หนงั สอื สง เสรมิ ประสทิ ธิภาพการเรียนรู กลุมสาระการเรยี นรูภาษาไทย สาํ นกั งานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง สาํ นกั วิชาการและมาตรฐานการศกึ ษา กจิ การโทรคมนาคมแหงชาติ สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้นั พนื้ ฐาน
Infographic Book & Augmented Reality หนังสือสง เสรมิ ประสิทธิภาพการเรียนรู กลมุ สาระการเรียนรูภาษาไทย
Infograp hic Book & Augmented Reality หนงั สอื สงเสริมประสิทธภิ ำพกำรเรยี นรู กลุมสำระกำรเรียนรู ภำษำไทย ส�ำนักงำนคณะกรรมกำรกจิ กำรกระจำยเสยี ง สำ� นกั วิชำกำรและมำตรฐำนกำรศึกษำ กจิ กำรโทรคมนำคมแหง ชำติ ส�ำนักงำนคณะกรรมกำรกำรศกึ ษำขน้ั พนื้ ฐำน
Infographic Book & Augmented Reality หนังสอื สงเสรมิ ประสทิ ธิภำพกำรเรยี นรู กลมุ สำระกำรเรยี นรูภำษำไทย จำ� นวนพิมพ ๔๐,๐๐๐ เลม่ พมิ พครงั้ แรก พุทธศักราช ๒๕๖๑ ลิขสิทธ์ิ สา� นกั งานคณะกรรมการการศึกษาขน้ั พืน้ ฐาน กระทรวงศึกษาธกิ าร ผูจ ัดพมิ พ กลุม่ พัฒนาสอ่ื การเรียนร้ ู สา� นกั วชิ าการและมาตรฐานการศกึ ษา สา� นักงานคณะกรรมการการศึกษาขนั้ พน้ื ฐาน กระทรวงศึกษาธกิ าร ถนนราชดา� เนินนอก เขตดสุ ิต กรงุ เทพฯ ๑๐๓๐๐ โทรศัพท ์ ๐ ๒๒๘๘ ๕๗๔๖ โทรสาร ๐ ๒๖๒๘ ๕๓๔๓ www.http://academic.obec.go.th ผูพมิ พ โรงพมิ พช์ มุ นุมสหกรณ์การเกษตรแหง่ ประเทศไทย ๗๙ ถนนงามวงศว์ าน แขวงลาดยาว เขตจตุจกั ร กรงุ เทพฯ ๑๐๙๐๐ โทรศัพท์ ๐ ๒๕๖๑ ๔๕๖๗ โทรสาร ๐ ๒๕๗๙ ๕๑๐๑ ขอ มลู ทำงบรรณำนุกรมของหอสมดุ แหง ชำติ National Library of Thailand Cataloging in Publication Data กระทรวงศึกษาธิการ. ส�านกั งานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพืน้ ฐาน. หนงั สอื สง่ เสรมิ ประสทิ ธภิ าพการเรยี นร ู้ กลมุ่ สาระการเรยี นรภู้ าษาไทย.-- กรงุ เทพฯ : สา� นกั งานคณะกรรมการ การศึกษาขนั้ พ้ืนฐาน กระทรวงศึกษาธิการ, 2561. 200 หน้า. 1. ภาษาไทย--การศึกษาและการสอน (มัธยมศึกษา). I. ชอื่ เร่อื ง. 495.9107 ISBN 978-616-395-930-0
คำ� นำ� หนังสือส่งเสริมประสิทธิภาพการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย เป็นหนังสือท่ีส�ำนักงานคณะกรรมการการศึกษา ข้ันพื้นฐานจัดท�ำข้ึน เพื่อเพ่ิมประสิทธิภาพการเรียนการสอนของครูผู้สอน ในการจดั กระบวนการเรยี นรู้ สรา้ งความเขา้ ใจเนอื้ หาใหง้ า่ ยและรวดเรว็ ขนึ้ แกผ่ เู้ รยี น โดยนำ� Infographic มาออกแบบเน้อื หาตามความเหมาะสมทง้ั ๕ สาระการเรยี นรู้ ได้แก่ การอ่าน การเขียน การฟงั การดู และการพูด หลักการใช้ภาษาไทย วรรณคดี และวรรณกรรมอย่างมีประสิทธภิ าพ นอกจากนี้ การน�ำเทคโนโลยีสมัยใหม่ Augmented Reality (AR) หรือการสร้างภาพสามมิติเสมือนจริงมาผสมผสานกับการออกแบบข้อมูลเป็นภาพ Infographic ด้วย ซ่ึงการส่ือสารด้วยภาพ Infographic และภาพเคล่ือนไหว Augmented Reality (AR) จะช่วยให้ผู้เรียนสามารถจดจ�ำและเข้าใจเนื้อหาสาระ และองคค์ วามรู้ท่ีซบั ซ้อนได้งา่ ย รวดเรว็ และแม่นย�ำมากกวา่ การอ่านหนงั สอื ปกติ ส�ำนักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน ขอขอบคุณคณะกรรมการ และผู้มีส่วนเก่ียวข้องในการจัดท�ำหนังสือส่งเสริมประสิทธิภาพการเรียนรู้ให้ส�ำเร็จ ลลุ ว่ งด้วยดี รวมท้งั ขอขอบคณุ สำ� นกั งานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กจิ การ โทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ที่ได้สนับสนุนงบประมาณ ในการจัดพิมพ์หนังสือ และหวังว่าหนังสือเล่มนี้จะเป็นประโยชน์แก่สถานศึกษา ครผู ู้สอน ผูเ้ รียน และผู้สนใจ ได้น�ำไปใชใ้ นการจดั การเรยี นรใู้ หเ้ กิดประสิทธภิ าพและ บรรลวุ ัตถุประสงคต์ ามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขั้นพ้นื ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑ (นายบญุ รักษ์ ยอดเพชร) เลขาธกิ ารคณะกรรมการการศึกษาขน้ั พื้นฐาน
สำรบัญ ๙ กำรอำ น ๓๓ กำรเขยี น ๑๐ • เทคนิคการอา่ นออกเสียงร้อยแก้ว ๓๔ • โวหารการเขียน ๑๑ • เสนาะทา� นองรอ้ ยกรองไทย ๓๕ • ใชภ้ าษาให้งดงาม ๑๔ • อ่านแปลความใหไ้ ดค้ วาม ๓๖ • เหตุผลกับภาษา ๑๕ • อา่ นตคี วาม ๔๐ • การแสดงทรรศนะ ๑๖ • เรอ่ื งนีต้ ้อง “ขยาย” ๔๒ • การโต้แย้ง โนม้ นา้ วใจ ๑๘ • แปลความ ตคี วาม ขยายความ ๑๙ • อา่ นวเิ คราะห์ ท�าอย่างไรให้ลงตวั ๒๐ • ขัน้ ตอนการอา่ นวเิ คราะห์ ๔๓ • การเขียนรายงานเชิงวิชาการ ๒๒ • อ่านวจิ ารณ์ ๔๔ • การประเมินคณุ คา่ งานเขยี น ๒๔ • ๔ หลกั การอา่ นเกบ็ ความรู้ ๔๖ • การเขยี นบรรณานุกรม ๒๕ • สงั เคราะหค์ วามรู้สู่การน�าไปใช้ ๔๗ • การเขียนเรยี งความ ๒๗ • อา่ นประเมินคา่ ๔๘ • วิธีการเขยี นยอ่ ความ ๒๘ • เปรียบเทียบ วเิ คราะห ์ วจิ ารณ์ ๔๙ • การเขียนจดหมาย ๕๐ • การเขยี นโครงงาน สงั เคราะห์ ๕๑ • ประกาศอย่างเป็นทางการ ๓๐ • ขอ้ ควรคา� นึงการอา่ นสือ่ สิ่งพิมพ์ ๕๒ • ใช้ภาษาอธิบาย บรรยาย ๓๑ • ขอ้ ควรค�านึงการอา่ นสื่ออิเลก็ ทรอนิกส์ และพรรณนา
๕๕ กำรฟง กำรดู และกำรพดู ๑ อิ - อี ๑ เอะ - เอ ๕๖ • ภาษากบั ความคิด ๑ แอะ - แอ ๖๐ • การฟัง ๖๗ • การพดู ๘๙ หลักกำรใชภำษำไทย ๖๘ • การพดู ระหว่างบุคคล ๗๑ • การพดู ในกลมุ่ ๙๐ • ภาษาในการสื่อสาร ๗๓ • การพูดให้สัมฤทธผิ์ ล ๙๒ • หนว่ ยในภาษา ๗๔ • การพดู ในโอกาสต่างๆ ๙๙ • พยางค์ ๘๐ • การพดู อภิปราย ๑๐๑ • ค�า ๘๔ • การแสดงทรรศนะ ๑๐๓ • การเพ่ิมคา� ๘๖ • การโนม้ น้าวใจ ๑๑๓ • ขอ้ บกพรอ่ งในการใช้ภาษา ๑๑๔ • วลี ๑๑๕ • ประโยค ๑๒๐ • ส�านวนไทย สุภาษติ ค�าพงั เพย ๑๒๖ • การเปลี่ยนแปลงของภาษา ๑๒๘ • ขอ้ สงั เกตเกยี่ วกับการใชค้ า� ราชาศพั ท์ ๑๓๗ วรรณคดแี ละวรรณกรรม ๑๓๘ • ความหมายของวรรณคด ี วรรณกรรม ๑๖๔ • แนวทางการพิจารณาวรรณคดี ๑๔๐ • ประเภทวรรณคดแี ละวรรณกรรม ๑๖๖ • รสวรรณคดี ๑๔๔ • รปู แบบวรรณคดี ๑๗๕ • การวิเคราะห์คุณคา่ ของวรรณคดี ๑๖๓ • การอา่ นวรรณคดี
อา นขยายความ เสรนอ ายะกทรําอนงอไงทย
กา๔รอหานลกัเกก็บาครวามรู อา นแปลความ นกั อราูหนลวักิเคราะห การอา นเทอคอนกิคเสยี งรอยแกว การอาน
เทคนกาคิ รอา นออกเสยี งรอ ยแกว ศึกษาเรื่องทอ่ี าน อานถกู ตอ ง แบงวรรคตอน ใหเ ขาใจ ตามอกั ขรวธิ ี ใหถ ูกตอ ง บุคลิก นา้ํ เสยี ง มีสมาธิ ทาทางที่ดี เปน ธรรมชาติ ในการอาน ลีลาอารมณ ความดงั ของเสียง ตามเนื้อเรื่อง มีความสมา่ํ เสมอ ๑๐
