๓ ๑๔ และ ๑๕ เมษายน เป็นดงั นี้ (วิมล ดา้ ศรี, ๒๕๔๙) วันที่ ๑๓ เมษายน อันเป็นวันมหาสงกรานต์น้ัน ชาวใต้เรียกว่า “วันเจ้าเมืองเก่า” หรือ “วัน ส่งเจ้าเมืองเก่า” วันที่ ๑๔ เมษายนอันเป็นวันเนา ชาวใต้เรียกว่า “วันว่าง” วันเนาหมายถึงวันท่ีพระ อาทิตย์โคจรอยรู่ ะหว่างสองราศี คือ ราศีมีนและเมษ วันเนาเป็นวันถัดจากวันมหาสงกรานต์และหน้า วันเถลิงศกจลุ ศกั ราช และวันท่ี ๑๕ เมษายน อนั เป็นวันพญาวัน หรือ วันเถลิงศก ชาวใต้เรียกว่า “วัน เจ้าเมอื งใหม”่ หรอื “วันรบั เจ้าเมอื งใหม่” ในวันมหาสงกรานต์ คือวันท่ี ๑๓ เมษายน ซึ่งชาวใต้เรียกว่า วันเจ้าเมืองเก่า หรือวันส่งเจ้า เมืองเก่านั้น เช่ือกันว่า เมื่อถึงวันนี้เทวดาผู้ท้าหน้าที่รักษาดวงชะตาบ้านเมืองและไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน จ้าเป็นต้องละทิ้งบ้านเมืองท่ีตนคุ้มครองรักษาอยู่เพราะต้องกลับไปชุมนุมโดยพร้อมเพรียงกันบน สวรรคจ์ งึ ได้เรยี กวา่ วนั เจ้าเมืองเกา่ หรอื วันสง่ เจา้ เมอื งเก่า ในวันน้ีชาวใต้จึงพร้อมใจกันท้าความสะอาดเค หสถานบ้านช่อง เครื่องใช้ไม้สอย เครือ่ งประดับ เครอ่ื งแต่งกายและทา้ ความสะอาดร่างกาย หากบ้านเรือนหรือเคร่ืองใช้ช้ารุดเสียหายก็ ซ่อมแซมตกแต่งให้สวยงามขึ้น หากรู้ตัวว่าในปีที่ผ่านมาตนมีความเดือดเน้ือร้อนใจมีทุกข์โศกโรคภัย อยู่เสมอมาก็มักจะท้าพิธีสะเดาะเคราะห์เสีย ให้เคราะห์กรรมทุกข์โศกโรคภัยท้ังหลายเหล่านั้นลอย ตามไปกบั เจา้ เมอื งคนเกา่ เสยี ใหส้ ้ิน เรียกพิธสี ะเดาะเคราะห์นีว้ า่ ลอยเคราะห์หรอื ลอยแพ การลอยเคราะห์กระท้ากันอย่างง่ายๆ คือเอาหยวกกล้วยมาตัดเป็นท่อนๆ แล้วท้าแพโดยใช้ ไม้เสียบ แล้วเอากระทงที่ใส่อาหารต่างๆ หมากพลู ธูปเทียนดอกไม้มาวางบนแพ ปักธงรอบๆ แพน้ัน บางคนก็ตัดผมตดั เล็บและใสส่ ตางคล์ งไปในแพ จากน้ันก็เอาแพลงลอยในน้าอธิษฐานให้เคราะห์กรรม ทั้งหลายท่ีตนประสบปีก่อนลอยไปกับกระแสน้า เพื่อให้เจ้าเมืองเก่ารับเอาไปเสียด้วยและขอความ สวัสดีจงได้มาหาตนและครอบครัวตลอดปีใหม่ นอกจากน้ียังนิยมฝากเคราะห์ไปกับสัตว์ชนิดต่างๆ โดยการจบั สตั วม์ าประพรมเครือ่ งหอมแล้วอธิษฐานฝากเคราะห์แลว้ ปลอ่ ยสัตว์ไป ในวันนี้ชาวใต้จะท้าพิธีสักการะบูชาและสรงน้าพระพุทธรูปส้าคัญ เช่น ชาวนครศรีธรรมราช จะท้าพิธีแห่พระพุทธสิหิงค์ อันเป็นพระพุทธรูปคู่เมือง โดยการอัญเชิญจากหอพระพุทธสิหิงค์ซ่ึงอยู่ บริเวณศาลากลางจังหวัดขึ้นบุษบกท่ีประดับประดาอย่างสวยแห่แหนไปตามถนนสายต่างๆ ทั่วทั้งตัว เมืองโดยมีเทพีสงกรานต์และขบวนแห่ที่พรั่งพร้อมไปด้วยธงทิวและดนตรีประเภทต่างๆ ร่วมขบวน ดว้ ย เมอ่ื แหแ่ หนจนทวั่ แลว้ ก็อัญเชิญพระพทุ ธสหิ ิงคไ์ ปประดิษฐานที่สนามหน้าเมือง เพ่ือให้ประชาชน ไดส้ กั การะบชู าสรงนา้ ประจา้ ปีเพอ่ื เปน็ สริ มิ งคลแกบ่ ้านเมืองและประชาชนสบื ไป วันที่ ๑๔ เมษายน ตามความเช่ือแต่เดิมมีมาว่า วันนี้เป็นวันท่ีเทวดาที่จากเมืองต่างๆ ไป ตั้งแตว่ นั ท่ี ๑๓ เมษายน จะสถติ อยบู่ นสวรรคโ์ ดยพร้อมเพรยี งกนั หมด เปน็ อันว่าทางโลกมนุษย์ก็จะไม่ มีเทวดาเหลืออยู่เลย จึงเป็นวันว่างหรือปราศจากเทวดา เรียกวันน้ีว่า “วันว่าง” ในวันน้ีเทวดาจาก เมืองต่างๆ ก็จะเข้าประชุมเทวสมาคมเพื่อรายงานผลงานและความเป็นไปในรอบปีของเมืองท่ีตนลง มารักษาอยู่ว่าประชาชนทุกข์อย่างไรบ้าง ประชาชนท้าความดีความชั่วอย่างไรบ้าง ท้ังนี้เพื่อเทวสมา คมจะได้พจิ ารณาขจัดทกุ ขโ์ ศกโรคภยั ใหห้ มดไปจากมนุษย์โลก และท้ายที่สุดเทวสมาคมก็จะพิจารณา

๒๐ โยกยา้ ยเทวดาผู้รกั ษาเมอื งโดยสับเปล่ียนทีต่ อ้ งไปรักษากนั เสียใหม่ให้เหมาะสมยิ่งข้ึน คร้ันเลิกประชุม แลว้ เทวดาท้ังหมดก็ร่วมสังสรรคส์ นกุ สนานกันในคนื น้ันมีการขับกลอ่ มและการร่ืนเริงตา่ งๆครบถว้ น ในวันนี้ชาวใต้ยุติกิจการงานอาชีพทุกอย่าง เพราะถือว่าวันน้ีไม่มีเทวดาคุ้มครองรักษาทุกสิ่ง ทุกอยา่ งในโลก ทกุ ส่ิงทุกอย่างจึงอยู่ในสภาพท่ีว่างสิ่งของเคร่ืองใช้ต่างๆ เก็บหมด สากและครกที่ต้าก็ แช่น้าเพื่อจะได้พักผ่อนอย่างสบาย บางคราวก็เอาด้ายสีต่างๆ กับหมากค้าหนึ่งมาผูกติดไว้กับสาก แล้วแช่จนครบ ๓ วัน จึงจะน้ามาใช้อีก ประชาชนส่วนใหญ่จะพากันไปวัดในวันน้ี ต่างน้าภัตตาหาร และเคร่ืองนมัสการต่างๆ ไปท้าบุญท่ีวัดไปสักการะและสรงน้าพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ เช่น พระพุทธ สหิ งิ คท์ ส่ี นามหนา้ เมอื งนครศรีธรรมราชและนิยมรองรับน้าจากการสรงพระนี้ไปใช้ในกิจอันเป็นมงคล ทบี่ ้านตอ่ ไป เปน็ ตน้ ถัดจากนั้นก็จะน้าอาหารเคร่ืองใช้และเครื่องบูชาไปแสดงความเคารพผู้หลักผู้ใหญ่ ญาติ ผู้ใหญ่และพระสงฆ์ที่ตนเคารพ และถือโอกาสขอรดน้าเสียด้วย เป็นการแสดงออกถึงความกตัญญู กตเวทโี ดยแท้ ในวนั นี้ทั่วทงั้ เมอื งจะมีการเล่นอย่างสนุกสนานเป็นที่สุด ท้ังเด็กผู้ใหญ่และผู้เฒ่าจะร่วมแสดง ความรื่นเริงในการละเล่นอย่างเต็มท่ี ในวันน้ีจึงมีการละเล่นมากมายทั่วทุกหนทุกแห่งในเมืองได้ เช่น มโนราห์ หนังตะลุง เพลงบอก มอญซ่อนผ้า อุบลูกไก่ ชักเย่อ สะบ้า จระเข้ฟาดหางหรือบางแห่ง เรียกว่า “ฟาดทงี ” ยับสาก เตย ปิดตาลักซ่อน วัวชน ชนไก และการเล่นเช้ือยาหงส์ เป็นต้น การเล่น ทงั้ หลายเหลา่ นรี้ วมเรียกว่า “เล่นวา่ ง” วันที่ ๑๕ เมษายน อันเป็นวันสุดท้ายของประเพณีสงกรานต์ ซ่ึงชาวใต้เรียก “วันเจ้าเมือง ใหม่” หรือ “วันรับเจ้าเมืองใหม่” น้ัน ตามความเชื่อแต่เดิมมามีว่า วันน้ีเทวดาซึ่งถูกย้ายไปประจ้า เมืองใหม่แล้วต่างก็ร่้าลาซ่ึงกันและกันออกจากแดนสวรรค์ อันเป็นท่ีชุมนุมกันในวันที่ ๑๓ และ ๑๔ เมษายน เสด็จกลับลงมายังมนุษยโลกเพ่ือไปประจ้ารักษาเมืองท่ีตนได้ย้ายไป เป็นอันว่าทุกเมืองก็จะ ได้เทวดาองค์ใหม่ไปดูแลรักษาตลอดปีใหม่ซึ่งเริ่มในวันน้ีจึงได้เรียกวันนี้ว่า “วันเจ้าเมืองใหม่” หรือ “วันรบั เจา้ เมอื งใหม่” ชาวใต้จะเตรียมตัวเพื่อการต้อนรับเทวดาเจ้าเมืององค์ใหม่ด้วยความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ชาวเมืองจะแต่งกายดว้ ยเสอื้ ผา้ และเคร่ืองตกแตง่ ใหม่ๆ อย่างสวยงาม แล้วรีบน้าภัตตาหารไปท้าบุญท่ี วัดต้ังแต่เช้า ร่วมกันท้าขวัญข้าว ฯลฯ จากนั้นก็รดน้าผู้หลักผู้ใหญ่ ญาติผู้ใหญ่ และพระสงฆ์ท่ียัง ตกค้างอย่ไู มไ่ ด้ไปรดนา้ เมอ่ื วันวา่ ง ในวันนี้หากว่าตระกูลใดมีเทือกเถาเหล่ากอมากก็จะท้าพิธีรดน้าผู้เฒ่าของตระกูลโดยการ ประกอบพธิ ีใหญ่ เรยี กว่า “ข้ึนเบญจา” (หรอื เพยี้ นเปน็ “ขน้ึ บญิ จา” กม็ )ี การขน้ึ เบญจาเป็นประเพณที ่ีกระท้ากนั มานาน วิธีการก็คือลูกหลานผู้จัดพิธีขึ้นเบญจานิมนต์ พระสงฆ์มาสวดพระปริตร เพื่อท้าน้าพระพุทธมนต์ไปที่ที่จัดพิธี ซึ่งส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นท่ีบ้านของ ญาติผู้เฒ่านั้นแหละ แล้วเอาน้าพระพุทธมนต์น้ันผสมกับน้าธรรมดาในโอ่งใหญ่เติมน้าธรรมดาลงไป ตามต้องการ เติมของหอมนานาชนิดลงไป จากน้ันเครือญาติผู้อาวุโสท่ีสุดของตระกูลก็จะนั่งบนแท่น ในโรงเบญจา ลูกหลานก็จะช่วยกันเอาน้าท่ีเตรียมไว้ในโอ่ง มารดและขัดถูท่ัวร่างกาย ขณะเดียวกัน พระสงฆ์ก็จะสวด ชยันโตให้พรด้วย พอเสร็จลูกหลานก็เปลี่ยนเส้ือชุดใหม่ให้สุดท้ายผู้เฒ่าก็ให้พร

๒๑ ลูกหลานท่ีมาประกอบพิธีในวันนี้ แล้วเครือญาติผู้อาวุโสถัดไปตามล้าดับก็ขึ้นมานั่งบนแท่นในโรง เบญจา แล้วจะเริม่ พิธรี ดน้ากันใหม่เชน่ น้ไี ปเรอื่ ยๆ จนหมดเครือญาติอาวโุ ส เท่าที่กล่าวมานี้เป็นรูปลักษณ์ของการปฏิบัติประเพณีสงกรานต์ เม่ือหลายทศวรรษท่ีผ่านมา ในกาลปัจจุบนั รปู ลกั ษณเ์ หลา่ น้ไี ดเ้ ปลยี่ นแปลงไป การณ์บางอย่างแทบไมป่ รากฏให้เห็น เช่น การลอย เคราะห์ การเก็บเคร่ืองใช้ต่างๆ เช่น การแช่ครกแช่สาก ฯลฯ ไว้นานถึง ๓ วัน การเล่นฟาดทีง การ เล่นเชือ้ ยาหงส์ การทา้ ขวัญข้าวรว่ มกนั และการขน้ึ เบญจา เปน็ ตน้ มูลเหตสุ า้ คญั ของการเปลี่ยนแปลง เหล่านี้สืบเน่ืองมาจากวิถีชีวิตของประชาชนเปล่ียนไป ด้วยเหตุปัจจัยนานาประการ เช่น การศึกษา ความเชอ่ื การประกอบอาชพี และบรบิ ทอ่นื ๆของสงั คม เปน็ ต้น รูปลักษณ์ใหม่ของการปฏิบัติประเพณีสงกรานต์ซ่ึงเกิดข้ึนประมาณ ๒-๓ ทศวรรษที่ผ่านมา กระท่งั ปจั จุบนั คอื การเพมิ่ มูลคา่ ทางเศรษฐกจิ ให้กับประเพณสี งกรานต์ ด้วยวัตถุประสงค์ท่ีเพิ่มเติมข้ึนมานี้เองการณ์ต่างๆอันเนื่องด้วยประเพณีสงกรานต์จึง เปลีย่ นไปจากเดมิ ทเ่ี คยเนน้ คุณปู การท้งั ดา้ นคณุ คา่ และมูลคา่ ควบคกู่ นั การณ์ต่างๆท่ีปรากฏให้เห็นเป็นรูปธรรมในปัจจุบันจึงเป็นรูปลักษณ์ใหม่ท่ีใช้ประเพณี สงกรานต์เปน็ แกนกลางแลว้ มกี ิจกรรมหรอื บรบิ ทอนื่ ๆเข้ามาเสริมตามนโยบายของแต่เมอื ง ประเพณีสงกรานต์ได้กระจายอยู่ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทย อาทิ ภาคกลางเรียกวันที่ ๑๓ เมษายน ว่า วันมหาสงกรานต์”ซึ่งวันนี้ทางการได้ประกาศให้เป็นวันผู้สูงอายุแห่งชาติ”วันท่ี ๑๔ เมษายน เรยี ก ว” นั เนา”และรัฐบาลสมัยพลเอกชาตชิ าย ชณุ หะวัณไดป้ ระกาศให้เป็นวันครอบครัว”ส่วน วันที่ ๑๕ เมษายน เรียก ว” ันเถลิงศก”คือวันเร่ิมจุลศักราชใหม่ ทางล้านนาเรียกวันท่ี ๑๓ เมษายนว่า วันสังขารล่อง”ซ่ึงบางท่านให้ความหมายว่า หมายถึงอายุสิ้นไปอีกปี วันที่ ๑๔ เมษายน เรียกว” ันเนา” เป็นวันห้ามพูดจาหยาบคาย เพราะเชื่อว่าจะท้าให้ปากเน่าและไม่เจริญ ส่วนวันท่ี ๑๕ เมษายนเรียก วันพญาวัน”คือวันเปล่ียนศกใหม่ ภาคใต้ เรียกวันที่ ๑๓ เมษายนว่า ว” ันเจ้าเมืองเก่า”หรือ ”วันส่งเจ้า เมืองเก่า” เพราะเช่ือว่าเทวดารักษาบ้านเมืองกลับไปชุมนุมกันบนสวรรค์ ส่วนวันท่ี ๑๔ เมษายน เรียกว่า ว” ันว่าง”คือวันที่ปราศจากเทวดาที่รักษาเมือง ดังนั้น ชาวบ้านก็จะงดงานอาชีพต่างๆ แล้วไป ท้าบุญที่วัด ส่วนวันที่ ๑๕ เมษายน เรียกว่า ”วันรับเจ้าเมืองใหม่” คือวันรับเทวดาองค์ใหม่ท่ีได้รับ มอบหมายใหม้ าดูแลเมอื งแทนองค์เดมิ ทีย่ ้ายไปประจ้าเมืองอื่นแลว้ (ทศั นี อุทการ, ๒๕๕๖) ๑.๑.๓ นิยามของมรดกภูมิปญั ญา เสฐียรโกเศศ (๒๔๙๓) อธิบายว่า ค้าว่า “สงกรานต์” มาจากภาษาสันสกฤต แปลว่า การ เคล่ือนที่ หรอื การเคลือ่ นย้าย หมายถึงการเคลื่อนย้ายของพระอาทิตย์จากราศีหนึ่งสู่อีกราศีหน่ึง ตาม ความหมายในภาษาสันสกฤตสงกรานต์จึงเกิดขึ้นทุกเดือน ส่วนระยะเวลาท่ีคนไทยเรียกว่า “สงกรานต์” นั้น เป็นช่วงที่พระอาทิตย์เคลื่อนย้ายจากราศีมีนเข้าสู่ราศีเมษ นับว่าเป็นมหาสงกรานต์ เพราะเป็นวันและเวลาตั้งต้นปีใหม่ตามสุริยคติซ่ึงถือปฏิบัติในอินเดีย อินเดียซึ่งนับถือศาสนาฮินดูมี ประเพณีฉลองปใี หม่ท่ีเรยี กวา่ ทิวาลี (Diwali) ในฤดูใบไม้ผลิ เป็นเวลานานมาแล้ว ในสมัยโบราณไทย นับเดอื นตามจันทรคตแิ ละฉลองการขึ้นปีใหม่ในเดอื นอ้ายซง่ึ ตรงกับเดือนธันวาคม ประเพณีสงกรานต์