ภาษาไทย ๑๑ เสนาะทาํ นอง รอยกรองไทย การอานออกเสียงรอ ยกรอง เปน การอานออกเสยี งใหไ พเราะตามลีลา และฉนั ทลักษณข องบทรอ ยกรอง ประเภท โคลง ฉนั ท กาพย กลอน รา ย รสที่ใชในการอา นทาํ นองเสนาะ ๑ รสถอ ย คาํ พดู ทส่ี ะทอนความรูสกึ ตองอานใหเกิดรสถอ ย เรือ่ งราวที่อา น ตอ งอานใหมลี ลี าตามลกั ษณะของเรอ่ื ง ๒รสความ ๓ รสทํานอง ระดบั เสียงสูงตํา่ จังหวะสัน้ ยาวทม่ี คี วามแตกตางกนั ตามฉันทลักษณข องบทรอ ยกรอง ตอ งอานใหถูกทาํ นอง คําทีส่ ัมผัสคลองจองกนั ตอ งอานใหตอ เนอ่ื งกัน ๔รสคลองจอง โดยเนนสมั ผสั นอกเปนสาํ คัญ ๕ รสภาพ เสียงทาํ ใหเกดิ ภาพตอ งอานใหเห็นภาพ เน้อื หาที่สามารถเปดแอปพลเิ คชนั ดไู ด ตองใชเสยี งสูง ตํ่า ดงั คอ ย
อานรอยกรองอยางไรใหเสนาะ ๑ นา้ํ เสยี งแจม ใส ๒เขาใจฉนั ทลกั ษณ ๓ ถกู หลกั ทํานอง ๔สอดคลองอารมณ ๕ เหมาะสมอกั ขรวธิ ี ๖มีศิลปะการใชเสียง ๑๒
ภาษาไทย ๑๓ ศิลปะการใชเสยี ง การทอดเสียง การผอ นจังหวะใหชา ลง มักใชต อนจบเรอื่ งหรอื จบบทอา น การเปล่ียนระดับเสยี งจากสูงไปตา่ํ การหลบเสียง เพ่อื ไมต อ งใชเ สียงท่สี ูงมากเกนิ ไป การเออ้ื นเสยี ง การลากเสียงใหช า ตามจงั หวะและทํานอง ทําใหเกดิ อารมณแ ละความไพเราะ การทําใหเ สียงสะดดุ เปนชว งๆ การคร่ันเสียง มักใชในตอนทตี่ องการใหสะเทือนอารมณ การครวญเสียง การเอ้อื นเสยี งใหเ กิดความรูส ึกตามอารมณ ของการคราํ่ ครวญ ราํ พัน วิงวอนหรอื โศกเศรา การลงเสยี งใหหนกั เปน พิเศษ เมื่อตอง การกระแทกเสยี ง แสดงอารมณโกรธหรือความเขม แข็ง
อาในหแไดปค ลวคาวมาม การอา นแปลความ การแปลความตวั อกั ษรหรอื คาํ ถือความหมายเปนสาํ คญั เพื่อใหผูอา นเขาใจความหมายตามเนือ้ หานัน้ แตย ังรักษาเน้อื หาและความสําคัญของเรอื่ งเดิมอยางครบถวน รปู แบบของการแปลความ ๑ ๒ แปลศัพทเฉพาะใหเ ปน ศัพทท ่ัวไป เชน แปลสาํ นวน สภุ าษิต คําพงั เพย บรรพต = ภเู ขา บทรอยกรอง คําภาษาตา งประเทศ นภา = ทองฟา ใหเ ปนภาษาสามัญ ลูกหนัง = กฬี าฟุตบอล ๓ แปลเครื่องหมายตางๆ ๑๔
อานตีความ ภาษาไทย ๑๕ เปนการอานเพอ่ื หาความหมายท่ซี อนเรน ความสําคญั หรอื ความหมายท่แี ทจ ริงของสาร ๑. เขา ใจเรื่องราวไดหลากหลายมมุ มอง ๒. เห็นคุณคาและประโยชนข องสง่ิ ทอ่ี าน ๓. ชว ยฝก การคิดไตรต รองหาเหตผุ ล ๔. ชว ยใหมีวิจารณญาณในการอาน ขอ ควรคาํ นงึ ในการอานตีความ ๑. เจตนารมณข องผเู ขยี น ๒. แนวคิดสาํ คัญ ๓. นา้ํ เสยี งและบรรยากาศ ลกั ษณะงานเขียน ทตี่ องตีความ ๑. ขอเขยี นทม่ี ีความหมายโดยนัย ๒. ขอ เขยี นทีม่ ีการเปรยี บเทียบ ๓. ขอเขยี นท่ีใชสัญลกั ษณ
ตองเ“ร่อื ขงนย.้ี า..ย” การถายทอดความรู ความเขาใจ การขยายความ ขอมลู ขา วสาร หรอื เรือ่ งราวตางๆ ๑ ท่ศี ึกษาคนควาใหมีเร่ืองราว และความเขาใจเพิ่มมากข้ึน กลา วถึงความสัมพันธ ระหวา งเหตุและผล โดยอาศัยเรื่องเดิม หรือขอความเดมิ เปนพ้นื ฐาน ๒ ยกตัวอยา ง หรือขอเท็จจริง มาประกอบ เนอื้ เรื่องเดิม ๓ อธบิ ายสิ่งทเี่ ก่ยี วของ เพ่มิ เตมิ ๔ การคาดคะเน อนุมาน โดยอาศยั ขอ มูลเดมิ เปนพน้ื ฐาน ๑๖
ภาษาไทย ๑๗ หลักการอานขยายความ ๑ ๒ ตอ งมคี วามเขา ใจ พจิ ารณาความคดิ หลัก พ้ืนฐานเกี่ยวกบั เจตนาและความมงุ หวัง เรอ่ื งทอ่ี าน ของผูเ ขยี น ๓ แทรกความคดิ เสริม ๔ ลําดบั ขอความ ใหน าสนใจ ๕ ยกตัวอยางขอมูล ใหนาเช่ือถอื
การอา น การอา นท่มี ุง เนนความเขาใจเนอ้ื หา เรือ่ งราว แปลความ และใจความของเรื่องเหมาะกบั งานเขียนทว่ั ไป การอาน ทเ่ี สนอขอ เทจ็ จรงิ และขอ คดิ เหน็ เปนหลกั ตีความ การอานทมี่ ุงเนน พจิ ารณาความหมายแฝง การอา น ทป่ี รากฏในงานเขียน เหมาะกับงานเขียน ขยายความ ทใ่ี ชค วามหมายโดยนัย การเปรียบเทียบ และสัญลักษณ การอา นทีม่ ุงเนนเพมิ่ เติมขอมลู ใหมคี วามนาสนใจ เขาใจงายและชดั เจนข้นึ โดยอาศัยขอ มูลจากเนื้อหาเดมิ เหมาะกบั งานเขยี น ที่เปนบทรอยกรอง คําคม สาํ นวนตางๆ ขแยปตาีคลยวคคาววมาามม ๑๘
ภาษาไทย ๑๙ อานวิเคราะห การท่ีผูฟงและผดู รู ับสารแลว พิจารณาองคประกอบออกเปนสวนๆ ประเภท ลักษณะ สาระสาํ คัญ กลวิธกี ารนาํ เสนอ เจตนาของผสู งสาร ประเด็น กระบวนการวิเคราะห ระดับ การวเิ คราะห การวเิ คราะห ดรู ูปแบบการประพันธ รปู แบบ แยกเน้อื เร่อื งตามหลัก ๕W ๑H วเิ คราะหคาํ ประโยค กลวธิ กี ารประพนั ธ (What Where When Why และทศั นคติผูแตง Who How) พิจารณารายละเอยี ด เสียง และภาพทีป่ รากฏ เนือ้ เรื่อง เนื้อหาหลกั ของเร่อื ง สํานวนภาษา ประกอบเร่ือง พิจารณากลวิธีนาํ เสนอ
ขนั้ ตอนการอานวเิ คราะห ๑ กําหนดขอบเขตหรือนยิ าม ใหช ดั เจนวาวเิ คราะหอ ะไร ๒ กาํ หนดจุดมงุ หมายใหช ัดเจน วาวิเคราะหเพื่ออะไร ๒๐
ภาษาไทย ๒๑ ๓ พจิ ารณาหลกั ความรหู รอื ทฤษฎี ทเี่ ก่ียวของใชหลกั ใดเปน เครื่องมือ ในการวเิ คราะห ๔ ใชความรใู หตรงกับเรอ่ื งทวี่ เิ คราะห ที่มีความแตกตา งกนั ๕ สรปุ และรายงานผลการวเิ คราะห ทม่ี คี วามแตกตางกัน
อานวิจารณ การแสดงความคดิ เห็นอยา งมเี หตผุ ล และหลกั เกณฑโ ดยอาศัยขอมูล จากการอานวิเคราะห รูปแบบการวิจารณ ๑ ๒ จติ วจิ ารณ อรรถวจิ ารณ การวจิ ารณต าม การวิจารณตาม ความรสู กึ นึกคิด เนื้อหาสาระและ สรปุ เปน พ้ืนฐาน ของผูอา น ๓ วพิ ากษว ิจารณ การวิจารณเชิงตดั สิน ใชก ารประเมนิ ทช่ี ดั เจน ๒๒
ภาษาไทย ๒๓ หลักการวิจารณ ๑ ๒ มคี วามรคู วามเขาใจ มเี หตผุ ล ในเรื่องที่จะวิจารณ และหลักเกณฑ อยา งถอ งแท ที่ชดั เจน ๓ ๔ เรียบเรียงขอมูล มกี ารอางองิ ใหนา สนใจ ที่นาเช่ือถือ ๕ ใชถ อยคํา ในการวิจารณ ทเ่ี หมาะสม
๔อานเหกบ็ลคกั กวาามรรู การรบั ขอมูลทไ่ี ดจ ากการอา น มากลนั่ กรองดว ยประสบการณ ของตนเอง สรุป อา น สรปุ ความรูที่ได เร่อื งทต่ี องการ เก็บความรู โดยละเอียด เรยี ง แยก เรียงลําดบั ขอ มูล แยกใจความ กับพลความ ๒๔
ภาษาไทย ๒๕ สสูังกเาครรนาําะไหปคใชวา มรู การอานสงั เคราะห กระบวนการอา นทีน่ ําองคประกอบทั้งหลาย มาหลอมรวมเขาดวยกันดวยโครงสรางใหม โดยใชองคความรูเ ดมิ
๑ ตัง้ จดุ มุงหมายใหชัดเจนวา ตองการสรา งสรรคส ่ิงใด เพ่ือประโยชนอ ะไร หรือทาํ หนา ที่อะไร ข้ันตอน ๒ การอา นสังเคราะห หาความรูเกย่ี วกบั หลกั การ ๓ ทฤษฎี แนวทางที่เหมาะสม เปน หลกั ในการสงั เคราะห ทําความเขา ใจ สว นตางๆ จนถอ งแท ๔ อานขอ ความแลว สังเคราะหตาม จดุ มงุ หมาย ๕ ทบทวนผลและตรวจสอบ การสังเคราะหส ูการนาํ ไป ใชประโยชน ๒๖