๒๒ จงึ นา่ จะเป็นประเพณฉี ลองการขึน้ ปใี หม่ที่รบั มาจากอนิ เดีย เนื่องจากเดอื นเมษายนเป็นเวลาท่ีคนไทย ว่างจากการท้านาจึงเปน็ การเหมาะสมส้าหรับคนไทยที่จะฉลองปีใหม่ในช่วงเวลานั้นด้วย ในการฉลอง การขน้ึ ปีใหมอ่ นิ เดยี มีงานเรียกว่าโหลี (Holi) และมีต้านานเล่าถึงงานโหลีนี้หลายส้านวนอธิบายความ เปน็ มาของการเล่นสาดนา้ สี ในงานฉลองโหลีนี้คนอินเดีย มีการเล่นสาดแป้งและน้าใส่สีกัน คนไทยซ่ึง นับถือพระพุทธศาสนามีประเพณีฉลองสงกรานต์ด้วยการท้าบุญ รดน้าและสาดน้าเพ่ือแสดงความ กตัญญู และแสดงความปรารถนาดีต่อกัน นอกจากน้ียังมีต้านานซึ่งอธิบายความเป็นมาของประเพณี สงกรานต์ ตลอดจนการท้านายเรอื่ งดินฟ้าอากาศ การผลิตพชื ผลและเหตุการณ์บา้ นเมืองด้วย ธวัช รัตนมนตรี (๒๕๔๖) อธบิ ายสงกรานต์วา่ มาจากภาษาสันสกฤต แปลว่า ก้าวข้ีน ย่างขึ้น หรือการยา้ ยทเ่ี คลอื่ นท่ี คือ พระอาทิตย์ย่างข้ึนสู่ราศีใหม่ หมายถึง วันขึ้นปีใหม่ ซ่ึงตกอยู่ในวันท่ี ๑๓, ๑๔, ๑๕ เมษายนของทุกปี แต่วันสงกรานต์น้ันคือวันท่ี ๑๓ เมษายน เรียกว่า วันมหาสงกรานต์ วันที่ ๑๔ เปน็ วันเนา วนั ท่ี ๑๕ เป็นวันเถลงิ ศก ความหมายของค้าที่เกีย่ วข้องกบั สงกรานต์ มดี งั นี้ สงกรานต์ ท่ีแปลว่า \"กา้ วขึน้ \" \"ยา่ งขึน้ \" นัน้ หมายถึง การท่ีดวงอาทิตย์ข้ึนสู่ราศีใหม่ อันเป็น เหตุการณ์ที่เกิดข้ึนทุกเดือน ที่เรียกว่า สงกรานต์เดือน แต่เมื่อครบ ๑๒ เดือน แล้วย่างข้ึนราศีเมษอีก จดั เป็นสงกรานต์ปี ถือวา่ เป็นวันขึ้นปีใหมท่ างสุรยิ คตใิ นทางโหราศาสตร์ มหาสงกรานต์ แปลวา่ ก้าวข้ึนหรือยา่ งขนึ้ คร่ึงใหญ่ หมายถงึ สงกรานต์ปี คือปีใหม่อย่างเดียว กลา่ วคอื สงกรานต์หมายไดท้ งั้ สงกรานตเ์ ดือนและสงกรานต์ปี แต่มหาสงกรานต์ หมายถึง สงกรานต์ปี อย่างเดียว วันเนา แปลว่า \"วันอยู่\" ค้าว่า \"เนา\" แปลว่า \"อยู่\" หมายความว่า เป็นวันถัดจากวัน มหาสงกรานต์ เปน็ วันที่ดวงอาทิตย์ย่างสู่ราศี ตั้งแต่ปีใหม่วันเนาเป็นวันที่ดวงอาทิตย์ เข้าที่เข้าทางใน วนั ราศีตงั้ ตน้ ใหมเ่ รยี บรอ้ ยแลว้ คืออย่ปู ระจา้ ท่ีแลว้ วันเถลิงศก แปลว่า \"วนั ขึ้นศก\" เป็นวนั เปลีย่ นจลุ ศกั ราชใหม่ การท่ีเลื่อนวนั ขน้ึ ศกใหม่มาเป็น วันท่ี ๓ ถัดจากวันมหาสงกรานตก์ ็เพือ่ ใหห้ มดปัญหาว่า การย่างขึ้นสู่จุดเดิม ส้าหรับต้นปีน้ันเรียบร้อย ดีไม่มีปัญหาเพราะอาจมีปัญหาติดพันเกี่ยวกับชั่วโมง นาที วินาที ยังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ที่จะเปล่ียน ศก ถ้าเล่ือนวันเถลิงศกหรือวันข้ึนจุลศักราชใหม่มาเป็นวันท่ี ๓ ก็หมายความว่าอย่างน้อยดวงอาทิตย์ ได้ก้าวเข้าสู่ราศีใหม่ไม่น้อยกว่า ๑ องศาแล้ว อาจจะย่างเข้าองศาที่ ๒ หรือท่ี ๓ ก็ได้ ประเพณี สงกรานต์ ถือเป็นประเพณีวันข้ึนปีใหม่ไทย ที่ยึดถือปฏิบัติสืบเนื่องกันมาแต่โบราณ เป็นวัฒนธรรม ประจ้าชาตทิ งี่ ดงาม โดดเด่นและฝังลึกเข้าไปในชีวิตของคนไทยมาช้านาน แม้กระทั่งชาวต่างประเทศ ก็ให้ความสนใจและรู้จักประเพณสี งกรานต์ของไทยเป็นอยา่ งดี ภาคเหนอื วนั มหาสงกรานตข์ องทางเหนือ เรียกว่า “วันสังขารล่อง” หมายถึง เป็นวันสิ้นสุด ศกั ราชเก่า หรือวันส่งท้ายปีเก่า เป็นวันที่ปีเก่าผ่านไป อายุสังขารของแต่ละคนก็ได้ล่วงเลยผ่านพ้นไป

๒๓ อีก ๑ ปี วันที่สองของเทศกาลสงกรานต์ เรียกว่า “วันเนา” เป็นวันที่ชาวบ้านต่างก็จัดเตรียมอาหาร คาวหวาน และสิ่งของต่าง ๆ เพ่ือจะใช้ในการท้าบุญเลี้ยงพระท่ีวัด และแจกให้แก่ญาติพ่ีน้อง เพ่ือน บ้าน ในวันนี้ถือว่าเป็นวันท่ีต้องระมัดระวังไม่ให้มีอารมณ์ขุ่นเคือง โกรธ ห้ามกล่าวค้าหยาบ ด้วยมี ความเชื่อว่าจะเกิดอัปมงคล ท้าสิ่งใดก็ไม่ประสบความส้าเร็จ ไม่เจริญรุ่งเรืองไปตลอดท้ังปี วันท่ีสาม ของมหาสงกรานต์ เรยี กว่า “วนั พญาวนั ” หรือ “วนั เถลิงศก” เป็นวันขึ้นปีใหม่ตามประเพณี ตอนเช้า ชาวบา้ นจะพากนั ไปท้าบุญตกั บาตร เลีย้ งพระทวี่ ดั ถวายทานพระเจดีย์ทรายท่ีก่อไว้ในวันก่อน ท้าบุญ อัฐิบรรพบุรุษ เสร็จแล้วจึงสรงน้าพระพุทธรูป หรือพระพุทธเจดีย์ หรือพระบรมธาติ และพระสงฆ์ (กอ่ งแก้ว วีระประจักษ์, ๒๕๕๒) ภาคกลาง นบั แต่โบราณมา เมอื่ ใกล้จะถงึ วันสงกรานต์ซ่ึงถือกันว่าเป็นวันขึ้นปีใหม่ก่อนถึงวัน งาน ทุกบา้ นจะมกี ารทา้ ความสะอาดบ้านเรือน พรอ้ มท้ังจัดเตรียมสงิ่ ของเครื่องใช้เพื่อการท้าบุญ และ มีการจัดท้าขนมไว้ล่วงหน้าเป็นการเฉพาะส้าหรับเทศกาลสงกรานต์ คือการกวนกะละแมและข้าว เหนียวแดง ซง่ึ เป็นขนมประจ้าเทศกาลสงกรานต์ ขนมท้ังสองอย่างน้ีในสมัยก่อนมีเฉพาะช่วงเทศกาล สงกรานตเ์ ทา่ นั้น (ก่องแก้ว วีระประจักษ์, ๒๕๕๒) ในปัจจุบันทางการได้ประกาศให้วันมหาสงกรานต์ เป็น “วันผู้สูงอายุแห่งชาติ” วันที่ ๑๔ เมษายน เรียก วันเนา รัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ นายกรัฐมนตรใี นสมยั น้นั ไดป้ ระกาศให้เป็น “วันครอบครัว” ส่วนวันที่ ๑๕ เมษายน เรียกว่าวันเถลิง ศก คือวันเริม่ จุลศกั ราช (ทัศนี อุทการ, ๒๕๕๖) ภาคอีสาน เรียกประเพณีสงกรานต์ว่า “บุญสงกรานต์” หรือ“บุญเดือนห้า” เรียกวันท่ี ๑๓ เมษายนว่า “ม้อื สงกรานต์ล่อง” หรือ “มื้อสงกรานต์พ่าย” เรียกวันท่ี ๑๔ เมษายนว่า “มื้อเนา” และ เรียกวันท่ี ๑๕ เมษายนว่า “มื้อสงกรานต์ข้ึน” ชาวอีสานนิยมฉลองสงกรานต์ต่อเนื่องไป๗ วัน บาง แห่งถึง ๑๕ วัน ถือว่าการรื่นเริง มีใจเบิกบานสนุกสนานร่วมกันท้าบุญท้ากุศลในวันสงกรานต์ เป็น นิมติ อันดีทจ่ี ะได้รบั โชคชยั ประสบความส้าเร็จในปใี หม่ ภาคใต้ วันมหาสงกรานต์ ชาวใต้เรียกว่า “วันเจ้าเมืองเก่า” หรือ “วันส่งเจ้าเมืองเก่า” เพราะเชื่อว่าเทวดารักษาบ้านเมืองกลับไปชุมนุมกันบนสวรรค์ วันท่ี ๑๔ เมษายนอันเป็นวันเนา ชาว ใต้เรียกว่า “วันว่าง” วันเนาหมายถึงวันที่พระอาทิตย์โคจรอยู่ระหว่างสองราศี คือ ราศีมีนาและเมษ ซงึ่ เชอื่ กนั ว่าเป็นวันที่ปราศจากเทวดาท่ีรักษาเมือง ดังน้ัน ชาวใต้จะงดงานอาชีพต่าง ๆ แล้วไปท้าบุญ ทีว่ ัด วนั เนาเปน็ วนั ถัดจากวันมหาสงกรานต์และหนา้ วันเถลิงศกจุลศักราช และวันที่ ๑๕ เมษายน อัน เป็น วันพญาวัน หรือ วันเถลิงศก ชาวใต้เรียกว่า “วันเจ้าเมืองใหม่” หรือ “วันรับเจ้าเมืองใหม่” คือ วนั รับเทวดาองคใ์ หมท่ ีไ่ ด้รับมอบหมายใหด้ ูแลเมอื งแทนองค์เดมิ ที่ย้ายไปประจา้ เมอื งอนื่ แล้ว

๒๔ ๑.๒ วัตถุประสงค์ ๑. เพ่ือปกป้องคุ้มครองมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม โดยการรวบรวมและจัดเก็บข้อมูลซ่ึง ชุมชนมีส่วนร่วม อันเป็นการกระตุ้นจิตส้านึกให้เกิดการสงวนรักษามรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม ประเพณีสงกรานต์ใหเ้ ปน็ วฒั นธรรมทม่ี ีชวี ิต ๒. เพ่ือจัดท้าคลงั ข้อมูลมรดกภมู ปิ ัญญาประเพณสี งกรานต์ในขอบเขตประเทศไทย ๓. เพ่ือน้าไปสู่การเสนอขึ้นทะเบียนประเพณีสงกรานต์เป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม ของชาติ และน้าเสนอยูเนสโกใหเ้ ปน็ มรดกภูมปิ ัญญาทางวัฒนธรรมของมนษุ ยชาติเมื่อประเทศไทยเข้า เปน็ ภาคี Convention for the Safeguarding of the Intangible Cultural Heritage ในอนาคต ๑.๓ ขอบเขตในการดาเนนิ โครงการ ใช้ระเบียบวธิ ีการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (action participation research-PAR) และใช้ระเบียบวิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยเลือกกลุ่มเป้าหมายแบบเฉพาะเจาะจง (purposive sampling) เพ่ือท้าการสัมภาษณ์เชิงลึก (depth interview) การประชุมกลุ่มเฉพาะ (focus group) ด้วยรูปแบบการจัดเวทีชาวบ้าน การวิเคราะห์เนื้อหา (content analysis) การวิเคราะห์เอกสาร (documentary analysis) การวิเคราะห์แบบกรณีศึกษา (case study) และการเข้าฝังตัวในชุมชน โดยใช้วิธีการสังเกตแบบมีส่วนร่วม (participatory observation) โดยใช้แนวคิดเชิงนิเวศวิทยา วัฒนธรรมด้วยวิธีการจ้าแนกข้อมูล (typological analysis) และน้าเสนอรายงานในรูปแบบการ พรรณนาความ (descriptive) ตรวจสอบความเช่ือถือของข้อมูลโดยวิธีการแบบสามเส้า (methodological triangulation) ดา้ เนินการเก็บข้อมลู ในพนื้ ทีช่ ุมชนเจ้าของมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมประเพณีสงกรานต์ ในแต่ละภมู ภิ าค ได้แก่ ภาคกลาง เกบ็ รวบรวมข้อมลู ในกรงุ เทพมหานคร จงั หวัดชลบรุ ี จังหวัดสมทุ รปราการ ภาคอีสาน เก็บรวบรวมข้อมูลในจังหวัดอุบลราชธานี จังหวัดขอนแก่น และจังหวัด มหาสารคาม ภาคเหนือ เก็บรวบรวมข้อมูลในจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย และแมฮ่ อ่ งสอน ภาคใตเ้ ก็บรวบรวมข้อมูลในจงั หวดั สุราษฏรธ์ านี สงขลา ภูเก็ต ๑.๔ สถานภาพองคค์ วามรู้/งานวจิ ยั /ทฤษฎที ่ีเก่ียวข้อง ประคอง นิมมานเหมินท์ (๒๕๕๓) ได้อธิบายความเป็นมาของประเพณีสงกรานต์ในประเทศ ไทยวา่ มเี ร่ืองเลา่ เป็นต้านานเป็นท่ีรับรู้กันอย่างแพร่หลายคือเรื่องของธรรมบาลกุมารและกบิลพรหม ส้านวนลายลกั ษณช์ ่อื “เรอื่ งมหาสงกรานต์” จารกึ บนแผ่นศิลาประจา้ รูปเขียนที่วัดพระเชตุพนวิมลมัง คลาราม (พระบาทสมเดน็ พระนงั่ เกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดฯ ให้จารึกไว้ เมื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ จารึกเร่ืองต่าง ๆ ท่ีเป็นความรู้ เช่น เร่ืองเก่ียวกับพระพุทธศาสนา สุภาษิต วรรณคดี ประเพณี สุขภาพอนามัย ประวัติวัดและท้าเนียบต่าง ๆ) ต้านานเรื่องน้ีจารึกบนแผ่นศิลาจ้านวน ๗ แผ่น