ภาษาไทย ๒๗ ใชดุลยพินจิ พิจารณา อา นประเมินคา คณุ คา ของสงิ่ หนง่ึ สง่ิ ใด โดยมีเกณฑการประเมินที่ชัดเจน เท่ียงตรง และอาศยั กระบวนการอา น วิเคราะห และสังเคราะหเ ปนพน้ื ฐาน ข้ันตอนการอา นประเมนิ คา ๑ ทําความเขา ใจสารท่ีจะประเมนิ คา ใหช ัดเจนโดยอาศยั หลกั ของการวเิ คราะห ๒ ใชเกณฑการประเมนิ ที่มีความเหมาะสม ๓ หากไมใชเ กณฑป ระเมนิ อาจใชการเปรยี บเทียบ กับหลักฐานอืน่ ซง่ึ มคี วามสมเหตสุ มผล
เปรียบเทยี บ วเิ คราะห วกาเิ รคอรา นาะห กระบวนการแยกแยะ องคป ระกอบตางๆ ท่อี ยูใ นสารออกมาพจิ ารณา อยางละเอยี ดถ่ีถวน กวาิจรอาา รนณ การแสดงความคดิ เหน็ อยางมีหลกั การ เปนกระบวนการตอเนื่อง จากการอา นวิเคราะห ๒๘
ภาษาไทย ๒๙ วจิ ารณ สงั เคราะห สกางั รเอคานราะห การหลอมรวมความรู ท่ผี านการพิจารณาแลว เปนอยางดี ใหก ลายเปน องคความรใู หม ภายใตขอมลู เดิม
ขอ ควรคํานงึ การอา นสอื่ สิ่งพมิ พ สื่อสง่ิ พิมพ หนงั สอื หรอื เอกสารสง่ิ พิมพท ร่ี วบรวมความรู หลากหลายแขนงไวด ว ยตวั อักษร ขอ ควรคาํ นงึ ๑ พิจารณาวา ส่อื สงิ่ พิมพน้นั มีลักษณะการเขยี นเปน อยางไร ในการอานสอ่ื สิ่งพมิ พ ๒ อา นขอ มลู จากสื่อสงิ่ พิมพ ๓ ใชกระบวนการวเิ คราะห วิจารณ สงั เคราะห และประเมนิ คา มาประกอบการอา นสอื่ ส่งิ พมิ พ ๔ นําขอ มูลทีไ่ ดมาสรปุ และตัดสนิ ความนา เชือ่ ถอื ๓๐
ภาษาไทย ๓๑ ขอควรคํานงึ การอา นสอ่ื อเิ ล็กทรอนิกส สือ่ อิเลก็ ทรอนกิ ส ขอ มลู สารสนเทศทีบ่ ันทกึ ดวยวิธกี าร ทางอเิ ล็กทรอนกิ สในหลายรปู แบบ ๑ความนาเชื่อถือของขอ มูล ขอ ควรคํานงึ การอา นสอ่ื อเิ ล็กทรอนิกส เนื่องจากเปนสอ่ื ท่เี ขาถงึ ไดง า ย ๒การใชระดบั ภาษา ๓ภาษาเหมาะสมกบั กาลเทศะและบุคคล ๔คผวรูอ มา นีควตาอมทงรร่ไี ดออรบบับคคแออลบบะใใตนนรกกวาาจรรสเเผผอยยบแแกพพอ รรนขข เสออมมมลูลูอ
การโน้มนา้ วใจ โวหารการเขยี น อใยช่า้ภงางษดงาาม
ปรงะาเนมเนิขคยี ณุน ค่า การแสดงทรรศนะ การเขียน เขยี เชนิงรวายชิ งาากนาร
การเขียน การสื่อสาร ความต้องการ เพ่อื ให้เกิดความรู้ เร่ืองราว ความรสู้ ึกไปสู่ผู้อ่าน ความเข้าใจ ตามทผี่ ้เู ขียนตอ้ งการ โวหารการเขียน บรรยาย พรรณนา เทศนา สาธก อปุ มา โวหาร โวหาร โวหาร โวหาร โวหาร เลา่ เรอ่ื งราว เล่ารายละเอยี ด สอนใจให้คิด ยกตวั อย่าง เปรียบเทยี บ บอกเล่า แทรกอารมณ์ เพื่ออธบิ าย ใหเ้ ข้าใจ เหตกุ ารณ์ ความรู้สกึ ใหแ้ จม่ แจง้ ความหมาย ใหเ้ ห็นภาพ ไปตามลา� ดบั ๓4
ภาษาไทย ๓๕ การสรรคา� ใช้ เหมาะกับความหมายและเสียง ใช้ค�าเลียนเสียงธรรมชาติ เล่นเสยี งสมั ผสั สระ เลน่ เสียงสัมผสั อกั ษร เล่นเสียงวรรณยุกต์ ฯลฯ การเรยี บเรยี งคา� ใใชห้ภ้งดาษงาาม ขอ้ ความส�าคัญอยูห่ ลงั สุด ขอ้ ความส�าคญั เท่ากนั ขนานกนั ไป ข้อความแบบขั้นบนั ได ข้อความท่เี ปนคา� ถามเชงิ วาทศิลป การใชโ้ วหาร การพลิกแพลงภาษาใหแ้ ปลกไป จากทใ่ี ชอ้ ยู่ให้กระทบใจ
เหตุผลกับภาษา (การเขียนแสดงเหตผุ ล) การอนมุ านเหตุและผล การอนุมาน กระบวนการคิดหาขอ้ สรุปจากเหตผุ ลทีม่ อี ยู่ ทุกคนต้องหายใจ ฉันเปนคน ฉันต้องหายใจ ๑ วธิ ีนิรนัย คือ การแสดงเหตผุ ลจากส่วนรวมไปหาส่วนย่อย หรอื การอนมุ านจากกรณีรวมกับกรณีเฉพาะหน่ึง ไปสู่กรณีเฉพาะอีกกรณหี นงึ่ เช่น กรณีรวม = ทกุ คนตอ้ งต้องหายใจ กรณีเฉพาะกรณหี น่ึง = ฉันเปนคน กรณีเฉพาะอีกกรณีหน่งึ = ฉนั ตอ้ งหายใจ ๓๖
๒ วิธีอุปนยั ภาษาไทย ๓๗ การแสดงเหตุผล จากส่วนย่อยไปหาส่วนรวม ๒.๑ กรณเี ฉพาะกี่กรณกี ็ได้ เชน่ เขาเรยี นเกง่ เขาขยนั พอ่ แมส่ นับสนุนใหเ้ รียน เขามีครดู ี เขาน่าจะสอบเข้ามหาวิทยาลยั ได้ เน้อื หาที่สามารถเปดแอปพลเิ คชนั ดไู ด
๒.๒ การอนุมานโดยการเปรียบเทียบ เชน เขา เพ่อื น อยโู่ รงเรียน เรยี นวิชา ๔.๐๐ คะแนนเฉล่ยี ๔.๐๐ เขาก็ควรจะสอบไดเ้ ชน่ กนั เพ่อื นสอบเขา้ มหาวิทยาลยั ได้ ๓๘
ภาษาไทย ๓๙ การอนมุ านสาเหตุ และผลลพั ธท์ ่สี มั พนั ธก์ นั ๑. การอนมุ านจากสาเหตุไปหาผลลพั ธ์ เหตุ ผล ๒. การอนุมานจากผลลพั ธ์ไปหาสาเหตุ ผลการเรียน เหตุ เฉล่ีย ๑.๙๐ ผล ๓. การอนุมานจากผลลัพธ์ไปหาผลลัพธ์ สอบตก สอบตก วิชาคณิตศาสตร์ วิชาฟส ิกส์ ๑๔๐๕๐ ๑๓๐๐๐ ผล ผล
การแสดงทรรศนะ โครงสรา้ งการแสดงทรรศนะ ทีม่ า ขอ้ สนับสนนุ สว่ นที่เปน เร่อื งราว ข้อเท็จจรงิ หลกั การ สาเหตุทที่ า� ให้ เพอื่ ประกอบความเปน เหตุผล ไปเสรมิ และสนบั สนุนท่มี า เกดิ การแสดงทรรศนะ ขอ้ สรุป สว่ นท่ีเปนผลจากทมี่ า เปนข้อสรุปสดุ ทา้ ย หรอื เกิดจากการประเมินคา่ 4๐
ภาษาไทย 4๑ ประเภทของทรรศนะ มกั เปน เรอ่ื ง ท่ีเกิดขึ้นแลว้ ทรรศนะเชงิ ขอ้ เทจ็ จริง เปนความจรงิ ทรรศนะเชิงคุณคา่ เปนการตัดสนิ วา่ ดี ไมด่ ี มปี ระโยชน์ ไมม่ ปี ระโยชน์ ทรรศนะเชิงนโยบาย ขอ้ เสนอแนะ ว่าควรจะ ท�าอยา่ งไร ในอนาคต
การโตแ้ ย้ง โน้มนา้ วใจ ท�าอย่างไรให้ลงตวั การใช้ภาษา การโตแ้ ย้งมิใชก่ ารโตเ้ ถียง ตอ้ งใชภ้ าษาที่ไมแ่ สดงอารมณ์โกรธ ในการโต้แยง้ ประชดประชัน และควรใช้หลกั ฐาน หลกั การ เหตผุ ล ค�านงึ ถึงผลประโยชน์ส่วนรวมเปนหลกั การใชภ้ าษา ม่งุ เน้นใหผ้ ูร้ บั สารเปล่ยี นความเชอ่ื ทัศนคติ เพอ่ื โนม้ น้าวใจ พฤตกิ รรมตามที่ผสู้ ง่ สารต้องการ - แสดงใหเ้ ห็นถึงความนา่ เชื่อถอื ของผโู้ น้มน้าวใจ กลวิธีในการ - แสดงใหป้ ระจักษ์ถึงความรสู้ ึกหรืออารมณ์ร่วมกัน โน้มน้าวใจ - สรา้ งความหรรษาแกผ่ รู้ บั สาร - เร้าใหเ้ กดิ อารมณอ์ ย่างแรงกล้า 4๒
ภาษาไทย 4๓ การเขยี นรายงาน เชิงวิชาการ รายงานทางวิชาการ งานเขยี นทางวชิ าการท่เี กดิ จากการศึกษาค้นคว้า รวบรวมขอ้ มลู จากแหล่งต่างๆ โดยศึกษาค้นคว้าจากเอกสาร จากการส�ารวจ การสังเกต การทดลอง ฯลฯ แล้วน�ามารวบรวมวิเคราะห์ เรียบเรยี งข้นึ ใหม่ โดยใช้ภาษาระดับทางการตามโครงเรอ่ื งทไี่ ด้วางไว้ โดยมีหลกั ฐานและเอกสารอา้ งอิงประกอบ ขัน้ ตอนในการเขยี น ๑ ๒ รายงานเชิงวิชาการ กา� หนดเร่อื ง ก�าหนดช่อื เร่อื ง การเขยี นรายงานเชงิ วิชาการ และขอบเขตของเร่อื ง ควรมีการวางแผนและกา� หนดข้ันตอน ๓ ๔ ดังน้ี การวาง โครงเรอื่ ง รวบรวม ข้อมูล ๕ ๖ การจดั ระเบียบ และวิเคราะห์ เสนอผลงาน ขอ้ มูล