๒๕ (ปัจจุบันแผ่นท่ี ๕ หายไป แต่เร่ืองมีพิมพ์ไว้ครบในหนังสือ “ประชุมจารึกวัดพระเชตุพน”) ตอนต้นมี ค้าอธิบายว่า ต้านานเรื่องน้ีมีอยู่ในคัมภีร์ภาษาบาลีของฝ่ายรามัญ ต้านานมหาสงกรานต์มีเน้ือเร่ือง ดงั นี้ เม่ือตน้ ภัทรกลั ป์ เศรษฐีคนหนึ่งไม่มีบตุ ร ตง้ั บ้านอย่ใู กลก้ ับนกั เลงสรุ า นักเลงสุราน้ันมีบุตรอยู่ ๒ คน มีผิวเน้ือดุจทอง วันหน่ึงนักเลงสุราได้เข้าไปสู่บ้านเศรษฐี กล่าวค้าหยาบช้าแก่เศรษฐีต่างๆ เศรษฐไี ดฟ้ งั กก็ ล่าวว่าเรามีสมบตั ิเป็นอนั มาก ไฉนทา่ นจึงหม่ินเรา นักเลงสุราตอบว่า ท่านมีสมบัติมาก ก็จริง แต่หามีบุตรไม่ ถ้าท่านถึงแก่ความตายแล้วสมบัติก็จะเส่ือมสูญเปล่า เรามีบุตรชาย ๒ คน มีผิว ดุจทอง เห็นว่าประเสริฐกว่าท่าน เศรษฐีได้ฟังมีความละอาย จึงบวงสรวงต่อพระจันทร์และพระ อาทติ ย์ และอธิษฐานขอบุตร เวลาผ่านไปถึง ๓ ปีก็ไม่มีบุตร อยู่มาวันหนึ่งในเดือนห้า เป็นช่วงเวลาที่ พระอาทิตย์เคลอ่ื นจากราศีมีนเขา้ สรู่ าศีเมษถอื ว่าเปน็ วันมหาสงกรานต์ คนท้ังหลายมีงานฉลองการตั้ง ต้นปีใหม่ท่ัวชมพูทวีป เศรษฐีได้พาบริวารไปยังต้นไทรริมฝั่งน้าซึ่งมีนกจ้านวนมากอาศัยอยู่ ได้เอา ข้าวสารล้างน้า ๗ คร้ังแล้วหุงบูชารุกขเทวดาประจ้าต้นไทร พร้อมด้วยอาหารหลายอย่าง มีการ ประโคมดุริยางค์ดนตรี แล้วต้ังจิตอธิษฐานขอบุตรจากรุกขเทวดาประจ้าต้นไทร รุกขเทวดามีความ กรุณาเหาะไปขอบุตรจากพระอินทร์ให้แก่เศรษฐี พระอินทร์จึงให้ธรรมบาลเทวบุตรลงมาปฏิสนธิใน ครรภภ์ รรยาเศรษฐี เม่ือคลอดจากครรภ์ บดิ ามารดาตงั้ ชื่อว่าธรรมบาลกุมาร และปลูกปราสาท ๗ ชั้น ให้อยู่ที่ใต้ต้นไทรริมฝ่ังน้านั้น ท้าให้กุมารรู้ภาษานก เม่ือเติบโตขึ้นอายุ ๗ ขวบเรียนไตรเพทจบ ก็ได้ เป็นอาจารย์บอกมงคลการตา่ งๆ แกม่ นุษยท์ งั้ หลายในชมพทู วปี ต่อมาพรหมองค์หนึ่งชอ่ื วา่ กบิลพรหมไดล้ งมาถามปญั หา ๓ ข้อแก่ธรรมบาลกุมาร และพูดกับ ธรรมบาลกุมารว่า ถ้าท่านแก้ได้เราจะตัดศีรษะเราบูชาท่าน ถ้าท่านแก้ไม่ได้เราจะตัดศีรษะท่านเสีย ธรรมบาลกุมารขอผัด ๗ วัน กบิลพรหมกลับไปยังพรหมโลก ฝ่ายธรรมบาลกุมารพิจารณาปัญหาน้ัน เวลาผ่านไปได้ ๖ วันแล้วยังไม่ทราบค้าตอบ คิดว่าวันรุ่งขึ้นจะตายด้วยอาชญาท้าวกบิลพรหมน้ัน คิด จะหนไี ปซ่อนตวั จงึ ลงจากปราสาทไปนอนอย่ใู ตต้ ้นตาลสองตน้ ขณะนั้นมีนกอินทรีย์สองตัวผัวเมียท้ารังอยู่บนต้นตาลนั้น ธรรมบาลกุมารได้ยินนกอินทรีย์ เมยี ถามนกอินทรีย์ผัวว่า พรุ่งน้ีเราจะไปอาหารท่ีไหนกัน นกอินทรีย์ผัวตอบว่าพรุ่งนี้ครบ ๗ วันที่ท้าว กบลิ พรหมถามปัญหาธรรมบาลกมุ าร ถ้าธรรมบาลกุมารแกไ้ มไ่ ด้ ทา้ วกบิลพรหมก็จะตัดศีรษะเสีย เรา จะได้กินมนุษยเ์ ป็นอาหาร นางนกอินทรีย์เมียถามว่า เจ้ารู้จักปัญหานั้นหรือไม่ นกอินทรีย์ผัวตอบว่ารู้ แล้วก็เลา่ ใหน้ กอนิ ทรยี ์เมยี ฟังแต่ต้นจนจบ ธรรมบาลกมุ ารนอนอยู่ใตต้ ้นไมไ้ ดย้ นิ ก็จ้าได้ มีความโสมนัส เป็นอันมากจึงกลบั มาสูเ่ รือนของตน คร้ันครบ ๗ วัน ท้าวกบิลพรหมลงมาถามปัญหา ธรรมบาลกุมาร ตอบปญั หาตามนกอนิ ทรยี ก์ ลา่ วนน้ั ท้าวกบลิ พรหมจา้ เป็นต้องตดั ศรี ษะของตน จึงเรียกธิดา ๗ นาง ซ่ึง เป็นบริจาริกาของพระอินทร์ให้มาพร้อมกันแล้วก็บอกว่า เศียรของตนซึ่งตัดออกบูชาธรรมบาลกุมาร น้ัน ถ้าต้ังไว้บนแผ่นดินก็จะเกิดไฟไหม้ท่ัวโลกธาตุ ถ้าท้ิงขึ้นไปบนอากาศฝนก็จะแล้ง ถ้าทิ้งใน

๒๖ มหาสมทุ รน้ากจ็ ะแหง้ ให้ธิดาทั้ง ๗ เอาพานมารับเศยี รของตน แลว้ ทา้ วกบลิ พรหมก็ตัดเศียรส่งให้นาง ทุงษะบตุ รคนโต ในขณะนั้นโลกธาตกุ เ็ กิดโกลาหลย่งิ นกั เม่ือนางทุงษมหาสงกรานต์เอาพานรับเศียรท้าวกบิลพรหมผู้เป็นบิดาให้เทพท้ังหลายแห่ ประทักษิณเวียนรอบเขาพระสุเมรรุ าช ๖o นาทแี ล้วก็เชญิ เข้าประดิษฐานในมณฑป ณ ถ้าคันทชุลี เขา ไกรลาศ กระท้าบูชาด้วยเครื่องทิพย์ต่าง ๆ พระเวศุกรรมได้นฤมิตโรงประดับด้วยแก้ว ๗ ประการช่ือ ภัควดีให้เทพยดาและนางฟ้าน่ัง ฝ่ายเทพยดาก็น้าเถาฉนุมุนาศมาล้างน้าในอโนดาตสระ ๗ ครั้ง แล้ว แจกกันสังเวยทุก ๆ องค์ ครั้นถึงก้าหนดครบ ๓๖๕ วัน มนุษย์สมมติว่าเป็นปีหน่ึง เป็นวันสงกรานต์ นางเทพธดิ าทงั้ ๗ องค์ กท็ รงเทพพาหนะต่าง ๆ ผลัดเวรกันมาเชิญเศียรท้าวกบิลพรหมออกแห่พร้อม ด้วยเทวดาจ้านวนแสนโกฏิประทักษิณรอบเขาพระสุเมรุแล้วก็กลับไปเทวโลก เป็นเช่นนี้ทุกปี ใน ส้านวนที่เป็นเร่ืองเล่าบางส้านวนเล่าว่า มีการใช้น้าช้าระล้างศรีษะท้าวกบิลพรหมทุกครั้งก่อนจะน้า ประดษิ ฐานไวใ้ นถ้า (ประคอง นิมมานเหมนิ ท์, อ้างแล้ว) ในเร่ืองต้านานที่รัชกาลท่ี ๓ โปรดฯ ให้จารึกไว้ในแผ่นศิลา ๗ แผ่น ติดไว้ท่ีศาลารอบพระ มณฑปทิศเหนือ ในวัดพระเชตุพนฯ หรือวัดโพธ์ินั้น ทัศนี อุทการ (๒๕๕๖) ได้อธิบายไว้ว่า นาง สงกรานตเ์ ป็นนางฟา้ บนสวรรคช์ ้ันจาตมุ หาราชกิ า ซ่ึงเป็นสวรรค์ชั้นต่้าสุด มีด้วยกัน ๗ องค์เป็นพี่น้อง กัน และต่างก็เป็นบาทบริจาริกา แปลว่า นางบ้าเรอแทบเท้า หรือเรียกง่ายๆว่า เป็น”เมียน้อย”ของพระ อินทร์ จอมเทวราช และเป็นธิดาของท้าวกบิลพรหมในต้านาน มีช่ือตามแต่ละวันในสัปดาห์คือ วัน อาทิตย์ช่ือ นางทุงษะ วันจันทร์ช่ือ นางโคราคะ วันอังคารช่ือ นางรากษส วันพุธชื่อ นางมณฑา วัน พฤหัสบดีช่ือ นางกริ ิณี วันศุกร์ชื่อ นางกิมิทา วันเสาร์ชื่อ นางมโหทรโดยนางสงกรานต์แต่ละองค์จะมี พาหนะทรงต่างกัน ตามล้าดับแต่ละวัน คือ นางทุงษะขี่ครุฑ นางโคราคะข่ีเสือ นางรากษสขี่หมู นาง มณฑาขลี่ า นางกิรณิ ขี ่ชี ้าง นางกิมิทาขคี่ วาย และนางมโหทรข่นี กยูง ซ่ึงสตั ว์ทเี่ ป็นพาหนะทรงจะมิใช่ปี นักษัตรของปนี ้ันๆ ตามที่หลายคนเข้าใจผิด ในอดีตเม่ือใกล้สงกรานต์หรือวันสงกรานต์ จะมีสัตว์ชนิดหนึ่งท่ีคนแต่ก่อนเรียกว่า ”ตัว สงกรานต์” เป็นส่ิงมีชีวิตลักษณะคล้ายไส้เดือน แต่เล็กขนาดเส้นด้าย ยาวประมาณ ๒ น้ิว มีสีเล่ือม พราย เป็นสีเขียว เหลอื ง แดง มว่ ง เปลี่ยนสไี ปได้เรอื่ ยๆ จะอยกู่ ันเป็นฝูงในแม่น้าล้าคลอง เมื่อกระดิก ตัวว่ายน้าจะท้าให้เกิดประกายสีต่างๆ สวยงามแปลกตา ถ้าจับพ้นน้า สีจะจางหายไป ตัวจะขาดเป็น ทอ่ นเล็กๆ และเหลวละลาย ปจั จบุ ันเขา้ ใจว่าน่าจะสูญพนั ธ์ไุ ปแลว้ ส้าหรับมูลเหตุของการก่อเจดีย์ทราย มีเร่ืองเล่าว่าพระเจ้าปเสนทิโกศลได้เสด็จไปยังเมืองสา วัตถีพร้อมบริวาร ได้เห็นหาดทรายขาวบริสุทธิ์ก็เกิดจิตศรัทธาก่อทรายเป็นเจดีย์ ๘ หมื่น ๔ พันองค์ แลว้ อุทศิ เป็นพทุ ธบูชา ธรรมบูชา และสงั ฆบูชา เม่ือพระองค์ไปเฝา้ พระพทุ ธเจ้าก็ได้ทูลถามถึงอานิสงส์ การก่อเจดียท์ รายดัง กล่าว พระพทุ ธเจ้าตรสั ว่า การท่ีมีจิตเลื่อมใสศรัทธาก่อเจดีย์ทรายถึง ๘ หมื่น ๔ พันองค์หรือเพียงองค์เดียวก็ได้อานิสงส์มาก คือ จะไม่ตกนรกหลายร้อยชาติ ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ก็จะ

๒๗ เพียบพร้อมไปด้วยยศถาบรรดาศักด์ิ มีบริวารและเกียรติยศช่ือเสียง หากตายก็จะได้ข้ึนสวรรค์ พร่ัง พร้อมด้วยสมบัติและมีนางฟ้าเป็นบริวาร ด้วยอานิสงส์ดังกล่าวจึงท้าให้คนโบราณนิยมก่อเจดีย์ทราย เป็นประเพณีมาจนทุกวันน้ี (ทศั นี อทุ การ, อา้ งแลว้ ) นอกจากนี้นิยะดา เหล่าสุนทร (๒๕๕๖) ได้กล่าวถึงความเป็นมาของสงกรานต์จากนิทาน เร่ืองต้านานสงกรานต์ ซึ่งอ้างมาจากจารึกเรื่องมหาสงกรานต์ ในประชุมจารึกวัดพระเชตุพนไว้ด้วย เช่นกัน ดงั ความท่นี ยิ ะดา เหล่าสุนทรได้คดั ลอกและช้าระไว้ ดังนี้ เร่อื งมหาสงกรานต์น้ีมีพระบาลีฝ่ายรามัญว่า เม่ือต้นภัทธกัปอันน้ี มีเศษฐีคนหน่ึงหาบุตร์มิได้ อย่บู ้านใกลก้ ับนักเลงสรุ าๆ นนั้ มีบตุ รสองคนมีผิวเน้ือดุจทอง วันหน่ึงนักเลงสุรานั้นเข้าไปสู่บ้านเศษฐี กล่าวค้าหยาบช้าแก่เศษฐีต่างๆ เศษฐีได้ฟังจึงกล่าวว่าเรามีสมบัติเปนอันมาก ไฉนท่านจึงหม่ินเรา นกั เลงสุราจงึ ตอบว่า ท่านมีสมบัติมากก็จิงแต่หามีบุตร์ไม่ ถ้าท่านถึงแก่ความตายแล้วสมบัติก็จะเสื่อม สญู เปลา่ เรามบี ุตรช์ ายสองคน มีฉวีวรรณดุจทองเหนวา่ ประเสรอฐกว่าท่าน เศษฐีได้ฟังก็มีความลอาย จงึ บวงสรวงแก่พระจนั ท์ พระอาทติ ย์ ตั้งอธิทฐานขอบตุ ร์ถึง ๓ ปี ก็มไิ ดบ้ ุตร์ แผ่นทส่ี อง ว่าเม่ือเศษฐีขอบุตร์แก่พระจันท์ พระอาทิตย์มิได้แล้ว วันหน่ึงเปนคิมหันตระระดู เจตมาศ ชนทังหลายเล่นนักขัตฤกษ์ต้นปีใหม่ท่ัวชมพูทวีป คือพระอาทิตย์ออกจากราษีรมัญประเวศสู่ เมศราษี โลกย์สมมุติว่าวันสงกรานต์ ขณะน้ันเศษฐีจ่ึงภาบริวารไปยังต้นไทรย์ริมฝ่ังน้า อันเปนท่ีอยู่ แห่งปักษาชาตทิ ังหลาย จึงเอาข้าวสารลา้ งน้า ๗ ครั้ง แลว้ หงู ข้ึนบูชารุกข์ไทรย์ พร้อมด้วยสุปเพยญน้า หรร๒ แล้วประโคมดุริยางค์ ดลตรี ตั้งอธิทฐานขอบุตร์แก่รุกข์พระไทรย์ๆ ก็มีความกัรรูณาเหาะไปขอ บุตร์แกพ่ ระอนิ ท์ เพ่อื จะใหแ้ กเ่ ศษฐี แผน่ ทสี่ าม วา่ รกุ ขพ์ ระไทรย์ขอบุตรแ์ ก่พระอินท์ๆ จ่ึงใหธ้ รรมบาลเทวบุตร์ลงปติสนธิในครรภ์ เศษฐี...ก็คลอดจากครรภ์บิดามานดา ให้ช่ือธรรมบาลกุมาร จึ่งปลูกปราสาท ๗ ช้ันให้กุมารอยู่ท่ีใต้ต้น ไทรย์ริมฝั่งน้านั้น ครั้นกุมารเจรอญข้ึนก็รู้ภาษานก แล้วเรียนไตรเพทจบเม่ืออายุศม์ได้ ๗ ขวบ ก็ได้ เปนอาจาริย์บอกมงคลต่างๆ แก่มนุษทังปวงทัวชมพูทวีป ในขณะนั้นโลกย์ทังหลายก็นับถือท้าว มหาพรหม และกระบลิ พรหมองคห์ นงึ่ ไดส้ ้าแดงมงคลการแกม่ นษุ ทงั ปวง แผ่นสี่ ว่าเมื่อกระบิลพรหมแจ้งเหตุนั้น จึงลงมาถามปัณหา ๓ ข้อ แก่ธรรมบาลกุมารให้มา ตัดศีศะเราบูชาท่าน ถ้าท่านแก้มิได้เราจะตัดศีศะท่านเวียนมหาสมุท ๗ วัน กระบิลพรหมก็กลับไปยัง พรหมโลกย์ ฝ่ายธรรมบาลกุมารพิจารณาปัณหาน้ันล่วงไปได้ ๖ วันแล้ว ยังไม่เหนอุบายจึงคิดว่าวัน พรุ่งนี้เราจะตายด้วยท้าวกระบิลพรหมหาต้องการไม่จ้าจะหนีไปซุกซ้อนตายเสียดีกว่า คิดแล้วลงจาก ปราสาทเท่ียวไป นอนอยู่ใต้ต้นตาลสองต้น มีนกอินทรียสองตัวผัวเมียท้ารังอาไศรย์อยู่บนต้นตาลน้ัน แผ่นห้า ครั้นเวลาค่้านางนกอินทรถามสามีว่าพรุ่งน้ีจะได้อาหารแห่งใด สามีบอกว่าจะได้กิน ศพธรรรมบาลกุมาร ซ่ึงท้าวกบิลมหาพรหมจะฆ่าเสีย เพราะทายปัญหาไม่ออก นางนกถามว่าปัญหา น้ันอย่างไร สามีจึงบอกว่าเช้าศรีอยู่หน้า มนุษย์ทังหลายจึงเอาน้าล้างหน้า ข้อหน่ึงเวลาเท่ียงอยู่อก

๒๘ มนุษย์ทังหลายจึงเอาเคร่ืองหอมประพรมท่ีอก ข้อหน่ึงเวลาอัสดรศรีอยู่เท้า มนุษย์ทังหลายจึงเอาน้า ล้างเทา้ ธรรมบาลกุมารไดย้ นิ ดังนนั้ กก็ ลบั ไปปราสาท แผน่ หก วา่ ครั้นวารเปนเคารพ ๗ ท้าวกระบลิ พรหมถามปณั หา ๓ ข้อ แก่ธรรมบาลกุมารๆ ก็ วสิ ชั นาปัณหาตามนกอนิ ทรียก์ ล่าวน้นั ทา้ วกระบิลพรหมกต็ รสั เรียกเทวธิดาทัง ๗ อันเปนบริจาริกพระ อินท์ คือ นางทงษ ๑ นางรากษ์ ๑ นางโคระ ๑ นางมนทากิณี ๑ นางมณฑา ๑ นางมิศระ ๑ นาง มโหธระ ๑ อนั โลกย์สมมุติว่าองค์มหาสงกรานต์กับเทพบรรพสัชมาพร้อมกันแล้ว ท้าวกระบิลพรหมก็ บอกว่าพระเศียรเราน่ีจะตัดออกบูชาธรรมบาลกุมารบัดนี้ ถ้าต้ังไว้ยังแผ่นดินก็จะเปนไฟไหม้ท่ัวโลกย์ ธาตุ ถ้าจะทิ้งขึ้นบนอากาษ ฝนก็จะแล้ง ถ้าจะท้ิงในมหาสมุท น้าก็จะแห้ง เจ้าทั้ง ๗ จึงขอภารมารับ เศียรบิดาแล้ว ท้าวกระบิลพรหมก็ตัดเศียรส่งให้นางมลกิณีบุตรีผู้ใหญ่ ในขณะน้ันโลกธาตุ ก็เกิด โกลาหลย่ิงนกั แผ่นเจด ว่าเมื่อนางทงษมหาสงกรานต์เอาภานรับพระเศียรท้าวกระบิลพรหมบิดา แล้วให้ เทพบริษัทแห่ประทักษิณเวียนรอบเขาพระสุเมรุราช ๖๐ นาที แล้วก็เชิญเข้าประดิษถานไว้ในมณฎป ณ ถ้าคันท์ชุลี เขาไกรลาส กระท้าบูชาด้วยเครื่องทิพยต่างๆ แล้ว พระเวศุกรรมก์นฤมิตรโรงแล้วด้วย แก้ว ๗ ประการชื่อ ภัควะดีให้เทพยดา แลนางฟ้าน่ังแล้ว เทพยดาก็น้าซ่ึงเภาฉนุมุนาศลงล้างน้าใน อโนดาตสระ ๗ ครั้ง แล้วแจกกันสังเวยทุกๆ พระองค์ ครั้นถึงวารก้าหนดครบ ๓๖๕ วัน โลกสมมุติว่า ปี ๑ เปนวันสงกรานต์ธิดาท้ัง ๗ องค์ ทรงเทพพาหนต่างๆ ผลัดเวรกันมาเชิญพระเศียรท้าวกระบิล พรหมออกแห่กับด้วยเทพบรรษัทแสนโกฏิประทักษิณเขาพระสุเมรุราชบรรพตทุกปีแล้วก็กลับไปเทว โลกย์ จบเรอื่ งมหาสงกรานตเ์ ท่านี้ อยา่ งไรกต็ ามนิยะดา เหล่าสนุ ทร (อ้างแล้ว) ได้อธิบายเพ่ิมเติมว่าที่มาของต้านานสงกรานต์น้ี จะเป็นท่ีมาแหล่งเดียวท่ีทุกคนรู้จัก กล่าวถึง อ้างถึงตลอดมา โดยไม่มีการค้นคว้าเพ่ิมเติมอย่างใดเลย และดจู ะเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางโดยไม่มีการอ้างถึงแหล่งท่ีมา ยิ่งประกอบกับได้จารึกลงในแผ่น ศิลาที่วดั พระเชตุพนฯ ดว้ ยแล้วก็ย่งิ ทวคี วามนา่ เชื่อถือยง่ิ ขน้ึ หลายประเด็นท่ีไม่น่าจะเป็นพระบาลีข้าง รามัญ แต่น่าจะเปน็ ลักษณะเร่ืองฝา่ ยพราหมณม์ ากกวา่ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยูหัวทรงเป็นพระองค์แรกที่วิจารณ์ว่าท่ีมาของเร่ืองนี้ เลอะเทอะ ไม่น่าเชื่อถือ แม้แต่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ไม่ทรงเชื่อถือ จึงโปรดให้น้าไป จารกึ ไว้ท่ีศาลารายข้างหลงั วดั ดังความทีว่ ่า ข้อซ่ึงอ้างว่าเรื่องน้ีมีในพระบาลีดูไม่มีเค้ามูลอันใดท่ีจะ เก่ียวข้องเข้าไปได้ ในพระพุทธศาสนาแต่สักนิดหน่ึงเลย แต่การท่ีอ้างไว้ว่าพระบาลีฝ่ายรามัญน้ัน ประสงค์จะให้รู้ว่าเป็นการช่ังเถอะ ด้วยมีเร่ืองราวตัวอย่างท่ีได้ฟังเล่าบอกมา ว่าพระบาทสมเด็จพระ นั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเก็บหนังสือประเทศต่างๆ แต่งเป็นภาษามคธ สุดแต่อ้างว่าเป็นบาลีหรืออรรถ กถาฎีกาโยชนาอย่างใดไม่ว่ามีอยู่แล้วให้มาถวายเทศนาเวรในคราวรอบใหญ่ตลอดทุกอย่าง พระราช วิจารณ์ดังกล่าวแสดงวา่ รชั การที่ ๕ ทรงไมเ่ ช่ือถอื ท่ีมาดังกลา่ ว (นิยะดา เหลา่ สนุ ทร, อา้ งแลว้ )

๒๙ ในสมัยอยุธยา ก็มีบันทึกเร่ืองเล่าในท้านองนี้ คือมีการถามปัญหาถึงเร่ืองสิริ ถึงกับมีเดิมพัน ถึงชีวิต อยู่ในวรรณคดีประเภทหน่ึงซึ่งเรียกว่าปกรณัม ซึ่งเป็นนิทานสุภาษิต มีที่มาจากนิทานอินเดีย และนิทานเปอร์เซีย เป็นเรื่องเล่าแต่โบราณ ลักษณะของเรื่องเป็นนิทานซ้อนนิทาน เล่าต่อๆ ไป ส่วน ใหญจ่ ะสมมตใิ ห้ตัวละครเป็นสตั ว์ ยกสุภาษิตสงั่ สอนกัน ปกรณมั เข้ามามีบทบาทในวรรณคดีไทยตั้งแต่ สมัยอยุธยา ปกรณัมมดี ้วยกนั ๕ เรื่อง ไดแ้ ก่ นิทานสบิ สองเหลีย่ ม ปักษีปกรณัม ปีศาจปกรณัม เวตาล ปกรณัม นนทกุ ปกรณัม และหโิ ตปเทศวัตถุปกรณัม ในปกรณัมทั้ง ๕ เรื่องน้ีจะเกี่ยวข้องกับบทความน้ีก็คือปักษีปกรณัม และนิทานซ้อนนิทานที่ ส้าคญั ก็คือนทิ านล้าดบั ท่ี ๒๒ ซึ่งขอคดั ลอกมาดงั น้ี (อา้ งไว้ในนิยะดา เหลา่ สนุ ทร, อา้ งแล้ว) ณะกาลก่อนมีเทพยดา ๒ องค์อยู่สา้ หรับโลก องค์ ๑ ช่อื ว่าเทวพรหมา องค์ ๑ ช่ือโลกพรหมา แลเทวบุตรทง้ั สองมาพบกนั จงึ เทวพรหมาถามอรรถปญั หาปฤศนา ๘ ประการแกโ่ ลกพรหมา ในอรรถปัญหาปฤศนาค้ารบ ๑ บุรุษอันเกิดมาในโลกนี้จะสมัครสโมสรด้วยมาตุคามนั้นดังฤา จะควรใหเ้ ทวดารกั ษา ค้ารบ ๒ นั้นวา่ บรโิ ภคอาหารจะบา่ ยหน้าไปทศิ ดังฤา จะควรใหเ้ ทวดารกั ษา คา้ รบ ๓ น้ันวา่ เม่อื จะถา่ ยอจุ จาระจะบ่ายหน้าไปทิศดงั ฤา จะควรให้เทวดารกั ษา ค้ารบ ๔ น้นั วา่ เมื่อจะไสยาสนด์ ้วยสัตรี จะไสยาสน์ดงั ฤา จะควรให้เทวดารักษา คา้ รบ ๕ น้ันว่า เมื่อเวลากลางวนั กลางคนื กด็ ี จะนุ่งดังฤา จะควรให้เทวดารักษา ค้ารบ ๖ นั้นวา่ เวลารุ่งเช้าอษุ าโยค สริ อิ ยู่ในตวั มนษุ ย์ที่ใด ค้ารบ ๗ นั้นว่า เวลาเท่ียงสิริอยู่ในสถานท่ีใด จึงจะให้บังเกิดสิริ จึงเทวดาที่ถือสิริจะอวยพร แลว้ จะเขา้ อยูร่ ักษา คา้ รบ ๘ ประการอยู่สา้ หรับโลกนี้ แลท่านอยู่รักษาโลกทั้งปวง ท่านจงวิสัชนาไปให้ฟังในกาล บดั นี้ เทอญ โลกพรหมาจึงทูลแก่เทวพรหมาว่า อรรถปัญหาปฤศนาข้าพเจ้าวิสัชนายังไม่ได้ก่อน แลเทว พรหมจึงว่าท่านแก้ปัญหาปฤศนาเรามิได้ไซร้ เราจะตัดศีร์ษะท่านเสียบัดนี้ โลกพรหมาจึงทูลว่า ข้าพเจ้าขอผัดไปตรึกตรองไต่ถามสัก ๗ วนั ก่อน เทวพรหมาก็ว่าแกโ่ ลกพรหมาว่า ท่านจงเร่งตรึกตรองไต่ถาม คร้ันถ้วน ๗ วัน เราจะลงมา ถ้าท่านแก้อรรถปัญหาปฤศนาของ เรามไิ ด้ไซรเ้ ราจะตดั ศีร์ษะท่านประจานไวใ้ นโลก โลกพรหมาสดุ้งตกใจกลัวย่ิงนัก จึงไปเท่ียวถามอรรถ ปัญหาปฤศนาแก่เทวดาอันอยู่รักษาโลก แลเทวดาทั้งหลายก็บอกว่า ท่ีจะแก้อรรถปัญหาปฤศนา ๘ ข้อน้ี ไม่มีใครจะวิสัชนาได้แล้ว แต่โลกพรหมาเที่ยวไต่ถามอรรถปัญหาปฤศนาอยู่ ๖ วัน จะหาผู้ใด วิสชั นาแก้ปัญหานไ้ี ม่ได้ พอเวลาค้่าโลกพรหมาไปพบพฤกษาต้น ๑ ใหญ่พิศาล บนต้นไม้มีนกอินทรีแม่ ลกู อาศัยท้ารงั อยูด่ ้วย โลกพรหมาก็เข้าอยทู่ ีต่ น้ พฤกษามีความทุกข์ย่ิงนัก พอเวลาค่้าลงแม่นกอินทรีไป เที่ยวหาเหย่ือกลับมาลูกนกจึงว่าท่านไปหาเหย่ือวันยังค่้าไม่ได้อะไรสักหน่อยหน่ึงมาฝากข้าบ้างเลย แม่นกจึงว่าวันนี้แม่เที่ยวหาเหยื่อมาฝากเจ้าก็ขัดสนนัก แม้แม่จะกินก็ไม่มี เจ้าจงอดอยู่สักเวลา ๑ ต่อ พรุ่งนี้แมจ่ งึ จะหามาให้เจ้ากิน ลูกนกจึงถามว่าแม่จะหาเหยื่อที่ไหนมาให้ข้าเล่า แม่นกจึงบอกว่าพรุ่งนี้ เทวพรหมาจะฆ่าโลกพรหมาเสีย แม่จะได้เอาเนื้อโลกพรหมาน้ันมาฝากเจ้า ลูกนกจึงถามว่า เทว