การประเมินคณุ คา่ งานเขียน การประเมนิ คณุ คา่ งานเขยี น ผปู้ ระเมินจะต้อง วิเคราะห์ และตีความ ก่อนที่จะใชด้ ุลยพินิจประเมนิ คณุ ค่างานเขยี นอย่างมเี หตผุ ล เพอื่ ให้เหน็ คณุ คา่ และเขา้ ใจเจตนารมณ์ของผสู้ ่งสาร ผทู้ ี่มที กั ษะการประเมินคุณคา่ งานเขยี นทด่ี ยี ่อมสามารถนำ� วธิ ีในการคิด และกลวิธีการเขียนงานทด่ี ี ไปใชใ้ นการพฒั นางานเขยี นของตนเองไดอ้ ย่างสรา้ งสรรค์ต่อไป วิเคราะห์ ตีความ ประเมนิ คณุ คา่ เหน็ เจตนาผเู้ ขยี น พฒั นางานเขยี น ของตนเอง 44
ภาษาไทย 4๕ หลักการประเมนิ คณุ คา่ งานเขยี น ๑ จา� แนกประเภทงานเขยี นนัน้ วา่ เปนงานเขียนประเภทใด เปน รอ้ ยแก้วหรอื รอ้ ยกรอง เปนสารคดหี รือบันเทิงคดี เปน นวนยิ าย เร่อื งสน้ั นทิ าน บทละคร หรอื สารคดี อ่านอย่างละเอยี ดถถี่ ว้ น เพื่อวิเคราะห์แยกแยะรายละเอยี ด ๒ ของเร่อื งทอี่ า่ น โดยพจิ ารณา ความสัมพันธข์ องโครงสรา้ ง ในส่วนตา่ งๆ ของเรือ่ ง เช่น เนอ้ื หา แนวคิด รูปแบบและกลวธิ ี ในการนา� เสนอเร่ือง การใชส้ �านวนภาษา เปนต้น ๓ ตีความ เปนการท�าความเขา้ ใจความหมายของคา� และประโยคตา่ งๆ ทผี่ เู้ ขียนอาจซอ่ นความหมายแฝงซ่งึ ไมไ่ ดส้ ื่อความหมายตามรปู คา� เพือ่ คน้ หาสารท่ีผู้เขยี นต้องการส่อื ถงึ ผอู้ ่าน ประเมนิ คุณคา่ เปน การตดั สนิ ส่งิ ท่อี า่ น ๔ ผอู้ า่ นจะตอ้ งประเมนิ ค่าเรอ่ื งทีอ่ ่านถงึ ความน่าเชื่อถอื ควรตดั สินอยา่ งมเี หตุผลโดยใชเ้ กณฑ์มาตรฐานทไ่ี ด้รับการยอมรับ
การเขยี นบรรณานกุ รม การเขียนบรรณานกุ รมจากหนงั สือเล่ม ชอ่ื ผูแตง . (ปพ มิ พ). ชื่อเร่อื ง (คร้งั ทพี่ มิ พ). สถานท่พี มิ พ : สํานกั พิมพ. ลมุล รัตตากร. (๒๕๓๙). การใชหอ งสมุด (พมิ พค รั้งท่ี ๘). กรุงเทพฯ : สวุ ีริยาสาสน . การเขยี นบรรณานุกรมจากนิตยสารหรอื วารสาร ชอ่ื ผแู ตง . (ปพ มิ พ). ชื่อบทความ. ชอ่ื วารสาร, เลขของปท ี่ (เลขของฉบับที่). เลขหนา. ปย ะวทิ ย ทิพรส. ๒๕๕๓. การจัดการปองกนั และลดสารใหกลนิ่ โคลน Geosmin ในผลิตภณั ฑ แปรรูปสัตวน า้ํ . วารสารสทุ ธิปรทัศน, ๒๔ (๗๒), ๑๐๓-๑๑๙. การเขียนบรรณานุกรมจากหนงั สือพมิ พ์ ชือ่ ผูแ ตง . (ปพ ิมพ, วันที่ เดอื น). ชอ่ื บทความ. ชื่อหนงั สอื พมิ พ. น. หรือ p. หรอื pp. เลขหนา. พนดิ า สงวนเสรีวานชิ . (๒๕๕๔, ๒๔ เมษายน). พระปลัดสุชาติ สุวัฑฒฺ โกปกา เกอะญอ นกั พฒั นา. มตชิ น. น. ๑๗ - ๑๘. การเขียนบรรณานุกรมจากอนิ เทอรเ์ นต็ ชื่อผูแตง. ปพ มิ พ. ชอ่ื เรื่อง. สบื คน วัน เดือน ป, จาก http://www.xxxxxxxxxx สุรชัย เลี้ยงบุญเลศิ ชัย. (๒๕๕๔). จดั ระเบียบสาํ นกั งานทนายความ. สืบคน ๒๑ มิถนุ ายน ๒๕๕๔, จาก http://www.lawyerscouncil.or.th๒๐๑๑/index.php?name=knowledge 4๖
ภาษาไทย 4๗ การเขยี นเรียงความ เรียงความ หมายถึง งานเขียนร้อยแกว้ ทีม่ ุง่ ถา่ ยทอดเร่ืองราว ความรู้ ความคดิ และทัศนคติ เรยี บเรียงอยา่ งมีลา� ดบั ข้นั และสละสลวย องค์ประกอบของเรียงความ มี ๓ สว่ น คา� น�า เน้ือเรอ่ื ง สรุป เปนสว่ นแรก เปน สว่ นสา� คญั เปนสว่ นสุดท้าย ของเรยี งความ ของเรยี งความ ของเรยี งความ ดงึ ดูดความสนใจ ประกอบดว้ ยเนอื้ หา มุ่งสรปุ ประเด็น ความรู้ ความคดิ การเขียนสรุปมีหลายวธิ ี เน้นศิลปะ และข้อมลู เรียบเรียง เช่น ฝากข้อคดิ ในการใช้ภาษา อยา่ งเปนระบบ การเน้นย�า้ เชญิ ชวน มีการขยายความ ใหป้ ฏิบัตติ าม ด้วยการอธบิ าย การพรรณนา หรอื ยกโวหารตา่ ง ๆ อาจจะมหี ลายยอ่ หนา้ ได้