๓๐ พรหมาจะฆ่าโลกพรหมาด้วยเหตุใด แม่นกจึงบอกว่าเทวพรหมาถามอรรถปัญหาปฤศนา ๘ ประการ แก่โลกพรหมา ๆ แก้ไม่ได้ เทวพรหมาจึงจะฆ่าโลกพรหมาเสียด้วยความฉน้ี ลูกนกจึงถามอรรถ ปัญหาปฤศนานน้ั ประการใด แม่นกจงึ ตอบวา่ มิใชว่ ิสัยของเจ้า ลูกนกจึงอ้อนวอนว่า มารดาจงบอกให้ ขา้ รู้ แมน้ มิบอกอรรถปัญหาปฤศนา ๘ ประการให้ข้ารู้ไซร้ ข้าจะกลั้นใจตายเสียเด๋ียวน้ี แม่นกกลัวลูก จะถึงความตาย ก็บอกอรรถปัญหาปฤศนา ๘ ประการให้ลูกฟัง สิริ ๘ ประการส้าหรับบุรุษในโลก ถ้า บุรุษผู้ใดรักษาสิริ ๘ ประการน้ีได้ เทวดาเปนสิริให้พรแล้วก็อยู่รักษาผู้นั้น ถ้าบุรุษผู้ใดไม่ท้าตามสิริ ส้าหรับโลก ๘ ประการนี้ เทวดาอันเปนกาลกิณีก็จะสาปบุรุษผู้น้ันๆ ก็จะถอยจากยศศักดิมงคล แล ความรทู้ ัง้ ปวงกส็ ญู ไปสิ้น แม่นกอินทรีจึงบอกลูกว่า อรรถปัญหาปฤศนาเปนประถมเบ้ืองต้นนั้น ให้บุรุษเว้นจากกาม คณุ ในวัน ๗ ค่้า ๑๔ ค่้า ๑๕ ค้่า แลวันตรุษวันสงกรานต์ แลวันสุริยุปราคา แลวันจันทรุปราคา แลวัน เกดิ ของอาตมา ถ้าบรุ ุษผ้ใู ดท้าได้ดงั นแี้ ล้ว เทวดกจ็ ะรกั ษาผนู้ ้นั เปนสริ อิ วยพรใหแ้ ลว้ จะเขา้ อยู่รักษา ค้ารบ ๒ ว่า ถา้ บรุ ุษผ้ใู ดจะบรโิ ภคอาหารใหบ้ า่ ยหน้าไปส่บู รุ พทิศแลเทวดาอันเปนสิริจะให้พร จะเข้าอยรู่ กั ษาผนู้ ั้น ค้ารบ ๓ ว่า ถ้าบุรุษผู้ใดจะถ่ายอุจจาระให้บ่ายหน้าไปสู่ปัจฉิมทิศ เทวดาอันเปนสิริจะให้พร จะเข้าอยูร่ ักษาผู้นั้น ค้ารบ ๔ ว่า ถ้าบุรุษผู้ใดจะเข้านอนด้วยสตรีภาพให้สตรีภาพนอนเบื้องซ้าย แล้วอย่าให้สตรี ข้ามเท้า เทวดาอันเปนสิริจะให้พรแลว้ จะเขา้ อยรู่ กั ษาบรุ ุษผู้น้นั ค้ารบ ๕ วา่ ถ้าบุรษุ ผู้ใดจะนอนใหร้ จู้ ักผา้ นุง่ กลางวันแลกลางคืน ห้ามอย่าให้นุ่งรวมกัน ถ้าจะ น่งุ ให้หมายชายพกไว้ เทวดาอนั เปนสริ ิจะใหพ้ รแลว้ จะเข้าอยรู่ ักษาบรุ ษุ ผนู้ ้ัน ค้ารบ ๖ ว่า เวลาอุษาโยค สิริอยู่หน้าผากและพรหมทวาร ครั้นเวลาเช้าให้เอาน้าล้างหน้า พรหมทวาร จะใหบ้ ังเกิดสริ ิ เทวดาอนั เปนสิรจิ ะใหพ้ รแลว้ จะเขา้ อยรู่ ักษาบุรษุ ผ้นู ัน้ ค้ารบ ๗ ว่า เวลาเท่ียงสิริอยู่อกแลหว่างทรวง ให้เอาน้าประพรมทรวงตรงหทัยจะบังเกิดสิริ เทวดาอนั เปนสิริจะใหพ้ รแลว้ จะเข้าอย่รู กั ษาผนู้ ั้น ค้ารบ ๘ ว่า เวลาค้่าสิริอยู่แม่เท้าแลกลางใจเท้า เมื่อจะเข้าไสยาสน์ให้เอาน้าช้าระเท้าแล กลางใจเท้า เทวดาอันเปนสิริจะให้พรแล้วจะเข้าอยู่รักษาผู้นั้น แลทาสกรรมกร ศัตรูท้ังปวงจะคิดท้า ร้ายมไิ ด้ ถ้าผู้ใดคดิ ร้ายกด็ ลใจให้บุรุษผู้นั้นรู้เอง สิริ ๘ ประการนี้ถ้าบุรุษผู้ใดรักษาได้ เทวดาอันเปนสิริ จะให้พร และจะเข้าอยู่รักษาเหมือนเทวดาแลมนุษย์ ถ้าผู้ใดมิได้รักษาสิริ ๘ ประการนี้ไซร้ เทวดา อนั เปนกาลกิณที ราบแล้ว ก็จะเข้าอย่รู ักษาบรุ ษุ ผนู้ ้นั ให้เปนคนอปั ภาคถอยอายทุ ัว่ โลกนแี้ ล แม่นกอินทรีจึงบอกแก่ลูกนกว่า เจ้าจงรู้สิริ ๘ ประการน้ีเถิด ลูกนกจึงถามว่า ถ้าบุรุษผู้ใด รักษาสิริ ๘ ประการอยู่แล้ว แลมีโมหะก้าบัง มีน้าใจละเมินความเพียรเสียมิได้รักษา สิริอัปภาคย์ไป ครน้ั สติกลับคนื มาจะรักษาสริ ติ ่อไปยงั จะได้ฤา ฤาวา่ บรุ ุษผ้นู น้ั ไดก้ ระท้าความเพียรเชื่ออยู่แล้วแลมาละ ความเพียรเสียมิเช่ือเล่า ภายหลังกลับคืนมาเชื่ออีก จะรักษาสิริเหมือนแต่ก่อน เห็นว่าบุรุษผู้น้ันกลัว จะถอยสิรๆิ ยงั จะเข้ามาสวมตวั บรุ ษุ ผู้นน้ั เหมือนกอ่ นฤา แลเทวดาอนั เปนสิริน้ันยังจะกลับมาเข้ารักษา บรุ ษุ ผ้นู ้นั ฤามิได้ แม่นกจึงว่า บุรุษผู้ใดรักษาสิริแล้วละสิริเสีย ครั้นได้สติก็กลับมารักษาสิริต่อไป สิริก็กลับมา สวมตวั บุรุษผู้นัน้ เหมอื นแต่ก่อน

๓๑ ฝ่ายวา่ โลกพรหมาอยู่ใต้ต้นพฤกษานั้น ได้ยินลูกนกอินทรีถามปัญหาปฤศนา ๘ ประการนั้นก็ จะได้ คร้นั รุ่งข้ึนเปนวันคา้ รบ ๗ โลกพรหมาไปคอยเทวพรหมาอยู่ คร้นั ถงึ เวลาสัญญากนั เทวพรหมาก็ ลงมาเหน็ โลกพรหมาคอยอยู่ เทวพรหมาจึงถามว่า ท่านคิดปัญหาปฤศนาได้แล้วฤา โลกพรหมาจึงทูล ว่า ข้าพเจ้าคดิ ได้แลว้ โลกพรหมาแก้ไขปญั หาปฤศนา ๘ ประการให้เทวพรหมาฟัง เหมือนได้ยินมาแต่ ส้านักนกอนิ ทรีน้นั แล้วเทวพรหมาก็รอ้ งสาธกุ ารสรรเสริญว่าจงรักษาโลกอย่าประมาท ถ้าผู้ใดท้าตอบ ทา่ นๆ จงรกั ษาผ้นู น้ั เถิด แล้วเทวพรหมากค็ นื ไปยังสถานที่อยู่ของตนเเล ความคลา้ ยคลึงของนทิ าน ๒ เรื่องในประชุมจารึกวดั พระเชตุพน และในปักษีปกรณัม เห็นได้ ชัดเจน เว้นแตจ่ ะมปี ระเด็นปลกี ย่อยเท่านน้ั ในทรรศนะของผู้เขียนเรื่องปักษีปกรณัมเป็นเร่ืองเก่ากว่า ในประชุมจารึกวัดพระเชตุพน และคงเป็นเร่ืองท่ีรู้จักกันอย่างแพร่หลาย หากจะว่าสรุปเร่ืองต้านาน สงกรานต์ไม่น่าจะมาจาก \"พระบาลีฝ่ายรามัญ\" หากมาจากนิทานหรือเร่ืองเล่าท่ีแพร่หลายในสมัย อยธุ ยาแล้ว ดังมีหลักฐานในปักษีปกรณัมแล้ว แต่ทั้งน้ีมิได้หมายความว่า ประชุมจารึกวัดพระเชตุพน จะตอ้ งมาจากปกั ษปี กรณัมโดยตรง แต่อาจจะมาจากเรื่องเล่าก่อนหน้าปักษีปกรณัมก็ได้ ปักษีปกรณัม เป็นตัวอย่างท่ีแสดงถึงการแพร่กระจายของเร่ืองดังกล่าว แต่อย่างไรก็ตามเรื่องนี้มาจากต้านานความ เชอื่ ทางศานาพราหมณม์ ากกว่าทางรามญั ในส่วนท่ีจะมาจาก \"ทางรามัญ\" น้ัน อาจจะเป็นในตอนท้ายของเร่ืองก็ได้ คือในตอนท่ีท้าว กระบิลพรหมต้องตัดศีรษะของตนเองตามที่ให้ค้าม่ันสัญญาไว้ ธิดาท้ังเจ็ดจึงน้าพานมารองรับศีรษะ ของบิดา จากนน้ั จงึ มีการแห่แหนเวยี นรอบเขาพระสุเมรุ และเป็นธรรมเนียมที่เชื่อถือต่อมาซึ่งเข้าเรื่อง นางสงกรานต์ท่รี บั สืบกันมา นิยะดา เหล่าสนุ ทร (อา้ งแลว้ ) ได้สรุปต้านานของสงกรานต์ไว้ดังน้ี ๑. ตา้ นานสงกรานต์ ไมไ่ ด้มาจากพระบาลีฝ่ายรามัญหรือนทิ านของมอญตามที่เขา้ ใจกัน ๒. เรอื่ งของการทายปญั หาระหว่างพรหม ๒ องคแ์ ละอีกฝ่ายรู้ค้าตอบได้จากนกนั้น เป็นเรื่อง ท่ีรู้กันมานานต้ังแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาแล้ว และเป็นเรื่องเล่าท่ีมาจากนิทานของพราหมณ์ท่ีเล่าต่อๆ กนั มา ๓. ปัญหาท่ีว่าด้วยเรื่องสิริมงคลของมนุษย์นั้น เป็นเร่ืองที่แพร่หลายรู้กันทั่วไปในสมัยอยุธยา ๔. เรื่องการแหแ่ หนศรี ษะของท้าวกระบิลพรหมและมธี ดิ าแวดลอ้ ม อาจเป็นได้ท่ีมาจากความ เชือ่ ของมอญ ซึง่ จ้าเปน็ ต้องคน้ ควา้ ต่อไป ในเร่ืองจารึกแผ่นศิลาวัดพระเชตุพนดังกล่าว ประคอง นิมมานเหมินทร์ (๒๕๕๓) ได้อธิบาย เก่ียวกับต้านานสงกรานต์จากจารึกแผ่นศิลาวัดพระเชตุพนเช่นเดียวกันว่า ไม่ได้ให้รายละเอียด กบิล พรหมถามปัญหาธรรมบาลกุมารว่าอย่างไร ส้านวนมุขปาฐะท่ีเล่ากันมีใจความตรงกับที่ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเล่าไว้ในพระราชพิธีสิบสองเดือน กล่าวคือ ปัญหามีว่า เวลาเช้า เวลากลางวัน และเวลาเย็นศรีอย่ทู ไ่ี หน และค้าตอบคือ ตอนเช้าศรีอยู่ที่หน้า มนุษย์ทั้งหลาย จึงลา้ งหน้า เวลากลางวันศรีอยทู่ ่ีอกมนุษยท์ ้งั หลายจึงเอาเครือ่ งหอมประพรมท่ีอก หลังพระอาทิตย์ตก แล้วศรีอยู่ทีเ่ ทา้ มนุษยท์ ้ังหลายจึงเอาน้าลา้ งเท้า พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจ้าอยู่หัวมีพระบรม

๓๒ ราชาธิบายว่า ในฎีกาสงกรานต์อย่างเก่าซึ่งโหรถวาย มีความอธิบายยืดยาวออกไป เช่นเถาฉมุนุนาศ นั้นเมอ่ื เอาไปลา้ งน้าในสระอโนดาต ๗ ครงั้ แล้ว กล็ ะลายออกเป็นเหมือนน้ามันเนย เทวดาท้าบุญเล้ียง ดูกันด้วยน้าจากเถาฉมุนุนาศจึงได้คุ้มอันตรายอันจะเกิดแต่สงกรานต์ได้ และโหรมอญภายหลังแต่ง ต้าราเพมิ่ ค้าอธิบายใหล้ ะเอียดข้ึน และสมมติธิดา ๗ นางของกบิลพรหม เทียบกับวันทั้ง ๗ ในสัปดาห์ ปีไหนพระอาทิตย์ยกข้ึนสู่ราศรีเมษ เถลิงศกปีใหม่ตามสุริยคติในวันใด ก็ก้าหนดว่าเป็นเวรของธิดา กบิลพรหมท้ัง ๗ นางผลัดเวรกันมารับหน้าท่ีเชิญศีรษะของบิดาออกแห่ในวันสงกรานต์ทุกปี จึงเรียก ท้ัง ๗ นางว่า “นางสงกรานต์” และมรี ายละเอยี ดวา่ เร่ืองการแตง่ กายและพาหนะของแตล่ ะนางดังนี้ วันอาทิตย์ นางสงกรานต์คือ นางทุงษ ทัดดอกทับทิม เคร่ืองประดับปัทมราค ภักษาหารผล มะเด่ือ หตั ถข์ วาถือจักร หัตถซ์ ้ายถือสงั ข์ มีครุฑเปน็ พาหนะ วันจันทร์ นางสงกรานต์คือ นางโคราค ทัดดอกปีบ เคร่ืองประดับมุกดา ภักษาหารน้ามัน หัตถข์ วาถือพระขรรค์ หตั ถช์ ้ายถือไมเ้ ทา้ มเี สือเปน็ พาหนะ วันอังคาร นางสงกรานต์คือ นางรากษหรือรากษส ทัดดอกบัวหลวง เคร่ืองประดับโมรา ภกั ษาหารโลหิต หตั ถข์ วาถือตรีศลู หตั ถซ์ า้ ยถอื ธนูมีสุกรเปน็ พาหนะ วันพุธ นางสงกรานต์คือ นางมณฑา ทัดดอกจ้าปา เคร่ืองประดับไพฑูรย์ ภักษาหารนมเนย หตั ถข์ วาถือเขม็ หัตถ์ซ้ายถอื ไม้เท้า มีลาเปน็ พาหนะ วนั พฤหสั บดี นางสงกรานต์คอื นางกริณี ทดั ดอกมณฑา เครื่องประดับมรกต ภักษาหารถ่ัวงา หัตถข์ วาถือขอช้าง หัตถซ์ า้ ยถอื ปืน มีชา้ งเปน็ พาหนะ วนั ศุกร์ นางางกรานตค์ อื นางกมิ ิทา ทัดดอกจงกลนี เครื่องประดับบุษราคัม ภักษาหารกล้วย นา้ วา้ หตั ถ์ขวาถือพระขรรค์ หตั ถซ์ ้ายถือพณิ กระบือเปน็ พาหนะ วันเสาร์ นางสงกรานตค์ ือ นางมโหทร ทดั ดอกสามหาว เคร่ืองประดับนิลรัตน์ ภักษาหารเน้ือ ทราย หตั ถ์ขวาถอื จักร หัตถซ์ า้ ยถอื ตรีศูล มนี กยงู เปน็ พาหนะ ต้านานสงกรานต์เป็นต้านานท่ีแต่งข้ึนเพื่ออธิบายความเป็นมาของการรดน้า ซึ่งป็นพิธีกรรม สา้ คัญในประเพณีสงกรานต์ สัญลักษณใ์ นต้านานมดี งั น้ี ศรี ษะทา้ วกบลิ พรหม เปน็ สัญลักษณ์ของดวงอาทิตย์ ความร้อนและความแห้งแล้งเพราะช่วง ทมี่ ปี ระเพณสี งกรานตเ์ ป็นช่วงที่อากาศรอ้ นจดั น้า เป็นสญั ลักษณข์ องความมีชีวิต ความอุดมสมบรูณ์ ดังสุภาษิตไทลื้อว่า “ดินก่อเกิด น้าก่อ เป็น” (ดินเป็นแหล่งที่ให้พืชพันธ์ุเกิดและน้าท้าให้มีชีวิตอยู่ได้) น้ายังเป็นสัญลักษณ์ของความเย็น ความสดชืน่ และความสะอาด จึงเหมาะที่จะใช้เพ่ือแสดงความปรารถนาดีต่อกัน และใช้แสดงถึงความ สะอาดผ่องแผว้ ของกายและใจทจี่ ะเรมิ่ ชวี ิตใหม่ในโอกาสขน้ึ ปีใหม่

๓๓ นางสงกรานต์ เป็นผู้ดูแลไม่ให้ศีรษะตกถูกพ้ืนดิน ท้าให้ไม่เกิดภัยพิบัติ น่าจะเป็นเพราะสตรี เป็นผใู้ หก้ ้าเนดิ เปน็ ผ้ทู า้ หน้าท่ีเป็นแม่ เล้ียงดูและคอยปกป้องคุ้มครองลูก จึงเหมาะท่ีจะช่วยคุ้มครอง โลกใหร้ ม่ เยน็ และอุดมสมบูรณ์ นอกจากน้ี ถวลิ อรญั เวศ (๒๕๕๗) ได้กล่าวถึงต้านานความเป็นมาของประเพณีวันสงกรานต์ ไว้ว่า เป็นประเพณีปีใหม่ของประเทศไทย ลาว กัมพูชา พม่า ชนกลุ่มน้อยชาวไต แถบเวียดนามและ มณฑลยนู นานของจนี ศรีลงั กา และทางตะวันออกของประเทศอนิ เดีย สงกรานต์เป็นค้าสันสกฤต หมายถึงการเคล่ือนย้าย ซ่ึงเป็นการอุปมาถึงการเคล่ือนย้ายของ การประทับในจักรราศี หรือคือการเคลื่อนขึ้นปีใหม่ในความเช่ือของไทยและบางประเทศในเอเชีย ตะวนั ออก เฉยี งใต้ ชาวต่างประเทศเรียกวา่ \"สงครามนา้ ” สงกรานต์ เป็นประเพณีเก่าแก่ของไทย ซึ่งสืบทอดมาแต่โบราณคู่มากับประเพณีตรุษ จึงมี การเรียกรวมกันว่า ประเพณีตรุษสงกรานต์ หมายถึงประเพณีส่งท้ายปีเก่า และต้อนรับปีใหม่ ค้าว่า ตรษุ เปน็ ภาษาทมฬิ แปลว่า การสิน้ ปี ค้าว่า \"ดา้ หัว\" ปกตแิ ปลว่า \"สระผม\" แต่ประเพณีสงกรานต์ล้านนา หมายถึง การแสดงความ เคารพ และขออโหสิกรรมที่ตนอาจจะเคยล่วงเกิน รวมทั้งขอพรจากผู้ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นญาติผู้ใหญ่ ผู้ อาวุโส ครูบาอาจารย์ หรือผู้บังคับบัญชา ส่วนมากจะใช้น้าขมิ้นส้มป่อยน้าไปไหว้ และผู้ใหญ่ก็จะจุ่ม เอาน้าแปะบนศีรษะกเ็ ป็นอันเสรจ็ สงกรานต์ คือ วันปีใหม่ตามประเพณีไทยแต่โบราณ ซึ่งเร่ิมต้นในวันท่ี ๑๓ เมษายนของปี รวมระยะเวลา ๓ วัน เทศกาลสงกรานต์ในวันที่ ๑๓ คือวันมหาสงกรานต์ หรือวันท่ีบ่งบอกถึงการ สิ้นสุดปีเก่า วันที่ ๑๔ เมษายนคือวันเนา ซึ่งเป็นวันถัดมา และวันท่ี ๑๕ เมษายน คือวันเถลิงศก ซ่ึง เปน็ วนั เริม่ ตน้ ปีใหม่ สงกรานต์ หมายถึง การเคลื่อนท่ี หรือการเปล่ียนแปลงตามโหราศาสตร์ไทยนั้น พระ อาทิตย์จะเคล่ือนเข้าสู่จักรราศีใหม่ในวันนี้ นอกจากนี้แล้ว สงกรานต์ยังเรียกว่า เทศกาลน้าอีกด้วย เชื่อว่า น้าจะช้าระล้างความชั่วร้ายทั้งมวลในช่วงวันสงกรานต์ ดังน้ัน มันจึงเป็นช่วงเวลาในการท้า ความสะอาดบ้าน หมู่บ้าน วดั และศาลพระภมู ิ ตามประเพณีไทย วันปีใหม่จะเร่ิมในช่วงเช้าหลังจากชาวพุทธท้าบุญตักบาตรแด่พระสงฆ์ แล้ว หลังจากน้ัน ก็จะมีการปล่อยสัตว์ที่ถูกขังจองจ้า โดยเฉพาะนกและปลา บรรดาผู้สูงอายุและพ่อ แม่ก็จะรอรับการสักการะจากลูกหลาน ผู้น้อยจะรินน้าอบหอมผ่านมือผู้สูงอายุ และท่านก็จะอวยพร ใหล้ กู หลานมีสุขภาพแข็งแรง มคี วามสขุ และมงั่ คัง่ ประเพณีการแสดงการคารวะนี้ เรยี กว่า “รดน้า ด้า หวั ” วันท่ี ๑๔ เมษายน เรยี กว่า “วันครอบครัว” ในช่วงบ่าย พุทธศาสนิกชนจะประพรมน้าหอมแด่พระพุทธรูป หลังจากนั้นพวกเขาจะ ประพรมน้าหอม หรือสาดน้าท่ีสะอาด เย็นให้แก่กันและกัน เป็นท่ีสังเกตว่าประเพณีสงกรานต์จะ ไดร้ ับความนิยมมากในภาคเหนือ โดยเฉพาะในจงั หวดั เชียงใหม่ ผู้คนจ้านวนมากจากท่ัวทุกมุมในประเทศ จะมุ่งหน้าขึ้นเหนือเพ่ือร่วมเทศกาลที่จัดที่นั่น การประกวดนางสงกรานตแ์ ละการเดินพาเหรดขบวนยาวๆ ก็ถกู จัดขน้ึ ด้วย

๓๔ ในกรุงเทพ พระพุทธรูป “พุทธสิหิงค์” จะถูกน้าออกจากพิพิธสถานภัณฑ์แห่งชาติ เพ่ือให้ ผู้คนได้รดน้าท่ีท้องสนามหลวง ตรงข้ามกับวัดพระแก้ว ใครก็ตามแต่ที่ออกมาเดินตามท้องถนน จะต้องเปียกโชกกันทั้งน้ัน คนเช่ือกันว่าน้าจะชะล้างความโชคร้ายและน้าที่สาดให้เพ่ือนๆ หรือใครก็ ตามแต่ จะเปน็ การอวยพรปใี หม่ให้แก่พวกเขา ส้าหรับคา้ วา่ \"สงกรานต์\" มาจากภาษาสันสกฤตว่า \"ส้-กรานต\" ซึ่งแปลว่า ก้าวข้ึน ย่างข้ึน หรือการย้ายท่ี เคล่ือนท่ี โดยหมายความอีกนัยหน่ึง เป็นการเข้าสู่ศักราชราศีใหม่ หรือวันขึ้นปีใหม่ น่ันเอง ส่วนเทศกาลสงกรานต์นั้น เป็นประเพณีเก่าแก่ของคนไทยสืบทอดกันมาตั้งแต่โบราณคู่กันมา กบั ประเพณีตรษุ จีน จึงมีการเรียกรวมกันวา่ \"ประเพณีตรุษสงกรานต์\" ซึ่งหมายถึง ประเพณีส่งท้ายปี เก่า ตอ้ นรบั ปใี หม่ นนั่ เอง วันหยุดสงกรานต์ เป็นวนั หยุดราชการ แบ่งออกเป็น ๓ วัน ได้แก่ วันท่ี ๑๓ เมษายน เรยี กว่า วนั มหาสงกรานต์ วนั ที่ ๑๔ เมษายน เรียกวา่ วันเนา วนั ท่ี ๑๕ เมษายน เรียกว่า วัน เถลิงศก ส่วนกิจกรรมหลัก ๆ ที่ท้าในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ก็จะเป็นการท้าความสะอาดบ้านเรือน การร่วมกันทา้ บญุ ทา้ ทาน สรงนา้ พระ รดนา้ ของพรผู้ใหญ่ และเล่นสาดนา้ คลายร้อนกนั เป็นต้น ประเพณสี งกรานต์ การฉลองการขน้ึ ปีใหม่ ตามสรุ ิยะคติ วันสงกรานต์ ในแต่ละท้องถ่ินอาจไม่ตรงกัน แต่เป็นช่วงระหว่างวัน โดยการนับวันทาง จันทรคติ และนอกจากประเทศไทยเราแล้ว ยังมีประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ลาว พม่า กัมพูชา ก็มี ประเพณสี งกรานต์เป็นประเพณีขน้ึ ปีใหมด่ ้วยเชน่ กนั วนั มหาสงกรานต์ ๑๓ เมษายน เป็นวันมหาสงกรานต์ เป็นวันส้ินปีเก่า และเป็นวันท่ีพระอาทิตย์เข้าสู่ราศีเมษ ต้องมีการยิงปืน หรือจุดประทัด ท้าให้เกิดเสียงดัง เพ่ือขับไล่ส่ิงไม่ดีต่างๆ จะมีการปัดกวาดบ้านเรือน ซกั เสอื้ ผ้า เพ่อื ทา้ ความสะอาดและขับไลส่ ่ิงไม่ดจี ากปเี กา่ ให้หมดไป วนั เนา ๑๔ เมษายน เปน็ วันเนา บางแห่งเรียกว่า วันเน่า เป็นวันท่ีเช่ือมต่อระหว่างปีเก่าและ ปใี หม่ มีความเชอ่ื วา่ หา้ มกระท้าสิง่ ที่ไม่เป็นมงคล ห้ามด่ากัน ห้ามทะเลาะกัน ซึ่งโดยรวมแล้ว วันเนา นจ้ี ะเปน็ วนั เตรยี ม งานท้าบญุ สงกรานต์ และมีการขนทรายเข้าวดั ในตอนบา่ ย วันเถลงิ ศกข้ึนปใี หม่ ๑๕ เมษายน เป็นวันเถลิงศก หรือวันพญาวัน เป็นวันที่มีการท้าบุญทาง ศาสนา ท้าบญุ ทา้ ทานแก่ผู้ท่ีลว่ งลบั ไปแลว้ พรอ้ มท้งั ยังมีการรดน้าด้าหวั ผูเ้ ฒ่าผู้แก่ ผอู้ าวุโสเพื่อขอพร มคี วามเชอื่ วา่ จะสามารถชว่ ยใหผ้ ูท้ ่มี ีบาปหนัก พ้นทกุ ขจ์ ากขมุ นรกได้ นทิ านปรมั ปราเกี่ยวกับตานานวนั สงกรานต์ มีท่านเศรษฐีผู้หน่ึงไม่มีบุตรแต่ต้องการบุตรมาก ด้วยถูกนักเลงสุราที่บ้านใกล้กันนั้นกล่าวค้า หยาบชา้ ตอ่ เศรษฐี ทา่ นเศรษฐีจงึ กลา่ วถามวา่ \"เหตใุ ดท่านจงึ กลา่ วดูถูกเราผู้มีสมบตั มิ าก\" นักเลงสุราตอบกลับว่า \"ถึงแม้ท่านเป็นผู้มีสมบัติมาก แต่ท่านก็ไม่มีบุตร เม่ือเสียชีวิตแล้ว สมบตั เิ หลา่ น้กี ็สูญเปลา่ เราน้นั มีบตุ ร ย่อมประเสรฐิ กว่า\" ท่านเศรษฐีจึงได้จัดพิธีบวงสรวงขอบุตรจากพระอาทิตย์ และพระจันทร์ รอนานสามปีก็มิได้ เกิดบุตร เม่ืออาทิตย์ยกข้ึนสู่ราศีเมษ ท่านเศรษฐีจึงพาบริวารไปบวงสรวงขอบุตรจากพระไทร พระ

๓๕ ไทรมีความเมตตาสงสารเศรษฐีผู้น้ี จึงได้ข้ึนไปบนสวรรค์ทูลขอบุตรจากพระอินทร์ให้แก่เศรษฐีผู้นั้น พระอนิ ทร์จงึ ใหธ้ รรมบาลกมุ ารเทวบุตรลงมาเกดิ เป็นบตุ รของทา่ นเศรษฐี เมือ่ ภรรยาของทา่ นเศรษฐคี ลอดบุตร ท่านเศรษฐีได้ปลูกปราสาทเจ็ดชั้นให้อยู่ใต้ต้นไทรริมฝั่ง แม่น้า และต้ังชื่อให้ว่าธรรมบาลกุมาร ธรรมบาลกุมารนี้เป็นเด็กที่มีปัญญาเฉลียวฉลาดอย่างมาก เรยี นร้ไู ตรเทพจบเมอ่ื อายุ ๗ ขวบอกี ท้ังยังสามารถเรยี นร้ภู าษานกได้อีกดว้ ย ความดังกล่าวได้ล่วงรู้ถึงท้าวกบิลพรหม ท่านจึงต้องการท่ีจะทดสอบปัญญาของธรรมบาล กุมารท้าวกบิลพรหมจึงได้เสด็จลงมายังโลกมนุษย์ ถามปัญหาธรรมบาลกุมาร ๓ ข้อคือ ข้อที่ ๑ เช้า ราศีสถติ อยแู่ หง่ ใด ข้อท่ี ๒ เท่ียงราศีสถิตอยู่แห่งใด ข้อที่ 3 ค่้าราศีสถิตอยู่แห่งใด และตกลงกันว่า ถ้า ธรรมกมุ ารสามารถตอบปญั หา ๓ ขอ้ นีไ้ ด้ ภายใน ๗ วัน จะตัดเศียรของตนบูชาธรรมบาลกุมาร แต่ถ้า ธรรมบาลกุมารไม่สามารถตอบปัญหาได้ ธรรมบาลกุมารต้องตัดศีรษะของตนบูชาท้าวกบิลพรหม เช่นกัน เวลาล่วงเลยไปถึง ๖ วัน ธรรมบาลกุมารก็ยังไม่สามารถหาค้าตอบได้ ด้วยความกลัวอาญา ท้าวกบิลพรหม ธรรมบาลกุมารจึงได้หนีไปแอบซ่อนอยู่ใต้ต้นตาลและบนต้นตาลน้ันมีนกอินทรี ๒ ตัว ผัวเมียท้ารังอยู่นกอินทรีทั้งสองได้สนทนากันอยู่ในเรื่องการออกไปหากินในวันพรุ่งนี้ นางนกอินทรี : \"พรุ่งนีเ้ ราจะไปหากนิ ทไ่ี หนกันดี \"นกอินทรีตัวผู้ : \"พรุ่งน้ีเราไม่ต้องออกไปหากินไกลหรอก ด้วยพรุ่งน้ี ธรรมบาลกุมารจะต้องตัดศีรษะบูชาท้าวกบิลพรหม เนื่องจากตอบปัญหาไม่ได้\" นางนกอินทรี : \"น่า สงสารกุมารน้อยยิ่งนัก ท้าวกบิลพรหมก็ช่างถามปัญหาที่มนุษย์เกินจะตอบได้\" นกอินทรีรู้สึกหมั่นไส้ นางนกอินทรีจึงได้บอกถึงค้าตอบท่ีท้าวกบิลพรหมถามธรรมบาลกุมารให้นางนกอินทรีได้รู้ นกอินทรี ตัวผู้ : \"ราศีแห่งมนุษย์นน้ั จะสถติ อยทู่ ร่ี า่ งกายต่างวาระกัน คือ เวลาเชา้ จะสถิตอยู่ท่ีหน้า มนุษย์จึงต้อง ล้างหน้า เวลาเที่ยงราศีสถิตอยู่ท่ีอก มนุษย์จึงต้องประพรมน้าท่ีหน้าอก และเวลาค้่าสถิตอยู่ที่เท้า มนษุ ยจ์ ึงต้องล้างเท้า จึงจะพน้ อปั รยี ์จัญไรท้ังปวง\" ธรรมบาลกุมารเมื่อได้ยินดังน้ัน ก็ได้จดจ้าค้าตอบและน้าไปบอกแก่ท้าวกบิลพรหม ท้าวกบิล พรหมจึงจ้าต้องตัดเศียรของตนบูชาธรรมบาลกุมาร แต่เศียรของท้าวกบิลพรหมมีพิษมาก คือ ถ้าตัด แล้วตั้งไว้บนแผ่นดิน แผ่นดินก็จะลุกเป็นไฟ ถ้าโยนข้ึนสู่ท้องฟ้าฝนก็จะตกไม่ถูกต้องตามฤดูกาล และ ถ้าท้ิงลงมหาสมุทรน้าก็จะเหือดแห้ง ท้าวกบิลพรหมจึงรับสั่งเรียกธิดาทั้ง ๗ เพื่อให้น้าเศียรของท้าว กบลิ พรหมไปแหป่ ระทกั ษิณรอบเขาพระสุเมรุ ๖๐ นาที แลว้ จงึ นา้ ไปเกบ็ ไว้ในมณฑปถ้าธุลีเขาไกรลาศ คร้ันครบก้าหนด ๓๖๕ วัน (โลกสมมุติว่าเป็น ๑ ปี) เป็นสงกรานต์ ซึ่งหมายถึงขึ้นปีใหม่นั้นเอง นาง สงกรานต์กจ็ ะตอ้ งน้าเศียรของทา้ วกบิลพรหมแหป่ ระทกั ษณิ รอบเขาพระสเุ มรเุ ป็นประจ้าทุกปี ประเพณีสงกรานต์ของไทย ถือได้ว่าเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านที่ฉลาดหลักแหลมมาก กล่าวคือ ในชว่ งเดือนเมษายน เป็นช่วงทีอ่ ากาศร้อนมากเพราะแสงแดดแผดเผาจ้ามาก เพราะดวงอาทิตย์โคจร อย่ใู นระดบั เหนือศีรษะพอดี ฉะนน้ั คนไทยในยุคนั้น จึงได้คิดกิจกรรมขึ้นมาเพ่ือคลายความร้อนท้าให้ เย็นสบายและมีความสุขสนุกสนานในการเล่นสาดน้า และรดน้าขอพรผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นแสดงออกถึง ความนอบน้อม การให้ความเคารพระหว่างกันและกันตามคุณวุฒิ และวัยวุฒิ อันจะท้าให้การกระท้า ส่ิงใดก็ตาม จะประสบความส้าเร็จ เพราะการให้ความเคารพซึ่งกันและกัน และจะได้รับความเมตตา ช่วยเหลือกนั