ยวธิ่อกีคาวราเมขยี น ๑ ๒ อา่ นเรอื่ งทีจ่ ะย่อความให้จบ ๓ บนั ทึกใจความส�าคญั ใหเ้ ข้าใจ เพ่อื ทราบ ของเร่ืองทอ่ี า่ น วา่ เรอ่ื งนัน้ กล่าวถึงใคร อา่ นทบทวนใจความสา� คญั ท�าอะไร ท่ีไหน อย่างไร ท่ีเขียนเรยี บเรยี งแลว้ จากน้นั นา� มาเขียนเรียบเรยี งใหม่ แกไ้ ขใหส้ มบูรณโ์ ดยตัดข้อความ ดว้ ยสา� นวนภาษา เมอื่ ไร และผลเปนอย่างไร ทซ่ี า�้ ซอ้ นออก เพ่ือให้เนอื้ หา ของตนเอง กระชบั และเช่อื มขอ้ ความ ๕ ให้สมั พนั ธก์ ันตง้ั เเตต่ ้นจนจบ ๔ การใชส้ รรพนาม การเขยี นย่อความ เขยี นย่อความให้สมบรู ณ์ ไม่นิยมใชส้ รรพนามบรุ ษุ ท่ี ๑ โดยเขยี นแบบขึ้นตน้ และสรรพนามบรุ ุษท่ี ๒ คอื ฉัน คณุ ท่าน ของยอ่ ความตามรูปแบบ แต่จะใช้สรรพนามบุรษุ ท่ี ๓ ของประเภทขอ้ ความนน้ั ๆ เชน่ เขา และไมเ่ ขียนโดยใช้อกั ษรยอ่ เช่น การยอ่ นทิ าน หากมกี ารใช้ค�าราชาศพั ท์ การยอ่ บทความ ตอ้ งเขยี นให้ถกู ตอ้ งไมต่ ดั ทอน ๖ หากเรอ่ื งท่ีจะยอ่ เปน รอ้ ยกรอง ให้ถอดความเปน ร้อยแก้ว ก่อนท่จี ะย่อความ และยอ่ เปน ภาษาร้อยแก้ว 4๘
ภาษาไทย 4๙ การเขยี นจดหมาย ประเภทของจดหมาย จดหมายสว่ นตัว เปน จดหมายท่เี ขยี นถงึ ผ้ทู ร่ี ู้จกั เพื่อส่งข่าว ใชภ้ าษาระดบั กันเองได้ จดหมายกิจธุระ เปนจดหมายทตี่ ดิ ต่อส่อื สารกันดว้ ยกจิ ธรุ ะ การสมคั รงาน การตดิ ตอ่ สอบถาม การเตือน การทวงถาม การแจง้ ข่าวสาร จดหมายธรุ กจิ เปนจดหมายทีเ่ ขยี นตดิ ต่อกันเรอื่ งท่เี กีย่ วกับธรุ กิจ การเงิน การซ้อื ขาย ระหว่างบรษิ ัท หา้ งร้าน และองคก์ รต่างๆ จดหมายทางการ ราชการ *หมายเหตุ : จดหมายกจิ ธรุ ะ จดหมายธรุ กจิ และจดหมายราชการ เปน จดหมายที่ติดต่อกันจากหน่วยราชการ ใชค ําขึ้นตน เดยี วกนั คือคําวา “เรยี น” ถึงบคุ คลหรอื หนว่ ยงานตา่ งๆ (หนังสอื ราชการตองมเี ลขท่ี คําลงทา ยวา “ขอแสดงความนับถอื ” และลงทะเบยี นรับ-สง ตามระเบยี บงานสารบรรณ) ส่วนประกอบของการเขียนจดหมาย ๑. สถานทเี่ ขยี นจดหมาย : บา นเลขท่ี ซอย ถนน อาํ เภอ จังหวัด รหสั ไปรษณยี ๒. วนั เดือน ป : ไมต องระบุคํานาํ หนา เชน ๙ ตุลาคม ๒๕๖๐ ๓. ค�าขนึ้ ตน้ คา� ลงทา้ ย และสรรพนาม : ตามความสมั พนั ธผูเขียนและผรู ับ ตามระเบยี บงานสารบรรณ ๔. ชื่อผเู้ ขียน : ควรวงเลบ็ ชือ่ นามสกุล และคํานําหนาชอ่ื ไวใตลายเซ็น
๑ ๒ ช่อื โครงงาน ผูร้ ับผิดชอบโครงงาน เขยี นชอ่ื ตามล�าดับตัวอกั ษร ควรกระชับ ชัดเจน หัวหนา้ โครงงานล�าดบั แรก เรียงล�าดบั ตวั อกั ษร ๓ ๔ ทีม่ าโครงงาน จดุ ประสงค์ มีเหตุผลของการศกึ ษา ของโครงงาน ควรเขยี นใหร้ ัดกุมเปนข้อๆ ให้เข้าใจได้งา่ ย การเขียนโครงงาน ๕ ๖ ขอบเขตเน้อื หา หลักวชิ าทจ่ี ะน�ามา และระยะเวลา ใช้ในการท�าโครงงาน การทา� โครงงาน นา� ความรู้ทางหลักวิชาการ ตอ้ งวางขอบเขตเปนกรอบ เพื่อความน่าเชื่อถือ เพอื่ เปน ตารางการด�าเนินงาน ๘ ๗ ผลทีค่ าดหวัง วธิ ีปฏบิ ัติ ในการทา� โครงงาน โครงงานเสร็จสิน้ จะได้รบั ผลอย่างไร เขียนขั้นตอนการด�าเนนิ งาน ควรท�าตารางการปฏบิ ัติงาน ๕๐
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204