๓๖ ถวิล อรัญเวศ (อ้างแล้ว) ได้กล่าวสรุปว่า ประเพณีสงกรานต์ ถือว่าเป็นประเพณีการเล่น สาดน้าและการรดน้าขอพรจากผู้สูงอายุซึ่งเป็นกิจกรรมท่ีชาวไทยได้ปฏิบัติมาตั้งแต่โบราณกาล และ สืบทอดมาจนถึงทุกวันนี้ เดิมกิจกรรมน้ีเป็นกิจกรรมท่ีเกี่ยวกับวันข้ึนปีใหม่ของไทยเรา เมื่อวัน สงกรานต์มาถึง ก็จะสรงน้าพระ ปล่อยนก ปล่อยปลา ท้าบุญตักบาตร ละเล่นสาดน้ากันในคนหนุ่ม สาว และกิจกรรมสนุกสนานร่าเริงอื่น ๆ ตามแต่จะเล่นกันในแต่ละภูมิภาคของไทย ประเพณี สงกรานต์ การเล่นสาดน้าถือวา่ เปน็ ภูมิปัญญาชาวบ้านท่ีส้าคัญยิ่ง เพราะในช่วงเดือนเมษายนเป็นช่วง ทอ่ี ุณหภูมิอากาศของประเทศไทยรอ้ นมาก ดงั น้นั คนไทยเราในสมัยก่อนจึงหาวิธีท่ีจะท้าให้มีกิจกรรม ทจ่ี ะคลายความร้อน และสนุกสนาน คือการเล่นสาดน้ากันและพัฒนาการเป็นกิจกรรมการท้าความดี อย่างหลากหลายวิธี เช่น สรงน้าพระรดน้าขอพรจากผู้สูงอายุ ท้าบุญตักบาตร ปล่อยนกปล่อยปลา และท้าประโยชน์ต่อสังคม เราชาวไทย จึงควรสืบสานประเพณีสงกรานต์ไว้ให้นานคู่ชาติไทย และ แสดงออกด้วยวิธีการท่ีสร้างสรรค์ ซึ่งไม่เป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล และไม่เป็นต้นเหตุให้เกิดการ ละเมดิ ทางเพศ เป็นต้น ในต้านานเมืองล้านนาซ่ึงมีการบันทึกไว้ในหนังสือปีใหม่เมืองล้านนา (ฉบับวัดธาตุค้า) ของ ล้านนา พุทธศกั ราช ๒๕๕๗ ได้บนั ทึกปีใหมเ่ มอื งไว้ ดงั น้ี ศภุ มัสตุ สิริมงั คลกาละ ระวิสังกรมสุริยะกาลายาตรา จันทรกาลยาตรา จุลศักราศได้ ๑๓๗๕ ตัวนับแต่พุทธกาลพระพุทธเจ้าดับขันธ์พระปรินิพาน พุทธศักราชได้ ๒๕๕๗ ปีล่วงมาแล้ว เบญจศก มะเสง็ ฉนา้ กมั โพธพิไศย ในคิมหันอตุ ุ จิตรมาส ศุกรปักษ์ ปญั จทมี จันทรวารไถง หนไทภาษาว่าปีก่าใส้ มาจรดจดจอดถึง เดอื น ๗ เป็ง อันว่า ออก ๑๕ ค่้า วันไทว่า วันดับเหม้า ดิถีท่ี ๑๔ ตัว นาทีดิถีได้ ๓๓ ตัว พระจนั ทรจ์ รณยุตตโิ ยคโสดเสด็จเข้าเทียวเทียมนักขัตตรืกษ์ตัวถ้วน ๑๓ ช่ือหัสตะคือว่าดาวสอกคู้ เทวดาปรากฏในเรือนกนั ยป์ ถวีราศี นาทีฤกษ์ ๘ ตวั เสีย้ งยามตามเข้าสู่ยามกลองงายปลาย ๑ ลูกมหา นาที ปลาย ๒ น้าบาท ปลาย ๑๓ ปลายพิชชา ปลาย ๒ ปลายปราณ ปลาย ๑๐ อักขระอักษรปลาย ตรงกับ ๘ นาฬิกา ๑๑ นาที ๒๔ วินาที พร่้าว่าได้วันจันทร์ ที่ ๑๔ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๗ จุล ศักราชได้ ๑๓๗๖ ตัว ไทภาษาว่า ปีกาบสะงา้ ขานชอื่ ว่าวันสังขารลอ่ งฯ ยามนน้ั ระวิพระสุริยาทติ ย์แผร่ ัศมสี ขี าวแพร้วพราวประดุจดงั ดอกบัวขาว นั่งนอนสะแกลงแท่น ทพิ ยว์ มิ านบวรเขตมีนราศีประเทศทรงเครื่องอาภรณ์อันวิเศษสีขาวยุรตรามาแต่ผ่องแผ้ว เน็บดอกบัว ขาวตา่ งกระจอนขอนหสู บุ กระโจมตะโลมดว้ ยรตั นมณแี กว้ วิฑูรย์เรืองรองเปล่งรัศมีทักษิณกรเบื้องซ้าย วางต่างพระเศียร อตุ ตรกรเบือ้ งขวาถือดาบสรีกัญไจยนอนสะแกลงมาเหนือหลังช้างเผือก วังแวดล้อม ห้อมด้วยเหล่าบริวาร พากันมาสู่ปริเขตมณฑลเมษราศี อว่ายหน้าสู่หนปัจจิม คือทิศตะวันตก เสด็จ ยา้ ยทางโคณวิถเี ข้าใกล้เขาพระสเุ มฏราช ดงั ปรากฏเกณฑก์ ารณต์ ามสุริยาตรา ฉะนแี้ ล ฯ กาละยาม เทพธิดา นามนางมโนรา ทัดดอกกาสะลองอันว่าดอกปีบเป็นนิมิตว่านามปี มา นอนอยู่ถ้า ค่อยรับเอาขุนสังกรานต์ไป ป้ีนี้ได้น้าหัวปี มีฝนกลางปีมากหนัก หล้าปีหาบ่มี พีชชะข้าว กล้า ถั่วงา ธัญชาติ จักงามบริบรูณ์ มโณชาติ เกลือจักแพง อันตรายจักบังเกิดแก่ผู้เป็นใหญ่ ท้าวพระ ยาจักเดือดร้อนร้อนใจ จักเจ็บไข้ได้อุบัติเหตุ อุบาทก์นี้และอุปัทวเหตุแหล่งโกลาหล คนท้ังหลายจัก วุ่นวายเดือดร้อน สมดงั พระรสจนาคาถาวา่ “จนทฺ ภาโน จ สงกฺ รมฺ เสยฺยโน ปฏคิ ฺคห้ นครา ชนา ปาทา จ โสกโรคา ทุพฺภิกฺขกา” ด่ังเฉกเช่นนี้แล พึงควรสืบชาตะบ้านเมือง บูชาพระเคราะห์บ้านเมือง จักดี ตามอปุ เทศนเทอญ ฯ

๓๗ ยามว่าวันสงกรานต์ จุ่งหื้อครูบาอาจารย์ ผู้ใหญ่ เจ้านาย ท้าวพระยาเสนาอามาตย์ ข้าราชการข้าราชบริพาร บรวิ ารทกุ จคู่ จู้ คู่ น ราษฎรท้ังหลาย พากันไปสูส่ ระโบกขรณี มหานทีแลแม่น้า พน้ื เค้าไม้ จอมปลวกใหญ่ หวั ทางไคว่สี่เส้นสุ้ม บ่ินหน้าไปทิศตก อาบน้าสระเกล้าด้าหัว ด้วยน้าสุคันธ กะขมิน้ ส้มป่อย สิริสถิตที่หน้าผากห้ือเอาน้าสุคันโธส้มป่อยเช็ดหน้าผากเสีย กล่าวคาถาว่า \"อม สิริมา มหาสิริมา เตชะ ยสฺลาภา อายุ วณฺณา ภวนฺตุเม\"กาลกินีอยู่ท่ีนม จัญไรจับอยู่ปลายมือ ห้ืออาน้าขมิ้น ส้มปล่อยเช็ดขว้างเสีย จ้าค้าคาถาว่า “สพฺพทุกขา สพฺภย สพฺพอนฺตรายา สพฺพเวรา สพฺพอุปทฺวา วิ นาสสนฺตุ” เชด็ ลา้ งลอยเสนยี ดจัญไรทั้งปวง แลหาเสื้อผ้านุ่งห่มใหม่ เน็บดอกกาสะลองเป็นว่าดอกปีบ อนั เปน็ พระยาดอก จักเจรญิ อายุยนื ยาวแลนาฯ เดอื น ๗ ลง ๑ คา้่ พรา้่ ว่าได้วันองั คารท่ี ๑๕ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๗ หนไทว่า วันรวาย สี เปนวันบูดวันเน่า บ่ควรท้ามังคลกัมม์ท้ังปวง อย่าหื้อคนท้ังมวลผิดข้องขัดใจกัน บ่ควรแตกสะสาน สามัคคี หื้ออยู่ดีช่วยกัน ผัดเผ้วกวาดบ้านเรือนห้องหอ กวาดทรายดายหญ้า ลานวัดกลางข่วงอาราม แบกห่ามขนทรายเข้าวัด ก่อพระเจดีย์ ตานไม้ก้่าสรี บ่ผิดศีลท้ังห้า ว่าปาณาติบาต อทินทาน กาเมสมุ จิ ฉาจาร มสุ าวาท อย่าผดิ ถอ้ งรอ้ งเถยี งกัน จกั มีอานิสงค์ยิ่งนกั แลฯ เดือน ๗ ลง ๑ ค่้า พร้า่ วา่ ได้วนั อังคารที่ ๑๕ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๗ หนไทว่า วันรวาย สี เปนวันบูดวันเน่า บ่ควรท้ามังคลกัมม์ท้ังปวง อย่าหื้อคนท้ังมวลผิดข้องขัดใจกัน บ่ควรแตกสะสาน สามัคคี ห้ืออยู่ดีช่วยกัน ผัดเผ้วกวาดบ้านเรือนห้องหอ กวาดทรายดายหญ้า ลานวัดกลางข่วงอาราม แบกห่ามขนทรายเข้าวัด ก่อพระเจดีย์ ตานไม้ก่้าสรี บ่ผิดศีลท้ังห้า ว่าปาณาติบาต อทินทาน กาเมสุมิจฉาจาร มุสาวาท อยา่ ผิดถ้องรอ้ งเถียงกัน จกั มอี านสิ งค์ยิง่ นักแลฯ เดอื น ๗ ลง ๒ ค้่า เป็นวันพระยาวัน พร้่าว่าได้วันพุธที่ ๑๖ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๗หน ไทว่า วันเมืองใส้ ติถี ๑ นาทีติถี ๓๓ พระจันทร์จรณยุติโยด โสดเสด็จเข้าเทียวเทียมนักขัตตฤกษ์ตัว ถ้วน ๑๕ ชือ่ สวาติ คือดาวชา้ งพัง เทวตาปรากฏในตลุ ย์วาโยราศี นาทีฤกษ์ ๕ ตัว เส้ียงยามเที่ยงสู่ยาม ซ้ายปลาย ๑ น้าบาท ปลาย ๗ ปลายพิชชนา ปลาย ๒ ปลายปราณ ปลาย ๑๐ ปลายอักขระอักษร ได้ เวลา ๑๒ นาฬิกา ๐๙ นาที ๐๐ วินาที ยามน้ันศักราชนับแถมขึ้นหนึ่งตัว เป็น ๑๓๗๖ ตัว มะเมีย นักษัตร ไทภาษาว่า ปีกาบสะง้า ห้ือท้ากัมม์มังคละ เล่าเรียนหนังสือต่อต้ารา แรกบ้านเสาเอก วาง หมอนเรยี งเคียงหมอนนอน หื้อท้าการมงคลในวันนจ้ี กั ประสบผลดีวิเศษแลนาฯ ปีนี้ได้เศษ ๘ ชื่อพิณณวทกวัสสะ ปีนี้วอกรักษาปี หมาจ้ิงจอกรักษาเดือน หมูรักษาป่า ปลา ตีนรักษาน้า ตักกสลิ ยกั ขร์ ักษาอากาส กมุ ภัณฑร์ ักษาแผ่นดนิ ท้าวพระยาเป็นใหญ่แก่คนทั้งหลาย วอก เป็นใหญ่แก่สัตว์ ๔ ตีน ตักแตนเป็นใหญ่แก่สัตต์ ๒ ตีน ไม้หาดเป็นใหญ่แก่ไม้จิง ไม้แขเป็นใหญ่แก่ไม้ กลวง หญ้าเลาเป็นใหญ่แก่หญ้าท้ังหลาย ดอกกาสะลองเป็นพระยาแก่ดอกไม้ โอชารสดินบ่มีหลาย ขวนั เข้าอยไู่ ม้เดอื่ หอ้ื เอาไมเ้ ดือ่ มาแปลงเป็นคนั เข้าแรก ไม้พานแขเป็นพระยาแก่ไม้กลวงไม้ตันทังมวล ผีเส้ืออยู่ไม้สะเลียม ผีเสื้ออยู่ไม้อันใดอย่าได้ฟักฟันตัดปล้ายังไม้อันนั้น คันจักกะท้ามังคลกัมม์เยื่องใด หื้อได้ปูชาผีเสือ้ อยไู่ ม้นัน้ เสียกอ่ นกะทา้ จักสัมฤทธิ์ผลแล นาคราชขึน้ น้า ๒ ตัว บันดาลห้ือฝนตก ๕๐๐ ห่า ช่ือ จันทาธิปติ จัดเป็นตางได้ ๕ ตาง แลตางกว้างได้ ๖๐ โยชนะ เล็ก ๓๐ โยชนะ จักตกในเขา สัตตปริภัณฑ์ ๒๔๗ ห่า ตกในป่าหิมพานต์ ๑๖๑ ห่า ตกในมนุษโลกเขตเมืองคน ๙๒ ห่า เทวดาวาง เครื่องประดับหนปัจจิม คือ ทิศตะวันตก บาปเคราะห์ตกหนพายัพ คือ ทิศตะวันตกแจ่งเหนือ ปาป

๓๘ ลคั นาตกหนอาคไนย์ คือ ทิศตะวนั ออกแจง่ ใต้ ในทสิ ะทัง ๓ น้ี กะท้ามงั คลกัมม์และอาบน้าด้าหัวช้าระ ตวั ตน อย่าบิ่นหนา้ ไปตอ้ งบ่ดีฯ อตีตวรพุทธสาสนาคลาล่วงได้ ๒๕๕๖ พระวัสสา ปลาย ๑๑ เดือน ปลาย ๒ วัน นับแต่วัน พระญาวันคนื หลงั อนาคตวรพุทธสาสนาจกั มาพายหน้าบ่น้อยยังอยู่ ๒๕๕๓ พระวัสสา ปลาย ๒๘ วัน นบั ต้งั แต่วันปากปีไปภายภาคหน้าตามชินกาละมาลินีสังเกตเหตุเอาบวกสมทบกัน ๕๐๐๐ พระวัสสา บ่เศษเหตุตามฎกี า หากวิสัชชนาแปลงสบื ส่งถา่ ยทอดสานต่อกันมาวา่ ฉันนแี้ ล ปรโิ ยสานสมตตฺ าฯ ประเพณีสงกรานต์เป็นประเพณีของสังคมเกษตรกรรม คนไทยในภาคกลางมีประกาศ สงกรานต์ซึ่งแสดงให้เห็นคติความเช่ือทางโหราศาสตร์ โดยน้าเร่ืองธิดาท้าวกบิลพรหมซ่ึงเรียกกันว่า นางสงกรานต์มาท้านายเก่ียวกับผลผลิตทางเกษตรกรรมและเหตุการณ์บ้านเมือง ในประกาศ สงกรานต์แต่ละปีจะบอกชื่อของนางสงกรานต์ซึ่งผลัดเปล่ียนกันมาถือพานที่รองรับศีรษะพ่อมี รายละเอียดเก่ียวกับการแต่งกาย สัตว์พาหนะ ลักษณะการนั่งนอนบนพาหนะซ่ึงจะท้านายถึงความ อุดมสมบูรณ์หรือความขาดแคลนของพืชพรรณธัญญาหารความสงบเรียบร้อยหรือความยุ่งยากของ บา้ นเมือง เนื่องจากคนไทยให้ความสา้ คัญแก่บรรพบุรุษ และเคยมีการเซ่นไหว้ผีด้าหรือผีเรือน ซ่ึงเป็นผี บรรพบรุ ุษในหลายโอกาส โดยเฉพาะเมื่อข้ึนปีใหม่ ดังที่ยังพบการปฏิบัติน้ีในกลุ่มชนชาติไทที่ไม่ได้นับ ถือพระพุทธศาสนา เมื่อคนไทยนับถือพระพุทธศาสนาและรับประเพณีสงกรานต์เข้ามาเป็นประเพณี การขึ้นปีใหม่จึงมีการท้าบุญอุทิศส่วนกุศลให้ญาติผู้ล่วงลับ ประเพณีสงกรานต์เป็นประเพณีท่ีให้ ความส้าคญั ต่อการแสดงความกตัญญูและความปรารถนาดีต่อกัน เป็นเวลาท่ีลูกหลานร้าลึกถึงญาติที่ ล่วงลับไป และแสดงคารวะต่อญาติผู้ใหญ่ท่ียังมีชีวิตอยู่ประเพณีสงกรานต์เป็นประเพณีในสังคมที่นับ ถือพระพุทธศาสนา จึงมีการบ้าเพ็ญกุศลทางศาสนา เพื่อให้ใจผ่องแผ้วก่อนการขึ้นปีใหม่ ใน ขณะเดยี วกันก็เป็นประเพณีท่ีมีผู้คนมีโอกาสสนุกสนาน มีการเล่นสาดน้าและการละเล่นเพ่ือความร่ืน เรงิ บนั เทิงใจ (กรมส่งเสริมวฒั นธรรม, ๒๕๕๓) ในอดีตสงกรานต์มักเป็นงานท่ีอยู่ที่วัดอันถือว่าเป็นศูนย์กลางของชุมชน นอกจากนี้ในส่วน พระมหากษัตริย์ไทยทรงให้ความส้าคัญกับประเพณีสงกรานต์ กล่าวคือ รัชกาลท่ี ๔ และรัชกาลท่ี ๕ ได้เสด็จพระราชด้าเนินออกวัดพระเชตุพนในงานสงกรานต์ แต่รัชกาลท่ี ๕ พระบาทสมเด็จพระ จุลจอมเกล้าเจา้ อยหู่ วั ทรงโปรดให้พนักงานคอยเก็บเงินมากบ้าง น้อยบ้าง ตามสถานภาพ ปรากฏว่า งานสงกรานต์แต่ละปีได้สามชั่งสี่ชั่ง แล้วทรงถวายเจ้าอาวาสส้าหรับปฏิสังขรณ์ ปัดกวาด ถางหญ้า ถอนตน้ ไมใ้ นวดั (พระธรรมราชานวุ ตั ร, ๒๕๔๑) งานสงกรานต์มีมาแต่โบราณในหนังสือพระราชพิธีสิบสองเดือน พระราชนิพนธ์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีความตอนหนึ่งวว่า “อน่ึง วัดพระเชตุพนน้ัน เป็นธรรม เนียมเก่า มีมาแต่แผ่นดินสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ในสงกรานต์สามวันเปิดให้ข้างในออกสรงน้า

๓๙ พระ มีขา้ วบิณฑโ์ ปรยทาน และเทยี่ วเล่นแตเ่ ช้าจนเย็น” (จลุ จอมเกลา้ เจ้าอยหู่ ัว, พระบาทสมเด็จพระ. ในพระราชพิธีสิบสองเดอื น, ๒๔๙๖) ประเพณีสงกรานต์เป็นการฉลองการขึ้นปีใหม่ตามสุริยคติ แต่เนื่องจากยังนิยมนับวันทาง จันทรคติกนั อยู่ ช่วงเวลาฉลองสงกรานตใ์ นแตล่ ะท้องถ่ินจึงอาจไม่ตรงกันทีเดียว โดยปกติอยู่ระหว่าง วันที่ ๑๓ – ๑๕ เมษายน ในล้านนาบางปีสงกรานต์อาจอยู่ในช่วงวันที่ ๑๔ – ๑๖ เมษายน ในภาค กลางนยิ มท้าบุญตักบาตรในวันที่ ๑๓ เมษายน ถือเป็นวันมหาสงกรานต์ คือเป็นวันท่ีพระอาทิตย์ก้าว เข้าสู่ราศีเมษ เป็นวันสิ้นปีเก่า วันที่ ๑๔ เมษายน เป็นวันเนา คือวันท่ีเชื่อมต่อระหว่างปีเก่ากับปีใหม่ และวันท่ี ๑๕ เมษายน เป็นวนั เถลิงศกข้นึ ปใี หม่ ประเพณีสงกรานต์ นอกจากเป็นประเพณีการขึ้นปีใหม่ของไทยแล้วยังพบว่าประเทศเพ่ือน บ้าน ไดแ้ ก่ สาธารณรัฐประชาธปิ ไตยประชาชนลาว สหภาพพม่า ประเทศกัมพูชา ตลอดจนกลุ่มชนที่ พูดภาษาตระกูลไทหลายกลุ่มก็มีประเพณีสงกรานต์เป็นประเพณีขึ้ปีใหม่ด้วย เช่น ไทล้ือในเขต ปกครองตนเองสิบสองพันนา และไทเหนือในเขตปกครองตนเองใต้คง มณฑลยูนนาน สาธารณรัฐ ประชาชนจีน ไทขึนและไทใหญ่ในสหภาพพม่า ไทพ่าเก ไทอ่ายตอน และไทค้าต่ีหรือไทค้าที่ใน รัฐอัสสัมและรัฐอรุณาจัลประเทศ ประเทศอินเดีย น่าสังเกตว่า สังคมที่มีประเพณีสงกรานต์ล้วนเป็น สงั คมทนี่ บั ถือพระพุทธศาสนาฝา่ ยหนิ ยาน (ประคอง นมิ มานเหมนิ ท์, ๒๕๕๓) ประเพณีสงกรานต์ เป็นประเพณีฉลองการข้ึนปีใหม่ของไทย ซึ่งโดยท่ัวไปจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๑๓-๑๕ เมษายน ตรงกับเดือนห้าตามจันทรคติ ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ไทยมีประเพณี สงกรานต์ต้ังแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาแล้ว ในกฎมณเฑียรบาล ซึ่งสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถโปรดฯให้ ตราขึ้น กล่าวถึงการพระราชพิธีเผด็จศกและพระราชพิธีลดแจตร พระราชพิธีเผด็จศกเป็นพิธีการ เก่ียวกับการตัดจากปีเก่าขึ้นสู่ปีใหม่ ส่วนพระราชพิธีลดแจตรนั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ทรงสนั นิษฐานว่าหมายถึงพระราชพิธีรดน้าเดอื น ๕ ซงึ่ แสดงวา่ ประเพณสี งกรานต์ของหลวงมีมาต้ังแต่ ตน้ สมยั กรงุ ศรอี ยุธยาแล้ว ประเพณีสงกรานต์ท่ีสืบทอดมาในประเทศไทยมี ๒ แบบ คือ ประเพณีสงกรานต์ของหลวง ซึง่ จดั เป็นการพระราชพิธีเรียกว่า “การพระราชกุศลสงกรานต์” และ ประเพณีของราษฎรท่ีจัดกันใน ท้องถ่ินต่างๆ การพระราชกุศลสงกรานต์เป็นการพระราชพิธีบ้าเพ็ญกุศลส่วนพระองค์และเป็นการ พระราชพิธีเพ่ือความเป็นสิริมงคลของบ้านเมืองด้วย ในจดหมายเหตุค้าให้การชาวกรุงเก่าได้กล่าวถึง พระราชพิธีเถลิงศก สรุปความได้ว่า พระเจ้าแผ่นดินแห่งกรุงศรีอยุธยาจะเสด็จสรงน้าพระพุทธ ปฏิมากรศรีสรรเพชญ์ เทวรูปพระพิฆเนศวร และโปรดฯ ให้นิมนต์พระสงฆ์ พระราชาคณะมาสรงน้า และรับพระราชทานอาหารบิณฑบาตและจตุปัจจัยไทยทานในพระราชวังท้ัง ๓ วัน ทรงก่อพระเจดีย์ ทรายทว่ี ดั พระศรีสรรเพชญ์และมีการฉลองพระเจดีย์ทราย โปรดฯให้ตั้งโรงทานเลี้ยงพระและราษฎร มเี ครอื่ งโภชนาหารคาวหวาน น้ากิน นา้ อาบและยารักษาโรคพระราชทานท้ัง ๓ วัน

๔๐ การพระราชกุศลสงกรานต์ในสมัยรัตนโกสินทร์มีลักษณะดังนี้ ในวันก่อนหน้าสงกรานต์วัน หนึ่ง เจ้าพนักงานจะนิมนต์พระสงฆ์มาสวดพระปริตร เพ่ือเสกน้าท่ีจะสรงมุรธาภิเษกในวันเถลิงศก พระสงฆ์จะสวดพระปริตรเป็นเวลา ๓ วันและมีการสวดมนต์ฉลองพระทรายบรรดาศักด์ิในตอนเย็น ในวันมหาสงกรานต์ ตอนเช้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชด้าเนินมาทรงเป็นประธาน เจ้าพนักงาน จัดการถวายภัตตาหาร เม่ือพระสงฆ์ฉันเสร็จแล้ว จึงเสด็จพระราชด้าเนินทรงประพรมน้าหอมพระ เจดีย์ทรายท่ัวไป แล้วเสด็จถวายของไทยธรรมแด่พระสงฆ์ในวันเนาทรงถวายไตรจีวรแด่พระสงฆ์ หลังจากพระสงฆ์สรงน้าและเปล่ียนผ้าครองไตรจีวรใหม่แล้วกลับเข้าไปรับพระราชทานภัตตาหารฉัน ข้าวแช่ในท้องพระโรง ในวันเถลงิ ศกเสดจ็ พระราชดา้ เนินออกทรงบาตร แล้วเสด็จทรงน้าหอมสรงพระ บรมอัฐแิ ละพระอฐั ซิ ่งึ ประดษิ ฐานอยู่ในหอพระอัฐิ พระสงฆ์รับพระราชทานฉันเช้าแล้วสดับปกรณ์ ใน วันนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จสรงน้ามูรธาภิเษก แล้วจึงทรงสดับปกรณ์ ในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีการเสด็จออกสรงน้าพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรท่ีวัด พระศรีรตั นศาสดารามดว้ ย และในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีการเสด็จพระ ราชด้าเนินไปทรงสรงน้าและนมัสการพระพุทธปฏิมากรส้าคัญเพ่ิมข้ึนอีกหลายแห่ง เช่น ที่หอราชกร มานสุ รณ์ หอราชพงศานสุ รณ์ เปน็ ตน้ (ประคอง นิมมานเหมินท์, อ้างแล้ว) ภาคกลาง กอ่ นถึงวนั สงกรานตม์ กี ารท้าความสะอาดบา้ นเรือน เตรียมผ้านงุ่ ผ้าหม่ ใหม่ส้าหรับ ใช้นุ่งใน วันสงกรานต์ก่อนวันสงกรานต์หนึ่งวันถือเป็นวันสุกดิบมีการเตรียมอาหารและข้าวของเพื่อ ถวายพระสงฆ์ในวันสงกรานต์ พอถึงวันสงกรานต์ตอนเช้าตรู่มีการตักบาตรหรือน้าอาหารไปถวาย พระสงฆ์ท่วี ดั ประเพณีสงกรานตจ์ ึงมีสว่ นทา้ ให้เกดิ การรวมญาติ เพอ่ื ชว่ ยกันเตรียมอาหาร เตรียมของ ถวายพระและร่วมกันท้าบุญอุทิศส่วนกุศลให้ญาติท่ีล่วงลับ บางแห่งมีการท้าบุญกลางบ้านเป็นการ ท้าบุญร่วมกันของสมาชิกในชุมชน ในวันเนาบางแห่งก็มี การท้าบุญเลี้ยงพระเพล เสร็จแล้วนิมนต์ พระสงฆ์รับน้าสรงจากชาวบ้าน ในวันเถลิงศกขึ้นปีใหม่ มีการสรงน้าพระพุทธรูป และรดน้าผู้ใหญ่ เพื่อแสดงความกตัญญูกตเวที ข้าวของท่ีใช้ในการรดน้าโดยท่ัวไปมักเป็นผ้านุ่งผ้าห่มหรือผ้าเช็ดตัว มี ดอกไม้ หรือมาลยั ดอกไม้สดและน้าอบน้าหอม ก่อนจะรดน้าจะแสดงคารวะก่อนแล้วจึงขออนุญาตรด น้าลงที่มือหลังจากน้ันจึงมอบผ้าหรือข้าวของที่เตรียมไปให้แล้วนั่งพนมมือไหว้ขณะผู้ ใหญ่กล่าวค้าให้ พร วันเถลิงศกนี้ถือว่าเป็นวันมงคลต้องระมัดระวังการพูดจา ให้พูดแต่ส่ิงที่ดีๆ จะได้เป็นมงคลแก่ตัว ชาวบ้านไปวัดเพื่อสรงน้าพระพุทธรูปในโบสถ์และวิหาร สมัยก่อนนิยมปล่อยนกปล่อยปลา หลังจาก นั้นจึงเป็นการเล่น สาดน้าและมีการละเล่นรื่นเริงกัน ที่กรุงเทพมหานครประชาชนนิยมไปตักบาตรท่ี สนามหลวง ทางการได้จัดให้มีการแห่พระพุทธสิหิงค์จากพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติไปถึงวงเวียนใหญ่ แล้วให้วนกลับน้ามาประดิษฐานที่สนามหลวง เพ่ือให้ประชาชนนมัสการและสรงน้า นอกจากน้ียังมี แหล่งเล่นสาดน้าสงกรานต์ทจี่ ดั สา้ หรับนกั ท่องเทย่ี ว เช่น บริเวณถนนข้าวสาร เปน็ ตน้